The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิทยาศาสตร์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Nasuha Hayee-awae, 2023-07-09 03:19:51

ทดลอง

วิทยาศาสตร์

ผูเรียบเรียงหนังสือเรียน นางสาวสุธารี คําจีนศรี นางภคพร จิตตรีขันธ ผูเรียบเรียงคูมือครู นางสาวปณณณัท พึ่งพิง นายอติคุณ โชติรัตนโชติ บรรณาธิการคูมือครู นางสาววราภรณ ทวมดี นางสาวจินตจุฑา วีระสุนทร ผูตรวจหนังสือเรียน รศ. ดร.ฤทธิ์ วัฒนชัยยิ่งเจริญ ดร.บุญทวี เลิศปญญาพรชัย นางพัชรินทร แสนพลเมือง บรรณาธิการหนังสือเรียน ผศ. ดร.นํ้าคาง ศรีวัฒนาโรทัย นางสาววราภรณ ทวมดี ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 ตามมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัด กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 คู่มือครู ม.1 เล่ม1 Teacher Script พิมพครั้งที่ 6 สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ รหัสสินคา 2148032 วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี


1 หนวยการเรียนรูที่ สารรอบตัว ÊÒ÷Õè ÍÂÙ‹ÃͺµÑÇàÃÒ มีความแตกต่าง กันอย่างไร ตัวชี้วัด ว 2.1 ม.1/1 อธิบำยสมบัติทำงกำยภำพบำงประกำรของธำตุโลหะ อโลหะ และกึ่งโลหะ โดยใช้หลักฐำนเชิงประจักษ์ที่ได้จำกกำรสังเกตและ กำรทดสอบ และใช้สำรสนเทศที่ได้จำกแหล่งข้อมูลต่ำง ๆ รวมทั้งจัดกลุ่มธำตุเป็นโลหะ อโลหะ และกึ่งโลหะว 2.1 ม.1/2 วิเครำะห์ผลจำกกำรใช้ธำตุโลหะ อโลหะ กึ่งโลหะ และธำตุกัมมันตรังสีที่มีต่อสิ่งมีชีวิต สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม จำกข้อมูล ที่รวบรวมได้ ว 2.1 ม.1/3 ตระหนักถึงคุณค่ำของกำรใช้ธำตุโลหะ อโลหะ กึ่งโลหะ ธำตุกัมมันตรังสี โดยเสนอแนวทำงกำรใช้ธำตุอย่ำงปลอดภัย คุ้มค่ำ ว 2.1 ม.1/4 เปรียบเทียบจุดเดือด จุดหลอมเหลวของสำรบริสุทธิ์และสำรผสม โดยกำรวัดอุณหภูมิ เขียนกรำฟ แปลควำมหมำยข้อมูลจำกกรำฟ หรือสำรสนเทศว 2.1 ม.1/5 อธิบำยและเปรียบเทียบควำมหนำแน่นของสำรบริสุทธิ์และสำรผสม ว 2.1 ม.1/6 ใช้เครื่องมือเพื่อวัดมวลและปริมำตรของสำรบริสุทธิ์และสำรผสม ว 2.1 ม.1/7 อธิบำยเกี่ยวกับควำมสัมพันธ์ระหว่ำงอะตอม ธำตุและสำรประกอบ โดยใช้แบบจ�ำลองและสำรสนเทศ ว 2.1 ม.1/8 อธิบำยโครงสร้ำงอะตอมที่ประกอบด้วยโปรตอน นิวตรอน และอิเล็กตรอน โดยใช้แบบจ�ำลอง ว 2.1 ม.1/9 อธิบำยและเปรียบเทียบกำรจัดเรียงอนุภำค แรงยึดเหนี่ยวระหว่ำงอนุภำค และกำรเคลื่อนที่ของอนุภำคของสสำรชนิดเดียวกันในสถำนะ ของแข็ง ของเหลว และแก๊ส โดยใช้แบบจ�ำลอง ว 2.1 ม.1/10 อธิบำยควำมสัมพันธ์ระหว่ำงพลังงำนควำมร้อนกับกำรเปลี่ยนสถำนะของสสำร โดยใช้หลักฐำนเชิงประจักษ์และแบบจ�ำลอง สารผสม ประกอบด้วยสำรตั้งแต่ 2 ชนิด ขึ้นไปมำผสมกัน ถ้ำผสมเป็น เนื้อเดียวกัน เรียกว่ำ สำรละลำย ถ้ำผสมแล้วไม่เป็นเนื้อเดียวกัน เรียกว่ำ สำรเนื้อผสม ธาตุ เป็นสำรบริสุทธิ์ ประกอบด้วยอะตอม เพียงชนิดเดียว ซึ่งเมื่อธำตุมำกกว่ำ หนึ่งชนิดรวมกันในอัตรำส่วนแน่นอน จะท�ำให้อยู่ในรูปสำรประกอบ ขั้นนํา กระตุนความสนใจ 1. ครูแจงผลการเรียนรูใหนักเรียนทราบ 2. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบกอนเรียน 3. ครูถามคําถาม Big Question เกร็ดแนะครู ในหนวยการเรียนรูนี้ ครูควรเนนใหนักเรียนไดทําการทดลอง และครูควร ยกตัวอยางสารตางๆ ที่สามารถพบเห็นไดในชีวิตประจําวัน เพื่อชวยใหนักเรียน ไดเปรียบเทียบลักษณะและสมบัติของสารแตละประเภท แนวตอบ Big Question สารที่อยูรอบตัวเราบางชนิดมีสมบัติทาง กายภาพบางประการที่เหมือนและแตกตางกัน เชน สถานะ การนําความรอน การนําไฟฟา เปนตน แตอยางไรก็ตาม สารแตละชนิดยอมมีลักษณะ เฉพาะของสารแตละชนิดนั้นๆ เชน สภาพการ ละลาย จุดเดือด จุดหลอมเหลว ความหนาแนน ของสาร เปนตน นํา นํา สอน สรุป ประเมิน T6 โซน 1 โซน 2 ค�ำแนะน�ำกำรใช้ คู่มือครูรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.1 เล่ม 1 จัดท�าขึ้นส�าหรับให้ครูผู้สอนใช้เป็นแนวทางวางแผนการจัดการเรียน การสอน เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและการประกันคุณภาพ ผู้เรียนตามนโยบายของส�านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) โซน 2 ประกอบด้วยองค์ประกอบต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ส�าหรับครู เพื่อน�าไปประยุกต์ใช้จัดกิจกรรมการเรียนรู้ในชั้นเรียน ช่วยครูเตรียมสอน เกร็ดแนะครู ความรู้เสริมส�าหรับครู ข้อเสนอแนะ ข้อสังเกต แนวทางการจัด กิจกรรมและอื่น ๆ เพื่อประโยชน์ในการจัดการเรียนการสอน นักเรียนควรรู ความรู้เพิ่มเติมจากเนื้อหา ส�าหรับอธิบายเสริมเพิ่มเติมให้ กับนักเรียน แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ครูผู้สอน โดยแนะน�าขั้นตอนการสอน และการจัดกิจกรรมอย่างละเอียด เพื่อให้นักเรียนบรรลุผลสัมฤทธิ์ตามตัวชี้วัด ช่วยครูจัด กำรเรียนกำรสอน น�ำ สอน สรุป ประเมิน โซน 1 คําแนะนําการใช ชวยสรางความเขาใจ เพื่อใชคูมือครูได อยางถูกตองและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด เพิ่ม เพิ่ม เพิ่ม เพิ่ม เพิ่ม เพิ่ม เพิ่ม เพิ่ม เพิ่ม คําอธิบายรายวิชา แสดงขอบขายเนื้อหาสาระของรายวิชา ซึ่งครอบคลุมมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดตามที่หลักสูตร กําหนด Pedagogy ชวยสรางความเขาใจในกระบวนการออกแบบ การจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ไดอยางมี ประสิทธิภาพ Teacher Guide Overview ชวยใหเห็นภาพรวมของการ จัดการเรียนการสอนทั้งหมดของรายวิชากอนที่จะลงมือ สอนจริง Chapter Overview ชวยสรางความเขาใจและเห็นภาพรวม ในการออกแบบแผนการจัดการเรียนรูแตละหนวย Chapter Concept Overview ชวยใหเห็นภาพรวม Concept และเนื้อหาสําคัญของหนวยการเรียนรู ขอสอบเนนการคิด/ขอสอบแนว O-NET เพื่อเตรียม ความพรอมของผูเรียนสูการสอบในระดับตาง ๆ กิจกรรม 21st Century Skills กิจกรรมที่จะชวยพัฒนา ผูเรียนใหมีทักษะที่จําเปนสําหรับการเรียนรูและการดํารงชีวิต ในโลกแหงศตวรรษที่ 21 STEM Project แนวทางการจัดการเรียนการสอนใหผูเรียน เกิดการเรียนรูและสามารถบูรณาการความรูทางวิทยาศาสตร เทคโนโลยี กระบวนการทางวิศวกรรม และคณิตศาสตรไปใช เชื่อมโยงและแกปญหาในชีวิตจริง โซน 3


1 สารและการจําแนกสาร สิ่งที่อยู่รอบตัวเรำจัดว่ำเป็น สสาร (matter) ที่มีมวล มีตัวตน ต้องกำร ที่อยู่ สัมผัสได้ ซึ่งสำมำรถมองเห็นด้วยตำเปล่ำได้ หรืออำจมองไม่เห็นด้วย ตำเปล่ำ สสำรที่ศึกษำจนทรำบสมบัติและองค์ประกอบ เรียกว่ำ สาร (substance) Prior Knowledge สมบัติใดบ้ำงที่ใช้ จ�ำแนกประเภท ของสำร 1.1 สมบัติของสาร สำรแต่ละชนิดมีลักษณะเฉพำะตัวที่แตกต่ำงกัน เช่น เกลือเป็นของแข็ง สีขำวที่อุณหภูมิห้อง น�้ำแข็งเป็นของแข็ง ใส ไม่มีสี เป็นต้น สำรบำงชนิดเป็น ของเหลว เช่น น�้ำ ปรอท เป็นต้น และสำรบำงชนิดเป็นแก๊สลอยปะปน ในอำกำศ เช่น ไอน�้ำ แก๊สคำร์บอนไดออกไซด์ เป็นต้น เมื่อสำรเหล่ำนี้ได้รับ ควำมร้อนจะท�ำให้สมบัติบำงประกำรเปลี่ยนแปลงไป โดยสมบัติของสำร แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ดังนี้ ภำพที่ 1.1 สำรแต่ละชนิดมีลักษณะเฉพำะ ที่แตกต่ำงกัน ภำพที่ 1.2 เพชรมีควำมแข็งมำกที่สุด ภำพที่ 1.5 กำรเผำไหม้ ภำพที่ 1.3 น�้ำแข็งมีควำมหนำแน่นน้อยกว่ำ น�้ำทะเล ภำพที่ 1.7 น�้ำมะนำวมีฤทธิ์เป็นกรด ภำพที่ 1.4 เงินน�ำไฟฟ้ำได้ดีที่สุด ภำพที่ 1.6 กำรเกิดสนิมเหล็ก 2. สมบัติทางเคมี เป็นสมบัติที่เกิดจำกกำรท�ำปฏิกิริยำเคมี ซึ่ง ท�ำให้เกิดสำรใหม่ที่มีองค์ประกอบภำยในและภำยนอกเปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้สำรใหม่ที่เกิดขึ้นมีสมบัติแตกต่ำงไปจำกสำรเดิม เช่น กำรเกิดสนิม กำรเผำไหม้ ควำมเป็นกรด-เบสของสำร เป็นต้น ของแข็ง แก๊ส ของเหลว 1. สมบัติทางกายภาพ เป็นสมบัติที่สำมำรถสังเกตได้จำกภำยนอก ของสำร เช่น สี กลิ่น รส กำรละลำย ควำมแข็ง ลักษณะผลึก สถำนะ กำรน�ำ ควำมร้อน กำรน�ำไฟฟ้ำ จุดเดือด จุดหลอมเหลว ควำมหนำแน่น เป็นต้น 3 สาร รอบตัว กิจกรรม สรางเสริม กิจกรรม ทาทาย ขั้นสอน สํารวจคนหา 1. ครูถามคําถาม prior knowledge 2. ครูใหนักเรียนแบงกลุมออกเปน 4 กลุม ศึกษา เรื่อง สมบัติของสาร ในหนังสือเรียน วิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 3. ครูนําบีกเกอร A ที่มีนํ้าสมสายชู และบีกเกอร B ที่มีนํ้า มาใหนักเรียนศึกษา และตั้งคําถาม ตอไปนี้ • สารในบีกเกอร A และ B เปนสารชนิดเดียวกัน หรือไม (แนวตอบ พิจารณาตามคําตอบของนักเรียน โดยใหอยูในดุลยพินิจของครูผูสอน) 4. ครูใหนักเรียนตรวจสอบสารในบีกเกอร A และ B แลวถามนักเรียน ดังนี้ • สาร A และ B มีลักษณะอยางไร (แนวตอบ สาร A และ B เปนของเหลว ไมมีสี แตสาร A มีกลิ่นฉุน เมื่อทดสอบดวย กระดาษลิตมัสพบวา สาร A มีฤทธิ์เปนกรด สวนสาร B ไมเปลี่ยนสีกระดาษลิตมัส) • ลักษณะใดบางเปนสมบัติทางกายภาพ (แนวตอบ สถานะของสาร สี กลิ่น เปนตน) • ลักษณะใดเปนสมบัติทางเคมี (แนวตอบ ความเปนกรด-เบส เปนตน) 5. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปราย เรื่อง สมบัติ ของสาร จากตัวอยางสารในบีกเกอร A และ B ใหนักเรียนเปรียบเทียบสมบัติทางกายภาพและสมบัติทางเคมี ของสาร โดยสรุปออกมาในรูปแบบของตารางลงในสมุดบันทึก ใหนักเรียนศึกษาคนควาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง ทางเคมีที่พบในชีวิตประจําวัน โดยใหเขียนสมการเคมีแสดงการ เกิดปฏิกิริยาพรอมบอกวาสารตั้งตนและผลิตภัณฑคืออะไร แลว ทํารายงานสงครูผูสอน นักเรียนควรรู 1 การนําความรอน ปรากฏการณที่พลังงานความรอนถายเทภายในวัตถุ หนึ่งๆ หรือระหวางวัตถุสองชิ้นที่สัมผัสกัน โดยมีทิศทางของการเคลื่อนที่ของ พลังงานความรอนจากบริเวณที่มีอุณหภูมิสูงกวาไปยังบริเวณที่มีอุณหภูมิตํ่ากวา โดยที่ตัวกลางไมมีการเคลื่อนที่ 2 จุดเดือด อุณหภูมิของของเหลว ซึ่งมีความดันไอเทากับความดันของ บรรยากาศรอบๆ และของเหลวกําลังเปลี่ยนสถานะกลายเปนไอ เชน นํ้าบริสุทธิ์ มีจุดเดือด 100 องศาเซลเซียส ที่ความดันมาตรฐาน 1 บรรยากาศ 3 จุดหลอมเหลว อุณหภูมิที่ทําใหของแข็งเปลี่ยนสถานะเปนของเหลว โดย นํ้าบริสุทธิ์มีจุดหลอมเหลว 0 องศาเซลเซียส ที่ความดันมาตรฐาน 1 บรรยากาศ 4 ความหนาแนน การวัดมวลตอหนึ่งหนวยปริมาตร มีหนวยเปนกิโลกรัม ตอลูกบาศกเมตร (kg/m3 ) แนวตอบ prior knowledge การละลาย ความแข็ง สถานะ ลักษณะผลึก จุดเดือด จุดหลอมเหลว ความเปนกรด-เบส ควำมร้อน กำรน�ำไฟฟ้ำ จุดเดือด จุดหลอมเหลว ควำมหนำแน่น เป็นต้น 1 2 3 4 ของสำร เช่น สี กลิ่น รส กำรละลำย ควำมแข็ง ลักษณะผลึก สถำนะ กำรน�ำ นํา สอน สรุป ประเมิน T7 โซน 1 โซน 2 ประกอบด้วยแนวทางส�าหรับการจัดกิจกรรมและ เสนอแนะแนวข้อสอบ เพื่ออ�านวยความสะดวกให้แก่ครูผู้สอน โซน 3 ช่วยครูเตรียมนักเรียน แนวทางการวัดและประเมินผล เสนอแนะแนวทางการบรรลุผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ นักเรียนตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดที่หลักสูตรก�าหนด หองปฏิบัติการ (วิทยาศาสตร) ค�าอธิบายหรือข้อเสนอแนะสิ่งที่ควรระมัดระวัง หรือข้อควรปฏิบัติ ตามเนื้อหาในบทเรียน สื่อ Digital แนะน�าแหล่งเรียนรู้และแหล่งค้นคว้าจากสื่อ Digital ต่าง ๆ โซน 3 ช่วยครูเตรียมนักเรียน กิจกรรม 21st Century Skills กิจกรรมที่ให้นักเรียนได้ประยุกต์ใช้ความรู้สร้างชิ้นงาน หรือท�ากิจกรรมรวบยอดเพื่อให้เกิดทักษะที่จ�าเป็นใน ศตวรรษที่ 21 ขอสอบเนนการคิด ตัวอย่างข้อสอบที่มุ่งเน้นการคิด มีทั้งปรนัย-อัตนัย พร้อม เฉลยอย่างละเอียด ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET ตัวอย่างข้อสอบที่มุ่งเน้นการคิดวิเคราะห์ และสอดคล้องกับ แนวข้อสอบ O-NET มีทั้งปรนัย-อัตนัย พร้อมเฉลยอย่าง ละเอียด กิจกรรมทาทาย เสนอแนะแนวทางการจัดกิจกรรม เพื่อต่อยอดส�าหรับนักเรียน ที่เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว และต้องการท้าทายความสามารถใน ระดับที่สูงขึ้น กิจกรรมสรางเสริม เสนอแนะแนวทางการจัดกิจกรรมซ่อมเสริมส�าหรับนักเรียนที่ ควรได้รับการพัฒนาการเรียนรู้ โดยใช้หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ม.1 เลม 1 และแบบฝกหัดรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร และเทคโนโลยี ม.1 เลม 1 ของบริษัท อักษรเจริญทัศน์ อจท. จ�ากัด เป็นสื่อหลัก (Core Materials) ประกอบการสอนและ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อให้สอดคล้องตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดของกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ซึ่งคู่มือครู มีองค์ประกอบที่ง่ายต่อการใช้งาน ดังนี้ โซน 3


ค�ำอธิบายรายวิชา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เวลาเรียน120 ชั่วโมง/ปี ศึกษาเกี่ยวกับสารรอบตัว สมบัติของสาร การจ�ำแนกสารด้วยสถานะ เนื้อสาร และขนาดอนุภาคของสาร การเปลี่ยนแปลงของสารสารบริสุทธิ์และสารผสมสมบัติของสารบริสุทธิ์และสารผสมการใช้ความรู้ทางเคมีให้เป็นประโยชน์ ต่อการเลือกใช้สารเคมีในชีวิตประจ�ำวันได้อย่างเหมาะสมและปลอดภัย การศึกษาชีววิทยาโดยอาศัยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ศึกษาประเภท โครงสร้าง และหน้าที่ของส่วนประกอบภายในเซลล์สิ่งมีชีวิตด้วยกล้องจุลทรรศน์ศึกษากระบวนการล�ำเลียง สารเข้าและออกจากเซลล์ด้วยวิธีการแพร่และออสโมซิส ศึกษาการด�ำรงชีวิตของพืช กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง การล�ำเลียงสารในพืช การเจริญเติบโตของพืช การสืบพันธุ์ของพืช และเทคโนโลยีชีวภาพของพืช ศึกษาเกี่ยวกับอุณหภูมิ และการวัด ผลของความร้อนที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงของสาร สมดุลความร้อน การถ่ายโอนความร้อน องค์ประกอบของ บรรยากาศ การแบ่งชั้นบรรยากาศ ผลของรังสีจากดวงอาทิตย์ต่อบรรยากาศ องค์ประกอบของบรรยากาศ ได้แก่ อุณหภูมิ อากาศความดันอากาศความชื้นอากาศลมเมฆและฝน พายุฟ้าคะนอง พายุหมุนเขตร้อนมรสุมการพยากรณ์อากาศและ การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของโลก โดยอาศัยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์กระบวนการสืบเสาะหาความรู้การสืบค้นข้อมูล การสังเกต การวิเคราะห์ การทดลอง การอภิปราย การอธิบาย และสรุป เพื่อให้เกิดความรู้ความคิด ความเข้าใจ มีความสามารถในการตัดสินใจ สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และน�ำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจ�ำวัน มีจิตวิทยาศาสตร์มีคุณธรรม และจริยธรรม ตัวชี้วัด ว1.2 ม.1/1 เปรียบเทียบรูปร่างและโครงสร้างของเซลล์พืชและสัตว์ รวมทั้งบรรยายหน้าที่ของผนังเซลล์ เยื่อหุ้มเซลล์ ไซโทพลาซึม นิวเคลียส แวคิวโอล ไมโทคอนเดรีย และคลอโรพลาสต์ ว1.2 ม.1/2 ใช้กล้องจุลทรรศน์ใช้แสงศึกษาเซลล์และโครงสร้างต่างๆ ภายในเซลล์ ว1.2 ม.1/3 อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างรูปร่างกับการท�ำหน้าที่ของเซลล์ ว1.2 ม.1/4 อธิบายการจัดระบบของสิ่งมีชีวิต โดยเริ่มจากเซลล์เนื้อเยื่อ อวัยวะ ระบบอวัยวะจนเป็นสิ่งมีชีวิต ว1.2 ม.1/5 อธิบายกระบวนการแพร่และออสโมซิสจากหลักฐานเชิงประจักษ์และยกตัวอย่างการแพร่และออสโมซิสในชีวิตประจ�ำวัน ว1.2 ม.1/6 ระบุปัจจัยที่จ�ำเป็นในการสังเคราะห์ด้วยแสงและผลผลิตที่เกิดขึ้นจากการสังเคราะห์ด้วยแสง โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ ว1.2 ม.1/7 อธิบายความส�ำคัญของการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืชต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม ว1.2 ม.1/8 ตระหนักในคุณค่าของพืชที่มีต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม โดยการร่วมกันปลูกและดูแลรักษาต้นไม้ในโรงเรียน ว1.2 ม.1/9 บรรยายลักษณะและหน้าที่ของไซเล็มและโฟลเอ็ม ว1.2 ม.1/10 เขียนแผนภาพที่บรรยายทิศทางการล�ำเลียงสารในไซเล็มและโฟลเอ็มของพืช ว1.2 ม.1/11 อธิบายการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศและไม่อาศัยเพศของพืชดอก ว1.2 ม.1/12 อธิบายลักษณะโครงสร้างของดอกที่มีส่วนท�ำให้เกิดการถ่ายเรณูรวมทั้งบรรยายการปฏิสนธิของพืชดอกการเกิดผลและเมล็ด การกระจายเมล็ด และการงอกของเมล็ด ว1.2 ม.1/13 ตระหนักถึงความส�ำคัญของสัตว์ที่ช่วยในการถ่ายเรณูของพืชดอก โดยการไม่ท�ำลายชีวิตของสัตว์ที่ช่วยในการถ่ายเรณู ว1.2 ม.1/14 อธิบายความส�ำคัญของธาตุอาหารบางชนิดที่มีผลต่อการเจริญเติบโตและการด�ำรงชีวิตของพืช ว1.2 ม.1/15 เลือกใช้ปุ๋ยที่มีธาตุอาหารเหมาะสมกับพืชในสถานการณ์ที่ก�ำหนด ว1.2 ม.1/16 เลือกวิธีการขยายพันธุ์พืชให้เหมาะสมกับความต้องการของมนุษย์โดยใช้ความรู้เกี่ยวกับการสืบพันธุ์ของพืช ว1.2 ม.1/17 อธิบายความส�ำคัญของเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชในการใช้ประโยชน์ด้านต่างๆ ว1.2 ม.1/18 ตระหนักถึงประโยชน์ของการขยายพันธุ์พืช โดยการน�ำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจ�ำวัน


ว2.1 ม.1/1 อธิบายสมบัติทางกายภาพบางประการของธาตุโลหะ อโลหะ และกึ่งโลหะ โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ที่ได้จากการสังเกต และการทดสอบ และใช้สารสนเทศที่ได้จากแหล่งข้อมูลต่างๆ รวมทั้งจัดกลุ่มธาตุโลหะ อโลหะ และกึ่งโลหะ ว2.1 ม.1/2 วิเคราะห์ผลจากการใช้ธาตุโลหะ อโลหะ กึ่งโลหะ และธาตุกัมมันตรังสีที่มีต่อสิ่งมีชีวิต สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม จากข้อมูลที่รวบรวมได้ ว2.1 ม.1/3 ตระหนักถึงคุณค่าของการใช้ธาตุโลหะ อโลหะ กึ่งโลหะ ธาตุกัมมันตรังสีโดยเสนอแนวทางการใช้ธาตุอย่างปลอดภัย และคุ้มค่า ว2.1 ม.1/4 เปรียบเทียบจุดเดือด จุดหลอมเหลวของสารบริสุทธิ์และสารผสม โดยการวัดอุณหภูมิเขียนกราฟ แปลความหมายข้อมูล จากกราฟหรือสารสนเทศ ว2.1 ม.1/5 อธิบายและเปรียบเทียบความหนาแน่นของสารบริสุทธิ์และสารผสม ว2.1 ม.1/6 ใช้เครื่องมือวัดมวลและปริมาตรของสารบริสุทธิ์และสารผสม ว2.1 ม.1/7 อธิบายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างอะตอม ธาตุและสารประกอบ โดยใช้แบบจ�ำลองและสารสนเทศ ว2.1 ม.1/8 อธิบายโครงสร้างอะตอมที่ประกอบด้วยโปรตอน นิวตรอน และอิเล็กตรอน โดยใช้แบบจ�ำลอง ว2.1 ม.1/9 อธิบายและเปรียบเทียบการจัดเรียงอนุภาคแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาคและการเคลื่อนที่ของอนุภาคของสสารชนิดเดียวกัน ในสถานะของแข็ง ของเหลว และแก๊ส โดยใช้แบบจ�ำลอง ว2.1 ม.1/10 อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานความร้อนกับการเปลี่ยนสถานะของสสาร โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์และแบบจ�ำลอง ว2.2 ม.1/1 สร้างแบบจ�ำลองที่อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างความดันอากาศกับความสูงจากพื้นโลก ว2.3 ม.1/1 วิเคราะห์แปลความหมายข้อมูล และค�ำนวณปริมาณความร้อนที่ท�ำให้สารเปลี่ยนอุณหภูมิและเปลี่ยนสถานะ โดยใช้สมการ Q = mcΔt และ Q = mL ว2.3 ม.1/2 ใช้เทอร์มอมิเตอร์ในการวัดอุณหภูมิของสสาร ว2.3 ม.1/3 สร้างแบบจ�ำลองที่อธิบายการขยายตัว หรือหดตัวของสสารเนื่องจากได้รับหรือสูญเสียความร้อน ว2.3 ม.1/4 ตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้ของการหดและขยายตัวของสสารเนื่องจากความร้อน โดยวิเคราะห์สถานการณ์ปัญหา และเสนอแนะวิธีการน�ำความรู้มาแก้ปัญหาในชีวิตประจ�ำวัน ว2.3 ม.1/5 วิเคราะห์สถานการณ์การถ่ายโอนความร้อนและค�ำนวณปริมาณความร้อนที่ถ่ายโอนระหว่างสสารจนเกิดสมดุลความร้อน โดยใช้สมการ Qสูญเสีย = Qได้รับ ว2.3 ม.1/6 สร้างแบบจ�ำลองที่อธิบายการถ่ายโอนความร้อนโดยการน�ำความร้อน การพาความร้อน การแผ่รังสีความร้อน ว2.3 ม.1/7 ออกแบบ เลือกใช้และสร้างอุปกรณ์เพื่อแก้ปัญหาในชีวิตประจ�ำวันโดยใช้ความรู้เกี่ยวกับการถ่ายโอนความร้อน ว3.2 ม.1/1 สร้างแบบจ�ำลองที่อธิบายการแบ่งชั้นบรรยากาศ และเปรียบเทียบประโยชน์ของบรรยากาศแต่ละชั้น ว3.2 ม.1/2 อธิบายปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของลมฟ้าอากาศจากข้อมูลที่รวบรวมได้ ว3.2 ม.1/3 เปรียบเทียบกระบวนการเกิดพายุฝนฟ้าคะนองและพายุหมุนเขตร้อนและผลที่มีต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมรวมทั้งนำ�เสนอ แนวทางการปฏิบัติตนให้เหมาะสมและปลอดภัย ว3.2 ม.1/4 อธิบายการพยากรณ์อากาศ และพยากรณ์อากาศอย่างง่ายจากข้อมูลที่รวบรวมได้ ว3.2 ม.1/5 ตระหนักถึงคุณค่าของการพยากรณ์อากาศโดยน�ำเสนอแนวทางการปฏิบัติตนและการใช้ประโยชน์จากค�ำพยากรณ์อากาศ ว3.2 ม.1/6 อธิบายสถานการณ์และผลกระทบการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลกจากข้อมูลที่รวบรวมได้ ว3.2 ม.1/7 ตระหนักถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลกโดยน�ำเสนอแนวทางการปฏิบัติตนภายใต้การเปลี่ยนแปลง ภูมิอากาศโลก รวม 43 ตัวชี้วัด


Pedagogy ด้วยจุดประสงค์ของการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ เพื่อช่วย ให้ผู้เรียนได้พัฒนาวิธีคิด ทั้งความคิดเป็นเหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์ วิจารณ์ มีทักษะส�าคัญในการค้นคว้าหาความรู้ และมี ความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ผู้จัดท�าจึงได้เลือกใช้ รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es Instructional Model) ซึ่งเป็นขั้นตอนการเรียนรู้ที่มุ ่งเน้นให้ผู้เรียนได้มีโอกาสสร้าง องค์ความรู้ด้วยตนเองผ่านกระบวนการคิดและการลงมือท�า โดยใช้ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือส�าคัญเพื่อการพัฒนา ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และทักษะการเรียนรู้แห ่ง ศตวรรษที่ 21 รูปแบบกำรสอนแบบสืบเสำะหำควำมรู้(5Es Instructional Model) วิธีสอน (Teaching Method) ผู้จัดท�าเลือกใช้วิธีสอนที่หลากหลาย เช่น การทดลอง การสาธิต การอภิปรายกลุ่มย่อย เป็นต้น เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es Instructional Model) ให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งจะเน้นใช้วิธีสอน โดยใช้การทดลองมากเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นวิธีสอนที่มุ ่งพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดองค์ความรู้จากประสบการณ์ตรงโดย การคิดและการลงมือท�าด้วยตนเอง อันจะช่วยให้ผู้เรียนมีความรู้และเกิดทักษะทางกระบวนการวิทยาศาสตร์ที่คงทน เทคนิคกำรสอน (Teaching Technique) ผู้จัดท�าเลือกใช้เทคนิคการสอนที่หลากหลายและเหมาะสมกับเรื่องที่เรียน เพื่อส่งเสริมวิธีสอนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การใช้ค�าถาม การเล่นเกม การยกตัวอย่าง เป็นต้น ซึ่งเทคนิคการสอนต่าง ๆ จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมี ความสุขในขณะที่เรียนและสามารถปฏิบัติกิจกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งได้พัฒนาทักษะในศตวรรษที่ 21 อีกด้วย e valuation engagement exploratio n ขยายความเขาใจ อธิบายความรู 5Es Elaboration Explanation E valuation Engagement Exploratio n ต ร ว จสอบผล กระตุนความสนใจ สํารวจและค น ห า ขยายความเขาใจ อธิบายความรู 1 2 4 3 5 คู่มือครูรายวิชาพื้นฐาน วิทยำศำสตร์และเทคโนโลยี ม.1 เล่ม 1 รวมถึงสื่อการเรียนรู้รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 1 ผู้จัดท�าได้ออกแบบการสอน (Instructional Design) อันเป็นวิธีการจัดการเรียนรู้และ เทคนิคการสอนที่เปยมด้วยประสิทธิภาพและมีความหลากหลายให้กับผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนสามารถบรรลุผลสัมฤทธิ์ ตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด รวมถึงสมรรถนะและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียนที่หลักสูตรก�าหนดไว้ โดยครูสามารถน�าไปใช้จัดการเรียนรู้ในชั้นเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในรายวิชานี้ ได้น�ารูปแบบการสอนแบบสืบเสาะ หาความรู้ (5Es Instructional Model) มาใช้ในการออกแบบการสอน ดังนี้


วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.1 เล่ม 1 หน่วย การเรียนรู้ ตัวชี้วัด ทักษะที่ได้ เวลาที่ใช้ การประเมิน สื่อที่ใช้ 1 สารรอบตัว 1. อธิบายสมบัติทางกายภาพบางประการ ของธาตุโลหะ อโลหะ และกึ่งโลหะ โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ที่ได้จาก การสังเกตและการทดสอบ และใช้ สารสนเทศที่ได้จากแหล่งข้อมูลต่างๆ รวมทั้งจัดกลุ่มธาตุโลหะ อโลหะ และ กึ่งโลหะ (ว 2.1 ม.1/1) 2. วิเคราะห์ผลจากการใช้ธาตุโลหะ อโลหะ กึ่งโลหะ และธาตุกัมมันตรังสี ที่มีต่อสิ่งมีชีวิต สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม จากข้อมูลที่รวบรวมได้ (ว 2.1 ม.1/2) 3. ตระหนักถึงคุณค่าของการใช้ธาตุ โลหะ อโลหะ กึ่งโลหะ ธาตุกัมมันตรังสี โดยเสนอแนวทางการใช้ธาตุอย่าง ปลอดภัยและคุ้มค่า (ว 2.1 ม.1/3) 4. เปรียบเทียบจุดเดือด จุดหลอมเหลว ของสารบริสุทธิ์และสารผสม โดยการ วัดอุณหภูมิเขียนกราฟ แปลความ หมายข้อมูลจากกราฟหรือสารสนเทศ (ว 2.1 ม.1/4) 5. อธิบายและเปรียบเทียบความหนาแน่น ของสารบริสุทธิ์และสารผสม (ว 2.1 ม.1/5) 6. ใช้เครื่องมือวัดมวลและปริมาตรของ สารบริสุทธิ์และสารผสม (ว 2.1 ม.1/6) 7. อธิบายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่าง อะตอม ธาตุและสารประกอบ โดยใช้ แบบจ�ำลองและสารสนเทศ (ว 2.1 ม.1/7) 8. อธิบายโครงสร้างอะตอมที่ประกอบ ด้วยโปรตอน นิวตรอน และอิเล็กตรอน โดยใช้แบบจ�ำลอง (ว 2.1 ม.1/8) 9. อธิบายและเปรียบเทียบการจัดเรียง อนุภาค แรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค และการเคลื่อนที่ของอนุภาคของสสาร ชนิดเดียวกันในสถานะของแข็ง ของเหลว และแก๊ส โดยใช้แบบจ�ำลอง (ว 2.1 ม.1/9) 10. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างพลังงาน ความร้อนกับการเปลี่ยนสถานะของ สสาร โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์และ แบบจ�ำลอง (ว 2.1 ม.1/10) - ทักษะการสังเกต - ทักษะการจัดกลุ่ม - ทักษะการเปรียบเทียบ - ทักษะการจำแนกประเภท - ทักษะการสำรวจ - ทักษะการเชื่อมโยง - ทักษะการระบุ - ทักษะการสำรวจค้นหา - ทักษะการสรุปย่อ - ทักษะการนำความรู้ไปใช้ - ทักษะการรวบรวมข้อมูล - ทักษะการให้เหตุผล 26 ชั่วโมง - ตรวจแบบทดสอบ ก่อนเรียน - ตรวจใบงาน - ตรวจแบบฝึกหัด - สังเกตพฤติกรรม การทำงานรายบุคคล - สังเกตพฤติกรรม การทำงานรายกลุ่ม - ประเมินชิ้นงาน - ประเมินการปฏิบัติการ - ประเมินการนำเสนอ ผลงาน - ประเมินคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - ตรวจแบบทดสอบ หลังเรียน - แบบทดสอบก่อนเรียน - หนังสือเรียน วิทยาศาสตร์ม.1 เล่ม1 - แบบฝึกหัด วิทยาศาสตร์ม.1 เล่ม1 - ใบงาน เรื่อง การจำแนกสาร - ใบงาน เรื่อง สารรอบตัว - ใบงาน เรื่อง ความร้อนกับ การเปลี่ยนสถานะ ของสาร - ใบงาน เรื่อง ธาตุกัมมันตรังสี - ใบงาน เรื่อง สารประกอบ - ใบงาน เรื่อง สารผสม - แบบทดสอบหลังเรียน 2 หน่วยของ สิ่งมีชีวิต 1. เปรียบเทียบรูปร่างและโครงสร้างของ เซลล์พืชและสัตว์รวมทั้งบรรยายหน้าที่ ของผนังเซลล์เยื่อหุ้มเซลล์ไซโทพลาซึม นิวเคลียส แวคิวโอล ไมโทคอนเดรีย และคลอโรพลาสต์(ว 1.2 ม.1/1) 2. ใช้กล้องจุลทรรศน์ใช้แสงศึกษาเซลล์ และโครงสร้างต่าง ๆ ภายในเซลล์ (ว 1.2 ม.1/2) - ทักษะการสังเกต - ทักษะการระบุ - ทักษะการเปรียบเทียบ - ทักษะการจำแนก ประเภท - ทักษะการสำรวจ - ทักษะการรวบรวมข้อมูล - ทักษะการเชื่อมโยง 12 ชั่วโมง - ตรวจแบบทดสอบ ก่อนเรียน - ตรวจใบงาน - ตรวจแบบฝึกหัด - สังเกตพฤติกรรม รายบุคคล - สังเกตพฤติกรรม รายกลุ่ม - ประเมินชิ้นงาน - แบบทดสอบก่อนเรียน - หนังสือเรียน วิทยาศาสตร์ม.1 เล่ม1 - แบบฝึกหัด วิทยาศาสตร์ม.1 เล่ม1 - ใบงาน เรื่อง เซลล์ของสิ่งมีชีวิต - แผ่นพับ เรื่อง เซลล์ พืชและเซลล์สัตว์ Teacher Guide Overview


