ผูเรียบเรียงหนังสือเรียน นางสาวสุธารี คําจีนศรี นางภคพร จิตตรีขันธ ผูเรียบเรียงคูมือครู นางสาวปณณณัท พึ่งพิง นายอติคุณ โชติรัตนโชติ บรรณาธิการคูมือครู นางสาววราภรณ ทวมดี นางสาวจินตจุฑา วีระสุนทร ผูตรวจหนังสือเรียน รศ. ดร.ฤทธิ์ วัฒนชัยยิ่งเจริญ ดร.บุญทวี เลิศปญญาพรชัย นางพัชรินทร แสนพลเมือง บรรณาธิการหนังสือเรียน ผศ. ดร.นํ้าคาง ศรีวัฒนาโรทัย นางสาววราภรณ ทวมดี ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 ตามมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัด กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 คู่มือครู ม.1 เล่ม1 Teacher Script พิมพครั้งที่ 6 สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ รหัสสินคา 2148032 วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี
1 หนวยการเรียนรูที่ สารรอบตัว ÊÒ÷Õè ÍÂÙ‹ÃͺµÑÇàÃÒ มีความแตกต่าง กันอย่างไร ตัวชี้วัด ว 2.1 ม.1/1 อธิบำยสมบัติทำงกำยภำพบำงประกำรของธำตุโลหะ อโลหะ และกึ่งโลหะ โดยใช้หลักฐำนเชิงประจักษ์ที่ได้จำกกำรสังเกตและ กำรทดสอบ และใช้สำรสนเทศที่ได้จำกแหล่งข้อมูลต่ำง ๆ รวมทั้งจัดกลุ่มธำตุเป็นโลหะ อโลหะ และกึ่งโลหะว 2.1 ม.1/2 วิเครำะห์ผลจำกกำรใช้ธำตุโลหะ อโลหะ กึ่งโลหะ และธำตุกัมมันตรังสีที่มีต่อสิ่งมีชีวิต สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม จำกข้อมูล ที่รวบรวมได้ ว 2.1 ม.1/3 ตระหนักถึงคุณค่ำของกำรใช้ธำตุโลหะ อโลหะ กึ่งโลหะ ธำตุกัมมันตรังสี โดยเสนอแนวทำงกำรใช้ธำตุอย่ำงปลอดภัย คุ้มค่ำ ว 2.1 ม.1/4 เปรียบเทียบจุดเดือด จุดหลอมเหลวของสำรบริสุทธิ์และสำรผสม โดยกำรวัดอุณหภูมิ เขียนกรำฟ แปลควำมหมำยข้อมูลจำกกรำฟ หรือสำรสนเทศว 2.1 ม.1/5 อธิบำยและเปรียบเทียบควำมหนำแน่นของสำรบริสุทธิ์และสำรผสม ว 2.1 ม.1/6 ใช้เครื่องมือเพื่อวัดมวลและปริมำตรของสำรบริสุทธิ์และสำรผสม ว 2.1 ม.1/7 อธิบำยเกี่ยวกับควำมสัมพันธ์ระหว่ำงอะตอม ธำตุและสำรประกอบ โดยใช้แบบจ�ำลองและสำรสนเทศ ว 2.1 ม.1/8 อธิบำยโครงสร้ำงอะตอมที่ประกอบด้วยโปรตอน นิวตรอน และอิเล็กตรอน โดยใช้แบบจ�ำลอง ว 2.1 ม.1/9 อธิบำยและเปรียบเทียบกำรจัดเรียงอนุภำค แรงยึดเหนี่ยวระหว่ำงอนุภำค และกำรเคลื่อนที่ของอนุภำคของสสำรชนิดเดียวกันในสถำนะ ของแข็ง ของเหลว และแก๊ส โดยใช้แบบจ�ำลอง ว 2.1 ม.1/10 อธิบำยควำมสัมพันธ์ระหว่ำงพลังงำนควำมร้อนกับกำรเปลี่ยนสถำนะของสสำร โดยใช้หลักฐำนเชิงประจักษ์และแบบจ�ำลอง สารผสม ประกอบด้วยสำรตั้งแต่ 2 ชนิด ขึ้นไปมำผสมกัน ถ้ำผสมเป็น เนื้อเดียวกัน เรียกว่ำ สำรละลำย ถ้ำผสมแล้วไม่เป็นเนื้อเดียวกัน เรียกว่ำ สำรเนื้อผสม ธาตุ เป็นสำรบริสุทธิ์ ประกอบด้วยอะตอม เพียงชนิดเดียว ซึ่งเมื่อธำตุมำกกว่ำ หนึ่งชนิดรวมกันในอัตรำส่วนแน่นอน จะท�ำให้อยู่ในรูปสำรประกอบ ขั้นนํา กระตุนความสนใจ 1. ครูแจงผลการเรียนรูใหนักเรียนทราบ 2. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบกอนเรียน 3. ครูถามคําถาม Big Question เกร็ดแนะครู ในหนวยการเรียนรูนี้ ครูควรเนนใหนักเรียนไดทําการทดลอง และครูควร ยกตัวอยางสารตางๆ ที่สามารถพบเห็นไดในชีวิตประจําวัน เพื่อชวยใหนักเรียน ไดเปรียบเทียบลักษณะและสมบัติของสารแตละประเภท แนวตอบ Big Question สารที่อยูรอบตัวเราบางชนิดมีสมบัติทาง กายภาพบางประการที่เหมือนและแตกตางกัน เชน สถานะ การนําความรอน การนําไฟฟา เปนตน แตอยางไรก็ตาม สารแตละชนิดยอมมีลักษณะ เฉพาะของสารแตละชนิดนั้นๆ เชน สภาพการ ละลาย จุดเดือด จุดหลอมเหลว ความหนาแนน ของสาร เปนตน นํา นํา สอน สรุป ประเมิน T6 โซน 1 โซน 2 ค�ำแนะน�ำกำรใช้ คู่มือครูรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.1 เล่ม 1 จัดท�าขึ้นส�าหรับให้ครูผู้สอนใช้เป็นแนวทางวางแผนการจัดการเรียน การสอน เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและการประกันคุณภาพ ผู้เรียนตามนโยบายของส�านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) โซน 2 ประกอบด้วยองค์ประกอบต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ส�าหรับครู เพื่อน�าไปประยุกต์ใช้จัดกิจกรรมการเรียนรู้ในชั้นเรียน ช่วยครูเตรียมสอน เกร็ดแนะครู ความรู้เสริมส�าหรับครู ข้อเสนอแนะ ข้อสังเกต แนวทางการจัด กิจกรรมและอื่น ๆ เพื่อประโยชน์ในการจัดการเรียนการสอน นักเรียนควรรู ความรู้เพิ่มเติมจากเนื้อหา ส�าหรับอธิบายเสริมเพิ่มเติมให้ กับนักเรียน แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ครูผู้สอน โดยแนะน�าขั้นตอนการสอน และการจัดกิจกรรมอย่างละเอียด เพื่อให้นักเรียนบรรลุผลสัมฤทธิ์ตามตัวชี้วัด ช่วยครูจัด กำรเรียนกำรสอน น�ำ สอน สรุป ประเมิน โซน 1 คําแนะนําการใช ชวยสรางความเขาใจ เพื่อใชคูมือครูได อยางถูกตองและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพิ่ม เพิ่ม เพิ่ม เพิ่ม เพิ่ม เพิ่ม เพิ่ม เพิ่ม เพิ่ม คําอธิบายรายวิชา แสดงขอบขายเนื้อหาสาระของรายวิชา ซึ่งครอบคลุมมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดตามที่หลักสูตร กําหนด Pedagogy ชวยสรางความเขาใจในกระบวนการออกแบบ การจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ไดอยางมี ประสิทธิภาพ Teacher Guide Overview ชวยใหเห็นภาพรวมของการ จัดการเรียนการสอนทั้งหมดของรายวิชากอนที่จะลงมือ สอนจริง Chapter Overview ชวยสรางความเขาใจและเห็นภาพรวม ในการออกแบบแผนการจัดการเรียนรูแตละหนวย Chapter Concept Overview ชวยใหเห็นภาพรวม Concept และเนื้อหาสําคัญของหนวยการเรียนรู ขอสอบเนนการคิด/ขอสอบแนว O-NET เพื่อเตรียม ความพรอมของผูเรียนสูการสอบในระดับตาง ๆ กิจกรรม 21st Century Skills กิจกรรมที่จะชวยพัฒนา ผูเรียนใหมีทักษะที่จําเปนสําหรับการเรียนรูและการดํารงชีวิต ในโลกแหงศตวรรษที่ 21 STEM Project แนวทางการจัดการเรียนการสอนใหผูเรียน เกิดการเรียนรูและสามารถบูรณาการความรูทางวิทยาศาสตร เทคโนโลยี กระบวนการทางวิศวกรรม และคณิตศาสตรไปใช เชื่อมโยงและแกปญหาในชีวิตจริง โซน 3
1 สารและการจําแนกสาร สิ่งที่อยู่รอบตัวเรำจัดว่ำเป็น สสาร (matter) ที่มีมวล มีตัวตน ต้องกำร ที่อยู่ สัมผัสได้ ซึ่งสำมำรถมองเห็นด้วยตำเปล่ำได้ หรืออำจมองไม่เห็นด้วย ตำเปล่ำ สสำรที่ศึกษำจนทรำบสมบัติและองค์ประกอบ เรียกว่ำ สาร (substance) Prior Knowledge สมบัติใดบ้ำงที่ใช้ จ�ำแนกประเภท ของสำร 1.1 สมบัติของสาร สำรแต่ละชนิดมีลักษณะเฉพำะตัวที่แตกต่ำงกัน เช่น เกลือเป็นของแข็ง สีขำวที่อุณหภูมิห้อง น�้ำแข็งเป็นของแข็ง ใส ไม่มีสี เป็นต้น สำรบำงชนิดเป็น ของเหลว เช่น น�้ำ ปรอท เป็นต้น และสำรบำงชนิดเป็นแก๊สลอยปะปน ในอำกำศ เช่น ไอน�้ำ แก๊สคำร์บอนไดออกไซด์ เป็นต้น เมื่อสำรเหล่ำนี้ได้รับ ควำมร้อนจะท�ำให้สมบัติบำงประกำรเปลี่ยนแปลงไป โดยสมบัติของสำร แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ดังนี้ ภำพที่ 1.1 สำรแต่ละชนิดมีลักษณะเฉพำะ ที่แตกต่ำงกัน ภำพที่ 1.2 เพชรมีควำมแข็งมำกที่สุด ภำพที่ 1.5 กำรเผำไหม้ ภำพที่ 1.3 น�้ำแข็งมีควำมหนำแน่นน้อยกว่ำ น�้ำทะเล ภำพที่ 1.7 น�้ำมะนำวมีฤทธิ์เป็นกรด ภำพที่ 1.4 เงินน�ำไฟฟ้ำได้ดีที่สุด ภำพที่ 1.6 กำรเกิดสนิมเหล็ก 2. สมบัติทางเคมี เป็นสมบัติที่เกิดจำกกำรท�ำปฏิกิริยำเคมี ซึ่ง ท�ำให้เกิดสำรใหม่ที่มีองค์ประกอบภำยในและภำยนอกเปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้สำรใหม่ที่เกิดขึ้นมีสมบัติแตกต่ำงไปจำกสำรเดิม เช่น กำรเกิดสนิม กำรเผำไหม้ ควำมเป็นกรด-เบสของสำร เป็นต้น ของแข็ง แก๊ส ของเหลว 1. สมบัติทางกายภาพ เป็นสมบัติที่สำมำรถสังเกตได้จำกภำยนอก ของสำร เช่น สี กลิ่น รส กำรละลำย ควำมแข็ง ลักษณะผลึก สถำนะ กำรน�ำ ควำมร้อน กำรน�ำไฟฟ้ำ จุดเดือด จุดหลอมเหลว ควำมหนำแน่น เป็นต้น 3 สาร รอบตัว กิจกรรม สรางเสริม กิจกรรม ทาทาย ขั้นสอน สํารวจคนหา 1. ครูถามคําถาม prior knowledge 2. ครูใหนักเรียนแบงกลุมออกเปน 4 กลุม ศึกษา เรื่อง สมบัติของสาร ในหนังสือเรียน วิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 3. ครูนําบีกเกอร A ที่มีนํ้าสมสายชู และบีกเกอร B ที่มีนํ้า มาใหนักเรียนศึกษา และตั้งคําถาม ตอไปนี้ • สารในบีกเกอร A และ B เปนสารชนิดเดียวกัน หรือไม (แนวตอบ พิจารณาตามคําตอบของนักเรียน โดยใหอยูในดุลยพินิจของครูผูสอน) 4. ครูใหนักเรียนตรวจสอบสารในบีกเกอร A และ B แลวถามนักเรียน ดังนี้ • สาร A และ B มีลักษณะอยางไร (แนวตอบ สาร A และ B เปนของเหลว ไมมีสี แตสาร A มีกลิ่นฉุน เมื่อทดสอบดวย กระดาษลิตมัสพบวา สาร A มีฤทธิ์เปนกรด สวนสาร B ไมเปลี่ยนสีกระดาษลิตมัส) • ลักษณะใดบางเปนสมบัติทางกายภาพ (แนวตอบ สถานะของสาร สี กลิ่น เปนตน) • ลักษณะใดเปนสมบัติทางเคมี (แนวตอบ ความเปนกรด-เบส เปนตน) 5. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปราย เรื่อง สมบัติ ของสาร จากตัวอยางสารในบีกเกอร A และ B ใหนักเรียนเปรียบเทียบสมบัติทางกายภาพและสมบัติทางเคมี ของสาร โดยสรุปออกมาในรูปแบบของตารางลงในสมุดบันทึก ใหนักเรียนศึกษาคนควาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง ทางเคมีที่พบในชีวิตประจําวัน โดยใหเขียนสมการเคมีแสดงการ เกิดปฏิกิริยาพรอมบอกวาสารตั้งตนและผลิตภัณฑคืออะไร แลว ทํารายงานสงครูผูสอน นักเรียนควรรู 1 การนําความรอน ปรากฏการณที่พลังงานความรอนถายเทภายในวัตถุ หนึ่งๆ หรือระหวางวัตถุสองชิ้นที่สัมผัสกัน โดยมีทิศทางของการเคลื่อนที่ของ พลังงานความรอนจากบริเวณที่มีอุณหภูมิสูงกวาไปยังบริเวณที่มีอุณหภูมิตํ่ากวา โดยที่ตัวกลางไมมีการเคลื่อนที่ 2 จุดเดือด อุณหภูมิของของเหลว ซึ่งมีความดันไอเทากับความดันของ บรรยากาศรอบๆ และของเหลวกําลังเปลี่ยนสถานะกลายเปนไอ เชน นํ้าบริสุทธิ์ มีจุดเดือด 100 องศาเซลเซียส ที่ความดันมาตรฐาน 1 บรรยากาศ 3 จุดหลอมเหลว อุณหภูมิที่ทําใหของแข็งเปลี่ยนสถานะเปนของเหลว โดย นํ้าบริสุทธิ์มีจุดหลอมเหลว 0 องศาเซลเซียส ที่ความดันมาตรฐาน 1 บรรยากาศ 4 ความหนาแนน การวัดมวลตอหนึ่งหนวยปริมาตร มีหนวยเปนกิโลกรัม ตอลูกบาศกเมตร (kg/m3 ) แนวตอบ prior knowledge การละลาย ความแข็ง สถานะ ลักษณะผลึก จุดเดือด จุดหลอมเหลว ความเปนกรด-เบส ควำมร้อน กำรน�ำไฟฟ้ำ จุดเดือด จุดหลอมเหลว ควำมหนำแน่น เป็นต้น 1 2 3 4 ของสำร เช่น สี กลิ่น รส กำรละลำย ควำมแข็ง ลักษณะผลึก สถำนะ กำรน�ำ นํา สอน สรุป ประเมิน T7 โซน 1 โซน 2 ประกอบด้วยแนวทางส�าหรับการจัดกิจกรรมและ เสนอแนะแนวข้อสอบ เพื่ออ�านวยความสะดวกให้แก่ครูผู้สอน โซน 3 ช่วยครูเตรียมนักเรียน แนวทางการวัดและประเมินผล เสนอแนะแนวทางการบรรลุผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ นักเรียนตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดที่หลักสูตรก�าหนด หองปฏิบัติการ (วิทยาศาสตร) ค�าอธิบายหรือข้อเสนอแนะสิ่งที่ควรระมัดระวัง หรือข้อควรปฏิบัติ ตามเนื้อหาในบทเรียน สื่อ Digital แนะน�าแหล่งเรียนรู้และแหล่งค้นคว้าจากสื่อ Digital ต่าง ๆ โซน 3 ช่วยครูเตรียมนักเรียน กิจกรรม 21st Century Skills กิจกรรมที่ให้นักเรียนได้ประยุกต์ใช้ความรู้สร้างชิ้นงาน หรือท�ากิจกรรมรวบยอดเพื่อให้เกิดทักษะที่จ�าเป็นใน ศตวรรษที่ 21 ขอสอบเนนการคิด ตัวอย่างข้อสอบที่มุ่งเน้นการคิด มีทั้งปรนัย-อัตนัย พร้อม เฉลยอย่างละเอียด ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET ตัวอย่างข้อสอบที่มุ่งเน้นการคิดวิเคราะห์ และสอดคล้องกับ แนวข้อสอบ O-NET มีทั้งปรนัย-อัตนัย พร้อมเฉลยอย่าง ละเอียด กิจกรรมทาทาย เสนอแนะแนวทางการจัดกิจกรรม เพื่อต่อยอดส�าหรับนักเรียน ที่เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว และต้องการท้าทายความสามารถใน ระดับที่สูงขึ้น กิจกรรมสรางเสริม เสนอแนะแนวทางการจัดกิจกรรมซ่อมเสริมส�าหรับนักเรียนที่ ควรได้รับการพัฒนาการเรียนรู้ โดยใช้หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ม.1 เลม 1 และแบบฝกหัดรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร และเทคโนโลยี ม.1 เลม 1 ของบริษัท อักษรเจริญทัศน์ อจท. จ�ากัด เป็นสื่อหลัก (Core Materials) ประกอบการสอนและ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อให้สอดคล้องตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดของกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ซึ่งคู่มือครู มีองค์ประกอบที่ง่ายต่อการใช้งาน ดังนี้ โซน 3
ค�ำอธิบายรายวิชา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เวลาเรียน120 ชั่วโมง/ปี ศึกษาเกี่ยวกับสารรอบตัว สมบัติของสาร การจ�ำแนกสารด้วยสถานะ เนื้อสาร และขนาดอนุภาคของสาร การเปลี่ยนแปลงของสารสารบริสุทธิ์และสารผสมสมบัติของสารบริสุทธิ์และสารผสมการใช้ความรู้ทางเคมีให้เป็นประโยชน์ ต่อการเลือกใช้สารเคมีในชีวิตประจ�ำวันได้อย่างเหมาะสมและปลอดภัย การศึกษาชีววิทยาโดยอาศัยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ศึกษาประเภท โครงสร้าง และหน้าที่ของส่วนประกอบภายในเซลล์สิ่งมีชีวิตด้วยกล้องจุลทรรศน์ศึกษากระบวนการล�ำเลียง สารเข้าและออกจากเซลล์ด้วยวิธีการแพร่และออสโมซิส ศึกษาการด�ำรงชีวิตของพืช กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง การล�ำเลียงสารในพืช การเจริญเติบโตของพืช การสืบพันธุ์ของพืช และเทคโนโลยีชีวภาพของพืช ศึกษาเกี่ยวกับอุณหภูมิ และการวัด ผลของความร้อนที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงของสาร สมดุลความร้อน การถ่ายโอนความร้อน องค์ประกอบของ บรรยากาศ การแบ่งชั้นบรรยากาศ ผลของรังสีจากดวงอาทิตย์ต่อบรรยากาศ องค์ประกอบของบรรยากาศ ได้แก่ อุณหภูมิ อากาศความดันอากาศความชื้นอากาศลมเมฆและฝน พายุฟ้าคะนอง พายุหมุนเขตร้อนมรสุมการพยากรณ์อากาศและ การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลก โดยอาศัยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์กระบวนการสืบเสาะหาความรู้การสืบค้นข้อมูล การสังเกต การวิเคราะห์ การทดลอง การอภิปราย การอธิบาย และสรุป เพื่อให้เกิดความรู้ความคิด ความเข้าใจ มีความสามารถในการตัดสินใจ สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และน�ำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจ�ำวัน มีจิตวิทยาศาสตร์มีคุณธรรม และจริยธรรม ตัวชี้วัด ว1.2 ม.1/1 เปรียบเทียบรูปร่างและโครงสร้างของเซลล์พืชและสัตว์ รวมทั้งบรรยายหน้าที่ของผนังเซลล์ เยื่อหุ้มเซลล์ ไซโทพลาซึม นิวเคลียส แวคิวโอล ไมโทคอนเดรีย และคลอโรพลาสต์ ว1.2 ม.1/2 ใช้กล้องจุลทรรศน์ใช้แสงศึกษาเซลล์และโครงสร้างต่างๆ ภายในเซลล์ ว1.2 ม.1/3 อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างรูปร่างกับการท�ำหน้าที่ของเซลล์ ว1.2 ม.1/4 อธิบายการจัดระบบของสิ่งมีชีวิต โดยเริ่มจากเซลล์เนื้อเยื่อ อวัยวะ ระบบอวัยวะจนเป็นสิ่งมีชีวิต ว1.2 ม.1/5 อธิบายกระบวนการแพร่และออสโมซิสจากหลักฐานเชิงประจักษ์และยกตัวอย่างการแพร่และออสโมซิสในชีวิตประจ�ำวัน ว1.2 ม.1/6 ระบุปัจจัยที่จ�ำเป็นในการสังเคราะห์ด้วยแสงและผลผลิตที่เกิดขึ้นจากการสังเคราะห์ด้วยแสง โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ ว1.2 ม.1/7 อธิบายความส�ำคัญของการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม ว1.2 ม.1/8 ตระหนักในคุณค่าของพืชที่มีต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม โดยการร่วมกันปลูกและดูแลรักษาต้นไม้ในโรงเรียน ว1.2 ม.1/9 บรรยายลักษณะและหน้าที่ของไซเล็มและโฟลเอ็ม ว1.2 ม.1/10 เขียนแผนภาพที่บรรยายทิศทางการล�ำเลียงสารในไซเล็มและโฟลเอ็มของพืช ว1.2 ม.1/11 อธิบายการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศและไม่อาศัยเพศของพืชดอก ว1.2 ม.1/12 อธิบายลักษณะโครงสร้างของดอกที่มีส่วนท�ำให้เกิดการถ่ายเรณูรวมทั้งบรรยายการปฏิสนธิของพืชดอกการเกิดผลและเมล็ด การกระจายเมล็ด และการงอกของเมล็ด ว1.2 ม.1/13 ตระหนักถึงความส�ำคัญของสัตว์ที่ช่วยในการถ่ายเรณูของพืชดอก โดยการไม่ท�ำลายชีวิตของสัตว์ที่ช่วยในการถ่ายเรณู ว1.2 ม.1/14 อธิบายความส�ำคัญของธาตุอาหารบางชนิดที่มีผลต่อการเจริญเติบโตและการด�ำรงชีวิตของพืช ว1.2 ม.1/15 เลือกใช้ปุ๋ยที่มีธาตุอาหารเหมาะสมกับพืชในสถานการณ์ที่ก�ำหนด ว1.2 ม.1/16 เลือกวิธีการขยายพันธุ์พืชให้เหมาะสมกับความต้องการของมนุษย์โดยใช้ความรู้เกี่ยวกับการสืบพันธุ์ของพืช ว1.2 ม.1/17 อธิบายความส�ำคัญของเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชในการใช้ประโยชน์ด้านต่างๆ ว1.2 ม.1/18 ตระหนักถึงประโยชน์ของการขยายพันธุ์พืช โดยการน�ำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจ�ำวัน
ว2.1 ม.1/1 อธิบายสมบัติทางกายภาพบางประการของธาตุโลหะ อโลหะ และกึ่งโลหะ โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ที่ได้จากการสังเกต และการทดสอบ และใช้สารสนเทศที่ได้จากแหล่งข้อมูลต่างๆ รวมทั้งจัดกลุ่มธาตุโลหะ อโลหะ และกึ่งโลหะ ว2.1 ม.1/2 วิเคราะห์ผลจากการใช้ธาตุโลหะ อโลหะ กึ่งโลหะ และธาตุกัมมันตรังสีที่มีต่อสิ่งมีชีวิต สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม จากข้อมูลที่รวบรวมได้ ว2.1 ม.1/3 ตระหนักถึงคุณค่าของการใช้ธาตุโลหะ อโลหะ กึ่งโลหะ ธาตุกัมมันตรังสีโดยเสนอแนวทางการใช้ธาตุอย่างปลอดภัย และคุ้มค่า ว2.1 ม.1/4 เปรียบเทียบจุดเดือด จุดหลอมเหลวของสารบริสุทธิ์และสารผสม โดยการวัดอุณหภูมิเขียนกราฟ แปลความหมายข้อมูล จากกราฟหรือสารสนเทศ ว2.1 ม.1/5 อธิบายและเปรียบเทียบความหนาแน่นของสารบริสุทธิ์และสารผสม ว2.1 ม.1/6 ใช้เครื่องมือวัดมวลและปริมาตรของสารบริสุทธิ์และสารผสม ว2.1 ม.1/7 อธิบายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างอะตอม ธาตุและสารประกอบ โดยใช้แบบจ�ำลองและสารสนเทศ ว2.1 ม.1/8 อธิบายโครงสร้างอะตอมที่ประกอบด้วยโปรตอน นิวตรอน และอิเล็กตรอน โดยใช้แบบจ�ำลอง ว2.1 ม.1/9 อธิบายและเปรียบเทียบการจัดเรียงอนุภาคแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาคและการเคลื่อนที่ของอนุภาคของสสารชนิดเดียวกัน ในสถานะของแข็ง ของเหลว และแก๊ส โดยใช้แบบจ�ำลอง ว2.1 ม.1/10 อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานความร้อนกับการเปลี่ยนสถานะของสสาร โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์และแบบจ�ำลอง ว2.2 ม.1/1 สร้างแบบจ�ำลองที่อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างความดันอากาศกับความสูงจากพื้นโลก ว2.3 ม.1/1 วิเคราะห์แปลความหมายข้อมูล และค�ำนวณปริมาณความร้อนที่ท�ำให้สารเปลี่ยนอุณหภูมิและเปลี่ยนสถานะ โดยใช้สมการ Q = mcΔt และ Q = mL ว2.3 ม.1/2 ใช้เทอร์มอมิเตอร์ในการวัดอุณหภูมิของสสาร ว2.3 ม.1/3 สร้างแบบจ�ำลองที่อธิบายการขยายตัว หรือหดตัวของสสารเนื่องจากได้รับหรือสูญเสียความร้อน ว2.3 ม.1/4 ตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้ของการหดและขยายตัวของสสารเนื่องจากความร้อน โดยวิเคราะห์สถานการณ์ปัญหา และเสนอแนะวิธีการน�ำความรู้มาแก้ปัญหาในชีวิตประจ�ำวัน ว2.3 ม.1/5 วิเคราะห์สถานการณ์การถ่ายโอนความร้อนและค�ำนวณปริมาณความร้อนที่ถ่ายโอนระหว่างสสารจนเกิดสมดุลความร้อน โดยใช้สมการ Qสูญเสีย = Qได้รับ ว2.3 ม.1/6 สร้างแบบจ�ำลองที่อธิบายการถ่ายโอนความร้อนโดยการน�ำความร้อน การพาความร้อน การแผ่รังสีความร้อน ว2.3 ม.1/7 ออกแบบ เลือกใช้และสร้างอุปกรณ์เพื่อแก้ปัญหาในชีวิตประจ�ำวันโดยใช้ความรู้เกี่ยวกับการถ่ายโอนความร้อน ว3.2 ม.1/1 สร้างแบบจ�ำลองที่อธิบายการแบ่งชั้นบรรยากาศ และเปรียบเทียบประโยชน์ของบรรยากาศแต่ละชั้น ว3.2 ม.1/2 อธิบายปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของลมฟ้าอากาศจากข้อมูลที่รวบรวมได้ ว3.2 ม.1/3 เปรียบเทียบกระบวนการเกิดพายุฝนฟ้าคะนองและพายุหมุนเขตร้อนและผลที่มีต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมรวมทั้งนำ�เสนอ แนวทางการปฏิบัติตนให้เหมาะสมและปลอดภัย ว3.2 ม.1/4 อธิบายการพยากรณ์อากาศ และพยากรณ์อากาศอย่างง่ายจากข้อมูลที่รวบรวมได้ ว3.2 ม.1/5 ตระหนักถึงคุณค่าของการพยากรณ์อากาศโดยน�ำเสนอแนวทางการปฏิบัติตนและการใช้ประโยชน์จากค�ำพยากรณ์อากาศ ว3.2 ม.1/6 อธิบายสถานการณ์และผลกระทบการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลกจากข้อมูลที่รวบรวมได้ ว3.2 ม.1/7 ตระหนักถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลกโดยน�ำเสนอแนวทางการปฏิบัติตนภายใต้การเปลี่ยนแปลง ภูมิอากาศโลก รวม 43 ตัวชี้วัด
Pedagogy ด้วยจุดประสงค์ของการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ เพื่อช่วย ให้ผู้เรียนได้พัฒนาวิธีคิด ทั้งความคิดเป็นเหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์ วิจารณ์ มีทักษะส�าคัญในการค้นคว้าหาความรู้ และมี ความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ผู้จัดท�าจึงได้เลือกใช้ รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es Instructional Model) ซึ่งเป็นขั้นตอนการเรียนรู้ที่มุ ่งเน้นให้ผู้เรียนได้มีโอกาสสร้าง องค์ความรู้ด้วยตนเองผ่านกระบวนการคิดและการลงมือท�า โดยใช้ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือส�าคัญเพื่อการพัฒนา ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และทักษะการเรียนรู้แห ่ง ศตวรรษที่ 21 รูปแบบกำรสอนแบบสืบเสำะหำควำมรู้(5Es Instructional Model) วิธีสอน (Teaching Method) ผู้จัดท�าเลือกใช้วิธีสอนที่หลากหลาย เช่น การทดลอง การสาธิต การอภิปรายกลุ่มย่อย เป็นต้น เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es Instructional Model) ให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งจะเน้นใช้วิธีสอน โดยใช้การทดลองมากเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นวิธีสอนที่มุ ่งพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดองค์ความรู้จากประสบการณ์ตรงโดย การคิดและการลงมือท�าด้วยตนเอง อันจะช่วยให้ผู้เรียนมีความรู้และเกิดทักษะทางกระบวนการวิทยาศาสตร์ที่คงทน เทคนิคกำรสอน (Teaching Technique) ผู้จัดท�าเลือกใช้เทคนิคการสอนที่หลากหลายและเหมาะสมกับเรื่องที่เรียน เพื่อส่งเสริมวิธีสอนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การใช้ค�าถาม การเล่นเกม การยกตัวอย่าง เป็นต้น ซึ่งเทคนิคการสอนต่าง ๆ จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมี ความสุขในขณะที่เรียนและสามารถปฏิบัติกิจกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งได้พัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 21 อีกด้วย e valuation engagement exploratio n ขยายความเขาใจ อธิบายความรู 5Es Elaboration Explanation E valuation Engagement Exploratio n ต ร ว จสอบผล กระตุนความสนใจ สํารวจและค น ห า ขยายความเขาใจ อธิบายความรู 1 2 4 3 5 คู่มือครูรายวิชาพื้นฐาน วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี ม.1 เล่ม 1 รวมถึงสื่อการเรียนรู้รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 ผู้จัดท�าได้ออกแบบการสอน (Instructional Design) อันเป็นวิธีการจัดการเรียนรู้และ เทคนิคการสอนที่เปยมด้วยประสิทธิภาพและมีความหลากหลายให้กับผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนสามารถบรรลุผลสัมฤทธิ์ ตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด รวมถึงสมรรถนะและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียนที่หลักสูตรก�าหนดไว้ โดยครูสามารถน�าไปใช้จัดการเรียนรู้ในชั้นเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในรายวิชานี้ ได้น�ารูปแบบการสอนแบบสืบเสาะ หาความรู้ (5Es Instructional Model) มาใช้ในการออกแบบการสอน ดังนี้
