The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัยในชั้นเรียน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

วิจัยในชั้นเรียน

วิจัยในชั้นเรียน

การพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงภาษาจีน โดยใช้สื่อมัลติมีเดีย วิชาภาษาจีน เรื่อง การออกเสียงภาษาจีน ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 กันธิมา ศิริก าเลิศ วิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชา การสอนภาษาจีน มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี


หัวข้อวิจัยในชั้นเรียน การพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงภาษาจีนโดยใช้สื่อมัลติมีเดีย วิชาภาษาจีน เรื่อง การออกเสียงภาษาจีน ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ผู้วิจัย นางสาวกันธิมา ศิริก าเลิศ สาขาวิชา การสอนภาษาจีน อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ปาริฉัตร พรมสอน ครูพี่เลี้ยง นางสาวศิริลักษณ์พันธุรัตน์ อาจารย์ประจ าหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาจีน คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานีอนุมัติให้นับวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตาม หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาจีน .................................................................. หัวหน้าสาขาวิชา (อาจารย์ปาริฉัตร พรมสอน) วันที่ 30 เดือน มกราคม พ.ศ. 2567 คณะกรรมการผู้ประเมินรายงานวิจัยในชั้นเรียน .................................................................................. ประธานคณะกรรมการ (อาจารย์นรากร จันลาวงศ์) .................................................................................. กรรมการ (อาจารย์กนิษฐา มาลา) .................................................................................. กรรมการ (นางสาวศิริลักษณ์ พันธุรัตน์) ครูพี่เลี้ยง .................................................................................. กรรมการ (นางธัมมพร ค าสูงเนิน) หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ


ก กิตติกรรมประกาศ การวิจัยฉบับนี้ส าเร็จสมบูรณ์ได้ด้วยความกรุณา และความช่วยเหลืออย่างดียิ่งจาก อาจารย์ ปาริฉัตร พรมสอน อาจารย์กนิษฐา มาลา อาจารย์ที่ปรึกษาและอาจารย์ประจ าวิชา อาจารย์นรากร จันลาวงศ์ และอาจารย์ประจ าสาขาการสอนภาษาจีนทุกท่าน ผู้วิจัยขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงยิ่ง ขอขอบพระคุณ นายศุภักดิ์วรรณภักดิ์ ผู้อ านวยการโรงเรียนเทศบาล 4 วัดโพธิวราราม ผู้บริหารและคณะครูโรงเรียนเทศบาล 4 วัดโพธิวรารามทุกท่าน ที่ให้ความช่วยเหลือ และให้การ สนับสนุนในการท าวิจัยในครั้งนี้ ขอขอบพระคุณดร.มัลลิกา ดวงภักดีอาจารย์กนิษฐา มาลา และ อาจารย์อนงครัตน์ บังศรีที่ให้ความอนุเคราะห์เป็นที่ปรึกษาและเป็นผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือ ที่ใช้ในการวิจัย รวมทั้งขอขอบใจนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเทศบาล 4 วัดโพธิวรารามทุก คน ที่ให้ความสะดวกและให้ความร่วมมือด้วยดีในการเก็บรวบรวมข้อมูล ส าหรับการศึกษาครั้งนี้ เป็นอย่างดี ขอขอบพระคุณ คุณแม่หลงมา ศิริก าเลิศ คุณพ่อประทีป ศิริก าเลิศ ที่กรุณาอนุเคราะห์ด้าน ทุนส าหรับการวิจัย ขอขอบคุณเพื่อนนิสิตครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาจีน ทุกคนที่มีส่วน ช่วยเหลือ ทั้งแรงกาย และแรงใจ จนวิจัยฉบับนี้ส าเร็จสมบูรณ์ คุณค่าและประโยชน์จากวิจัยฉบับนี้ ผู้วิจัยขอบูชาพระคุณบิดา มารดา และบูรพาจารย์ ตลอดจนผู้มีพระคุณทุกท่านที่ได้ให้การศึกษาอบรมสั่งสอน ให้มีสติปัญญา คุณธรรม และจริยธรรม อันเป็นเครื่องชี้น าความส าเร็จในชีวิต กันธิมา ศิริก าเลิศ


ข ชื่อเรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงภาษาจีนโดยใช้สื่อมัลติมีเดีย วิชาภาษาจีน เรื่อง การออกเสียงภาษาจีน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ผู้วิจัย นางสาวกันธิมา ศิริก าเลิศ อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ปาริฉัตร พรมสอน ปริญญา ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชา การสอนภาษาจีน มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ปีที่พิมพ์ 2567 บทคัดย่อ รายงานนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) หาประสิทธิภาพของสื่อมัลติมีเดีย วิชาภาษาจีน เรื่อง การออกเสียงภาษาจีน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเทศบาล 4 วัดโพธิวราราม ตามเกณฑ์ร้อย ละ 80/80 (2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยสื่อมัลติมีเดีย วิชา ภาษาจีน เรื่อง การออกเสียงภาษาจีน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเทศบาล 4 วัดโพธิวราราม กลุ่มเป้าหมายใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนเทศบาล 4 วัดโพธิวราราม อ าเภอเมือง จังหวัดอุดรธานีสังกัดส านัก การศึกษา เทศบาลนคร จ านวน 1 ห้องเรียน จ านวนนักเรียน 13 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบไปด้วยสื่อมัลติมีเดีย วิชา ภาษาจีน เรื่อง การออกเสียงภาษาจีน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีคุณภาพอยู่ในระดับดีมาก แผนการจัดการเรียนรู้ วิชาภาษาจีน เรื่อง การออกเสียงภาษาจีน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จ านวน 5 แผน มีคุณภาพอยู่ในระดับมากที่สุด และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิชาภาษาจีน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 แบบปรนัย 4 ตัวเลือก จ านวน 20 ข้อ ซึ่งมีค่าความ ยากง่ายระหว่าง 0.20-0.80 ค่าอ านาจจ าแนกระหว่าง 0.20-0.88 และมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.9745 สถิติที่น ามาใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบ สมมุติฐานโดยใช้ t – test (Dependent Samples) ผลการวิจัยปรากฏ ดังนี้ 1. ประสิทธิภาพของสื่อมัลติมีเดีย วิชาภาษาจีน เรื่อง การออกเสียงภาษาจีน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 80.77/82.31 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้ 2. นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้สื่อมัลติมีเดีย วิชาภาษาจีน เรื่อง การออกเสียง ภาษาจีน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดยสรุป การจัดการเรียนรู้โดยใช้สื่อมัลติมีเดีย วิชาภาษาจีน เรื่อง การออกเสียงภาษาจีน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เป็นการจัดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ สามารถน าไปประยุกต์ใช้ในการจัดการ เรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ค สารบัญ บทที่ หน้า กิตติกรรมประกาศ ............................................................................................. ....... บทคัดย่อ .......................................................................................................... ........ สารบัญ ..................................................................................................................... สารบัญตาราง .................................................................................................... ...... 1 บทน า ...................................................................................................................... ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา ..................................................... วัตถุประสงค์ของการวิจัย ............................................................................ สมมติฐานของการจัย ................................................................................. ขอบเขตของการวิจัย .................................................................................. นิยามศัพท์เฉพาะ ....................................................................................... ประโยชน์ที่จะได้รับ .................................................................................... 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง .............................................................................. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ....................................................................... เอกสารที่เกี่ยวกับภาษาจีน …………………………............................................ การอ่านออกเสียง ……………………………………………………............................. เอกสารเกี่ยวกับการใช้สื่อประสมประเภทสื่อมัลติมีเดีย …........................... งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ..................................................................................... งานวิจัยในประเทศ ............................................................................... งานวิจัยต่างประเทศ ............................................................................. 3 วิธีด าเนินการวิจัย .................................................................................................... กลุ่มเป้าหมาย ............................................................................................ รูปแบบในการทดลอง ............................................................ .................... เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ............................................................................. การเก็บรวบรวมข้อมูล ................................................................................ การวิเคราะห์ข้อมูล ................................................................. ................... สถิติที่ใช่ในการวิจัย ............................................................ ...................... ก ข ค ง 1 1 3 3 3 4 5 6 7 10 13 19 23 23 25 26 26 26 27 31 31 31


ค สารบัญ (ต่อ) บทที่ หน้า 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ............................................................................................. สัญลักษณ์ที่ใช้ในการน าเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล .................................... ล าดับขั้นตอนในการน าเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ..................................... ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ................................................................................... 5 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง .............................................................................. สมมติฐานของการศึกษาค้นคว้า ................................................................ กลุ่มเป้าหมาย ………………………….............................................................. เครื่องมือในการศึกษาค้นคว้า ..................................................................... วิธีด าเนินการ …........................................................................................... การวิเคราะห์ข้อมูล .................................................................................... สรุปผลการศึกษา ...................................................................................... อภิปรายผล ............................................................................................... ข้อเสนอแนะ .............................................................................................. บรรณานุกรม ........................................................................................................... ภาคผนวก ................................................................................................................. ภาคผนวก ก เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ......................................... ภาคผนวก ข คุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย .......................................... ภาคผนวก ค ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ................................................................ ภาคผนวก ง ภาพการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน .......................................... ภาคผนวก จ รายนามผู้เชี่ยวชาญและประวัติย่อผู้วิจัย ...................................... 35 35 36 36 38 38 38 38 39 39 40 40 41 42 43 44 70 78 81 84


ง สารบัญตาราง ตาราง หน้า 1 ผลการหาประสิทธิภาพของสื่อมัลติมีเดีย วิชาภาษาจีน เรื่อง การออกเสียง ภาษาจีน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ............................. 2 ผลการเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนและหลังเรียนของกลุ่มเป้าหมาย ที่เรียนโดยใช้สื่อมัลติมีเดีย วิชาภาษาจีน เรื่อง การออกเสียงภาษาจีน ............... 3 ผลการประเมินคุณภาพและความเหมาะสมของสื่อมัลติมีเดีย วิชา ภาษาจีน เรื่อง การออกเสียงภาษาจีน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเทศบาล 4 วัดโพธิวรารามโดยผู้เชี่ยวชาญ ........................................................................ 4 ผลการหาประสิทธิภาพของสื่อมัลติมีเดีย วิชาภาษาจีน เรื่อง การออกเสียง ภาษาจีน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเทศบาล 4 วัดโพธิวราราม ในการทดลอง ภาคสนาม (1:100) .......................................................................................... 5 ผลการประเมินความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนรู้ วิชาภาษาจีน เรื่อง การออกเสียงภาษาจีน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเทศบาล 4 วัดโพธิวรารามที่ใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้สื่อมัลติมีเดีย ................................ 6 แสดงผลการวิเคราะห์ความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์การเรียนรู้ โดยผู้เชี่ยวชาญ .............................................................................................. 7 แสดงค่าความยาก (P) และค่าอ านาจจ าแนก (r) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน วิชา ภาษาจีน ........................................................................... 8 ผลการประเมินประสิทธิภาพของสื่อมัลติมีเดีย วิชาภาษาจีน เรื่อง การออกเสียง ภาษาจีน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเทศบาล 4 วัดโพธิวราราม ของ กลุ่มเป้าหมาย จ านวน 13 คน .......................................................................... 9 ผลเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนและหลังเรียนของกลุ่มเป้าหมาย ที่เรียน โดยใช้สื่อมัลติมีเดีย วิชาภาษาจีน เรื่อง การออกเสียงภาษาจีน ......................... 36 37 71 72 73 74 76 79 80


1 บทที่ 1 บทน ำ ควำมเป็นมำและควำมส ำคัญของปัญหำ ประเทศจีนนับเป็นประเทศที่มีบทบาทและมีความส าคัญเป็นอย่างมากในระบบเศรษฐกิจโลก ไม่ว่าจะเป็นด้านการค้า การลงทุน และการติดต่อความสัมพันธ์กับต่างประเทศของประเทศจีนด าเนิน ไปอย่างรวดเร็ว ภาษาจีนเป็นอีกหนึ่งภาษาที่คนทั่วโลกใช้กันมากรองลงมาจากภาษาอังกฤษ ปฏิเสธ ไม่ได้ว่าประเทศจีนก าลังเข้ามามีอิทธิพลต่อการค้าการลงทุนในอน าคตท าให้คนส่วนใหญ่ ให้ความส าคัญมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ในปัจจุบันที่เรียนภาษาจีนเพิ่มเติมเป็นภาษาที่สาม นอกจากภาษาอังกฤษเพราะสามารถช่วยให้ผู้เรียนมีความรู้ในการติดต่อสื่อสาร การค้า การลงทุน ดังนั้นการบันทึกความรู้และวิทยาการต่างๆจึงเป็นภาษาจีนไม่ว่าจะเป็นความรู้ด้านปรัชญา ประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์เป็นต้น ด้วยสภาพภูมิศาสตร์ ต่าง ๆ ทั้งขนาดของประเทศ จ านวน ประชากรการเมืองการปกครองและเศรษฐกิจที่มีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องท าให้ภาษาจีนกลาง เป็นภาษาหนึ่งของเอเชียที่ใช้ในองค์การสหประชาชาติยิ่งเพิ่มความส าคัญให้กับภาษาจีนกลางเป็น อย่างมาก การที่คนต่างประเทศ อย่างเช่น คนไทยมีโอกาสที่จะเรียนภาษาจีนแล้วนั้นย่อมถือว่า มีโอกาสอย่างยิ่งไม่เพียงแต่สามารถใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารทั่วไปแล้วเราสามารถใช้ภาษาเพื่อสร้าง ความเจริญก้าวหน้าในด้านต่าง ๆ ทั้งในระดับบุคคลและระดับประเทศ เช่นการศึกษาความรู้วิทยาการ การประกอบธุรกิจ การลงทุนและการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ (สุภิญญา เรือนแก้ว, 2552) และ (นิตยา สุวรรณศร, 2546) แนวการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร (Communicative Approach) ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางการเรียนการสอนครูผู้สอนลดบทบาทเปิดโอกาสให้ผู้เรียน ได้ฝึกพูดมากขึ้นใช้กิจกรรมต่างๆ หลากหลาย เน้นกิจกรรมกลุ่ม เพราะจะช่วยให้นักเรียนกล้าพูด กล้าแสดงออกมากขึ้น เป็นที่ทราบกันดีว่า การออกเสียงมีความส าคัญและเป็นทักษะที่จ าเป็นในการเรียนรู้ เพราะห ากผู้เรียนไม่สามารถอ่านออกเสียงได้ก็จะท าให้การเรียนในแต่ละครั้งพบปัญห า และอุปสรรคการเรียนการสอนภาษาจีนว่าผู้เรียนจะรู้เพียงความหมายของค าศัพท์และโครงสร้าง ประโยคเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอต้องสามารถเปล่งเสียงที่เจ้าของภาษาฟังแล้วสามารถเข้าใจได้ นอกจากนี้เนื่องจากคนไทยเรียนภาษาจีนเป็นภาษาต่างประเทศจึงพูดได้ไม่คล่องแคล่วเท่าที่ควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรียนการสอนภาษาจีนในสถานศึกษาส่วนใหญ่สิ่งแวดล้อมทางภาษาจีน ค่อนข้างน้อยแท้ที่จริงแล้วการพูดภาษาจีนจะคล่องแคล่วหรือไม่ขึ้นอยู่กับความรู้ การฝึกฝน และการ


