The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัยการใช้โปรแกรม (TEACCH) ในการปฏิบัติกิจกรรมประจำวัน 5บท

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 63040108103, 2024-01-20 12:21:42

วิจัยการใช้โปรแกรม (TEACCH) ในการปฏิบัติกิจกรรมประจำวัน 5บท

วิจัยการใช้โปรแกรม (TEACCH) ในการปฏิบัติกิจกรรมประจำวัน 5บท

ศึกษาการใช้โปรแกรม (TEACCH) ในการปฏิบัติกิจกรรมประจำวัน ของนักเรียนออทิสติก ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น อาทิตยา ยงยืน รหัสนักศึกษา 63040108103 วิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาพิเศษ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี


ศึกษาการใช้โปรแกรม (TEACCH) ในการปฏิบัติกิจกรรมประจำวัน ของนักเรียนออทิสติก ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น อาทิตยา ยงยืน รหัสนักศึกษา 63040108103 วิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการศึกษาพิเศษ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี


ก ชื่อเรื่อง ศึกษาการใช้โปรแกรม (TEACCH) ในการปฏิบัติกิจกรรมประจำวัน ของนักเรียนออทิสติก ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น ผู้วิจัย อาทิตยา ยงยืน อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ขวัญดาว การะหงษ์ ครูพี่เลี้ยง อาจารย์อาพร ตรีสูน ปีที่ทำการวิจัย 2566 บทคัดย่อ การวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ในการวิจัยดังนี้ 1.เพื่อศึกษาการใช้โปรแกรม (TEACCH) ในการปฏิบัติ กิจกรรมประจำวัน ของนักเรียนออทิสติก ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 2.เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการปฏิบัติ กิจกรรมประจำวันของผู้เรียนก่อนและหลังการใช้โปรแกรม (TEACCH) ผลการศึกษาพบว่าเมื่อใช้โปรแกรม (TEACCH) ในการปฏิบัติกิจกรรมประจำวัน ของนักเรียน ออทิสติก ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 การใช้โปรแกรม (TEACCH) ในการปฏิบัติกิจกรรมประจำวันได้ดีขึ้น คือ นักเรียน สามารถบอกกิจกรรมต่างๆที่ทำในแต่ละวันได้ รู้จักเอากระเป๋านักเรียนไปเก็บที่ชั้นวางกระเป๋า หยิบเก้าอี้เพื่อ เตรียมเข้าแถวเคารพธงชาติเตรียมเครื่องเขียน เช่น ดินสอ ยางลบ ดินสอสี เข้าเรียนตามตารางเรียน ไปหยิบนม อาหารว่าง (ช่วงพักเบรก) มาทานเอง ไปล้างมือและเตรียมกระบอกน้ำเพื่อไปรับประทานอาหารกลางวัน เก็บของ ใช้เตรียมกระเป๋านักเรียนและสวมรองเท้าเพื่อรอกลับบ้าน รวมถึงสามารถทำกิจกรรมตามตารางที่ได้รับมอบหมาย ได้และคะแนนการใช้โปรแกรม (TEACCH) ในการปฏิบัติกิจกรรมประจำวันของนักเรียนที่มีภาวะออทิสติกหลังการ พัฒนาการใช้โปรแกรม (TEACCH) ในการปฏิบัติกิจกรรมประจำวันสูงกว่าคะแนนการใช้โปรแกรม (TEACCH) ใน การปฏิบัติกิจกรรมประจำวันก่อนการพัฒนาการใช้โปรแกรม (TEACCH) ในการปฏิบัติกิจกรรมประจำวัน


ข Abstract This research The research objectives are as follows: 1. To study the use of the program (TEACCH) in daily activities. of autistic students Grade 4 2. To compare the ability to perform daily activities of students before and after using the program (TEACCH). The results of the study found that when using the program (TEACCH) in daily activities of autistic students Grade 4, using the program (TEACCH) to perform daily activities better is that students can tell the various activities they do every day. Know how to put your school bag in the luggage rack. Grab a chair and prepare to line up to salute the national flag. Prepare stationery such as pencils, erasers, crayons, attend class according to the class schedule Go grab some milk and snack. (During the break) Come eat by yourself. Go wash your hands and prepare a water bottle to go eat lunch. Pack your things, prepare your school bag, and put on your shoes to wait to go home. Including being able to do activities according to the assigned schedule and having a high score for using the program (TEACCH) in performing daily activities for students with postdevelopmental autism. The use of the program (TEACCH) in performing daily activities is high. than the score for using the program (TEACCH) in performing daily activities before developing the use of the program (TEACCH) in performing daily activities.


ค กิตติกรรมประกาศ การวิจัยเรื่อง ศึกษาการใช้โปรแกรม (TEACCH) ในการปฏิบัติกิจกรรมประจำวัน ของนักเรียนออทิสติก ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น สำเร็จลุล่วงได้ด้วยดี ทั้งนี้ด้วยความกรุณาอย่างดียิ่ง จากท่านอาจารย์ขวัญดาว การะหงษ์ อาจารย์ประจำวิชา และท่านอาจารย์อาพร ตรีสูน คุณครูพี่เลี้ยง ที่ได้กรุณา เสียสละเวลา ให้คำปรึกษา แนะนำ และชี้แนะแนวทางการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ อันเป็นประโยชน์แก่ผู้วิจัย ทำให้งาน วิจับฉบับนี้สำเร็จได้ด้วยความสมบูรณ์ ผู้วิจัยขอขอบพระคุณอาจารย์ประจำสาขาวิชาการศึกษาพิเศษ และคณะครู จากโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น ฝ่ายการศึกษาพิเศษ ที่ได้มอบความรู้ให้แก่ผู้วิจัยตลอดระยะเวลาที่ศึกษา ในสาขาวิชาการศึกษาพิเศษ ขอขอบพระคุณเจ้าของงานวิจัยทุกเล่ม ที่ข้าพเจ้าได้นำมาใช้เป็นข้อมูลประกอบการศึกษา ทำให้งานวิจัย ฉบับนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ขอขอบพระคุณบิดาและมารดาที่ให้ได้โอกาส กำลังใจ และให้การสนับสนุนในเรื่องการศึกษา เสมอมา ตลอดระยะเวลาของการทำวิจัยฉบันนี้ ขอขอบคุณเพื่อน ๆ นักศึกษาชั้นปีที่ 4 สาขาวิชาการศึกษาพิเศษ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ อุดรธานี ที่คอยให้กำลังใจ ให้ความร่วมมือ และคอยสนับสนุนให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดี อาทิตยา ยงยืน


ง สารบัญ เรื่อง หน้า บทคัดย่อ ก กิตติกรรมประกาศ ค สารบัญ ง บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาการวิจัย 1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 2 สมมุติฐานการวิจัย 2 ขอบเขตการวิจัย 3 นิยามศัพท์เฉพาะ 3 ประโยชน์ที่จะได้รับ 4 กรอบแนวคิดในการวิจัย 4 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1. แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 6 1.1 บุคคลที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัม 6 1.2 กลวิธีการเรียนรู้ผ่านการมอง (Visual Strategies) 32 1.3 สื่อสนับสนุนการเรียนรู้ผ่านการมอง (Visual Support) 35 1.4 โปรแกรม TEACCH (Treatment and Education of Autistic 36 and Related Communication Handicapped Children) 1.5 การปฏิบัติกิจกรรมประจำวัน 38 1.6 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 41 บทที่ 3 วิธีการดำเนินการวิจัย


จ สารบัญ (ต่อ) เรื่อง หน้า ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 44 รูปแบบการวิจัย 44 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 45 เก็บรวบรวมข้อมูล 45 การวิเคราะห์ข้อมูล 52 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 53 บทที่ 4 ผลการศึกษา วิเคราะห์ผลการใช้โปรแกรม (TEACCH) ในการปฏิบัติกิจกรรมประจำวัน 55 ของนักเรียนออทิสติก ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยนำข้อมูลแบบ พรรณนาวิเคราะห์ (Descriptive Analysis) ตามรายพฤติกรรมการปฏิบัติกิจกรรมประจำวัน วิเคราะห์เปรียบเทียบความสามารถการปฏิบัติกิจกรรมประจำวันก่อน 59 และหลังการใช้โปรแกรม TEACCH ในการปฏิบัติกิจกรรมประจำวัน ของนักเรียนออทิสติก ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยนำเสนอข้อมูลแบบตารางและกราฟแท่ง บทที่ 5 สรุป อภิปราย และข้อเสนอแนะ สรุปผลการวิจัย 64 ข้อเสนอแนะที่ได้จากการวิจัย 65 บรรณานุกรม 66


1 บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหาการวิจัย เด็กออทิสติก คือเด็กที่มีความผิดปกติของพัฒนาการทางระบบประสาท ความบกพร่องดังกล่าวมี ผลกระทบต่อพัฒนาการทางด้านต่างๆ ทั้งทางด้านภาษา การสื่อสาร การมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและพฤติกรรม ( เพ็ญแข ลิ่มศิลา, 2540 ) เด็กออทิสติก เป็นเด็กที่มีภาวะความเบี่ยงเบนในพัฒนาการ 3 ด้าน คือ ลักษณะด้าน สังคม ด้านการสื่อสารทางภาษา และด้านพฤติกรรมและความสนใจ โดยมีแยกตัวอยู่ตามลำพังในโลกของตนเอง มี พฤติกรรมซ้ำๆ บางอย่าง เล่นของเล่นไม่เป็น อยูไม่นิ่ง และทำร้ายตนเอง เป็นต้น ลักษณะบางอยางจะปรากฏให้ เห็นได้ตั้งแต่ขวบปีแรก และจะสามารถวินิจฉัยได้ในอายุ 2-3 ปี ขึ้นไป เด็กออทิสติกอาจมีพฤติกรรมระดับ สติปัญญาแตกต่างกัน ตั้งแต่สติปัญญาตํ่ากว่าปกติช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ไปจนถึงเรียนเก่งสามารถจบการศึกษา ระดับปริญญาเอกได้ ( จุฑามาส วรโชติกาจร, 2554 ) ความผิดปกติเหล่านี้เป็นปัญหาสำหรับเด็กออทิสติก ทำให้ เด็กไม่สามารถเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมรอบตัว เหมือนเด็กทั่วไปในวัยเดียวกัน ปิดกั้นพัฒนาการ ที่ต้องเจริญก้าวหน้า ไปตามวัยปิดกั้นการเรียนรู้ที่สำคัญในด้านต่างๆ เป็นอุปสรรคในการพัฒนาตนเอง และการดำรงชีวิตเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเด็กออทิสติกในระดับปฐมวัย ความผิดปกติทำให้เด็กไม่สามารถปฏิบัติกิจกรรมประจำวันเหมือนเด็ก ปกติทั่วไปได้ ถ้าเด็กไม่ได้รับการพัฒนาอย่างถูกต้องและเหมาะสมจากผู้ที่เกี่ยวข้อง อาจทำให้เกิดปัญหากับตัวเด็ก เองและครอบครัว ปัญหากับสังคม และขยายวงกว้างไปถึงประเทศ ดังนั้นผู้ที่เกี่ยวข้องต้องหาวิธีการช่วยเหลือ โดย จัดการศึกษาที่เหมาะสมและสอดคล้องกับความ ต้องการของเด็กแต่ละคน โดยเริ่มจากการพัฒนาตั้งแต่ทักษะ พื้นฐานในชีวิตประจำวันให้เด็กช่วยเหลือตนเองได้ ( อโรชา ธรรมศิริ, 2551) การฝึกทักษะการช่วยเหลือตนเอง คือ การจัดกระบวนการเรียนรู้ในเรื่องกิจกรรมประจำวัน ให้เด็กสามารถทำได้ด้วยตนเองเต็มความสามารถที่เขามีอยู่ ( ศรีสมร กสิวัฒน์ 2540 ) ซึ่งการฝึกทักษะที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน การช่วยเหลือตนเองในชีวิตประจำวันเป็นเรื่อง สำคัญต่อเด็ก เพื่อให้เด็กสามารถเรียนรู้การอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ตั้งแต่ การมาโรงเรียน การเก็บกระเป๋าเข้าชั้น การจัด กระเป๋าขึ้นไปเรียนรวม การจัดตารางเรียน การเตรียมกระบอกน้ำก่อนรับประทานอาหารกลางวัน เด็กออทิสติก ส่วนใหญ่จะต่อต้านการกระทำดังกล่าว การสอนให้ช่วยตนเองต้องสอนโดยการกระจายงานออกเป็นขั้นตอนจาก ง่ายไปหายาก ( จุฑามาส วรโชติกาจร, 2554 ) ซึ่งการฝึกการปฏิบัติกิจกรรมประจำวันสำหรับเด็กออทิสติก ควร สอนในเรื่องต่อไปนี้ 1) ควรให้เด็กรู้จักตารางกิจกรรมในแต่ละวันว่าเด็กเขาต้องทำอะไรบ้างในกิจกรรมนั้นๆ ทำให้ เด็กสามารถร่วมทำกิจกรรมกับคุณครูผู้สอนโดยเด็กรู้ล่วงหน้าแล้วว่าต้องทำอะไรบ้าง 2) ควรฝึกให้เด็กสามารถ ช่วยเหลือตนเองตามขั้นตอนทีละน้อยในการมาโรงเรียน การเก็บกระเป๋าเข้าชั้น การเตรียมตัวเข้าแถวเคารพธงชาติ


2 ได้ด้วยตนเอง เด็กออทิสติกทุกคนจะรู้สึกภูมิใจเมื่อสามารถทำกิจกรรมได้ด้วยตนเอง 3) เด็กสามารถบอกได้ว่า ตารางกิจกรรมวันนี้เด็กต้องทำอะไรบ้าง เรียนวิชาอะไรบ้าง ก่อนเข้าแถวเคารพธงชาติต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง ก่อน ไปรับประทานอาหารกลางวันต้องเตรียมอะไรบ้าง และตอนเลิกโรงเรียนก่อนผู้ปกครองมารับเด็กต้องเตรียมตัวและ เก็บสิ่งของอะไรบ้าง จุดมุ่งหมายหลักของโปรแกรม TEACCH คือ มุ่งเน้นช่วยเหลือ และสนับสนุนพัฒนาการของ เด็กออทิสติกให้ประสบความสำเร็จเต็มตามศักยภาพ ส่วนประกอบหลักสำคัญของโปรแกรม TEACCH คือ การ สอนที่มีโครงสร้างชัดเจน โดยใช้จุดเด่นหรือโครงสร้างลักษณะพื้นฐานของออทิสติกมาส่งเสริมและพัฒนาการ เรียนรู้ และการสอนด้วยการมองเห็น เด็กออทิสติกจะเรียนรู้ได้ดีด้วยการใช้สายตาจากของจริงแล้ว ภาพเป็นสื่อ การสอนที่เหมาะที่สุด การใช้ภาพประกอบขั้นตอนในการเรียนการสอน จะทำให้เด็กออทิสติกเข้าถึงบทเรียนได้ง่าย เรียนรู้ได้เร็วขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับ ศูนย์การศึกษาพิเศษจังหวัดชัยนาท กล่าวไว้วา เด็กออทิสติกเป็นเด็กที่สื่อสารได้ดี ทางการใช้สายตา แต่สื่อสารได้ไม่ดีทางการฟัง จึงควรใช้สายตาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อเด็กเข้าใจสิ่งที่ มองเห็นได้ด้วยสายตาจะช่วยให้เด็กมีการรับรู้ดีขึ้น เข้าใจสิ่งที่ต้องการจะสื่อสาร การเรียนการสอนที่จะเป็นขั้นๆ ง่ายๆ ประมาณ 2 –3 ขั้นตอน จะทำให้เด็กเรียนรู้ได้ดี ผู้วิจัยจึงสนใจ ศึกษาการใช้โปรแกรม (TEACCH) ในการ ปฏิบัติกิจกรรมประจำวันสำหรับนักเรียนออทิสติก เพื่อพัฒนาศักยภาพนักเรียนออทิสติกต่อไป วัตถุประสงค์การวิจัย 1. เพื่อศึกษาการใช้โปรแกรม (TEACCH) ในการปฏิบัติกิจกรรมประจำวัน ของนักเรียนออทิสติก ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 2. เพื่อเปรียบเทียบความสามารถของผู้เรียนในการปฏิบัติกิจกรรมประจำวัน ก่อนและหลังการใช้ โปรแกรม (TEACCH) สมมติฐานการวิจัย โปรแกรม (TEACCH) ช่วยพัฒนาความสามารถในการปฏิบัติกิจกรรมประจำวันของนักเรียนออทิสติกได้ จริงหรือไม่ อย่างไร ยกตัวอย่าง เช่น นักเรียนต้องเอากระเป๋านักเรียนไปเก็บที่ชั้นวางกระเป๋า นักเรียนต้องไปหยิบ เก้าอี้เพื่อเตรียมเข้าแถวเคารพธงชาตินักเรียนต้องเตรียมเครื่องเขียน เช่น ดินสอ ยางลบ ดินสอสี เข้าเรียนตาม ตารางเรียน นักเรียนต้องไปหยิบนมอาหารว่าง (ช่วงพักเบรก) มาทานเอง นักเรียนต้องไปล้างมือและเตรียม กระบอกน้ำเพื่อไปรับประทานอาหารกลางวัน นักเรียนต้องเก็บของใช้เตรียมกระเป๋านักเรียนและสวมรองเท้าเพื่อ รอกลับบ้าน


