มมมมมมม แนวโน้มการพัฒนาหลักสูตรในศตวรรษที่ 21 จัดทำโดย นางสาวกานต์ฤดี ภูกาม รหัส 6521110010 เลขที่ 9 สาขาคณิตศาสตร์ (ค.บ.) มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา เสนอ ผศ.ดร.พัชรีภรณ์ บางเขียว
ก คำนำ รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา การพัฒนาหลักสูตร รหัสวิชา 1190201 กลุ่ม วิชาชีพ ครู หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา โดยมีจุดประสงค์ จัดทำขึ้น เพื่อ เป็นการรวบรวมและสรุปข้อมูลเกี่ยวกับแนวโน้มการพัฒนาหลักสูตรของไทยในศตวรรษที่ 21 โดยมี เนื้อหาเกี่ยวกับสภาพปัจจุบันของหลักสูตรไทย สภาพปัญหาหลักสูตรในประเทศไทย แนวโน้ม การพัฒนา หลักสูตรในศตวรรษที่ 21 มีดังนี้ หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2560 หลักสูตร แกนกลางขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560) หลักสูตรประกาศนียบัตร วิชาชีพ (ปวช.) พุทธศักราช 2562 หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) พุทธศักราช 2563 หลักสูตรปริญญาตรีสายเทคโนโลยีหรือสายปฏิบัติการ พุทธศักราช 2562 และ หลักสูตรอุดมศึกษา (ภายใต้กรอบมาตรฐานคุณวุฒิอุดมศึกษา) ทั้งนี้ ผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารายงานเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจข้อมูลเกี่ยวกับ แนวโน้มการพัฒนาหลักสูตรของไทยในศตวรรษที่ 21 หากผิดพลาดประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ด้วย ผู้จัดทำ นางสาวกานต์ฤดี ภูกาม
ข สารบัญ คํานํา ก สารบัญ ข บทที่ 1 สภาพปัจจุบันของหลักสูตรไทย 1 หลักสูตรปฐมวัย พุทธศักราช 2560 1 หลักการ 1 หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี 1 จุดมุ่งหมาย 1 คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 2 การอบรมเลี้ยงดูและการพัฒนาเด็กสาระการเรียนรู้ 2 สาระที่ควรเรียนรู้ 4 การอบรมเลี้ยงดูและการจัดประสบการณ์ 6 การประเมินพัฒนาการ 7 หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยสำหรับเด็กอายุ3 – 6 ปี 8 จุดมุ่งหมาย 8 มาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ 8 การจัดเวลาเรียน 9 การจัดประสบการณ์ 9 การประเมินพัฒนาการ 10 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 10 (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560) หลักการ 11 จุดหมาย 11 คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 11 มาตรฐานการเรียนรู้ 12 ตัวชี้วัด 12 สาระการเรียนรู้ 13 กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน 12 ระดับการศึกษา 14 การจัดเวลาเรียน 14 การจัดการเรียนรู้ 15 สื่อการเรียนรู้ 16 การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ 17 หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) พุทธศักราช 2562 19 หลักการ 19
ค จุดหมายของหลักสูตร 19 หลักเกณฑ์การใช้หลักสูตร 20 การประเมินผลการเรียน 22 หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) พุทธศักราช 2563 23 หลักการ 23 จุดหมาย 23 หลักเกณฑ์การใช้หลักสูตร 24 การฝึกประสบการณ์สมรรถนะวิชาชีพ 26 โครงสร้างพัฒนาสมรรถนะวิชาชีพ 26 การประเมินผลการเรียน 27 หลักสูตรปริญญาตรีสายเทคโนโลยีหรือสายปฏิบัติการ พุทธศักราช 2562 27 เป้าหมายการอาชีวศึกษา (มาตรา 6) 27 แนวปฏิบัติของสถานศึกษาสถาบันการอาชีวศึกษา 27 การวัดผลและประเมินผลการเรียนและการสำเร็จการศึกษา 28 หลักสูตรอุดมศึกษา (ภายใต้กรอบมาตรฐานคุณวุฒิอุดมศึกษา) 28 หลักการสำคัญ 29 ประกาศ 29 มาตรฐานการอุดมศึกษา 29 ตัวบ่งชี้ 30 เกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรระดับปริญญาตรี 31 ระบบการจัดการศึกษา 32 การคิดหน่วยกิต 32 โครงสร้างหลักสูตร 32 สรุปสภาพปัจจุบันของหลักสูตรไทย 33 บทที่ 2 สภาพปัญหาหลักสูตรในประเทศไทย 34 สภาพปัญหาของหลักสูตรปฐมวัย พุทธศักราช 2560 34 หลักสูตรแกนกลาง พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560) 35 หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) พุทธศักราช 2562 37 หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) พุทธศักราช 2563 39 หลักสูตรปริญญาตรีสายเทคโนโลยีหรือสายปฏิบัติการ พุทธศักราช 2562 40 หลักสูตรอุดมศึกษา (ภายใต้กรอบมาตรฐานคุณวุฒิอุดมศึกษา) 41 สรุปสภาพปัญหาหลักสูตรในประเทศไทย 42 บทที่ 3 แนวโน้มการพัฒนาหลักสูตรในศตวรรษที่ 21 43 หลักสูตรปฐมวัย พุทธศักราช 2560 43 หลักสูตรแกนกลาง พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560) 46 หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) พุทธศักราช 2562 47
ง หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) พุทธศักราช 2563 48 หลักสูตรปริญญาตรีสายเทคโนโลยีหรือสายปฏิบัติการ พุทธศักราช 2562 50 หลักสูตรอุดมศึกษา (ภายใต้กรอบมาตรฐานคุณวุฒิอุดมศึกษา) 51 สรุปแนวโน้มการพัฒนาหลักสูตรในศตวรรษที่ 21 52 สรุป 53 สภาพปัจจุบันของหลักสูตรไทย 53 สภาพปัญหาหลักสูตรในประเทศไทย 53 แนวโน้มการพัฒนาหลักสูตรในศตวรรษที่ 21 53 บรรณานุกรม 55
1 บทที่ 1 สภาพปัจจุบันของหลักสูตรไทย หลักสูตรปฐมวัย พุทธศักราช 2560 กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546 เพื่อให้ สถานศึกษาหรือสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยทุกสังกัดนำหลักสูตรฉบับนี้ไปใช้ โดยปรับปรุงให้เหมาะสมกับ เด็ก และสภาพท้องถิ่นตั้งแต่ปีการศึกษา 2556 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน สำนักงานคณะกรรมการ การศึกษาขั้น พื้นฐานเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงได้ติดตามและประเมินผลการใช้หลักสูตรเป็น ระยะอย่าง ต่อเนื่องพบว่าหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546 มีจุดดีหลายประการ เช่น เป็นหลักสูตรที่มี ความเป็นเอกภาพ ยืดหยุ่น มีความเป็นสากล บนพื้นฐานความเป็นไทย สถานศึกษา มีส่วนร่วมและมี บทบาทสำคัญในการพัฒนา หลักสูตรสถานศึกษาให้สอดคล้องกับบริบทความ ต้องการของตนเอง • หลักการ เด็กทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับการอบรมเลี้ยงดูและการส่งเสริมพัฒนาการตามอนุสัญญาว่าด้วย สิทธิ เด็กตลอดจนได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้อย่างเหมาะสมด้วยปฏิสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเด็ก กับพ่อแม่ เด็กกับผู้สอนเด็กกับผู้เลี้ยงดูหรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับการอบรมเลี้ยงดู การพัฒนา และให้ การศึกษาแก่เด็ก ปฐมวัยเพื่อให้เด็กมีโอกาสพัฒนาตนเองตามลำดับขั้นของพัฒนาการทุกด้านอย่าง เป็นองค์รวม มีคุณภาพ และเต็มตามศักยภาพ โดยกำหนดหลักการ ดังนี้ 1. ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาการที่ครอบคลุมเด็กปฐมวัยทุกคน 2. ยึดหลักการอบรมเลี้ยงดูและให้การศึกษาที่เน้นเด็กเป็นสำคัญ โดยคำนึงถึง ความแตกต่าง ระหว่างบุคคลและวิถีชีวิตของเด็ก ตามบริบทของชุมชน สังคม และ วัฒนธรรมไทย 3. ยึดพัฒนาการและการพัฒนาเด็กโดยองค์รวม ผ่านการเล่นอย่างมีความหมายและมี กิจกรรมที่ หลากหลายได้ลงมือกระทำในสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ เหมาะสมกับวัย และมี การพักผ่อน เพียงพอ 4. จัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้เด็กมีทักษะชีวิต และสามารถปฏิบัติตน ตามหลักปรัชญา ของ เศรษฐกิจพอเพียง เป็นคนดี มีวินัย และมีความสุข 5. สร้างความรู้ ความเข้าใจ และประสานความร่วมมือในการพัฒนาเด็ก ระหว่างสถานศึกษา กับ พ่อแม่ ครอบครัว ชุมชน และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเด็กปฐมวัย หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี • จุดมุ่งหมาย หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยสําหรับเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี มุ่งส่งเสริมพัฒนาการด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญาที่เหมาะสมกับวัย ความสามารถ ความสนใจ และความแตกต่าง ระหว่างบุคคล ดังนี้ 1. ร่างกายเจริญเติบโตตามวัย แข็งแรง และมีสุขภาพดี 2. สุภาพจิตดีและมีความสุข
2 3. มีทักษะชีวิตและสร้างปฏิสัมพันธ์กับบุคคลรอบตัว และอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข 4. มีทักษะการใช้ภาษาสื่อสารและสนใจเรียนรู้สิ่งต่างๆ • คุณลักษณะที่พึงประสงค์ หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยสําหรับเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี กําหนดคุณลักษณะที่พึงประสงค์ดังนี้ 1. พัฒนาการด้านร่างกาย 1.1 ร่างกายเจริญเติบโตตามวัยและมีสุขภาพดี 1.2 ใช้อวัยวะของร่างกายได้ประสานสัมพันธ์กัน 2. พัฒนาการด้านอารมณ์ จิตใจ 2.1 มีความสุขและแสดงออกทางอารมณ์ได้เหมาะสมกับวัย 3. พัฒนาการด้านสังคม 3.1 รับรู้และสร้างปฏิสัมพันธ์กับบุคคลและสิ่งแวดล้อม 3.2 ช่วยเหลือตนเองได้เหมาะสมกับวัย 4. พัฒนาการด้านสติปัญญา 4.1 สื่อความหมายและใช้ภาษาได้เหมาะสมกับวัย 4.2 สนใจเรียนรู้สิ่งต่างๆรอบตัว • การอบรมเลี้ยงดูและการพัฒนาเด็ก หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี แบ่งการอบรมเลี้ยงดูและการพัฒนา เด็ก ออกเป็น ๒ ช่วงอายุประกอบด้วย ช่วงอายุแรกเกิด - 2 ปีเป็นแนวปฏิบัติการอบรมเลี้ยงดูตามวิถี ชีวิตประจำวันโดยพ่อแม่และผู้เลี้ยงดู และช่วงอายุ 2 – 3 ปีเป็นแนวปฏิบัติการอบรมเลี้ยงดูและ ส่งเสริม พัฒนาการและการเรียนรู้โดยพ่อแม่และผู้เลี้ยงดู แต่ละช่วงอายุมีรายละเอียด ดังนี้ • ช่วงอายุแรกเกิด – 2 ปี แนวปฏิบัติการอบรมเลี้ยงดูตามวิถีชีวิตประจำวันโดยพ่อแม่และผู้เลี้ยงดู สำหรับเด็กช่วงอายุ แรก เกิด - 2 ปี เน้นการอบรมเลี้ยงดูตามวิถีชีวิตประจำวัน และส่งเสริมพัฒนาการทุกด้าน ได้แก่ ด้าน ร่างกาย ส่งเสริมให้เด็กได้ใช้ร่างกายตามความสามารถ ด้านอารมณ์ จิตใจ ส่งเสริมการตอบสนอง ความต้องการของ เด็ก อย่างเหมาะสม ภายใต้สภาพแวดล้อมที่อบอุ่นและปลอดภัย ด้านสังคม ส่งเสริมให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์ กับบุคคลใกล้ชิด และด้านสติปัญญา ส่งเสริมให้เด็กได้สังเกตสิ่งต่างๆ รอบตัว เพื่อสร้างความเข้าใจและใช้ ภาษาเพื่อการสื่อสาร ส่งเสริมการคิด และการแก้ปัญหาที่ เหมาะสมกับวัย การอบรมเลี้ยงดูตามวิถีชีวิตประจำวัน สำหรับเด็กช่วงอายุแรกเกิด - 2 ปี มีความสำคัญอย่าง ยิ่ง ต่อ การวางรากฐานชีวิตของเด็ก ทั้งทางร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา การจัด กิจกรรมใน แต่ละวัน ควรจัดให้สอดคล้องกับความต้องการ ความสนใจ และความสามารถตามวัยของ เด็ก โดยผ่าน การอบรมเลี้ยงดู ตามวิถีชีวิตประจำวันและการเล่นตามธรรมชาติของเด็กโดยมีแนว ปฏิบัติการอบรมเลี้ยง ดูตามวิถีชีวิตประจำวัน ดังนี้ 1. การฝึกสุขนิสัยและลักษณะนิสัยที่ดีเป็นการสร้างเสริมสุขนิสัยที่ดีในการรับประทาน อาหาร การนอน การทำความสะอาดร่างกาย การขับถ่าย ตลอดจนปลูกฝังลักษณะนิสัยที่ดีในการดูแล สุขภาพ อนามัย ความปลอดภัย และการแสดงมารยาทที่สุภาพ นุ่มนวลแบบไทย ่ิ
3 2. การเคลื่อนไหวและการทรงตัว เป็นการส่งเสริมการใช้กล้ามเนื้อแขนกับขา มือกับนิ้วมือ และ ส่วนต่างๆ ของร่างกายในการเคลื่อนไหวหรือออกกำลังกายทุกส่วน โดยการจัดให้เด็กได้ เคลื่อนไหว ทั้ง กล้ามเนื้อใหญ่ กล้ามเนื้อเล็ก และตามความสามารถของวัย เช่น คว่ำ คลาน ยืน เดิน เล่นนิ้วมือ เคลื่อนไหว ส่วนต่างๆ ของร่างกายตามเสียงดนตรี ปีนป่ายเครื่องเล่นสนามเด็กเล็ก เล่นม้า โยก ลากจูงของ เล่นมีล้อ ขี่จักรยานทรงตัวของเด็กเล็กโดยใช้เท้าช่วยไถ 3. การฝึกการประสานสัมพันธ์ระหว่างมือ – ตา เป็นการฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อมือ นิ้วมือ ตามวิถีชีวิตประจําวันและการเล่นตามธรรมชาติของเด็กโดยมีชีวิตประจําวันดังนี้ให้พร้อมที่จะ หยิบ จับฝึกการทำงานอย่างสัมพันธ์กันระหว่างมือ - ตา รวมทั้งฝึกให้เด็กรู้จักคาดคะเนหรือกะ ระยะทางของสิ่ง ต่างๆที่อยู่รอบตัวเทียบกับตนเองในลักษณะใกล้กับไกล เช่น มองตามเครื่องแขวน หรือโมบายที่มีเสียงและ สี (สำหรับขวบปีแรก ควรเป็นโมบายสีขาว ) ร้อยลูกปัดขนาดใหญ่ เล่นหยอด บล็อก รูปทรงลงกล่อง ตอก หมุด โยนรับลูกบอล เล่นน้ำ เล่นปั้นแป้ง ใช้สีเทียนแท่งใหญ่วาดเขียนขีด เขีย 4. การส่งเสริมด้านอารมณ์ จิตใจ เป็นการส่งเสริมการเลี้ยงดูในการตอบสนองความต้องการ ของเด็กด้านจิตใจ โดยการจัดสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมให้เด็กเกิดความรู้สึกอบอุ่นและมีความสุข เช่น สบตา อุ้ม โอบกอด สัมผัส การเป็นแบบอย่างที่ดีในด้านการแสดงออกทางอารมณ์ ตอบสนองต่อ ความรู้สึกที่เด็ก แสดงออกอย่างนุ่มนวล อ่อนโยน ปลูกฝังการชื่นชมธรรมชาติรอบตัว 5. การส่งเสริมทักษะทางสังคม เป็นการส่งเสริมการสร้างความสัมพันธ์กับพ่อแม่ ผู้เลี้ยงดู และ บุคคลใกล้ชิดโดยการพูดคุยหยอกล้อหรือเล่นกับเด็กเช่น เล่นจ๊ะเอ๋ เล่น เล่นโยกเยก เล่น ประกอบคำร้อง เช่น จันทร์เจ้าเอ๋ย แมงมุม ตั้งไข่ล้มหรือพาเด็กไปเดินเล่นนอกบ้านพบปะเด็กอื่นหรือ ผู้ใหญ่ภายใต้การดูแล อย่างใกล้ชิดเช่น พาไปบ้านญาติ พาไปร่วมกิจกรรมที่ศาสนสถาน 6. การใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า เป็นการกระตุ้นการรับรู้ผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้าในการ มองเห็น การได้ยินเสียง การลิ้มรส การได้กลิ่น และการสัมผัสจับต้องสิ่งต่างๆที่แตกต่างกันในด้าน ขนาด รูปร่าง สี น้ำหนัก และผิวสัมผัส เช่น การเล่นมองตนเองกับกระจกเงา การเล่นของเล่นที่มี พื้นผิวแตกต่างกัน 7. การส่งเสริมการสารวจสิ่งต่างๆรอบตัว เป็นการฝึกให้เด็กเรียนรู้สิ่งรอบตัวผ่านเหตุการณ์ และสื่อที่หลากหลายในโอกาสต่างๆ รู้จักสำรวจและทดลองสิ่งที่ไม่คุ้นเคยเช่น มองตามสิ่งของ หันหา ที่มา ของเสียง ค้นหาสิ่งของที่ปิดบ่อนจากสายตา กิจกรรมการทดลองง่ายๆ 8. การส่งเสริมทักษะทางภาษา เป็นการฝึกให้เด็กได้เปล่งเสียง เลียนเสียงพูดของผู้คน เสียง สัตว์ต่างๆ รู้จักชื่อเรียกของตนเอง ชื่ออวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย ชื่อพ่อแม่หรือผู้คนใกล้ชิดและชื่อ สิ่ง ต่างๆ รอบตัว ตลอดจนฝึกให้เด็กรู้จักสื่อความหมายด้วยคำพูดและท่าทาง ชี้ชวนและสอนให้รู้จัก ชื่อเรียก สิ่งต่างๆ จากของจริง อ่านหนังสือนิทานภาพหรือร้องเพลงง่ายๆให้เด็กฟัง 9. การส่งเสริมจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ เป็นการฝึกให้เด็กได้แสดงออกทาง ความคิด ตามจินตนาการของตนเอง เช่น ขีดเขียนวาดรูปอย่างอิสระ เล่นบล็อก เล่นของเล่น สร้างสรรค์ พูดเล่าเรื่อง ตาม จินตนาการ เล่นสมมติ
4 • ช่วงอายุ 2 - 3 ปี แนวปฏิบัติการอบรมเลี้ยงดูและส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้โดยพ่อแม่และผู้เลี้ยงดู สำหรับ เด็กช่วงอายุ 2 – 3 ปี เน้นการจัดประสบการณ์ผ่านการเล่นตามธรรมชาติที่เหมาะสมกับวัย อย่างเป็นองค์ รวม ทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา โดยจัดกิจกรรมให้ สอดคล้องกับความ ต้องการ ความสนใจ และความสามารถตามวัยของเด็ก ทั้งนี้ เด็กในช่วงวัยนี้จะมี พัฒนาการเพิ่มขึ้น มากกว่าในช่วงแรก เด็กมีการพึ่งพาตนเอง แสดงความเป็นตัวของตัวเอง จึง จำเป็นต้องคำนึงถึงสาระการ เรียนรู้ที่ประกอบด้วย ประสบการณ์สำคัญและสาระที่ควรเรียนรู้ ตลอดจนส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมเพื่อ เป็นพื้นฐานการเรียนรู้ ในระดับที่สูงขึ้นไป • สาระการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ของหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย สำหรับเด็กช่วงอายุ 2 - 3 ปี เป็นสื่อกลางใน การ จัดประสบการณ์เพื่อส่งเสริมพัฒนาการทุกด้าน ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และ สติปัญญา ซึ่ง จําเป็นต่อการพัฒนาเด็กให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ โดยอาจจัดในรูปแบบหน่วยการเรียนรู้ แบบบูรณาการ หรือเลือกใช้รูปแบบที่เหมาะสมกับเด็กปฐมวัย สาระการเรียนรู้ประกอบไปด้วย 2 ส่วน คือ ประสบการณ์ สำคัญและสาระที่ควรเรียนรู้ ดังนี้ 1. ประสบการณ์สำคัญ ประสบการณ์สำคัญเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้เด็กได้ลงมือทำด้วยตนเองเพื่อพัฒนา เด็กทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา โดยเฉพาะในระยะแรกเริ่มชีวิตและช่วง ระยะ ปฐมวัยมีความสำคัญเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นรากฐานของพัฒนาการก้าวต่อไปของชีวิตเด็กแต่ ละคน ตลอดจนเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดความสามารถ แรงจูงใจใฝ่เรียนรู้และความกระตือรือร้นใน การพัฒนา ตนเองของเด็กที่จะส่งผลต่อเนื่องจากช่วงวัยเด็กไปสู่วัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ ประสบการณ์ สำคัญจะเกี่ยวข้อง กับการจัดสภาพแวดล้อมทุกด้านที่กระตุ้นให้เด็กเกิดการเรียนรู้และมีความสามารถ ในการสร้าง ความสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆ รอบตัวในวิถีชีวิตของเด็กและในสังคมภายนอก อันจะสั่งสมเป็น ทักษะพื้นฐานที่ จำเป็นต่อการเรียนรู้และสามารถพัฒนาต่อเนื่องไปสู่ระดับที่สูงขึ้น ประสบการณ์สำคัญที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา ของเด็กนั้น พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูจำเป็นต้องสนับสนุนให้เด็กได้มีประสบการณ์ตรงด้วยการใช้ประสาท สัมผัส ทั้งห้า การเคลื่อนไหวส่วนต่างๆของร่างกาย การสร้างความรัก ความผูกพันกับคนใกล้ชิด การ ปฏิสัมพันธ์ กับผู้คนและสิ่งต่างๆรอบตัวและการรู้จักใช้ภาษาสื่อความหมาย ดังนั้น การฝึกทักษะต่างๆ ต้องให้เด็กมี ประสบการณ์สำคัญผ่านการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันและการเล่นให้เด็กเกิดการเรียนรู้ จากการเลียนแบบ ลองผิดลองถูก สำรวจ ทดลอง และลงมือกระทำจริง การปฏิสัมพันธ์กับวัตถุสิ่งของ บุคคล และธรรมชาติ รอบตัวเด็กตามบริบทของสภาพแวดล้อม จำเป็นต้องมีการจัดประสบการณ์ สำคัญแบบองค์รวมที่ยึดเด็ก เป็นสำคัญ ดังต่อไปนี้ 1.1 ประสบการณ์สำคัญที่ส่งเสริมพัฒนาการด้านร่างกาย เป็นการสนับสนุนให้เด็ก ได้มีโอกาส พัฒนาการใช้กล้ามเนื้อใหญ่ กล้ามเนื้อเล็ก การประสานสัมพันธ์ระหว่างกล้ามเนื้อและ ระบบประสาท ใน การทำกิจวัตรประจำวันหรือทำกิจกรรมต่างๆ การนอนหลับพักผ่อน การดูแล สุขภาพอนามัย และความ ปลอดภัยของตนเอง