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.1 เล่ม 1 หน่วย การเรียนรู้ ตัวชี้วัด ทักษะที่ได้ เวลาที่ใช้ การประเมิน สื่อที่ใช้ 1 สารรอบตัว 1. อธิบายสมบัติทางกายภาพบางประการ ของธาตุโลหะ อโลหะ และกึ่งโลหะ โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ที่ได้จาก การสังเกตและการทดสอบ และใช้ สารสนเทศที่ได้จากแหล่งข้อมูลต่างๆ รวมทั้งจัดกลุ่มธาตุโลหะ อโลหะ และ กึ่งโลหะ (ว 2.1 ม.1/1) 2. วิเคราะห์ผลจากการใช้ธาตุโลหะ อโลหะ กึ่งโลหะ และธาตุกัมมันตรังสี ที่มีต่อสิ่งมีชีวิต สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม จากข้อมูลที่รวบรวมได้ (ว 2.1 ม.1/2) 3. ตระหนักถึงคุณค่าของการใช้ธาตุ โลหะ อโลหะ กึ่งโลหะ ธาตุกัมมันตรังสี โดยเสนอแนวทางการใช้ธาตุอย่าง ปลอดภัยและคุ้มค่า (ว 2.1 ม.1/3) 4. เปรียบเทียบจุดเดือด จุดหลอมเหลว ของสารบริสุทธิ์และสารผสม โดยการ วัดอุณหภูมิเขียนกราฟ แปลความ หมายข้อมูลจากกราฟหรือสารสนเทศ (ว 2.1 ม.1/4) 5. อธิบายและเปรียบเทียบความหนาแน่น ของสารบริสุทธิ์และสารผสม (ว 2.1 ม.1/5) 6. ใช้เครื่องมือวัดมวลและปริมาตรของ สารบริสุทธิ์และสารผสม (ว 2.1 ม.1/6) 7. อธิบายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่าง อะตอม ธาตุและสารประกอบ โดยใช้ แบบจ�ำลองและสารสนเทศ (ว 2.1 ม.1/7) 8. อธิบายโครงสร้างอะตอมที่ประกอบ ด้วยโปรตอน นิวตรอน และอิเล็กตรอน โดยใช้แบบจ�ำลอง (ว 2.1 ม.1/8) 9. อธิบายและเปรียบเทียบการจัดเรียง อนุภาค แรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค และการเคลื่อนที่ของอนุภาคของสสาร ชนิดเดียวกันในสถานะของแข็ง ของเหลว และแก๊ส โดยใช้แบบจ�ำลอง (ว 2.1 ม.1/9) 10. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างพลังงาน ความร้อนกับการเปลี่ยนสถานะของ สสาร โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์และ แบบจ�ำลอง (ว 2.1 ม.1/10) - ทักษะการสังเกต - ทักษะการจัดกลุ่ม - ทักษะการเปรียบเทียบ - ทักษะการจำแนกประเภท - ทักษะการสำรวจ - ทักษะการเชื่อมโยง - ทักษะการระบุ - ทักษะการสำรวจค้นหา - ทักษะการสรุปย่อ - ทักษะการนำความรู้ไปใช้ - ทักษะการรวบรวมข้อมูล - ทักษะการให้เหตุผล 26 ชั่วโมง - ตรวจแบบทดสอบ ก่อนเรียน - ตรวจใบงาน - ตรวจแบบฝึกหัด - สังเกตพฤติกรรม การทำงานรายบุคคล - สังเกตพฤติกรรม การทำงานรายกลุ่ม - ประเมินชิ้นงาน - ประเมินการปฏิบัติการ - ประเมินการนำเสนอ ผลงาน - ประเมินคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - ตรวจแบบทดสอบ หลังเรียน - แบบทดสอบก่อนเรียน - หนังสือเรียน วิทยาศาสตร์ม.1 เล่ม1 - แบบฝึกหัด วิทยาศาสตร์ม.1 เล่ม1 - ใบงาน เรื่อง การจำแนกสาร - ใบงาน เรื่อง สารรอบตัว - ใบงาน เรื่อง ความร้อนกับ การเปลี่ยนสถานะ ของสาร - ใบงาน เรื่อง ธาตุกัมมันตรังสี - ใบงาน เรื่อง สารประกอบ - ใบงาน เรื่อง สารผสม - แบบทดสอบหลังเรียน 2 หน่วยของ สิ่งมีชีวิต 1. เปรียบเทียบรูปร่างและโครงสร้างของ เซลล์พืชและสัตว์รวมทั้งบรรยายหน้าที่ ของผนังเซลล์เยื่อหุ้มเซลล์ไซโทพลาซึม นิวเคลียส แวคิวโอล ไมโทคอนเดรีย และคลอโรพลาสต์(ว 1.2 ม.1/1) 2. ใช้กล้องจุลทรรศน์ใช้แสงศึกษาเซลล์ และโครงสร้างต่าง ๆ ภายในเซลล์ (ว 1.2 ม.1/2) - ทักษะการสังเกต - ทักษะการระบุ - ทักษะการเปรียบเทียบ - ทักษะการจำแนก ประเภท - ทักษะการสำรวจ - ทักษะการรวบรวมข้อมูล - ทักษะการเชื่อมโยง 12 ชั่วโมง - ตรวจแบบทดสอบ ก่อนเรียน - ตรวจใบงาน - ตรวจแบบฝึกหัด - สังเกตพฤติกรรม รายบุคคล - สังเกตพฤติกรรม รายกลุ่ม - ประเมินชิ้นงาน - แบบทดสอบก่อนเรียน - หนังสือเรียน วิทยาศาสตร์ม.1 เล่ม1 - แบบฝึกหัด วิทยาศาสตร์ม.1 เล่ม1 - ใบงาน เรื่อง เซลล์ของสิ่งมีชีวิต - แผ่นพับ เรื่อง เซลล์ พืชและเซลล์สัตว์ Teacher Guide Overview
หน่วย การเรียนรู้ ตัวชี้วัด ทักษะที่ได้ เวลาที่ใช้ การประเมิน สื่อที่ใช้ 3. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างรูปร่างกับ การท�ำหน้าที่ของเซลล์(ว 1.2 ม.1/3) 4. อธิบายการจัดระบบของสิ่งมีชีวิตโดยเริ่ม จากเซลล์เนื้อเยื่อ อวัยวะ ระบบอวัยวะ จนเป็นสิ่งมีชีวิต (ว 1.2 ม.1/4) 5. อธิบายกระบวนการแพร่และออสโมซิส จากหลักฐานเชิงประจักษ์และยกตัวอย่าง การแพร่และออสโมซิสในชีวิตประจ�ำวัน (ว 1.2 ม.1/5) - ประเมินการปฏิบัติการ - ประเมินการนำเสนอ ผลงาน - ประเมินคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - ตรวจแบบทดสอบ หลังเรียน - รายงานเรื่อง การแพร่ และการออสโมซิส - แบบทดสอบหลังเรียน 3 การดำารงชีวิต ของพืช 1. ระบุปัจจัยที่จ�ำเป็นในการสังเคราะห์ ด้วยแสงและผลผลิตที่เกิดขึ้นจากการ สังเคราะห์ด้วยแสง โดยใช้หลักฐานเชิง ประจักษ์(ว 1.2 ม.1/6) 2. อธิบายความส�ำคัญของการสังเคราะห์ ด้วยแสงของพืชต่อสิ่งมีชีวิตและ สิ่งแวดล้อม (ว 1.2 ม.1/7) 3. ตระหนักในคุณค ่าของพืชที่มีต ่อสิ่งมี ชีวิตและสิ่งแวดล้อม โดยการร่วมกัน ปลูกและดูแลรักษาต้นไม้ในโรงเรียนและ ชุมชน (ว 1.2 ม.1/8) 4. บรรยายลักษณะและหน้าที่ของไซเล็ม และโฟลเอ็ม (ว 1.2 ม.1/9) 5. เขียนแผนภาพที่บรรยายทิศทางการ ล�ำเลียงสารในไซเล็มและโฟลเอ็ม ของพืช (ว 1.2 ม.1/10) 6. อธิบายการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศและ ไม่อาศัยเพศของพืชดอก (ว 1.2 ม.1/11) 7. อธิบายลักษณะโครงสร้างของดอก ที่มีส่วนท�ำให้เกิดการถ่ายเรณูรวมทั้ง บรรยายการปฏิสนธิของพืชดอก การ เกิดผลและเมล็ด การกระจายเมล็ด และการงอกของเมล็ด (ว 1.2 ม.1/12) 8. ตระหนักถึงความส�ำคัญของสัตว์ที่ช่วย ในการถ ่ายเรณูของพืชดอก โดยการ ไม ่ท�ำลายชีวิตของสัตว์ที่ช ่วยในการ ถ่ายเรณู(ว 1.2 ม.1/13) 9. อธิบายความส�ำคัญของธาตุอาหาร บางชนิดที่มีผลต ่อการเจริญเติบโต และการด�ำรงชีวิตของพืช(ว1.2ม.1/14) 10. เลือกใช้ปุ๋ยที่มีธาตุอาหารเหมาะสมกับพืช ในสถานการณ์ที่ก�ำหนด (ว 1.2ม.1/15) 11. เลือกวิธีการขยายพันธุ์พืชให้เหมาะสม กับความต้องการของมนุษย์ โดยใช้ ความรู้เกี่ยวกับการสืบพันธุ์ของพืช (ว 1.2 ม.1/16) 12. อธิบายความส�ำคัญของเทคโนโลยี การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชในการใช้ ประโยชน์ด้านต่างๆ (ว 1.2 ม.1/17) 13. ตระหนักถึงประโยชน์ของการขยาย พันธุ์พืช โดยการน�ำความรู้ไปใช้ในชีวิต ประจ�ำวัน (ว 1.2 ม.1/18) - ทักษะการสังเกต - ทักษะการจัดกลุ่ม - ทักษะการเปรียบเทียบ - ทักษะการจำแนกประเภท- ทักษะการเรียงลำดับ - ทักษะการเชื่อมโยง - ทักษะการระบุ - ทักษะการสำรวจค้นหา - ทักษะการสรุปย่อ- ทักษะการนำความรู้ ไปใช้ - ทักษะการรวบรวมข้อมูล - ทักษะการให้เหตุผล - ทักษะการสำรวจ - ทักษะการสำรวจค้นหา 22 ชั่วโมง - ตรวจแบบทดสอบ ก่อนเรียน - ตรวจใบงาน - ตรวจแบบฝึกหัด - สังเกตพฤติกรรม รายบุคคล - สังเกตพฤติกรรม รายกลุ่ม - ประเมินชิ้นงาน - ประเมินการออกแบบ การปฏิบัติการ - ประเมินการปฏิบัติการ - ประเมินการนำเสนอ ผลงาน - ประเมินคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - ตรวจแบบทดสอบ หลังเรียน - แบบทดสอบก่อนเรียน - หนังสือเรียน วิทยาศาสตร์ม.1 เล่ม1 - แบบฝึกหัด วิทยาศาสตร์ม.1 เล่ม1 - ใบงาน เรื่อง การสังเคราะห์ด้วย แสงของพืช - ใบงาน เรื่อง การลำเลียงน้ำและ แร่ธาตุของพืช - ใบงาน เรื่อง การเจริญเติบโต ของพืช - แบบทดสอบหลังเรียน
Chapter Title Chapter Overview Chapter Concept Overview Teacher Script หน่วยการเรียนรูที่ 1 สำรรอบตัว T2 T4 T6 • สารและการจําแนกสาร • การเปลี่ยนแปลงของสาร • สารบริสุทธิ์และสารผสม ท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 1 T7 - T10 T11 - T13 T14 - T28 T29 - T31 หน่วยการเรียนรูที่ 2 หน่วยของสิ่งมีชีวิต T32 T33 T34 • เซลล์ของสิ่งมีชีวิต • การลําเลียงสารเข้าและออกจากเซลล์ ท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 2 T35 - T44 T45 - T49 T50 - T51 หน่วยการเรียนรูที่ 3 กำรด�ำรงชีวิตของพืช T52 T54 T56 • การสังเคราะห์ด้วยแสง • การลําเลียงสารในพืช • การเจริญเติบโตของพืช • การสืบพันธุ์ของพืช • เทคโนโลยีชีวภาพของพืช ท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 3 T57 - T62 T63 - T67 T68 - T71 T72 - T79 T80 - T82 T83 - T85 STEM Project T86 - T87 บรรณำนุกรม T88 สำรบัญ
แผนการจัด การเรียนรู้ สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้ คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ แผนฯ ที่ 1 สารและ การจ�ำแนกสาร 4 ชั่วโมง - แบบทดสอบก่อนเรียน - หนังสือเรียน วิทยาศาสตร์ม.1 เล่ม1 - แบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ ม.1 เล่ม 1 - ใบงาน เรื่อง การจ�ำแนกสาร - ใบงานเรื่องสารรอบตัว - PowerPoint ประกอบการสอน 1. อธิบายการจัดเรียง อนุภาค แรงยึดเหนี่ยว ระหว่างอนุภาค และ การเคลื่อนที่ของอนุภาค ของสารชนิดเดียวกันใน สถานะต่างๆ ได้(K) 2. เปรียบเทียบการจัดเรียง อนุภาค แรงยึดเหนี่ยว ระหว่างอนุภาค และการ เคลื่อนที่ของอนุภาคของ สารชนิดเดียวกันใน สถานะต่างๆ ได้(P) 3. รับผิดชอบต่อหน้าที่และ งานที่ได้รับมอบหมาย (A) แบบสืบเสาะ หาความรู้ (5Es Instructional Model) - ตรวจแบบทดสอบ ก่อนเรียน - ตรวจใบงาน เรื่อง การจ�ำแนกสาร - ตรวจใบงาน เรื่อง สารรอบตัว - ตรวจแบบฝึกหัด - สังเกตพฤติกรรม การน�ำเสนอ - สังเกตพฤติกรรม การท�ำงานรายบุคคล - สังเกตพฤติกรรม การท�ำงานรายกลุ่ม - สังเกตคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - ทักษะการสังเกต - ทักษะการจัดกลุ่ม - ทักษะการ เปรียบเทียบ - ทักษะการจ�ำแนก ประเภท - ทักษะการส�ำรวจ - มีวินัย - ใฝ่เรียนรู้ - มุ่งมั่นใน การท�ำงาน แผนฯ ที่ 2 การเปลี่ยนแปลง ของสาร 4 ชั่วโมง - หนังสือเรียน วิทยาศาสตร์ม.1 เล่ม1 - แบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ ม.1 เล่ม 1 - ใบงาน เรื่อง ความร้อน กับการเปลี่ยนสถานะ ของสาร 1. อธิบายความสัมพันธ์ ระหว่างพลังงานความ ร้อนกับการเปลี่ยนสถานะ ของสสารได้(K) 2. สามารถระบุการ เปลี่ยนแปลงสถานะของ สสารที่อยู่รอบตัวได้(P) 3. ใฝ่รู้และรับผิดชอบหน้าที่ ที่ได้รับมอบหมาย (A) แบบสืบเสาะ หาความรู้ (5Es Instructional Model) - ตรวจใบงาน เรื่อง ความร้อนกับการ เปลี่ยนสถานะของสาร - ตรวจแบบฝึกหัด - ประเมินการปฏิบัติการ - สังเกตพฤติกรรม การท�ำงานรายบุคคล - สังเกตพฤติกรรม การท�ำงานรายกลุ่ม - สังเกตคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - ทักษะการสังเกต - ทักษะการระบุ - ทักษะการเชื่อมโยง - ทักษะการจ�ำแนก ประเภท - ทักษะการน�ำ ความรู้ไปใช้ - มีวินัย - ใฝ่เรียนรู้ - มุ่งมั่นใน การท�ำงาน แผนฯ ที่ 3 สารบริสุทธิ์ 5 ชั่วโมง - หนังสือเรียน วิทยาศาสตร์ม.1 เล่ม1 - แบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ ม.1 เล่ม 1 - อุปกรณ์การทดลอง - PowerPoint ประกอบการสอน 1. อธิบายความสัมพันธ์ ระหว่างอะตอม ธาตุและ สารประกอบ โดยใช้ แบบจ�ำลองได้(K) 2. อธิบายโครงสร้างอะตอม โดยใช้แบบจ�ำลองได้(K) 3. อธิบายสมบัติทาง กายภาพบางประการ ของธาตุโลหะ อโลหะ และกึ่งโลหะได้(K) 4. วิเคราะห์ผลจากการใช้ ธาตุโลหะ อโลหะ กึ่งโลหะ และธาตุกัมมันตรังสี ต่อสิ่งมีชีวิต สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม (P) 5. ตระหนักถึงคุณค่าของ การใช้ธาตุโลหะ อโลหะ กึ่งโลหะ ธาตุกัมมันตรังสี (A) แบบสืบเสาะ หาความรู้ (5Es Instructional Model) - ตรวจแบบฝึกหัด - สังเกตพฤติกรรม การน�ำเสนอ - สังเกตพฤติกรรม การท�ำงานรายบุคคล - สังเกตพฤติกรรม การท�ำงานรายกลุ่ม - สังเกตคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - ทักษะการสังเกต - ทักษะการระบุ - ทักษะการ เปรียบเทียบ - ทักษะการจ�ำแนก ประเภท - ทักษะการส�ำรวจ - ทักษะการส�ำรวจ ค้นหา - ทักษะการรวบรวม ข้อมูล - ทักษะการสรุปย่อ - ทักษะการน�ำ ความรู้ไปใช้ - มีวินัย - ใฝ่เรียนรู้ - มุ่งมั่นใน การท�ำงาน Chapter Overview T2
แผนการจัด การเรียนรู้ สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้ คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ แผนฯ ที่ 4 ธาตุกัมมันตรังสี 2 ชั่วโมง - หนังสือเรียน วิทยาศาสตร์ม.1 เล่ม1 - แบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ ม.1 เล่ม 1 - ใบงาน เรื่อง ธาตุกัมมันตรังสี - ดินน�้ำมัน 1. อธิบายลักษณะของ ธาตุกัมมันตรังสีได้(K) 2. วิเคราะห์ผลจากการใช้ ธาตุกัมมันตรังสีต่อสิ่งมี ชีวิต สิ่งแวดล้อมเศรษฐกิจ และสังคมได้(P) 3. ตระหนักถึงคุณค่าของการ ใช้ธาตุกัมมันตรังสีได้(P) 4. ใฝ่รู้และรับผิดชอบต่องาน ที่ได้รับมอบหมาย (A) แบบสืบเสาะ หาความรู้ (5Es Instructional Model) - ตรวจใบงาน เรื่อง ธาตุกัมมันตรังสี - ตรวจแบบฝึกหัด - สังเกตพฤติกรรม การน�ำเสนอ - สังเกตพฤติกรรม การท�ำงานรายกลุ่ม - สังเกตคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - ทักษะการสังเกต - ทักษะการระบุ - ทักษะการจัดกลุ่ม - ทักษะการ เปรียบเทียบ - ทักษะการจ�ำแนก ประเภท - ทักษะการเชื่อมโยง - ทักษะการสรุปย่อ - ทักษะการให้เหตุผล - มีวินัย - ใฝ่เรียนรู้ - มุ่งมั่นใน การท�ำงาน แผนฯ ที่ 5 สารประกอบ 2 ชั่วโมง - หนังสือเรียน วิทยาศาสตร์ม.1 เล่ม1 - แบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ ม.1 เล่ม 1 - ใบงานเรื่องสารประกอบ- แบบจ�ำลองโครงสร้าง ของสาร 1. อธิบายความสัมพันธ์ ระหว่างอะตอม ธาตุและ สารประกอบ โดยใช้ แบบจ�ำลองได้(K) 2. อธิบายโครงสร้าง สารประกอบโดยใช้ แบบจ�ำลองได้(K) 3. น�ำเสนอเกี่ยวกับสมบัติ ของสารประกอบได้(P) 4. ใฝ่รู้และรับผิดชอบต่องาน ที่ได้รับมอบหมาย (A) แบบสืบเสาะ หาความรู้ (5Es Instructional Model) - ตรวจใบงาน เรื่อง สารประกอบ - ตรวจแบบฝึกหัด - สังเกตพฤติกรรม การน�ำเสนอ - สังเกตพฤติกรรม การท�ำงานรายกลุ่ม - สังเกตคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - ทักษะการสังเกต - ทักษะการระบุ - ทักษะการ เปรียบเทียบ - ทักษะการจ�ำแนก ประเภท - ทักษะการส�ำรวจ ค้นหา - ทักษะการให้เหตุผล - ทักษะการรวบรวม ข้อมูล - มีวินัย - ใฝ่เรียนรู้ - มุ่งมั่นใน การท�ำงาน แผนฯ ที่ 6 สารผสม 4 ชั่วโมง - หนังสือเรียน วิทยาศาสตร์ม.1 เล่ม1 - แบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ ม.1 เล่ม 1 - ใบงาน เรื่อง สารผสม - อุปกรณ์การทดลอง - PowerPoint ประกอบการสอน 1. อธิบายความหนาแน่น ของสารบริสุทธิ์และ สารผสมได้(K) 2. เปรียบเทียบจุดเดือด จุดหลอมเหลวของ สารบริสุทธิ์และสารผสม ได้(P) 3. เปรียบเทียบความ หนาแน่นของสารบริสุทธิ์ และสารผสมได้(P) 4. ใช้เครื่องมือวัดมวลและ ปริมาตรของสารบริสุทธิ์ และสารผสมได้(P) 5. ใฝ่รู้และรับผิดชอบต่องาน ที่ได้รับมอบหมาย (A) แบบสืบเสาะ หาความรู้ (5Es Instructional Model) - ตรวจใบงาน เรื่อง สารผสม - ตรวจแบบฝึกหัด - ประเมินผังมโนทัศน์ เรื่อง สารบริสุทธิ์และ สารผสม - สังเกตพฤติกรรม การน�ำเสนอ - สังเกตพฤติกรรม การท�ำงานรายบุคคล - สังเกตพฤติกรรม การท�ำงานรายกลุ่ม - สังเกตคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - ทักษะการสังเกต - ทักษะการระบุ - ทักษะการ เปรียบเทียบ - ทักษะการจ�ำแนก ประเภท - มีวินัย - ใฝ่เรียนรู้ - มุ่งมั่นใน การท�ำงาน แผนฯ ที่ 7 สมบัติของ สารบริสุทธิ์และ สารผสม 5 ชั่วโมง - หนังสือเรียน วิทยาศาสตร์ม.1 เล่ม1 - แบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ ม.1 เล่ม 1 - อุปกรณ์การทดลอง 1. อธิบายความหนาแน่น ของสารบริสุทธิ์และ สารผสมได้(K) 2. เปรียบเทียบจุดเดือด จุดหลอมเหลวของสาร บริสุทธิ์และสารผสมได้ (P) 3. เปรียบเทียบความหนา แน่นของสารบริสุทธิ์และ สารผสมได้(P) 4. ใช้เครื่องมือวัดมวลและ ปริมาตรของสารบริสุทธิ์ และสารผสมได้(P) 5. ใฝ่รู้และรับผิดชอบต่องาน ที่ได้รับมอบหมาย (A) แบบสืบเสาะ หาความรู้ (5Es Instructional Model) - ตรวจแบบฝึกหัด - ประเมินการปฏิบัติการ - สังเกตพฤติกรรม การท�ำงานรายกลุ่ม - สังเกตคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - ทักษะการสังเกต - ทักษะการระบุ - ทักษะการ เปรียบเทียบ - ทักษะการจ�ำแนก ประเภท - มีวินัย - ใฝ่เรียนรู้ - มุ่งมั่นใน การท�ำงาน T3
Chapter Concept Overview สารและการจําแนกสาร การเปลี่ยนแปลงของสาร สมบัติของสาร สมบัติทางกายภาพ สมบัติทางเคมี • เปนสมบัติที่สามารถสังเกตได้จากภายนอกของสาร • เช่น การละลาย ความแข็ง สถานะ การน�าความร้อน การน�าไฟฟา จุดเดือด จุดหลอมเหลว ความหนาแน่น ความแข็ง เปนต้น • เปนสมบัติที่เกิดจากการท�าปฏิกิริยาเคมี ท�าให้เกิดสารใหม่ที่มี สมบัติแตกต่างไปจากสารเดิม • เช่น การเกิดสนิม การเผาไหม้ ความเปนกรด - เบสของสาร เปนต้น การจําแนกสาร ความร้อนมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสถานะของน�้า ดังนี้ ใชสถานะของสารเปนเกณฑ ใชเนื้อสารเปนเกณฑ แบ่งสารออกได้เปน 3 กลุ่ม ดังนี้ ของแข็ง : อนุภาคเรียงชิดกัน แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลมากที่สุด มีรูปร่างและปริมาตรคงที่ ของเหลว : อนุภาคของของเหลวอยู่ใกล้กัน แรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาคน้อยกว่าของแข็ง แต่ มากกว่าแกส มีรูปร่างไม่คงที่ แต่ปริมาตรคงที่ โดยรูปร่างจะเปลี่ยนแปลงตามภาชนะที่บรรจุ แกส : อนุภาคอยู่ห่างกันมาก แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลน้อยที่สุด มีรูปร่างและปริมาตรไม่ คงที่ โดยปริมาตรจะเท่ากับปริมาตรของภาชนะที่บรรจุ แบ่งสารออกได้เปน 2 กลุ่ม ดังนี้ สารเนื้อเดียว : สารที่มีเนื้อสารเหมือนกันทุกส่วน ท�าให้สารมีสมบัติเหมือนกันตลอดทุกส่วน สารเนื้อผสม : สารที่มีเนื้อสารแตกต่างกัน ท�าให้สารมีสมบัติไม่เหมือนกันตลอดทุกส่วน ใชขนาดอนุภาคของสารเปนเกณฑ แบ่งสารออกได้เปน 3 กลุ่ม ดังนี้ สารแขวนลอย : สารผสมที่ประกอบด้วยอนุภาคที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่า 10-4 เซนติเมตร คอลลอยด : สารผสมที่ประกอบด้วยอนุภาคที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางระหว่าง 10-4 - 10-7 เซนติเมตร สารละลาย : สารผสมที่ประกอบด้วยอนุภาคที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางน้อยกว่า 10-7 เซนติเมตร การหลอมเหลว การแข็งตัว การควบแนน การกลายเปนไอ การระเหิด การระเหิดกลับ เพิ่มอุณหภูมิ ลดอุณหภูมิ T4
สารบริสุทธิ์และสารผสม หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 อุณหภูมิ ( ํC) สารผสม สารบริสุทธิ์ จุดเดือด อุณหภูมิ ( ํC) สารผสม สารบริสุทธิ์ จุดหลอมเหลว สารบริสุทธิ์ เปนสารที่มีองคประกอบเพียงชนิดเดียว แบงออกเปน 2 ชนิด ดังนี้ 1. ธาตุ เปนสารบริสุทธิ์ที่ประกอบดวยอะตอมเพียงชนิดเดียว ไมสามารถแยกหรือสลายออกเปนสารอื่นได • ธาตุโลหะ มีสถานะเปนของแข็งที่อุณหภูมิหอง (ยกเวน ปรอทมีสถานะเปนของเหลว) ผิวเปนมันวาว นําไฟฟาและความรอน ไดดี มีจุดเดือดและจุดหลอมเหลวสูง สามารถดึงหรือตีเปนแผนบาง ๆ ได มีความหนาแนนทั้งสูงและตํ่า มีความแข็งและเหนียว • ธาตุอโลหะ มีทั้ง 3 สถานะ มีจุดเดือดและจุดหลอมเหลวตํ่า ผิวไมมันวาว ไมนําไฟฟาและความรอน มีความหนาแนนตํ่า เปราะ และแตกหักงาย • ธาตุกึ่งโลหะ มีสมบัติกํ้ากึ่งระหวางธาตุโลหะกับธาตุอโลหะ โดยมีสมบัติบางประการเหมือนโลหะ และมีสมบัติบางประการ เหมือนอโลหะ สวนใหญมีสมบัติเปนสารกึ่งตัวนํา • ธาตุกัมมันตรังสี เปนธาตุที่สามารถแผรังสีไดอยางตอเนื่อง เนื่องจากนิวเคลียสภายในอะตอมของธาตุไมเสถียร จึงตองมี การเปลี่ยนแปลงไปเปนธาตุที่มีความเสถียรมากขึ้นโดยการสลายตัวแลวปลอยอนุภาคภายในนิวเคลียสออกมาในรูปของรังสี เรียกรังสีที่ แผออกมาจากธาตุวา กัมมันตภาพรังสี 2. สารประกอบ เปนสารบริสุทธิที่เกิดจากอะตอมของธาตุตั้งแต 2 ชนิดขึ้นไป มารวมกันทางเคมี โดยมีอัตราสวนโดยมวลคงที่ กลายเปนสารใหมที่มีสมบัติแตกตางไปจากธาตุที่เปนองคประกอบเดิม สารผสม เปนสารที่เกิดจากสารตั้งแต 2 ชนิดขึ้นไปมาผสมกัน แบงออกเปน 3 ชนิด ดังนี้ 1. สารละลาย เปนสารผสมเนื้อเดียวที่ประกอบดวยสารตั้งแต 2 ชนิดขึ้นไป มารวมเปนเนื้อเดียว และมีสมบัติเหมือนกันทุกสวน โดยสามารถหาความเขมขนของสารละลายได 2. สารแขวนลอย เปนสารผสมที่เกิดจากสาร 2 ชนิดรวมกัน โดยอนุภาคของสารมีขนาดเสนผานศูนยกลางมากกวา 10-4 เซนติเมตร ลอยกระจายอยูในสารอีกชนิดหนึ่ง 3. คอลลอยด เปนสารผสมที่เกิดจากสาร 2 ชนิดรวมกัน โดยอนุภาคของสารมีขนาดเสนผานศูนยกลาง 10-4-10-7 เซนติเมตร ลอยกระจายอยูในสารอีกชนิด จึงทําใหมองดูเหมือนเปนเนื้อเดียวกัน สมบัติของสารบริสุทธิ์และสารผสม • สารบริสุทธิจะมีจุดเดือด จุดลอมเหลว และความหนาแนนคงที่ • สารผสมจะมีจุดเดือด จุดหลอมเหลว และความหนาแนนไมคงที่ T5
1 หนวยการเรียนรูที่ สารรอบตัว ÊÒ÷Õè ÍÂÙ‹ÃͺµÑÇàÃÒ มีความแตกต่าง กันอย่างไร ตัวชี้วัด ว 2.1 ม.1/1 อธิบำยสมบัติทำงกำยภำพบำงประกำรของธำตุโลหะ อโลหะ และกึ่งโลหะ โดยใช้หลักฐำนเชิงประจักษ์ที่ได้จำกกำรสังเกตและ กำรทดสอบ และใช้สำรสนเทศที่ได้จำกแหล่งข้อมูลต่ำง ๆ รวมทั้งจัดกลุ่มธำตุเป็นโลหะ อโลหะ และกึ่งโลหะว 2.1 ม.1/2 วิเครำะห์ผลจำกกำรใช้ธำตุโลหะ อโลหะ กึ่งโลหะ และธำตุกัมมันตรังสีที่มีต่อสิ่งมีชีวิต สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม จำกข้อมูล ที่รวบรวมได้ ว 2.1 ม.1/3 ตระหนักถึงคุณค่ำของกำรใช้ธำตุโลหะ อโลหะ กึ่งโลหะ ธำตุกัมมันตรังสี โดยเสนอแนวทำงกำรใช้ธำตุอย่ำงปลอดภัย คุ้มค่ำ ว 2.1 ม.1/4 เปรียบเทียบจุดเดือด จุดหลอมเหลวของสำรบริสุทธิ์และสำรผสม โดยกำรวัดอุณหภูมิ เขียนกรำฟ แปลควำมหมำยข้อมูลจำกกรำฟ หรือสำรสนเทศว 2.1 ม.1/5 อธิบำยและเปรียบเทียบควำมหนำแน่นของสำรบริสุทธิ์และสำรผสม ว 2.1 ม.1/6 ใช้เครื่องมือเพื่อวัดมวลและปริมำตรของสำรบริสุทธิ์และสำรผสม ว 2.1 ม.1/7 อธิบำยเกี่ยวกับควำมสัมพันธ์ระหว่ำงอะตอม ธำตุและสำรประกอบ โดยใช้แบบจ�ำลองและสำรสนเทศ ว 2.1 ม.1/8 อธิบำยโครงสร้ำงอะตอมที่ประกอบด้วยโปรตอน นิวตรอน และอิเล็กตรอน โดยใช้แบบจ�ำลอง ว 2.1 ม.1/9 อธิบำยและเปรียบเทียบกำรจัดเรียงอนุภำค แรงยึดเหนี่ยวระหว่ำงอนุภำค และกำรเคลื่อนที่ของอนุภำคของสสำรชนิดเดียวกันในสถำนะ ของแข็ง ของเหลว และแก๊ส โดยใช้แบบจ�ำลอง ว 2.1 ม.1/10 อธิบำยควำมสัมพันธ์ระหว่ำงพลังงำนควำมร้อนกับกำรเปลี่ยนสถำนะของสสำร โดยใช้หลักฐำนเชิงประจักษ์และแบบจ�ำลอง สารผสม ประกอบด้วยสำรตั้งแต่ 2 ชนิด ขึ้นไปมำผสมกัน ถ้ำผสมเป็น เนื้อเดียวกัน เรียกว่ำ สำรละลำย ถ้ำผสมแล้วไม่เป็นเนื้อเดียวกัน เรียกว่ำ สำรเนื้อผสม ธาตุ เป็นสำรบริสุทธิ์ ประกอบด้วยอะตอม เพียงชนิดเดียว ซึ่งเมื่อธำตุมำกกว่ำ หนึ่งชนิดรวมกันในอัตรำส่วนแน่นอน จะท�ำให้อยู่ในรูปสำรประกอบ ขั้นนํา กระตุนความสนใจ 1. ครูแจงผลการเรียนรูใหนักเรียนทราบ 2. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบกอนเรียน 3. ครูถามคําถาม Big Question เกร็ดแนะครู ในหนวยการเรียนรูนี้ ครูควรเนนใหนักเรียนไดทําการทดลอง และครูควร ยกตัวอยางสารตางๆ ที่สามารถพบเห็นไดในชีวิตประจําวัน เพื่อชวยใหนักเรียน ไดเปรียบเทียบลักษณะและสมบัติของสารแตละประเภท แนวตอบ Big Question สารที่อยูรอบตัวเราบางชนิดมีสมบัติทาง กายภาพบางประการที่เหมือนและแตกตางกัน เชน สถานะ การนําความรอน การนําไฟฟา เปนตน แตอยางไรก็ตาม สารแตละชนิดยอมมีลักษณะ เฉพาะของสารแตละชนิดนั้นๆ เชน สภาพการ ละลาย จุดเดือด จุดหลอมเหลว ความหนาแนน ของสาร เปนตน นํา นํา สอน สรุป ประเมิน T6