3 ขอบเขตการวิจัย 1. ประชากรในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น ฝ่ายการศึกษาพิเศษ จังหวัดขอนแก่น 2. ตัวแปรในการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้มีตัวแปร ดังนี้ 2.1 ตัวแปรต้น คือ การใช้โปรแกรม (TEACCH) 2.2 ตัวแปรตาม คือ ความสามารถในการปฏิบัติกิจกรรมประจำวันด้วยตนเอง 3. เนื้อหาการวิจัยครั้งนี้ คือ การปฏิบัติกิจกรรมประจำวันด้วยตนเอง เช่น เอากระเป๋านักเรียนไปเก็บที่ชั้น วางกระเป๋า หยิบเก้าอี้เพื่อเตรียมเข้าแถวเคารพธงชาติเตรียมเครื่องเขียน เช่น ดินสอ ยางลบ ดินสอสี เข้าเรียน ตามตารางเรียน ไปหยิบนมอาหารว่าง (ช่วงพักเบรก) มาทานเอง ไปล้างมือและเตรียมกระบอกน้ำเพื่อไป รับประทานอาหารกลางวัน เก็บของใช้เตรียมกระเป๋านักเรียนและสวมรองเท้าเพื่อรอกลับบ้าน 4. ระยะเวลาในการวิจัย ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 นิยามศัพท์เฉพาะ การใช้โปรแกรม (TEACCH) หมายถึง การสอนแบบมีโครงสร้าง (Structured teaching) เช่น การจัด ตารางเวลาส่วนตัว (Individualized schedulrs) ได้แก่ ตารางกิจกรรมทั้งวันแต่ละคาบเรียน โดยใช้รูปภาพเป็น โครงสร้างเพื่อเพิ่มความเข้าใจ การจัดสภาพแวดล้อมทางกายภาพ (Physical organization) ระบบงาน (Work Activity systems) ได้แก่ ระบบการใช้กล่องงานใบงาน การปฏิบัติกิจกรรมประจำวัน หมายถึง การปฏิบัติกิจกรรมประจำวันด้วยตนเอง เช่น เอากระเป๋านักเรียน ไปเก็บที่ชั้นวางกระเป๋า หยิบเก้าอี้เพื่อเตรียมเข้าแถวเคารพธงชาติเตรียมเครื่องเขียน เช่น ดินสอ ยางลบ ดินสอสี เข้าเรียนตามตารางเรียน ไปหยิบนมอาหารว่าง (ช่วงพักเบรก) มาทานเอง ไปล้างมือและเตรียมกระบอกน้ำเพื่อไป รับประทานอาหารกลางวัน เก็บของใช้เตรียมกระเป๋านักเรียนและสวมรองเท้าเพื่อรอกลับบ้าน สื่อสนับสนุนการเรียนรู้ผ่านการมอง (Visual Support) หมายถึง ตารางกิจกรรมประจำวัน ตารางเรียน สื่อ ใบงาน ที่ใช้รูปภาพเป็นโครงสร้างเพื่อเพิ่มความเข้าใจ ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อการวิจัยครั้งนี้


4 นักเรียนออทิสติก หมายถึง นักเรียนออทิสติก นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยขอนแก่น ฝ่ายการศึกษาพิเศษ จังหวัดขอนแก่น ที่มีข้อจำกัดด้านการปฏิบัติกิจกรรมประจำวันได้ด้วย ตนเอง ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย 1. ได้ศึกษาการใช้โปรแกรม (TEACCH) ในการปฏิบัติกิจกรรมประจำวันของนักเรียนออทิสติก ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 2. ได้เปรียบเทียบความสามารถของผู้เรียนก่อนและหลังการใช้โปรแกรม (TEACCH) ในการปฏิบัติ กิจกรรมประจำวัน 3. ได้แนวทางการพัฒนานวัตกรรมเพื่อพัฒนาความสามารถในการปฏิบัติกิจกรรมประจำวันของนักเรียน ออทิสติก กรอบแนวคิดในการวิจัย การใช้โปรแกรม (TEACCH) คือ การสอนแบบมีโครงสร้าง (Structured teaching) เช่น การจัดตารางเวลาส่วนตัว (Individualized schedulrs) ได้แก่ ตารางกิจกรรมทั้งวันแต่ละ คาบเรียน โดยใช้รูปภาพเป็น โครงสร้างเพื่อเพิ่มความเข้าใจ ความสามารถในการปฏิบัติกิจกรรมประจำวันด้วย ตนเอง เช่น เอากระเป๋านักเรียนไปเก็บที่ชั้นวาง กระเป๋า หยิบเก้าอี้เพื่อเตรียมเข้าแถวเคารพธงชาติ เตรียมเครื่องเขียน เช่น ดินสอ ยางลบ ดินสอสี เข้า เรียนตามตารางเรียน ไปหยิบนมอาหารว่าง (ช่วงพัก เบรก) มาทานเอง ไปล้างมือและเตรียมกระบอกน้ำ เพื่อไปรับประทานอาหารกลางวัน เก็บของใช้เตรียม กระเป๋านักเรียนและสวมรองเท้าเพื่อรอกลับบ้าน


5 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยเรื่องศึกษาการใช้โปรแกรม (TEACCH) ในการปฏิบัติกิจกรรมประจำวันสำหรับนักเรียนออทิสติก ผู้วิจัยได้ใช้แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 1. แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 1.1 บุคคลที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัม 1.2 กลวิธีการเรียนรู้ผ่านการมอง (Visual Strategies) 1.3 สื่อสนับสนุนการเรียนรู้ผ่านการมอง (Visual Support) 1.4 โปรแกรม TEACCH (Treatment and Education of Autistic and Related Communication Handicapped Children) 1.5 การปฏิบัติกิจกรรมประจำวัน 1.6 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง


6 1. แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 1.1 บุคคลที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัม ความหมายของบุคคลที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัม ออทิซึมสเปกตรัม ถูกค้นพบครั้งแรกโดย ลีโอ แคนเนอร์ (Leo Kenner) จิตแพทย์ชาวอเมริกัน ในปี ค.ศ. 1943 ออทิซึม (Autism) มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก กล่าวคือ Auto แปลว่า ตัวเอง (Self) Withdrawn หมายถึง มีอาการถดถอยและอยู่ในโลกของตัวเอง สมาคมจิตแพทย์ประเทศสหรัฐอเมริกาและองค์กรอนามัยโลกได้ให้ ความหมายของออทิซึม ไว้ว่า เป็นความผิดปกติทางด้านการพัฒนาการหลายอย่างร่วมกัน ( pervasive development disorder) เกิดจากความผิดปกติที่ระบบประสาท (neurological disorder) ทำให้มีความ บกพร่องของความสามารถในการเรียนรู้ การรับรู้การเคลื่อนไหว การบูรณาการประสาทความรู้สึกและพัฒนาการ ทางด้านอารมณ์ ฯลฯ ส่งผลให้เกิดพฤติกรรมที่เป็นปัญหาหลายอย่าง เช่น มีความบกพร่องด้านการรับรู้ของ กล้ามเนื้อ ทำให้มีความต้องการรับรู้ด้านนี้เพิ่มขึ้น เด็กจึงไม่สามารถสื่อสารหรือตอบสนองสังคมหรือสิ่งแวดล้อมได้ อย่างเหมาะสมไม่มีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลและสถานการณ์ต่างๆ รอบตัว แต่มีพัฒนาการทางด้านร่างกายอยู่ในเกณฑ์ ปกติ เด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัมหรือเรียกว่า “เด็กออทิสติก” กระทรวงศึกษาธิการสหรัฐอเมริกา ค.ศ.1991 ให้ ความหมายของเด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัมว่าเป็นเด็กที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการด้านการสื่อสารด้วย ภาษา ด้านความสัมพันธ์กับผู้อื่นและพฤติกรรม ซึ่งสังเกตอาการได้ชัดเจนตั้งแต่ก่อนอายุ 3 ปี นอกจากนั้นมี หน่วยงาน องค์กร และผู้ให้ความหมายของเด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัมไว้ ดังนี้ ผดุง อารยะวิญญู (2545) กล่าวว่าเด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัม หมายถึง เด็กที่มีพัฒนาการล่าช้ามัก แสดงปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมในลักษณะแปลกๆแสดงอาการสนใจต่อตนเองหรือในการกระตุ้นตนเอง โดยไม่ให้ความสนใจต่อสิ่งรอบตัวมีปัญหาทางการพูดและภาษาไม่สามารถแสดงปฏิกิริยาโต้ตอบต่อผู้คนและสิ่งของ หรือเหตุการณ์ต่างๆ ชาญวิทย์ พรนภดล (2545) ให้ความหมายของเด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัมว่าเด็กที่มีภาวะออทิซึม สเปกตรัม หมายถึง เด็กที่ป่วยเป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของสมองที่เรียกว่า Pervasive DevelopmentalDisorder (PDD) ซึ่งยังไม่สามารถทราบแน่ชัดเด็กจะมีพัฒนาการล่าช้าทางด้านภาษาขาดความ สนใจในการมีสังคมกับบุคคลอื่นและมีพฤติกรรมทำอะไรซ้ำๆหรือมีความสนใจจำกัดเฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หมายความของ PDD ใกล้เคียงกับคำว่า “Autistic Spectrum Disorder” ส่วนคำว่า “Autism” มักใช้เรียกผู้ป่วย


7 ที่มีอาการรุนแรงครบเกณฑ์การวินิจฉัยของ Autistic disorder เท่านั้นซึ่งผู้ป่วยแต่ละรายจะมีอาการแสดงแตกต่าง กันตามความรุนแรงของโรค ทวีศักดิ์ สิริรัตน์เรขา (2558) แพทย์จิตเวชศาสตร์ รามาธิบดี ได้ให้ความหมาย “ออทิสติก” ( Autistic Spectrum Disorder) ว่าเป็นโรคที่ค้นพบเป็นเวลากว่า 70 ปี มีชื่อเรียกหลากหลายและมีการเปลี่ยนแปลงการ เรียกชื่อเป็นระยะ เช่น ออทิสติก (Autistic Disorder) ออทิซึม (Autism) ออทิสติก สเปกตรัม (Autism Spectrum Disorder) พีดีดี (Pervasive Developmental Disorders;PDDs) พีดีดี เอ็นโอเอส (PDD,Not Otherwise Specifed) และแอสเพอร์เกอร์ (Asperger’s Disorder) เป็นต้น จนในปัจจุบันตกลงใช้คำว่า “Autism Spectrum Disorder” ตามเกณฑ์คู่มือการวินิจฉัยโรคทางจิตเวชฉบับล่าสุด DSM-5 ของสมาคมจิตแพทย์อเมริกัน ซึ่งใช้อย่างเป็นทางการในระดับสากลตั้งแต่ปี พ.ศ.2556 เกณฑ์การวินิจฉัยโรคของสมาคมจิตแพทย์อเมริกัน ฉบับ พิมพ์ครั้งที่ 5 (Diagnostic and Statistical of Mental Disorders,Fifth Edition คำย่อคือ DSM-5) ประกอบด้วย เกณฑ์ดังนี้ 1)มีความบกพร่องอย่างยาวนาน (persistent) ด้านการสื่อสารทางสังคมและด้านปฏิสัมพันธ์ทางสังคม อาการบกพร่องจะปรากฎในหลายบริบท อาการที่เป็นอาจจะกำลังเป็นอยู่ในปัจจุบันหรือมีประวัติว่าเคยมีอาการก็ ได้ อาการในข้อนี้ประกอบด้วย 1.1) มีอาการบกพร่องในถ้อยทีถ้อยปฏิบัติทางด้านอารมณ์ที่เกี่ยวกับการสังคม (Social-emotional reciprocity) อาการมีได้ตั้งแต่วิธีการเข้าหาเพื่อการสังคมผิดปกติ ไม่สามารถสนทนาแบบเขาบ้างเรา บ้างหรือไม่ สามารถสนทนาไปสนทนามา ไม่สามารถมีความสนใจร่วม ไม่สามารถมีอารมณ์ร่วม ไม่สามารถแสดงสีหน้าอารมณ์ ร่วม จนถึงอาการไม่สามารถเป็นฝ่ายเริ่มต้นปฏิสัมพันธ์ทางสังคมหรือไม่สามารถตอบสนองปฏิสัมพันธ์ทางสังคม 1.2) การแสดงออกทางพฤติกรรมการสื่อสารแบบอวัจนะภาษา (Nonverbal communicative behaviors) เพื่อการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมบกพร่อง อาการมีได้ตั้งแต่การบูรณาการการสื่อสารระหว่างแบบวัจนะ ภาษากับอวัลนะภาษาไม่ดี การสบตาผิดปกติ ภาษากายผิดปกติ ความสามารถในการเข้าใจท่าทางด้อย ความสามารถในการใช้ท่าทางประกอบการสื่อสารด้อย จนถึงอาการไม่มีการแสดงสีหน้าและไม่มีการใช้วิธีการ สื่อสารแบบอวัฐนะภาษาเลย 1.3) การพัฒนา การดำรงไว้ และการเข้าใจเรื่องสัมพันธภาพบกพร่อง อาการมีได้ตั้งแต่การปรับพฤติกรรม ตนเองเพื่อให้เข้ากับบริบทการสังคมนานาบริบททำได้ยาก จนถึงการแบ่งปันการเล่นตามบทจินตนาการทำได้ยาก


8 การสร้างความเป็นมิตรทำได้ยากหรือมีอาการไม่สนใจเพื่อนเลยความรุนแรงของอาการให้พิจารณาจากความ รุนแรงของอาการการสื่อสารทางสังคมและอาการพฤติกรรมที่จำกัดแต่ในขณะเดียวกันก็มีอาการซ้ำซาก 2) มีพฤติกรรม ความสนใจหรือกิจกรรมที่ชอบเป็นแบบแผนตายตัวหรือซ้ำๆจะต้องแสดงอาการตาม รายการต่อไปนี้อย่างน้อยที่สุดสองอาการ อาการอาจจะกำลังเป็นอยู่หรือมีประวัติว่าเคยมีอาการก็ได้ 2.1) การเคลื่อนไหว การใช้สิ่งของหรือคำพูดมีอาการเป็นแบบแผนตายตัวหรือซ้ำๆ (เช่นการ เคลื่อนไหวที่เป็นแบบแผนง่ายๆแต่ตายตัว การจัดเรียงตุ๊กตาเป็นแบบแผนตายตัวหรือซ้ำๆ การพลิกวัตถุไปมาหรือ ขึ้นลงซ้ำๆ พูดตามซ้ำๆ พูดวลีแปลกๆ เป็นต้น) 2.2) การยึดหรือยืนกรานอยู่กับเดิมๆ เหมือนเดิม ยืดอย่างไม่ยืดหยุ่นอยู่กับพิธีคือเคยทำอย่างไรก็ต้องทำ อย่างนั้นเหมือนเดิม พฤติกรรมทั้งแบบวัฐนะภาษาหรืออวัฐนะภาษาเป็นแบบมีรูปมีแบบหรือเป็นแบบพิธี (เช่นจะมี อาการไม่สบายใจเกิดขึ้นแม้ว่าการเปลี่ยนแปลงจะมีเพียงเล็กน้อย เปลี่ยนผ่านอย่างยากลำบาก รูปแบบการคิดมี อาการเถรตรง การทักทายมีอาการอย่างเป็นพิธี มีความต้องการในการใช้เส้นทางเดิมๆทุกวัน มีความ ต้องการที่จะ กินอาหารเดิมๆทุกวัน เป็นต้น) 2.3) มีความสนใจที่จำกัดมากๆ ยึดติดแน่นกับความสนใจนั้นจนผิดปกติทั้งในแง่การเอาจริงเอาจังหรือจุด ที่สนใจ (เช่นยึดผูกพันกับหรือหมกมุ่นอย่างรุนแรงกับสิ่งของที่แปลกๆ ความสนใจก็มีขอบเขตหรือมุ่งมั่นเอาจริงเอา จัง 2.4) เวลาประสาทรับความรู้สึกรันข้อมูลเข้ามาจะทำให้มีการตอบสนองด้วยการมีกิจกรรมที่มากๆ หรือ น้อยมากๆ หรือสนใจอย่างมากๆในแง่ประสาทรับสัมผัสของสิ่งแวดล้อม (เช่น ไม่ไยดีกับความปวด/ อุณหภูมิ มีการ ตอบสนองที่ผิดปกติต่อเสียงที่เฉพาะหรือเนื้อผ้า เนื้อผิว องค์ประกอบหรือแก่นสารที่เฉพาะ ดมหรือ สัมผัสสิ่งของ มากๆ หลงใหลอย่างมากในการได้เห็นแสงหรือได้เห็นการเคลื่อนไหวความรุนแรงของอาการให้พิจารณาจากความ รุนแรงของอาการการสื่อสารทางสังคมและอาการพฤติกรรมที่จำกัดแต่ในขณะเดียวกันก็มีอาการซ้ำซาก 3) อาการทั้งหมดจะต้องเริ่มเป็นในวัยพัฒนาการแรกๆ (แต่อาจจะแสดงอาการยังไม่เต็มที่จนกว่า ความสามารถที่ต้องใช้เพื่อการสังคมมีมากเกินกว่าศักยภาพที่จำกัดหรืออาการอาจจะถูกบดบังด้วยการเรียนรู้ในวัย อายุหลังๆ