5 ประสบการณ์สำคัญที่ควรส่งเสริม ประกอบด้วย การเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของร่างกาย ตาม จังหวะดนตรี การเล่นออกกำลังกลางแจ้งอย่างอิสระ การเคลื่อนไหวและการทรงตัว การประสาน สัมพันธ์ของกล้ามเนื้อและระบบประสาท การเล่นเครื่องเล่นสัมผัส การวาด การเขียนขีดเขี่ย การปั้น การฉีก การ ตัดปะ การดูแลรักษาความสะอาดของร่างกาย ของใช้ส่วนตัว และการรักษาความ ปลอดภัย เป็นต้น 1.2 ประสบการณ์สาคัญที่ส่งเสริมพัฒนาการด้านอารมณ์ จิตใจ เป็นการสนับสนุนให้ เด็ก ได้ แสดงออกทางอารมณ์และความรู้สึกที่เหมาะสมกับวัย มีความสุข ร่าเริง แจ่มใส ได้พัฒนา ความรู้สึกที่ดี ต่อตนเองและความเชื่อมั่นในตนเอง จากการปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน พ่อ แม่หรือผู้เลี้ยงดู เป็นบุคคลที่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการทำให้เด็กรู้สึกเป็นที่รัก อบอุ่น มั่นคง เกิด ความรู้สึกปลอดภัย ไว้วางใจ ซึ่งจะส่งผลให้เด็กเกิดความรู้สึกที่ดีต่อตนเองและเรียนรู้ที่จะสร้าง ความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น ประสบการณ์สำคัญที่ควรส่งเสริม ประกอบด้วย การรับรู้อารมณ์หรือความรู้สึกของตนเอง การ แสดงอารมณ์ที่เป็นสุข การควบคุมอารมณ์และการแสดงออก การเล่นอิสระ การเล่นบทบาท สมมติ การ ชื่นชมธรรมชาติ การเพาะปลูกอย่างง่าย การเลี้ยงสัตว์ การฟังนิทาน การร้องเพลง การ ท่องคำคล้องจอง การทำกิจกรรมศิลปะต่างๆ ตามความสนใจ เป็นต้น 1.3 ประสบการณ์สำคัญที่ส่งเสริมพัฒนาการด้านสังคม เป็นการสนับสนุนให้เด็กได้มี โอกาส ปฏิสัมพันธ์กับบุคคลและสิ่งแวดล้อมต่างๆ รอบตัวในชีวิตประจำวัน ได้ปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ และปรับตัว อยู่ในสังคม เด็กควรมีโอกาสได้เล่นและทำกิจกรรมร่วมกับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่ เด็ก วัยเดียวกันหรือต่าง วัย เพศเดียวกันหรือต่างเพศอย่างสม่ำเสมอ ประสบการณ์สําคัญควรส่งเสริม ประกอบด้วย การช่วยเหลือตนเองในกิจวัตร ประจำวันตาม วัย การเล่น อย่างอิสระ การเล่นรวมกลุ่มกับผู้อื่น การแบ่งปันหรือการให้การอดทนรอคอยตามวัย การใช้ภาษาบอก ความต้องการ การออกไปเล่นนอกบ้าน การไปสวนสาธารณะ การออกไปร่วม กิจกรรม ในศาสนสถาน เป็นต้น 1.4 ประสบการณ์สำคัญที่ส่งเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญา เป็นการสนับสนุนให้เด็ก ได้รับรู้ และเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวในชีวิตประจำวันผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้าและการเคลื่อนไหวได้ พัฒนาการใช้ ภาษาสื่อความหมายและความคิด รู้จักสังเกตคุณลักษณะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสี ขนาด รูปร่าง รูปทรง ผิวสัมผัส จา เรียกสิ่งต่างๆ รอบตัว ประสบการณ์สำคัญที่ควรส่งเสริม ประกอบด้วย การตอบคำถามจากการคิด การเชื่อมโยง จาก ประสบการณ์เดิม การเรียงลำดับเหตุการณ์ การยืดหยุ่นความคิดตามวัย การจดจ่อใส่ใจ การ สังเกต วัตถุ หรือสิ่งของที่มีสีสันและรูปทรงที่แตกต่างกัน การฟังเสียงต่างๆ รอบตัว การฟังนิทานหรือ เรื่องราวสั้นๆ การพูดบอกความต้องการ การเล่าเรื่องราว การสำรวจ และการทดลองอย่างง่ายๆ การ คิดวางแผนที่ไม่ ซับซ้อน การคิดตัดสินใจหรือคิดแก้ปัญหาในเรื่องที่ง่ายๆ ด้วยตนเอง การแสดง ความคิดสร้างสรรค์และ จินตนาการ เป็นต้น
6 2.สาระที่ควรเรียนรู้ สาระที่จะให้เด็กช่วงอายุ 2 - 3 ปี เรียนรู้ควรเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเด็กเป็นลำดับแรก แล้วจึง ขยายไปสู่เรื่องที่อยู่ใกล้ตัวเด็กเพื่อนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน เด็กควรได้รับการอบรมเลี้ยงดู และ ส่งเสริมพัฒนาการและการเรียนรู้ให้เหมาะกับวัย ดังนี้ 2.1 เรื่องราวเกี่ยวกับตัวเด็ก เด็กควรเรียนรู้เกี่ยวกับชื่อและเพศของตนเอง การ เรียกชื่อ ส่วน ต่างๆ ของใบหน้าและร่างกาย การดูแลตนเองเบื้องต้นโดยมีผู้ใหญ่ให้การช่วยเหลือ การ ล้างมือ การ ขับถ่าย การรับประทานอาหาร การถอดและสวมใส่เสื้อผ้า การรักษาความปลอดภัย และ การนอนหลับ พักผ่อน 2.2 เรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลและสถานที่แวดล้อมเด็ก เด็กควรเรียนรู้เกี่ยวกับบุคคล ภายใน ครอบครัวและบุคคลภายนอกครอบครัว การรู้จักชื่อเรียกหรือสรรพนามแทนตัวของญาติหรือ ผู้เลี้ยงดู วิธีปฏิบัติกับผู้อื่นอย่างเหมาะสม การทักทายด้วยการไหว้ การเล่นกับพี่น้องในบ้าน การไป เที่ยวตลาดและ สถานที่ต่างๆ ในชุมชน การเล่นที่สนามเด็กเล่น การเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนา วัฒนธรรม และประเพณี 2.3 ธรรมชาติรอบตัว เด็กควรเรียนรู้เกี่ยวกับการสำรวจสิ่งต่างๆในธรรมชาติรอบตัว เช่น สัตว์ พืช ดอกไม้ ใบไม้ ผ่านการใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้า การเล่นน้ำเล่นทราย การเลี้ยงสัตว์ต่างๆ ที่ไม่เป็น อันตราย การเดินเล่นในสวน การเพาะปลูกอย่างง่าย 2.4 สิ่งต่างๆ รอบตัวเด็ก เด็กควรเรียนรู้เกี่ยวกับชื่อของเล่นของใช้ที่อยู่รอบตัว การ เชื่อมโยง ลักษณะหรือคุณสมบัติอย่างง่ายๆ ของสิ่งต่างๆที่อยู่ใกล้ตัวเด็ก เช่น สี รูปร่าง รูปทรง ขนาด ผิวสัมผัส • การอบรมการเลี้ยงดูและการจัดประสบการณ์ การอบรมเลี้ยงดูและการจัดประสบการณ์ สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้ จาก ประสบการณ์ตรง ได้พัฒนาทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา สามารถจัดใน รูปของ กิจกรรม บูรณาการผ่านการเล่น การอบรมเลี้ยงดูและการจัดประสบการณ์ ควรคำนึงถึงสิ่ง สำคัญต่อไปนี้ 1. อบรมเลี้ยงดูเด็กและส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้โดยเน้นเด็กเป็นสำคัญ 2. ตระหนักและสนับสนุนสิทธิขั้นพื้นฐานที่เด็กพึงได้รับ 3. ปฏิบัติตนต่อเด็กด้วยความรัก ความเข้าใจ และใช้เหตุผล 4. ส่งเสริมพัฒนาการของเด็กอย่างสมดุลครบทุกด้าน 5. ปลูกฝังระเบียบวินัย คุณธรรม และวัฒนธรรมไทย 6. ใช้ภาษาที่เหมาะสมกับความสามารถและการเรียนรู้ของเด็ก 7. สนับสนุนการเล่นตามธรรมชาติของเด็ก 8. จัดสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและเอื้อต่อการ เรียนรู้ของเด็ก 9. ประเมินการเจริญเติบโตและพัฒนาการเด็กอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ 10. ประสานความร่วมมือระหว่างพ่อแม่ ผู้ปกครอง ผู้เลี้ยงดู สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย และ ชุมชน
7 • แนวทางการอบรมเลี้ยงดูและการจัดประสบการณ์ สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี มีแนวทางดังนี้ 1. ดูแลสุขภาพอนามัยและตอบสนองความต้องการของเด็กเป็นรายบุคคล 2. สร้างบรรยากาศของความรัก ความอบอุ่น ความไว้วางใจ และความมั่นคงทางอารมณ์ ให้กับ เด็ก ในวิถีชีวิตประจําวัน 3. จัดประสบการณ์ตรงให้เด็กได้เลือก ลงมือกระทำ และเรียนรู้จากประสาทสัมผัสทั้งห้า และ การเคลื่อนไหวผ่านการเล่น 4. จัดประสบการณ์ให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลที่แวดล้อมและสิ่งต่างๆ รอบตัวเด็กอย่าง หลากหลาย 5. จัดสภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอก วัสดุอุปกรณ์ เครื่องใช้ และของเล่นที่สะอาด หลากหลาย ปลอดภัย และเหมาะสมกับเด็ก เพื่อส่งเสริมพัฒนาการเด็กรอบด้าน รวมถึงมีพื้นที่ในการ เล่น น้ำ เล่นทราย 6. จัดหาสื่อการเรียนรู้ที่เป็นสื่อธรรมชาติ เหมาะสมกับวัยและพัฒนาการของเด็ก สื่อที่เอื้อให้ เกิด การปฏิสัมพันธ์ หลีกเลี่ยงการใช้สื่อเทคโนโลยีเป็นพี่เลี้ยงเด็ก 7. จัดรวบรวมข้อมูลและติดตามการเจริญเติบโต พัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กเป็น รายบุคคล อย่างต่อเนือง สม่ำเสมอ 8. จัดกระบวนการเรียนรู้โดยให้พ่อแม่ ครอบครัว สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย และชุมชน มีส่วน ร่วม ทั้งการวางแผน การสนับสนุนสื่อ การเข้าร่วมกิจกรรม และการประเมินพัฒนาการเด็ก • การประเมินพัฒนาการ การประเมินพัฒนาการเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี ควรประเมินให้ครอบคลุมครบทุกช่วงอายุเพราะ ช่วงวัยนี้มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว อีกทั้งมีความเสี่ยงต่อสภาพความผิดปกติต่างๆ จึงจำเป็นต้องเฝ้า ระวัง และติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด พ่อแม่ ผู้เลี้ยงดูหรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับการอบรมเลี้ยงดู ควรสังเกต พัฒนาการ เด็ก โดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล หากพบความผิดปกติ ต้องรีบพาไปพบ แพทย์หรือผู้ที่มี ความรู้ ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับพัฒนาการเด็ก เพื่อหาทางแก้ไขหรือบำบัดฟื้นฟู โดยเร็วที่สุด สำหรับหลัก ในการประเมิน พัฒนาการ มีดังนี้ 1. ประเมินพัฒนาการของเด็กครบทุกด้าน 2. ประเมินเป็นรายบุคคลอย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง 3. ประเมินด้วยวิธีการที่หลากหลาย ซึ่งวิธีการประเมินที่เหมาะสมกับเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี มี การ สังเกตพฤติกรรมของเด็กในกิจกรรมต่างๆ และกิจวัตรประจำวัน การบันทึกพฤติกรรม การ สนทนา การ สัมภาษณ์เด็กและผู้ใกล้ชิด และการวิเคราะห์ข้อมูลจากผลงานเด็ก 4. บันทึกพัฒนาการลงในสมุดบันทึกสุขภาพแม่และเด็ก (เล่มสีชมพู) และใช้คู่มือการเฝ้าระวัง และส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัย (DSPM) ของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข หรือของหน่วยงาน อื่น 5. น่าผลที่ได้จากการประเมินพัฒนาการไปพิจารณาจัดกิจกรรม เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กเรียนรู้ และ มีพัฒนาการเหมาะสมตามวัย
8 • หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยสำหรับเด็กอายุ 3 – 6 ปี หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยสําหรับเด็กอายุ 3 – 6 ปี เป็นการจัดการศึกษาในลักษณะการ อบรม เลี้ยงดูและให้การศึกษา เด็กจะได้รับการพัฒนาทางด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และ สติปัญญาตาม วัยและความสามารถของแต่ละบุคคล • จุดมุ่งหมาย หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย สําหรับเด็กอายุ 3 – 6 ปี มุ่งให้เด็กพัฒนาการตามวัยเต็มตาม ศักยภาพและมีความพร้อมในการเรียนรู้ต่อไปจึงกําหนดจุดมุ่งหมายเพื่อให้เกิดกับเด็กเมื่อจบ การศึกษา ระดับปฐมวัย ดังนี้ 1. ร่างกายเจริญเติบโตตามวัย แข็งแรง และมีสุขนิสัยที่ดี 2. สุขภาพจิตดี มีสุนทรียภาพ มีคุณธรรม จริยธรรม และจิตใจที่ดีงาม 3. มีทักษะชีวิตและปฏิบัติตนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มีวินัย และอยู่ร่วมกับ ผู้อื่น ได้ อย่างมีความสุข 4. มีทักษะการคิด การใช้ภาษาสื่อสาร และแสวงหาความรู้ได้เหมาะสมกับวัย • มาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย สำหรับเด็กอายุ 3 – 6 ปี กําหนดมาตรฐานคุณลักษณะที่พึง ประสงค์ จํานวน 12 มาตรฐานประกอบด้วย 1. พัฒนาการด้านร่างกาย ประกอบด้วย 2 มาตรฐาน คือ มาตรฐานที่ 1 ร่างกายเจริญเติบโตตามวัยและมีสุขนิสัยที่ดี มาตรฐานที่ 2 กล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อเล็กแข็งแรง ใช้ได้อย่างคล่องแคล่ว และ ประสานสัมพันธ์กัน 2. พัฒนาการด้านอารมณ์ จิตใจ ประกอบด้วย 3 มาตรฐาน คือ มาตรฐานที่ 3 มาตรฐาน มีสุขภาพจิตดีและมีความสุข มาตรฐานที่ 4 ชื่นชมและแสดงออกทางศิลปะ ดนตรี และการเคลื่อนไหว มาตรฐานที่ 5 มีคุณธรรม จริยธรรม และมีจิตใจที่ดีงาม มาตรฐานที่ 3. พัฒนาการด้านสังคม ประกอบด้วย 3 มาตรฐาน คือ มาตรฐานที่ 6 มีทักษะชีวิตและปฏิบัติตนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มาตรฐานที่ 7 รักธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม และความเป็นไทย มาตรฐานที่ 8 อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุขและปฏิบัติตนเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมใน ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 4. พัฒนาการด้านสติปัญญา ประกอบด้วย 4 มาตรฐาน คือ มาตรฐานที่ 9 ใช้ภาษาสื่อสารได้เหมาะสมกับวัย มาตรฐานที่ 10 มีความสามารถในการคิดที่เป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ มาตรฐานที่ 11 มีจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ มาตรฐานที่ 12 มีเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้ และมีความสามารถในการแสวงหาความรู้ได้ เหมาะสมกับวัย
9 • การจัดเวลาเรียน หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย สำหรับเด็กอายุ 3 – 6 ปี กำหนดกรอบโครงสร้างเวลาในการจัด ประสบการณ์ ให้กับเด็ก 2 - 3 ปีการศึกษา โดยประมาณ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับอายุของเด็กที่เริ่มเข้า สถานศึกษา หรือสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย เวลาเรียนสำหรับเด็กจะขึ้นอยู่กับสถานศึกษาแต่ละแห่ง โดยมีเวลาเรียนไม่ น้อยกว่า 350 วันต่อ 3 ปีการศึกษา ในแต่ละวันจะใช้เวลาไม่น้อยกว่า 5 ชั่วโมง โดยสามารถปรับให้ เหมาะสมตามบริบทของ สถานศึกษาและสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย • การจัดประสบการณ์ การจัดประสบการณ์ สำหรับเด็กอายุ 3 – 6 ปีเป็นการจัดกิจกรรมในลักษณะการบูรณาการ ผ่านการเล่น การลงมือกระทำจากประสบการณ์ตรงอย่างหลากหลาย เกิดความรู้ ทักษะ คุณธรรม จริยธรรม รวมทั้งเกิดการพัฒนาทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา ไม่จัดเป็น รายวิชา โดยมีหลักการ จัดประสบการณ์ แนวทางการจัดประสบการณ์ และการจัดกิจกรรมประจำวัน ดังนี้ 1. หลักการจัดประสบการณ์ 1.1 จัดประสบการณ์การเล่นและการเรียนรู้อย่างหลากหลาย เพื่อพัฒนาเด็กโดย องค์รวมอย่าง สมดุลและต่อเนื่อง 1.2 เน้นเด็กเป็นสำคัญ สนองความต้องการ ความสนใจ ความแตกต่างระหว่าง บุคคลและบริบท ของสังคมที่เด็กอาศัยอยู่ 1.3 จัดให้เด็กได้รับการพัฒนาโดยให้ความสำคัญกับกระบวนการเรียนรู้และ พัฒนาการของเด็ก 1.4 จัดการประเมินพัฒนาการให้เป็นกระบวนการอย่างต่อเนื่องและเป็นส่วนหนึ่ง ของการจัด ประสบการณ์ พร้อมทั้งนำผลการประเมินมาพัฒนาเด็กอย่างต่อเนื่อง 1.5 ให้พ่อแม่ ครอบครัว ชุมชน และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง มีส่วนร่วมในการพัฒนาเด็ก 2. แนวทางการจัดประสบการณ์ 2.1 จัดประสบการณ์ให้สอดคล้องกับจิตวิทยาพัฒนาการและการทำงานของสมองที่ เหมาะกับ อายุ วุฒิภาวะ และระดับพัฒนาการเพื่อให้เด็กทุกคนได้พัฒนาเต็มตามศักยภาพ 2.2 จัดประสบการณ์ให้สอดคล้องกับแบบการเรียนรู้ของเด็ก เด็กได้ลงมือกระทำ เรียนรู้ผ่าน ประสาทสัมผัสทั้งห้า ได้เคลื่อนไหว สำรวจ เล่น สังเกต สืบค้น ทดลอง และคิด แก้ปัญหาด้วยตนเอง 2.3 จัดประสบการณ์แบบบูรณาการโดยบูรณาการทั้งกิจกรรม ทักษะ และสาระการ เรียนรู้ 2.4 จัดประสบการณ์ให้เด็กใต้คิดริเริ่มวางแผน ตัดสินใจลงมือกระทำ และนำเสนอ ความคิด โดย ผู้สอนหรือผู้จัดประสบการณ์เป็นผู้สนับสนุนอำนวยความสะดวกและเรียนรู้ ร่วมกับเด็ก 2.5 จัดประสบการณ์ให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กอื่นกับผู้ใหญ่ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ เอื้อต่อการ เรียนรู้ในบรรยากาศที่อบอุ่น มีความสุข และเรียนรู้การทำกิจกรรมแบบร่วมมือใน ลักษณะต่างๆ กัน
10 2.6 จัดประสบการณ์ให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับสื่อและแหล่งการเรียนรู้ที่หลากหลาย และอยู่ในวิถี ชีวิตของเด็กสอดคล้องกับบริบท สังคม และวัฒนธรรมที่แวดล้อมเด็ก 2.7 จัดประสบการณ์ที่ส่งเสริมลักษณะนิสัยที่ดีและทักษะการใช้ชีวิตประจำวันตาม แนวทางหลัก ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงตลอดจนสอดแทรกคุณธรรม จริยธรรม และการ มีวินัยให้เป็นส่วนหนึ่งของ การจัดประสบการณ์การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง 2.8 จัดประสบการณ์ทั้งในลักษณะที่มีการวางแผนไว้ล่วงหน้าและแผนที่เกิดขึ้นใน สภาพจริงโดย ไม่ได้คาดการณ์ไว้ 3. การจัดกิจกรรมประจำวัน กิจกรรมสําหรับเด็กอายุ 0 - 5 ปี สามารถนำมาจัดเป็นกิจกรรมประจำวันได้หลายรูปแบบ เป็นการช่วยให้ผู้สอนหรือผู้จัดประสบการณ์ทราบว่า แต่ละวันจะทำกิจกรรมอะไร เมื่อใด และอย่างไร ทั้งนี้ การจัดกิจกรรมประจำวันสามารถจัดได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในการนำไปใช้ ของ แต่ละหน่วยงานและสภาพชุมชน ที่สำคัญผู้สอนต้องคำนึงถึงการจัดกิจกรรมให้ครอบคลุม พัฒนาการทุก ด้าน การจัดกิจกรรมประจำวัน มีหลักการจัดกิจกรรมประจำวันและขอบข่ายของ กิจกรรมประจำวัน • การประเมินพัฒนาการ การประเมินพัฒนาการเด็กอายุ 3 – 6 ปี เป็นการประเมินพัฒนาการทางด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญาของเด็ก โดยถือเป็นกระบวนการต่อเนื่องและเป็นส่วนหนึ่งของ กิจกรรมปกติที่ จัดให้เด็กในแต่ละวัน ผลที่ได้จากการสังเกตพัฒนาการเด็กต้องนำมาจัดทำสารนิทัศน์ หรือจัดทำข้อมูล หลักฐานหรือเอกสารอย่างเป็นระบบด้วยการรวบรวมผลงานสำหรับเด็กเป็น รายบุคคลที่สามารถบอก เรื่องราวหรือประสบการณ์ที่เด็กได้รับว่าเด็กเกิดการเรียนรู้และมี ความก้าวหน้าเพียงใด ทั้งนี้ ให้นำข้อมูล ผลการประเมินพัฒนาการเด็กมาพิจารณาปรับปรุงวาง แผนการจัดกิจกรรมและส่งเสริมให้เด็กแต่ละคน ได้รับการพัฒนาตามจุดหมายของหลักสูตรอย่าง ต่อเนื่อง การประเมินพัฒนาการควรยึดหลัก ดังนี้ 1. วางแผนการประเมินพัฒนาการอย่างเป็นระบบ 2. ประเมินพัฒนาการเด็กครบทุกด้าน 3. ประเมินพัฒนาการเด็กเป็นรายบุคคลอย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่องตลอดปี 4. ประเมินพัฒนาการตามสภาพจริงจากกิจกรรมประจำวัน ด้วยเครื่องมือและวิธีการที่ หลากหลาย ไม่ควรใช้แบบทดสอบ 5. สรุปผลการประเมิน จัดทำข้อมูลและนำผลการประเมินไปใช้พัฒนาเด็ก สำหรับวิธีการ ประเมิน ที่เหมาะสมและควรใช้กับเด็กอายุ 4 - 5 ปี ได้แก่ การสังเกต การบันทึก พฤติกรรม การ สนทนากับเด็ก การสัมภาษณ์ การวิเคราะห์ข้อมูลจากผลงานเด็กที่เก็บอย่างมีระบบ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2560) กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2554 ให้เป็น หลักสูตรแกนกลางของประเทศ โดยกำหนดจุดหมายและมาตรฐานการเรียนรู้ เป็นเป้าหมายและ กรอบ ทิศทางในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีขีด
