The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สรุป 10 บทจิตวิทยาสำหรับครู (1)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by sulyanee.lud138, 2022-10-19 18:20:28

สรุป 10 บทจิตวิทยาสำหรับครู

สรุป 10 บทจิตวิทยาสำหรับครู (1)

ปรัชญาการแนะแนว

1. บุคคลแต่ละคนย่อมมีความแตกต่าง
2. มนุษย์เป็นทรัพยากรที่มีค่าสูงยิ่ง
3. บุคคลย่อมมีศักดิ์ศรีและศักยภาพประจำตัว
4. บุคคลแต่ละคนย่อมต้องการความช่วยเหลือ

หลักของการแนะแนว


1. บริการแนะแนวในโรงเรียนจัดตั้งขึ้นเพื่อนักเรียนทุกคน
2. การแนะแนวช่วยให้นักเรียนสามารถนำตนเองได้
3. การแนะแนวที่ดีต้องมีข้อมูลนักเรียนในด้านต่างๆตรงตามข้อเท็จจริง
4. การแนะแนวต้องจัดทำอย่างต่อเนื่อง
5. การแนะแนวในโรงเรียนต้องมีการประสานงานร่วมมือกัน กับ
บุคลากรที่เกี่ยวข้องทุกส่วนทั้งในและนอกโรงเรียน
6. การแนะแนวต้องทำควบคู่กันไปกับการเรียนการสอน
7. การแนะแนวต้องจัดบริการต่างๆ ให้ครอบคลุมทั้งด้านการเรียนการ
ศึกษา ด้านอาชีพ ด้านส่วนตัวและสังคม

ประเภทของการแนะแนว

การแนะแนวสามารถจำแนกได้หลายประเภทตามลักษณะ
ของปัญหาที่นักเรียนต้องการความช่วยเหลือ สามารถสรุปออก
เป็น 3ประเภทใหญ่ๆ คือ

1.การแนะแนวการศึกษา
2.การแนะแนวอาชีพ
3.การแนะแนวด้านส่วนตัวและสังคม

การแนะแนวการศึกษา (Educational Guidance) หมายถึง
กระบวนการให้ความช่วยเหลือนักเรียนในเรื่องที่เกี่ยวกับการศึกษาโดย
เฉพาะ เช่น แนวทางในการศึกษาต่อ การเลือกโปรแกรมการเรียน การลง
ทะเบียน หลักสูตร การเรียนการสอน การวัดผลประเมินผลของโรงเรียน การ
ค้นคว้า เขียนรายงาน การอ่านหนังสือ การเตรียมตัวสอบ การสร้างสมาธิใน
การเรียน การเข้าร่วมกิจ กรรมเสริมหลักสูตร ฯลฯ

การให้บริการแนะแนวการศึกษา จะช่วยให้นักเรียนรู้จักเลือกและ
ปรับตัวได้อย่างเหมาะสมในเรื่องการศึกษาเล่าเรียนของตน ทั้งยังช่วยให้
นักเรียนสามารถวางแผนการศึกษาต่อของตนได้อย่างถูกต้อง

การแนะแนวอาชีพ (Vocational Guidance) หมายถึง กระบวนการ
ให้ความช่วยเหลือนักเรียนเกี่ยวกับการวางแผนและการตัดสินใจเลือกอาชีพ
เพื่อช่วยให้นักเรียนได้ค้นพบอาชีพที่เหมาะสมกับความสามารถ ความถนัด
ความสนใจ และสภาพร่างกายของตน ดังนั้น การแนะแนวอาชีพจึงเป็นการ
ช่วยให้นักเรียนได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประเด็นต่อไปนี้ สภาพและ
ลักษณะของงาน คุณสมบัติที่

การให้บริการแนะแนวอาชีพ จะช่วยให้นักเรียนได้ค้นพบและ
ตัดสินใจเลือกอาชีพได้อย่างถูกต้อง ซึ่งจะเป็นผลให้นักเรียนมีความพึงพอใจ
ในงานของตน และมีชีวิตการทา งานที่มีประสิทธิภาพ เป็นการช่วยให้
ทรัพยากรมนุษย์ได้รับการส่งเสริมพัฒนาให้เกิดประโยชน์แก่สังคมและ
ประเทศชาติอย่างแท้จริง