9 4) อาการจะต้องถึงส่งผลกระทบจนถึงขั้นมีนัยสำคัญทางคลีนิคต่อการทำหน้าที่ทางสังคม อาชีพหรือ หน้าที่อื่น ๆที่สำคัญในการทำหน้าที่ปัจจุบัน Siegel (1996) ให้ความหมายเด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัม ไว้ว่า "เป็นเด็กที่มีพัฒนาการบกพร่องด้านอารมณ์ ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม และภาษา พระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ พ.ศ. 2551 ระบุความหมายไว้ว่า เด็กที่มีภาวะออทิซึม สเปกตรัม ได้แก่ บุคคลที่มีความผิดปกติของระบบการทำงานของสมองบางส่วน ซึ่งส่งผลต่อความบกพร่องทาง พัฒนาการด้านภาษา ด้านสังคมและการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม และมีข้อจำกัดด้านพฤติกรรม หรือมีความสนใจ จำกัดเฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยความผิดปกตินั้นค้นพบได้ก่อนอายุ 30 เดือน สรุปได้ว่า เด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัม มีความผิดปกติทางพัฒนาการล่าช้า บกพร่องด้านปฏิสัมพันธ์ ทาง สังคม พฤติกรรม และพัฒนาการด้านภาษา ซึ่งมีสาเหตุเนื่องมาจากการทำงานที่ผิดปกติของสมองบางส่วน และความผิดปกตินี้ พบได้ก่อนวัย 30 เดือน สาเหตุของเด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัม (Cause of autism) ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน ในขณะนี้นักวิจัยกำลังศึกษากันอยู่อย่างกว้างขวางแต่จากการศึกษา ค้นคว้าในปัจจุบันพอจะสรุปปัจจัยสำคัญต่างๆ ที่เป็นสนับสนุนสาเหตุการเกิดภาวะออทิซึมสเปกตรัมน่าจะ เกี่ยวข้องกับพยาธิสภาพทางสรีระวิทยา (Pathophysiology) ของระบบประสาทส่วนกลาง รวมทั้งปัจจัยอื่นๆ ที่ น่าจะเกี่ยวข้อง ดังนี้ (อุมาพร ตรังคสมบัติ, 2545; เพ็ญแขลิ่มศิลา, 2545, ชาญยุทธ์ ศุภคุณภิญโญ, 2547; นิรมล หัจนสุนทร, 2547;Rogeret al, 2001; Pierangelo, 2003) 1) ความผิดปกติของสมอง (Abnormalities of the Brain) ภาวะออทิซึมสเปกตรัมเป็นความผิดปกติของสมองที่เป็นมาโดยกำเนิด สมองอาจผิดปกติทั้งโครงสร้างและ การทำงาน โดยมีความผิดปกติของเซลล์ที่เด่นชัดในสมอง 2 ส่วนคือ ส่วน Limbic System และ Cerebellum และมีความผิดปกติของขนาดของก้านสมอง ดังนี้ 1.1) บริเวณ Limbic System พบความผิดปกติในส่วนของ Amygdala และ Hippocampus ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมด้านความจำ อารมณ์ การเรียนรู้และแรงจูงใจความผิดปกติ ที่พบ คือ ลักษณะของเซลล์บริเวณนี้มีขนาดเล็กและมีจำนวนมากกว่าในคนปกติ จำนวนเซลล์ประสาทบริเวณนี้มี ความหนาแน่นมากอาจทำให้เด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัมมีความผิดปกติทางอารมณ์ การเรียนรู้ ความจำและ พฤติกรรม เนื่องจากสมองส่วนนี้ทำหน้าที่ควบคุมในเรื่องดังกล่าว 1.2) เซลล์ประสาทที่บริเวณสมองส่วน Cereelium ของเด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัมมีจำนวน Purkinje Cell ลดลงและการขาดหายไปของ Gilesis ซึ่ง เป็นส่วนประกอบของสมองส่วนที่เป็นโครงพยุงเซลล์ประสาท มีช่องว่างระหว่างเซลล์มากมายจนมองเห็นการ


10 กระจัดกระจายของเซลล์ เซลล์มีลักษณะไม่พัฒนาเช่นเดียวกับเซลล์บริเวณ Limbic System ซึ่งอาจเป็นผลให้เด็ก ที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัมมีความผิดปกติทางด้านการเคลื่อนไหว การควบคุมกล้ามเนื้อในการทรงตัวและความ แข็งแรงของกล้ามเนื้อ 1.3) ก้านสมอง (Brain Stem) นักวิทยาศาสตร์ พบว่า ก้านสมองของเด็กที่มีภาวะออทิซึม สเปกตรัมจะมีขนาดเล็กกว่าปกติ อาจมีอันตรายเกิดขึ้นต่อก้านสมองขณะที่เด็กเป็นตัวอ่อน เมื่อก้านสมองเกิด ปัญหาจะทำให้สมองส่วนอื่นทำหน้าที่บกพร่องต่อเนื่องกันเป็นลูกโซ่ และทำให้เกิดพฤติกรรมต่าง ๆ มากมายความ ผิดปกติของสมองส่วนใหญ่เกิดในขณะที่เด็กยังเป็นตัวอ่อนอยู่ในครรภ์ แต่บางรายอาจเกิดขณะคลอดหรือหลัง คลอด สิ่งที่สนับสนุนว่าอาการนี้เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของสมอง คือ การตรวจพบว่าคลื่นสมองของเด็กที่มี ภาวะออทิซึมสเปกตรัมมีความผิดปกติมากกว่าในเด็กทั่วไป ในผู้ป่วยบางรายเซลล์สมองมีลักษณะเป็นเซลล์อ่อนไม่ เติบโตตามอายุ การศึกษาในทารกแรกเกิดปกติพบว่า Growth Factor จะมีบทบาทสำคัญในการเจริญเติบโตของ สมอง แต่หากมีปริมาณสูงเกินไปจะทำให้สมองเกิดความผิดปกติได้มีหลักฐานหลายอย่างที่แสดงว่าเด็กที่มีภาวะ ออทิซึมสเปกตรัม มีความผิดปกติในการทำหน้าที่ของสมอง เช่น การตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์ PET Scan พบว่า การทำงานของเซลล์สมองในซีกซ้ายและขวาไม่เท่ากันการทำงานของสมองไม่ประสานกันระหว่างสมองส่วนหน้า (Frontal Lope) กับสมองส่วนข้าง (Parietal lope) และส่วน Neostriatum กับ Thalamus และผลจาก การศึกษาสมองด้วยเครื่อง MRI ยังพบว่าสมองของเด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัมมีขนาดเพิ่มขึ้นโดยไม่ทราบ สาเหตุที่สมองบริเวณ Dccipital Lope บริเวณ Parietal Lobe และ Temporal Lobe สำหรับสมองบริเวณ Temporal Lobe นี้มีความสำคัญมากในคนที่สมองส่วนนี้ถูกทำลายจะแสดงพฤติกรรมคล้ายภาวะออทิซึม สเปกตรัม นอกจากนี้ยังพบว่าเด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัมมีโครงสร้างของสมองที่ผิดปกติ 2) ความผิดปกติของสารสื่อประสาท (Neurotransmitters Abnormalities) ความผิดปกติของสารเคมีในระบบประสาท สารสื่อประสาท (Abnormalities of Neurotransmitters) พบว่า สารสื่อประสาท 3 ชนิด คือ Serotonin, Catecholamine, และ Endorphins มีในกระแสเลือดมาก รายละเอียดเป็นดังนี้ (1) สาร Serotonin เป็นกรดอะมิโนตัวหนึ่ง (Amino Acid) ที่เรียกว่า Tryptophan พบ ในกระเพาะอาหารและลำไส้ เยื่อบุเส้นประสาทและเกล็ดเลือด Serotonin เป็นสารเคมีที่สำคัญในการ ทำงานของสมองที่ควบคุมโดยสมองซีกซ้ายพัฒนาได้ไม่ดีเท่ากับความสามารถทางการเห็น (Visual-Spatial) ซึ่ง ควบคุมโดยสมองซีกขวา (2) สาร Catedhelarine ลักษณะความผิดปกติของ Cetecbelarins คือมีการสร้าง


11 Doplanineเพิ่มขึ้นทำให้มีกรด Homevanilicในน้ำไขสันหลังเพิ่มขึ้นส่งผลให้เด็กที่มีภาวะ ภาวะออทิซีมส เปกตรัมบางคนทนความเจ็บปวดได้มากขึ้น จึงมีแนวโน้มที่จะทำร้ายตัวเองอย่างรุนแรง เช่น โขกศีรษะแรงๆ หรือ กัดข้อมือจนเลือดไหล (3) สาร Endorphins หรือ Endogenous Opioids ซึ่งเป็นสาร Neutoregulators ในระบบ ประสาทของมนุษย์ จากการศึกษาโดยการทำ Chromatography CHF ของบุคคลที่มีภาวะออทิซึม สเปกตรัมพบว่ามี Endorphins Hypofunction ใน Fractional ถึงร้อยละ 35 ทำให้เด็กมีพฤติกรรมอยู่ไม่นิ่ง กระสับกระส่ายนอกจากสารสื่อประสาทที่กล่าวมาแล้ว จากงานวิจัยพบว่าเด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัมบางคนมี ระดับสารเคมีบางอยางผิดปกติ (4) สารมอร์ฟิน เด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัมบางรายมีสาร QRpids ซึ่งเป็นสารประเภท มอร์ฟินเพิ่มขึ้นในกระแสโลหิต สารตัวนี้ไปยับบั้งการเจริญเติบโตของระบบประสาท ทำให้การทำงานของ ระบบประสาทเสียสมดุล และภูมิคุ้มกันโรคแย่ลง (5) สาร Sulphaste การศึกษาพบว่าเด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัมมีสาร Sulphate ใน เลือดต่ำทำให้สาร Neurotransmitter ในสมองทำงานแปรปรวนการขจัดสารบางอย่างในร่างกายทำได้ไม่ ดี และยังทำให้โปรตีนที่เคลือบผิวลำไส้มีปัญหาสารหลายอย่างจึงซึมผ่านเข้าไปในร่างกายได้ง่าย (6) การอักเสบของลำไส้ใหญ่ บางคนเชื่อว่าอาการภาวะออทิซึมสเปกตรัมเกี่ยวข้องกับการ อักเสบของลำไส้ใหญ่ ทำให้โปรตีนบางอย่างซึมผ่านผนังลำไส้เข้าไปในกระแสโลหิต และส่งผลให้สารเคมี ในสมองแปรปรวน เมื่อทดลองให้เด็กกินอาหารที่ปราศจากโปรตีนบางประเภท เช่น Casein หรือ Gluten ซึ่งเป็น อาหารที่ไม่มีส่วนผสมของนมหรือแป้งข้าวสาลีพบว่าเด็กหลายคนมีอาการดีขึ้น 3) ความบกพร่องของระบบภูมิคุ้มกัน (Auto Immune Disorders) บางคนเชื่อว่าภาวะออทิซึมสเปกตรัมเกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติ พบว่าในเด็กบางรายมีจำนวน Tcell และสาร LgA ซึ่งช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายอยู่ในระดับต่ำ เด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัมมีความผิดปกติ ภูมิคุ้มกัน เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันกลับไปทำลายระบบประสาทของตนเอง (Autoimmune Disorders)


12 4) สาเหตุทางพันธุกรรม ปัจจัยด้านพันธุกรรม (Genetic Factors) เป็นสาเหตุที่สำคัญ จากการศึกษาในเด็กแฝดพบมีการเกิดซ้ำใน เด็กแฝดทั้งคู่ที่เกิดจากไข่ใบเดียวกันถึงร้อยละ 36-86 เมื่อเปรียบเทียบกับเด็กแฝดที่เกิดจากไข่คนละใบพบเพียง ร้อยละ 0-27 และพบว่าเมื่อมีลูกคนหนึ่งเป็นภาวะออทิซึมสเปกตรัมลูกคนถัดไป จะมีโอกาสเป็นประมาณ ร้อยละ 3-7 ซึ่งมีโอกาสสูงกว่าประชากรทั่วไปถึง 50 เท่า นอกจากนี้ยังพบว่า มีญาติหรือบุคคลในครอบครัวมีปัญหาหรือมี ความผิดปกติของพัฒนาการด้านภาษา สังคม และการรับรู้ ซึ่งการถ่ายทอดทางพันธุกรรมอาจจะ ซับซ้อน เพราะ ไม่เป็นไปตามรูปแบบที่ขัดเจน อาจเกิดจากความผิดปกติของยีนส์หลายๆ ยืนส์ร่วมกัน การวิจัยเพื่อ ค้นพบยีนส์ หรือความผิดปกติบนโครโมโซมที่เป็นสาเหตุของภาวะออทิซึมสเปกตรัมยังไม่ได้ข้อสรุปที่แน่ชัด โดยมีรายงานพบ ความผิดปกติบนโครโมโซม ที่เป็นสาเหตุของภาวะออทิซึมสเปกตรัมยังไม่ได้ข้อสรุปที่แน่ชัด โดยมีรายงานพบความ ผิดปกติบนโครโมโซมที่ 1,2,6,7,13,16 ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม (Environmental risk factors)เช่นการได้รับยาบาง ชนิดขณะตั้งครรภ์ ยากันชัก เป็นต้น งานวิจัยปัจจุบันพบว่าอาจมีโครโมโซมที่ผิดปกติหลายตัวในโรคนี้ โดยเฉพาะ โครโมโซมตัวที่ 2,7,13,15,16 และ 18 มีหลักฐานที่แสดงว่าการเกิดภาวะออทิซึมสเปกตรัมมีส่วนเกี่ยวข้องทาง พันธุกรรม 5) ปัญหาทางชีววิทยา สาเหตุพฤติกรรมก้าวร้าวและทำร้ายตนเองของเด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัมนั้น Wring (1886 อ้างถึงใน เพ็ญแข ลิ่มศิลา, 2540) กล่าวว่า นักจิตวิทยาค้นหาสาเหตุและเสนอแนะว่ามีสาเหตุจากภายในที่ทำให้เด็กทำร้าย ตนเอง สาเหตุจากชีวภาพภายในเกิดจากสารเคมีที่ผิดปกติ สารนี้เรียกว่า Opiates เกิดขึ้นได้เองภายใน ร่างกาย สารนี้ช่วยลดความเจ็บปวดคล้ายกับมอร์ฟิน สารเคมีบางตัวทำให้ลดการตอบสนองความเจ็บปวด มีบางทฤษฎี กล่าวว่า การทำร้ายตัวเองเป็นวิธีการที่จะเพิ่มระดับ Opiates ในร่างกาย เพิ่มความรู้สึกสบายขึ้น 6) ปัญหาระหว่างการตั้งครรภ์และการคลอด ซึ่งแทรกซ้อนระหว่างตั้งครรภ์และการคลอด 7) การทำงานของระบบประสาท จากการศึกษาโดยการตรวจคลื่นสมองด้วยไฟฟ้า เพื่อตรวจสอบถึงระบบชีวภาพของระบบประสาท พบ ความผิดปกติอง Cerebral Cortex โดยมีอาการลมชัก (Epilepsy) เพ็ญแข ลิ่มศิลา (2540) กล่าวถึงสาเหตุของ ภาวะออทิซึมสเปกตรัมว่า มีสาเหตุมาจากภาวะต่างๆ มากมาย สิ่งที่ทำให้พัฒนาการทางสมองผิดปกติ อาจเกิดได้ ตั้งแต่ระหว่างที่เด็กอยู่ในครรภ์มารดา ระหว่างการคลอดหรือภายหลังการคลอด มารดาที่เป็นหัดเยอรมันระหว่าง การตังครรภ์ เด็กที่เป็นโรคทิวบอร์รัสสคอร์โรสีส ตั้งแต่กำเนิด เด็กขาดออกซิเจนระหว่างคลอด การเจ็บป่วยของ