2 มีโอกาสได้ใช้ภาษาจีนโดยตรงกับเจ้าของภาษาและการฝึกฝนการออกเสียงด ารงชีวิตประจ าวันของเรา อย่างยิ่ง การอ่านเป็นส่วนส าคัญในการสื่อความหมายถึงกันได้ถูกต้อง ด้วยเหตุนี้จึงมีความจ าเป็น ที่จะต้องสอนให้ทุกคนสามารถอ่านออกได้ (กนกวรรณ ทับสีรัก, สุรกานต์ จังหาร และประสพสุข ฤทธิเดช, 2559) ในปัจจุบันการสร้างสื่อการเรียนการสอนเป็นที่นิยมโดยสื่อจะประกอบไปด้วยภาพ เสียง และ เนื้อหาที่เกี่ยวข้องร่วมทั้งการสร้างสื่อยังต้องมีความสวยงามและมีความหน้าดึงดูดเพื่อที่จะท าให้เด็ก หรือผู้เรียนเกิดความสนใจและเกิดความอยากรู้อยากเห็นจึงจะท าให้ผู้เรียนสนใจในการเรียนมาก ขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการศึกษาที่จ าเป็นต้องใช้สื่อเพื่อการถ่ายทอดเนื้อหาความรู้แก่ผู้เรียนให้ เกิดการเรียนรู้อย่างเต็มประสิทธิภาพและประสิทธิผล (กิดานันท์ มลิทอง, 2548) เทคโนโลยีมัลติมีเดียหรือคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย ได้เข้ามามีบทบาทส าคัญต่อการใช้ คอมพิวเตอร์ช่วยการเรียนการสอนใน สาขาวิชาต่าง ๆ เพราะเป็นความหวังในการที่จะพัฒนาคุณภาพ การศึกษา ด้วยความสามารถในการเข้าถึงข้อมูลทั้งภาพและ เสียงในเวลาเดียวกัน (มธุรส จงชัยกิจ. 2539) ซึ่งในด้านสมรรถนะของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สูงขึ้น คอมพิวเตอร์มัลติมีเดียใน ปัจจุบัน มีความสามารถในการบรรจุข้อมูลในลักษณะมัลติมีเดีย เป็นการใช้คอมพิวเตอร์ร่วมกับโปรแกรมใน การสื่อความหมาย สามารถสร้างความสนใจโดยผ่านการผสมผสานสื่อหลากหลายชนิด เช่น ข้อความ กราฟฟิก ภาพเคลื่อนไหว การสร้างภาพสอง มิติ สามมิติ เสียง เป็นต้น มาเชื่อมต่อกันโดยใช้ระบบ คอมพิวเตอร์ซึ่งสามารถสร้างความประทับใจให้กับผู้เรียนได้อย่างมาก (สุกรี ยีดิน, 2544) การน า บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย(Multimedia Computer) มาใช้ในการเรียนการสอนนั้น สามารถ แก้ปัญหาด้านความแตกต่างระหว่างบุคคล ผู้เรียนสามารถเรียนได้ตามความต้องการของตนเอง เร้าความสนใจของผู้เรียน เพราะน าเสนอได้ทั้งภาพและเสียง ตลอดจนมีการเสริมแรงให้ผลย้อนกลับ ในทันทีเมื่อผู้เรียนตอบค าถาม ครูผู้สอนสามารถ ควบคุมการเรียนของผู้เรียนได้เพราะคอมพิวเตอร์ จะบันทึกการเรียนของผู้เรียนแต่ละบุคคลไว้ ความแปลกใหม่ของคอมพิวเตอร์จะเพิ่มความสนใจความ ตั้งใจของผู้เรียนมากขึ้น บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียช่วยให้การเรียนมีประสิทธิภาพคือ ช่วยแบ่ง เบาภาระของครูผู้สอน ลดระยะเวลาในการเรียน และท าให้ผู้เรียนบรรลุจุดมุ่งหมายได้อย่างมี ประสิทธิภาพ การสอน ภาษาก็มีความจ าเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้สื่อการสอนเข้ามาช่วย เพราะการใช้ สื่อการสอนจะช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนจดจ าสิ่งที่ เรียนไปนั้นอย่างแม่นย ามากกว่าวิธีสอนธรรมดาที่ไม่ได้ ใช้สื่อเลย ดังนั้นผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะศึกษาการพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงภาษาจีนโดยใช้สื่อ มัลติมีเดีย วิชาภาษาจีน เรื่อง การออกเสียงภาษาจีน ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียน เทศบาล 4 วัดโพธิวราราม มาช่วยในการพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงภาษาจีนในชั้นเรียนครั้งนี้ จะเป็นแนวทางในการพัฒนาการเรียนการสอนภาษาจีนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นต่อไป


3 วัตถุประสงค์ของกำรวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้ ก าหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัย ดังนี้ 1. เพื่อหาประสิทธิภาพของสื่อมัลติมีเดีย วิชาภาษาจีน เรื่อง การออกเสียงภาษาจีน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเทศบาล 4 วัดโพธิวราราม ตามเกณฑ์ร้อยละ 80/80 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วย สื่อมัลติมีเดีย วิชาภาษาจีน เรื่อง การออกเสียงภาษาจีน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเทศบาล 4 วัดโพธิวราราม สมมติฐำนของกำรวิจัย 1. สื่อมัลติมีเดีย วิชาภาษาจีน เรื่อง การออกเสียงภาษาจีน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียน เทศบาล 4 วัดโพธิวราราม มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ร้อยละ 80/80 2. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนด้วยสื่อมัลติมีเดีย วิชาภาษาจีน เรื่อง การออก เสียงภาษาจีน มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ขอบเขตของกำรวิจัย 1. ประชำกรและกลุ่มตัวอย่ำง 1.1 กลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556 โรงเรียนเทศบาล 4 วัดโพธิวราราม สังกัดส านักการศึกษา เทศบาลนครอุดรธานี จังหวัดอุดรธานีจ านวน 1 ห้องเรียน จ านวนนักเรียน 13 คน 2. ตัวแปรที่ศึกษำ 2.1 ตัวแปรต้น คือ 2.1.1 สื่อมัลติมีเดีย วิชาภาษาจีน เรื่อง การออกเสียงภาษาจีน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 2.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ 2.2.1 ผลสัมฤทธิ์การเรียนที่เรียนด้วยสื่อมัลติมีเดีย วิชาภาษาจีน เรื่อง การออกเสียง ภาษาจีน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน


4 3. เนื้อหำที่ใช้ในกำรวิจัย เนื้อหาที่ผู้วิจัยน ามาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในครั้งนี้คือ วิชาภาษาจีน เรื่อง การออกเสียงภาษาจีน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560) จ านวน 5 แผน ใช้เวลา 10 ชั่วโมง มีรายละเอียดดังนี้ 3.1 เรื่องพยัญชนะ 声母 จ านวน 2 ชั่วโมง 3.2 เรื่องสระเดี่ยว 单韵母 จ านวน 2 ชั่วโมง 3.3 เรื่องสระผสม 复韵母 จ านวน 2 ชั่วโมง 3.4 เรื่องวรรณยุกต์ 声调 จ านวน 2 ชั่วโมง 3.5 เรื่องผลไม้ 水果 จ านวน 2 ชั่วโมง 4. ระยะเวลำที่ใช้ในกำรวิจัย ผู้วิจัยจะด าเนินการทดลองในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 วิชาภาษาจีน เรื่อง การออกเสียงภาษาจีน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ตามแผนการจัดการเรียนรู้ 2 ชั่วโมง ต่อสัปดาห์ นิยำมศัพท์เฉพำะ การอ่านออกเสียง หมายถึง การที่ผู้อ่านเปล่งเสียงของค า วลีหรือข้อความ ออกมา ได้อย่าง ถูกต้อง เพื่อที่จะสามารถสื่อสารกับผู้รับสารได้อย่างชัดเจนและถูกต้อง สัทอักษร หมายถึง การเทียบเคียงเสียงของสระ พยัญชนะ และวรรณยุกต์ในภาษาจีนกลาง เพื่อสื่อสารการอ่านออกเสียงภาษาจีนกลางให้ได้ง่ายมากยิ่งขึ้น (Lin Caijun, 2012) สื่อ หมายถึง สิ่งที่ท าให้ปรากฎด้วยอักษร เครื่องหมาย ภาพ หรือเสียง ไม่ว่าจะได้จัดท า ในรูปแบบของเอกสาร สิ่งพิมพ์ ภาพเขียน ภาพพิมพ์ ภาพระบายสี รูปภาพ ภาพโฆษณา รูปถ่าย ภาพยนตร์ วิดีทัศน์ การแสดง ข้อมูลคอมพิวเตอร์ในระบบคอมพิวเตอร์ หรือได้จัดท าในรูปแบบอื่นใด ตามที่ก าหนดในกฎกระทรวงแบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียงภาษาจีนกลาง หมายถึง แบบฝึกทักษะ การอ่านออกเสียง ภาษาจีนกลาง ที่คณะผู้วิจัยได้สร้างขึ้นมาเพื่อให้ผู้เรียนได้สามารถฝึกทักษะ การอ่านออกเสียงภาษาจีน กลางได้ โดยสามารถอ่านออกเสียงสระ พยัญชนะ วรรณยุกต์และค าศัพท์ ภาษาจีนได้อย่างถูกต้องและชัดเจน สื่อมัลติมีเดีย ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2554) ได้อธิบายสื่อมันติมีเดียหมายถึง การน าเอาสื่อหลาย ชนิดมาสัมพันธ์กันซึ่งมีคุณค่าส่งเสริม ซึ่งกันและกัน สื่อการสอนชนิดหนึ่งอาจใช้เพื่อเร้าความสนใจ


5 ในขณะที่อีกชนิดหนึ่งใช้เพื่ออธิบายข้อเท็จจริงของเนื้อหา การใช้ สื่อมันติมีเดียจะช่วยให้ผู้เรียน มีประสบการณ์จากประสาทสัมผัสที่ผสมผสานกันได้ และพบวิธีการที่จะเรียนในสิ่งที่ต้องการได้ ด้วยตนเองมากยิ่งขึ้น กิดานันท์ มะลิทอง (2548) สื่อมันติมีเดีย หมายถึง การน าสื่อหลายๆประเภทมาใช้ร่วมกันทั้ง วัสดุอุปกรณ์ และ วิธีการเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุดในการเรียนการสอนการ ฝึกอบรม โดยการใช้สื่อแต่ละอย่างตามล าดับ ขั้นตอนของเนื้อหา ในปัจจุบันมีการน าคอมพิวเตอร์มา ใช้ร่วมด้วยเพื่อการผลิตหรือการควบคุมการท างานของอุปกรณ์ต่างๆ ใน การน าเสนอข้อมูลทั้ง ตัวอักษรภาพกราฟฟิก ภาพถ่าย ภาพเคลื่อนไหว วีดีทัศน์และเสียง บุปผชาติ ทัฬหิกรณ์ และคณะ (2544) มัลติมีเดีย หมายถึง การใช้สื่อมากกว่า 1 สื่อร่วมกัน น าเสนอข้อมูลข่าวสาร โดยมีจุดมุ่งหมายให้ผู้รับสื่อสามารถรับข้อมูลข่าวสารได้มากกว่า 1 ช่องทาง และหลากหลายรูปแบบค าจ ากัดความนี้ครอบคลุม ชุดการสอนที่รวมสื่อต่างๆ ไว้ด้วยกันเป็นชุด เพื่อการเรียนรู้ด้วยตนเอง และการน าอุปกรณ์ต่างๆ เช่น เครื่องฉายสไลด์ เครื่อง เล่นวีดิทัศน์ ดังนั้นมัลติมีเดียจึงหมายความถึง สื่อประสมหรือสื่อหลายสื่อร่วมกันน าเสนอข้อมูลข่าวสาร โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ในการเรียน โดยได้รับข้อมูลหลากหลายรูปแบบมากกว่า หนึ่งช่องทางและมัลติมีเดียเพื่อการศึกษา (Educational Multimedia) จึงหมายถึงสื่อที่น าเสนอ ข้อความ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหวและเสียงโดยผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ ทั้งระบบไร้สาย (Online) หรือไม่ไร้สาย (Offline) ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษา ประโยชน์ที่จะได้รับ 1. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้เรียนโดยใช้สื่อมัลติมีเดีย ส่งผลให้นักเรียนอ่านออกเสียง ภาษาจีนได้ถูกต้อง 2. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้รับการพัฒนาการอ่านออกเสียงภาษาจีน จากการ เรียนรู้โดยใช้สื่อมัลติมีเดีย ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น


6 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยเพื่อการพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงภาษาจีนโดยใช้ สื่อมัลติมีเดีย วิชา ภาษาจีน เรื่อง การออกเสียงภาษาจีน ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 3 โรงเรียนเทศบาล 4 วัดโพธิวราราม จังหวัดอุดรธานี ซึ่งผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสารต ารา งานวิจัย และทฤษฎีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย มีรายละเอียดดังนี้ 1. หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ 1.1 วิสัยทัศน์ 1.2 หลักการ 1.3 จุดมุ่งหมาย 1.4 หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ 1.5 แนวคิดการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ 2. เอกสารที่เกี่ยวกับภาษาจีน 2.1 ความหมายของการอ่าน 2.2 ความส าคัญของการอ่าน 2.3 จุดมุ่งหมายการสอนการอ่าน 2.4 ลักษณะของการอ่าน 3. การอ่านออกเสียง 3.1 ความหมายของการอ่านออกเสียง 3.2 องค์ประกอบที่มีผลต่อการอ่านออกเสียง 3.3 หลักการอ่านออกเสียงโดยทั่วไป 3.4 การอ่านออกสียงโดยทั่วไป 3.5 การอ่านออกสียงในภาษาจีน หลักการอ่านออกเสียงภาษาจีนเบื้องต้น 4. เอกสารเกี่ยวกับการใช้สื่อประสมประเภทสื่อมัลติมีเดีย 4.1 ความเป็นมาของสื่อมัลติมีเดีย 4.2 ความหมายและความส าคัญของสื่อในการจัดการเรียนรู้ 4.3 องค์ประกอบของมัลติมีเดีย 4.4 ประโยชน์ของสื่อมัลติมีเดีย 5. งานวิจัยที่เกี่ยวข้องในประเทศและต่างประเทศ


7 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศ กระทรวงศึกษาธิการ (2551) ได้กล่าวถึงหลักการ จุดหมาย และโครสร้างของหลักสูตร การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ไว้ดังนี้ วิสัยทัศน์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคนซึ่งเป็น ก าลังหลักของชาติให้เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตส านึก ในความ เป็นพลเมืองไทยและเป็นพลโลกยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทักษาพื้นฐาน รวมทั้ง เจตคติ ที่จ าเป็นต่อการศึกษา ต่อการประกอบ อาชีพและการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นส าคัญบนพื้นฐานความเชื่อ ว่าทุกคนสามารถ เรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ หลักการ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มีหลักการที่ส าคัญ ดังนี้ 2.1 เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐาน การเรียนรู้ เป็นเป้าหมายส าหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรมบน พื้นฐาน ของความเป็นไทยควบคู่กับความเป็นสากล 2.2 เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชน ที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่าง เสมอภาคและมีคุณภาพ 2.3 เป็นหลักสูตรการศึกษาที่สนองการกระจ ายอ านาจ ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัด การศึกษาให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถิ่น 2.4 เป็นหลักสูตรการศึกษาที่มีโครงสร้างยืดหยุ่นทั้งด้านสาระการเรียนรู้ เวลา และการจัดการเรียนรู้ 2.5 เป็นหลักสูตรการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ 2.6 เป็นหลักสูตรการศึกษาส าหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบและตามอัธยาศัย ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย สามารถเทียบโอนผลการเรียนรู้ และประสบการณ์


8 จุดมุ่งหมาย หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มุ่งพัฒนาผู้เรียน ให้เป็นคนดีมีปัญญา มีความสุข มีศักยภาพในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพ จึงก าหนด เป็นจุดหมายเพื่อให้ เกิดกับผู้เรียนเมื่อจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดังนี้ 3.1 มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัยและ ปฏิบัติตน ตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาที่ตนนับถือ ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียง 3.2 มีความรู้ ความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยี และมีทักษะชีวิต 3.3 มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีสุขนิสัย และรักการออกก าลังกาย 3.4 มีความรักชาติ มีจิตส านึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลกยึดมั่นในวิถีชีวิตและ การปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 3.5 มีจิตส านึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์ และพัฒนา สิ่งแวดล้อม มี จิตสาธารณะที่มุ่งท าประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดีงามในสังคม และอยู่ร่วมกัน ในสังคม อย่างมี ความสุข หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ภาษาต่างประเทศที่เป็นสาระการเรียนรู้พื้นฐาน ซึ่งก าหนดให้เรียนตลอดหลักสูตร การศึกษาขั้นพื้นฐานคือ ภาษาอังกฤษ ส่วนภาษาต่างประเทศอื่น ๆ เช่น ภาษาฝรั่งเศส เยอรมัน จีน ญี่ปุ่น อาหรับ บาลี และภาษากลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน หรือภาษาอื่น ๆ ให้อยู่ในดุลพินิจ ของสถานศึกษาที่จัดท ารายวิชาประกอบการจัดการเรียนรู้ตามความเหมาะสม กระทรวงศึกษาธิการ (2545) สาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ สาระที่ 1 ภาษาเพื่อการศึกษา มาตรฐาน ต 1.1 เข้าใจและตีความเรื่องที่ฟังและอ่านจ ากสื่อประเภทต่างๆ และแสดงความ คิดเห็นอย่างมี เหตุผล มาตรฐาน ต 1.2 มีทักษะการสื่อสารทางภาษาในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร แสดงความรู้สึกและความคิดเห็นอย่างมีประสิทธิภาพ มาตรฐาน ต 1.3 น าเสนอข้อมูลข่าวสาร ความคิดรวบยอด และความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ โดยการพูดและ การเขียน