การแนะแนวด้านส่วนตัวและสังคม (Personal and Social
Guidance) หมายถึง กระบวนการให้ความช่วยเหลือนักเรียนในเรื่องที่นอก
เหนือจากด้านการศึกษาและอาชีพ เป็นการช่วยให้นักเรียนได้เกิดความ
เข้าใจตนเองและสภาพแวดล้อม ทำให้สามารถมีชีวิตและปรับตัวได้อย่างมี
ความสุข

ในการแบ่งประเภทงานแนะแนวนั้น เป็นการจัดประเภทตาม
ลักษณะของข้อมูลและข้อสนเทศที่ทางโรง เรียนนามา แต่การแนะแนวทั้ง 3
ประเภทมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด เช่น การช่วยเหลือนักเรียนในการ
วางแผน เกี่ยวกับอาชีพ ก็มีความจา เป็นที่จะต้องเกี่ยวข้องกับการศึกษาของ
นักเรียน และยังต้องศึกษาองค์ประกอบด้านส่วนตัวและสังคมของนักเรียน
พร้อมกัน ดังนั้นในแง่การปฏิบัติจำเป็นต้องให้การแนะแนวแก่นักเรียนทั้ง 3
ด้านควบคู่ไปพร้อมๆ กัน เพื่อช่วยให้เกิดประสิทธิภาพ การแนะแนวเช่นนี้
เรียกว่า “การแนะแนวชีวิต” (Life Guidance)

บริการแนะแนว



1. บริการศึกษาข้อมูลนักเรียนเป็นรายบุคคล ( Individual Inventory Service )
เป็นบริการที่ช่วยให้ครูรู้จักและเข้าใจนักเรียนมากขึ้นด้วยความตระหนักถึงความแตก
ต่างระหว่างบุคคล โดยใช้เทคนิคและวิธีการต่างๆ ในการศึกษาข้อมูลของนักเรียนทุก
ด้าน ทั้งด้านส่วนตัว ครอบครัว สุขภาพ การเรียน สังคม ความสามารถ ความถนัด
ความสนใจ บุคลิกภาพ ฯลฯ และมีการศึกษาและรวบรวมไว้อย่างเป็นระบบ
2. บริการสนเทศ ( Information Service ) เป็นการจัดบริการข่าวสารข้อมูล
ด้านการศึกษาด้านอาชีพ ด้านส่วนตัวและสังคมแก่นักเรียน เพื่อเป็นข้อมูลประกอบ
การตัดสินใจ และการวางแผนการศึกษาต่อและอาชีพ ตลอดจนการดำเนินชีวิตของ
นักเรียน โดยจัดนำเสนอข้อมูลในรูปแบบต่างๆ เช่น ป้ายนิเทศ สื่ออิเลคทรอนิกส์
การจัดนิทรรศการ การเชิญวิทยากร การศึกษาดูงาน เป็นต้น
3. บริการให้การปรึกษา ( Counseling Service ) เป็นการจัดกระบวนการที่มีหลัก
การ ขั้นตอน และจุดมุ่งหมายในการปรึกษาที่ชัดเจนตามหลักการปรึกษาเชิงจิตวิทยา
ช่วยให้นักเรียนรู้จัก เข้าใจ ยอมรับตนเองและปัญหาที่กำลังเผชิญ ได้เรียนรู้และ
ค้นหาเหตุแห่งปัญหา หาทางจัดการกับปัญหาและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเอง
อีกทั้งจัดการศึกษารายกรณี และประสานการจัดประชุมปรึกษารายกรณี เพื่อการช่วย
เหลือนักเรียนอย่างสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
4. บริการจัดวางตัวบุคคล (Placement Service ) เป็นบริการที่จัดเพื่อให้นักเรียน
ได้รับประสบการณ์ ได้รับการช่วยเหลือ หรือได้รับการฝึกฝนตามแต่กรณี โดยจัด
ความช่วยเหลือนักเรียนในรูปแบบวิธีการที่หลากหลาย ครอบคลุมทั้งด้านการศึกษา
ด้านอาชีพ ด้านส่วนตัวและสังคม เช่น ช่วยเหลือนักเรียนในการเลือกเรียน
แผนการเรียนที่เหมาะสม ได้ร่วมกิจกรรมที่ตอบสนองต่อความถนัด ความสามารถ
และความสนใจ การช่วยเหลือนักเรียนในเรื่องการทำงานพิเศษ การจัดหาทุนการ
ศึกษาและทุนอาหารกลางวัน เป็นต้น
5. บริการติดตามผล ( Follow-up Service ) เป็นบริการที่มีระบบ ขั้นตอน ใน
การติดตามประเมินผลคุณภาพการให้บริการ การจัดกิจกรรมแนะแนว และการจัดงาน
โครงการต่างๆ ของงานแนะแนวเพื่อนำผลที่ได้ไปแก้ไข ปรับปรุง และพัฒนาการ
วางแผนงานแนะแนวให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ประเภทของการให้คำปรึกษา