13 เด็กภายหลังคลอด เช่น โรคสมองอักเสบ การเป็นหัดไอกรนที่มีภาวะแทรกข้อนก็อาจเป็นสาเหตุทำให้พัฒนาการ ทางสมองผิดปกติมีหลักฐานหลายอย่างที่แสดงว่า เด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัมมีความผิดปกติทางหน้าที่ของ สมอง จากการตรวจคลื่นสมองด้วยไฟฟ้าในเด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัมพบว่า มีความผิดปกติแบบไม่ เฉพาะเจาะจง (Nonspecific) มากกว่าเด็กทั่วไป ขนาดของสมองโต กว่าเด็กปกติเล็กน้อยและมีเซลล์สมองผิดปกติ อยู่ 2 แห่ง คือ บริเวณที่ควบคุมด้านความทรงจำ อารมณ์และแรงจูงใจ ส่วนอีกบริเวณหนึ่งจะควบคุมเกี่ยวกับการ เคลื่อนไหวของร่างกาย ลักษณะของเซลล์ทังสองแห่งเป็นเซลล์ที่ไม่พัฒนาตามวัย ผดุง อารยะวิญญู (2546) ได้กล่าวถึงสาเหตุของภาวะออทิซึมสเปกตรัม คือ ภาวะออทิซึมสเปกตรัมยังไม่ ทราบสาเหตุอย่างแน่ชัด นักวิชาการที่สนใจเรื่องนี้กำลังทำการศึกษาวิจัย เพื่อค้นหาเหตุของภาวะออทิซีมสเปก ตรัมอย่างต่อเนื่องอย่างไรก็ตามนักวิชาการจำนวนมาก มีความเชื่อว่าสาเหตุสำคัญของเด็ก ภาวะออทิซึมสเปกตรัม มี 2 ประการ คือ 1) สาเหตุความบกพร่องทางระบบชีววิทยาของร่างกายในสมัยแรกๆ นักจิตวิทยามีความเชื่อว่าความ บกพร่องทางระบบชีววิทยาของร่างกายเป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ก่อให้เกิดสภาพการเป็นเด็กที่มีภาวะออทิ ซึมสเปกตรัม ซึ่งรวมไปถึงความผิดปกติบางอย่างในสมอง ความผิดปกติบางอย่างของระบบประสาท ซึ่ง ก่อให้เกิด ความบกพร่องในการรับรู้ 2) สาเหตุจากสิ่งแวดล้อม ซึ่งรวมไปถึงการอบรมเลี้ยงดูของพ่อแม่ การที่เด็กเจริญเติบโตขึ้นมาท่ามกลาง สิ่งแวดล้อมที่โหดร้ายกับเด็ก นักจิตวิทยาได้ยกตัวอย่างการขาดความรัก เป็นสาเหตุประการหนึ่งของเด็กที่มีภาวะ ออทิซึมสเปกตรัม วิธีการปฏิบัติต่อเด็กของผู้ปกครอง พ่อแม่บางคนอาจเป็นคนเย็นชา ไม่สร้างความสัมพันธ์อันดี กับเด็ก บางคนอาจก้าวร้าว และแสดงออกในทาง ก้าวร้าว กับเด็กบางคนอาจปล่อยเด็กไว้กับพี่เลี้ยงในขณะที่ทั้ง พ่อแม่ต้องออกจากบ้านไปทำงานในเวลา กลางวัน พี่เลี้ยงอาจทำทารุณกรรมกับเด็กได้ นักจิตวิทยาอธิบายว่า ความเก็บกดที่เกิดขึ้นในเด็กที่ เป็นเวลาติดต่อกันอย่างยาวนาน อาจทำให้เด็กปกติกลายเป็นเด็กที่มีภาวะออทิซึม สเปกตรัมได้เพราะว่าเด็กจะปรับตัว ไปในทางถดถอยและสร้างโลกใหม่ของเขามาเองเป็นโลกที่ปราศจากความ โหดร้ายทารุณ สาเหตุและอัตราการเกิดของภาวะออทิซึมสเปกตรัม ปัจจุบันยังไม่มีการระบุสาเหตุหรือปัจจัยที่ก่อให้เกิด ภาวะออทิซึมสเปกตรัม อย่างเป็นทางการ เบื้องต้นสันนิษฐานว่าโรคนี้เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของยืน มีความ เสี่ยงสูงหากบุคคลในครอบครัวมีประวัติป่วยเป็นภาวะออทิซึมสเปกตรัม ทั้งนี้ งานวิจัยบางเรื่องได้ทำการศึกษาและ แสดงให้เห็นว่า หากพ่อแม่ที่มีอายุมาก หรือมีช่วงอายุห่างจากลูกตัวเองมาก เด็กที่เกิดออกมาก็จะเสี่ยงเป็นออทิซึม สเปกตรัม แต่ผลการศึกษาดังกล่าวเป็นเพียงแนวโน้มที่จะเกิดขึ้น นอกจากนี้ยังมีความเป็นไปได้อื่น ๆ ที่อาจทำให้


14 เด็กเสี่ยงเป็นออทิซึมสเปกตรัม ไม่ว่าจะเป็นการใช้สารเสพติดขณะตั้งครรภ์ การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ การใช้ ยาต้านอาการชัก หรือป่วยเป็นโรคเบาหวานและโรคอ้วน ในบางรายการติดเชื้อหัดเยอรมันหรือ ป่วยเป็นฟินิลดี โอนูเรียแล้วไม่ได้รับการรักษา หรืออาจเกี่ยวข้องกับอาการออทิซึมสเปกตรัมในเด็ก ผลจากการฉีด วัคซีนเสริมภูมิ ต้านทานโรคต่าง ๆ จะก่อให้เกิดอาการออทิซึมสเปกตรัมในเด็กได้ นักวิชาการพยายามศึกษาหารายละเอียดของ โรค แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ หรือสาเหตุของโรคได้อย่างชัดเจน มีนักวิจัยหลายท่านได้กล่าวถึงสาเหตุของเด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัม ไว้ดังนี้ Cumin, Leach, & Stevenson (1990) กล่าวว่า ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด อาการออทิซึมไม่ได้เกิดจากสาเหตุเพียงสาเหตุเดียว แต่มี สิ่งกระตุ้นให้เกิดอาการของโรคที่เป็นไปได้ คือ สาเหตุทางชีววิทยา ขณะการ ตั้งครรภ์ของมารดาและการคลอด ระบบประสาทวิทยา และสารเคมีในระบบประสาท ศรีเรือน แก้วกังวาล (2553) กล่าวถึงสาเหตุของเด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัม ไว้ว่า 1) สวเหตุด้านพันธุกรรม (genetic factor) แม้ว่าการศึกษาเรื่องพันธุกรรมของโรคออทิซึมยังดำเนินการ อย่างต่อเนื่อง และยังไม่สามารถสรุปแน่ชัดว่ายืนมีการถ่ายทอดอย่างไร เกี่ยวกับออทิซึม แต่การศึกษาในปัจจุบัน ยืนยันว่า ความผิดปกติทางพันธุกรรมเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดออทิซึม ทั้งนี้พบว่าเด็กแฝดในไข่ใบเดียวกันเป็น ออทิซึมสูง ได้ถึงร้อยละ 60-90 ส่วนเด็กแฝดที่เกิดจากไข่คนละใบเป็นออทิซึมได้ร้อยละ 0-10นอกจากนี้ยังพบออทิ ซึมในครอบครัวที่มีญาติ หรือคนในครอบครัวเป็นมาก่อน โดยพบว่าครอบครัวที่มีลูกเป็นออทิซึมที่เป็นผู้ชาย มี โอกาสที่ลูกคนถัดมาจะเป็นออทิซึมได้สูงถึงร้อยละ 20 เด็กที่มีภาวะออทิซึม บางคนมีความ ผิดปกติของยีนส์ หรือ โครโมโซมคู่ที่ 13,16 เป็นต้น สรุปได้ว่า ครอบครัวที่มีลูกเป็นออทิซึมมีความเสี่ยงต่อการมีลูกคนต่อไปที่จะเป็นออทิ ซึมด้วย 2) สาเหตุด้านสิงแวดล้อม (Environmeng isk factor) เป็นสาเหตุที่สำคัญที่พบได้ในกลุ่มที่มีอาการออทิ ซิม โดยเฉพาะเมื่อเกิดร่วมกับปัจจัยทางพันธุกรรม ส่งผลทำให้โอกาสเป็นออทิซึมสูงขึ้น ปัจจัยด้าน สิ่งแวดล้อมอาจ เกี่ยวข้องกับสาเหตุของออทิซึม ได้แก่ ติดเชื้อหัดเยอรมันระหว่างตั้งครรภ์ ความผิดปกติระหว่าง ตั้งครรภ์ และหลัง คลอด ความผิดปกติทางชีวเคมีในร่างกาย การชักในวัยเด็ก (epilepsy) ภาวะของภูมิคุ้มกันที่เข้า กันไม่ได้ระหว่าง มารดากับทารก การได้รับสารพิษ ความเครียดของมารดา หรือการเจ็บป่วยอื่น ๆ ระหว่างตั้งครรภ์การเผาผลาญที่ ผิดปกติ เป็นต้น 3) สาเหตุด้านความผิดปกติของสมอง (Neuropathology factor) เป็นความบกพร่องของสมองหลาย ส่วนรวมกัน ทั้งในด้านขนาด การเจริญเติบโต ความหนาแน่นของสมอง ได้แก่ สมองน้อย สมองส่วนหน้า อะมิดาลิ


15 (amygdale) วงจรที่เชื่อมระหว่างสมองน้อยกับทาลามัส สมองส่วนที่ทำหน้าที่ในการรับรู้ และแปลผลข้อมูล ฮิมโป แคมปัส ซึ่งเป็นส่วนที่ควบคุมอารมณ์ สมองในส่วนควบคุมการนอนและการตื่นหรือสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการ ประสานงานข้อมูลที่มาจากการรับรู้ต่าง ๆ ภาษาทั้งด้านความสนใจและการพูด เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีความ ผิดปกติของระดับสารเคมีในสองบางตัว เช่น โดปามีน เซอโรโตนิน ฯลฯ มีผลให้เกิดความบกพร่องในการการ ประสานงานโดยรวมของสมอง โดยสรุปแม้ยังไม่ทราบสาตุของออทิซึมสเปกตรัมที่แน่ชัด แต่การดูแลและ ช่วยเหลือในปัจจุบันช่วยให้เด็กกลุ่มออทิสติกดีขึ้นได้มาก โดยเฉพาะถ้าได้รับการวินิจฉัยและช่วยเหลือตั้งแต่อายุ น้อย ๆ ทำอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ สุชาติ พหลภาคย์ (2561) ได้บรรยายถึงสาเหตุของภาวะออทิซึม สเปกตรัม ว่า ออทิซึม คือ โรคที่ถูกที่เรา ควรเรียกว่า "บุคคลที่มีภาวะออทิซึม สเปกตรัม" สาโหตุของภาวะออทิซึม สเปกตรัมเกิดจากยืนกลาย พันธ์ (mutation) เกิดขณะที่มีการเจริญของเซลล์สมองช่วงระหว่างอยู่ในครรภ์จนถึงเด็กเล็ก ส่งผลให้ความผิดปกติที่ สมองในส่วนอมิกดาลา เมื่อตัดสมองออกหรือดูด้านข้าง เราก็จะเจอมิกดาลา นิวเครียสแม็กคำเบน ฟอสโซออดิส 3 จุดที่เกิดเรื่อง อมิกดาทำหน้าที่แสดงอาการกลัว เด็กที่เป็นออทิซึมพบว่าอมิกดาลาไม่ทำงาน เพราะฉะนั้นจะไม่กลัว หรือแสดงความกลัวไม่เป็น ส่วนนิวเคลียสแมกคำแบน สมองส่วนนี้มีหน้าที่เกี่ยวกับการหารางวัล การหาแรงจูงใจ ซึ่ง ส่วนในเรื่องของการหารางวัลส่วนนี้ก็ไม่ทำงาน ก็ไม่รู้จักคำว่ารางวัล ยืนที่ผิดปกติจะเกิดที่โครโมโซม หมายเลข 2.7.15,16 โครโมโซมเหล่านี้ไม่ได้ผิดปกติทั้งแท่งแต่ผิดปกติเป็นบางจุดและหลายจุด โรคออทิซึมไม่ได้ผิดปกติจาก ยืนทางเดียว แต่ผิดปกติยืนหลายๆอย่าง โรคที่เกิดจากยืนทารกที่เกิดจากยืนเดี่ยว สิ่งแวดล้อมทำให้เกิดขึ้น โรคที่ เกิดจากสาเหตุสิ่งแวดล้อมที่มีความเกี่ยวข้องเยอะมาก ฟอสโซออดิส คือส่วนที่อยู่ลึกมาก เพราะสมองส่วนนี้ เกี่ยวกับการหายืน จึงเป็นที่มาเกี่ยวกับการรักษาเพื่อให้สมองส่วนนี้ทำงาน ตอนแรกก็หายดี แต่ต่อมาก็แย่ลงนั่นก็ คือหาวิธีทั่วไป ก็กลับมาในส่วนสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ สรุปได้ว่า สาเหตุของการเกิดภาวะออทิซึมสเปกตรัม ยังไม่สามารถสรุปได้แน่ชัด และยังมีความเชื่อ ว่าเกิด จากความผิดปกติของระบบชีววิทยา ระบบประสาท การทำงานของสมองที่ผิดปกติ และการติดเชื้อต่าง ๆของ มารดาทั้งก่อนและขณะคลอด ส่งผลให้เด็กเกิดความบกพร่องทางพัฒนาการที่แตกต่างไปจากคนทั่วไป อาการของเด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัม มีนักการศึกษาได้อธิบายลักษณะอาการของเด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัมแต่ละช่วงวัยไว้ดังนี้นิรมล พัจน สุนทร (2546) กล่าวว่าโรคออทิสติกมีอาการตั้งแต่มากจนไปหาน้อยและแตกต่างกันไปนอกจากนี้เด็กที่มีภาวะออหิ ซึมสเปกตรัมยังสามารถมีพัฒนาการดีขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นอาการจึงเปลี่ยนไปตามวัยของเด็กทำให้การวินิจฉัยของ แพทย์จึงแตกต่างกันไปได้ขึ้นกับว่าพบเห็นเด็กเมื่อวัยใดสมาคมจิตแพทย์ชาวอเมริกันจึง จัดกลุ่มว่าเป็นออทิสติก


16 สเปกตรัม ( Autistic Spectrum) ซึ่งสเปกตรัมหมายถึงเฉดสีในทางศัพท์แพทย์จัดให้กลุ่ม PDDs ( Pervasive Developmental Disorders) และแบ่งเป็นชนิดย่อยๆของ PDDs ตามอาการหรือเฉดที่เป็นเช่นออทิสติกแอส เพอร์เกอร์ซินโดรม PDD NOS. (ในกรณีที่มีอาการคล้ายออทิสติกแต่มีอาการน้อย) ในที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัม เองก็ยังมีอาการที่แบ่งเป็นระดับเช่น High function autism คือออทิสซีมที่มีความสามารถดีอาการไม่รุนแรง เฉลียวฉลาดบางรายมีระดับความสามารถต่ำมีเขาวน์ปัญญาบกพร่องร่วมด้วย ชาญวิทย์ พรนภดล (2547) ได้ กล่าวถึงประเภทและอธิบายความหมายของกลุ่มอาการออทิสซึมตามการจำแนกของ DSM IV ดังนี้ 1. Autistic Disorder ดร.วิงส์ (ชาญวิทย์ พรนภดล. 2547: 147-150; อ้างอิงจากWing. 1997: 350) ได้ แบ่งผู้ป่วยออทิสซึมนั้นออกเป็น 3 กลุ่มตามพฤติกรรมและความสามารถในกาติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นได้แก่ 1.1 กลุ่มแยกตัว (aloon) นั้นคือกลุ่มผู้ป่วยที่ชอบอยู่คนเดียวไม่เข้าหาบุคคลอื่นด้วยตัวเองก่อนไม่ต้องการ เข้ากลุ่มและติดต่อกับผู้อื่น 1.2 กลุ่มอยู่เฉย (passive) คือกลุ่มผู้ป่วยโดยที่มักจะไม่เข้าหาบุคคลอื่นด้วยตัวเองก่อนแต่ไม่ปฏิเสธและที่ จะมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นเวลาผู้นั้นเข้ามาหาหรือชักชวน 1.3 กลุ่มเข้าหาคนแต่ประหลาด (active but odd) คือผู้ป่วยที่ดูตลกและน่าสงสารด้วยในเวลาเดียวกัน ผู้ป่วยกลุ่มนี้อยากมีเพื่อนมากและมักพยายามเข้าหาบุคคลอื่นแต่เนื่องจากทักษะความเข้าใจทางสังคมและ ความสามารถในการใช้ภาษาที่มีจำกัดทำให้วิธีการที่ผู้ป่วยกลุ่มนี้ใช้เวลาเข้าหาผู้อื่นดูแปลกประหลาดในสายตาผู้อื่น ถูกผู้อื่นล้อเลียนอยู่เสมอๆเวลาคุยกับเพื่อนผู้ป่วยก็มักจะพูดถึงแต่สิ่งที่ตนเองสนใจ PDD NOS และ Asperger's disorder มักจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่ 2และ 3 มากกว่ากลุ่มที่ 1 2. Rett's disorder การเจริญเติบโตของศีรษะเริ่มหยุดชะงักที่อายุ 5 เดือนถึง 4 ปีทำให้ศีรษะเติบโตช้า และเริ่มสูญเสียความสามารถในการใช้มือทักษะทางสังคมและการพูดเริ่มถดถอย 3. Chilchood Disintegrative Disorder (CDD) จะสูญเสียความสามารถทางภาษาทั้งการรับรู้และการ พูดทักษะทางสังคมความสามารถในการปรับตัวโดยการเล่นความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อความสามารถในการ ควบคุมระบบขับถ่าย 4. Asperger's Syndrome มีอาการออทิสซีมทุกอย่างยกเว้นว่ามีระดับเชาวน์ปัญญาพัฒนาการทางภาษา อยู่ในเกณฑ์ปกติในวัยเด็กจะมีอาการชนหุนหันพลันแล่นและขาดสมาธิเมื่ออายุมากขึ้นจะมีความสนใจอยากมีเพื่อน แต่มักจะไม่เข้าใจสถานการณ์สังคมไม่รู้จะปฏิบัติกับผู้อื่นอย่างไรและไม่สามารถรักษาสัมพันธภาพกับ ผู้อื่นไว้ได้