9 สาระที่ 2 ภาษาและวัฒนธรรม มาตรฐาน ต 2.1 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างภาษากับวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา และน าไปใช้ได้อย่างเหมาะสมกับกาลเทศะ มาตรฐาน ต 2.2 เข้าใจความเหมือนและความแตกต่างระหว่างภาษาและวัฒนธรรม ของเจ้าของภาษากับภาษาและวัฒนธรรมไทย และน ามาใช้อย่างถูกต้องและเหมาะสม สาระที่ 3 ภาษากับความสัมพันธ์กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น มาตรฐาน ต 3.1 ใช้ภาษาต่างประเทศในการเชื่อมโยงความรู้กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น และเป็นพื้นฐานในการพัฒนา แสวงหาความรู้ และเปิดโลกทัศน์ของตน สาระที่ 4 ภาษากับความสัมพันธ์กับชุมชนและโลก มาตรฐาน ต 4.1 ใช้ภาษาต่างประเทศในสถานการณ์ต่างๆ ทั้งในสถานศึกษา ชุมชน และสังคม มาตรฐาน ต 4.2 ใช้ภาษาต่างประเทศเป็นเครื่องมือพื้นฐานในการศึกษาต่อการประกอบ อาชีพ และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับสังคมโลก แนวคิดการวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้ บุญทัน อยู่ชมบุญ (2529) กล่าวว่า การวัดผลหมายถึง กระบวนการใดๆ ที่จะได้ข้อมูล ที่แน่นอนทางการศึกษามา นั่นคือ การใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น การสังเกต การตรวจงาน การซักถาม การทดสอบ การตรวจสอบแบบฝึกหัด การเก็บรวบรวมข้อมูลมาก าหนดเป็น คะแนนมากน้อยลดหลั่น กันตามล าดับความสามารถ การประเมินผล หมายถึง การเอาผลการวัดมาพิจ ารณาตัดสินใจ โดยอาจเอาความคิด ของครู เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ห รือเป รียบเทียบกับเกณฑ์ม าต รฐานอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ วตัดสิน ว่าสูงกว่าเกณฑ์ – ต ่ากว่าเกณฑ์ หรือ เก่ง – ปานกลาง – อ่อน การประเมินผลจะเชื่อถือได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการวัดผล กระทรวงศึกษาธิการ (2545) วิธีประเมินผลการเรียนการประเมินมีอยู่ 2 ประเภท ดังนี้ คือ 1. การประเมินผลเพื่อปรับปรุงการเรียนการสอน การประเมินผลเพื่อปรับปรุงการเรียน การสอน ถือว่าเป็นหน้าที่ของครูผู้สอนทุกคนที่จะต้องกระท า เพื่อตรวจสอบว่านักเรียนมีความรู้ ในเนื้อหาที่ครูสอนหรือไม่ แนวทางในการ ประเมินผลเพื่อปรับปรุงการเรียนการสอนมีดังนี้ 1.1 การประเมินผลก่อนเรียน เป็นการตรวจสอบความรู้พื้นฐานและทักษะเบื้องต้น ก่อนเริ่มต้นการเรียนการสอนในแต่ละวิชา สิ่งแรกที่ครูจะต้องกระท า คือ จะต้องรู้พื้นฐานของเด็ก


10 แต่ละคนในชั้นเรียนว่า มีความรู้พื้นฐานเดิมเป็นมาอย่างไร ใครมีจุดเด่น จุดด้อยอย่างไรโดยศึกษา จากจุดประสงค์ที่เป็นความรู้และทักษะเบื้องต้นจ ากสมุดประจ าชั้น ป.2 ของเดิมที่อยู่ถัดลงไป ถ้าพบว่านักเรียนยังมีข้อบกพร่องในเรื่องใด ครูผู้สอนจะต้องช่วยให้นักเรียนมีพื้นฐานให้เพียง พอที่จะ เรียนต่อไปได้เสียก่อน จึงด าเนินการสอนต่อไป วิธีการตรวจสอบความรู้พื้นฐานและทักษะความรู้เบื้องต้น ใช้การตรวจสอบ ได้หลายวิธี เช่น พิจ ารณาความรู้เดิม สัมภาษณ์ หรือใช้ข้อสอบเท่าที่พอหาได้ หรือสร้างขึ้นถ้าเห็น ว่านักเรียนท าได้ใน ข้อใดก็ท าเครื่องหมายผ่านในเรื่องนั้น ภัทรา นิคมานนท์ (2541) หากท าไม่ได้ก็ยังไม่ผ่านต้องสอนซ่อม เสริมให้จนกว่านักเรียนจะมีความรู้จึงท าเครื่องหมายผ่านได้ 1.2 การประเมินผลระหว่างเรียน การวัดผลและการประเมินในระหว่างเรียนถือว่า เป็น หัวใจของการเรียนการสอน หากครูผู้สอนปฏิบัติตามอย่างจริงจัง จะท าให้การเรียนการสอนมี ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นักเรียนจะมีปัญหาน้อยลง การวัดและประเมินผลระหว่างเรียน เป็นการประเมิน เพื่อตรวจสอบว่านักเรียน มีความรู้และปฏิบัติตามที่ก าหนดไว้ในจุดประสงค์หรือไม่ หลังจ ากที่เรียน จบไปตอนหนึ่งแล้ว ถ้ามีการเรียนต่อไป ถ้าไม่มีก็แสดงว่าการสอนมีข้อบกพร่อง จ าเป็นต้องมีการ ปรับปรุงทั้งการเรียนของนักเรียน และการสอนของครู 1.3 การประเมินผลปลายภาคเรียน การประเมินผลปลายภาคเรียนมีจุดหมาย เพื่อตรวจสอบความคงอยู่ของผลการเรียนที่ส าคัญๆ หลังจ ากที่เรียนมาตลอด 1 ภาคเรียน โดยส่วนรวมว่ามีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมโดยสรุปว่าเป็นอย่างไร 2. การตัดสินผลการเรียน การตัดสินผลการเรียน เป็นการประเมินผล ความสามารถของผู้เรียนเพื่อให้ระดับคะแนน หรือให้ เป็นเกรดตัดสินว่านักเรียนสอบรายวิชานั้นผ่านหรือไม่ผ่าน และเพื่อพิจ ารณาตัดสินว่า นักเรียนคนนั้น ควรเลื่อนชั้นหรือไม่ เมื่อสิ้นปีการศึกษาแต่ละปี เอกสารที่เกี่ยวกับภาษาจีน ความหมายของการอ่าน บันลือ พฤกษะวัน (2532) ได้ให้ความหมายของการอ่านไว้ 3 นัย ดังนี้ 1. การอ่านเป็นการแปลสัญลักษณ์ออกมาเป็นค าพูดโดยการผสมเสียง เพื่อใช้ในการออกเสียง ให้ตรงกับค าพูด เรียกว่า อ่านออก 2. การอ่านเป็นการใช้ความสามารถในการผสมผสานของตัวอักษร ออกเสียงเป็นค าพูดหรือ เป็นประโยค เข้าใจความหมาย เรียกว่า อ่านได้


11 3. การอ่านเป็นการสื่อความหมาย ถ่ายโยงความคิด ความรู้ จ ากผู้เขียนถึงผู้อ่าน ท าให้ผู้อ่าน เข้าใจความรู้สึกนึกคิดของผู้เขียนวิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2549) อธิบายว่า การอ่านมีหลายความหมาย ขึ้นอยู่กับผู้สนใจและผู้เกี่ยวข้องว่าจะให้ความหมายอย่างไรโดยแบ่งความหมายของการอ่านไว้หลาย ส่วน ดังนี้ 3.1 ส่วนที่เกี่ยวข้องกับลักษณะของกระบวนการ หมายถึง ลาดับขั้นที่เกี่ยวข้อง กับการท าความเข้าใจความหมายของค า กลุ่มค าประโยคข้อความและเรื่องราวของสารที่ผู้อ่าน สามารถบอก ความหมายได้ 3.2 ส่วนที่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยาพัฒนาการ หมายถึง การสอนอ่านเพื่อให้เข้าใจหลัก จิตวิทยาพัฒนาการของเด็กแต่ละวัยจัดสื่อการสอนให้สอดคล้องกับความต้องการและความสนใจ ของเด็ก 3.3 ส่วนที่เกี่ยวข้องกับภาษาศาสตร์ หมายถึง การสอนอ่านจะต้องเข้าใจเสียงฐาน ที่เกิดเสียงของพยัญชนะสระวรรณยุกต์เข้าใจหลักภาษาและการใช้ภาษาเพื่อน าหลักการเหล่านั้นมา สอน อ่านและเข้าใจความหมายได้ถูกต้อง 3.4 ส่วนที่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยาการศึกษา หมายถึง การน าหลักจิตวิทยามาใช้ ทางการศึกษาเช่นความพร้อมของการอ่านความสนใจแรงจูงใจการเสริมแรงและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้ เป็นพื้นฐานในการพิจ ารณาการจัดกิจกรรมการอ่าน 3.5 ส่วนที่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยาด้านการจ าและการลืม หมายถึง การที่ผู้อ่านสามารถ จดจ าเรื่องและเก็บไว้ในสมอง ถ้ามีโอกาสเล่าให้ผู้อื่นฟังก็สามารถเล่าได้ถูกต้องแต่การที่ผู้อ่านจะจ า ข้อความที่อ่านได้ก็จะต้องเข้าใจความหมายของค า รู้หน้าที่ของค าอีกทั้งสามารถแยกพยัญชนะสระ ตัวสะกด และวรรณยุกต์ออกจากกันได้อีกประการหนึ่งผู้อ่านจะจ าเรื่องได้มากหรือน้อยยังขึ้นอยู่กับ ความ สนใจของผู้อ่านที่มีต่อเรื่องนั้นด้วย พรสวรรค์ สีป้อ (2550) ให้ความหมายการอ่านว่า การอ่าน หมายถึงกระบวนการ เข้าใจ ความหมายภาษาการแปลความหมายและการใช้วิจารณญาณในการตัดสินประเมินค่าเกี่ยวกับ คุณภาพค่านิยมความเที่ยงตรงและความถูกต้องของเรื่องที่อ่านรับรู้ด้วยตา จากนั้นจึงสร้าง ความสัมพันธ์ ระหว่างค าและความหมายซึ่งเป็นสิ่งที่ยุ่งยากซับซ้อนต้องใช้ความคิดและความสามารถ เพื่อที่จะตีความ ข้อความที่ผู้เขียนสื่อออกมาในรูปของการเขียน สุวัฒน์ วิวัฒนานนท์ (2550) ให้ความหมายของการอ่านว่า การอ่าน หมายถึง การรับ ข้อมูลหรือสาระที่เป็นความรู้และความคิด แล้วมีกระบวนการคิด พิจ ารณา พินิจพิเคราะห์ จ าแนก แยก และจัดหมวดหมู่เรื่องราวหรือสถานการณ์ที่เป็นความรู้ ความคิดหรือเนื้อหาอย่างสมเหตุสมผล เพื่อน าไปสู่ข้อสรุปในการแก้ปัญหาได้ ปัญหาในการสื่อสารด้วยลายลักษณ์อักษรที่แสดงออกมาทาง ภาษาขึ้นอยู่กับความสามารถในการคิด


12 จากข้างต้น การอ่านจึงสรุปได้ว่า การอ่านคือกระบวนการที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้และ สื่อความหมาย ระหว่างผู้เขียนกับผู้อ่าน และสามารถตีความโดยอาศัยประสบการณ์เดิมของผู้อ่านเป็น พื้นฐาน เพื่อให้การแปลความหมายชัดเจนขึ้น ความส าคัญของการอ่าน การอ่านเป็นทักษะที่ส าคัญทักษะหนึ่งของชีวิต ของคนเรา เพราะการอ่านเป็นเครื่องมือ ส าคัญ นักการศึกษาได้กล่าวถึงความส าคัญของการอ่านไว้ดังนี้ ฉวีวรรณ คูหาภินนท์ (2542) กล่าวว่าอ่านมีความส าคัญต่อชีวิตมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนโต และจนกระทั่งถึงวัยชรา การอ่านท าให้รู้ข่าวสารข้อมูลต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งปัจจุบันเป็นโลกของข้อมูล ข่าวสารต่าง ๆ ทั่วโลก ท าให้ผู้อ่านมีความสุข มีความหวัง และมีความอยากรู้อยากเห็น อันเป็นความ ต้องการของมนุษย์ทุกคน การอ่านมีประโยชน์ในการพัฒนาตนเอง คือ พัฒนาการศึกษา พัฒนาอาชีพ พัฒนาคุณภาพชีวิต ท าให้เป็นคนทันสมัย ทันต่อเหตุการณ์ และมีความอยากรู้อยากเห็น การที่จะ พัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าได้ต้องอาศัยประชาชนที่มีความรู้ความสามารถ ซึ่งความรู้ ต่าง ๆ ก็ได้มาจากการอ่านนั่นเอง ดังข้างต้นจึงสรุปได้ว่า การอ่านมีความส าคัญและจ าเป็นเป็นอย่าง ยิ่งส าหรับทุกคน เนื่องจากเป็นทักษะพื้นฐานที่ใช้เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ ค้นคว้าหาความรู้ทั้งปวง อีกทั้งน ามาซึ่งความส าเร็จอีกด้วย จุดมุ่งหมายการสอนการอ่าน สุภัทรา อักษรานุเคราะห์ (2531) ได้อธิบายวัตถุประสงค์ของการสอนทักษะ การอ่านไว้ว่า วัตถุประสงค์ของการสอนทักษะการอ่าน มีดังนี้ 1. ให้ตีความหมายของประโยคหรือข้อความได้ 2. ให้บอกแนวคิดของเรื่องได้ 3. ให้จับใจความส าคัญของเรื่องได้ 4. ให้น าข้อมูลที่อ่านมาแสดงในรูปแผนภูมิได้ 5. ให้ล าดับเหตุการณ์ในเรื่องที่อ่านได้ 6. ให้สรุปใจความส าคัญของเรื่องที่อ่านได้ 7. ให้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่อ่านได้ 8. ให้บอกบทบาทส าคัญของตัวละครในเรื่องได้ สุมิตรา อังวัฒนากุล (2539) ได้อธิบายวัตถุประสงค์ของการสอนทักษะการอ่านไว้ ดังนี้ 1. ให้คาดคะเนเรื่องที่จะอ่านอาจจะผิดหรือถูกก็ได้ 2. ให้ล าดับเหตุการณ์ได้


13 3. ให้เขียนแผนผังโยงความสัมพันธ์ได้ 4. ให้เล่าเรื่องโดยสรุปได้ 5. พูดแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่อ่านได้ ธูปทอง กว้างสวาสดิ์ (2549) ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการสอน ทักษะการอ่านว่า วัตถุประสงค์ของการสอนทักษะการอ่านเพื่อให้ผู้เรียนหาประเด็นส าคัญของข้อความที่อ่านระบุ ขั้นตอนของการโต้แย้งความคิดในข้อความที่อ่านจับใจความส าคัญการคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้น การแยกประเด็นความจริงออกจากความคิดเห็นของผู้เขียนการสรุปข้อความที่ได้อ่านและ การสังเคราะห์หรือ รวบรวมประเด็นความรู้ที่ได้จากการอ่าน เจเรมี ฮาร์เมอร์(2547) ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการสอนทักษะการอ่าน แตกต่างออกไป อีกว่า วัตถุประสงค์ของการสอนทักษะการอ่านเป็นการอ่านเอารายละเอียดของเรื่อง (Reading for detailed comprehension) เพื่อนามาคิดวิเคราะห์เกี่ยวกับเรื่องที่อ่านนั้น สรุปได้ว่าจุดประสงค์ของการอ่านคือ เพื่อมุ่งจับประเด็นส าคัญและวิเคราะห์สังเคราะห์ เพื่อรวบรวมประเด็นจากเรื่องที่อ่าน ลักษณะของการอ่าน ประเทิน มหาขันธ์ (2530) ได้กล่าวถึงกระบวนการอ่านว่าประกอบไปด้วย 2 กระบวนการ ดังนี้ 1. กระบวน การทางกาย เมื่อร่ายกายตอบสนองต่อสัญลักษณ์ที่สายตามมองเห็น ซึ่ง ประกอบด้วยทักษะแห่งการเคลื่อนไหวต่าง ๆ เช่น การเคลื่อนไหวของสายตาแล้วส่งข้อมูล ที่ได้รับ ไปยังสมอง 2. กระบวน การทางสมอง ในขณะที่สายตากวาดไปตามเส้นของบรรทัดของตัวอักษร ผัสสะต่างๆ จะรับรู้ และสมองจะแปลความหมายทันที กระบวนการทางสมองขึ้นอยู่กับกระบวนการ ทางกายเป็นอันมาก เพราะการรับรู้ทางสายตาเป็นการเริ่มต้นของกระบวนการ ในการอ่าน การอ่านออกเสียง ความหมายของการอ่านออกเสียง นลินี บ าเรอราช (2550) ได้ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องและสรุปไว้ว่า การอ่านออกเสียงเป็นการ อ่านที่ต้องเปล่งเสียงตามถ้อยค าที่ปรากฏในข้อความที่ก าลังอ่าน เป็นการอ่านที่ผู้อ่านสื่อ ความเข้าใจ ไปยังผู้ฟังในลักษณะการอ่านหนังสือให้คนอื่นฟัง เช่น การอ่านข่าว การอ่านค ากล่าวรายงาน การอ่าน บท ละครวิทยุ ฯลฯ การอ่านออกเสียงต้องค านึงถึงการท าเสียงให้น่าฟัง การเว้นวรรคตอนที่ถูกต้อง