11 ความสามารถในการ แข่งขันในเวทีโลก (กระทรวงศึกษาธิการ, 2544) พร้อมกันนี้ได้ปรับ กระบวนการพัฒนาหลักสูตรให้ สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติ การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2555 ที่มุ่งเน้นการกระจายอำนาจทางการศึกษาให้ท้องถิ่น และสถานศึกษาได้มีบทบาท และมีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตรเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพและ ความต้องการของท้องถิ่น • หลักการ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานมีหลักการที่สำคัญดังนี้ 1. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐาน การ เรียนรู้ เป็นเป้าหมายสำหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรม บน พื้นฐานของ ความเป็นไทยควบคู่กับความเป็นสากล 2. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชนที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่างเสมอ ภาค และมีคุณภาพ 3. เป็นหลักสูตรการศีกษาที่สนองการกระจายอานาจให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัด การศึกษา ให้ สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถิ่น 4. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่มีโครงสร้างยืดหยุ่นทั้งด้านสาระการเรียนรู้ เวลาและการจัดการ เรียนรู้ 5. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญเป็นหลักสูตรการศึกษาสำหรับการศึกษาใน ระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย สามารถเทียบโอนผลการเรียนรู้ และประสบการณ์ • จุดหมาย หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข และ ประกอบ อาชีพ จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ มีศักยภาพในการศึกษาต่อ จึงกําหนดเป็น จุดหมายเพื่อให้เกิดกับผู้เรียนเมื่อจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดังนี้ 1. เห็นคุณค่าของตนเองมีวินัยและปฏิบัติตนตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ ตน นับถือ ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 2. มีความรู้ ความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยี และมีทักษะ ชีวิต 3. มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีสุขนิสัย และรักการออกกําลังกาย 4. มีความรักชาติ มีจิตสํานึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดมั่นในวิถีชีวิตและ การ ปกครองตามระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริยท์รงเป็นประมุข 5. มีจิตสํานึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อม มีจิตสาธารณะที่มุ่งทําประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดีงามใน สังคม และอยู่ ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข • คุณลักษณะอันพึงประสงค์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อให้ สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุขในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ดังนี้ 1. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์
12 2. ซื่อสัตย์สุจริต 3. มีวินัย 4. ใฝ่เรียนรู้ 5. อยู่อย่างพอเพียง 6. มุ่งมั่นในการทํางาน 7. รักความเป็นไทย 8. มีจิตสาธารณะ • มาตรฐานการเรียนรู้ การพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความสมดุลต้องคํานึงถึงหลักพัฒนาการทางสมองและพหุปัญญา หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานจึงกําหนดให้ผู้เรียนเรียนรู้ 4 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ดังนี้ 1. ภาษาไทย 2. คณิตศาสตร์ 3. วิทยาศาสตร์ 4. สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม 5. สุขศึกษาและพลศึกษา 6. ศิลปะ 7. การงานอาชีพและเทคโนโลยี 8. ภาษาต่างประเทศ ในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ได้กําหนดมาตรฐานการเรียนรู้เป็นเป้าหมายสําคัญของการ พัฒนา คุณภาพผู้เรียน มาตรฐานการเรียนรู้ระบุสิ่งที่ผู้เรียนพึงรู้และปฏิบัติได้ มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่ พึงประสงค์ที่ต้องการให้เกิดแก่ผู้เรียนเมื่อจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน นอกจากนั้น มาตรฐานการเรียนรู้ยังเป็น กลไกสําคัญในการขับเคลื่อนพัฒนาการศึกษาทั้งระบบ เพราะมาตรฐาน การเรียนรู้จะสะท้อนให้ทราบว่า ต้องการ อะไร ต้องสอนอะไร จะสอนอย่างไร และประเมินอย่างไร รวมทั้งเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบ เพื่อการประกันคุณภาพการศึกษาโดยใช้ระบบการประเมิน คุณภาพภายในและการประเมินคุณภาพ ภายนอกซึ่งรวมถึงการทดสอบระดับเขตพื้นที่การศึกษาและ การทดสอบระดับชาติระบบการตรวจสอบ เพื่อประกันคุณภาพดังกล่าวเป็นสิ่งสําคัญ ที่ช่วยสะท้อน ภาพการจัดการศึกษาว่าสามารถพัฒนาผู้เรียนให้มี คุณภาพตามที่มาตรฐานการเรียนรู้กําหนดเพียงใด • ตัวชี้วัด ตัวชี้วัดระบุสิ่งที่ผู้เรียนพึงรู้และปฏิบัติได้รวมทั้งคุณลักษณะของผู้เรียนในแต่ละระดับชั้น ซึ่ง สะท้อนถึงมาตรฐานการเรียนรู้ มีความเฉพาะเจาะจงและมีความเป็นรูปธรรม นำไปใช้ในการกำหนด เนื้อหา จัดทำหน่วยการเรียนรู้ จัดการเรียนการสอน และเป็นเกณฑ์ สำคัญสำหรับการวัดประเมินผล เพื่อ ตรวจสอบคุณภาพผู้เรียน 1. ตัวชี้วัดชั้นปี เป็นเป้าหมายในการพัฒนาผู้เรียนแต่ละชั้นปีในระดับการศึกษาภาคบังคับ (ประถมศึกษาปีที่ 1 - มัธยมศึกษาปีที่ 3) 2. ตัวชี้วัดช่วงชั้น เป็นเป้าหมายในการพัฒนาผู้เรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (มัธยมศึกษาปีที่ ๔ - ๖)
13 • สาระการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ประกอบด้วย องค์ความรู้ ทักษะหรือกระบวนการเรียนรู้ และคุณลักษณะอัน พึง ประสงค์ซึ่งกำหนดให้ผู้เรียนทุกคนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานจำเป็นต้องเรียนรู้โดยแบ่งเป็น 4 กลุ่ม สาระการเรียนรู้ ดังนี้ คณิตศาสตร์: การนำความรู้ ทักษะและ กระบวนการทางคณิตศาสตร์ไปใช้ในการแก้ปัญหา การดำเนินชีวิตและศึกษาต่อ การมีเหตุมีผล มีเจตคติที่ดีต่อ คณิตศาสตร์ พัฒนาการคิด อย่างเป็น ระบบ และสร้างสรรค์ วิทยาศาสตร์: การนําความรู้และกระบวนการ ทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ในการศึกษา ค้นคว้าหา ความรู้และแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ การคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล คิดวิเคราะห์คิดสร้างสรรค์ และจิต วิทยาศาสตร์ ภาษาไทย : ความรู้ ทักษะ และวัฒนธรรมการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร ความชื่นชม การเห็น คุณค่า ภูมิปัญญาไทย และภูมิใจในภาษาประจำชาติ สังคมศึกษา ศาสนา และ วัฒนธรรม : การอยู่ร่วมกันในสังคมไทยและสังคมโลกอย่างสันติ สุข การเป็น พลเมืองดี ศรัทธาในหลักธรรม ของศาสนา การเห็นคุณค่าของ ทรัพยากร และ สิ่งแวดล้อม ความรักชาติ และภูมิใจในความเป็นไทย การงานอาชีพและเทคโนโลยี: ความรู้ ทักษะ และเจตคติในการทำงาน การจัดการ การ ดำรงชีวิต การประกอบอาชีพ และการใช้เทคโนโลยี สุขศึกษาและพลศึกษา : ความรู้ ทักษะและเจต คติในการ สร้างเสริมสุขภาพพลานามัย ของตนเองและผู้อื่น การป้องกันและปฏิบัติต่อสิ่งต่างๆ ที่มีผล ต่อสุขภาพอย่างถูกวิธี และทักษะในการ ดำเนินชีวิต ภาษาต่างประเทศ : ความรู้ ทักษะ เจตคติ และวัฒนธรรมการใช้ภาษาต่างประเทศในการ สื่อสาร การ แสวงหาความรู้และการประกอบอาชีพ ศิลปะ : ความรู้และทักษะในการคิดริเริ่ม จินตนาการ สร้างสรรค์ งานศิลปะ สุนทรียภาพ และการเห็น คุณค่าทางศิลปะ • กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนมุ่งให้ผู้เรียนได้พัฒนาตนเองตามศักยภาพพัฒนาอย่างรอบด้านเพื่อ ความ เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ทั้งร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และสังคม เสริมสร้างให้เป็นผู้มี ศีลธรรม จริยธรรม มีระเบียบวินัย ปลูกฝังและสร้างจิตสำนึกของการทำประโยชน์เพื่อสังคม สามารถจัดการตนเองได้และอยู่ ร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุข กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน แบ่งเป็น 3 ลักษณะดังนี้ 1. กิจกรรมแนะแนว เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมและพัฒนาผู้เรียนให้รู้จักตนเองอนุรักษ์ สิ่งแวดล้อม สามารถคิดตัดสินใจ คิดแก้ปัญหา กำหนดเป้าหมาย วางแผนชีวิตทั้งด้านการเรียน และ อาชีพสามารถปรับ ตนได้อย่างเหมาะสม นอกจากนี้ยังช่วยให้ครูรู้จักและเข้าใจผู้เรียน ทั้งยังเป็น กิจกรรมที่ช่วยเหลือและให้ คำปรึกษาแก่ผู้ปกครองในการมีส่วนร่วมพัฒนาผู้เรียน 2. กิจกรรมนักเรียน เป็นกิจกรรมที่มุ่งพัฒนาความมีระเบียบวินัยความเป็นผู้นำผู้ตามที่ดี ความรับผิดชอบ การทำงานร่วมกัน การรู้จักแก้ปัญหา การตัดสินใจที่เหมาะสม ความมีเหตุผล การ ช่วยเหลือแบ่งปันกันเอื้ออาทรและสมานฉันท์ โดยจัดให้สอดคล้องกับความสามารถ ความถนัด และ
14 ความสนใจของผู้เรียน ให้ผู้เรียนได้ปฏิบัติด้วยตนเองในทุกขั้นตอนได้แก่ การศึกษาวิเคราะห์ วางแผน ปฏิบัติตามแผน ประเมินและปรับปรุงการทำงาน เน้นการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มตามความเหมาะสม และ สอดคล้องกับวุฒิภาวะของผู้เรียน บริบทของสถานศึกษาและท้องถิ่น กิจกรรมนักเรียน ประกอบด้วย 2.1 กิจกรรมลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด ผู้บำเพ็ญประโยชน์ และนักศึกษาวิชา ทหาร 2.2 กิจกรรมชุมนุม ชมรม 3. กิจกรรมเพื่อสังคมและสาธารณประโยชน์เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนบำเพ็ญตน ให้ เป็น ประโยชน์ต่อสังคม ชุมชน และท้องถิ่นตามความสนใจในลักษณะอาสาสมัคร เพื่อแสดงถึงความ รับผิดชอบ ความดีงาม ความเสียสละต่อสังคม มีจิตสาธารณะ เช่น กิจกรรมอาสาพัฒนาต่างๆ กิจกรรมสร้างสรรค์ สังคม • ระดับการศีกษา หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน จัดระดับการศึกษาเป็น 3 ระดับ ดังนี้ 1. ระดับประถมศึกษา (ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 6 ) การศึกษาระดับนี้เป็นช่วงแรกของ การศึกษาภาคบังคับมุ่งเน้นทักษะพื้นฐาน ด้านการอ่าน การเขียน การคิดคำนวณ ทักษะการคิด พื้นฐาน การติดต่อสื่อสาร กระบวนการเรียนรู้ ทางสังคม และพื้นฐานความเป็นมนุษย์ การพัฒนา คุณภาพชีวิตอย่างสมบูรณ์และสมดุลทั้งในด้าน ร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ สังคม และวัฒนธรรม โดย เน้นจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ 2. ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1- 3 ) เป็นช่วงสุดท้ายของการศึกษาภาค บังคับมุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้สำรวจความถนัดและความสนใจของ ตนเอง ส่งเสริมการพัฒนาบุคลิกภาพ ส่วนตน มีทักษะในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ คิดสร้างสรรค์ และคิด แก้ปัญหา มีทักษะในการดำเนิน ชีวิต มีทักษะการใช้เทคโนโลยีเพื่อเป็น เครื่องมือในการเรียนรู้ มีความ รับผิดชอบต่อสังคม มีความ สมดุลทั้งด้านความรู้ ความคิด ความดีงาม และมีความภูมิใจในความเป็นไทย ตลอดจนใช้เป็นพื้นฐาน ในการประกอบอาชีพหรือการศึกษาต่อ 3. ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 – 6 ) การศึกษาระดับนี้เน้นการ เพิ่มพูนความรู้และทักษะเฉพาะด้าน สนองตอบ ความสามารถ ความ ถนัดและความสนใจของผู้เรียน แต่ละคนทั้งด้านวิชาการและวิชาชีพ มีทักษะในการใช้วิทยาการ และเทคโนโลยี ทักษะกระบวนการ คิดขั้นสูง สามารถนำความรู้ไป ประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ใน การศึกษาต่อและการประกอบอาชีพมุ่ง พัฒนาตนและประเทศตามบทบาทของตนสามารถเป็นผู้นำ และผู้ให้บริการชุมชนในด้านต่างๆ • การจัดเวลาเรียน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานได้กำหนดกรอบโครงสร้างเวลาเรียนพื้นฐานสำหรับกลุ่ม สาระการเรียนรู้ 8 กลุ่ม และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนซึ่งสถานศึกษาสามารถเพิ่มเติมได้ตามความพร้อม และ จุดเน้น โดยสามารถปรับให้เหมาะสมตามบริบทของสถานศึกษาและสภาพของผู้เรียน ดังนี้ 1. ระดับประถมศึกษา (ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 6 ) ให้จัดเวลาเรียนเป็นรายปี โดยมีเวลา เรียนวันละไม่เกิน 5 ชั่วโมง
15 2. ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 – 3 ) ให้จัดเวลาเรียนเป็นรายภาค มี เวลา เรียนวันละไม่เกิน 5 ชั่วโมง คิดน้ำหนักของรายวิชาที่เรียนเป็นหน่วยกิตใช้เกณฑ์ 40 ชั่วโมงต่อ ภาคเรียน มีค่านํ้าหนักวิชาเท่ากับ 9 หน่วยกิต (นก.) 3. ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 – 6 ) ให้จัดเวลาเรียนเป็นรายภาค มี เวลาเรียนวันละไม่น้อยกว่า 5 ชั่วโมง คิดน้ำหนักของรายวิชาที่เรียนเป็นหน่วยกิตใช้เกณฑ์ 40 ชั่วโมง ต่อ ภาคเรียนมีค่าน้ำหนักวิชาเท่ากับ หน่วยกิต (นก.) • การจัดการเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้เป็นกระบวนการสำคัญในการนำหลักสูตรสู่การปฏิบัติหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นหลักสูตรที่มีมาตรฐานการเรียนรู้ สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน และ คุณลักษณะอัน พึงประสงค์เป็นเป้าหมายสำคัญสำหรับพัฒนาเด็กและเยาวชน ผู้สอนต้องพยายามคัด สรรกระบวนการ เรียนรู้จัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มี คุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้ทั้ง 4 กลุ่มสาระเรียนรู้ รวมทั้ง ปลูกฝังเสริมสร้างคุณลักษณะอันพึงประสงค์ พัฒนาทักษะต่างๆ อันเป็น สมรรถนะสำคัญที่ต้องการให้เกิด แก่ผู้เรียน 1. หลักการจัดการเรียนรู้การจัดการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถตาม มาตรฐานการเรียนรู้ สมรรถนะสำคัญ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามที่กำหนดไว้ในหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยยึดหลักว่า ผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด เชื่อว่าทุกคนมีความสามารถ เรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ยึดประโยชน์ที่เกิดกับ ผู้เรียน กระบวนการจัดการเรียนรู้ต้องส่งเสริมให้ ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลและ พัฒนาการทางสมองเน้นให้ความสำคัญทั้งความรู้และคุณธรรม 2. กระบวนการเรียนรู้การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญผู้เรียนจะต้องอาศัย กระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลาย เป็นเครื่องมือที่จะนำพาตนเองไปสู่เป้าหมายของหลักสูตร กระบวนการเรียนรู้ที่จำเป็นสำหรับผู้เรียน อาทิ กระบวนการเรียนรู้แบบบูรณาการ กระบวนการสร้าง ความรู้ กระบวนการคิด กระบวนการทางสังคม กระบวนการเผชิญสถานการณ์และแก้ปัญหา กระบวนการเรียนรู้ จากประสบการณ์จริง กระบวนการ ปฏิบัติ ลงมือทำจริง กระบวนการจัดการ กระบวนการวิจัย กระบวนการเรียนรู้การเรียนรู้ของตนเอง กระบวนการพัฒนาลักษณะนิสัย กระบวนการเหล่านี้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนรู้ที่ผู้เรียนควรได้รับ การฝึกฝน พัฒนา เพราะจะ สามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดีบรรลุเป้าหมายของหลักสูตร ดังนั้น ผู้สอนจึงจำเป็นต้อง ศึกษาทำความเข้าใจในกระบวนการเรียนรู้ต่างๆ เพื่อให้สามารถเลือกใช้ใน การจัด กระบวนการ เรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3. การออกแบบการจัดการเรียนรู้ผู้สอนต้องศึกษาหลักสูตรสถานศึกษาให้เข้าใจถึง มาตรฐานการเรียนรู้ ชี้วัด สมรรถนะสำคัญของ ผู้เรียนคุณลักษณะอันพึงประสงค์แล้วจึงพิจารณา ออกแบบการจัดการเรียนรู้ โดยเลือกใช้วิธีสอนและ เทคนิคการสอน สื่อ/แหล่งเรียนรู้ การวัดและ ประเมินผล เพื่อให้ผู้เรียน ได้พัฒนาเต็มตามศักยภาพและ บรรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้ซึ่งเป็น เป้าหมายที่กำหนด 4. บทบาทของผู้สอนและผู้เรียน การจัดการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนมีคุณภาพตามเป้าหมาย ของหลักสูตรทั้งผู้สอนและผู้เรียนควรมี บทบาท ดังนี้
