รายงาน
เรอื่ ง แนวโน้มการพฒั นาหลกั สูตรในศตวรรษที่ 21
จัดทำโดย
นางสาวรตั ตยิ า บาแม
6421113009 นักศึกษาชั้นปีท่ี 2
เสนอ
ผศ.ดร.พัชรีภรณ์ บางเขยี ว
รายงานเลม่ นเ้ี ป็นส่วนหนึง่ ของรายวิชา พฒั นาหลกั สูตร
ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2565
มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั บ้านสมเดจ็ เจา้ พระยา
1
คำนำ
รายงานเลม่ นจ้ี ัดทำข้นึ เพ่อื เปน็ ส่วนหนงึ่ ของรายวิชา การพัฒนาหลักสูตร ช้นั ปีท่ี 2
เพอื่ ใหไ้ ด้ศกึ ษาหาความรใู้ นเร่อื ง แนวโนมการพฒั นาหลกั สูตรในศตวรรษ ที่ 21 และได้
ศกึ ษาอย่างเขา้ ใจเพอ่ื เปน็ ประโยชนก์ บั การเรยี นตอ่ ไป
ผู้จัดทำหวังว่า รายงานเล่มน้จี ะเป็นประโยชนก์ ับผอู้ า่ น หรอื นกั เรียน นักศึกษา ที่กำลัง
หาข้อมลู เรื่องนี้อยู่ หากมีขอ้ แนะนำหรอื ข้อผิดพลาดประการใด ผ้จู ดั ทำขอนอ้ มรับไว้
และขออภัยมา ณ ท่ีนด้ี ้วย
ผู้จดั ทำ
นางสาวรตั ตยิ า บาแม
2
สารบญั
เรื่อง........................................................................................................หน้า
บทนำ.......................................................................................................3
1.สภาพปัจจุบันของหลักสตู รไทย……………………………………………….…….4
1.1หลกั สูตรปฐมวัย พทุ ธศักราช 2560…………………………………………………………..5
1.2หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พ้ืนฐาน ปพี ุทธศักราช 2551
(ฉบบั ปรบั ปรุง พทุ ธศกั ราช 2560)…………………………………………….........................11
1.3หลักสูตรประกาศนียบัตรวชิ าชพี (ปวช.) พุทธศักราช 2562..............................19
1.4หลักสตู รประกาศนียบตั รวชิ าชีพชัน้ สูง (ปวส.) พุทธศักราช 2563…………….….24
1.5หลักสตู รปรญิ ญาตรสี ายเทคโนโลยหี รือสายปฏิบตั ิการพทุ ธศักราช 2562….….36
1.6หลกั สตู รอุดมศึกษา (ภายใต้กรอบมาตรฐานคณุ วุฒิอดุ มศกึ ษา)..........................43
2.สภาพปญั หาหลักสูตรในประเทศไทย………………………………………….…..53
3.แนวโน้มการพัฒนาหลกั สตู รในศตวรรษท่ี 21…………………………………55
4.บทสรปุ .................................................................................................62
5.บรรณานุกรม........................................................................................63
3
แนวโน้มการพฒั นาหลกั สตู รในศตวรรษที่ 21
บทนำ
ในการพัฒนาหลักสูตรดงั ไดก้ ล่าวมาแล้วจะเห็นไดว้ ่า เป็นกระบวนการดำเนนิ งานท่ีจำเป็นต้องมี
ปจั จยั เก้ือหนนุ ตา่ งๆ อกี ทง้ั ต้องกำหนดกระบวนการทำงานอย่างรัดกมุ ภายใต้การสง่ เสรมิ สนับสนุนจากทกุ ฝ่าย
ท่ีเกยี่ วข้องและจำเปน็ ต้องได้รบั การประเมินผลอย่างเปน็ รปู ธรรม ดงั น้นั หากการดำเนินการในสว่ นใดขาดความ
สมบูรณ์ยอ่ มส่งผลกระทบตอ่ เนื่องกนั ทงั้ ระบบของการพฒั นาหลกั สูตร สำหรบั เนอ้ื หาสาระในบทนจี้ งึ นำเสนอ
ใหเ้ หน็ ปญั หาในการพัฒนาหลักสตู รในแงม่ มุ ตา่ งๆ เพื่อใหผ้ ู้ที่เก่ียวข้องกับการพัฒนาหลักสตู รได้พิจารณาและ
หลีกเล่ียงหรอื หากลไกในการป้องกันมิใหเ้ กิดปัญหาดังกล่าว และเพือ่ ใหก้ ระบวนการพัฒนาหลกั สตู รมคี วาม
ทนั สมยั สอดคลอ้ งกับความเปลีย่ นแปลงของโลกผู้เขยี นได้นำเสนอแนวโนม้ การพัฒนาหลักสูตรในศตวรรษท่ี
21 เพ่ือให้เปน็ ขอ้ มลู และกรอบแนวทางในการพัฒนาหลักสูตรต่อไป
ทกั ษะการรว่ มมอื ทำงานนบั วา่ เปน็ อีกทกั ษะหนึง่ ท่ีมีความสำคญั ยิง่ ต่อคนในศตวรรษท่ี 21 มาก
เพราะความสำเร็จของงานในระบบเศรษฐกิจทใ่ี ช้ความร้ตู อ้ งอาศยั การทำงานเปน็ ทีมมากขน้ึ โดยท่ีความ
เช่ยี วชาญและบทบาทของสมาชิกในทมี ต่างชว่ ยเสริมซ่งึ กนั และกัน ซง่ึ พนักงานในศตวรรษท่ี 21 จะสามารถ
ทำงานใหป้ ระสบความสำเรจ็ ไดโ้ ดยใช้ปฏิสัมพนั ธผ์ า่ นสอ่ื (mediated interaction) กับเพอื่ นร่วมงานในอีก
เมือง อีกประเทศ หรืออีกซีกโลกไดโ้ ดยไมเ่ คยพบปะกันเลย ดังนนั้ ทักษะในการมีปฏสิ มั พนั ธก์ บั ผู้อนื่ เพอื่ ร่วม
ทำงานจงึ มีความสำคัญอย่างยิ่งและทกั ษะนน้ี ่าจะมีความซบั ซ้อนมากขึ้นในความเจริญท่ีมอี ย่างไม่หยดุ ย้งั
จากความเจรญิ ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสอื่ สารน้ที ำใหเ้ รา
ไดร้ ับข้อมลู ขา่ วสารมากมายท่ไี หลบ่ ่าเขา้ มาอยา่ งรวดเรว็ ซ่ึงในศตวรรษท่ี 21 เราคงไม่คน้ หาขอ้ มลู จากหนังสือ
ในห้องสมุดอยา่ งในศตวรรษท่ี 20 แตเ่ ราสามารถค้นหาข้อมูลจากโปรแกรมค้นหาสมยั ใหมซ่ ง่ึ อาจไดข้ ้อมลู
หลายหมื่นหลายแสนช้ินภายในไม่กวี่ ินาที แต่ขอ้ มลู เหล่านน้ั คงมีจำนวนไมน่ ้อยท่ีไมต่ รงกับความต้องการของ
เราหรือไม่ตรงกบั วัตถปุ ระสงค์ท่ีกำหนดไว้ หรอื อาจพบข้อมูลท่ขี ดั แยง้ กนั ดงั นัน้ ความสามารถในการกรอง
ขอ้ มลู ข่าวสารจึงเปน็ อกี ทกั ษะหนง่ึ ทม่ี คี วามจำเป็นอยา่ งยิ่งทต่ี ้องได้รบั การพฒั นาเพื่อใหค้ นสามารถเลอื ก
แยกแยะ และสกัดเฉพาะข้อมลู ขา่ วสารทส่ี ำคัญตอ่ การตดั สินใจ เพ่ือดำเนินการเร่ืองใดเร่ืองหนง่ึ ได้อย่างมี
ประสทิ ธิภาพ
4
1.สภาพปจั จบุ ันของหลกั สตู รไทย
การศึกษาไทยในปัจจุบนั มกี ารจัดการศึกษาตามบรบิ ทของการจัดการศึกษาอนั เปน็ ไปตามแผนการ
ศกึ ษาของชาติคอื พฒั นาคน พฒั นาครอู าจารย์ พฒั นาสงั คม ในหลากหลายรูปแบบท่ีเน้นการมี
สว่ นรว่ มขององค์กรภาครฐั และเอกชน เปน็ การจดั การศกึ ษาทีเ่ นน้ ด้านอาชีวศึกษามากขึน้ การ
มุ่งเน้นใหม้ กี ารจัดการศกึ ษาข้นั พ้ืนฐานและระดบั ปริญญาตรีเพ่อื เน้นการมีงานทำโดนอาศัยปัจจยั
หลกั ในองค์กรหลักจากภายนอกหลายปจั จยั เช่น ปัจจยั ดา้ นเทคโนโลยดี ้านเศรษฐกิจด้านระบบ
ราชการด้านการเมืองการปกครองดา้ นคณุ ธรรมจรยิ ธรรม ซง่ึ ส่งผลให้จดั ระบบบรหิ ารจดั การ
กระทรวงศกึ ษาธกิ ารรูปแบบใหม่ โดยบูรณาการองค์กรหลักของกระทรวงทง้ั 5 องคก์ รหลกั โดย
ให้ปลดั กระทรวงศกึ ษาธกิ ารเป็นผูม้ อี ำนาจสูงสุด กระจายอำนานไปสูส่ ว่ นภมู ิภาคไปยงั ศึกษาธกิ าร
ภาค 1-18 โดยแต่ระภาคจะประกอบไปดว้ ยกล่มุ จงั หวัด ในแตล่ ะจังหวดั มีศกึ ษาธิการจังหวดั เป็น
ฝ่ายกำกับดูแลหน่วยงานทางการศึกษาในจังหวัด เขตพ้ืนทแ่ี ละสถานศึกษาซง่ึ เป็นการกระจาย
อำนาจโดยให้มกี ารกำกบั ควบคมุ ดแู ลกันอยา่ งเปน็ ระบบมากข้ึน
หน้าทหี่ ลกั ในการจัดการศกึ ษาของประเทศไทยของกระทรวงศกึ ษาธกิ าร รวมทง้ั นโยบายดา้ นการ
ศึกษาจากพรรคการเมอื งในประเทศไทย ทำใหส้ รปุ ไดว้ า่ ภาพอนาคตการศกึ ษาไทย การศึกษาเปน็
เคร่ืองมือในการพัฒนาคณุ ภาพชวี ิตของคนไทยเปน็ การเพ่มิ ต้นทนุ ทางสงั คมให้แก่ประเทศการมี
สว่ นรว่ มของทกุ ภาคส่วนของสังคมในการจัดการศึกษา โดยเน้นให้เด็กเป็นคนดคี นเก่ง มีความสุข
มคี ุณธรรม อาศยั การสอนที่หลากหลายใหเ้ หมาะสมกับศกั ยภาพของผเู้ รียนเกดิ การบูรณาการวิชา
ต่างๆเขา้ ดว้ ยกันเปน็ สหวทิ ยาการเพอ่ื ให้การศึกษาสอดคลอ้ งกบั วถิ ีชวี ติ ความต้องการของผเู้ รียน
และชุมชนท้องถิ่นมากที่สุด และเพื่อความคล่องตัวในการบริหารจดั การ จึงต้องมีการกระจาย
อำนาจการจดั การศึกษาไปยงั ทอ้ งถิน่ อย่างเต็มรปู แบบในอนาคต นอกจากนน้ั ในอนาคตจะมกี าร
ปรับเปลย่ี นวิธกี ารเรียนการสอน เพ่ือให้สอดคลอ้ งกับ
การดำเนนิ ชวี ิตและเทคโนโลยสี ารสนเทศจะมีบทบาทอย่างย่งิ ในระบบการศึกษาในอนาคต
5
• -หลักสูตรปฐมวัย พทุ ธศกั ราช 2560
-ปรัชญาการศึกษาปฐมวยั
การศกึ ษาปฐมวยั เปน็ การพฒั นาเด็กตง้ั แต่แรกเกดิ ถึง ๖ ปี บรบิ ูรณ์ อยา่ งเป็นองค์รวม บนพน้ื ฐานการ
อบรมเลีย้ งดู และสง่ เสรมิ กระบวนการเรียนรทู้ ี่สนองต่อธรรมชาตแิ ละพัฒนาการตามวัยของเด็กแตล่ ะคนให้
เตม็ ตามศักยภาพภายใตบ้ รบิ ทสงั คมและวัฒนธรรมทีเ่ ดก็ อาศยั อยู่ ดว้ ยความรัก ความเออื้ อาทร และความ
เข้าใจของทกุ คน เพอ่ื สรา้ งรากฐานคุณภาพชวี ติ ให้เดก็ พฒั นาไปสคู่ วามเปน็ มนุษยท์ ีส่ มบูรณ์เกดิ คณุ คา่ ตอ่
ตนเอง ครอบครัว สงั คม และประเทศชาติ
-จุดมงุ่ หมาย
หลักสตู รการศึกษาปฐมวัย สำหรับเดก็ อายุต่ำกว่า 3 ปีมุง่ สง่ เสรมิ ให้เดก็ มพี ัฒนาการดา้ นร่างกาย อารมณ์
จิตใจสงั คม และ สตปิ ญั ญาทเี่ หมาะสมกับวยั ความสามารถ ความสนใจ และ ความแตกต่างระหว่างบุคคลดงั น้ี
1.ร่างกายเจรญิ เตบิ โตตามวัย แขง็ แรง และมีสุขภาพดี
2.สุขภาพจิตดแี ละมคี วามสขุ
3.มที ักษะชวี ิตและสร้างปฏสิ มั พนั ธก์ ับบคุ คลรอบตัว และอยรู่ ว่ มกบั ผอู้ ื่นไดอ้ ย่างมีความสขุ
4.มที ักษะการใชภ้ าษาส่ือสาร และสนใจเรยี นรสู้ ิ่งต่างๆ
หลกั สูตรการศึกษาปฐมวยั สำหรับเด็กอายุ 3-6 ปมี ุง่ ใหเ้ ดก็ มพี ฒั นาการตามวัยตามศกั ยภาพและมีความ
พรอ้ มในการเรยี นรู้ต่อไป จึงกำหนดจดุ มุง่ หมายเพอ่ื ใหเ้ กดิ กบั เด็กเมอ่ื จบการศึกษาระดับปฐมวยั ดังนี้
1.รา่ งกายเจริญเตบิ โตตามวัยแข็งแรงและมีสขุ นสิ ยั ท่ดี ี
2.สุขภาพจิตดีมีสนุ ทรียภาพมีคณุ ธรรมจรยิ ธรรมและจิตใจที่ดงี าม
3.มีทักษะชวี ิตและปฏิบตั ิตนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียงมีวินยั ไดอ้ ยรู่ ่วมกบั ผอู้ ่นื ได้อยา่ งมีความสุข
4.มีทักษะการคิด การใชภ้ าษาสอื่ สาร และการแสวงหาความรูไ้ ดเ้ หมาะสมกับวยั
6
-วสิ ัยทัศน์
หลกั สตู รการศึกษาปฐมวัยมงุ่ พฒั นาเดก็ ทุกคนให้ไดร้ บั การพัฒนาดา้ นร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สงั คม
และสติปญั ญาอย่างมคี ุณภาพและต่อเนอ่ื ง ได้รับการจดั ประสบการณก์ ารเรียนรู้อยา่ งมคี วามสขุ และเหมาะสม
ตามวยั มที ักษะชวี ิตและปฏิบัติตนตามหลักปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง เปน็ คนดี มวี ินยั และสำนกึ ความเปน็
ไทย โดยความร่วมมอื ระหวา่ งสถานศกึ ษา พอ่ แม่ ครอบครวั ชุมชน และทุกฝ่ายที่เกีย่ วขอ้ งกับการพัฒนาเดก็
-แนวคิดการจดั การศึกษาปฐมวัย
หลักสตู รการศกึ ษาปฐมวัย พุทธศกั ราช๒๕๖๐ พัฒนาขน้ึ บนแนวคิดหลกั สำคญั เก่ียวกับ
พัฒนาการเด็กปฐมวัย โดยถอื วา่ การเล่นของเดก็ เปน็ หวั ใจสำคญั ของการจัดประสบการณก์ ารเรียนรู้ ภายใต้
การจดั สภาพแวดลอ้ มทเ่ี อือ้ ตอ่ การทำงานของสมอง ผ่านสอ่ื ที่ต้องเอื้อให้เดก็ ไดเ้ รียนรผู้ ่านการเลน่ ประสาท
สมั ผัสท้งั ห้า โดยครจู ำเป็นต้องเขา้ ใจและยอมรบั วา่ สังคมและวฒั นธรรมท่แี วดลอ้ มตวั เด็กมอี ิทธพิ ลตอ่ การ
เรยี นรแู้ ละการพฒั นาศักยภาพและพฒั นาการของเดก็ แตล่ ะคน ท้ังน้ี หลกั สูตรฉบบั นีม้ ีแนวคิดในการจัด
การศกึ ษาปฐมวยั ดังน้ี
๑. แนวคิดเกี่ยวกับพัฒนาการเด็ก
พฒั นาการของมนษุ ย์เปน็ กระบวนการเปลี่ยนแปลงท่เี กดิ ข้ึนตอ่ เน่ืองในตัวมนษุ ยเ์ ร่ิมต้งั แตป่ ฏสิ นธไิ ป
จนตลอดชีวิต พฒั นาการของเด็กแต่ละคนจะมลี ำดบั ขนั้ ตอนลกั ษณะเดียวกนั แต่อตั ราและระยะเวลา