1 สารและการจําแนกสาร สิ่งที่อยู่รอบตัวเรำจัดว่ำเป็น สสาร (matter) ที่มีมวล มีตัวตน ต้องกำร ที่อยู่ สัมผัสได้ ซึ่งสำมำรถมองเห็นด้วยตำเปล่ำได้ หรืออำจมองไม่เห็นด้วย ตำเปล่ำ สสำรที่ศึกษำจนทรำบสมบัติและองค์ประกอบ เรียกว่ำ สาร (substance) Prior Knowledge สมบัติใดบ้ำงที่ใช้ จ�ำแนกประเภท ของสำร 1.1 สมบัติของสาร สำรแต่ละชนิดมีลักษณะเฉพำะตัวที่แตกต่ำงกัน เช่น เกลือเป็นของแข็ง สีขำวที่อุณหภูมิห้อง น�้ำแข็งเป็นของแข็ง ใส ไม่มีสี เป็นต้น สำรบำงชนิดเป็น ของเหลว เช่น น�้ำ ปรอท เป็นต้น และสำรบำงชนิดเป็นแก๊สลอยปะปน ในอำกำศ เช่น ไอน�้ำ แก๊สคำร์บอนไดออกไซด์ เป็นต้น เมื่อสำรเหล่ำนี้ได้รับ ควำมร้อนจะท�ำให้สมบัติบำงประกำรเปลี่ยนแปลงไป โดยสมบัติของสำร แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ดังนี้ ภำพที่ 1.1 สำรแต่ละชนิดมีลักษณะเฉพำะ ที่แตกต่ำงกัน ภำพที่ 1.2 เพชรมีควำมแข็งมำกที่สุด ภำพที่ 1.5 กำรเผำไหม้ ภำพที่ 1.3 น�้ำแข็งมีควำมหนำแน่นน้อยกว่ำ น�้ำทะเล ภำพที่ 1.7 น�้ำมะนำวมีฤทธิ์เป็นกรด ภำพที่ 1.4 เงินน�ำไฟฟ้ำได้ดีที่สุด ภำพที่ 1.6 กำรเกิดสนิมเหล็ก 2. สมบัติทางเคมี เป็นสมบัติที่เกิดจำกกำรท�ำปฏิกิริยำเคมี ซึ่ง ท�ำให้เกิดสำรใหม่ที่มีองค์ประกอบภำยในและภำยนอกเปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้สำรใหม่ที่เกิดขึ้นมีสมบัติแตกต่ำงไปจำกสำรเดิม เช่น กำรเกิดสนิม กำรเผำไหม้ ควำมเป็นกรด-เบสของสำร เป็นต้น ของแข็ง แก๊ส ของเหลว 1. สมบัติทางกายภาพ เป็นสมบัติที่สำมำรถสังเกตได้จำกภำยนอก ของสำร เช่น สี กลิ่น รส กำรละลำย ควำมแข็ง ลักษณะผลึก สถำนะ กำรน�ำ ควำมร้อน กำรน�ำไฟฟ้ำ จุดเดือด จุดหลอมเหลว ควำมหนำแน่น เป็นต้น 3 สาร รอบตัว กิจกรรม สรางเสริม กิจกรรม ทาทาย ขั้นสอน สํารวจคนหา 1. ครูถามคําถาม prior knowledge 2. ครูใหนักเรียนแบงกลุมออกเปน 4 กลุม ศึกษา เรื่อง สมบัติของสาร ในหนังสือเรียน วิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 3. ครูนําบีกเกอร A ที่มีนํ้าสมสายชู และบีกเกอร B ที่มีนํ้า มาใหนักเรียนศึกษา และตั้งคําถาม ตอไปนี้ • สารในบีกเกอร A และ B เปนสารชนิดเดียวกัน หรือไม (แนวตอบ พิจารณาตามคําตอบของนักเรียน โดยใหอยูในดุลยพินิจของครูผูสอน) 4. ครูใหนักเรียนตรวจสอบสารในบีกเกอร A และ B แลวถามนักเรียน ดังนี้ • สาร A และ B มีลักษณะอยางไร (แนวตอบ สาร A และ B เปนของเหลว ไมมีสี แตสาร A มีกลิ่นฉุน เมื่อทดสอบดวย กระดาษลิตมัสพบวา สาร A มีฤทธิ์เปนกรด สวนสาร B ไมเปลี่ยนสีกระดาษลิตมัส) • ลักษณะใดบางเปนสมบัติทางกายภาพ (แนวตอบ สถานะของสาร สี กลิ่น เปนตน) • ลักษณะใดเปนสมบัติทางเคมี (แนวตอบ ความเปนกรด-เบส เปนตน) 5. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปราย เรื่อง สมบัติ ของสาร จากตัวอยางสารในบีกเกอร A และ B ใหนักเรียนเปรียบเทียบสมบัติทางกายภาพและสมบัติทางเคมี ของสาร โดยสรุปออกมาในรูปแบบของตารางลงในสมุดบันทึก ใหนักเรียนศึกษาคนควาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง ทางเคมีที่พบในชีวิตประจําวัน โดยใหเขียนสมการเคมีแสดงการ เกิดปฏิกิริยาพรอมบอกวาสารตั้งตนและผลิตภัณฑคืออะไร แลว ทํารายงานสงครูผูสอน นักเรียนควรรู 1 การนําความรอน ปรากฏการณที่พลังงานความรอนถายเทภายในวัตถุ หนึ่งๆ หรือระหวางวัตถุสองชิ้นที่สัมผัสกัน โดยมีทิศทางของการเคลื่อนที่ของ พลังงานความรอนจากบริเวณที่มีอุณหภูมิสูงกวาไปยังบริเวณที่มีอุณหภูมิตํ่ากวา โดยที่ตัวกลางไมมีการเคลื่อนที่ 2 จุดเดือด อุณหภูมิของของเหลว ซึ่งมีความดันไอเทากับความดันของ บรรยากาศรอบๆ และของเหลวกําลังเปลี่ยนสถานะกลายเปนไอ เชน นํ้าบริสุทธิ์ มีจุดเดือด 100 องศาเซลเซียส ที่ความดันมาตรฐาน 1 บรรยากาศ 3 จุดหลอมเหลว อุณหภูมิที่ทําใหของแข็งเปลี่ยนสถานะเปนของเหลว โดย นํ้าบริสุทธิ์มีจุดหลอมเหลว 0 องศาเซลเซียส ที่ความดันมาตรฐาน 1 บรรยากาศ 4 ความหนาแนน การวัดมวลตอหนึ่งหนวยปริมาตร มีหนวยเปนกิโลกรัม ตอลูกบาศกเมตร (kg/m3 ) แนวตอบ prior knowledge การละลาย ความแข็ง สถานะ ลักษณะผลึก จุดเดือด จุดหลอมเหลว ความเปนกรด-เบส ควำมร้อน กำรน�ำไฟฟ้ำ จุดเดือด จุดหลอมเหลว ควำมหนำแน่น เป็นต้น 1 2 3 4 ของสำร เช่น สี กลิ่น รส กำรละลำย ควำมแข็ง ลักษณะผลึก สถำนะ กำรน�ำ นํา สอน สรุป ประเมิน T7
ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET 1.2 การจําแนกสาร กำรจ�ำแนกสำรเพื่อระบุว่ำสำรนั้น ๆ เป็นสำรชนิดใด จ�ำเป็นต้องใช้สมบัติต่ำง ๆ ของสำรมำวิเครำะห์ โดยเกณฑ์ ที่ใช้ในกำรจ�ำแนกสำร มีดังนี้ 1. การใช้สถานะเป็นเกณฑ์ เป็นกำรจ�ำแนกสำรโดยใช้สมบัติทำงกำยภำพของสำร ซึ่งสำรชนิดเดียวกันที่มี สถำนะต่ำงกันจะมีรูปร่ำงและปริมำตรต่ำงกัน เนื่องจำกกำรจัดเรียงอนุภำคภำยในสำรไม่เหมือนกัน ท�ำให้แรงยึดเหนี่ยว ระหว่ำงโมเลกุลของสำรไม่เท่ำกัน ส่งผลให้อนุภำคของสำรเคลื่อนที่แตกต่ำงกัน เมื่อใช้สถำนะเป็นเกณฑ์จะแบ่งสำร ออกเป็น 3 สถำนะ ดังนี้ เป็นของเหลวสีเงิน เมื่อแข็งตัวจะมีคุณสมบัติคล้ำยกับโลหะทั่วไป มีควำมมันวำว สะท้อนแสง และเป็นตัวน�ำไฟฟ้ำที่ดี มีสมบัติเป็นของไหล ไม่เกำะติดกับวัสดุ จึงนิยมน�ำปรอทมำท�ำเป็นปรอทวัดไข้ เทอร์มอมิเตอร์ วัดอุณหภูมิของอำกำศ เป็นต้น แต่ไอปรอทจัดเป็นสำรพิษ หำกสูดดมเข้ำไป จะท�ำให้เป็นโรคพิษปรอท ซึ่งเป็นอันตรำยต่ออวัยวะส�ำคัญของร่ำงกำย มีอำกำรเป็นพิษทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง อำจท�ำให้เสียชีวิตได้ Focus Science ปรอท (Mercury) ของเหลว อนุภำคของของเหลวอยู่ใกล้กัน ท�ำให้แรง ยึดเหนี่ยวระหว่ำงอนุภำคของของเหลวมีค่ำ น้อยกว่ำของแข็ง แต่มำกกว่ำแก๊ส อนุภำค สำมำรถเคลื่อนที่ได้ แต่ไม่เป็นอิสระเหมือน อนุภำคของแก๊ส ท�ำให้มีรูปร่ำงไม่คงที่ แต่ปริมำตรคงที่ แก๊ส อนุภำคของแก๊สอยู่ห่ำงกันมำกที่สุด แรง ยึดเหนี่ยวระหว่ำงโมเลกุลจึงน้อยที่สุด อนุภำคสำมำรถเคลื่อนที่ได้อย่ำงอิสระ ทุกทิศทำง ท�ำให้แก๊สมีรูปร่ำงและปริมำตร ไม่คงที่ โดยปริมำตรจะเท่ำกับปริมำตรของ ภำชนะที่บรรจุ เช่น แก๊สหุงต้ม เป็นต้น แก๊ส ของเหลว ของแข็ง ของแข็ง อนุภำคของของแข็งเรียงชิดติดกัน แรง ยึดเหนี่ยวระหว่ำงโมเลกุลจึงมีค่ำมำกที่สุด กำรเคลื่อนที่ของอนุภำคของของแข็งจะสั่น อยู่กับที่ ท�ำให้ของแข็งมีรูปร่ำงและปริมำตร คงที่ เช่น น�้ำแข็ง ด่ำงทับทิม ทองแดง เป็นต้น ภำพที่ 1.8 กำรจัดเรียงอนุภำคของสำรในสถำนะต่ำง ๆ ภำพที่ 1.9 ปรอทมีสถำนะเป็นของเหลว 4 ขั้นสอน สํารวจคนหา 6. ครูเกริ่นนําวา การจําแนกสารจําเปนตองใช สมบัติของสารมาวิเคราะห 7. ครูใหนักเรียนศึกษาการจําแนกสารโดยใชสมบัติ ทางกายภาพ ในหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 8. ครูใหนักเรียนศึกษา เรื่อง ปรอท ในกรอบ Science Focus ในหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 อนุภาคของแกสจะมีการจัดเรียงตัวตามขอใด 1. จับตัวอยางหลวมๆ เคลื่อนไหวไดงาย 2. จับตัวอยางหลวมๆ เคลื่อนไหวไดยาก 3. อยูอยางกระจัดกระจาย อนุภาคเคลื่อนที่อยางอิสระ 4. จับตัวกันแนน แรงยึดเหนี่ยวมีคามาก เคลื่อนไหวยาก (วิเคราะหคําตอบ อนุภาคของแกสอยูหางกันมาก มีแรงยึดเหนี่ยว ระหวางโมเลกุลนอยมาก อนุภาคจึงเคลื่อนที่ไดอยางอิสระทุก ทิศทาง ดังนั้น ตอบขอ 3.) สื่อ Digital ศึกษาเพิ่มเติมไดจากภาพยนตรสารคดีสั้น Twig เรื่อง ของแข็ง ของเหลว และกาซ https:// twig-aksorn.com/film/solids-liquids-andgases-8271/ เกร็ดแนะครู ครูอธิบายเพิ่มเติมวามีเกณฑอื่นๆ ที่ใชในการจําแนกสารไดอีก ดังนี้ 1. ใชการละลายนํ้าเปนเกณฑ สามารถแบงสารไดเปน 2 กลุม คือ • สารที่ละลายนํ้า เชน เกลือแกง นํ้าตาลทราย จุนสี ดางทับทิม เปนตน • สารที่ไมละลายนํ้า เชน แปง หินปูน ไขมัน นํ้ามันพืช พลาสติก เปนตน 2. ใชการนําไฟฟาเปนเกณฑ สามารถแบงสารไดเปน 2 กลุม คือ • สารที่นําไฟฟา เชน นํ้าอัดลม เหล็ก อะลูมิเนียม เปนตน • สารที่ไมนําไฟฟา เชน นํ้าบริสุทธิ์ ผา พลาสติก ไมแหง เปนตน นํา สอน สรุป ประเมิน T8
2. การใช้เนื้อสารเป็นเกณฑ์ จ�ำแนกสำรออกได้เป็น 2 กลุ่ม ดังนี้ 1) สารเนื้อเดียว (homogeneous substance) หมำยถึง สำรที่มีเนื้อสำรเหมือนกันทุกส่วน ท�ำให้สำรมี สมบัติเหมือนกันตลอดทุกส่วน เช่น น�้ำเกลือ ทองค�ำ เป็นต้น 2) สารเนื้อผสม (heterogeneous substance) หมำยถึง สำรที่มีเนื้อสำรแตกต่ำงกัน ท�ำให้สำรมีสมบัติ ไม่เหมือนกันตลอดทุกส่วน เช่น น�้ำคลอง พริกเกลือจิ้มผลไม้ เป็นต้น ภำพที่ 1.10 ทองค�ำเป็นสำรเนื้อเดียว ภำพที่ 1.12 น�้ำโคลนเป็นสำรแขวนลอย ภำพที่ 1.13 น�้ำนมเป็นคอลลอยด์ ภำพที่ 1.14 น�้ำทะเลเป็นสำรละลำย ภำพที่ 1.11 พริกเกลือจิ้มผลไม้เป็นสำรเนื้อผสม 3. การใช้ขนาดของอนุภาคเป็นเกณฑ์ จ�ำแนกสำรออกได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้ 1) สารแขวนลอย (suspension) หมำยถึง สำรผสมที่ประกอบด้วยอนุภำคที่มีเส้นผ่ำนศูนย์กลำงมำกกว่ำ 10-4 เซนติเมตร เช่น น�้ำโคลน น�้ำแป้ง เป็นต้น 2) คอลลอยด์(colloid) หมำยถึง สำรผสมที่ประกอบด้วยอนุภำคที่มีเส้นผ่ำนศูนย์กลำงระหว่ำง 10-7-10-4 เซนติเมตร เช่น น�้ำนม หมอก เป็นต้น 3) สารละลาย (solution) หมำยถึง สำรผสมที่ประกอบด้วยอนุภำคที่มีเส้นผ่ำนศูนย์กลำงน้อยกว่ำ 10-7 เซนติเมตร เช่น น�้ำเกลือ น�้ำหวำน น�้ำทะเล เป็นต้น น�้ำปูนซีเมนต์เป็นสำรสเลอร์รี (slurry) ซึ่งเป็นสำรแขวนลอยที่มีปริมำณ ของของแข็งแขวนลอยอยู่ในของเหลวจ�ำนวนมำก มีลักษณะเหลวและข้น ในปัจจุบันมนุษย์น�ำคุณสมบัติของสำรสเลอร์รีมำใช้ประโยชน์ในงำนก่อสร้ำง และสถำปัตยกรรมต่ำง ๆ Focus Science น�้ำปูนซีเมนต์ ภำพที่ 1.15 ปูนซีเมนต์เป็นสำรแขวนลอย 5 สาร รอบตัว ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET การจําแนกสารโดยใชขนาดของอนุภาคเปนเกณฑเหมาะสมใน การจําแนกสารในขอใดมากที่สุด 1. กาว โฟม เยลลี 2. เหล็ก ปรอท คลอรีน 3. นํ้านม นํ้าสมสายชู นํ้าคลอง 4. นํ้าเกลือ นํ้าเชื่อม แอลกอฮอลลางแผล (วิเคราะหคําตอบ ขอ 1. กาว โฟม และเยลลี เปนคอลลอยดทั้ง 3 ชนิด ขอ 2. เหล็ก ปรอท และคลอรีน เปนธาตุทั้ง 3 ชนิด ขอ 3. นํ้านมเปนคอลลอยด นํ้าสมสายชูเปนสารละลาย และ นํ้าคลองเปนสารแขวนลอย ขอ 4. นํ้าเกลือ นํ้าเชื่อม และแอลกอฮอลลางแผล เปนสารละลาย ทั้ง 3 ชนิด ดังนั้น ตอบขอ 3.) ขั้นสอน สํารวจคนหา 9. ครูใหนักเรียนแตละกลุมศึกษา เรื่อง การ จําแนกสาร โดยใชเนื้อสารและอนุภาคของ สารเปนเกณฑ 10. ครูแจกภาพแตละชุดใหแตละกลุม โดยภาพ แตละชุดมี ดังนี้ สมตํา นํ้าผลไมปน นํ้าเกลือ นํ้านม กาแฟ สลัด นํ้าแปง ทองคําขาว นํ้าพริก แอลกอฮอล ลางแผล นํ้าสมสายชู หมอก ควันจากทอไอเสีย แกสหุงตม 11. ครูแจกใบงาน เรื่อง การจําแนกสาร แลวให แตละกลุมรวมกันจําแนกสารจากภาพ อธิบายความรู 1. ครูสุมตัวแทนออกมานําเสนอใบงาน เรื่อง การจําแนกสาร 2. ครูเสริมและเพิ่มเติมขอมูลที่นักเรียนออกมา นําเสนอ 3. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายสมบัติของ สาร การจําแนกสาร เปรียบเทียบการจัดเรียง อนุภาค และการเคลื่อนที่ของสารทั้ง 3 สถานะ ขั้นสรุป ขยายความเขาใจ 1. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกหัดลงในแบบฝกหัด วิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 นักเรียนควรรู 1 สารผสม เกิดจากสารบริสุทธิ์ตั้งแต 2 ชนิดขึ้นไป มาผสมกันในอัตราสวน ที่ไมคงที่ ซึ่งสารแตละชนิดยังคงแสดงสมบัติของสารเดิมอยู เชน นํ้าเกลือ นํ้าโซดา ทราย ดิน เปนตน ซึ่งสารผสมมีทั้งสารผสมเนื้อเดียว เชน สารละลาย เปนตน และสารผสมเนื้อผสม เชน สารแขวนลอย เปนตน ยถึง สำรผสมที่ประกอบด้วยอนุภ 1 นํา สอน สรุป ประเมิน T9
ของแข็ง ของเหลว และแกส กิจกรรม 1. ขวดน�้ำพลำสติก 2. เม็ดโฟม 3. จุกยำงที่มีท่อน�ำแก๊ส 1. บรรจุเม็ดโฟมลงในขวดน�้ำพลำสติกให้เต็มขวด ปิดปำกขวดด้วยจุกยำงที่มีท่อน�ำแก๊ส ดังรูป 2. คว�่ำปำกขวดลง จำกนั้นเป่ำลมเข้ำไปในท่อน�ำแก๊ส สังเกตกำรเคลื่อนตัวของเม็ดโฟม บันทึกผล 3. เทเม็ดโฟมในขวดน�้ำพลำสติกจำกข้อ 1. ออกไปครึ่งหนึ่ง แล้วท�ำกำรทดลองซ�้ำเหมือนกับข้อ 2. 4. เทเม็ดโฟมในขวดน�้ำพลำสติกจำกข้อ 3. ออกไปอีกครึ่งหนึ่ง แล้วท�ำกำรทดลองซ�้ำเหมือนกับข้อ 2. จำกกิจกรรม พบว่ำ เม็ดโฟมที่บรรจุไว้เต็มขวดน�้ำพลำสติก เปรียบเสมือนอนุภำคของของแข็ง เนื่องจำกเม็ดโฟมเรียงชิดกัน ช่องว่ำงระหว่ำงเม็ดโฟมน้อย จึงท�ำให้มีแรงยึดเหนี่ยวระหว่ำงอนุภำคสูง เมื่อเป่ำลมเข้ำไปในขวดพลำสติก เม็ดโฟมจึงสั่นอยู่กับที่ เม็ดโฟมที่บรรจุไว้ครึ่งขวดน�้ำพลำสติก เปรียบเสมือนอนุภำคของของเหลว เนื่องจำกช่องว่ำงระหว่ำงเม็ดโฟมมำกขึ้น แต่ ไม่เท่ำกับแก๊ส ซึ่งอนุภำคเรียงตัวใกล้กัน ท�ำให้มีแรงยึดเหนี่ยวระหว่ำงอนุภำคต�่ำกว่ำของแข็ง เมื่อเป่ำลมเข้ำไปในขวดพลำสติก เม็ดโฟมจะเคลื่อนที่เปลี่ยนต�ำแหน่งไปบำงส่วน แต่บำงส่วนยังคงอยู่ที่ปำกขวด เม็ดโฟมที่บรรจุไว้ต�่ำกว่ำครึ่งหนึ่งของขวดน�้ำพลำสติก เปรียบเสมือนอนุภำคของแก๊ส เนื่องจำกมีช่องว่ำงระหว่ำงเม็ดโฟมมำก ท�ำให้แรงยึดเหนี่ยวระหว่ำงอนุภำคต�่ำ เมื่อเป่ำลมเข้ำไปในขวดพลำสติก เม็ดโฟมจะเคลื่อนที่เปลี่ยนต�ำแหน่งอย่ำงอิสระ วิธีปฏิบัติ วัสดุอุปกรณ์ ค�ำถำมท้ำยกิจกรรม 1. เม็ดโฟมที่บรรจุลงในขวดพลำสติกเต็มขวด ครึ่งขวด และต�่ำกว่ำครึ่งขวด เปรียบเสมือนกับสถำนะของสำรใดบ้ำง ตำมล�ำดับ 2. เม็ดโฟมที่บรรจุลงในขวดพลำสติกในปริมำณที่แตกต่ำงกัน มีกำรเคลื่อนที่แตกต่ำงกันอย่ำงไร อภิปรำยผลกิจกรรม จิตวิทยาศาสตร์ - ควำมสนใจใฝ่รู้ - กำรท�ำงำนร่วมกับผู้อื่น ได้อย่ำงสร้ำงสรรค์ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ - กำรสังเกต - กำรจ�ำแนกประเภท เม็ดโฟม เป่ำลม ภำพที่ 1.16 6 ขั้นสอน สํารวจคนหา 1. ครูใหแตละกลุมทํากิจกรรม เรื่อง ของแข็ง ของเหลว และแกส ตามหัวขอที่จับฉลากได 2. ครูใหนักเรียนแตละกลุมบันทึกผลกิจกรรม และตอบคําถามทายกิจกรรมลงในแบบฝกหัด วิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 ขั้นสรุป ขยายความรู 1. ครูใหนักเรียนทําใบงาน เรื่อง สารรอบตัว 2. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกหัดในแบบฝกหัด วิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 ขั้นประเมิน ตรวจสอบผล 1. ครูตรวจใบงาน เรื่อง ความรอนกับการเปลี่ยน สถานะของสาร 2. ครูตรวจแบบฝกหัด 3. ครูประเมินการปฏิบัติการการทํากิจกรรม เรื่อง อุณหภูมิกับการเปลี่ยนสถานะ 4. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล จาก การทดลองของตัวแทนนักเรียน เรื่อง การ เปลี่ยนสถานะของนํ้า แนวตอบ คําถามทายกิจกรรม 1. สารที่อยูรอบตัวเราบางชนิดมีสมบัติทางกายภาพ บางประการที่เหมือนและแตกตางกัน เชน สถานะ การนําความรอน การนําไฟฟา เปนตน แตอยางไร ก็ตาม สารแตละชนิดยอมมีลักษณะเฉพาะของสาร แตละชนิดนั้นๆ เชน สภาพการละลาย จุดเดือด จุดหลอมเหลว ความหนาแนนของสาร เปนตน 2. แตกตางกัน ขวดที่บรรจุเม็ดโฟมจนเต็มขวด อนุภาคของเม็ดโฟมจะสั่นอยูกับที่ ถาบรรจุเม็ด โฟมครึ่งขวด บางอนุภาคของเม็ดโฟมจะเคลื่อนที่ อิสระ แตถาบรรจุเม็ดโฟมตํ่ากวาครึ่ง อนุภาค ของเม็ดโฟมจะเคลื่อนที่ไดอยางอิสระ แนวทางการวัดและประเมินผล ครูวัดและประเมินผลความเขาใจในเนื้อหา เรื่อง การจําแนกสาร ไดจาก แบบประเมินการปฏิบัติการ จากกิจกรรม เรื่อง ของแข็ง ของเหลว และแกส และจากแบบประเมินการนําเสนอผลงานหนาชั้นเรียน โดยศึกษาเกณฑการวัด และประเมินที่อยูในแผนการจัดการเรียนรูประจําหนวยการเรียนรูที่ 1 ปริมาณเม็ดโฟมที่บรรจุ ลงในขวดพลาสติก ภาพแสดงการเคลื่อนที่ ของเม็ดโฟม ลักษณะการเคลื่อนที่ ของเม็ดโฟม บรรจุเต็ม วาดภาพขวดที่บรรจุเม็ด โฟมเต็มขวด และเม็ดโฟม ไมเคลื่อนที่ เม็ดโฟมสั่นอยูกับที่ บรรจุครึ่ง วาดภาพขวดที่บรรจุเม็ด โฟมครึ่งขวด และเม็ดโฟม บางสวนเคลื่อนที่ แตมีเม็ด โฟมบางสวนที่บริเวณปาก ขวด จะไมเคลื่อนที่ เม็ดโฟมจะเคลื่อนที่ เปลี่ยนตําแหนงไปบางสวน และบางสวนยังคงอยูที่ ปากขวด บรรจุตํ่ากวาครึ่ง วาดภาพขวดที่บรรจุเม็ด โฟมตํ่ากวาครึ่งขวด และ เม็ดโฟมที่บรรจุอยูภายใน ขวดจะเคลื่อนที่กระจาย ไปทั่วขวด เม็ดโฟมทั้งหมดจะ เคลื่อนที่เปลี่ยนตําแหนง อยางอิสระ บันทึก กิจกรรม เกณฑ์การประเมินการปฏิบัติการ ประเด็นที่ประเมิน ระดับคะแนน 4 3 2 1 1. การปฏิบัติการ ทดลอง ท าการทดลองตาม ขั้นตอน และใช้อุปกรณ์ ได้อย่างถูกต้อง ท าการทดลองตาม ขั้นตอน และใช้อุปกรณ์ ได้อย่างถูกต้อง แต่อาจ ต้องได้รับค าแนะน าบ้าง ต้องให้ความช่วยเหลือ บ้างในการท าการ ทดลอง และการใช้ อุปกรณ์ ต้องให้ความช่วยเหลือ อย่างมากในการท าการ ทดลอง และการใช้ อุปกรณ์ 2. ความ คล่องแคล่ว ในขณะ ปฏิบัติการ มีความคล่องแคล่ว ในขณะท าการทดลอง โดยไม่ต้องได้รับค า ชี้แนะ และท าการ ทดลองเสร็จทันเวลา มีความคล่องแคล่ว ในขณะท าการทดลอง แต่ต้องได้รับค าแนะน า บ้าง และท าการทดลอง เสร็จทันเวลา ขาดความคล่องแคล่ว ในขณะท าการทดลอง จึงท าการทดลองเสร็จ ไม่ทันเวลา ท าการทดลองเสร็จไม่ ทันเวลา และท า อุปกรณ์เสียหาย 3. การบันทึก สรุป และน าเสนอผล การทดลอง บันทึกและสรุปผลการ ทดลองได้ถูกต้อง รัดกุม น าเสนอผลการทดลอง เป็นขั้นตอนชัดเจน บันทึกและสรุปผลการ ทดลองได้ถูกต้อง แต่ การน าเสนอผลการ ทดลองยังไม่เป็น ขั้นตอน ต้องให้ค าแนะน าในการ บันทึก สรุป และ น าเสนอผลการทดลอง ต้องให้ความช่วยเหลือ อย่างมากในการบันทึก สรุป และน าเสนอผล การทดลอง เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 11-12 ดีมาก 9-10 ดี 6-8 พอใช้ ต่ ากว่า 6 ปรับปรุง แบบประเมินการปฏิบัติการ แผนฯที่ 1,2,7 ค าชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินการปฏิบัติการของนักเรียนตามรายการที่ก าหนด แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับ ระดับคะแนน ล าดับที่ รายการประเมินระดับคะแนน 4 3 2 1 1 การปฏิบัติการทดลอง 2 ความคล่องแคล่วในขณะปฏิบัติการ 3 การน าเสนอ รวม ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน ................./................../.................. นํา สอน สรุป ประเมิน T10
การเปลี่ยนสถานะของสาร 2 การเปลี่ยนแปลงของสาร สำรบำงชนิดมีสี กลิ่น รูปร่ำง หรือสถำนะเปลี่ยนแปลงไปจำกเดิม โดย ไม่เกิดเป็นสำรใหม่ เรียกกำรเปลี่ยนแปลงแบบนี้ว่ำ การเปลี่ยนแปลงทาง กายภาพ แต่กำรเปลี่ยนแปลงของสำรบำงชนิดมีผลต่อองค์ประกอบเคมีภำยใน ท�ำให้ได้สำรใหม่ เรียกกำรเปลี่ยนแปลงแบบนี้ว่ำ การเปลี่ยนแปลงทางเคมี Prior Knowledge ก้อนน�้ำแข็งที่วำงทิ้งไว้ กลำงแจ้งจะมี กำรเปลี่ยนแปลง สถำนะอย่ำงไร ควำมร้อนเป็นพลังงำนรูปแบบหนึ่งที่มีหน่วยเป็นแคลอรี (cal) หรือจูล (J) ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่ออุณหภูมิ ของสำร ส่งผลให้สมบัติทำงกำยภำพหรือสถำนะของสำรเปลี่ยนแปลงไป ดังนี้ 1. การเปลี่ยนสถานะจากของแข็งเป็นของเหลว เมื่อให้ควำมร้อนแก่สำรที่มีสถำนะของแข็ง อนุภำค ของของแข็งจะมีพลังงำนและอุณหภูมิเพิ่มขึ้นจนถึงระดับหนึ่ง และเปลี่ยนไปเป็นของเหลว เรียกควำมร้อนที่ท�ำให้ ภำพที่ 1.17 กำรหลอมเหลวของน�้ำแข็ง ของแข็งเปลี่ยนสถำนะเป็นของเหลวว่ำ ความร้อนแฝงของการหลอมเหลว โดยอุณหภูมิขณะเปลี่ยนสถำนะจะคงที่ เรียกอุณหภูมินี้ว่ำ จุดหลอมเหลว (melting point) เช่น กำรหลอมเหลวของน�้ำแข็ง เป็นต้น 2. การเปลี่ยนสถานะจากของเหลวเป็นแก๊ส เมื่อให้ควำมร้อน แก่สำรที่เป็นของเหลว อนุภำคของของเหลวจะมีพลังงำนและอุณหภูมิเพิ่ม ขึ้นจนถึงระดับหนึ่ง และเปลี่ยนไปเป็นแก๊ส เรียกควำมร้อนที่ท�ำให้ของเหลว เปลี่ยนสถำนะเป็นแก๊สว่ำ ความร้อนแฝงของการกลายเป็นไอ โดยอุณหภูมิ ขณะเปลี่ยนสถำนะจะคงที่ เรียกอุณหภูมินี้ว่ำ จุดเดือด (boiling point) เช่น กำรเดือดของน�้ำกลำยเป็นไอ เป็นต้น ในปัจจุบันกำรนึ่งเป็นวิธีท�ำให้ อำหำรสุกด้วยกำรใช้ควำมร้อนจำกไอน�้ำ ซึ่งได้จำกกำรต้มน�้ำให้เดือด ควำมร้อน จำกไอน�้ำจะถูกถ่ำยเทไปยังผิวหน้ำของ อำหำร อำหำรที่ผ่ำนกำรนึ่งให้สุกจะมี ผิวนุ่ม เช่น กำรนึ่งขนมจีบ ซำลำเปำ เป็นต้น Science in Real Life ภำพที่ 1.18 เมื่อน�้ำได้รับควำมร้อนจะเดือดและระเหยกลำยเป็นไอ ภำพที่ 1.19 กำรใช้ไอน�้ำนึ่งซำลำเปำ 7 สาร รอบตัว ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET ขอใดเปนกระบวนการที่สารเปลี่ยนสถานะ 1. การแข็งตัว การควบแนน 2. การละลาย การระเหย การระเหิด 3. การระเหิด การแข็งตัว 4. ถูกทุกขอ (วิเคราะหคําตอบ การเปลี่ยนสถานะของสารจะมีการเปลี่ยน จากของแข็งเปนของเหลว เรียกวา “การละลาย” จากของเหลว เปนแกส เรียกวา “การระเหยหรือการกลายเปนไอ” จากของแข็ง เปนแกส เรียกวา “การระเหิด” ผันกลับจากแกสเปนของเหลว เรียกวา “การควบแนน” และจากของเหลวเปนของแข็ง เรียกวา “การแข็งตัว” ดังนั้น ตอบขอ 4.) ขั้นนํา กระตุนความสนใจ 1. ครูถามคําถาม prior knowledge กระตุน ความคิดของนักเรียน 2. ครูกระตุนความสนใจของนักเรียนดวยการ ทดลองหนาชั้นเรียน เรื่อง การเปลี่ยนแปลง สถานะของนํ้า โดยครูเตรียมอุปกรณ ดังนี้ - นํ้าแข็ง 1 ถุง - นํ้าในบีกเกอร - ฮอตเพลต ขั้นสอน สํารวจคนหา 1. ครูใหนักเรียนศึกษา เรื่อง การเปลี่ยนแปลง สถานะของสาร ในหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 2. ครูสุมตัวแทนนักเรียนออกมา ทํากิจกรรม ตามขั้นตอน ดังนี้ - เทนํ้าแข็งลงในบีกเกอร แลวใหความรอน จนกระทั่งนํ้าแข็งละลายกลายเปนนํ้า และ เดือดกลายเปนไอ - หยุดใหความรอน แลวนํากระจกนาฬกา มาปดปากบีกเกอรขณะที่นํ้าเดือด 3. ครูใหนักเรียนสังเกตและจดบันทึกการเปลี่ยนแปลงสถานะของนํ้า สื่อ Digital ศึกษาเพิ่มเติมไดจากภาพยนตรสารคดีสั้น Twig เรื่อง จุดหลอมเหลว https://twig-aksorn.com/film/glossary/melting-point-7056/ ศึกษาเพิ่มเติมไดจากภาพยนตรสารคดีสั้น Twig เรื่อง จุดเดือด https:// twig-aksorn.com/film/glossary/boiling-point-6579/ แนวตอบ prior knowledge 3 สถานะ ไดแก ของแข็ง ของเหลว และแกส นํา นํา สอน สรุป ประเมิน T11
ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET 3. การเปลี่ยนสถานะจากแก๊สเป็นของเหลว เมื่ออุณหภูมิของ แก๊สลดลงจนถึงระดับหนึ่ง แก๊สจะควบแน่นเปลี่ยนสถำนะเป็นของเหลว โดย อุณหภูมิขณะเปลี่ยนสถำนะจะคงที่ ซึ่งเป็นอุณหภูมิเดียวกับจุดเดือด เรียก อุณหภูมินี้ว่ำ จุดควบแน่น (condensation point) เช่น ไอน�้ำควบแน่นกลำย เป็นน�้ำ เป็นต้น 4. การเปลี่ยนสถานะจากของเหลวเป็นของแข็ง เมื่ออุณหภูมิ ของของเหลวลดลงจนถึงระดับหนึ่ง ของเหลวจะเปลี่ยนสถำนะเป็นของแข็ง เรียกอุณหภูมินี้ว่ำ จุดเยือกแข็ง (freezing point) ซึ่งเป็นอุณหภูมิเดียวกับ จุดหลอมเหลว เช่น กำรเยือกแข็งของน�้ำกลำยเป็นน�้ำแข็ง เป็นต้น ควบแน่น หลอมเหลว น�้ำ 100 �C น�้ำ 0 �C ไอน�้ำ 100 �C น�้ำแข็ง 0 �C ระเหย แข็งตัว การเปลี่ยนสถานะของนํ้าในธรรมชาติ เมื่อน�้ำในแหล่งน�้ำได้รับควำมร้อน จำกดวงอำทิตย์ น�้ำจะระเหยกลำย เป็นไอน�้ำ ลอยขึ้นไปในอำกำศ 1 เมื่อลูกเห็บได้รับควำมร้อนจำก ดวงอำทิตย์จะหลอมละลำยกลำย เป็นน�้ำแล้วไหลลงสู่แหล่งน�้ำ 4 เมื่อไอน�้ำในอำกำศมีอุณหภูมิต�่ำ ลงจะควบแน่นกลำยเป็นละอองน�้ำ และรวมตัวกันเป็นเมฆ 2 เมื่อละอองน�้ำในชั้นเมฆตกลงมำ เป็นหยดน�้ำ ซึ่งอำจกระทบกับ อำกำศที่มีอุณหภูมิต�่ำ ท�ำให้หยดน�้ำ แข็งตัวกลำยเป็นลูกเห็บ 3 ภำพที่ 1.20 กำรเปลี่ยนสถำนะของน�้ำ ภำพที่ 1.21 กำรเปลี่ยนสถำนะของน�้ำในธรรมชำติ 8 การเปลี่ยนสถานะของนํ้าในธรรมชาติ สื่อ Digital ขอใดเปนการเปลี่ยนสถานะของสารจากแกสไปเปนของเหลว 1. การตมนํ้า 2. การทํานํ้าแข็ง 3. การหลอเทียน 4. การทําฝนเทียม (วิเคราะหคําตอบ การตมนํ้าเปนการเปลี่ยนสถานะของสารจาก ของเหลวไปเปนแกส การทํานํ้าแข็งเปนการเปลี่ยนสถานะของสาร จากของเหลวไปเปนของแข็ง การหลอเทียนเปนการเปลี่ยนสถานะ ของสารจากของแข็งไปเปนของเหลว และการทําฝนเทียมเปนการ เปลี่ยนสถานะของสารจากแกสไปเปนของเหลว ดังนั้น ตอบขอ 4.) ขั้นสอน อธิบายความรู 1. ครูเขียนคําถามทายการทดลองบนกระดาน ดังนี้ • ความรอนที่ใชในการเปลี่ยนสถานะของนํ้าแข็ง กลายเปนนํ้าเรียกวาอะไร และอุณหภูมินี้ เรียกวาอะไร (แนวตอบ ความรอนแฝงของการหลอมเหลว, จุดหลอมเหลว) • ความรอนที่ใชในการเปลี่ยนสถานะของ ของเหลวกลายเปนไอเรียกวาอะไร และ อุณหภูมินี้เรียกวาอะไร (แนวตอบ ความรอนแฝงของการกลายเปน ไอ, จุดเดือด) • การเปลี่ยนสถานะของแกสกลายเปนของ เหลวเรียกวาอะไร และอุณหภูมินี้เรียกวา อะไร (แนวตอบ การควบแนน, จุดควบแนน) • หากนํานํ้าไปแชในอุณหภูมิตํ่าจนนํ้ากลาย เปนนํ้าแข็ง เรียกอุณหภูมินี้วาอะไร (แนวตอบ จุดเยือกแข็ง) 2. ครูใหนักเรียนลอกโจทย และตอบคําถามในสมุด 3. ครูสุมตัวแทน 4 คน ออกมาเขียนคําตอบ บนกระดานคนละ 1 ขอ 4. ครูเฉลยและอธิบายคําตอบ ขั้นสรุป ขยายความเขาใจ 1. ครูใหนักเรียนศึกษาการเปลี่ยนสถานะของนํ้า ในธรรมชาติในหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 2. ครูใหนักเรียนทําใบงาน เรื่อง ความรอนกับการ เปลี่ยนสถานะของสาร 3. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกหัดในแบบฝกหัด วิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 นํา สอน สรุป ประเมิน T12 www.aksorn.com/interactive3D/RK713 www.aksorn.com/interactive3D/RK714 www.aksorn.com/interactive3D/RK715 www.aksorn.com/interactive3D/RK716 การแข็งตัว การหลอมเหลว การควบแนน การระเหย