16 4.1 บทบาทของผู้สอน - ศึกษาวิเคราะห์ผู้เรียนเป็นรายบุคคลแล้วนำข้อมูลมาใช้ในการวางแผน การจัดการ เรียนรู้ ที่ท้าทายความสามารถของผู้เรียน - กำหนดเป้าหมายที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับผู้เรียน ด้านความรู้และทักษะ กระบวนการ ที่เป็น ความคิดรวบยอด หลักการและความสัมพันธ์รวมทั้งคุณลักษณะอันพึง ประสงค์ - ออกแบบการเรียนรู้และจัดการเรียนรู้ที่ตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล และพัฒนาการ ทางสมองเพื่อนำผู้เรียนไปสู่เป้าหมาย - จัดบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้และดูแลช่วยเหลือผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้ - จัดเตรียมและเลือกใช้สื่อให้เหมาะสมกับกิจกรรม นำภูมิปัญญาท้องถิ่น เทคโนโลยี ที่เหมาะสม มาประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนการสอน - ประเมินความก้าวหน้าของผู้เรียนด้วยวิธีการที่หลากหลายเหมาะสมกับธรรมชาติ ของวิชาและ ระดับพัฒนาการของผู้เรียน - วิเคราะห์ผลการประเมินมาใช้ในการซ่อมเสริมและพัฒนาผู้เรียนรวมทั้งปรับปรุง การจัดการ เรียนการสอนของตนเอง 4.2 บทบาทของผู้เรียน - กำหนดเป้าหมาย วางแผน และรับผิดชอบการเรียนรู้ของตนเอง - เสาะแสวงหาความรู้ เข้าถึงแหล่งการเรียนรู้ วิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อความรู้ ตั้งค่า ถาม คิดหา คาตอบหรือหาแนวทางแก้ปัญหาด้วยวิธีการต่างๆ - ลงมือปฏิบัติจริง สรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้ด้วยตนเอง และนำความรู้ไปประยุกต์ ใช้ใน สถานการณ์ ต่างๆ - มีปฏิสัมพันธ์ ทำงาน ทำกิจกรรมร่วมกับกลุ่มและครู - ประเมินและพัฒนากระบวนการเรียนรู้ของตนเองอย่างต่อเนื่อง • สื่อการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้เป็นเครื่องมือส่งเสริมสนับสนุนการจัดการกระบวนการเรียนรู้ให้ผู้เรียนเข้าถึง ความรู้ ทักษะกระบวนการและคุณลักษณะตามมาตรฐานการเรียนรู้ของหลักสูตรได้อย่างมี ประสิทธิภาพ สื่อการเรียนรู้มีหลากหลายประเภท ทั้งสื่อธรรมชาติ สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อเทคโนโลยี และ เครือข่ายการเรียนรู้ ต่างที่มีในท้องถิ่น การเลือกใช้สื่อควรเลือกให้มีความเหมาะสมกับระดับ พัฒนาการและลีลาการเรียนรู้ที่ หลากหลายของผู้เรียน การจัดหาสื่อการเรียนรู้ ผู้เรียนและผู้สอนสามารถจัดทำและพัฒนาขึ้นเองหรือปรับปรุง เลือกใช้ อย่างมีคุณภาพจากสื่อต่างๆที่มีอยู่รอบตัวเพื่อนำมาใช้ประกอบในการจัดการเรียนรู้ที่สามารถ ส่งเสริมและ สื่อสารให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ โดยสถานศึกษาควรจัดให้มีอย่างพอเพียงเพื่อพัฒนาให้ ผู้เรียนเกิดการ เรียนรู้อย่างแท้จริง สถานศึกษา เขตพื้นที่ การศึกษา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้มี หน้าที่จัดการศึกษาขั้น พื้นฐานควรดำเนินการ ดังนี้
17 1. จัดให้มีแหล่งการเรียนรู้ ศูนย์สื่อการเรียนรู้ ระบบสารสนเทศการเรียนรู้ และเครือข่ายการ เรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพทั้งในสถานศึกษาและในชุมชน เพื่อการศึกษาค้นคว้า และการแลกเปลี่ยน ประสบการณ์การเรียนรู้ ระหว่างสถานศึกษา ท้องถิ่น ชุมชน สังคมโลก 2. จัดทำและจัดหาสื่อการเรียนรู้สำหรับการศึกษาค้นคว้าของผู้เรียน เสริมความรู้ ให้ผู้สอน รวมทั้งจัดหาสิ่งที่มีอยู่ในท้องถิ่นมาประยุกต์ใช้เป็นสื่อการเรียนรู้ 3. เลือกและใช้สื่อการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ มีความเหมาะสม มีความหลากหลาย สอดคล้อง กับ วิธีการเรียนรู้ ธรรมชาติของสาระการเรียนรู้ และความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรียน 4. ประเมินคุณภาพของสื่อการเรียนรู้ที่เลือกใช้อย่างเป็นระบบ 5. ศึกษาค้นคว้า วิจัย เพื่อพัฒนาสื่อการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับกระบวนการเรียนรู้ ของ ผู้เรียน 6. จัดให้มีการกำกับ ติดตาม ประเมินคุณภาพและประสิทธิภาพเกี่ยวกับสื่อและการใช้ สื่อ การ เรียนรู้เป็นระยะๆ และสม่ำเสมอ ในการจัดทำ การเลือกใช้ และการประเมินคุณภาพสื่อการ เรียนรู้ที่ใช้ใน สถานศึกษา ควรคำนึงถึงหลักการสำคัญของสื่อการเรียนรู้ เช่น ความสอดคล้องกับ หลักสูตร วัตถุประสงค์ การเรียนรู้ การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ การจัดประสบการณ์ให้ผู้เรียน เนื้อหามีความถูกต้อง ทททท และทันสมัย ไม่กระทบความมั่นคงของชาติ ไม่ขัดต่อศีลธรรม มีการใช้ ภาษาที่ถูกต้อง รูปแบบ การนำา เสนอที่เข้าใจง่ายและน่าสนใจ • การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนต้องอยู่บนหลักการพื้นฐานสองประการ คือ การ ประเมินเพื่อพัฒนาผู้เรียนและเพื่อตัดสินผลการเรียนในการพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียนให้ ประสบ ผลสำเร็จนั้นผู้เรียนจะต้องได้รับการพัฒนาและประเมินตามตัวชี้วัดเพื่อให้บรรลุตามมาตรฐาน การเรียนรู้ สะท้อนสมรรถนะสำคัญ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียน ซึ่งเป็นเป้าหมายหลัก ในการวัดและ ประเมินผลการเรียนรู้ในทุกระดับไม่ว่าจะเป็นระดับชั้นเรียน ระดับสถานศึกษา ระดับ เขตพื้นที่การศึกษา และระดับชาติ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ เป็นกระบวนการพัฒนาคุณภาพ ผู้เรียน โดยใช้ผลการ ประเมินเป็นข้อมูลและสารสนเทศที่แสดง พัฒนาการ ความก้าวหน้า และ ความสำเร็จทางการเรียนของ ผู้เรียน ตลอดจนข้อมูลที่เป็น ประโยชน์ต่อการส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการ พัฒนาและเรียนรู้อย่างเต็มตาม ศักยภาพ การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ แบ่งออกเป็น 4 ระดับ ได้แก่ ระดับชั้นเรียน ระดับ สถานศึกษา ระดับเขตพื้นที่การศึกษา และระดับชาติ มีรายละเอียด ดังนี้ 1. การประเมินระดับชั้นเรียน เป็นการวัดและประเมินผลที่อยู่ในกระบวนการจัดการเรียนรู้ ผู้สอนดำเนินการ เป็นปกติและ สม่ำเสมอในการจัดการเรียนการสอน ใช้เทคนิคการประเมินอย่าง หลากหลาย เช่น การซักถาม การสังเกต การตรวจการบ้าน การประเมินโครงงาน การประเมิน ชิ้นงาน/ภาระงาน แฟ้มสะสมงาน การใช้ แบบทดสอบ ฯลฯ โดยผู้สอนเป็นผู้ประเมินเองหรือเปิด โอกาสให้ผู้เรียน ประเมินตนเอง เพื่อนประเมินเพื่อน ผู้ปกครองร่วมประเมิน การประเมินระดับชั้น เรียนเป็นการตรวจสอบว่า ผู้เรียนมี พัฒนาการความก้าวหน้า ในการเรียนรู้ อันเป็นผลมาจากการจัด กิจกรรมการเรียนการสอนหรือไม่ และมากน้อยเพียงใด มีสิ่งที่จะต้องได้รับการพัฒนาปรับปรุงและ
18 ส่งเสริมในด้านใด นอกจากนี้ยังเป็นข้อมูล ให้ผู้สอนใช้ ปรับปรุงการเรียนการสอนของตนด้วย ทั้งนี้โดย สอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด 2. การประเมินระดับสถานศึกษา เป็นการตรวจสอบผลการเรียนของผู้เรียนเป็นรายปีราย ภาคผลการประเมิน การอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียนคุณลักษณะอันพึงประสงค์ และกิจกรรมพัฒนา ผู้เรียน และเป็นการประเมินเกี่ยวกับการจัด การศึกษาของสถานศึกษา ว่าส่งผลต่อการเรียนรู้ของ ผู้เรียน ตามเป้าหมายหรือไม่ผู้เรียนมีสิ่งที่ต้องการ พัฒนาในด้านใด รวมทั้งสามารถนำผลการเรียนของ ผู้เรียนในสถานศึกษาเปรียบเทียบกับเกณฑ์ระดับชาติ และระดับเขตพื้นที่การศึกษา ผลการประเมิน ระดับสถานศึกษาจะเป็นข้อมูลและสารสนเทศ เพื่อการ ปรับปรุงนโยบาย หลักสูตร โครงการ หรือ วิธีการจัดการเรียนการสอน ตลอดจนเพื่อการจัดทําแผนพัฒนา คุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา ตามแนวทางการประกันคุณภาพการศึกษา และการรายงานผลการจัดการศึกษาต่อคณะกรรมการ สถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา สำนักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ผู้ปกครองและชุมชน 3. การประเมินระดับเขตพื้นที่การศึกษา เป็นการประเมินคุณภาพผู้เรียนในระดับเขตพื้นที่ การศึกษาตามมาตรฐาน การเรียนรู้ตาม หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อใช้เป็นข้อมูล พื้นฐานในการพัฒนา คุณภาพการศึกษาของเขต พื้นที่การศึกษา ตามภาระความรับผิดชอบ สามารถ ดำเนินการโดยประเมินคุณภาพผู้เรียนด้วยวิธีการและ เครื่องมือที่เป็นมาตรฐานที่จัดทำและ ดำเนินการ โดยเขตพื้นที่การศึกษา หรือด้วยความร่วมมือกับ หน่วยงานต้นสังกัด และหรือหน่วยงานที่ เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ยังได้จากการตรวจสอบทบทวนข้อมูลจาก การประเมินระดับสถานศึกษาในเขต พื้นที่การศึกษา 4. การประเมินระดับชาติ เป็นการประเมินคุณภาพผู้เรียนในระดับชาติตามมาตรฐานการ เรียนรู้ตามหลักสูตร แกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน สถานศึกษาต้องจัดให้ผู้เรียนทุกคนที่เรียนในชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3 ชั้นประถมศึกษา ปีที่ 5 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เข้ารับการ ประเมินผลจากการประเมินใช้เป็นข้อมูล ในการเทียบเคียงคุณภาพการศึกษาในระดับต่างๆ เพื่อ นำไปใช้ในการวางแผนยกระดับคุณภาพการจัด การศึกษา ตลอดจนเป็นข้อมูลสนับสนุนการตัดสินใจ ในระดับนโยบายของประเทศ ข้อมูลการประเมินในระดับต่างๆข้างต้น เป็นประโยชน์ต่อสถานศึกษา ในการตรวจสอบ ทบทวน พัฒนาคุณภาพผู้เรียน ถือเป็นภาระความรับผิดชอบของสถานศึกษาที่ จะต้องจัดระบบ ดูแลช่วยเหลือ ปรับปรุงแก้ไข ส่งเสริมสนับสนุนเพื่อให้ผู้เรียนได้พัฒนาเต็มตาม ศักยภาพบนพื้นฐาน ความแตกต่าง ระหว่างบุคคลที่จำแนกตามสภาพปัญหาและความต้องการ ได้แก่ กลุ่มผู้เรียนทั่วไป กลุ่มผู้เรียนที่มี ความสามารถพิเศษ กลุ่มผู้เรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ กลุ่ม ผู้เรียน ที่มีปัญหาด้านวินัยและ พฤติกรรม กลุ่มผู้เรียนที่ปฏิเสธโรงเรียน กลุ่มผู้เรียนที่มีปัญหาทาง เศรษฐกิจ และสังคม กลุ่มพิการทาง ร่างกายและสติปัญญา เป็นต้น ข้อมูลจากการประเมินจึงเป็น หัวใจ ของสถานศึกษาในการดำเนินการ ช่วยเหลือผู้เรียนได้ทันท่วงที เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้รับ การ พัฒนาและประสบความสําเร็จในการเรียน สถานศึกษาในฐานะผู้รับผิดชอบจัดการศึกษาจะต้องจัดทำระเบียบว่าด้วยการวัด และ ประเมินผล การเรียนของสถานศึกษาให้สอดคล้อง และเป็นไปตามหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติที่เป็น
19 ข้อกำหนดของ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อให้บุคลากรที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายถือปฏิบัติ ร่วมกัน หลักสูตรการอาชีวศึกษาประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) พุทธศักราช 2562 หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ พุทธศักราช 2562 เป็นหลักสูตรหลังมัธยมศึกษาตอนต้น หรือ เทียบเท่า เพื่อใช้ในการจัดการศึกษาด้านวิชาชีพระดับประกาศนียบัตร วิชาชีพ และเพื่อยกระดับ การศึกษา วิชาชีพของบุคคลให้สูงขึ้น สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ แผนการ ศึกษาแห่งชาติ เป็นไปตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ มาตรฐานการศึกษาของชาติ และกรอบคุณวุฒิ อาชีวศึกษาแห่งชาติตลอดจน ยึดโยงกับมาตรฐานอาชีพ โดยเน้นการเรียนรู้สู่ การปฏิบัติ เพื่อพัฒนา สมรรถนะกาลังคนระดับฝีมือ รวมทั้ง คุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ และกิจนิสัยที่ เหมาะสม ในการทางาน ให้สอดคล้องกับความต้องการ กําลังคนของตลาดแรงงาน ชุมชน สังคม และ ประกอบอาชีพ อิสระได้ • หลักการ 1. เป็นหลักสูตรระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพหลังมัธยมศึกษาตอนต้นหรือ เทียบเท่าด้าน วิชาชีพ ที่สอดคล้อง กับ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติแผนการศึกษาแห่งชาติ เป็นไปตาม กรอบคุณวุฒิ แห่งชาติ มาตรฐานการศึกษาของ ชาติ และกรอบคุณวุฒิอาชีวศึกษาแห่งชาติ เพื่อผลิต และพัฒนากําลังคน ระดับฝีมือให้ มีสมรรถนะ มีคุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพ สามารถประกอบอาชีพได้ตรง ตามความ ต้องการของสถานประกอบการและการประกอบอาชีพ อิสระ 2. เป็นหลักสูตรที่เปิดโอกาสให้เลือกเรียนได้อย่างกว้างขวาง เน้นสมรรถนะเฉพาะ ด้านด้วย การ ปฏิบัติจริง สามารถเลือก วิธีการเรียนตามศักยภาพและโอกาสของผู้เรียน เปิดโอกาสให้ ผู้เรียน สามารถ เทียบโอนผลการเรียน สะสมผลการเรียน เทียบโอนความรู้และประสบการณ์จากแหล่ง วิทยาการ สถาน ประกอบการ และสถานประกอบอาชีพอิสระ 3. เป็นหลักสูตรที่สนับสนุนการประสานความร่วมมือในการจัดการศึกษาร่วมกันระหว่าง หน่วยงาน และองค์กรท่ีเก่ียวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน 4. เป็นหลักสูตรที่เปิดโอกาสให้สถานศึกษา สถานประกอบการ ชุมชนและท้องถิ่น มี ส่วน ร่วมใน การพัฒนาหลักสูตรให้ ตรงตามความต้องการโดยยึดโยงกับมาตรฐานอาชีพ และสอดคล้องกับ สภาพ ยุทธศาสตร์ของ ภูมิภาคเพ่ือเพิ่มขีด ความสามารถในการแข่งขันของประเทศ • จุดหมายของหลักสูตร 1. เพื่อให้มีความรู้ ทักษะและประสบการณ์ในงานอาชีพสอดคล้องกับมาตรฐานวิชาชีพ สามารถนำไป ประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงานอาชีพได้อย่างมีประสิทธิภาพ เลือกวิถีการดำรงชีวิต และ การประกอบ อาชีพ ได้อย่างเหมาะสมกับตน สร้างสรรค์ความเจริญต่อชุมชน ท้องถิ่นและประเทศชาติ 2. เพื่อให้เป็นผู้มีปัญญา มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ใฝ่เรียนรู้ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและการ ประกอบ อาชีพ มีทักษะการสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศ ทักษะการเรียนรู้ตลอดชีวิต ทักษะการ คิด วิเคราะห์และการแก้ปัญหา ทักษะด้านสุขภาวะและความปลอดภัย ตลอดจนทักษะการจัดการ สามารถ สร้างอาชีพและพัฒนาอาชีพให้ก้าวหน้าอยู่เสมอ
20 3. เพื่อให้มีเจตคติที่ดีต่ออาชีพ มีความมั่นใจและภาคภูมิใจในวิชาชีพที่เรียน รักงาน รัก หน่วยงาน สามารถ ทำงานเป็นหมู่คณะได้ดี โดยมีความเคารพในสิทธิและหน้าที่ของตนเองและผู้อื่น 4. เพื่อให้เป็นผู้มีพฤติกรรมทางสังคมที่ดีงาม ทั้งในการทำงาน การอยู่ร่วมกัน การต่อต้าน ความรุนแรง และสารเสพติด มีความรับผิดชอบต่อครอบครัว หน่วยงาน ท้องถิ่นและประเทศชาติ ดำรงตนตามหลัก ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเข้าใจและเห็นคุณค่าของการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น มีจิตสาธารณะและจิตสำนึกในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสร้าง สิ่งแวดล้อมที่ดี 5. เพื่อให้มีบุคลิกภาพที่ดี มีมนุษยสัมพันธ์ มีคุณธรรม จริยธรรม และวินัยในตนเอง มีสุขภาพ อนามัย ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ เหมาะสมกับงานอาชีพ 6. เพื่อให้ตระหนักและมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ สังคม การเมืองของประเทศ และโลก มี ความรักชาติ สำนึกในความเป็นไทย เสียสละเพื่อส่วนรวม ดำรงรักษาไว้ซึ่งความมั่นคงของ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข • หลักเกณฑ์การใช้ 1. การเรียนการสอน 1.1 การเรียนการสอนตามหลักสูตรนี้ ผู้เรียนสามารถลงทะเบียนเรียนได้ทุกวิธีเรียน ที่กำหนด และ น้าผลการเรียนแต่ละวิธีมาประเมินผลร่วมกันได้ สามารถขอเทียบโอนผลการเรียน และขอเทียบโอน ความรู้ และประสบการณ์ได้ 1.2 การจัดการเรียนการสอนเน้นการปฏิบัติจริง สามารถจัดการเรียนการสอนได้ หลากหลาย รูปแบบ เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจในหลักการ วิธีการและการดำเนินงาน มี ทักษะการปฏิบัติงาน ตาม แบบแผนในขอบเขตสำคัญและบริบทต่าง ๆ ที่สัมพันธ์กันซึ่งส่วนใหญ่เป็น งานประจำ ให้คำแนะนำ พื้นฐาน ที่ต้องใช้ในการตัดสินใจ วางแผนและแก้ไขปัญหาโดยไม่อยู่ภายใต้ การควบคุมในบางเรื่อง สามารถประยุกต์ใช้ความรู้ ทักษะทางวิชาชีพ เทคโนโลยีสารสนเทศและการ สื่อสารในการแก้ปัญหาและการ ปฏิบัติงานในบริบทใหม่ รวมทั้งรับผิดชอบต่อตนเองและผู้อื่น ตลอดจนมีคุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณ วิชาชีพ เจตคติและกิจนิสัยที่เหมาะสมในการทำงาน 2. การจัดการคึกษาและเวลาเรียน การจัดการศึกษาในระบบปกติ ใช้ระยะเวลา 3 ปีการศึกษา การจัดเวลาเรียนให้ดำเนินการ ดังนี้ 2.1 ในปีการศึกษาหนึ่ง ๆ ให้แบ่งภาคเรียนออกเป็น 2 ภาคเรียนปกติหรือระบบ ทวิภาค ภาคเรียนละ 18 สัปดาห์ รวมเวลาการวัดผล โดยมีเวลาเรียนและจํานวนหน่วยกิตตามที่ กําหนด และ สถานศึกษา อาชีวศึกษาหรือสถาบันอาจเปิดสอนภาคเรียนฤดูร้อนได้อีกตามที่ เห็นสมควร 2.2 การเรียนในระบบชั้นเรียน ให้สถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบันเปิดทำการ สอนไม่น้อยกว่า สัปดาห์ละ 5 วัน ๆ ละไม่เกิน 7 ชั่วโมง โดยกำหนดให้จัดการเรียนการสอนคาบละ 60 นาที
21 3. การคิดหน่วยกิต ให้มีจํานวนหน่วยกิตตลอดหลักสูตร ไม่น้อยกว่า 103 - 110 หน่วยกิต การคิดหน่วยกิตถือ เกณฑ์ ดังนี้ 3.1 รายวิชาทฤษฎีที่ใช้เวลาในการบรรยายหรืออภิปราย 1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หรือ 18 ชั่วโมงต่อ ภาคเรียน รวมเวลาการวัดผล มีค่าเท่ากับ 1 หน่วยกิต 3.2 รายวิชาปฏิบัติที่ใช้เวลาในการทดลองหรือฝึกปฏิบัติในห้องปฏิบัติการ 2 ชั่วโมง ต่อสัปดาห์ หรือ 36 ชั่วโมงต่อภาคเรียน รวมเวลาการวัดผล มีค่าเท่ากับ 1 หน่วยกิต 3.3 รายวิชาปฏิบัติที่ใช้เวลาในการฝึกปฏิบัติในโรงฝึกงานหรือภาคสนาม 3 ชั่วโมง ต่อสัปดาห์ หรือ 45 ชั่วโมงต่อภาคเรียน รวมเวลาการวัดผล มีค่าเท่ากับ 1 หน่วยกิต 3.4 การฝึกอาชีพในการศึกษาระบบทวิภาคีที่ใช้เวลาไม่น้อยกว่า 45 ชั่วโมงต่อภาค เรียน รวมเวลา การวัดผล มีค่าเท่ากับ 1 หน่วยกิต 3.5 การฝึกประสบการณ์สมรรถนะวิชาชีพในสถานประกอบการที่ใช้เวลาไม่น้อยกว่า 45 ชั่วโมง ต่อภาคเรียน รวมเวลาการวัดผล มีค่าเท่ากับ 1 หน่วยกิต 3.6 การทำโครงงานพัฒนาสมรรถนะวิชาชีพที่ใช้เวลาไม่น้อยกว่า 45 ชั่วโมงต่อภาค เรียน รวม เวลา การวัดผล มีค่าเท่ากับ 1 หน่วยกิต • โครงสร้างหลักสูตร โครงสร้างของหลักสูตรแบ่งเป็น 3 หมวดวิชา และ กิจกรรมเสริม หลักสูตร ดังนี้ หมวดวิชา สมรรถนะแกนกลาง ไม่น้อยกว่า 22 หน่วยกิต 1. กลุ่มวิชาภาษาไทย 2. กลุ่มวิชาภาษาต่างประเทศ 3. กลุ่มวิชาวิทยาศาสตร์ 4. กลุ่มวิชาคณิตศาสตร์ 5. กลุ่มวิชาสังคมศึกษา 6. กลุ่มวิชาสุขศึกษาและพลศึกษา • หมวดวิชาสมรรถนะวิชาชีพ ไม่น้อยกว่า 71 หน่วยกิต 1. กลุ่มสมรรถนะวิชาชีพพื้นฐาน 2. กลุ่มสมรรถนะวิชาชีพเฉพาะ 3. กลุ่มสมรรถนะวิชาชีพเลือก 4. ฝึกประสบการณ์สมรรถนะวิชาชีพ 5. โครงงานพัฒนาสมรรถนะวิชาชีพ หมวดวิชาเลือกเสรี ไม่น้อยกว่า 71 หน่วยกิต ไม่น้อย กว่า 10 หน่วยกิต - หน่วยกิต กิจกรรมเสริมหลักสูตร (2 ชั่วโมง/สัปดาห์) 4. การฝึกประสบการณ์สมรรถนะวิชาชีพ เป็นการจัดกระบวนการเรียนรู้โดยความร่วมมือระหว่างสถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบัน กับ ภาค การผลิตและหรือภาคบริการ หลังจากที่ผู้เรียนได้เรียนรู้ภาคทฤษฎีและการฝึกหัดหรือฝึก ปฏิบัติ เบื้องต้น ในสถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบันแล้วระยะเวลาหนึ่ง ทั้งนี้ เพื่อเปิดโอกาสให้