14 การออกเสียงค าได้อย่างถูกต้องชัดเจน การใช้น ้าเสียงได้เหมาะสมกับบรรยากาศ และบริบทของ เรื่อง การจะอ่านออกเสียงให้น่าฟังนั้นต้องมีการฝึกฝนอ่านอย่างจริงจังจึงจะอ่านได้ดี การอ่านออก เสียง เป็นการอ่านเพื่อผู้อื่นมากกว่าการอ่านเพื่อตนเอง บัณฑิต ฉัตรวิโรจน์ (2551) ได้ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องและสรุปไว้ว่า การอ่านออกเสียง คือ การอ่านให้มีเสียงดัง เป็นการอ่านเพื่อส่งสาร เช่น อ่านให้ผู้อื่นฟัง อ่านเพื่อฝึกการอ่านออกเสียง อ่านข่าวทางสถานีวิทยุกระจายเสียง เป็นต้น เมื่ออ่านออกเสียงต้องค านึงอยู่เสมอว่า ถ้าอ่านให้ผู้อื่น ฟังก็ต้องค านึงถึงผู้ฟังด้วย เช่น เมื่อเป็นการอ่านในห้องเรียน ผู้ฟังคือ ครู และเพื่อน ๆ เป็นการอ่าน เพื่อ ความรู้ต้องการความชัดเจนและถูกต้องมากที่สุด โดยมีองค์ประกอบที่ส าคัญหลายประการ เช่น วรรณยุกต์ และการเว้นวรรคตอน หากเมื่อมีการอ่านออกเสียงวรรณยุกต์และเว้นวรรคตอนผิด แล้วนั้น ความหมายก็จะผิดเพี้ยนไป สรุปได้ว่า การอ่านออกเสียง หมายถึง การเปล่งเสียงตามถ้อยค าที่ปรากฏในข้อความ ที่ก าลังอ่าน เพื่อสื่อความเข้าใจไปยังผู้ฟังเพื่อให้ผู้ฟังได้รับทราบเรื่องราวได้อย่างถูกต้อง โดยผู้อ่านจะต้องท าเสียงให้ น่าฟัง เว้นวรรคตอนให้ถูกต้อง ออกเสียงค าและวรรณยุกต์ได้อย่างชัดเจน เหมาะสมกับบรรยากาศและ บริบทของเรื่อง องค์ประกอบที่มีผลต่อการอ่านออกเสียง การอ่านจะประสบความส าเร็จได้นั้น ผู้อ่านต้องมีความสามารถในด้านต่าง ๆ หลายด้าน นักวิชาการแต่ละคนเสนอแนะองค์ประกอบที่มีผลต่อการอ่านออกเสียงแตกต่างกัน เช่น Coady (1979) กล่าวว่า การอ่านเป็นการปฏิสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบ 3 ส่วน คือ 1. ความสามารถเชิงมโนทัศน์ (Conceptual Ability) หม ายถึง ความสาม ารถ ทางสติปัญญา โดยทั่วไปที่จะค้นหาสาระส าคัญ ความคิด และความคิดเห็นจากเรื่องที่อ่านได้ 2. ความรู้เดิม (Background Knowledge) หมายถึง พื้นความรู้ของผู้อ่านที่มีอยู่แล้ว ผู้อ่านจะอ่านเรื่องได้เร็วขึ้น และได้ผลดีขึ้นถ้าผู้อ่านมีวัฒน ธรรมคล้ายคลึงกับวัฒนธรรม ของเจ้าของภาษา ที่เขียน การอ่านเรื่องที่ผู้อ่านคุ้นเคย และกิจกรรมที่ผู้อ่านปฏิบัติอยู่ใน ชีวิตประจ าวัน จะท าให้ผู้อ่าน ประสบความส าเร็จในเรื่องที่อ่านมากขึ้น 3. ยุท ธศ าสต ร์ด้ านกระบ วนก าร (Process Strategies) หม ายถึง ยุท ธวิธีด้ าน กระบวนการที่เป็นองค์ประกอบย่อยของความสามารถในการอ่าน และเป็นหนทางที่จะน าไปสู่ความ เข้าใจ ทักษะทางด้านภาษาทั่ว ๆ ไป ได้แก่ การหาความหมายของสัญลักษณ์ที่เขียน การรวมเสียง และ ความเข้าใจเข้าด้วยกัน และการเข้าใจในสิ่งที่อ่าน บัณฑิต ฉัตรวิโรจน์ (2551) กล่าวว่า การสอนอ่านจะส่งผลให้เกิดความเข้าใจ มากน้อยพียงใด ขึ้นอยู่กับตัวผู้อ่านเอง ซึ่งจ าเป็นต้องมีองค์ประกอบหลักที่ส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ในการอ่าน ได้แก่


15 3.1 ความรู้ในเชิงค าศัพท์และตัวอักษร 3.2 ความรู้ในเชิงกระบวนการอ่าน และ 3.3 ความรู้และ ประสบการณ์เดิมของผู้อ่าน สรุปได้ว่า องค์ประกอบของการอ่านออกเสียงประกอบด้วยความรู้เกี่ยวกับ ความหมายของ ค าศัพท์ ประสบการณ์เดิมของผู้อ่าน กระบวนการในการอ่าน และความสามารถ ในการตีความ หลักการสอนอ่านออกเสียงโดยทั่วไป การจัดการเรียนการสอนภาษาทุกภาษา ไม่ว่าจะเป็นภาษาใดก็ตาม ต้องอาศัยหลักการ แนวคิด ทฤษฎีที่เป็นแนวปฏิบัติที่เคยได้รับการพัฒนา และด าเนินการมาบ้างแล้ว เพื่อน าไป ประยุกต์ใช้ให้เข้ากับ การจัดการเรียนการสอนในสถานศึกษาทุกระดับ การสอนภาษาจีน ก็เช่นเดียวกัน ผู้วิจัยจึงได้ศึกษา หลักการสอนอ่านออกเสียงดังต่อไปนี้ บันลือ พฤกษะวัน (2538) ได้เสนอแนะหลักการสอนอ่านออกเสียงไว้ดังนี้ 1. การอ่านออกเสียงควรเป็นการเน้นย ้าการอ่านให้ถูกต้อง ตลอดจนวรรคตอน ในการอ่าน เพื่อครูจะได้ช่วยเหลือและแก้ไขได้ทันที 2. การอ่านออกเสียงมุ่งเน้นการวิเคราะห์สิ่งที่อ่านทั้งการวิเคราะห์ในเชิงภาษา และการวิเคราะห์ในเชิงเนื้อหา 3. หากเป็นบทอ่านที่เป็นเรื่องราวควรเน้นการฝึกอ่านเพื่อการอ่านได้ จะต้องฝึก ให้อ่านทีละประโยค เป็นประโยค ๆ ไป เมื่ออ่านจบเรื่องแล้ว จะต้องบอกได้ว่า เรื่องที่อ่าน เป็นเรื่องอะไร เกี่ยวกับ อะไร หากยังบอกถึงเรื่องที่อ่านไม่ได้ จะต้องฝึกฟังทีละประโยคแล้วบอก ความหมายหรือแสดงท่าทาง ประกอบประโยค และถ้าอ่านผิดค าใดค าหนึ่ง ก็ให้แก้ไข สอนอ่านทีละ ป ระโยคด้วย ไม่ควรใช้เวล าอ่ านม าก เกิน 10 น าที เพ ราะบทอ่ านมักเป็นนิท านสั้น ๆ พออ่านตามกันสัก 2 จบ ควรจะบอกเรื่องได้ ผลพลอยได้ จากการอ่านแบบนี้ก็คือ การพูด เป็นประโยค การกวาดสายตาเวลาอ่าน และการฝึกช่วงความจ าหรือความ ยาวของประโยค ที่อ่านหรืออ่านตาม ตลอดจนช่วยให้เด็กขี้อายกล้าที่อ่านตามเพื่อน ๆ ได้ด้วย 4. การอ่านออกเสียงควรเน้นการอ่านตามบทบาทสมมติ เพราะโดยปกติการอ่าน ออกเสียงของนักเรียนมักออกเสียงค าที่อ่านผิดเพี้ยนไปจากเสียงที่ใช้พูดจากัน การอ่านตามบทบาท สมมติจะช่วยให้นักเรียนได้ฝึกอ่านให้ชัดเจนเหมือนการพูด เป็นการช่วยให้ส าเนียงการอ่านถูกต้อง ชัดเจนยิ่งขึ้น เมื่อฝึกบ่อย ๆ หรือสม ่าเสมอ และการอ่านตามบทบาทสมมติเป็นทางน ไปสู่การแสดง ละครได้ดี 5. การอ่านออกเสียงหรือการอ่านฟังเสียงเพื่อการฟังเสียงโดยเฉพาะ คือ การอ่านตาม ลักษณะบทประพันธ์ร้อยกรอง มุ่งฟังเสียงไพเราะของการลงจังหวะสัมผัส ถ้าฝึกอ่านพร้อมเพรียงกันดี ก็จะช่วยให้ได้เสียงอ่านที่ไพเราะยิ่งขึ้น


16 6. การอ่านออกเสียงเพื่อให้ผู้อื่นฟังแล้วรู้เรื่องที่ต้องการสื่อความ หรืออ่านให้ปู่ ย่า ตา ยาย ฟังแบบหนึ่ง และอีกแบบหนึ่ง คือการอ่านออกเสียงเพื่อทบทวนเรื่องราวข้ออ้างอิงต่าง ๆ เพื่อให้ เข้าใจได้ดียิ่งขึ้น นั่นคือหลังจากการอ่านในใจแล้ว ยังตีความได้ไม่ชัดเจน อาจต้อง อ่านทวนความ จะประโยชน์มากขึ้น บัณฑิต ฉัตรวิโรจน์ (2551) กล่าวถึงหลักการอ่านออกเสียงไว้ดังนี้ 1. การอ่านออกเสียงควรให้ดังพอเหมาะกับจ านวนผู้ฟัง จุดใดควรเน้นเสียง ท าเสียงดุ เสียงแผ่วเบา เสียงอ่อนโยน เสียงเศร้า เสียงธรรมชาติ หรือเสียงวัตถุ ฯลฯ ก็ควรท าเสียงให้เป็นไปใน ท านองนั้น หรือให้เป็นไปตามเสียงนิยมที่สมมติกันว่าเป็นเสียงของสิ่งนั้น เพื่อให้ผู้ฟังเกิดอารมณ์คล้อย ตามไปกับเรื่องราวในตอนนั้น ๆ 2. ต้องอ่านออกเสียงให้ชัดเจนถูกต้อง ไม่ช้า หรือเร็วเกินไป ไม่ดังหรือค่อยเกินไป 3. ต้องอ่านให้ถูกวรรคตอน รู้จักทอดเสียงให้ตรงกับความหมายของข้อความที่อ่าน ถ้าเป็นการอ่านท านองเสนาะ ต้องรู้จักเอื้อนเสียงให้ถูกที่ 4. ต้องอ่านให้เหมือนเสียงพูดธรรมดาในตอนด าเนินเรื่องหรือบรรยายความทั่วไป 5. ไม่อ่านตก เติม หรือคาดเดาตัวพยัญชนะ 6. ส าเนียงต้องไม่แปร่งหรือเพี้ยนไปตามภาษาถิ่น 7. ต้องอ่านเน้นเสียงให้เหมือนเหตุการณ์ที่เป็นจริงมากที่สุด รู้จักวางจังหวะเสียงไว้ ตามระยะที่ถูกต้อง 8. การอ่านจริง ๆ อาจไม่จ าเป็นต้องหยุดตามวรรคตอนที่ปรากฏอยู่ในหนังสือเสมอไป อาจจะหยุดระหว่างวรรคก็ได้ แต่ต้องให้ได้ความเป็นตอน ๆ ไป เพื่อผ่อนหายใจหรือแบ่งตอนให้ผู้ฟัง เข้าใจความดียิ่งขึ้น 9. ขณะอ่านต้องใช้ไหวพริบจับใจความ คิดตามและรู้สึกคล้อยตามไปกับเรื่องที่อ่าน ปะติดปะต่อเรื่องราวให้รู้เรื่องตลอดเวลา ไม่ใช่สักแต่ว่าอ่านหรืออ่านอย่างใจลอย เมื่ออ่านจบยังรู้เรื่อง ไม่หมด 10. ต้องกวาดสายตาไปก่อนที่จะอ่านข้อความ เพื่อมิให้การอ่านต้องชะงัก ไม่ติดต่อกัน มีสมาธิ ไม่ห่วงหน้าพะวงหลัง จะเป็นเหตุให้การอ่านตะกุกตะกัก ไม่ราบรื่นน่าฟัง การสอนอ่านออกเสียงโดยทั่วไป คือการฝึกให้นักเรียนอ่านออกเสียงได้อย่าง ถูกต้อง และคล่องแคล่ว ควรฝึกฝน ไปตามล าดับ โดยใช้กิจกรรม ดังนี้ (ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2558) TV 1. Basic Steps of Teaching (BST) มีขั้นตอนการฝึกต่อเนื่องกันไป ดังนี้ 1.1 ครูอ่านข้อความทั้งหมด 1 ครั้ง/ นักเรียนฟัง 1.2 ครูอ่านทีละประโยค/ นักเรียนทั้งหมดอ่านตาม


17 1.3 ครูอ่านทีละประโยค/ นักเรียนอ่านตามทีละคน (อาจข้ามขั้นตอนนี้ได้ ถ้านักเรียนส่วนใหญ่อ่านได้ดีแล้ว) 1.4 นักเรียนอ่านคนละประโยค ให้ต่อเนื่องกันไปจนจบข้อความทั้งหมด 1.5 นักเรียนฝึกอ่านเอง 1.6 สุ่มนักเรียนอ่าน 2. Reading for Fluency (Chain Reading) คือ กิจกรรมการฝึกให้นักเรียนอ่าน ประโยค คนละประโยคอย่างต่อเนื่องกันไป เสมือนคนอ่านคนเดียวกัน โดยครูสุ่มเรียกนักเรียนจาก หมายเลข ลูกโซ่ เช่น ครูเรียก Chain-number one นักเรียนที่มีหมายเลขลงท้ายด้วย 2, 12, 22, 32, 42 จะเป็น ผู้อ่านข้อความคนละประโยคต่อเนื่องกันไป หากสะดุดหรือติดขัดที่นักเรียนคนใด ถือว่าโซ่ขาด ต้องเริ่มต้นที่คนแรกใหม่ หรือเปลี่ยน Chain-Number ใหม่ 3. Reading and Look up คือ กิจกรรมการฝึกให้นักเรียนแต่ละคนอ่านข้อความโดยใช้ วิธีอ่านแล้วจ าประโยค หลังจากนั้นเงยหน้าขึ้นพูดประโยคนั้น ๆ อย่างรวดเร็ว คล้ายวิธีอ่านแบบ นักข่าว 4. Speed Reading คือ กิจกรรมการฝึกให้นักเรียนแต่ละคนอ่านข้อความโดยเร็วที่สุด เท่าที่จะเร็วได้ การอ่านแบบนี้อาจไม่ได้ค านึงถึงความถูกต้องทุกตัวอักษร แต่ต้องอ่านโดยไม่ข้ามค า เป็นการฝึก ธรรมชาติในการอ่านเพื่อความคล่องแคล่ว (Fluency) และเป็นการหลีกเลี่ยงการอ่าน แบบสะกดทีละค า 5. Reading for Accuracy คือ กิจกรรมการฝึกอ่านที่มุ่งเน้นความถูกต้องชัดเจน ในก ารออก เสียงทั้ง Stress/ Intonation/ Cluster/ Final Sounds ให้ ต รงต ามห ลักเกณ ฑ์ ของการออกเสียง (Pronunciation) โดยอาจน า Speed Reading มาใช้ในการฝึก และเพิ่มความ ถูกต้องชัดเจน ในการออก เสียงสิ่งที่ต้องการ จะเป็นผลให้นักเรียนมีความสามารถในการอ่าน ได้อย่างถูกต้อง (Accuracy) และ คล่องแคล่ว (Fluency) ควบคู่กันไป การอ่านออกเสียงในภาษาจีน ระบบการออกเสียงของแต่ละภาษาแตกต่างกันมากพอสมควร บางเสียงที่ใช้อยู่ในภาษาหนึ่ง อาจจะไม่สามารถหาเสียงที่เหมือนกันพอดี หรือเสียงที่ใกล้เคียงกันมากในอีกภาษาหนึ่งได้ ดังนั้น การเรียนรู้การออกเสียงในภาษาจีน จ าเป็นต้องอาศัยเครื่องหมายก ากับการออกเสียงมาช่วย เพื่อให้ การเรียนการสอนภาษาจีนมีประสิทธิภาพและสะดวกมากขึ้น ในปี ค.ศ. 1958 ประเทศสาธารณรัฐ ประประชาชนจีนจึงได้พัฒนาและประกาศใช้ระบบการออกเสียงภาษาจีนหรือระบบสัทอักษร ที่เรียกว่า 汉语拼音(Hànyǔpīnyiin ระบบการออกเสียงภาษาจีนหรือระบบสัทอักษร)