ในการผา่ นขน้ั ตอนตา่ งๆอาจแตกตา่ งกนั ได้ขั้นตอนแรกๆจะเปน็ พืน้ ฐานสำหรบั พฒั นาการขัน้ ต่อไป
พฒั นาการด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สงั คมและสติปญั ญา แตล่ ะส่วนสง่ ผลกระทบซง่ึ กนั และกนั
๒. แนวคดิ เกย่ี วกบั การเลน่ ของเดก็
การเลน่ เปน็ หวั ใจสำคัญของการจดั ประสบการณ์การเรียนรู้ การเลน่ อยา่ งมีจุดมงุ่ หมายเปน็ เครือ่ งมอื
การเรียนรู้ขั้นพนื้ ฐานท่ถี อื เปน็ องคป์ ระกอบสำคัญในกระบวนการเรียนรู้ของเด็ก ขณะท่เี ด็กเล่นจะเกดิ การ
เรียนรไู้ ปพร้อมๆกันด้วย จากการเลน่ เด็กจะมีโอกาสเคล่อื นไหวส่วนตา่ งๆของรา่ งกาย ไดใ้ ช้ประสาทสัมผสั และ
การรับรผู้ อ่ นคลายอารมณ์
๓. แนวคิดเกย่ี วกับการทำงานของสมอง
สมองเป็นอวยั วะที่มคี วามสำคัญทีส่ ุดในรา่ งกายของคนเรา เพราะการทีม่ นษุ ยส์ ามารถเรยี นรสู้ งิ่ ต่างๆ
ได้น้นั ต้องอาศยั สมองและระบบประสาทเป็นพื้นฐานการรบั รู้ รับความรูส้ ึกจากประสาทสมั ผัสทงั้ หา้ การ
เชอ่ื มโยงต่อกันของเซลล์สมองส่วนมากเกิดข้ึนก่อนอายุ ๕ ปี และปฏสิ ัมพันธ์แรกเริ่มระหว่างเดก็ กับผู้ใหญ่ มีผล
โดยตรงตอ่ การสร้างเซลลส์ มองและจุดเช่ือมตอ่ โดยในช่วง ๓ ปแี รกของชีวิต
๔. แนวคิดเกีย่ วกับสื่อการเรยี นรู้
สอื่ การเรยี นรทู้ ำให้เดก็ เกิดการเรยี นรตู้ ามจดุ ประสงค์ท่วี างไว้ ทำใหส้ ิ่งท่ีเป็นนามธรรมเข้าใจยาก
กลายเป็นรูปธรรมทเี่ ด็กเข้าใจและเรียนรู้ไดง้ า่ ย รวดเร็ว เพลดิ เพลนิ เกดิ การเรยี นรู้และคน้ พบด้วยตนเอง การ
ใชส้ ่ือการเรยี นร้ตู อ้ งปลอดภัยตอ่ ตวั เดก็ และเหมาะสมกบั วยั
7
๕. แนวคิดเก่ยี วกับสงั คมและวฒั นธรรม
เดก็ เมอ่ื เกดิ มาจะเป็นสว่ นหน่ึงของสงั คมและวัฒนธรรม ซง่ึ ไม่เพยี งแต่จะได้รบั อทิ ธพิ ลจากการปฏิบัติ
แบบด้งั เดมิ ตามประเพณี มรดก และความรขู้ องบรรพบุรษุ แตย่ ังไดร้ บั อทิ ธิพลจากประสบการณ์ ค่านยิ มและ
ความเช่อื ของบคุ คลในครอบครัว และชมุ ชนของแตล่ ะทีด่ ว้ ย บรบิ ทของสงั คมและวฒั นธรรมท่ีเด็กอาศัยอยู่
หรอื แวดล้อมตวั เดก็ ทำให้เด็กแต่ละคนแตกตา่ งกนั ไป ครูจำเป็นตอ้ งเขา้ ใจและยอมรับว่าสังคมและวฒั นธรรมท่ี
แวดลอ้ มตวั เด็ก มอี ิทธพิ ลต่อการเรียนรู้
-หลักการ
เด็กทกุ คนมสี ทิ ธ์ทิ จ่ี ะไดร้ ับการอบรมเลี้ยงดูและส่งเสรมิ พฒั นาการตามอนุสญั ญาวา่ ดว้ ยสิทธเิ ด็ก
ตลอดจนไดรับการจดั ประสบการณ์การเรยี นรู้อย่างเหมาะสม ด้วยปฏิสัมพันธ์ทดี่ รี ะหวา่ งเด็กกบั พ่อแม่ เด็กกบั
ผสู้ อน เด็กกับผู้เลย้ี งดหู รือผทู้ ่เี กยี่ วข้องในการอบรมเล้ยี งดู การพัฒนา และให้การศึกษาแกเ่ ด็กปฐมวัย เพ่อื ให้
เดก็ มีโอกาสพฒั นาตนเองตามลำดับขัน้ ของพัฒนาการทกุ ด้าน อย่างเป็นองค์รวม มีคุณภาพ และเตม็ ตาม
ศักยภาพโดยมีหลักการดังนี้
๑. ส่งเสริมกระบวนการเรยี นรู้และพฒั นาการท่คี รอบคลมุ เดก็ ปฐมวัยทกุ คน
๒. ยึดหลกั การอบรมเลี้ยงดูและใหก้ ารศกึ ษาทเ่ี นน้ เดก็ เปน็ สำคญั โดยคำนงึ ถงึ ความแตกต่างระหว่าง
บคุ คลและวิถชี ีวิตของเด็กตามบรบิ ทของชมุ ชน สังคม และวัฒนธรรมไทย
๓. ยึดพฒั นาการและการพัฒนาเด็กโดยองค์รวมผ่านการเล่นอยา่ งมคี วามหมายและมีกิจกรรมท่ี
หลากหลาย ไดล้ งมือกระทำในสภาพแวดล้อมทีเ่ อ้ือต่อการเรยี นรู้ เหมาะสมกบั วัย และมกี ารพักผอ่ นทีเ่ พยี งพอ
๔. จัดประสบการณก์ ารเรยี นรใู้ ห้เด็กมที ักษะชีวิต และสามารถปฏบิ ตั ติ นตามหลกั ปรชั ญาของ
เศรษฐกิจพอเพยี ง เปน็ คนดี มีวนิ ัย และมคี วามสุข
๕. สรา้ งความรู้ ความเข้าใจและประสานความร่วมมือในการพัฒนาเดก็ ระหว่างสถานศกึ ษากับพ่อแม่
ครอบครัว ชมุ ชน และทุกฝ่ายทีเ่ กี่ยวข้องกบั การพฒั นาเด็กปฐมวยั
8
-สาระการเรยี นรู้
สาระท่ีควรเรยี นรู้
เป็นเรื่องทีเ่ กย่ี วกับตัวเดก็ เป็นลำดบั แรก แลว้ จงึ ขยายไปสู่เร่อื งทีอ่ ยู่ใกล้ตวั เดก็ เพ่ือนำไปใช้ในการ
ดำเนินชวี ิตประจำวนั ประกอบด้วย
1.สาระทคี่ วรเรียนรู้ : เร่ืองราวเกย่ี วกบั ตัวเด็ก
ตำ่ กว่า 3 ปี
เร่อื งราวเกี่ยวกบั ตัวเด็กเด็กควรเรยี นรู้เก่ยี วกบั ชอื่ และเพศของตนเอง การเรยี กชื่อสว่ นตา่ งๆ ของใบหนา้ และ
ร่างกาย การดูแลตนเองเบ้ืองตน้ โดยมผี ้ใู หญ่ให้การช่วยเหลือ การล้างมือ การขบั ถา่ ย การรบั ประทานอาหาร
การถอดและใส่เสือ้ ผ้า การรกั ษาความปลอดภัยและการนอนหลบั พกั ผ่อน
เดก็ 3-6 ปี
เด็กควรรจู้ ักช่ือ นามสกลุ รปู ร่าง รูปรา่ งหนา้ ตา อวยั วะต่างๆ วธิ รี ักษารา่ งกายให้สะอาดและมีสขุ อนามัยทดี่ ี
การรับประทานอาหารท่มี ีประโยชน์ การระมดั ระวังความปลอดภัยของตนเองจากผอู้ นื่ และภัยใกล้ตวั รวมทัง้
การปฏิบตั ติ อ่ ผู้อน่ื อยา่ งปลอดภัย การรู้จกั ประวตั คิ วามเปน็ มาของตนเองและครอบครวั การปฏิบตั ติ นเป็น
สมาชกิ ทีม่ ขี องครอบครวั และโรงเรยี น การเคารพสทิ ธิของตนเองและผูอ้ ืน่ การรู้จกั แสดงความคดิ เหน็ ของ
ตนเองและรับฟงั ความคิดเหน็ ของผู้อนื่ การกำกบั ตนเอง การเล่นและทำสิง่ ตา่ งๆ ดว้ นตนเอง ตามลำพงั หรอื กับ
ผู้อื่น การแสดงออกทางอารมณ์และความรสู้ ึกอยา่ งเหมาะสม การแสดงมารยาททด่ี ี การมคี ุณธรรมจรยิ ธรรม
2.สาระทค่ี วรเรียนรู้ : เรอื่ งราวเก่ยี วกบั บคุ คลและสถานทแ่ี วดลอ้ มเด็ก
ต่ำกว่า 3 ปี
เดก็ ควรเรียนรู้เกี่ยวกับบคุ คลภายในครอบครวั และบคุ คลภายนอกครอบครวั การรจู้ ักชอ่ื เรียกหรือ
สรรพนามแทนตวั ของญาติหรอื ผเู้ ลี้ยงดู วิธีปฏบิ ตั กิ ับผอู้ ืน่ อย่างเหมาะสม การทักทาย การไหว้ การ
เล่นกบั พี่น้องในบา้ น การไปเท่ียวตลาดและสถานทตี่ า่ งๆ ในชุมชน การเล่นท่สี นามเด็กเล่น การเขา้
รว่ มกิจกรรมทางศาสนา วัฒนธรรมและประเพณี
เด็ก 3-6 ปี
เด็กควรเรียนรเู้ กี่ยวกบั ครอบครวั สถานศึกษา ชมุ ชน และบุคคลต่างๆ ทเ่ี ดก็ ตอ้ งเกี่ยวขอ้ ง หรือมี
โอกาสใกล้ชดิ และมปี ฏสิ ัมพนั ธ์ในชีวิตประจำวัน สถานทำ่ คัญ วนั สำคญั อาชีพของคนในชุมชน
ศาสนา แหลง่ วฒั นธรรมในชมุ ชน สัญลกั ษณส์ ำคญั ของชาตไิ ทย และการปฏิบัติตามวัฒนธรรมท้องถ่ินและความ
เป็นไทย หรือแหล่งเรียนรู้จากภูมิปัญญาท้องถนิ่ อนื่ ๆ
9
3.สาระท่คี วรเรียนรู้ : ธรรมชาตริ อบตวั
ต่ำกวา่ 3 ปี
เดก็ ควรเรยี นรู้เกย่ี วกับการสํารวจส่ิงตา่ งๆ ในธรรมชาตริ อบตัว เช่น สัตว์ พืช ดอกไม้ ใบไม้ ผ่านการใชป้ ระสาท
สมั ผัสท้ังห้า การเล่นนำ้ เลน่ ทราย การเล้ียงสตั ว์ตา่ งๆ ที่ไม่เปน็ อนั ตราย การเดินเล่นในสวน การเพาะปลูก
อยา่ งง่าย
เดก็ 3-6 ปี
เด็กควรเรยี นรู้เกี่ยวกบั ชือ่ ลกั ษณะ สว่ นประกอบ การเปล่ียนแปลง และความสมั พนั ธข์ องมนษุ ย์ สัตว์ พชื
ตลอดจนการรจู้ กั เกย่ี วกับดนิ นาํ้ ท้องฟ้า สภาพอากาศ ภัยธรรมชาติ แรงและพลังงานในชวี ติ ประจำวันที่
แวดลอ้ มเดก็ รวมท้ังการอนรุ กั ษ์สง่ิ แวดลอ้ มและการรักษาสาธารณสมบตั ิ
4.สาระทคี่ วรเรียนรู้ : ส่ิงต่าง ๆ รอบตวั เด็ก
ต่ำกวา่ 3 ปี
เดก็ ควรเรยี นรู้เก่ยี วกับชอ่ื และของเลน่ ของใชท้ ีอ่ ยรู่ อบตัว การเช่อื มโยงลักษณะหรือคณุ สมบัตอิ ย่างง่ายๆของ
ส่ิงตา่ งๆทีอ่ ยใู่ กล้ตวั เด็กเช่นสีรปู ร่างรูปทรงขนาดผวิ สัมผัส
เด็ก 3-6 ปี
เดก็ ควรเรยี นรู้เก่ยี วกับการใช้ภาษาเพ่อื สือ่ ความหมายในชวี ติ ประจำวัน ความรูพ้ ื้นฐานเก่ียวกบั การใชห้ นังสอื
และตัวหนังสอื รูจ้ ักช่ือ ลกั ษณะ สี ผวิ สัมผัส ขนาด รูปรา่ ง รูปทรง ปริมาตร น้ำหนัก จำนวน ส่วนประกอบ
การเปลยี่ นแปลงและความสมั พันธ์ของสง่ิ ต่างๆ รอบตัว เวลา เงิน ประโยชน์ การใชง้ าน และการเลอื กใช้
สง่ิ ของเครือ่ งใช้ ยานพาหนะ การคมนาคม เทคโนโลยแี ละสื่อสารต่างๆ ท่ีใช้อยใู่ นชีวติ ประจำวันอยา่ งประหยัด
ปลอดภัยและรกั ษาสิง่ แวดล้อม
10
-โครงสร้างหลกั สตู ร
เพ่อื ให้การจดั การศกึ ษาเปน็ ไปตามหลักการ จุดหมายทก่ี ำหนดไวใ้ ห้สถานศกึ ษา และผ้เู ก่ยี วขอ้ งกับการเล้ยี ง
ดเู ดก็ ปฏิบัติ ในการจัดทำหลกั สตู รสถานศกึ ษาจงึ กำหนดโครงสร้างของหลักสูตรการศกึ ษาปฐมวยั
โครงสรา้ งหลกั สตู รการศกึ ษาปฐมวยั พทุ ธศกั ราช ๒๕๖๐
11
• -หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐาน ปพี ทุ ธศกั ราช 2551
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน ม่งุ พัฒนาผ้เู รยี นทุกคน ซ่ึงเปน็ กำลงั ของชาตใิ ห้เปน็
มนุษย์ที่มีความสมดุลท้ังดา้ นร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสำนกึ ใน ความเป็นพลเมอื งไทยและ
เปน็ พลโลก ยึดม่นั ในการปกครองตามระบอบประชาธปิ ไตยอนั มี พระมหากษัตริยท์ รงเปน็ ประมุข
มคี วามรูแ้ ละทักษะพนื้ ฐาน รวมทั้ง เจตคติ ทจ่ี ำเปน็ ตอ่ การศึกษาตอ่ การประกอบอาชพี และ
การศึกษาตลอดชวี ติ โดยม่งุ เนน้ ผเู้ รียนเปน็ สำคญั บนพ้นื ฐานความเช่ือว่า ทกุ คนสามารถเรียนรู้
และพัฒนาตนเองไดเ้ ต็มตามศักยภาพ
-จดุ มงุ่ หมาย
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน มงุ่ พฒั นาผู้เรยี นให้เปน็ คนดี มีปญั ญา มี ความสุข มี
ศกั ยภาพในการศกึ ษาตอ่ และประกอบอาชีพ จึงกำหนดเป็นจุดหมายเพือ่ ให้เกิด กับผู้เรยี น เมือ่ จบ
การศึกษาขน้ั พนื้ ฐาน ดังนี้
๑. มคี ุณธรรม จรยิ ธรรม และคา่ นยิ มทพ่ี งึ ประสงค์ เหน็ คณุ ค่าของตนเอง มีวนิ ยั และปฏิบตั ิตน
ตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาทีต่ นนบั ถอื ยึดหลักปรัชญา ของเศรษฐกจิ พอเพียง
๒. มีความรู้ ความสามารถในการส่ือสาร การคิด การแกป้ ัญหา การใช้เทคโนโลยี และมที กั ษะชีวิต
๓. มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตท่ีดี มสี ุขนสิ ยั และรักการออกกำลังกาย
๔. มีความรกั ชาติ มจี ติ สำนกึ ในความเป็นพลเมอื งไทยและพลโลก ยึดม่ันในวิถชี ีวิต และการ
ปกครองตามระบอบประชาธปิ ไตยอันมพี ระมหากษัตริยท์ รงเป็นประมขุ
๕. มีจติ สำนกึ ในการอนุรกั ษ์วฒั นธรรมและภูมปิ ญั ญาไทย การอนรุ ักษ์และพฒั นา สงิ่ แวดลอ้ ม มี
จิตสาธารณะทมี่ งุ่ ทำประโยชนแ์ ละสรา้ งสง่ิ ทด่ี งี ามในสังคม และอยู่รว่ มกนั ใน สงั คมอย่างมีความสขุ
12
-คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์
ในการพฒั นาผู้เรียนตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พนื้ ฐาน มุ่งพฒั นาผู้เรียน ใหม้ ี
คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ เพื่อใหส้ ามารถอยรู่ ว่ มกับผ้อู ่ืนในสังคมไดอ้ ย่างมคี วามสขุ ทงั้ ในฐานะ
พลเมืองไทยและพลโลก ดังน้ี
๑. รกั ชาติ ศาสนา กษตั รยิ ์
๒. ซื่อสตั ย์สจุ รติ
๓. มีวนิ ยั
๔. ใฝ่เรียนรู้
๕. อยูอ่ ย่างพอเพยี ง
๖. มุ่งมัน่ ในการทำงาน
๗. รกั ความเป็นไทย
๘. มจี ติ สาธารณะ
นอกจากน้ี สถานศกึ ษาสามารถกำหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์เพมิ่ เติมให้ สอดคลอ้ งตามบริบท
และจุดเนน้ ของตนเอง
โดยโรงเรยี นเตรยี มอุดมศึกษา เพิม่ เติมคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ คอื
- ร้จู กั ปรับตวั