22 ผู้เรียนได้เรียนรู้ จาก ประสบการณ์จริง ได้สัมผัสกับการปฏิบัติงานอาชีพ เครื่องมือ เครื่องจักร อุปกรณ์ที่ทันสมัย และ บรรยากาศ การทำงานร่วมกัน ส่งเสริมการฝึกทักษะ กระบวนการ คิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ ซึ่งจะช่วยให้ ผู้เรียนทำได้ คิดเป็น ทำเป็นและเกิดการใฝ่รู้อย่าง ต่อเนื่อง ตลอดจนเกิดความมั่นใจและเจต คติที่ดีในการทํางานและการประกอบอาชีพอิสระ โดยการ จัดฝึกประสบการณ์สมรรถนะวิชาชีพต้อง ดำเนินการ ดังนี้ 4.1 สถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบัน ต้องจัดให้มีการฝึกประสบการณ์สมรรถนะ วิชาชีพ ในรูป ของการฝึกงานในสถานประกอบการ แหล่งวิทยาการ รัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานของรัฐ ในภาคเรียนที่ 5 และหรือภาคเรียนที 6 โดยใช้เวลารวมไม่น้อยกว่า 320 ชั่วโมง กําหนดให้มีค่าเท่ากับ 4 หน่วยกิต กรณี สถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบันต้องการเพิ่มพูนประสบการณ์สมรรถนะวิชาชีพ สามารถนำรายวิชาที่ตรงหรือสัมพันธ์กับลักษณะงานไปเรียนหรือฝึกในสถานประกอบการ รัฐวิสาหกิจ หรือ หน่วยงานของรัฐใน ภาคเรียนที่จัดฝึกประสบการณ์สมรรถนะวิชาชีพได้ รวมไม่น้อยกว่า 1 ภาค เรียน 4.2 การตัดสินผลการเรียนและให้ระดับผลการเรียน ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับรายวิชา อื่น 5. โครงงานพัฒนาสมรรถนะวิชาชีพ เป็นรายวิชาที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้า บูรณาการความรู้ ทักษะและประสบการณ์ จาก สิ่งที่ได้เรียนรู้ ลงมือปฏิบัติด้วยตนเองตามความถนัดและความสนใจ ตั้งแต่การเลือกหัวข้อหรือ เรื่องที่จะ ศึกษา ทดลอง พัฒนาและหรือประดิษฐ์คิดค้น โดยการวางแผน กำหนดขั้นตอนกระบวนการ ดำเนินการ ประเมินผล สรุปและจัดทำรายงานเพื่อนำเสนอ ซึ่งอาจทำเป็นรายบุคคลหรือกลุ่มก็ได้ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับ ลักษณะของโครงงานนั้น ๆ โดยการจัดทำโครงงานดังกล่าวต้องดำเนินการ ดังนี้ 5.1 สถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบันต้องจัดให้ผู้เรียนจัดทำโครงงานพัฒนา สมรรถนะวิชาชีพ ที่สัมพันธ์หรือสอดคล้องกับสาขาวิชา ในภาคเรียนที่ 5 และหรือภาคเรียนที่ 6 รวม จำนวน 4 หน่วยกิต ใช้เวลาไม่น้อยกว่า 216 ชั่วโมง ทั้งนี้ สถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบันต้องจัด ให้มีชั่วโมงเรียน 4 ชั่วโมง ต่อสัปดาห์ กรณีที่กำหนดให้เรียนรายวิชาโครงงาน 4 หน่วยกิต หลักสูตร ประกาศนียบัตรวิชาชีพ พุทธศักราช 2562 หากจัดให้เรียนรายวิชาโครงงาน 2 หน่วยกิต คือ โครงงาน 1 และโครงงาน 2 ให้ สถาบันจัดให้มีชั่วโมงเรียนต่อสัปดาห์ที่เทียบเคียงกับเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้น 5.2 การตัดสินผลการเรียนและให้ระดับผลการเรียนให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับรายวิชา อื่น • การประเมินผลการเรียน เน้นการประเมินสภาพจริง ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วย การ จัดการ ศึกษาและการประเมินผลการเรียนตามหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ การสำเร็จ การศึกษา ตาม หลักสูตร 1. ได้รายวิชาและจํานวนหน่วยกิตสะสมในทุกหมวดวิชา ครบถ้วนตามที่กำหนดไว้ใน หลักสูตร แต่ละประเภทวิชาและ สาขาวิชา และตามแผนการเรียนที่สถานศึกษากำาหนด 2. ได้ค่าระดับคะแนนเฉลี่ยสะสมไม่ต่ำกว่า 2.00 3. ผ่านเกณฑ์การประเมินมาตรฐานวิชาชีพ
23 4. ได้เข้าร่วมปฏิบัติกิจกรรมเสริมหลักสูตรตามแผนการเรียนที่สถานศึกษากำหนด และ "ผ่าน "ทุก ภาคเรียน หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) พุทธศักราช 2563 หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง พุทธศักราช 2563 เป็นหลักสูตรที่พัฒนาขึ้น เพื่อใช้ ใน การจัดการศึกษาด้านวิชาชีพระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง และเพื่อยกระดับการศึกษา วิชาชีพของ บุคคลให้สูงขึ้น สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แผนการศึกษา แห่งชาติ เป็นไปตาม กรอบคุณวุฒิแห่งชาติ มาตรฐานการศึกษาของชาติ และกรอบคุณวุฒิอาชีวศึกษา แห่งชาติ ตลอดจนยึดโยง กับมาตรฐานอาชีพ โดยเน้นการเรียนรู้สู่การปฏิบัติเพื่อพัฒนาสมรรถนะ กำลังคนระดับเทคนิค รวมทั้ง คุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพและกิจนิสัยที่เหมาะสมในการ ทํางาน ให้สอดคล้องกับความ ต้องการกำลังคน ของตลาดแรงงาน ชุมชน สังคม และสามารถประกอบ อาชีพอิสระได้ โดยเปิดโอกาสให้ ผู้เรียนเลือกระบบ และวิธีการเรียนได้อย่างเหมาะสมตามศักยภาพ ตามความสนใจแลของตน ส่งเสริมให้มี การประสาน ความร่วมมือเพื่อจัดการศึกษาและพัฒนา หลักสูตรร่วมกันระหว่างสถาบัน สถานศึกษา หน่วยงาน สถานประกอบการและองค์กรต่าง ๆ ทั้งใน ระดับชุมชน ระดับท้องถิ่นและระดับชาติ • หลักการของหลักสูตร 1. เป็นหลักสูตรระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง เพื่อพัฒนากำลังคนระดับเทคนิคให้มี สมรรถนะ มีคุณธรรม จริยธรรมและจรรยาบรรณวิชาชีพ สามารถประกอบอาชีพได้ตรงตามความ ต้องการ ของ ตลาดแรงงานและการประกอบอาชีพอิสระ สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ และ แผนการศึกษาแห่งชาติ เป็นไปตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ มาตรฐานการศึกษา ของชาติ และกรอบ คุณวุฒิ อาชีวศึกษาแห่งชาติ 2. หลักสูตรที่เปิดโอกาสให้เลือกเรียนได้อย่างกว้างขวาง เน้นสมรรถนะเฉพาะด้านด้วยการ ปฏิบัติ จริง สามารถเลือกวิธีการเรียนตามศักยภาพและโอกาสของผู้เรียน เปิดโอกาสให้ผู้เรียน สามารถเทียบโอน ผลการเรียน สะสมผลการเรียน เทียบโอนความรู้และประสบการณ์จากแหล่ง วิทยาการ สถานประกอบการ และ สถานประกอบอาชีพอิสระ 3. เป็นหลักสูตรที่มุ่งเน้นให้ผู้สำเร็จการศึกษามีสมรรถนะในการประกอบอาชีพ มีความรู้เต็ม ภูมิ ปฏิบัติได้จริง มีความเป็นผู้นำและสามารถทำงานเป็นหมู่คณะได้ดี 4. เป็นหลักสูตรที่สนับสนุนการประสานความร่วมมือในการจัดการศึกษาร่วมกันระหว่าง หน่วยงานและองค์กร ที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและเอกชน 5. เป็นหลักสูตรที่เปิดโอกาสให้สถานศึกษา สถานประกอบการ ชุมชนและท้องถิ่น มีส่วนร่วม ใน การพัฒนาหลักสูตร ให้ตรงตามความต้องการและสอดคล้องกับสภาพยุทธศาสตร์ของภูมิภาค เพื่อ เพิ่มขีด ความสามารถ ในการแข่งขันของประเทศ • จุดหมายของหลักสูตร 1. เพื่อให้มีความรู้ทางทฤษฎีและเทคนิคเชิงลึกภายใต้ขอบเขตของงานอาชีพ มีทักษะด้าน เทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสารเพื่อใช้ในการดำรงชีวิตและงานอาชีพ สามารถศึกษาค้นคว้า เพิ่มเติม หรือ ศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น
24 2. เพื่อให้มีทักษะและสมรรถนะในงานอาชีพตามมาตรฐานวิชาชีพ สามารถบูรณาการความรู้ ทักษะจาก ศาสตร์ต่าง ๆ ประยุกต์ใช้ในงานอาชีพ สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี 3. เพื่อให้มีปัญญา มีความคิดสร้างสรรค์ มีความสามารถในการคิด วิเคราะห์ วางแผน บริหาร จัดการ ตัดสินใจ แก้ปัญหา ประสานงานและประเมินผลการปฏิบัติงานอาชีพ มีทักษะการเรียนรู้ แสวงหา ความรู้และแนวทางใหม่ ๆ มาพัฒนาตนเองและประยุกต์ใช้ในการสร้างงานให้สอดคล้องกับ วิชาชีพและ การพัฒนางานอาชีพอย่างต่อเนื่อง 4. เพื่อให้มีเจตคติที่ดีต่ออาชีพ มีความมั่นใจและภาคภูมิใจในงานอาชีพ รักงาน รักหน่วยงาน สามารถทำงาน เป็นหมู่คณะได้ดี มีความภาคภูมิใจในตนเองต่อการเรียนวิชาชีพ 5. เพื่อให้มีบุคลิกภาพที่ดี มีคุณธรรม จริยธรรม ซื่อสัตย์ มีวินัย มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงทั้ง ร่างกายและจิตใจ เหมาะสมกับการปฏิบัติงานในอาชีพนั้น ๆ 6. เพื่อให้เป็นผู้มีพฤติกรรมทางสังคมที่ดีงาม ต่อต้านความรุนแรงและสารเสพติด ทั้งในการ ทำงาน การอยู่ร่วมกัน มีความรับผิดชอบต่อครอบครัว องค์กร ท้องถิ่นและประเทศชาติ อุทิศตนเพื่อ สังคม เข้าใจและเห็นคุณค่า ของศิลปวัฒนธรรมไทย ภูมิปัญญาท้องถิ่น ตระหนักในปัญหาและ ความสำคัญของ สิ่งแวดล้อม 7. เพื่อให้ตระหนักและมีส่วนร่วมในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ โดย เป็น กำลังสำคัญ ในด้านการผลิตและให้บริการ 8. เพื่อให้เห็นคุณค่าและดำรงไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ปฏิบัติตนใน ฐานะ พลเมืองดี ตามระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข • หลักเกณฑ์การใช้ 1. การเรียนการสอน 1.1 การเรียนการสอนตามหลักสูตรนี้ ผู้เรียนสามารถลงทะเบียนเรียน ได้ทุกวิธีเรียน ที่กำหนด และ นำผลการเรียนแต่ละวิธีมาประเมินผลร่วมกันได้ สามารถขอเทียบโอนผลการเรียน และขอเทียบ โอนความรู้และประสบการณ์ได้ 1.2 การจัดการเรียนการสอนเน้นการปฏิบัติจริง สามารถจัดการเรียนการสอนได้ หลากหลาย รูปแบบ เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจในหลักการ วิธีการและการดำเนินงาน มี ทักษะการ ปฏิบัติงานตามแบบแผน และปรับตัวได้ภายใต้ความเปลี่ยนแปลง สามารถบูรณาการและ ประยุกต์ใช้ ความรู้และทักษะทางวิชาการที่สัมพันธ์กับวิชาชีพเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในการ ตัดสินใจ วางแผน แก้ปัญหาบริหาร จัดการ ประสานงานและประเมินผลการดำเนินงานได้ อย่าง เหมาะสม มีส่วนร่วมในการวางแผนและพัฒนา ริเริ่มสิ่งใหม่ มีความรับผิดชอบต่อตนเองผู้อื่น และหมู่ คณะ รวมทั้งมีคุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพ เจตคติและกิจนิสัยที่เหมาะสมในการ ทํางาน 2. การจัดการศึกษาและเวลาเรียน 2.1 การจัดการศึกษาในระบบปกติสำหรับผู้เข้าเรียนที่สำเร็จการศึกษาระดับ ประกาศนียบัตร วิชาชีพ (ปวช.) หรือเทียบเท่าในประเภทวิชาและสาขาวิชาตามที่หลักสูตรกำหนด ใช้ ระยะเวลา 2 ปี การศึกษา ส่วนผู้เข้าเรียนที่สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า และผู้เข้าเรียน ที่สำเร็จการศึกษา ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) หรือเทียบเท่าต่างประเภท
25 วิชาและสาขาวิชา ที่กำหนด ใช้ระยะเวลา ไม่น้อยกว่า 2 ปีการศึกษา และเป็นไปตามเงื่อนไขที่ หลักสูตรกำหนด 2.2 การจัดเวลาเรียนให้ดำเนินการ ดังนี้ 2.2.1 ในปีการศึกษาหนึ่ง ๆ ให้แบ่งภาคเรียนออกเป็น 2 ภาคเรียนปกติ หรือระบบทวิภาค ภาคเรียนละ 18 สัปดาห์ รวมเวลาการวัดผล โดยมีเวลาเรียนและจำนวน หน่วยกิตตามที่กำหนด และสถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบันอาจเปิดสอนภาคเรียนฤดู ร้อนได้อีกตามที่เห็นสมควร 2.2.2 การเรียนในระบบชั้นเรียน ให้สถานศึกษาอาชีวศีกษาหรือสถาบัน เปิดทําการสอนไม่น้อย กว่า สัปดาห์ละ 5 วัน ๆ ละไม่เกิน 7 ชั่วโมง โดยกำหนดให้จัดการ เรียนการสอนคาบละ 60 นาที 3. การคิดหน่วยกิต ให้มีจำนวนหน่วยกิต ตลอดหลักสูตร ไม่น้อยกว่า 83 - 90 หน่วยกิต การคิดหน่วยกิต ถือเกณฑ์ ดังนี้ 3.1 รายวิชาทฤษฎีที่ใช้เวลาในการบรรยายหรืออภิปราย 1 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ หรือ 18 ชั่วโมงต่อ ภาคเรียน รวมเวลาการวัดผล มีค่าเท่ากับ 1 หน่วยกิต 3.2 รายวิชาปฏิบัติที่ใช้เวลาในการทดลองหรือฝึกปฏิบัติในห้องปฏิบัติการ 2 ชั่วโมง ต่อสัปดาห์ หรือ 36 ชั่วโมงต่อภาคเรียน รวมเวลาการวัดผล มีค่าเท่ากับ หน่วยกิต 3.3 รายวิชาปฏิบัติที่ใช้เวลาในการฝึกปฏิบัติในโรงฝึกงานหรือภาคสนาม 3 ชั่วโมง ต่อสัปดาห์ หรือ 54 ชั่วโมงต่อภาคเรียน รวมเวลาการวัดผล มีค่าเท่ากับ หน่วยกิต 3.4 การฝึกอาชีพในการศึกษาระบบทวิภาคี ที่ใช้เวลาไม่น้อยกว่า 54 ชั่วโมงต่อ ภาค เรียน รวม เวลาการวัดผล มีค่าเท่ากับ หน่วยกิต 3.5 การฝึกประสบการณ์สมรรถนะวิชาชีพในสถาน ประกอบการ ที่ ใช้เวลาไม่ น้อยกว่า 54 ชั่วโมงต่อภาคเรียน รวมเวลาการวัดผล มีค่าเท่ากับ 1 หน่วย กิต ทําโครงงานพัฒนาสมรรถนะวิชาชีพที่ใช้เวลาไม่น้อยกว่า 54 ชั่วโมงต่อ ภาคเรียน รวมเวลาการ วัดผล มีค่าเท่ากับ 1 หน่วยกิต 4.โครงสร้างหลักสูตร โครงสร้างของหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง พุทธศักราช 2563 แบ่งเป็น 3 หมวดวิชา และ กิจกรรมเสริมหลักสูตร ดังนี้ 4.1 หมวดวิชาสมรรถนะแกนกลาง ไม่น้อยกว่า 21 หน่วยกิต 4.1.1 กลุ่มวิชาภาษาไทย 4.1.2 กลุ่มวิชาภาษาต่างประเทศ 4.1.3 กลุ่มวิชาวิทยาศาสตร์ 4.1.4 กลุ่มวิชาคณิตศาสตร์ 4.1.5 กลุ่มวิชาสังคมศาสตร์ 4.1.6 กลุ่มวิชามนุษยศาสตร์ 4.2 หมวดวิชาสมรรถนะวิชาชีพ ไม่น้อยกว่า 56 หน่วยกิต 4.2.1 กลุ่มสมรรถนะวิชาชีพพื้นฐาน 4.2.2 กลุ่มสมรรถนะวิชาชีพเฉพาะ 4.2.3 กลุ่มสมรรถนะวิชาชีพเลือก
26 4.2.4 ฝึกประสบการณ์สมรรถนะวิชาชีพ 4.2.5 โครงงานพัฒนาสมรรถนะวิชาชีพ 4.3 หมวดวิชาเลือกเสรี ไม่น้อยกว่า 6 หน่วยกิต 4.4 กิจกรรมเสริมหลักสูตร (2 ชั่วโมง/สัปดาห์) - หน่วยกิต • การฝึกประสบการณ์สมรรถนะวิชาชีพ เป็นการจัดกระบวนการเรียนรู้ โดยความร่วมมือระหว่างสถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบัน กับ ภาคการผลิต และหรือภาคบริการ หลังจากที่ผู้เรียนได้เรียนรู้ภาคทฤษฎีและการฝึกหัดหรือฝึก ปฏิบัติ เบื้องต้นในสถานศึกษา อาชีวศึกษาหรือสถาบันแล้วระยะเวลาหนึ่ง ทั้งนี้ เพื่อเปิดโอกาสให้ ผู้เรียนได้เรียนรู้ จากประสบการณ์จริง ได้สัมผัสกับการปฏิบัติงานอาชีพ เครื่องมือ เครื่องจักร อุปกรณ์ ที่ทันสมัย และ บรรยากาศการทำงานร่วมกัน ส่งเสริมการฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การ เผชิญสถานการณ์ ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนทำได้ คิดเป็น ทำเป็นและเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง ตลอดจน เกิดความมั่นใจและเจต คติที่ดีในการทำงานและการประกอบ อาชีพอิสระ โดยการจัดฝึก ประสบการณ์สมรรถนะวิชาชีพต้อง ดำเนินการ ดังนี้ 5.1 สถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบันต้องจัดให้มีการฝึกประสบการณ์สมรรถนะ วิชาชีพ ในรูป ของ การฝึกงานในสถานประกอบการ แหล่งวิทยาการ รัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานของ รัฐ ในภาคเรียนที่ 3 และหรือ ภาคเรียนที่ 4 โดยใช้เวลารวมไม่น้อยกว่า 320 ชั่วโมง กำหนดให้มีค่า เท่ากับ 4 หน่วยกิต กรณี สถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบันต้องการเพิ่มพูนประสบการณ์สมรรถนะ วิชาชีพ สามารถนำรายวิชาที่ ตรงหรือสัมพันธ์กับลักษณะงานไปเรียนหรือฝึกในสถานประกอบการ รัฐวิสาหกิจหรือ หน่วยงานของรัฐใน ภาคเรียนที่จัดฝึกประสบการณ์สมรรถนะวิชาชีพได้ รวมไม่น้อย กว่า 1 ภาคเรียน 5.2 การตัดสินผลการเรียนและให้ระดับผลการเรียน ให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับรายวิชา อื่น • โครงงานพัฒนาสมรรถนะวิชาชีพ เป็นรายวิชาที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้า บูรณาการความรู้ ทักษะและประสบการณ์ จากสิ่งที่ได้เรียนรู้ ลงมือปฏิบัติด้วยตนเองตามความถนัดและความสนใจ ตั้งแต่การเลือกหัวข้อหรือ เรื่อง ที่ จะศึกษา ทดลอง พัฒนาและหรือประดิษฐ์คิดค้น โดยการวางแผน กำาหนดขั้นตอน กระบวนการ ดำเนินการ ประเมินผล สรุปและจัดทำรายงานเพื่อนำเสนอ ซึ่งอาจทำเป็นรายบุคคล หรือกลุ่มก็ได้ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับ ลักษณะของโครงงานนั้น ๆ โดยการจัดทำโครงงานพัฒนาสมรรถนะ วิชาชีพดังกล่าวต้อง ดำเนินการ ดังนี้ 6.1 สถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบันต้องจัดให้ผู้เรียนจัดทำโครงงานพัฒนา สมรรถนะวิชาชีพ ที่สัมพันธ์หรือสอดคล้องกับสาขาวิชา ในภาคเรียนที 3 และหรือภาคเรียนที 4 รวม จํานวน 4 หน่วยกิต ใช้ เวลา ไม่น้อยกว่า 216 ชั่วโมง ทั้งนี้ สถานศึกษาอาชีวศึกษาหรือสถาบันต้องจัด ให้มีชั่วโมงเรียน 4 ชั่วโมง ต่อสัปดาห์ กรณีที่กําหนดให้เรียนรายวิชาโครงงาน 4 หน่วยกิต หากจัดให้ เรียนรายวิชาโครงงาน 2 หน่วย กิต คือ โครงงาน 1 และโครงงาน 2 ให้สถานศึกษา อาชีวศีกษาหรือ สถาบันจัดให้มีชั่วโมงเรียนต่อสัปดาห์ ที่เทียบเคียงกับเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้น