17 5. PDDs NOS จะมีอาการรุนแรงน้อยกว่าออทิสซึมเริ่มเกิดอาการหลังอายุ 30 เดือนจะมีระดับเชาวน์ ปัญญาสูงกว่ามีความสามารถใช้ภาษาในการติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นดีกว่าและมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดการชัก ต่ำกว่า ผู้ป่วยออทิสซึมจากที่กล่าวมาสรุปได้ว่าอาการออทิสซึมในเด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัมจำแนกเป็นเฉดเหมือน เฉดสีตามระดับความรุนแรงของอาการและความสามารถในการสื่อสารที่เรียกว่าสเปคตรัมที่มีภาวะออทิ ซึมสเปกตรัมได้แก่ Autistic Disorder, Rett's disorder , Childhood Disintegrative Disorder , Asperger's Syndrome, PDDs NOS ลักษณะสำคัญของเด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัม เพ็ญแข ลิ่มศิลา (2545) ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัมในประเทศไทยได้ระบุลักษณะ ที่สำคัญของเด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัมไว้ดังนี้ 1. การขาดความรู้สึกทางอารมณ์กับบุคคลอื่นอย่างรุนแรง 2. กระทำซ้ำๆในสิ่งที่ตนเองชอบ 3. ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงกิจวัตรที่แปลกประหลาดได้ถ้าถูกเปลี่ยนแปลงจะแสดงความไม่พอใจอย่าง มากมาย 4. ไม่พูดเลยหรือมีการพูดที่ผิดปกติ 5. มีความผูกพันกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างมาก 6. มีความสามารถสูงเกี่ยวกับความจำและทักษะการใช้สายตา 7. มีความยากลำบากในการเรียนรู้ทุกด้านเนื่องจากขาดความเข้าใจและสนใจ 8. อยู่ไม่นิ่ง ดารณี อุทัยรัตนกิจ (2547) ได้กล่าวถึงลักษณะอาการที่สำคัญของเด็กที่มีภาวะออทิซิมสเปกตรัมไว้ดังนี้ 1. อาการทางสังคมเด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัมไม่มีปฏิสัมพันธ์และไม่สบตาเด็กอาจจะขัดขึ้นหรือเฉย เมยเมื่อถูกกอดรัดไม่แสวงหาการปลอบโยนหรือตอบสนองต่อความโกรธหรือความพอใจไม่ค่อยร้องไห้หรือหงุดหงิด เมื่อพ่อแม่ออกนอกบ้านหรือแสดงความดีใจเมื่อพ่อแม่กลับมาหาเด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัมใช้เวลานานในการ เรียนรู้ที่จะแปลความหมายสิ่งที่คนอื่นคิดหรือรู้สึกมักจะแปลความหมายของสิ่งต่างๆจากข้อมูลที่เห็นจริงเด็กที่มี ภาวะออทิซีมสเปกตรัมบางคนแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวทางกายยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ทาง สังคมยากลำบากมากขึ้น


18 บางคนควบคุมตนเองไม่ได้โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยและมีสิ่งกระตุ้นมากเกินไปหรือเมื่อโกรธและ คับข้องใจบางครั้งเด็กจะทำลายข้าวของทำร้ายคนอื่นหรือทำร้ายตนเอง 2. ปัญหาทางภาษาครึ่งหนึ่งของเด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัมนั้นไม่พูดตลอดชีวิตของเขาเด็กอาจจะ เรียนรู้การสื่อสารด้วยภาษาท่าทางหรือเครื่องมือสื่อสารพิเศษแต่เขาจะไม่พูด เด็กบางคนนั้นอาจจะมีพัฒนาการ ทางภาษาช้าด้วย เด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัมที่พูดได้มักจะใช้ภาษาในลักษณะที่ผิดปกติมีแนวโน้มที่จะสับสนใน การใช้คำสรรพนามการที่เด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัมไม่สามารถแสดงท่าทางที่มีความหมายหรือใช้ภาษาเพื่อ บอกให้คนรู้ในสิ่งที่เขาต้องการ ผลก็คือเขาจะกรีดร้องเด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัมมีการเคลื่อนไหวที่ซ้ำๆแปลกๆ ทำให้เขาดูแตกต่างจากเด็กคนอื่นบางคนนั่งหมุนนิ้วสะบัดมือหรือนั่งโยกตัวได้เป็นชั่วโมงๆเด็กหลายคนเขย่งปลาย เท้าหรือเดินเอามือตบขาขณะเดินเด็กบางคนยืนตัวแข็งที่อเมื่อพบคนแปลกหน้ามีแนวโน้มทำสิ่งเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก เด็กบางคนยึดติดกับสิ่งของบางอย่างซึ่งอาจเป็นอันตรายหรือไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ 3. การรับความรู้สึกเด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัมมีประสาทสัมผัสที่ไวมากต่อเสียงรสกลิ่นและเนื้อผ้าเด็ก บางคนจะรู้สึกไม่สบายตัวเพราะเนื้อผ้าที่สวมใส่ เด็กบางคนไม่ชอบที่จะถูกกอดเบาๆเด็กหลายคนอาจเอามือปิดหู และกรีดร้องเมื่อได้ยินเสียงเครื่องดูดฝุ่นเสียงเครื่องบินหรือแม้แต่เสียงพัดลมความสามารถที่ไม่ปกติเด็ก ที่มีภาวะ ออทิซึมสเปกตรัม บางคนแสดงความสามารถด้านต่างๆได้อย่างน่าทึ่งเด็กในวัยเด็กเล็ก บางคนสามารถวาดร่าย ละเอียดภาพ 3 มิติเหมือนจริงได้ในขณะที่เด็กคนอื่นทำได้แค่ขีดเส้นไปมามีทักษะในการมองเห็นที่ดีมากสามารถต่อ ชิ้นส่วนภาพที่ซับซ้อนได้ หลายคนอาจจะเริ่มอ่านได้ก่อนพูดบางคนมีพัฒนาการของระบบพัฒนาการของระบบ ประสาทสัมผัสส่วนการได้ยินดีมากทำให้สามารถเล่นเครื่องดนตรีที่ไม่เคยมีคนสอนสามารถจำการแสดงในโทรทัศน ได้ทั้งรายการจำรายชื่อไดโนเสาร์พันธ์ต่างๆได้ จัณฑ์ทิตา พฤกษานานนท์ (2546) ได้กล่าวถึงลักษณะอาการของเด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัมไว้3 ด้าน ดังนี้ 1. การสูญเสียด้านสังคมอาทิเช่น - พฤติกรรมเฉยเมยโดยไม่สนใจใคร - ไม่สบตาไม่ค่อยมีการยิ้มและส่งเสียงทักทาย - กระทำต่อบุคคลและสิ่งมีชีวิตอื่นคล้ายสิ่งของ - ไม่มีปฏิกิริยาต่อสัมพันธภาพของบุคคลอาทิเช่นถ้ากอดเด็กเด็กจะกอดตอบไม่เป็น


19 - ไม่รู้ร้อนรู้หนาวไม่รู้จักช่วยตนเองจากอันตรายต่างๆ ได้ เช่นเด็กถูกมดกัดเต็มเท้าแต่ทำตัว เหมือนไม่รู้สึกอะไรเลย - ไม่สามารถลอกเลียนแบบของการกระทำของคนอื่นได้ - เล่นกับใครไม่ค่อยเป็น - พอใจกับการอยู่เงียบๆคนเดียวตลอด 2. การสูญเสียด้านการสื่อความหมาย (ทั้งคำพูดหรือไม่ใช้คำพูด) -ไม่สนใจเหมือนอยู่ในโลกของตนเองไม่สามารถแสดงพฤติกรรมสื่อความหมาย เช่นไม่แสดงสีหน้า ว่าโกรธยิ้มหัวเราะไม่สบตา - เล่นแบบจินตนาการไม่เป็นเช่นเล่นขายของเล่นตุ๊กตาต่างๆ - มีความผิดปกติชัดเจนในการเปล่งเสียงพูดอาทิเช่นพูดเสียงระดับเดียวกันตลอด (Monotone) หรือทำเสียงสูงต่ำคล้ายดนตรี มีความผิดปกติในรูปแบบและเนื้อหาการพูดชอบพูดซ้ำชากวกวนไปมาพูดเลียนแบบและพูด ภาษาตนเองฟังไม่เป็นภาษาคน - มักไม่พูดกับใครได้นานจะพูดในเรื่องที่ตนสนใจบางคนอาจท่องหนังสือที่เรียนมาให้ฟังทั้งเล่มได้ โดยไม่สนใจว่าใครจะฟังและไม่จนอาจคิดว่าเป็นเด็กอัจฉริยะ - เด็กจะพูดทวนคำถามแทนที่จะตอบคำถาม อาทิเช่นเมื่อมีคนถามเด็กว่าจะเอาขนมไหมเด็กจะ พูดว่า "เอาไหมเอาไหม" แทนที่จะตอบว่า "เอา" หรือ "ไม่เอา" 3. มีการกระทำและความสนใจซ้ำซากบ่อยๆ - มักชอบเคลื่อนไหวร่างกายซ้ำๆ - หมกมุ่นหรือสนใจส่วนหนึ่งส่วนใดของสิ่งของ


20 - แสดงความคับข้องใจอย่างมากถ้ามีการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมรอบๆตัวเช่นจะชอบกินอาหาร มักซ้ำซากชอบจัดของให้วางที่เดิมๆ - ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เคยทำประจำโดยต้องมีรายละเอียดเหมือนเดิมเช่น เดินซื้อของในห้างต้องเดิน ซ้ำทางเก่าเสมอและอาการเหล่านี้ต้องปรากฏก่อนอายุ30 – 36 เดือน “ออทิสติก” (Autism Spectrum Disorder) เป็นโรคที่รู้จักมาเป็นเวลา 70 ปีกว่าแล้ว มีชื่อเรียก หลากหลาย และมีการเปลี่ยนแปลงการเรียกชื่อเป็นระยะ เช่น ออทิสติก (Autistic Disorder), ออทิสซึม (Autism), ออทิสติก สเปกตรัม (Autism Spectrum Disorder), พีดีดี (Pervasive Developmental Disorders; PDDs), พีดีดี เอ็นโอเอส (PDD, Not Otherwise Specified) และแอสเพอร์เกอร์ (Asperger’s Disorder) เป็นต้น จนในปัจจุบันตก ลงใช้คำว่า “Autism Spectrum Disorder” ตามเกณฑ์คู่มือการวินิจฉัยโรคทางจิตเวชฉบับล่าสุด DSM-5 ของสมาคม จิตแพทย์อเมริกัน ซึ่งใช้อย่างเป็นทางการในระดับสากลตั้งแต่ปี พ.ศ.2556 สำหรับในภาษาไทย ควรใช้ชื่อว่า “ออทิ สติก” เหมือนกันในทุกกลุ่มย่อย หรือทุกสเปกตรัมของอาการเช่นเดียวกัน เนื่องจากเป็นคำที่ใช้มานานแล้ว ไม่ควรใช้ หลายชื่อซึ่งจะทำให้เกิดความสับสนได้ ออทิสติก เป็นความผิดปกติของพัฒนาการเด็กรูปแบบหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเฉพาะตัว โดยเด็กไม่ สามารถพัฒนาทักษะทางสังคมและการสื่อความหมายได้เหมาะสมตามวัย มีลักษณะพฤติกรรม กิจกรรม และ ความสนใจ เป็นแบบแผนซ้ำๆ จำกัดเฉพาะบางเรื่อง และไม่ยืดหยุ่น ปัญหาดังกล่าวเป็นตั้งแต่เล็ก ส่งผลให้เกิด ข้อจำกัดในการดำรงชีวิต นักวิชาการพยายามศึกษารายละเอียดต่างๆ ของโรคออทิสติก แต่ยังไม่สามารถหาสาเหตุที่แน่ชัด ได้ พบว่ามีแนวโน้มสูงขึ้นในทุกประเทศทั่วโลก พบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง ถึงแม้ว่ายังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด ก็ใช่ว่าจะทำอะไรไม่ได้เลย เนื่องจากการดูแลช่วยเหลือในปัจจุบันสามารถช่วยให้เด็กกลุ่มนี้ดีขึ้นได้มาก โดยเฉพาะ ถ้าได้รับการวินิจฉัย และดูแลช่วยเหลืออย่างเหมาะสมตั้งแต่อายุน้อยๆ และดูแลอย่างต่อเนื่อง จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า เด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัมมีลักษณะสำคัญคือขาดทักษะทางสังคมไม่ มีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่นมีปัญหาในการใช้ภาษาในการสื่อสารและการพูดมีประสาทสัมผัสไวกว่าคนปกติมี ความสามารถพิเศษบางอย่างมีพฤติกรรมซ้ำๆ พฤติกรรมของเด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัม เด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัม เป็นความบกพร่องของพัฒนาการทางการสื่อความหมายและภาษา พัฒนาการ สังคม พฤติกรรม อารมณ์ และการเรียนรู้ อาการที่เห็นได้ชัด เช่น การมีพฤติกรรมแปลกๆ ทำอะไรซ้ำ ๆ ไม่รู้ ร้อนรู้หนาว ไม่รู้จักการช่วยเหลือตนเองให้พ้นอันตราย มีปัญหาด้านการกิน ด้านภาษาในการสื่อความหมาย อาจพูด ซ้ำๆ ใช้คำสลับที่ พูดจาเลียนแบบ แต่บางคนมีความสามารถพิเศษในบางเรื่อง เช่น การวาดรูป ดนตรี เป็นต้น ศูนย์วิจัยและพัฒนาการจัดการศึกษาพิเศษแบบเรียนร่วมสำหรับเด็กออทิสติกโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น (2548) รายงานถึงการสังเกตพฤติกรรมของเด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัมเพื่อประกอบการวินิจฉัย ดังนี้


21 1) การเคลื่อนไหวร่างกาย มีความผิดปกติในการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างใดอย่างหนึ่งหรืออาจจะมี หลายๆ อย่างก็ได้ เช่น การเดินหรือวิ่งไปเรื่อยๆ โดยไร้จุดหมาย ยืนกางขา โยกตัวกระดิกนิ้ว โบกมือไปมา เดิน เขย่งเท้า กระโดดขึ้นลงอยู่กับที่ วิ่งแบบม้าย่อง ตีลังกา ปีนป่ายโดยไม่รู้จักกลัวอันตราย เด็กบางคนมีพลังมากโดย ไม่ยอมหลับนอน ถือสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ในมือเช่นหลอดกาแฟพลาสติก บางรายอาจนิ่งเฉย เคลื่อนไหวร่างกายน้อย ท่าทางงุ่มง่าม เชื่องช้า เด็กมักจะเดินหรือวิ่งชนสิ่งของหรือหกล้มบ่อยเนื่องจากไม่รูจักระมัดระวัง เมื่อเจ็บก็ไม่ร้อง บางรายอาจร้องไห้เกินกว่าเหตุ 2) การแสดงออกทางสังคมและความสัมพันธ์กับบุคคล เมื่อเรียกชื่อของเด็ก เด็กมีท่าทีไม่ ตอบสนองไม่หันหาเสียงเรียกหรือแสดงท่าทางหงุดหงิดไม่พอใจ หรือแสดงท่าเฉยเมยเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ เด็กเดินหรือ วิ่งหนีแยกตัวอยู่ตามลำพัง เด็กจะแสดงความสนใจสิ่งของสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือสิ่งของหลายๆ อย่างรอบตัวมากกว่า บุคคล เช่น เด็กบางคนจะชอบเล่นเปิด-ปิดประตู หรือเปิดปิดไฟซ้ำๆ โดยไม่สนใจบุคคลในห้องนั้นเลย เด็กแสดง ท่าทางติดบุคคลใดบุคคลหนึ่งมากจนเกินไปเช่น ต้องการให้คนอุ้มตลอดเวลาแต่เด็กไม่รู้จักกอดคนอุ้มทำตัวเอนไป เอนมา ในบางรายพบว่ามีท่าทางแปลกๆ เช่น ต้องดึงเสื้อหรือผมคนอุ้มไว้ตลอดเวลา เด็กบางคนไม่แสดงท่าทาง กลัวคนแปลกหน้าหรืออาจแสดงว่ากลัวมากเกินไป เด็กที่มีความผิดปกติทางด้านสังคมอาจมีพฤติกรรม 3 ประเภท ใหญ่ๆ คือ 2.1) กลุ่มแยกตัว (aloof child) ลักษณะพฤติกรรมเด็กจะแยกตัวเอง อาจเข้าหาคนเพื่อตอบสนอง ความต้องการทางร่างกาย ไม่ใช่เพื่อความอบอุ่นทางใจ ไม่ชอบอยู่ใกล้คน หากพบคนมากจะเครียด อาการภาวะ ออทิซึมสเปกตรัมในกลุ่มแยกตัวนี้มักชัดเจนและไม่มีภาษาสื่อสารแต่ยังต้องการความรักความเข้าใจเหมือนเด็ก ปกติ ผู้ปกครองสามารถแสดงความรัก ความเอาใจใส่ให้เด็กรับรู้ได้ โดยผ่านการให้รางวัล เมื่อเด็กทำพฤติกรรมที่ เหมาะสม 2.2) กลุ่มยอมตาม (Passive child) เหมือนตุ๊กตาไม่มีชีวิตจิตใจ นั่งเฉย เคลื่อนไหวร่างกาย น้อย เหม่อลอยไม่สนใจใคร มีลักษณะท่าทียอมให้คนอื่นเข้าหา โอบกอด ร่วมทำกิจกรรมที่มีคนคอยควบคุมได้ เช่น ร้องเพลง เล่นเกม สามารถเลียนแบบได้ทั้งท่าทางและภาษาพูด แต่มักไม่เข้าใจความหมายของการกระทำหรือ คำพูดที่ลอกแบบมาไม่มีความคิดสร้างสรรค์ 2.3) กลุ่มเข้าหาคน (active but odd) มีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลทั่วไปมากจนเกินไปโดยแสดงให้ เห็นถึงพฤติกรรมที่ผิดปกติ เช่น การทักทายบุคคลโดยการไปดมเสื้อ ดมกระโปรง ดึงเนคไท ลูบผม ดมผม แสดง ความสนใจสิ่งของในตัวคนมากกว่าตัวบุคคล 3) การตอบสนองต่อการใช้ตา หลีกเลี่ยงการสบตากับบุคคลเช่น ไม่สบตาเลย หรือมองทางหางตา มองอย่างผิดปกติ คือ มองจ้องแบบไม่ละสายตาหรือมองอย่างเลื่อนลอย เมื่อส่งของให้เด็กจะไม่มองสิ่งของนั้นแต่ เอื้อมรับสิ่งของได้ ชอบมองกระจกเงา แสงสว่าง สิ่งของที่หมุนๆเช่น พัดลม หรือสิ่งของที่แกว่งไปมา เช่น ใบไม้ไหว ลูกตุ้มนาฬิกา เป็นต้น