- เป็นผนู้ ำ
13
-โครงสร้างเวลาเรียน
การกำหนดโครงสรา้ งเวลาเรยี นพื้นฐานและเพมิ่ เตมิ สถานศกึ ษาสามารถดำเนินการดังน้ี
ระดบั ประถมศกึ ษา สามารถปรบั เวลาเรียนพืน้ ฐานของแตล่ ะกลุ่มสาระการเรยี นร้ไู ด้ตามความ
เหมาะสม ท้ังนตี้ อ้ งมเี วลาเรียนรวมตามทก่ี ำหนดไว้ในโครงสรา้ งเวลาเรียนพ้นื ฐานและผเู้ รยี นต้องมี
คณุ ภาพตามมาตรฐานการเรยี นรู้และตวั ชี้วัดทก่ี ำหนด
ระดบั มัธยมศึกษา ต้องจดั โครงสรา้ งเวลาเรยี นพ้นื ฐานให้เปน็ ไปตามท่ีกำหนดและ
สอดคล้องกับเกณฑ์การจบหลักสตู ร
สำหรับเวลาเรยี นเพิม่ เตมิ ท้งั ในระดบั ประถมศกึ ษาและมัธยมศกึ ษา ใหจ้ ดั เปน็ รายวชิ า
เพมิ่ เติม หรอื กิจกรรมพัฒนาผ้เู รยี น โดยพิจารณาใหส้ อดคลอ้ งกับความพร้อม จดุ เน้นของ
สถานศกึ ษาและเกณฑก์ ารจุดหลกั สตู ร เฉพาะระดับชนั้ ประถมศึกษาปีท่ี 1-3 สถานศกึ ษาอาจจดั
ใหเ้ ป็นเวลาสำหรบั สาระการเรียนรพู้ น้ื ฐานในกล่มุ สาระการเรียนรู้ภาษาไทยและกลุ่มสาระการ
เรยี นรู้คณติ ศาสตร์
กจิ กรรมพฒั นาผเู้ รยี นที่กำหนดไว้ในช้ันประถมศกึ ษาปีที่ 1 ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3 ปลี ะ
120 ชวั่ โมง และชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ จำนวน 360 ชัว่ โมงนน้ั เป็นเวลาสำหรับปฏบิ ัติกจิ กรรมแนะ
แนว กิจกรรมนักเรียน และกจิ กรรมเพอื่ สังคมและสาธารณประโยชน์ในสว่ นกจิ กรรมเพอื่ สงั คม
และสาธารณประโยชนใ์ หก้ ารศกึ ษาจดั สรรเวลาใหผ้ เู้ รยี นได้ปฏิบัติกจิ กรรมดงั น้ี
ระดับประถมศกึ ษาป.1 -ป. 6 ร่วม 6 ปจี ำนวน 60 ช่ัวโมง
ระดับมธั ยมศึกษาตอนต้นม. 1 -ม. 3 รวม 3 ปีจำนวน 45 ชัว่ โมง
ระดับมธั ยมศึกษาตอนปลายม. 4-6 รว่ ม 3 ปีจำนวน 60 ชว่ั โมง
14
-ส่อื การเรยี นรู้
สอ่ื การเรยี นร้เู ป็นเครอ่ื งมอื สองสนบั สนุนการจัดการกระบวนการเรยี นรู้ ใหผ้ เู้ รยี นเขา้ ถึงความรู้
ทกั ษะกระบวนการ และคุณลกั ษณะตามมาตรฐานการเรยี นรขู้ องหลักสูตรไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธิภาพสอื่ การเรียนรู้
มหี ลากหลายประเภท หนังสือธรรมชาติ สื่อสง่ิ พมิ พ์ ส่อื เทคโนโลยี และเครือขา่ ยการเรียนรตู้ า่ งๆทีม่ ใี นทอ้ งถิ่น
การเลือกใชส้ บื ค้นและใหม้ คี วามเหมาะสมกับระดบั พฒั นาการและลลี าการเรยี นรทู้ ี่หลากหลายของผเู้ รยี น
การจดั หาสอ่ื การเรียนรู้ ผู้เรียนและผสู้ อนสามารถจัดทำและพฒั นาขึน้ เอง หรอื ปรับปรงุ เรื่องใช้อยา่ งมี
คุณภาพจากสอ่ื ตา่ งๆ ทม่ี ีอยู่รอบตัวเพอ่ื นำมาใช้ประกอบในการจดั การเรยี นรู้ท่ีสามารถสง่ เสริมและสื่อสารให้
ผู้เรียนเกิดจากการเรยี นรโู้ ดยสถานศึกษาคน้ จัดใหม้ อี ยา่ งพอเพยี งเพ่อื พฒั นาให้ผูเ้ รยี นเกิดการเรียนรอู้ ย่าง
แท้จริง สถานศึกษาเขตพ้นื ทีก่ ารศึกษาหนว่ ยงานทเ่ี กย่ี วข้องและผู้มีหน้าท่จี ดั การศึกษาขนั้ พ้ืนควรดำเนนิ การ
ดงั นี้
1.จดั ใหม้ ีแหลง่ การเรยี นรู้ ศูนยส์ ่ือการเรยี นรู้ ระบบสารสนเทศการเรียนรูแ้ ละเครือขา่ ยการเรยี นรู้ที่มี
ประสทิ ธิภาพทงั้ ในสถานศึกษาและในชุมชน เพ่ือการศึกษาค้นคว้าและการแลกเปลี่ยนประสบการณก์ ารเรียนรู้
ระหว่างสถานศึกษา ท้องถน่ิ ชุมชน สังคมโลก
2.จัดทำและจดั หาสอื่ การเรยี นรูส้ ำหรับการศกึ ษาคน้ คว้าของผู้เรยี น เสริมความรใู้ ห้ผสู้ อน รวมท้งั จัดหาส่งิ ที่มี
อยใู่ นทอ้ งถ่นิ มาประยุกตใ์ ช้เปน็ สื่อการเรยี นรู้
3.เลอื กใช้และสื่อการเรยี นรทู้ ี่มีคุณภาพ มคี วามเหมาะสม มคี วามหลากหลาย สอดคล้องกบั วิธีการเรียนรู้
ธรรมชาติของสาระการเรยี นรู้ และความแตกต่างระหว่างบุคคลของผ้เู รยี น
4.ประเมนิ คุณภาพของสอ่ื การเรยี นรูท้ ่ีเลอื กใชอ้ ยา่ งเปน็ ระบบ
5.ศึกษาค้นคว้าวิจยั เพ่อื พฒั นาสอ่ื การเรียนรใู้ หส้ อดคล้องกบั กระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน
6.จัดให้มกี ารกำกบั ติดตามประเมินคุณภาพและประสทิ ธิภาพเกีย่ วกับเซลลแ์ ละการใชส้ ่ือการเรียนรู้เป็นระยะๆ
และสม่ำเสมอ
15
-การบริหารจัดการหลกั สูตร
ในระบบการศึกษาทม่ี ีการกระจายอำนาจให้ท้องถ่นิ และสถานศกึ ษามีบทบาทในการ
พฒั นาหลกั สตู รน้นั เหน่ือยงานตา่ งๆ ทีเ่ ก่ยี วข้องในแตล่ ะระดับ ตั้งแตร่ ะดับชาติ ระดับท้องถ่นิ
จนถึงระดับสถานศึกษา มีบทบาทหน้าที่ และความรับผดิ ชอบในการพัฒนา สนับสนนุ สง่ เสริมการ
ใชแ้ ละพฒั นาหลกั สตู รให้เป็นไปอยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ เพ่ือใหก้ ารดำเนนิ การจัดทำหลกั สูตร
สถานศกึ ษาและการจดั การเรยี นการสอนของศาสนามีประสทิ ธภิ าพสูงสดุ อนั จะสง่ ผลใหก้ าร
พัฒนาคณุ ภาพผู้เรียนบรรลุตามมาตรฐานการเรียนร้ทู กี่ ำหนดไว้ในระดับชาติ
ระดบั ทอ้ งถน่ิ ได้แก่ สำนักงานเขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษา หน่วยงานต้องสงั กัดอื่นๆ เปน็ หนว่ ยงาน
ทีม่ ีบทบาทในการขับเคล่ือนคณุ ภาพจดั การศึกษาเป็นตัวการท่จี ะเชื่อมโยงหลกั สูตรเกณฑ์
การศกึ ษาข้ันพ้นื ฐานที่กำหนดในระดับชาติใหส้ อดคลอ้ งกบั สภาพและความตอ้ งการของท้องถิน่
เพื่อนำไปสูก่ ารจดั ทำหลักสตู รของสถานศึกษา สง่ เสรมิ การใชแ้ ละพัฒนาหลกั สูตรในระดบั
สถานศึกษาให้ประสบความสำเรจ็ โดยมีภารกจิ คอื กำหนดเป้าหมายและจดุ เน้นการพฒั นา
คุณภาพผ้เู รยี นในระดับทอ้ งถ่ิน โดยพิจารณาใหส้ อดคลอ้ งกับส่ิงที่เปน็ ความตอ้ งการในระดบั ชาติ
พฒั นาสาระการเรยี นร้ทู อ้ งถ่ิน ประเมนิ คุณภาพการศึกษาในระดบั ท้องถนิ่ รวมทง้ั เพิม่ พูนคุณภาพ
การใช้หลักสตู รด้วยการวจิ ัยและพัฒนา การพฒั นาบคุ ลากร สนบั สนุน ส่งเสริม ตดิ ตามผล
ประเมินผล วิเคราะหแ์ ละรายงานผลคณุ ภาพของผู้เรยี น
สถานศกึ ษามีหน้าทีส่ ำคญั ในการพัฒนาหลักสตู รสถานศกึ ษา การวางแผนและดำเนินการใช้
หลักสูตร การเพ่ิมพูนคณุ ภาพการใชห้ ลักสตู รดว้ ยการวจิ ยั และพัฒนา การปรับปรงุ และการพฒั นา
หลักสูตร การจัดทำระเบยี บการวัดประเมินผล ในการพฒั นาหลกั สตู รสถานศึกษาตอ้ งพจิ ารณาให้
สอดคลอ้ งกบั หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน และรายละเอยี ดทเ่ี ขตพื้นทีก่ ารศกึ ษา หรอื
หนว่ ยงานตอ้ งสงั กดั อ่ืนๆ ในระดบั ทอ้ งถ่ินได้จดั ทำเพ่ิมเตมิ รวมทั้งสถานศกึ ษาสามารถเพม่ิ เติมใน
ธรุ กิจเกี่ยวกบั สภาพปัญหาในชุมชนและสังคม ภูมปิ ัญญาท้องถนิ่ และความต้องการของผูเ้ รียนโดย
ทุกภาคส่วนเขา้ มามสี ่วนรว่ มในการพัฒนาหลักสตู รสถานศึกษา
16
-โครงสรา้ งหลกั สตู ร
17
-สมรรถนะสำคัญของผูเ้ รยี น
ในการพฒั นาผู้เรยี นตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้นั พ้นื ฐาน มุ่งพฒั นาผู้เรียน ใหม้ สี มรรถนะ
สำคัญ ๕ ประการ ดงั นี้
๑. ความสามารถในการส่อื สาร เป็นความสามารถในการรบั และสง่ สาร มวี ัฒนธรรม ในการใชภ้ าษาถา่ ยทอด
ความคิด ความรู้ ความเขา้ ใจ ความรูส้ ึก และทศั นะของตนเอง เพอ่ื แลกเปลย่ี นข้อมูลขา่ วสารและประสบการณ์
อันจะเปน็ ประโยชนต์ อ่ การพฒั นา ตนเองและสงั คม รวมทั้งการเจรจาตอ่ รองเพอื่ ขจัดและลดปญั หาความ
ขดั แยง้ ตา่ งๆ การเลือกรับหรือไมร่ ับขอ้ มูลขา่ วสารด้วยหลักเหตผุ ลและความถูกต้องตลอดจนการเลอื กใช้
วิธกี ารสื่อสาร ท่มี ปี ระสิทธภิ าพโดยคำนึงถึงผลกระทบทมี่ ีต่อตนเองและสงั คม
๒. ความสามารถในการคิด เปน็ ความสามารถในการคดิ วเิ คราะห์ การคดิ สงั เคราะห์ การคิดอยา่ งสรา้ งสรรค์
การคิดอยา่ งมีวิจารณญาณ และการคดิ เปน็ ระบบ เพ่ือนำไปสู่ การสรา้ งองค์ความรู้หรือสารสนเทศเพื่อการ
ตัดสินใจเกีย่ วกับตนเองและสงั คมไดอ้ ย่าง เหมาะสม
๓. ความสามารถในการแก้ปญั หา เปน็ ความสามารถในการแกป้ ญั หาและอปุ สรรค ตา่ งๆ ทเ่ี ผชญิ ไดอ้ ย่าง
ถูกต้องเหมาะสมบนพ้ืนฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและขอ้ มูล สารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธแ์ ละการ
เปลย่ี นแปลงของเหตุการณต์ า่ งๆ ในสังคม แสวงหา
ความรู้ ประยุกตค์ วามร้มู าใชใ้ นการปอ้ งกันและแก้ไขปญั หา และมีการตัดสินใจทม่ี ี ประสทิ ธิภาพ โดยคำนงึ ถึง
ผลกระทบ ท่เี กิดขน้ึ ต่อตนเอง สังคมและสิง่ แวดลอ้ ม
๔. ความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวิต เปน็ ความสามารถในการนำกระบวนการ ตา่ งๆ ไปใชใ้ นการดำเนนิ
ชีวติ ประจำวนั การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรอู้ ย่างต่อเนือ่ ง การทำงาน และการอยรู่ ว่ มกนั ในสังคมด้วยการ
สรา้ งเสริมความสมั พันธอ์ ันดีระหวา่ ง บคุ คล การจัดการปญั หาและความขัดแยง้ ตา่ งๆ อย่างเหมาะสม การ
ปรับตัวใหท้ ันกับ การเปล่ยี นแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม และการรจู้ กั หลีกเลีย่ งพฤติกรรมไม่ พึง
ประสงค์ทสี่ ง่ ผลกระทบต่อตนเองและผู้อนื่
๕. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เปน็ ความสามารถในการเลือก และใช้ เทคโนโลยดี ้านตา่ งๆ และมที กั ษะ
กระบวนการทางเทคโนโลยี เพ่ือการพฒั นาตนเองและสงั คม ในดา้ นการเรยี นรู้ การสื่อสาร การทำงาน การ
แกป้ ัญหา อยา่ งสร้างสรรค์ ถกู ต้อง เหมาะสมและมคี ุณธรรม
18
• -มาตรฐานการเรียนรู้
• การพัฒนาผ้เู รียนใหเ้ กิดความสมดุล ตอ้ งคำนงึ ถงึ หลกั พฒั นาการทางสมองและ พหุปญั ญา หลกั สูตร
แกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน จึงกำหนดให้ผู้เรียนเรียนรู้ ๘ กลุ่ม สาระการเรียนรู้ ดังนี้
• ภาษาไทย
• คณติ ศาสตร์
• วทิ ยาศาสตร์
• สงั คมศกึ ษา ศาสนา และวฒั นธรรม
• สขุ ศกึ ษาและพลศึกษา
• ศลิ ปะ
• การงานอาชีพและเทคโนโลยี ๘. ภาษาตา่ งประเทศ
o ในแตล่ ะกลุ่มสาระการเรยี นรู้ได้กำหนดมาตรฐานการเรยี นร้เู ปน็ เปา้ หมายสำคัญ ของการ
พฒั นาคณุ ภาพผเู้ รียน มาตรฐานการเรียนรู้ระบุสิ่งท่ีผูเ้ รียนพงึ รู้และปฏิบัตไิ ด้ และ มี
คุณลกั ษณะอนั พึงประสงคอ์ ย่างไร เมื่อจบการศกึ ษาข้ันพืน้ ฐาน นอกจากน้นั มาตรฐานการ
เรียนรู้ยงั เปน็ กลไกสำคัญในการขบั เคล่อื นพฒั นาการศึกษาท้ังระบบ เพราะมาตรฐานการ
เรยี นรจู้ ะสะทอ้ นใหท้ ราบว่าตอ้ งการอะไร จะสอนอย่างไร และประเมนิ อย่างไร รวมท้งั เป็น
เคร่ืองมอื ในการตรวจสอบเพอื่ การประกนั คณุ ภาพการศกึ ษาโดยใชร้ ะบบการประเมิน
คุณภาพภายในและการประเมินคุณภาพภายนอก ซงึ่ รวมถึงการทดสอบระดบั เขตพื้นท่ี
การศกึ ษา และการทดสอบระดับชาติ ระบบการตรวจสอบเพอ่ื ประกันคุณภาพดงั กลา่ ว เปน็
สง่ิ สำคญั ที่ช่วยสะทอ้ นภาพการจดั การศึกษาวา่ สามารถพฒั นาผูเ้ รยี นใหม้ คี ุณภาพ ตามที่
มาตรฐานการเรียนรกู้ ำหนดเพียงใด
19
• หลกั สูตรประกาศนยี บัตรวิชาชพี (ปวช.) พุทธศักราช 2562
หลกั สูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพพุทธศกั ราช 2562 เปน็ หลักสตู รหลกั มัธยมศกึ ษาตอนต้นหรอื