หน่วย การเรียนรู้ ตัวชี้วัด ทักษะที่ได้ เวลาที่ใช้ การประเมิน สื่อที่ใช้ 3. อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างรูปร่างกับ การท�ำหน้าที่ของเซลล์(ว 1.2 ม.1/3) 4. อธิบายการจัดระบบของสิ่งมีชีวิตโดยเริ่ม จากเซลล์เนื้อเยื่อ อวัยวะ ระบบอวัยวะ จนเป็นสิ่งมีชีวิต (ว 1.2 ม.1/4) 5. อธิบายกระบวนการแพร่และออสโมซิส จากหลักฐานเชิงประจักษ์และยกตัวอย่าง การแพร่และออสโมซิสในชีวิตประจ�ำวัน (ว 1.2 ม.1/5) - ประเมินการปฏิบัติการ - ประเมินการนำเสนอ ผลงาน - ประเมินคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - ตรวจแบบทดสอบ หลังเรียน - รายงานเรื่อง การแพร่ และการออสโมซิส - แบบทดสอบหลังเรียน 3 การดำารงชีวิต ของพืช 1. ระบุปัจจัยที่จ�ำเป็นในการสังเคราะห์ ด้วยแสงและผลผลิตที่เกิดขึ้นจากการ สังเคราะห์ด้วยแสง โดยใช้หลักฐานเชิง ประจักษ์(ว 1.2 ม.1/6) 2. อธิบายความส�ำคัญของการสังเคราะห์ ด้วยแสงของพืชต่อสิ่งมีชีวิตและ สิ่งแวดล้อม (ว 1.2 ม.1/7) 3. ตระหนักในคุณค ่าของพืชที่มีต ่อสิ่งมี ชีวิตและสิ่งแวดล้อม โดยการร่วมกัน ปลูกและดูแลรักษาต้นไม้ในโรงเรียนและ ชุมชน (ว 1.2 ม.1/8) 4. บรรยายลักษณะและหน้าที่ของไซเล็ม และโฟลเอ็ม (ว 1.2 ม.1/9) 5. เขียนแผนภาพที่บรรยายทิศทางการ ล�ำเลียงสารในไซเล็มและโฟลเอ็ม ของพืช (ว 1.2 ม.1/10) 6. อธิบายการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศและ ไม่อาศัยเพศของพืชดอก (ว 1.2 ม.1/11) 7. อธิบายลักษณะโครงสร้างของดอก ที่มีส่วนท�ำให้เกิดการถ่ายเรณูรวมทั้ง บรรยายการปฏิสนธิของพืชดอก การ เกิดผลและเมล็ด การกระจายเมล็ด และการงอกของเมล็ด (ว 1.2 ม.1/12) 8. ตระหนักถึงความส�ำคัญของสัตว์ที่ช่วย ในการถ ่ายเรณูของพืชดอก โดยการ ไม ่ท�ำลายชีวิตของสัตว์ที่ช ่วยในการ ถ่ายเรณู(ว 1.2 ม.1/13) 9. อธิบายความส�ำคัญของธาตุอาหาร บางชนิดที่มีผลต ่อการเจริญเติบโต และการด�ำรงชีวิตของพืช(ว1.2ม.1/14) 10. เลือกใช้ปุ๋ยที่มีธาตุอาหารเหมาะสมกับพืช ในสถานการณ์ที่ก�ำหนด (ว 1.2ม.1/15) 11. เลือกวิธีการขยายพันธุ์พืชให้เหมาะสม กับความต้องการของมนุษย์ โดยใช้ ความรู้เกี่ยวกับการสืบพันธุ์ของพืช (ว 1.2 ม.1/16) 12. อธิบายความส�ำคัญของเทคโนโลยี การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชในการใช้ ประโยชน์ด้านต่างๆ (ว 1.2 ม.1/17) 13. ตระหนักถึงประโยชน์ของการขยาย พันธุ์พืช โดยการน�ำความรู้ไปใช้ในชีวิต ประจ�ำวัน (ว 1.2 ม.1/18) - ทักษะการสังเกต - ทักษะการจัดกลุ่ม - ทักษะการเปรียบเทียบ - ทักษะการจำแนกประเภท- ทักษะการเรียงลำดับ - ทักษะการเชื่อมโยง - ทักษะการระบุ - ทักษะการสำรวจค้นหา - ทักษะการสรุปย่อ- ทักษะการนำความรู้ ไปใช้ - ทักษะการรวบรวมข้อมูล - ทักษะการให้เหตุผล - ทักษะการสำรวจ - ทักษะการสำรวจค้นหา 22 ชั่วโมง - ตรวจแบบทดสอบ ก่อนเรียน - ตรวจใบงาน - ตรวจแบบฝึกหัด - สังเกตพฤติกรรม รายบุคคล - สังเกตพฤติกรรม รายกลุ่ม - ประเมินชิ้นงาน - ประเมินการออกแบบ การปฏิบัติการ - ประเมินการปฏิบัติการ - ประเมินการนำเสนอ ผลงาน - ประเมินคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - ตรวจแบบทดสอบ หลังเรียน - แบบทดสอบก่อนเรียน - หนังสือเรียน วิทยาศาสตร์ม.1 เล่ม1 - แบบฝึกหัด วิทยาศาสตร์ม.1 เล่ม1 - ใบงาน เรื่อง การสังเคราะห์ด้วย แสงของพืช - ใบงาน เรื่อง การลำเลียงน้ำและ แร่ธาตุของพืช - ใบงาน เรื่อง การเจริญเติบโต ของพืช - แบบทดสอบหลังเรียน


Chapter Title Chapter Overview Chapter Concept Overview Teacher Script หน่วยการเรียนรูที่ 1 สำรรอบตัว T2 T4 T6 • สารและการจําแนกสาร • การเปลี่ยนแปลงของสาร • สารบริสุทธิ์และสารผสม ท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 1 T7 - T10 T11 - T13 T14 - T28 T29 - T31 หน่วยการเรียนรูที่ 2 หน่วยของสิ่งมีชีวิต T32 T33 T34 • เซลล์ของสิ่งมีชีวิต • การลําเลียงสารเข้าและออกจากเซลล์ ท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 2 T35 - T44 T45 - T49 T50 - T51 หน่วยการเรียนรูที่ 3 กำรด�ำรงชีวิตของพืช T52 T54 T56 • การสังเคราะห์ด้วยแสง • การลําเลียงสารในพืช • การเจริญเติบโตของพืช • การสืบพันธุ์ของพืช • เทคโนโลยีชีวภาพของพืช ท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 3 T57 - T62 T63 - T67 T68 - T71 T72 - T79 T80 - T82 T83 - T85 STEM Project T86 - T87 บรรณำนุกรม T88 สำรบัญ


แผนการจัด การเรียนรู้ สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้ คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ แผนฯ ที่ 1 สารและ การจ�ำแนกสาร 4 ชั่วโมง - แบบทดสอบก่อนเรียน - หนังสือเรียน วิทยาศาสตร์ม.1 เล่ม1 - แบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ ม.1 เล่ม 1 - ใบงาน เรื่อง การจ�ำแนกสาร - ใบงานเรื่องสารรอบตัว - PowerPoint ประกอบการสอน 1. อธิบายการจัดเรียง อนุภาค แรงยึดเหนี่ยว ระหว่างอนุภาค และ การเคลื่อนที่ของอนุภาค ของสารชนิดเดียวกันใน สถานะต่างๆ ได้(K) 2. เปรียบเทียบการจัดเรียง อนุภาค แรงยึดเหนี่ยว ระหว่างอนุภาค และการ เคลื่อนที่ของอนุภาคของ สารชนิดเดียวกันใน สถานะต่างๆ ได้(P) 3. รับผิดชอบต่อหน้าที่และ งานที่ได้รับมอบหมาย (A) แบบสืบเสาะ หาความรู้ (5Es Instructional Model) - ตรวจแบบทดสอบ ก่อนเรียน - ตรวจใบงาน เรื่อง การจ�ำแนกสาร - ตรวจใบงาน เรื่อง สารรอบตัว - ตรวจแบบฝึกหัด - สังเกตพฤติกรรม การน�ำเสนอ - สังเกตพฤติกรรม การท�ำงานรายบุคคล - สังเกตพฤติกรรม การท�ำงานรายกลุ่ม - สังเกตคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - ทักษะการสังเกต - ทักษะการจัดกลุ่ม - ทักษะการ เปรียบเทียบ - ทักษะการจ�ำแนก ประเภท - ทักษะการส�ำรวจ - มีวินัย - ใฝ่เรียนรู้ - มุ่งมั่นใน การท�ำงาน แผนฯ ที่ 2 การเปลี่ยนแปลง ของสาร 4 ชั่วโมง - หนังสือเรียน วิทยาศาสตร์ม.1 เล่ม1 - แบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ ม.1 เล่ม 1 - ใบงาน เรื่อง ความร้อน กับการเปลี่ยนสถานะ ของสาร 1. อธิบายความสัมพันธ์ ระหว่างพลังงานความ ร้อนกับการเปลี่ยนสถานะ ของสสารได้(K) 2. สามารถระบุการ เปลี่ยนแปลงสถานะของ สสารที่อยู่รอบตัวได้(P) 3. ใฝ่รู้และรับผิดชอบหน้าที่ ที่ได้รับมอบหมาย (A) แบบสืบเสาะ หาความรู้ (5Es Instructional Model) - ตรวจใบงาน เรื่อง ความร้อนกับการ เปลี่ยนสถานะของสาร - ตรวจแบบฝึกหัด - ประเมินการปฏิบัติการ - สังเกตพฤติกรรม การท�ำงานรายบุคคล - สังเกตพฤติกรรม การท�ำงานรายกลุ่ม - สังเกตคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - ทักษะการสังเกต - ทักษะการระบุ - ทักษะการเชื่อมโยง - ทักษะการจ�ำแนก ประเภท - ทักษะการน�ำ ความรู้ไปใช้ - มีวินัย - ใฝ่เรียนรู้ - มุ่งมั่นใน การท�ำงาน แผนฯ ที่ 3 สารบริสุทธิ์ 5 ชั่วโมง - หนังสือเรียน วิทยาศาสตร์ม.1 เล่ม1 - แบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ ม.1 เล่ม 1 - อุปกรณ์การทดลอง - PowerPoint ประกอบการสอน 1. อธิบายความสัมพันธ์ ระหว่างอะตอม ธาตุและ สารประกอบ โดยใช้ แบบจ�ำลองได้(K) 2. อธิบายโครงสร้างอะตอม โดยใช้แบบจ�ำลองได้(K) 3. อธิบายสมบัติทาง กายภาพบางประการ ของธาตุโลหะ อโลหะ และกึ่งโลหะได้(K) 4. วิเคราะห์ผลจากการใช้ ธาตุโลหะ อโลหะ กึ่งโลหะ และธาตุกัมมันตรังสี ต่อสิ่งมีชีวิต สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม (P) 5. ตระหนักถึงคุณค่าของ การใช้ธาตุโลหะ อโลหะ กึ่งโลหะ ธาตุกัมมันตรังสี (A) แบบสืบเสาะ หาความรู้ (5Es Instructional Model) - ตรวจแบบฝึกหัด - สังเกตพฤติกรรม การน�ำเสนอ - สังเกตพฤติกรรม การท�ำงานรายบุคคล - สังเกตพฤติกรรม การท�ำงานรายกลุ่ม - สังเกตคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - ทักษะการสังเกต - ทักษะการระบุ - ทักษะการ เปรียบเทียบ - ทักษะการจ�ำแนก ประเภท - ทักษะการส�ำรวจ - ทักษะการส�ำรวจ ค้นหา - ทักษะการรวบรวม ข้อมูล - ทักษะการสรุปย่อ - ทักษะการน�ำ ความรู้ไปใช้ - มีวินัย - ใฝ่เรียนรู้ - มุ่งมั่นใน การท�ำงาน Chapter Overview T2


แผนการจัด การเรียนรู้ สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้ คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ แผนฯ ที่ 4 ธาตุกัมมันตรังสี 2 ชั่วโมง - หนังสือเรียน วิทยาศาสตร์ม.1 เล่ม1 - แบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ ม.1 เล่ม 1 - ใบงาน เรื่อง ธาตุกัมมันตรังสี - ดินน�้ำมัน 1. อธิบายลักษณะของ ธาตุกัมมันตรังสีได้(K) 2. วิเคราะห์ผลจากการใช้ ธาตุกัมมันตรังสีต่อสิ่งมี ชีวิต สิ่งแวดล้อมเศรษฐกิจ และสังคมได้(P) 3. ตระหนักถึงคุณค่าของการ ใช้ธาตุกัมมันตรังสีได้(P) 4. ใฝ่รู้และรับผิดชอบต่องาน ที่ได้รับมอบหมาย (A) แบบสืบเสาะ หาความรู้ (5Es Instructional Model) - ตรวจใบงาน เรื่อง ธาตุกัมมันตรังสี - ตรวจแบบฝึกหัด - สังเกตพฤติกรรม การน�ำเสนอ - สังเกตพฤติกรรม การท�ำงานรายกลุ่ม - สังเกตคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - ทักษะการสังเกต - ทักษะการระบุ - ทักษะการจัดกลุ่ม - ทักษะการ เปรียบเทียบ - ทักษะการจ�ำแนก ประเภท - ทักษะการเชื่อมโยง - ทักษะการสรุปย่อ - ทักษะการให้เหตุผล - มีวินัย - ใฝ่เรียนรู้ - มุ่งมั่นใน การท�ำงาน แผนฯ ที่ 5 สารประกอบ 2 ชั่วโมง - หนังสือเรียน วิทยาศาสตร์ม.1 เล่ม1 - แบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ ม.1 เล่ม 1 - ใบงานเรื่องสารประกอบ- แบบจ�ำลองโครงสร้าง ของสาร 1. อธิบายความสัมพันธ์ ระหว่างอะตอม ธาตุและ สารประกอบ โดยใช้ แบบจ�ำลองได้(K) 2. อธิบายโครงสร้าง สารประกอบโดยใช้ แบบจ�ำลองได้(K) 3. น�ำเสนอเกี่ยวกับสมบัติ ของสารประกอบได้(P) 4. ใฝ่รู้และรับผิดชอบต่องาน ที่ได้รับมอบหมาย (A) แบบสืบเสาะ หาความรู้ (5Es Instructional Model) - ตรวจใบงาน เรื่อง สารประกอบ - ตรวจแบบฝึกหัด - สังเกตพฤติกรรม การน�ำเสนอ - สังเกตพฤติกรรม การท�ำงานรายกลุ่ม - สังเกตคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - ทักษะการสังเกต - ทักษะการระบุ - ทักษะการ เปรียบเทียบ - ทักษะการจ�ำแนก ประเภท - ทักษะการส�ำรวจ ค้นหา - ทักษะการให้เหตุผล - ทักษะการรวบรวม ข้อมูล - มีวินัย - ใฝ่เรียนรู้ - มุ่งมั่นใน การท�ำงาน แผนฯ ที่ 6 สารผสม 4 ชั่วโมง - หนังสือเรียน วิทยาศาสตร์ม.1 เล่ม1 - แบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ ม.1 เล่ม 1 - ใบงาน เรื่อง สารผสม - อุปกรณ์การทดลอง - PowerPoint ประกอบการสอน 1. อธิบายความหนาแน่น ของสารบริสุทธิ์และ สารผสมได้(K) 2. เปรียบเทียบจุดเดือด จุดหลอมเหลวของ สารบริสุทธิ์และสารผสม ได้(P) 3. เปรียบเทียบความ หนาแน่นของสารบริสุทธิ์ และสารผสมได้(P) 4. ใช้เครื่องมือวัดมวลและ ปริมาตรของสารบริสุทธิ์ และสารผสมได้(P) 5. ใฝ่รู้และรับผิดชอบต่องาน ที่ได้รับมอบหมาย (A) แบบสืบเสาะ หาความรู้ (5Es Instructional Model) - ตรวจใบงาน เรื่อง สารผสม - ตรวจแบบฝึกหัด - ประเมินผังมโนทัศน์ เรื่อง สารบริสุทธิ์และ สารผสม - สังเกตพฤติกรรม การน�ำเสนอ - สังเกตพฤติกรรม การท�ำงานรายบุคคล - สังเกตพฤติกรรม การท�ำงานรายกลุ่ม - สังเกตคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - ทักษะการสังเกต - ทักษะการระบุ - ทักษะการ เปรียบเทียบ - ทักษะการจ�ำแนก ประเภท - มีวินัย - ใฝ่เรียนรู้ - มุ่งมั่นใน การท�ำงาน แผนฯ ที่ 7 สมบัติของ สารบริสุทธิ์และ สารผสม 5 ชั่วโมง - หนังสือเรียน วิทยาศาสตร์ม.1 เล่ม1 - แบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ ม.1 เล่ม 1 - อุปกรณ์การทดลอง 1. อธิบายความหนาแน่น ของสารบริสุทธิ์และ สารผสมได้(K) 2. เปรียบเทียบจุดเดือด จุดหลอมเหลวของสาร บริสุทธิ์และสารผสมได้ (P) 3. เปรียบเทียบความหนา แน่นของสารบริสุทธิ์และ สารผสมได้(P) 4. ใช้เครื่องมือวัดมวลและ ปริมาตรของสารบริสุทธิ์ และสารผสมได้(P) 5. ใฝ่รู้และรับผิดชอบต่องาน ที่ได้รับมอบหมาย (A) แบบสืบเสาะ หาความรู้ (5Es Instructional Model) - ตรวจแบบฝึกหัด - ประเมินการปฏิบัติการ - สังเกตพฤติกรรม การท�ำงานรายกลุ่ม - สังเกตคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ - ทักษะการสังเกต - ทักษะการระบุ - ทักษะการ เปรียบเทียบ - ทักษะการจ�ำแนก ประเภท - มีวินัย - ใฝ่เรียนรู้ - มุ่งมั่นใน การท�ำงาน T3


Chapter Concept Overview สารและการจําแนกสาร การเปลี่ยนแปลงของสาร สมบัติของสาร สมบัติทางกายภาพ สมบัติทางเคมี • เปนสมบัติที่สามารถสังเกตได้จากภายนอกของสาร • เช่น การละลาย ความแข็ง สถานะ การน�าความร้อน การน�าไฟฟา จุดเดือด จุดหลอมเหลว ความหนาแน่น ความแข็ง เปนต้น • เปนสมบัติที่เกิดจากการท�าปฏิกิริยาเคมี ท�าให้เกิดสารใหม่ที่มี สมบัติแตกต่างไปจากสารเดิม • เช่น การเกิดสนิม การเผาไหม้ ความเปนกรด - เบสของสาร เปนต้น การจําแนกสาร ความร้อนมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงสถานะของน�้า ดังนี้ ใชสถานะของสารเปนเกณฑ ใชเนื้อสารเปนเกณฑ แบ่งสารออกได้เปน 3 กลุ่ม ดังนี้ ของแข็ง : อนุภาคเรียงชิดกัน แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลมากที่สุด มีรูปร่างและปริมาตรคงที่ ของเหลว : อนุภาคของของเหลวอยู่ใกล้กัน แรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาคน้อยกว่าของแข็ง แต่ มากกว่าแกส มีรูปร่างไม่คงที่ แต่ปริมาตรคงที่ โดยรูปร่างจะเปลี่ยนแปลงตามภาชนะที่บรรจุ แกส : อนุภาคอยู่ห่างกันมาก แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลน้อยที่สุด มีรูปร่างและปริมาตรไม่ คงที่ โดยปริมาตรจะเท่ากับปริมาตรของภาชนะที่บรรจุ แบ่งสารออกได้เปน 2 กลุ่ม ดังนี้ สารเนื้อเดียว : สารที่มีเนื้อสารเหมือนกันทุกส่วน ท�าให้สารมีสมบัติเหมือนกันตลอดทุกส่วน สารเนื้อผสม : สารที่มีเนื้อสารแตกต่างกัน ท�าให้สารมีสมบัติไม่เหมือนกันตลอดทุกส่วน ใชขนาดอนุภาคของสารเปนเกณฑ แบ่งสารออกได้เปน 3 กลุ่ม ดังนี้ สารแขวนลอย : สารผสมที่ประกอบด้วยอนุภาคที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางมากกว่า 10-4 เซนติเมตร คอลลอยด : สารผสมที่ประกอบด้วยอนุภาคที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางระหว่าง 10-4 - 10-7 เซนติเมตร สารละลาย : สารผสมที่ประกอบด้วยอนุภาคที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางน้อยกว่า 10-7 เซนติเมตร การหลอมเหลว การแข็งตัว การควบแนน การกลายเปนไอ การระเหิด การระเหิดกลับ เพิ่มอุณหภูมิ ลดอุณหภูมิ T4


สารบริสุทธิ์และสารผสม หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 อุณหภูมิ ( ํC) สารผสม สารบริสุทธิ์ จุดเดือด อุณหภูมิ ( ํC) สารผสม สารบริสุทธิ์ จุดหลอมเหลว สารบริสุทธิ์ เปนสารที่มีองคประกอบเพียงชนิดเดียว แบงออกเปน 2 ชนิด ดังนี้ 1. ธาตุ เปนสารบริสุทธิ์ที่ประกอบดวยอะตอมเพียงชนิดเดียว ไมสามารถแยกหรือสลายออกเปนสารอื่นได • ธาตุโลหะ มีสถานะเปนของแข็งที่อุณหภูมิหอง (ยกเวน ปรอทมีสถานะเปนของเหลว) ผิวเปนมันวาว นําไฟฟาและความรอน ไดดี มีจุดเดือดและจุดหลอมเหลวสูง สามารถดึงหรือตีเปนแผนบาง ๆ ได มีความหนาแนนทั้งสูงและตํ่า มีความแข็งและเหนียว • ธาตุอโลหะ มีทั้ง 3 สถานะ มีจุดเดือดและจุดหลอมเหลวตํ่า ผิวไมมันวาว ไมนําไฟฟาและความรอน มีความหนาแนนตํ่า เปราะ และแตกหักงาย • ธาตุกึ่งโลหะ มีสมบัติกํ้ากึ่งระหวางธาตุโลหะกับธาตุอโลหะ โดยมีสมบัติบางประการเหมือนโลหะ และมีสมบัติบางประการ เหมือนอโลหะ สวนใหญมีสมบัติเปนสารกึ่งตัวนํา • ธาตุกัมมันตรังสี เปนธาตุที่สามารถแผรังสีไดอยางตอเนื่อง เนื่องจากนิวเคลียสภายในอะตอมของธาตุไมเสถียร จึงตองมี การเปลี่ยนแปลงไปเปนธาตุที่มีความเสถียรมากขึ้นโดยการสลายตัวแลวปลอยอนุภาคภายในนิวเคลียสออกมาในรูปของรังสี เรียกรังสีที่ แผออกมาจากธาตุวา กัมมันตภาพรังสี 2. สารประกอบ เปนสารบริสุทธิที่เกิดจากอะตอมของธาตุตั้งแต 2 ชนิดขึ้นไป มารวมกันทางเคมี โดยมีอัตราสวนโดยมวลคงที่ กลายเปนสารใหมที่มีสมบัติแตกตางไปจากธาตุที่เปนองคประกอบเดิม สารผสม เปนสารที่เกิดจากสารตั้งแต 2 ชนิดขึ้นไปมาผสมกัน แบงออกเปน 3 ชนิด ดังนี้ 1. สารละลาย เปนสารผสมเนื้อเดียวที่ประกอบดวยสารตั้งแต 2 ชนิดขึ้นไป มารวมเปนเนื้อเดียว และมีสมบัติเหมือนกันทุกสวน โดยสามารถหาความเขมขนของสารละลายได 2. สารแขวนลอย เปนสารผสมที่เกิดจากสาร 2 ชนิดรวมกัน โดยอนุภาคของสารมีขนาดเสนผานศูนยกลางมากกวา 10-4 เซนติเมตร ลอยกระจายอยูในสารอีกชนิดหนึ่ง 3. คอลลอยด เปนสารผสมที่เกิดจากสาร 2 ชนิดรวมกัน โดยอนุภาคของสารมีขนาดเสนผานศูนยกลาง 10-4-10-7 เซนติเมตร ลอยกระจายอยูในสารอีกชนิด จึงทําใหมองดูเหมือนเปนเนื้อเดียวกัน สมบัติของสารบริสุทธิ์และสารผสม • สารบริสุทธิจะมีจุดเดือด จุดลอมเหลว และความหนาแนนคงที่ • สารผสมจะมีจุดเดือด จุดหลอมเหลว และความหนาแนนไมคงที่ T5


1 หนวยการเรียนรูที่ สารรอบตัว ÊÒ÷Õè ÍÂÙ‹ÃͺµÑÇàÃÒ มีความแตกต่าง กันอย่างไร ตัวชี้วัด ว 2.1 ม.1/1 อธิบำยสมบัติทำงกำยภำพบำงประกำรของธำตุโลหะ อโลหะ และกึ่งโลหะ โดยใช้หลักฐำนเชิงประจักษ์ที่ได้จำกกำรสังเกตและ กำรทดสอบ และใช้สำรสนเทศที่ได้จำกแหล่งข้อมูลต่ำง ๆ รวมทั้งจัดกลุ่มธำตุเป็นโลหะ อโลหะ และกึ่งโลหะว 2.1 ม.1/2 วิเครำะห์ผลจำกกำรใช้ธำตุโลหะ อโลหะ กึ่งโลหะ และธำตุกัมมันตรังสีที่มีต่อสิ่งมีชีวิต สิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม จำกข้อมูล ที่รวบรวมได้ ว 2.1 ม.1/3 ตระหนักถึงคุณค่ำของกำรใช้ธำตุโลหะ อโลหะ กึ่งโลหะ ธำตุกัมมันตรังสี โดยเสนอแนวทำงกำรใช้ธำตุอย่ำงปลอดภัย คุ้มค่ำ ว 2.1 ม.1/4 เปรียบเทียบจุดเดือด จุดหลอมเหลวของสำรบริสุทธิ์และสำรผสม โดยกำรวัดอุณหภูมิ เขียนกรำฟ แปลควำมหมำยข้อมูลจำกกรำฟ หรือสำรสนเทศว 2.1 ม.1/5 อธิบำยและเปรียบเทียบควำมหนำแน่นของสำรบริสุทธิ์และสำรผสม ว 2.1 ม.1/6 ใช้เครื่องมือเพื่อวัดมวลและปริมำตรของสำรบริสุทธิ์และสำรผสม ว 2.1 ม.1/7 อธิบำยเกี่ยวกับควำมสัมพันธ์ระหว่ำงอะตอม ธำตุและสำรประกอบ โดยใช้แบบจ�ำลองและสำรสนเทศ ว 2.1 ม.1/8 อธิบำยโครงสร้ำงอะตอมที่ประกอบด้วยโปรตอน นิวตรอน และอิเล็กตรอน โดยใช้แบบจ�ำลอง ว 2.1 ม.1/9 อธิบำยและเปรียบเทียบกำรจัดเรียงอนุภำค แรงยึดเหนี่ยวระหว่ำงอนุภำค และกำรเคลื่อนที่ของอนุภำคของสสำรชนิดเดียวกันในสถำนะ ของแข็ง ของเหลว และแก๊ส โดยใช้แบบจ�ำลอง ว 2.1 ม.1/10 อธิบำยควำมสัมพันธ์ระหว่ำงพลังงำนควำมร้อนกับกำรเปลี่ยนสถำนะของสสำร โดยใช้หลักฐำนเชิงประจักษ์และแบบจ�ำลอง สารผสม ประกอบด้วยสำรตั้งแต่ 2 ชนิด ขึ้นไปมำผสมกัน ถ้ำผสมเป็น เนื้อเดียวกัน เรียกว่ำ สำรละลำย ถ้ำผสมแล้วไม่เป็นเนื้อเดียวกัน เรียกว่ำ สำรเนื้อผสม ธาตุ เป็นสำรบริสุทธิ์ ประกอบด้วยอะตอม เพียงชนิดเดียว ซึ่งเมื่อธำตุมำกกว่ำ หนึ่งชนิดรวมกันในอัตรำส่วนแน่นอน จะท�ำให้อยู่ในรูปสำรประกอบ ขั้นนํา กระตุนความสนใจ 1. ครูแจงผลการเรียนรูใหนักเรียนทราบ 2. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบกอนเรียน 3. ครูถามคําถาม Big Question เกร็ดแนะครู ในหนวยการเรียนรูนี้ ครูควรเนนใหนักเรียนไดทําการทดลอง และครูควร ยกตัวอยางสารตางๆ ที่สามารถพบเห็นไดในชีวิตประจําวัน เพื่อชวยใหนักเรียน ไดเปรียบเทียบลักษณะและสมบัติของสารแตละประเภท แนวตอบ Big Question สารที่อยูรอบตัวเราบางชนิดมีสมบัติทาง กายภาพบางประการที่เหมือนและแตกตางกัน เชน สถานะ การนําความรอน การนําไฟฟา เปนตน แตอยางไรก็ตาม สารแตละชนิดยอมมีลักษณะ เฉพาะของสารแตละชนิดนั้นๆ เชน สภาพการ ละลาย จุดเดือด จุดหลอมเหลว ความหนาแนน ของสาร เปนตน นํา นํา สอน สรุป ประเมิน T6


1 สารและการจําแนกสาร สิ่งที่อยู่รอบตัวเรำจัดว่ำเป็น สสาร (matter) ที่มีมวล มีตัวตน ต้องกำร ที่อยู่ สัมผัสได้ ซึ่งสำมำรถมองเห็นด้วยตำเปล่ำได้ หรืออำจมองไม่เห็นด้วย ตำเปล่ำ สสำรที่ศึกษำจนทรำบสมบัติและองค์ประกอบ เรียกว่ำ สาร (substance) Prior Knowledge สมบัติใดบ้ำงที่ใช้ จ�ำแนกประเภท ของสำร 1.1 สมบัติของสาร สำรแต่ละชนิดมีลักษณะเฉพำะตัวที่แตกต่ำงกัน เช่น เกลือเป็นของแข็ง สีขำวที่อุณหภูมิห้อง น�้ำแข็งเป็นของแข็ง ใส ไม่มีสี เป็นต้น สำรบำงชนิดเป็น ของเหลว เช่น น�้ำ ปรอท เป็นต้น และสำรบำงชนิดเป็นแก๊สลอยปะปน ในอำกำศ เช่น ไอน�้ำ แก๊สคำร์บอนไดออกไซด์ เป็นต้น เมื่อสำรเหล่ำนี้ได้รับ ควำมร้อนจะท�ำให้สมบัติบำงประกำรเปลี่ยนแปลงไป โดยสมบัติของสำร แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ดังนี้ ภำพที่ 1.1 สำรแต่ละชนิดมีลักษณะเฉพำะ ที่แตกต่ำงกัน ภำพที่ 1.2 เพชรมีควำมแข็งมำกที่สุด ภำพที่ 1.5 กำรเผำไหม้ ภำพที่ 1.3 น�้ำแข็งมีควำมหนำแน่นน้อยกว่ำ น�้ำทะเล ภำพที่ 1.7 น�้ำมะนำวมีฤทธิ์เป็นกรด ภำพที่ 1.4 เงินน�ำไฟฟ้ำได้ดีที่สุด ภำพที่ 1.6 กำรเกิดสนิมเหล็ก 2. สมบัติทางเคมี เป็นสมบัติที่เกิดจำกกำรท�ำปฏิกิริยำเคมี ซึ่ง ท�ำให้เกิดสำรใหม่ที่มีองค์ประกอบภำยในและภำยนอกเปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้สำรใหม่ที่เกิดขึ้นมีสมบัติแตกต่ำงไปจำกสำรเดิม เช่น กำรเกิดสนิม กำรเผำไหม้ ควำมเป็นกรด-เบสของสำร เป็นต้น ของแข็ง แก๊ส ของเหลว 1. สมบัติทางกายภาพ เป็นสมบัติที่สำมำรถสังเกตได้จำกภำยนอก ของสำร เช่น สี กลิ่น รส กำรละลำย ควำมแข็ง ลักษณะผลึก สถำนะ กำรน�ำ ควำมร้อน กำรน�ำไฟฟ้ำ จุดเดือด จุดหลอมเหลว ควำมหนำแน่น เป็นต้น 3 สาร รอบตัว กิจกรรม สรางเสริม กิจกรรม ทาทาย ขั้นสอน สํารวจคนหา 1. ครูถามคําถาม prior knowledge 2. ครูใหนักเรียนแบงกลุมออกเปน 4 กลุม ศึกษา เรื่อง สมบัติของสาร ในหนังสือเรียน วิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 3. ครูนําบีกเกอร A ที่มีนํ้าสมสายชู และบีกเกอร B ที่มีนํ้า มาใหนักเรียนศึกษา และตั้งคําถาม ตอไปนี้ • สารในบีกเกอร A และ B เปนสารชนิดเดียวกัน หรือไม (แนวตอบ พิจารณาตามคําตอบของนักเรียน โดยใหอยูในดุลยพินิจของครูผูสอน) 4. ครูใหนักเรียนตรวจสอบสารในบีกเกอร A และ B แลวถามนักเรียน ดังนี้ • สาร A และ B มีลักษณะอยางไร (แนวตอบ สาร A และ B เปนของเหลว ไมมีสี แตสาร A มีกลิ่นฉุน เมื่อทดสอบดวย กระดาษลิตมัสพบวา สาร A มีฤทธิ์เปนกรด สวนสาร B ไมเปลี่ยนสีกระดาษลิตมัส) • ลักษณะใดบางเปนสมบัติทางกายภาพ (แนวตอบ สถานะของสาร สี กลิ่น เปนตน) • ลักษณะใดเปนสมบัติทางเคมี (แนวตอบ ความเปนกรด-เบส เปนตน) 5. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปราย เรื่อง สมบัติ ของสาร จากตัวอยางสารในบีกเกอร A และ B ใหนักเรียนเปรียบเทียบสมบัติทางกายภาพและสมบัติทางเคมี ของสาร โดยสรุปออกมาในรูปแบบของตารางลงในสมุดบันทึก ใหนักเรียนศึกษาคนควาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง ทางเคมีที่พบในชีวิตประจําวัน โดยใหเขียนสมการเคมีแสดงการ เกิดปฏิกิริยาพรอมบอกวาสารตั้งตนและผลิตภัณฑคืออะไร แลว ทํารายงานสงครูผูสอน นักเรียนควรรู 1 การนําความรอน ปรากฏการณที่พลังงานความรอนถายเทภายในวัตถุ หนึ่งๆ หรือระหวางวัตถุสองชิ้นที่สัมผัสกัน โดยมีทิศทางของการเคลื่อนที่ของ พลังงานความรอนจากบริเวณที่มีอุณหภูมิสูงกวาไปยังบริเวณที่มีอุณหภูมิตํ่ากวา โดยที่ตัวกลางไมมีการเคลื่อนที่ 2 จุดเดือด อุณหภูมิของของเหลว ซึ่งมีความดันไอเทากับความดันของ บรรยากาศรอบๆ และของเหลวกําลังเปลี่ยนสถานะกลายเปนไอ เชน นํ้าบริสุทธิ์ มีจุดเดือด 100 องศาเซลเซียส ที่ความดันมาตรฐาน 1 บรรยากาศ 3 จุดหลอมเหลว อุณหภูมิที่ทําใหของแข็งเปลี่ยนสถานะเปนของเหลว โดย นํ้าบริสุทธิ์มีจุดหลอมเหลว 0 องศาเซลเซียส ที่ความดันมาตรฐาน 1 บรรยากาศ 4 ความหนาแนน การวัดมวลตอหนึ่งหนวยปริมาตร มีหนวยเปนกิโลกรัม ตอลูกบาศกเมตร (kg/m3 ) แนวตอบ prior knowledge การละลาย ความแข็ง สถานะ ลักษณะผลึก จุดเดือด จุดหลอมเหลว ความเปนกรด-เบส ควำมร้อน กำรน�ำไฟฟ้ำ จุดเดือด จุดหลอมเหลว ควำมหนำแน่น เป็นต้น 1 2 3 4 ของสำร เช่น สี กลิ่น รส กำรละลำย ควำมแข็ง ลักษณะผลึก สถำนะ กำรน�ำ นํา สอน สรุป ประเมิน T7


ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET 1.2 การจําแนกสาร กำรจ�ำแนกสำรเพื่อระบุว่ำสำรนั้น ๆ เป็นสำรชนิดใด จ�ำเป็นต้องใช้สมบัติต่ำง ๆ ของสำรมำวิเครำะห์ โดยเกณฑ์ ที่ใช้ในกำรจ�ำแนกสำร มีดังนี้ 1. การใช้สถานะเป็นเกณฑ์ เป็นกำรจ�ำแนกสำรโดยใช้สมบัติทำงกำยภำพของสำร ซึ่งสำรชนิดเดียวกันที่มี สถำนะต่ำงกันจะมีรูปร่ำงและปริมำตรต่ำงกัน เนื่องจำกกำรจัดเรียงอนุภำคภำยในสำรไม่เหมือนกัน ท�ำให้แรงยึดเหนี่ยว ระหว่ำงโมเลกุลของสำรไม่เท่ำกัน ส่งผลให้อนุภำคของสำรเคลื่อนที่แตกต่ำงกัน เมื่อใช้สถำนะเป็นเกณฑ์จะแบ่งสำร ออกเป็น 3 สถำนะ ดังนี้ เป็นของเหลวสีเงิน เมื่อแข็งตัวจะมีคุณสมบัติคล้ำยกับโลหะทั่วไป มีควำมมันวำว สะท้อนแสง และเป็นตัวน�ำไฟฟ้ำที่ดี มีสมบัติเป็นของไหล ไม่เกำะติดกับวัสดุ จึงนิยมน�ำปรอทมำท�ำเป็นปรอทวัดไข้ เทอร์มอมิเตอร์ วัดอุณหภูมิของอำกำศ เป็นต้น แต่ไอปรอทจัดเป็นสำรพิษ หำกสูดดมเข้ำไป จะท�ำให้เป็นโรคพิษปรอท ซึ่งเป็นอันตรำยต่ออวัยวะส�ำคัญของร่ำงกำย มีอำกำรเป็นพิษทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง อำจท�ำให้เสียชีวิตได้ Focus Science ปรอท (Mercury) ของเหลว อนุภำคของของเหลวอยู่ใกล้กัน ท�ำให้แรง ยึดเหนี่ยวระหว่ำงอนุภำคของของเหลวมีค่ำ น้อยกว่ำของแข็ง แต่มำกกว่ำแก๊ส อนุภำค สำมำรถเคลื่อนที่ได้ แต่ไม่เป็นอิสระเหมือน อนุภำคของแก๊ส ท�ำให้มีรูปร่ำงไม่คงที่ แต่ปริมำตรคงที่ แก๊ส อนุภำคของแก๊สอยู่ห่ำงกันมำกที่สุด แรง ยึดเหนี่ยวระหว่ำงโมเลกุลจึงน้อยที่สุด อนุภำคสำมำรถเคลื่อนที่ได้อย่ำงอิสระ ทุกทิศทำง ท�ำให้แก๊สมีรูปร่ำงและปริมำตร ไม่คงที่ โดยปริมำตรจะเท่ำกับปริมำตรของ ภำชนะที่บรรจุ เช่น แก๊สหุงต้ม เป็นต้น แก๊ส ของเหลว ของแข็ง ของแข็ง อนุภำคของของแข็งเรียงชิดติดกัน แรง ยึดเหนี่ยวระหว่ำงโมเลกุลจึงมีค่ำมำกที่สุด กำรเคลื่อนที่ของอนุภำคของของแข็งจะสั่น อยู่กับที่ ท�ำให้ของแข็งมีรูปร่ำงและปริมำตร คงที่ เช่น น�้ำแข็ง ด่ำงทับทิม ทองแดง เป็นต้น ภำพที่ 1.8 กำรจัดเรียงอนุภำคของสำรในสถำนะต่ำง ๆ ภำพที่ 1.9 ปรอทมีสถำนะเป็นของเหลว 4 ขั้นสอน สํารวจคนหา 6. ครูเกริ่นนําวา การจําแนกสารจําเปนตองใช สมบัติของสารมาวิเคราะห 7. ครูใหนักเรียนศึกษาการจําแนกสารโดยใชสมบัติ ทางกายภาพ ในหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 8. ครูใหนักเรียนศึกษา เรื่อง ปรอท ในกรอบ Science Focus ในหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 อนุภาคของแกสจะมีการจัดเรียงตัวตามขอใด 1. จับตัวอยางหลวมๆ เคลื่อนไหวไดงาย 2. จับตัวอยางหลวมๆ เคลื่อนไหวไดยาก 3. อยูอยางกระจัดกระจาย อนุภาคเคลื่อนที่อยางอิสระ 4. จับตัวกันแนน แรงยึดเหนี่ยวมีคามาก เคลื่อนไหวยาก (วิเคราะหคําตอบ อนุภาคของแกสอยูหางกันมาก มีแรงยึดเหนี่ยว ระหวางโมเลกุลนอยมาก อนุภาคจึงเคลื่อนที่ไดอยางอิสระทุก ทิศทาง ดังนั้น ตอบขอ 3.) สื่อ Digital ศึกษาเพิ่มเติมไดจากภาพยนตรสารคดีสั้น Twig เรื่อง ของแข็ง ของเหลว และกาซ https:// twig-aksorn.com/film/solids-liquids-andgases-8271/ เกร็ดแนะครู ครูอธิบายเพิ่มเติมวามีเกณฑอื่นๆ ที่ใชในการจําแนกสารไดอีก ดังนี้ 1. ใชการละลายนํ้าเปนเกณฑ สามารถแบงสารไดเปน 2 กลุม คือ • สารที่ละลายนํ้า เชน เกลือแกง นํ้าตาลทราย จุนสี ดางทับทิม เปนตน • สารที่ไมละลายนํ้า เชน แปง หินปูน ไขมัน นํ้ามันพืช พลาสติก เปนตน 2. ใชการนําไฟฟาเปนเกณฑ สามารถแบงสารไดเปน 2 กลุม คือ • สารที่นําไฟฟา เชน นํ้าอัดลม เหล็ก อะลูมิเนียม เปนตน • สารที่ไมนําไฟฟา เชน นํ้าบริสุทธิ์ ผา พลาสติก ไมแหง เปนตน นํา สอน สรุป ประเมิน T8


2. การใช้เนื้อสารเป็นเกณฑ์ จ�ำแนกสำรออกได้เป็น 2 กลุ่ม ดังนี้ 1) สารเนื้อเดียว (homogeneous substance) หมำยถึง สำรที่มีเนื้อสำรเหมือนกันทุกส่วน ท�ำให้สำรมี สมบัติเหมือนกันตลอดทุกส่วน เช่น น�้ำเกลือ ทองค�ำ เป็นต้น 2) สารเนื้อผสม (heterogeneous substance) หมำยถึง สำรที่มีเนื้อสำรแตกต่ำงกัน ท�ำให้สำรมีสมบัติ ไม่เหมือนกันตลอดทุกส่วน เช่น น�้ำคลอง พริกเกลือจิ้มผลไม้ เป็นต้น ภำพที่ 1.10 ทองค�ำเป็นสำรเนื้อเดียว ภำพที่ 1.12 น�้ำโคลนเป็นสำรแขวนลอย ภำพที่ 1.13 น�้ำนมเป็นคอลลอยด์ ภำพที่ 1.14 น�้ำทะเลเป็นสำรละลำย ภำพที่ 1.11 พริกเกลือจิ้มผลไม้เป็นสำรเนื้อผสม 3. การใช้ขนาดของอนุภาคเป็นเกณฑ์ จ�ำแนกสำรออกได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้ 1) สารแขวนลอย (suspension) หมำยถึง สำรผสมที่ประกอบด้วยอนุภำคที่มีเส้นผ่ำนศูนย์กลำงมำกกว่ำ 10-4 เซนติเมตร เช่น น�้ำโคลน น�้ำแป้ง เป็นต้น 2) คอลลอยด์(colloid) หมำยถึง สำรผสมที่ประกอบด้วยอนุภำคที่มีเส้นผ่ำนศูนย์กลำงระหว่ำง 10-7-10-4 เซนติเมตร เช่น น�้ำนม หมอก เป็นต้น 3) สารละลาย (solution) หมำยถึง สำรผสมที่ประกอบด้วยอนุภำคที่มีเส้นผ่ำนศูนย์กลำงน้อยกว่ำ 10-7 เซนติเมตร เช่น น�้ำเกลือ น�้ำหวำน น�้ำทะเล เป็นต้น น�้ำปูนซีเมนต์เป็นสำรสเลอร์รี (slurry) ซึ่งเป็นสำรแขวนลอยที่มีปริมำณ ของของแข็งแขวนลอยอยู่ในของเหลวจ�ำนวนมำก มีลักษณะเหลวและข้น ในปัจจุบันมนุษย์น�ำคุณสมบัติของสำรสเลอร์รีมำใช้ประโยชน์ในงำนก่อสร้ำง และสถำปัตยกรรมต่ำง ๆ Focus Science น�้ำปูนซีเมนต์ ภำพที่ 1.15 ปูนซีเมนต์เป็นสำรแขวนลอย 5 สาร รอบตัว ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET การจําแนกสารโดยใชขนาดของอนุภาคเปนเกณฑเหมาะสมใน การจําแนกสารในขอใดมากที่สุด 1. กาว โฟม เยลลี 2. เหล็ก ปรอท คลอรีน 3. นํ้านม นํ้าสมสายชู นํ้าคลอง 4. นํ้าเกลือ นํ้าเชื่อม แอลกอฮอลลางแผล (วิเคราะหคําตอบ ขอ 1. กาว โฟม และเยลลี เปนคอลลอยดทั้ง 3 ชนิด ขอ 2. เหล็ก ปรอท และคลอรีน เปนธาตุทั้ง 3 ชนิด ขอ 3. นํ้านมเปนคอลลอยด นํ้าสมสายชูเปนสารละลาย และ นํ้าคลองเปนสารแขวนลอย ขอ 4. นํ้าเกลือ นํ้าเชื่อม และแอลกอฮอลลางแผล เปนสารละลาย ทั้ง 3 ชนิด ดังนั้น ตอบขอ 3.) ขั้นสอน สํารวจคนหา 9. ครูใหนักเรียนแตละกลุมศึกษา เรื่อง การ จําแนกสาร โดยใชเนื้อสารและอนุภาคของ สารเปนเกณฑ 10. ครูแจกภาพแตละชุดใหแตละกลุม โดยภาพ แตละชุดมี ดังนี้ สมตํา นํ้าผลไมปน นํ้าเกลือ นํ้านม กาแฟ สลัด นํ้าแปง ทองคําขาว นํ้าพริก แอลกอฮอล ลางแผล นํ้าสมสายชู หมอก ควันจากทอไอเสีย แกสหุงตม 11. ครูแจกใบงาน เรื่อง การจําแนกสาร แลวให แตละกลุมรวมกันจําแนกสารจากภาพ อธิบายความรู 1. ครูสุมตัวแทนออกมานําเสนอใบงาน เรื่อง การจําแนกสาร 2. ครูเสริมและเพิ่มเติมขอมูลที่นักเรียนออกมา นําเสนอ 3. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายสมบัติของ สาร การจําแนกสาร เปรียบเทียบการจัดเรียง อนุภาค และการเคลื่อนที่ของสารทั้ง 3 สถานะ ขั้นสรุป ขยายความเขาใจ 1. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกหัดลงในแบบฝกหัด วิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 นักเรียนควรรู 1 สารผสม เกิดจากสารบริสุทธิ์ตั้งแต 2 ชนิดขึ้นไป มาผสมกันในอัตราสวน ที่ไมคงที่ ซึ่งสารแตละชนิดยังคงแสดงสมบัติของสารเดิมอยู เชน นํ้าเกลือ นํ้าโซดา ทราย ดิน เปนตน ซึ่งสารผสมมีทั้งสารผสมเนื้อเดียว เชน สารละลาย เปนตน และสารผสมเนื้อผสม เชน สารแขวนลอย เปนตน ยถึง สำรผสมที่ประกอบด้วยอนุภ 1 นํา สอน สรุป ประเมิน T9


ของแข็ง ของเหลว และแกส กิจกรรม 1. ขวดน�้ำพลำสติก 2. เม็ดโฟม 3. จุกยำงที่มีท่อน�ำแก๊ส 1. บรรจุเม็ดโฟมลงในขวดน�้ำพลำสติกให้เต็มขวด ปิดปำกขวดด้วยจุกยำงที่มีท่อน�ำแก๊ส ดังรูป 2. คว�่ำปำกขวดลง จำกนั้นเป่ำลมเข้ำไปในท่อน�ำแก๊ส สังเกตกำรเคลื่อนตัวของเม็ดโฟม บันทึกผล 3. เทเม็ดโฟมในขวดน�้ำพลำสติกจำกข้อ 1. ออกไปครึ่งหนึ่ง แล้วท�ำกำรทดลองซ�้ำเหมือนกับข้อ 2. 4. เทเม็ดโฟมในขวดน�้ำพลำสติกจำกข้อ 3. ออกไปอีกครึ่งหนึ่ง แล้วท�ำกำรทดลองซ�้ำเหมือนกับข้อ 2. จำกกิจกรรม พบว่ำ เม็ดโฟมที่บรรจุไว้เต็มขวดน�้ำพลำสติก เปรียบเสมือนอนุภำคของของแข็ง เนื่องจำกเม็ดโฟมเรียงชิดกัน ช่องว่ำงระหว่ำงเม็ดโฟมน้อย จึงท�ำให้มีแรงยึดเหนี่ยวระหว่ำงอนุภำคสูง เมื่อเป่ำลมเข้ำไปในขวดพลำสติก เม็ดโฟมจึงสั่นอยู่กับที่ เม็ดโฟมที่บรรจุไว้ครึ่งขวดน�้ำพลำสติก เปรียบเสมือนอนุภำคของของเหลว เนื่องจำกช่องว่ำงระหว่ำงเม็ดโฟมมำกขึ้น แต่ ไม่เท่ำกับแก๊ส ซึ่งอนุภำคเรียงตัวใกล้กัน ท�ำให้มีแรงยึดเหนี่ยวระหว่ำงอนุภำคต�่ำกว่ำของแข็ง เมื่อเป่ำลมเข้ำไปในขวดพลำสติก เม็ดโฟมจะเคลื่อนที่เปลี่ยนต�ำแหน่งไปบำงส่วน แต่บำงส่วนยังคงอยู่ที่ปำกขวด เม็ดโฟมที่บรรจุไว้ต�่ำกว่ำครึ่งหนึ่งของขวดน�้ำพลำสติก เปรียบเสมือนอนุภำคของแก๊ส เนื่องจำกมีช่องว่ำงระหว่ำงเม็ดโฟมมำก ท�ำให้แรงยึดเหนี่ยวระหว่ำงอนุภำคต�่ำ เมื่อเป่ำลมเข้ำไปในขวดพลำสติก เม็ดโฟมจะเคลื่อนที่เปลี่ยนต�ำแหน่งอย่ำงอิสระ วิธีปฏิบัติ วัสดุอุปกรณ์ ค�ำถำมท้ำยกิจกรรม 1. เม็ดโฟมที่บรรจุลงในขวดพลำสติกเต็มขวด ครึ่งขวด และต�่ำกว่ำครึ่งขวด เปรียบเสมือนกับสถำนะของสำรใดบ้ำง ตำมล�ำดับ 2. เม็ดโฟมที่บรรจุลงในขวดพลำสติกในปริมำณที่แตกต่ำงกัน มีกำรเคลื่อนที่แตกต่ำงกันอย่ำงไร อภิปรำยผลกิจกรรม จิตวิทยาศาสตร์ - ควำมสนใจใฝ่รู้ - กำรท�ำงำนร่วมกับผู้อื่น ได้อย่ำงสร้ำงสรรค์ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ - กำรสังเกต - กำรจ�ำแนกประเภท เม็ดโฟม เป่ำลม ภำพที่ 1.16 6 ขั้นสอน สํารวจคนหา 1. ครูใหแตละกลุมทํากิจกรรม เรื่อง ของแข็ง ของเหลว และแกส ตามหัวขอที่จับฉลากได 2. ครูใหนักเรียนแตละกลุมบันทึกผลกิจกรรม และตอบคําถามทายกิจกรรมลงในแบบฝกหัด วิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 ขั้นสรุป ขยายความรู 1. ครูใหนักเรียนทําใบงาน เรื่อง สารรอบตัว 2. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกหัดในแบบฝกหัด วิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 ขั้นประเมิน ตรวจสอบผล 1. ครูตรวจใบงาน เรื่อง ความรอนกับการเปลี่ยน สถานะของสาร 2. ครูตรวจแบบฝกหัด 3. ครูประเมินการปฏิบัติการการทํากิจกรรม เรื่อง อุณหภูมิกับการเปลี่ยนสถานะ 4. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล จาก การทดลองของตัวแทนนักเรียน เรื่อง การ เปลี่ยนสถานะของนํ้า แนวตอบ คําถามทายกิจกรรม 1. สารที่อยูรอบตัวเราบางชนิดมีสมบัติทางกายภาพ บางประการที่เหมือนและแตกตางกัน เชน สถานะ การนําความรอน การนําไฟฟา เปนตน แตอยางไร ก็ตาม สารแตละชนิดยอมมีลักษณะเฉพาะของสาร แตละชนิดนั้นๆ เชน สภาพการละลาย จุดเดือด จุดหลอมเหลว ความหนาแนนของสาร เปนตน 2. แตกตางกัน ขวดที่บรรจุเม็ดโฟมจนเต็มขวด อนุภาคของเม็ดโฟมจะสั่นอยูกับที่ ถาบรรจุเม็ด โฟมครึ่งขวด บางอนุภาคของเม็ดโฟมจะเคลื่อนที่ อิสระ แตถาบรรจุเม็ดโฟมตํ่ากวาครึ่ง อนุภาค ของเม็ดโฟมจะเคลื่อนที่ไดอยางอิสระ แนวทางการวัดและประเมินผล ครูวัดและประเมินผลความเขาใจในเนื้อหา เรื่อง การจําแนกสาร ไดจาก แบบประเมินการปฏิบัติการ จากกิจกรรม เรื่อง ของแข็ง ของเหลว และแกส และจากแบบประเมินการนําเสนอผลงานหนาชั้นเรียน โดยศึกษาเกณฑการวัด และประเมินที่อยูในแผนการจัดการเรียนรูประจําหนวยการเรียนรูที่ 1 ปริมาณเม็ดโฟมที่บรรจุ ลงในขวดพลาสติก ภาพแสดงการเคลื่อนที่ ของเม็ดโฟม ลักษณะการเคลื่อนที่ ของเม็ดโฟม บรรจุเต็ม วาดภาพขวดที่บรรจุเม็ด โฟมเต็มขวด และเม็ดโฟม ไมเคลื่อนที่ เม็ดโฟมสั่นอยูกับที่ บรรจุครึ่ง วาดภาพขวดที่บรรจุเม็ด โฟมครึ่งขวด และเม็ดโฟม บางสวนเคลื่อนที่ แตมีเม็ด โฟมบางสวนที่บริเวณปาก ขวด จะไมเคลื่อนที่ เม็ดโฟมจะเคลื่อนที่ เปลี่ยนตําแหนงไปบางสวน และบางสวนยังคงอยูที่ ปากขวด บรรจุตํ่ากวาครึ่ง วาดภาพขวดที่บรรจุเม็ด โฟมตํ่ากวาครึ่งขวด และ เม็ดโฟมที่บรรจุอยูภายใน ขวดจะเคลื่อนที่กระจาย ไปทั่วขวด เม็ดโฟมทั้งหมดจะ เคลื่อนที่เปลี่ยนตําแหนง อยางอิสระ บันทึก กิจกรรม เกณฑ์การประเมินการปฏิบัติการ ประเด็นที่ประเมิน ระดับคะแนน 4 3 2 1 1. การปฏิบัติการ ทดลอง ท าการทดลองตาม ขั้นตอน และใช้อุปกรณ์ ได้อย่างถูกต้อง ท าการทดลองตาม ขั้นตอน และใช้อุปกรณ์ ได้อย่างถูกต้อง แต่อาจ ต้องได้รับค าแนะน าบ้าง ต้องให้ความช่วยเหลือ บ้างในการท าการ ทดลอง และการใช้ อุปกรณ์ ต้องให้ความช่วยเหลือ อย่างมากในการท าการ ทดลอง และการใช้ อุปกรณ์ 2. ความ คล่องแคล่ว ในขณะ ปฏิบัติการ มีความคล่องแคล่ว ในขณะท าการทดลอง โดยไม่ต้องได้รับค า ชี้แนะ และท าการ ทดลองเสร็จทันเวลา มีความคล่องแคล่ว ในขณะท าการทดลอง แต่ต้องได้รับค าแนะน า บ้าง และท าการทดลอง เสร็จทันเวลา ขาดความคล่องแคล่ว ในขณะท าการทดลอง จึงท าการทดลองเสร็จ ไม่ทันเวลา ท าการทดลองเสร็จไม่ ทันเวลา และท า อุปกรณ์เสียหาย 3. การบันทึก สรุป และน าเสนอผล การทดลอง บันทึกและสรุปผลการ ทดลองได้ถูกต้อง รัดกุม น าเสนอผลการทดลอง เป็นขั้นตอนชัดเจน บันทึกและสรุปผลการ ทดลองได้ถูกต้อง แต่ การน าเสนอผลการ ทดลองยังไม่เป็น ขั้นตอน ต้องให้ค าแนะน าในการ บันทึก สรุป และ น าเสนอผลการทดลอง ต้องให้ความช่วยเหลือ อย่างมากในการบันทึก สรุป และน าเสนอผล การทดลอง เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 11-12 ดีมาก 9-10 ดี 6-8 พอใช้ ต่ ากว่า 6 ปรับปรุง แบบประเมินการปฏิบัติการ แผนฯที่ 1,2,7 ค าชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินการปฏิบัติการของนักเรียนตามรายการที่ก าหนด แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับ ระดับคะแนน ล าดับที่ รายการประเมินระดับคะแนน 4 3 2 1 1 การปฏิบัติการทดลอง 2 ความคล่องแคล่วในขณะปฏิบัติการ 3 การน าเสนอ รวม ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน ................./................../.................. นํา สอน สรุป ประเมิน T10


การเปลี่ยนสถานะของสาร 2 การเปลี่ยนแปลงของสาร สำรบำงชนิดมีสี กลิ่น รูปร่ำง หรือสถำนะเปลี่ยนแปลงไปจำกเดิม โดย ไม่เกิดเป็นสำรใหม่ เรียกกำรเปลี่ยนแปลงแบบนี้ว่ำ การเปลี่ยนแปลงทาง กายภาพ แต่กำรเปลี่ยนแปลงของสำรบำงชนิดมีผลต่อองค์ประกอบเคมีภำยใน ท�ำให้ได้สำรใหม่ เรียกกำรเปลี่ยนแปลงแบบนี้ว่ำ การเปลี่ยนแปลงทางเคมี Prior Knowledge ก้อนน�้ำแข็งที่วำงทิ้งไว้ กลำงแจ้งจะมี กำรเปลี่ยนแปลง สถำนะอย่ำงไร ควำมร้อนเป็นพลังงำนรูปแบบหนึ่งที่มีหน่วยเป็นแคลอรี (cal) หรือจูล (J) ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่ออุณหภูมิ ของสำร ส่งผลให้สมบัติทำงกำยภำพหรือสถำนะของสำรเปลี่ยนแปลงไป ดังนี้ 1. การเปลี่ยนสถานะจากของแข็งเป็นของเหลว เมื่อให้ควำมร้อนแก่สำรที่มีสถำนะของแข็ง อนุภำค ของของแข็งจะมีพลังงำนและอุณหภูมิเพิ่มขึ้นจนถึงระดับหนึ่ง และเปลี่ยนไปเป็นของเหลว เรียกควำมร้อนที่ท�ำให้ ภำพที่ 1.17 กำรหลอมเหลวของน�้ำแข็ง ของแข็งเปลี่ยนสถำนะเป็นของเหลวว่ำ ความร้อนแฝงของการหลอมเหลว โดยอุณหภูมิขณะเปลี่ยนสถำนะจะคงที่ เรียกอุณหภูมินี้ว่ำ จุดหลอมเหลว (melting point) เช่น กำรหลอมเหลวของน�้ำแข็ง เป็นต้น 2. การเปลี่ยนสถานะจากของเหลวเป็นแก๊ส เมื่อให้ควำมร้อน แก่สำรที่เป็นของเหลว อนุภำคของของเหลวจะมีพลังงำนและอุณหภูมิเพิ่ม ขึ้นจนถึงระดับหนึ่ง และเปลี่ยนไปเป็นแก๊ส เรียกควำมร้อนที่ท�ำให้ของเหลว เปลี่ยนสถำนะเป็นแก๊สว่ำ ความร้อนแฝงของการกลายเป็นไอ โดยอุณหภูมิ ขณะเปลี่ยนสถำนะจะคงที่ เรียกอุณหภูมินี้ว่ำ จุดเดือด (boiling point) เช่น กำรเดือดของน�้ำกลำยเป็นไอ เป็นต้น ในปัจจุบันกำรนึ่งเป็นวิธีท�ำให้ อำหำรสุกด้วยกำรใช้ควำมร้อนจำกไอน�้ำ ซึ่งได้จำกกำรต้มน�้ำให้เดือด ควำมร้อน จำกไอน�้ำจะถูกถ่ำยเทไปยังผิวหน้ำของ อำหำร อำหำรที่ผ่ำนกำรนึ่งให้สุกจะมี ผิวนุ่ม เช่น กำรนึ่งขนมจีบ ซำลำเปำ เป็นต้น Science in Real Life ภำพที่ 1.18 เมื่อน�้ำได้รับควำมร้อนจะเดือดและระเหยกลำยเป็นไอ ภำพที่ 1.19 กำรใช้ไอน�้ำนึ่งซำลำเปำ 7 สาร รอบตัว ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET ขอใดเปนกระบวนการที่สารเปลี่ยนสถานะ 1. การแข็งตัว การควบแนน 2. การละลาย การระเหย การระเหิด 3. การระเหิด การแข็งตัว 4. ถูกทุกขอ (วิเคราะหคําตอบ การเปลี่ยนสถานะของสารจะมีการเปลี่ยน จากของแข็งเปนของเหลว เรียกวา “การละลาย” จากของเหลว เปนแกส เรียกวา “การระเหยหรือการกลายเปนไอ” จากของแข็ง เปนแกส เรียกวา “การระเหิด” ผันกลับจากแกสเปนของเหลว เรียกวา “การควบแนน” และจากของเหลวเปนของแข็ง เรียกวา “การแข็งตัว” ดังนั้น ตอบขอ 4.) ขั้นนํา กระตุนความสนใจ 1. ครูถามคําถาม prior knowledge กระตุน ความคิดของนักเรียน 2. ครูกระตุนความสนใจของนักเรียนดวยการ ทดลองหนาชั้นเรียน เรื่อง การเปลี่ยนแปลง สถานะของนํ้า โดยครูเตรียมอุปกรณ ดังนี้ - นํ้าแข็ง 1 ถุง - นํ้าในบีกเกอร - ฮอตเพลต ขั้นสอน สํารวจคนหา 1. ครูใหนักเรียนศึกษา เรื่อง การเปลี่ยนแปลง สถานะของสาร ในหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 2. ครูสุมตัวแทนนักเรียนออกมา ทํากิจกรรม ตามขั้นตอน ดังนี้ - เทนํ้าแข็งลงในบีกเกอร แลวใหความรอน จนกระทั่งนํ้าแข็งละลายกลายเปนนํ้า และ เดือดกลายเปนไอ - หยุดใหความรอน แลวนํากระจกนาฬกา มาปดปากบีกเกอรขณะที่นํ้าเดือด 3. ครูใหนักเรียนสังเกตและจดบันทึกการเปลี่ยนแปลงสถานะของนํ้า สื่อ Digital ศึกษาเพิ่มเติมไดจากภาพยนตรสารคดีสั้น Twig เรื่อง จุดหลอมเหลว https://twig-aksorn.com/film/glossary/melting-point-7056/ ศึกษาเพิ่มเติมไดจากภาพยนตรสารคดีสั้น Twig เรื่อง จุดเดือด https:// twig-aksorn.com/film/glossary/boiling-point-6579/ แนวตอบ prior knowledge 3 สถานะ ไดแก ของแข็ง ของเหลว และแกส นํา นํา สอน สรุป ประเมิน T11


ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET 3. การเปลี่ยนสถานะจากแก๊สเป็นของเหลว เมื่ออุณหภูมิของ แก๊สลดลงจนถึงระดับหนึ่ง แก๊สจะควบแน่นเปลี่ยนสถำนะเป็นของเหลว โดย อุณหภูมิขณะเปลี่ยนสถำนะจะคงที่ ซึ่งเป็นอุณหภูมิเดียวกับจุดเดือด เรียก อุณหภูมินี้ว่ำ จุดควบแน่น (condensation point) เช่น ไอน�้ำควบแน่นกลำย เป็นน�้ำ เป็นต้น 4. การเปลี่ยนสถานะจากของเหลวเป็นของแข็ง เมื่ออุณหภูมิ ของของเหลวลดลงจนถึงระดับหนึ่ง ของเหลวจะเปลี่ยนสถำนะเป็นของแข็ง เรียกอุณหภูมินี้ว่ำ จุดเยือกแข็ง (freezing point) ซึ่งเป็นอุณหภูมิเดียวกับ จุดหลอมเหลว เช่น กำรเยือกแข็งของน�้ำกลำยเป็นน�้ำแข็ง เป็นต้น ควบแน่น หลอมเหลว น�้ำ 100 �C น�้ำ 0 �C ไอน�้ำ 100 �C น�้ำแข็ง 0 �C ระเหย แข็งตัว การเปลี่ยนสถานะของนํ้าในธรรมชาติ เมื่อน�้ำในแหล่งน�้ำได้รับควำมร้อน จำกดวงอำทิตย์ น�้ำจะระเหยกลำย เป็นไอน�้ำ ลอยขึ้นไปในอำกำศ 1 เมื่อลูกเห็บได้รับควำมร้อนจำก ดวงอำทิตย์จะหลอมละลำยกลำย เป็นน�้ำแล้วไหลลงสู่แหล่งน�้ำ 4 เมื่อไอน�้ำในอำกำศมีอุณหภูมิต�่ำ ลงจะควบแน่นกลำยเป็นละอองน�้ำ และรวมตัวกันเป็นเมฆ 2 เมื่อละอองน�้ำในชั้นเมฆตกลงมำ เป็นหยดน�้ำ ซึ่งอำจกระทบกับ อำกำศที่มีอุณหภูมิต�่ำ ท�ำให้หยดน�้ำ แข็งตัวกลำยเป็นลูกเห็บ 3 ภำพที่ 1.20 กำรเปลี่ยนสถำนะของน�้ำ ภำพที่ 1.21 กำรเปลี่ยนสถำนะของน�้ำในธรรมชำติ 8 การเปลี่ยนสถานะของนํ้าในธรรมชาติ สื่อ Digital ขอใดเปนการเปลี่ยนสถานะของสารจากแกสไปเปนของเหลว 1. การตมนํ้า 2. การทํานํ้าแข็ง 3. การหลอเทียน 4. การทําฝนเทียม (วิเคราะหคําตอบ การตมนํ้าเปนการเปลี่ยนสถานะของสารจาก ของเหลวไปเปนแกส การทํานํ้าแข็งเปนการเปลี่ยนสถานะของสาร จากของเหลวไปเปนของแข็ง การหลอเทียนเปนการเปลี่ยนสถานะ ของสารจากของแข็งไปเปนของเหลว และการทําฝนเทียมเปนการ เปลี่ยนสถานะของสารจากแกสไปเปนของเหลว ดังนั้น ตอบขอ 4.) ขั้นสอน อธิบายความรู 1. ครูเขียนคําถามทายการทดลองบนกระดาน ดังนี้ • ความรอนที่ใชในการเปลี่ยนสถานะของนํ้าแข็ง กลายเปนนํ้าเรียกวาอะไร และอุณหภูมินี้ เรียกวาอะไร (แนวตอบ ความรอนแฝงของการหลอมเหลว, จุดหลอมเหลว) • ความรอนที่ใชในการเปลี่ยนสถานะของ ของเหลวกลายเปนไอเรียกวาอะไร และ อุณหภูมินี้เรียกวาอะไร (แนวตอบ ความรอนแฝงของการกลายเปน ไอ, จุดเดือด) • การเปลี่ยนสถานะของแกสกลายเปนของ เหลวเรียกวาอะไร และอุณหภูมินี้เรียกวา อะไร (แนวตอบ การควบแนน, จุดควบแนน) • หากนํานํ้าไปแชในอุณหภูมิตํ่าจนนํ้ากลาย เปนนํ้าแข็ง เรียกอุณหภูมินี้วาอะไร (แนวตอบ จุดเยือกแข็ง) 2. ครูใหนักเรียนลอกโจทย และตอบคําถามในสมุด 3. ครูสุมตัวแทน 4 คน ออกมาเขียนคําตอบ บนกระดานคนละ 1 ขอ 4. ครูเฉลยและอธิบายคําตอบ ขั้นสรุป ขยายความเขาใจ 1. ครูใหนักเรียนศึกษาการเปลี่ยนสถานะของนํ้า ในธรรมชาติในหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 2. ครูใหนักเรียนทําใบงาน เรื่อง ความรอนกับการ เปลี่ยนสถานะของสาร 3. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกหัดในแบบฝกหัด วิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 นํา สอน สรุป ประเมิน T12 www.aksorn.com/interactive3D/RK713 www.aksorn.com/interactive3D/RK714 www.aksorn.com/interactive3D/RK715 www.aksorn.com/interactive3D/RK716 การแข็งตัว การหลอมเหลว การควบแนน การระเหย