22 4) การตอบสนองต่อการฟัง ส่วนใหญ่จะพบว่าไม่มีการตอบสนองต่อเสียงของบุคคล เช่นเมื่อ เรียกชื่อเด็กจะไม่หันตามเสียงเรียก แต่ในบางรายจะมีการตอบสนองต่อเสียงมากเกินไป เช่น ทนไม่ได้เมื่อได้ยิน เสียงบางอย่าง เช่น เสียงเครื่องจักร เสียงเครื่องเป่าผมเป็นต้น เด็กอาจใช้วิธีเอามือปิดหู หรือกรีดเสียงร้องจนเสียง เหล่านั้นหยุดไป 5) การตอบสนองต่อรส กลิ่น สัมผัส ถ้าเด็กไม่เห็นสิ่งของที่เด็กพอใจเด็กจะเข้าไปดมหรือเลียซ้ำ ๆ ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่สิ่งของที่รับประทานได้เช่น กระดาษ ดินสอ โต๊ะ เก้าอี้ แสดงท่าทางหมกมุ่นต่อการสัมผัส ลูกคลำผ้า แพร ผมของคน กระเป๋า รองเท้า เป็นต้น แต่กลับไม่รับรู้การสัมผัสของบุคคล เช่น ไม่ชอบให้ใครมาถูกตัวหรือกอด รัด ไม่แสดงอาการเจ็บปวดเมื่อหกล้มหรือมีบาดแผล ในบางรายอาจแสดงอาการเจ็บปวดมากเกินกว่าเหตุ เด็กที่มี ภาวะออทิซึมสเปกตรัมชอบรับประทานอาหารซ้ำซากและปฏิเสธไม่ยอมรับอาหารอื่น อาจมีสาเหตุจากเด็กมีความ อ่อนไหวมากต่อทั้งรสและกลิ่นของอาหาร 6) การสื่อความหมาย เด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัมไม่สามารถสื่อความหมายด้วยท่าทางได้ เหมือนเด็กหูหนวก ไม่สามารถเข้าใจท่าทางและสีหน้าผู้อื่น พูดไม่ได้ อาจจะเคยพูดได้เป็นคำๆ แต่ก็หายไป เนื่องจากเด็กพูดเลียนแบบโดยไม่เข้าใจความหมายของคำ เมื่อเด็กโตขึ้นถึงวัยที่ควรจะพูดกลับไม่พูดเลยได้แต่ส่ง เสียงไม่เป็นภาษา เด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัม โดยทั่วไปเริ่มพูดได้เด็กจะพูดเลียนแบบได้เป็นประโยคยาวๆ หรือ พูดภาษาตนเองที่คนฟังไม่เข้าใจเด็กจะพูดซ้ำซากพูดได้นานๆ อยู่คนเดียวบางคนสามารถร้องเพลงได้ถูกต้องทั้ง เพลงเพราะเด็กมีความจำเป็นเลิศจึงสามารถร้องเพลงได้เหมือนกับการพูดเลียนแบบนั้นเอง 7) พฤติกรรมซ้ำ ๆ เด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัมจะมีพฤติกรรมซ้ำซาก ไม่เหมือนกัน ชอบดู โฆษณาทางทีวีซ้ำ ๆ หรือภาพยนตร์เรื่องใดซ้ำไปมา ชอบการเปิดปิดที่ซ้ำ ๆ เช่น ไฟฟ้า ประตู โทรทัศน์ เป็นต้น ไม่ ยอมเปลี่ยนเส้นทางในการเดินจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง ทำกิจกรรมประจำวันตามขั้นตอนและเป็นคนเคร่งครัดตรงต่อ เวลา 8) การจินตนาการ เด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัมไม่สามารถสมมติในการเล่นได้ จึงเล่นของเล่น ไม่เป็นแม้แต่การเล่นไถรถเด็กเล่นให้รถวิ่งไป เด็กจะทำได้เพียงแต่ถือรถไว้ในมือ ดมบ้าง เลียบ้าง หรือใช้มือหมุนล้อ รถเล่นบ้าง เด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัมเล่นของเล่นไม่เป็นจะสนใจส่วนประกอบเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้นเช่น ชอบ เอาขาของตุ๊กตามาดมและดูด ชอบเล่นซ้ำซาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหมุนสิ่งของ เด็กไม่สามารถแยกสิ่งที่มีชีวิต ออกจากสิ่งที่ไม่มีชีวิตได้ 9) การปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อมและการแสดงออกทางอารมณ์ เด็กที่มี ภาวะออทิซึมสเปกตรัมจะ ปรับตัวยากจึงแสดงกริยาต่อต้าน โกรธ ไม่มีความสุขเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมหรือสถานที่ อาจจะแสดง ปฏิกิริยารุนแรง เช่น กลัว ตื่นตระหนกมากหรือน้อยเกินไปไม่สมเหตุสมผลแสดงออกทางอารมณ์ไม่เหมาะสมกับ สถานการณ์ การปรับเปลี่ยนอารมณ์ยากส่วนใหญ่อารมณ์จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมายโดยไม่สมเหตุผล


23 10) ด้านสติปัญญา เด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัม โดยทั่วไปมีความสามารถในด้านต่างๆ ล่าช้า เสมือนเด็กปัญญาอ่อนแต่ต่างกันที่เด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัมจะมีความสามารถพิเศษด้านใดด้านหนึ่งหรือ หลายๆ ด้านรวมกันได้ เช่น มีความสามารถพิเศษทางด้านความจำ มีทักษะในการใช้สายตา มีความโดดเด่นในด้าน ดนตรีศิลปะต่างๆ การกีฬา การคิดเลขเป็นต้น ทวีศักดิ์ สิริรัตน์เรขา (2555) ได้กล่าวถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของเด็กที่มีภาวะ ออทิซึมสเปกตรัม ดังนี้ สิ่งแวดล้อม เช่น อุณหภูมิที่ร้อนหรือหนาวจนเกินไป ทำให้เด็กส่งเสียงงอแง เด็กบางคนพอเข้าไปใน ห้องเรียนที่มีอุณหภูมิที่ตนไม่เคยชินก็จะอยู่นิ่งไม่ได้เลย ในขณที่ห้องเรียนเก่า สามารถอยู่นิ่งได้ ความเจ็บป่วย อาจเป็นความเจ็บป่วยทางการของเด็กหรือผลจากการใช้ยา เช่นเด็กที่ตบหัวหรือทุบหู ตัวเองบ่อย ๆ นั้น อาจเกิดจากเด็กมีอาการปวดหัวหรือหู หรือบางทีที่เด็กหงุดหงิดง่าย อาจเป็นเพราะเด็กมีอาการ ปวดท้อง การได้รับฝึกมากเกินไป ซึ่งการฝึกให้เด็กทำกิจกรรมต่างๆ ต้องคำนึงถึงความสามารถของเด็ก รวมถึง สุขภาพจิตของเด็กด้วยว่า มีความอดทนและยืดหยุ่นได้แค่ไหน เด็กอาจมีพฤติกรรมต่อต้าน ขัดขืน โวยวาย อาละวาด หากให้กิจกรรมที่ไม่เหมาะสมและนานจนเกินไป การกระตุ้นตนเอง คือ ลักษณะอาการที่เด็กทำอะไรซ้ำๆ ซากๆ เป็นเวลานาน เช่นโยกตัว สะบัดมือ กลิ้งของเล่นไปมา อาจเกิดกระบวนการทำงานของร่างกายที่ไม่สัมพันธ์กัน ซึ่งต้องใช้วิธีการทางด้านกิจกรรมบำบัด และการกระตุ้นประสามสัมผัสการรับรู้เข้าช่วย การเรียกร้องความสนใจ คือ เด็กจะแสดงพฤติกรรมนั้นซ้ำ หากได้รับการตอบสนองจากผู้อื่น เช่นเด็ก ไม่อยากทานข้าวเอง จึงกัดมือของตนเองแล้วผู้ปกครองเข้ามาห้าม มากอด และป้อนข้าวเด็กเมื่อถึงเวลาทานข้าว ครั้งต่อไป เด็กก็จะทำพฤติกรรมดังกล่าว ความต้องการหลีกหนี คือ เด็กจะเลือกทำพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ ตนเองไม่ชอบ เช่น เด็กทราบว่า เมื่อทานข้าวเสร็จเด็กจะต้องเก็บจานและทำความสะอาดโต๊ะ เด็กจะทำจานแตก เพื่อหลีกเลี่ยงการทำงาน จึงต้องฝึกให้เด็กมีความรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง ชนิดของพฤติกรรมและแนวทางแก้ไข หากจำแนกพฤติกรรมของเด็กตามสาเหตุหลักๆ จะพบว่ามีการกระทำหลายอย่าง มีจุดตั้งต้น เหมือนเด็กปกติ และการกระทำอีกกลุ่มหนึ่งเป็นอาการของโรค การปรับพฤติกรรมจะได้ผลกับกลุ่มที่ไม่ใช่อาการ ของโรคมากกว่า 1) พฤติกรรมจากประสบการณ์ มีพฤติกรรมหลายอย่างที่เด็กทำเพราะการเรียนรู้และ ประสบการณ์ที่ผ่านมา พ่อแม่จะต้องใกล้ชิด และหมั่นสังเกตว่า ลูกเรียนรู้อะไรจากอะไร เช่นมีอะไรเป็นสิ่งเร้า เด็ก


24 ทำอะไรแล้วได้อะไรกลับมา หากจับไม่ได้ก็ให้ตั้งเป็นสมมุติฐานไว้ก่อน แล้วหาวิธีทดสอบและแก้ไขทีละสมมุติฐานๆ ไป 2) พฤติกรรมจากอารมณ์ จะต้องสังเกตสิ่งแวดล้อมขณะนั้นและตัวเด็กว่าอยู่ในอารมณ์อะไร ถ้า อารมณ์สมเหตุสมผลแล้ว ก็ให้ดูต่อว่า การกระทำนั้นเหมาะสมหรือไม่ หากไม่เหมาะสมก็ให้สอน หรือ จับให้เด็ก แสดงการกระทำที่เหมาะสมต่อไป 3) พฤติกรรมที่เข้าใจได้ยาก อาจจะเป็นอาการของโรค ที่ต้องใช้ยาในการแก้ไข หรือเป็นความ สนใจส่วนตัวของเด็ก โดยไม่เป็นไปตามขั้นตอนข้างบน ให้ลองแก้ไขโดยการสอนให้ทำสิ่งใหม่ ที่น่าสนใจกว่า แต่ใช้ ทักษะเดิม เช่น เด็กชอบปาของอย่างไม่มีเป้าหมาย ก็หัดเด็กให้ รู้จักโยนของอย่างมีเป้าหมายเพื่อพัฒนาการกะระยะ เป็นต้น (ดุสิต ลิขนะพิชิตกุล, 2555) ดารณี อุทัยรัตนกิจ (2545) ได้กล่าวถึงการจัดการเรียนการสอนและกิจกรรมสำหรับเด็กที่มีภาวะ ออทิซึมสเปกตรัม ให้มีประสิทธิภาพต้องคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้ 1) แน่ใจว่าเด็กมีสุขภาพที่ดี รู้สึกสบาย ไม่หงุดหงิด อยู่ในสถานที่ปลอดภัย และเด็กมีความพอใจ 2) จัดสภาพแวดล้อมที่มีโครงสร้างชัดเจน บอกความคาดหวังของครูอย่างชัดเจนเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ เหมาะสม และไม่เหมาะสม 3) มีตารางกิจกรรมที่เป็นรูปภาพ หรือตัวหนังสือของแต่ละช่วงเวลา เพื่อให้แน่ใจว่า เด็กที่มีภาวะออทิ ซึมสเปกตรัมเข้าใจและรู้กิจกรรมที่ต้องทำแต่ละช่วงเวลา 4) จัดหลักสูตรหรือแผนการศึกษาตามลักษณะของเด็กแต่ละคน ไม่ใช่สำหรับเด็กที่มีภาวะออทิซึม สเปกตรัมโดยทั่วไป การวินิจฉัยว่าเด็กเป็นภาวะออทิซึมสเปกตรัมไม่ได้บ่งชี้ว่าจะสอนอะไร และสอนอย่างไร 5) เน้นการพัฒนาทักษะที่เด็กจะต้องใช้ในการเรียนที่บ้านและชุมชน ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต 6) วางแผนการเปลี่ยนกิจกรรม สถานที่ หรือประสบการณ์ บอกเด็กล่วงหน้าและเตรียมเด็กให้พร้อม ต่อการเปลี่ยนแปลง 7) สนับสนุนให้พ่อแม่และสมาชิกคนอื่น ๆ ในครอบครัวมีส่วนร่วมในกระบวนการประเมินการ วางแผน การศึกษา กิจกรรมการเรียนการสอน และการกำกับความก้าวหน้าทั้งพ่อแม่และสมาชิกในครอบครัว มี ข้อมูล ที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับประวัติและลักษณะการเรียนรู้ ซึ่งจะช่วยให้วางแผนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากการนี้ ในการจัดการเรียนการสอนและกิจกรรมส่วนที่สำคัญที่สุด คือ ครูและผู้ปกครอง จำเป็นต้องทำความ เข้าใจในปัญหาของเด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัมที่ส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้ และการ ดำรงชีวิตของเขา เช่น ปัญหาด้านการจัดระบบระเบียบ การถูกทำให้เขว หรือเสียสมาธิได้ง่าย ปัญหาเกี่ยวกับการ ลำดับเหตุการณ์ ปัญหาเกี่ยวกับการถ่าย โยงการเรียนรู้/หรือประสบการณ์ไปใช้ในสถานการณ์ที่ต่างกัน รวมทั้ง ความไม่คงที่ หรือความขึ้นๆ ลงๆ ในความสามารถในแต่ละทักษะ รวมทั้งรูปแบบการเรียนรู้ซึ่งเป็นที่ทราบกันว่า


25 เด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัมเป็น “Visual Learner” ซึ่งครูและผู้ปกครองต้องทำความเข้าใจให้ได้อย่างแท้จริง เพื่อให้สามารถพัฒนาโปรแกรมการศึกษาที่มีความเหมาะสม พฤติกรรมและการแสดงออกของเด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัม แสดงออกใน 3 ลักษณะ ดังนี้ 1) กิจกรรมความสนใจที่ซ้ำ ๆ ยากต่อการเปลี่ยนแปลง เช่น ติดของบางอย่าง กินอาหารแต่เพียง บางอย่างซ้ำ ๆ เล่นอะไรซ้ำ ๆ กริยาบางอย่างซ้ำ ๆ ซากๆ เป็นต้นว่า การเล่นมือ การหมุนตัวเอง การเอาวัตถุมา เคาะ การเอามือเคาะตามพื้นผิวต่าง ๆ ที่เด็กหรือคนปกติไม่ทำ ชอบลงไปนอนกับพื้น ชอบปีนป่าย สนใจแสง และ วัตถุเคลื่อนไหว หยีตามองแสงอาทิตย์ได้นาน ๆ จ้องมองไฟนีออนได้เป็นเวลานาน ชอบปีนไปนั่งหรือเล่นบนที่สูง จะเอาหรือต้องการอะไรไม่พูดไม่บอก ใช้วิธีจูงมือผู้ปกครองไปหยิบให้ ฯลฯ กิจกรรมเหล่านี้สะท้อนออกซึ่งความผิด ปกติเป็นอันดับแรกที่จะเห็นได้อย่างชัดเจน คือ ถ้าไม่ได้รับการฝึกฝนหรือกระตุ้นเขาจะไม่สนใจคนอื่น ไม่มองหน้า ไม่สบตา ไม่สนใจสิ่งรอบตัว 2) การสูญเสียทางด้านภาษาและการสื่อความหมาย ทั้งภาษาพูดและท่าทาง เป็นที่ทราบกันดีว่าเด็ก ปกติเรียนรู้ภาษาและการสื่อความหมายจากการสังเกตและเลียนแบบผู้คนรอบข้าง แต่เด็กที่มีภาวะออทิซึม สเปกตรัมไม่เป็นเช่นนั้น เนื่องจากความสนใจกิจกรรมที่หมกมุ่น ซ้ำซากดังกล่าว ปิดกั้นและจำกัดจากการสังเกต ผู้คนรอบข้าง เมื่อไม่สังเกตไม่สนใจก็ไม่เกิดการเลียนแบบ เมื่อไม่เกิดการเลียนแบบ การเรียนรู้ทางด้านภาษาและ การสื่อความหมายก็จึงเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้นเด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัมถ้าไม่ได้รับการฝึกฝน จะไม่เรียนรู้จากการ สังเกตหรือเลียนแบบใคร ส่วนใหญ่จึงไม่พูด หรือถ้าพูดก็พูดไม่ชัด ไม่เป็นคำแต่กลายเป็นภาษาพูดของตัวเขาเอง หรือพูดได้ชัดเจนดีมากแต่ก็ไม่รู้ความหมาย เป็นการสะท้อนเสียงคนแบบนกแก้วเท่านั้น 3) การสูญเสียทางสังคม เมื่อไม่รู้ภาษาก็ไม่สามารถสื่อความหมายและความต้องการได้ ไม่เกิดการ เรียนรู้ทางสังคม เมื่อไม่เกิดการเรียนรู้ทางสังคม ก็ไม่เข้าใจความสัมพันธ์ทางสังคมของบุคคลต่าง ๆ ตั้งแต่ พ่อ แม่ ครอบครัวครูและในชุมชนไปจนถึงสังคมระดับกว้าง (ภารุจีร์ บุญชุ่ม, 2555) สรุปได้ว่า พฤติกรรมและการแสดงออกของเด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัม คือ มีความสนใจที่ซ้ำ ๆ ยากต่อการเปลี่ยนแปลง การเรียนรู้ภาษาและการสื่อความหมายจากการสังเกตและเลียนแบบผู้คนรอบข้าง เนื่องจากการสูญเสียทางด้านภาษาและการสื่อความหมาย เมื่อไม่รู้ภาษาทำให้ไม่สามารถสื่อความหมายและความ ต้องการได้ ส่งผลกระทบของการเรียนรู้ทางสังคม แนวทางการให้ความช่วยเหลือ มีผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ และนักวิชาการด้านแนวทางการรักษาของกลุ่มโรคออทิซึมสเปกตรัม ได้ อธิบายและสรุปแนวทางการรักษา ไว้อย่างครอบคลุม ดังนี้ การใช้ยารักษา การใช้ยาจะใช้ในกรณีที่มีอาการทางพฤติกรรมอื่นร่วมด้วย เช่น สมาธิสั้น ซุกซน อยู่ ไม่นิ่ง และก้าวร้าว พฤติกรรมดังกล่าวจะส่งผลต่อการกระตุ้นพัฒนาการ มีความจำเป็นต้องใช้ยาเพื่อลดอาการ ดังกล่าว ยาที่นิยมใช้มีดังนี้