เทียบเท่า ที่พฒั นาขนึ้ เพ่อื ใชใ้ นการจัดการศึกษาด้านวชิ าชีพระดบั ประกาศนยี บัตรวิชาชีพ และเพื่อยกระดบั
การศกึ ษาวิชาชพี ของบุคคลให้สูงขน้ึ สอดคล้องกับแผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสังคมแห่งชาติ แผนการศึกษา
แห่งชาติ เป็นไปตามกรอบคณุ วฒุ แิ ห่งชาติ มาตรฐานการศกึ ษาของชาตแิ ละกรอบคุณวุฒอิ าชวี ศกึ ษาแหง่ ชาติ
ตลอดจนยึดโยงกบั มาตรฐานอาชีพ โดยเน้นการเรยี นร้สู กู่ ารปฏบิ ัตเิ พื่อพัฒนาสมรรถนะกำลงั คนระดบั ฝีมือ
รวมท้ังคณุ ธรรม จริยธรรม
จรรยาบรรณวชิ าชีพ และกิจจะนิสยั ทเ่ี หมาะสมในการทำงาน ใหส้ อดคล้องกบั ความตอ้ งการกำลังคน
ของตลาดแรงงาน ชมุ ชน สงั คมและสามารถประกอบอาชีพอิสระได้ โดยเปดิ โอกาสให้ผเู้ รยี นเลือกระบบและ
วิธีการเรียนไดอ้ ย่างเหมาะสมตามศกั ยภาพ ตามความสนใจและโอกาสของตนส่งเสริมให้มีการประสานความ
ร่วมมอื เพ่ือจัดการศกึ ษาและพัฒนาหลักสูตรร่วมกันระหวา่ งสถาบนั สถานศกึ ษา หนว่ ยงาน สถานประกอบการ
และองค์กรตา่ งๆท้ังในระดับชุมชน ระดบั ทอ้ งถ่นิ และระดับชาติ
-หลกั การ
1.เปน็ หลักสูตรระดับประกาศนียบัตรวชิ าชีพหลงั มธั ยมศึกษาตอนตน้ หรือเทยี บเท่าด้านวชิ าชีพท่ีสอดคลอ้ งกับ
แผนพฒั นาเศรษฐกิจและสังคมแหง่ ชาติ แผนการศกึ ษาแหง่ ชาติเปน็ ไปตามกรอบคุณวฒุ ิแหง่ ชาตมิ าตรฐาน
ศกึ ษาของชาตแิ ละกรอบคุณวฒุ อิ าชีวศึกษาแหง่ ชาติ เพื่อผลติ และพัฒนากำลังคนระดับฝีมือใหม้ สี มรรถนะมี
คณุ ธรรมจรยิ ธรรมและจรรยาบรรณวชิ าชพี สามารถประกอบอาชพี ไดต้ รงตามความตอ้ งการของสถาน
ประกอบการและการประกอบอาชพี อสิ ระ
2.เปน็ หลกั สูตรทเ่ี ปิดโอกาสให้เลอื กเรยี นได้อยา่ งกวา้ งขวางเนน้ สมรรถนะเฉพาะด้านดว้ ยการปฏิบัตจิ ริง
สามารถเลอื กวธิ ีการเรยี นตามศักยภาพและโอกาสของผู้เรยี น เปดิ โอกาสใหผ้ เู้ รียนสามารถเทยี บโอนผลการ
เรยี นสะสมผลการเรยี น เทียบโอนความร้แู ละประสบการณจ์ ากแหลง่ วิทยาการ สถานประกอบการและสถาน
ประกอบอาชพี อิสระ
3.เปน็ หลกั สูตรท่สี นับสนุนการประสานความร่วมมอื ในการจัดการศกึ ษาร่วมกนั ระหวา่ งหน่วยงานและองค์กรท่ี
เก่ยี วขอ้ งทัง้ ภาครัฐและเอกชน
4.เปน็ หลกั สตู รท่ีเปดิ โอกาสใหส้ ถานศกึ ษาสถานประกอบการชมุ ชนและทอ้ งถ่ินมีสว่ นรว่ มในการพัฒนา
หลกั สตู รใหต้ รงตามความต้องการ โดยยึดโยงกบั มาตรฐานอาชพี และสอดคล้องกบั สภาพยุทธศาสตร์ของ
ภูมภิ าคเพ่ือเพม่ิ ขดี สามารถในการแข่งขนั ของประเทศ
20
-จุดมุ่งหมายของหลกั สูตร
1.เพอ่ื ใหม้ คี วามรู้ ทักษะและประสบการณใ์ นงานอาชพี สอดคล้องกบั มาตรฐานวชิ าชีพ สามารถ
นำไปประยุกตใ์ ชใ้ นการปฏิบัติงานอาชีพไดอ้ ยา่ งมีประสทิ ธภิ าพเลือกวธิ กี ารดำรงชวี ิตและการ
ประกอบอาชีพได้อย่างเหมาะสมกับตน้ สรา้ งสรรคค์ วามเจริญตอ่ ชมุ ชน ทอ้ งถ่นิ และประเทศชาติ
2.เพอ่ื ให้เป็นผมู้ ปี ญั ญา มีความคดิ รเิ รมิ่ สรา้ งสรรค์ ใฝเ่ รียนรู้ เพอื่ พัฒนาคณุ ภาพชีวติ และการ
ประกอบอาชพี มีทักษะการส่ือสารและเทคโนโลยีสารสนเทศ ทกั ษะการเรยี นรูต้ ลอดชวี ิต ทักษะ
การคดิ วิเคราะหแ์ ละการแกป้ ญั หา ทกั ษะดา้ นสุขภาวะและความปลอดภัย ตลอดจนทกั ษะการ
จัดการ สามารถสรา้ งอาชีพและพฒั นาอาชพี ให้กา้ วหน้าอย่เู สมอ
3.เพื่อใหม้ เี จตคตทิ ่ดี ตี อ่ อาชพี มคี วามมนั่ ใจและภาคภูมิใจในวิชาชพี ท่เี รยี น รกั งาน รักหน่วยงาน
สามารถทำงานเปน็ หมูค่ ณะไดด้ ี โดยมคี วามเคารพในสทิ ธิและหน้าท่ขี องตนเองและผู้อื่น
4.เพ่ือให้เป็นผ้มู พี ฤตกิ รรมทางสังคมท่ีดงี าม ทั้งในการทำงาน การอยูร่ ่วมกนั การต่อตา้ นความ
รนุ แรงและการสารเสพติด มีความรับผิดชอบต่อครอบครัว หน่วยงาน ทอ้ งถิ่นและประเทศชาติ
ดำรงตนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง เข้าใจและเห็นคณุ คา่ ของการอนุรักษ์
ศลิ ปวัฒนธรรมและภูมปิ ญั ญาท้องถนิ่ มจี ิตสาธารณะและจติ สำนึกในการอนุรักษ์
ทรัพยากรธรรมชาติและสร้างสง่ิ แวดลอ้ มทดี่ ี
5.เพอ่ื ให้มบี คุ ลกิ ภาพที่ดี มีมนุษย์สัมพนั ธ์ คุณธรรม จริยธรรม และวินยั ในตนเอง มีสุขภาพอนามยั
ท่สี มบูรณท์ ง้ั ร่างกายและจิตใจ เหมาะสมกับงานอาชพี
6.เพื่อใหต้ ระหนักและมสี ่วนร่วมในการแกไ้ ขปัญหาเศรษฐกิจ สงั คม การเมืองของประเทศและโลก
มีความรักชาติ สำนกึ ในความเป็นไทย เสยี สละเพอ่ื ส่วนรวม ดำรงรกั ษาไว้ซึ่งความม่ันคงของชาติ
ศาสนาพระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษตั ริยท์ รงเป็น
ประมุข
21
-หลกั เกณฑ์การใชห้ ลักสตู ร
1.การเรียนการสอน
1.1การเรียนการสอนตามหลกั สตู รนี้ ผู้เรียนสามารถลงทะเบยี นเรยี นได้ทกุ วิธีเรยี นทก่ี ำหนด และนำผลการ
เรยี นแตล่ ะวิธีมาประเมนิ ผลรวมกันได้ สามารถขอเทียบโอนผลการเรยี น และขอเทียบโอนความรู้และ
ประสบการณไ์ ด้
1.2 การจัดการเรียนการสอนเน้นการปฏบิ ัตจิ รงิ สามารถจดั การเรยี นการสอนได้หลากหลายรูปแบบเพื่อให้
ผู้เรียนมคี วามรู้ ความเขา้ ใจในหลักการ วธิ กี ารไดด้ ำเนนิ งาน มที ักษะการปฏิบัติงานตามแบบแผนในขอบเขต
สำคญั และบรบิ ทต่างๆ ท่สี มั พันธ์กนั ซึ่งสว่ นใหญ่เป็นงานประจำ ให้คำแนะนำพนื้ ฐานที่ตอ้ งใช้ในการตัดสนิ ใจ
วางแผนและแก้ปญั หาโดยไม่อยูภ่ ายใต้การควบคุมในบางเรอ่ื ง สามารถประยุกตใ์ ชค้ วามรู้ ทกั ษะทางวิชาชพี
เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารในการแก้ปัญหาและการปฏบิ ัตงิ านในบริบทใหม่ รวมทงั้ รบั ผิดชอบต่อ
ตนเองและผอู้ น่ื ตลอดจนมีคณุ ธรรมจรยิ ธรรมจรรยาบรรณวิชาชพี เจตคตแิ ละกจิ นิสัยที่เหมาะสมในการทำงาน
2.การจดั การศึกษาเวลาเรียน
การจดั การศึกษาในระบบปกติใชร้ ะยะเวลา 3 ปกี ารศึกษาการจดั เวลาเรยี นใหด้ ำเนินการดงั น้ี
2.1 ในปีการศกึ ษาหนึ่งๆ ใหแ้ บง่ ภาคเรียนออกเปน็ 2 ภาคเรียนปกติหรือระบบทวภิ าค ภาคเรียนละ 18
สปั ดาห์รวมเวลาการวดั ผล โดยมีเวลาเรียนและจำนวนหน่วยกิตตามที่กำหนด และสถานศึกษาอาชวี ศึกษาหรอื
สถาบนั อาจเปดิ สอนภาคเรยี นฤดูรอ้ นไดอ้ กี ตามท่เี ห็นสมควร
2.2การเรยี นในระบบชน้ั เรียน ให้สถานศึกษาอาชวี ศึกษาหรอื สถาบนั เปดิ ทำการสอนไมน่ อ้ ยกว่าสัปดาห์ละ 5
วนั วันละไมเ่ กิน 7 ช่ัวโมง โดยกำหนดใหจ้ ัดการในการสอนคาบละ 60 นาที
22
การกำหนดรหัสวชิ าหลักสูตร(ปวช.)
23
-โครงสร้างหลกั สูตร
โครงสร้างหลักสตู รของประกาศนียบัตรวชิ าชพี พุทธศักราช 2562 แบ่งเป็น 3 หมวดวิชา
และกจิ กรรมเสริมหลักสูตร
4.1 หมวดวิชาสมรรถนะแกนกลาง ไม่นอ้ ยกวา่ 22 หนว่ ยกติ
-กลมุ่ วิชาภาษาไทย
-กลมุ่ วิชาภาษาต่างประเทศ
-กลุ่มวิชาวทิ ยาศาสตร์
-กลุ่มวชิ าคณติ ศาสตร์
-กลุ่มวชิ าสังคมศึกษา
-กลุ่มวชิ าสุขศึกษาและพลศกึ ษา
4.2 หมวดวชิ าสมรรถนะทางวิชาชีพ ไม่นอ้ ยกวา่ 71 หนว่ ยกติ
-กลุ่มสมรรถนะวิชาชีพพื้นฐาน
-กลมุ่ สมรรถนะวิชาชีพเฉพาะ
-กลมุ่ สมรรถนะวชิ าชพี เลอื ก
-ฝกึ ประสบการณแ์ ละสมรรถนะวิชาชพี
-โครงงานพัฒนาสมรรถนะวชิ าชพี
4.3 หมวดวชิ าเลือกเสรี ไมน่ ้อยกวา่ 10 หนว่ ยกิต
4.4 กิจกรรมเสรมิ หลักสตู ร 2 ชว่ั โมงต่อสปั ดาห์
24
• หลกั สูตรประกาศนยี บัตรวชิ าชีพช้ันสงู (ปวส.) พุทธศักราช 2563
หลกั สตู รประกาศนียบตั รวชิ าชพี ขัน้ สูง พุทธศกั ราช 2563
เปน็ หลกั สตู รที่พฒั นาขึ้นเพอื่ ใชใ้ นการจัดการศกึ ษาดา้ นวิชาชีพระดับประกาศนยี บตั รวชิ าชีพขน้ั สงู
และเพอื่ ยกระดับการศกึ ษาวิชาชีพของบคุ คลใหส้ ูงข้นึ สอดคลอ้ งกับแผนพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติ
แผนการศกึ ษาแหง่ ชาติเปน็ ไปตามกรอบคณุ วฒุ แิ หง่ ชาติศึกษาแห่งชาตติ ลอดจนยึดโยงกบั มาตรฐานอาชีพ
โดยเนน้ การเรียนรสู้ ู่การปฏบิ ตั ิ เพอื่ พฒั นาสมรรถนะกำลังคนระดับเทคนิครวมทง้ั คุณธรรมจรยิ ธรรม
จรรยาบรรณวิชาชีพและกิจวานสิ ัยท่เี หมาะสมในการทำงาน ให้สอดคลอ้ งกับความตอ้ งการกำลังคน้ ของ
ตลาดแรงงานชมุ ชนสงั คม และสามารถประกอบอาชีพอิสระได้ โดยเปดิ โอกาสใหผ้ เู้ รยี นเลิกระบบและวิธีการ
เรียนไดอ้ ย่างเหมาะสมตามศกั ยภาพ ตามความสนใจและโอกาสของตนส่งเสรมิ ให้มีการประสานความร่วมมอื
เพอื่ จดั การศึกษา และพัฒนาหลกั สตู รรว่ มกนั ระหว่างสถาบันการศึกษา หนว่ ยงาน สถานประกอบการและ
องคก์ รตา่ งๆ ทง้ั ในระดบั ชมุ ชนระดบั ทอ้ งถิ่นและระดบั ชาติ
-จดุ มงุ่ หมายของหลักสูตร
1) เพอ่ื ใหม้ ีความร้ทู างทฤษฎีและเทคนคิ เชงิ ลกึ ภายใตข้ อบเขตของงานอาชีพ มที ักษะด้าน
เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารเพ่อื ใชใ้ นการดำรงชีวิตและงานอาชีพ สามารถศกึ ษาคน้ ควา้ เพม่ิ เติมหรือ
ศึกษาต่อในระดบั ทส่ี ูงขน้ึ
2) เพอ่ื ให้มีทักษะและสมรรถนะในงานอาชพี ตามมาตรฐานวิชาชีพ สามารถบูรณาการความรู้
ทักษะจากศาสตร์ตา่ ง ๆ ประยุกต์ใชใ้ นงานอาชพี สอดคลอ้ งกบั การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี
3) เพื่อให้มีปัญญา มคี วามคดิ สรา้ งสรรค์ มคี วามสามารถในการคดิ วิเคราะห์ วางแผน
บริหารจดั การ ตดั สนิ ใจ แกป้ ญั หา ประสานงานและประเมินผลการปฏบิ ตั ิงานอาชีพ มีทกั ษะการเรยี นรู้
แสวงหาความร้แู ละแนวทางใหม่ ๆ มาพฒั นาตนเองและประยกุ ต์ใช้ในการสรา้ งงานให้สอดคล้องกับวิชาชีพ
และการพัฒนางานอาชพี อย่างตอ่ เน่ือง
4) เพื่อให้มเี จตคติทีด่ ีตอ่ อาชีพ มคี วามมัน่ ใจและภาคภมู ใิ จในงานอาชีพ รักงาน รกั หนว่ ยงาน
สามารถท างานเปน็ หมคู่ ณะได้ดี มีความภาคภมู ใิ จในตนเองต่อการเรยี นวชิ าชีพ
5) เพอ่ื ใหม้ บี คุ ลิกภาพทด่ี ี มีคุณธรรม จริยธรรม ซอ่ื สตั ย์ มวี ินยั มีสุขภาพสมบรู ณแ์ ข็งแรงทง้ั
รา่ งกายและจิตใจ เหมาะสมกับการปฏบิ ัตงิ านในอาชพี น้นั ๆ
6) เพ่อื ใหเ้ ป็นผู้มีพฤตกิ รรมทางสงั คมท่ดี งี าม ต่อตา้ นความรุนแรงและสารเสพติด ท้งั ในการ
25
ทำงาน การอยรู่ ่วมกนั มีความรบั ผิดชอบตอ่ ครอบครัว องค์กร ท้องถ่นิ และประเทศชาติ อทุ ิศตนเพ่ือสงั คม
เข้าใจและเห็นคุณคา่ ของศลิ ปะวัฒนธรรมไทย ภูมิปัญญาทอ้ งถนิ่ ตระหนักในปญั หาและความสำคัญของ
สง่ิ แวดล้อม
7) เพ่อื ใหต้ ระหนกั และมีส่วนรว่ มในการพัฒนาและแกไ้ ขปัญหาเศรษฐกจิ ของประเทศ โดย
เปน็ กำลงั สำคญั ในด้านการผลติ และใหบ้ รกิ าร
8) เพือ่ ให้เห็นคุณคา่ และด ารงไวซ้ ึ่งสถาบนั ชาติ ศาสนา และพระมหากษตั รยิ ์ ปฏบิ ัติตนใน
ฐานะพลเมอื งดี ตามระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตรยิ ท์ รงเปน็ ประมุข
-หลกั การของหลักสตู ร
1) เป็นหลักสูตรระดบั ประกาศนียบัตรวิชาชพี ช้ันสูง เพอื่ พัฒนาก าลงั คนระดับเทคนิคใหม้ ี
สมรรถนะ มีคณุ ธรรม จรยิ ธรรมและจรรยาบรรณวชิ าชพี สามารถประกอบอาชีพได้ตรงตามความตอ้ งการของ
ตลาดแรงงาน และการประกอบอาชีพอิสระ สอดคลอ้ งกบั แผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสังคมแห่งชาติแผนการ