27 6.2 การตัดสินผลการเรียนและให้ระดับผลการเรียนให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับรายวิชา อื่น • การประเมินผลการเรียน การประเมินผลการเรียน เน้นการประเมินสภาพจริง ทั้งนี้ ให้เป็นไปตามระเบียบ กระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการจัดการศึกษา และการประเมินผลการเรียนตามหลักสูตร ประกาศนียบัตรวชชีพชั้นสูง การประเมินผลการเรียน เน้นการประเมินสภาพจริง ทั้งนี้ ให้เป็นไปตาม ระเบียบ หลักสูตรปริญญาตรีสายเทคโนโลยีหรือสายปฏิบัติการ • เป้าหมายการอาชีวศีกษา (มาตรา 6 ) พระราชบัญญัติการอาชีวศึกษา พ.ศ. 2561มาตรา 6 และมาตรา 9 กําหนดให้การจัดการ อาชีวศึกษาและการฝึกอบรมวิชาชีพ ต้องจัดตามหลักสูตรที่คณะกรรมการการอาชีวศึกษากำหนด ให้ สอดคล้องกับ • แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 พ.ศ. 2560 – 2564 • แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2560 – 2579 • กรอบคุณวุฒิแห่งชาติ ฉบับปรับปรุง • มาตรฐานการศึกษาของชาติ พ.ศ. 2561 • กรอบคุณวุฒิอาชีวศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2562 - เกณฑ์มาตรฐานคุณวุฒิอาชีวศึกษาระดับปริญญาตรี สายเทคโนโลยีหรือสายปฏิบัติการ พ.ศ. 2562 การจัดการอาชีวศึกษาและการฝึกอบรมวิชาชีพต้องเป็นการจัดการศึกษาในด้าน วิชาชีพที่ สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและแผนการศึกษาแห่งชาติ เพื่อผลิต และ พัฒนา กำลังคนในด้านวิชาชีพระดับฝีมือ ระดับเทคนิค และระดับเทคโนโลยี รวมทั้งเป็นการ ยกระดับการศึกษา วิชาชีพให้สูงขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน โดยนำ ความรู้ ในทางทฤษฎีอันเป็น สากลแลภูมิปัญญาไทยมา พัฒนาผู้รับการศึกษาให้มีความรู้ ความสามารถในทาง ปฏิบัติและมีสมรรถนะ จนสามารถนำไปประกอบลักษณะผู้ปฏิบัติหรือประกอ อาชีพโดยอิสระได้ หลักเกณฑ์การใช้หลักสูตร การ นำหลักสูตรไปใช้ถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะส่งผล ให้การจัดการศึกษาเป็นไป อย่างมีคุณภาพและบรรลุผล ตาม และหลักการของหลักสูตรมีแนวปฏิบัติ ดังนี้ • แนวปฏิบัติของสถานศึกษาสถาบันการอาชีวศึกษา 1. วางแผนการเปิดสอนหลักสูตร โดยจัดประชุมครูในสถานศึกษาหรือ คณาจารย์ ใน สถาบัน การ อาชีวศึกษาเพื่อชี้แจง รายละเอียดเกี่ยวกับหลักสูตร รูปแบบการจัด การศึกษาและ ระเบียบต่างๆ ที่ เกี่ยวข้องกันรวมทั้งจัดประชาสัมพันธ์เพื่อ แนะแนวทางการศึกษาและการประกอบ อาชีพแก่ผู้เรียน ผู้ปกครองและผู้สนใจ
28 2.จัดเตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาเพื่อให้ผู้สอนและผู้รับผิดชอบ งานที่ เกี่ยวข้อง ได้ศึกษาค้นคว้าและใช้เป็น แนวทางในการปฏิบัติงานได้แก่ เอกสารหลักสูตร ระเบียบ ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เอกสารแนะนำการใช้หลักสูตร และเอกสาร โครงสร้างหลักสูตร โครงสร้างหลักสูตร เป็นขั้นตอนที่ผู้พัฒนา หลักสูตรต้องตัดสินใจว่าสมรรถนะที่ ต้องการให้เกิดขึ้นกับผู้สำเร็จการศึกษา ตามที่ ได้วิเคราะห์ สังเคราะห์ มาเป็นสมรรถนะประจำ สาขาวิชา หรือ มาตรฐานการศีกษาวิชาชีพ เพื่อมากำหนดเป็นโครงสร้างคุณภาพของผู้สำเร็จการศึกษาทุกประเภทวิชาและสาขาวิชาต้องมี คุณภาพอย่างน้อย 4 ด้าน ได้แก่ 1. ด้านคุณธรรมจริยธรรมและคุณลักษณะที่พึงประสงค์ 2. ด้านความรู้ 3. ด้านทักษะ 4. ด้านความสามารถในการประยุกต์ใช้และความรับผิดชอบ • การวัดผลและประเมินผลการเรียนและสําเร็จการศีกษา การวัดและประเมินผลการเรียนรูทำให้ผู้สอนได้รับข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการและ ผลสัมฤทธิ์ ใน การเรียนรู้ของ ผู้เรียน เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนเป็น รายบุคคล หรือรายกลุ่ม ดังนั้นผู้สอนจึง ควรดำเนินการวัดและประเมินผลตามสภาพจริง ด้วยวิธีการ ที่หลากหลาย ครอบคลุมจุดประสงค์การเรียนรูที่ต้องการ ให้ เกิดขึ้นกับผู้เรียนด้านความรู้ ทักษะและ พฤติกรรม ลักษณะ นิสัยที่พึงประสงค์ รวมทั้งตองสอดคลองกับสาระและกิจกรรม การเรียนรู้ในแต่ละ หน่วยการเรียนรู้ด้วย ทั้งนี้โดยเป็นไปตามระเบียบการวัดผลประเมินผลของหลักสูตร นอกจากนี้ควร เปิดโอกาสให้ผู้เรียนและ ผู้ปกครองได้มีส่วนร่วมในการวัดผล ประเมินผลเพื่อรับทราบ ผลสําเร็จของ การเรียนรู้ด้วย หลักสูตรอุดมศึกษา (ภายใต้กรอบมาตรฐานคุณวุฒิอุดมศึกษา) การจัดการศึกษาในระดับอุดมศึกษาของประเทศไทย จัดการศึกษาภายใต้การกำกับดูแลของ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) กระทรวงศึกษาธิการ โดยมีมาตรฐานการอุดมศึกษา เป็น กลไกในการกำาหนดนโยบายของสถาบันอุดมศึกษา เพื่อนำไปสู่การพัฒนาการอุดมศึกษา ประกอบด้วย 1. มาตรฐานด้านคุณภาพบัณฑิต 2. มาตรฐานด้านการบริหารจัดการการอุดมศึกษา 3. มาตรฐานด้านการ สร้างและพัฒนาสังคมฐานความรู้และสังคมแห่งการเรียนรู้ กรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ เน้นการจัดการศึกษาที่ผลการเรียนรู้ (Learning Outcomes) ของนักศึกษาอย่างน้อย 5 ด้าน ได้แก่ 1. ด้านคุณธรรม จริยธรรม 2. ด้านความรู้ 3. ด้านทักษะทางปัญญา 4. ด้านทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ 5) ด้านทักษะการวิเคราะห์ เชิงตัวเลข
29 • หลักการหลักการสำคัญของกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติดังนี้ 1. เป็นเครื่องมือในการนำแนวนโยบายการพัฒนาคุณภาพและมาตรฐาน การจัดการ ศึกษา ตามที่ กําหนดใน พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติฯ ในส่วนที่เกี่ยวกับมาตรฐานการอุดมศึกษาและการ ประกันคุณภาพ การศึกษาสู่การปฏิบัติใน สถาบันอุดมศึกษาอย่างเป็นรูปธรรม 2. มุ่งเน้นที่ผลการเรียนรู้ (Learning Outcomes) 5 ด้าน ซึ่งเป็นมาตรฐานขั้นต่ำเชิง คุณภาพ เพื่อประกันคุณภาพบัณฑิต 3. มุ่งประมวลกฎเกณฑ์และประกาศต่างๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องหลักสูตรและการจัดการเรียน การ สอนเข้าไว้ด้วยกันและ เชื่อมโยงให้เป็นเรื่องเดียวกัน 4. เป็นเครื่องมือการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพในการสร้างความเข้าใจและความมั่นใจใน กลุ่มผู้ ที่ เกี่ยวข้องมีส่วนได้ส่วนเสีย เช่น นักศึกษา ผู้ปกครอง ผู้ประกอบการ ชุมชน สังคมและสถาบัน อื่นๆ ทั้งใน และต่างประเทศเกี่ยวกับคุณลักษณะของ บัณฑิตที่คาดว่าจะพึงมี 5. มุ่งให้คุณวุฒิหรือปริญญาของสถาบันใดๆของประเทศไทย เป็นที่ยอมรับและ เทียบเคียง กันได้ กับสถาบันอุดมศึกษา ที่ดีทั้งใน และต่างประเทศ โดยเปิดโอกาสให้สถาบันอุดมศึกษา สามารถ จัด หลักสูตรตลอดจนกระบวนการเรียนการ สอนได้อย่างหลากหลาย โดยมั่นใจถึงคุณภาพ ของ บัณฑิตซึ่งจะมี มาตรฐานผลการเรียนรู้ ตามที่มุ่งหวัง สามารถ ประกอบอาชีพได้อย่างมีความสุข และ ภาคภูมิใจเป็นที่พึง พอใจของนายจ้าง 6. ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต • ประกาศ ตามที่พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 25555 มาตรา 34 กำหนดให้คณะกรรมการการอุดมศึกษา จัดทำมาตรฐานการอุดมศึกษาที่สอดคล้อง กับ ความ ต้องการตามแผนพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสอดคล้องกับมาตรฐานการศึกษา ของชาติ โดย คํานึงถึงความเป็นอิสระและความเป็นเลิศทางวิชาการของสถาบันอุดมศึกษา คณะกรรมการการ อุดมศึกษาจึงได้ดำเนินการจัดทำมาตรฐานการ อุดมศึกษาเพื่อใช้เป็น กลไกระดับ กระทรวง ระดับ คณะกรรมการการอุดมศึกษา และระดับหน่วยงานเพื่อนำไปสู่การกำหนด นโยบาย ของสถาบันอุดมศึกษา ในการพัฒนาการอุดมศึกษาต่อไป อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 6 แห่ง พระราชบัญญัติระเบียบ บริหารราชการ กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546 รัฐมนตรีว่าการกระทรวง ศึกษาธิการโดยคำแนะนำของ คณะกรรมการการอุดมศึกษาในคราวประชุม ครั้งที่ 7/2559 เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2559 จึงประกาศ มาตรฐาน การอุดมศึกษาไว้ดังต่อไปนี้ • มาตรฐานการอุดมศึกษา มาตรฐานการอุดมศึกษาประกอบด้วย มาตรฐาน 3 ด้าน 12 ตัวบ่งชี้ ดังนี้ 1. มาตรฐานด้านคุณภาพบัณฑิต บัณฑิตระดับอุดมศึกษาเป็นผู้มีความรู้ มีคุณธรรม จริยธรรม มี ความสามารถในการ เรียนรู้ และพัฒนาตนเอง สามารถประยุกต์ใช้ความรู้ เพื่อการ ดำรงชีวิตในสังคมได้ อย่างมีความสุขทั้ง ทางร่างกายและจิตใจ มีความ สำนึกและความรับผิดชอบใน ฐานะพลเมืองและพลโลก
30 1.1 บัณฑิตมีความรู้ ความเชี่ยวชาญในศาสตร์ของตน สามารถเรียนรู้ สร้างและ ประยุกต์ใช้ ความรู้เพื่อพัฒนาตนเอง สามารถปฏิบัติงานและ สร้างงานเพื่อพัฒนาสังคมให้สามารถ แข่งขันได้ในระดับ สากลรับผิดชอบ โดยยึดหลักคุณธรรม จริยธรรม 1.2 บัณฑิตมีจิตสำนึก ดำรงชีวิต และปฏิบัติหน้าที่ตามความรับผิดชอบบัณฑิตมี สุขภาพดีทั้ง ด้านร่างกายและจิตใจ มีการดูแลเอาใจใส่ รักษาสุขภาพของตนเองอย่างถูกต้อง เหมาะสม 1.3 มาตรฐานด้านการบริหารจัดการการอุดมศึกษามีการบริหารจัดการการ อุดมศึกษาตามหลัก ธรรมาภิบาล และพันธกิจของการอุดมศึกษาอย่างมีดุลยภาพ ก. มาตรฐานด้าน ธรรมาภิบาลของการ บริหารการอุดมศึกษามีการบริหารจัดการการ อุดมศึกษาตามหลักธรรมาภิบาล โดยคำนึงถึงความ หลากหลายและความเป็นอิสระทางวิชาการ • ตัวบ่งชี้ 1. มีการบริหารจัดการบุคลากรที่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล มีความยืดหยุ่น สอดคล้อง กับ ความ ต้องการที่หลากหลายของประเภทสถาบัน และสังคมเพื่อเพิ่มศักยภาพในการปฏิบัติงาน อย่าง มี อิสระทางวิชาการ 2. มีการบริหารจัดการทรัพยากรและเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสารที่มี ประสิทธิภาพ และ ประสิทธิผล คล่องตัว โปร่งใสและ ตรวจสอบได้ มีการจัดการศึกษาผ่านระบบและวิธีการ ต่างๆ อย่าง เหมาะสมและคุ้มค่าคุ้มทุน 3. มีระบบการประกันคุณภาพเพื่อนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพ และมาตรฐานการ อุดมศึกษา อย่าง ต่อเนื่อง ข. มาตรฐานด้านพันธกิจของการบริหารการอุดมศึกษา การดำเนินงานตามพันธกิจของ การ อุดมศึกษาทั้ง 4 ด้าน อย่างมี ดุลยภาพ โดยมีการประสานความร่วมมือรวมพลังจากทุกภาคส่วน ของ ชุมชน และ สังคมในการจัดการความรู้ • ตัวบ่งชี้ 1. มีหลักสูตรและการเรียน การสอนที่ทันสมัย ยืดหยุ่น สอดคล้องกับความ ต้องการที่ หลากหลาย ของประเภทสถาบันและสังคม โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน แบบ ผู้เรียนเป็นสำคัญ เน้น การเรียนรู้และการสร้างงานด้วยตนเองตามสภาพจริง ใช้การวิจัยเป็นฐาน มี การประเมิน และใช้ผล การประเมินเพื่อพัฒนาผู้เรียน และการบริหารจัดการ หลักสูตร ตลอดจนมี การบริหารกิจการนิสิต นักศึกษาที่เหมาะสม สอดคล้อง กับหลักสูตรและการเรียน 2. มีการวิจัยเพื่อสร้างและประยุกต์ใช้องค์ความรู้ใหม่ที่เป็น การขยายพรมแดนความรู้ และ ทรัพย์สินทางปัญญาที่เชื่อมโยงกับสภาพ เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อมตาม ศักยภาพ ของ ประเภทสถาบัน มีการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างสถาบันอุดมศึกษาทั้งในและ ต่างประเทศ เพื่อ พัฒนาความสามารถในการแข่งขันได้ในระดับนานาชาติของสังคมและ ประเทศชาติ 3. มีการให้บริการวิชาการที่ทันสมัย เหมาะสม สอดคล้องกับความ ต้องการของสังคม ตาม ระดับ ความเชี่ยวชาญของประเภทสถาบัน มีการประสาน ความร่วมมือระหว่างสถาบันอุดมศึกษา กับ ภาคธุรกิจ อุตสาหกรรมทั้งในและ ต่างประเทศ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งและความยั่งยืนของ สังคมและ ประเทศชาติ
31 4. มีการอนุรักษ์ ฟื้นฟู สืบสาน พัฒนา เผยแพร่ วัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อ เสริมสร้าง ความรู้ ความเข้าใจและความภาคภูมิใจในความเป็นไทย มีการปรับใช้ศิลปะ วัฒนธรรม ต่างประเทศ อย่าง เหมาะสม เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาสังคมและประเทศชาติ 5. การเรียนรู้ มาตรฐานด้านการสร้างและพัฒนาสังคมฐานความรู้ และสังคมแห่งการ แสวงหา การสร้างและการจัดการความรู้ตามแนวทาง/หลักการ • ตัวบ่งชี้ เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นและเทศ เพื่อเสริมสร้างสังคมฐานความรู้อันนำไปสู่สังคมฐานความรู้ และ สังคมแห่งการเรียนรู้ • มีการแสวงหา การสร้าง และการใช้ประโยชน์ความรู้ ทั้งส่วนที่ - มีการบริหารจัดการความรู้อย่างเป็นระบบ โดยใช้หลักการ วิจัยแบบบูรณาการ หลักการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ หลักการสร้างเครือข่าย และหลักการประสานความร่วมมือรวมพลังอัน นำไปสู่ สังคมแห่งการเรียนรู้ • เกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรระดับปริญญาตรี โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรระดับ อนุปริญญาที่ใช้ในปัจจุบันให้มี ความเหมาะสมยิ่งขึ้น เพื่อประโยชน์ในการรักษา มาตรฐานวิชาการและวิชาชีพ เพื่อเป็น ส่วนหนึ่งของ เกณฑ์การรับรองวิทยฐานะ และมาตรฐานการศึกษา และเพื่อให้การบริหารงานด้าน วิชาการดำเนิน ไป อย่างมีประสิทธิภาพ ฉะนั้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติ ระเบียบ บริหาร ราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546 รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงศึกษาธิการ จึงให้ ออก ประกาศ กระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง "เกณฑ์ มาตรฐานหลักสูตรระดับอนุปริญญา พ.ศ. 2558” ดังต่อไปนี้ 1. ประกาศกระทรวงศึกษาธิการนี้เรียกว่า "เกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรระดับ อนุปริญญา พ.ศ. 2558 2. ให้ใช้ประกาศกระทรวงนี้สำหรับหลักสูตรระดับอนุปริญญาทุก สาขาวิชาที่มี ระยะเวลา การศึกษา 6 ภาคการศึกษาปกติ (3 ปี) ตามระบบ ทวิภาค หรือหลักสูตรที่เทียบเท่าทุก สาขาวิชา สำหรับ หลักสูตรที่จะเปิดใหม่และ หลักสูตรเก่าเพื่อปรับปรุงใหม่ของสถาบันอุดมศึกษาของ รัฐและ เอกชน และ ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป 3. ให้ยกเลิกประกาศทบวงมหาวิทยาลัย เรื่อง “เกณฑ์มาตรฐานหลักสูตร อนุปริญญา พ.ศ. 2532 ลงวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2532 4. ปรัชญาและวัตถุประสงค์ของหลักสูตร มุ่งให้มีความสัมพันธ์สอดคล้อง กับ แผนพัฒนา การศึกษาระดับอุดมศึกษาของชาติ ปรัชญาของการอุดมศึกษา ปรัชญาของ สถาบันอุดมศึกษาและ มาตรฐานวิชาการและวิชาชีพของสาขาวิชา นั้นๆ โดยมุ่งเน้นการผลิตบุคลากร ให้มีความ รอบรู้ ทั้ง ภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติในสาขาวิชาที่มีความจำเป็น สามารถนำความรู้ไป ประยุกต์ใช้ได้อย่าง เหมาะสม และสอดคล้องกับความต้องการของสังคม รวมทั้งให้เป็นผู้มีคุณธรรม และจริยธรรม ระบบ การจัด การศึกษา ใช้ระบบทวิภาค โดย 1 ปีการศึกษาแบ่งออกเป็น 2 ภาคการศึกษาปกติ 1 ภาค การศึกษาปกติ มีระยะเวลาศึกษา ไม่น้อยกว่า 15 สัปดาห์ สถาบันอุดมศึกษาที่เปิดการศึกษาภาคฤดู
32 ร้อน ให้กําหนด ระยะเวลาและจํานวนหน่วยกิตโดยมีสัดส่วนเทียบเคียงกันได้กับการศึกษา ภาคปกติ สถาบันอุดมศึกษาที่ จัดการศึกษาในระบบไตรภาค หรือระบบ จตุรภาค ให้ถือแนวทางดังนี้ • ระบบการจัดการศีกษา ใช้ระบบทวิภาค โดย 1 ปีการศึกษาแบ่งออกเป็น 2 ภาคการศึกษาปกติ 1 ภาค การศีกษาปกติมี ระยะเวลาศึกษา ไม่น้อยกว่า 15 สัปดาห์ สถาบันอุดมศึกษาที่เปิดการศีกษาภาคฤดู ร้อน ให้กําหนด ระยะเวลาและจํานวนหน่วยกิตโดยมีสัดส่วนเทียบเคียงกันได้กับการศึกษา ภาคปกติ สถาบันอุดมศึกษาที่ จัดการศึกษาในระบบไตรภาค หรือระบบ จตุรภาค ให้ถือแนวทางดังนี้ ระบบไตรภาค 1 ปีการศึกษาแบ่งออกเป็น 3 ภาคการศึกษาปกติ 1 ภาคการศึกษาปกติ มี ระยะเวลา ศึกษาไม่น้อยกว่า 12 สัปดาห์ ระบบจตุรภาค 1 ปีการศึกษาแบ่งออกเป็น 4 ภาคการศึกษาปกติ 1 ภาคการศึกษาปกติ มี ระยะเวลา ศึกษาไม่น้อยกว่า 10 สัปดาห์ สถาบันอุดมศึกษาที่จัดการศึกษาระบบอื่น ให้แสดงรายละเอียดเกี่ยวกับระบบการศึกษานั้น รวมทั้ง รายละเอียดการเทียบเคียงหน่วยกิตกับระบบทวิภาคไว้ในหลักสูตรให้ชัดเจนด้วย • การคิดหน่วยกิต 1. รายวิชาภาคทฤษฎี ที่ใช้เวลาบรรยาย หรืออภิปรายปัญหา ไม่น้อยกว่า 15 ชั่วโมงต่อ ภาค การศึกษาปกติ ให้มีค่าเท่ากับ 1 หน่วยกิต ระบบทวิภาค 2. รายวิชาภาคปฏิบัติ ทีใช้เวลาฝึกหรือทดลองไม่น้อยกว่า 30 ชั่วโมงต่อภาคการศึกษา ปกติ ให้มี ค่า เท่ากับ 1 หน่วยกิต ระบบทวิภาค 3. การฝึกงานหรือการฝึกภาคสนาม ที่ใช้เวลาฝึกไม่น้อยกว่า 45 ชั่วโมงต่อภาคการศึกษา ปกติ ให้มีค่าเท่ากับ 3หน่วยก็ตระบบทวิภาค 4. การทำโครงงานหรือกิจกรรมการเรียนอื่นใดตามที่ได้รับ มอบหมายที่ใช้เวลาทำ โครงงาน หรือ กิจกรรมนั้นๆ ไม่น้อยกว่า 45 ชั่วโมงต่อ ภาคการศึกษาปกติ ให้มีค่าเท่ากับ 1หน่วยกิต ระบบ ทวิภาค 5. จํานวนหน่วยกิตรวมและระยะเวลาการศึกษา ให้มีจํานวนหน่วยกิต รวมไม่น้อยกว่า 90 หน่วย กิต ใช้เวลาศึกษาไม่เกิน 6 ปีการศึกษา สําหรับการลงทะเบียนเรียนเต็มเวลาและไม่เกิน 4 ปี การศึกษา สําหรับการลงทะเบียนเรียน ไม่เต็มเวลาทั้งนี้ ให้นับเวลาศึกษาจากวันที่เปิดภาคการศึกษา แรกที่รับเข้า ศึกษาในหลักสูตรนั้น • โครงสร้างหลักสูตร ประกอบด้วยหมวดวิชาศึกษาทั่วไป หมวดวิชาเฉพาะ และหมวดวิชาเลือกเสรี โดยมี สัดส่วน จํานวนหน่วยกิต ของแต่ละหมวดวิชา ดังนี้ 1. หมวดวิชาศึกษาทั่วไป หมายถึง วิชาที่มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีความรอบรู้อย่าง กว้างขวาง มี โลก ทัศน์ที่กว้างไกล มีความเข้าใจธรรมชาติ ตนเอง ผู้อื่น และสังคม เป็นผู้ใฝ่รู้ สามารถคิดอย่างมี เหตุผล สามารถใช้ภาษาในการติดต่อ สื่อความหมายได้ดี มีคุณธรรม ตระหนักในคุณค่าของ ศิลปวัฒนธรรมทั้ง ของ ไทยและของประชาคมนานาชาติ สามารถนำความรู้ไปใช้ในการดำเนินชีวิต และดำรงตนอยู่ในสังคม ได้เป็นอย่างดีสถาบันอุดมศึกษาอาจจัดวิชาศึกษาทั่วไปในลักษณะจำแนกเป็น รายวิชาหรือลักษณะบูรณา การใดๆ ก็ได้ โดยผสมผสานเนื้อหาวิชาที่ครอบคลุม สาระของกลุ่มวิชา