26 1) Methylphenidate เป็นยาชนิดเดียวกับที่รักษาเด็กที่มีภาวะสมาธิสั้น ใช้ยาชนิดนี้ในกรณีที่ ต้องการลดอาการสมาธิสั้น ซน อยู่ไม่นิ่ง ผลข้างเคียงจากการใช้ยาชนิดนี้คือหงุดหงิดง่าย ควรให้ยาในระดับต่ำก่อน แล้วค่อยๆเพิ่มปริมาณ 2) Risperidone เป็นกลุ่มยารักษาโรคจิตกลุ่ม atypical จากการศึกษาพบว่ายาชนิดนี้ช่วยลด พฤติกรรมกระตุ้นตัวเอง พฤติกรรมที่เป็นแบบแผนซ้ำ ๆ รวมถึงช่วยลดพฤติกรรมหงุดหงิดและก้าวร้าว ยาชนิดนี้ แนะนำให้ใช้กับเด็กที่มีอายุ 5 ปีขึ้นไป ในอายุน้อยกว่านี้สามารถใช้ได้ถ้าแพทย์พิจารณาว่าจำเป็นผลข้างเคียงจาก การใช้ยาชนิดนี้คือมีอาการง่วงและน้ำหนักตัวขึ้น 3) ยาในกลุ่ม selective serotonin reuptake inhibitor (SSRI) ใช้ยาชนิดนี้ช่วยลด อาการวิตกกังวลและการมีพฤติกรรมซ้ำ ๆ อย่างไรก็ตามยาชนิดนี้ข้อมูลสนับสนุนด้านการศึกษาวิจัยยังมีจำกัด ข้อ ควรระวังเกี่ยวกับการใช้ยาดังทั้ง 3 กลุ่มดังกล่าวควรดำเนินการโดยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในการรักษาเด็กที่มี ภาวะออทิซึมสเปกตรัมและต้องมีการจ่ายยาด้วยความระมัดระวัง มีการชี้แจงข้อมูลเกี่ยวกับข้อดีและความเสี่ยงใน การใช้ยาแก่บิดามารดาเพื่อประกอบการตัดสินใจใช้ยา และการใช้ยาจะต้องควบคู่ไปกับการรักษาด้านอื่น ๆ เช่น ด้านพฤติกรรมและด้านจิตใจด้วย การให้การช่วยเหลือด้านการศึกษา ควรมีการให้การช่วยเหลือที่มีความเหมาะสมกับกับความสามารถ และความต้องการของเด็กที่มีภาวะออทิซึมแต่ละคน การจัดการศึกษาควรเป็นในลักษณะของการเรียนรวมกับเด็ก ทั่วไปในชั้นเรียนปกติ (Inclusive schools) แต่ควรมีการจัดทำแผนการศึกษาเฉพาะรายบุคคล (Individualized Education Program: IEP) เพื่อเป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับความต้องการของเด็กแต่ละ ราย การช่วยเหลือด้านอื่น ๆ เช่นการให้ความช่วยเหลือด้านสวัสดิการทางสังคมให้แก่เด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัม และครอบครัว การพิจารณาออกเอกสารรับรองความพิการ เพื่อให้บิดามารดานำเอกสารไปยื่นประกอบการขอมีบัตร คนพิการให้แก่เด็ก เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ และการช่วยเหลือ ที่จำเป็นจากภาครัฐ บริการด้านการแพทย์ และการศึกษา ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมคุณภาพชีวิตคนพิการ ทวีศักดิ์ สิริรัตน์เรขา (2558) ได้สรุปวิธีการรักษาเด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัมไว้ ดังนี้ การส่งเสริมพลังครอบครัว (Family Empowerment) การดูแลเด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัมไม่ใช่ หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นหน้าที่ของทุกคนในครอบครัว ครอบครัวของเด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัมอาจมี สมาชิกบางรายที่มีความต้องการด้านช่วยเหลือหรือความต้องการพิเศษ เช่น ความเครียดจากการดูแลเด็ก มีความ เสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้า เป็นต้น การเสริมพลังให้ครอบครัวจึงเป็นสิ่งจำเป็นมากเพราะครอบครัวมีบทบาทที่สำคัญ ในการดูแลเด็กกลุ่มนี้ ควรมีการให้คำปรึกษาในสิ่งที่กังวลใจ พร้อมทั้งให้คำแนะนำแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เหมาะสม การส่งเสริมความสามารถ (Ability Enhancement) เด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัมเป็นบุคคลที่มี ความบกพร่องด้านภาษาและปฏิสัมพันธ์ทางสังคม หากได้รับโอกาสและการยอมรับจากสังคมหรือคนรอบข้าง เชื่อ ว่าการดึงศักยภาพของเด็กออกมานั้นไม่ใช่แค่ช่วยลดความผิดปกติแต่ยังช่วยพัฒนาทักษะด้านที่บกพร่องให้สมบูรณ์


27 มากขึ้นด้วย เพราะไม่ใช่แค่เด็กเท่านั้นที่ต้องพยายามปรับตัวให้เข้ากับสังคม แต่สังคมก็พยายามปรับตัวให้เข้ากับ เด็กด้วยเช่นกัน หากมองแต่เพียงข้อบกพร่องของเด็กและมุ่งแก้ไข เป็นการมองแค่เพียงปัญหาอาจทำให้หมด กำลังใจได้ง่าย การส่งเสริมศักยภาพและความสามรถที่เด็กมีอยู่จะช่วยให้มองเห็นถึงพัฒนาการและการ เปลี่ยนแปลงที่ดีกว่า ซึ่งความสามารถในที่นี้ ไม่จำเป็นว่าจะต้องต้องเป็นความสามารถพิเศษเสมอไป ความสามารถคือ สิ่งที่เด็กสามารถทำได้ เช่น ขณะนี้เด็กพูดคำว่าอะไรได้ ดูแลช่วยเหลือกิจวัตรประจำวันของตัวเองในเรื่องอะไรได้บ้าง แล้วขยายขีดความสามารถให้มากขึ้นกว่าเดิม โดยเปิดโอกาสให้เด็กได้ลงมือปฏิบัติบ่อย ๆ แล้วสอนเพิ่มในสิ่งที่ ใกล้เคียงกับสิ่งที่เด็กปฏิบัติได้ วิธีการนี้จะทำให้เกิดการเรียนรู้ได้ง่ายขึ้น และสามารถขยายขอบเขตความสามารถของ เด็กให้เพิ่มขึ้นได้ จากการศึกษาวิจัยพบว่าเด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัม ร้อยละ 10 เป็นเด็กมีความสามารถพิเศษ มี ชื่อเฉพาะที่ใช้เรียกกลุ่มนี้ว่า ซาวองก์ (Savant) ความสามารถพิเศษที่พบบ่อยที่สุดในเด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัมใน ต่างประเทศ คือ ความสามารถด้านดนตรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเล่นเปียโน นอกจากนี้ยังพบว่าเด็กเหล่านั้นมี ความสามารถด้านศิลปะ การคำนวณทางด้านคณิตศาสตร์และปฏิทิน ความสามารถด้านมิติสัมพันธ์หรือทักษะกลไก สำหรับข้อมูลด้านนี้ในประเทศไทยเองยังไม่มีการศึกษาและเก็บรวบรวมสถิติที่เพียงพอ การส่งเสริมพัฒนาการ (Developmental Intervention) การส่งเสริมพัฒนาการใช้การจัดกิจกรรมเพื่อ ส่งเสริมพัฒนาการของเด็กให้เป็นไปตามวัย โดยยึดตามพัฒนาการของเด็กปกติ ควรเริ่มทำตั้งแต่เด็กอายุยังน้อย มี ความต่อเนื่องในระยะเวลานานพอสมควร และการออกแบบการจัดกิจกรรมหรือการฝึกต่าง ๆ จะต้องมีความ เหมาะสมกับเด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัม ที่มีความแตกต่างกันในเรื่องสภาพปัญหา ขีดความสามารถและ ความสามารถในการเรียนรู้ของเด็ก การส่งเสริมพัฒนาการควรทำแบบองค์รวม เพื่อให้เกิดพัฒนาการที่สมดุล ตัวอย่างเช่น การสอนพูดควรสอนทักษะสังคมร่วมด้วย เพราะหากสอนการพูดอย่างเดียว เด็กอาจจะพูดได้ แต่พูด แล้วไม่เข้าใจความหมาย หรือพูดแล้วไม่ยอมสบตาคู่สนทนา เป็นต้น กิจกรรมที่นำมาใช้ส่งเสริมพัฒนาการต้องมี ความสัมพันธ์กับระดับพัฒนาการของเด็ก การจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมสามารถช่วยให้เด็กเรียนรู้ได้ดีขึ้น สถานที่ควรไม่มีเสียงดังรบกวน สะอาด มีระเบียบ และแบ่งเป็นสัดเป็นส่วนชัดเจน เพื่อให้เด็กรู้สึกปลอดภัย ไม่มีสิ่ง เร้ารบกวน และสามารถคาดเดาได้ว่าสามารถทำอะไรที่มุมไหนได้บ้าง สิ่งที่ผู้ฝึกควรตระหนัก คือ เด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัมจะเรียนรู้ได้ดีจากต้นแบบที่เป็นบุคล มากกว่าวัตถุ เนื่องจากสามารถมีปฏิสัมพันธ์กันได้และเป็นการสื่อสารแบบสองทาง ทักษะพื้นฐานที่ควรเริ่มฝึก คือ ทักษะทางภาษาการสื่อสาร ทักษะด้านร่างกาย การใช้กล้ามเนื้อ และทักษะด้านสังคม เน้นที่การ สบตา การฟัง ผู้อื่น การทำการคำสั่ง ซึ่งทักษะเหล่านี้จะช่วยดึงเด็กให้ออกจากโลกส่วนตัวของเขามาสู่โลกภายนอก การตามฝึก ทักษะเหล่านี้ค่อนข้างใช้เวลานานและเห็นการเปลี่ยนแปลงช้า อาจเกิดความเครียดแก่ตัวเด็กและบิดามารดาได้ แต่ หากเด็กเริ่มมีพื้นฐานด้านนี้ดีแล้ว จะสามารถพัฒนาและต่อยอดในทักษะอื่นได้ง่ายยิ่งขึ้น นอกจากนี้แล้วในการฝึก ควรเสริมเรื่องการฝึกทักษะในชีวิตประจำวัน (Activity of Daily Living Training) ด้วย เพื่อให้เด็กที่มีภาวะออทิ ซึมสเปกตรัมสามารถเรียนรู้ที่จะช่วยเหลือตนเองในด้านการดูแลกิจวัตรประจำวันของตนเองให้ได้มากที่สุด ไม่เป็น


28 ภาระของบิดามารดาหรือผู้ดูแล อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างความภาคภูมิใจในตัวเด็ก ตัวอย่างของรูปแบบหรือโมเดล ส่งเสริมพัฒนาการในเด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัม ที่เป็นรู้จักกันแพร่หลาย คือ Developmental Individual Difference (DIR) Model ซึ่งพัฒนาโดย Greenspan และ Wielder โมเดลนี้ช่วยให้สามารถประเมินเด็กได้อย่าง เข้าใจเพื่อนำไปสู่การออกแบบโปรแกรมการบำบัดให้เหมาะสมกับความสามารถและสภาพปัญหาความบกพร่อง ของเด็กแต่ละคนที่มีความแตกต่างกัน เพื่อเสริมสร้างศักยภาพทางด้านอารมณ์ สังคม และสติปัญญา โดยใช้เทคนิค Floor time ควบคู่กันไปในการสร้างสัมพันธภาพกับเด็ก (Greenspan & Wielder, 1997) การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม (Behavior Modification) การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมประกอบด้วย 2 องค์ประกอบคือ 1.การวิเคราะห์พฤติกรรมแบบประยุกต์ (Applied Behavior Analysis; ABA) และ 2. กระบวนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม (Behavioral Modification Procedure) โดยการปรับพฤติกรรมมี วัตถุประสงค์เพื่อคงไว้ซึ่งพฤติกรรมที่เหมาะสม หยุดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมหรือเป็นปัญหาและเสริมสร้าง พฤติกรรมใหม่ที่ต้องการ ซึ่งการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมควรเริ่มทำตั้งแต่อายุน้อยมีความต่อเนื่องสม่ำเสมอ วิธีการที่ ใช้ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม มีดังนี้ 1) การเสริมแรง เป็นการส่งเสริมให้เกิดพฤติกรรมที่พึงประสงค์ โดยการให้แรงเสริมทางบวก เช่น รางวัล ของเล่น คำชมเชย ตบมือ ยิ้ม กอด หรือหอมแก้ม 2) การหยุดยั้ง เป็นการงดให้ความสนใจหรืองดให้รางวัลเมื่อเด็กมีพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ 3) การงดร่วมกิจกรรม เด็กมีพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ ควรงดในช่วงเวลาจำกัด ไม่นานเกินไป 4) การทำสัญญาณ เป็นการเซ็นสัญญาแบบลายลักษณ์อักษรระหว่างผู้ฝึกกับเด็ก ระยะเวลาการทำ สัญญาควรมีความเหมาะสม ไม่ควรนานเกินกว่าที่เด็กจะทำได้ หากเด็กทำผิดสัญญาควรมีการลงโทษ หากมีการ ปฏิบัติตามข้อตกลงได้ควรให้รางวัลแก่เด็ก 5) การลงโทษ เป็นการจัดการกับพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของเด็ก เพื่อไม่ให้เด็กแสดงพฤติกรรมที่ไม่ พึงประสงค์อีก การลงโทษไม่ควรใช่บ่อยและควรใช้เป็นทางเลือกสุดท้าย 6) การเป็นตัวอย่างหรือเป็นแบบอย่างที่ดี หากต้องการให้เด็กมีพฤติกรรมใหม่แบบใด ผู้ฝึกควร แสดงพฤติกรรมแบบนั้นเพ่อเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่เด็ก กิจกรรมบำบัด (Occupational Therapy) เป็นการประยุกต์ใช้กิจกรรมหรือกิจวัตรต่าง ๆ มาใช้ใน การบำบัด ดำเนินการโดยนักกิจกรรมบำบัด (Occupational Therapist) โดยจะประเมินจากสภาพความบกพร่อง และความต้องการของเด็กแต่ละคน เพื่อประกอบการเลือกใช้กิจกรรมต่าง ๆ ที่จะช่วยพัฒนาและกระตุ้นให้เด็ก สามารถช่วยเหลือตนเองได้และสามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้ ลักษณะงานของกิจกรรมบำบัดมีดังนี้ 1) การฝึกให้เด็กสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ด้วยตนเอง เช่น การใส่เสื้อผ้า การรับประทาน อาหาร 2) กิจกรรมเพื่อเพิ่มระดับความสามารถในการควบคุมตนเอง