ศกึ ษาแหง่ ชาติเป็นไปตามกรอบคุณวฒุ ิแห่งชาตมิ าตรฐานการศึกษาของชาติ และกรอบคณุ วฒุ ิอาชวี ศกึ ษา
แหง่ ชาติ
2) เป็นหลกั สูตรทเ่ี ปดิ โอกาสใหเ้ ลอื กเรยี นได้อยางกวา้ งขว้างเนน้ สมรรถนะเฉพาะดา้ นดว้ ย
การปฏบิ ัตจิ รงิ สามารถเลือกวิธกี ารเรยี นตามศักยภาพและโอกาสของผู้เรียน เปดิ โอกาสใหผ้ ู้เรยี นสามารถ
เทยี บโอนผลการเรยี นสะสมผลการเรียน เทียบโอนความรแู้ ละประสบการณจ์ ากแหลง่ วิทยาการ สถาน
ประกอบการและสถานประกอบอาชีพอสิ ระ
3) เป็นหลกั สูตรทม่ี ุ่งเนน้ ใหผ้ สู้ ำเรจ็ การศึกษามีสมรรถนะในการประกอบอาชีพ มคี วามรเู้ ต็ม
ภูมิ ปฏบิ ัตไิ ด้จริง มคี วามเปน็ ผู้นำและสามารถท างานเปน็ หม่คู ณะได้ดี
4) เป็นหลักสตู รทส่ี นับสนุนการประสานความร่วมมือในการจดั การศึกษาร่วมกนระหวา่ ง
หนว่ ยงานและองค์กร ท่ีเกย่ี วขอ้ ง ท้งั ภาครฐั และเอกชน
5) เปน็ หลักสูตรท่เี ปิดโอกาสใหส้ ถานศึกษาสถานประกอบการ ชมุ ชนและท้องถ่นิ มสี ว่ นร่วม
26
-หลกั เกณฑก์ ารใช้ หลกั สตู รประกาศนียบตั รวิชาชีพชนั้ สงู พทุ ธศกั ราช 2563
2.1 การเรียนการสอน
1) การเรียนการสอนตามหลกั สตู รนี้ ผู้เรียนสามารถลงทะเบียนเรียนได้ทุกวิธเี รียนท่ี
ก าหนด และน าผลการเรยี นแต่ละวธิ ีมาประเมนิ ผลร่วมกนั ได้ สามารถขอเทียบโอนผลการเรียน และขอเทยี บ
โอนความรู้และประสบการณไ์ ด้
2) การจดั การเรียนการสอนเนน้ การปฏิบตั จิ ริง สามารถจัดการเรยี นการสอนได้
หลากหลายรูปแบบ เพอื่ ให้ผเู้ รียนมีความรู้ ความเขา้ ใจในหลักการ วิธกี ารและการด าเนนิ งาน มีทกั ษะการ
ปฏบิ ตั ิงานตามแบบแผนและปรบั ตวั ได้ภายใตค้ วามเปลี่ยนแปลง สามารถบูรณาการและประยุกต์ใชค้ วามรแู้ ละ
ทกั ษะทางวิชาการ ทส่ี ัมพนั ธก์ บั วิชาชพี เทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสาร ในการตดั สนิ ใจ
วางแผนแกป้ ญั หาบริหารจดั การ ประสานงานและประเมินผลการดำเนนิ งานไดอ้ ยา่ งเหมาะสม
มีสว่ นร่วมในการวางแผนและพัฒนา รเิ ร่มิ สงิ่ ใหม่ มคี วามรบั ผิดชอบต่อตนเอง ผูอ้ ่ืนและหมคู่ ณะ
รวมทั้งมีคณุ ธรรม จริยธรรมจรรยาบรรณวชิ าชพี เจตคติและกิจนิสยั ที่เหมาะสมในการทำงาน
2.2 การจดั การศกึ ษาและเวลาเรียน
1) การจดั การศกึ ษาในระบบปกตสิ ำหรับผู้เขา้ เรียนทส่ี ำเร็จการศึกษาระดับ
ประกาศนียบัตรวชิ าชพี (ปวช.) หรอื เทยี บเทา่ ในประเภทวิชา และสาขาวชิ าตามทห่ี ลักสูตรกำหนด ใช้
ระยะเวลา 2 ปีการศกึ ษา ส่วนผูเ้ ข้าเรยี นที่สำเร็จการศึกษาระดบั มัธยมศกึ ษาตอนปลายหรอื เทียบเทา่ และผู้
เขา้ เรยี นท่สี ำเร็จการศึกษาระดบั ประกาศนียบตั รวิชาชีพ (ปวช.) หรือเทยี บเท่าตา่ งประเภทวชิ าและสาขาวชิ าท่ี
กำหนด ใช้ระยะเวลาไมน่ ้อยกว่า 2 ปกี ารศึกษา และเปน็ ไปตามเงื่อนไขทห่ี ลักสตู รกาหนด
2) การจดั เวลาเรยี นให้ดำเนนิ การ ดังนี้
2.1) ในปกี ารศกึ ษาหนง่ึ ๆ ใหแ้ บ่งภาคเรยี นออกเปน็ 2 ภาคเรียนปกติหรือ
ระบบทวิภาค ภาคเรยี นละ 18 สปั ดาห์ รวมเวลาการวดั ผล โดยมีเวลาเรยี นและจำนวนหนว่ ยกิต ตามท่ี
กำหนด
และสถานศกึ ษาอาชีวศึกษาหรือสถาบันอาจเปิดสอนภาคเรยี นฤดูร้อนได้อีกตามท่ีเหน็ สมควร
2.2) การเรียนในระบบช้นั เรยี น ให้สถานศกึ ษาอาชีวศึกษาหรอื สถาบนั เปิดทำการสอนไมน่ อ้ ยกวา่ สัปดาห์ละ
5 วนั ๆ ละไม่เกิน 7 ชวั่ โมง โดยก าหนดใหจ้ ัดการเรียนการสอนคาบละ 60 นาที
27
2.3 การคดิ หนว่ ยกติ
ใหม้ ีจำนวนหนว่ ยกติ ตลอดหลักสตู รไม่นอ้ ยกว่า 83 - 90 หน่วยกิต
การคิดหนว่ ยกิต ถือเกณฑด์ ังนี้
1) รายวิชาทฤษฎีที่ใชเ้ วลาในการบรรยายหรืออภปิ ราย 1 ชั่วโมงตอ่ สปั ดาห์ หรือ
18 ช่ัวโมงต่อภาคเรียน รวมเวลาการวัดผล มคี ่าเทา่ กับ 1 หนว่ ยกติ
2) รายวชิ าปฏิบัติท่ีใช้เวลาในการทดลองหรอื ฝึกปฏบิ ัติในหอ้ งปฏิบตั ิการ 2 ชั่วโมง
ตอ่ สัปดาห์ หรอื 36 ชัว่ โมงต่อภาคเรยี น รวมเวลาการวัดผล มีค่าเท่ากับ 1 หน่วยกติ
3) รายวชิ าปฏิบตั ทิ ่ใี ชเ้ วลาในการฝึกปฏบิ ตั ิในโรงฝึกงานหรอื ภาคสนาม 3 ช่ัวโมง
ตอ่ สปั ดาห์ หรือ 54 ชัว่ โมงตอ่ ภาคเรียน รวมเวลาการวัดผล มีคา่ เท่ากบั 1 หน่วยกติ
4) การฝกึ อาชพี ในการศกึ ษาระบบทวภิ าคี ทใี่ ช้เวลาไมน่ ้อยกว่า 54 ชวั่ โมงตอ่ ภาค
เรยี น รวมเวลาการวัดผล มคี ่าเท่ากับ 1 หนว่ ยกิต
5) การฝกึ ประสบการณ์สมรรถนะวิชาชพี ในสถานประกอบการ ทีใ่ ช้เวลาไม่น้อย
กว่า 54 ชวั่ โมงต่อภาคเรียน รวมเวลาการวัดผล มีคา่ เทา่ กับ 1 หน่วยกิต
6) การท าโครงงานพัฒนาสมรรถนะวิชาชีพ ท่ใี ช้เวลาไมน่ อ้ ยกวา่ 54 ชั่วโมงต่อภาค
เรียน รวมเวลาการวดั ผล มคี ่าเท่ากบั 1 หน่วยกติ
2.4 โครงสร้างหลักสูตร
โครงสรา้ งของหลกั สูตรประกาศนยี บตั รวชิ าชพี ชั้นสงู พทุ ธศักราช 2563 แบ่งเป็น 3
หมวดวิชา และกจิ กรรมเสรมิ หลักสูตร ดังนี้
1) หมวดวชิ าสมรรถนะแกนกลาง ไมน่ อ้ ยกว่า 21 หนว่ ยกติ
1.1) กลมุ่ วิชาภาษาไทย
1.2) กลมุ่ วิชาภาษาต่างประเทศ
1.3) กลุ่มวิชาวิทยาศาสตร์
1.4) กลุ่มวิชาคณิตศาสตร์
1.5) กลมุ่ วชิ าสังคมศาสตร์
1.6) กล่มุ วชิ ามนษุ ยศาสตร์
28
2) หมวดวิชาสมรรถนะวชิ าชีพ ไม่น้อยกว่า 56 หนว่ ยกติ
2.1) กลมุ่ สมรรถนะวชิ าชพี พื้นฐาน
2.2) กลมุ่ สมรรถนะวิชาชีพเฉพาะ
2.3) กลุ่มสมรรถนะวิชาชพี เลือก
2.4) ฝกึ ประสบการณส์ มรรถนะวิชาชีพ
2.5) โครงงานพัฒนาสมรรถนะวชิ าชพี
3) หมวดวิชาเลอื กเสรี ไมน่ อ้ ยกว่า 6 หนว่ ยกติ
4) กจิ กรรมเสริมหลักสูตร (2 ช่ัวโมง/สปั ดาห)์ – หน่วยกติ
2.5 การฝกึ ประสบการณ์สมรรถนะวิชาชพี
เปน็ การจัดกระบวนการเรียนรู้โดยความร่วมมือระหวา่ งสถานศกึ ษาอาชีวศึกษาหรือ
สถาบันกบั ภาคการผลิตและหรือภาคบรกิ าร หลงั จากท่ีผเู้ รียนไดเ้ รียนรู้ภาคทฤษฎแี ละการฝึกหดั หรือฝึกปฏิบัติ
เบ้ืองตน้ ในสถานศึกษาอาชวี ศกึ ษาหรอื สถาบนั แล้วระยะเวลาหน่ึง ทัง้ น้ี เพ่ือเปดิ โอกาสให้ผูเ้ รียนได้เรยี นรู้จาก
ประสบการณ์จรงิ ได้สมั ผสั กบั การปฏิบตั ิงานอาชีพ เครื่องมือ เครือ่ งจกั ร อปุ กรณ์ทท่ี นั สมยั และบรรยากาศ
การท างานร่วมกนั ส่งเสรมิ การฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชญิ สถานการณ์ ซึ่งจะช่วยให้
ผู้เรยี นทำได้ คดิ เปน็ ทำเปน็ และเกิดการใฝร่ ู้อยา่ งต่อเนื่อง ตลอดจนเกิดความมัน่ ใจและเจตคติท่ีดีในการท า
งานและการประกอบอาชีพอิสระ โดยการจดั ฝึกประสบการณส์ มรรถนะวชิ าชพี ตอ้ งด าเนินการ ดงั น้ี
1) สถานศกึ ษาอาชวี ศกึ ษาหรอื สถาบนั ต้องจัดให้มกี ารฝกึ ประสบการณส์ มรรถนะ
วิชาชีพ ในรูปของการฝึกงานในสถานประกอบการ แหลง่ วทิ ยาการ รัฐวิสาหกิจหรือหนว่ ยงานของรัฐ ในภาค
เรียนท่ี 3 และหรอื ภาคเรยี นที่ 4 โดยใชเ้ วลารวมไมน่ อ้ ยกวา่ 320 ช่ัวโมง ก าหนดให้มีค่าเทา่ กบั 4 หนว่ ยกติ
กรณสี ถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบันต้องการเพม่ิ พูนประสบการณ์สมรรถนะวิชาชีพ สามารถนำรายวิชาท่ี
ตรงหรือสมั พันธก์ ับลกั ษณะงานไปเรียนหรอื ฝึกในสถานประกอบการ รัฐวสิ าหกิจหรือหน่วยงานของรัฐในภาค
เรียนท่ีจัดฝกึ ประสบการณ์สมรรถนะวิชาชีพได้ รวมไม่นอ้ ยกว่า 1 ภาคเรียน
2) การตัดสนิ ผลการเรียนและใหร้ ะดบั ผลการเรียน ให้ปฏบิ ตั ิเชน่ เดียวกบั รายวชิ าอ่ืน
29
2.6 โครงงานพัฒนาสมรรถนะวิชาชีพ
เป็นรายวิชาทเี่ ปิดโอกาสให้ผเู้ รียนได้ศกึ ษาคน้ คว้า บรู ณาการความรู้ ทกั ษะและ
ประสบการณ์ จากสงิ่ ทไ่ี ด้เรียนรู้ ลงมือปฏบิ ัตดิ ว้ ยตนเองตามความถนดั และความสนใจ ตง้ั แตก่ ารเลอื กหวั ขอ้
หรือเรอ่ื ง ทจ่ี ะศกึ ษา ทดลอง พฒั นาและหรอื ประดษิ ฐค์ ิดคน้ โดยการวางแผน ก าหนดขน้ั ตอน กระบวนการ
ดำเนินการ ประเมนิ ผล สรุปและจัดทำรายงานเพื่อนำเสนอ ซึ่งอาจทำเป็นรายบคุ คลหรอื กลุม่ ก็ได้ ท้งั นี้ ขึ้นอยู่
กบั ลักษณะของโครงงานนนั้ ๆ โดยการจัดทำโครงงานพัฒนาสมรรถนะวิชาชีพดังกลา่ วตอ้ งดำเนินการ ดงั น้ี
1) สถานศึกษาอาชวี ศึกษาหรอื สถาบนั ตอ้ งจดั ให้ผู้เรยี นจดั ทำโครงงานพัฒนา
สมรรถนะวิชาชพี ทส่ี ัมพนั ธ์หรอื สอดคลอ้ งกบั สาขาวชิ า ในภาคเรยี นที่ 3 และหรือภาคเรยี นที่ 4 รวมจำนวน
4
หนว่ ยกติ ใช้เวลาไม่นอ้ ยกว่า 216 ชว่ั โมง ทัง้ นี้ สถานศึกษาอาชีวศกึ ษาหรือสถาบนั ตอ้ งจดั ให้มชี ั่วโมงเรยี น 4
ชั่วโมงตอ่ สปั ดาห์ กรณที ่ีก าหนดใหเ้ รยี นรายวิชาโครงงาน 4 หนว่ ยกิต หากจัดให้เรยี นรายวิชาโครงงาน 2
หนว่ ยกติ คือ โครงงาน 1 และโครงงาน 2 ใหส้ ถานศึกษาอาชีวศึกษาหรอื สถาบนั จดั ใหม้ ีชว่ั โมงเรยี นต่อสัปดาห์
ทเ่ี ทียบเคยี งกบั เกณฑ์ดงั กล่าวขา้ งต้น
2) การตดั สินผลการเรียนและให้ระดบั ผลการเรยี น ให้ปฏบิ ัตเิ ช่นเดียวกบั รายวิชาอื่น
2.7 กิจกรรมเสริมหลักสูตร
1) สถานศึกษาอาชีวศกึ ษาหรอื สถาบนั ตอ้ งจัดใหม้ กี ิจกรรมเสริมหลักสูตรไม่น้อยกว่า
2 ช่วั โมงตอ่ สัปดาห์ทกุ ภาคเรียน เพื่อส่งเสริมสมรรถนะแกนกลางและหรอื สมรรถนะวชิ าชีพ ปลูกฝังคุณธรรม
จริยธรรม ค่านยิ ม ระเบียบวินัย การต่อต้านความรนุ แรง สารเสพตดิ และการทจุ รติ เสริมสรา้ งการเปน็ พลเมอื ง
ไทยและพลโลก ในดา้ นการรกั ชาติ เทดิ ทนู พระมหากษัตรยิ ์ สง่ เสรมิ การปกครองระบอบประชาธปิ ไตยอันมี
พระมหากษตั รยิ ์ทรงเปน็ ประมุข ทะนุบำรงุ ศาสนา ศิลปะ วฒั นธรรม ภมู ปิ ญั ญาไทย ปลูกฝังจติ สานกึ และจิต
อาสาในการอนรุ กั ษ์สง่ิ แวดลอ้ มและท าประโยชนต์ อ่ ชมุ ชนและท้องถิน่ ท้งั น้ี โดยใช้กระบวนการกลมุ่ ในการ
วางแผน ลงมือปฏบิ ัติ ประเมินผล และปรบั ปรงุ การท างาน สำหรับนักเรยี นอาชีวศึกษาระบบทวภิ าคี ใหเ้ ข้า
รว่ มกจิ กรรมทสี่ ถานประกอบการจดั ขึน้
2) การประเมนิ ผลกิจกรรมเสรมิ หลักสูตร ใหเ้ ป็นไปตามระเบยี บ
กระทรวงศึกษาธกิ ารวา่ ดว้ ยการจดั การศึกษาและการประเมินผลการเรยี นตามหลักสูตรประกาศนยี บัตรวิชาชีพ
2.8 การปรับพื้นฐานวชิ าชีพ
30
1) สถานศึกษาอาชวี ศกึ ษาหรือสถาบันตอ้ งจดั ใหผ้ ูเ้ ข้าเรียนหลักสตู รประกาศนียบัตร
วชิ าชีพช้ันสงู ทส่ี ำเรจ็ การศึกษาระดับมธั ยมศึกษาตอนปลายหรอื เทยี บเทา่ และผู้เขา้ เรียนท่สี ำเร็จการศกึ ษา
ระดับประกาศนยี บตั รวิชาชีพ (ปวช.) หรือเทยี บเทา่ ตา่ งประเภทวชิ า และสาขาวิชาท่ีก าหนด เรยี นรายวชิ า
ปรบั พื้นฐานวชิ าชพี ท่กี าหนดไวใ้ นหลักสตู รแตล่ ะประเภทวิชา สาขาวิชา เพ่ือใหม้ ีความรู้และทกั ษะพื้นฐานที่
จำเปน็ สาหรบั การเรยี นในสาขาวิชาน้นั
2) การจัดการเรยี นการสอนและการประเมนิ ผลการเรยี นรายวชิ าปรบั พ้ืนฐาน
วิชาชีพ ใหเ้ ป็นไปตามระเบยี บกระทรวงศึกษาธกิ ารว่าด้วยการจัดการศึกษาและการประเมินผลการเรียนตาม
หลักสูตรประกาศนียบตั รวิชาชีพช้ันสูง
3) กรณผี เู้ ขา้ เรียนท่ีมคี วามรแู้ ละประสบการณใ์ นรายวิชาปรบั พนื้ ฐานวชิ าชีพท่ี
หลกั สูตรกำหนด มาก่อนเขา้ เรยี น สามารถขอเทยี บโอนผลการเรียนรูไ้ ด้ โดยปฏบิ ตั ติ ามระเบยี บ
กระทรวงศกึ ษาธิการวา่ ด้วยการจดั การศกึ ษาและการประเมนิ ผลการเรยี นตามหลักสตู รประกาศนยี บตั รวิชาชพี