18 โดยดัดแปลงมาจาก International phonetic alphabets ซึ่งเปรียบเสมือนเครื่องมือที่ใช้ใน การเรียนโดยผู้วิจัยจะขอเรียกสั้น ๆ ว่า “พินอิน” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการอ่านภาษาจีน ให้ประสบความส าเร็จ หลักการสอนการอ่านออกเสียงภาษาจีนเบื้องต้น ในการเรียนการสอนภาษาจีน การอ่านออกเสียงให้ถูกต้องเป็นพื้นฐานในการสื่อสาร ถ้าการอ่านออกเสียงไม่ชัดเจนหรือไม่ถูกต้องจะมีผลกระทบต่อการสื่อความหมาย หลักการสอน การอ่านออกเสียง ภาษาจีนมีหลักการที่หลากหลาย ผู้วิจัยได้ศึกษา หลักการสอนการอ่าน ออกเสียงจากนักวิชาการและจาก งานวิจัยหลายเรื่อง จึงอาจสรุปว่า หลักการสอนอ่านออกเสียง ภาษาจีนมี 3 หลักการ ได้แก่ เชื่อ เหล่ย (2554) ได้ท าการวิจัยเรื่องการออกแบบการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาทักษะ การออกเสียงภาษาจีนส าหรับ นักเรียนไทยที่เรียนภาษาจีนเบื้องต้นสรุปการหลักการอ่านออกเสียง ภาษาจีนในหนังสือไว้ว่า 1. หลักการใช้หน่วยเสียงเป็นหลักในการสอนการอ่านออกเสียง หน่วยเสียง เป็นหน่วย ย่อยที่สุดในการออกเสียง ระบบหน่วยเสียง จะแยกการออกเสียง เป็นพยัญชนะ และสระ หลักการใช้หน่วยเสียงเป็นหลักที่ดีในการสอนการอ่านออกเสียง ท าให้นักเรียนรู้ระบบการ ออกเสียงอย่างชัดเจน 2. หลักการใช้ประโยคกับบทสนทนาเป็นหลักในการสอนการอ่านออกเสียง หลักการ ใช้ประโยคกับบทสนทนาหลักในการสอนการอ่านออกเสียง เป็นการน า ประโยคและบทสนทนามาฝึก ให้นักเรียนอ่านออกเสียง หลักการนี้จะเน้นการแสดงความหมาย ของการออกเสียงเป็นหลัก เน้นความ เชื่อมโยงกันระหว่างหน่วยเสียง ท าให้นักเรียนไม่รู้จักระบบพื้นฐานของการออกเสียง ซึ่งจะท าให้นักเรียน รู้สึกยุ่งยากมาก อีกทั้งหลักการใช้ประโยคและ การสนทนาเป็นหลัก ซึ่งมีผลท า ให้นักเรียนที่เริ่มเรียนภาษาจีน ยังไม่รู้จักค าศัพท์มากพอ จึงส่งผลให้สนทนาไม่ได้ 3. หลักการใช้พยางค์เป็นหลักในสอนการอ่านออกเสียง หลักการใช้พยางค์เป็นหลัก ในการสอนการอ่านออกเสียง คือ การเริ่มสอนจากการะประสมเสียง จากนั้นสอนหน่วยเสียง และใน ขั้นสุดท้าย การน าการประสมเสียงไปเข้าสู่วลี ประโยคและ บทสนทนา การออกเสียงของภาษาจีน แยกเป็นพยัญชนะ สระและเสียงวรรณยุกต์ ทั้งสามอย่างนี้ เป็นส่วนประกอบของพยางค์ การสอนการ อ่านออกเสียงหลักการใช้พยางค์ท าให้นักเรียนได้เรียนรู้ ลักษณะของการออกเสียงภาษาจีนอย่างเป็น ระบบ แต่หลักการนี้ค่อนข้างละเอียด และเป็นระบบ ที่มีซับซ้อน จะแยกเป็นพยัญชนะ 23 ตัว สระ 36 ตัว และเสียงวรรณยุกต์ 4 เสียง มีจ านวน ที่ค่อนข้างมาก ท าให้ยากต่อการจดจ าของนักเรียน


19 สรุปได้ว่า หลักการที่ใช้พยางค์เป็นเป็นหลักการที่ค่อนข้างละเอียด และเป็นหลักการ ที่เหมาะสมกับลักษณะของการออกเสียงภาษาจีน ดังนั้นผู้วิจัยจึงจะใช้หลักการนี้เป็นหลัก ในการจัดการ เรียนการสอนภาษาจีนในงานวิจัยครั้งนี้ หลักการที่ใช้พยางค์เป็นหลักในการสอน ภาษาจีนประกอบด้วย กลยุทธ์ที่ส าคัญดังต่อไปนี้ (ฝ่ายวิชาการ ส านักพิมพ์แมนดารินเอดูเคชั่น, 2558) เอกสารเกี่ยวกับการใช้สื่อประสมประเภทมัลติมีเดีย ความเป็นมาของสื่อมัลติมีเดีย สื่อมัลติมีเดียเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในวงการธุรกิจและอุตสาหกรรม โดยเฉพาะ ได้น ามาใช้ในการฝึกอบรมและให้ความบันเทิง ส่วนในวงการศึกษามัลติมีเดียได้น ามาใช้ เพื่อการเรียนการสอนในลักษณะแผ่นซีดีรอม หรืออาจใช้ในลักษณะห้องปฏิบัติการมัลติมีเดีย โดยเฉพาะก็ได้ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า มัลติมีเดียจะกลายมาเป็นเครื่องมือที่ส าคัญทางการศึกษา ในอนาคต ทั้งนี้เพราะว่ามัลติมีเดียสามารถที่จะน าเสนอได้ทั้งเสียง ข้อความ ภาพเคลื่อนไหว ดนตรี กราฟิก ภาพถ่ายวัสดุตีพิมพ์ ภาพยนตร์ และวีดิทัศน์ ประกอบกับสามารถที่จะจ าลองภาพของการ เรียนการสอนที่ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองแบบเชิงรุก (Active Learning) สื่อมัลติมีเดียเริ่มต้นในราว ๆ ต้นปี พ.ศ. 2534 พร้อมๆ กับการใช้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 3.0 ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการที่ใช้ส าหรับเครื่องพีซี (PC) และเป็นระบบปฏิบัติการที่เรียกว่า กราฟิกยูซเซอร์ อิเทอร์เฟท (Graphic User Interface) หรือที่เรียกย่อ ๆ ว่า GUI ส าหรับ GUI เป็นอินเทอร์เฟทที่สา มารถแสดงได้ทั้งข้อความ (Text) และกราฟิก (Graphic) ซึ่งง่ายต่อการใช้งานต่อมาในราว ๆ ต้นปี พ.ศ.2535 บริษัทไมโครซอฟต์ด้พัฒนาโปรแกรมมัลติมีเดียเวอร์ชั่น 1.0 ที่ใช้ร่วมกับระบบปฏิบัติ การวินโดวส์ 3.0 ท าให้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์มีศักยภาพเพิ่มขึ้นในเรื่องของภาพและเสียง ซึ่งเป็น จุดเริ่มต้นของมาตรฐานมัลติมีเดียที่เรียกว่า มาตรฐานเอ็มพีซี (MPC : Multimedia Personal Computer) ซึ่งมาตรฐานนี้จะเป็นสิ่งก าหนดระบบพื้นฐานที่จ าเป็นส าหรับมัลติมีเดียวที่เล่นบนระบบ ปฏิบัติการวินโดวส์ การเริ่มน าเอาวินโดวส์ 3.1 เข้ามาแทนวินโดวส์ 3.0 ในราว ๆ ต้นเดือนมีนาคม พ.ศ.2536 ท าให้ การใช้มัลติมีเดียกว้างขวางยิ่งขึ้น โดยเฉพาะมีศักยภาพในการเล่นไฟล์เสียง (Wave) ไฟล์มีดี (MIDI) ไฟล์ภาพเคลื่อนไหว (Animation) และภาพยนตร์จากแผ่นซีดีรอม (CD-ROM) จนกลายเป็นจุดเริ่มต้น ของมัลติมีเดียที่ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์พีซีจนถึงปัจจุบัน


20 ความหมายและความส าคัญของสื่อในการจัดการเรียนรู้ สื่อการสอน เป็นสิ่งที่ส าคัญ ส าหรับการเรียนการสอนช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจเกิดทักษะ ได้อย่างรวดเร็ว สื่อการสอนมี หลายชนิดในยุคปัจจุบันสามารถเลือกหาให้เหมาะสม และตรงตาม วัตถุประสงค์การเรียนการสอน พิสณุ ฟองศรี (2549) ได้ให้ความส าคัญของสื่อการสอนการใช้สื่อ ประกอบกิจกรรมการเรียนการสอนมีความส าคัญ 7 ประการดังนี้ 1. ผู้เรียนได้พัฒนาการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ ถ้ามีคนสอนเลือกพัฒนาหรือผลิตสื่อ ที่น ามาพัฒนาหรือแก้ปัญหาได้ตรงประเด็นตามวัตถุประสงค์ที่ผู้สอนได้ก าหนดไว้ 2.ผู้เรียนรู้ได้เร็วขึ้น สื่อเป็นตัวเสริมในการเรียนการสอนเปรียบเสมือนทางลัด ในการเดินทางที่ท าให้ถึงจุดหมายได้เร็วขึ้น 3. ผู้เรียนเข้าใจบทเรียนอย่างเป็นรูปธรรม สื่อท าให้เห็นสภาพการณ์จริงหรือใกล้เคียง กับของจริงท าให้ผู้เรียนเข้าใจลึกซึ้งอย่างเป็นรูปธรรมได้ 4. บรรยากาศการเรียนการสอนสนุกสนาน การใช้สื่อท าให้ผู้เรียนมีโอกาส ที่จะ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนและผู้เรียนด้วยกันมาขึ้นท าให้บรรยากาศการเรียนการสอนสนุกสนาน กว่าการเรียนปกติ 5. ท าให้บทเรียนน่าสนใจ สื่อสามารถกระตุ้นความสนใจและเป็นแรงจูงใจให้แก่ผู้เรียน ส่งผลให้ผู้เรียนสนใจในบทเรียนมากขึ้น 6. ลดเวลาในการสอน เมื่อผู้เรียนสามารถเข้าใจในบทเรียนการเรียนรู้ได้เร็วขึ้น ก็จะลดเวลาในการสอนไปโดยปริยาย 7. ประหยัดค่าใช้จ่ายเมื่อผู้เรียนเข้าใจและพัฒนาการสอนได้ตามจุดประสงค์ในเวลา อันรวดเร็ว ก็ถือว่ามีประสิทธิภาพหรือประหยัดและถ้าค านึงถึงผลที่ได้แล้วก็ถือว่ามีความส าเร็จหรือมี ประสิทธิผลอีกด้วย สา นิพนธ์ สุบปรัติ (2546) กล่าวว่า การเลือกสื่อเป็นสิ่งส าคัญในระบบการสื่อสารเพราะ การสื่อสารจะประสบความส าเร็จอย่างมีประสิทธิภาพนั้น ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับสื่อที่ใช้ในระบบ การ สื่อสาร โดยทั่วไปมีเกณฑ์ในการเลือกสื่อดังนี้ 1. การเลือกสื่อที่สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพนั้น จ าเป็นต้องก าหนดจุดมุ่งหมายในรูปแบบพฤติกรรมซึ่งครอบคลุมลักษณะพฤติกรรมทั้ง 3 ประเภท คือ พุท ธิพิ สั ย (Cognitive) ทั กษ ะพิ สั ย (Psychomotor) แล ะจิตพิ สั ย (Affective) ทั้งนี้ เพ ร าะ จุดมุ่งหมาย ของการส่งสารต่างกันย่อมให้ประสบการณ์การรับสารที่ต่างกัน การเลือกสื่อในการ สื่อสารจึงต้องให้สอดคล้องกับจุดหมายดังกล่าว โดยพยายามเลือกสื่อที่ส่งเสริมให้ผู้รับสารได้มีส่วน ร่วมการสื่อสารอย่างจริงจัง และใช้ข้อมูลย้อนกลับเพื่อให้เขาได้มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ขั้นสุดท้ายไปตามจุดมุ่งหมายที่ต้องการ


21 2. เลือกสื่อที่สอดคล้องกับลักษณะการตอบสนองและพฤติกรรมขั้นสุดท้ายของผู้รับสาร ที่คาดหวังจะให้เกิดขึ้น พฤติกรรมของผู้รับสารจะเกิดขึ้นได้ถ้าผู้รับสารมีความพึงพอใจใน กิจกรรม และประสบการณ์ที่ได้รับ ความพึงพอใจ ย่อมก่อให้เกิดการส่งสารที่มีประสิทธิภาพ ดังนั้น การเลือก สื่อจึงควรเลือกสื่อที่จะช่วยให้ผู้รักสารเกิดความสนใจ มีการตอบสนองและเปลี่ยนแปลง พฤติกรรม ตามที่คาดหวัง 3. เลือกสื่อที่พอจะหาได้และอ านวยความสะดวกในการใช้ การเลือกสื่อมาใช้ ในการสื่อสารจะต้องค านึงถึงความสะดวกสบายในการน าสิ่งนั้นมาใช้ด้วยและไม่จ าเป็นต้องใช้สื่อที่มี ราคาแพงเสมอไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าจะหาสื่อชนิดใดได้บ้างที่สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยให้เกิด ประสิทธิภาพการสื่อสารสูงสุด Noel and Leonard (Noel & Leonard อ้างใน นิพนธ์ ศุขปรีดี, 2546) ได้เสนอแนะ หลักเกณฑ์ในการเลือกสื่อไว้ว่า ควรพิจาณาสื่อที่มีลักษณะดังนี้ 1. มีความเหมาะสมกับระดับอายุและสติปัญญาของผู้รับสาร 2. ความต้องการและความสนใจของผู้รับสาร 3.มีความเหมาะสมกับประสบการณ์เดิมของผู้รับสาร 4. เหมาะสมกับเนื้อหาสาระที่ถ่ายทอด 5. ตรงกับจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้ในระบบการสื่อสาร 6. มีลักษณะที่น่าสนใจ 7. ไม่ท าให้เสียเวลาในการใช้มากเกินไป 8. ให้เข้าใจได้ง่ายและไม่ซับซ้อนเกินไป 9. เน้นแบบง่าย 10. ช่วยให้ผู้รับสารเข้าใจเนื้อหาได้ดียิ่งขึ้น 11. ช่วยส่งเสริมและสร้างทัศนคติที่ดีแก่ผู้รับสาร 12. ช่วยเพิ่มพูนทักษะในการรับสาร 13. ให้ผลดีต่อการสื่อสารมากที่สุดในเวลาสั้นที่สุด องค์ประกอบของมัลติมีเดีย กิดานันท์ มลิทอง (2540) ได้สรุป ว่ามัลติมีเดียหรือสื่อผสมเป็นการน าสื่อหลายๆ ประเภทมา ใช้รวมกัน ทั้งวัสดุอุปกรณ์ และวิธีการ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ และประสิทธิผลสูงสุด ในการเรียน การสอนโดยใช้สื่อแต่ละอย่างตามล าดับขั้นตอนของเนื้อหา และปัจจุบันมีการน าคอมพิวเตอร์มาใช้ใน การผลิตหรือการควบคุมการท างานของอุปกรณ์ต่าง ๆ ในการน าเสนอข้อมูล ด้วยตัวอักษร ภาพกราฟิก ภาพถ่าย ภาพเคลื่อนไหว แบบวีดิทัศน์ และเสียงสื่อประสมประเภทมัลติมีเดียเป็นการ รวบรวมรูปแบบสื่อต่าง ๆ ของการสื่อสารทั้งหมดให้ปรากฏรวมเป็นหนึ่งเดียวบนหน้าจอ ภายใต้การ