การให้คำปรึกษาสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทดังนี้

1. การให้คำปรึกษาเป็นรายบุคคล (Individual Counseling)
การให้คำปรึกษาประเภทนี้เป็นแบบที่ได้รับความนิยม และถูกนำมาใช้

ในหน่วยงานต่าง ๆ การให้คำปรึกษาจะเป็นการพบกัน ระหว่างผู้ให้คำปรึกษา
1 คน กับผู้ขอคำปรึกษา 1 คน โดยร่วมมือกัน การให้คำปรึกษาแบบนี้มีจุดมุ่ง
หมายที่จะช่วยให้ผู้ขอรับคำปรึกษาให้สามารถเข้าใจตนเอง เข้าใจปัญหา
และสามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง หรือเพื่อให้สมาชิกในองค์การ
เพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานให้สูงขึ้น

2. การให้คำปรึกษาแบบกลุ่ม (Group Counseling)
หลักพื้นฐานของการให้คำปรึกษากลุ่ม
1. สมาชิกกลุ่มทุกคนมีสิทธิในความรู้สึกของตน คือรู้สึกอย่างที่ตนรู้สึก

ไม่ต้องปกปิดซ่อนเร้น ผู้ให้คำปรึกษาจะสนับสนุนให้สมาชิกแสดงความรู้สึก
ของตนออกมา และให้เคารพในอารมณ์และความรู้สึกของผู้อื่นด้วย

2. สมาชิกกลุ่มแต่ละคนต้องตัดสินใจว่า ตนต้องการจะพัฒนาอะไร
เกี่ยวกับตนเองด้วยตนเอง

3. สมาชิกกลุ่มแต่ละคน ต้องมุ่งแก้ปัญหาให้ตนเองไม่ใช่มุ่งแก้ปัญหา
ให้คนอื่น เพราะการที่สมาชิกเข้ากลุ่มก็เพราะต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงไป
ในทางที่ดีขึ้นให้กับตนเอง

บทที่9

การศึกษาบุคคลเป็นรายกรณี
(Case study)

การศึกษาบุคคลเป็นรายกรณี(Case study)

กระบวนการศึกษาบุคคลอย่างละเอียดต่อเนื่อง โดยใช้เทคนิ
คหลายๆ อย่างในการเก็บรวบรวมข้อมูลและนำข้อมูลที่ได้มา
วิเคราะห์ สังเคราะห์และวินิจฉัยปัญหาเพื่อทำความเข้าใจถึงสาเหตุ
หรือที่มาของสิ่งที่ศึกษา อันจะนำไปสู่การดำเนินกาหรือการให้ข้อ
เสนอแนะที่เป็นประโยชน์ในการให้ความช่วยเหลือแก้ไข ป้องกัน
ปัญหาหรือส่งเสริมพัฒนาการของบุคคลต่อไป

ความหมายของการศึกษารายกรณี

การศึกษารายกรณี (Case Study) หมายถึง กระบนการศึกษา
บุคคลใดบุคคลหนึ่ง กลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ชุมชนใดชุมชนหนึ่ง
หรือสถาบั่นใดสถาบันหนึ่งอย่างละเอียดต่อเนื่อง โดยใช้เครื่องมือ
เทคนิค หรือวิธีการต่างๆ เพื่อให้ได้รายละเอียดของข้อมูล แล้วนำมา
สังเคราะห์ วิเคราะห์ และวินิจฉัยหาสาเหตุของพฤติกรรม เพื่อ
ดำเนินการช่วยเหลือ แก้ไข ป้องกัน หรือส่งเสริมพัฒนาการของ
บุคคลกลุ่มคชุมชน และสถาบันนั้นต่อไป