33 สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ ภาษา และกลุ่มวิชาวิทยาศาสตร์ กับคณิตศาสตร์ ในสัดส่วนที่เหมาะสม เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของวิชาศึกษา ทั่วไป โดยให้มีจำนวนหน่วยกิตรวมไม่น้อยกว่า 30 หน่วยกิต 2. หมวดวิชาเฉพาะ หมายถึง วิชาแกน วิชาเฉพาะด้านวิชาพื้นฐานวิชาชีพและ วิชาชีพ ที่มุ่ง หมายให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจและปฏิบัติงานได้โดยให้มีจำนวนหน่วยกิตรวมไม่น้อย กว่า 45 หน่วย 43 กิต หากจัด หมวดวิชาเฉพาะในลักษณะวิชาเอกและวิชาโท วิชาเอกต้องมีจํานวนหน่วย กิต ไม่น้อยกว่า 30 หน่วยกิต และวิชาโทต้องมีจำนวนหน่วยกิตไม่น้อยกว่า 15 หน่วยกิต 3. หมวดวิชาเลือกเสรี หมายถึง วิชาที่มุ่งให้ผู้เรียนมีความรู้ ความ เข้าใจ ตามที่ ตนเองถนัด หรือ สนใจ โดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเลือกเรียนรายวิชา ใดๆ ในหลักสูตรระดับอนุปริญญา ตามที่ สถาบันอุดมศึกษากำหนด และให้ มีจำนวนหน่วยกิตรวมไม่น้อยกว่า 3 หน่วยกิต สถาบันอุดมศึกษา อาจ ยกเว้นหรือเทียบโอนหน่วยกิต รายวิชา ในหมวดวิชาศึกษาทั่วไป หมวดวิชา เฉพาะ และหมวด วิชาเลือก เสรี ให้กับ นักศึกษาที่มีความรู้ความสามารถที่สามารถวัดมาตรฐานได้ ทั้งนี้ นักศึกษาต้อง ศึกษาให้ครบ ตามจำนวนหน่วยกิตที่กำหนดไว้ในเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตร และ เป็นไปตาม หลักเกณฑ์การเทียบโอนผล การเรียนระดับปริญญาเข้าสู่การศึกษา ในระบบและแนวปฏิบัติ ทีดี เกี่ยวกับการเทียบโอน ของสํานักงาน คณะกรรมการ การอุดมศึกษา สรุปสภาพปัจจุบันของหลักสูตรไทย หลักสูตรของไทย มีการกำหนดหลักสูตร จุดหมาย หลักการ มาตรฐานการเรียนรู้ สาระการ เรียนรู้ โครงสร้างเวลาเรียน แนวทางการจัดการเรียนการสอน การวัดและประเมินผล เพื่อให้ การศึกษา ช่วยพัฒนาชีวิตของคนในแนวทางที่พึงประสงค์ มีการจัดการศึกษาตามบริบทของการจัด การศึกษาอันเป็นแผนการศีกษาของชาติ คือ พัฒนาคน พัฒนาครูอาจารย์ พัฒนาสังคม ในหลากหลาย รูปแบบที่เน้น การมีส่วนร่วมขององค์กรภาครัฐและเอกชน เป็นการจัดการศึกษาที่เน้นด้านอาชีวศึกษา มากขึ้น การมุ่งเน้นให้มีการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานและ ระดับปริญญาตรีเพื่อเน้นการมีงานทำโดน อาศัยปัจจัยหลักใน องค์กรหลักจากภายนอกหลายปัจจัย เช่น ปัจจัย ด้านเทคโนโลยี ด้านเศรษฐกิจ ด้านระบบราชการ ด้าน การเมืองการปกครอง ด้านคุณธรรมจริยธรรมเป็นต้น ระบบการศึกษาที่มี ประสิทธิภาพต้องมีเนื้อหาสาระ และกระบวนการเรียนการสอนที่ สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ มี หลักการที่ดี และจำเป็นต้องอาศัยการ บริหารที่กระจายอำนาจให้ผู้ที่มี ส่วนเกี่ยวข้องและชุมชนได้เข้า มามีส่วนร่วมให้มากที่สุด
34 บทที่ 2 สภาพปัญหาหลักสูตรในประเทศไทย หลักสูตรปฐมวัย พุทธศักราช 2560 1. การเรียนการสอนจะเน้นสอนเนื้อหาวิชาตามหลักสูตรมากกว่าการพัฒนาการเด็กทำให้เด็ก เกิด ความเครียด 2. การขาดความรู้ความเข้าใจของผู้ปกครองในการส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย เนื่องจากผู้ปกครองส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการส่งเสริพัฒนาการที่สำคัญ ตามช่วงวัย ของเด็ก จึงมีความคาดหวังที่ต้องการให้เด็กอ่านออกเขียนได้ จึงส่งลูกเข้าเรียนในโรงเรียน ที่มีระบบการ สอนแบบ “เร่งเรียนเขียนอ่าน” นอกจากนี้การใช้สื่อเทคโนโลยีในการเลี้ยงดูเด็ก เช่น ไอแพด โทรศัพท์มือถือ หรือโทรทัศน์ ก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้เด็กมีความบกพร่องในการเรียนรู้มาก ยิ่งขึ้น 3. การขาดความรู้ความเข้าใจ ที่ถูกต้อง ในการจัดการศึกษาปฐมวัยของครูผู้บริหารและ สถานศึกษาการขาดแคลนความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการส่งเสริม พัฒนาการด้าน สติปัญญา ที่เหมาะสมกับวัย จึงทำให้ครูเน้นให้เด็กอ่านเขียนมากกว่าวัย และเน้นการสอนที่มีลักษณะ ให้เด็กท่องจำ มากกว่าทักษะด้านการคิด การตัดสินใจ ในขณะที่ผู้บริหารสถานศึกษาบางส่วน บริหารงานเพื่อชื่อเสียงของ โรงเรียนจึงเตรียมความพร้อมของเด็ก เพื่อการสอบแข่งขันมากกว่า การศึกษาเพื่อพัฒนาศักยภาพของเด็ก รวมถึงปัญหาสถานศึกษาไม่สามารถจัดการศึกษาที่มีคุณภาพ อย่างเท่าเทียมและทั่วถึง จึงทำให้เกิดการ เรียนเพื่อสอบเข้าโรงเรียนที่มีชื่อเสียงตั้งแต่ระดับอนุบาล 4. ระบบการผลิตครูปฐมวัย จากค่านิยมของการเข้ารับราชการ ที่มีสวัสดิการที่ดีและมีความ มั่นคง ในชีวิต จึงเกิดความต้องการเพิ่มคุณวุฒิด้านการศึกษาของครูให้สูงขึ้น แต่ระบบการผลิตครูใน ปัจจุบันยัง ขาดกลไกในการติดตามและประเมินคุณภาพ เช่น การเปิดรับครูปฐมวัยจำนวนมาก ทำให้ อัตราส่วน ระหว่างอาจารย์กับจำนวนนักศึกษาไม่สอดคล้องกันส่งผลต่อประสิทธิภาพในด้านการเรียน การสอน เนื่องจากกระบวนการพัฒนาครูปฐมวัย ไม่สามารถทำได้ด้วยการบรรยายเท่านั้น แต่ จำเป็นต้องมีการฝึก ประสบการณ์วิชาชีพ โดยมีอาจารย์ที่เชี่ยวชาญด้านการศึกษาปฐมวัย มาดูแล อย่างใกล้ชิด 5. การไม่ได้ใช้ประโยชน์จากหลักสูตรอย่างเต็มที่ 6. แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับการใช้หลักสูตรยังขาดความเป็นเอกภาพ หากแบ่งสภาพปัญหาหลักสูตรปฐมวัย พุทธศักราช 2560 ออกเป็นด้านต่างๆ จะสามารถแบ่งออกได้ 4 ด้าน ดังนี้ 1. ด้านการบริหารจัดการ - ขาดงบประมาณ - ขาดครูที่จบหลักสูตรปฐมวัย - ขาดข้อมูลสารสนเทศเกี่ยวการจัดการศึกษาปฐมวัย - การประสานงานไม่คล่องตัวภายในหรือระหว่างหน่วยงานการจัดการศึกษาปฐมวัย
35 - บุคลากรในการทำงานด้านปฐมวัยมีน้อย และขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องหลักสูตรปฐมวัย - ผู้บริหารไม่มีความรู้ความเข้าใจในตัวปรัชญาและหลักสูตร - ผู้บริหารขาดการดูแล ส่งเสริมสนับสนุน ไม่ให้ความสำคัญ - ผู้ปกครองไม่เข้าใจการอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัย - ครูภาระงานมากเกินไป เช่น แม่บ้าน การเงิน งานธุรการต่างๆ เจ้าหน้าที่พัสดุ - ครูไม่เพียงพอ ขาดความรู้ทักษะในการสอน - มีระบบอุปถัมภ์ในการคัดเลือกครู(อบต. และ อปท.) 2. ด้านการพัฒนาหลักสูตร - มีช่วงเวลาจำกัดในการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา - ครูไม่มีความรู้ความเข้าใจในหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย 2560 - หน่วยงานที่จัดการศึกษาปฐมวัยยังไม่มีความรู้ความเข้าใจในการนำหลักสูตรไปใช้ - ครูไม่ได้ทำหลักสูตรด้วยตนเองเนื่องจากขาดความรู้ความเข้าใจในขั้นตอนการสร้างหลักสูตร - บางโรงเรียนหรือบางศูนย์ไม่นำหลักสูตรสถานศึกษามาใช้กับนักเรียนเนื่องจากไม่มีหลักสูตร สถานศึกษาและนอกจากนี้ยังไม่มีการประเมินหลักสูตรจึงทำให้ไม่ทราบว่าหลักสูตรที่พัฒนาขึ้นมี คุณภาพหรือได้มาตรฐานเพียงใด 3. ด้านการจัดการเรียนรู้/การจัดประสบการณ์ - ครูขาดความรู้ความสามารถในการจัดประสบการณ์เนื่องจากจบไม่ตรงตามเอก - ครูขาดสื่อการสอนและขาดความรู้การใช้นวัตกรรมในการจัดประสบการณ์ - เด็กไม่ได้รับการพัฒนาตรงตามวัตถุประสงค์เนื่องจากครูไม่สอนตามแผนที่วางไว้ - ผู้รับผิดชอบทุกส่วนขาดความรู้การจัดการเรียนรู้การจัดประสบการณ์ในระดับปฐมวัย - ครูบางคนยึดแนวทางการจัดกิจกรรมของกรมส่งเสริมไม่มีการเปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องกับ บริบทของเด็ก 4. ด้านการนิเทศติดตามให้ค่าปรึกษา - ไม่มีการนิเทศติดตามการทำงานด้านการจัดการศึกษาปฐมวัย - ศึกษานิเทศก์ไม่มีองค์ความรู้ที่เพียงพอในเรื่องการนิเทศ ไม่มั่นใจในการนิเทศ - ขาดการนิเทศที่ต่อเนื่องและทั่วถึง - ครูผู้สอนขาดความเชื่อมั่นในตัวศึกษานิเทศก์ - บุคลากรในการทำงานด้านนิเทศติดตามการจัดการศึกษาปฐมวัยมีน้อย หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานปีพุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุงพุทธศักราช 2560) 1. ปัญหาด้านครู - ครูขาดความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับตัวหลักสูตร - ครูไม่เปลี่ยนพฤติกรรมการสอน - ครูไม่มีเวลาศึกษาทําความเข้าใจหลักสูตรก่อนสอน - ครูไม่สนใจจัดกิจกรรมการเรียนการสอน - ครูไม่มีความรู้ ความเข้าใจในการวัดและประเมินผล
36 - จํานวนครูที่สอนวิชาทักษะและความสามารถเฉพาะทางไม่เพียงพอ - ครูที่ได้รับการอบรมเรื่องหลักสูตรแล้วไม่นำมาขยายผลต่อให้กับครูที่ไม่ได้ไปอบรม จึงขาด ความรู้ ความชัดเจนในเรื่องวัตถุประสงค์ จุดมุ่งหมายต่างๆของหลักสูตร - ครูสอนไม่ตรงกับวิชาเอก - ครูยังไม่ใช้วิธีการสอนที่ยึดนักเรียนเป็นสำคัญ - ครูสอนโดยไม่คำนึงถึงโครงสร้าง และแผนการสอน - ครูใช้สื่อในการเรียนการสอนน้อย - ครูไม่ผลิตสื่อ ไม่ใช้สื่อเทคโนโลยี การจัดสรรงบประมาณในการจัดซื้อ และจัดทำสื่อน้อย - ครูมีภาระงานอื่นมาก - ปัญหาขาดครูที่มีคุณสมบัติเหมาะสม - ปัญหาการไม่ยอมรับและไม่เปลี่ยนแปลงบทบาทการสอนของครูตามแนวหลักสูตร - ปัญหาการจัดอบรมครู 2. ปัญหาด้านผู้บริหารโรงเรียน - ผู้บริหารมีความรู้ ความเข้าใจในหลักสูตรน้อย - ผู้บริหาร ไม่มีความรู้ ความสามารถในการนิเทศ - ผู้บริหาร ไม่สนับสนุนการใช้หลักสูตรของคณะครูเท่าที่ควร - ผู้บริหาร ไม่ได้ประชาสัมพันธ์การใช้หลักสูตร ให้กว้างขวางและทันเวลา - ผู้บริหารต่าง ๆ ไม่สนใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงหลักสูตร 3. ปัญหาด้านศึกษานิเทศก์ - ศึกษานิเทศก์ นิเทศการใช้หลักสูตรในโรงเรียนต่าง ๆ ไม่ทั่วถึง - ศึกษานิเทศก์ ไม่มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักสูตรอย่างถ่องแท้ 4. ปัญหาด้านหน่วยงานกลาง ระดับจังหวัดและระดับอําเภอ - ส่งเอกสารหลักสูตรและเอกสารประกอบล่าช้าและไม่เพียงพอ - ขาดการประชาสัมพันธ์หลักสูตร โดยเฉพาะกับผู้ปกครองทําให้ไม่ได้รับความร่วมมือ - ขาดงบประมาณที่จะสนับสนุนการใช้หลักสูตร - ปัญหาด้านการวางแผนการประเมินหลักสูตร มักไม่มีการวางแผนล่วงหน้าทําให้ขาดความ ละเอียดรอบคอบและไม่ครอบคลุมสิ่งที่ต้องการประเมิน - ปัญหาด้านเวลา การกําหนดเวลาไม่เหมาะสม ประเมินหลักสูตร ไม่เสร็จตาม เวลาที่กําหนด ทําให้ได้ข้อมูลช้าไม่ทันต่อการนํามาปรับปรุงหลักสูตร - ปัญหาด้านความเชี่ยวชาญของคณะกรรมการการประเมินหลักสูตรที่ไม่มีความรู้ ความ เข้าใจ ทําให้ผลการประเมินไม่น่าเชื่อถือ - ปัญหาด้านความเที่ยงตรงของข้อมูล ไม่เที่ยงตรง มีความกลัว จึงได้ข้อมูล ไม่ตรงกับสภาพ ความเป็นจริง - ปัญหาขาดแคลนเอกสารเนื่องจากขาดงบประมาณและการคมนาคมขนส่งไม่มี ประสิทธิภาพพอ
37 - ปัญหาด้านวิธีการประเมิน ส่วนมากมาจากการประเมินในเชิงปริมาณทําให้ได้ ข้อค้นพบที่ ผิวเผินไม่ลึกซึ้ง - ปัญหาด้านการประเมินหลักสูตรทั้งระบบมีการดําเนินงานน้อยมาก ส่วนมาก จะประเมิน เฉพาะด้าน - ปัญหาด้านการประเมินหลักสูตรอย่างต่อเนื่อง - ปัญหาด้านเกณฑ์การประเมินไม่ชัดเจน ไม่เป็นที่ยอมรับและไม่ได้นําผลไปใช้ในการปรับปรุง หลักสูตรจริงจัง - การวัดประเมินผลการเรียนรู้ที่ไม่สะท้อนมาตรฐาน ส่งผลให้เกิดปัญหาตามมา - ปัญหาหลักสูตรแน่น ได้แก่ กำหนดสาระการเรียนรู้และผลการเรียนรู้ที่คาดหวังไว้มาก - เอกสารประกอบหลักสูตรมีความสับสน ไม่ชัดเจน - ปัญหาการจัดทำเอกสารหลักฐานทางการศึกษา - ปัญหาการเทียบโอนผลการเรียน - ปัญหาคุณภาพผู้เรียนในด้านความรู้ ทักษะ ความสามารถและคุณลักษณะที่พึงประสงค์ยัง ไม่เป็นที่น่าพอใจ - โรงเรียนขนาดเล็กห่างไกล ไม่มีความพร้อมในการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) พุทธศักราช 2562 1. ด้านผู้เรียน - ผู้เรียนอ่านสะกดคําไม่ได้ขาดความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษ - ผู้เรียนยังขาดความเชี่ยวชาญจนไม่สามารถทำงานจริงได้ 2. ด้านผู้บริหาร - ผู้บริหาร ไม่ได้ประชาสัมพันธ์การใช้หลักสูตร ให้กว้างขวางและทันเวลา - ผู้บริหารต่าง ๆ ไม่สนใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงหลักสูตร - ผู้บริหาร ไม่มีความรู้ ความสามารถในการนิเทศ - ผู้บริหารมีความรู้ ความเข้าใจในหลักสูตรน้อย - ขาดการส่งเสริมด้านทรัพยากร และอุปกรณ์ครุภัณฑ์ซึ่งเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดของการ จัดการเรียน 3. ด้านครู - ปัญหาขาดครูที่มีคุณสมบัติเหมาะสม - จํานวนครูที่สอนวิชาทักษะและความสามารถเฉพาะทางไม่เพียงพอ - ขาดการจัดครูให้เข้าสอนตรงตามวิชาเอก เพื่อเป็นข้อมูลในการพัฒนาการเรียนการสอนให้มี คุณภาพ - ครูที่ได้รับการอบรมเรื่องหลักสูตรแล้ว ไม่นำมาขยายผลต่อให้กับครูที่ไม่ได้ไปอบรม จึงขาด ความรู้ ความชัดเจนในเรื่องวัตถุประสงค์ จุดมุ่งหมายต่างๆของหลักสูตร - ครูมีภาระงานอื่นมาก - ปัญหาการไม่ยอมรับและไม่เปลี่ยนแปลงบทบาทการสอนของครูตามแนวหลักสูตร
38 - ครูส่วนใหญ่ขาดประสบการณ์ในสถานประกอบการ - ระบบผลิตครูไทยในปัจจุบันไม่สามารถรับประกันได้ว่าครูที่จบออกมาจะมีความเชี่ยวชาญ - ครูสอนโดยไม่คำนึงถึงโครงสร้าง และแผนการสอน 4. ด้านเนื้อหา - เนื้อหาไม่สอดคล้องกับทักษะที่จําเป็นต่อการใช้ประกอบอาชีพ - สถานศึกษาไม่เปิดสอนสาขาที่ตรงกับความต้องการของสถานประกอบการ - เนื้อหาและหลักสูตรไม่เชื่อมโยงกับทักษะที่ต้องใช้ในโลกการทำงานจริง - การขายระบบฐานข้อมูลตลาดแรงงานที่จะสามารถนำมาช่วยวางแผนการผลิตกำลังคน - หลักสูตรถูกออกแบบมาไม่เหมาะสมกับความพร้อมของผู้เรียน - หลักสูตรถูกไม่ครอบคลุมต่อทักษะความรู้พื้นฐานของผู้เรียน 5. ด้านระบบประกันคุณภาพ ระบบอาชีวศึกษาภาครัฐของไทยมีกลไกด้านการประกันคุณภาพ 2 ส่วนคือ การประกัน คุณภาพ ภายใน และการประกันคุณภาพภายนอก จากการศึกษาเอกสารคู่มือการประกันคุณภาพทั้ง สอง รูปแบบ พบว่ามาตรการทั้งสองไม่สามารถประกันคุณภาพได้จริง นอกจากนี้ ระบบการประกัน คุณภาพภายนอกที่ใช้อยู่ในปัจจุบันยังสร้างภาระให้แก่วิทยาลัยอาชีวศึกษา โดยไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ อีกด้วยการประกันคุณภาพภายในไม่มีประสิทธิผลเพราะใช้กลไกการประเมินตนเองระบบการประกัน คุณภาพภายอาศัยคณะอนุกรรมการประกันคุณภาพที่ประกอบไปด้วยบุคลากรของ วิทยาลัย 7 คน และผู้แทนสถานประกอบการไม่น้อยกว่า 2 คน โดยคณะอนุกรรมการฯ มีหน้าที่ ดําเนินการและจัดทํา รายงานการประกันคุณภาพ กลไกการประกันคุณภาพที่กล่าวไปนั้นเป็นกลไกที่ ไม่มีประสิทธิผลเพราะ วางอยู่บนพื้นฐานของการประเมินตนเอง โดยที่ผู้ประเมินที่ไม่มีกลไกความ รับผิดชอบต่อผลการศึกษา และผลการประกอบอาชีพของผู้สําเร็จการศึกษา ระบบประกันคุณภาพภายนอกไม่มีประสิทธิผลเพราะเน้นตัวชี้วัดที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคุณภาพ การ เรียนการสอนโดยตรง ซึ่งนอกจากจะไม่ช่วยพัฒนาคุณภาพวิทยาลัยอาชีวศึกษาได้แล้ว ยังเพิ่ม ภาระให้แก่วิทยาลัย และทําให้ปัญหาคุณภาพที่แท้จริงไม่ถูกค้นพบและไม่ได้รับการแก้ไข ประการแรก : กรอบตัวชี้วัดมีปัญหา ในเชิงการออกแบบ ทำให้ผลการประเมินไม่สามารถ สะท้อน คุณภาพการเรียนการสอนได้จริง เพราะแทนที่จะเน้นวัดผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของนักเรียน กลับไปโดยหากเราเน้นการกําหนดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการจัดการภายในเป็นส่วนใหญ่ เปรียบเทียบนํ้าหนักของตัวชี้วัดด้านต่างๆ แล้ว จะพบว่า ตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับคุณภาพการ เรียนการสอนนั้นมีนํ้าหนักน้อยคือมีนํ้าหนักเพียงร้อยละ 20 และมีนํ้าหนักตัวชี้วัดด้านความพร้อม สถานศึกษาอีกร้อยละ 11 ในขณะที่ตัวชี้วัดกว่าร้อยละ 69 นั้นเป็นการตรวจสอบกิจกรรม และ กระบวนการจัดการซึ่งแม้จะมีความสําคัญแต่ไม่ได้ส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพการเรียนการสอน นอกจากได้ประสิทธิผลแล้ว ตัวชี้วัดนี้ยังสร้างแรงจูงใจให้วิทยาลัยอาชีวะจัดกิจกรรมตามตัวชี้วัดอย่าง ฉาบฉวย ประการที่สอง : ตัวชี้วัดจํานวนมากสร้างภาระให้แก่สถานศึกษาโดยเปล่าประโยชน์ เนื่องจาก ตัวชี้วัด กว่าร้อยละ 69 นั้นเป็นการตรวจสอบกระบวนการจัดการภายใน ทําให้มีภาระในการจัดเก็บ เอกสาร จํานวนมาก เพียงเพื่อพิสูจน์ให้ผู้ตรวจสอบเชื่อว่า วิทยาลัยได้มีการจัดกิจกรรมดังกล่าวจริง
39 เช่น วิทยาลัยแห่งหนึ่งได้ให้ข้อมูลกับผู้วิจัยว่า ต้องจัดเก็บสิ่งประดิษฐ์ทั้งหมดของนักเรียน เพื่อนําไป เป็นหลักฐานการประเมินตัวชี้วัดด้านจํานวนผลงานที่เป็นโครงงานหรือสิ่งประดิษฐ์ของผู้เรียน ประการที่สาม : ตัวชี้วัดสําคัญๆ บางด้านยังไม่ได้ถูกพัฒนาให้สามารถใช้งานได้จริง เช่น ตัวชี้วัดที่กําหนดให้ผู้เรียนผ่านการทดสอบมาตรฐานทางวิชาชีพจากองค์กรที่เป็นที่ยอมรับ ซึ่งสามารถ ประเมิน คุณภาพการศึกษาได้อย่างตรงจุด หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพขั้นสูง (ปวส.) พุทธศักราช 2563 1. การกําหนดหลักสูตรจากส่วนกลางไม่สามารถสะท้อนสภาพความต้องการที่แท้จริงของ 2. การจัดหลักสูตรการเรียนรู้คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ยังไม่สามารถ ผลักดัน ให้ประเทศไทยเป็นผู้นําด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยีในภูมิภาคจึงจําเป็นต้องปรับปรุง กระบวนการเรียนการสอน ให้คนไทยมีทักษะกระบวนการและเจตคติที่ดีทางคณิตศาสตร์วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีมีความคิดสร้างสรรค์ 3. การนําหลักสูตรไปใช้ยังไม่สามารถสร้างพื้นฐานในการคิด สร้างวิธีการเรียนรู้ ให้คนไทยมีทักษะในการจัดการและทักษะในการดํารงชีวิต สามารถเผชิญปัญหาสังคมและเศรษฐกิจ ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้อย่างมีประสิทธิภาพ 4. การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศยังไม่สามารถที่จะทําให้ผู้เรียนใช้ภาษาต่างประเทศโดยเฉพาะ ภาษาอังกฤษในการติดต่อสื่อสารและการค้นคว้าหาความรู้จากแหล่งการเรียนรู้ที่มีอยู่หลากหลายใน ยุคสารสนเทศ 5. เนื้อหาไม่สอดคล้องกับทักษะที่จําเป็นต่อการใช้ประกอบอาชีพ 6. ขาดการศึกษาสภาพและปัญหาการจัดครูให้เข้าสอนตรงตามวิชาเอกเพื่อเป็นข้อมูลในการ พัฒนาการเรียนการสอนให้มีคุณภาพ 7. ขาดผู้มีประสบการณ์มีความชํานาญ และมีความเชี่ยวชาญด้านวิชาชีพ มาถ่ายทอดทักษะ ประสบการณ์และความรู้แก่ผู้เรียนและผู้สอน 8. ระบบประกันคุณภาพภายนอกไม่มีประสิทธิผลเพราะเน้นตัวชี้วัดที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ คุณภาพการ เรียนการสอนโดยตรง ซึ่งนอกจากจะไม่ช่วยพัฒนาคุณภาพวิทยาลัยอาชีวศึกษาได้แล้ว ยังเพิ่ม ภาระให้แก่วิทยาลัย และทําให้ปัญหาคุณภาพที่แท้จริงไม่ถูกค้นพบและไม่ได้รับการแก้ไข ประการแรก กรอบตัวชี้วัดมีปัญหาในเชิงการออกแบบ ทําให้ผลการประเมินไม่สามารถสะท้อน คุณภาพการเรียนการสอนได้จริง 9. สถานศึกษาไม่เปิดสอนสาขาที่ตรงกับความต้องการของสถานประกอบการ 10. เนื้อหาและหลักสูตรไม่เชื่อมโยงกับทักษะที่ต้องใช้ในโลกการทำงานจริง 11. ขาดการขายระบบฐานข้อมูลตลาดแรงงานที่จะสามารถนำมาช่วยวางแผนการผลิต กำลังคน 12. หลักสูตรถูกออกแบบมาไม่เหมาะสมกับความพร้อมของผู้เรียนและละเลยทักษะความรู้ พื้นฐาน 13. ขาดการส่งเสริมด้านทรัพยากรและอุปกรณ์ครุภัณฑ์ซึ่งเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดของ การจัดการเรียน