อุณหภูมิกับการเปลี่ยนสถานะ กิจกรรม 1. บีกเกอร์ 2. น�้ำแข็งบด 3. เทอร์มอมิเตอร์ 4. ชุดตะเกียงแอลกอฮอล์ 1. ใส่น�้ำลงในบีกเกอร์ให้สูงประมำณ 1 เซนติเมตร แล้วใส่น�้ำแข็งบดลงไป จนกระทั่งระดับน�้ำสูงขึ้นจำกก้นบีกเกอร์ 3 เซนติเมตร 2. จุ่มเทอร์มอมิเตอร์ลงในบีกเกอร์ แล้วอ่ำนอุณหภูมิของน�้ำผสมน�้ำแข็ง บันทึกอุณหภูมิที่เวลำ 0 นำที 3. ให้ควำมร้อนแก่บีกเกอร์ด้วยตะเกียงแอลกอฮอล์พร้อมจับเวลำทุก ๆ 30 วินำที แล้วอ่ำนอุณหภูมิของน�้ำ บันทึกอุณหภูมิ และ สังเกตกำรเปลี่ยนแปลงของน�้ำผสมน�้ำแข็ง 4. เมื่อน�้ำเดือดให้ต้มน�้ำต่อไปอีก 3 นำที จำกนั้นดับตะเกียงแอลกอฮอล์แล้วตั้งอุปกรณ์ทิ้งไว้ให้เย็น 5. เขียนกรำฟแสดงควำมสัมพันธ์ระหว่ำงอุณหภูมิกับเวลำลงในกระดำษกรำฟ จำกกิจกรรม พบว่ำ เมื่อน�ำน�้ำแข็งผสมกับน�้ำจะมีกำรเปลี่ยนแปลงทั้งอุณหภูมิและสถำนะ โดยขณะที่น�้ำแข็งหลอมเหลวเป็นน�้ำ น�้ำแข็งจะเปลี่ยนสถำนะจำกของแข็งเป็นของเหลว แต่อุณหภูมิจะไม่เปลี่ยนแปลง (0 องศำเซลเซียส) จำกนั้นน�้ำที่หลอมเหลวจะมี อุณหภูมิสูงขึ้นจนกระทั่งมีอุณหภูมิเท่ำกับอุณหภูมิห้อง เมื่อให้ควำมร้อนด้วยตะเกียงแอลกอฮอล์ พบว่ำ อุณหภูมิของน�้ำสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงจุดเดือด (อุณหภูมิ 100 องศำเซลเซียส) ที่บริเวณผิวหน้ำของน�้ำจะเปลี่ยนสถำนะจำกของเหลวกลำยเป็นแก๊สหรือไอน�้ำ วิธีปฏิบัติ วัสดุอุปกรณ์ ค�ำถำมท้ำยกิจกรรม 1. น�้ำผสมน�้ำแข็งมีกำรเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่ำงไร 2. หลังให้ควำมร้อนแก่น�้ำในบีกเกอร์เป็นเวลำ 3 นำที น�้ำในบีกเกอร์มีกำรเปลี่ยนแปลงอย่ำงไร อภิปรำยผลกิจกรรม จิตวิทยาศาสตร์ - ควำมสนใจใฝ่รู้ - ควำมรับผิดชอบ - ควำมรอบคอบ - กำรท�ำงำนร่วมกับผู้อื่นได้อย่ำง สร้ำงสรรค์ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ - กำรสังเกต - กำรวัด น�้ำแข็งบด เทอร์มอมิเตอร์ ตะเกียง แอลกอฮอล์ กระดำษกรำฟ ภำพที่ 1.22 9 สาร รอบตัว ขั้นสอน สํารวจคนหา 1. ครูใหนักเรียนจับกลุม 5 คน ทํากิจกรรม เรื่อง อุณหภูมิกับการเปลี่ยนสถานะ อธิบายความรู 1. ครูใหตัวแทนกลุมออกมานําเสนอผลกิจกรรม โดยครูชวยเสริมและแกไขขอมูลใหถูกตอง 2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายผลที่ไดจาก กิจกรรม 3. ครูและนักเรียนรวมกันตอบคําถามทายกิจกรรม ขั้นสรุป ขยายความรู 1. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกหัดในแบบฝกหัด วิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 ขั้นประเมิน ตรวจสอบผล 1. ครูตรวจแบบฝกหัด 2. ครูตรวจใบงาน เรื่อง ความรอนกับการเปลี่ยน สถานะของสาร 3. ครูประเมินการปฏิบัติการจากการทํากิจกรรม เรื่อง อุณหภูมิกับการเปลี่ยนสถานะ 4. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคลจาก การศึกษากิจกรรม เรื่อง การเปลี่ยนสถานะ ของนํ้า 5. ครูประเมินการนําเสนอใบงาน แนวทางการวัดและประเมินผล ครูวัดและประเมินผลความเขาใจในเนื้อหา เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร ไดจาก ประเมินการปฏิบัติการจากกิจกรรม เรื่อง อุณหภูมิกับการเปลี่ยนสถานะ โดย ศึกษาเกณฑการวัดและประเมินที่อยูในแผนการจัดการเรียนรูประจําหนวย การเรียนรูที่ 1 แนวตอบ คําถามทายกิจกรรม 1. นํ้าแข็งจะหลอมเหลวกลายเปนนํ้าจนหมด จากนั้น นํ้าจะมีอุณหภูมิสูงขึ้นเทากับอุณหภูมิหอง 2. อุณหภูมิของนํ้าจะสูงขึ้นจนกระทั่งถึงจุดเดือดที่ อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส และระเหยกลาย เปนไอนํ้า เวลา (วินาที) อุณหภูมิ ( ํC) การเปลี่ยนแปลงที่สังเกตได 0 ตํ่ากวา 25 - 30 ตํ่ากวาหรือเทากับ 25 นํ้าแข็งบดเปลี่ยนสถานะเปนของเหลว 60 สูงกวา 25 นํ้าแข็งบดมีปริมาณลดลง เนื่องจากนํ้าแข็ง เปลี่ยนสถานะเปนของเหลว 90 สูงกวา 25 นํ้าแข็งบดมีปริมาณลดลง เนื่องจากนํ้าแข็ง เปลี่ยนสถานะเปนของเหลว 120 สูงกวา 50 นํ้าแข็งบดเปลี่ยนสถานะเปนของเหลวจน หมด ทําใหปริมาณนํ้าในบีกเกอรสูงขึ้น 150 ตํ่ากวา 100 นํ้าเริ่มเดือดระเหยกลายเปนไอนํ้า 180 100 นํ้าเดือดมีฟองแกสผุดขึ้นมา 210 มากกวา 100 นํ้าเดือดระเหยกลายเปนไอนํ้า 240 มากกวา 100 ปริมาณนํ้าเริ่มลดลง เนื่องจากนํ้าระเหย กลายเปนไอนํ้า 270 มากกวา 100 ปริมาณนํ้าเริ่มลดลง เนื่องจากนํ้าระเหย กลายเปนไอนํ้า 300 มากกวา 100 ปริมาณนํ้าเริ่มลดลง เนื่องจากนํ้าระเหย กลายเปนไอนํ้า บันทึก กิจกรรม หมายเหตุ : บันทึกผลตามภาพที่เห็นจากการทดลองจริง เกณฑ์การประเมินการปฏิบัติการ ประเด็นที่ประเมิน ระดับคะแนน 4 3 2 1 1. การปฏิบัติการ ทดลอง ท าการทดลองตาม ขั้นตอน และใช้อุปกรณ์ ได้อย่างถูกต้อง ท าการทดลองตาม ขั้นตอน และใช้อุปกรณ์ ได้อย่างถูกต้อง แต่อาจ ต้องได้รับค าแนะน าบ้าง ต้องให้ความช่วยเหลือ บ้างในการท าการ ทดลอง และการใช้ อุปกรณ์ ต้องให้ความช่วยเหลือ อย่างมากในการท าการ ทดลอง และการใช้ อุปกรณ์ 2. ความ คล่องแคล่ว ในขณะ ปฏิบัติการ มีความคล่องแคล่ว ในขณะท าการทดลอง โดยไม่ต้องได้รับค า ชี้แนะ และท าการ ทดลองเสร็จทันเวลา มีความคล่องแคล่ว ในขณะท าการทดลอง แต่ต้องได้รับค าแนะน า บ้าง และท าการทดลอง เสร็จทันเวลา ขาดความคล่องแคล่ว ในขณะท าการทดลอง จึงท าการทดลองเสร็จ ไม่ทันเวลา ท าการทดลองเสร็จไม่ ทันเวลา และท า อุปกรณ์เสียหาย 3. การบันทึก สรุป และน าเสนอผล การทดลอง บันทึกและสรุปผลการ ทดลองได้ถูกต้อง รัดกุม น าเสนอผลการทดลอง เป็นขั้นตอนชัดเจน บันทึกและสรุปผลการ ทดลองได้ถูกต้อง แต่ การน าเสนอผลการ ทดลองยังไม่เป็น ขั้นตอน ต้องให้ค าแนะน าในการ บันทึก สรุป และ น าเสนอผลการทดลอง ต้องให้ความช่วยเหลือ อย่างมากในการบันทึก สรุป และน าเสนอผล การทดลอง เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 11-12 ดีมาก 9-10 ดี 6-8 พอใช้ ต่ ากว่า 6 ปรับปรุง แบบประเมินการปฏิบัติการ แผนฯที่ 1,2,7 ค าชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินการปฏิบัติการของนักเรียนตามรายการที่ก าหนด แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับ ระดับคะแนน ล าดับที่ รายการประเมินระดับคะแนน 4 3 2 1 1 การปฏิบัติการทดลอง 2 ความคล่องแคล่วในขณะปฏิบัติการ 3 การน าเสนอ รวม ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน ................./................../.................. นํา สอน สรุป ประเมิน T13
ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET อำกำศรอบตัวเรำ มีธำตุใดเป็น องค์ประกอบ Prior Knowledge 3 สารบริสุทธิ์และสารผสม สิ่งต่ำง ๆ รอบตัวเรำล้วนประกอบด้วยสำรที่มีลักษณะและสมบัติต่ำงกัน รวมไปถึงภำยในร่ำงกำยของมนุษย์ก็จะประกอบไปด้วยธำตุที่รวมกันอยู่ในรูป สำรประกอบ ซึ่งกำรศึกษำลักษณะและสมบัติของสำรจะท�ำให้เรำสำมำรถน�ำ สำรรอบตัวไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจ�ำวันได้อย่ำงถูกต้องเหมำะสม 3.1 สารบริสุทธิ์ สำรบริสุทธิ์ (pure substance) คือ สำรที่มีองค์ประกอบเพียงชนิดเดียว มีสมบัติเฉพำะทำงกำยภำพ และ ทำงเคมี ซึ่งจะมีจุดเดือด จุดหลอมเหลว และควำมหนำแน่นคงที่ โดยสำรบริสุทธิ์แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ดังนี้ 1. ธาตุ(element) คือ สำรบริสุทธิ์ที่ประกอบด้วยอะตอมเพียงชนิดเดียว ไม่สำมำรถแยกหรือสลำยออกได้ แต่สำมำรถท�ำปฏิกิริยำเคมีกลำยเป็นสำรอื่นได้ ธำตุมีทั้งที่เกิดขึ้นเองตำมธรรมชำติ เช่น ออกซิเจน ไฮโดรเจน แมกนีเซียม เป็นต้น และเกิดจำกกำรสังเครำะห์ขึ้น เช่น เทคนีเชียม พลูโทเนียม เป็นต้น นักวิทยำศำสตร์หลำยท่ำนในอดีตได้ศึกษำและเสนอแบบจ�ำลองอะตอมของธำตุไว้มำกมำย จนมำถึง ในปัจจุบันท�ำให้ทรำบว่ำอะตอมประกอบไปด้วยอนุภำคมูลฐำน คือ โปรตอน (ประจุบวก) นิวตรอน (ไม่มีประจุ) และอิเล็กตรอน (ประจุลบ) ดังรูป อิเล็กตรอน โปรตรอน นิวตรอน ภำพที่ 1.24 แบบจ�ำลองอะตอมของ ออกซิเจน ภำพที่ 1.25 แบบจ�ำลองอะตอมของ ไนโตรเจน ภำพที่ 1.26 แบบจ�ำลองอะตอมของ คำร์บอน โปรตอนและนิวตรอนรวมกันอยู่ตรงกลำง อะตอม เรียกว่ำ นิวเคลียส โดยธำตุชนิด เดียวกันจะมีจ�ำนวนโปรตอนเท่ำกัน อิเล็กตรอนเคลื่อนที่อยู่รอบนิวเคลียส เมื่อจ�ำนวนอิเล็กตรอนเท่ำกับจ�ำนวน โปรตรอน อะตอมจะเป็นกลำงทำงไฟฟ้ำ ตัวอย่าง แบบจ�ำลองอะตอมของธำตุบำงชนิด ภำพที่ 1.23 แบบจ�ำลองอะตอมของธำตุ 10 อธิบายความรู 1. ครูสุมตัวแทนนักเรียนออกมาสรางและอธิบาย แบบจําลองอะตอมดวยดินนํ้ามัน 2. ครูตรวจและเพิ่มเติมขอมูลใหถูกตอง 3. ครูยกตัวอยางแบบจําลองอะตอมของธาตุอื่น ขั้นนํา กระตุนความสนใจ 1. ครูแจงผลการเรียนรูใหนักเรียนทราบ 2. ครูถามคําถาม prior knowledge ขั้นสอน สํารวจคนหา 1. ครูใหนักเรียนศึกษาเกี่ยวกับ เรื่อง สารบริสุทธิ์ จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 2. ครูเขียนคําถามบนกระดานใหนักเรียนตอบ คําถาม ดังนี้ • สารบริสุทธิ์คืออะไร (แนวตอบ สารที่มีองคประกอบเพียงชนิดเดียว มีสมบัติทางกายภาพและสมบัติทางเคมี) • เพราะเหตุใดธาตุจึงจัดเปนสารบริสุทธิ์ (แนวตอบ เพราะธาตุประกอบดวยอะตอม เพียงชนิดเดียว) 3. ครูนํากอนดินนํ้ามันมาปนเปนลูกทรงกลม 3 ลูก 3 สี สีแดง คือ นิวตรอน สีฟา คือ โปรตอน สีเหลือง คือ อิเล็กตรอน 4. ครูใหนักเรียนสืบคนขอมูลเกี่ยวกับแบบจําลอง อะตอมของธาตุ นักเรียนควรรู 1 อนุภาค มาจากภาษาละติน หมายถึง สวนเล็กๆ ในทางวิทยาศาสตร อนุภาค หมายถึง สวนที่เล็กมากมาประกอบกันขึ้นมาเปนสสาร เชน ผลึก โมเลกุล อะตอม เปนตน ซึ่งมองไมเห็นดวยตาเปลา แตอาจมองเห็นไดดวยอุปกรณ วิเคราะหภาพชนิดตางๆ เชน กลองจุลทรรศน กลองจุลทรรศนอิเล็กตรอน เปนตน ซึ่งอนุภาคบางชนิดก็ยังไมมีเครื่องมือชนิดใดจับภาพไดโดยตรง เพียงแต พิสูจนโดยทางออมไดวามีอยูจริง ขอใดกลาวถูกตอง 1. อะตอมเปนอนุภาคที่มีขนาดใหญที่สุด 2. อิเล็กตรอนแสดงอํานาจไฟฟาเปนกลาง 3. โมเลกุลเปนอนุภาคที่เล็กที่สุดที่ไมสามารถแบงไดอีก 4. ในอะตอมที่เปนกลางทางไฟฟาจะมีจํานวนอิเล็กตรอน เทากับจํานวนโปรตอน (วิเคราะหคําตอบ ขอ 1. ไมถูกตอง อะตอมเปนอนุภาคที่มีขนาดเล็กที่สุด ขอ 2. ไมถูกตอง อิเล็กตรอนแสดงอํานาจไฟฟาเปนลบ ขอ 3. ไมถูกตอง อะตอมเปนอนุภาคที่เล็กที่สุดที่ไมสามารถ แบงไดอีก ดังนั้น ตอบขอ 4.) อะตอมประกอบไปด้วยอนุภำคมูลฐ 1 แนวตอบ prior knowledge ไนโตรเจน ออกซิเจน อารกอน คารบอน สื่อ Digital นํา นํา สอน สรุป ประเมิน T14 www.aksorn.com/interactive3D/RK712 โครงสรางอะตอม
ชื่อภาษาไทย ชื่อภาษาอังกฤษ ชื่อภาษาละติน สัญลักษณ์ของธาตุ โซเดียม Sodium Natrium Na แคลเซียม Calcium Calx Ca คำร์บอน Carbon Carbo C ซิลิคอน Silicon - Si เจอร์เมเนียม Germanium - Ge ออกซิเจน Oxygen - O ซีลีเนียม Selenium Selene Se ทังสเตน Tungsten Wolfram W ดีบุก Tin Stannum Sn ทองแดง Copper Cuprum Cu ตะกั่ว Lead Plumbum Pb เงิน Silver Argentum Ag ทองค�ำ Gold Aurum Au ทังสเตน Tungsten Wolfram W ซีเรียม Cerium - Ce โคบอลต์ Cobalt - Co โครเมียม Chromium - Cr ตารางที่ 1.1 ตัวอย่ำงชื่อและสัญลักษณ์ของธำตุบำงชนิด ไฮโดรเจน เหล็ก สังกะสี ทองแดง ตะกั่ว เงิน ปรอท ออกซิเจน ไนโตรเจน คำร์บอน ฟอสฟอรัส ก�ำมะถัน l z c L s ในอดีตจอห์น ดอลตัน นักวิทยำศำสตร์ชำวอังกฤษได้เสนอ ให้ใช้สัญลักษณ์ของธำตุเป็นรูปภำพ แต่ในปัจจุบันธำตุมีจ�ำนวนมำกขึ้น นักวิทยำศำสตร์หลำยท่ำนจึงเสนอให้ใช้สัญลักษณ์ของธำตุเป็นตัวอักษรแทน ชื่อธำตุ เพื่อให้สำมำรถสื่อควำมหมำยได้ตรงกัน โดยหลักกำรเขียนสัญลักษณ์ ของธำตุมี ดังนี้ - ถ้ำธำตุมีชื่อในภำษำละติน ให้ใช้ตัวอักษรตัวแรกในชื่อภำษำ ละตินด้วยตัวพิมพ์ใหญ่ - ถ้ำธำตุไม่มีชื่อในภำษำละติน ให้ใช้ตัวอักษรตัวแรกในชื่อภำษำ อังกฤษด้วยตัวพิมพ์ใหญ่ ภำพที่ 1.27 รูปภำพสัญลักษณ์ของธำตุในอดีต - ถ้ำชื่อธำตุมีอักษรตัวแรกซ�้ำกัน ให้ธำตุที่พบทีหลังเขียนอักษรตัวแรกเป็นตัวพิมพ์ใหญ่ แล้วเพิ่มอักษร ตัวถัดไปเป็นตัวพิมพ์เล็ก เช่น ธำตุคำร์บอน (carbon) ใช้สัญลักษณ์ C ส่วนธำตุแคลเซียม (calcium) มีอักษรตัวแรกซ�้ำกับธำตุคำร์บอน จึงเพิ่มอักษรตัวที่ 2 คือ a เข้ำไป แคลเซียมจึงใช้สัญลักษณ์ Ca 11 สาร รอบตัว ขั้นสอน สํารวจคนหา 1. ครูเกริ่นนําวา ธาตุในปจจุบันมีมากวา 117 ชนิด เราจะรูไดอยางไรวาธาตุแตละชนิดคือธาตุใด (แนวตอบ ใชสัญลักษณธาตุเปนตัวอักษรแทน ชื่อธาตุ) 2. ครูใหนักเรียนสืบคน เรื่อง หลักการเขียน สัญลักษณของธาตุ 3. ครูใหนักเรียนศึกษาตัวอยางตารางธาตุที่แสดง สัญลักษณธาตุและสัญลักษณนิวเคลียร ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET ขอใดจัดเปนธาตุ 1. นาก 2. เกลือ 3. ทองแดง 4. ทองเหลือง (วิเคราะหคําตอบ นากเปนโลหะผสมที่เกิดจากการผสมระหวาง ธาตุทองแดง ทองคํา และเงิน เกลือเปนสารประกอบที่เกิดจาก ธาตุโซเดียมและคลอรีน ทองแดงเปนธาตุ สวนทองเหลืองเปน โลหะผสมที่เกิดจากการผสมระหวางธาตุทองแดงและสังกะสี ดังนั้น ตอบขอ 3.) อธิบายความรู 1. ครูใหนักเรียนเขียนสัญลักษณของธาตุหนา ชั้นเรียน อธิบายหลักการเขียนสัญลักษณของ ธาตุชนิดนั้น 2. ครูอธิบายตารางที่ 1.1 จากหนังสือเรียน วิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 ใหนักเรียนเขาใจ สัญลักษณของธาตุมากขึ้น นักเรียนควรรู 1 ไฮโดรเจน เปนธาตุอโลหะที่ไมมีสี ไมมีกลิ่น และสามารถติดไฟได ไฮโดรเจน จะมีนํ้าหนักเบากวาอากาศมาก จึงนิยมนํามาใสในลูกโปง และเปนสารเชื้อเพลิง 2 ออกซิเจน เปนธาตุอโลหะที่ไมมีสี ไมมีกลิ่น และไมติดไฟ แตออกซิเจนชวย ทําใหไฟติด ออกซิเจนมีความจําเปนตอการดํารงชีวิตของมนุษย เมื่อเราหายใจ เขาไปจะเคลื่อนตัวไปยังสวนตางๆ ของรางกาย โดยเกาะไปกับเลือดชวยในการ เผาผลาญอาหาร ไฮโดรเจน 1 ออกซิเจน 2 นํา สอน สรุป ประเมิน T15
ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET ธาตุ ลักษณะธาตุ ที่อุณหภูมิห้อง ความแข็ง หรือ ความเหนียว การนำา ไฟฟ้า การนำา ความร้อน จุดเดือด ( ำC) จุดหลอมเหลว ( ำC) ความ หนาแน่น (g/cm3 ) ไฮโดรเจน แก๊ส - ไม่น�ำ ไม่น�ำ -253 -259 0.07 โซเดียม ของแข็งสีเงินวำว เหนียว น�ำ น�ำ 892 98 0.97 แคลเซียม ของแข็งสีเงินวำว เหนียว น�ำ น�ำ 1,490 838 1.55 แมกนีเซียม ของแข็งสีเงินวำว เหนียว น�ำ น�ำ 1,091 650 1.74 อะลูมิเนียม ของแข็งสีเงินวำว เหนียว น�ำ น�ำ 2,470 660 2.70 โบรอน ของแข็งสีด�ำ เปรำะ น�ำเล็กน้อย น�ำเล็กน้อย 3,900 2,030 2.08 คำร์บอน ของแข็งสีด�ำ เปรำะ น�ำ น�ำ 4,830 3,730 2.26 ซิลิคอน ของแข็งสีเงินวำว เปรำะ น�ำเล็กน้อย น�ำเล็กน้อย 2,680 1,410 2.33 ฟอสฟอรัส ของแข็งสีขำว เปรำะ ไม่น�ำ ไม่น�ำ 280 44 2.34 ก�ำมะถัน ของแข็งสีเหลือง เปรำะ ไม่น�ำ ไม่น�ำ 445 113 1.96 ออกซิเจน แก๊ส - ไม่น�ำ ไม่น�ำ -183 -219 1.15 ฟลูออรีน แก๊ส - ไม่น�ำ ไม่น�ำ -188 -220 1.10 คลอรีน แก๊ส - ไม่น�ำ ไม่น�ำ -35 -110 3.21 โบรมีน แก๊ส - ไม่น�ำ ไม่น�ำ 58.8 -7.2 3.10 ฮีเลียม แก๊ส - ไม่น�ำ ไม่น�ำ -452.07 -272.2 0.17 ปรอท ของเหลวสีเงิน - น�ำ น�ำ 356.6 -38.9 13.58 เหล็ก ของแข็งสีด�ำ เหนียว น�ำ น�ำ 2,750 1,535 7.86 ตารางที่ 1.2 สมบัติบำงประกำรของธำตุบำงชนิด นอกจำกนี้ยังสำมำรถเขียนสัญลักษณ์ของธำตุในรูปสัญลักษณ์นิวเคลียร์เพื่อแสดงรำยละเอียดที่เกี่ยวข้อง กับอนุภำคที่อยู่ภำยในนิวเคลียสของอะตอม ซึ่งมีวิธีกำรเขียน ดังนี้ A Z X เลขมวล = จ�ำนวนโปรตอน + จ�ำนวนนิวตรอน เลขอะตอม = จ�ำนวนโปรตอน สัญลักษณ์ของธำตุ ภำพที่ 1.28 กำรเขียนสัญลักษณ์นิวเคลียร์ของธำตุ ตัวอย่ำงเช่น 23 11Na แสดงว่ำ ธำตุโซเดียมมีเลขมวลเท่ำกับ 23 และมีเลขอะตอมหรือจ�ำนวนโปรตอน เท่ำกับ 11 ธำตุแต่ละชนิดมีสมบัติเฉพำะตัว แต่อำจมีสมบัติทำงกำยภำพบำงประกำรเหมือนกัน ดังตำรำง 12 ไอออนของธาตุ X มีจํานวนโปรตอน นิวตรอน และอิเล็กตรอน เทากับ 9 10 และ 10 ตามลําดับ ธาตุ X มีสัญลักษณเปนไปตาม ขอใด 1. 19 9 X 2. 20 11X 3. 21 9 X 4. 20 11X (วิเคราะหคําตอบ ธาตุ X มีโปรตอนเทากับ 9 แสดงวา เลขลาง คือ 9 สวนเลขบนเกิดจากโปรตอน รวมกับนิวตรอนมีคาเทากับ 19 ดังนั้น ตอบขอ 1.) ขั้นสอน สํารวจคนหา 4. ครูใหนักเรียนสืบคน เรื่อง การเขียนสัญลักษณ นิวเคลียรของธาตุ ในหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 5. ครูใหนักเรียนศึกษาสมบัติของธาตุในตารางที่ 1.2 กับตารางธาตุ ในหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 อธิบายความรู 3. ครูสุมเรียกนักเรียน 5 คน ออกมาเขียน สัญลักษณ และสัญลักษณนิวเคลียรของธาตุที่ กําหนดใหบนกระดาน ดังนี้ - ทองคํา - ซีนอน - เงิน - ปรอท - สังกะสี 4. ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ เกร็ดแนะครู ครูอธิบายเสริมเกี่ยวกับสมบัติของธาตุวา ธาตุโลหะสวนใหญเมื่อเคาะจะเกิด เสียงดังกังวาน ซึ่งตางกับธาตุอโลหะเมื่อเคาะแลวจะไมเกิดเสียงดังกังวาน และ ธาตุโลหะสวนใหญเปนธาตุที่ใหอิเล็กตรอนแกธาตุอื่น ทําใหเกิดเปนไอออนบวก สวนธาตุอโลหะมักเปนธาตุที่ชอบรับอิเล็กตรอนจากธาตุอื่น จึงทําใหเกิดไอออน ลบ นอกจากนี้ เมื่อธาตุโลหะอยูในรูปสารประกอบออกไซดจะมีสมบัติเปนเบส สวนสารประกอบอโลหะออกไซดจะมีสมบัติเปนกรด นํา สอน สรุป ประเมิน T16
จะเห็นว่ำสมบัติต่ำง ๆ ของธำตุบำงชนิด เช่น กำรน�ำไฟฟ้ำ จุดเดือด จุดหลอมเหลว เป็นต้น มีควำม คล้ำยคลึงกัน เมื่อน�ำมำจัดกลุ่มจะแบ่งธำตุออกได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่ ธำตุโลหะ อโลหะ และกึ่งโลหะ 1) ธาตุโลหะ (metal element) เป็นธำตุที่มีสถำนะเป็นของแข็งที่อุณหภูมิห้อง ยกเว้นปรอทมีสถำนะ เป็นของเหลว ส่วนมำกผิวของโลหะเป็นมันวำว น�ำไฟฟ้ำ และน�ำควำมร้อนได้ดี มีจุดเดือดและจุดหลอมเหลวสูง สำมำรถดึงหรือตีเป็นแผ่นบำง ๆ ได้ มีควำมหนำแน่นทั้งสูงและต�่ำ มีควำมแข็งและเหนียว ท�ำให้เปลี่ยนแปลงรูปร่ำงได้ จึงนิยมน�ำมำใช้ในงำนก่อสร้ำง ตัวอย่ำงธำตุโลหะ เช่น ลิเทียม (Li) โซเดียม (Na) โพแทสเซียม (K) แมกนีเซียม (Mg) แคลเซียม (Ca) เป็นต้น 2) ธาตุกึ่งโลหะ (semi-metal element) เป็นธำตุที่มีสมบัติก�้ำกึ่งระหว่ำงธำตุโลหะกับธำตุอโลหะ โดยมี สมบัติบำงประกำรเหมือนโลหะ และมีสมบัติบำงประกำรเหมือนอโลหะ ส่วนใหญ่ธำตุกึ่งโลหะมีสมบัติเป็นสำรกึ่งตัวน�ำ (semi-conductors) ซึ่งน�ำไฟฟ้ำไม่ดีเมื่ออยู่ที่อุณหภูมิห้อง แต่จะน�ำไฟฟ้ำได้ดีเมื่อมีอุณหภูมิสูงขึ้น มีทั้งสิ้น 8 ธำตุ ได้แก่ โบรอน (B) ซิลิคอน (Si) เจอร์เมเนียม (Ge) สำรหนูหรืออำร์เซนิก (As) พลวงหรือแอนติโมนี (Sb) เทลลูเรียม (Te) พอโลเนียม (Po) และแอสทำทีน (At) เป็นต้น 3) ธาตุอโลหะ (non-metal element) เป็นธำตุที่มีทั้ง 3 สถำนะ คือ ของแข็ง ของเหลว และแก๊ส ส่วนมำก ธำตุอโลหะจะมีสมบัติตรงข้ำมกับธำตุโลหะ เช่น มีจุดเดือดและจุดหลอมเหลวต�่ำ ผิวไม่มันวำว ไม่น�ำไฟฟ้ำ และไม่น�ำ ควำมร้อน มีควำมหนำแน่นต�่ำ เปรำะและแตกหักง่ำย ตัวอย่ำงธำตุอโลหะ เช่น คำร์บอน (C) ฟอสฟอรัส (P) ก�ำมะถัน (S) โบรมีน (Br) ออกซิเจน (O) ไนโตรเจน (N) คลอรีน (Cl) เป็นต้น 71 Lu 174.97 103Lr (262) 57 La 138.91 89 Ac (227) 58 Ce 140.12 90 Th 232.04 59Pr 140.91 91 Pa 231.04 60 Nd 144.24 92 U 238.03 61 Pm (145) 93 Np (237) 62 Sm 150.36 94 Pu (244) 63 Eu 151.96 95 Am (243) 64 Gd 157.25 96 Cm (247) 66 Dy 162.50 98Cf (251) 67 Ho 164.93 99 Es (252) 68Er 167.26 100 Fm (257) 69 Tm 168.93 101 Md (258) 70 Yb 173.04 102 No (259) 65 Tb 158.93 97 Bk (247) 1 H 1.0079 3 Li 6.941 4 Be 9.0122 11 Na 22.990 12 Mg 24.305 19K 39.098 20 Ca 40.078 21 Sc 44.956 22Ti 47.867 23V 50.942 24 Cr 51.996 25 Mn 54.938 26 Fe 55.845 27 Co 58.933 28 Ni 58.693 29 Cu 63.546 30 Zn 65.39 5 B 10.811 6 C 12.011 7 N 14.007 8 O 15.999 9 F 18.998 10 Ne 20.180 2 He 4.0026 18Ar 39.948 17 Cl 35.453 36Kr 83.80 54 Xe 131.29 86 Rn (222) 118 Og (294) 14Si 28.086 15P 30.974 16S 32.065 13Al 26.982 31 Ga 69.723 32 Ge 72.64 33 As 74.922 34 Se 78.96 35Br 79.904 37 Rb 85.468 38Sr 87.62 39Y 88.906 40Zr 91.224 41 Nb 92.906 42 Mo 95.94 43 Tc (98) 44 Ru 101.07 45 Rh 102.91 46 Pd 106.42 47 Ag 107.87 48 Cd 112.41 49In114.82 50 Sn 118.71 51 Sb 121.76 52 Te 127.60 53 I 126.90 55 Cs 132.91 56 Ba 137.33 72Hf 178.49 73 Ta 180.95 74W 183.84 75 Re 186.21 76 Os 190.23 77 Ir 192.22 78Pt 195.08 79 Au 196.97 81Tl 204.38 113 Nh (284) 115 Mc (288) 82 Pb 207.2 83Bi 208.98 84 Po (209) 116 Lv (292) 85At (210) 117 Ts (294) 80 Hg 200.59 * ** 87Fr (223) 88 Ra (226) 104Rf (261) 105 Db (262) 106 Sg (266) 107 Bh (264) 108 Hs (277) 109 Mt (268) 110 Ds (281) 111 Rg (272) 114 Fl (289) 112 Cn (285) ธำตุโลหะ ธำตุกึ่งโลหะ ธำตุอโลหะ ภำพที่ 1.29 ตำรำงธำตุ 13 สาร รอบตัว ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET ขั้นสอน สํารวจคนหา 1. ครูถามถามคําถามตอไปนี้ • แนวโนมของธาตุในตารางธาตุสามารถแบง ธาตุออกเปนกี่ประเภท และแตละประเภท มีลักษณะอยางไร (แนวตอบ 3 ประเภท คือ โลหะ อโลหะ และ กึ่งโลหะ) 2. ครูเตรียมอุปกรณการทดลอง เรื่อง สมบัติของ ธาตุ ไดแก ตะปูเหล็ก กํามะถัน กระดาษ - ทราย สายไฟ ถานไฟฉาย และหลอดไฟ จากนั้นครูใหแตละกลุมทดสอบสมบัติของธาตุ ตามขั้นตอน ดังนี้ - ใชกระดาษทรายขัดผิวธาตุ แลวสังเกตความมันวาว - ใหนักเรียนตอวงจรไฟฟา ดังภาพ แลวสังเกตความ สวางของหลอดไฟ 3. ครูใหนักเรียนตอบคําถามจากการทํากิจกรรม ตอไปนี้ • เมื่อใชกระดาษทรายขัดผิวตะปูเหล็ก ผิวของ ตะปูเหล็กมีลักษณะอยางไร (แนวตอบ มีผิวมันวาว) • เมื่อใชกระดาษทรายขัดผิวกํามะถัน กํามะถันมีลักษณะอยางไร (แนวตอบ ไมเกิดการเปลี่ยนแปลง) • เมื่อนําตะปูเหล็กไปตอกับวงจรไฟฟา หลอดไฟสวางหรือไม (แนวตอบ หลอดไฟสวาง) • เมื่อนํากํามะถันไปตอกับวงจรไฟฟา หลอดไฟสวางหรือไม (แนวตอบ หลอดไฟไมสวาง) ขอใดไมใชสมบัติของธาตุกึ่งโลหะ 1. เปราะเหมือนอโลหะ 2. มีความมันวาวเหมือนโลหะ 3. มีสมบัติกึ่งกลางระหวางโลหะกับอโลหะ 4. นําไฟฟาไดดีที่อุณหภูมิหอง แตเมื่ออุณหภูมิสูงจะนําไฟฟา ไดไมดี (วิเคราะหคําตอบ สวนใหญธาตุกึ่งโลหะมีสมบัติเปนสารกึ่งตัวนํา ซึ่งจะนําไฟฟาไมดีเมื่ออยูที่อุณหภูมิหอง แตจะนําไฟฟาไดดี เมื่อ มีอุณหภูมิสูงขึ้น ดังนั้น ตอบขอ 4.) ถานไฟฉาย หลอดไฟ ธาตุที่นํามาทดลอง เกร็ดแนะครู ครูอาจเสริมความรูใหแกนักเรียนวา ธาตุแบงออกเปน 2 กลุม คือ ธาตุกลุม A เรียกวา ธาตุเรพรีเซนเททีฟ และธาตุกลุม B เรียกวา ธาตุแทรนซิชัน โดยธาตุ เรพรีเซนเททีฟจะมีทั้งธาตุโลหะ อโลหะ และกึ่งโลหะ สวนธาตุแทรนซิชันจะเปน ธาตุโลหะ ซึ่งโลหะแทรนซิชันนั้นจะมีความเปนโลหะนอยกวาโลหะในกลุมธาตุ เรพรีเซนเททีฟ นํา สอน สรุป ประเมิน T17
ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET ประเภทของธาตุ ธาตุ ธาตุ ธาตุ ประโยชน์ ประโยชน์ ประโยชน์ ธาตุโลหะ ธาตุกึ่งโลหะ ธาตุอโลหะ • โครเมียม (Cr) • โบรอน (B) • ออกซิเจน (O) • อะลูมิเนียม (Al) • ซิลิกอน (Si) • ไอโอดีน (I) • สังกะสี (Zn) • อำร์เซนิก (As) • คลอรีน (Cl) • ตะกั่ว (Pb) • เจอร์เมเนียม (Ge) • ก�ำมะถัน (S) • ฟอสฟอรัส (P) • คำร์บอน (C) • ปรอท (Hg) • ทองแดง (Cu) • ทังสเตน (W) • เหล็ก (Fe) ใช้เคลือบผิวโลหะป้องกันสนิม ใช้ท�ำส่วนประกอบของเครื่องบิน ใช้เป็นส่วนประกอบในถ่ำนไฟฉำย ใช้ในงำนบัดกรี เชื่อมโลหะ แบตเตอรี่ ใช้บรรจุในเทอร์มอมิเตอร์ ใช้ท�ำสำยไฟ ใช้ท�ำไส้หลอดไฟ เป็นองค์ประกอบของเฮโมโกลบินในเซลล์เม็ดเลือดแดง ใช้ควบคุมปฏิกิริยำนิวเคลียร์ เป็นสำรกึ่งตัวน�ำ ใช้ท�ำวงจรไฟฟ้ำขนำดเล็ก ใช้ท�ำยำฆ่ำแมลง เป็นองค์ประกอบส�ำคัญในอุตสำหกรรมแก้ว จ�ำเป็นต่อกระบวนกำรหำยใจของสิ่งมีชีวิต ใช้ท�ำทิงเจอร์ไอโอดีน ใช้ท�ำยำฆ่ำแมลง ใช้ในอุตสำหกรรมฟอกสี ใช้ฆ่ำเชื้อในน�้ำประปำ เป็นองค์ประกอบของเคอรำตินในผม ขน เล็บ ใช้ท�ำไม้ขีดไฟ ธูป ประทัด พรุ ใช้ท�ำไส้ดินสอ ท�ำเครื่องประดับ เช่น เพชร ธำตุโลหะ ธำตุอโลหะ และธำตุกึ่งโลหะ มีสมบัติเฉพำะตัวที่แตกต่ำงกัน ซึ่งสมบัติดังกล่ำวถูกน�ำมำใช้ ประโยชน์ในด้ำนต่ำง ๆ เช่น ด้ำนอุตสำหกรรม ด้ำนกำรเกษตร ด้ำนกำรแพทย์ เป็นต้น ดังนี้ ภำพที่ 1.30 ประโยชน์ของธำตุโลหะ ภำพที่ 1.31 ประโยชน์ของธำตุกึ่งโลหะ ภำพที่ 1.32 ประโยชน์ของธำตุอโลหะ 14 ขอใดมีการใชประโยชนจากธาตุไมถูกตอง 1. อะลูมิเนียมใชทําแผนหออาหาร 2. ทองแดงใชทํามอเตอรไฟฟา 3. ทองคําใชทําเครื่องประดับ 4. คลอรีนใชเปนตัวนําไฟฟา (วิเคราะหคําตอบ สวนใหญธาตุอโลหะมีสมบัติตรงขามกับธาตุ โลหะ คือ ไมนําไฟฟา ไมนําความรอน มีจุดเดือด จุดหลอมเหลวตํ่า ผิวไมมันวาว ความหนาแนนตํ่า เปราะ และแตกหักงาย คลอรีน จึงไมเหมาะแกการเปนตัวนําไฟฟา ดังนั้น ตอบขอ 4.) ขั้นสอน สํารวจคนหา 1. ครูใหนักเรียนระดมความคิดวา ในปจจุบันเรา นําธาตุมาใชประโยชนอะไรบาง 2. ครูใหนักเรียนแบงกลุมออกเปน 4 กลุม สืบคน ประโยชนของธาตุใหมากที่สุด อธิบายความรู 1. ครูสุมตัวแทนกลุมออกมานําเสนอผลจากการ สืบคนประโยชนของธาตุ 2. ครูอธิบายและยกตัวอยางธาตุที่มีความสําคัญ ตอประเทศในหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 ขั้นสรุป ขยายความรู 1. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกหัดในแบบฝกหัด วิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 ขั้นประเมิน ตรวจสอบผล 1. ครูตรวจแบบฝกหัด 2. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายกลุมจากการ สืบคนประโยชนของธาตุ 3. ครูประเมินการนําเสนอประโยชนของธาตุ โดย ใชแบบประเมินการนําเสนอผลงาน แนวทางการวัดและประเมินผล ครูวัดและประเมินผลความเขาใจในเนื้อหา เรื่อง สารบริสุทธิ์ ไดจากแบบ สังเกตพฤติกรรมการทํางานรายกลุมจากการสืบคนประโยชนของธาตุและ จากแบบประเมินการนําเสนอผลงานหนาชั้นเรียน โดยศึกษาเกณฑการวัดและ ประเมินที่อยูในแผนการจัดการเรียนรูประจําหนวยการเรียนรูที่ 1 แบบประเมินการน าเสนอผลงาน ค าชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินการน าเสนอผลงาน แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับคะแนน ล าดับที่ รายการประเมินระดับคะแนน 3 2 1 1 ความถูกต้องของเนื้อหา 2 ภาษาที่ใช้เข้าใจง่าย 3 ประโยชน์ที่ได้จากการน าเสนอ 4 วิธีการน าเสนอผลงาน 5 ความสวยงามของผลงาน รวม ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน .............../................/................ เกณฑ์การให้คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 14-15 ดีมาก 11-13 ดี 8-10 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง นํา สอน สรุป ประเมิน T18
ธำตุโลหะ อโลหะ และกึ่งโลหะในธรรมชำติบำงชนิดสำมำรถแผ่รังสีได้อย่ำงต่อเนื่อง เรียกธำตุเหล่ำนี้ว่ำ ธาตุกัมมันตรังสี (radioactive element) เช่น ยูเรเนียม (238 92U) เรเดียม (226 88Ra) ทอเรียม (232 90Th) เป็นต้น เนื่องจำก นิวเคลียสภำยในอะตอมของธำตุไม่เสถียร จึงต้องมีกำรเปลี่ยนแปลงไปเป็นธำตุที่มีควำมเสถียรมำกขึ้นโดยกำร สลำยตัวแล้วปล่อยอนุภำคภำยในนิวเคลียสออกมำในรูปของรังสี เรียกรังสีที่แผ่ออกมำจำกธำตุว่ำ กัมมันตภาพรังสี (radioactivity) ซึ่งมี 3 ประเภท ดังนี้ 1) อนุภาคแอลฟา (α หรือ 4 2 He2+ ) เป็นอนุภำคที่มีโปรตอนและนิวตรอนอย่ำงละ 2 อนุภำค แต่ไม่มี อิเล็กตรอน เมื่อผ่ำนเข้ำไปในสนำมแม่เหล็กจะเบี่ยงเบนเข้ำหำขั้วลบ มีอ�ำนำจทะลุทะลวงต�่ำ ไม่สำมำรถทะลุผ่ำน แผ่นกระดำษบำง ๆ ได้ 2) อนุภาคบีตา (β) เป็นอนุภำคที่เกิดจำกกำรสลำยตัวของนิวเคลียสที่มีจ�ำนวนโปรตอนมำกเกินไป หรือน้อยเกินไป มีอ�ำนำจทะลุทะลวงสูงกว่ำรังสีแอลฟำประมำณ 100 เท่ำ แต่ไม่สำมำรถทะลุผ่ำนแผ่นอะลูมิเนียม หนำ 2 มิลลิเมตรได้ ซึ่งรังสีบีตำแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ดังนี้ - บีตำลบหรืออิเล็กตรอน ใช้สัญลักษณ์ β- หรือ 0 -1e เกิดจำกกำรสลำยตัวของนิวเคลียสที่มีนิวตรอน มำกกว่ำโปรตอน ดังนั้น ต้องลดจ�ำนวนนิวตรอนลงเพื่อให้นิวเคลียสเสถียร เมื่อผ่ำนเข้ำไปในสนำม ไฟฟ้ำจะเบี่ยงเบนเข้ำหำขั้วบวก - บีตำบวกหรือโพสิตรอน ใช้สัญลักษณ์ β+ หรือ 0 +1e เกิดจำกกำรสลำยตัวของนิวเคลียสที่มีโปรตอน มำกกว่ำนิวตรอน ดังนั้น ต้องลดจ�ำนวนโปรตอนลงเพื่อให้นิวเคลียสเสถียร เมื่อผ่ำนเข้ำไปในสนำม ไฟฟ้ำจะเบี่ยงเบนเข้ำหำขั้วลบ 3) รังสีแกมมา (γ) เป็นอนุภำคที่ไม่มีประจุและมวล จึงไม่เบี่ยงเบนในสนำมแม่เหล็ก มีสมบัติเป็น คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำที่มีควำมยำวคลื่นสั้น ท�ำให้มีอ�ำนำจทะลุทะลวงสูงกว่ำรังสีบีตำมำก แต่ไม่สำมำรถทะลุผ่ำนแผ่น ตะกั่วหนำ 10 เซนติเมตรได้ ส่วนใหญ่มักเกิดจำกธำตุที่แผ่รังสีแอลฟำออกมำแล้วนิวเคลียสของธำตุยังไม่เสถียร จึงต้อง ปลดปล่อยพลังงำนออกมำในรูปของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำ ภำพที่ 1.33 ควำมสำมำรถในกำรทะลุทะลวงของรังสีแอลฟำ บีตำ และแกมมำ นิวเคลียส ที่ก�ำลังสลำยตัว อนุภำคแอลฟำ ถูกกั้นด้วยกระดำษ อนุภำคบีตำถูกกั้น ด้วยแผ่นอะลูมิเนียม รังสีแกมมำถูกกั้น ด้วยแท่งตะกั่ว แท่งตะกั่ว หนำ 10 เซนติเมตร แผ่นอะลูมิเนียม หนำ 2 มิลลิเมตร แผ่นกระดำษ 15 สาร รอบตัว ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET ขอใดเรียงลําดับอํานาจทะลุทะลวงของรังสีจากสูงไปตํ่าไดถูกตอง 1. แอลฟา บีตา แกมมา 2. บีตา แอลฟา แกมมา 3. แกมมา บีตา แอลฟา 4. แอลฟา แกมมา บีตา (วิเคราะหคําตอบ รังสีแอลฟามีอํานาจทะลุทะลวงตํ่าที่สุด รังสี บีตามีอํานาจทะลุทะลวงมากกวารังสีแอลฟาประมาณ 100 เทา สวนรังสีแกมมามีอํานาจทะลุทะลวงสูงกวารังสีบีตามาก จึงมี อํานาจทะลุทะลวงสูงที่สุด ดังนั้น ตอบขอ 3.) ขั้นสอน สํารวจคนหา 1. ครูเตรียมชุดแบบจําลองนิวเคลียสของอะตอม 3 นิวเคลียส ไดแก นิวเคลียสที่มีจํานวน โปรตอนเทากับ มากกวา และนอยกวานิวตรอน 2. ครูใหนักเรียนศึกษานิวเคลียสของธาตุ กัมมันตรังสีจากแบบจําลองดินนํ้ามัน 3. ครูใหนักเรียนแบงกลุมทําใบงาน เรื่อง ธาตุ กัมมันตรังสี ตอนที่ 1 อธิบายความรู 1. ครูสุมตัวแทนกลุมออกมานําเสนอใบงาน 2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายผลและถาม คําถามนักเรียน ขั้นนํา กระตุนความสนใจ 1. ครูแจงผลการเรียนรูใหนักเรียนทราบ 2. ครูกระตุนความสนใจของนักเรียน โดยเปด วีดิทัศน เรื่อง ผลกระทบนิวเคลียรฟุกุชิมะ จากนั้นครูถามคําถาม ดังนี้ • จากขาวผลกระทบนิวเคลียรฟุกุชิมะ เกิดการรั่ว ไหลของสารใด (แนวตอบ สารกัมมันตรังสี) • สารกัมมันตรังสี สงผลกระทบตอสิ่งมีชีวิต อยางไร (แนวตอบ พิจารณาตามคําตอบของนักเรียน โดยใหอยูในดุลยพินิจของครูผูสอน ตัวอยาง เชน ทําใหเกิดการกลายพันธุ เปนตน) • ธาตุที่เปนองคประกอบของสารกัมมันตรังสี มีลักษณะอยางไร จึงทําใหเกิดผลกระทบ ตางๆ ตอสิ่งมีชีวิต (แนวตอบ พิจารณาตามคําตอบของนักเรียน โดย ใหอยูในดุลยพินิจของครูผูสอน ตัวอยางเชน ธาตุอาจมีการแผกระจายของรังสี เปนตน) นักเรียนควรรู 1 ยูเรเนียม ธาตุที่มีเลขอะตอม 92 มีสัญลักษณเปน U เปนธาตุโลหะหนัก กัมมันตรังสี ตามธรรมชาติมีลักษณะสีเงินวาว อยูในกลุมแอกทิไนด 2 เรเดียม ธาตุที่มีเลขอะตอม 88 มีสัญลักษณเปน Ra เปนธาตุโลหะแอลคาไลนเอิรท ถูกคนพบโดยมารี กูรี ขณะบริสุทธิ์จะมีสีขาว และจะดําลงเมื่อสัมผัสกับ อากาศในธรรมชาติพบอยูกับแรยูเรเนียม เรเดียมเปนธาตุกัมมันตรังสีชนิดเขมขน 3 ทอเรียม ธาตุที่มีเลขอะตอม 90 มีสัญลักษณเปน Th เปนธาตุโลหะ กัมมันตภาพรังสีที่พบในธรรมชาติ เมื่อบริสุทธิ์มีสีเงินวาว ออนนุม เมื่อสัมผัสกับ อากาศจะหมองเปนสีนํ้าตาลหรือสีดํา เมื่อถูกทําใหรอนในอากาศ โลหะทอเรียม จะติดไฟไดเองเกิดเปนแสงจาสีขาว มีอัตราการแผรังสีมากกวายูเรเนียม มักใชใน การทําปฏิกรณนิวเคลียร ) เช่น ยูเรเนียม ( 1 ) เรเดียม ( 2 ) ทอเรียม ( 3 นํา นํา สอน สรุป ประเมิน T19
ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET • ไอโอดีน-131 (I-131) ใช้ตรวจควำมผิดปกติของต่อมไทรอยด์ • โคบอลต์-60 (Co-60) สำมำรถท�ำลำยเซลล์มะเร็ง และยับยั้ง กำรเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ • เรเดียม-226 (Ra-226) ช่วยยับยั้งกำรเจริญเติบโตของเซลล์ มะเร็งโดยกำรฉำยรังสี • ฟอสฟอรัส-32 (P-32) ใช้รักษำโรคมะเร็งเม็ดเลือดขำว (ลูคีเมีย) ด้วยกำรให้รับประทำน หรือฉีดเข้ำกระแสเลือด นอกจำกนี้ยังใช้ตรวจหำเซลล์มะเร็ง และตรวจปริมำณเลือด ของผู้ป่วยที่จะเข้ำรับกำรผ่ำตัด • โซเดียม-24 (Na-24) ใช้ตรวจกำรหมุนเวียนของเลือด • รังสีแกมมำ (γ) ใช้ฆ่ำเชื้อแบคทีเรียในอำหำร • โคบอลต์-60 (Co-60) ช่วยยับยั้งกำรเจริญเติบโตของเชื้อ จุลินทรีย์ในอำหำร ผัก และผลไม้ • ฟอสฟอรัส-32 (P-32) ใช้ศึกษำควำมต้องกำรปุ๋ยของพืช โดยวัดปริมำณรังสีของใบ ปรับปรุงเมล็ดพันธุ์ที่ต้องกำร • โพแทสเซียม-32 (K-32) ใช้หำอัตรำกำรดูดซึมของต้นไม้ • ยูเรเนียม-235 (U-235) ใช้เป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้ำนิวเคลียร์ ใช้ในอุตสำหกรรมผลิตเครื่องบินยำนอวกำศ • รังสีบีตำ (β) ช่วยควบคุมควำมหนำของแผ่นโลหะ • รังสีแกมมำ (γ) ใช้หำรอยรั่วของท่อล�ำเลียงน�้ำ • รังสีแกมมำ นิวตรอน และอิเล็กตรอน ท�ำให้อัญมณีมีสีสัน สวยงำมมำกขึ้น • คำร์บอน-14 (C-14) ใช้ค�ำนวณหำอำยุของวัตถุโบรำณ อำยุ ของหิน เปลือกโลก และอำยุของซำกฟอสซิลต่ำง ๆ ด้านอุตสาหกรรม ด้านการแพทย์ ด้านธรณีวิทยา ด้านการเกษตร ภำพที่ 1.34 ประโยชน์ในด้ำนอุตสำหกรรม ภำพที่ 1.36 ประโยชน์ในด้ำนกำรเกษตร ภำพที่ 1.37 ประโยชน์ในด้ำนธรณีวิทยำ ภำพที่ 1.35 ประโยชน์ในด้ำนกำรแพทย์ ธำตุคำร์บอนในธรรมชำติประกอบด้วย 3 ไอโซโทป คือ คำร์บอน-12 คำร์บอน-13 และคำร์บอน-14 โดยไอโซโทป 2 ชนิดแรก เป็นไอโซโทปที่เสถียร ส่วนคำร์บอน-14 เกิดจำกปฏิกิริยำนิวเคลียร์ระหว่ำงอนุภำคนิวตรอนกับอะตอมของธำตุไนโตรเจน เมื่อรวมตัวกับแก๊สออกซิเจนจะเป็นแก๊สคำร์บอนไดออกไซด์ เข้ำสู่สิ่งมีชีวิตด้วยกระบวนกำรสังเครำะห์ด้วยแสง และกำรรับประทำน พืชเป็นอำหำร Focus Science ธำตุคำร์บอนในธรรมชำติ รังสีที่แผ่ออกมำจำกธำตุมีพลังงำนสูงและมีอ�ำนำจทะลุทะลวงในระดับที่แตกต่ำงกัน สำมำรถน�ำไปประยุกต์ ใช้ให้เกิดประโยชน์ในด้ำนต่ำง ๆ ดังนี้ 16 ขอใดเปนประโยชนของธาตุไอโอดีน-131 1. ใชฆาเชื้อแบคทีเรีย 2. ใชทําลายเซลลมะเร็ง 3 ใชรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาว 4. ใชรักษามะเร็งตอมไทรอยด (วิเคราะหคําตอบ ธาตุไอโอดีน-131 นํามาใชในการรักษามะเร็ง ตอมไทรอยด ดังนั้น ตอบขอ 4.) ขั้นสอน สํารวจคนหา 1. ครูถามนักเรียนเพิ่มเติมวา จากการศึกษา ลักษณะของธาตุกัมมันตรังสี นักเรียนคิดวา ธาตุกัมมันตรังสีมีประโยชนตอสิ่งมีชีวิตหรือ ไม อยางไร (แนวตอบ พิจารณาตามคําตอบของนักเรียน โดยใหอยูในดุลยพินิจของครูผูสอน ตัวอยาง เชน ใชในโรงไฟฟานิวเคลียร ใชในการตรวจ หาโรค ใชปรับปรุงพันธุสิ่งมีชีวิต เปนตน) 2. ครูใหนักเรียนแตละกลุมสุมจับฉลากหัวขอ การนําความรูเกี่ยวกับธาตุกัมมันตรังสีไปใชใน ดานตางๆ ดังนี้ - ดานอุตสาหกรรม - ดานการแพทย - ดานการเกษตร - ดานธรณีวิทยา อธิบายความรู 1. ครูใหนักเรียนแตละกลุมออกมานําเสนอตาม หัวขอที่แตละกลุมจับฉลากได จากนั้นให นักเรียนแตละกลุมบันทึกคําตอบลงในใบงาน เรื่อง ธาตุกัมมันตรังสี ตอนที่ 2 2. ครูและนักเรียนรวมกันแสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับประโยชนที่ไดรับจากการทํากิจกรรม และการนําความรูที่ไดไปใชประโยชน ติประกอบด้วย 3 ไอโซโทป คือ ค 1 นักเรียนควรรู 1 ไอโซโทป (isotope) คือ ธาตุชนิดเดียวกันจะมีเลขอะตอม (Z) เทากัน แต มีเลขมวล (A) ไมเทากัน ตัวอยางเชน อะตอมของไฮโดรเจนมีเลขอะตอมเทากัน แตแตกตางกันที่จํานวนนิวตรอน ไดแก ไฮโดรเจน (Hydrogen) มี 1 โปรตอนและไมมีนิวตรอน มีสัญลักษณ 1 1 H ดิวทีเรียม (Deuterium) มี 1 โปรตอน และ 1 นิวตรอน มีสัญลักษณ 2 1 H ทริเทียม (Tritium) มี 1 โปรตอน และ 2 นิวตรอน มีสัญลักษณ 3 1 H นํา สอน สรุป ประเมิน T20
มนุษย์น�ำธำตุหลำยชนิดมำประยุกต์ใช้ประโยชน์ในด้ำนต่ำง ๆ ซึ่งธำตุเหล่ำนี้เกิดขึ้นเองตำมธรรมชำติ เป็นทรัพยำกรทำงธรรมชำติที่มี ควำมส�ำคัญ และมีบทบำทต่อกำรตอบสนองควำมต้องกำรด้ำนต่ำง ๆ ของมนุษย์ เช่น ด้ำนอุตสำหกรรม ด้ำนกำรแพทย์ ด้ำนกำรเกษตร ด้ำนเศรษฐกิจ และด้ำนสังคม เป็นต้น แต่ในทำงกลับกันกำรน�ำธำตุไปใช้ ประโยชน์อำจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ตำมมำ เช่น ปัญหำดิน น�้ำ ปนเปอน เป็นต้น จำกโลหะหนักที่อยู่ในรูปของสำรพิษจำกกำรใช้ยำฆ่ำแมลง หรือของเสียจำกโรงงำนอุตสำหกรรม เช่น ปรอท สำรหนู ตะกั่ว แคดเมียม เป็นต้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผลผลิตทำงกำรเกษตร เมื่อผู้บริโภครับประทำน เข้ำไปจะท�ำอันตรำยต่อสุขภำพ และก่อให้เกิดโรคต่ำง ๆ ปัจจุบันธำตุกัมมันตภำพรังสีถูกน�ำมำใช้ประโยชน์อย่ำงมำก แต่ผลกระทบของกัมมันตภำพรังสีต่อสิ่งมีชีวิต และสิ่งแวดล้อมยิ่งมี ควำมรุนแรงและอันตรำยมำกขึ้น โดยกัมมันตภำพรังสีที่มนุษย์น�ำมำ ประยุกต์ใช้ เช่น กำรผลิตพลังงำนจำกสำรกัมมันตรังสี กำรทดลอง นิวเคลียร์ กำรใช้สำรกัมมันตรังสีในด้ำนต่ำง ๆ ส่งผลให้กัมมันตภำพรังสี ปนเปอน หรือรั่วไหลออกสู่สิ่งแวดล้อม ท�ำอันตรำยโดยตรงต่อโซ่อำหำร เมื่อปริมำณของกัมมันตภำพรังสีเข้ำสู่ร่ำงกำย เนื้อเยื่อจะดูดกลืนพลังงำน จำกรังสีมำสะสมในร่ำงกำย หำกได้รับในปริมำณที่มำกเกินไปจะท�ำให้โมเลกุล ของน�้ำ สำรอินทรีย์ และสำรอนินทรีย์ต่ำง ๆ ในร่ำงกำยเสียสมดุล ส่งผลให้ เซลล์ต่ำง ๆ ในร่ำงกำยถูกท�ำลำย ท�ำให้เกิดโรคต่ำง ๆ เช่น โรคมะเร็ง เม็ดเลือดขำว เป็นต้น นอกจำกนี้ยังส่งผลต่อพันธุกรรมท�ำให้เกิดกำร กลำยพันธุ์ และถ่ำยทอดไปสู่รุ่นลูกหลำนได้ ดังนั้น กำรน�ำกัมมันตภำพรังสี ไปใช้ประโยชน์ควรศึกษำวิธีป้องกันอันตรำยจำกกัมมันตภำพรังสี เช่น ควรอยู่ห่ำงบริเวณที่มีธำตุกัมมันตรังสีให้มำกที่สุด หำกจ�ำเป็นต้องเข้ำ ใกล้บริเวณที่มีธำตุกัมมันตรังสีควรใช้เวลำสั้นที่สุด และสวมชุดป้องกัน กัมมันตภำพรังสี หรือใช้วัตถุที่กัมมันตภำพรังสีทะลุผ่ำนได้ยำกมำเป็น เครื่องก�ำบัง เช่น ตะกั่ว คอนกรีต เป็นต้น จะเห็นว่ำกำรใช้ประโยชน์จำกธำตุ นอกจำกส่งผลกระทบต่อ สิ่งแวดล้อม ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และสังคม ดังนั้น จึงควรศึกษำ ข้อมูลของธำตุที่จะน�ำมำใช้ เพื่อหลีกเลี่ยงและป้องกันอันตรำยที่อำจเกิด จำกธำตุ รวมไปถึงศึกษำวิธีบ�ำบัดของเสียที่เกิดจำกกำรใช้ประโยชน์จำกธำตุ บำงชนิดไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ภำพที่ 1.39 ผลข้ำงเคียงของกัมมันตภำพรังสี ปัจจุบันหน้ำห้องเอกซเรย์ใน โรงพยำบำลจะมีสัญลักษณ์ดังรูป ซึ่งเป็นบริเวณที่มีรังสี ควรหลีกเลี่ยง ที่จะเข้ำไปบริเวณนั้น โดยเฉพำะสตรี มีครรภ์หรือผู้ที่สงสัยก�ำลังตั้งครรภ์ หำกจ�ำเป็นต้องเข้ำไปในบริเวณนั้น จ�ำเป็นต้องติดต่อเจ้ำหน้ำที่ และสวมชุด ป้องกันกัมมันตภำพรังสีทุกครั้ง Science in Real Life ภำพที่ 1.38 น�้ำดื่มที่ปนเปอนสำรหนู เป็น อันตรำยต่อสุขภำพของผู้บริโภค ภำพที่ 1.40 17 สาร รอบตัว ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET ขอใดไมใชอันตรายที่เกิดจากการแผรังสีของกัมมันตภาพรังสี 1. ทําใหตาบอดทันที 2. ทําลายเนื้อเยื่อบางสวนของรางกาย 3. ทําใหระบบการทํางานของรางกายเกิดความผิดปกติ 4. เมื่อไดรับรังสีเขาไปมากๆ อาจจะทําใหเปนมะเร็งเม็ด เลือดขาว (วิเคราะหคําตอบ รางกายจะดูดกลืนรังสีเขามาสะสมภายใน รางกาย หากมีปริมาณสูงมากเกินไปจะสงผลตอสมดุลในรางกาย ทําใหระบบการทํางานของรางกายผิดปกติ เนื่องจากเนื้อเยื่อบาง สวนถูกทําลาย กอใหเกิดโรคตางๆ เชน โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว เปนตน นอกจากนี้ ยังสงผลตอพันธุกรรมทําใหเกิดการกลายพันธุ และถายทอดพันธุกรรมที่ผิดปกตินี้ไปสูรุนลูกหลานได ดังนั้น ตอบขอ 1.) ขั้นสอน สํารวจคนหา 3. ครูถามนักเรียนวา ธาตุกัมมันตรังสีจะกอให เกิดโทษตอสิ่งมีชีวิตอยางไรบาง (แนวตอบ พิจารณาคําตอบของนักเรียน โดย ใหอยูในดุลยพินิจของครูผูสอน ตัวอยางเชน ทําใหสิ่งมีชีวิตเกิดการกลายพันธุ ทําใหมนุษย เปนโรคมะเร็ง เปนตน) 4. ครูใหนักเรียนศึกษาผลของกัมมันตรังสีตอ สิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอม ในหนังสือเรียน วิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 ขั้นสรุป ขยายความเขาใจ 1. ครูถามคําถามทบทวน ดังนี้ • ธาตุกัมมันตรังสีมีประโยชนอยางไรบาง (แนวตอบ มีประโยชนในดานการเกษตร การแพทย อุตสาหกรรม และธรณีวิทยา เปนตน) • โทษของธาตุกัมมันตรังสีมีอะไรบาง (แนวตอบ ทําใหเกิดการกลายพันธุของสิ่งมี ชีวิต ทําใหเกิดโรคมะเร็ง เปนตน) 2. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกหัดในแบบฝกหัด วิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 ขั้นประเมิน ตรวจสอบผล 1. ครูตรวจแบบฝกหัด 2. ครูตรวจใบงาน เรื่อง ธาตุกัมมันตรังสี 3. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายกลุม 4. ครูสังเกตพฤติกรรมการนําเสนอผลงาน แนวทางการวัดและประเมินผล ครูวัดและประเมินผลความเขาใจในเนื้อหา เรื่อง ธาตุกัมมันตรังสี ไดจาก แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายกลุมจากการสืบคนประโยชนของธาตุ กัมมันตรังสีที่นําไปใชในดานตางๆ และจากแบบประเมินการนําเสนอผลงาน หนาชั้นเรียน โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินที่อยูในแผนการจัดการเรียนรู ประจําหนวยการเรียนรูที่ 1 แบบประเมินการน าเสนอผลงาน ค าชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินการน าเสนอผลงาน แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับคะแนน ล าดับที่ รายการประเมินระดับคะแนน 3 2 1 1 ความถูกต้องของเนื้อหา 2 ภาษาที่ใช้เข้าใจง่าย 3 ประโยชน์ที่ได้จากการน าเสนอ 4 วิธีการน าเสนอผลงาน 5 ความสวยงามของผลงาน รวม ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน .............../................/................ เกณฑ์การให้คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 14-15 ดีมาก 11-13 ดี 8-10 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง นํา สอน สรุป ประเมิน T21
ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET ตารางที่ 1.3 สูตรเคมีของสำรประกอบบำงชนิด สารประกอบ สูตรเคมีของสารประกอบ โซเดียมไฮดรอกไซด์ (โซดำไฟ) NaOH โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ (ด่ำงคลี) KOH แคลเซียมไฮดรอกไซด์ (น�้ำปูนใส) Ca(OH) 2 โซเดียมคลอไรด์ (เกลือแกง) NaCl โพแทสเซียมเปอร์แมงกำเนต (ด่ำงทับทิม) KMnO4 แคลเซียมคำร์บอเนต (หินปูน) CaCO3 กรดคำร์บอนิก H2 CO3 กรดไฮโดรคลอริก (กรดเกลือ) HCl ภำพที่ 1.41 โครงสร้ำงโมเลกุลของน�้ำ 2. สารประกอบ (compound) คือ สำรบริสุทธิ์ที่เกิดจำกอะตอมของธำตุตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปมำรวมกัน ทำงเคมี โดยมีอัตรำส่วนโดยมวลคงที่กลำยเป็นสำรใหม่ที่มีสมบัติแตกต่ำงไปจำกธำตุที่เป็นองค์ประกอบเดิม ซึ่ง สำมำรถเขียนแทนได้ด้วยสูตรเคมี (chemical formula) โดยสูตรเคมีของสำรประกอบที่มีธำตุอโลหะเป็นองค์ประกอบ เรียกว่ำ สูตรโมเลกุล เช่น น�้ำ มีสูตรโมเลกุล คือ H2 O (เกิดจำกกำรรวมตัวของธำตุออกซิเจนและไฮโดรเจน) ตัวอย่าง โครงสร้ำงโมเลกุลของน�้ำ แต่สูตรเคมีของสำรประกอบที่มีธำตุโลหะกับธำตุอโลหะเป็นองค์ประกอบจะไม่เรียกว่ำ สูตรโมเลกุล ดังตำรำง ออกซิเจนอะตอม (O) ในธรรมชำติอยู่ในรูปของแก๊ส ซึ่งแก๊สออกซิเจน 1 โมเลกุล ประกอบด้วย ออกซิเจน 2 อะตอม ไม่น�ำไฟฟ้ำและควำมร้อน ไฮโดรเจนอะตอม (H) ในธรรมชำติอยู่ในรูปของแก๊ส ซึ่งแก๊สไฮโดรเจน 1 โมเลกุล ประกอบด้วย ไฮโดรเจน 2 อะตอม ไม่น�ำไฟฟ้ำและควำมร้อน 1p 1p 1p 1p 8n 8p 8n 8p น�้ำ (H2 O) มีสถำนะเป็นของเหลว สำมำรถน�ำไฟฟ้ำและควำมร้อนได้ 18 โซเดียมไฮดรอกไซด์ (โซด 1 แคลเซียมไฮดรอกไซด์ (น�้ำปูนใส) 2 โซเดียมคลอไรด์ (เกลือแกง) 3 โพแทสเซียมเปอร์แมงกำเนต (ด่ 4 ตาราง จํานวนอะตอมของธาตุตางๆ ในโมเลกุลของสารชนิดตางๆ ชนิดของสาร ผลการทดลอง ธาตุ X ธาตุ Y ธาตุ Z 1 - 2 - 2 1 2 1 3 2 2 - 4 2 - - 5 1 - 1 จากตาราง มีสารกี่ชนิดที่จัดเปนสารประกอบ 1. 2 2. 3 3. 4 4. 2 (วิเคราะหคําตอบ ธาตุประกอบดวยอะตอมชนิดเดียว ดังนั้น สาร ชนิดที่ 1 และ 4 จึงเปนธาตุ สวนสารประกอบเกิดจากธาตุตั้งแต 2 ชนิดขึ้นไป ดังนั้น สารชนิดที่ 2 3 และ 5 จึงเปนสารประกอบ ดังนั้น ตอบขอ 2.) ขั้นนํา กระตุนความสนใจ 1. ครูแจงผลการเรียนรูใหนักเรียนทราบ 2. ครูถามคําถามทบทวนความรูเดิมของนักเรียน 3. ครูเกริ่นวา อะตอมของธาตุสามารถสรางพันธะ ระหวางกันได จากนั้นนําเสนอแบบจําลอง โครงสรางสาร 4. ครูถามนักเรียนเกี่ยวกับแบบจําลองโครงสราง สารที่ครูนําเสนอ ดังนี้ • สารที่ครูแสดงจัดเปนสารบริสุทธิ์หรือไม เพราะเหตุใด (แนวตอบ พิจารณาตามคําตอบของนักเรียน) • สารที่ครูแสดงมีคุณสมบัติแตกตางไปจาก ธาตุที่เปนองคประกอบของสารนั้นหรือไม (แนวตอบ พิจารณาตามคําตอบของนักเรียน) ขั้นสอน สํารวจคนหา 1. ครูใหนักเรียนแบงกลุม ออกเปน 5 กลุม ศึกษา เรื่อง สารประกอบ ในหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 แลวบันทึกลงในใบงาน เรื่อง สารประกอบ ตอนที่ 1 อธิบายความรู 1. ครูใหนักเรียนแตละกลุมสงตัวแทนออกมา นําเสนอใบงาน 2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายและหาขอสรุป จากกิจกรรมดวยการตั้งคําถาม ดังนี้ • สารประกอบคืออะไร (แนวตอบ สารบริสุทธิ์ที่เกิดจากอะตอมของ ธาตุตั้งแต 2 ชนิดขึ้นไป มารวมกันทางเคมี) • อัตราสวนโดยมวลของธาตุที่รวมกันเปน สารประกอบเปนอยางไร (แนวตอบ อัตราสวนโดยมวลคงที่) นักเรียนควรรู 1 โซเดียมไฮดรอกไซด มีลักษณะเปนของแข็งสีขาว ดูดความชื้นดีมาก ละลายนํ้าไดดี นํามาใชในการผลิตสบูและผลิตภัณฑซักฟอก นํามาใชงานทาง อุตสาหกรรมโลหะ อุตสาหกรรมอาหาร และอุตสาหกรรมเสนใยและสิ่งทอ 2 แคลเซียมไฮดรอกไซด มีลักษณะเปนผลึกไมมีสีหรือผงสีขาว นํามาใชทําให สิ่งสกปรกในนํ้าตกตะกอน จึงใชในการบําบัดนํ้าเสีย 3 โซเดียมคลอไรด มีลักษณะเปนผลึกสีขาว ละลายนํ้าไดดี นํามาใชเปน เครื่องปรุงรส และใชในการถนอมอาหาร 4 โพแทสเซียมเปอรแมงกาเนต มีลักษณะเปนผลึกหรือเกล็ดสีมวง สามารถ ละลายนํ้าไดดี เมื่อละลายนํ้าแลวจะไดสารละลายสีมวงหรือสีชมพูอมมวง นํามาใชในการแชผัก หรือผลไมเพื่อชะลางสารเคมี และใชในการลางแผลเพื่อ ฆาเชื้อโรคได นํา นํา สอน สรุป ประเมิน T22