จุดมุ่งหมายของการศึกษารายกรณี

1. เพื่อสืบค้นหาสาเหตุที่ทำให้ผู้เรียนมีพฤดิกรรมที่ผิดปรกติ ซึ่ง
ทางโรงเรียนจะได้ให้ความช่วยเหลือ และแก้ไขได้อย่างถูกต้อง
2. เพื่อสืบค้นรูปแบบของพัฒนาการของนักเรียน ทั้งในด้าน
ร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ สังคม และจิตใจ
3. เพื่อช่วยให้นักเรียน ได้เกิดความเข้าใจในตนเอง สามารถ
พัฒนาวางแผนชีวิต และตัดสินใจเลือกแนวทางการศึกษาต่อ และ
เลือกอาชีพที่เหมาะสม
4.เพื่อช่วยให้ผู้ปกครองเข้าใจในตัวเด็กของตนได้ดีขึ้น
5. เพื่อช่วยให้ครูเข้าใจนักเรียนได้อย่างละเอียด ลึกซึ้ง และถูกต้อง

ประโยชน์ของการศึกษารายกรณี

ในวิธีการศึกษารายกรณี ที่นำมาใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นราย
บุคคลเพื่อให้กรแนะแนวนั้นจัดเป็นกลวิธีที่ มีประ โยชน์ต่อผู้ที่นำ
มาใช้และบุคคลที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างมากซึ่งจำแนกออกได้ ดังนี้

ประโยชน์ต่อครูหรือผู้แนะแนวที่เป็นผู้ศึกษาโดยตรง

1. ช่วยให้ครูหรือผู้แนะแนวหรือครูประจำชั้นได้ทราบรายละเอียด เกี่ยว
กับตัวนักเรียนอย่างกว้างขวาง ทำให้รู้จักและเข้าใจธรรมชาติของเด็กอย่าง
แท้จริง

2. ช่วยให้ครูและผู้แนะแนวเข้าใจถึงสาเหตุและเงื่อนไขต่าง ๆ ที่ก่อให้
เกิดพฤติกรรมที่เป็นปัญหาทำให้ มองเห็นลู่ทางที่จะช่วยเหลือแก้ไขปัญหา
ให้กับนักเรียนได้อย่างเหมาะสม

3. ช่วยให้ครูและผู้แนะแนวมีความรู้และมีทักษะในการใช้เครื่องมือและ
กลวิธีต่าง ๆ ในการเก็บข้อมูล เกี่ยวกับตัวนักเรียน และขังช่วยให้เป็นคนที่มี
เหตุผล รู้จักเก็บข้อมูลอย่างมีระบบ รู้จักแก้ปัญหาโคยใช้ข้อมูลที่ได้ รวบรวม
ไว้มาประกอบในการพิจารณาตัดสินใจ

การเลือกนักเรียนเพื่อทำการ
ศึกษารายกรณี

ในการศึกษารายกรณีนั้น ครูสามารถเลือกนักเรียนได้หลาย
ประเภท ไม่จำเป็นจะต้องเลือกเฉพาะนักเรียนที่มีปัญหาเท่านั้น ขึ้นอยู่
กับจุดมุ่งหมายในการศึกยาของครูว่า ต้องการทราบเรื่องอะไร ครูกวร
เลือกนักเรียนเพื่อทำการศึกษารายกรณี สามารถจำแนกได้ดังนี้

1) นักเรียนที่ประสบผลสำเร็จในด้านการเรียนดีเยี่ยม
2) นักเรียนที่มีความสามารถพิเศษบางอย่าง เช่น ศิลปะ คนตรี ฯลฯ
3) นักเรียนที่มีปัญหามาก
4) นักเรียนที่มีความทะเยอทะยานมีกำลังใจเข้มแข็งที่จะเอาชนะอุป
สรรด
5) นักเรียนที่เรียนอ่อนไม่สมารถที่จะทำงานในระดับที่เรียนอยู่ได้
6) นักเรียนที่มีพฤดิกรรมดีเด่นสมควรเอาเป็นตัวอย่าง

กระบวนการศึกษาบุคคลเป็นรายกรณี



การกำหนดปัญหาและการดั่งสมมคิฐาน
การเก็บรวบรอมข้อมูล
การสังเคราะห์ข้อมูล
การวินิจฉัย
การช่วยเหลือ ส่งเสริม พัฒนา
การติดตามผล
การให้ข้อเสนอแนะ