40 14. ครูส่วนใหญ่ขาดประสบการณ์ในสถานประกอบการจึงไม่มีทักษะที่ต้องใช้ในสถาน ประกอบการจริง 15. ผู้บริหาร ไม่ได้ประชาสัมพันธ์การใช้หลักสูตร ให้กว้างขวางและทันเวลา 16. ผู้บริหารต่าง ๆ ไม่สนใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงหลักสูตร 17. ผู้บริหารมีความรู้ ความเข้าใจในหลักสูตรน้อย 18. ระบบผลิตครูไทยในปัจจุบัน ไม่สามารถรับประกันได้ว่าครูที่จบออกมาจะมีความ เชี่ยวชาญทักษะช่างเทคนิค 19. ครูที่ได้รับการอบรมเรื่องหลักสูตรแล้วไม่นำมาขยายผลต่อให้กับครูที่ไม่ได้ไปอบรม จึง ขาดความรู้ ความชัดเจนในเรื่องวัตถุประสงค์ จุดมุ่งหมายต่างๆของหลักสูตร หลักสูตรปริญญาตรีสายเทคโนโลยีหรือสายปฏิบัติการพุทธศักราช 2562 1. ขาดครูผู้สอนวิชาชีพ ในสาขาวิชาที่จัดการ อาชีวศึกษาระบบทวิภาคีและขาดการพัฒนา วิชาชีพที่สอน จากสถาน ประกอบการที่ร่วมจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี 2. ขาดผู้มีประสบการณ์มีความชํานาญและมีความเชี่ยวชาญด้านวิชาชีพมาถ่ายทอด ทักษะประสบการณ์และความรู้แก่ผู้เรียนและผู้สอน 3. สถานประกอบการ วัสดุครุภัณฑ์พื้นที่และอุปกรณ์การศึกษา สําหรับผู้เรียนไม่เพียงพอต่อ การจัดการเรียนการสอนและฝึกอาชีพ 4. การเรียนในสาขาวิชาไม่ตรงต่อความต้องการของสถานประกอบการ 5. เนื้อหาไม่สอดคล้องกับทักษะที่จําเป็นต่อการใช้ประกอบอาชีพ 6. การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศยังไม่สามารถที่ จะทําให้ผู้เรียนใช้ภาษาต่างประเทศ โดยเฉพาะภาษาอังกฤษในการติดต่อสื่อสารและการค้นคว้าหาความรู้จากแหล่งการเรียนรู้ที่มีอยู่ หลากหลายในยุคสารสนเทศ 7. อาชีวศึกษาทวิภาคีของไทยขยายผลยากเพราะขาดการส่งเสริมจากภาครัฐ 8. ขาดระบบประกันคุณภาพ 9. ไม่มีองค์กรตัวกลางเข้ามาช่วยบริหารจัดการระบบ 10. มาตรการส่งเสริมทวิภาคีในปัจจุบันไม่สามารถป้องกันไม่ให้เกิดการแย่งตัวผู้ที่ได้รับลงทุน ฝึกอบรมจากสถานประกอบการที่จัดทวิภาคี หรือที่เรียกว่า “free-riding การจัดการศึกษาทวิภาคีนั้น มีต้นทุนบางส่วนที่ตกแก่สถานประกอบการ แต่ผลตอบแทนจากการลงทุน อาจจะไม่ตกแก่สถาน ประกอบการที่ลงทุนการจัดการเรียนการสอน หากผู้ที่จบการเรียนในสถาน ประกอบการนั้นเลือกไป ทํางานกับนายจ้างคนอื่น ซึ่งจะทําให้สถานประกอบการส่วนใหญ่ไม่ลงทุนใน การศึกษาทวิภาคีหรือมี การลงทุนต่ํากว่าจุดเหมาะสม (underinvestment) 11. ขาดระบบประกันคุณภาพอาชีวศึกษาทวิภาคีอาชีวศึกษาทวิภาคีของไทยยังไม่มีระบบ ประกันคุณภาพที่ใช้งานได้จริง ทําให้คุณภาพการเรียนการ สอนไม่มีมาตรฐาน จึงไม่เป็นที่นิยมของ นักเรียนและผู้ปกครอง เพิ่มต้นทุนการจัดการเรียนการสอนแก่ สถานประกอบการ จึงไม่เป็นที่นิยมใน ภาคธุรกิจ ด้วยสาเหตุสองประการนี้ การขยายผลจึงไม่สามารถ ทําได้ง่ายนัก 12. ขาดองค์กรตัวกลางที่จะเข้ามาช่วยบริหารระบบอาชีวศึกษาทวิภาคี
41 13. การจัดการเรียนการสอน ระบบทวิภาคีนั้นมีขั้นตอนการบริหารจัดการที่ซับซ้อน และมี ต้นทุนสูงมาก นอกจากนี้ การจัดการแบบต่างคนต่างทําของแต่ละสถานประกอบการและสถานบัน การศึกษานั้นทําให้การขยายผลเป็นไปได้ยาก 14. ขาดความรู้ ความชัดเจนในเรื่องวัตถุประสงค์ จุดมุ่งหมายต่างๆของหลักสูตร 15. จํานวนครูที่สอนวิชาทักษะและความสามารถเฉพาะทางไม่เพียงพอ หลักสูตรอุดมศึกษา (ภายใต้กรอบมาตรฐานคุณวุฒิอุดมศึกษา) 1. ขาดแคลนอาจารย์ประจํา ที่มีคุณวุฒิและประสบการณ์ โดยเฉพาะสาขาวิชา ที่มีความ ต้องการมาก ทางด้านวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ และเกษตรกรรมเลียนแบบ 2. อุดมศึกษามุ่งความเป็นเลิศทางวิชาการ ละเลยคุณธรรม จริยธรรม การบริการวิชาการแก่ สังคม 3. มหาวิทยาลัยมักเลียนแบบต่างประเทศโดยไม่เข้าใจ หลักการและเป้าหมายที่แท้จริงของ หลักการที่ 4. การเรียนการสอนยังเน้นทฤษฎีมากกว่าปฏิบัติเน้นความรู้มากกว่าการนําไปใช้ 5. การตื่นตัวทางการวิจัยมุ่งการกําหนด ให้เลื่อนตําแหน่งทางวิชาการ ซึ่งเน้นการวิจัยมาก เกินไปจนทําให้ ลดความสําคัญด้านการสอน 6. กลุ่มผู้บริหารอุดมศึกษามีลักษณะอนุรักษ์นิยมสูง 7. งบประมาณในการพัฒนาการศึกษาระดับนี้ก็ยังมีไม่เพียงพอ 8. สถาบันอุดมศึกษา ปรับตัวไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะในเรื่องการสร้างและ พัฒนา คุณภาพมาตรฐานการเรียนการสอนและการวิจัยเปิดหลักสูตรตามความพอใจ โดยไม่คํานึงถึง คุณภาพ และมาตรฐานการศึกษา ขาดการวางแผนพัฒนาสถาบันในระยะยาว 9. ทิศทางการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาในภาพรวมไม่ชัดเจน เกิดความซ้ำซ้อน ในเรื่องการ ให้บริการบุคลากรที่จะเข้ามาในมหาวิทยาลัย เช่น ผู้บริหาร ส่วนหนึ่งไม่มีความรู้ทางด้านการบริหาร แต่จะมีความรู้เฉพาะด้านงานวิชาการเท่านั้นรัฐบาลควรมีการจัดอบรมการเป็นผู้บริหารขึ้นมเหมือน กับข้าราชการสายอื่น 10. สถาบันอุดมศึกษาปรับตัวไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลง 11. มหาวิทยาลัยไทยโดยภาพรวมยังมีจุดอ่อนเรื่องการบริหารจัดการเชิงคุณภาพ โดยเฉพาะ การเป็นมหาวิทยาลัยวิจัย ซึ่งจะสังเกตได้ว่ามหาวิทยาลัยที่ติดอันดับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกล้วน เป็นมหาวิทยาลัยวิจัยทั้งสิ้น 12. ทิศทางการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษาในภาพรวมไม่ชัดเจน เกิดความซ้ำซ้อนในเรื่องการ ให้บริการ บุคลากรที่จะเข้ามาในมหาวิทยาลัย เช่น ผู้บริหาร ส่วนหนึ่งไม่มีความรู้ทางด้านการ บริหาร แต่จะมีความรู้เฉพาะด้านงานวิชาการเท่านั้นรัฐบาลควรมีการจัดอบรมการเป็นผู้บริหาร ขึ้นมเหมือนกับข้าราชการสายอื่น 13. บัณฑิตที่จบการศึกษาออกมาบางส่วนไม่ได้คุณภาพและมีปัญหาในด้านภาษาอังกฤษ สถาบันการศึกษาควรดึงผู้ประกอบการเข้าไปร่วมพัฒนาหลักสูตรและพัฒนาบุคลากรและเปิด
42 โอกาสให้นักศึกษาเข้าไปฝึกงานในสถานประกอบการตั้งแต่ยังเรียนอยู่ รวมถึงวิกฤติอุดมศึกษาไทย ช่วง 7 ปีที่ผ่านมาทั้งมหาวิทยาลัยรัฐและมหาวิทยาลัยราชภัฏ 300 แห่ง และเปิดหลักระดับปริญญา ตรีและโทบางแห่งใช้กลยุทธ์"จบง่าย" ในการดึงดูดผู้เรียน ขณะที่ผู้เรียนเข้ามาเรียนเพื่อหวังใบ ปริญญาตามสโลแกนจ่ายครบจบแน่ ซึ่งเป็นการทำลายคุณภาพอุดมศึกษาไทย และทำให้บัณฑิตที่ สำเร็จการศึกษาออกมาไม่มีคุณภาพตามที่สังคมคาดหวังไว้ 14. การจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาส่วนใหญ่เป็นการจัดตั้งด้วยเหตุผลทางการเมือง ไม่ได้ คำนึงถึงคุณภาพและความพร้อมของการเป็นสถาบันอุดมศึกษา รวมถึงไม่มีการจัดระบบความ หลากหลายของสถาบันอุดมศึกษา ทำให้ทิศทางการส่งเสริมพัฒนาและกำกับมาตรฐานไม่ชัดเจน และไม่ต่อเนื่อง อีกทั้งสถาบันอุดมศึกษาไทยในปัจจุบัน ส่วนมากมุ่งเข้าสู่ธุรกิจอุดมศึกษา มีการขาย ปริญญาบัตร เปิดหลักสูตรจำนวนมาก การถ่ายทอดความรู้แบบสำเร็จรูปตามแบบตะวันตก เนื่องจากมหาวิทยาลัยไทยก้าวเข้าสู่กับดักทางธุรกิจการศึกษา 15. รัฐบาลไม่มีการควบคุมการเปิดสาขาวิชาของแต่ละมหาวิทยาลัยให้ตรงตามความต้องการ ของประเทศและตลาดแรงงาน ดังนั้น ควรส่งเสริมให้นิสิตนักศึกษากู้เงินเพื่อศึกษาในสาขาวิชาที่ ตลาดแรงงานต้องการ เพื่อให้บัณฑิตที่จบออกมามีงานทำ สรุปสภาพปัญหาหลักสูตรในประเทศไทย สภาพปัญหาที่เกิดขึ้นของหลักสูตรในประเทศไทย พบว่าเป็นปัญหามาจากการที่ผู้ใช้หลักสูตร ไม่เข้าใจเนื้อหาในหลักสูตรเท่าที่ควร ขาดความรู้ ความชัดเจนในเรื่องวัตถุประสงค์ จุดมุ่งหมายต่างๆ ของหลักสูตร จึงทำให้ผู้เรียนได้รับความรู้ไม่เพียงพอ และการประเมินหลักสูตรทั้งระบบมีการ ดําเนินงานน้อยมากส่วนมากจะประเมินเฉพาะด้าน ขาดการประเมินหลักสูตรอย่างต่อเนื่อง เกณฑ์ การประเมินไม่ชัดเจน ไม่เป็นที่ยอมรับและไม่ได้นําผลไปใช้ในการปรับปรุงหลักสูตรจริงจังและการวัด ประเมินผลการเรียนรู้ที่ไม่สะท้อนมาตรฐาน เอกสารประกอบหลักสูตรมีความสับสน ไม่ชัดเจน อีกทั้ง ยังเป็นผลมาจากหลักสูตรแน่นจนเกินไป เช่น การกำหนดสาระการเรียนรู้และผลการเรียนรู้ที่ คาดหวังไว้มากจึงส่งผลให้ผู้เรียนเข้าใจแต่ทฤษฎีแต่ไม่สามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ อื่นได้นอกจากนี้ยังเป็นผลมาจากการที่บุคลากรครูไม่เพียงพอ ทำให้ภาระหน้าที่ของครูเพิ่มมากขึ้น ทำให้ไม่มีเวลาทำความเข้าใจหลักสูตร ครูขาดความรู้ความสามารถในการจัดประสบการณ์เนื่องจาก จบไม่ตรงตามเอก ครูขาดสื่อการสอนและขาดความรู้การใช้นวัตกรรมในการจัดประสบการณ์ จึงทำให้ ผู้เรียนไม่ได้รับการพัฒนาตรงตามวัตถุประสงค์อีกทั้งครูบางคนยึดแนวทางการจัดกิจกรรมของกรม ส่งเสริมไม่มีการเปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องกับบริบทของผู้เรียน การเรียนการสอนยังเน้นทฤษฎี มากกว่าปฏิบัติเน้นความรู้มากกว่าการนําไปใช้จึงทำให้เกิดปัญหาการใช้หลักสูตรในประเทศไทยยังไม่ มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
43 บทที่ 3 แนวโน้มการพัฒนาหลักสูตรในศตวรรษที่ 21 หลักสูตรปฐมวัย พุทธศักราช 2560 การจัดการศึกษาปฐมวัยในสองทศวรรษหน้ามี 9 ด้าน เรียงลำดับตามค่าเฉลี่ยที่มีระดับ ผลกระทบ จากมากไปหาน้อยที่จะเป็นไปได้ในสองทศวรรษหน้าได้แก่ ด้านการจัดหลักสูตรปฐมวัย (Curriculum) ประกอบด้วย 5 เรื่อง ด้านการจัดประสบการณ์สำหรับเด็กปฐมวัย (Experience) ประกอบด้วย 8 เรื่อง ด้านคุณภาพครูปฐมวัย (Quality) ประกอบด้วย 5 เรื่อง ด้านสถาบันผลิตครู ปฐมวัย (Quality) ประกอบด้วย 5 เรื่อง ด้านสุขภาพและความปลอดภัยเด็กปฐมวัย (Health & Care) ประกอบด้วย 5 เรื่อง ด้านสภาพแวดล้อม (Environment) ประกอบด้วย 5 เรื่อง ด้าน ปฏิสัมพันธ์ของผู้เกี่ยวข้องเด็กปฐมวัย (Interaction) ประกอบด้วย 5 เร่ืองด้านผู้นําการบริหาร สถานศึกษาปฐมวัย ( Administration) ประกอบด้วย5เรื่องด้านองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการจัด การศึกษา ปฐมวัย (Organization) ประกอบด้วย 5 เรื่อง เมื่อนำมาสร้างภาพวงล้ออนาคตภาพ และภาพตัดอนาคตแล้วมี แนวโน้มที่จะเป็นไปได้ใน ระดับ มากที่สุดสำหรับการจัดการศึกษาปฐมวัยในสองทศวรรษหน้า 1. ด้านการจัดหลักสูตรปฐมวัย (Curriculum) ประกอบด้วย 5 เรื่องได้แก่ - การใช้หลักสูตรแกนกลางเป็นกรอบในการจัดประสบการณ์ - ผู้บริหาร ครู ผู้นำ ชุมชนจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาโดยนำหลักสูตรแกนกลาง มา ประยุกต์เข้า กับชุมชน ภูมิปัญญาท้องถิ่นในเรื่องของ ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ - ทิศทางของหลักสูตรควรยึด หลักการแนวคิดและทฤษฎีพัฒนาการเป็นฐานให้ ความสําคัญ กับองค์ความรู้ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการ พัฒนาการเด็ก จิตวิทยาและ การทํางานของ สมองส่วนหน้า - ผู้บริหาร ครู และผู้ปกครองมีความเข้าใจในหลักสูตร หลักการ แนวคิดการจัด ประสบการณ์ การเรียนรู้ของเด็ก ปฐมวัยตรงกัน และ - การประเมินผลการนำหลักสูตรไปใช้ โดยผู้บริหาร ครู ผู้ปกครองและผู้มีส่วนได้ ส่วนเสีย (stakeholder) ประเมินพัฒนาการตามมาตรฐาน คุณลักษณะที่พึงประสงค์ 2. ด้านการจัดประสบการณ์สำหรับเด็กปฐมวัย (Experience) ประกอบด้วย 8 เรื่อง ได้แก่ - จัดประสบการณ์ให้สอดคล้องกับจิตวิทยาพัฒนาการและการและชุมชนได้อย่างมี ประสิทธิภาพ พัฒนาตนเองให้เท่าทัน กับการเปลี่ยนแปลงของโลก สามารถใช้ภาษาอังกฤษและ เทคโนโลยีได้ ทํางานของสมองท่ีเหมาะกับอายุ วุฒิภาวะและระดับพัฒนาการ - จัดประสบการณ์ที่หลากหลายผ่านการเล่น ตามธรรมชาติของเด็ก และจัดให้ สอดคล้องกับ แบบการ เรียนรู้ของเด็ก ให้เด็กได้คิด วางแผน ตัดสินใจ ได้ลงมือ กระทํา เรียนรู้ผ่าน ประสาทสัมผัสท้ังห้า ได้เคลื่อนไหว สํารวจ เล่น สังเกต สืบค้น ทดลอง และคิดแก้ปัญหาด้วย ตัวเอง - จัดประสบการณ์แบบบูรณาการทั้งกิจกรรม ทักษะ และสาระการเรียนรู้
44 - จัดประสบการณ์ให้เด็กมี ปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน ครูผู้ปกครองและ ผู้ใหญ่ ใน บรรยากาศ ท่ีอบอุ่น มีความสุขและมีปฏิสัมพันธ์กับสื่อรวมทั้งมี แหล่ง เรียนรู้ที่หลากหลายสอดคล้อง กับบริบท สังคม และ วัฒนธรรม - จัดประสบการณ์ที่ส่งเสริมลักษณะนิสัยท่ีดี สอดแทรกคุณธรรมจริยธรรมการมีวินัย และความ รับผิดชอบ ต่อตนเอง - จัดประสบการณ์ให้เด็กมีทักษะการใช้ ชีวิตประจําวันตามแนวหลักปรัชญาของ เศรษฐกิจ พอเพียง - จัดประสบการณ์โดยให้พ่อแม่ ครอบครัวและชุมชนมีส่วน ร่วมทั้งการวางแผน การ สนับสนุน สื่อแหล่งเรียนรู้ การเข้า ร่วมกิจกรรมและการประเมินพัฒนาการ และ - จัดทําสารนิทัศน์ด้วยการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการและการ เรียนรู้ของเด็ก เป็น รายบุคคลเพื่อการพัฒนา การวิจัยในชั้น เรียน และการส่งต่อในระดับต่อไป 3.ด้านคุณภาพครูปฐมวัย (Quality) ประกอบด้วย 5 เรื่องได้แก่ - ครูมีความรู้ความเข้าใจและแม่นยําในหลักสูตรหลักการแนวคิดการจัดการศึกษา พัฒนาการ เด็ก ด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม สติปัญญา การทํางานของสมองส่วนหน้า และ หลักการจัดการ ประสบการณ์การเรียนรู้ของเด็ก - ครูสามารถจัดประสบการณ์การเรียนรู้อย่างหลากหลายโดยเน้นเด็กเป็น สําคัญ สนองความ ต้องการ ความสนใจ ความแตกต่าง ระหว่างบุคคล บริบทของสังคมท่ีเด็กอาศัยอยู่ และ ตาม ธรรมชาติของ เด็ก - ครูปฐมวัยต้องประเมินพัฒนาการเด็ก ให้เป็นกระบวนการอย่างต่อเน่ืองและ หลากหลาย รวมทั้งประเมินเด็กได้อย่างแท้จริงตามมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ - ครูสามารถสื่อสารกับเด็ก ผู้ปกครองและร่วมมือในการจัดการเรื่องความปลอดภัย ของเด็กใน ด้าน การจัดสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ และทางสังคม - ครูมีจรรยาบรรณวิชาชีพครูปฐมวัย โดยเฉพาะ 4. ด้านสถาบันผลิตครูปฐมวัย (Quality) ประกอบด้วย 5 เรื่องด้แก่ - ด้วยหลักสูตรผลิตครูปฐมวัยควร เชื่อมโยงกับการศึกษาระดับประถมศึกษา การศึกษาพิเศษ - จัดการเรียนการสอนโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน - สถาบันผลิตครูต้องมีระบบคัดเลือกผู้ท่ีมีคุณสมบัติ เฉพาะท่ีจะเป็นครูปฐมวัย - สถาบันผลิตครูปฐมวัยควรผลิต ครูท่ีเก่งเทคนิค การจัดกิจกรรม นิเทศ การวิจัย รวมทั้งมี ความแม่นยําทั้งศาสตร์และศิลป์ มีหน่วยงานประเมิน คุณภาพสถาบันผลิตครูและผู้ประกอบ วิชาชีพครู ปฐมวัยโดยเฉพาะ - สถาบันผลิตครูมีการติดตามและพัฒนาครูปฐมวัยประจําการตามการเปลี่ยนแปลง ของสังคมโลก 5. ด้านสุขภาพและความปลอดภัยเด็กปฐมวัย (Health & Care) ประกอบด้วย 5 เรื่อง ได้แก่ - เด็กได้รับการดูแลด้านสุขภาพจากหน่วยงานสาธารณสุข
45 - มีการจัดกิจกรรมเพื่อเตรียมการสําหรับเด็กให้สามารถดูแลตนเองได้ เม่ือเกิดภัยภิ บัติ 3) เด็กได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายใน เรื่องสิทธิเด็กจากภัยที่เกิดจากครอบครัว และทาง สังคม - เด็กได้รับปกป้องจากอุบัติเหตุ สภาพแวดล้อมทาง กายภาพ และเทคโนโลยี - เด็กได้รับการดูแลและสามารถดูแลตนเองเร่ืองสุขนิสัย โภชนาการ และการ พักผ่อน 6. ด้านสภาพแวดล้อม (Environment) ประกอบด้วย 5 เรื่องได้แก่ - สภาพแวดล้อมเอื้อต่อพัฒนาการของเด็ก - สภาพแวดล้อมเอื้อต่อการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ในโลกของเทคโนโลยี - สภาพแวดล้อมมีความปลอดภัยจากโรคติดต่อ อุบัติเหตุ และส่ือออนไลน์ - เด็กได้รับการฝึกสุขนิสัยในชีวิตประจําวันจากสิ่งแวดล้อม ใน - ชุมชนให้ความสําคัญ 7. ด้านปฏิสัมพันธ์ของผู้เกี่ยวข้องเด็กปฐมวัย (Interaction) ประกอบด้วย 5 เร่ืองได้แก่ - ครูกับผู้บริหารมีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกันเพื่อสร้างบรรยากาศที่อบอุ่น - ครูกับครูมีการแลกเปล่ียนเรียนรู้ซ่ึง กันและกันเพ่ือพัฒนาหลักสูตรและแก้ปัญหา ร่วมกัน - ครูกับผู้ปกครองมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน มีการส่ือสารสัมพันธ์ระหว่างบ้านกับ โรงเรียน เพื่อให้ มีความเข้าใจตรงกัน - ครูกับเด็กมีสัมพันธภาพระหว่างกันในบรรยากาศท่ีเป็นมิตรเน้นการมีปฏิสัมพันธ์ เชิงบวก สร้าง จินตนาการ และ - เด็กกับเด็กมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันเป็นการฝึกทักษะพื้นฐานชีวิตมีการแลกเปล่ียน ความรู้สึกที่ ดีร่วมกัน มีโอกาสปรับตัวและทํางานร่วมกันเป็นทีม 8. ด้านผู้นําการบริหารสถานศึกษาปฐมวัย (Administration) ประกอบด้วย5เรื่องได้แก่ - ผู้นําที่เข้าใจในหลักการทฤษฏีแนวคิดทางการศึกษาปฐมวัยและนําสู่การปฏิบัติ สามารถใช้ กระบวนการวิจัยในการพัฒนาสถานศึกษา - ผู้นําด้านการเปลี่ยนแปลงด้านกลยุทธ์สู่คุณภาพการศึกษาด้านปฐมวัย - ผู้นําในการพัฒนา หลักสูตรท่ีเน้นให้ผู้เรียนมีทักษะชีวิตให้สอดคล้องกับชุมชน วัฒนธรรมใน การดํารงชีวิตในโลกเทคโนโลยีจัดสถานศึกษา ให้เป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ชุมชนทาง วิชาชีพ (Professional Learning Community - ผู้นําในการพัฒนาบุคลากรให้เป็นครูมืออาชีพสนับสนุนการทํางานเป็นทีมควร ส่งเสริมให้ครู ปฐมวัยทําในสิ่งที่เรียนมาและมีความสามารถในการนิเทศ และ - ผู้นําที่สามารถบริหารจัดการการประกันคุณภาพภายในโดยใช้เทคโนโลยี สารสนเทศได้อย่างมี ประสิทธิภาพ 9. ด้านองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาปฐมวัย (Organization) ประกอบด้วย 5 เรื่อง ได้แก่