สถานะของ สารละลายสถานะตัวทำาละลาย สถานะตัวละลาย ตัวอย่าง ของแข็ง ของแข็ง ของเหลว เงินอะมัลกัม (เงินกับปรอท) ของแข็ง ของแข็ง นำก (ทองแดงกับทองค�ำ) ของเหลวของเหลว แก๊ส น�้ำอัดลม (CO2 ในน�้ำ) ของเหลว ของแข็ง น�้ำเกลือ (เกลือแกงในน�้ำ) แก๊ส แก๊ส แก๊ส อำกำศ ของเหลว ของเหลว ไอน�้ำในอำกำศ ตารางที่ 1.4 ตัวอย่ำงกำรแยกองค์ประกอบของสำรในสำรละลำยโดยพิจำรณำจำกสถำนะ 3.2 สารผสม สำรผสมเกิดจำกสำรตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปมำผสมกัน โดยสำรผสมแบ่งออกเป็น 3 ชนิด ดังนี้ 1. สารละลาย(solution) เป็นสำรผสมเนื้อเดียวที่ประกอบด้วยสำรตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปมำรวมเป็นเนื้อเดียว และมีสมบัติเหมือนกันทุกส่วน เช่น น�้ำเกลือ น�้ำหวำน เป็นต้น โดยมีสำรชนิดหนึ่งเป็นตัวละลำย ส่วนสำรอีกชนิดหนึ่ง เป็นตัวท�ำละลำย โดยสำรละลำยอำจอยู่ในรูปของของแข็ง ของเหลว หรือแก๊ส ซึ่งเกณฑ์ที่จะก�ำหนดว่ำสำรใดเป็น ตัวละลำยและสำรใดเป็นตัวท�ำละลำย ให้พิจำรณำจำกสถำนะ และปริมำณขององค์ประกอบ ดังนี้ 1) พิจารณาจากปริมาณสาร หำกสำรละลำยมีตัวท�ำละลำยและตัวละลำยสถำนะเดียวกัน สำรที่มีปริมำณ มำกกว่ำจะเป็นตัวท�ำละลำย เช่น แอลกอฮอล์ล้ำงแผลทั่วไป มีควำมเข้มข้นร้อยละ 70 โดยปริมำตร ซึ่งประกอบด้วย แอลกอฮอล์ 70 ลูกบำศก์เซนติเมตร และน�้ำ 30 ลูกบำศก์เซนติเมตร แอลกอฮอล์จึงเป็นตัวท�ำละลำย ส่วนน�้ำเป็น ตัวละลำย เป็นต้น H O T S จงอธิบำยควำมแตกต่ำงระหว่ำง การหลอมเหลวกับ การละลาย (ค�ำถำมท้ำทำยควำมคิดขั้นสูง) 2) พิจารณาจากสถานะ คือ ตัวท�ำละลำยจะมีสถำนะเดียว กับสำรละลำย ส่วนตัวละลำยอำจมีสถำนะเหมือนหรือต่ำงกับสำรละลำย เช่น น�้ำเชื่อมจะมีน�้ำเป็นตัวท�ำละลำยซึ่งมีสถำนะเป็นของเหลวเหมือนกับ น�้ำเชื่อม ส่วนตัวละลำย คือ น�้ำตำล ซึ่งมีสถำนะเป็นของแข็งต่ำงจำกน�้ำเชื่อม ที่มีสถำนะเป็นของเหลว ภำพที่ 1.43 น�้ำเชื่อมมีน�้ำเป็นตัวท�ำละลำย โมเลกุลน�้ำ โมเลกุลน�้ำตำล น�้ำ 30 cm3แอลกอฮอล์ 70 cm3สำรละลำยแอลกอฮอล์100 cm3 ภำพที่ 1.42 สำรละลำยแอลกอฮอล์ร้อยละ 70 โดยปริมำตร มีแอลกอฮอล์เป็นตัวท�ำละลำย + 19 สาร รอบตัว ขั้นสอน สํารวจคนหา 1. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษา เรื่อง สารผสม จาก หนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 2. ครูแบงกลุม เพื่อทําการทดลองเกี่ยวกับ สารละลาย 3. ครูเตรียมอุปกรณการทดลองใหกับแตละกลุม 4. ครูใหนักเรียนชั่งเกลือมา 10 กรัม ใสลงใน บีกเกอร แลวเติมนํ้ากลั่นจนมีปริมาตรเปน 100 ลูกบาศกเซนติเมตร 5. ครูถามคําถามทาทายความคิดขั้นสูง (H.O.T.S.) ขั้นนํา กระตุนความสนใจ 1. ครูแจงผลการเรียนรูใหนักเรียนทราบ 2. ครูนําสารมา 3 ชนิด มาใหนักเรียนเปรียบเทียบ ความเหมือนและความแตกตางของนํ้าแดง นํ้านม และนํ้าโคลน 3. ครูถามคําถามวา สารผสมคืออะไร และให นักเรียนยกตัวอยางสารผสมมาคนละชนิด สื่อ Digital ศึกษาเพิ่มเติมไดจากภาพยนตรสารคดีสั้น Twig เรื่อง สารละลาย https:// twig-aksorn.com/film/solutions-8275/ แนวตอบ H.O.T.S. การหลอมเหลวเปนการเปลี่ยนสถานะของสาร โดยสารตองไดรับความรอนจนถึงอุณหภูมิหนึ่ง ที่เรียกวา จุดหลอมเหลว แตการละลายของสาร ขึ้นอยูกับปริมาณและสถานะของตัวทําละลาย ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET ถากําหนดใหสาร A 65 กรัม ผสมกับสาร B 20 กรัม สาร C 40 กรัม ผสมกับสาร D 70 กรัม สาร X 120 ลูกบาศกเซนติเมตร ผสมกับสาร Y 50 ลูกบาศกเซนติเมตร สารใดบางที่จัดเปนตัว ทําละลาย 1. สาร A D และ X 2. สาร A C และ X 3. สาร B C และ Y 4. สาร B D และ Y (วิเคราะหคําตอบ ตัวทําละลาย คือ สารที่มีปริมาณมากกวาใน สารละลาย ดังนั้น ตัวทําละลาย คือ สาร A D และ X ดังนั้น ตอบขอ 1.) นํา นํา สอน สรุป ประเมิน T23 www.aksorn.com/interactive3D/RK711 สารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด
ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET การเตรียมสารละลาย กิจกรรม 1. บีกเกอรขนาด 100 ml 4. ชอนตักสาร 2. กระบอกตวงขนาด 100 ml 5. แทงแกว 3. โพแทสเซียมเปอรแมงกาเนต (ดางทับทิม) 6. เครื่องชั่งสาร 1. ชั่งโพแทสเซียมเปอรแมงกาเนต (ดางทับทิม) 5 g ใสลงในบีกเกอรขนาด 100 ml 2. ตวงนํ้ากลั่นมา 20 cm3 เทลงในบีกเกอรในขอ 1. แลวใชแทงแกวคนใหดางทับทิมละลายจนหมด 3. เทสารละลายจากขอ 2. ลงในกระบอกตวงขนาด 100 ml เทนํ้ากลั่นเล็กนอยลงในบีกเกอรเดิม เพื่อลางดางทับทิมที่ติดอยูกับ บีกเกอร แลวนําไปเทในกระบอกตวง ทําซํ้า 2-3 ครั้ง 4. เติมนํ้ากลั่นลงในกระบอกตวงจนสารละลายมีปริมาตรเปน 100 ml สังเกตสีของสารละลาย แลวบันทึกผล 5. ทําการทดลองซํ้า ขอ 1.- 4. แตเปลี่ยนปริมาณดางทับทิมเปน 10 g สังเกตสีของสารละลาย แลวบันทึกผล 6. เปรียบเทียบสีของสารละลายที่เตรียมไดจากขอ 4. และขอ 5. แลวบันทึกผล จากกิจกรรม การเตรียมสารละลายดางทับทิมที่มีดางทับทิมเปนตัวละลายอยู 5 g ในสารละลายดางทับทิม 100 cm3 จะได ความเขมขนของสารละลายดางทับทิมเทากับรอยละ 5 โดยมวลตอปริมาตร เมื่อเปลี่ยนปริมาณของตัวละลายดางทับทิมเปน 10 g จะไดความเขมขนของสารละลายดางทับทิมเทากับรอยละ 10 โดยมวลตอปริมาตร ซึ่งมีความเขมขนมากกวา 2 เทา ในหลักคํานวณ ทางทฤษฎี ซึ่งสอดคลองกับสีของสารละลายที่มีดางทับทิมเปนตัวละลายอยู 10 g จะเขมกวาสารละลายดางทับทิมที่มีดางทับทิม เปนตัวละลายอยู 5 g วิธีปฏิบัติ วัสดุอุปกรณ คําถามทายกิจกรรม 1. จากกิจกรรมสารใดเปนตัวละลายและสารใดเปนตัวทําละลาย 2. สีของสารละลายดางทับทิมที่เตรียมไดแตกตางกันหรือไมอยางไร 3. สารละลายที่เตรียมไดจากดางทับทิม 5 g และ 10 g มีความเขมขนเทาใดในหนวยรอยละโดยมวลตอปริมาตร อภิปรายผลกิจกรรม จิตวิทยาศาสตร - ความสนใจใฝรู - ความรับผิดชอบ - การทํางานรวมกับผูอื่นไดอยาง สรางสรรค ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร - การสังเกต - การวัด ดางทับทิม นํ้ากลั่น กระบอกตวง ภาพที่ 1.44 20 สารละลายเอทิลแอลกอฮอลรอยละ 70 โดยปริมาตร มีความหมาย วาอยางไร 1. สารละลายนั้น 100 กรัม มีเอทิลแอลกอฮอลอยู 70 กรัม 2. สารละลายนั้น 100 ลูกบาศกเซนติเมตร มีเอทิลแอลกอฮอล อยู 70 กรัม 3. สารละลายนั้น 100 กรัม มีเอทิลแอลกอฮอลอยู 70 ลูกบาศก เซนติเมตร 4. สารละลายนั้น 100 ลูกบาศกเซนติเมตร มีเอทิลแอลกอฮอล อยู 70 ลูกบาศกเซนติเมตร (วิเคราะหคําตอบ สารละลายเอทิลแอลกอฮอลรอยละ 70 โดย ปริมาตร หมายความวา ในสารละลายเอทิลแอลกอฮอล 100 ลูกบาศกเซนติเมตร มีเอทิลแอลกอฮอลอยู 70 ลูกบาศกเซนติเมตร ดังนั้น ตอบขอ 4.) ขั้นสอน สํารวจคนหา 1. ครูใหนักเรียนสืบคนวิธีการคํานวณสารละลาย เพื่อใชเปนความรูในการทํากิจกรรม เรื่อง การเตรียมสารละลาย 2. ครูใหนักเรียนแบงกลุมออกเปน 5 กลุม ทํากิจกรรม เรื่อง การเตรียมสารละลาย ตาม หนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 แลว ใหนักเรียนบันทึกผลกิจกรรมในแบบฝกหัด วิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 อธิบายความรู 1. ครูสอนและอธิบายการคํานวณสารละลาย ในหนวยตางๆ 2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายผลที่ไดจากการ ทํากิจกรรม 3. ครูและนักเรียนรวมกันตอบคําถามทายกิจกรรม แลวบันทึกลงในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 แนวตอบ คําถามทายกิจกรรม 1. นํ้าเปนตัวทําละลาย และโพแทสเซียมเปอรแมงกาเนต หรือดางทับทิมเปนตัวละลาย 2. แตกตางกัน สีของสารละลายที่มีดางทับทิม 10 กรัม (ความเขมขนมากกวา) จะมีสีเขมกวา สารละลายที่มีดางทับทิม 5 กรัม (เจือจางกวา) 3. สารละลายที่มีตัวละลายดางทับทิม 5 กรัม จะมีความเขมขนรอยละโดยมวลตอปริมาตร เทากับ 0.05 สารละลายที่มีตัวละลายดางทับทิม 10 กรัม จะมีความเขมขนรอยละโดยมวลตอปริมาตร เทากับ 0.10 สีของสารละลายดางทับทิม 5 กรัม สีของสารละลายดางทับทิม 10 กรัม สีของสารละลายมีสีมวงออน สีของสารละลายมีสีมวงที่เขมกวา บันทึก กิจกรรม หมายเหตุ : บันทึกผลตามภาพที่เห็นจากการทดลองจริง นํา สอน สรุป ประเมิน T24
สำรคอลลอยด์อีกชนิดหนึ่งเกิดจำกกำรผสมกันของของเหลวตั้งแต่ 2 ชนิดที่ไม่ละลำยซึ่งกันและกัน เรียกว่ำ อิมัลชัน (emulsion) เช่น น�้ำผสมน�้ำมัน ไขมันกับน�้ำย่อยในร่ำงกำย ไข่ขำวกับน�้ำมัน เป็นต้น ซึ่งต้องมี อิมัลซิไฟเออร์ (emulsifier) เป็นตัวประสำนให้ของเหลวทั้งสองรวมกันได้ เช่น เคซีนเป็นอิมัลซิไฟเออร์ ท�ำให้ไขมันในน�้ำนมรวมตัวกับ น�้ำนม น�้ำดีเป็นอิมัลซิไฟเออร์ ท�ำให้ไขมันแตกตัวเป็นหยดเล็กๆ รวมตัวกับน�้ำย่อยในล�ำไส้เล็ก ไข่แดงในน�้ำสลัดเป็น อิมัลซิไฟเออร์ ท�ำให้ไข่ขำวรวมตัวกับน�้ำมัน เป็นต้น ภำพที่ 1.45 ปรำกฏกำรณ์ทินดอลล์ ภำพที่ 1.46 กำรแยกชั้นระหว่ำงน�้ำและน�้ำมัน ภำพที่ 1.47 สบู่ช่วยท�ำให้น�้ำและน�้ำมัน รวมตัวกันได้ สารละลาย คอลลอยด์ นอกจำกนี้สำรผสมบำงชนิดมีเนื้อสำรที่เห็นได้ชัดว่ำไม่ผสมเป็นเนื้อเดียวกัน โดยสมบัติของเนื้อสำรในแต่ละ ส่วนจะแตกต่ำงกัน เรียกสำรพวกนี้ว่ำ สารเนื้อผสม ได้แก่ สำรแขวนลอย และคอลลอยด์ 2. สารแขวนลอย (suspension) เป็นสำรผสมที่เกิดจำกสำรตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปมำรวมกัน โดยอนุภำคของสำร มีขนำดเส้นผ่ำนศูนย์กลำงมำกกว่ำ 10-4 เซนติเมตร ลอยกระจำยอยู่ในสำรอีกชนิดหนึ่ง ถ้ำมองดูด้วยตำเปล่ำ จะมีลักษณะขุ่น เมื่อตั้งทิ้งไว้อนุภำคจะตกตะกอน ซึ่งสำรแขวนลอยจะไม่สำมำรถผ่ำนได้ทั้งกระดำษกรอง และกระดำษเซลโลเฟน เช่น น�้ำแป้ง น�้ำโคลน เป็นต้น 3. คอลลอยด์ (colloid) เป็นสำรผสมที่เกิดจำกสำรตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปมำรวมกัน โดยอนุภำคของสำร มีขนำดเส้นผ่ำนศูนย์กลำง 10-7-10-4 เซนติเมตร ซึ่งอำจเป็ของแข็ง ของเหลว หรือแก๊ส ลอยกระจำยอยู่ในสำร อีกชนิดหนึ่ง ซึ่งอำจเป็นของแข็ง ของเหลว หรือแก๊สได้เช่นกัน จึงท�ำให้มองดูเหมือนเป็นเนื้อเดียวกัน ซึ่งคอลลอยด์จะ ผ่ำนกระดำษกรองได้ แต่ไม่สำมำรถผ่ำนกระดำษเซลโลเฟนได้ เช่น หมอก น�้ำสลัด เป็นต้น อนุภำคของสำรในคอลลอยด์มีขนำดใหญ่ เมื่อมีแสงส่องผ่ำนสำร จะท�ำให้มองเห็นเป็นล�ำแสง เนื่องจำกอนุภำค ของคอลลอยด์เกิดกำรกระเจิงแสงได้ เรียกปรำกฏกำรณ์นี้ว่ำ ปรากฏการณ์ทินดอลล์ (tyndall phenomenon) เช่น กำรกระเจิงของฝุ่นในอำกำศกับแสงดวงอำทิตย์ เป็นต้น จำกรูป เมื่อมีล�ำแสงส่องผ่ำนคอลลอยด์ในบีกเกอร์ทำง ขวำมือ จะเห็นล�ำแสงที่ส่องผ่ำนได้ชัดเจน แต่เมื่อมีล�ำแสงส่อง ผ่ำนสำรละลำย จะมองไม่เห็นล�ำแสง เนื่องจำกอนุภำคของสำร ในสำรละลำยมีขนำดเล็ก จึงท�ำให้ไม่เกิดกำรหักเห หรือกำร กระเจิงของแสง ดังนั้น คุณสมบัติชนิดนี้จึงสำมำรถใช้แยก ควำมแตกต่ำงระหว่ำงสำรละลำยกับคอลลอยด์ได้ 21 สาร รอบตัว ขั้นสอน สํารวจคนหา 1. ครูใหนักเรียนทํากิจกรรมฐาน ไดแก ความ แตกตางของสารเนื้อผสม ปรากฏการณ ทินดอลล และอิมัลชัน แลวใหนักเรียนบันทึก ผลลงในใบงาน เรื่อง สารผสม ขั้นสรุป ขยายความเขาใจ 1. ครูใหนักเรียนทําผังมโนทัศน เรื่อง สารบริสุทธิ์ และสารผสม ขั้นประเมิน ตรวจสอบผล 1. ครูตรวจแบบฝกหัด 2. ครูตรวจใบงาน เรื่อง สารผสม 3. ครูสังเกตพฤติกรรมการนําเสนอผลงาน 4. ครูประเมินผังมโนทัศน เรื่อง สารบริสุทธิ์และ สารผสม 5. ครูกิจกรรมทาทายความคิดขั้นสูงใน แบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 6. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล จากการสืบคนและศึกษา เรื่อง สารละลาย 7. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายกลุม จากการทํากิจกรรม เรื่อง สารผสม อธิบายความเขาใจ 1. ครูใหนักเรียนแลกเปลี่ยนขอมูลภายในกลุม แลวสงตัวแทนกลุมออกมานําเสนอใบงาน เรื่อง สารผสม 2. ครูใชคําถามทบทวนความรูของนักเรียน แนวทางการวัดและประเมินผล ครูวัดและประเมินผลความเขาใจในเนื้อหา เรื่อง สารผสม จากแบบประเมิน ผลงาน/ชิ้นงาน เรื่อง สารบริสุทธิ์และสารผสม โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมิน ที่อยูในแผนการจัดการเรียนรูประจําหนวยการเรียนรูที่ 1 ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET ขอใดตอไปนี้กลาวถูกตอง 1. อิมัลซิไฟเออรในนํ้านม คือ เคซีน 2. อิมัลซิไฟเออรในนํ้าสลัด คือ นํ้ามันพืช 3. อิมัลซิไฟเออรในนํ้าสลัด คือ นํ้าสมสายชู 4. อิมัลซิไฟเออรในการชําระลางสิ่งสกปรก คือ ไขมัน (วิเคราะหคําตอบ อิมัลซิไฟเออร คือ สารที่ทําหนาที่เปนตัว ประสานใหอนุภาคของเหลว 2 ชนิด ที่ไมละลายซึ่งกันและกัน รวมกันได ในนํ้านมจะมีโปรตีนเคซีนทําหนาที่เปนอิมัลซิไฟเออร ใน นํ้าสลัดจะมีไขแดงทําหนาที่เปนอิมัลซิไฟเออร สวนในการชําระลาง สิ่งสกปรกจะมีสบูหรือผงซักฟอกทําหนาที่เปนอิมัลซิไฟเออร ดังนั้น ตอบขอ 1.) แบบประเมินชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด) แผน ฯ ที่ 6 แบบประเมินผังมโนทัศน์ ค าชี้แจง ให้ผู้สอนประเมินชิ้นงาน/ภาระงาน แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับคะแนน ล าดับที่ รายการประเมินระดับคะแนน 4 3 2 1 1 ความสอดคล้องกับจุดประสงค์ 2 ความถูกต้องของเนื้อหา 3 ความคิดสร้างสรรค์ 4 ความตรงต่อเวลา รวม ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน ................./................../.................. เกณฑ์การประเมินแผ่นพับ ประเด็นที่ประเมิน ระดับคะแนน 4 3 2 1 1. ความ สอดคล้องกับ จุดประสงค์ ผลงานสอดคล้องกับ จุดประสงค์ทุกประเด็น ผลงานสอดคล้องกับ จุดประสงค์เป็นส่วน ใหญ่ ผลงานสอดคล้องกับ จุดประสงค์บางประเด็น ผลงานไม่สอดคล้องกับ จุดประสงค์ 2. ความถูกต้อง ของเนื้อหา เนื้อหาสาระของผลงาน ถูกต้องครบถ้วน เนื้อหาสาระของผลงาน ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ เนื้อหาสาระของผลงาน ถูกต้องบางประเด็น เนื้อหาสาระของผลงาน ไม่ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ 3. ความคิด สร้างสรรค์ ผลงานแสดงถึงความคิด สร้างสรรค์ แปลกใหม่ และเป็นระบบ ผลงานแสดงถึงความคิด สร้างสรรค์ แปลกใหม่ แต่ยังไม่เป็นระบบ ผลงานมีความน่าสนใจ แต่ยังไม่มีแนวคิดแปลก ใหม่ ผลงานไม่มีความ น่าสนใจ และไม่แสดง ถึงแนวคิดแปลกใหม่ 4. ความตรงต่อ เวลา ส่งชิ้นงานภายในเวลาที่ ก าหนด ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่ ก าหนด 1 วัน ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่ ก าหนด 2 วัน ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่ ก าหนด 3 วันขึ้นไป เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 14-16 ดีมาก 11-13 ดี 8-10 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง นํา สอน สรุป ประเมิน T25
ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET 3.3 สมบัติของสารบริสุทธิ์และสารผสม อุณหภูมิสำรละลำย สำรบริสุทธิ์ จุดเดือด อุณหภูมิ สำรละลำย สำรบริสุทธิ์ จุดหลอมเหลว 1. จุดเดือด (boiling point) สำรบริสุทธิ์ มีจุดเดือดคงที่ แต่ในทำงกลับกันสำรผสมจะมีจุดเดือด ไม่คงที่ เนื่องจำกสำรผสมเกิดจำกสำรตั้งแต่ 2 ชนิด มำผสมกันโดยสำรที่มีจุดเดือดต�่ำจะระเหยเร็วกว่ำสำร ที่มีจุดเดือดสูง ส่งผลให้อัตรำส่วนระหว่ำงสำรที่มำผสม เปลี่ยนแปลงไป สำรที่มีจุดเดือดสูงจึงมีปริมำณมำกกว่ำ ท�ำให้จุดเดือดไม่คงที่ และมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ดังกรำฟ 2. จุดหลอมเหลว (melting point) สำรบริสุทธิ์จะมีจุดหลอมเหลวคงที่ และมีช่วงอุณหภูมิ กำรหลอมเหลวแคบ แต่ในทำงกลับกันสำรผสม จะมีจุดหลอมเหลวไม่คงที่ และมีช่วงอุณหภูมิกำร หลอมเหลวกว้ำง ดังกรำฟ 3. ความหนาแน่น(density) สำรบริสุทธิ์จะมีควำมหนำแน่นคงที่ ตัวอย่ำงเช่น หำกนักเรียนใช้กระบอกตวง ตวงน�้ำ (4 �C) 100 cm3 แล้วน�ำมำชั่งน�้ำหนัก พบว่ำ อ่ำนค่ำได้ 100 g ในท�ำนองเดียวกันหำกนักเรียนใช้กระบอกตวง ตวงน�้ำ (4 �C) 50 cm3 แล้วน�ำมำชั่งน�้ำหนัก พบว่ำ อ่ำนค่ำได้ 50 g ดังนั้น จึงสรุปได้ว่ำ น�้ำ (4 �C) เป็น สำรบริสุทธิ์ที่มีควำมหนำแน่นคงที่เท่ำกับ 1 g/cm3 ซึ่งเป็นค่ำเฉพำะของสำร ณ สถำนะและอุณหภูมิหนึ่ง ส่วนสำรผสม จะมีควำมหนำแน่นไม่คงที่ขึ้นอยู่กับชนิดและสัดส่วนของสำรที่มำผสม สำรแต่ละชนิดมีควำมหนำแน่น (ปริมำณมวลสำรในหนึ่งหน่วยปริมำตร) ไม่เท่ำกันดังตำรำง Focus Science ควำมหนำแน่นจ�ำเพำะของสำร สาร ความหนาแน่น (g/cm3 ) ตะกั่ว 11.3 อะลูมิเนียม 2.7 ปรอท 13.6 น�้ำทะเล 1.024 อำกำศ 1.29 ตารางที่ 1.5 ควำมหนำแน่นจ�ำเพำะของสำร กรำฟเปรียบเทียบจุดเดือดของสำรบริสุทธิ์กับสำรละลำย กรำฟเปรียบเทียบจุดหลอมเหลวของสำรบริสุทธิ์กับสำรละลำย 22 ขั้นนํา กระตุนความสนใจ 1. ครูแจงผลการเรียนรูใหนักเรียนทราบ 2. ครูนําแกวนํ้ามา 2 ใบ โดยใบหนึ่งใสนํ้าเกลือ อีกใบหนึ่งใสนํ้าธรรมดา จากนั้นหยอนลูกปด ลงในแกวทั้งสองใบ แลวใหนักเรียนเปรียบ เทียบผลจากกิจกรรม ขั้นสอน สํารวจคนหา 1. ครูใหนักเรียนสืบคน เพราะเหตุใดลูกปดจึง ลอยนํ้าได (แนวตอบ เพราะนํ้าเกลือมีความหนาแนน มากกวานํ้า) 2. ครูใหนักเรียนศึกษา เรื่อง สมบัติของสารบริสุทธิ์ และสารผสมในหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 อธิบายความรู 1. ครูสุมเรียกนักเรียนออกมาอธิบายผลจากการ สืบคนขอมูลหนาชั้นเรียน 2. ครูเฉลยคําตอบ และเพิ่มเติมความรูใหกับ นักเรียนเกี่ยวกับความหนาแนนจําเพาะของ สารในกรอบ Science Focus เกร็ดแนะครู ครูอธิบายเพิ่มเติมใหนักเรียนทราบวา การหาจุดเยือกแข็งจะสามารถ ทดสอบกับสารบริสุทธิ์และสารไมบริสุทธิ์ได แตไมคอยนิยม เพราะจะตองใช เวลานานมากในการหาจุดเยือกแข็ง โดย - สารบริสุทธิ์จะมีจุดเยือกแข็งคงที่ - สารไมบริสุทธิ์จะมีจุดเยือกแข็งไมคงที่ โดยแสดงดังกราฟ อุณหภูมิของสารละลายและสารบริสุทธิ์ขณะเดือดเหมือนหรือ ตางกัน อยางไร 1. เหมือนกัน เพราะเปนสารเนื้อเดียวกัน 2. เหมือนกัน เพราะมีสมบัติทุกสวนเหมือนกัน 3. ตางกัน จุดเดือดของสารบริสุทธิ์จะคงที่แตสารละลายจะ ไมคงที่ 4. ตางกัน จุดเดือดของสารบริสุทธิ์จะไมคงที่แตสารละลาย จะคงที่ (วิเคราะหคําตอบ สารบริสุทธิ์จะมีอุณหภูมิขณะเดือดคงที่ ในขณะ ที่สารละลายเกิดจากสารตั้งแต 2 ชนิดขึ้นไปมาผสมกัน อุณหภูมิ ขณะเดือดจึงไมคงที่ ดังนั้น ตอบขอ 3.) อุณหภูมิ ( ํC) เวลา (s) สารบริสุทธิ์ สารไมบริสุทธิ์ นํา นํา สอน สรุป ประเมิน T26
การตรวจสอบสารบริสุทธิ์และสารละลาย กิจกรรม 1. บีกเกอร์ขนำด 100 ml 7. แท่งแก้วคนสำร 2. หลอดทดลองขนำดเล็ก 8. ด้ำย 3. เทอร์มอมิเตอร์ 9. เอทำนอล 4. ตะเกียงแอลกอฮอล์ 10. สำรละลำยกลีเซอรอลในเอทำนอล 5. ขำตั้งและด้ำมจับ 11. แนฟทำลีนบริสุทธิ์บดละเอียด 6. หลอดคะปิลลำรี 12. สำรละลำยกรดเบนโซอิกในแนฟทำลีน ตอนที่ 2 การหาจุดหลอมเหลวของแนฟทาลีน และสารละลายกรดเบนโซอิกใน แนฟทาลีน 1. บรรจุแนฟทำลีนบริสุทธิ์ลงไปในหลอดคะปิลลำรีที่หลอมจนปลำยด้ำนหนึ่งปิดให้สูง ประมำณ 0.2 cm 2. ใช้ด้ำยพันหลอดคะปิลลำรียึดกับเทอร์มอมิเตอร์แล้วจุ่มลงในบีกเกอร์ ซึ่งบรรจุน�้ำ ประมำณ 2 ใน 3 ส่วน ดังรูป 3. ต้มน�้ำในบีกเกอร์แล้วใช้แท่งแก้วคนสำรคนตลอดเวลำ สังเกตกำรเปลี่ยนแปลงใน หลอดคะปิลลำรี บันทึกอุณหภูมิเมื่อสำรในหลอดคะปิลลำรีเริ่มหลอมเหลว และ หลอมเหลวหมด 4. ท�ำกำรทดลองเช่นเดียวกับข้อ 1.- 3. โดยใช้สำรละลำยกรดเบนโซอิกในแนฟทำลีน เข้มข้น 0.5 mol/kg แทนแนฟทำลีนบริสุทธิ์ วิธีปฏิบัติ วัสดุอุปกรณ์ จิตวิทยาศาสตร์ - ควำมสนใจใฝ่รู้ - กำรท�ำงำนร่วมกับผู้อื่น ได้อย่ำงสร้ำงสรรค์ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ - กำรสังเกต - กำรวัด - กำรค�ำนวณ หลอดทดลองขนำดเล็ก เทอร์มอมิเตอร์ เทอร์มอมิเตอร์ แท่งแก้วคนสำร แท่งแก้วคนสำร หลอดคะปิลลำรี หลอดคะปิลลำรี ตอนที่ 1 การหาจุดเดือดของเอทานอล และสารละลายกลีเซอรอลในเอทานอล 1. ใช้ด้ำยพันหลอดทดลองขนำดเล็ก ติดกับเทอร์มอมิเตอร์ โดยให้ก้นหลอดทดลอง อยู่ในระดับเดียวกัน 2. เทน�้ำลงในบีกเกอร์ให้มีควำมสูง 2 ใน 3 ของบีกเกอร์ แล้วน�ำไปวำงบนตะแกรง จำกนั้นน�ำหลอดทดลองจำกข้อ 1. ยึดกับด้ำมจับ โดยให้เทอร์มอมิเตอร์ตั้งตรงและ ไม่สัมผัสกับก้นบีกเกอร์ 3. ใส่เอทำนอล 5 หยด ลงในหลอดทดลอง จำกนั้นหย่อนหลอดคะปิลลำรีที่หลอม ปล้ำยด้ำนหนึ่งประมำณ 0.5 cm ลงไปโดยให้ด้ำนที่หลอมปิดจุ่มอยู่ในเอทำนอล จำกนั้นจุดตะเกียงแอลกอฮอล์ 4. ใช้แท่งแก้วคนสำรคนตลอดเวลำ ขณะต้มน�้ำในบีกเกอร์ เมื่อสังเกตเห็นฟองแก๊สปุด ออกมำเป็นสำยจำกหลอดคะปิลลำรี หยุดให้ควำมร้อนสังเกตและบันทึกอุณหภูมิ ขณะมีแก๊สฟองสุดท้ำยปุดออกมำ 5. ท�ำกำรทดลองเช่นเดียวกับข้อ 1.-3. โดยใช้สำรละลำยกลีเซอรอลในเอทำนอล เข้มข้น 2 mol/kg แทนเอทำนอลบริสุทธิ์ ภำพที่ 1.48 ภำพที่ 1.49 23 สาร รอบตัว 6. หลอดคะปิลลำรี 1 ขั้นสอน สํารวจคนหา 1. ครูใหนักเรียนแบงกลุมออกเปน 4 กลุม ศึกษากิจกรรมการตรวจสอบสารบริสุทธิ์และ สารละลาย ในตอนที่ 1 จากนั้นครูอธิบาย ขั้นตอนการทดลองอยางละเอียด 2. ครูใหนักเรียนแตละกลุมทํากิจกรรมตอนที่ 1 แลวบันทึกผลลงในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 3. ครูใหนักเรียนแบงกลุมเดิม ศึกษากิจกรรมการ ตรวจสอบสารบริสุทธิ์และสารละลาย ในตอน ที่ 2 จากนั้นครูอธิบายขั้นตอนอยางละเอียด 4. ครูใหนักเรียนแบงกลุมทํากิจกรรมตอนที่ 2 แลว บันทึกผลลงในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 อธิบายความเขาใจ 1. ครูใหนักเรียนแตละกลุมสงตัวแทนออกมานํา เสนอผลจากกิจกรรมการตรวจสอบสารบริสุทธิ์ และสารละลาย ทั้งในตอนที่ 1 และตอนที่ 2 จากชั่วโมงที่แลว 2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายผลกิจกรรม การตรวจสอบสารบริสุทธิ์และสารละลาย นักเรียนควรรู 1 หลอดคะปลลารี เปนหลอดแกวปลายเปดทั้งสองดานที่มีเสนผานศูนยกลาง เล็กมาก ใชสําหรับเก็บตัวอยางของเหลวโดยอาศัยแรงดูดคะปลลารี ซึ่งนิยม นํามาใชเก็บตัวอยางเลือด หรือใชเคลื่อนยายของแข็งที่อยูในรูปแบบผงเพื่อนําไป หาจุดเดือดและจุดหลอมเหลวของสาร ครั้งที่ อุณหภูมิ ( ํC) เอทานอล สารละลายกลีเซอรอลในเอทานอล 1 78.0 79.5 2 78.0 80.5 3 77.5 80.0 เฉลี่ย 78.0 80.0 ครั้งที่ อุณหภูมิ ( ํC) ชวงการหลอมเหลว จุดหลอมเหลว เริ่มหลอมเหลว หลอมเหลวหมด 1 78.5 79.5 1.0 79.0 2 78.0 79.0 1.0 78.5 3 78.5 79.5 1.0 79.0 เฉลี่ย 78.7 บันทึก กิจกรรม ตอนที่ 1 การหาจุดเดือด ตอนที่ 2 การหาจุดหลอมเหลว ศึกษาสารแนฟทาลีน นํา สอน สรุป ประเมิน T27
ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4-5 คน ส�ำรวจสำรภำยในบ้ำนกลุ่มละ 5 สำร และระบุสมบัติทำงกำยภำพและสมบัติ ทำงเคมีของสำรแต่ละชนิด แล้วน�ำเสนอในรูปแบบที่สวยงำมน่ำสนใจ Science Activity ค�ำถำมท้ำยกิจกรรม 1. เพรำะเหตุใดถึงไม่ให้ควำมร้อนแก่หลอดทดลองในตอนที่ 1 และหลอดคะปิลลำรีในตอนที่ 2 โดยตรง 2. จุดเดือดของเอทำนอลกับสำรละลำยกลีเซอรอลในเอทำนอลแตกต่ำงกันหรือไม่ อย่ำงไร 3. จุดหลอมเหลวของแนฟทำลีนกับสำรละลำยกรดเบนโซอิกในแนฟทำลีนแตกต่ำงกันหรือไม่ อย่ำงไร อภิปรำยผลกิจกรรม จำกกิจกรรมกำรหำจุดเดือดของเอทำนอล และสำรละลำยกลีเซอรอลในเอทำนอล พบว่ำ เอทำนอลซึ่งเป็นสำรบริสุทธิ์จะมี จุดเดือดเท่ำกับ 78 �C เมื่อเทียบกับสำรละลำยกลีเซอรอลในเอทำนอลซึ่งเป็นสำรผสมจะมีจุดเดือดประมำณ 80 �C เนื่องจำก สำรบริสุทธิ์แต่ละชนิดย่อมมีสมบัติเฉพำะของสำร เมื่อน�ำสำรอื่นมำผสม หรือตัวละลำยซึ่งมีจุดเดือดต�่ำหรือสูงกว่ำสำรบริสุทธิ์ ที่เป็นตัวท�ำละลำยมำผสม จะส่งผลให้สำรละลำยมีจุดเดือดสูงขึ้น แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสมบัติของสำรที่น�ำมำผสม และปริมำณของ สำรที่น�ำมำผสมหรือตัวละลำย จำกกิจกรรมกำรหำจุดหลอมเหลวของแนฟทำลีน และสำรละลำยกรดเบนโซอิกในแนฟทำลีน พบว่ำ แนฟทำลีนซึ่งเป็น สำรบริสุทธิ์จะมีช่วงกำรหลอมเหลวเท่ำกับ 1 �C และมีจุดหลอมเหลวเท่ำกับ 78.7 �C เมื่อเทียบกับสำรละลำยกรดเบนโซอิกใน แนฟทำลีนซึ่งเป็นสำรผสมจะมีช่วงกำรหลอมเหลวเท่ำกับ 3.5 �C ซึ่งกว้ำงกว่ำสำรบริสุทธิ์ และมีจุดหลอมเหลวประมำณ 74.6 �C ซึ่งต�่ำกว่ำสำรบริสุทธิ์ ดังนั้น สำรบริสุทธิ์จะมีจุดเดือดคงที่ และต�่ำกว่ำสำรผสม ในทำงกลับกันจุดหลอมเหลวของสำรบริสุทธิ์จะสูงกว่ำสำรผสม แต่มี ช่วงกำรหลอมเหลวแคบกว่ำสำรผสม กำรเพิ่มขึ้นของจุดเดือดเป็นหนึ่งในสมบัติคอลลิเกทีฟ ของสำรละลำย (colligative properties) เนื่องจำกสมบัติ ของตัวท�ำละลำยบริสุทธิ์ ณ ที่สภำวะหนึ่งๆ จะมีจุดเดือดคงที่ แต่เมื่อมีตัวละลำยที่ระเหยยำกผสมอยู่ในสำรละลำย จะส่งผล ให้สมบัติบำงประกำรของสำรเปลี่ยนแปลงไป โดยท�ำให้ จุดเดือดของสำรละลำยเพิ่มสูงขึ้นดังนั้น ปริมำณของ ตัวละลำยจะมีผลท�ำให้จุดเดือดของสำรละลำยสูงขึ้น เช่น น�้ำเกลือเป็นสำรละลำยที่มีเกลือเป็นตัวละลำย จะมีจุดเดือด สูงกว่ำน�้ำซึ่งเป็นสำรบริสุทธิ์ ดังกรำฟ Focus Science สมบัติคอลลิเกทีฟของสารละลาย อุณหภูมิ ( �C) น�้ำเกลือ น�้ำเวลำ กรำฟเปรียบเทียบจุดเดือดของน�้ำกับน�้ำเกลือ 24 ขั้นสอน สํารวจคนหา 3. ครูและนักเรียนรวมกันตอบคําถามทายกิจกรรม แลวบันทึกลงในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 แนวตอบ คําถามทายกิจกรรม 1. เพราะการใหความรอนโดยตรงแกหลอด ทดลอง และหลอดคะปลลารีจะทําใหอาน อุณหภูมิของจุดเดือด และจุดหลอมเหลวของ สารไมทัน 2. แตกตางกัน เพราะเอทานอลเปนสารบริสุทธิ์ จะมีจุดเดือดคงที่และตํ่ากวาสารผสม โดย กลีเซอรอลที่ผสมกับเอทานอลซึ่งเปนสาร ไมบริสุทธิ์ หรือสารผสมจะมีจุดเดือดที่สูงกวา 3. แตกตางกัน เพราะแนฟทาลีนเปนสารบริสุทธิ์ จะมีจุดหลอมเหลวสูงกวาสารผสม โดยสาร ละลายเบนโซอิกในแนฟทาลีนซึ่งเปนสารไม บริสุทธิ์ หรือสารผสมจะมีจุดหลอมเหลวตํ่ากวา สารในขอใดมีอุณหภูมิขณะเดือดไมคงที่ 1. นํ้า 2. นํ้าเชื่อม 3. นํ้ามันกาด 4. เอทิลแอลกอฮอล (วิเคราะหคําตอบ สารที่มีอุณหภูมิขณะเดือดไมคงที่ คือ สารไม บริสุทธิ์ โดยนํ้า นํ้ามันกาด และเอทิลแอลกอฮอลเปนสารบริสุทธิ์ จะมีอุณหภูมิขณะเดือดคงที่ แตนํ้าเชื่อมเปนสารละลาย ซึ่งจัดเปน สารไมบริสุทธิ์ จึงมีอุณหภูมิขณะเดือดไมคงที่ ดังนั้น ตอบขอ 2.) บันทึก กิจกรรม ศึกษาสารแนฟทาลีนกับสารละลายเบนโซอิคในแนฟทาลีน ครั้งที่ อุณหภูมิ ( ํC) ชวงการหลอมเหลว จุดหลอมเหลว เริ่มหลอมเหลว หลอมเหลวหมด 1 73.0 76.5 3.5 74.8 2 72.5 76.0 3.5 74.3 3 73.0 76.5 3.5 74.8 เฉลี่ย 74.6 นํา สอน สรุป ประเมิน T28
1 สารและการจําแนกสาร Summary สารรอบตัว การจำาแนกสาร สมบัติทางกายภาพ เป็นสมบัติที่สังเกตได้จำก ภำยนอกของสำร เช่น สี กลิ่น รส สถำนะ กำรน�ำไฟฟ้ำ เป็นต้น สถานะ แบ่งออกเป็น 3 สถำนะ อนุภาค แบ่งออกเป็น 3 ชนิด เนื้อสาร แบ่งออกเป็น 2 ประเภท เพชรมีควำมแข็ง มำกที่สุด ของแข็ง ของเหลว แก๊ส เงินน�ำไฟฟ้ำได้ดีที่สุด กำรเผำไหม้ กำรเกิดสนิมเหล็ก สมบัติทางเคมี เป็นสมบัติที่เกิดขึ้นจำก กำรท�ำปฏิกิริยำเคมี เช่น กำรเผำไหม้ กำรเกิดสนิม เป็นต้น • สารเนื้อเดีย ว สำรที่มี เนื้อสำรเหมือนกันทุกส่วน ท�ำให้สำรมีสมบัติเหมือน กันตลอดทุกส่วน • สารละลาย (solution) อนุภำคสำรมีเส้นผ่ำนศูนย์กลำงน้อยกว่ำ 10 - 7 เซนติเมตร เช่น สำรละลำยแอลกอฮอล์ เป็นต้น • สารแขวนลอย (suspension) อนุภำคสำรมีเส้นผ่ำนศูนย์กลำงมำกกว่ำ 10 - 4 เซนติเมตร เช่น น�้ำโคลน เป็นต้น • คอลลอยด์ (colloid) อนุภำคสำรมีเส้นผ่ำนศูนย์กลำงระหว่ำง 10-7-10-4 เซนติเมตร เช่น น�้ำนม เป็นต้น • สารเนื้ อผ สม สำรที่มี เนื้อสำรแตกต่ำงกัน ท�ำให้ สำรมีสมบัติไม่เหมือนกัน ตลอดทุกส่วน สมบัติของสาร ภำพที่ 1.50 ภำพที่ 1.52 ภำพที่ 1.54 ภำพที่ 1.53 ภำพที่ 1.51 25 สาร รอบตัว สารเนื้อเดีย ว สำรที่มี เนื้อสำรเหมือนกันทุกส่วน 1 สารเนื้ อผ สม สำรที่มี 2 ขั้นสรุป ขยายความรู 1. ครูใหนักเรียนศึกษาสมบัติคอลลิเกทีฟของ สารละลาย ใน Science Focus จากหนังสือ เรียนวิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 เพื่อขยายความ ใจวา เพราะเหตุใดสารบริสุทธิ์จึงมีจุดเดือดตํ่า กวาสารผสม และสารบริสุทธิ์มีจุดหลอมเหลว สูงกวาสารผสม 2. ครูใหนักเรียนทํา Self Check และ Unit Question 3. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบทายหนวย 4. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบทายเลม ในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 5. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบหลังเรียน นักเรียนควรรู 1 สารเนื้อเดียว พบไดทั้ง 3 สถานะ ตัวอยางสารเนื้อเดียวที่พบในชีวิต ประจําวัน ดังนี้ - ของแข็ง เชน เหล็ก ทองคํา สังกะสี ทองแดง อะลูมิเนียม นํ้าตาล เปนตน - ของเหลว เชน นํ้ากลั่น นํ้าเกลือ นํ้าสมสายชู นํ้าเชื่อม นํ้าอัดลม นํ้ามันพืช นํ้ามันเชื้อเพลิง เอทานอล เปนตน - แกส เชน อากาศ แกสหุงตม แกสออกซิเจน แกสไนโตรเจน แกส คารบอนไดออกไซด แกสไฮโดรเจน เปนตน 2 สารเนื้อผสม พบไดทั้ง 3 สถานะ ตัวอยางสารเนื้อผสมที่พบในชีวิต ประจําวัน ดังนี้ - ของแข็ง เชน ดิน ทราย คอนกรีต เปนตน - ของเหลว เชน นํ้าคลอง นํ้าโคลน นํ้าจิ้มไก แปงมันในนํ้า เปนตน - แกส เชน ฝุนละอองในอากาศ เขมาหรือควันดําในอากาศ เปนตน กิจกรรม 21st Century Skills ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3 คน สํารวจสารที่พบในชีวิต ประจําวันจํานวน 20 ชนิด แลวจําแนกประเภทของสารตามเกณฑ ตอไปนี้ - สถานะ - เนื้อสาร - ขนาดของอนุภาค แลวทําเปนใบงานสงครูผูสอน นํา สอน สรุป ประเมิน T29
ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET การเปลี่ยนแปลงของสาร ประเภทของสาร หลอมเหลว ระเหย แข็งตัว ควบแน่น อุณหภูมิสำรละลำย สำรบริสุทธิ์ จุดเดือด อุณหภูมิ สำรละลำย สำรบริสุทธิ์ จุดหลอมเหลว การหลอมเหลว ของแข็งเปลี่ยนสถำนะเป็นของเหลวที่ อุณหภูมิหนึ่ง ซึ่งเรียกว่ำ จุดหลอมเหลว โดยควำมร้อนที่ท�ำให้สำรเปลี่ยนสถำนะ เช่นนี้เรียกว่ำ ควำมร้อนแฝงของกำร หลอมเหลว การแข็งตัว ของเหลวเปลี่ยนสถำนะเป็นของแข็งที่ อุณหภูมิหนึ่ง ซึ่งเรียกว่ำ จุดเยือกแข็ง การควบแน่น แก๊สเปลี่ยนสถำนะเป็นของเหลวที่ อุณหภูมิหนึ่ง ซึ่งเรียกว่ำ จุดควบแน่น การเดือด ของเหลวเปลี่ยนสถำนะเป็นแก๊สที่ อุณหภูมิหนึ่ง ซึ่งเรียกว่ำ จุดเดือด โดย ควำมร้อนที่ท�ำให้สำรเปลี่ยนสถำนะ เช่นนี้เรียกว่ำ ควำมร้อนแฝงของกำร กลำยเป็นไอ สารบริสุทธิ์ สำรที่มีองค์ประกอบของสำรเพียงชนิดเดียว มีสมบัติทำงกำยภำพและทำงเคมีเฉพำะตัว • ธำตุ คือ สำรบริสุทธิ์ที่ประกอบด้วยอะตอมเพียงชนิดเดียว แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ ธำตุโลหะ ธำตุอโลหะ และธำตุกึ่งโลหะ แต่ธำตุบำงชนิดสำมำรถแผ่รังสีได้ เรียกว่ำ ธำตุกัมมันตรังสี โดยรังสีที่แผ่ออกมำจำกธำตุ เรียกว่ำ กัมมันตภำพรังสี • สำรประกอบ คือ สำรที่เกิดจำกกำรรวมตัวกันของธำตุตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปมำท�ำปฏิกิริยำเคมีกันด้วยสัดส่วนที่แน่นอน กลำย เป็นสำรใหม่ที่มีสมบัติแตกต่ำงไปจำกเดิม เช่น น�้ำ เป็นต้น สารผสม เกิดจำกสำรตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปมำผสมกัน • บำงชนิดผสมเป็นเนื้อเดียว เรียกว่ำ สำรละลำย เช่น น�้ำเกลือ น�้ำหวำน เป็นต้น • บำงชนิดผสมไม่เป็นเนื้อเดียวกัน เรียกว่ำ สำรเนื้อผสม ได้แก่ สำรแขวนลอย และคอลลอยด์ สมบัติของสารบริสุทธิ์และสารผสม • สำรบริสุทธิ์จะมีจุดเดือด จุดหลอมเหลว และควำมหนำแน่นคงที่ • สำรไม่บริสุทธิ์จะมีจุดเดือด จุดหลอมเหลว และควำมหนำแน่นไม่คงที่ ของแข็ง ของเหลว แก๊ส ภำพที่ 1.55 กรำฟเปรียบเทียบจุดเดือดของสำรบริสุทธิ์กับสำรละลำย กรำฟเปรียบเทียบจุดหลอมเหลวของสำรบริสุทธิ์กับสำรละลำย 26 ขั้นประเมิน ตรวจสอบผล 1. ครูตรวจแบบฝกหัด 2. ครูตรวจแบบฝกหัดทายเลม 3. ครูตรวจแบบทดสอบหลังเรียน 4. ครูตรวจแบบทดสอบทายหนวยที่ 1 5. ครูประเมินผลงานจากการทํากิจกรรมกลุม จาก Science Activity 6. ครูประเมินการปฏิบัติการจากการทํากิจกรรม การตรวจสอบสารบริสุทธิ์และสารละลาย 7. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายกลุม จาก การทํากิจกรรมการตรวจสอบสารบริสุทธิ์และ สารละลาย แนวทางการวัดและประเมินผล ครูวัดและประเมินผลความเขาใจในเนื้อหา เรื่อง สมบัติของสารบริสุทธิ์และ สารละลาย ไดจากแบบประเมินการปฏิบัติการ จากกิจกรรม เรื่อง การตรวจสอบ สารบริสุทธิ์และสารละลาย และจากแบบประเมินการนําเสนอผลงานหนาชั้น เรียน โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินที่อยูในแผนการจัดการเรียนรูประจํา หนวยการเรียนรูที่ 1 สารในขอใดจัดเปนสารเนื้อเดียวทั้งหมด 1. ทองคํา นาก 2. คอนกรีต ทราย 3. นํ้าเชื่อม นํ้าจิ้มไก 4. นํ้ากะทิ แปงมันละลายนํ้า (วิเคราะหคําตอบ ขอ 1. ทองคําจัดเปนธาตุ ซึ่งจัดเปนสารเนื้อเดียว และนากเปน สารละลาย ซึ่งจัดเปนสารเนื้อเดียว ขอ 2. คอนกรีตและทรายเปนสารแขวนลอย ซึ่งจัดเปนสารเนื้อผสม ขอ 3. นํ้าเชื่อมเปนสารละลาย ซึ่งจัดเปนสารเนื้อเดียว นํ้าจิ้มไก เปนสารแขวนลอย ซึ่งจัดเปนสารเนื้อผสม ขอ 4. นํ้ากะทิและแปงมันละลายนํ้าเปนสารแขวนลอย ซึ่งจัดเปน สารเนื้อผสม ดังนั้น ตอบขอ 1.) แบบประเมินการปฏิบัติการ แผนฯที่ 1,2,7 ค าชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินการปฏิบัติการของนักเรียนตามรายการที่ก าหนด แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับ ระดับคะแนน ล าดับที่ รายการประเมินระดับคะแนน 4 3 2 1 1 การปฏิบัติการทดลอง 2 ความคล่องแคล่วในขณะปฏิบัติการ 3 การน าเสนอ รวม ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน ................./................../.................. เกณฑ์การประเมินการปฏิบัติการ ประเด็นที่ประเมิน ระดับคะแนน 4 3 2 1 1. การปฏิบัติการ ทดลอง ท าการทดลองตาม ขั้นตอน และใช้อุปกรณ์ ได้อย่างถูกต้อง ท าการทดลองตาม ขั้นตอน และใช้อุปกรณ์ ได้อย่างถูกต้อง แต่อาจ ต้องได้รับค าแนะน าบ้าง ต้องให้ความช่วยเหลือ บ้างในการท าการ ทดลอง และการใช้ อุปกรณ์ ต้องให้ความช่วยเหลือ อย่างมากในการท าการ ทดลอง และการใช้ อุปกรณ์ 2. ความ คล่องแคล่ว ในขณะ ปฏิบัติการ มีความคล่องแคล่ว ในขณะท าการทดลอง โดยไม่ต้องได้รับค า ชี้แนะ และท าการ ทดลองเสร็จทันเวลา มีความคล่องแคล่ว ในขณะท าการทดลอง แต่ต้องได้รับค าแนะน า บ้าง และท าการทดลอง เสร็จทันเวลา ขาดความคล่องแคล่ว ในขณะท าการทดลอง จึงท าการทดลองเสร็จ ไม่ทันเวลา ท าการทดลองเสร็จไม่ ทันเวลา และท า อุปกรณ์เสียหาย 3. การบันทึก สรุป และน าเสนอผล การทดลอง บันทึกและสรุปผลการ ทดลองได้ถูกต้อง รัดกุม น าเสนอผลการทดลอง เป็นขั้นตอนชัดเจน บันทึกและสรุปผลการ ทดลองได้ถูกต้อง แต่ การน าเสนอผลการ ทดลองยังไม่เป็น ขั้นตอน ต้องให้ค าแนะน าในการ บันทึก สรุป และ น าเสนอผลการทดลอง ต้องให้ความช่วยเหลือ อย่างมากในการบันทึก สรุป และน าเสนอผล การทดลอง เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 11-12 ดีมาก 9-10 ดี 6-8 พอใช้ ต่ ากว่า 6 ปรับปรุง นํา สอน สรุป ประเมิน T30
Unit Question ถูก/ผิด ทบทวนหัวข้อ 1. กำรเกิดสนิมเหล็กเป็นสมบัติทำงกำยภำพของสำร 1.1 2. อนุภำคของของเหลวเคลื่อนที่ได้อิสระมำกกว่ำอนุภำคของแก๊ส 1.2 3. ควำมร้อนแฝงของกำรกลำยเป็นไอท�ำให้ของแข็งกลำยเป็นไอ 2 4. สำรผสมเกิดจำกสำรตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปมำรวมตัวกัน บำงชนิดผสมเป็นเนื้อเดียวกัน เรียกว่ำ สำรละลำย บำงชนิดผสมไม่เป็นเนื้อเดียวกัน เรียกว่ำ สำรเนื้อผสม ได้แก่ สำร แขวนลอย และคอลลอยด์ 3.2 5. สำรบริสุทธิ์และสำรผสมมีจุดเดือดไม่คงที่ แต่มีจุดหลอมเหลวคงที่ 3.3 1 จงระบุสมบัติทำงกำยภำพ และสมบัติทำงเคมีของสำรที่ก�ำหนดให้ในตำรำงต่อไปนี้ 2 ของแข็ง ของเหลว และแก๊ส มีกำรจัดเรียงอนุภำคแตกต่ำงกันอย่ำงไร 3 เมื่อวำงน�้ำแข็งไว้กลำงแจ้งเป็นเวลำครึ่งวัน ควำมร้อนจะมีผลต่อกำรเปลี่ยนแปลงสถำนะของน�้ำแข็งอย่ำงไร 4 จงเรียงล�ำดับอ�ำนำจทะลุทะลวงของกัมมันตภำพรังสีจำกสูงไปต�่ำ 5 หำกมีของเหลวใส ไม่มีสี อยู่ในแก้ว 2 ใบ โดยนักเรียนรู้ว่ำแก้วใบที่ 1 เป็นน�้ำ และแก้วใบที่ 2 เป็นสำรละลำยกรด นักเรียนจะมีวิธีตรวจสอบของเหลวในแก้วน�้ำทั้งสองอย่ำงไร บันทึกลงในสมุด สำร สมบัติทำงกำยภำพ สมบัติทำงเคมี แท่งเหล็ก น�้ำตำล แก๊สออกซิเจน น�้ำส้มสำยชู หินปูน บันทึกลงในสมุด บันทึกลงในสมุด Self-Check ให้นักเรียนตรวจสอบความเข้าใจ โดยพิจารณาข้อความว่าถูกหรือผิด แล้วบันทึกลงในสมุด หากพิจารณาข้อความไม่ถูกต้อง ให้กลับไปทบทวนเนื้อหาตามที่หัวข้อกำาหนดให้ คำาชี้แจง : ให้นักเรียนตอบค�ำถำมต่อไปนี้ 27 สาร รอบตัว สาร สมบัติทางกายภาพ สมบัติทางเคมี แทงเหล็ก ของแข็ง ผิวมันวาว นําไฟฟาได ทําปฏิกิริยากับ ออกซิเจน เกิดสนิมเหล็ก นํ้าตาล ทําปฏิกิริยากับ ออกซิเจน เมื่อนําไปเผาไฟ จะไดกากสีดํา และเกิดแกส คารบอนไดออกไซด แกส ออกซิเจน เปนแกส ไมมีสี มองไมเห็นดวย ตาเปลา ทําปฏิกิริยากับเหล็ก เกิดสนิมเหล็ก ชวยเพิ่มการลุกไหม นํ้าสม สายชู ของเหลวใส ไมมีสี มีรสเปรี้ยว ทําปฏิกิริยากับโลหะ ทําใหเกิดการกัดกรอน ไดแกสไฮโดรเจน หินปูน เปนของแข็ง มีสี ตางๆ เชน สีเทา สีนํ้าตาล สีขาว เปนตน ทําปฏิกิริยากับกรด ไดแกสคารบอนไดออกไซด แนวตอบ Unit Question 1. 3. เมื่อนํ้าแข็งไดรับความรอนแฝงของการหลอมเหลวจะทําใหนํ้าแข็งละลายกลายเปนนํ้า เมื่อทิ้งไวสักระยะหนึ่งความรอนแฝงของการกลายเปนไอจะทําให นํ้ามีอุณหภูมิสูงขึ้น จนกระทั่งระเหยกลายเปนไอนํ้าลอยปะปนอยูในอากาศ 4. รังสีแกมมา → รังสีบีตา → รังสีแอลฟา 5. พิจารณาคําตอบของนักเรียนขึ้นกับดุลยพินิจของครู โดยแนวคําตอบของนักเรียนไมควรใชการชิมสาร หรือสัมผัส แตควรตรวจสอบสารดวยการนําของ เหลวใสทั้งสองไปหาจุดเดือดและจุดหลอมเหลว ตามลําดับ หากของเหลวใดมีจุดเดือดและจุดหลอมเหลวคงที่ แสดงวาสารนั้นเปนนํ้า หรือสารบริสุทธิ์ แนวตอบ Self-Check 1. ผิด 2. ผิด 3. ผิด 4. ถูก 5. ผิด 2. อนุภาคของของแข็งจะเรียงชิดกัน อนุภาคของ ของเหลวจะอยูใกลกัน และอนุภาคของแกส จะอยูหางกัน สงผลใหแรงยึดเหนี่ยวระหวาง อนุภาคของของแข็ง ของเหลว และแกส เรียง จากสูงไปตํ่า ตามลําดับ นํา สอน สรุป ประเมิน T31
แผนการจัด การเรียนรู้ สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้ คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ แผนฯ ที่ 1 เซลล์ของ สิ่งมีชีวิต 5 ชั่วโมง - แบบทดสอบก่อนเรียน หน่วยที่ 2 - หนังสือเรียน วิทยาศาสตร์ม.1 เล่ม1 - แบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ ม.1 เล่ม 1 - ใบงาน เรื่อง เซลล์ของสิ่งมีชีวิต - ภาพน�ำเสนอสิ่งมีชีวิต หลายเซลล์ (PowerPoint) - วีดิทัศน์เรื่อง การเคลื่อนที่ของคน และการเคลื่อนที่ของ พารามีเซียม 1. อธิบายความสัมพันธ์ ระหว่างรูปร่างของเซลล์ ต่อการท�ำหน้าที่ของ เซลล์ได้(K) 2. อธิบายการจัดระบบ ของสิ่งมีชีวิตได้(K) 3. ใช้งานกล้องจุลทรรศน์ แบบใช้แสงตามขั้นตอน ที่ถูกต้องได้(P) 4. ปฏิบัติตามขั้นตอนการ ใช้งานกล้องจุลทรรศน์ แบบใช้แสงได้(A) แบบสืบเสาะ หาความรู้ (5Es Instructional Model) - ตรวจแบบทดสอบ ก่อนเรียน - ตรวจใบงาน เรื่อง เซลล์ของสิ่งมีชีวิต - ตรวจแบบฝึกหัด - ทักษะการสังเกต - ทักษะการจัดกลุ่ม - ทักษะการ เปรียบเทียบ - ทักษะการจ�ำแนก ประเภท - ทักษะการส�ำรวจ - มีวินัย - ใฝ่เรียนรู้ - มุ่งมั่นใน การท�ำงาน แผนฯ ที่ 2 เซลล์พืชและ เซลล์สัตว์ 3 ชั่วโมง - หนังสือเรียน วิทยาศาสตร์ม.1 เล่ม1 - แบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ ม.1 เล่ม 1 - สื่อ twig ภาพยนตร์ สารคดีสั้น เรื่อง เซลล์ คืออะไร - ภาพน�ำเสนอโครงสร้าง ของเซลล์พืชและสัตว์ (PowerPoint) 1. บรรยายหน้าที่ องค์ประกอบของเซลล์ ได้(K) 2. เปรียบเทียบรูปร่างและ โครงสร้างของเซลล์พืช และเซลล์สัตว์ได้(P) 3. รับผิดชอบต่อหน้าที่ และงานที่ได้รับ มอบหมาย (A) แบบสืบเสาะ หาความรู้ (5Es Instructional Model) - ตรวจแบบฝึกหัด - ประเมินแผ่นพับ เรื่อง เซลล์พืชและเซลล์สัตว์ - ทักษะการสังเกต - ทักษะการระบุ - ทักษะการ เปรียบเทียบ - ทักษะการจ�ำแนก ประเภท - ทักษะการรวบรวม ข้อมูล - มีวินัย - ใฝ่เรียนรู้ - มุ่งมั่นใน การท�ำงาน แผนฯ ที่ 3 การแพร่และ ออสโมซิส 4 ชั่วโมง - หนังสือเรียน วิทยาศาสตร์ม.1 เล่ม1 - แบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ ม.1 เล่ม 1 - สื่อ twig ภาพยนตร์ สารคดีสั้น เรื่อง เยื่อหุ้มเซลล์ 1. อธิบายกระบวนการแพร่ และออสโมซิสได้(K) 2. อธิบายความแตกต่าง ของการแพร่และ ออสโมซิสได้(K) 3. ใช้งานอุปกรณ์ ทางวิทยาศาสตร์ ได้อย่างถูกต้อง (P) 4. รับผิดชอบต่อหน้าที่ และงานที่ได้รับ มอบหมาย (A) แบบสืบเสาะ หาความรู้ (5Es Instructional Model) - ประเมินรายงาน เรื่อง การแพร่และการออสโมซิส - ตรวจแบบฝึกหัด - ตรวจ self-check และ Unit Question - ตรวจกิจกรรมท้าทาย ความคิดขั้นสูง - ตรวจแบบทดสอบ หลังเรียน - ทักษะการสังเกต - ทักษะการระบุ - ทักษะการ เปรียบเทียบ - ทักษะการรวบรวม ข้อมูล - ทักษะการเชื่อมโยง - มีวินัย - ใฝ่เรียนรู้ - มุ่งมั่นใน การท�ำงาน Chapter Overview T32
Chapter Concept Overview หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เซลลของสิ่งมีชีวิต การลําเลียงสารเขาและออกจากเซลล ประเภทของสิ่งมีชีวิต โครงสรางของเซลล สิ่งมีชีวิตเซลลเดียว กลองจุลทรรศน กลองจุลทรรศนเปนอุปกรณที่ชวยขยายขนาดสิ่งตาง ๆ ที่ ไมสามารถมองเห็นไดดวยตาเปลา เชน เซลล เปนตน โดย กลองจุลทรรศนที่ใชศึกษาในบทเรียนนี้ คือ กลองจุลทรรศนแบบ ใชแสง ซึ่งมีสวนประกอบ ดังนี้ การแพร เปนกระบวนการเคลื่อนที่ของอนุภาคสารจากบริเวณที่มีความ เขมขนสูงไปสูบริเวณที่มีความเขมขนตํ่า จนกระทั่งความเขมขน ของสารทั้งสองบริเวณสมดุลกัน การออสโมซิส เปนกระบวนการเคลื่อนที่ของนํ้าจากบริเวณที่มีความเขมขน ของสารละลายตํ่าไปสูบริเวณที่มีความเขมขนของสารละลายสูง หรือบริเวณที่มีโมเลกุลของนํ้ามากไปสูบริเวณที่มีโมเลกุลของ นํ้านอยโดยผานเยื่อเลือกผาน สิ่งมีชีวิตหลายเซลล การแพร การออสโมซิส การใชงานกลองจุลทรรศนแบบใชแสงมีขั้นตอน ดังนี้ 1. วางกลองบนพื้นเรียบ หมุนเลนสใกลวัตถุที่มีกําลังขยายตํ่าสุด มาอยูตรงกลางลํากลอง 2. ปรับกระจกเงาใตแทนวางวัตถุใหแสงสะทอนเขาสูกลอง แลวนํา สไลดวางบนแทนวางวัตถุ 3. หมุนปุมปรับภาพหยาบใหลํากลองเลื่อนมาอยูใกลกับวัตถุมาก ที่สุด แลวมองวัตถุผานเลนสใกลตา 4. หมุนปุมปรับภาพหยาบชา ๆ จนมองเห็นภาพวัตถุ จากนั้นหมุน ปุมปรับภาพละเอียด เพื่อใหภาพชัดขึ้น 5. ถาตองการเห็นภาพขนาดใหญขึ้นใหหมุนเลนสใกลวัตถุที่มีกําลัง ขยายสูงเขาในแนวลํากลอง แลวหมุนปุมปรับภาพละเอียด 6. ปรับไอริส ไดอะแฟรม เมื่อตองการเพิ่มความเขมแสงที่เขาสู ลํากลอง 7. ทําความสะอาดกลองเมื่อใชงานเสร็จ โดยบริเวณเลนสใหเช็ด ดวยกระดาษเช็ดเลนส หรือนํ้ายาสําหรับเช็ดเลนส รางกายประกอบดวยเซลลเพียงเซลลเดียว กิจกรรมตาง ๆ ที่เกี่ยวของกับ การดํารงชีวิตจะเกิดขึ้นในเซลลเพียงเซลลเดียว เชน อะมีบา พารามีเซียม ยูกลีนา ไดอะตอม แบคทีเรีย เปนตน รางกายประกอบดวยเซลลจํานวนมากมายหลายลานเซลล โดยเซลล ที่มีลักษณะเหมือนกันจะมาอยูรวมกันเพื่อทําหนาที่อยางเดียวกัน เชน พืช สัตว เปนตน เซลลสัตว เซลลพืช ไรโบโซม รางแหเอนโดพลาซึม แวคิวโอล เซนทริโอล กอลจิบอดี เยื่อหุมเซลล ผนังเซลล นิวเคลียส คลอโรพลาสต เลนสใกลตา ปุมปรับภาพหยาบ เลนสใกลวัตถุ เลนสรวมแสง ไอริส ไดอะแฟรม ปุมปรับภาพละเอียด โมเลกุลนํ้า สามารถเคลื่อนที่ ผานเยื่อเลือกผานได โมเลกุลโปรตีน มีขนาดใหญ ไมสามารถเคลื่อนที่ ผานเยื่อเลือกผานได T33
ตัวชี้วัด ว 1.2 ม.1/1 เปรียบเทียบรูปร่างและโครงสร้างของเซลล์พืชและสัตว์ รวมทั้งบรรยายหน้าที่ของผนังเซลล์ เยื่อหุ้มเซลล์ ไซโทพลาซึม นิวเคลียส แวคิวโอล ไมโทคอนเดรีย และคลอโรพลาสต์ ว 1.2 ม.1/2 ใช้กล้องจุลทรรศน์ใช้แสงศึกษาเซลล์และโครงสร้างต่าง ๆ ภายในเซลล์ ว 1.2 ม.1/3 อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างรูปร่างกับการท�าหน้าที่ของเซลล์ ว 1.2 ม.1/4 อธิบายการจัดระบบของสิ่งมีชีวิต โดยเริ่มจากเซลล์ เนื้อเยื่อ อวัยวะ ระบบอวัยวะจนเป็นสิ่งมีชีวิต ว 1.2 ม.1/5 อธิบายกระบวนการแพร่และออสโมซิสจากหลักฐานเชิงประจักษ์ และยกตัวอย่างการแพร่และออสโมซิสในชีวิตประจ�าวัน 2 หน่วยการเรียนรู้ที่ หน่วยของสิ่งมีชีวิต เซลล์สัตว์ มีส่วนประกอบส�าคัญ 3 ส่วน คือ เยื่อหุ้มเซลล์ ไซโทพลาซึมและ นิวเคลียส เซลล์พืช มีส ่วนประกอบส�าคัญเช ่นเดียวกับ เซลล์สัตว์ แต่เซลล์พืชจะมีผนังเซลล์ ห ่อหุ้มเยื่อหุ้มเซลล์อีกชั้นและมี โครงสร้างที่ใช้ในการสร้างอาหาร คือ คลอโรพลาสต์ ÊÔè§·ÕèàÅç¡·ÕèÊØ´ ในร่างกายของเรา คืออะไร เพทโดยเลือก Trim ขั้นนํา กระตุนความสนใจ 1. ครูแจงผลการเรียนรูใหนักเรียนทราบ 2. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบกอนเรียน 3. ครูกระตุนความสนใจของนักเรียน โดยให นักเรียนดูภาพสิ่งมีชีวิตเซลลเดียวและสิ่งมีชีวิต หลายเซลล จาก PPT 4. ครูถามคําถาม Big Question เกร็ดแนะครู การเรียนการสอน เรื่อง เซลลของสิ่งมีชีวิต ครูควรใหนักเรียนรูถึงความสําคัญ ของเซลลที่เปนหนวยพื้นฐาน ทําใหสิ่งมีชีวิตมีความแตกตางไปจากสิ่งไมมีชีวิต โดยสิ่งที่จําเปนอยางยิ่งในการศึกษารูปรางและลักษณะของเซลล คือ กลองจุลทรรศน ดังนั้น ครูควรฝกพื้นฐานการใชกลองจุลทรรศนอยางถูกตอง ใหแกนักเรียนเพื่อเปนพื้นฐานในการศึกษาระดับที่สูงขึ้นไป แนวตอบ Big Question เซลล เปนหนวยที่เล็กที่สุดในรางกายของ สิ่งมีชีวิตทุกชนิด นํา นํา สอน สรุป ประเมิน T34