กระบวนการศึกษาบุคคลเป็นรายกรณี

ขั้นตอนที่ 1 การกำหนดปัญหาและการตั้งสมมติฐานการที่ผู้ศึกษา
กำหนดเป้าหมายว่าจะทำการศึกษาอะไรและคาดคะเนว่าปัญหานั้นๆเกิดจาก
สาเหตุอะไร ได้บ้าง

ขั้นตอนที่ 2 การเก็บรวบรวมข้อมูลการรวบรวมข้อมูลหรือข้อเท็จจริง
ของบุคคลที่เราทำการศึกษาเพื่อช่วยให้ผู้ศึกษามองเห็นภาพของบุคคลใน
ทุกด้าน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการวิเคราะห์ตีความพฤติกรรมที่เป็นปัญหา

ขั้นตอนที่ 3 การสังเคราะห์ข้อมูลการนำข้อมูลที่ได้มาเรียบเรียงเป็น
หมวดหมู่เพื่อสะดวกในการตีความหมายข้อมูล และช่วยให้ผู้ศึกษามองเห็น
ภาพของบุคคลในแต่ละด้าน
ชัดเจนขึ้น

ขั้นตอนที่ 4 การวินิจฉัยการนำข้อมูลที่รวบรวมมาได้จากหลายแหล่ง
และหลายวิธีการมาพิจารณาดูว่าผลการวิเคราะห์ที่สอดคล้องกันส่วนใหญ่มี
แนวโน้มไปทางใดมากที่สุด ก็จะวินิจฉัยถึงที่มาหรือสาเหตุของพฤติกรรม
ไปในแนวนั้นโดยพิจารณาจากสมมติฐานที่ตั้งไว้เป็นหลัก

ขั้นตอนที่ 5 การช่วยเหลือ ป้องกัน ส่งเสริมการช่วยเหลือ ป้องกัน ส่ง
เสริมทำด้วยตนเองปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ

ขั้นที่ 6 การติดตามผลการติดตามผลที่เกิดขึ้นกับบุคคลหลังจากที่ได้รับ
กาช่วยเหลือ ส่งเสริม หรือพัฒนาไปแล้ว ว่ามีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
ไปในทางใด การดำเนินการให้ความช่วยเหลือส่งเสริม และพัฒนามี
ประสิทธิภาพเพียงใด

ขั้นที่ 7 การให้ข้อเสนอแนะการสรุปรายงานการศึกษาบุคคลเป็นราย
กรณี ผู้ศึกษาควรสรุปผลว่าได้มีการดำเนินการอย่างไร ไปแล้วบ้าง และให้
ข้อเสนอแนะถึงสิ่งที่คดำเนินการต่อไปในการศึกษา หรือการให้ความช่วย
เหลือ ส่งเสริม และพัฒนาผู้รับการศึกษารายนี้ต่อไป

บทที่10

การนำหลักจิตวิทยา

ไปใช้ในการพัฒนา
ศักยภาพความเป็นครู

จิตวิทยากับการเรียนการสอน

จิตวิทยาการเรียนการสอนเป็นศาสตร์อันมุ่งศึกษา
การเรียนรู้และพฤติกรรมของผู้เรียนในสถานการณ์การเรียนการสอน
พร้อมทั้งหาวิธีที่ดีที่สุดในการสอนให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างสอดคล้อง
กับพัฒนาการของผู้เรียน

แนวทางและวิธีการพัฒนาครู

การพัฒนาครูแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะคือ

1.การพัฒนาที่ยึดเอาวิทยากรหรือเนื้อหาวิชาเป็นศูนย์กลาง
เน้นความสำคัญของเนื้อหาวิชาหรือสาระของความรู้ข่าวสารและ
ข้อมูลเกี่ยวกับวิชาชีพและงานของครู

2 การพัฒนาที่ยึดเอาครูเป็นศูนย์กลาง
เน้นความสำคัญของครูผู้ร่วมกิจกรรมการพัฒนา
การตัดสินใจและทำกิจกรรมทุกอย่างมุ่งประโยชน์การพัฒนา ให้ความ
สำคัญทั้งกระบวนการและเนื้อหาความรู้

จิตวิทยาพัฒนาการ

พัฒนาการของเด็กแต่ละคน โดยเฉพาะด้านการเรียนรู้ หรือเชาวน์
ปัญญา เป็นสิ่งที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุหรือขั้นพัฒนาการของเด็กเพียงอย่างเดียว
เท่านั้น แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกหลายอย่างที่ส่งผลให้เด็กแต่ละคนมีพัฒนาการที่
แตกต่างกัน และการทำความเข้าใจในความแตกต่างนี้ ที่จะทำให้ครูผู้สอนมี
มุมมองต่อทั้งเด็กและตนเองในรูปแบบที่เปลี่ยนแปลงไป