22 ควบคุมของคอมพิวเตอร์ มัลติมีเดียจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเรียนรู้ในโรงเรียน ใน สถานที่ท างาน และที่บ้าน มัลติมีเดีย จะเปลี่ยนแปลงวิธีการรวบรวมข้อมูลและการน าเสนอข้อมูล ข่าวสาร มัลติมีเดียจะเพิ่มช่องทางในการรับข้อมูลข่าวสาร ยอมให้เราเปลี่ยนไปมาได้อย่างรวดเร็ว ระหว่างข้อความ ภาพวีดิทัศน์ เสียง หรือประสบการณ์ต่าง ๆ ตามที่เราต้องการสื่อต่าง ๆ พัลลภ พิริยะสุรวงศ์ (2541) ได้ระบุถึงองค์ประกอบของมัลติมีเดียมีดังนี้ 1. ข้อความ (Text) เป็นองค์ประกอบพื้นฐานในมัลติมีเดีย เป็นองค์ประกอบพื้นฐาน ในมัลติมีเดีย หมายถึง หมายถึงตัว ตัวหนังสือและ ข้อความที่สามารถสร้างได้หลายรูปแบบ หลาย ขน าด การออกแบบให้ข้อความเคลื่อนไหวได้ตาม ต้องการทั้งยังสาม ารถสร้างข้อความ ให้มีความเชื่อมโยงกับค าสั่งอื่น ๆ 2. เสียง (Sound) เป็นการน าเสนอเสียงป ระกอบในการน าเสนอ เช่น ดนตรี เสียงบรรยาย เสียงจากธรรมชาติ เพื่อประกอบการน าเสนอที่เหมือนจริง และให้ผู้ใช้รู้สึกว่า ได้อยู่ในเหตุการณ์จริง 3. ภาพ (Picture) น าเสนอด้วยภาพวาด ภาพถ่าย ภาพจากการสแกน หรือน าเสนอใน รูปไอคอนแทนการเสนอภาพทั้งหมดในเวลาเดียวกัน ซึ่งไอคอนเหล่านี้ผู้ใช้สามารถเข้าไปสู่ รายละเอียดทั้งหมดได้ ภาพที่ใช้ในระบบมัลติมีเดียมี 2 ชนิด คือ 3.1 ภาพนิ่ง (Still picture) เป็นภาพกราฟิกที่ไม่มีการเคลื่อนไหว เช่น ภาพถ่าย หรือภาพวาด เป็นต้น 3.2 ภาพเคลื่อนไหว (Motion picture) ภาพเคลื่อนไหวเกิดจากการน าภาพนิ่ง ที่ต่อเนื่องกันมาแสดงติดต่อกัน ด้วยความเร็วมากพอที่สายตาไม่สามารถจับได้ และเห็นเป็น ภาพเคลื่อนไหวต่อเนื่อง ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 3.2.1 ภาพอนิเมชั่น คือ ภาพที่ถูกสร้างขึ้นจากคอมพิวเตอร์ ซึ่งอาศัย การน า ภาพนิ่งหลาย ๆ ภาพมาต่อกัน เพื่อให้เกิดภาพเคลื่อนไหวด้วยเทคนิคเดียวกับการท าภาพยนตร์ 3.2.2 ภาพวีดิทัศน์ โดยการถ่ายภาพด้วยกล้องวีดิทัศน์ แล้วน ามาแปลงข้อมูลใน เนื้อเทปให้ เป็นดิจิตอล โดยการบีบอัดสัญญาณวีดิโอให้มีจ านวนไบต์น้อยลงตามมาตรฐานการบีบ อัดสัญญาณ วีดิทัศน์ (Video compression) คือ MPEG ซึ่งสามารถบีบอัดได้ทั้งภาพและเสียง 4. การเชื่อมโยงแบบปฏิสัมพันธ์ (Interactive links) การเชื่อมโยงแบบปฏิสัมพันธ์ หมายถึงการที่ผู้ใช้มัลติมีเดียสามารถเลือกข้อมูลได้ตามต้องการ โดยใช้ตัวอักษรหรือปุ่มส าหรับ ตัวอักษรที่จะสามารถเชื่อมโยงได้ จะเป็นตัวอักษรที่มีสีแตกต่างกันจากตัวอักษรตัวอื่น ๆ ส่วนปุ่มก็มีลักษณะคล้ายปุ่มรีโมทคอนโทรลวิทยุ โทรทัศน์ ที่สามารถคลิกลงปุ่ม เพื่อไปยัง สิ่งที่ต้องการหรือไป ยังข้อมูลที่ต้องการ หรือเพื่อให้เปลี่ยนหน้าต่างข้อมูลต่าง ๆ


23 5. วีดิทัศน์ (Video) การใช้มัลติมีเดียในอนาคตจะเกี่ยวข้องกับการน าเอาภาพยนตร์วีดิ ทัศน์ ซึ่งอยู่ในรูปของดิจิตอลมารวมเข้าไปกับโปรแกรมประยุกต์ที่เขียนขึ้น โดยทั่วไปวีดิทัศน์จะ น าเสนอ ด้วยเวลาจริงที่จ านวน 30 ภาพ/วินาที ซึ่งมักเรียกว่า วีดิทัศน์ดิจิตอล (Digital video) คุณภาพของ วีดิทัศน์จะทัดเทียมกับคุณภาพที่เห็นจากจอโทรทัศน์ ดังนั้นวีดิทัศน์ดิจิตอล และเสียงประกอบจึงเป็น ส่วนที่ผนวกเข้าไปสู่การน าเสนอ และการเขียนโปรแกรมมัลติมีเดียภาพ ดิจิตอลถูกน าเสนอได้ทันที ด้วยจอคอมพิวเตอร์ ในขณะที่เสียงก็สามารถเล่นออกสู่ล าโพงภายนอกได้ โดยอาศัยการ์ดเสียง(Sound card) ประโยชน์ของสื่อมัลติมีเดีย ประโยชน์ของสื่อมัลติมีเดีย ในการจัดการเรียนรู้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และบรรยากาศ ใน การเรียนรู้เป็นการกระตุ้น ให้เกิดการคิด ตั้งค าถามและเกิดการวิพากษ์ ในกระบวนการจัดการเรียนรู้ ได้ ช่อบุญ จิรานุภาพ (2542) กล่าวถึงประโยชน์มัลติมีเดียไว้ดังนี้ 1. มัลติมีเดียเป็นสื่อประสมที่มีทั้งภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว เสียง และตัวอักษร ซึ่งเสนอผ่านทางคอมพิวเตอร์ นับว่าเป็นสื่อที่ดึงดูดความสนใจ และท าให้ผู้เรียนไม่เบื่อหน่าย 2. มัลติมีเดียเป็นน าสื่อหลายประเภทมารวมกัน โดยมีคอมพิวเตอร์เป็นตัวควบคุมการ ผลิตและจัดเนื้อหาให้เกิดความรู้ที่เป็นเรื่องเดียวกัน จึงท าให้เกิดความชัดเจนและสื่อความหมายที่ดี 3. ผู้ที่ใช้สื่อประสมมีปฏิสัมพันธ์กับเครื่องคอมพิวเตอร์และสื่อต่างๆ โดยมีปฏิกิริยา ตอบสนองต่อกิจกรรมการเรียนรู้ 4. สื่อความหมายได้ดีและรวดเร็ว เข้าใจง่าย สามารถจัดล าดับให้ผู้เรียนติดตาม 5. ลดเวลาในการจัดการเรียนการสอน เพราะความแตกต่างระหว่างบุคคล ผู้เรียนบาง คนไม่จ าเป็นต้องเข้าห้องเรียนเมื่อศึกษาจากบทเรียนมัลติมีเดีย 6. ประหยัดทรัพยากรบุคคลในการเรียนการสอน ดังนั้น สื่อการสอนประเภทมัลติมีเดีย จะเป็นเครื่องมือหรือตัวกลางที่ช่วยผู้เรียนได้รับ ประโยชน์ ในการเรียนรู้ ซึ่งจะเกิดขึ้นได้มากน้อยเพียงใดมิใช่อยู่ที่ลักษณะชนิดและคุณภาพของสื่อ แต่เพียงอย่าง เดียว ความจริงขึ้นอยู่ที่ผู้สอนเป็นผู้มีความสามารถในการเลือกประยุกต์ใช้ ฉะนั้น ผู้สอนจะต้องมีการ วางแผนการใช้สื่อให้เหมาะสมสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องในประเทศและต่างประเทศ งานวิจัยในประเทศ ผู้วิจัยได้ศึกษาผลงานวิจัยในประเทศที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้ด้วยสื่อมัลติมีเดีย ดังนี้


24 มัณทนา ชินนาพันธ์ (2562) ได้พัฒนาสื่อมัลติมีเดีย เรื่อง การอ่านออกเสียงสัทอักษร(พินอิน) ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อเปรียบเทียบทักษะเรื่องการอ่าน ออกเสียงสัทอักษร(พินอิน) หลังเรียนโดยใช้สื่อมัลติมีเดียกับเกณฑ์ร้อยละ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบ ทักษะเรื่องการอ่านออก เสียงสัทอักษร(พินอิน) ก่อนและหลังเรียนโดยใช้สื่อมัลติมีเดีย ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านคลองนามิตรภาพที่ 201 อ าเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ใน การวิจัยครั้งนี้ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ประจ าปีการศึกษา 2562 โรงเรียนบ้านคลองนา มิตรภาพที่ 201 อ าเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี จ านวน 5 คน ผล การศึกษาพบว่า 1) หลังเรียนโดยใช้สื่อมัลติมีเดีย นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยรวมสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 เมื่อพิจารณาคะแนนเป็นรายบุคคลพบว่า นักเรียนมีคะแนนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 80 จ าน วน 5 คน 2) ก่อนเรียนโดยใช้สื่อมัลติมีเดีย นักเรียนท าคะแนนสูงสุดได้ 14 คะแนน คะแนนต ่าสุด 12 คะแนน คะแนนเฉลี่ย (̅ ) 12.80 คะแนน และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) 1.10 และหลังเรียนโดย ใช้สื่อมัลติมีเดีย นักเรียนท าคะแนนสูงสุดได้ 17 คะแนน คะแนนต ่าสุด 16 คะแนน คะแนนเฉลี่ย (̅ ) 16.60 คะแนน และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) 0.55 แสดงให้เห็นว่า หลังเรียนโดยใช้สื่อมัลติมีเดีย นักเรียนมีทักษะการอ่านออกเสียงสัทอักษร(พินอิน) สูงกว่าก่อนเรียน LI YAN (2017) ได้พัฒนาบทเรียนการ์ตูนมัลติมีเดีย เรื่อง การอ่านออกเสียงสัทอักษรวิชา ภาษาจีน ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาบทเรียนการ์ตูน มัลติมีเดียเรื่องการออกเสียง พินอิน วิชาภาษาจีน ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียน อัสสัมชัญศรีราชา ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ E1 / E2 เท่ากับ 85/ 85 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ การออกเสียงพินอิน ของภาษาจีนก่อนและหลังเรียนที่เรียนด้วยบทเรียนการ์ตูนมัลติมีเดีย 3) ศึกษา ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยบทเรียนการ์ตูนมัลติมีเดีย เรื่อง การออกเสียง พินอิน วิชาภาษาจีน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ห้อง 1 ของโรงเรียน อัสสัมชัญศรีราชา ในปีการศึกษา 2559 จ านวน 47 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วย ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสถิติในการแจกแจงแบบที (t-test) ผลการวิจัย พบว่า 1) การวิเคราะห์ผลการประเมินคุณภาพของบทเรียนการ์ตูนมัลติมีเดีย เรื่อง การออกเสียงพินอิน โดย ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหาอยู่ในระดับดีที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.93 ด้านสื่อเทคโนโลยีการศึกษาอยู่ใน ระดับดี ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.47 2) ผลการวิเคราะห์เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของบทเรียนการ์ตูน มัลติมีเดีย เรื่อง การออกเสียงพินอิน เท่ากับ 87.63/ 87.08 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่ก าหนดไว้ 85/ 85 3) ผลการวิเคราะห์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การออกเสียง พินอินของภาษาจีนก่อนและหลังเรียนที่ เรียนด้วยบทเรียนการ์ตูนมัลติมีเดีย เรื่อง การออกเสียง พินอิน พบว่า หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่าง มีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 4) ผลการวิเคราะห์ เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อ


25 บทเรียนการ์ตูนมัลติมีเดียเรื่องการออกเสียงพินอิน พบว่า โดยรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับพอใจ มากที่สุด งานวิจัยต่างประเทศ ผู้วิจัยได้ศึกษาผลงานวิจัยในต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้ด้วยสื่อ มัลติมีเดีย ดังนี้ YUET NGOR YU (2014) ได้ศึกษาการเรียนรู้การออกเสียงโดยการบูรณาการโปรแกรม คอมพิวเตอร์เพื่อการ เรียนภาษาและระบบการเรียนรู้ด้วยตนเองแบบ verbotonal ซึ่งให้ข้อมูล ทางด้านสัทศาสตร์ที่ถูกต้อง (Guberina, 1972; Lian, 1980; Guberina & Asp, 1981) งานวิจัยนี้ ศึกษาอิทธิพลของระบบ CALL-VT ที่มีต่อ (1) การเรียนรู้การออกเสียงของนักศึกษาจีนที่ เรียน ภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศ และ (2) การพัฒนาความสามารถในการเรียนรู้การออก เสียง ภาษาอังกฤษด้วยตนเองของนักศึกษาดังกล่าว นอกจากนี้งานวิจัยนยังศึกษา ความคิดเห็นของ นักศึกษา และครูผู้สอนที่มีต่อระบบ CALL-VT ผลการวิจัย ซึ่งประสบความสาเร็จอย่างสูง แสดงให้ เห็นวาระบบ CALL-VT มีประสิทธิภาพ ในการส่งเสริมการเรียนการออกเสียง ยิ่งกว่านั้น เมื่อ เปรียบเทียบกับระบบการสอนแบบเดิม ระบบ CALL-VT เป็นระบบที่ดีกว่า เนื่องจากเป็นระบบที่ให้ ประโยชน์ไม่เพียงแต่ด้านการพัฒนาการ ออกเสียง แต่ยังให้ประโยชน์ต่อการพัฒนาทักษะด้านอื่นๆ ด้วย ผลการศึกษาของงานวิจัยนี้มีนัยส าคัญทางด้านทฤษฏีการสอนการออกเสียงภาษาอังกฤษ และ การสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศในประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนโดยรวม


26 บทที่ 3 วิธีด ำเนินกำรวิจัย การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) หาประสิทธิภาพของสื่อมัลติมีเดีย วิชา ภาษาจีน เรื่อง การออกเสียงภาษาจีน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเทศบาล 4 วัดโพธิวราราม ตามเกณฑ์ร้อย ละ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยสื่อ มัลติมีเดีย วิชาภาษาจีน เรื่อง การออกเสียงภาษาจีน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเทศบาล 4 วัดโพธิวราราม ทั้งนี้ ผู้วิจัยได้ด าเนินการตามขั้นตอนตามล าดับต่อไปนี้คือ กลุ่มเป้าหมาย แบบแผนการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การเก็บรวบรวมข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ กลุ่มเป้ำหมำย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556 โรงเรียนเทศบาล 4 วัดโพธิวราราม สังกัดส านักการศึกษา เทศบาลนครอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี จ านวน 1 ห้องเรียน จ านวนนักเรียน 13 คน รูปแบบในกำรทดลอง ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ใช้รูปแบบในการทดลองแบบกลุ่มเดียว (One Group Pretest – Posttest Design) โดยมีการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ดังนี้ (พวงรัตน์ ทวีรัตน์, 2540 : 60) T1 X T2 T1 แทน การทดสอบก่อนเรียน (Pretest) X แทน จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้สื่อมัลติมีเดีย T2 แทน การทดสอบหลังเรียน (Posttest)


27 เครื่องมือที่ใช้ในกำรวิจัย 1. ประเภทของเครื่องมือที่ใช้ในกำรวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ประกอบด้วย 1.1 สื่อมัลติมีเดีย วิชาภาษาจีน เรื่อง การออกเสียงภาษาจีน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 1.2 แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาจีน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ใช้กิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้สื่อมัลติมีเดีย 1.3 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาภาษาจีน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 แบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จ านวน 20 ข้อ 2. กำรสร้ำงและกำรหำคุณภำพเครื่องมือ การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย มีรายละเอียด ดังนี้ 2.1 สื่อมัลติมีเดีย วิชำภำษำจีน เรื่อง กำรออกเสียงภำษำจีน สร้างสื่อมัลติมีเดีย แล้วน าเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญด้านการสอน วิชาภาษาจีน จ านวน 3 ท่าน เพื่อประเมินคุณภาพของสื่อมัลติมีเดีย โดยใช้แบบประเมินคุณภาพของสื่อมัลติมีเดีย ซึ่งมีลักษณะของแบบประเมินเป็น 5 ระดับ โดยก าหนดค่าระดับความคิดเห็นแต่ละช่วงคะแนนและ ความหมาย ดังนี้ ระดับ 5 หมายถึง เหมาะสมมากที่สุด ระดับ 4 หมายถึง เหมาะสมมาก ระดับ 3 หมายถึง เหมาะสม ระดับ 2 หมายถึง เหมาะสมน้อย ระดับ 1 หมายถึง เหมาะสมน้อยที่สุด น าคะแนนจากแบบประเมินสื่อมัลติมีเดีย วิชาภาษาจีน เรื่อง การออกเสียง ภาษาจีน ของผู้เชี่ยวชาญทั้ง 3 ท่าน มาหาค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยยึดเกณณ์คะแนน เฉลี่ยตั้งแต่ 3.50 ขึ้นไปเป็นเกณฑ์ (บุญชม ศรีสะอาด, 2553 : 103-106) ดังนี้ ค่าเฉลี่ย 4.51 – 5.00 แปลความว่า เหมาะสมมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 3.51 – 4.50 แปลความว่า เหมาะสมมาก ค่าเฉลี่ย 2.51 – 3.50 แปลความว่า เหมาะสมปานกลาง ค่าเฉลี่ย 1.51 – 2.50 แปลความว่า เหมาะสมน้อย ค่าเฉลี่ย 1.00 – 1.50 แปลความว่า เหมาะสมน้อยที่สุด