1 เซลล์ของสิ่งมีชีวิต สิ่งต่าง ๆ รอบตัวล้วนประกอบไปด้วยสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต ซึ่งมี รูปร่างลักษณะที่แตกต่างกันไป โดยทั่วไปสิ่งมีชีวิตสามารถเจริญเติบโต และ ตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้ ขณะที่สิ่งไม่มีชีวิตจะไม่มีคุณสมบัติดังกล่าว ที่เป็นเช่นนี้ เนื่องจากสิ่งมีชีวิตทุกชนิดล้วนประกอบด้วยหน่วยที่เล็กที่สุด คือ เซลล์ (cell) Prior Knowledge สิ่งมีชีวิตกับสิ่งไม่มีชีวิต แตกต่างกันอย่างไร ยูกลีนา เซลล์ คือ หน่วยพื้นฐานที่เล็กที่สุดของสิ่งมีชีวิต ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกันตามชนิดของสิ่งมีชีวิต เซลล์ต้องการ สารอาหารเพื่อเปลี่ยนเป็นพลังงานและน�าไปใช้ในการด�ารงชีวิต นอกจากนี้เซลล์สามารถแบ่งตัวเพิ่มจ�านวนได้เป็น หลายเซลล์รวมกันและท�างานประสานกันเป็นระบบ แต่สิ่งมีชีวิตบางชนิดสามารถด�ารงชีวิตอยู่ได้ด้วยเซลล์เพียง เซลล์เดียว 1.1 ประเภทของสิ่งมีชีวิต 1. สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว (unicellular organism) เป็นสิ่งมีชีวิตที่ร่างกายประกอบด้วยเซลล์เพียงเซลล์ เดียว ซึ่งกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการด�ารงชีวิต เช่น การกินอาหาร การขับถ่าย การสืบพันธุ์ เป็นต้น จะเกิดขึ้น ในเซลล์เพียงเซลล์เดียว สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวส่วนใหญ่สามารถด�ารงชีวิตอยู่เป็นอิสระได้ เช่น อะมีบา พารามีเซียม ไดอะตอม ยูกลีนา เป็นต้น สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวบางชนิดมีนิวเคลียสที่ไม่มีเยื่อหุ้ม จึงพบสารพันธุกรรมกระจายอยู่ใน ไซโทพลาซึมเช่น แบคทีเรีย เป็นต้น อะมีบา แบคทีเรีย พารามีเซียม ไวรัสมีโปรตีนหรือไขมันห่อหุ้มสารพันธุกรรม (DNA หรือ RNA) สามารถเพิ่มจ�านวน ได้โดยอาศัยสิ่งมีชีวิตอื่นด้วยการปล่อยสารพันธุกรรมเข้าสู่สิ่งมีชีวิตอื่น และสังเคราะห์ สารพันธุกรรมและโปรตีนที่จ�าเป็นต่อการจ�าลองตัวในสิ่งมีชีวิต ก่อให้เกิดโรค เมื่อเซลล์ ของสิ่งมีชีวิตเสื่อมสลาย ไวรัสจ�านวนมากจะออกสู่ภายนอก จึงไม่จัดไวรัสเป็นสิ่งมีชีวิต นอกจากนี้ไวรัสไม่มีสมบัติของเซลล์เนื่องจากไวรัสไม่มีทั้งเยื่อหุ้มเซลล์และไซโทพลาซึม แต่ไวรัสจัดเป็นอนุภาค เรียกว่า ไวริออน (virion) Focus Science ไวรัส ภาพที่ 2.2 โครงสร้างของไวรัส ภาพที่ 2.1 ตัวอย่างสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว 29 หน่วยของ สิ่งมีชีวิต กิจกรรม สรางเสริม กิจกรรม ทาทาย ขั้นสอน สํารวจคนหา 1. ครูถามคําถาม prior knowledge 2. ครูถามคําถามวา รางกายของสิ่งมีชีวิตแตละชนิด จะมีโครงสราง และจํานวนเซลลในการดํารงชีวิต เหมือนกันหรือไม (แนวตอบ รางกายของสิ่งมีชีวิตแตละชนิด จะมีโครงสรางและจํานวนเซลลในการดํารงชีวิต ไมเหมือนกัน) 3. ครูใหนักเรียนดูวีดิทัศนเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ ของพารามีเซียมกับการเคลื่อนที่ของสัตว แลวใหนักเรียนรวมกันเปรียบเทียบความแตกตาง ระหวางสิ่งมีชีวิตทั้งสองชนิด ในประเด็นของ จํานวนเซลล และการทํางานรวมกันของเซลล ที่มีผลตอการเคลื่อนที่ 4. ครูใหนักเรียนศึกษา เรื่อง ประเภทเซลลของ สิ่งมีชีวิต ในหัวขอ สิ่งมีชีวิตเซลลเดียว และ ยกตัวอยางภาพสิ่งมีชีวิตเซลลเดียวจากหนังสือ เรียนวิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 ใหนักเรียนศึกษาคนควาเพิ่มเติม แลวรวบรวมรายชื่อของ สิ่งมีชีวิตเซลลเดียวใหไดมากที่สุด โดยจดลงในสมุดบันทึก วิเคราะหคําตอบ ใหนักเรียนศึกษาคนควาเพิ่มเติมวา สิ่งมีชีวิตเซลลเดียว เชน อะมีบา พารามีเซียม ยูกลีนา ยีสต แบคทีเรีย ไดอะตอม เปนตน มีการดําเนินกิจกรรมตางๆ ที่เกี่ยวของกับการดํารงชีวิต เชน การกินอาหาร การขับถาย การเคลื่อนที่ การสืบพันธุอยางไร แลวทํารายงานสงครูผูสอน แนวตอบ prior knowledge สิ่งมีชีวิตสามารถเจริญเติบโต เคลื่อนไหว หายใจ ขับถาย สืบพันธุ และตอบสนองตอสิ่งเรา ได สวนสิ่งไมมีชีวิตไมมีคุณสมบัติของลักษณะ ดังกลาว เพราะสิ่งมีชีวิตทุกชนิดลวนประกอบไป ดวยเซลลที่เปนหนวยพื้นฐานใหสิ่งมีชีวิตดําเนิน กิจกรรมตางๆ เพื่อใชในการดํารงชีวิต เกร็ดแนะครู ครูอาจแนะนําเกี่ยวกับไวรัสวา แมไวรัสไมใชสิ่งมีชีวิต แตการเพิ่มจํานวน ตัวเองไดโดยอาศัยเซลลของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น ไมเพียงจะสรางความเสียหายให กับรางกายของสิ่งมีชีวิตชนิดนั้น ยังสรางความเสียหายใหกับสิ่งมีชีวิตอื่นเปน วงกวาง เชน การแพรระบาดครั้งใหญของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุใหม 2019 ที่แพรกระจายไปทั่วโลก ผูปวยสวนใหญจะมีอาการไอ จาม มีไข บางรายมี อาการปอดอักเสบรวม ซึ่งในระยะแรกผูปวยจะยังคงไมแสดงอาการ สามารถ แพรกระจายเชื้อไวรัสผานทางการไอ จามได และปจจุบันวัคซีนยังคงอยูใน ขั้นตอนการพัฒนา จึงยากตอการควบคุมการแพรกระจายของเชื้อไวรัสชนิดนี้ นํา สอน สรุป ประเมิน T35
ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET 2. สิ่งมีชีวิตหลายเซลล(multicellular organism) เปนสิ่งมีชีวิตที่รางกายประกอบดวยเซลลจํานวนมาก หลายลานเซลล โดยเซลลชนิดเดียวกันหรือเซลลที่มีลักษณะเหมือนกันจะมาอยูรวมกันเพื่อทําหนาที่อยางเดียวกัน เรียกกลุมเซลลเหลานี้วา เนื้อเยื่อ (tissue) และเนื้อเยื่อหลายชนิดจะประกอบกันเปนอวัยวะ (organ) ซึ่งอวัยวะตาง ๆ หลายอวัยวะจะทําหนาที่ประสานสัมพันธกันเปนระบบอวัยวะ (organ system) และทุกระบบอวัยวะจะประกอบกันเปน รางกายของสิ่งมีชีวิต ตัวอยางสิ่งมีชีวิตหลายเซลล เชน พืช สัตว เปนตน เซลลแตละชนิดของสิ่งมีชีวิตหลายเซลลจะมีรูปรางและลักษณะเฉพาะที่แตกตางกันออกไป เนื่องจาก ลักษณะเฉพาะของเซลลถูกควบคุมดวยสารพันธุกรรมหรือยีน (gene) ทําใหเซลลแตละชนิดมีลักษณะรูปราง แตกตางกันตามกิจกรรมที่ทํา หรือตําแหนงและหนาที่ของเซลลนั้น ๆ ตัวอยางโครงสรางของพืช เนื้อเยื่อผิว เนื้อเยื่อลําเลียง เนื้อเยื่อเจริญ ปลายราก ใบ ลําตน ราก เนื้อเยื่อลําเลียง เซลลขนราก (root hair cell) มีลักษณะยาวและยื่นเขาไปใน ดิน เพื่อเพิ่มพื้นที่ผิวสัมผัสใหราก สามารถดูดนํ้าและธาตุอาหาร ไดมากขึ้น เซลลคุม (guard cell) มีรูปรางคลายเมล็ดถั่ว 2 อัน ประกบกัน ทําหนาที่ควบคุม การปด-เปดของปากใบ ไซเล็ม (xylem) เปนทอลําเลียงนํ้า มีลักษณะ กลวงและยาว ทําหนาที่ลําเลียง นํ้าจากรากไปสูใบ โฟลเอ็ม (phloem) เปนทอลําเลียงอาหาร มีลักษณะ ยาว หัวทายมีรูพรุน ทําหนาที่ ลําเลียงอาหารไปยังสวนตาง ๆ ของพืช ภาพที่ 2.3 โครงสรางของพืช 30 เซลล ใบ 1 สื่อ Digital ขั้นสอน สํารวจคนหา 1. ครูถามคําถามเพื่อโยงเขาสูหัวขอถัดไปวา เซลลตางๆ ที่อยูบนรางกายของเรามีรูปราง และหนาที่เหมือนกันหรือไม อยางไร (แนวตอบ เซลลบนรางกายมนุษยมีรูปรางแตก ตางกันตามความเหมาะสมกับหนาที่การ ทํางานของเซลลแตละชนิด เชน เซลลกลามเนื้อ ซึ่งเกี่ยวของกับการเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต เซลลรับแสงในดวงตา เปนตน) 2. ครูใหนักเรียนศึกษาตัวอยางสิ่งมีชีวิตหลายเซลล และศึกษารูปรางและหนาที่ของเซลลสิ่งมีชีวิต หลายเซลล จาก PPT หรือหนังสือเรียน วิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 นักเรียนควรรู 1 ใบ เปนโครงสรางสําคัญที่ใชในการสังเคราะหดวยแสงเพื่อสรางอาหาร ใหแกพืช ซึ่งภายในใบมีเซลลที่เกี่ยวของกับกระบวนการสังเคราะหดวยแสง เชน เซลลคุมที่บริเวณผิวใบ ทําหนาที่ควบคุมการเปด-ปดของปากใบ ชวยควบคุม การระเหยของนํ้าและแกสตางๆ นอกจากนี้ แพลิเสดเซลล (palisade cell) อยูถัดเขามาจากชั้นผิวใบ ซึ่งเซลลมีรูปรางเรียวยาว และอัดตัวกันแนน เพื่อเพิ่ม พื้นที่ผิวใหทุกๆ เซลลสัมผัสกับแสง เนื่องจากภายในเซลลนั้นมีคลอโรพลาสต ที่มีรงควัตถุชวยในการดูดกลืนแสง เซลลคุมพบมากในสวนใดของพืช 1. ใบ 2. ราก 3. ลําตน 4. ยอด (วิเคราะหคําตอบ เซลลคุม ทําหนาที่ควบคุมการเปด-ปด ของปากใบซึ่งเปนทางเขาออกของนํ้า แกสออกซิเจน และ แกสคารบอนไดออกไซดที่อยูระหวางอากาศกับใบของพืช จึงพบ เซลลคุมมากที่ใบของพืช ดังนั้น ตอบขอ 1.) นํา สอน สรุป ประเมิน T36 www.aksorn.com/interactive3D/RK722 เซลลพืช
ล�าไส้ เลือด อวัยวะสืบพันธุ์ เนื้อเยื่อประสาท เนื้อเยื่อบุผิว นํ้าเลือด เนื้อเยื่ออัณฑะ เซลล์ชนิดต่าง ๆ มีขนาดแตกต่างกัน เช่น เซลล์เส้นผมมีขนาด 100 ไมโครเมตร สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และสัมผัสได้ ขณะที่เซลล์ แบคทีเรียมีขนาดเพียง 1 ไมโครเมตร ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เป็นต้น ซึ่งในชีวิตประจ�าวันของมนุษย์ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับเซลล์ที่มี ขนาดเล็กอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น แบคทีเรียก่อโรคต่าง ๆ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่อาจท�าให้เสียชีวิตได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี ดังนั้น ในการวินิจฉัย โรคจึงต้องอาศัยอุปกรณ์ที่จะช่วยในการมองเห็นเซลล์ขนาดเล็กนั้นได้ โดย อุปกรณ์ทั่วไปที่ใช้ตรวจสอบเซลล์ขนาดเล็ก คือ กล้องจุลทรรศน์ ตัวอย่างโครงสร้างของสัตว์ เซลล์บุผิว มีส ่วนที่ยื่นออกไปคล้ายนิ้วมือ เรียกว่า วิลลัส (villus) ซึ่งช่วย เพิ่มพื้นที่ผิวในการดูดซึมอาหาร เซลล์เม็ดเลือดแดง มีลักษณะกลม ตรงกลางเว้า ไม่มี นิวเคลียส ซึ่งช่วยเพิ่มพื้นที่ผิว ในการแลกเปลี่ยนแก๊สและสามารถ ลอดผ่านหลอดเลือดฝอยได้ เซลล์อสุจิ ประกอบด้วยส่วนหัว ส่วนล�าตัว และส่วนหางที่ยาว ซึ่งช่วยให้ สามารถเคลื่อนที่ไปผสมกับ เซลล์ไข่ได้ สมอง ภาพที่ 2.5 เชื้อแบคทีเรีย E.coli ปนเปอน ในอาหาร เซลล์ประสาท มีลักษณะเป็นเส้นใยยาว และ แตกแขนงไปทั่วร ่างกาย ท�า หน้าที่รับส ่งกระแสประสาท เพื่อควบคุมการท�างานของ ร่างกาย ภาพที่ 2.4 โครงสร้างของสัตว์ 31 หน่วยของ สิ่งมีชีวิต เซลล์อสุจิ เซลล์ไข่ได้ 1 2 สื่อ Digital ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET เซลลเม็ดเลือดขาวแตกตางจากเซลลเม็ดเลือดแดงอยางไร (วิเคราะหคําตอบ เซลลเม็ดเลือดแดงจะมีขนาดประมาณ 6-8 ไมครอน รูปรางคอนขางกลม และเวาบริเวณกลางเซลล ไมมี นิวเคลียส มีสีแดง เพราะมีเฮโมโกลบินเปนองคประกอบ เซลล เม็ดเลือดแดง ทําหนาที่ลําเลียงแกสออกซิเจนไปเลี้ยงเซลลตางๆ ไปทั่วรางกาย แตสําหรับเซลลเม็ดเลือดขาวจะมีขนาดประมาณ 6-15 ไมครอน รูปรางและขนาดแตกตางกันตามชนิด ซึ่งปกติจะใหญ กวาเซลลเม็ดเลือดแดงประมาณ 2 เทา มีนิวเคลียส ไมมีสี เพราะไมมีเฮโมโกลบินเปนองคประกอบ เซลลเม็ดเลือดขาว ทําหนาที่เปนเซลลของระบบภูมิคุมกัน ซึ่งจะคอยปองกันรางกาย จากเชื้อโรค และสารแปลกปลอมตางๆ ที่เขามาในรางกาย) ขั้นสอน สํารวจคนหา 3. ครูใหนักเรียนศึกษารูปรางและหนาที่ของเซลล ในสัตว จาก PPT หรือหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 4. ครูใหนักเรียนจับกลุม กลุมละ 4-5 คน รวมกัน ยกตัวอยางเซลลของสิ่งมีชีวิตมา 10 ชนิด พรอม อธิบายรูปรางและหนาที่ในสิ่งมีชีวิตชนิดนั้น แลวสงตัวแทนออกมานําเสนอหนาชั้นเรียน นักเรียนควรรู 1 เซลลอสุจิ เพศชายจะเริ่มสรางเซลลอสุจิ เมื่ออายุประมาณ 12-13 ป และจะสรางไปตลอดชีวิต การหลั่งนํ้าอสุจิแตละครั้งจะมีของเหลวประมาณ 3-4 ลูกบาศกเซนติเมตร ซึ่งมีเซลลอสุจิเฉลี่ยประมาณ 300-500 ลานตัว 2 เซลลไข เด็กหญิงแรกเกิดจะมีเซลลไขที่ยังไมเจริญเต็มที่ประมาณ 5 แสนเซลล และจะลดจํานวนลงเรื่อยๆ จนถึงวัยที่ตกไขได จะเหลือประมาณ 490 เซลล นํา สอน สรุป ประเมิน T37 www.aksorn.com/interactive3D/RK723 เซลลสัตว
ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET ฐาน สวนที่รองรับนํ้าหนักของกลอง เลนสใกลตา อยูสวนบนของลํากลอง โดยทั่วไปจะมีกําลังขยาย 10X ลํากลอง ดานบนติดกับเลนสใกลตา ดานลาง ติดกับเลนสใกลวัตถุ แขนกลอง ใชจับในขณะเคลื่อนยายกลองจุลทรรศน ปุมปรับภาพหยาบ ใชหมุนเพื่อเลื่อนตําแหนงแทน ของวัตถุ เพื่อปรับระยะภาพ ปุมปรับภาพละเอียด ใชหมุนเพื่อทําใหเห็นภาพได ชัดเจนยิ่งขึ้น แทนวางวัตถุ ใชวางสไลดที่ตองการศึกษา ที่หนีบสไลด ใชหนีบสไลดใหแนนอยูกับที่ เลนสใกลวัตถุ ติดอยูบนแปนกลม มีทั้งกําลังขยายตํ่า และสูง (4X 10X 40X 100X) จานหมุน ใชหมุนเมื่อตองการเปลี่ยน กําลังขยายของเลนสใกลวัตถุ 1.2 กลองจุลทรรศน กลองจุลทรรศน(microscope) เปนอุปกรณที่ชวยในการขยายขนาด สิ่งตาง ๆ ที่เราไมสามารถมองเห็นไดดวยตาเปลา เชน เซลล เปนตน โดย รอเบิรต ฮุก (Robert Hooke) นักวิทยาศาสตรชาวอังกฤษ เปนผูประดิษฐ กลองจุลทรรศน เพื่อใชสังเกตสวนของไมคอรก (cork) ที่ถูกเฉือนเปนแผนบาง ๆ โดยภาพที่ไดมีลักษณะเปนหองเล็ก ๆ คลายรังผึ้ง เรียกหองเหลานี้วา เซลล ซึ่งเปนการคนพบเซลลของสิ่งมีชีวิตครั้งแรกผานกลองจุลทรรศน ในเวลาตอมากลองจุลทรรศนถูกพัฒนาใหมีหลายแบบ แตแบบที่ใช ศึกษาในบทเรียนนี้ คือ กลองจุลทรรศนแบบใชแสง (light microscope) โดย มีสวนประกอบ ดังนี้ เลนสรวมแสง ทําหนาที่รวมแสงใหเขมขึ้น เพื่อสงไปยังวัตถุที่ตองการศึกษา ไอริส ไดอะแฟรม มานปด - เปดรูรับแสง สามารถปรับ ขนาดของรูรับแสงไดตามตองการ ภาพที่ 2.6 กลองจุลทรรศนของรอเบิรต ฮุก ภาพที่ 2.7 กลองจุลทรรศน แหลงกําเนิดแสง แหลงกําเนิดแสงของกลองอาจเปน กระจกเงาหรือหลอดไฟ 32 กลองจุลทรรศน ขั้นสอน สํารวจคนหา 1. ครูถามคําถามวา เราจะศึกษารูปรางและลักษณะ สิ่งมีชีวิตเซลลเดียว และเซลลของสิ่งมีชีวิต หลายเซลลไดอยางไร (แนวตอบ อาศัยกลองจุลทรรศนเขามาชวยใน การศึกษาสิ่งมีชีวิตเซลลเดียว และเซลลของ สิ่งมีชีวิตหลายเซลล) 2. ครูเลาประวัติของรอเบิรต ฮุก อยางสังเขป พรอมทั้งอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลองจุลทรรศน จากนั้นครูถามคําถามกระตุนความสนใจของ นักเรียนวา เซลลที่รอเบิรต ฮุก คนพบมีลักษณะ อยางไร (แนวตอบ รอเบิรต ฮุก ใชกลองจุลทรรศนสองดู ไมคอรกที่เฉือนบางๆ และพบชองขนาดเล็ก จํานวนมาก เรียกชองเหลานี้วา เซลล (cell) ซึ่งแตละเซลลมีผนังเซลลเรียงติดกันเปน ชองสี่เหลี่ยม) 3. ครูใหนักเรียนศึกษาสวนประกอบของ กลองจุลทรรศนในหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 คอนเดนเซอร (condenser) เปนเลนสรวมแสง จากประโยชน ขางตน นักเรียนคิดวาเลนสรวมแสงเปนเลนสอะไร 1. เลนสนูน 2. เลนสเวา 3. เลนสกาบกลวย 4. ถูกทุกขอ (วิเคราะหคําตอบ เลนสที่ทําหนาที่รวมแสงใหไปตกที่จุดเดียวกัน คือ เลนสนูน สําหรับเลนสเวาจะทําหนาที่กระจายแสง สวนเลนส กาบกลวยจะทําหนาที่หักเหแสง ดังนั้น ตอบขอ 1.) เกร็ดแนะครู ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดูแลรักษากลองจุลทรรศนวา กลองจุลทรรศน เปนอุปกรณที่มีราคาสูงและเสียหายไดงาย โดยเฉพาะชิ้นสวนของเลนส ดังนั้น จึงตองดูแลและเก็บรักษาอุปกรณใหถูกวิธี ซึ่งมีวิธีปฏิบัติ ดังนี้ 1. ระวังไมใหสไลดและกระจกปดสไลดเปยก เพราะอาจทําใหเกิดสนิม 2. ในการมองภาพตองเริ่มตนจากกําลังขยายตํ่าสุดกอน 3. หากจําเปนตองใชเลนสกําลังขยายสูงสุด ควรหยดนํ้ามันเพื่อปองกันไม ใหเลนสใกลวัตถุกระทบกับกระจกสไลด สื่อ Digital นํา สอน สรุป ประเมิน T38 www.aksorn.com/interactive3D/RK721 กลองจุลทรรศน
แท่นวางวัตถุ ใช้วางสไลด์ที่ต้องการศึกษา หมุนปุ่มปรับภาพหยาบช้า ๆจนมองเห็นภาพวัตถุจากนั้นหมุน ปุ่มปรับภาพละเอียด เพื่อท�าให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ปรับไอริส ไดอะแฟรม เมื่อต้องการเพิ่มความเข้มแสงที่เข้าสู่ ล�ากล้อง วางกล้องบนพื้นที่เรียบ หมุนเลนส์ใกล้ วัตถุที่มีก�าลังขยายต�่าสุดมาอยู่ตรงกลาง ล�ากล้อง ปรับกระจกเงาใต้แท ่นวางวัตถุให้แสง สะท้อนเข้าสู่กล้องจากนั้นน�าสไลด์วางบน แท่นวางวัตถุ ถ้าต้องการเห็นภาพขนาดใหญ่ขึ้น ให้หมุนเลนส์ใกล้วัตถุที่มี ก�าลังขยายสูงเข้าในแนวล�ากล้องแล้วหมุนปุ่มปรับภาพละเอียด ท�าความสะอาดกล้องเมื่อใช้งานเสร็จ แล้วใช้ถุงคลุมกล้องหรือ เก็บไว้ในที่ที่ไม่มีฝุ่นซึ่งบริเวณเลนส์ให้เช็ดด้วยกระดาษเช็ดเลนส์ หรือน�้ายาส�าหรับเช็ดเลนส์ หมุนปุ่มปรับภาพหยาบให้ล�ากล้องเลื่อน มาอยู่ใกล้กับวัตถุมากที่สุดแล้วมองวัตถุ ผ่านเลนส์ใกล้ตา 1 4 6 5 7 2 3 ขั้นตอนการใช้งานกล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง ก�าลังขยายของกล้องจุลทรรศน์เป็นค่าคงที่บ่งบอกว่า กล้องจุลทรรศน์สามารถขยายภาพของวัตถุได้กี่เท่า โดยค�านวณได้จากสูตร ดังนี้ ก�าลังขยายของกล้องจุลทรรศน์ = ก�าลังขยายของเลนส์ใกล้วัตถุ × ก�าลังขยายของเลนส์ใกล้ตา Focus Science ก�ำลังขยำยของกล้องจุลทรรศน์ ภาพที่ 2.8 ขั้นตอนการใช้กล้องจุลทรรศน์ 33 หน่วยของ สิ่งมีชีวิต ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET ขอใดถูกตองเกี่ยวกับการใชกลองจุลทรรศน 1. ขณะดูกลองจุลทรรศนควรลืมตาทั้งสองขาง 2. ขณะดูกลองจุลทรรศนใหลืมตาขางใดขางหนึ่ง 3. หมุนเลนสใกลวัตถุที่มีกําลังขยายสูงสุดมาอยูตรงกลาง ลํากลองกอน 4. ถาตองการเห็นภาพมีขนาดใหญและมีรายละเอียดมากขึ้น ตองขยับสไลดไปมา (วิเคราะหคําตอบ หลักการใชงานกลองจุลทรรศนที่ถูกตอง คือ ควรลืมตาทั้งสองขางในขณะที่ดูกลองจุลทรรศน ควรหมุนเลนส ใกลวัตถุที่มีกําลังขยายตํ่าสุดมาอยูกลางลํากลองกอนเสมอ และถาตองการเห็นภาพที่มีขนาดใหญขึ้น ใหใชเลนสใกลวัตถุที่มี กําลังขยายสูงขึ้น ดังนั้น ตอบขอ 1.) ขั้นสอน สํารวจคนหา 4. ครูสาธิตการใชงานกลองจุลทรรศนแบบใชแสง ตามขั้นตอน จาก PPT หรือหนังสือเรียน วิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 5. ครูใหนักเรียนจับกลุม กลุมละ 4-5 คน ฝก ปฏิบัติใชงานกลองจุลทรรศน และบันทึกผล ลงในใบงาน เรื่อง เซลลของสิ่งมีชีวิต ขั้นสรุป ขยายความรู 1. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกหัดในแบบฝกหัด วิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 แนวทางการวัดและประเมินผล ครูวัดและประเมินผลความเขาใจในเนื้อหา เรื่อง ขั้นตอนการใช กลองจุลทรรศน ไดจากแบบประเมินการนําเสนอผลงาน โดยศึกษาเกณฑการวัด และประเมินที่อยูในแผนการจัดการเรียนรูประจําหนวยการเรียนรูที่ 2 อธิบายความรู 1. ครูสุมเลือกตัวแทนนักเรียน 4 คน ออกมา นําเสนอใบงาน หนาชั้นเรียนในหัวขอ ดังนี้ - นักเรียนคนที่ 1 นําเสนอขั้นตอนการใช กลองจุลทรรศน - นักเรียนคนที่ 2 นําเสนอความแตกตาง ระหวางสิ่งมีชีวิตเซลลเดียวกับสิ่งมีชีวิต หลายเซลล - นักเรียนคนที่ 3 และ 4 นําเสนอความสัมพันธ ระหวางรูปรางของเซลลตอการทําหนาที่ของ เซลลจากสไลดตัวอยางทั้งหมด ขั้นประเมิน ตรวจสอบผล 1. ครูตรวจแบบฝกหัด 2. ครูตรวจแบบทดสอบกอนเรียน 3. ครูตรวจใบงาน เรื่อง เซลลของสิ่งมีชีวิต 4. ครูสังเกตพฤติกรรมการนําเสนอผลงาน 5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายกลุม แบบประเมินการน าเสนอผลงาน ค าชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินการน าเสนอผลงาน แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับคะแนน ล าดับที่ รายการประเมินระดับคะแนน 3 2 1 1 ความถูกต้องของเนื้อหา 2 ภาษาที่ใช้เข้าใจง่าย 3 ประโยชน์ที่ได้จากการน าเสนอ 4 วิธีการน าเสนอผลงาน 5 ความสวยงามของผลงาน รวม ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน .............../................/................ เกณฑ์การให้คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 14-15 ดีมาก 11-13 ดี 8-10 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง นํา สอน สรุป ประเมิน T39
ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET 1.3 โครงสร้างของเซลล์ เซลล์แต่ละชนิดจะมีขนาด รูปร่าง และหน้าที่แตกต่างกัน แต่เซลล์ทุกชนิดจะมีโครงสร้างพื้นฐานที่ส�าคัญ 3 ส่วนที่เหมือนกัน ได้แก่ เยื่อหุ้มเซลล์ ไซโทพลาซึม และนิวเคลียส แวคิวโอล (vacuole) : มีขนาดเล็กกว่า เซลล์พืช ท�าหน้าที่รักษาสมดุลของน�้าใน สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวบางชนิด (contractile vacuole) หรือใช้บรรจุอาหารในเซลล์ เม็ดเลือดขาวของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม (food vacuole) อยู ่ด้านนอกสุด ท�าหน้าที่ห ่อหุ้มส ่วนต ่าง ๆ ที่อยู ่ภายในเซลล์ ควบคุมการผ ่าน เข้า-ออกของสารระหว่างเซลล์ และมีคุณสมบัติยอมให้สารบางชนิดผ่านได้ เรียกว่า เยื่อเลือกผ่าน (semipermeable membrane) เยื่อหุ้มเซลล์ (cell membrane) ไรโบโซม (ribosome) : มีขนาดเล็ก กระจายอยู ่ในไซโทพลาซึม ท�าหน้าที่ สังเคราะห์โปรตีน ร่างแหเอนโดพลาซึม (endoplasmicreticulum) :ลักษณะเป็นท่อแบน บางส่วนพองออกเป็นถุง เรียงซ้อนกันเป็นชั้น ๆ ท�าหน้าที่สังเคราะห์ โปรตีนและเอนไซม์ เซนทริโอ (centriole) : ลักษณะคล้าย ท่อทรงกระบอก 2 อัน วางตั้งฉากกัน เป็นออร์แกเนลล์ที่ท�าให้โครมาทิดแยก ออกจากกันในระหว่างการแบ่งเซลล์ โครงสร้างของเซลล์ โครงสร้าง เซลล์สัตว์ ไซโทพลาซึม (cytoplasm) ส่วนที่อยู่ภายในเยื่อหุ้มเซลล์ มีลักษณะกึ่งแข็งกึ่งเหลว ประกอบด้วย น�้าเป็นส่วนใหญ่ และมีสารต่าง ๆ ละลายและแขวนลอยอยู่ ทั้ง สารที่จ�าเป็นต่อการด�ารงชีวิตของเซลล์ เช่น น�้าตาล โปรตีน เป็นต้น รวมทั้งของเสียต่าง ๆ จากกิจกรรมของเซลล์ นอกจากนั้นในไซโทพลาซึมยัง พบออร์แกเนลล์หลายชนิด กระจายอยู่ ภาพที่ 2.9 โครงสร้างของเซลล์พืชและสัตว์ 34 เยื่อเลือกผ่าน ( 1 ขั้นนํา กระตุนความสนใจ ครูตั้งคําถามกระตุนความคิดนักเรียนวา เซลลพืช และเซลลสัตวมีลักษณะเหมือนหรือตางกัน อยางไร แลวใหนักเรียนชวยกันระดมความคิดในการตอบ คําถาม (แนวตอบ เซลลพืชและเซลลสัตวจะมีโครงสราง พื้นฐานสําคัญ 3 สวนที่เหมือนกัน คือ สวนที่ หอหุมเซลล ไซโทพลาซึม และนิวเคลียส แต รูปรางของเซลลพืช และเซลลสัตวตางกัน ซึ่ง เซลลพืชจะมีรูปรางเหลี่ยม สวนเซลลสัตวจะมี รูปรางกลม) เกร็ดแนะครู ครูอาจนําแบบจําลองของเซลลพืชและเซลลสัตวมาแสดงใหนักเรียนดู เพื่อใหนักเรียนเกิดความเขาใจเกี่ยวกับลักษณะและโครงสรางของเซลลพืช และเซลลสัตวมากขึ้น นักเรียนควรรู 1 เยื่อเลือกผาน คือ เยื่อบางๆ ที่มีลักษณะพิเศษที่ยอมใหของเหลว หรือนํ้า แพรผานเขาและออกไดสะดวก แตไมยอมใหสารอื่นที่มีโมเลกุลขนาดใหญผานได สวนประกอบใดของเซลลพบทั้งในเซลลพืชและเซลลสัตว 1. นิวเคลียส 2. ผนังเซลล 3. คลอโรฟลล 4. คลอโรพลาสต (วิเคราะหคําตอบ ผนังเซลล คลอโรฟลล และคลอโรพลาสตจะพบ เฉพาะในเซลลพืชเทานั้น สวนนิวเคลียสจะพบไดทั้งในเซลลพืช และเซลลสัตว ดังนั้น ตอบขอ 1.) นํา นํา สอน สรุป ประเมิน T40
H O T S ถ้าเซลล์ ไม่มีนิวเคลียส เราจะด�ารงชีวิตได้ตามปกติ หรือไม่ อย่างไร (ค�าถามท้าทายความคิดขั้นสูง) คลอโรพลาสต์ (chloroplast) : มีเยื่อหุ้ม 2 ชั้น ภายในมีรงควัตถุที่เกี่ยวข้องกับ กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง เรียกว่า คลอโรฟลล์ (chlorophyll) พบเฉพาะใน เซลล์พืช ลักษณะเป็นทรงกลม ภายในประกอบด้วยสารที่ควบคุมลักษณะทางพันธุกรรมและกิจกรรม ต่าง ๆ ของเซลล์ เยื่อหุ้มเซลล์(cellmembrane): ห่อหุ้มเซลล์ และควบคุมการผ่านเข้า-ออกของสาร ผนังเซลล์ (cell wall) : เป็นโครงสร้างที่ ห่อหุ้มด้านนอกของเซลล์พืช ท�าให้เซลล์ มีความแข็งแรง และช่วยให้เซลล์สามารถ คงรูปอยู่ได้ พบเฉพาะในเซลล์พืช แวคิวโอล (centralvacuole) : ลักษณะเป็น ถุง ภายในมีสารละลายอยู่ ในเซลล์พืช ท�าหน้าที่เก็บสะสมน�้าและสารอื่น ๆ แต ่ในสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวท�าหน้าที่ ควบคุมปริมาณน�้าและของเสีย ไมโทคอนเดรีย (mitochondria) : มีเยื่อหุ้ม 2 ชั้น ท�าหน้าที่เป็นแหล ่ง สร้างพลังงานให้แก่เซลล์ นิวเคลียส (nucleus) นิวเคลียส : ควบคุมกระบวนการต่าง ๆ ภายในเซลล์ โครงสร้าง เซลล์พืช กอลจิบอดี (golgi body) : ลักษณะเป็น ถุงเยื่อบาง ๆ เรียงซ้อนกันเป็นชั้น ๆ และ ส่วนปลายของถุงมักโป่งออก ท�าหน้าที่ เก็บสารที่ร่างแหเอนโดพลาซึมสร้างขึ้น เยื่อหุ้มเซลล์ 35 หน่วยของ สิ่งมีชีวิต คลอโรฟลล์ ( 1 ขั้นสอน สํารวจคนหา 1. ครูใหนักเรียนศึกษาแผนภาพโครงสรางของ เซลลสิ่งมีชีวิตทั้งเซลลพืชและเซลลสัตว จากนั้นครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงสราง พื้นฐานของเซลลสิ่งมีชีวิตพอสังเขป 2. ครูถามคําถามทาทายความคิดขั้นสูง (H.O.T.S.) แนวตอบ H.O.T.S. เนื่องจากนิวเคลียสทําหนาที่ควบคุมกิจกรรม ตางๆ ของเซลล ซึ่งหากเซลลสิ่งมีชีวิตไมมีนิวเคลียส พบวา สิ่งมีชีวิตเซลลเดียวจะไมสามารถดํารงชีวิต อยูได เนื่องจากไมมีนิวเคลียสควบคุมกิจกรรมตางๆ แตถาเปนสิ่งมีชีวิตหลายเซลลสามารถดํารงชีวิตได อยางปกติ เนื่องจากรางกายของสิ่งมีชีวิตหลาย เซลล ประกอบดวยเซลลจํานวนมาก หากบางเซลล ไมมีนิวเคลียส เซลลอื่นๆ ที่มีลักษณะหรือหนาที่ เหมือนกันสามารถทําหนาที่ทดแทนเซลลที่ไมมี นิวเคลียสได สื่อ Digital ศึกษาเพิ่มเติมไดจากภาพยนตรสารคดีสั้น Twig เรื่อง เซลลคืออะไร https://www.twig-aksorn.com/film/what-is-a-cell-7924/ นักเรียนควรรู 1 คลอโรฟลล คือ รงควัตถุที่พบในคลอโรพลาสตของเซลลพืช ทําหนาที่ เกี่ยวของกับกระบวนการสังเคราะหดวยแสงเพื่อสรางอาหาร ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET ออรแกเนลลในไซโทพลาซึมคูใดที่สัมพันธกันมากที่สุด 1. ไมโทคอนเดรีย แวคิวโอล 2. เซนทริโอล ไมโทคอนเดรีย 3. รางแหเอนโดพลาซึม แวคิวโอล 4. รางแหเอนโดพลาซึม กอลจิบอดี (วิเคราะหคําตอบ ไมโทคอนเดรีย ทําหนาที่เปนแหลงสรางพลังงาน ใหแกเซลล แวคิวโอล ทําหนาที่เก็บสารภายในเซลล เซนทริโอล ทําหนาที่ชวยในการแบงเซลล และชวยในการเคลื่อนที่ของเซลล บางชนิด รางแหเอนโดพลาซึม ทําหนาที่สังเคราะหโปรตีนและ เอนไซม สวนกอลจิบอดี ทําหนาที่เก็บสารที่รางแหเอนโดพลาซึม สรางขึ้น รางแหเอนโดพลาซึมและกอลจิบอดี จึงมีความสัมพันธ กันมากที่สุด ดังนั้น ตอบขอ 4.) นํา สอน สรุป ประเมิน T41