ประการแรก เมื่อครูเข้าใจว่าเด็กแต่ละคนมีพัฒนาการที่ไม่เท่ากัน ก็จะไม่
ตัดสินตีตราว่าเด็กคนไหนเก่ง คนไหนไม่เก่ง เพราะเด็กแต่ละคนอาจจะมีช่วง
เวลาที่เข้าใจในสิ่งที่เราสอนช้าเร็วแตกต่างกันไป

ประการที่สอง ความเข้าใจในความแตกต่างทางด้านพัฒนาการของเด็กแต่
ละคนนี้ ทำให้ครูสามารถที่จะจัดการวางแผนการเรียนการสอนล่วงหน้าได้ โดย
คำนึงถึงความหลากหลายเป็นหลักไม่ว่าจะเป็นการออกแบบให้เด็กสามารถ
เรียนรู้ได้หลายวิธี การจัดการเรียนการสอนให้เด็กได้มีส่วนร่วมในการช่วย
เหลือซึ่งกันและกัน และการออกแบบระดับความยากง่ายให้แตกต่างกันไปด้วย

ประการที่สาม เมื่อมีความแตกต่างตั้งแต่ต้น การวัดผลจึงควรแตกต่าง
โดยวิธีการวัดผลตามพัฒนาการของเด็กแต่ละคน หรือการมุ่งเน้นที่ความพยายาม
และระดับการพัฒนาเชิงบุคคลเป็นหลัก ซึ่งจะทำให้เด็กๆ รู้สึกกดดันน้อยลง มี
ความภาคภูมิใจในตนเองมากขึ้น และเป็นโอกาสที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ในทางที่ดีขึ้นกับนักเรียนทุกคน

ทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรมของ
โคห์ลเบิร์ก

การนำไปประยุกต์ใช้ในด้านการเรียนการสอน



ทฤษฎี พัฒนาการทางจริยธรรมของโคห์ลเบิร์ก ทำให้ผู้
สอนรู้ว่าเด็กเล็กมีการตอบสนองข้อขัดแย้งในเรื่องจริยธรรม แตก
ต่างจากเด็กโต ซึ่งในการจัดการเรียนรู้นั้นผู้สอนควรกระตุ้นให้
เด็กได้สื่อแนวคิดนั้นๆออก มาโดยสร้างบรรยากาศที่สามารถ
กระตุ้นให้ผู้เรียนอภิปรายได้อย่างอิสระ และใช้สถานการณ์
ตัวอย่างหรือเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในห้องเรียนมา
กระตุ้น ให้ผู้เรียนตระหนักถึงการมีจริยธรรม

ทฤษฎีพัฒนาการตามวัย
ของ บรูเนอร์

การนำไปประยุกต์ใช้
ในด้านการเรียนการสอน

1. กระบวนการค้นพบการเรียนรู้ด้วยตนเอง
2. การวิเคราะห์และจัดโครงสร้างเนื้อหาสาระการเรียนรู้ให้เหมาะสม
3. การจัดหลักสูตรแบบเกลียว ช่วยให้สามารถสอนเนื้อหาหรือความคิด
รวบยอดเดียวกันแก่ผู้เรียนทุกวัยได้ โดยต้องจัดเนื้อหาความคิดรวบยอด
และวิธีสอนให้เหมาะสมกับขั้นพัฒนาการของผู้เรียน
4. ในการเรียนการสอนควรส่งเสริมให้ผู้เรียนได้คิดอย่างอิสระให้มาก
เพื่อช่วยส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียน
5. การสร้างแรงจูงใจภายในให้เกิดขึ้นกับผู้เรียน เป็นสิ่งจำเป็นใน
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้แก่ผู้เรียน
6. การจัดกระบวนการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับขั้นพัฒนาการทางสติ
ปัญญาของผู้เรียน จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี
7. การสอนความคิดรวบยอดให้แก่ผู้เรียนเป็นสิ่งจำเป็น
8. การจัดประสบการณ์ให้ผู้เรียนได้ค้นพบการเรียนรู้ด้วยตนเอง
สามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี


Click to View FlipBook Version