ชั้นสงู
2.9 การจดั แผนการเรียน
เป็นการก าหนดรายวชิ าตามโครงสรา้ งหลักสตู รทจี่ ะดำเนินการเรยี นการสอนในแต่
ละภาคเรยี น โดยจดั อตั ราสว่ นการเรียนรู้ภาคทฤษฎีต่อภาคปฏบิ ตั ใิ นหมวดวิชาสมรรถนะวชิ าชีพ ประมาณ
40 : 60 ทง้ั นี้ ขน้ึ อยู่กบั ลกั ษณะหรือกระบวนการจดั การเรยี นรู้ของแต่ละสาขาวิชา ซ่งึ มขี ้อเสนอแนะ ดงั น้ี
1) จัดรายวชิ าในแต่ละภาคเรยี น โดยคำนึงถงึ รายวชิ าที่ตอ้ งเรียนตามลำดบั
ก่อน - หลัง ความงา่ ย – ยาก ของรายวชิ า ความต่อเนื่องและเชอื่ มโยงสัมพนั ธ์กันของรายวชิ า รวมท้งั รายวิชา
ท่ีสามารถบรู ณาการจัดการเรียนรู้รว่ มกันในลกั ษณะของงาน โครงงานและหรือช้ินงานในแต่ละภาคเรียน
2) จัดให้ผู้เรยี นเรียนรายวิชาบงั คับในหมวดวชิ าสมรรถนะแกนกลาง หมวดวชิ า
สมรรถนะวชิ าชีพในกลุ่มสมรรถนะวชิ าชพี พื้นฐาน และกลมุ่ สมรรถนะวิชาชพี เฉพาะ และกจิ กรรมเสรมิ
หลกั สูตรให้ครบตามท่กี ำหนดในโครงสร้างหลักสตู ร ซ่งึ มขี อ้ เสนอแนะ ดงั นี้
2.1) การจดั รายวิชาในหมวดวชิ าสมรรถนะแกนกลาง ควรจัดกระจายทกุ
ภาคเรยี น
2.2) การจัดรายวิชาในกลมุ่ สมรรถนะวชิ าชพี พน้ื ฐาน โดยเฉพาะรายวชิ าที่
31
เป็นพนื้ ฐานของการเรยี นวชิ าชีพควรจัดให้เรียนในภาคเรียนที่ 1
2.3) การจัดรายวชิ าในกลุ่มสมรรถนะวิชาชีพเฉพาะ ควรจดั ให้เรียนก่อน
รายวิชาในกลุม่ สมรรถนะวชิ าชพี เลอื กและรายวิชาในหมวดวิชาเลอื กเสรี
3) จัดใหผ้ ู้เรยี นได้เลอื กเรยี นรายวิชาในกลุ่มสมรรถนะวชิ าชพี เลอื กและหมวดวชิ า
เลือกเสรี ตามความถนดั ความสนใจ เพือ่ สนับสนนุ การประกอบอาชพี หรือศึกษาตอ่ โดยคำนึงถงึ ความ
สอดคล้องกับมาตรฐานการศกึ ษาวิชาชีพด้านสมรรถนะวิชาชีพของสาขาวิชาและสาขางาน
4) จดั รายวชิ าทวภิ าคที ่นี าไปเรียนและฝกึ ในสถานประกอบการ รฐั วิสาหกจิ หรอื
หนว่ ยงานของรฐั โดยประสานงานรว่ มกับสถานประกอบการ รฐั วิสาหกิจ หรอื หน่วยงานของรัฐ เพ่ือพิจารณา
ก าหนดภาคเรียนท่จี ัดฝกึ อาชีพ รวมทั้งก าหนดรายวชิ าหรอื กลมุ่ วิชาทตี่ รงกบั ลกั ษณะงานของสถาน
ประกอบการ รัฐวิสาหกจิ หรือหน่วยงานของรฐั ทน่ี าไปรว่ มฝกึ อาชพี ในภาคเรียนน้ัน ๆ
5) จัดรายวิชาฝึกงานในภาคเรียนท่ี 3 หรอื 4 คร้ังเดียว จำนวน 4 หน่วยกติ 320
ช่วั โมง (เฉล่ยี 20 ช่ัวโมง ตอ่ สัปดาห์ตอ่ ภาคเรียน) หรอื จดั ใหล้ งทะเบียนเรยี นเป็น 2 คร้งั คือ ภาคเรยี นท่ี 3
จำนวน 2 หนว่ ยกิต และ ภาคเรยี นท่ี 4 จำนวน 2 หนว่ ยกติ รายวชิ าละ 160 ช่วั โมง (เฉลี่ย 10 ช่ัวโมงต่อ
สปั ดาห์ต่อภาคเรยี น) ตามเงอ่ื นไขของหลักสตู รสาขาวิชานน้ั ๆ ในภาคเรียนที่จัดฝกึ งานน้ี ใหส้ ถานศกึ ษา
พิจารณากาหนดรายวิชาหรือกลุ่มวชิ าท่ีตรงกบั ลักษณะงานของสถานประกอบการ รฐั วิสาหกจิ หรอื หนว่ ยงาน
ของรฐั เพอ่ื น าไปเรียนและฝึกปฏิบตั ิในภาคเรยี นท่ีจดั ฝกึ งานดว้ ย การจัดฝึกงานในภาคเรียนฤดูรอ้ นสามารถท
า
ไดโ้ ดยต้องพจิ ารณาระยะเวลาในการฝกึ ใหค้ รบตามทห่ี ลักสูตรก าหนด
6) จัดรายวชิ าโครงงานในภาคเรียนที่ 3 หรอื 4 คร้งั เดยี ว จำนวน 4 หนว่ ยกติ (12
ช่ัวโมงตอ่ สัปดาหต์ อ่ ภาคเรียน) หรือ จัดให้ลงทะเบียนเรยี นเปน็ 2 ครัง้ คือ ภาคเรียนที่ 3 และภาคเรยี นที่ 4
รวม 4 หนว่ ยกิต (6 ชวั่ โมงตอ่ สปั ดาหต์ ่อภาคเรยี น) ตามเง่ือนไขของหลักสูตรสาขาวชิ านั้น ๆ
7) จดั กิจกรรมเสรมิ หลักสูตรในแตล่ ะภาคเรยี น ภาคเรียนละไมน่ อ้ ยกวา่ 2 ช่ัวโมง
ตอ่ สปั ดาห์
8) จดั จำนวนหนว่ ยกติ รวมในแต่ละภาคเรียน ไม่เกิน 22 หนว่ ยกิต สำหรบั การ
เรียนแบบเตม็ เวลา และไม่เกนิ 12 หนว่ ยกติ สำหรับการเรยี นแบบไม่เตม็ เวลา ส่วนภาคเรียนฤดูรอ้ นจัดไดไ้ ม่
32
เกิน 12 หนว่ ยกติ ทั้งนี้ เวลาในการจดั การเรียนการสอนในภาคเรียนปกติและภาคเรียนฤดรู อ้ นโดยเฉลยี่ ไม่
ควร
เกนิ 35 ช่ัวโมงตอ่ สปั ดาห์ สว่ นการเรยี นแบบไมเ่ ต็มเวลาไมค่ วรเกนิ 25 ชว่ั โมงต่อสปั ดาห์ หากสถานศึกษา
อาชวี ศึกษาหรอื สถาบนั มเี หตุผลและความจ าเป็นในการจดั หนว่ ยกิตและเวลาในการจัดการเรียนการสอนแต่
ละ
ภาคเรยี นทีแ่ ตกตา่ งไปจากเกณฑข์ า้ งต้น อาจทำได้แตต่ ้องไมก่ ระทบตอ่ มาตรฐานและคณุ ภาพการศึกษา
2.10 การศกึ ษาระบบทวิภาคี
เปน็ รปู แบบการจดั การศกึ ษาทีเ่ กิดจากข้อตกลงร่วมกนั ระหวา่ งสถานศึกษา
อาชวี ศึกษาหรอื สถาบัน กบั สถานประกอบการ รฐั วิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐ โดยผ้เู รยี นใช้เวลาสว่ นหน่งึ
ในสถานศกึ ษาอาชวี ศึกษาหรือสถาบนั และเรยี นภาคปฏิบตั ิในสถานประกอบการ รัฐวสิ าหกจิ หรือหนว่ ยงาน
ของรฐั เพอื่ ให้การจัดการศึกษาระบบทวิภาคีสามารถเพิม่ ขดี ความสามารถด้านการผลติ และพัฒนาก าลงั คน
ตรงตามความตอ้ งการของผู้ใชแ้ ละเป็นไปตามจุดหมายของหลักสตู ร ท้ังน้ี สถานศกึ ษาอาชวี ศึกษาหรือสถาบัน
ตอ้ งดาเนนิ การดังนี้
1) นำรายวชิ าทวิภาคีในกลุ่มสมรรถนะวิชาชีพเลอื ก รวมไม่น้อยกว่า 12 หน่วยกติ ไปร่วมกำหนด
รายละเอียดของรายวชิ ากับสถานประกอบการ รฐั วิสาหกจิ หรอื หนว่ ยงานของรัฐที่ร่วมจดั
การศกึ ษาระบบทวภิ าคี ไดแ้ ก่ จดุ ประสงค์รายวชิ า สมรรถนะรายวชิ า ค าอธิบายรายวิชา เวลาท่ีใชฝ้ ึกและ
จำนวนหนว่ ยกติ ให้สอดคล้องกบั ลกั ษณะงานของสถานประกอบการ รฐั วสิ าหกจิ หรือหนว่ ยงานของรัฐ
รวมทงั้
สมรรถนะวชิ าชพี ของสาขางาน ทั้งนี้ การกำหนดจำนวนหนว่ ยกติ และจำนวนช่วั โมงที่ใช้ฝึกอาชีพของแต่
ละ
รายวิชาทวิภาคีใหเ้ ปน็ ไปตามทีห่ ลกั สูตรกำหนด และใหร้ ายงานการพัฒนารายวิชาดงั กลา่ วใหส้ ำนกั งาน
คณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษาทราบดว้ ย
2) ร่วมจัดทำแผนฝกึ อาชพี พร้อมแนวการวดั และประเมินผลในแต่ละรายวิชากบั
33
สถานประกอบการ รัฐวิสาหกจิ หรอื หน่วยงานของรัฐทีร่ ่วมจดั การศกึ ษาระบบทวภิ าคี เพ่ือนำไปใช้ในการ
ฝึก
อาชีพ และดำเนนิ การวัดและประเมนิ ผลเปน็ รายวิชา
3) จดั แผนการเรียนระบบทวิภาคตี ามความพร้อมของสถานประกอบการ
รัฐวิสาหกิจ หรือหนว่ ยงานของรฐั ทจ่ี ดั การศึกษาระบบทวภิ าครี ว่ มกัน โดยอาจนำรายวิชาอน่ื ที่สอดคล้อง
กบั
ลักษณะงานของสถานประกอบการ รฐั วสิ าหกิจ หรอื หนว่ ยงานของรัฐน้ัน ๆ ไปจดั ร่วมดว้ ยก็ได้
2.11 การเขา้ เรียน
ผู้เข้าเรียนตอ้ งสำเร็จการศกึ ษาไมต่ ำ่ กว่าระดบั ประกาศนียบตั รวิชาชีพหรอื เทยี บเทา่
หรอื ระดับมัธยมศกึ ษาตอนปลายหรอื เทยี บเทา่ และมีคุณสมบัตเิ ป็นไปตามระเบยี บกระทรวงศกึ ษาธกิ าร
ว่าด้วย
การจัดการศึกษาและการประเมินผลการเรยี นตามหลักสตู รประกาศนียบัตรวิชาชีพช้นั สูง
2.12 การประเมนิ ผลการเรยี น
เน้นการประเมนิ สภาพจริง ทั้งนี้ ใหเ้ ป็นไปตามระเบยี บกระทรวงศกึ ษาธิการวา่ ด้วย
การจัดการศึกษาและการประเมินผลการเรยี นตามหลกั สูตรประกาศนียบัตรวชิ าชพี ช้ันสูง
2.13 การสำเร็จการศกึ ษาตามหลักสูตร
1) ได้รายวิชาและจำนวนหน่วยกติ สะสมในทุกหมวดวชิ า ครบถ้วนตามที่ก าหนดไว้
ในหลกั สูตรแตล่ ะประเภทวชิ าและสาขาวชิ า และตามแผนการเรยี นทส่ี ถานศึกษาก าหนด
2) ได้คา่ ระดบั คะแนนเฉลย่ี สะสมไม่ต่ำกวา่ 2.00
3) ผา่ นเกณฑก์ ารประเมินมาตรฐานวิชาชีพ
4) ได้เขา้ ร่วมปฏบิ ัตกิ จิ กรรมเสรมิ หลักสูตรตามแผนการเรียนทส่ี ถานศกึ ษาก าหนด
และ “ผา่ น” ทกุ ภาคเรยี น
34
2.14 การพฒั นารายวชิ าในหลักสูตร
1) หมวดวิชาสมรรถนะแกนกลาง สถานศึกษาอาชวี ศึกษาหรอื สถาบันสามารถ
พัฒนารายวชิ าเพม่ิ เติมในแตล่ ะกลมุ่ วิชา เพ่อื เลอื กเรียนนอกเหนือจากรายวชิ าทกี่ ำหนดให้เป็นวิชาบงั คับ
ได้
โดยสามารถพัฒนาเปน็ รายวชิ าหรือลักษณะบรู ณาการ ผสมผสานเน้ือหาวิชาท่คี รอบคลุมสาระของกลุ่ม
วชิ า
ภาษาไทย กลมุ่ วิชาภาษาตา่ งประเทศ กล่มุ วชิ าวทิ ยาศาสตร์ กลมุ่ วชิ าคณติ ศาสตร์ กลมุ่ วิชาสงั คมศาสตร์
กลมุ่
วชิ ามนุษยศาสตร์ ในสดั สว่ นท่เี หมาะสม โดยพิจารณาจากมาตรฐานการเรยี นร้ขู องกลมุ่ วชิ านน้ั ๆ เพอ่ื ให้
บรรลุ
จุดประสงค์ของหมวดวชิ าสมรรถนะแกนกลาง
2) หมวดวชิ าสมรรถนะวชิ าชพี สถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบนั สามารถเพม่ิ เติม
รายละเอียดของรายวิชาในแตล่ ะกลมุ่ วิชาในการจดั ท าแผนการจัดการเรยี นรู้ และสามารถพัฒนารายวชิ า
เพม่ิ เติมในกลมุ่ สมรรถนะวชิ าชพี เลอื กได้ ตามความตอ้ งการของสถานประกอบการหรอื ยุทธศาสตรข์ อง
ภูมภิ าค
เพื่อเพมิ่ ขีดความสามารถ ในการแข่งขันของประเทศ ทง้ั นี้ ต้องพิจารณาใหส้ อดคลอ้ งกบั จุดประสงค์
สาขาวชิ าและสมรรถนะวิชาชพี สาขางานด้วย
3) หมวดวชิ าเลอื กเสรี สถานศกึ ษาอาชวี ศกึ ษาหรือสถาบนั สามารถพฒั นารายวชิ า
เพ่ิมเติมได้ ตามความตอ้ งการของสถานประกอบการ ชุมชน ทอ้ งถิน่ หรอื ยทุ ธศาสตรข์ องภมู ิภาคเพื่อเพิ่ม
ขีด
ความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และหรอื เพอื่ การศึกษาตอ่ ท้งั น้ี การกำหนดรหัสวิชา
จำนวนหนว่ ยกิตและจนนบั วนชวั่ โมงเรียนของรายวิชาท่ีพฒั นาเพิม่ เตมิ ใหเ้ ปน็ ไปตามท่หี ลกั สตู รกำหนด
-โครงสร้างหลกั สูตร 35
1. หมวดวชิ าสมรรถนะแกนกลาง ไมน่ ้อยกวา่ 21 หนว่ ยกติ
1.1 กลุม่ วชิ าภาษาไทย (ไมน่ ้อยกวา ่ 3 หนว่ ยกิต)
1.2 กลมุ่ วชิ าภาษาต่างประเทศ (ไม่นอ้ ยกวา ่ 6 หน่วยกิต)
1.3 กลมุ่ วชิ าวิทยาศาสตร์ (ไมน่ ้อยกวา ่ 3 หน่วยกิต)
1.4 กลุ่มวชิ าคณติ ศาสตร์ (ไมน่ ้อยกวา ่ 3 หนว่ ยกิต)
1.5 กลุ่มวิชาสังคมศาสตร์ (ไมน่ อ้ ยกวา ่ 3 หน่วยกิต)
1.6 กลุ่มวิชามนษุ ยศาสตร์ (ไมน่ ้อยกวา ่ 3 หนว่ ยกิต)
2. หมวดวชิ าสมรรถนะวิชาชีพ ไม่นอ้ ยกว่า 56 หนว่ ยกติ
2.1 กลุ่มสมรรถนะวชิ าชีพพ้ืนฐาน (15 หนว่ ยกติ )
2.2 กล่มุ สมรรถนะวชิ าชีพเฉพาะ ( 21 หนว่ ยกติ )
2.3 กลมุ่ สมรรถนะวิชาชพี เลือก
2.4 ฝึกประสบการณส์ มรรถนะวิชาชีพ (ไมน่ อ้ ยกวา ่ 12 หน่วยกติ )
2.5 โครงงานพัฒนาสมรรถนะวชิ าชีพ (4 หนว่ ยกิต)
(4 หนว่ ยกิต)
3. หมวดวชิ าเลือกเสรี
4. กิจกรรมเสรมิ หลกั สตู ร ไมน่ อ้ ยกวา่ 6 หนว่ ยกิต
(2 ชวั่ โมงตอ่ สปั ดาห์)
รวม ไมน่ อ้ ยกวา่ 83 หนว่ ยกิต
36
• หลักสตู รปริญญาตรีสายเทคโนโลยีหรอื สายปฏบิ ัตกิ าร พุทธศักราช 2563
1. รหัสและชอื่ หลักสตู ร : 25572831104946
ภาษาไทย : หลกั สูตรเทคโนโลยีบณั ฑิต สาขาวชิ าเทคโนโลยีสารสนเทศ (ตอ่ เนือ่ ง)
ภาษาอังกฤษ : Bachelor of Technology Program in Information Technology
(Continuing Program)
2. ชื่อปริญญาและสาขาวิชา
ชื่อเต็ม (ไทย) : เทคโนโลยีบัณฑิต (เทคโนโลยสี ารสนเทศ)
ช่ือย่อ (ไทย) : ทล.บ. (เทคโนโลยสี ารสนเทศ)
ชอื่ เตม็ (องั กฤษ) : Bachelor of Technology (Information Technology)
3. วชิ าเอก ไม่มี
4. จำนวนหนว่ ยกติ ที่เรยี นตลอดหลกั สตู ร ไมน่ อ้ ยกวา่ 75 หน่วยกิต
5. รูปแบบของหลักสตู ร