อุณหภูมิกับการเปลี่ยนสถานะ กิจกรรม 1. บีกเกอร์ 2. น�้ำแข็งบด 3. เทอร์มอมิเตอร์ 4. ชุดตะเกียงแอลกอฮอล์ 1. ใส่น�้ำลงในบีกเกอร์ให้สูงประมำณ 1 เซนติเมตร แล้วใส่น�้ำแข็งบดลงไป จนกระทั่งระดับน�้ำสูงขึ้นจำกก้นบีกเกอร์ 3 เซนติเมตร 2. จุ่มเทอร์มอมิเตอร์ลงในบีกเกอร์ แล้วอ่ำนอุณหภูมิของน�้ำผสมน�้ำแข็ง บันทึกอุณหภูมิที่เวลำ 0 นำที 3. ให้ควำมร้อนแก่บีกเกอร์ด้วยตะเกียงแอลกอฮอล์พร้อมจับเวลำทุก ๆ 30 วินำที แล้วอ่ำนอุณหภูมิของน�้ำ บันทึกอุณหภูมิ และ สังเกตกำรเปลี่ยนแปลงของน�้ำผสมน�้ำแข็ง 4. เมื่อน�้ำเดือดให้ต้มน�้ำต่อไปอีก 3 นำที จำกนั้นดับตะเกียงแอลกอฮอล์แล้วตั้งอุปกรณ์ทิ้งไว้ให้เย็น 5. เขียนกรำฟแสดงควำมสัมพันธ์ระหว่ำงอุณหภูมิกับเวลำลงในกระดำษกรำฟ จำกกิจกรรม พบว่ำ เมื่อน�ำน�้ำแข็งผสมกับน�้ำจะมีกำรเปลี่ยนแปลงทั้งอุณหภูมิและสถำนะ โดยขณะที่น�้ำแข็งหลอมเหลวเป็นน�้ำ น�้ำแข็งจะเปลี่ยนสถำนะจำกของแข็งเป็นของเหลว แต่อุณหภูมิจะไม่เปลี่ยนแปลง (0 องศำเซลเซียส) จำกนั้นน�้ำที่หลอมเหลวจะมี อุณหภูมิสูงขึ้นจนกระทั่งมีอุณหภูมิเท่ำกับอุณหภูมิห้อง เมื่อให้ควำมร้อนด้วยตะเกียงแอลกอฮอล์ พบว่ำ อุณหภูมิของน�้ำสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงจุดเดือด (อุณหภูมิ 100 องศำเซลเซียส) ที่บริเวณผิวหน้ำของน�้ำจะเปลี่ยนสถำนะจำกของเหลวกลำยเป็นแก๊สหรือไอน�้ำ วิธีปฏิบัติ วัสดุอุปกรณ์ ค�ำถำมท้ำยกิจกรรม 1. น�้ำผสมน�้ำแข็งมีกำรเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่ำงไร 2. หลังให้ควำมร้อนแก่น�้ำในบีกเกอร์เป็นเวลำ 3 นำที น�้ำในบีกเกอร์มีกำรเปลี่ยนแปลงอย่ำงไร อภิปรำยผลกิจกรรม จิตวิทยาศาสตร์ - ควำมสนใจใฝ่รู้ - ควำมรับผิดชอบ - ควำมรอบคอบ - กำรท�ำงำนร่วมกับผู้อื่นได้อย่ำง สร้ำงสรรค์ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ - กำรสังเกต - กำรวัด น�้ำแข็งบด เทอร์มอมิเตอร์ ตะเกียง แอลกอฮอล์ กระดำษกรำฟ ภำพที่ 1.22 9 สาร รอบตัว ขั้นสอน สํารวจคนหา 1. ครูใหนักเรียนจับกลุม 5 คน ทํากิจกรรม เรื่อง อุณหภูมิกับการเปลี่ยนสถานะ อธิบายความรู 1. ครูใหตัวแทนกลุมออกมานําเสนอผลกิจกรรม โดยครูชวยเสริมและแกไขขอมูลใหถูกตอง 2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายผลที่ไดจาก กิจกรรม 3. ครูและนักเรียนรวมกันตอบคําถามทายกิจกรรม ขั้นสรุป ขยายความรู 1. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกหัดในแบบฝกหัด วิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 ขั้นประเมิน ตรวจสอบผล 1. ครูตรวจแบบฝกหัด 2. ครูตรวจใบงาน เรื่อง ความรอนกับการเปลี่ยน สถานะของสาร 3. ครูประเมินการปฏิบัติการจากการทํากิจกรรม เรื่อง อุณหภูมิกับการเปลี่ยนสถานะ 4. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคลจาก การศึกษากิจกรรม เรื่อง การเปลี่ยนสถานะ ของนํ้า 5. ครูประเมินการนําเสนอใบงาน แนวทางการวัดและประเมินผล ครูวัดและประเมินผลความเขาใจในเนื้อหา เรื่อง การเปลี่ยนแปลงของสาร ไดจาก ประเมินการปฏิบัติการจากกิจกรรม เรื่อง อุณหภูมิกับการเปลี่ยนสถานะ โดย ศึกษาเกณฑการวัดและประเมินที่อยูในแผนการจัดการเรียนรูประจําหนวย การเรียนรูที่ 1 แนวตอบ คําถามทายกิจกรรม 1. นํ้าแข็งจะหลอมเหลวกลายเปนนํ้าจนหมด จากนั้น นํ้าจะมีอุณหภูมิสูงขึ้นเทากับอุณหภูมิหอง 2. อุณหภูมิของนํ้าจะสูงขึ้นจนกระทั่งถึงจุดเดือดที่ อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส และระเหยกลาย เปนไอนํ้า เวลา (วินาที) อุณหภูมิ ( ํC) การเปลี่ยนแปลงที่สังเกตได 0 ตํ่ากวา 25 - 30 ตํ่ากวาหรือเทากับ 25 นํ้าแข็งบดเปลี่ยนสถานะเปนของเหลว 60 สูงกวา 25 นํ้าแข็งบดมีปริมาณลดลง เนื่องจากนํ้าแข็ง เปลี่ยนสถานะเปนของเหลว 90 สูงกวา 25 นํ้าแข็งบดมีปริมาณลดลง เนื่องจากนํ้าแข็ง เปลี่ยนสถานะเปนของเหลว 120 สูงกวา 50 นํ้าแข็งบดเปลี่ยนสถานะเปนของเหลวจน หมด ทําใหปริมาณนํ้าในบีกเกอรสูงขึ้น 150 ตํ่ากวา 100 นํ้าเริ่มเดือดระเหยกลายเปนไอนํ้า 180 100 นํ้าเดือดมีฟองแกสผุดขึ้นมา 210 มากกวา 100 นํ้าเดือดระเหยกลายเปนไอนํ้า 240 มากกวา 100 ปริมาณนํ้าเริ่มลดลง เนื่องจากนํ้าระเหย กลายเปนไอนํ้า 270 มากกวา 100 ปริมาณนํ้าเริ่มลดลง เนื่องจากนํ้าระเหย กลายเปนไอนํ้า 300 มากกวา 100 ปริมาณนํ้าเริ่มลดลง เนื่องจากนํ้าระเหย กลายเปนไอนํ้า บันทึก กิจกรรม หมายเหตุ : บันทึกผลตามภาพที่เห็นจากการทดลองจริง เกณฑ์การประเมินการปฏิบัติการ ประเด็นที่ประเมิน ระดับคะแนน 4 3 2 1 1. การปฏิบัติการ ทดลอง ท าการทดลองตาม ขั้นตอน และใช้อุปกรณ์ ได้อย่างถูกต้อง ท าการทดลองตาม ขั้นตอน และใช้อุปกรณ์ ได้อย่างถูกต้อง แต่อาจ ต้องได้รับค าแนะน าบ้าง ต้องให้ความช่วยเหลือ บ้างในการท าการ ทดลอง และการใช้ อุปกรณ์ ต้องให้ความช่วยเหลือ อย่างมากในการท าการ ทดลอง และการใช้ อุปกรณ์ 2. ความ คล่องแคล่ว ในขณะ ปฏิบัติการ มีความคล่องแคล่ว ในขณะท าการทดลอง โดยไม่ต้องได้รับค า ชี้แนะ และท าการ ทดลองเสร็จทันเวลา มีความคล่องแคล่ว ในขณะท าการทดลอง แต่ต้องได้รับค าแนะน า บ้าง และท าการทดลอง เสร็จทันเวลา ขาดความคล่องแคล่ว ในขณะท าการทดลอง จึงท าการทดลองเสร็จ ไม่ทันเวลา ท าการทดลองเสร็จไม่ ทันเวลา และท า อุปกรณ์เสียหาย 3. การบันทึก สรุป และน าเสนอผล การทดลอง บันทึกและสรุปผลการ ทดลองได้ถูกต้อง รัดกุม น าเสนอผลการทดลอง เป็นขั้นตอนชัดเจน บันทึกและสรุปผลการ ทดลองได้ถูกต้อง แต่ การน าเสนอผลการ ทดลองยังไม่เป็น ขั้นตอน ต้องให้ค าแนะน าในการ บันทึก สรุป และ น าเสนอผลการทดลอง ต้องให้ความช่วยเหลือ อย่างมากในการบันทึก สรุป และน าเสนอผล การทดลอง เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 11-12 ดีมาก 9-10 ดี 6-8 พอใช้ ต่ ากว่า 6 ปรับปรุง แบบประเมินการปฏิบัติการ แผนฯที่ 1,2,7 ค าชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินการปฏิบัติการของนักเรียนตามรายการที่ก าหนด แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับ ระดับคะแนน ล าดับที่ รายการประเมินระดับคะแนน 4 3 2 1 1 การปฏิบัติการทดลอง 2 ความคล่องแคล่วในขณะปฏิบัติการ 3 การน าเสนอ รวม ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน ................./................../.................. นํา สอน สรุป ประเมิน T13


ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET อำกำศรอบตัวเรำ มีธำตุใดเป็น องค์ประกอบ Prior Knowledge 3 สารบริสุทธิ์และสารผสม สิ่งต่ำง ๆ รอบตัวเรำล้วนประกอบด้วยสำรที่มีลักษณะและสมบัติต่ำงกัน รวมไปถึงภำยในร่ำงกำยของมนุษย์ก็จะประกอบไปด้วยธำตุที่รวมกันอยู่ในรูป สำรประกอบ ซึ่งกำรศึกษำลักษณะและสมบัติของสำรจะท�ำให้เรำสำมำรถน�ำ สำรรอบตัวไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจ�ำวันได้อย่ำงถูกต้องเหมำะสม 3.1 สารบริสุทธิ์ สำรบริสุทธิ์ (pure substance) คือ สำรที่มีองค์ประกอบเพียงชนิดเดียว มีสมบัติเฉพำะทำงกำยภำพ และ ทำงเคมี ซึ่งจะมีจุดเดือด จุดหลอมเหลว และควำมหนำแน่นคงที่ โดยสำรบริสุทธิ์แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ดังนี้ 1. ธาตุ(element) คือ สำรบริสุทธิ์ที่ประกอบด้วยอะตอมเพียงชนิดเดียว ไม่สำมำรถแยกหรือสลำยออกได้ แต่สำมำรถท�ำปฏิกิริยำเคมีกลำยเป็นสำรอื่นได้ ธำตุมีทั้งที่เกิดขึ้นเองตำมธรรมชำติ เช่น ออกซิเจน ไฮโดรเจน แมกนีเซียม เป็นต้น และเกิดจำกกำรสังเครำะห์ขึ้น เช่น เทคนีเชียม พลูโทเนียม เป็นต้น นักวิทยำศำสตร์หลำยท่ำนในอดีตได้ศึกษำและเสนอแบบจ�ำลองอะตอมของธำตุไว้มำกมำย จนมำถึง ในปัจจุบันท�ำให้ทรำบว่ำอะตอมประกอบไปด้วยอนุภำคมูลฐำน คือ โปรตอน (ประจุบวก) นิวตรอน (ไม่มีประจุ) และอิเล็กตรอน (ประจุลบ) ดังรูป อิเล็กตรอน โปรตรอน นิวตรอน ภำพที่ 1.24 แบบจ�ำลองอะตอมของ ออกซิเจน ภำพที่ 1.25 แบบจ�ำลองอะตอมของ ไนโตรเจน ภำพที่ 1.26 แบบจ�ำลองอะตอมของ คำร์บอน โปรตอนและนิวตรอนรวมกันอยู่ตรงกลำง อะตอม เรียกว่ำ นิวเคลียส โดยธำตุชนิด เดียวกันจะมีจ�ำนวนโปรตอนเท่ำกัน อิเล็กตรอนเคลื่อนที่อยู่รอบนิวเคลียส เมื่อจ�ำนวนอิเล็กตรอนเท่ำกับจ�ำนวน โปรตรอน อะตอมจะเป็นกลำงทำงไฟฟ้ำ ตัวอย่าง แบบจ�ำลองอะตอมของธำตุบำงชนิด ภำพที่ 1.23 แบบจ�ำลองอะตอมของธำตุ 10 อธิบายความรู 1. ครูสุมตัวแทนนักเรียนออกมาสรางและอธิบาย แบบจําลองอะตอมดวยดินนํ้ามัน 2. ครูตรวจและเพิ่มเติมขอมูลใหถูกตอง 3. ครูยกตัวอยางแบบจําลองอะตอมของธาตุอื่น ขั้นนํา กระตุนความสนใจ 1. ครูแจงผลการเรียนรูใหนักเรียนทราบ 2. ครูถามคําถาม prior knowledge ขั้นสอน สํารวจคนหา 1. ครูใหนักเรียนศึกษาเกี่ยวกับ เรื่อง สารบริสุทธิ์ จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 2. ครูเขียนคําถามบนกระดานใหนักเรียนตอบ คําถาม ดังนี้ • สารบริสุทธิ์คืออะไร (แนวตอบ สารที่มีองคประกอบเพียงชนิดเดียว มีสมบัติทางกายภาพและสมบัติทางเคมี) • เพราะเหตุใดธาตุจึงจัดเปนสารบริสุทธิ์ (แนวตอบ เพราะธาตุประกอบดวยอะตอม เพียงชนิดเดียว) 3. ครูนํากอนดินนํ้ามันมาปนเปนลูกทรงกลม 3 ลูก 3 สี สีแดง คือ นิวตรอน สีฟา คือ โปรตอน สีเหลือง คือ อิเล็กตรอน 4. ครูใหนักเรียนสืบคนขอมูลเกี่ยวกับแบบจําลอง อะตอมของธาตุ นักเรียนควรรู 1 อนุภาค มาจากภาษาละติน หมายถึง สวนเล็กๆ ในทางวิทยาศาสตร อนุภาค หมายถึง สวนที่เล็กมากมาประกอบกันขึ้นมาเปนสสาร เชน ผลึก โมเลกุล อะตอม เปนตน ซึ่งมองไมเห็นดวยตาเปลา แตอาจมองเห็นไดดวยอุปกรณ วิเคราะหภาพชนิดตางๆ เชน กลองจุลทรรศน กลองจุลทรรศนอิเล็กตรอน เปนตน ซึ่งอนุภาคบางชนิดก็ยังไมมีเครื่องมือชนิดใดจับภาพไดโดยตรง เพียงแต พิสูจนโดยทางออมไดวามีอยูจริง ขอใดกลาวถูกตอง 1. อะตอมเปนอนุภาคที่มีขนาดใหญที่สุด 2. อิเล็กตรอนแสดงอํานาจไฟฟาเปนกลาง 3. โมเลกุลเปนอนุภาคที่เล็กที่สุดที่ไมสามารถแบงไดอีก 4. ในอะตอมที่เปนกลางทางไฟฟาจะมีจํานวนอิเล็กตรอน เทากับจํานวนโปรตอน (วิเคราะหคําตอบ ขอ 1. ไมถูกตอง อะตอมเปนอนุภาคที่มีขนาดเล็กที่สุด ขอ 2. ไมถูกตอง อิเล็กตรอนแสดงอํานาจไฟฟาเปนลบ ขอ 3. ไมถูกตอง อะตอมเปนอนุภาคที่เล็กที่สุดที่ไมสามารถ แบงไดอีก ดังนั้น ตอบขอ 4.) อะตอมประกอบไปด้วยอนุภำคมูลฐ 1 แนวตอบ prior knowledge ไนโตรเจน ออกซิเจน อารกอน คารบอน สื่อ Digital นํา นํา สอน สรุป ประเมิน T14 www.aksorn.com/interactive3D/RK712 โครงสรางอะตอม


ชื่อภาษาไทย ชื่อภาษาอังกฤษ ชื่อภาษาละติน สัญลักษณ์ของธาตุ โซเดียม Sodium Natrium Na แคลเซียม Calcium Calx Ca คำร์บอน Carbon Carbo C ซิลิคอน Silicon - Si เจอร์เมเนียม Germanium - Ge ออกซิเจน Oxygen - O ซีลีเนียม Selenium Selene Se ทังสเตน Tungsten Wolfram W ดีบุก Tin Stannum Sn ทองแดง Copper Cuprum Cu ตะกั่ว Lead Plumbum Pb เงิน Silver Argentum Ag ทองค�ำ Gold Aurum Au ทังสเตน Tungsten Wolfram W ซีเรียม Cerium - Ce โคบอลต์ Cobalt - Co โครเมียม Chromium - Cr ตารางที่ 1.1 ตัวอย่ำงชื่อและสัญลักษณ์ของธำตุบำงชนิด ไฮโดรเจน เหล็ก สังกะสี ทองแดง ตะกั่ว เงิน ปรอท ออกซิเจน ไนโตรเจน คำร์บอน ฟอสฟอรัส ก�ำมะถัน l z c L s ในอดีตจอห์น ดอลตัน นักวิทยำศำสตร์ชำวอังกฤษได้เสนอ ให้ใช้สัญลักษณ์ของธำตุเป็นรูปภำพ แต่ในปัจจุบันธำตุมีจ�ำนวนมำกขึ้น นักวิทยำศำสตร์หลำยท่ำนจึงเสนอให้ใช้สัญลักษณ์ของธำตุเป็นตัวอักษรแทน ชื่อธำตุ เพื่อให้สำมำรถสื่อควำมหมำยได้ตรงกัน โดยหลักกำรเขียนสัญลักษณ์ ของธำตุมี ดังนี้ - ถ้ำธำตุมีชื่อในภำษำละติน ให้ใช้ตัวอักษรตัวแรกในชื่อภำษำ ละตินด้วยตัวพิมพ์ใหญ่ - ถ้ำธำตุไม่มีชื่อในภำษำละติน ให้ใช้ตัวอักษรตัวแรกในชื่อภำษำ อังกฤษด้วยตัวพิมพ์ใหญ่ ภำพที่ 1.27 รูปภำพสัญลักษณ์ของธำตุในอดีต - ถ้ำชื่อธำตุมีอักษรตัวแรกซ�้ำกัน ให้ธำตุที่พบทีหลังเขียนอักษรตัวแรกเป็นตัวพิมพ์ใหญ่ แล้วเพิ่มอักษร ตัวถัดไปเป็นตัวพิมพ์เล็ก เช่น ธำตุคำร์บอน (carbon) ใช้สัญลักษณ์ C ส่วนธำตุแคลเซียม (calcium) มีอักษรตัวแรกซ�้ำกับธำตุคำร์บอน จึงเพิ่มอักษรตัวที่ 2 คือ a เข้ำไป แคลเซียมจึงใช้สัญลักษณ์ Ca 11 สาร รอบตัว ขั้นสอน สํารวจคนหา 1. ครูเกริ่นนําวา ธาตุในปจจุบันมีมากวา 117 ชนิด เราจะรูไดอยางไรวาธาตุแตละชนิดคือธาตุใด (แนวตอบ ใชสัญลักษณธาตุเปนตัวอักษรแทน ชื่อธาตุ) 2. ครูใหนักเรียนสืบคน เรื่อง หลักการเขียน สัญลักษณของธาตุ 3. ครูใหนักเรียนศึกษาตัวอยางตารางธาตุที่แสดง สัญลักษณธาตุและสัญลักษณนิวเคลียร ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET ขอใดจัดเปนธาตุ 1. นาก 2. เกลือ 3. ทองแดง 4. ทองเหลือง (วิเคราะหคําตอบ นากเปนโลหะผสมที่เกิดจากการผสมระหวาง ธาตุทองแดง ทองคํา และเงิน เกลือเปนสารประกอบที่เกิดจาก ธาตุโซเดียมและคลอรีน ทองแดงเปนธาตุ สวนทองเหลืองเปน โลหะผสมที่เกิดจากการผสมระหวางธาตุทองแดงและสังกะสี ดังนั้น ตอบขอ 3.) อธิบายความรู 1. ครูใหนักเรียนเขียนสัญลักษณของธาตุหนา ชั้นเรียน อธิบายหลักการเขียนสัญลักษณของ ธาตุชนิดนั้น 2. ครูอธิบายตารางที่ 1.1 จากหนังสือเรียน วิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 ใหนักเรียนเขาใจ สัญลักษณของธาตุมากขึ้น นักเรียนควรรู 1 ไฮโดรเจน เปนธาตุอโลหะที่ไมมีสี ไมมีกลิ่น และสามารถติดไฟได ไฮโดรเจน จะมีนํ้าหนักเบากวาอากาศมาก จึงนิยมนํามาใสในลูกโปง และเปนสารเชื้อเพลิง 2 ออกซิเจน เปนธาตุอโลหะที่ไมมีสี ไมมีกลิ่น และไมติดไฟ แตออกซิเจนชวย ทําใหไฟติด ออกซิเจนมีความจําเปนตอการดํารงชีวิตของมนุษย เมื่อเราหายใจ เขาไปจะเคลื่อนตัวไปยังสวนตางๆ ของรางกาย โดยเกาะไปกับเลือดชวยในการ เผาผลาญอาหาร ไฮโดรเจน 1 ออกซิเจน 2 นํา สอน สรุป ประเมิน T15


ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET ธาตุ ลักษณะธาตุ ที่อุณหภูมิห้อง ความแข็ง หรือ ความเหนียว การนำา ไฟฟ้า การนำา ความร้อน จุดเดือด ( ำC) จุดหลอมเหลว ( ำC) ความ หนาแน่น (g/cm3 ) ไฮโดรเจน แก๊ส - ไม่น�ำ ไม่น�ำ -253 -259 0.07 โซเดียม ของแข็งสีเงินวำว เหนียว น�ำ น�ำ 892 98 0.97 แคลเซียม ของแข็งสีเงินวำว เหนียว น�ำ น�ำ 1,490 838 1.55 แมกนีเซียม ของแข็งสีเงินวำว เหนียว น�ำ น�ำ 1,091 650 1.74 อะลูมิเนียม ของแข็งสีเงินวำว เหนียว น�ำ น�ำ 2,470 660 2.70 โบรอน ของแข็งสีด�ำ เปรำะ น�ำเล็กน้อย น�ำเล็กน้อย 3,900 2,030 2.08 คำร์บอน ของแข็งสีด�ำ เปรำะ น�ำ น�ำ 4,830 3,730 2.26 ซิลิคอน ของแข็งสีเงินวำว เปรำะ น�ำเล็กน้อย น�ำเล็กน้อย 2,680 1,410 2.33 ฟอสฟอรัส ของแข็งสีขำว เปรำะ ไม่น�ำ ไม่น�ำ 280 44 2.34 ก�ำมะถัน ของแข็งสีเหลือง เปรำะ ไม่น�ำ ไม่น�ำ 445 113 1.96 ออกซิเจน แก๊ส - ไม่น�ำ ไม่น�ำ -183 -219 1.15 ฟลูออรีน แก๊ส - ไม่น�ำ ไม่น�ำ -188 -220 1.10 คลอรีน แก๊ส - ไม่น�ำ ไม่น�ำ -35 -110 3.21 โบรมีน แก๊ส - ไม่น�ำ ไม่น�ำ 58.8 -7.2 3.10 ฮีเลียม แก๊ส - ไม่น�ำ ไม่น�ำ -452.07 -272.2 0.17 ปรอท ของเหลวสีเงิน - น�ำ น�ำ 356.6 -38.9 13.58 เหล็ก ของแข็งสีด�ำ เหนียว น�ำ น�ำ 2,750 1,535 7.86 ตารางที่ 1.2 สมบัติบำงประกำรของธำตุบำงชนิด นอกจำกนี้ยังสำมำรถเขียนสัญลักษณ์ของธำตุในรูปสัญลักษณ์นิวเคลียร์เพื่อแสดงรำยละเอียดที่เกี่ยวข้อง กับอนุภำคที่อยู่ภำยในนิวเคลียสของอะตอม ซึ่งมีวิธีกำรเขียน ดังนี้ A Z X เลขมวล = จ�ำนวนโปรตอน + จ�ำนวนนิวตรอน เลขอะตอม = จ�ำนวนโปรตอน สัญลักษณ์ของธำตุ ภำพที่ 1.28 กำรเขียนสัญลักษณ์นิวเคลียร์ของธำตุ ตัวอย่ำงเช่น 23 11Na แสดงว่ำ ธำตุโซเดียมมีเลขมวลเท่ำกับ 23 และมีเลขอะตอมหรือจ�ำนวนโปรตอน เท่ำกับ 11 ธำตุแต่ละชนิดมีสมบัติเฉพำะตัว แต่อำจมีสมบัติทำงกำยภำพบำงประกำรเหมือนกัน ดังตำรำง 12 ไอออนของธาตุ X มีจํานวนโปรตอน นิวตรอน และอิเล็กตรอน เทากับ 9 10 และ 10 ตามลําดับ ธาตุ X มีสัญลักษณเปนไปตาม ขอใด 1. 19 9 X 2. 20 11X 3. 21 9 X 4. 20 11X (วิเคราะหคําตอบ ธาตุ X มีโปรตอนเทากับ 9 แสดงวา เลขลาง คือ 9 สวนเลขบนเกิดจากโปรตอน รวมกับนิวตรอนมีคาเทากับ 19 ดังนั้น ตอบขอ 1.) ขั้นสอน สํารวจคนหา 4. ครูใหนักเรียนสืบคน เรื่อง การเขียนสัญลักษณ นิวเคลียรของธาตุ ในหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 5. ครูใหนักเรียนศึกษาสมบัติของธาตุในตารางที่ 1.2 กับตารางธาตุ ในหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 อธิบายความรู 3. ครูสุมเรียกนักเรียน 5 คน ออกมาเขียน สัญลักษณ และสัญลักษณนิวเคลียรของธาตุที่ กําหนดใหบนกระดาน ดังนี้ - ทองคํา - ซีนอน - เงิน - ปรอท - สังกะสี 4. ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยคําตอบ เกร็ดแนะครู ครูอธิบายเสริมเกี่ยวกับสมบัติของธาตุวา ธาตุโลหะสวนใหญเมื่อเคาะจะเกิด เสียงดังกังวาน ซึ่งตางกับธาตุอโลหะเมื่อเคาะแลวจะไมเกิดเสียงดังกังวาน และ ธาตุโลหะสวนใหญเปนธาตุที่ใหอิเล็กตรอนแกธาตุอื่น ทําใหเกิดเปนไอออนบวก สวนธาตุอโลหะมักเปนธาตุที่ชอบรับอิเล็กตรอนจากธาตุอื่น จึงทําใหเกิดไอออน ลบ นอกจากนี้ เมื่อธาตุโลหะอยูในรูปสารประกอบออกไซดจะมีสมบัติเปนเบส สวนสารประกอบอโลหะออกไซดจะมีสมบัติเปนกรด นํา สอน สรุป ประเมิน T16


จะเห็นว่ำสมบัติต่ำง ๆ ของธำตุบำงชนิด เช่น กำรน�ำไฟฟ้ำ จุดเดือด จุดหลอมเหลว เป็นต้น มีควำม คล้ำยคลึงกัน เมื่อน�ำมำจัดกลุ่มจะแบ่งธำตุออกได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่ ธำตุโลหะ อโลหะ และกึ่งโลหะ 1) ธาตุโลหะ (metal element) เป็นธำตุที่มีสถำนะเป็นของแข็งที่อุณหภูมิห้อง ยกเว้นปรอทมีสถำนะ เป็นของเหลว ส่วนมำกผิวของโลหะเป็นมันวำว น�ำไฟฟ้ำ และน�ำควำมร้อนได้ดี มีจุดเดือดและจุดหลอมเหลวสูง สำมำรถดึงหรือตีเป็นแผ่นบำง ๆ ได้ มีควำมหนำแน่นทั้งสูงและต�่ำ มีควำมแข็งและเหนียว ท�ำให้เปลี่ยนแปลงรูปร่ำงได้ จึงนิยมน�ำมำใช้ในงำนก่อสร้ำง ตัวอย่ำงธำตุโลหะ เช่น ลิเทียม (Li) โซเดียม (Na) โพแทสเซียม (K) แมกนีเซียม (Mg) แคลเซียม (Ca) เป็นต้น 2) ธาตุกึ่งโลหะ (semi-metal element) เป็นธำตุที่มีสมบัติก�้ำกึ่งระหว่ำงธำตุโลหะกับธำตุอโลหะ โดยมี สมบัติบำงประกำรเหมือนโลหะ และมีสมบัติบำงประกำรเหมือนอโลหะ ส่วนใหญ่ธำตุกึ่งโลหะมีสมบัติเป็นสำรกึ่งตัวน�ำ (semi-conductors) ซึ่งน�ำไฟฟ้ำไม่ดีเมื่ออยู่ที่อุณหภูมิห้อง แต่จะน�ำไฟฟ้ำได้ดีเมื่อมีอุณหภูมิสูงขึ้น มีทั้งสิ้น 8 ธำตุ ได้แก่ โบรอน (B) ซิลิคอน (Si) เจอร์เมเนียม (Ge) สำรหนูหรืออำร์เซนิก (As) พลวงหรือแอนติโมนี (Sb) เทลลูเรียม (Te) พอโลเนียม (Po) และแอสทำทีน (At) เป็นต้น 3) ธาตุอโลหะ (non-metal element) เป็นธำตุที่มีทั้ง 3 สถำนะ คือ ของแข็ง ของเหลว และแก๊ส ส่วนมำก ธำตุอโลหะจะมีสมบัติตรงข้ำมกับธำตุโลหะ เช่น มีจุดเดือดและจุดหลอมเหลวต�่ำ ผิวไม่มันวำว ไม่น�ำไฟฟ้ำ และไม่น�ำ ควำมร้อน มีควำมหนำแน่นต�่ำ เปรำะและแตกหักง่ำย ตัวอย่ำงธำตุอโลหะ เช่น คำร์บอน (C) ฟอสฟอรัส (P) ก�ำมะถัน (S) โบรมีน (Br) ออกซิเจน (O) ไนโตรเจน (N) คลอรีน (Cl) เป็นต้น 71 Lu 174.97 103Lr (262) 57 La 138.91 89 Ac (227) 58 Ce 140.12 90 Th 232.04 59Pr 140.91 91 Pa 231.04 60 Nd 144.24 92 U 238.03 61 Pm (145) 93 Np (237) 62 Sm 150.36 94 Pu (244) 63 Eu 151.96 95 Am (243) 64 Gd 157.25 96 Cm (247) 66 Dy 162.50 98Cf (251) 67 Ho 164.93 99 Es (252) 68Er 167.26 100 Fm (257) 69 Tm 168.93 101 Md (258) 70 Yb 173.04 102 No (259) 65 Tb 158.93 97 Bk (247) 1 H 1.0079 3 Li 6.941 4 Be 9.0122 11 Na 22.990 12 Mg 24.305 19K 39.098 20 Ca 40.078 21 Sc 44.956 22Ti 47.867 23V 50.942 24 Cr 51.996 25 Mn 54.938 26 Fe 55.845 27 Co 58.933 28 Ni 58.693 29 Cu 63.546 30 Zn 65.39 5 B 10.811 6 C 12.011 7 N 14.007 8 O 15.999 9 F 18.998 10 Ne 20.180 2 He 4.0026 18Ar 39.948 17 Cl 35.453 36Kr 83.80 54 Xe 131.29 86 Rn (222) 118 Og (294) 14Si 28.086 15P 30.974 16S 32.065 13Al 26.982 31 Ga 69.723 32 Ge 72.64 33 As 74.922 34 Se 78.96 35Br 79.904 37 Rb 85.468 38Sr 87.62 39Y 88.906 40Zr 91.224 41 Nb 92.906 42 Mo 95.94 43 Tc (98) 44 Ru 101.07 45 Rh 102.91 46 Pd 106.42 47 Ag 107.87 48 Cd 112.41 49In114.82 50 Sn 118.71 51 Sb 121.76 52 Te 127.60 53 I 126.90 55 Cs 132.91 56 Ba 137.33 72Hf 178.49 73 Ta 180.95 74W 183.84 75 Re 186.21 76 Os 190.23 77 Ir 192.22 78Pt 195.08 79 Au 196.97 81Tl 204.38 113 Nh (284) 115 Mc (288) 82 Pb 207.2 83Bi 208.98 84 Po (209) 116 Lv (292) 85At (210) 117 Ts (294) 80 Hg 200.59 * ** 87Fr (223) 88 Ra (226) 104Rf (261) 105 Db (262) 106 Sg (266) 107 Bh (264) 108 Hs (277) 109 Mt (268) 110 Ds (281) 111 Rg (272) 114 Fl (289) 112 Cn (285) ธำตุโลหะ ธำตุกึ่งโลหะ ธำตุอโลหะ ภำพที่ 1.29 ตำรำงธำตุ 13 สาร รอบตัว ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET ขั้นสอน สํารวจคนหา 1. ครูถามถามคําถามตอไปนี้ • แนวโนมของธาตุในตารางธาตุสามารถแบง ธาตุออกเปนกี่ประเภท และแตละประเภท มีลักษณะอยางไร (แนวตอบ 3 ประเภท คือ โลหะ อโลหะ และ กึ่งโลหะ) 2. ครูเตรียมอุปกรณการทดลอง เรื่อง สมบัติของ ธาตุ ไดแก ตะปูเหล็ก กํามะถัน กระดาษ - ทราย สายไฟ ถานไฟฉาย และหลอดไฟ จากนั้นครูใหแตละกลุมทดสอบสมบัติของธาตุ ตามขั้นตอน ดังนี้ - ใชกระดาษทรายขัดผิวธาตุ แลวสังเกตความมันวาว - ใหนักเรียนตอวงจรไฟฟา ดังภาพ แลวสังเกตความ สวางของหลอดไฟ 3. ครูใหนักเรียนตอบคําถามจากการทํากิจกรรม ตอไปนี้ • เมื่อใชกระดาษทรายขัดผิวตะปูเหล็ก ผิวของ ตะปูเหล็กมีลักษณะอยางไร (แนวตอบ มีผิวมันวาว) • เมื่อใชกระดาษทรายขัดผิวกํามะถัน กํามะถันมีลักษณะอยางไร (แนวตอบ ไมเกิดการเปลี่ยนแปลง) • เมื่อนําตะปูเหล็กไปตอกับวงจรไฟฟา หลอดไฟสวางหรือไม (แนวตอบ หลอดไฟสวาง) • เมื่อนํากํามะถันไปตอกับวงจรไฟฟา หลอดไฟสวางหรือไม (แนวตอบ หลอดไฟไมสวาง) ขอใดไมใชสมบัติของธาตุกึ่งโลหะ 1. เปราะเหมือนอโลหะ 2. มีความมันวาวเหมือนโลหะ 3. มีสมบัติกึ่งกลางระหวางโลหะกับอโลหะ 4. นําไฟฟาไดดีที่อุณหภูมิหอง แตเมื่ออุณหภูมิสูงจะนําไฟฟา ไดไมดี (วิเคราะหคําตอบ สวนใหญธาตุกึ่งโลหะมีสมบัติเปนสารกึ่งตัวนํา ซึ่งจะนําไฟฟาไมดีเมื่ออยูที่อุณหภูมิหอง แตจะนําไฟฟาไดดี เมื่อ มีอุณหภูมิสูงขึ้น ดังนั้น ตอบขอ 4.) ถานไฟฉาย หลอดไฟ ธาตุที่นํามาทดลอง เกร็ดแนะครู ครูอาจเสริมความรูใหแกนักเรียนวา ธาตุแบงออกเปน 2 กลุม คือ ธาตุกลุม A เรียกวา ธาตุเรพรีเซนเททีฟ และธาตุกลุม B เรียกวา ธาตุแทรนซิชัน โดยธาตุ เรพรีเซนเททีฟจะมีทั้งธาตุโลหะ อโลหะ และกึ่งโลหะ สวนธาตุแทรนซิชันจะเปน ธาตุโลหะ ซึ่งโลหะแทรนซิชันนั้นจะมีความเปนโลหะนอยกวาโลหะในกลุมธาตุ เรพรีเซนเททีฟ นํา สอน สรุป ประเมิน T17


ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET ประเภทของธาตุ ธาตุ ธาตุ ธาตุ ประโยชน์ ประโยชน์ ประโยชน์ ธาตุโลหะ ธาตุกึ่งโลหะ ธาตุอโลหะ • โครเมียม (Cr) • โบรอน (B) • ออกซิเจน (O) • อะลูมิเนียม (Al) • ซิลิกอน (Si) • ไอโอดีน (I) • สังกะสี (Zn) • อำร์เซนิก (As) • คลอรีน (Cl) • ตะกั่ว (Pb) • เจอร์เมเนียม (Ge) • ก�ำมะถัน (S) • ฟอสฟอรัส (P) • คำร์บอน (C) • ปรอท (Hg) • ทองแดง (Cu) • ทังสเตน (W) • เหล็ก (Fe) ใช้เคลือบผิวโลหะป้องกันสนิม ใช้ท�ำส่วนประกอบของเครื่องบิน ใช้เป็นส่วนประกอบในถ่ำนไฟฉำย ใช้ในงำนบัดกรี เชื่อมโลหะ แบตเตอรี่ ใช้บรรจุในเทอร์มอมิเตอร์ ใช้ท�ำสำยไฟ ใช้ท�ำไส้หลอดไฟ เป็นองค์ประกอบของเฮโมโกลบินในเซลล์เม็ดเลือดแดง ใช้ควบคุมปฏิกิริยำนิวเคลียร์ เป็นสำรกึ่งตัวน�ำ ใช้ท�ำวงจรไฟฟ้ำขนำดเล็ก ใช้ท�ำยำฆ่ำแมลง เป็นองค์ประกอบส�ำคัญในอุตสำหกรรมแก้ว จ�ำเป็นต่อกระบวนกำรหำยใจของสิ่งมีชีวิต ใช้ท�ำทิงเจอร์ไอโอดีน ใช้ท�ำยำฆ่ำแมลง ใช้ในอุตสำหกรรมฟอกสี ใช้ฆ่ำเชื้อในน�้ำประปำ เป็นองค์ประกอบของเคอรำตินในผม ขน เล็บ ใช้ท�ำไม้ขีดไฟ ธูป ประทัด พรุ ใช้ท�ำไส้ดินสอ ท�ำเครื่องประดับ เช่น เพชร ธำตุโลหะ ธำตุอโลหะ และธำตุกึ่งโลหะ มีสมบัติเฉพำะตัวที่แตกต่ำงกัน ซึ่งสมบัติดังกล่ำวถูกน�ำมำใช้ ประโยชน์ในด้ำนต่ำง ๆ เช่น ด้ำนอุตสำหกรรม ด้ำนกำรเกษตร ด้ำนกำรแพทย์ เป็นต้น ดังนี้ ภำพที่ 1.30 ประโยชน์ของธำตุโลหะ ภำพที่ 1.31 ประโยชน์ของธำตุกึ่งโลหะ ภำพที่ 1.32 ประโยชน์ของธำตุอโลหะ 14 ขอใดมีการใชประโยชนจากธาตุไมถูกตอง 1. อะลูมิเนียมใชทําแผนหออาหาร 2. ทองแดงใชทํามอเตอรไฟฟา 3. ทองคําใชทําเครื่องประดับ 4. คลอรีนใชเปนตัวนําไฟฟา (วิเคราะหคําตอบ สวนใหญธาตุอโลหะมีสมบัติตรงขามกับธาตุ โลหะ คือ ไมนําไฟฟา ไมนําความรอน มีจุดเดือด จุดหลอมเหลวตํ่า ผิวไมมันวาว ความหนาแนนตํ่า เปราะ และแตกหักงาย คลอรีน จึงไมเหมาะแกการเปนตัวนําไฟฟา ดังนั้น ตอบขอ 4.) ขั้นสอน สํารวจคนหา 1. ครูใหนักเรียนระดมความคิดวา ในปจจุบันเรา นําธาตุมาใชประโยชนอะไรบาง 2. ครูใหนักเรียนแบงกลุมออกเปน 4 กลุม สืบคน ประโยชนของธาตุใหมากที่สุด อธิบายความรู 1. ครูสุมตัวแทนกลุมออกมานําเสนอผลจากการ สืบคนประโยชนของธาตุ 2. ครูอธิบายและยกตัวอยางธาตุที่มีความสําคัญ ตอประเทศในหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 ขั้นสรุป ขยายความรู 1. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกหัดในแบบฝกหัด วิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 ขั้นประเมิน ตรวจสอบผล 1. ครูตรวจแบบฝกหัด 2. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายกลุมจากการ สืบคนประโยชนของธาตุ 3. ครูประเมินการนําเสนอประโยชนของธาตุ โดย ใชแบบประเมินการนําเสนอผลงาน แนวทางการวัดและประเมินผล ครูวัดและประเมินผลความเขาใจในเนื้อหา เรื่อง สารบริสุทธิ์ ไดจากแบบ สังเกตพฤติกรรมการทํางานรายกลุมจากการสืบคนประโยชนของธาตุและ จากแบบประเมินการนําเสนอผลงานหนาชั้นเรียน โดยศึกษาเกณฑการวัดและ ประเมินที่อยูในแผนการจัดการเรียนรูประจําหนวยการเรียนรูที่ 1 แบบประเมินการน าเสนอผลงาน ค าชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินการน าเสนอผลงาน แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับคะแนน ล าดับที่ รายการประเมินระดับคะแนน 3 2 1 1 ความถูกต้องของเนื้อหา 2 ภาษาที่ใช้เข้าใจง่าย 3 ประโยชน์ที่ได้จากการน าเสนอ 4 วิธีการน าเสนอผลงาน 5 ความสวยงามของผลงาน รวม ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน .............../................/................ เกณฑ์การให้คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 14-15 ดีมาก 11-13 ดี 8-10 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง นํา สอน สรุป ประเมิน T18


ธำตุโลหะ อโลหะ และกึ่งโลหะในธรรมชำติบำงชนิดสำมำรถแผ่รังสีได้อย่ำงต่อเนื่อง เรียกธำตุเหล่ำนี้ว่ำ ธาตุกัมมันตรังสี (radioactive element) เช่น ยูเรเนียม (238 92U) เรเดียม (226 88Ra) ทอเรียม (232 90Th) เป็นต้น เนื่องจำก นิวเคลียสภำยในอะตอมของธำตุไม่เสถียร จึงต้องมีกำรเปลี่ยนแปลงไปเป็นธำตุที่มีควำมเสถียรมำกขึ้นโดยกำร สลำยตัวแล้วปล่อยอนุภำคภำยในนิวเคลียสออกมำในรูปของรังสี เรียกรังสีที่แผ่ออกมำจำกธำตุว่ำ กัมมันตภาพรังสี (radioactivity) ซึ่งมี 3 ประเภท ดังนี้ 1) อนุภาคแอลฟา (α หรือ 4 2 He2+ ) เป็นอนุภำคที่มีโปรตอนและนิวตรอนอย่ำงละ 2 อนุภำค แต่ไม่มี อิเล็กตรอน เมื่อผ่ำนเข้ำไปในสนำมแม่เหล็กจะเบี่ยงเบนเข้ำหำขั้วลบ มีอ�ำนำจทะลุทะลวงต�่ำ ไม่สำมำรถทะลุผ่ำน แผ่นกระดำษบำง ๆ ได้ 2) อนุภาคบีตา (β) เป็นอนุภำคที่เกิดจำกกำรสลำยตัวของนิวเคลียสที่มีจ�ำนวนโปรตอนมำกเกินไป หรือน้อยเกินไป มีอ�ำนำจทะลุทะลวงสูงกว่ำรังสีแอลฟำประมำณ 100 เท่ำ แต่ไม่สำมำรถทะลุผ่ำนแผ่นอะลูมิเนียม หนำ 2 มิลลิเมตรได้ ซึ่งรังสีบีตำแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ดังนี้ - บีตำลบหรืออิเล็กตรอน ใช้สัญลักษณ์ β- หรือ 0 -1e เกิดจำกกำรสลำยตัวของนิวเคลียสที่มีนิวตรอน มำกกว่ำโปรตอน ดังนั้น ต้องลดจ�ำนวนนิวตรอนลงเพื่อให้นิวเคลียสเสถียร เมื่อผ่ำนเข้ำไปในสนำม ไฟฟ้ำจะเบี่ยงเบนเข้ำหำขั้วบวก - บีตำบวกหรือโพสิตรอน ใช้สัญลักษณ์ β+ หรือ 0 +1e เกิดจำกกำรสลำยตัวของนิวเคลียสที่มีโปรตอน มำกกว่ำนิวตรอน ดังนั้น ต้องลดจ�ำนวนโปรตอนลงเพื่อให้นิวเคลียสเสถียร เมื่อผ่ำนเข้ำไปในสนำม ไฟฟ้ำจะเบี่ยงเบนเข้ำหำขั้วลบ 3) รังสีแกมมา (γ) เป็นอนุภำคที่ไม่มีประจุและมวล จึงไม่เบี่ยงเบนในสนำมแม่เหล็ก มีสมบัติเป็น คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำที่มีควำมยำวคลื่นสั้น ท�ำให้มีอ�ำนำจทะลุทะลวงสูงกว่ำรังสีบีตำมำก แต่ไม่สำมำรถทะลุผ่ำนแผ่น ตะกั่วหนำ 10 เซนติเมตรได้ ส่วนใหญ่มักเกิดจำกธำตุที่แผ่รังสีแอลฟำออกมำแล้วนิวเคลียสของธำตุยังไม่เสถียร จึงต้อง ปลดปล่อยพลังงำนออกมำในรูปของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ำ ภำพที่ 1.33 ควำมสำมำรถในกำรทะลุทะลวงของรังสีแอลฟำ บีตำ และแกมมำ นิวเคลียส ที่ก�ำลังสลำยตัว อนุภำคแอลฟำ ถูกกั้นด้วยกระดำษ อนุภำคบีตำถูกกั้น ด้วยแผ่นอะลูมิเนียม รังสีแกมมำถูกกั้น ด้วยแท่งตะกั่ว แท่งตะกั่ว หนำ 10 เซนติเมตร แผ่นอะลูมิเนียม หนำ 2 มิลลิเมตร แผ่นกระดำษ 15 สาร รอบตัว ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET ขอใดเรียงลําดับอํานาจทะลุทะลวงของรังสีจากสูงไปตํ่าไดถูกตอง 1. แอลฟา บีตา แกมมา 2. บีตา แอลฟา แกมมา 3. แกมมา บีตา แอลฟา 4. แอลฟา แกมมา บีตา (วิเคราะหคําตอบ รังสีแอลฟามีอํานาจทะลุทะลวงตํ่าที่สุด รังสี บีตามีอํานาจทะลุทะลวงมากกวารังสีแอลฟาประมาณ 100 เทา สวนรังสีแกมมามีอํานาจทะลุทะลวงสูงกวารังสีบีตามาก จึงมี อํานาจทะลุทะลวงสูงที่สุด ดังนั้น ตอบขอ 3.) ขั้นสอน สํารวจคนหา 1. ครูเตรียมชุดแบบจําลองนิวเคลียสของอะตอม 3 นิวเคลียส ไดแก นิวเคลียสที่มีจํานวน โปรตอนเทากับ มากกวา และนอยกวานิวตรอน 2. ครูใหนักเรียนศึกษานิวเคลียสของธาตุ กัมมันตรังสีจากแบบจําลองดินนํ้ามัน 3. ครูใหนักเรียนแบงกลุมทําใบงาน เรื่อง ธาตุ กัมมันตรังสี ตอนที่ 1 อธิบายความรู 1. ครูสุมตัวแทนกลุมออกมานําเสนอใบงาน 2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายผลและถาม คําถามนักเรียน ขั้นนํา กระตุนความสนใจ 1. ครูแจงผลการเรียนรูใหนักเรียนทราบ 2. ครูกระตุนความสนใจของนักเรียน โดยเปด วีดิทัศน เรื่อง ผลกระทบนิวเคลียรฟุกุชิมะ จากนั้นครูถามคําถาม ดังนี้ • จากขาวผลกระทบนิวเคลียรฟุกุชิมะ เกิดการรั่ว ไหลของสารใด (แนวตอบ สารกัมมันตรังสี) • สารกัมมันตรังสี สงผลกระทบตอสิ่งมีชีวิต อยางไร (แนวตอบ พิจารณาตามคําตอบของนักเรียน โดยใหอยูในดุลยพินิจของครูผูสอน ตัวอยาง เชน ทําใหเกิดการกลายพันธุ เปนตน) • ธาตุที่เปนองคประกอบของสารกัมมันตรังสี มีลักษณะอยางไร จึงทําใหเกิดผลกระทบ ตางๆ ตอสิ่งมีชีวิต (แนวตอบ พิจารณาตามคําตอบของนักเรียน โดย ใหอยูในดุลยพินิจของครูผูสอน ตัวอยางเชน ธาตุอาจมีการแผกระจายของรังสี เปนตน) นักเรียนควรรู 1 ยูเรเนียม ธาตุที่มีเลขอะตอม 92 มีสัญลักษณเปน U เปนธาตุโลหะหนัก กัมมันตรังสี ตามธรรมชาติมีลักษณะสีเงินวาว อยูในกลุมแอกทิไนด 2 เรเดียม ธาตุที่มีเลขอะตอม 88 มีสัญลักษณเปน Ra เปนธาตุโลหะแอลคาไลนเอิรท ถูกคนพบโดยมารี กูรี ขณะบริสุทธิ์จะมีสีขาว และจะดําลงเมื่อสัมผัสกับ อากาศในธรรมชาติพบอยูกับแรยูเรเนียม เรเดียมเปนธาตุกัมมันตรังสีชนิดเขมขน 3 ทอเรียม ธาตุที่มีเลขอะตอม 90 มีสัญลักษณเปน Th เปนธาตุโลหะ กัมมันตภาพรังสีที่พบในธรรมชาติ เมื่อบริสุทธิ์มีสีเงินวาว ออนนุม เมื่อสัมผัสกับ อากาศจะหมองเปนสีนํ้าตาลหรือสีดํา เมื่อถูกทําใหรอนในอากาศ โลหะทอเรียม จะติดไฟไดเองเกิดเปนแสงจาสีขาว มีอัตราการแผรังสีมากกวายูเรเนียม มักใชใน การทําปฏิกรณนิวเคลียร ) เช่น ยูเรเนียม ( 1 ) เรเดียม ( 2 ) ทอเรียม ( 3 นํา นํา สอน สรุป ประเมิน T19


ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET • ไอโอดีน-131 (I-131) ใช้ตรวจควำมผิดปกติของต่อมไทรอยด์ • โคบอลต์-60 (Co-60) สำมำรถท�ำลำยเซลล์มะเร็ง และยับยั้ง กำรเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ • เรเดียม-226 (Ra-226) ช่วยยับยั้งกำรเจริญเติบโตของเซลล์ มะเร็งโดยกำรฉำยรังสี • ฟอสฟอรัส-32 (P-32) ใช้รักษำโรคมะเร็งเม็ดเลือดขำว (ลูคีเมีย) ด้วยกำรให้รับประทำน หรือฉีดเข้ำกระแสเลือด นอกจำกนี้ยังใช้ตรวจหำเซลล์มะเร็ง และตรวจปริมำณเลือด ของผู้ป่วยที่จะเข้ำรับกำรผ่ำตัด • โซเดียม-24 (Na-24) ใช้ตรวจกำรหมุนเวียนของเลือด • รังสีแกมมำ (γ) ใช้ฆ่ำเชื้อแบคทีเรียในอำหำร • โคบอลต์-60 (Co-60) ช่วยยับยั้งกำรเจริญเติบโตของเชื้อ จุลินทรีย์ในอำหำร ผัก และผลไม้ • ฟอสฟอรัส-32 (P-32) ใช้ศึกษำควำมต้องกำรปุ๋ยของพืช โดยวัดปริมำณรังสีของใบ ปรับปรุงเมล็ดพันธุ์ที่ต้องกำร • โพแทสเซียม-32 (K-32) ใช้หำอัตรำกำรดูดซึมของต้นไม้ • ยูเรเนียม-235 (U-235) ใช้เป็นเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้ำนิวเคลียร์ ใช้ในอุตสำหกรรมผลิตเครื่องบินยำนอวกำศ • รังสีบีตำ (β) ช่วยควบคุมควำมหนำของแผ่นโลหะ • รังสีแกมมำ (γ) ใช้หำรอยรั่วของท่อล�ำเลียงน�้ำ • รังสีแกมมำ นิวตรอน และอิเล็กตรอน ท�ำให้อัญมณีมีสีสัน สวยงำมมำกขึ้น • คำร์บอน-14 (C-14) ใช้ค�ำนวณหำอำยุของวัตถุโบรำณ อำยุ ของหิน เปลือกโลก และอำยุของซำกฟอสซิลต่ำง ๆ ด้านอุตสาหกรรม ด้านการแพทย์ ด้านธรณีวิทยา ด้านการเกษตร ภำพที่ 1.34 ประโยชน์ในด้ำนอุตสำหกรรม ภำพที่ 1.36 ประโยชน์ในด้ำนกำรเกษตร ภำพที่ 1.37 ประโยชน์ในด้ำนธรณีวิทยำ ภำพที่ 1.35 ประโยชน์ในด้ำนกำรแพทย์ ธำตุคำร์บอนในธรรมชำติประกอบด้วย 3 ไอโซโทป คือ คำร์บอน-12 คำร์บอน-13 และคำร์บอน-14 โดยไอโซโทป 2 ชนิดแรก เป็นไอโซโทปที่เสถียร ส่วนคำร์บอน-14 เกิดจำกปฏิกิริยำนิวเคลียร์ระหว่ำงอนุภำคนิวตรอนกับอะตอมของธำตุไนโตรเจน เมื่อรวมตัวกับแก๊สออกซิเจนจะเป็นแก๊สคำร์บอนไดออกไซด์ เข้ำสู่สิ่งมีชีวิตด้วยกระบวนกำรสังเครำะห์ด้วยแสง และกำรรับประทำน พืชเป็นอำหำร Focus Science ธำตุคำร์บอนในธรรมชำติ รังสีที่แผ่ออกมำจำกธำตุมีพลังงำนสูงและมีอ�ำนำจทะลุทะลวงในระดับที่แตกต่ำงกัน สำมำรถน�ำไปประยุกต์ ใช้ให้เกิดประโยชน์ในด้ำนต่ำง ๆ ดังนี้ 16 ขอใดเปนประโยชนของธาตุไอโอดีน-131 1. ใชฆาเชื้อแบคทีเรีย 2. ใชทําลายเซลลมะเร็ง 3 ใชรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาว 4. ใชรักษามะเร็งตอมไทรอยด (วิเคราะหคําตอบ ธาตุไอโอดีน-131 นํามาใชในการรักษามะเร็ง ตอมไทรอยด ดังนั้น ตอบขอ 4.) ขั้นสอน สํารวจคนหา 1. ครูถามนักเรียนเพิ่มเติมวา จากการศึกษา ลักษณะของธาตุกัมมันตรังสี นักเรียนคิดวา ธาตุกัมมันตรังสีมีประโยชนตอสิ่งมีชีวิตหรือ ไม อยางไร (แนวตอบ พิจารณาตามคําตอบของนักเรียน โดยใหอยูในดุลยพินิจของครูผูสอน ตัวอยาง เชน ใชในโรงไฟฟานิวเคลียร ใชในการตรวจ หาโรค ใชปรับปรุงพันธุสิ่งมีชีวิต เปนตน) 2. ครูใหนักเรียนแตละกลุมสุมจับฉลากหัวขอ การนําความรูเกี่ยวกับธาตุกัมมันตรังสีไปใชใน ดานตางๆ ดังนี้ - ดานอุตสาหกรรม - ดานการแพทย - ดานการเกษตร - ดานธรณีวิทยา อธิบายความรู 1. ครูใหนักเรียนแตละกลุมออกมานําเสนอตาม หัวขอที่แตละกลุมจับฉลากได จากนั้นให นักเรียนแตละกลุมบันทึกคําตอบลงในใบงาน เรื่อง ธาตุกัมมันตรังสี ตอนที่ 2 2. ครูและนักเรียนรวมกันแสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับประโยชนที่ไดรับจากการทํากิจกรรม และการนําความรูที่ไดไปใชประโยชน ติประกอบด้วย 3 ไอโซโทป คือ ค 1 นักเรียนควรรู 1 ไอโซโทป (isotope) คือ ธาตุชนิดเดียวกันจะมีเลขอะตอม (Z) เทากัน แต มีเลขมวล (A) ไมเทากัน ตัวอยางเชน อะตอมของไฮโดรเจนมีเลขอะตอมเทากัน แตแตกตางกันที่จํานวนนิวตรอน ไดแก ไฮโดรเจน (Hydrogen) มี 1 โปรตอนและไมมีนิวตรอน มีสัญลักษณ 1 1 H ดิวทีเรียม (Deuterium) มี 1 โปรตอน และ 1 นิวตรอน มีสัญลักษณ 2 1 H ทริเทียม (Tritium) มี 1 โปรตอน และ 2 นิวตรอน มีสัญลักษณ 3 1 H นํา สอน สรุป ประเมิน T20


มนุษย์น�ำธำตุหลำยชนิดมำประยุกต์ใช้ประโยชน์ในด้ำนต่ำง ๆ ซึ่งธำตุเหล่ำนี้เกิดขึ้นเองตำมธรรมชำติ เป็นทรัพยำกรทำงธรรมชำติที่มี ควำมส�ำคัญ และมีบทบำทต่อกำรตอบสนองควำมต้องกำรด้ำนต่ำง ๆ ของมนุษย์ เช่น ด้ำนอุตสำหกรรม ด้ำนกำรแพทย์ ด้ำนกำรเกษตร ด้ำนเศรษฐกิจ และด้ำนสังคม เป็นต้น แต่ในทำงกลับกันกำรน�ำธำตุไปใช้ ประโยชน์อำจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ตำมมำ เช่น ปัญหำดิน น�้ำ ปนเปอน เป็นต้น จำกโลหะหนักที่อยู่ในรูปของสำรพิษจำกกำรใช้ยำฆ่ำแมลง หรือของเสียจำกโรงงำนอุตสำหกรรม เช่น ปรอท สำรหนู ตะกั่ว แคดเมียม เป็นต้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผลผลิตทำงกำรเกษตร เมื่อผู้บริโภครับประทำน เข้ำไปจะท�ำอันตรำยต่อสุขภำพ และก่อให้เกิดโรคต่ำง ๆ ปัจจุบันธำตุกัมมันตภำพรังสีถูกน�ำมำใช้ประโยชน์อย่ำงมำก แต่ผลกระทบของกัมมันตภำพรังสีต่อสิ่งมีชีวิต และสิ่งแวดล้อมยิ่งมี ควำมรุนแรงและอันตรำยมำกขึ้น โดยกัมมันตภำพรังสีที่มนุษย์น�ำมำ ประยุกต์ใช้ เช่น กำรผลิตพลังงำนจำกสำรกัมมันตรังสี กำรทดลอง นิวเคลียร์ กำรใช้สำรกัมมันตรังสีในด้ำนต่ำง ๆ ส่งผลให้กัมมันตภำพรังสี ปนเปอน หรือรั่วไหลออกสู่สิ่งแวดล้อม ท�ำอันตรำยโดยตรงต่อโซ่อำหำร เมื่อปริมำณของกัมมันตภำพรังสีเข้ำสู่ร่ำงกำย เนื้อเยื่อจะดูดกลืนพลังงำน จำกรังสีมำสะสมในร่ำงกำย หำกได้รับในปริมำณที่มำกเกินไปจะท�ำให้โมเลกุล ของน�้ำ สำรอินทรีย์ และสำรอนินทรีย์ต่ำง ๆ ในร่ำงกำยเสียสมดุล ส่งผลให้ เซลล์ต่ำง ๆ ในร่ำงกำยถูกท�ำลำย ท�ำให้เกิดโรคต่ำง ๆ เช่น โรคมะเร็ง เม็ดเลือดขำว เป็นต้น นอกจำกนี้ยังส่งผลต่อพันธุกรรมท�ำให้เกิดกำร กลำยพันธุ์ และถ่ำยทอดไปสู่รุ่นลูกหลำนได้ ดังนั้น กำรน�ำกัมมันตภำพรังสี ไปใช้ประโยชน์ควรศึกษำวิธีป้องกันอันตรำยจำกกัมมันตภำพรังสี เช่น ควรอยู่ห่ำงบริเวณที่มีธำตุกัมมันตรังสีให้มำกที่สุด หำกจ�ำเป็นต้องเข้ำ ใกล้บริเวณที่มีธำตุกัมมันตรังสีควรใช้เวลำสั้นที่สุด และสวมชุดป้องกัน กัมมันตภำพรังสี หรือใช้วัตถุที่กัมมันตภำพรังสีทะลุผ่ำนได้ยำกมำเป็น เครื่องก�ำบัง เช่น ตะกั่ว คอนกรีต เป็นต้น จะเห็นว่ำกำรใช้ประโยชน์จำกธำตุ นอกจำกส่งผลกระทบต่อ สิ่งแวดล้อม ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และสังคม ดังนั้น จึงควรศึกษำ ข้อมูลของธำตุที่จะน�ำมำใช้ เพื่อหลีกเลี่ยงและป้องกันอันตรำยที่อำจเกิด จำกธำตุ รวมไปถึงศึกษำวิธีบ�ำบัดของเสียที่เกิดจำกกำรใช้ประโยชน์จำกธำตุ บำงชนิดไม่ให้ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ภำพที่ 1.39 ผลข้ำงเคียงของกัมมันตภำพรังสี ปัจจุบันหน้ำห้องเอกซเรย์ใน โรงพยำบำลจะมีสัญลักษณ์ดังรูป ซึ่งเป็นบริเวณที่มีรังสี ควรหลีกเลี่ยง ที่จะเข้ำไปบริเวณนั้น โดยเฉพำะสตรี มีครรภ์หรือผู้ที่สงสัยก�ำลังตั้งครรภ์ หำกจ�ำเป็นต้องเข้ำไปในบริเวณนั้น จ�ำเป็นต้องติดต่อเจ้ำหน้ำที่ และสวมชุด ป้องกันกัมมันตภำพรังสีทุกครั้ง Science in Real Life ภำพที่ 1.38 น�้ำดื่มที่ปนเปอนสำรหนู เป็น อันตรำยต่อสุขภำพของผู้บริโภค ภำพที่ 1.40 17 สาร รอบตัว ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET ขอใดไมใชอันตรายที่เกิดจากการแผรังสีของกัมมันตภาพรังสี 1. ทําใหตาบอดทันที 2. ทําลายเนื้อเยื่อบางสวนของรางกาย 3. ทําใหระบบการทํางานของรางกายเกิดความผิดปกติ 4. เมื่อไดรับรังสีเขาไปมากๆ อาจจะทําใหเปนมะเร็งเม็ด เลือดขาว (วิเคราะหคําตอบ รางกายจะดูดกลืนรังสีเขามาสะสมภายใน รางกาย หากมีปริมาณสูงมากเกินไปจะสงผลตอสมดุลในรางกาย ทําใหระบบการทํางานของรางกายผิดปกติ เนื่องจากเนื้อเยื่อบาง สวนถูกทําลาย กอใหเกิดโรคตางๆ เชน โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว เปนตน นอกจากนี้ ยังสงผลตอพันธุกรรมทําใหเกิดการกลายพันธุ และถายทอดพันธุกรรมที่ผิดปกตินี้ไปสูรุนลูกหลานได ดังนั้น ตอบขอ 1.) ขั้นสอน สํารวจคนหา 3. ครูถามนักเรียนวา ธาตุกัมมันตรังสีจะกอให เกิดโทษตอสิ่งมีชีวิตอยางไรบาง (แนวตอบ พิจารณาคําตอบของนักเรียน โดย ใหอยูในดุลยพินิจของครูผูสอน ตัวอยางเชน ทําใหสิ่งมีชีวิตเกิดการกลายพันธุ ทําใหมนุษย เปนโรคมะเร็ง เปนตน) 4. ครูใหนักเรียนศึกษาผลของกัมมันตรังสีตอ สิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอม ในหนังสือเรียน วิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 ขั้นสรุป ขยายความเขาใจ 1. ครูถามคําถามทบทวน ดังนี้ • ธาตุกัมมันตรังสีมีประโยชนอยางไรบาง (แนวตอบ มีประโยชนในดานการเกษตร การแพทย อุตสาหกรรม และธรณีวิทยา เปนตน) • โทษของธาตุกัมมันตรังสีมีอะไรบาง (แนวตอบ ทําใหเกิดการกลายพันธุของสิ่งมี ชีวิต ทําใหเกิดโรคมะเร็ง เปนตน) 2. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกหัดในแบบฝกหัด วิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 ขั้นประเมิน ตรวจสอบผล 1. ครูตรวจแบบฝกหัด 2. ครูตรวจใบงาน เรื่อง ธาตุกัมมันตรังสี 3. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายกลุม 4. ครูสังเกตพฤติกรรมการนําเสนอผลงาน แนวทางการวัดและประเมินผล ครูวัดและประเมินผลความเขาใจในเนื้อหา เรื่อง ธาตุกัมมันตรังสี ไดจาก แบบสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายกลุมจากการสืบคนประโยชนของธาตุ กัมมันตรังสีที่นําไปใชในดานตางๆ และจากแบบประเมินการนําเสนอผลงาน หนาชั้นเรียน โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินที่อยูในแผนการจัดการเรียนรู ประจําหนวยการเรียนรูที่ 1 แบบประเมินการน าเสนอผลงาน ค าชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินการน าเสนอผลงาน แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับคะแนน ล าดับที่ รายการประเมินระดับคะแนน 3 2 1 1 ความถูกต้องของเนื้อหา 2 ภาษาที่ใช้เข้าใจง่าย 3 ประโยชน์ที่ได้จากการน าเสนอ 4 วิธีการน าเสนอผลงาน 5 ความสวยงามของผลงาน รวม ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน .............../................/................ เกณฑ์การให้คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 14-15 ดีมาก 11-13 ดี 8-10 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง นํา สอน สรุป ประเมิน T21


ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET ตารางที่ 1.3 สูตรเคมีของสำรประกอบบำงชนิด สารประกอบ สูตรเคมีของสารประกอบ โซเดียมไฮดรอกไซด์ (โซดำไฟ) NaOH โพแทสเซียมไฮดรอกไซด์ (ด่ำงคลี) KOH แคลเซียมไฮดรอกไซด์ (น�้ำปูนใส) Ca(OH) 2 โซเดียมคลอไรด์ (เกลือแกง) NaCl โพแทสเซียมเปอร์แมงกำเนต (ด่ำงทับทิม) KMnO4 แคลเซียมคำร์บอเนต (หินปูน) CaCO3 กรดคำร์บอนิก H2 CO3 กรดไฮโดรคลอริก (กรดเกลือ) HCl ภำพที่ 1.41 โครงสร้ำงโมเลกุลของน�้ำ 2. สารประกอบ (compound) คือ สำรบริสุทธิ์ที่เกิดจำกอะตอมของธำตุตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปมำรวมกัน ทำงเคมี โดยมีอัตรำส่วนโดยมวลคงที่กลำยเป็นสำรใหม่ที่มีสมบัติแตกต่ำงไปจำกธำตุที่เป็นองค์ประกอบเดิม ซึ่ง สำมำรถเขียนแทนได้ด้วยสูตรเคมี (chemical formula) โดยสูตรเคมีของสำรประกอบที่มีธำตุอโลหะเป็นองค์ประกอบ เรียกว่ำ สูตรโมเลกุล เช่น น�้ำ มีสูตรโมเลกุล คือ H2 O (เกิดจำกกำรรวมตัวของธำตุออกซิเจนและไฮโดรเจน) ตัวอย่าง โครงสร้ำงโมเลกุลของน�้ำ แต่สูตรเคมีของสำรประกอบที่มีธำตุโลหะกับธำตุอโลหะเป็นองค์ประกอบจะไม่เรียกว่ำ สูตรโมเลกุล ดังตำรำง ออกซิเจนอะตอม (O) ในธรรมชำติอยู่ในรูปของแก๊ส ซึ่งแก๊สออกซิเจน 1 โมเลกุล ประกอบด้วย ออกซิเจน 2 อะตอม ไม่น�ำไฟฟ้ำและควำมร้อน ไฮโดรเจนอะตอม (H) ในธรรมชำติอยู่ในรูปของแก๊ส ซึ่งแก๊สไฮโดรเจน 1 โมเลกุล ประกอบด้วย ไฮโดรเจน 2 อะตอม ไม่น�ำไฟฟ้ำและควำมร้อน 1p 1p 1p 1p 8n 8p 8n 8p น�้ำ (H2 O) มีสถำนะเป็นของเหลว สำมำรถน�ำไฟฟ้ำและควำมร้อนได้ 18 โซเดียมไฮดรอกไซด์ (โซด 1 แคลเซียมไฮดรอกไซด์ (น�้ำปูนใส) 2 โซเดียมคลอไรด์ (เกลือแกง) 3 โพแทสเซียมเปอร์แมงกำเนต (ด่ 4 ตาราง จํานวนอะตอมของธาตุตางๆ ในโมเลกุลของสารชนิดตางๆ ชนิดของสาร ผลการทดลอง ธาตุ X ธาตุ Y ธาตุ Z 1 - 2 - 2 1 2 1 3 2 2 - 4 2 - - 5 1 - 1 จากตาราง มีสารกี่ชนิดที่จัดเปนสารประกอบ 1. 2 2. 3 3. 4 4. 2 (วิเคราะหคําตอบ ธาตุประกอบดวยอะตอมชนิดเดียว ดังนั้น สาร ชนิดที่ 1 และ 4 จึงเปนธาตุ สวนสารประกอบเกิดจากธาตุตั้งแต 2 ชนิดขึ้นไป ดังนั้น สารชนิดที่ 2 3 และ 5 จึงเปนสารประกอบ ดังนั้น ตอบขอ 2.) ขั้นนํา กระตุนความสนใจ 1. ครูแจงผลการเรียนรูใหนักเรียนทราบ 2. ครูถามคําถามทบทวนความรูเดิมของนักเรียน 3. ครูเกริ่นวา อะตอมของธาตุสามารถสรางพันธะ ระหวางกันได จากนั้นนําเสนอแบบจําลอง โครงสรางสาร 4. ครูถามนักเรียนเกี่ยวกับแบบจําลองโครงสราง สารที่ครูนําเสนอ ดังนี้ • สารที่ครูแสดงจัดเปนสารบริสุทธิ์หรือไม เพราะเหตุใด (แนวตอบ พิจารณาตามคําตอบของนักเรียน) • สารที่ครูแสดงมีคุณสมบัติแตกตางไปจาก ธาตุที่เปนองคประกอบของสารนั้นหรือไม (แนวตอบ พิจารณาตามคําตอบของนักเรียน) ขั้นสอน สํารวจคนหา 1. ครูใหนักเรียนแบงกลุม ออกเปน 5 กลุม ศึกษา เรื่อง สารประกอบ ในหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 แลวบันทึกลงในใบงาน เรื่อง สารประกอบ ตอนที่ 1 อธิบายความรู 1. ครูใหนักเรียนแตละกลุมสงตัวแทนออกมา นําเสนอใบงาน 2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายและหาขอสรุป จากกิจกรรมดวยการตั้งคําถาม ดังนี้ • สารประกอบคืออะไร (แนวตอบ สารบริสุทธิ์ที่เกิดจากอะตอมของ ธาตุตั้งแต 2 ชนิดขึ้นไป มารวมกันทางเคมี) • อัตราสวนโดยมวลของธาตุที่รวมกันเปน สารประกอบเปนอยางไร (แนวตอบ อัตราสวนโดยมวลคงที่) นักเรียนควรรู 1 โซเดียมไฮดรอกไซด มีลักษณะเปนของแข็งสีขาว ดูดความชื้นดีมาก ละลายนํ้าไดดี นํามาใชในการผลิตสบูและผลิตภัณฑซักฟอก นํามาใชงานทาง อุตสาหกรรมโลหะ อุตสาหกรรมอาหาร และอุตสาหกรรมเสนใยและสิ่งทอ 2 แคลเซียมไฮดรอกไซด มีลักษณะเปนผลึกไมมีสีหรือผงสีขาว นํามาใชทําให สิ่งสกปรกในนํ้าตกตะกอน จึงใชในการบําบัดนํ้าเสีย 3 โซเดียมคลอไรด มีลักษณะเปนผลึกสีขาว ละลายนํ้าไดดี นํามาใชเปน เครื่องปรุงรส และใชในการถนอมอาหาร 4 โพแทสเซียมเปอรแมงกาเนต มีลักษณะเปนผลึกหรือเกล็ดสีมวง สามารถ ละลายนํ้าไดดี เมื่อละลายนํ้าแลวจะไดสารละลายสีมวงหรือสีชมพูอมมวง นํามาใชในการแชผัก หรือผลไมเพื่อชะลางสารเคมี และใชในการลางแผลเพื่อ ฆาเชื้อโรคได นํา นํา สอน สรุป ประเมิน T22