28 การประเมินสื่อมัลติมีเดีย วิชาภาษาจีน เรื่อง การออกเสียงภาษาจีน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ของผู้เชี่ยวชาญ เพื่อน ามาหาค่าเฉลี่ยและน าผลคะแนนไปเทียบเกณฑ์ที่ตั้งไว้ คือ คะแนนเฉลี่ย 3.51 ขึ้นไป จึงถือว่าใช้ได้ จากการประเมินสื่อมัลติมีเดีย ฯ พบว่า สื่อมัลติมีเดีย วิชาภาษาจีน เรื่อง การออกเสียงภาษาจีน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่สร้างขึ้นมีความเหมาะสมในระดับ ดีมาก ( ค่าเฉลี่ย = 4.63, S.D. = 0.51) (ภาคผนวก ข หน้า 71 ) 2.2 แผนกำรจัดกำรเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาจีน ผู้วิจัยได้ด าเนินการสร้างและหาคุณภาพ ตาม ขั้นตอนดังนี้ 2.2.1 ศึกษ าหลักสูต รแกนกล างก ารศึกษ าขั้นพื้น ฐาน พุท ธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560) กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ของกระทรวงศึกษ าธิการ เพื่อให้ทราบสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด และสาระการเรียนรู้ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เพื่อเป็นแนวทางในการก าหนดวัตถุประสงค์ของการจัดการเรียนรู้และแนวทางในการพิจารณา คัดเลือกเนื้อห าการอ่านออกเสียงภ าษ าจีน เพื่อที่จะใช้เป็นเนื้อห าในก ารจัดการเรียน รู้ เรื่อง ก ารออกเสียงภ าษ าจีน ให้ สอดคล้องกับม าต รฐานก ารเรียนรู้เหม าะสมกับ ระดับ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และเหมาะสมกับวัยของนักเรียน 2.2.2 สร้างแผนการจัดการเรียน รู้วิชาภาษ าจีน โดยใช้การจัดกิจกรรม การเรียนรู้โดยใช้สื่อมัลติมีเดีย เรื่อง การอ่านออกเสียงภาษาจีน แผนละ 2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ จ านวน 5 แผน ใช้เวลา 10 ชั่วโมง ซึ่งมีสาระการเรียนรู้ดังนี้ 1) เรื่องพยัญชนะ 声母 จ านวน 2 ชั่วโมง 2) เรื่องสระเดี่ยว 单韵母 จ านวน 2 ชั่วโมง 3) เรื่องสระผสม 复韵母 จ านวน 2 ชั่วโมง 4) เรื่องวรรณยุกต์ 声调 จ านวน 2 ชั่วโมง 5) เรื่องผลไม้ 水果 จ านวน 2 ชั่วโมง ซึ่งแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ ประกอบด้วย สาระส าคัญ จุดประสงค์การเรียนรู้ (รายชั่วโมง) สาระการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ และการวัดและประเมินผล 2.2.3 เขียนแผนการจัดการเรียนรู้ จ านวน 5 แผน 2.2.4 จัดท าแบบประเมินคุณภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ชนิดมาตราส่วน ประมาณค่า 5 ระดับ โดยใช้เกณฑ์คะแนน ดังนี้ คะแนน 5 คะแนน หมายถึงมีความเหมาะสมมากที่สุด


29 คะแนน 4 คะแนน หมายถึงมีความเหมาะสมมาก คะแนน 3 คะแนน หมายถึงมีความเหมาะสมปานกลาง คะแนน 2 คะแนน หมายถึงมีความเหมาะสมน้อย คะแนน 1 คะแนน หมายถึงมีความเหมาะสมน้อยที่สุด แบ่งเป็นเกณฑ์การแปลความหมายค่าเฉลี่ยที่ก าหนดไว้ดังนี้ 4.51 - 5.00 หมายถึงมีความเหมาะสมมากที่สุด 3.51 - 4.50 หมายถึงมีความเหมาะสมมาก 2.51 - 3.50 หมายถึงมีความเหมาะสมปานกลาง 1.51 - 2.50 หมายถึงมีความเหมาะสมน้อย 0.51 - 1.00 หมายถึงมีความเหมาะสมน้อยที่สุด 2.2.5 น าแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้พร้อมแบบประเมินคุณภาพของแผน การจัดการเรียนรู้ เสนอผู้เชี่ยวชาญ เพื่อท าการตรวจสอบความถูกต้องของแผนการจัดกิจกรรม การเรียนรู้และแบบประเมินคุณภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ 2.2.6 น าแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และแบบประเมินคุณภาพของแผน การจัดการเรียนรู้ มาปรับปรุงข้อบกพร่องตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ 2.2.7 น าแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้พร้อมแบบประเมินคุณภาพของแผน การจัดการเรียนรู้ เสนอผู้เชี่ยวชาญจ านวน 3 คน เพื่อพิจารณาตรวจสอบความเหมาะสมและ ท าการประเมินคุณภาพแผนการจัดกิจกรรม 2.2.8 น าแบบประเมินมาตรวจแล้ววิเคราะห์หาค่าเฉลี่ยผลประเมินทั้ง 3 คน ซึ่งต้องได้ค่าเฉลี่ยตั้งแต่ 3.51- 5.00 จึงถือว่าแผนการจัดกิจกรรมการเรียน รู้นั้นมีคุณภ าพ ซึ่งแผนการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาจีน โดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้สื่อมัลติมีเดีย เรื่อง การอ่านออกเสียงภ าษ าจีน พบว่า ผลการป ระเมินแผนการจัดกิจกรรมการเรียน รู้ นั้นมีคุณภาพ จากผู้เชี่ยวชาญ มีค่าจากตั้งแต่ 4.33 – 5.00 รวมเฉลี่ยเท่ากับ 4.63 S.D. เท่ากับ 0.49 ซึ่งมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด (ดังภาคผนวก ข หน้า 73) 2.2.9 น าแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้มาปรับปรุงตามข้อบกพร่องที่พบแล้ว จัดพิมพ์แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เป็นฉบับจริง เพื่อน าไปทดลองใช้ทดลองสอนจริงกับนักเรียน กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเทศบาล 4 วัดโพธิวราราม ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2566 จ านวน 13 คน


30 2.3 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรียน วิชำภำษำจีน เรื่อง กำรอ่ำนออก เสียงภำษำจีน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาจีน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เรื่อง ผลไม้ (水果) ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีลักษณะเป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบมี 4 ตัวเลือก ในการสร้าง แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาจีน ผู้วิจัยได้ด าเนินการสร้างตามล าดับขั้นตอน ดังนี้ 2.3.1 ศึกษาเอกสารหลักสูตร ได้แก่ คู่มือครู คู่มือวัดและประเมินผลวิชาภาษาจีน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 การสร้างตารางวิเคราะห์หลักสูตรเอกสารที่เกี่ยวข้องเทคนิคการเขียน ข้อสอบ การสร้างแบบทดสอบแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 2.3.2 วิเคราะห์เนื้อหาความสัมพันธ์ระหว่างสาระการเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ ที่คาดหวัง จ านวนข้อสอบที่ออกและจ านวนข้อสอบที่ต้องการจริง 2.3.3 น าแบบทดสอบ จ านวน 20 ข้อเสนอผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบความสอดคล้อง ระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์การเรียนรู้ และความถูกต้องเหมาะสมของการใช้ภาษา หาค่าดัชนี ความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์การเรียนรู้ โดยใช้สูตร IOC (สมนึก ภัททิยธนี, 2546 : 220-221) ซึ่งมีเกณฑ์การประเมิน ดังนี้ ให้คะแนน +1 เมื่อแน่ใจว่าข้อสอบวัดตรงกับจุดประสงค์การเรียนรู้ ให้คะแนน 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าข้อสอบวัดตรงจุดประสงค์การเรียนรู้ ให้คะแนน -1 เมื่อข้อสอบวัดไม่ตรงจุดประสงค์การเรียนรู้ 2.3.4 ผลการวิเคราะห์หาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อค าถามของแบบทดสอบ ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง โดยใช้สูตร IOC เกณฑ์ .50 ขึ้นไป ถือว่าเป็นข้อสอบที่อยู่ในเกณฑ์ที่ใช้ได้ ผลจากการประเมินผู้เชี่ยวชาญพบว่า มีค่าเฉลี่ยตั้งแต่ 0.67 –1.00 (ภาคผนวก ข หน้า 74-75) แสดงว่า เป็นแบบทดสอบที่ใช้ได้ 2.3.5 วิเคราะห์หาค่าความยากง่าย (p) พบว่าข้อสอบที่คัดเลือกไว้ จ านวน 20 ข้อ มีค่าความยากง่าย (p) ตั้งแต่ 0.20 ถึง 0.80 (ภาคผนวก ข หน้า 76-77) และวิเคราะห์หาค่า อ านาจจ าแนกรายข้อ พบว่าข้อสอบที่คัดเลือกไว้ จ านวน 20 ข้อ มีค่าอ านาจจ าแนก (r) ตั้งแต่ 0.20 ถึง 0.88 (ภาคผนวก ข หน้า 77-76) น าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มาค านวณหาค่า ความเชื่อมั่นทั้งฉบับ (rcc) ซึ่งค านวณได้เท่ากับ 0.9745 (ภาคผนวก ข หน้า 77) 2.3.6 น าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ที่คัดเลือกได้จ านวน 20 ข้อ มาจัดท าเป็นแบบทดสอบฉบับจริง


31 กำรเก็บรวบรวมข้อมูล ก ารด าเนิน ก ารวิจัยค รั้งนี้ ผู้ วิจัยด าเนิ น ก ารท ด ลองแล ะเก็บ ข้อมูลกับ นั กเรียน ชั้นมั ธยมศึกษ าปีที่ 3 ที่เรียนในภ าคเรียนที่ 2 ปีก ารศึกษ า 2566 โรงเรียนเทศบ าล 4 วัดโพธิวราราม อ าเภอเมือง จังหวัดอุดรธานีการด าเนินการทดลองและเก็บข้อมูลในแต่ละขั้น มีดังนี้ 1. เตรียมนักเรียนก่อนด าเนินการสอน โดยแนะน าวิธีการเรียนโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้สื่อมัลติมีเดีย ให้นักเรียนมีความรู้การสร้างข้อตกลงเบื้องต้นเกี่ยวกับการเรียน ขั้นตอนการเรียน และบทบาทวิธีการปฏิบัติตนในการเรียนวิชาภาษาจีน ใช้เวลา 1 ชั่วโมงในสัปดาห์แรกก่อนท า การทดลอง 2. ท าการทดสอบก่อนเรียน (Pretest) โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา ภาษาจีน ใช้เวลา 1 ชั่วโมงในสัปดาห์แรกก่อนท าการทดลอง 3. ด าเนินการทดลองการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวิชาภาษาจีน โดยใช้กิจกรรม การเรียนรู้โดยใช้สื่อมัลติมีเดีย เรื่อง ผลไม้ (水果) กับนักเรียนตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้วิจัย สร้างขึ้น จ านวน 5 แผน ใช้เวลา 10 ชั่วโมง 4. ท าการทดสอบหลังเรียน (Posttest) หลังจากการทดลองสอนสิ้นสุดลง โดยใช้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาจีน ฉบับเดียวกันกับที่ใช้ทดสอบก่อน การทดลอง โดยใช้เวลา 1 ชั่วโมง กำรวิเครำะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้น าคะแนนจากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและจากแบบวัดความรู้เรื่อง การออกเสียงภาษาจีน มาวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการทางสถิติ ดังนี้ 1. การหาค่าหาประสิทธิภาพของสื่อมัลติมีเดีย วิชาภาษาจีน เรื่อง การออกเสียงภาษาจีน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเทศบาล 4 วัดโพธิวราราม ตามเกณฑ์ร้อยละ 80/80 2. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยสื่อมัลติมีเดีย วิชาภาษาจีน เรื่อง การออกเสียงภาษาจีน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเทศบาล 4 วัดโพธิวราราม สถิติที่ใช้ในกำรวิเครำะห์ข้อมูล 1. สถิติพื้นฐาน


32 1.1 ค่าเฉลี่ย (Mean) หาค่าเฉลี่ย โดยใช้สูตรดังนี้(บุญชม ศรีสะอาด, 2553) X = N X เมื่อ X แทน คะแนนเฉลี่ย X แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด N แทน จ านวนนักเรียนในกลุ่มตัวอย่าง 1.2 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค านวณจากสูตร ดังนี้(บุญชม ศรีสะอาด, 2553) N(N 1) 2 ( X) 2 N X S − − = เมื่อ S แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน X แทน ผลรวมของคะแนน X แทน คะแนนแต่ละตัว X แทน คะแนนเฉลี่ย N แทน จ านวนนักเรียนในกลุ่มตัวอย่าง 2. สถิติที่ใช้ในการหาคุณภาพเครื่องมือ 2.1 หาค่าความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา โดยใช้สูตรดัชนีความสอดคล้องระหว่าง ข้อสอบกับจุดประสงค์การเรียนรู้ โดยใช้สูตรดัชนีค่าความสอดคล้อง IOC (Index of Item Objective Congruence) (พิสุทธา อารีราษฎร์, 2551: 120) N R IOC = เมื่อ IOC แทน ดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์ R แทน ผลรวมคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด N แทน จ านวนผู้เชี่ยวชาญ 2.2 หาค่าความยากง่าย (p) และค่าอ านาจจ าแนก (r) ของแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้สูตรดังนี้ (บุญชม ศรีสะอาด, 2553)


33 2f Ru RI p + = เมื่อ P แทน ค่าระดับความยาก f แทน จ านวนคนในกลุ่มสูงหรือกลุ่มต ่า (ซึ่งเท่ากัน) R แทน จ านวนผู้ตอบถูกทั้งหมด (ซึ่งเท่ากับ Ru+RI) Ru แทน จ านวนคนกลุ่มสูงที่ตอบถูก RI แทน จ านวนคนกลุ่มต ่าที่ตอบถูก และค่าอ านาจจ าแนก (r) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้สูตรดังนี้ f Ru RI r + = เมื่อ r แทน ค่าอ านาจจ าแนก R แทน จ านวนผู้ตอบถูกทั้งหมด (ซึ่งเท่ากับ Ru+RI) f แทน จ านวนคนในกลุ่มสูงหรือกลุ่มต ่า (ซึ่งเท่ากัน) Ru แทน จ านวนคนกลุ่มสูงที่ตอบถูก RI แทน จ านวนคนกลุ่มต ่าที่ตอบถูก 2.3 หาค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้สูตร KR20 ของคูเดอร์ริชาร์ดสัน ดังนี้ (บุญชม ศรีสะอาด, 2553) เมื่อ แทน ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบ k แทน จ านวนข้อสอบ p แทน สัดส่วนของผู้ตอบถูกในข้อหนึ่ง ๆ = N R เมื่อ R แทนจ านวนผู้ตอบถูกในข้อนั้น และ N แทนจ านวนผู้สอบ q แทน สัดส่วนของผู้ตอบผิดในข้อหนึ่งๆ = 1-p S 2 แทน ค่าความแปรปรวนของคะแนน โดย 2 t S = 2 N 2 ( X) 2 NX −


34 2.4 ค านวณหาประสิทธิภาพของสื่อมัลติมีเดีย ร่วมกับการจัดกิจกรรม การเรียนรู้โดยใช้สื่อมัลติมีเดีย วิชาภาษาจีน ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยค านวณจากสูตรของ บุญชม ศรีสะอาด (2553) ดังนี้ ประสิทธิภาพของสื่อมัลติเมียเดีย ร่วมกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้สื่อมัลติมีเดีย วิชาภาษาจีน ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 = E1 / E2 E1 = 100 Α Ν Χ E1 = ประสิทธิภาพของกระบวนการ Χ = คะแนนรวมของผู้เรียนทุกคนที่ได้จากการท าแบบทดสอบ แต่ละบท N = จ านวนนักเรียน A = คะแนนเต็มของแบบทดสอบท้ายบทเรียนทุกชุดรวมกัน E2 = 100 B F E2 = ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ F = คะแนนรวมของผู้เรียนทุกคนที่ได้จากการท าแบบทดสอบ N = จ านวนนักเรียน B = คะแนนเต็มของแบบทดสอบ ส าหรับการศึกษาครั้งนี้ ผู้ศึกษาได้ก าหนดเกณฑ์ประสิทธิภาพ ไว้ที่ระดับ 80/80 โดย 80 ตัวแรก คือ ค่าประสิทธิภาพของกระบวนการจัดการเรียนรู้ คิดเป็นร้อยละ ของคะแนนเฉลี่ยจากการท าแบบทดสอบแต่ละบท 80 ตัวหลัง คือ ค่าประสิทธิภาพของผลลัพธ์ที่คิดเป็นร้อยละของคะแนนเฉลี่ยจากการ ท าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาจีน เรื่อง การอ่านออกเสียง