5.1 รูปแบบ เป็นหลกั สตู รระดบั ปรญิ ญาตรี (ต่อเน่ือง)
5.2 ประเภทของหลักสตู ร หลักสูตรปรญิ ญาตรีปฏิบตั กิ าร
5.3 ภาษาท่ใี ช้ ภาษาไทย
5.4 การรบั เข้าศึกษา รบั นักศกึ ษาไทย และหรือนกั ศึกษาตา่ งประเทศทีส่ ามารถใชภ้ าษาไทยไดเ้ ป็นอยา่ งดี
5.5 ความร่วมมอื กบั สถาบันอื่น
เปน็ หลกั สูตรทท่ี ำความร่วมมือการฝกึ ประสบการณว์ ิชาชึพทีก่ ารลงนามความร่วมมอื กับ
สถานประกอบการในการจดั การเรียนการสอน ดังน้ี
1) บริษทั Soft Square 1999 จำกัด
2) บริษทั DZentric จำกัด
3) บริษัท Intelligent Business Solution จำกัด
4) บริษทั Prosoft ERP จำกดั
5) บรษิ ัท Educatique Corporation จำกดั
5.6 การให้ปรญิ ญาแกผ่ ู้สำเรจ็ การศึกษา ใหป้ รญิ ญาเพยี งสาขาวิชาเดยี ว
37
-ความสำคญั
สาขาวิชาเทคโนโลยสี ารสนเทศไดเ้ ปดิ สอนนักศึกษาระดับปรญิ ญาตรีหลกั สตู รเทคโนโลยีบัณฑติ
สาขาวิชาเทคโนโลยสี ารสนเทศ (ตอ่ เนื่อง) สอดคลอ้ งกบั เกณฑ์มาตรฐานของสำนกั งานคณะกรรมการการ
อุดมศกึ ษา (สกอ.) ตั้งแตป่ ีการศกึ ษา พ.ศ.2557 เปน็ ต้นมา ขณะน้ีทางสาขาวชิ าเทคโนโลยีสารสนเทศ ได้
ดำเนนิ การปรับปรุงหลักสูตร เพื่อให้เป็นไปตามกรอบมาตรฐานคณุ วฒุ ิระดบั อดุ มศกึ ษาแห่งชาติ ของสำนกั งาน
คณะกรรมการการอุดมศึกษาตามเกณฑ์มาตรฐานหลกั สตู รระดบั ปรญิ าตรี พ.ศ. 2558 และมาตรฐานคณุ วุฒิ
ระดบั ปริญญาตรี สาขาเทคโนโลยีพ.ศ.2560 และแนวทางการปฏิบัติของสำนักงานคณะกรรมการการ
อาชวี ศกึ ษา ตามเกณฑม์ าตรฐานคณุ วฒุ ิอาชีวศึกษาระดับปริญญาตรีสายเทคโนโลยีหรอื สายปฏิบตั กิ าร
พ.ศ. 2562 ใหส้ อดคลอ้ งกับการเปล่ียนแปลงของเทคโนโลยใี นปัจจุบนั นบั เปน็ กลไกสำคญั ในการพฒั นา
ประเทศให้ก้าวหน้า พร้อมแขง่ ขนั และรองรับการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกจิ โลก ซึ่งต้องการบคุ ลากรดา้ น
เทคโนโลยี
สารสนเทศทม่ี ีคณุ ภาพ สามารถประยุกต์ใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ ในการพฒั นานวตั กรรม กบั
หนว่ ยงานท้งั ภาครฐั และเอกชน การใช้ขอ้ มลู และสารสนเทศที่ทันสมัยเหมาะสมต่อการวางแผน
การบรหิ ารจดั การ อันจะนำไปสคู่ วามมั่นคงความเข้มแขง็ ในการพฒั นาเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของ
ประเทศชาติ การพฒั นาปรบั ปรุงหลกั สตู รเทคโนโลยีบณั ฑติ สาขาวชิ าเทคโนโลยสี ารสนเทศ พ.ศ. 2562
เพือ่ ตอ้ งการใหเ้ ปน็ หลักสตู รทม่ี คี วามทนั สมยั รองรบั การเปลย่ี นแปลงทางดา้ นเทคโนโลยีและเศรษฐกจิ
โลก สามารถผลิตบัณฑิตทม่ี ีสมรรถนะทพี่ งึ ประสงค์ และมจี รรยาบรรณวชิ าชพี ตรงตามความต้องการของ
สถานประกอบการ ตลาดแรงงาน สามารถเปน็ นกั วางแผน บริหารจดั การโดยใช้เทคโนโลยี และองค์
ความรูใ้ หม่มาประยุกต์ใชไ้ ด้อย่างมีประสทิ ธิภาพ สามารถประกอบอาชีพอสิ ระเกีย่ วกบั เทคโนโลยี
สารสนเทศ และดำรงตนอย่างมคี วามสขุ ภายใตป้ รัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
-ปรชั ญา
หลกั สูตรนเ้ี ป็นหลกั สตู รที่เน้นผลิตบณั ฑิตใหค้ วามร้คู วามสามารถทางดา้ นการประยกุ ต์ใช้
เทคโนโลยี และสามารถปฏิบัติวชิ าชีพทางด้านเทคโนโลยสี ารสนเทศไดเ้ ป็นอยา่ งดโี ดยสามารถนำเอา
ศาสตร์ทางดา้ นเทคโนโลยแี ละการจดั การท่เี หมาะสมและทันสมัยมาประยกุ ต์ใช้กบั งานได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ นอกจากนย้ี งั เสริมสร้างคุณธรรม จริยธรรม ความซ่ือสตั ยส์ จุ ริต ความมรี ะเบยี บวนิ ัย มี
ความรับผิดชอบตอ่ หนา้ ท่ีและสงั คมมงุ่ ตอบสนองความต้องการของสงั คม ชุมชน สถานประกอบการ
38
-วัตถุประสงค์
1.1 เพือ่ ผลิตบัณฑติ ใหม้ ีสมรรถนะ ดา้ นความรู้ ได้แก่ ความรู้ทางทฤษฎีและเทคโนโลยีเฉพาะ
ทางอย่างกวา้ งขวางและเป็นระบบในการพัฒนางานอาชีพ มปี ระสบการณใ์ นสาขาวิชาเทคโนโลยี
สารสนเทศ ตามมาตรฐานอาชพี ในระดับเทคโนโลยีดา้ นการพฒั นาซอฟต์แวรค์ อมพิวเตอร์ การจดั การ
เครือขา่ ยคอมพิวเตอร์ การจดั การดา้ นเทคโนโลยีสารสนเทศ การจดั การด้านระบบฐานข้อมลู
การใหบ้ ริการดา้ นการติดตงั้ และบำรงุ รักษาอปุ กรณฮ์ ารด์ แวร์ ซอฟต์แวร์ อปุ กรณต์ ่อพว่ งและระบบ
เครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์ โดยการวเิ คราะห์ ออกแบบเขยี นแบบ จัดการ ดำเนนิ การ ผลิต สรา้ ง ตรวจสอบ
ทดสอบ ควบคมุ บำรุงรักษาให้คำแนะนำ แกป้ ญั หาสอนงาน พัฒนางานและบรู ณาการในการประกอบ
อาชีพและสร้างอาชีพไดอ้ ย่างมปี ระสิทธิภาพ
1.2 เพอ่ื ให้มสี มรรถนะในการใช้กระบวนการสรา้ งองค์ความรดู้ ้วยตนเอง มีทกั ษะ ไดด้ า้ น
การคิด วเิ คราะห์ วจิ ารณ์ และเปรยี บเทยี บปัญหา ทักษะการเรยี นรูต้ ลอดชวี ิต โดยการใช้กระบวนการคิด
และกระบวนการกลุ่มอย่างชำนาญ ประยกุ ต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอยา่ งเป็นสากล การวิจยั ใน
การแกป้ ัญหาพืน้ ฐาน พัฒนาคณุ ภาพชีวิตและพฒั นาอาชพี ใหก้ ้าวหน้าอยูเ่ สมอ
1.3 เพอ่ื ให้มบี คุ ลกิ ภาพท่ดี ี มีมนุษยสัมพันธ์ มวี ินยั และคุณลักษณะท่ีพงึ ประสงค์ ได้แก่
มคี ณุ ธรรม จรยิ ธรรม จรรยาบรรณวชิ าชพี เจตคตแิ ละกิจนิสยั ทดี่ ี ภมู ใิ จและรักษาเอกลกั ษณ์ของชาตไิ ทย
เคารพกฎหมาย เคารพสทิ ธขิ องผู้อื่น มคี วามรบั ผดิ ชอบตามบทบาทหนา้ ท่ขี องตนเองตามระบอบ
ประชาธปิ ไตยอนั มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีจติ สาธารณะและมจี ิตสำนึกรักษส์ งิ่ แวดลอ้ ม
มีสขุ ภาพอนามัยท่ีสมบูรณ์ท้ังร่างกายจิตใจ เหมาะสมกับงานอาชพี
1.4 เพอื่ ให้สามารถประยุกต์ใชค้ วามรู้ในการแกป้ ญั หาท่ีซบั ซอ้ นและเปลย่ี นแปลงอยู่
ตลอดเวลา สามารถริเริม่ ปรบั ปรุง วางแผนกลยทุ ธใ์ นการแกป้ ญั หาทีซ่ บั ซ้อนและเปน็ นามธรรมใน
การปฏิบตั ิงาน รวมทง้ั วางแผนการบริหารและจัดการ รับผดิ ชอบในสาขาอาชีพ
39
-ระบบการจัดการศึกษา
1.1 ระบบ
การจัดการศกึ ษาใช้ระบบทวภิ าคโดย 1 ปีการศกึ ษาแบ่งออกเป็น 2 ภาคการศกึ ษาปกติ ซง่ึ แต่
ละภาคการศกึ ษาปกตมิ รี ะยะเวลาการศกึ ษาไมน่ ้อยกว่า 18 สัปดาห์ และกำหนดให้ลงทะเบียนไดภ้ าค
การศึกษาละไมเ่ กิน 22 หนว่ ยกิต
1.2 การจดั การศึกษาภาคฤดูรอ้ น
ภาคเรียนฤดรู ้อน กำหนดระยะเวลาและจำนวนหน่วยกติ ใหม้ สี ัดส่วนเทยี บเคียงกันได้
กบั ภาคเรยี นปกติ โดยกำหนดระยะเวลาการจัดการศกึ ษาภาคฤดูรอ้ น 9 สปั ดาห์
1.3 การเทยี บเคียงหน่วยกติ ในระบบทวภิ าค ไมม่ ี
1.4 การกำหนดจำนวนหน่วยกติ และจำนวนช่ัวโมงเรยี นตอ่ สัปดาห์
1.4.1 การคิดหน่วยกติ ต่อภาคเรยี น
1) รายวิชาทฤษฎี ทใี่ ชเ้ วลาบรรยายหรอื อภิปราย ไม่น้อยกวา่ 1 ชั่วโมง เท่ากับ 1
หน่วยกติ
2) รายวิชาปฏิบัติ ที่ใช้เวลาในการทดลองหรอื ฝกึ ปฏบิ ตั ิในห้องปฏิบัตกิ าร ไมน่ อ้ ยกวา่
2 ชัว่ โมง เท่ากบั 1 หนว่ ยกติ
3) รายวชิ าปฏบิ ัติ ทใี่ ช้เวลาในการฝึกปฏิบตั ใิ นโรงฝึกงานหรอื ภาคสนาม ไมน่ อ้ ยกวา่ 3
ชั่วโมง เท่ากบั 1 หนว่ ยกิต
4) การฝกึ อาชีพในการศกึ ษาระบบทวิภาคีไม่นอ้ ยกว่า 3 ช่วั โมง เท่ากับ 1 หนว่ ยกิต
5) การฝกึ ประสบการณท์ กั นะวิชาชีพ ไมน่ ้อยกว่า 3 ช่วั โมง เทา่ กับ 1 หนว่ ยกติ
6) การทำโครงการพฒั นาทักษะวิชาชีพ ไม่นอ้ ยกวา่ 3 ชว่ั โมงเท่ากบั 1 หน่วยกติ
1.4.2 การระบุจำนวนหนว่ ยกิตใหร้ ะบุตามความหมายของ น (ท-ป-ศ)
น หมายถึง จำนวนหน่วยกติ
ท หมายถงึ จำนวนชัว่ โมงทฤษฎตี อ่ สัปดาห์
ป หมายถงึ จำนวนชวั่ โมงปฏิบัตติ อ่ สปั ดาห์
ศ หมายถึง จำนวนชัว่ โมงศึกษาคน้ ควา้ นอกเวลาต่อสัปดาห์
40
1.4.3 การจดั ช่ัวโมงเรยี น
ในการจัดชวั่ โมงเรียนนนั้ ใหพ้ ิจารณาถงึ ลักษณะการเรียนการสอน และกระบวนการ
เรียนรขู้ องผ้เู รียนท่สี ามารถเกดิ ข้ึนได้ทั้งในหอ้ งเรียนและนอกหอ้ งเรียน ดังนั้นจึงควรจัดชั่วโมงให้ได้ศึกษา
ค้นคว้าทงั้ ในและนอกเวลาเรียน โดยจำแนกการจดั เวลาเรยี นรู้ประจำรายวิชา รปู แบบและวธิ ีการคำนวณ
ช่ัวโมงศกึ ษาค้นคว้านอกเวลาตอ่ สัปดาห์ ดังนี้
1) ช่วั โมงเรยี นทฤษฎี
2) ช่วั โมงเรียนปฏบิ ตั ิ
3) ชว่ั โมงศึกษาคน้ คว้านอกเวลา
หมายเหตุ หากผลการคำนวณท่ไี ดม้ จี ุดทศนยิ ม ให้ปัดเศษดงั น้ี
1) นอ้ ยกวา่ 0.5 ให้ตัดทงิ้
2) ตั้งแต่ 0.5 ข้ึนไปใหป้ ัดเปน็ 1
ทงั้ นใ้ี นการกำหนดช่ัวโมงศึกษาค้นควา้ นอกเวลาดังกล่าวข้างต้น บางรายวิชาอาจไม่มกี ารศกึ ษา
คน้ คว้านอกเวลา เช่น วิชาท่เี ก่ียวขอ้ งกบั การฝึกอาชพี วชิ าโครงการพัฒนาทกั ษะวิชาชีพ เป็นตน้ โดยใหใ้ ช้
เลข 0 แทนชัว่ โมงศกึ ษาค้นควา้ นอกเวลา
41
-โครงสร้างหลักสตู ร ไมน่ อ้ ยกว่า 75 หนว่ ยกิต
.จำนวนหนว่ ยกิต รวมตลอดหลกั สูตร
โครงสร้างหลกั สูตร แบ่งเป็นหมวดวชิ าทีส่ อดคล้องกับทีก่ ำหนดไวใ้ นเกณฑ์
มาตรฐานหลักสูตรระดบั อดุ มศกึ ษาของกระทรวงศึกษาธิการ ดงั น้ี
1) หมวดวชิ าศกึ ษาทว่ั ไป ไม่น้อยกวา่ 18 หน่วยกิต
1.1 กลุ่มวชิ าทกั ษะภาษาและการส่ือสาร ไมน่ ้อยกว่า 6 หนว่ ยกติ
(กลุ่มวิชาภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ)
1.2 กลมุ่ วชิ าทกั ษะการคดิ และการแก้ปัญหา ไมน่ ้อยกว่า 6 หน่วยกิต
(กลมุ่ วชิ าวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร)์
1.3 กลมุ่ ทักษะทางสงั คมและการดำรงชวี ิต ไมน่ ้อยกว่า 6 หนว่ ยกิต
(กลุ่มวชิ าสังคมศึกษาและมนษุ ยศาสตร์)
2) หมวดวิชาเฉพาะ ไมน่ อ้ ยกวา่ 51 หน่วยกติ
2.1 วิชาเฉพาะพน้ื ฐาน 18 หน่วยกติ
กล่มุ วชิ าพน้ื ฐานทางวิทยาศาสตรแ์ ละคณติ ศาสตร์ 6 หนว่ ยกติ
กลุ่มวิชาพน้ื ฐานทางเทคโนโลยี 12 หนว่ ยกติ
2.2 วชิ าเฉพาะดา้ น 30 หนว่ ยกติ
กล่มุ วชิ าเทคโนโลยีเฉพาะสาขา 24 หนว่ ยกติ
กล่มุ วชิ าโครงงาน 6 หน่วยกิต
2.3 วิชาการฝกึ ประสบการณว์ ชิ าชพี /วชิ าบูรณาการ 3 หนว่ ยกิต
การเรียนรู้รว่ มการทำงาน
42
43
• หลกั สตู รอดุ มศกึ ษา ภายใตก้ รอบมาตรฐานคุณวุฒอิ ุดมศึกษา
คณะกรรมการการอุดมศึกษามีหนา้ ท่ีหลักสำคัญประการหน่ึงคอื การพิจารณา
เสนอนโยบายแผนพฒั นา และมาตรฐานการอุดมศึกษาท่สี อดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกจิ
และสงั คมแห่งชาติ และแผนการศึกษาแห่งชาติ โดยคำนึงถึงความเป็นอิสระและ
ความเป็นเลศิ ทางวชิ าการของสถานศึกษาระดบั ปรญิ ญา จึงได้จัดทำมาตรฐานการอดุ มศกึ ษา
เกณฑ์มาตรฐานหลกั สูตรระดบั อดุ มศึกษา และเกณฑม์ าตรฐานทเี่ กีย่ วข้อง เพอื่ ให้
สถาบันอดุ มศึกษานำไปใชเ้ ปน็ แนวทางในการจดั การศกึ ษาให้มคี ุณภาพ ไดม้ าตรฐาน
ในระดบั สากล
หนงั สอื “เกณฑม์ าตรฐานหลักสูตรระดับอุดมศกึ ษา พ.ศ. ๒๕๕๘ และ
เกณฑ์มาตรฐานทเ่ี กยี่ วขอ้ ง” ไดร้ วบรวมประกาศที่เกี่ยวข้องกบั การจัดการศกึ ษาระดับ
อุดมศกึ ษาทเ่ี ป็นปจั จบุ นั เพือ่ ใหส้ ถาบนั อดุ มศกึ ษาสามารถนำไปใชใ้ นการพฒั นา
หลกั สูตรการจัดการเรยี นการสอนระดบั อุดมศกึ ษาใหม้ ีคณุ ภาพ และสอดคล้องกบั
เกณฑม์ าตรฐานท่ีกำหนด เพ่ือตอบสนองความต้องการของผเู้ รยี น ตลาดแรงงาน สงั คม