สถานะของ สารละลายสถานะตัวทำาละลาย สถานะตัวละลาย ตัวอย่าง ของแข็ง ของแข็ง ของเหลว เงินอะมัลกัม (เงินกับปรอท) ของแข็ง ของแข็ง นำก (ทองแดงกับทองค�ำ) ของเหลวของเหลว แก๊ส น�้ำอัดลม (CO2 ในน�้ำ) ของเหลว ของแข็ง น�้ำเกลือ (เกลือแกงในน�้ำ) แก๊ส แก๊ส แก๊ส อำกำศ ของเหลว ของเหลว ไอน�้ำในอำกำศ ตารางที่ 1.4 ตัวอย่ำงกำรแยกองค์ประกอบของสำรในสำรละลำยโดยพิจำรณำจำกสถำนะ 3.2 สารผสม สำรผสมเกิดจำกสำรตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปมำผสมกัน โดยสำรผสมแบ่งออกเป็น 3 ชนิด ดังนี้ 1. สารละลาย(solution) เป็นสำรผสมเนื้อเดียวที่ประกอบด้วยสำรตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปมำรวมเป็นเนื้อเดียว และมีสมบัติเหมือนกันทุกส่วน เช่น น�้ำเกลือ น�้ำหวำน เป็นต้น โดยมีสำรชนิดหนึ่งเป็นตัวละลำย ส่วนสำรอีกชนิดหนึ่ง เป็นตัวท�ำละลำย โดยสำรละลำยอำจอยู่ในรูปของของแข็ง ของเหลว หรือแก๊ส ซึ่งเกณฑ์ที่จะก�ำหนดว่ำสำรใดเป็น ตัวละลำยและสำรใดเป็นตัวท�ำละลำย ให้พิจำรณำจำกสถำนะ และปริมำณขององค์ประกอบ ดังนี้ 1) พิจารณาจากปริมาณสาร หำกสำรละลำยมีตัวท�ำละลำยและตัวละลำยสถำนะเดียวกัน สำรที่มีปริมำณ มำกกว่ำจะเป็นตัวท�ำละลำย เช่น แอลกอฮอล์ล้ำงแผลทั่วไป มีควำมเข้มข้นร้อยละ 70 โดยปริมำตร ซึ่งประกอบด้วย แอลกอฮอล์ 70 ลูกบำศก์เซนติเมตร และน�้ำ 30 ลูกบำศก์เซนติเมตร แอลกอฮอล์จึงเป็นตัวท�ำละลำย ส่วนน�้ำเป็น ตัวละลำย เป็นต้น H O T S จงอธิบำยควำมแตกต่ำงระหว่ำง การหลอมเหลวกับ การละลาย (ค�ำถำมท้ำทำยควำมคิดขั้นสูง) 2) พิจารณาจากสถานะ คือ ตัวท�ำละลำยจะมีสถำนะเดียว กับสำรละลำย ส่วนตัวละลำยอำจมีสถำนะเหมือนหรือต่ำงกับสำรละลำย เช่น น�้ำเชื่อมจะมีน�้ำเป็นตัวท�ำละลำยซึ่งมีสถำนะเป็นของเหลวเหมือนกับ น�้ำเชื่อม ส่วนตัวละลำย คือ น�้ำตำล ซึ่งมีสถำนะเป็นของแข็งต่ำงจำกน�้ำเชื่อม ที่มีสถำนะเป็นของเหลว ภำพที่ 1.43 น�้ำเชื่อมมีน�้ำเป็นตัวท�ำละลำย โมเลกุลน�้ำ โมเลกุลน�้ำตำล น�้ำ 30 cm3แอลกอฮอล์ 70 cm3สำรละลำยแอลกอฮอล์100 cm3 ภำพที่ 1.42 สำรละลำยแอลกอฮอล์ร้อยละ 70 โดยปริมำตร มีแอลกอฮอล์เป็นตัวท�ำละลำย + 19 สาร รอบตัว ขั้นสอน สํารวจคนหา 1. ครูใหนักเรียนจับคูศึกษา เรื่อง สารผสม จาก หนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 2. ครูแบงกลุม เพื่อทําการทดลองเกี่ยวกับ สารละลาย 3. ครูเตรียมอุปกรณการทดลองใหกับแตละกลุม 4. ครูใหนักเรียนชั่งเกลือมา 10 กรัม ใสลงใน บีกเกอร แลวเติมนํ้ากลั่นจนมีปริมาตรเปน 100 ลูกบาศกเซนติเมตร 5. ครูถามคําถามทาทายความคิดขั้นสูง (H.O.T.S.) ขั้นนํา กระตุนความสนใจ 1. ครูแจงผลการเรียนรูใหนักเรียนทราบ 2. ครูนําสารมา 3 ชนิด มาใหนักเรียนเปรียบเทียบ ความเหมือนและความแตกตางของนํ้าแดง นํ้านม และนํ้าโคลน 3. ครูถามคําถามวา สารผสมคืออะไร และให นักเรียนยกตัวอยางสารผสมมาคนละชนิด สื่อ Digital ศึกษาเพิ่มเติมไดจากภาพยนตรสารคดีสั้น Twig เรื่อง สารละลาย https:// twig-aksorn.com/film/solutions-8275/ แนวตอบ H.O.T.S. การหลอมเหลวเปนการเปลี่ยนสถานะของสาร โดยสารตองไดรับความรอนจนถึงอุณหภูมิหนึ่ง ที่เรียกวา จุดหลอมเหลว แตการละลายของสาร ขึ้นอยูกับปริมาณและสถานะของตัวทําละลาย ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET ถากําหนดใหสาร A 65 กรัม ผสมกับสาร B 20 กรัม สาร C 40 กรัม ผสมกับสาร D 70 กรัม สาร X 120 ลูกบาศกเซนติเมตร ผสมกับสาร Y 50 ลูกบาศกเซนติเมตร สารใดบางที่จัดเปนตัว ทําละลาย 1. สาร A D และ X 2. สาร A C และ X 3. สาร B C และ Y 4. สาร B D และ Y (วิเคราะหคําตอบ ตัวทําละลาย คือ สารที่มีปริมาณมากกวาใน สารละลาย ดังนั้น ตัวทําละลาย คือ สาร A D และ X ดังนั้น ตอบขอ 1.) นํา นํา สอน สรุป ประเมิน T23 www.aksorn.com/interactive3D/RK711 สารละลายโซเดียมไฮดรอกไซด


ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET การเตรียมสารละลาย กิจกรรม 1. บีกเกอรขนาด 100 ml 4. ชอนตักสาร 2. กระบอกตวงขนาด 100 ml 5. แทงแกว 3. โพแทสเซียมเปอรแมงกาเนต (ดางทับทิม) 6. เครื่องชั่งสาร 1. ชั่งโพแทสเซียมเปอรแมงกาเนต (ดางทับทิม) 5 g ใสลงในบีกเกอรขนาด 100 ml 2. ตวงนํ้ากลั่นมา 20 cm3 เทลงในบีกเกอรในขอ 1. แลวใชแทงแกวคนใหดางทับทิมละลายจนหมด 3. เทสารละลายจากขอ 2. ลงในกระบอกตวงขนาด 100 ml เทนํ้ากลั่นเล็กนอยลงในบีกเกอรเดิม เพื่อลางดางทับทิมที่ติดอยูกับ บีกเกอร แลวนําไปเทในกระบอกตวง ทําซํ้า 2-3 ครั้ง 4. เติมนํ้ากลั่นลงในกระบอกตวงจนสารละลายมีปริมาตรเปน 100 ml สังเกตสีของสารละลาย แลวบันทึกผล 5. ทําการทดลองซํ้า ขอ 1.- 4. แตเปลี่ยนปริมาณดางทับทิมเปน 10 g สังเกตสีของสารละลาย แลวบันทึกผล 6. เปรียบเทียบสีของสารละลายที่เตรียมไดจากขอ 4. และขอ 5. แลวบันทึกผล จากกิจกรรม การเตรียมสารละลายดางทับทิมที่มีดางทับทิมเปนตัวละลายอยู 5 g ในสารละลายดางทับทิม 100 cm3 จะได ความเขมขนของสารละลายดางทับทิมเทากับรอยละ 5 โดยมวลตอปริมาตร เมื่อเปลี่ยนปริมาณของตัวละลายดางทับทิมเปน 10 g จะไดความเขมขนของสารละลายดางทับทิมเทากับรอยละ 10 โดยมวลตอปริมาตร ซึ่งมีความเขมขนมากกวา 2 เทา ในหลักคํานวณ ทางทฤษฎี ซึ่งสอดคลองกับสีของสารละลายที่มีดางทับทิมเปนตัวละลายอยู 10 g จะเขมกวาสารละลายดางทับทิมที่มีดางทับทิม เปนตัวละลายอยู 5 g วิธีปฏิบัติ วัสดุอุปกรณ คําถามทายกิจกรรม 1. จากกิจกรรมสารใดเปนตัวละลายและสารใดเปนตัวทําละลาย 2. สีของสารละลายดางทับทิมที่เตรียมไดแตกตางกันหรือไมอยางไร 3. สารละลายที่เตรียมไดจากดางทับทิม 5 g และ 10 g มีความเขมขนเทาใดในหนวยรอยละโดยมวลตอปริมาตร อภิปรายผลกิจกรรม จิตวิทยาศาสตร - ความสนใจใฝรู - ความรับผิดชอบ - การทํางานรวมกับผูอื่นไดอยาง สรางสรรค ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร - การสังเกต - การวัด ดางทับทิม นํ้ากลั่น กระบอกตวง ภาพที่ 1.44 20 สารละลายเอทิลแอลกอฮอลรอยละ 70 โดยปริมาตร มีความหมาย วาอยางไร 1. สารละลายนั้น 100 กรัม มีเอทิลแอลกอฮอลอยู 70 กรัม 2. สารละลายนั้น 100 ลูกบาศกเซนติเมตร มีเอทิลแอลกอฮอล อยู 70 กรัม 3. สารละลายนั้น 100 กรัม มีเอทิลแอลกอฮอลอยู 70 ลูกบาศก เซนติเมตร 4. สารละลายนั้น 100 ลูกบาศกเซนติเมตร มีเอทิลแอลกอฮอล อยู 70 ลูกบาศกเซนติเมตร (วิเคราะหคําตอบ สารละลายเอทิลแอลกอฮอลรอยละ 70 โดย ปริมาตร หมายความวา ในสารละลายเอทิลแอลกอฮอล 100 ลูกบาศกเซนติเมตร มีเอทิลแอลกอฮอลอยู 70 ลูกบาศกเซนติเมตร ดังนั้น ตอบขอ 4.) ขั้นสอน สํารวจคนหา 1. ครูใหนักเรียนสืบคนวิธีการคํานวณสารละลาย เพื่อใชเปนความรูในการทํากิจกรรม เรื่อง การเตรียมสารละลาย 2. ครูใหนักเรียนแบงกลุมออกเปน 5 กลุม ทํากิจกรรม เรื่อง การเตรียมสารละลาย ตาม หนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 แลว ใหนักเรียนบันทึกผลกิจกรรมในแบบฝกหัด วิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 อธิบายความรู 1. ครูสอนและอธิบายการคํานวณสารละลาย ในหนวยตางๆ 2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายผลที่ไดจากการ ทํากิจกรรม 3. ครูและนักเรียนรวมกันตอบคําถามทายกิจกรรม แลวบันทึกลงในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 แนวตอบ คําถามทายกิจกรรม 1. นํ้าเปนตัวทําละลาย และโพแทสเซียมเปอรแมงกาเนต หรือดางทับทิมเปนตัวละลาย 2. แตกตางกัน สีของสารละลายที่มีดางทับทิม 10 กรัม (ความเขมขนมากกวา) จะมีสีเขมกวา สารละลายที่มีดางทับทิม 5 กรัม (เจือจางกวา) 3. สารละลายที่มีตัวละลายดางทับทิม 5 กรัม จะมีความเขมขนรอยละโดยมวลตอปริมาตร เทากับ 0.05 สารละลายที่มีตัวละลายดางทับทิม 10 กรัม จะมีความเขมขนรอยละโดยมวลตอปริมาตร เทากับ 0.10 สีของสารละลายดางทับทิม 5 กรัม สีของสารละลายดางทับทิม 10 กรัม สีของสารละลายมีสีมวงออน สีของสารละลายมีสีมวงที่เขมกวา บันทึก กิจกรรม หมายเหตุ : บันทึกผลตามภาพที่เห็นจากการทดลองจริง นํา สอน สรุป ประเมิน T24


สำรคอลลอยด์อีกชนิดหนึ่งเกิดจำกกำรผสมกันของของเหลวตั้งแต่ 2 ชนิดที่ไม่ละลำยซึ่งกันและกัน เรียกว่ำ อิมัลชัน (emulsion) เช่น น�้ำผสมน�้ำมัน ไขมันกับน�้ำย่อยในร่ำงกำย ไข่ขำวกับน�้ำมัน เป็นต้น ซึ่งต้องมี อิมัลซิไฟเออร์ (emulsifier) เป็นตัวประสำนให้ของเหลวทั้งสองรวมกันได้ เช่น เคซีนเป็นอิมัลซิไฟเออร์ ท�ำให้ไขมันในน�้ำนมรวมตัวกับ น�้ำนม น�้ำดีเป็นอิมัลซิไฟเออร์ ท�ำให้ไขมันแตกตัวเป็นหยดเล็กๆ รวมตัวกับน�้ำย่อยในล�ำไส้เล็ก ไข่แดงในน�้ำสลัดเป็น อิมัลซิไฟเออร์ ท�ำให้ไข่ขำวรวมตัวกับน�้ำมัน เป็นต้น ภำพที่ 1.45 ปรำกฏกำรณ์ทินดอลล์ ภำพที่ 1.46 กำรแยกชั้นระหว่ำงน�้ำและน�้ำมัน ภำพที่ 1.47 สบู่ช่วยท�ำให้น�้ำและน�้ำมัน รวมตัวกันได้ สารละลาย คอลลอยด์ นอกจำกนี้สำรผสมบำงชนิดมีเนื้อสำรที่เห็นได้ชัดว่ำไม่ผสมเป็นเนื้อเดียวกัน โดยสมบัติของเนื้อสำรในแต่ละ ส่วนจะแตกต่ำงกัน เรียกสำรพวกนี้ว่ำ สารเนื้อผสม ได้แก่ สำรแขวนลอย และคอลลอยด์ 2. สารแขวนลอย (suspension) เป็นสำรผสมที่เกิดจำกสำรตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปมำรวมกัน โดยอนุภำคของสำร มีขนำดเส้นผ่ำนศูนย์กลำงมำกกว่ำ 10-4 เซนติเมตร ลอยกระจำยอยู่ในสำรอีกชนิดหนึ่ง ถ้ำมองดูด้วยตำเปล่ำ จะมีลักษณะขุ่น เมื่อตั้งทิ้งไว้อนุภำคจะตกตะกอน ซึ่งสำรแขวนลอยจะไม่สำมำรถผ่ำนได้ทั้งกระดำษกรอง และกระดำษเซลโลเฟน เช่น น�้ำแป้ง น�้ำโคลน เป็นต้น 3. คอลลอยด์ (colloid) เป็นสำรผสมที่เกิดจำกสำรตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปมำรวมกัน โดยอนุภำคของสำร มีขนำดเส้นผ่ำนศูนย์กลำง 10-7-10-4 เซนติเมตร ซึ่งอำจเป็ของแข็ง ของเหลว หรือแก๊ส ลอยกระจำยอยู่ในสำร อีกชนิดหนึ่ง ซึ่งอำจเป็นของแข็ง ของเหลว หรือแก๊สได้เช่นกัน จึงท�ำให้มองดูเหมือนเป็นเนื้อเดียวกัน ซึ่งคอลลอยด์จะ ผ่ำนกระดำษกรองได้ แต่ไม่สำมำรถผ่ำนกระดำษเซลโลเฟนได้ เช่น หมอก น�้ำสลัด เป็นต้น อนุภำคของสำรในคอลลอยด์มีขนำดใหญ่ เมื่อมีแสงส่องผ่ำนสำร จะท�ำให้มองเห็นเป็นล�ำแสง เนื่องจำกอนุภำค ของคอลลอยด์เกิดกำรกระเจิงแสงได้ เรียกปรำกฏกำรณ์นี้ว่ำ ปรากฏการณ์ทินดอลล์ (tyndall phenomenon) เช่น กำรกระเจิงของฝุ่นในอำกำศกับแสงดวงอำทิตย์ เป็นต้น จำกรูป เมื่อมีล�ำแสงส่องผ่ำนคอลลอยด์ในบีกเกอร์ทำง ขวำมือ จะเห็นล�ำแสงที่ส่องผ่ำนได้ชัดเจน แต่เมื่อมีล�ำแสงส่อง ผ่ำนสำรละลำย จะมองไม่เห็นล�ำแสง เนื่องจำกอนุภำคของสำร ในสำรละลำยมีขนำดเล็ก จึงท�ำให้ไม่เกิดกำรหักเห หรือกำร กระเจิงของแสง ดังนั้น คุณสมบัติชนิดนี้จึงสำมำรถใช้แยก ควำมแตกต่ำงระหว่ำงสำรละลำยกับคอลลอยด์ได้ 21 สาร รอบตัว ขั้นสอน สํารวจคนหา 1. ครูใหนักเรียนทํากิจกรรมฐาน ไดแก ความ แตกตางของสารเนื้อผสม ปรากฏการณ ทินดอลล และอิมัลชัน แลวใหนักเรียนบันทึก ผลลงในใบงาน เรื่อง สารผสม ขั้นสรุป ขยายความเขาใจ 1. ครูใหนักเรียนทําผังมโนทัศน เรื่อง สารบริสุทธิ์ และสารผสม ขั้นประเมิน ตรวจสอบผล 1. ครูตรวจแบบฝกหัด 2. ครูตรวจใบงาน เรื่อง สารผสม 3. ครูสังเกตพฤติกรรมการนําเสนอผลงาน 4. ครูประเมินผังมโนทัศน เรื่อง สารบริสุทธิ์และ สารผสม 5. ครูกิจกรรมทาทายความคิดขั้นสูงใน แบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 6. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายบุคคล จากการสืบคนและศึกษา เรื่อง สารละลาย 7. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายกลุม จากการทํากิจกรรม เรื่อง สารผสม อธิบายความเขาใจ 1. ครูใหนักเรียนแลกเปลี่ยนขอมูลภายในกลุม แลวสงตัวแทนกลุมออกมานําเสนอใบงาน เรื่อง สารผสม 2. ครูใชคําถามทบทวนความรูของนักเรียน แนวทางการวัดและประเมินผล ครูวัดและประเมินผลความเขาใจในเนื้อหา เรื่อง สารผสม จากแบบประเมิน ผลงาน/ชิ้นงาน เรื่อง สารบริสุทธิ์และสารผสม โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมิน ที่อยูในแผนการจัดการเรียนรูประจําหนวยการเรียนรูที่ 1 ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET ขอใดตอไปนี้กลาวถูกตอง 1. อิมัลซิไฟเออรในนํ้านม คือ เคซีน 2. อิมัลซิไฟเออรในนํ้าสลัด คือ นํ้ามันพืช 3. อิมัลซิไฟเออรในนํ้าสลัด คือ นํ้าสมสายชู 4. อิมัลซิไฟเออรในการชําระลางสิ่งสกปรก คือ ไขมัน (วิเคราะหคําตอบ อิมัลซิไฟเออร คือ สารที่ทําหนาที่เปนตัว ประสานใหอนุภาคของเหลว 2 ชนิด ที่ไมละลายซึ่งกันและกัน รวมกันได ในนํ้านมจะมีโปรตีนเคซีนทําหนาที่เปนอิมัลซิไฟเออร ใน นํ้าสลัดจะมีไขแดงทําหนาที่เปนอิมัลซิไฟเออร สวนในการชําระลาง สิ่งสกปรกจะมีสบูหรือผงซักฟอกทําหนาที่เปนอิมัลซิไฟเออร ดังนั้น ตอบขอ 1.) แบบประเมินชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด) แผน ฯ ที่ 6 แบบประเมินผังมโนทัศน์ ค าชี้แจง ให้ผู้สอนประเมินชิ้นงาน/ภาระงาน แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับคะแนน ล าดับที่ รายการประเมินระดับคะแนน 4 3 2 1 1 ความสอดคล้องกับจุดประสงค์ 2 ความถูกต้องของเนื้อหา 3 ความคิดสร้างสรรค์ 4 ความตรงต่อเวลา รวม ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน ................./................../.................. เกณฑ์การประเมินแผ่นพับ ประเด็นที่ประเมิน ระดับคะแนน 4 3 2 1 1. ความ สอดคล้องกับ จุดประสงค์ ผลงานสอดคล้องกับ จุดประสงค์ทุกประเด็น ผลงานสอดคล้องกับ จุดประสงค์เป็นส่วน ใหญ่ ผลงานสอดคล้องกับ จุดประสงค์บางประเด็น ผลงานไม่สอดคล้องกับ จุดประสงค์ 2. ความถูกต้อง ของเนื้อหา เนื้อหาสาระของผลงาน ถูกต้องครบถ้วน เนื้อหาสาระของผลงาน ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ เนื้อหาสาระของผลงาน ถูกต้องบางประเด็น เนื้อหาสาระของผลงาน ไม่ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ 3. ความคิด สร้างสรรค์ ผลงานแสดงถึงความคิด สร้างสรรค์ แปลกใหม่ และเป็นระบบ ผลงานแสดงถึงความคิด สร้างสรรค์ แปลกใหม่ แต่ยังไม่เป็นระบบ ผลงานมีความน่าสนใจ แต่ยังไม่มีแนวคิดแปลก ใหม่ ผลงานไม่มีความ น่าสนใจ และไม่แสดง ถึงแนวคิดแปลกใหม่ 4. ความตรงต่อ เวลา ส่งชิ้นงานภายในเวลาที่ ก าหนด ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่ ก าหนด 1 วัน ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่ ก าหนด 2 วัน ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่ ก าหนด 3 วันขึ้นไป เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 14-16 ดีมาก 11-13 ดี 8-10 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง นํา สอน สรุป ประเมิน T25


ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET 3.3 สมบัติของสารบริสุทธิ์และสารผสม อุณหภูมิสำรละลำย สำรบริสุทธิ์ จุดเดือด อุณหภูมิ สำรละลำย สำรบริสุทธิ์ จุดหลอมเหลว 1. จุดเดือด (boiling point) สำรบริสุทธิ์ มีจุดเดือดคงที่ แต่ในทำงกลับกันสำรผสมจะมีจุดเดือด ไม่คงที่ เนื่องจำกสำรผสมเกิดจำกสำรตั้งแต่ 2 ชนิด มำผสมกันโดยสำรที่มีจุดเดือดต�่ำจะระเหยเร็วกว่ำสำร ที่มีจุดเดือดสูง ส่งผลให้อัตรำส่วนระหว่ำงสำรที่มำผสม เปลี่ยนแปลงไป สำรที่มีจุดเดือดสูงจึงมีปริมำณมำกกว่ำ ท�ำให้จุดเดือดไม่คงที่ และมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ดังกรำฟ 2. จุดหลอมเหลว (melting point) สำรบริสุทธิ์จะมีจุดหลอมเหลวคงที่ และมีช่วงอุณหภูมิ กำรหลอมเหลวแคบ แต่ในทำงกลับกันสำรผสม จะมีจุดหลอมเหลวไม่คงที่ และมีช่วงอุณหภูมิกำร หลอมเหลวกว้ำง ดังกรำฟ 3. ความหนาแน่น(density) สำรบริสุทธิ์จะมีควำมหนำแน่นคงที่ ตัวอย่ำงเช่น หำกนักเรียนใช้กระบอกตวง ตวงน�้ำ (4 �C) 100 cm3 แล้วน�ำมำชั่งน�้ำหนัก พบว่ำ อ่ำนค่ำได้ 100 g ในท�ำนองเดียวกันหำกนักเรียนใช้กระบอกตวง ตวงน�้ำ (4 �C) 50 cm3 แล้วน�ำมำชั่งน�้ำหนัก พบว่ำ อ่ำนค่ำได้ 50 g ดังนั้น จึงสรุปได้ว่ำ น�้ำ (4 �C) เป็น สำรบริสุทธิ์ที่มีควำมหนำแน่นคงที่เท่ำกับ 1 g/cm3 ซึ่งเป็นค่ำเฉพำะของสำร ณ สถำนะและอุณหภูมิหนึ่ง ส่วนสำรผสม จะมีควำมหนำแน่นไม่คงที่ขึ้นอยู่กับชนิดและสัดส่วนของสำรที่มำผสม สำรแต่ละชนิดมีควำมหนำแน่น (ปริมำณมวลสำรในหนึ่งหน่วยปริมำตร) ไม่เท่ำกันดังตำรำง Focus Science ควำมหนำแน่นจ�ำเพำะของสำร สาร ความหนาแน่น (g/cm3 ) ตะกั่ว 11.3 อะลูมิเนียม 2.7 ปรอท 13.6 น�้ำทะเล 1.024 อำกำศ 1.29 ตารางที่ 1.5 ควำมหนำแน่นจ�ำเพำะของสำร กรำฟเปรียบเทียบจุดเดือดของสำรบริสุทธิ์กับสำรละลำย กรำฟเปรียบเทียบจุดหลอมเหลวของสำรบริสุทธิ์กับสำรละลำย 22 ขั้นนํา กระตุนความสนใจ 1. ครูแจงผลการเรียนรูใหนักเรียนทราบ 2. ครูนําแกวนํ้ามา 2 ใบ โดยใบหนึ่งใสนํ้าเกลือ อีกใบหนึ่งใสนํ้าธรรมดา จากนั้นหยอนลูกปด ลงในแกวทั้งสองใบ แลวใหนักเรียนเปรียบ เทียบผลจากกิจกรรม ขั้นสอน สํารวจคนหา 1. ครูใหนักเรียนสืบคน เพราะเหตุใดลูกปดจึง ลอยนํ้าได (แนวตอบ เพราะนํ้าเกลือมีความหนาแนน มากกวานํ้า) 2. ครูใหนักเรียนศึกษา เรื่อง สมบัติของสารบริสุทธิ์ และสารผสมในหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 อธิบายความรู 1. ครูสุมเรียกนักเรียนออกมาอธิบายผลจากการ สืบคนขอมูลหนาชั้นเรียน 2. ครูเฉลยคําตอบ และเพิ่มเติมความรูใหกับ นักเรียนเกี่ยวกับความหนาแนนจําเพาะของ สารในกรอบ Science Focus เกร็ดแนะครู ครูอธิบายเพิ่มเติมใหนักเรียนทราบวา การหาจุดเยือกแข็งจะสามารถ ทดสอบกับสารบริสุทธิ์และสารไมบริสุทธิ์ได แตไมคอยนิยม เพราะจะตองใช เวลานานมากในการหาจุดเยือกแข็ง โดย - สารบริสุทธิ์จะมีจุดเยือกแข็งคงที่ - สารไมบริสุทธิ์จะมีจุดเยือกแข็งไมคงที่ โดยแสดงดังกราฟ อุณหภูมิของสารละลายและสารบริสุทธิ์ขณะเดือดเหมือนหรือ ตางกัน อยางไร 1. เหมือนกัน เพราะเปนสารเนื้อเดียวกัน 2. เหมือนกัน เพราะมีสมบัติทุกสวนเหมือนกัน 3. ตางกัน จุดเดือดของสารบริสุทธิ์จะคงที่แตสารละลายจะ ไมคงที่ 4. ตางกัน จุดเดือดของสารบริสุทธิ์จะไมคงที่แตสารละลาย จะคงที่ (วิเคราะหคําตอบ สารบริสุทธิ์จะมีอุณหภูมิขณะเดือดคงที่ ในขณะ ที่สารละลายเกิดจากสารตั้งแต 2 ชนิดขึ้นไปมาผสมกัน อุณหภูมิ ขณะเดือดจึงไมคงที่ ดังนั้น ตอบขอ 3.) อุณหภูมิ ( ํC) เวลา (s) สารบริสุทธิ์ สารไมบริสุทธิ์ นํา นํา สอน สรุป ประเมิน T26


การตรวจสอบสารบริสุทธิ์และสารละลาย กิจกรรม 1. บีกเกอร์ขนำด 100 ml 7. แท่งแก้วคนสำร 2. หลอดทดลองขนำดเล็ก 8. ด้ำย 3. เทอร์มอมิเตอร์ 9. เอทำนอล 4. ตะเกียงแอลกอฮอล์ 10. สำรละลำยกลีเซอรอลในเอทำนอล 5. ขำตั้งและด้ำมจับ 11. แนฟทำลีนบริสุทธิ์บดละเอียด 6. หลอดคะปิลลำรี 12. สำรละลำยกรดเบนโซอิกในแนฟทำลีน ตอนที่ 2 การหาจุดหลอมเหลวของแนฟทาลีน และสารละลายกรดเบนโซอิกใน แนฟทาลีน 1. บรรจุแนฟทำลีนบริสุทธิ์ลงไปในหลอดคะปิลลำรีที่หลอมจนปลำยด้ำนหนึ่งปิดให้สูง ประมำณ 0.2 cm 2. ใช้ด้ำยพันหลอดคะปิลลำรียึดกับเทอร์มอมิเตอร์แล้วจุ่มลงในบีกเกอร์ ซึ่งบรรจุน�้ำ ประมำณ 2 ใน 3 ส่วน ดังรูป 3. ต้มน�้ำในบีกเกอร์แล้วใช้แท่งแก้วคนสำรคนตลอดเวลำ สังเกตกำรเปลี่ยนแปลงใน หลอดคะปิลลำรี บันทึกอุณหภูมิเมื่อสำรในหลอดคะปิลลำรีเริ่มหลอมเหลว และ หลอมเหลวหมด 4. ท�ำกำรทดลองเช่นเดียวกับข้อ 1.- 3. โดยใช้สำรละลำยกรดเบนโซอิกในแนฟทำลีน เข้มข้น 0.5 mol/kg แทนแนฟทำลีนบริสุทธิ์ วิธีปฏิบัติ วัสดุอุปกรณ์ จิตวิทยาศาสตร์ - ควำมสนใจใฝ่รู้ - กำรท�ำงำนร่วมกับผู้อื่น ได้อย่ำงสร้ำงสรรค์ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ - กำรสังเกต - กำรวัด - กำรค�ำนวณ หลอดทดลองขนำดเล็ก เทอร์มอมิเตอร์ เทอร์มอมิเตอร์ แท่งแก้วคนสำร แท่งแก้วคนสำร หลอดคะปิลลำรี หลอดคะปิลลำรี ตอนที่ 1 การหาจุดเดือดของเอทานอล และสารละลายกลีเซอรอลในเอทานอล 1. ใช้ด้ำยพันหลอดทดลองขนำดเล็ก ติดกับเทอร์มอมิเตอร์ โดยให้ก้นหลอดทดลอง อยู่ในระดับเดียวกัน 2. เทน�้ำลงในบีกเกอร์ให้มีควำมสูง 2 ใน 3 ของบีกเกอร์ แล้วน�ำไปวำงบนตะแกรง จำกนั้นน�ำหลอดทดลองจำกข้อ 1. ยึดกับด้ำมจับ โดยให้เทอร์มอมิเตอร์ตั้งตรงและ ไม่สัมผัสกับก้นบีกเกอร์ 3. ใส่เอทำนอล 5 หยด ลงในหลอดทดลอง จำกนั้นหย่อนหลอดคะปิลลำรีที่หลอม ปล้ำยด้ำนหนึ่งประมำณ 0.5 cm ลงไปโดยให้ด้ำนที่หลอมปิดจุ่มอยู่ในเอทำนอล จำกนั้นจุดตะเกียงแอลกอฮอล์ 4. ใช้แท่งแก้วคนสำรคนตลอดเวลำ ขณะต้มน�้ำในบีกเกอร์ เมื่อสังเกตเห็นฟองแก๊สปุด ออกมำเป็นสำยจำกหลอดคะปิลลำรี หยุดให้ควำมร้อนสังเกตและบันทึกอุณหภูมิ ขณะมีแก๊สฟองสุดท้ำยปุดออกมำ 5. ท�ำกำรทดลองเช่นเดียวกับข้อ 1.-3. โดยใช้สำรละลำยกลีเซอรอลในเอทำนอล เข้มข้น 2 mol/kg แทนเอทำนอลบริสุทธิ์ ภำพที่ 1.48 ภำพที่ 1.49 23 สาร รอบตัว 6. หลอดคะปิลลำรี 1 ขั้นสอน สํารวจคนหา 1. ครูใหนักเรียนแบงกลุมออกเปน 4 กลุม ศึกษากิจกรรมการตรวจสอบสารบริสุทธิ์และ สารละลาย ในตอนที่ 1 จากนั้นครูอธิบาย ขั้นตอนการทดลองอยางละเอียด 2. ครูใหนักเรียนแตละกลุมทํากิจกรรมตอนที่ 1 แลวบันทึกผลลงในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 3. ครูใหนักเรียนแบงกลุมเดิม ศึกษากิจกรรมการ ตรวจสอบสารบริสุทธิ์และสารละลาย ในตอน ที่ 2 จากนั้นครูอธิบายขั้นตอนอยางละเอียด 4. ครูใหนักเรียนแบงกลุมทํากิจกรรมตอนที่ 2 แลว บันทึกผลลงในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 อธิบายความเขาใจ 1. ครูใหนักเรียนแตละกลุมสงตัวแทนออกมานํา เสนอผลจากกิจกรรมการตรวจสอบสารบริสุทธิ์ และสารละลาย ทั้งในตอนที่ 1 และตอนที่ 2 จากชั่วโมงที่แลว 2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายผลกิจกรรม การตรวจสอบสารบริสุทธิ์และสารละลาย นักเรียนควรรู 1 หลอดคะปลลารี เปนหลอดแกวปลายเปดทั้งสองดานที่มีเสนผานศูนยกลาง เล็กมาก ใชสําหรับเก็บตัวอยางของเหลวโดยอาศัยแรงดูดคะปลลารี ซึ่งนิยม นํามาใชเก็บตัวอยางเลือด หรือใชเคลื่อนยายของแข็งที่อยูในรูปแบบผงเพื่อนําไป หาจุดเดือดและจุดหลอมเหลวของสาร ครั้งที่ อุณหภูมิ ( ํC) เอทานอล สารละลายกลีเซอรอลในเอทานอล 1 78.0 79.5 2 78.0 80.5 3 77.5 80.0 เฉลี่ย 78.0 80.0 ครั้งที่ อุณหภูมิ ( ํC) ชวงการหลอมเหลว จุดหลอมเหลว เริ่มหลอมเหลว หลอมเหลวหมด 1 78.5 79.5 1.0 79.0 2 78.0 79.0 1.0 78.5 3 78.5 79.5 1.0 79.0 เฉลี่ย 78.7 บันทึก กิจกรรม ตอนที่ 1 การหาจุดเดือด ตอนที่ 2 การหาจุดหลอมเหลว ศึกษาสารแนฟทาลีน นํา สอน สรุป ประเมิน T27


ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4-5 คน ส�ำรวจสำรภำยในบ้ำนกลุ่มละ 5 สำร และระบุสมบัติทำงกำยภำพและสมบัติ ทำงเคมีของสำรแต่ละชนิด แล้วน�ำเสนอในรูปแบบที่สวยงำมน่ำสนใจ Science Activity ค�ำถำมท้ำยกิจกรรม 1. เพรำะเหตุใดถึงไม่ให้ควำมร้อนแก่หลอดทดลองในตอนที่ 1 และหลอดคะปิลลำรีในตอนที่ 2 โดยตรง 2. จุดเดือดของเอทำนอลกับสำรละลำยกลีเซอรอลในเอทำนอลแตกต่ำงกันหรือไม่ อย่ำงไร 3. จุดหลอมเหลวของแนฟทำลีนกับสำรละลำยกรดเบนโซอิกในแนฟทำลีนแตกต่ำงกันหรือไม่ อย่ำงไร อภิปรำยผลกิจกรรม จำกกิจกรรมกำรหำจุดเดือดของเอทำนอล และสำรละลำยกลีเซอรอลในเอทำนอล พบว่ำ เอทำนอลซึ่งเป็นสำรบริสุทธิ์จะมี จุดเดือดเท่ำกับ 78 �C เมื่อเทียบกับสำรละลำยกลีเซอรอลในเอทำนอลซึ่งเป็นสำรผสมจะมีจุดเดือดประมำณ 80 �C เนื่องจำก สำรบริสุทธิ์แต่ละชนิดย่อมมีสมบัติเฉพำะของสำร เมื่อน�ำสำรอื่นมำผสม หรือตัวละลำยซึ่งมีจุดเดือดต�่ำหรือสูงกว่ำสำรบริสุทธิ์ ที่เป็นตัวท�ำละลำยมำผสม จะส่งผลให้สำรละลำยมีจุดเดือดสูงขึ้น แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสมบัติของสำรที่น�ำมำผสม และปริมำณของ สำรที่น�ำมำผสมหรือตัวละลำย จำกกิจกรรมกำรหำจุดหลอมเหลวของแนฟทำลีน และสำรละลำยกรดเบนโซอิกในแนฟทำลีน พบว่ำ แนฟทำลีนซึ่งเป็น สำรบริสุทธิ์จะมีช่วงกำรหลอมเหลวเท่ำกับ 1 �C และมีจุดหลอมเหลวเท่ำกับ 78.7 �C เมื่อเทียบกับสำรละลำยกรดเบนโซอิกใน แนฟทำลีนซึ่งเป็นสำรผสมจะมีช่วงกำรหลอมเหลวเท่ำกับ 3.5 �C ซึ่งกว้ำงกว่ำสำรบริสุทธิ์ และมีจุดหลอมเหลวประมำณ 74.6 �C ซึ่งต�่ำกว่ำสำรบริสุทธิ์ ดังนั้น สำรบริสุทธิ์จะมีจุดเดือดคงที่ และต�่ำกว่ำสำรผสม ในทำงกลับกันจุดหลอมเหลวของสำรบริสุทธิ์จะสูงกว่ำสำรผสม แต่มี ช่วงกำรหลอมเหลวแคบกว่ำสำรผสม กำรเพิ่มขึ้นของจุดเดือดเป็นหนึ่งในสมบัติคอลลิเกทีฟ ของสำรละลำย (colligative properties) เนื่องจำกสมบัติ ของตัวท�ำละลำยบริสุทธิ์ ณ ที่สภำวะหนึ่งๆ จะมีจุดเดือดคงที่ แต่เมื่อมีตัวละลำยที่ระเหยยำกผสมอยู่ในสำรละลำย จะส่งผล ให้สมบัติบำงประกำรของสำรเปลี่ยนแปลงไป โดยท�ำให้ จุดเดือดของสำรละลำยเพิ่มสูงขึ้นดังนั้น ปริมำณของ ตัวละลำยจะมีผลท�ำให้จุดเดือดของสำรละลำยสูงขึ้น เช่น น�้ำเกลือเป็นสำรละลำยที่มีเกลือเป็นตัวละลำย จะมีจุดเดือด สูงกว่ำน�้ำซึ่งเป็นสำรบริสุทธิ์ ดังกรำฟ Focus Science สมบัติคอลลิเกทีฟของสารละลาย อุณหภูมิ ( �C) น�้ำเกลือ น�้ำเวลำ กรำฟเปรียบเทียบจุดเดือดของน�้ำกับน�้ำเกลือ 24 ขั้นสอน สํารวจคนหา 3. ครูและนักเรียนรวมกันตอบคําถามทายกิจกรรม แลวบันทึกลงในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 แนวตอบ คําถามทายกิจกรรม 1. เพราะการใหความรอนโดยตรงแกหลอด ทดลอง และหลอดคะปลลารีจะทําใหอาน อุณหภูมิของจุดเดือด และจุดหลอมเหลวของ สารไมทัน 2. แตกตางกัน เพราะเอทานอลเปนสารบริสุทธิ์ จะมีจุดเดือดคงที่และตํ่ากวาสารผสม โดย กลีเซอรอลที่ผสมกับเอทานอลซึ่งเปนสาร ไมบริสุทธิ์ หรือสารผสมจะมีจุดเดือดที่สูงกวา 3. แตกตางกัน เพราะแนฟทาลีนเปนสารบริสุทธิ์ จะมีจุดหลอมเหลวสูงกวาสารผสม โดยสาร ละลายเบนโซอิกในแนฟทาลีนซึ่งเปนสารไม บริสุทธิ์ หรือสารผสมจะมีจุดหลอมเหลวตํ่ากวา สารในขอใดมีอุณหภูมิขณะเดือดไมคงที่ 1. นํ้า 2. นํ้าเชื่อม 3. นํ้ามันกาด 4. เอทิลแอลกอฮอล (วิเคราะหคําตอบ สารที่มีอุณหภูมิขณะเดือดไมคงที่ คือ สารไม บริสุทธิ์ โดยนํ้า นํ้ามันกาด และเอทิลแอลกอฮอลเปนสารบริสุทธิ์ จะมีอุณหภูมิขณะเดือดคงที่ แตนํ้าเชื่อมเปนสารละลาย ซึ่งจัดเปน สารไมบริสุทธิ์ จึงมีอุณหภูมิขณะเดือดไมคงที่ ดังนั้น ตอบขอ 2.) บันทึก กิจกรรม ศึกษาสารแนฟทาลีนกับสารละลายเบนโซอิคในแนฟทาลีน ครั้งที่ อุณหภูมิ ( ํC) ชวงการหลอมเหลว จุดหลอมเหลว เริ่มหลอมเหลว หลอมเหลวหมด 1 73.0 76.5 3.5 74.8 2 72.5 76.0 3.5 74.3 3 73.0 76.5 3.5 74.8 เฉลี่ย 74.6 นํา สอน สรุป ประเมิน T28


1 สารและการจําแนกสาร Summary สารรอบตัว การจำาแนกสาร สมบัติทางกายภาพ เป็นสมบัติที่สังเกตได้จำก ภำยนอกของสำร เช่น สี กลิ่น รส สถำนะ กำรน�ำไฟฟ้ำ เป็นต้น สถานะ แบ่งออกเป็น 3 สถำนะ อนุภาค แบ่งออกเป็น 3 ชนิด เนื้อสาร แบ่งออกเป็น 2 ประเภท เพชรมีควำมแข็ง มำกที่สุด ของแข็ง ของเหลว แก๊ส เงินน�ำไฟฟ้ำได้ดีที่สุด กำรเผำไหม้ กำรเกิดสนิมเหล็ก สมบัติทางเคมี เป็นสมบัติที่เกิดขึ้นจำก กำรท�ำปฏิกิริยำเคมี เช่น กำรเผำไหม้ กำรเกิดสนิม เป็นต้น • สารเนื้อเดีย ว สำรที่มี เนื้อสำรเหมือนกันทุกส่วน ท�ำให้สำรมีสมบัติเหมือน กันตลอดทุกส่วน • สารละลาย (solution) อนุภำคสำรมีเส้นผ่ำนศูนย์กลำงน้อยกว่ำ 10 - 7 เซนติเมตร เช่น สำรละลำยแอลกอฮอล์ เป็นต้น • สารแขวนลอย (suspension) อนุภำคสำรมีเส้นผ่ำนศูนย์กลำงมำกกว่ำ 10 - 4 เซนติเมตร เช่น น�้ำโคลน เป็นต้น • คอลลอยด์ (colloid) อนุภำคสำรมีเส้นผ่ำนศูนย์กลำงระหว่ำง 10-7-10-4 เซนติเมตร เช่น น�้ำนม เป็นต้น • สารเนื้ อผ สม สำรที่มี เนื้อสำรแตกต่ำงกัน ท�ำให้ สำรมีสมบัติไม่เหมือนกัน ตลอดทุกส่วน สมบัติของสาร ภำพที่ 1.50 ภำพที่ 1.52 ภำพที่ 1.54 ภำพที่ 1.53 ภำพที่ 1.51 25 สาร รอบตัว สารเนื้อเดีย ว สำรที่มี เนื้อสำรเหมือนกันทุกส่วน 1 สารเนื้ อผ สม สำรที่มี 2 ขั้นสรุป ขยายความรู 1. ครูใหนักเรียนศึกษาสมบัติคอลลิเกทีฟของ สารละลาย ใน Science Focus จากหนังสือ เรียนวิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 เพื่อขยายความ ใจวา เพราะเหตุใดสารบริสุทธิ์จึงมีจุดเดือดตํ่า กวาสารผสม และสารบริสุทธิ์มีจุดหลอมเหลว สูงกวาสารผสม 2. ครูใหนักเรียนทํา Self Check และ Unit Question 3. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบทายหนวย 4. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบทายเลม ในแบบฝกหัดวิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 5. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบหลังเรียน นักเรียนควรรู 1 สารเนื้อเดียว พบไดทั้ง 3 สถานะ ตัวอยางสารเนื้อเดียวที่พบในชีวิต ประจําวัน ดังนี้ - ของแข็ง เชน เหล็ก ทองคํา สังกะสี ทองแดง อะลูมิเนียม นํ้าตาล เปนตน - ของเหลว เชน นํ้ากลั่น นํ้าเกลือ นํ้าสมสายชู นํ้าเชื่อม นํ้าอัดลม นํ้ามันพืช นํ้ามันเชื้อเพลิง เอทานอล เปนตน - แกส เชน อากาศ แกสหุงตม แกสออกซิเจน แกสไนโตรเจน แกส คารบอนไดออกไซด แกสไฮโดรเจน เปนตน 2 สารเนื้อผสม พบไดทั้ง 3 สถานะ ตัวอยางสารเนื้อผสมที่พบในชีวิต ประจําวัน ดังนี้ - ของแข็ง เชน ดิน ทราย คอนกรีต เปนตน - ของเหลว เชน นํ้าคลอง นํ้าโคลน นํ้าจิ้มไก แปงมันในนํ้า เปนตน - แกส เชน ฝุนละอองในอากาศ เขมาหรือควันดําในอากาศ เปนตน กิจกรรม 21st Century Skills ใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 3 คน สํารวจสารที่พบในชีวิต ประจําวันจํานวน 20 ชนิด แลวจําแนกประเภทของสารตามเกณฑ ตอไปนี้ - สถานะ - เนื้อสาร - ขนาดของอนุภาค แลวทําเปนใบงานสงครูผูสอน นํา สอน สรุป ประเมิน T29


ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET การเปลี่ยนแปลงของสาร ประเภทของสาร หลอมเหลว ระเหย แข็งตัว ควบแน่น อุณหภูมิสำรละลำย สำรบริสุทธิ์ จุดเดือด อุณหภูมิ สำรละลำย สำรบริสุทธิ์ จุดหลอมเหลว การหลอมเหลว ของแข็งเปลี่ยนสถำนะเป็นของเหลวที่ อุณหภูมิหนึ่ง ซึ่งเรียกว่ำ จุดหลอมเหลว โดยควำมร้อนที่ท�ำให้สำรเปลี่ยนสถำนะ เช่นนี้เรียกว่ำ ควำมร้อนแฝงของกำร หลอมเหลว การแข็งตัว ของเหลวเปลี่ยนสถำนะเป็นของแข็งที่ อุณหภูมิหนึ่ง ซึ่งเรียกว่ำ จุดเยือกแข็ง การควบแน่น แก๊สเปลี่ยนสถำนะเป็นของเหลวที่ อุณหภูมิหนึ่ง ซึ่งเรียกว่ำ จุดควบแน่น การเดือด ของเหลวเปลี่ยนสถำนะเป็นแก๊สที่ อุณหภูมิหนึ่ง ซึ่งเรียกว่ำ จุดเดือด โดย ควำมร้อนที่ท�ำให้สำรเปลี่ยนสถำนะ เช่นนี้เรียกว่ำ ควำมร้อนแฝงของกำร กลำยเป็นไอ สารบริสุทธิ์ สำรที่มีองค์ประกอบของสำรเพียงชนิดเดียว มีสมบัติทำงกำยภำพและทำงเคมีเฉพำะตัว • ธำตุ คือ สำรบริสุทธิ์ที่ประกอบด้วยอะตอมเพียงชนิดเดียว แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ ธำตุโลหะ ธำตุอโลหะ และธำตุกึ่งโลหะ แต่ธำตุบำงชนิดสำมำรถแผ่รังสีได้ เรียกว่ำ ธำตุกัมมันตรังสี โดยรังสีที่แผ่ออกมำจำกธำตุ เรียกว่ำ กัมมันตภำพรังสี • สำรประกอบ คือ สำรที่เกิดจำกกำรรวมตัวกันของธำตุตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปมำท�ำปฏิกิริยำเคมีกันด้วยสัดส่วนที่แน่นอน กลำย เป็นสำรใหม่ที่มีสมบัติแตกต่ำงไปจำกเดิม เช่น น�้ำ เป็นต้น สารผสม เกิดจำกสำรตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปมำผสมกัน • บำงชนิดผสมเป็นเนื้อเดียว เรียกว่ำ สำรละลำย เช่น น�้ำเกลือ น�้ำหวำน เป็นต้น • บำงชนิดผสมไม่เป็นเนื้อเดียวกัน เรียกว่ำ สำรเนื้อผสม ได้แก่ สำรแขวนลอย และคอลลอยด์ สมบัติของสารบริสุทธิ์และสารผสม • สำรบริสุทธิ์จะมีจุดเดือด จุดหลอมเหลว และควำมหนำแน่นคงที่ • สำรไม่บริสุทธิ์จะมีจุดเดือด จุดหลอมเหลว และควำมหนำแน่นไม่คงที่ ของแข็ง ของเหลว แก๊ส ภำพที่ 1.55 กรำฟเปรียบเทียบจุดเดือดของสำรบริสุทธิ์กับสำรละลำย กรำฟเปรียบเทียบจุดหลอมเหลวของสำรบริสุทธิ์กับสำรละลำย 26 ขั้นประเมิน ตรวจสอบผล 1. ครูตรวจแบบฝกหัด 2. ครูตรวจแบบฝกหัดทายเลม 3. ครูตรวจแบบทดสอบหลังเรียน 4. ครูตรวจแบบทดสอบทายหนวยที่ 1 5. ครูประเมินผลงานจากการทํากิจกรรมกลุม จาก Science Activity 6. ครูประเมินการปฏิบัติการจากการทํากิจกรรม การตรวจสอบสารบริสุทธิ์และสารละลาย 7. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายกลุม จาก การทํากิจกรรมการตรวจสอบสารบริสุทธิ์และ สารละลาย แนวทางการวัดและประเมินผล ครูวัดและประเมินผลความเขาใจในเนื้อหา เรื่อง สมบัติของสารบริสุทธิ์และ สารละลาย ไดจากแบบประเมินการปฏิบัติการ จากกิจกรรม เรื่อง การตรวจสอบ สารบริสุทธิ์และสารละลาย และจากแบบประเมินการนําเสนอผลงานหนาชั้น เรียน โดยศึกษาเกณฑการวัดและประเมินที่อยูในแผนการจัดการเรียนรูประจํา หนวยการเรียนรูที่ 1 สารในขอใดจัดเปนสารเนื้อเดียวทั้งหมด 1. ทองคํา นาก 2. คอนกรีต ทราย 3. นํ้าเชื่อม นํ้าจิ้มไก 4. นํ้ากะทิ แปงมันละลายนํ้า (วิเคราะหคําตอบ ขอ 1. ทองคําจัดเปนธาตุ ซึ่งจัดเปนสารเนื้อเดียว และนากเปน สารละลาย ซึ่งจัดเปนสารเนื้อเดียว ขอ 2. คอนกรีตและทรายเปนสารแขวนลอย ซึ่งจัดเปนสารเนื้อผสม ขอ 3. นํ้าเชื่อมเปนสารละลาย ซึ่งจัดเปนสารเนื้อเดียว นํ้าจิ้มไก เปนสารแขวนลอย ซึ่งจัดเปนสารเนื้อผสม ขอ 4. นํ้ากะทิและแปงมันละลายนํ้าเปนสารแขวนลอย ซึ่งจัดเปน สารเนื้อผสม ดังนั้น ตอบขอ 1.) แบบประเมินการปฏิบัติการ แผนฯที่ 1,2,7 ค าชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินการปฏิบัติการของนักเรียนตามรายการที่ก าหนด แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับ ระดับคะแนน ล าดับที่ รายการประเมินระดับคะแนน 4 3 2 1 1 การปฏิบัติการทดลอง 2 ความคล่องแคล่วในขณะปฏิบัติการ 3 การน าเสนอ รวม ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน ................./................../.................. เกณฑ์การประเมินการปฏิบัติการ ประเด็นที่ประเมิน ระดับคะแนน 4 3 2 1 1. การปฏิบัติการ ทดลอง ท าการทดลองตาม ขั้นตอน และใช้อุปกรณ์ ได้อย่างถูกต้อง ท าการทดลองตาม ขั้นตอน และใช้อุปกรณ์ ได้อย่างถูกต้อง แต่อาจ ต้องได้รับค าแนะน าบ้าง ต้องให้ความช่วยเหลือ บ้างในการท าการ ทดลอง และการใช้ อุปกรณ์ ต้องให้ความช่วยเหลือ อย่างมากในการท าการ ทดลอง และการใช้ อุปกรณ์ 2. ความ คล่องแคล่ว ในขณะ ปฏิบัติการ มีความคล่องแคล่ว ในขณะท าการทดลอง โดยไม่ต้องได้รับค า ชี้แนะ และท าการ ทดลองเสร็จทันเวลา มีความคล่องแคล่ว ในขณะท าการทดลอง แต่ต้องได้รับค าแนะน า บ้าง และท าการทดลอง เสร็จทันเวลา ขาดความคล่องแคล่ว ในขณะท าการทดลอง จึงท าการทดลองเสร็จ ไม่ทันเวลา ท าการทดลองเสร็จไม่ ทันเวลา และท า อุปกรณ์เสียหาย 3. การบันทึก สรุป และน าเสนอผล การทดลอง บันทึกและสรุปผลการ ทดลองได้ถูกต้อง รัดกุม น าเสนอผลการทดลอง เป็นขั้นตอนชัดเจน บันทึกและสรุปผลการ ทดลองได้ถูกต้อง แต่ การน าเสนอผลการ ทดลองยังไม่เป็น ขั้นตอน ต้องให้ค าแนะน าในการ บันทึก สรุป และ น าเสนอผลการทดลอง ต้องให้ความช่วยเหลือ อย่างมากในการบันทึก สรุป และน าเสนอผล การทดลอง เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 11-12 ดีมาก 9-10 ดี 6-8 พอใช้ ต่ ากว่า 6 ปรับปรุง นํา สอน สรุป ประเมิน T30


Unit Question ถูก/ผิด ทบทวนหัวข้อ 1. กำรเกิดสนิมเหล็กเป็นสมบัติทำงกำยภำพของสำร 1.1 2. อนุภำคของของเหลวเคลื่อนที่ได้อิสระมำกกว่ำอนุภำคของแก๊ส 1.2 3. ควำมร้อนแฝงของกำรกลำยเป็นไอท�ำให้ของแข็งกลำยเป็นไอ 2 4. สำรผสมเกิดจำกสำรตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปมำรวมตัวกัน บำงชนิดผสมเป็นเนื้อเดียวกัน เรียกว่ำ สำรละลำย บำงชนิดผสมไม่เป็นเนื้อเดียวกัน เรียกว่ำ สำรเนื้อผสม ได้แก่ สำร แขวนลอย และคอลลอยด์ 3.2 5. สำรบริสุทธิ์และสำรผสมมีจุดเดือดไม่คงที่ แต่มีจุดหลอมเหลวคงที่ 3.3 1 จงระบุสมบัติทำงกำยภำพ และสมบัติทำงเคมีของสำรที่ก�ำหนดให้ในตำรำงต่อไปนี้ 2 ของแข็ง ของเหลว และแก๊ส มีกำรจัดเรียงอนุภำคแตกต่ำงกันอย่ำงไร 3 เมื่อวำงน�้ำแข็งไว้กลำงแจ้งเป็นเวลำครึ่งวัน ควำมร้อนจะมีผลต่อกำรเปลี่ยนแปลงสถำนะของน�้ำแข็งอย่ำงไร 4 จงเรียงล�ำดับอ�ำนำจทะลุทะลวงของกัมมันตภำพรังสีจำกสูงไปต�่ำ 5 หำกมีของเหลวใส ไม่มีสี อยู่ในแก้ว 2 ใบ โดยนักเรียนรู้ว่ำแก้วใบที่ 1 เป็นน�้ำ และแก้วใบที่ 2 เป็นสำรละลำยกรด นักเรียนจะมีวิธีตรวจสอบของเหลวในแก้วน�้ำทั้งสองอย่ำงไร บันทึกลงในสมุด สำร สมบัติทำงกำยภำพ สมบัติทำงเคมี แท่งเหล็ก น�้ำตำล แก๊สออกซิเจน น�้ำส้มสำยชู หินปูน บันทึกลงในสมุด บันทึกลงในสมุด Self-Check ให้นักเรียนตรวจสอบความเข้าใจ โดยพิจารณาข้อความว่าถูกหรือผิด แล้วบันทึกลงในสมุด หากพิจารณาข้อความไม่ถูกต้อง ให้กลับไปทบทวนเนื้อหาตามที่หัวข้อกำาหนดให้ คำาชี้แจง : ให้นักเรียนตอบค�ำถำมต่อไปนี้ 27 สาร รอบตัว สาร สมบัติทางกายภาพ สมบัติทางเคมี แทงเหล็ก ของแข็ง ผิวมันวาว นําไฟฟาได ทําปฏิกิริยากับ ออกซิเจน เกิดสนิมเหล็ก นํ้าตาล ทําปฏิกิริยากับ ออกซิเจน เมื่อนําไปเผาไฟ จะไดกากสีดํา และเกิดแกส คารบอนไดออกไซด แกส ออกซิเจน เปนแกส ไมมีสี มองไมเห็นดวย ตาเปลา ทําปฏิกิริยากับเหล็ก เกิดสนิมเหล็ก ชวยเพิ่มการลุกไหม นํ้าสม สายชู ของเหลวใส ไมมีสี มีรสเปรี้ยว ทําปฏิกิริยากับโลหะ ทําใหเกิดการกัดกรอน ไดแกสไฮโดรเจน หินปูน เปนของแข็ง มีสี ตางๆ เชน สีเทา สีนํ้าตาล สีขาว เปนตน ทําปฏิกิริยากับกรด ไดแกสคารบอนไดออกไซด แนวตอบ Unit Question 1. 3. เมื่อนํ้าแข็งไดรับความรอนแฝงของการหลอมเหลวจะทําใหนํ้าแข็งละลายกลายเปนนํ้า เมื่อทิ้งไวสักระยะหนึ่งความรอนแฝงของการกลายเปนไอจะทําให นํ้ามีอุณหภูมิสูงขึ้น จนกระทั่งระเหยกลายเปนไอนํ้าลอยปะปนอยูในอากาศ 4. รังสีแกมมา → รังสีบีตา → รังสีแอลฟา 5. พิจารณาคําตอบของนักเรียนขึ้นกับดุลยพินิจของครู โดยแนวคําตอบของนักเรียนไมควรใชการชิมสาร หรือสัมผัส แตควรตรวจสอบสารดวยการนําของ เหลวใสทั้งสองไปหาจุดเดือดและจุดหลอมเหลว ตามลําดับ หากของเหลวใดมีจุดเดือดและจุดหลอมเหลวคงที่ แสดงวาสารนั้นเปนนํ้า หรือสารบริสุทธิ์ แนวตอบ Self-Check 1. ผิด 2. ผิด 3. ผิด 4. ถูก 5. ผิด 2. อนุภาคของของแข็งจะเรียงชิดกัน อนุภาคของ ของเหลวจะอยูใกลกัน และอนุภาคของแกส จะอยูหางกัน สงผลใหแรงยึดเหนี่ยวระหวาง อนุภาคของของแข็ง ของเหลว และแกส เรียง จากสูงไปตํ่า ตามลําดับ นํา สอน สรุป ประเมิน T31


แผนการจัด การเรียนรู้ สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้ คุณลักษณะ อันพึงประสงค์ แผนฯ ที่ 1 เซลล์ของ สิ่งมีชีวิต 5 ชั่วโมง - แบบทดสอบก่อนเรียน หน่วยที่ 2 - หนังสือเรียน วิทยาศาสตร์ม.1 เล่ม1 - แบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ ม.1 เล่ม 1 - ใบงาน เรื่อง เซลล์ของสิ่งมีชีวิต - ภาพน�ำเสนอสิ่งมีชีวิต หลายเซลล์ (PowerPoint) - วีดิทัศน์เรื่อง การเคลื่อนที่ของคน และการเคลื่อนที่ของ พารามีเซียม 1. อธิบายความสัมพันธ์ ระหว่างรูปร่างของเซลล์ ต่อการท�ำหน้าที่ของ เซลล์ได้(K) 2. อธิบายการจัดระบบ ของสิ่งมีชีวิตได้(K) 3. ใช้งานกล้องจุลทรรศน์ แบบใช้แสงตามขั้นตอน ที่ถูกต้องได้(P) 4. ปฏิบัติตามขั้นตอนการ ใช้งานกล้องจุลทรรศน์ แบบใช้แสงได้(A) แบบสืบเสาะ หาความรู้ (5Es Instructional Model) - ตรวจแบบทดสอบ ก่อนเรียน - ตรวจใบงาน เรื่อง เซลล์ของสิ่งมีชีวิต - ตรวจแบบฝึกหัด - ทักษะการสังเกต - ทักษะการจัดกลุ่ม - ทักษะการ เปรียบเทียบ - ทักษะการจ�ำแนก ประเภท - ทักษะการส�ำรวจ - มีวินัย - ใฝ่เรียนรู้ - มุ่งมั่นใน การท�ำงาน แผนฯ ที่ 2 เซลล์พืชและ เซลล์สัตว์ 3 ชั่วโมง - หนังสือเรียน วิทยาศาสตร์ม.1 เล่ม1 - แบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ ม.1 เล่ม 1 - สื่อ twig ภาพยนตร์ สารคดีสั้น เรื่อง เซลล์ คืออะไร - ภาพน�ำเสนอโครงสร้าง ของเซลล์พืชและสัตว์ (PowerPoint) 1. บรรยายหน้าที่ องค์ประกอบของเซลล์ ได้(K) 2. เปรียบเทียบรูปร่างและ โครงสร้างของเซลล์พืช และเซลล์สัตว์ได้(P) 3. รับผิดชอบต่อหน้าที่ และงานที่ได้รับ มอบหมาย (A) แบบสืบเสาะ หาความรู้ (5Es Instructional Model) - ตรวจแบบฝึกหัด - ประเมินแผ่นพับ เรื่อง เซลล์พืชและเซลล์สัตว์ - ทักษะการสังเกต - ทักษะการระบุ - ทักษะการ เปรียบเทียบ - ทักษะการจ�ำแนก ประเภท - ทักษะการรวบรวม ข้อมูล - มีวินัย - ใฝ่เรียนรู้ - มุ่งมั่นใน การท�ำงาน แผนฯ ที่ 3 การแพร่และ ออสโมซิส 4 ชั่วโมง - หนังสือเรียน วิทยาศาสตร์ม.1 เล่ม1 - แบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ ม.1 เล่ม 1 - สื่อ twig ภาพยนตร์ สารคดีสั้น เรื่อง เยื่อหุ้มเซลล์ 1. อธิบายกระบวนการแพร่ และออสโมซิสได้(K) 2. อธิบายความแตกต่าง ของการแพร่และ ออสโมซิสได้(K) 3. ใช้งานอุปกรณ์ ทางวิทยาศาสตร์ ได้อย่างถูกต้อง (P) 4. รับผิดชอบต่อหน้าที่ และงานที่ได้รับ มอบหมาย (A) แบบสืบเสาะ หาความรู้ (5Es Instructional Model) - ประเมินรายงาน เรื่อง การแพร่และการออสโมซิส - ตรวจแบบฝึกหัด - ตรวจ self-check และ Unit Question - ตรวจกิจกรรมท้าทาย ความคิดขั้นสูง - ตรวจแบบทดสอบ หลังเรียน - ทักษะการสังเกต - ทักษะการระบุ - ทักษะการ เปรียบเทียบ - ทักษะการรวบรวม ข้อมูล - ทักษะการเชื่อมโยง - มีวินัย - ใฝ่เรียนรู้ - มุ่งมั่นใน การท�ำงาน Chapter Overview T32


Chapter Concept Overview หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เซลลของสิ่งมีชีวิต การลําเลียงสารเขาและออกจากเซลล ประเภทของสิ่งมีชีวิต โครงสรางของเซลล สิ่งมีชีวิตเซลลเดียว กลองจุลทรรศน กลองจุลทรรศนเปนอุปกรณที่ชวยขยายขนาดสิ่งตาง ๆ ที่ ไมสามารถมองเห็นไดดวยตาเปลา เชน เซลล เปนตน โดย กลองจุลทรรศนที่ใชศึกษาในบทเรียนนี้ คือ กลองจุลทรรศนแบบ ใชแสง ซึ่งมีสวนประกอบ ดังนี้ การแพร เปนกระบวนการเคลื่อนที่ของอนุภาคสารจากบริเวณที่มีความ เขมขนสูงไปสูบริเวณที่มีความเขมขนตํ่า จนกระทั่งความเขมขน ของสารทั้งสองบริเวณสมดุลกัน การออสโมซิส เปนกระบวนการเคลื่อนที่ของนํ้าจากบริเวณที่มีความเขมขน ของสารละลายตํ่าไปสูบริเวณที่มีความเขมขนของสารละลายสูง หรือบริเวณที่มีโมเลกุลของนํ้ามากไปสูบริเวณที่มีโมเลกุลของ นํ้านอยโดยผานเยื่อเลือกผาน สิ่งมีชีวิตหลายเซลล การแพร การออสโมซิส การใชงานกลองจุลทรรศนแบบใชแสงมีขั้นตอน ดังนี้ 1. วางกลองบนพื้นเรียบ หมุนเลนสใกลวัตถุที่มีกําลังขยายตํ่าสุด มาอยูตรงกลางลํากลอง 2. ปรับกระจกเงาใตแทนวางวัตถุใหแสงสะทอนเขาสูกลอง แลวนํา สไลดวางบนแทนวางวัตถุ 3. หมุนปุมปรับภาพหยาบใหลํากลองเลื่อนมาอยูใกลกับวัตถุมาก ที่สุด แลวมองวัตถุผานเลนสใกลตา 4. หมุนปุมปรับภาพหยาบชา ๆ จนมองเห็นภาพวัตถุ จากนั้นหมุน ปุมปรับภาพละเอียด เพื่อใหภาพชัดขึ้น 5. ถาตองการเห็นภาพขนาดใหญขึ้นใหหมุนเลนสใกลวัตถุที่มีกําลัง ขยายสูงเขาในแนวลํากลอง แลวหมุนปุมปรับภาพละเอียด 6. ปรับไอริส ไดอะแฟรม เมื่อตองการเพิ่มความเขมแสงที่เขาสู ลํากลอง 7. ทําความสะอาดกลองเมื่อใชงานเสร็จ โดยบริเวณเลนสใหเช็ด ดวยกระดาษเช็ดเลนส หรือนํ้ายาสําหรับเช็ดเลนส รางกายประกอบดวยเซลลเพียงเซลลเดียว กิจกรรมตาง ๆ ที่เกี่ยวของกับ การดํารงชีวิตจะเกิดขึ้นในเซลลเพียงเซลลเดียว เชน อะมีบา พารามีเซียม ยูกลีนา ไดอะตอม แบคทีเรีย เปนตน รางกายประกอบดวยเซลลจํานวนมากมายหลายลานเซลล โดยเซลล ที่มีลักษณะเหมือนกันจะมาอยูรวมกันเพื่อทําหนาที่อยางเดียวกัน เชน พืช สัตว เปนตน เซลลสัตว เซลลพืช ไรโบโซม รางแหเอนโดพลาซึม แวคิวโอล เซนทริโอล กอลจิบอดี เยื่อหุมเซลล ผนังเซลล นิวเคลียส คลอโรพลาสต เลนสใกลตา ปุมปรับภาพหยาบ เลนสใกลวัตถุ เลนสรวมแสง ไอริส ไดอะแฟรม ปุมปรับภาพละเอียด โมเลกุลนํ้า สามารถเคลื่อนที่ ผานเยื่อเลือกผานได โมเลกุลโปรตีน มีขนาดใหญ ไมสามารถเคลื่อนที่ ผานเยื่อเลือกผานได T33


ตัวชี้วัด ว 1.2 ม.1/1 เปรียบเทียบรูปร่างและโครงสร้างของเซลล์พืชและสัตว์ รวมทั้งบรรยายหน้าที่ของผนังเซลล์ เยื่อหุ้มเซลล์ ไซโทพลาซึม นิวเคลียส   แวคิวโอล ไมโทคอนเดรีย และคลอโรพลาสต์ ว 1.2 ม.1/2 ใช้กล้องจุลทรรศน์ใช้แสงศึกษาเซลล์และโครงสร้างต่าง ๆ ภายในเซลล์ ว 1.2 ม.1/3 อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างรูปร่างกับการท�าหน้าที่ของเซลล์ ว 1.2 ม.1/4 อธิบายการจัดระบบของสิ่งมีชีวิต โดยเริ่มจากเซลล์ เนื้อเยื่อ อวัยวะ ระบบอวัยวะจนเป็นสิ่งมีชีวิต ว 1.2 ม.1/5 อธิบายกระบวนการแพร่และออสโมซิสจากหลักฐานเชิงประจักษ์ และยกตัวอย่างการแพร่และออสโมซิสในชีวิตประจ�าวัน 2 หน่วยการเรียนรู้ที่ หน่วยของสิ่งมีชีวิต เซลล์สัตว์ มีส่วนประกอบส�าคัญ 3 ส่วน คือ  เยื่อหุ้มเซลล์  ไซโทพลาซึมและ นิวเคลียส เซลล์พืช มีส ่วนประกอบส�าคัญเช ่นเดียวกับ เซลล์สัตว์  แต่เซลล์พืชจะมีผนังเซลล์ ห ่อหุ้มเยื่อหุ้มเซลล์อีกชั้นและมี โครงสร้างที่ใช้ในการสร้างอาหาร  คือ  คลอโรพลาสต์  ÊÔè§·ÕèàÅç¡·ÕèÊØ´ ในร่างกายของเรา คืออะไร เพทโดยเลือก Trim ขั้นนํา กระตุนความสนใจ 1. ครูแจงผลการเรียนรูใหนักเรียนทราบ 2. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบกอนเรียน 3. ครูกระตุนความสนใจของนักเรียน โดยให นักเรียนดูภาพสิ่งมีชีวิตเซลลเดียวและสิ่งมีชีวิต หลายเซลล จาก PPT 4. ครูถามคําถาม Big Question เกร็ดแนะครู การเรียนการสอน เรื่อง เซลลของสิ่งมีชีวิต ครูควรใหนักเรียนรูถึงความสําคัญ ของเซลลที่เปนหนวยพื้นฐาน ทําใหสิ่งมีชีวิตมีความแตกตางไปจากสิ่งไมมีชีวิต โดยสิ่งที่จําเปนอยางยิ่งในการศึกษารูปรางและลักษณะของเซลล คือ กลองจุลทรรศน ดังนั้น ครูควรฝกพื้นฐานการใชกลองจุลทรรศนอยางถูกตอง ใหแกนักเรียนเพื่อเปนพื้นฐานในการศึกษาระดับที่สูงขึ้นไป แนวตอบ Big Question เซลล เปนหนวยที่เล็กที่สุดในรางกายของ สิ่งมีชีวิตทุกชนิด นํา นํา สอน สรุป ประเมิน T34