35 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อหาประสิทธิภาพของสื่อมัลติมีเดีย วิชาภาษาจีน เรื่อง การออกเสียงภาษาจีน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเทศบาล 4 วัดโพธิวราราม ตามเกณฑ์ร้อยละ 80/80 2) เพื ่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว ่างก ่อนเรียนและหลังเรียนด้วย สื ่อมัลติมีเดีย วิชาภาษาจีน เรื ่อง การออกเสียงภาษาจีน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเทศบาล 4 วัดโพธิวราราม ในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้เสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลตามล าดับขั้นตอน ดังนี้ 1. สัญลักษณ์ที่ใช้ในการน าเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 2. ล าดับขั้นตอนในการน าเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 3. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 1. สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล N แทน จ านวนนักเรียน แทน ค่าเฉลี่ย แทน ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด df แทน ค่าชั้นแห่งความอิสระ E1 แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการ E2 แทน ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ A แทน คะแนนเต็มของแบบทดสอบท้ายสื่อมัลติมีเดีย B แทน คะแนนเต็มของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ D แทน ผลรวมของความแตกต่างรายคู่ระหว่างคะแนนการทดสอบหลังเรียนและ ก่อนเรียน 2 D แทน ผลรวมยกก าลังสองของความแตกต่างรายคู่ระหว่างคะแนนการทดสอบ หลังเรียนและก่อนเรียน t แทน ค่าสถิติที่ใช้ในการพิจารณาการแจกแจงค่าที (t – Distribution)


36 2. ล าดับขั้นตอนในการน าเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้ด าเนินการเป็นล าดับขั้นตอน ดังนี้ ตอนที่ 1 วิเคราะห์ประสิทธิภาพของสื่อมัลติมีเดีย วิชาภาษาจีน เรื่อง การออกเสียงภาษาจีน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเทศบาล 4 วัดโพธิวราราม ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ตอนที ่ 2 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว ่างก ่อนเรียนและหลังเรียนด้วย สื ่อมัลติมีเดีย วิชาภาษาจีน เรื ่อง การออกเสียงภาษาจีน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเทศบาล 4 วัดโพธิวราราม 3. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่ 1 วิเคราะห์ประสิทธิภาพของสื่อมัลติมีเดีย วิชาภาษาจีน เรื่อง การออกเสียง ภาษาจีน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเทศบาล 4 วัดโพธิวราราม ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ตารางที่ 1 ผลการหาประสิทธิภาพของสื่อมัลติมีเดีย วิชาภาษาจีน เรื่อง การออกเสียงภาษาจีน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 คะแนน คะแนนเต็ม (A,B) N ร้อยละ E1 50 13 525 80.77 E2 20 13 214 82.31 จากตารางที่ 1 แสดงให้เห็นว่าประสิทธิภาพของสื่อมัลติมีเดีย วิชาภาษาจีน เรื่อง การออก เสียงภาษาจีน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 80.77/82.31 สูงกว่าเกณฑ์ประสิทธิภาพ ที่ตั้งไว้คือเกณฑ์ 80/80 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานข้อที่ 1 ตอนที่ 2 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยสื่อมัลติมีเดีย วิชาภาษาจีน เรื่อง การออกเสียงภาษาจีน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเทศบาล 4 วัดโพธิวราราม ผู้วิจัยได้เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน วิชาภาษาจีน เรื ่อง การออกเสียง ภาษาจีน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนโดยใช้สื่อมัลติมีเดีย ปรากฏผลดังตารางที่ 2


37 ตารางที่ 2 แสดงผลการเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนและหลังเรียนของกลุ่มเป้าหมาย ที่เรียนโดยใช้สื่อมัลติมีเดีย วิชาภาษาจีน เรื่อง การออกเสียงภาษาจีน จ านวน นักเรียน คะแนน เต็ม ค่าเฉลี่ย S.D. t df P* ก่อนเรียน 13 20 10.31 1.43 15.84 24 .000 หลังเรียน 13 20 18.00 1.00 *มีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากตารางที่ 2 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบคะแนน ของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้สื่อมัลติมีเดีย เรื่อง การออกเสียง ภาษาจีน มีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนเท่ากับ 10.31 คิดเป็นร้อยละ 51.55 และหลังเรียนมีคะแนนเฉลี่ย 18.00 คิดเป็นร้อยละ 90.00 และเมื่อเปรียบเทียบระหว่างคะแนนสอบทั้ง 2 พบว่า คะแนนหลังเรียนสูง กว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05


38 บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื ่อ 1) เพื ่อหาประสิทธิภาพของสื ่อมัลติมีเดีย วิชาภาษาจีน เรื ่อง การออกเสียงภ าษ าจีน ชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 3 โรงเรียนเทศบาล 4 วัดโพธิวราราม ตามเกณฑ์ร้อยละ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่าง ก ่อนเรียนและหลังเรียนด้วยสื ่อมัลติมีเดีย วิชาภาษาจีน เรื ่อง การออกเสียงภาษาจีน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเทศบาล 4 วัดโพธิวราราม ในครั้งนี้ผู้วิจัยได้สรุป อภิปรายผล และเสนอแนะดังต่อไปนี้ 1. สมมติฐานของการศึกษาค้นคว้า 2. กลุ่มเป้าหมาย 3. เครื่องมือในการศึกษาค้นคว้า 4. วิธีด าเนินการ 5. การวิเคราะห์ข้อมูล 6. สรุปผลการศึกษา 7. อภิปรายผล 8. ข้อเสนอแนะ 1. สมมติฐานของการศึกษาค้นคว้า 1. สื ่อมัลติมีเดีย วิชาภาษาจีน เรื ่อง การออกเสียงภาษาจีน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่สร้างและพัฒนาแล้วมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์80/80 2. นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้สื่อมัลติมีเดีย วิชาภาษาจีน ชั้นธยมศึกษาปีที่ 3 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการออกเสียงภาษาจีน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 2. กลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2556 โรงเรียนเทศบาล 4วัดโพธิวราราม สังกัดส านักการศึกษา เทศบาลนครอุดรธานีจังหวัด อุดรธานีจ านวน 1 ห้องเรียน จ านวนนักเรียน 13 คน


39 3. เครื่องมือในการศึกษาค้นคว้า 1. สื่อมัลติมีเดีย วิชาภาษาจีน เรื่อง การออกเสียงภาษาจีน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 2. แผนการจัดการเรียนรู้ วิชาภาษาจีน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ สื่อมัลติมีเดีย 3. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาภาษาจีน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 แบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จ านวน 20 ข้อ 4. การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้น าสื่อมัลติมีเดีย วิชาภาษาจีน เรื่อง การออกเสียงภาษาจีน ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 3 ที่มีประสิทธิภาพดีผ่านเกณฑ์มาตรฐานแล้วไปใช้สอนนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 4 วัดโพธิวราราม สังกัดส านักการศึกษา เทศบาลนครอุดรธานี จังหวัดอุดรธานีจ านวน 13 คน โดยผู้วิจัยด าเนินการ จัดการเรียนรู้และเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 ตามขั้นตอน ดังนี้ 4.1 ชี้แจงข้อตกลงในการเรียนโดยใช้สื่อมัลติมีเดีย 4.2 ทดสอบก ่อนเรียน (Pre-test) โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์การเรียน ที ่อยู ่ในสื่อ มัลติมีเดีย วิชาภาษาจีน เรื ่อง การออกเสียงภาษาจีน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จ านวน 20 ข้อ เพื่อทดสอบความรู้เดิมของนักเรียน 4.3 ด าเนินการสอนตามแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ได้จัดท าไว้ 4.4 นักเรียนท าแบบทดสอบหลังเรียน (Post-test) หลังจากจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เสร็จสิ้นแล้ว โดยใช้แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชุดเดิมกับแบบทดสอบก ่อนเรียน จ านวน 20 ข้อ 5. การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลตามขั้นตอน ดังนี้ 5.1 วิเคราะห์ประสิทธิภาพของสื ่อมัลติมีเดีย วิชาภาษาจีน เรื ่อง การออกเสียงภาษาจีน ชั้นมัธยมศึกษาปีที ่ 3 โรงเรียนเทศบาล 4 วัดโพธิวราราม ตามเกณฑ์ร้อยละ 80/80 โดยหาค่า ประสิทธิภาพ E1/E2 5.2 ค านวณหาร้อยละ คะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนนที่ได้จากแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาภาษาจีน ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน หลังจาก ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้สื่อมัลติมีเดีย วิชาภาษาจีน เรื่อง การออกเสียงภาษาจีน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้การทดสอบที่แบบไม่อิสระ (Dependent Sample t-test) ด้วยโปรแกรม คอมพิวเตอร์ส าเร็จรูปทางสถิติ


40 6. สรุปผลการศึกษา การศึกษาการพัฒนาสื่อมัลติมีเดีย วิชาภาษาจีน เรื่อง การออกเสียงภาษาจีน ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 3 สามารถสรุปผลได้ดังนี้ 6.1 ประสิทธิภาพของสื่อมัลติมีเดีย วิชาภาษาจีน เรื่อง การออกเสียงภาษาจีน ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 3 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 80.77/82.31 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้ 6.2 นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้สื่อมัลติมีเดีย วิชาภาษาจีน เรื่อง การออกเสียง ภาษาจีน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 7. อภิปรายผล จากผลการศึกษาดังกล่าวข้างต้น สามารถอภิปรายผลได้ดังนี้ 1. ประสิทธิภาพของสื่อมัลติมีเดีย วิชาภาษาจีน เรื่อง การออกเสียงภาษาจีน ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 3 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 80.77/82.31 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ประสิทธิภาพที่ตั้งไว้ คือ เกณฑ์ 80/80 ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะว่า สื่อมัลติมีเดีย วิชาภาษาจีน เรื่อง การออกเสียงภาษาจีน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ผู้วิจัย ได้พัฒนาขึ้น ได้ผ่านกระบวนการขั้นตอนการสร้างอย่างมีระบบโดยเริ่มตั้งแต ่การเลือกเนื้อหาศึกษา เอกสารหลักสูตรคู ่มือครูและเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวกับการเรียนการสอนวิชาภาษาจีน สื่อมัลติมีเดีย เรื่อง การออกเสียงภาษาจีน ที่สร้างขึ้นได้ท าตามกระบวนการสร้างอย่างถูกต้อง รวมทั้งตัวสื่อมีวิดิโอ เกมส์ ท าให้สื ่อมีความน่าสนใจ ดึงดูดผู้เรียนได้เป็นอย่างดีและเหมาะสมกับเนื้อหา วัยของผู้เรียน สอดคล้องกับแนวคิดของกาญจนา นันตรัตน์(2556 : 81) กล่าวไว้ว่าสื่อมัลติมีเดียที่มีความเหมาะสม มากที่สุด เป็นสื่อที่เรียนรู้ได้ง่าย เกิดความเข้าใจในเนื้อหาง่ายมากกว่าเดิม รูปแบบเนื้อหาจะมีวีดิโอ เสียง ภาพเข้ามาประกอบ เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้เรียนและมีปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียน 2. ผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนที่เรียนด้วยสื่อมัลติมีเดีย เรื่อง การออกเสียงภาษาจีน ส าหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเทศบาล 4 วัดโพธิวราราม พบว่า ผู้เรียนมีคะแนนทดสอบหลังการเรียนสูง กว่าก่อน เป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว ่าสื่อมัลติมีเดีย ที่สร้างขึ้นตามกระบวนการวิจัย คือมีการศึกษาเนื้อหา วิเคราะห์ เนื้อหา มีการออกแบบบทเรียนให้น่าสนใจ โดยการใช้ ภาพ วิดีโอ ประกอบในบทเรียน และได้ ผ ่านการตรวจสอบ ทดลองใช้ และประเมินประสิทธิภาพ ดึงดูดใจให้นักเรียนสนใจและตั้งใจ เรียน ผู้เรียนสามารถทบทวนบทเรียนด้วยตนเองตลอดเวลาตามที่ผู้เรียนต้องการ ท าให้คะแนน ทดสอบหลัง เรียนของผู้เรียนสูงขึ้น ซึ ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ นิเวศน์ วงศ์ประทุม (2558) ที่ได้ท าการศึกษา การพัฒนาสื่อ มัลติมีเดียประกอบการเรียนวิชาการเขียนโปรแกรมด้วยภาษาซีชาร์ป 1 กลุ่มสารการงานอาชีพและ เทคโนโลยี ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ผลการวิจัยพบว่า 1) สื่อมัลติมีเดียประกอบการเรียนวิชาการ


41 เขียนโปรแกรมด้วยภาษาซีชาร์ป 1 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.47/82.66 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ 0.1 3) นักเรียนความพึงพอใจที่มีต ่อสื่อ มัลติมีเดีย อยู่ในระดับมาก 4) นักเรียนที่เรียนด้วยสื่อมัลติมีเดียประกอบการสอนมีความคงทนในการ เรียนรู้โดยคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังทดสอบเวลาผ่านไป 2 สัปดาห์ 8. ข้อเสนอแนะ 8.1 ข้อเสนอแนะทั่วไป 8.1.1 การสร้างสื ่อมัลติมีเดียนั้น ผู้วิจัยควรศึกษารายละเอียดของการท าสื ่อ มัลติมีเดีย เพื่อช่วยใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนให้ผู้เรียนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น 8.1.2 การจัดการเรียนรู้ผ่านสื่อมัลติมีเดีย ครูผู้สอนควรปูพื้นฐานความรู้พื้นฐานก่อนและ ควรแนะน าให้ผู้เรียนได้เข้าใจกระบวนการเรียนอย่างชัดเจน 8.2 ข้อเสนอแนะในการศึกษาครั้งต่อไป 8.2.1 ควรมีการศึกษาตัวแปรอื่นนอกจากผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เช่น ทักษะการ แก้ปัญหา ทักษะการคิดวิเคราะห์และความคงทนในการเรียนรู้เป็นต้น 8.2.2 ควรมีการศึกษาเปรียบเทียบการสอนปกติกับการสอนโดยใช้สื่อมัลติมีเดียเพื่อ ศึกษาความก้าวหน้าของนักเรียน


42 บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธิการ. (2545). พระราชบัญญัติการศึกษาแหงชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545. กรุงเทพฯ. พิณพร คงแท่น, อัญชนา ทองกระจาย,Huanhuan Ma (2562). การพัฒนาการอ่านออกเสียง ภาษาจีนกลาง ส าหรับนักศึกษาสาขาวิชาภาษาจีน ชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยราชภัฎ มหาสารคาม. พิณพร คงแท่น, อัญชนา ทองกระจาย,Huanhuan Ma (2562). การพัฒนาการอ่านออกเสียง ภาษาจีนกลาง ส าหรับนักศึกษาสาขาวิชาภาษาจีน ชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยราชภัฎ มหาสารคาม. รักชนกชรินร์ พูลสุวรรณนธี(2559). ผลการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านออกเสียงด้วยระบบรู้จ า เสียงพูดเพื่อส่งเสริมความสามารถในการอ่านออกเสียงภาษาไทยในรายวิชาเทคนิค การประกาศทางวิทยุโทรทัศน์ มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์. บุปผชาติ ทัฬหิกรณ์ และคณะ. (2544). ความรู้เกี่ยวกับสื่อมัลติมีเดียเพื่อการศึกษา. กรุงเทพฯ. โรงพิมพ์คุรุ สภา ลาดพร้าว. กิดานันท์ มะลิทอง.(2548). เทคโนโลยีและสื่อสารการศึกษา ภาควิชาหลักสูตรการสอนและ เทคโนโลยีการศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. เชาวนี เกิดเพทางค์.(2544). สื่อการสอนและนวัตกรรมทางการศึกษา . กรุงเทพมหานคร: โอ.เอสพริ้น ติ้งเฮาส์. ทวีศักดิ์ กาญจนสุวรรณ (2552). เทคโนโลยีมัลติมีเดีย (Multimedia Technology) เคทีพี คอมพ์แอนด์คอนซัลท์กรุงเทพฯ. ศราวุธ ทิพย์รักษา. (2550). "การสร้างสื่อมัลติมีเดียและกิจกรรมเพื่อการเรียนการสอนเรื่องชีวิตและ วัฒนธรรมไทยภาคใต้ (วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต). มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ธนบุรี.


43 ภาคผนวก


Click to View FlipBook Version