และรองรับการพฒั นาประเทศ รวมท้งั เผยแพร่ข้อมูลดา้ นมาตรฐานระดบั อดุ มศึกษา
ให้กบั หน่วยงานทีเ่ ก่ยี วขอ้ ง และบคุ คลทว่ั ไปได้รบั รรู้ ับทราบ
สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาหวงั เปน็ อย่างยง่ิ ว่า หนงั สือ
“เกณฑม์ าตรฐานหลกั สตู รระดับอุดมศกึ ษา พ.ศ. ๒๕๕๘ และเกณฑม์ าตรฐานท่เี กี่ยวขอ้ ง”
ฉบับน้จี ะสามารถใชเ้ ปน็ เอกสารอา้ งอิง และเป็นประโยชนแ์ ก่สถาบันอดุ มศกึ ษาและ
หน่วยงานต่าง ๆ ท่ที ำหน้าทจ่ี ดั การศึกษาระดับอุดมศึกษา สามารถนำไปใชเ้ ป็นแนวทาง
ในการพฒั นาการจดั การศึกษาระดับอุดมศกึ ษาใหม้ ีคุณภาพและมาตรฐานย่งิ ขน้ึ
44
ลกั ษณะของสาขา
สาขาครุศาสตร์ /ศึกษาศาสตร์ เปน็ ศาสตรเ์ กยี่ วกบั ศิลปะและจิตวทิ ยาการสอนหรอื การจดั การ
เรียนรู้การผลิตครูใหม่หรือการเตรยี มครูและบคุ ลากรทางการศึกษากอ่ นประจาํ การ รวมทั้งการพัฒนาครู
และบคุ ลากรทางการศึกษาประจําการ สาํ หรบั การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตาม
อัธยาศยั หรือการเรยี นรูท้ ไ่ี ม่เป็นทางการ การจัดการศกึ ษาในสาขาครุศาสตร/์ ศกึ ษาศาสตรป์ ระกอบด้วยวิชาครู
และวิชาเอกทจ่ี ะสอน ทัง้ ในด้านมนษุ ยศาสตร์สงั คมศาสตร์และวทิ ยาศาสตร์สาขาครศุ าสตร/์ ศึกษาศาสตร์
จงึ มีลกั ษณะเปน็ สหวทิ ยาการซ่ึงเชอื่ มโยงและบูรณาการกบั สงั คมศาสตรม์ นุษยศาสตรแ์ ละวิทยาศาสตร์ เพ่อื
พฒั นาคนทง้ั ในวยั เรียนและนอกวัยเรียนใหม้ คี ุณภาพ สามารถพฒั นาเศรษฐกิจ สงั คม และสิง่ แวดล้อมให้มีการ
พัฒนาทย่ี ่งั ยืน
คณุ ลกั ษณะบณั ฑติ ท่พี งึ ประสงค์
๑) มคี ุณธรรม มคี วามกลา้ หาญทางจริยธรรม มีจรรยาบรรณวชิ าชีพครู และมีความรับผดิ ชอบสงู
ต่อวิชาการวชิ าชีพ เศรษฐกิจสังคม และสง่ิ แวดลอ้ ม
๒) มคี วามอดทน ใจกวา้ งและมคี วามเชย่ี วชาญในการจดั การเรียนรรู้ วมทัง้ การทาํ งานรว่ มกนั กับ
ผเู้ รยี นและผู้รว่ มงานทุกกลุม่
๓) มคี วามรอบรู้และมคี วามสามารถประยกุ ตค์ วามเข้าใจอนั ถ่องแทใ้ นทฤษฎีและระเบยี บวิธีการ
ศกึ ษาวจิ ัย เพื่อสร้างความรใู้ หม่
๔) มคี วามคิดรเิ ริ่มสร้างสรรคใ์ นการแก้ไขปญั หา และขอ้ โต้แยง้ โดยการแสดงออกซึ่งภาวะผ้นู ําใน
การแสวงหาทางเลือกใหมท่ เ่ี หมาะสมและปฏบิ ัติได้
๕) มคี วามสามารถในการพจิ ารณาแสวงหาและเสนอแนะแนวทางในการแก้ปญั หาทางวชิ าการ วิชาชีพ
และสงั คมอย่างมีเหตุผลท่ีสมเหตสุ มผล โดยการบรู ณาการศาสตรแ์ บบสหวทิ ยาการและพหุวทิ ยาการเพือ่
เสรมิ สรา้ งการพัฒนาทยี่ ั่งยนื
๖) มคี วามสามารถในการตดิ ตามพัฒนาการของศาสตร์ทั้งหลายและมคี วามมุ่งมั่นในการพัฒนาสมรรถนะ
ของตนอยูเ่ สมอ
45
มาตรฐานผลการเรียนรู้
ดา้ นคุณธรรม ุ จริยธรรม
๑) แสดงออกซึ่งพฤติกรรมด้านคุณธรรมจรยิ ธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพครูมีคณุ ธรรมท่ี
เสรมิ สรา้ งการพัฒนาที่ยั่งยนื มีความกลา้ หาญทางจรยิ ธรรม มีความเขา้ ใจผู้อ่นื เขา้ ใจโลก
มีจติ สาธารณะ เสียสละ และเปน็ แบบอยา่ งทด่ี ี
๒) สามารถจดั การและคิดแก้ปญั หาทางคุณธรรมจริยธรรม จรรยาบรรณวชิ าชพี ครเู ชิงสัมพทั ธ์
โดยใชด้ ลุ ยพินิจทางคา่ นิยม ความรู้สึกของผ้อู น่ื และประโยชนข์ องสังคมส่วนรวม
ดา้ นความรู้
๑) มคี วามรอบรูใ้ นด้านความรทู้ ่ัวไป วิชาชีพครแู ละวิชาทจ่ี ะสอน อย่างกวา้ งขวางลกึ ซ้งึ และ
เป็นระบบ
๒) มคี วามตระหนักรหู้ ลกั การและทฤษฎใี นองค์ความร้ทู เี่ กีย่ วข้องอย่างบูรณาการ ท้ังการบูรณา
การขา้ มศาสตรแ์ ละการบูรณาการกับโลกแหง่ ความเปน็ จริง
๓) มีความเข้าใจความก้าวหนา้ ของความรเู้ ฉพาะด้านในสาขาวิชาทจ่ี ะสอนอย่างลึกซง้ึ
ตระหนักถงึ ความสําคัญของงานวจิ ัยและการวจิ ัยในการตอ่ ยอดความรู้
๔) มคี วามสามารถในการคิดวเิ คราะห์สังเคราะห์และประเมนิ ค่าองคค์ วามรู้และสามารถ
นําไปประยกุ ต์ใชใ้ นการปฏบิ ตั งิ านวิชาชีพครอู ย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ
ดา้ นทักษะทางปญั ญา
๑) สามารถคดิ คน้ หาขอ้ เท็จจริง ทาํ ความเขา้ ใจ และประเมนิ ข้อมูลสารสนเทศและแนวคิด
จากแหล่งขอ้ มลู ทหี่ ลากหลาย เพ่อื ใช้ในการปฏบิ ัตงิ าน การวนิ จิ ฉัย แก้ปัญหา และทาํ การวิจัยเพือ่ พฒั นางาน
และพฒั นาองค์ความรู้ไดด้ ว้ ยตนเอง
๒) สามารถคิดแก้ปญั หาทมี่ คี วามสลบั ซับซ้อน เสนอทางออก และนําไปสกู่ ารแก้ไขได้อยา่ ง
สร้างสรรคโ์ ดยคํานงึ ถงึ ความรูท้ างภาคทฤษฎปี ระสบการณภ์ าคปฏบิ ตั แิ ละผลกระทบจากการตัดสนิ ใจ
๓) มคี วามเปน็ ผ้นู าํ ทางปญั ญาในการคิดพัฒนางานอย่างสรา้ งสรรค์มีวสิ ยั ทัศน์และการ
พฒั นาศาสตรท์ างครุศาสตร/์ ศกึ ษาศาสตร์รวมทั้งการพฒั นาทางวชิ าชีพอย่างมนี วตั กรรม
46
ดา้ นทกั ษะความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งบุคคลและความรับผิดชอบ
๑) มคี วามไวในการรบั รู้ความรูส้ ึกของผอู้ น่ื เข้าใจผูอ้ ่นื มมี มุ มองเชงิ บวก มวี ฒุ ภิ าวะทาง
อารมณ์และทางสงั คม
๒) มีความเอาใจใสช่ ว่ ยเหลือและเอ้ือต่อการแก้ปญั หาในกลมุ่ และระหวา่ งกล่มุ ไดอ้ ย่างสรา้ งสรรค
๓) มีภาวะผู้นาํ และผู้ตามท่ดี มี คี วามสมั พนั ธท์ ่ีดีกบั ผ้เู รยี น และมคี วามรับผดิ ชอบตอ่ สว่ นรวม
ทง้ั ดา้ นเศรษฐกจิ สังคม และสง่ิ แวดลอ้ ม
ด้านทกั ษะการวเิ คราะหเ์ ชิงตัวเลข การส่อื สาร และการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ
๑) มคี วามไวในการวเิ คราะห์ข้อมลู ขา่ วสารทงั้ ท่ีเป็นตวั เลขเชงิ สถิติหรอื คณติ ศาสตรภ์ าษาพดู
และภาษาเขยี น อนั มผี ลให้สามารถเขา้ ใจองคค์ วามรู้หรอื ประเดน็ ปญั หาไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว
๒) มคี วามสามารถในการใชด้ ลุ ยพินิจทด่ี ใี นการประมวลผล แปลความหมาย และเลอื กใช้
ขอ้ มูลสารสนเทศ โดยใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศไดอ้ ย่างสม่ำเสมอและตอ่ เนื่อง
๓) มคี วามสามารถในการสื่อสารอยา่ งมีประสิทธิภาพทงั้ การพดู การเขยี น และนําเสนอดว้ ย
รปู แบบที่เหมาะสมสำหรบั บุคคลและกลุม่ ท่มี คี วามแตกต่างกัน
ดา้ นทกั ษะการจัดการเรียนรู้
๑) มคี วามเชย่ี วชาญในการจดั การเรยี นรทู้ มี่ รี ปู แบบหลากหลาย ท้ังรปู แบบท่ีเปน็ ทางการ
(Formal) รูปแบบก่ึงทางการ (Non-formal) และรูปแบบไม่เป็นทางการ (Informal) อยา่ งสรา้ งสรรค์
๒) มคี วามเชี่ยวชาญในการจัดการเรียนรู้สำหรับผเู้ รียนทห่ี ลากหลาย ทงั้ ผเู้ รยี นทมี่ ี
ความสามารถพิเศษ ผู้เรียนทม่ี ีความสามารถปานกลาง และผเู้ รียนทมี่ คี วามตอ้ งการพิเศษอยา่ งมีนวตั กรรม
๓) มคี วามเชย่ี วชาญในการจดั การเรยี นรใู้ นวชิ าเอกท่ีจะสอนอยา่ งบูรณาการ
องคก์ รวชิ าชีพทเี่ ก่ียวข้อง ครุ สุ ภา
47
โครงสร้างหลกั สูตร
โครงสร้างของหลกั สตู ร ประกอบดว้ ยหมวดวิชาศึกษาท่ัวไป หมวดวชิ าเฉพาะด้าน (วิชาชีพครูและ
วิชาเอก) และหมวดวิชาเลือกเสรีมีจำนวนหน่วยกิตแตล่ ะหมวดและหน่วยกิตรวมทงั้ หลกั สูตรดังน้ี
๑) หมวดวิชาศึกษาทัว่ ไป ไมน่ อ้ ยกวา่ ๓๐ หนว่ ยกิต
๒) หมวดวชิ าเฉพาะด้าน ไมน่ อ้ ยกวา่ ๑๒๔ หนว่ ยกิต
ประกอบดว้ ย ๒ สว่ นคือ
๒.๑) วชิ าชพี ครู ไม่นอ้ ยกวา่ ๔๖ หนว่ ยกติ *
(โดยมีวิชาประสบการณ์ภาคสนามหรอื การปฏิบตั กิ ารสอนในวชิ าเอก ในระยะสองภาค
การศกึ ษาปกตริ วมแลว้ ไม่น้อยกวา่ ๑๒ หน่วยกิต)
๒.๒) วิชาเอก ไมน่ อ้ ยกว่า ๗๘ หน่วยกิต**
ประกอบด้วย
๒.๒.๑) วชิ าเอก แบง่ เป็น ๒ แบบ คอื
(๑) วิชาเอกเด่ยี ว ไมน่ ้อยกวา่ ๖๘ หน่วยกิต***
(๒) วิชาเอกคู่ ไมน่ ้อยกวา่ วชิ าเอกละ ๓๔ หน่วยกติ ****
๒.๒.๒) วชิ าการสอนวิชาเอก ไมน่ ้อยกวา่ ๖ หน่วยกิต
๒.๒.๓) เลอื กวชาเอกหรอื วชิ าการสอนวิชาเอกเพม่ิ เตมิ ไม่นอ้ ยกว่า ๔ หน่วยกิต
๓) หมวดวชิ าเลอื กเสรี ไม่น้อยกว่า ๖ หน่วยกิต
หน่วยกติ รวม ไมน่ อ้ ยกวา่ ๑๖๐ หน่วยกิต
48
หมายเหตุ ทงั้ นีม้ ขี ้อกาํ หนด ๔ ประการ ดังนี้
๑.* รายวชิ าในวิชาชีพครูจะตอ้ งครอบคลุมผลการเรียนรู้ไม่นอ้ ยกว่าท่คี ุรุสภากําหนดและสอนโดย
คณาจารยท์ ี่มคี วามเช่ยี วชาญทางการสอน หรือมคี ณุ วฒุ กิ ารศึกษาทางการสอนในคณะเจา้ ของวิชาน้ัน
๒.** การจดั การเรยี นการสอนวชิ าเอกเดย่ี วทีเ่ ตรียมผูจ้ ะไปเป็นครูระดับมธั ยมศึกษาตอนตน้ /ตอนปลาย:
ตอ้ งกาํ หนดให้ชดั เจนว่า นกั ศึกษาจะตอ้ งเรียนวชิ าเอกจากคณะทเี่ ปิดสอนสาขาวิชาหลกั น้นั หรอื สอนโดย
คณาจารยท์ มี่ คี ณุ วุฒิ “ปรญิ ญาเอก” หรอื ดาํ รงตาํ แหน่งไมต่ ํา่ กวา่ “รองศาสตราจารย”์ ในสาขาวิชาหลกั และมี
ผลงานวิชาการเป็นทป่ี ระจักษอ์ ยา่ งตอ่ เนอื่ งในสาขาวชิ าหลักนั้น ทั้งนเี้ พอ่ื ใหม้ กี ารเรยี นรู้เนอ้ื หาสาระทเี่ ข้มขน้
อยูใ่ นสง่ิ แวดล้อม/บรรยากาศทีม่ ลี กั ษณะและธรรมชาตทิ ีเ่ ป็นพลวตั ทาํ ให้ผ้เู รียนเกดิ การรบั รกู้ ารเปลยี่ นแปลง
ของศาสตร์ในวชิ าเอกนนั้ ไดอ้ ย่างรวดเร็ว สามารถปรับตวั เกิดจติ ใฝร่ ู้ (inquiry mind) สามารถคิดวิเคราะห์
แกป้ ญั หาติดตามความก้าวหนา้ ของศาสตรน์ ้ันได้และเกิดความคดิ สร้างสรรค์
ท้ังนี้จะต้องไมใ่ ช้งบประมาณเพอ่ื สร้างห้องปฏิบัติการและการจดั หาคณาจารยท์ ีม่ คี ุณวุฒิ “ปริญญาเอก”
หรือดาํ รงตําแหน่ง “รองศาสตราจารย์” ในสาขาวชิ าเอกดังกล่าวเพ่มิ ในคณะครุศาสตร/์ ศกึ ษาศาสตรเ์ พือ่ มิให้
เกดิ ความซํา้ ซ้อนกับคณะสาขาวิชาหลกั น้ันๆ
๓.*** ผลการเรียนรูใ้ นวชิ าเอกเดี่ยว หากมีประกาศกระทรวงศกึ ษาธิการกําหนดมาตรฐานคุณวฒุ ิใน
สาขาวิชานั้นเป็นการเฉพาะ จะต้องครอบคลุมไม่นอ้ ยกว่าร้อยละ ๘๐ ของผลการเรยี นร้ใู นหมวดวชิ าเฉพาะ
ด้าน
ของสาขาวิชาน้นั
๔.**** ผลการเรียนรู้ในวิชาเอกคแู่ ตล่ ะวิชาเอก หากมปี ระกาศกระทรวงศึกษาธกิ ารกําหนดมาตรฐาน
คุณวุฒใิ นสาขาวชิ านน้ั เปน็ การเฉพาะ จะต้องครอบคลมุ ไมน่ อ้ ยกวา่ ร้อยละ ๕๐ ของผลการเรียนร้ใู นหมวดวิชา
เฉพาะด้านของสาขาวิชาน้ัน
49
หมวดวิชาเฉพาะด้าน (วิชาชีพครู)
๘.๒.๑ ด้านคณุ ธรรมจริยธรรม
๑) คณุ ธรรมจริยธรรมสําหรบั ครูเช่น กัลยาณมิตรธรรม ๗
๒) จรรยาบรรณวชิ าชีพครูท่ีกาํ หนดโดยองค์กรวชิ าชีพ คอื ครุ สุ ภา
๘.๒.๒ ดา้ นความรู้
บรู ณาการของความร้เู กยี่ วกบั การศึกษาและวิชาชีพครูที่ครอบคลุมไม่น้อยกวา่ หัวขอ้
ตอ่ ไปนี้
๑) ความรวู้ ชิ าชีพครู (Pedagogical Knowledge)
๑.๑) หลกั การศกึ ษา ปรัชญาการศกษา ึ วิชาชพี ครูและความเปนคร ็ ู
๑.๒) จติ วิทยาพัฒนาการและจิตวิทยาการศึกษา
๑.๓) การออกแบบและพัฒนาหลักสูตร
๑.๔) การออกแบบและจัดการเรยี นรู้
๑.๕) การจดั การชัน้ เรียนและสงิ่ แวดลอ้ มเพ่อื การเรียนรู้
๑.๖) เทคโนโลยีสารสนเทศและการสอื่ สารสาํ หรบครู
๑.๗) การสร้างนวัตกรรมทางการศกึ ษา
๑.๘) การวดั และประเมินผลการศึกษา
๑.๙) การศึกษาพเิ ศษ
๑.๑๐)การวิจยั ทางการศึกษา
๑.๑๑)การบรหิ ารการศกึ ษาและกฎหมายทเ่ี กยี่ วข้อง