1 เซลล์ของสิ่งมีชีวิต   สิ่งต่าง ๆ รอบตัวล้วนประกอบไปด้วยสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต  ซึ่งมี รูปร่างลักษณะที่แตกต่างกันไป  โดยทั่วไปสิ่งมีชีวิตสามารถเจริญเติบโต  และ ตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้ ขณะที่สิ่งไม่มีชีวิตจะไม่มีคุณสมบัติดังกล่าว ที่เป็นเช่นนี้ เนื่องจากสิ่งมีชีวิตทุกชนิดล้วนประกอบด้วยหน่วยที่เล็กที่สุด คือ เซลล์ (cell) Prior Knowledge สิ่งมีชีวิตกับสิ่งไม่มีชีวิต แตกต่างกันอย่างไร ยูกลีนา   เซลล์ คือ หน่วยพื้นฐานที่เล็กที่สุดของสิ่งมีชีวิต ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกันตามชนิดของสิ่งมีชีวิต เซลล์ต้องการ สารอาหารเพื่อเปลี่ยนเป็นพลังงานและน�าไปใช้ในการด�ารงชีวิต  นอกจากนี้เซลล์สามารถแบ่งตัวเพิ่มจ�านวนได้เป็น หลายเซลล์รวมกันและท�างานประสานกันเป็นระบบ  แต่สิ่งมีชีวิตบางชนิดสามารถด�ารงชีวิตอยู่ได้ด้วยเซลล์เพียง เซลล์เดียว 1.1 ประเภทของสิ่งมีชีวิต 1. สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว (unicellular organism)  เป็นสิ่งมีชีวิตที่ร่างกายประกอบด้วยเซลล์เพียงเซลล์ เดียว ซึ่งกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการด�ารงชีวิต เช่น การกินอาหาร การขับถ่าย การสืบพันธุ์ เป็นต้น  จะเกิดขึ้น ในเซลล์เพียงเซลล์เดียว สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวส่วนใหญ่สามารถด�ารงชีวิตอยู่เป็นอิสระได้ เช่น อะมีบา พารามีเซียม ไดอะตอม ยูกลีนา เป็นต้น  สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวบางชนิดมีนิวเคลียสที่ไม่มีเยื่อหุ้ม จึงพบสารพันธุกรรมกระจายอยู่ใน ไซโทพลาซึมเช่น แบคทีเรีย เป็นต้น อะมีบา แบคทีเรีย พารามีเซียม   ไวรัสมีโปรตีนหรือไขมันห่อหุ้มสารพันธุกรรม (DNA หรือ RNA) สามารถเพิ่มจ�านวน ได้โดยอาศัยสิ่งมีชีวิตอื่นด้วยการปล่อยสารพันธุกรรมเข้าสู่สิ่งมีชีวิตอื่น  และสังเคราะห์ สารพันธุกรรมและโปรตีนที่จ�าเป็นต่อการจ�าลองตัวในสิ่งมีชีวิต  ก่อให้เกิดโรค  เมื่อเซลล์ ของสิ่งมีชีวิตเสื่อมสลาย  ไวรัสจ�านวนมากจะออกสู่ภายนอก  จึงไม่จัดไวรัสเป็นสิ่งมีชีวิต  นอกจากนี้ไวรัสไม่มีสมบัติของเซลล์เนื่องจากไวรัสไม่มีทั้งเยื่อหุ้มเซลล์และไซโทพลาซึม  แต่ไวรัสจัดเป็นอนุภาค เรียกว่า ไวริออน (virion) Focus Science ไวรัส  ภาพที่ 2.2 โครงสร้างของไวรัส  ภาพที่ 2.1 ตัวอย่างสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว 29 หน่วยของ สิ่งมีชีวิต กิจกรรม สรางเสริม กิจกรรม ทาทาย ขั้นสอน สํารวจคนหา 1. ครูถามคําถาม prior knowledge 2. ครูถามคําถามวา รางกายของสิ่งมีชีวิตแตละชนิด จะมีโครงสราง และจํานวนเซลลในการดํารงชีวิต เหมือนกันหรือไม (แนวตอบ รางกายของสิ่งมีชีวิตแตละชนิด จะมีโครงสรางและจํานวนเซลลในการดํารงชีวิต ไมเหมือนกัน) 3. ครูใหนักเรียนดูวีดิทัศนเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ ของพารามีเซียมกับการเคลื่อนที่ของสัตว แลวใหนักเรียนรวมกันเปรียบเทียบความแตกตาง ระหวางสิ่งมีชีวิตทั้งสองชนิด ในประเด็นของ จํานวนเซลล และการทํางานรวมกันของเซลล ที่มีผลตอการเคลื่อนที่ 4. ครูใหนักเรียนศึกษา เรื่อง ประเภทเซลลของ สิ่งมีชีวิต ในหัวขอ สิ่งมีชีวิตเซลลเดียว และ ยกตัวอยางภาพสิ่งมีชีวิตเซลลเดียวจากหนังสือ เรียนวิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 ใหนักเรียนศึกษาคนควาเพิ่มเติม แลวรวบรวมรายชื่อของ สิ่งมีชีวิตเซลลเดียวใหไดมากที่สุด โดยจดลงในสมุดบันทึก วิเคราะหคําตอบ ใหนักเรียนศึกษาคนควาเพิ่มเติมวา สิ่งมีชีวิตเซลลเดียว เชน อะมีบา พารามีเซียม ยูกลีนา ยีสต แบคทีเรีย ไดอะตอม เปนตน มีการดําเนินกิจกรรมตางๆ ที่เกี่ยวของกับการดํารงชีวิต เชน การกินอาหาร การขับถาย การเคลื่อนที่ การสืบพันธุอยางไร แลวทํารายงานสงครูผูสอน แนวตอบ prior knowledge สิ่งมีชีวิตสามารถเจริญเติบโต เคลื่อนไหว หายใจ ขับถาย สืบพันธุ และตอบสนองตอสิ่งเรา ได สวนสิ่งไมมีชีวิตไมมีคุณสมบัติของลักษณะ ดังกลาว เพราะสิ่งมีชีวิตทุกชนิดลวนประกอบไป ดวยเซลลที่เปนหนวยพื้นฐานใหสิ่งมีชีวิตดําเนิน กิจกรรมตางๆ เพื่อใชในการดํารงชีวิต เกร็ดแนะครู ครูอาจแนะนําเกี่ยวกับไวรัสวา แมไวรัสไมใชสิ่งมีชีวิต แตการเพิ่มจํานวน ตัวเองไดโดยอาศัยเซลลของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น ไมเพียงจะสรางความเสียหายให กับรางกายของสิ่งมีชีวิตชนิดนั้น ยังสรางความเสียหายใหกับสิ่งมีชีวิตอื่นเปน วงกวาง เชน การแพรระบาดครั้งใหญของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุใหม 2019 ที่แพรกระจายไปทั่วโลก ผูปวยสวนใหญจะมีอาการไอ จาม มีไข บางรายมี อาการปอดอักเสบรวม ซึ่งในระยะแรกผูปวยจะยังคงไมแสดงอาการ สามารถ แพรกระจายเชื้อไวรัสผานทางการไอ จามได และปจจุบันวัคซีนยังคงอยูใน ขั้นตอนการพัฒนา จึงยากตอการควบคุมการแพรกระจายของเชื้อไวรัสชนิดนี้ นํา สอน สรุป ประเมิน T35


ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET 2. สิ่งมีชีวิตหลายเซลล(multicellular organism) เปนสิ่งมีชีวิตที่รางกายประกอบดวยเซลลจํานวนมาก หลายลานเซลล โดยเซลลชนิดเดียวกันหรือเซลลที่มีลักษณะเหมือนกันจะมาอยูรวมกันเพื่อทําหนาที่อยางเดียวกัน เรียกกลุมเซลลเหลานี้วา เนื้อเยื่อ (tissue) และเนื้อเยื่อหลายชนิดจะประกอบกันเปนอวัยวะ (organ) ซึ่งอวัยวะตาง ๆ หลายอวัยวะจะทําหนาที่ประสานสัมพันธกันเปนระบบอวัยวะ (organ system) และทุกระบบอวัยวะจะประกอบกันเปน รางกายของสิ่งมีชีวิต ตัวอยางสิ่งมีชีวิตหลายเซลล เชน พืช สัตว เปนตน เซลลแตละชนิดของสิ่งมีชีวิตหลายเซลลจะมีรูปรางและลักษณะเฉพาะที่แตกตางกันออกไป เนื่องจาก ลักษณะเฉพาะของเซลลถูกควบคุมดวยสารพันธุกรรมหรือยีน (gene) ทําใหเซลลแตละชนิดมีลักษณะรูปราง แตกตางกันตามกิจกรรมที่ทํา หรือตําแหนงและหนาที่ของเซลลนั้น ๆ ตัวอยางโครงสรางของพืช เนื้อเยื่อผิว เนื้อเยื่อลําเลียง เนื้อเยื่อเจริญ ปลายราก ใบ ลําตน ราก เนื้อเยื่อลําเลียง เซลลขนราก (root hair cell) มีลักษณะยาวและยื่นเขาไปใน ดิน เพื่อเพิ่มพื้นที่ผิวสัมผัสใหราก สามารถดูดนํ้าและธาตุอาหาร ไดมากขึ้น เซลลคุม (guard cell) มีรูปรางคลายเมล็ดถั่ว 2 อัน ประกบกัน ทําหนาที่ควบคุม การปด-เปดของปากใบ ไซเล็ม (xylem) เปนทอลําเลียงนํ้า มีลักษณะ กลวงและยาว ทําหนาที่ลําเลียง นํ้าจากรากไปสูใบ โฟลเอ็ม (phloem) เปนทอลําเลียงอาหาร มีลักษณะ ยาว หัวทายมีรูพรุน ทําหนาที่ ลําเลียงอาหารไปยังสวนตาง ๆ ของพืช ภาพที่ 2.3 โครงสรางของพืช 30 เซลล ใบ 1 สื่อ Digital ขั้นสอน สํารวจคนหา 1. ครูถามคําถามเพื่อโยงเขาสูหัวขอถัดไปวา เซลลตางๆ ที่อยูบนรางกายของเรามีรูปราง และหนาที่เหมือนกันหรือไม อยางไร (แนวตอบ เซลลบนรางกายมนุษยมีรูปรางแตก ตางกันตามความเหมาะสมกับหนาที่การ ทํางานของเซลลแตละชนิด เชน เซลลกลามเนื้อ ซึ่งเกี่ยวของกับการเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิต เซลลรับแสงในดวงตา เปนตน) 2. ครูใหนักเรียนศึกษาตัวอยางสิ่งมีชีวิตหลายเซลล และศึกษารูปรางและหนาที่ของเซลลสิ่งมีชีวิต หลายเซลล จาก PPT หรือหนังสือเรียน วิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 นักเรียนควรรู 1 ใบ เปนโครงสรางสําคัญที่ใชในการสังเคราะหดวยแสงเพื่อสรางอาหาร ใหแกพืช ซึ่งภายในใบมีเซลลที่เกี่ยวของกับกระบวนการสังเคราะหดวยแสง เชน เซลลคุมที่บริเวณผิวใบ ทําหนาที่ควบคุมการเปด-ปดของปากใบ ชวยควบคุม การระเหยของนํ้าและแกสตางๆ นอกจากนี้ แพลิเสดเซลล (palisade cell) อยูถัดเขามาจากชั้นผิวใบ ซึ่งเซลลมีรูปรางเรียวยาว และอัดตัวกันแนน เพื่อเพิ่ม พื้นที่ผิวใหทุกๆ เซลลสัมผัสกับแสง เนื่องจากภายในเซลลนั้นมีคลอโรพลาสต ที่มีรงควัตถุชวยในการดูดกลืนแสง เซลลคุมพบมากในสวนใดของพืช 1. ใบ 2. ราก 3. ลําตน 4. ยอด (วิเคราะหคําตอบ เซลลคุม ทําหนาที่ควบคุมการเปด-ปด ของปากใบซึ่งเปนทางเขาออกของนํ้า แกสออกซิเจน และ แกสคารบอนไดออกไซดที่อยูระหวางอากาศกับใบของพืช จึงพบ เซลลคุมมากที่ใบของพืช ดังนั้น ตอบขอ 1.) นํา สอน สรุป ประเมิน T36 www.aksorn.com/interactive3D/RK722 เซลลพืช


ล�าไส้ เลือด อวัยวะสืบพันธุ์ เนื้อเยื่อประสาท เนื้อเยื่อบุผิว นํ้าเลือด เนื้อเยื่ออัณฑะ     เซลล์ชนิดต่าง ๆ มีขนาดแตกต่างกัน เช่น เซลล์เส้นผมมีขนาด 100 ไมโครเมตร สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และสัมผัสได้ ขณะที่เซลล์ แบคทีเรียมีขนาดเพียง  1  ไมโครเมตร  ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เป็นต้น  ซึ่งในชีวิตประจ�าวันของมนุษย์ส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับเซลล์ที่มี ขนาดเล็กอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น แบคทีเรียก่อโรคต่าง ๆ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่อาจท�าให้เสียชีวิตได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี ดังนั้น ในการวินิจฉัย โรคจึงต้องอาศัยอุปกรณ์ที่จะช่วยในการมองเห็นเซลล์ขนาดเล็กนั้นได้  โดย อุปกรณ์ทั่วไปที่ใช้ตรวจสอบเซลล์ขนาดเล็ก คือ กล้องจุลทรรศน์ ตัวอย่างโครงสร้างของสัตว์ เซลล์บุผิว มีส ่วนที่ยื่นออกไปคล้ายนิ้วมือ  เรียกว่า  วิลลัส (villus) ซึ่งช่วย เพิ่มพื้นที่ผิวในการดูดซึมอาหาร เซลล์เม็ดเลือดแดง มีลักษณะกลม ตรงกลางเว้า ไม่มี นิวเคลียส  ซึ่งช่วยเพิ่มพื้นที่ผิว ในการแลกเปลี่ยนแก๊สและสามารถ ลอดผ่านหลอดเลือดฝอยได้ เซลล์อสุจิ ประกอบด้วยส่วนหัว ส่วนล�าตัว และส่วนหางที่ยาว  ซึ่งช่วยให้ สามารถเคลื่อนที่ไปผสมกับ เซลล์ไข่ได้ สมอง   ภาพที่ 2.5 เชื้อแบคทีเรีย E.coli ปนเปอน    ในอาหาร เซลล์ประสาท มีลักษณะเป็นเส้นใยยาว  และ แตกแขนงไปทั่วร ่างกาย  ท�า หน้าที่รับส ่งกระแสประสาท  เพื่อควบคุมการท�างานของ ร่างกาย  ภาพที่ 2.4 โครงสร้างของสัตว์ 31 หน่วยของ สิ่งมีชีวิต เซลล์อสุจิ เซลล์ไข่ได้ 1 2 สื่อ Digital ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET เซลลเม็ดเลือดขาวแตกตางจากเซลลเม็ดเลือดแดงอยางไร (วิเคราะหคําตอบ เซลลเม็ดเลือดแดงจะมีขนาดประมาณ 6-8 ไมครอน รูปรางคอนขางกลม และเวาบริเวณกลางเซลล ไมมี นิวเคลียส มีสีแดง เพราะมีเฮโมโกลบินเปนองคประกอบ เซลล เม็ดเลือดแดง ทําหนาที่ลําเลียงแกสออกซิเจนไปเลี้ยงเซลลตางๆ ไปทั่วรางกาย แตสําหรับเซลลเม็ดเลือดขาวจะมีขนาดประมาณ 6-15 ไมครอน รูปรางและขนาดแตกตางกันตามชนิด ซึ่งปกติจะใหญ กวาเซลลเม็ดเลือดแดงประมาณ 2 เทา มีนิวเคลียส ไมมีสี เพราะไมมีเฮโมโกลบินเปนองคประกอบ เซลลเม็ดเลือดขาว ทําหนาที่เปนเซลลของระบบภูมิคุมกัน ซึ่งจะคอยปองกันรางกาย จากเชื้อโรค และสารแปลกปลอมตางๆ ที่เขามาในรางกาย) ขั้นสอน สํารวจคนหา 3. ครูใหนักเรียนศึกษารูปรางและหนาที่ของเซลล ในสัตว จาก PPT หรือหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 4. ครูใหนักเรียนจับกลุม กลุมละ 4-5 คน รวมกัน ยกตัวอยางเซลลของสิ่งมีชีวิตมา 10 ชนิด พรอม อธิบายรูปรางและหนาที่ในสิ่งมีชีวิตชนิดนั้น แลวสงตัวแทนออกมานําเสนอหนาชั้นเรียน นักเรียนควรรู 1 เซลลอสุจิ เพศชายจะเริ่มสรางเซลลอสุจิ เมื่ออายุประมาณ 12-13 ป และจะสรางไปตลอดชีวิต การหลั่งนํ้าอสุจิแตละครั้งจะมีของเหลวประมาณ 3-4 ลูกบาศกเซนติเมตร ซึ่งมีเซลลอสุจิเฉลี่ยประมาณ 300-500 ลานตัว 2 เซลลไข เด็กหญิงแรกเกิดจะมีเซลลไขที่ยังไมเจริญเต็มที่ประมาณ 5 แสนเซลล และจะลดจํานวนลงเรื่อยๆ จนถึงวัยที่ตกไขได จะเหลือประมาณ 490 เซลล นํา สอน สรุป ประเมิน T37 www.aksorn.com/interactive3D/RK723 เซลลสัตว


ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET ฐาน สวนที่รองรับนํ้าหนักของกลอง เลนสใกลตา อยูสวนบนของลํากลอง โดยทั่วไปจะมีกําลังขยาย 10X ลํากลอง ดานบนติดกับเลนสใกลตา ดานลาง ติดกับเลนสใกลวัตถุ แขนกลอง ใชจับในขณะเคลื่อนยายกลองจุลทรรศน ปุมปรับภาพหยาบ ใชหมุนเพื่อเลื่อนตําแหนงแทน ของวัตถุ เพื่อปรับระยะภาพ ปุมปรับภาพละเอียด ใชหมุนเพื่อทําใหเห็นภาพได ชัดเจนยิ่งขึ้น แทนวางวัตถุ ใชวางสไลดที่ตองการศึกษา ที่หนีบสไลด ใชหนีบสไลดใหแนนอยูกับที่ เลนสใกลวัตถุ ติดอยูบนแปนกลม มีทั้งกําลังขยายตํ่า และสูง (4X 10X 40X 100X) จานหมุน ใชหมุนเมื่อตองการเปลี่ยน กําลังขยายของเลนสใกลวัตถุ 1.2 กลองจุลทรรศน กลองจุลทรรศน(microscope) เปนอุปกรณที่ชวยในการขยายขนาด สิ่งตาง ๆ ที่เราไมสามารถมองเห็นไดดวยตาเปลา เชน เซลล เปนตน โดย รอเบิรต ฮุก (Robert Hooke) นักวิทยาศาสตรชาวอังกฤษ เปนผูประดิษฐ กลองจุลทรรศน เพื่อใชสังเกตสวนของไมคอรก (cork) ที่ถูกเฉือนเปนแผนบาง ๆ โดยภาพที่ไดมีลักษณะเปนหองเล็ก ๆ คลายรังผึ้ง เรียกหองเหลานี้วา เซลล ซึ่งเปนการคนพบเซลลของสิ่งมีชีวิตครั้งแรกผานกลองจุลทรรศน ในเวลาตอมากลองจุลทรรศนถูกพัฒนาใหมีหลายแบบ แตแบบที่ใช ศึกษาในบทเรียนนี้ คือ กลองจุลทรรศนแบบใชแสง (light microscope) โดย มีสวนประกอบ ดังนี้ เลนสรวมแสง ทําหนาที่รวมแสงใหเขมขึ้น เพื่อสงไปยังวัตถุที่ตองการศึกษา ไอริส ไดอะแฟรม มานปด - เปดรูรับแสง สามารถปรับ ขนาดของรูรับแสงไดตามตองการ ภาพที่ 2.6 กลองจุลทรรศนของรอเบิรต ฮุก ภาพที่ 2.7 กลองจุลทรรศน แหลงกําเนิดแสง แหลงกําเนิดแสงของกลองอาจเปน กระจกเงาหรือหลอดไฟ 32 กลองจุลทรรศน ขั้นสอน สํารวจคนหา 1. ครูถามคําถามวา เราจะศึกษารูปรางและลักษณะ สิ่งมีชีวิตเซลลเดียว และเซลลของสิ่งมีชีวิต หลายเซลลไดอยางไร (แนวตอบ อาศัยกลองจุลทรรศนเขามาชวยใน การศึกษาสิ่งมีชีวิตเซลลเดียว และเซลลของ สิ่งมีชีวิตหลายเซลล) 2. ครูเลาประวัติของรอเบิรต ฮุก อยางสังเขป พรอมทั้งอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลองจุลทรรศน จากนั้นครูถามคําถามกระตุนความสนใจของ นักเรียนวา เซลลที่รอเบิรต ฮุก คนพบมีลักษณะ อยางไร (แนวตอบ รอเบิรต ฮุก ใชกลองจุลทรรศนสองดู ไมคอรกที่เฉือนบางๆ และพบชองขนาดเล็ก จํานวนมาก เรียกชองเหลานี้วา เซลล (cell) ซึ่งแตละเซลลมีผนังเซลลเรียงติดกันเปน ชองสี่เหลี่ยม) 3. ครูใหนักเรียนศึกษาสวนประกอบของ กลองจุลทรรศนในหนังสือเรียนวิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 คอนเดนเซอร (condenser) เปนเลนสรวมแสง จากประโยชน ขางตน นักเรียนคิดวาเลนสรวมแสงเปนเลนสอะไร 1. เลนสนูน 2. เลนสเวา 3. เลนสกาบกลวย 4. ถูกทุกขอ (วิเคราะหคําตอบ เลนสที่ทําหนาที่รวมแสงใหไปตกที่จุดเดียวกัน คือ เลนสนูน สําหรับเลนสเวาจะทําหนาที่กระจายแสง สวนเลนส กาบกลวยจะทําหนาที่หักเหแสง ดังนั้น ตอบขอ 1.) เกร็ดแนะครู ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดูแลรักษากลองจุลทรรศนวา กลองจุลทรรศน เปนอุปกรณที่มีราคาสูงและเสียหายไดงาย โดยเฉพาะชิ้นสวนของเลนส ดังนั้น จึงตองดูแลและเก็บรักษาอุปกรณใหถูกวิธี ซึ่งมีวิธีปฏิบัติ ดังนี้ 1. ระวังไมใหสไลดและกระจกปดสไลดเปยก เพราะอาจทําใหเกิดสนิม 2. ในการมองภาพตองเริ่มตนจากกําลังขยายตํ่าสุดกอน 3. หากจําเปนตองใชเลนสกําลังขยายสูงสุด ควรหยดนํ้ามันเพื่อปองกันไม ใหเลนสใกลวัตถุกระทบกับกระจกสไลด สื่อ Digital นํา สอน สรุป ประเมิน T38 www.aksorn.com/interactive3D/RK721 กลองจุลทรรศน


แท่นวางวัตถุ ใช้วางสไลด์ที่ต้องการศึกษา หมุนปุ่มปรับภาพหยาบช้า ๆจนมองเห็นภาพวัตถุจากนั้นหมุน ปุ่มปรับภาพละเอียด เพื่อท�าให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ปรับไอริส ไดอะแฟรม เมื่อต้องการเพิ่มความเข้มแสงที่เข้าสู่ ล�ากล้อง วางกล้องบนพื้นที่เรียบ หมุนเลนส์ใกล้ วัตถุที่มีก�าลังขยายต�่าสุดมาอยู่ตรงกลาง ล�ากล้อง ปรับกระจกเงาใต้แท ่นวางวัตถุให้แสง สะท้อนเข้าสู่กล้องจากนั้นน�าสไลด์วางบน แท่นวางวัตถุ ถ้าต้องการเห็นภาพขนาดใหญ่ขึ้น ให้หมุนเลนส์ใกล้วัตถุที่มี ก�าลังขยายสูงเข้าในแนวล�ากล้องแล้วหมุนปุ่มปรับภาพละเอียด ท�าความสะอาดกล้องเมื่อใช้งานเสร็จ  แล้วใช้ถุงคลุมกล้องหรือ เก็บไว้ในที่ที่ไม่มีฝุ่นซึ่งบริเวณเลนส์ให้เช็ดด้วยกระดาษเช็ดเลนส์ หรือน�้ายาส�าหรับเช็ดเลนส์ หมุนปุ่มปรับภาพหยาบให้ล�ากล้องเลื่อน มาอยู่ใกล้กับวัตถุมากที่สุดแล้วมองวัตถุ ผ่านเลนส์ใกล้ตา 1 4 6 5 7 2 3 ขั้นตอนการใช้งานกล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง   ก�าลังขยายของกล้องจุลทรรศน์เป็นค่าคงที่บ่งบอกว่า กล้องจุลทรรศน์สามารถขยายภาพของวัตถุได้กี่เท่า   โดยค�านวณได้จากสูตร ดังนี้   ก�าลังขยายของกล้องจุลทรรศน์ = ก�าลังขยายของเลนส์ใกล้วัตถุ × ก�าลังขยายของเลนส์ใกล้ตา Focus Science ก�ำลังขยำยของกล้องจุลทรรศน์  ภาพที่ 2.8 ขั้นตอนการใช้กล้องจุลทรรศน์ 33 หน่วยของ สิ่งมีชีวิต ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET ขอใดถูกตองเกี่ยวกับการใชกลองจุลทรรศน 1. ขณะดูกลองจุลทรรศนควรลืมตาทั้งสองขาง 2. ขณะดูกลองจุลทรรศนใหลืมตาขางใดขางหนึ่ง 3. หมุนเลนสใกลวัตถุที่มีกําลังขยายสูงสุดมาอยูตรงกลาง ลํากลองกอน 4. ถาตองการเห็นภาพมีขนาดใหญและมีรายละเอียดมากขึ้น ตองขยับสไลดไปมา (วิเคราะหคําตอบ หลักการใชงานกลองจุลทรรศนที่ถูกตอง คือ ควรลืมตาทั้งสองขางในขณะที่ดูกลองจุลทรรศน ควรหมุนเลนส ใกลวัตถุที่มีกําลังขยายตํ่าสุดมาอยูกลางลํากลองกอนเสมอ และถาตองการเห็นภาพที่มีขนาดใหญขึ้น ใหใชเลนสใกลวัตถุที่มี กําลังขยายสูงขึ้น ดังนั้น ตอบขอ 1.) ขั้นสอน สํารวจคนหา 4. ครูสาธิตการใชงานกลองจุลทรรศนแบบใชแสง ตามขั้นตอน จาก PPT หรือหนังสือเรียน วิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 5. ครูใหนักเรียนจับกลุม กลุมละ 4-5 คน ฝก ปฏิบัติใชงานกลองจุลทรรศน และบันทึกผล ลงในใบงาน เรื่อง เซลลของสิ่งมีชีวิต ขั้นสรุป ขยายความรู 1. ครูใหนักเรียนทําแบบฝกหัดในแบบฝกหัด วิทยาศาสตร ม.1 เลม 1 แนวทางการวัดและประเมินผล ครูวัดและประเมินผลความเขาใจในเนื้อหา เรื่อง ขั้นตอนการใช กลองจุลทรรศน ไดจากแบบประเมินการนําเสนอผลงาน โดยศึกษาเกณฑการวัด และประเมินที่อยูในแผนการจัดการเรียนรูประจําหนวยการเรียนรูที่ 2 อธิบายความรู 1. ครูสุมเลือกตัวแทนนักเรียน 4 คน ออกมา นําเสนอใบงาน หนาชั้นเรียนในหัวขอ ดังนี้ - นักเรียนคนที่ 1 นําเสนอขั้นตอนการใช กลองจุลทรรศน - นักเรียนคนที่ 2 นําเสนอความแตกตาง ระหวางสิ่งมีชีวิตเซลลเดียวกับสิ่งมีชีวิต หลายเซลล - นักเรียนคนที่ 3 และ 4 นําเสนอความสัมพันธ ระหวางรูปรางของเซลลตอการทําหนาที่ของ เซลลจากสไลดตัวอยางทั้งหมด ขั้นประเมิน ตรวจสอบผล 1. ครูตรวจแบบฝกหัด 2. ครูตรวจแบบทดสอบกอนเรียน 3. ครูตรวจใบงาน เรื่อง เซลลของสิ่งมีชีวิต 4. ครูสังเกตพฤติกรรมการนําเสนอผลงาน 5. ครูสังเกตพฤติกรรมการทํางานรายกลุม แบบประเมินการน าเสนอผลงาน ค าชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินการน าเสนอผลงาน แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับระดับคะแนน ล าดับที่ รายการประเมินระดับคะแนน 3 2 1 1 ความถูกต้องของเนื้อหา 2 ภาษาที่ใช้เข้าใจง่าย 3 ประโยชน์ที่ได้จากการน าเสนอ 4 วิธีการน าเสนอผลงาน 5 ความสวยงามของผลงาน รวม ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน .............../................/................ เกณฑ์การให้คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 14-15 ดีมาก 11-13 ดี 8-10 พอใช้ ต่ ากว่า 8 ปรับปรุง นํา สอน สรุป ประเมิน T39


ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET 1.3 โครงสร้างของเซลล์   เซลล์แต่ละชนิดจะมีขนาด รูปร่าง  และหน้าที่แตกต่างกัน  แต่เซลล์ทุกชนิดจะมีโครงสร้างพื้นฐานที่ส�าคัญ  3 ส่วนที่เหมือนกัน ได้แก่ เยื่อหุ้มเซลล์ ไซโทพลาซึม และนิวเคลียส แวคิวโอล (vacuole) :  มีขนาดเล็กกว่า เซลล์พืช ท�าหน้าที่รักษาสมดุลของน�้าใน สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวบางชนิด (contractile vacuole)  หรือใช้บรรจุอาหารในเซลล์ เม็ดเลือดขาวของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม (food vacuole) อยู ่ด้านนอกสุด  ท�าหน้าที่ห ่อหุ้มส ่วนต ่าง ๆ  ที่อยู ่ภายในเซลล์  ควบคุมการผ ่าน เข้า-ออกของสารระหว่างเซลล์  และมีคุณสมบัติยอมให้สารบางชนิดผ่านได้  เรียกว่า  เยื่อเลือกผ่าน (semipermeable membrane) เยื่อหุ้มเซลล์ (cell membrane) ไรโบโซม (ribosome)  :  มีขนาดเล็ก  กระจายอยู ่ในไซโทพลาซึม  ท�าหน้าที่ สังเคราะห์โปรตีน ร่างแหเอนโดพลาซึม (endoplasmicreticulum) :ลักษณะเป็นท่อแบน บางส่วนพองออกเป็นถุง เรียงซ้อนกันเป็นชั้น ๆ  ท�าหน้าที่สังเคราะห์ โปรตีนและเอนไซม์  เซนทริโอ (centriole)  :  ลักษณะคล้าย ท่อทรงกระบอก  2  อัน  วางตั้งฉากกัน  เป็นออร์แกเนลล์ที่ท�าให้โครมาทิดแยก ออกจากกันในระหว่างการแบ่งเซลล์ โครงสร้างของเซลล์ โครงสร้าง เซลล์สัตว์ ไซโทพลาซึม (cytoplasm) ส่วนที่อยู่ภายในเยื่อหุ้มเซลล์  มีลักษณะกึ่งแข็งกึ่งเหลว  ประกอบด้วย  น�้าเป็นส่วนใหญ่  และมีสารต่าง ๆ  ละลายและแขวนลอยอยู่  ทั้ง สารที่จ�าเป็นต่อการด�ารงชีวิตของเซลล์ เช่น น�้าตาล โปรตีน  เป็นต้น รวมทั้งของเสียต่าง ๆ  จากกิจกรรมของเซลล์ นอกจากนั้นในไซโทพลาซึมยัง พบออร์แกเนลล์หลายชนิด กระจายอยู่  ภาพที่ 2.9 โครงสร้างของเซลล์พืชและสัตว์ 34 เยื่อเลือกผ่าน ( 1 ขั้นนํา กระตุนความสนใจ ครูตั้งคําถามกระตุนความคิดนักเรียนวา เซลลพืช และเซลลสัตวมีลักษณะเหมือนหรือตางกัน อยางไร แลวใหนักเรียนชวยกันระดมความคิดในการตอบ คําถาม (แนวตอบ เซลลพืชและเซลลสัตวจะมีโครงสราง พื้นฐานสําคัญ 3 สวนที่เหมือนกัน คือ สวนที่ หอหุมเซลล ไซโทพลาซึม และนิวเคลียส แต รูปรางของเซลลพืช และเซลลสัตวตางกัน ซึ่ง เซลลพืชจะมีรูปรางเหลี่ยม สวนเซลลสัตวจะมี รูปรางกลม) เกร็ดแนะครู ครูอาจนําแบบจําลองของเซลลพืชและเซลลสัตวมาแสดงใหนักเรียนดู เพื่อใหนักเรียนเกิดความเขาใจเกี่ยวกับลักษณะและโครงสรางของเซลลพืช และเซลลสัตวมากขึ้น นักเรียนควรรู 1 เยื่อเลือกผาน คือ เยื่อบางๆ ที่มีลักษณะพิเศษที่ยอมใหของเหลว หรือนํ้า แพรผานเขาและออกไดสะดวก แตไมยอมใหสารอื่นที่มีโมเลกุลขนาดใหญผานได สวนประกอบใดของเซลลพบทั้งในเซลลพืชและเซลลสัตว 1. นิวเคลียส 2. ผนังเซลล 3. คลอโรฟลล 4. คลอโรพลาสต (วิเคราะหคําตอบ ผนังเซลล คลอโรฟลล และคลอโรพลาสตจะพบ เฉพาะในเซลลพืชเทานั้น สวนนิวเคลียสจะพบไดทั้งในเซลลพืช และเซลลสัตว ดังนั้น ตอบขอ 1.) นํา นํา สอน สรุป ประเมิน T40


H O T S ถ้าเซลล์ ไม่มีนิวเคลียส เราจะด�ารงชีวิตได้ตามปกติ หรือไม่ อย่างไร (ค�าถามท้าทายความคิดขั้นสูง) คลอโรพลาสต์ (chloroplast) : มีเยื่อหุ้ม  2  ชั้น  ภายในมีรงควัตถุที่เกี่ยวข้องกับ กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง เรียกว่า  คลอโรฟลล์ (chlorophyll) พบเฉพาะใน เซลล์พืช ลักษณะเป็นทรงกลม  ภายในประกอบด้วยสารที่ควบคุมลักษณะทางพันธุกรรมและกิจกรรม ต่าง ๆ ของเซลล์  เยื่อหุ้มเซลล์(cellmembrane): ห่อหุ้มเซลล์ และควบคุมการผ่านเข้า-ออกของสาร ผนังเซลล์ (cell wall) : เป็นโครงสร้างที่ ห่อหุ้มด้านนอกของเซลล์พืช ท�าให้เซลล์ มีความแข็งแรง และช่วยให้เซลล์สามารถ คงรูปอยู่ได้ พบเฉพาะในเซลล์พืช แวคิวโอล (centralvacuole) : ลักษณะเป็น ถุง ภายในมีสารละลายอยู่ ในเซลล์พืช ท�าหน้าที่เก็บสะสมน�้าและสารอื่น ๆ แต ่ในสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวท�าหน้าที่ ควบคุมปริมาณน�้าและของเสีย ไมโทคอนเดรีย (mitochondria)  : มีเยื่อหุ้ม  2  ชั้น  ท�าหน้าที่เป็นแหล ่ง สร้างพลังงานให้แก่เซลล์ นิวเคลียส (nucleus) นิวเคลียส : ควบคุมกระบวนการต่าง ๆ  ภายในเซลล์ โครงสร้าง เซลล์พืช กอลจิบอดี (golgi body) : ลักษณะเป็น ถุงเยื่อบาง ๆ เรียงซ้อนกันเป็นชั้น ๆ และ ส่วนปลายของถุงมักโป่งออก  ท�าหน้าที่ เก็บสารที่ร่างแหเอนโดพลาซึมสร้างขึ้น เยื่อหุ้มเซลล์ 35 หน่วยของ สิ่งมีชีวิต คลอโรฟลล์ ( 1 ขั้นสอน สํารวจคนหา 1. ครูใหนักเรียนศึกษาแผนภาพโครงสรางของ เซลลสิ่งมีชีวิตทั้งเซลลพืชและเซลลสัตว จากนั้นครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงสราง พื้นฐานของเซลลสิ่งมีชีวิตพอสังเขป 2. ครูถามคําถามทาทายความคิดขั้นสูง (H.O.T.S.) แนวตอบ H.O.T.S. เนื่องจากนิวเคลียสทําหนาที่ควบคุมกิจกรรม ตางๆ ของเซลล ซึ่งหากเซลลสิ่งมีชีวิตไมมีนิวเคลียส พบวา สิ่งมีชีวิตเซลลเดียวจะไมสามารถดํารงชีวิต อยูได เนื่องจากไมมีนิวเคลียสควบคุมกิจกรรมตางๆ แตถาเปนสิ่งมีชีวิตหลายเซลลสามารถดํารงชีวิตได อยางปกติ เนื่องจากรางกายของสิ่งมีชีวิตหลาย เซลล ประกอบดวยเซลลจํานวนมาก หากบางเซลล ไมมีนิวเคลียส เซลลอื่นๆ ที่มีลักษณะหรือหนาที่ เหมือนกันสามารถทําหนาที่ทดแทนเซลลที่ไมมี นิวเคลียสได สื่อ Digital ศึกษาเพิ่มเติมไดจากภาพยนตรสารคดีสั้น Twig เรื่อง เซลลคืออะไร https://www.twig-aksorn.com/film/what-is-a-cell-7924/ นักเรียนควรรู 1 คลอโรฟลล คือ รงควัตถุที่พบในคลอโรพลาสตของเซลลพืช ทําหนาที่ เกี่ยวของกับกระบวนการสังเคราะหดวยแสงเพื่อสรางอาหาร ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET ออรแกเนลลในไซโทพลาซึมคูใดที่สัมพันธกันมากที่สุด 1. ไมโทคอนเดรีย แวคิวโอล 2. เซนทริโอล ไมโทคอนเดรีย 3. รางแหเอนโดพลาซึม แวคิวโอล 4. รางแหเอนโดพลาซึม กอลจิบอดี (วิเคราะหคําตอบ ไมโทคอนเดรีย ทําหนาที่เปนแหลงสรางพลังงาน ใหแกเซลล แวคิวโอล ทําหนาที่เก็บสารภายในเซลล เซนทริโอล ทําหนาที่ชวยในการแบงเซลล และชวยในการเคลื่อนที่ของเซลล บางชนิด รางแหเอนโดพลาซึม ทําหนาที่สังเคราะหโปรตีนและ เอนไซม สวนกอลจิบอดี ทําหนาที่เก็บสารที่รางแหเอนโดพลาซึม สรางขึ้น รางแหเอนโดพลาซึมและกอลจิบอดี จึงมีความสัมพันธ กันมากที่สุด ดังนั้น ตอบขอ 4.) นํา สอน สรุป ประเมิน T41


Click to View FlipBook Version