29 3) กิจกรรมกระตุ้นการเคี้ยว ดูดและกลืน 4) กิจกรรมเตรียมเพื่อความพร้อมของทักษะต่าง ๆ ที่เป็นพื้นฐานของการศึกษา เช่น ฝึกการจับ ดินสอเขียนหนังสือ ฝึกทักษะการอ่าน เป็นต้น 5) กิจกรรมฝึกทักษะการเคลื่อนไหว เช่น การเดิน การวิ่ง การกระโดด 6) กิจกรรมเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เช่น การทรงตัว 7) กิจกรรมเพื่อส่งเสริมการใช้มือหรือกล้ามเนื้อมัดเล็กและกล้ามเนื้อมัดใหญ่ 8) กิจกรรมการฝึกทักษะด้านการสื่อความหมาย 9) กิจกรรมการฝึกทักษะทางสังคม เช่น การฝึกการสื่อสารกับบิดามารดา การสบตา 10) จัดกิจกรรมกระตุ้นเด็กให้สามารถปรับตัวเข้ากับสังคม สามารถพึงพาตนเองได้ตามศักยภาพ 11) ประดิษฐ์อุปกรณ์ ดัดแปลงหรือสร้างเครื่องช่วยอำนวยความสะดวกเด็กสามารถช่วยเหลือ ตัวเองในกิจวัตรประจำวัน เช่น การทำความสะอาดร่างกาย การแต่งตัว เป็นต้น 12) ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมการเล่นที่ส่งเสริมพัฒนาการ การเรียนรู้ในโรงเรียน แก้ไขการพูด (Speech Therapy) ผู้ที่มีหน้าที่ฝึกและแก้ไขการพูด คือ นักเวชศาสตร์การสื่อ ความหมาย (Speech Therapist / Speech Pathologist) เด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัม สามารถเข้ารับการฝึกจากครู การศึกษาพิเศษที่ผ่านการอบรมเบื้องต้นในด้านการฝึกและแก้ไขการพูดได้ แต่ควรมีการประเมิน ติดตามความก้าวหน้า และขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากนักแก้ไขการพูดสม่ำเสมอ นอกจากนี้ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการฝึกและแก้ไขการพูด คือ บิดามารดาและผู้เลี้ยงดู เนื่องจากมีเวลาและความใกล้ชิดกับเด็ก การฝึกและแก้ไขการพูดที่มีประสิทธิภาพไม่ใช่แค่ฝึก เฉพาะวันที่นัดเท่านั้น แต่สมาชิกทุกคนในบ้านสามารถสร้างสถานการณ์ที่กระตุ้นให้เด็กเกิดการสื่อสารได้ เช่น การหยิบ สิ่งของที่ไม่ใช่ของเด็กมาให้ เพื่อให้เด็กถามหาสิ่งของๆตน หรือพูดปฏิเสธว่าไม่ใช่ของตน กรณีที่เด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัมยังไม่สามารถพูดได้หรือมีความบกพร่องทางการพูดอย่างรุนแรง อาจต้องวิธีการอื่นมาทดแทนการพูด เพื่อให้เด็กสามารถบอกความต้องการของตนเองได้ โดยการสื่อความหมาย ทดแทน (Augmentative and Alternative Communication: AAC) เช่น ใช้วิธีการรับรู้ผ่านการมอง (Visual Strategies) การใช้โปรแกรมแลกเปลี่ยนภาพเพื่อการสื่อสาร (Picture Exchange Communication System: PECS) โปรแกรมปราศรัย(Communication Devices) เป็นต้น วิธีการสอนเด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัม (Teaching Methods) บางครั้งพฤติกรรมที่เราต้องการสอนไม่เกิดขึ้น หรือไม่เกิดขึ้นถี่เพียงพอที่จะได้รับการเสริมแรง วิธีการสอนที่เป็นที่ยอมรับที่ช่วยกระตุ้น ให้เด็กแสดงพฤติกรรมใหม่ๆ ได้แก่ เทคนิคการปรับแต่ง (Shaping) การ กระตุ้นเตือน (Prompting) การลดการกระตุ้นเตือน (Prompt Fading) และวิธีการสอนแบบ "Discrete Trial Methods"การเลือกวิธีการสอนดังกล่าวคุณครูต้องเลือกให้มีความเหมาะสมกับระดับความสามารถในปัจจุบันของ เด็ก รูปแบบการเรียนรู้และทักษะที่จะสอนให้กับเด็ก


30 1) การปรับแต่งพฤติกรรม (Shaping) การปรับแต่งพฤติกรรมเป็นเทคนิคที่ถูกนำมาใช้ เมื่อเด็กยังไม่ มีทักษะอะไรเลย วิธีการนั้นเป็นการนำข้อได้เปรียบที่ เกี่ยวข้องกับการตอบสนองที่เด็กมีอยู่แล้ว และให้แรงเสริม ต่อการตอบสนองเหล่านั้น ซึ่งในขั้นต่อมาจะให้การเสริมแรงเฉพาะการตอบสนองที่ใกล้เคียงกับการตอบสนองที่พึง ประสงค์เท่านั้น 2) การกระตุ้นเตือน (Prompting) เด็กบางคนต้องการความช่วยเหลือพิเศษ เพื่อแสดงความสามารถ ในทักษะ หรือพฤติกรรมที่พึงประสงค์ การกระตุ้นเตือนเป็นเทคนิคการสอนที่ช่วยให้เด็กสามารถตอบสนองได้อย่าง ถูกต้อง คุณครูสามารถให้การกระตุ้นเตือนพร้อมๆ กับการสอน (เช่น แสดงตัวอย่างการตอบสนองที่ถูกต้อง) หรือ ในระหว่างที่เด็กกำลังตอบสนอง เพื่อช่วยลดความผิดพลาด หรือภายหลังจากเด็กแสดงการต่อบสนองที่ผิด เพื่อ แสดงให้เขา เห็นคำตอบที่ครูต้องการ หนึ่งในความเสี่ยงของการใช้การกระตุ้นเตือน คือเด็กอาจพึ่งพา หรือรอคอย การ กระตุ้นเตือน เพื่อแสดงการตอบสนองที่ถูกต้อง คุณครูสามารถส่งเสริมการตอบสนองด้วยตนเอง โดยการใช้ เทคนิคที่เรียกว่า การลดการกระตุ้นเตือน(Prompt Fading) ซึ่งจะได้กล่าวถึงในช่วงต่อไป การกระตุ้นเตือนมีด้วยกัน 5 ระดับ คือ การกระตุ้นเตือนทางกาย (Physical) การกระตุ้นเตือนด้วย วาจา (Verbal) การกระตุ้นเตือนด้วยท่าทาง และการชี้นำโดยใช้ตำแหน่ง (Gestural and Position Cues) การ กระตุ้นเตือนด้วยการแสดงตัวอย่าง (Modeling) 1) การกระตุ้นเตือนทางกาย (Physical) คือ การกระตุ้นเตือนทางกายให้เด็กตอบสนองได้อย่าง ถูกต้อง ระดับของการกระตุ้นเตือนทางกายมีความแตกต่างกัน โดยเริ่มจากการจับมือเด็กทำกิจกรรม (HandOver-Hand) จนถึงการสัมผัสเพียงแผ่วเบาที่หัวไหล่ของเด็ก (Partial Prompt) เพื่อให้เด็กตอบสนอง เด็กที่มีภาวะ ออทิซึมสเปกตรัมหลายๆ คน จำเป็นต้องได้รับการกระตุ้นเตือนทางกายอย่างมาก 2) การกระตุ้นเตือนด้วยวาจา (Verbal) เป็นรูปแบบการกระตุ้นเตือนที่คุณครูให้กับเด็ก โดยการ สอนด้วยคำพูด หรือเป็นคำสั่ง หรือการพูดนำทาง เพื่อให้ได้การตอบสนองที่ถูกต้อง ตัวอย่าง คุณครูสอนน้อง เจให้ เรียกชื่อสิ่งของชิ้นใหม่ โดยการถือสิ่งของนั้นพร้อมกับยกให้น้องเจดู และพูดว่า “ถ้วย! นี่อะไร” แล้ว ค่อยๆ ลดการ กระตุ้นเตือนลง ทั้งนี้ให้เหลือเฉพาะคำถาม “นี่อะไร” นอกจากนี้ครูอาจใช้การกระตุ้นเตือนด้วย วาจา เพื่อสอน น้องเจให้รู้จักการผลัดเปลี่ยน (Take Turn) เช่น การเล่นเกมโยนลูกเต๋า ภายหลังจากที่น้องเจ โยนลูกเต๋าเสร็จแล้ว คุณครูจะหยุดชั่วครู่ แล้วพูดว่า “ถึงคราวครูเล่นบ้าง” ในลักษณะเป็นการกระตุ้นเตือน น้องเจ ให้ส่งลูกเต๋าให้ และ เช่นกัน การกระตุ้นเตือนด้วยวาจาจะค่อยๆ ถูกลดลง 3) การกระตุ้นเตือนโดยการชี้นำด้วยท่าทางและการจัดวางตำแหน่ง (Gestural and Position Cues ) คือ การแสดงท่าทางต่างๆ เช่น การชี้นิ้ว การจ้องมองไปที่ หรือสัมผัส เพื่อชี้ให้เห็นถึงการตอบสนองที่ ถูกต้อง (ในขณะที่ครูกำลังออกคำสั่งว่า “ชี้วงกลม” ครูอาจชี้ไปที่วงกลมพร้อมๆกันกับออกคำสั่ง) สำหรับการบ่งชี้ โดย ตำแหน่ง จะเกิดขึ้นก่อน หรือเกิดขึ้นพร้อมๆ กับการสอน หรือคำสั่งของครู เมื่อใช้การบ่งชี้โดยตำแหน่ง คุณครู


31 ควร จัดวางสิ่งของชิ้นที่เราต้องการให้เด็กเลือก หรือตอบสนองที่ถูกต้องในตำแหน่งที่เด็กสามารถหยิบได้ง่าย (เช่น เมื่อ บอกให้เด็กชี้ไปยังวัตถุสีแดง ให้วางวัตถุสีแดงให้ใกล้ตัวเด็กมากกว่าวัตถุสีอื่นๆ) 4) การกระตุ้นเตือนด้วยการแสดงเป็นตัวอย่าง (Modeling) คือ การแสดงการตอบสนองที่ถูกต้อง เพื่อเป็นตัวอย่างสำหรับเด็ก ตัวอย่าง เมื่อคุณครูสอนทักษะการทักทายที่เหมาะสม คุณครูอาจแสดงให้เด็กเห็นการ ยกมือไหว้ และกล่าวสวัสดี แต่สิ่งที่คุณครูควรคำนึงถึง คือ การแสดงตัวอย่างจะได้ผล ก็ต่อเมื่อเด็กมี ความสามารถ ในการเลียนแบบแล้วเท่านั้น 5) การลดการกระตุ้นเตือน (Prompt Fading) ดังที่ได้กล่าวไว้ในตอนท้ายของการกระตุ้นเตือนว่า เด็กอาจกลายเป็นผู้ที่คอยพึ่งพาการกระตุ้นเตือน เพื่อแสดงการตอบสนองที่ถูกต้อง ดังนั้น ควรใช้การกระตุ้นเตือน ในช่วงแรกของการเรียนรู้ แล้วค่อยๆ ลดการ กระตุ้นเตือนลงทีละน้อยๆ เมื่อเห็นว่าเด็กแสดงให้เห็นถึง ความก้าวหน้า วิธีการลดการกระตุ้นเตือนมี ด้วยกัน 4 วิธี คือ การกระตุ้นเตือนที่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นขั้นๆ (Graduated Guidance) การกระตุ้นเตือน จากมากไปน้อย (Most-to-Least Prompting) การกระตุ้นเตือนจาก น้อยไปมาก (Least-to-Most Prompting) และใช้การยืดเวลาการกระตุ้นเตือน (Time Delay) การฝึกทักษะสังคม (Social Skill Training) หนึ่งในความบกพร่องที่สำคัญของเด็กที่มีภาวะออทิซึม สเปกตรัมคือ การบกพร่องด้านทักษะสังคม ส่วนใหญ่จะเน้นเรื่องการรู้จักเข้าใจผู้อื่น การมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม และการตอบสนองทางอารมณ์ที่เหมาะสม การมีส่วนร่วมในการสนทนา การเป็นผู้พูดและผู้ฟังที่ดี การยิ้ม การสบตา เป็นต้น ซึ่งการฝึกสามารถทำได้โดยการสอนในลักษณะของการจดจำรูปแบบการสนทนาในสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อ นำมาใช้โดยตรง นอกจากนี้ยังนิยมใช้การจำลองเหตุการณ์หรือสถานการณ์ทางสังคมต่าง ๆ เพื่อให้เด็กที่มีภาวะออทิ ซึมสเปกตรัมได้ทดลองจนสามารถปฏิบัติได้จริง สำหรับการสอนเรื่องราวทางสังคม (Social Stories) ซึ่งคิดค้นโดย Carol Gray จะเป็นการกำหนดเรื่องราวหรือสถานการณ์ ในสังคมรูปแบบต่าง ๆ มาสอนเด็ก บางครั้งอาจใช้รูปภาพหรื อรูปวาดมาประกอบเพื่อช่วยให้เด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัมสามารถที่จะเรียนรู้และเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น สามารถเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่น รวมถึงรู้วิธีการปฏิบัติตัวและการปรับตัวที่เหมาะสมกับสถานการณ์ทาง สังคมนั้น ๆ ซึ่งการสอนเรื่องราวทางสังคมสามารถลดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ของเด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัมได้ (Gray, 1991) การฟื้นฟูสมรรถภาพทางการศึกษา (Educational Rehabilitation) การฟื้นฟูสมรรถภาพทางการศึกษา มีบทบาทสำคัญในช่วยพัฒนาหลายทักษะที่มีความบกพร่องในเด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัม เช่น ทักษะวิชาการและ สังคม โดยโปรแกรมที่เหมาะกับการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการศึกษา คือ โปรแกรม Treatment and Education of Autistic and related Communication handicapped Children หรือเรียกโดยย่อว่าโปรแกรม TEACCH พัฒนา โดย Dr.Eric Scholar โปรแกรมนี้จะเน้นด้านการสอนอย่างมีระบบ เป็นขั้นตอนและมีการจัดสภาพแวดล้อมให้ เหมาะสมกับเด็ก โดยห้องเรียนจำต้องจัดเป็นระบบสิ่งของและอุปกรณ์แยกออกเป็นหมวดหมู่ ตารางเวลากิจกรรมต่าง ๆ จะต้องมีความชัดเจนและแน่นอน เพื่อให้เด็กสามารถเรียนรู้และคาดเดาได้ว่าเขาต้องทำอะไรบ้าง สำหรับขั้นตอน


32 การเรียนการสอนก็ต้องมีขั้นตอนอย่างชัดเจนเช่นเดียวกัน โดยเนื้อหาการสอนจะครอบคลุมทักษะทุก ๆ ด้าน นิยมใช้ ภาพเป็นสื่อการเรียนการสอนมากกว่าเสียง และใช้รูปหรือสัญลักษณ์ต่าง ๆ ในการช่วยสื่อสาร การฟื้นฟูสมรรถภาพทางอาชีพ (Vocational Therapy) เด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัมหากได้รับ การฝึกทักษะด้านต่าง ๆ เช่น ทักษะทางวิชาการ ทักษะทางสังคม ทักษะด้านการสื่อสารตั้งแต่เด็ก รวมถึงได้รับการ ฟื้นฟูสมรรถภาพทางอาชีพตามความถนัดและความสามารถของตนและได้รับโอกาสจากสังคม เมื่อเติบโตขึ้นจะ สามารถประกอบอาชีพได้ แนวคิดด้านการฝึกอาชีพมามีนานแล้ว แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการฝึกอาชีพใน สถานพยาบาล ปัจจุบันได้มีการพัฒนาการฝึกอาชีพให้มีความกว้างขวางมากขึ้นและเปิดโอกาสให้เข้าสู่ระบบตลาด จริงหรือการประกอบอาชีพส่วนตัว ภายใต้การควบคุม ประเมิน แนะนำและการสนับสนุนอย่างเป็นระบบโดยผู้ ฝึกสอนงาน (Job Coach) สำหรับทักษะที่จำเป็นในการฟื้นฟูสมรรถภาพทางอาชีพได้แก่ การปรับตัวให้เข้ากับเพื่อน ร่วมงานและหัวหน้า การตรงต่อเวลา ความสะอาดและปลอดภัยในการทำงาน เทคนิคเฉพาะทางสำหรับแต่ละอาชีพ เป็นต้น สรุปได้ว่า แนวทางการรักษากลุ่มโรคหรืออาการออทิซึมสเปกตรัม มีแนวทางการรักษาหลากหลาย วิธีเช่น การช่วยเหลือด้านการศึกษาที่มีความเหมาะสมกับกับความสามารถและความต้องการของเด็กที่มีภาวะออทิ ซึมแต่ละคน การส่งเสริมพลังครอบครัว ส่งเสริมความสามารถพิเศษ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมโดยวิธีการการ เสริมแรง การฝึกและการส่งเสริมทักษะด้านร่างกาย การฝึกและแก้ไขการพูด การฝึกทักษะสังคม ให้สามารถ ตอบสนองทางอารมณ์และแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสม และการรักษาด้วยยา เด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัมไม่ จำเป็นต้องรักษาด้วยยาทุกคน ยาช่วยบรรเทาพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ เมื่อได้รับยาจนกระทั่งอาการทุเลาลงแล้ว แพทย์อาจมีการปรับลดยาหรือสั่งหยุดยา 1.2 กลวิธีการเรียนรู้ผ่านการมอง (Visual Strategies) กลวิธีการเรียนรู้ผ่านการมอง (Visual Supports) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม กระบวนการ คิดโครงสร้างความคิดในสมองของบุคคลอันเนื่องมาจากการรับรู้ทางสายตาหรือจากการมองเห็น ในการเรียนรู้ของ บุคคลออทิสติกส่วนใหญ่เกิดจากการจดจำจากการมองเห็นสิ่งของ ภาพ สัญลักษณ์ ทำให้สามารถจดจำคำศัพท์ และเข้าใจเข้าศัพท์ได้ดีขึ้น สื่อสนับสนุนการเรียนรู้ผ่านการมองจะเป็นเครื่องมือที่สามารถช่วยให้เด็กสามารถดำเนิน กิจกรรมต่าง ๆ หรือเหตุการณ์ระหว่างวันได้สำเร็จ (สมพร หวานเสร็จ, 2552: หน้า 49) กลวิธีการรับรู้ผ่านการมอง (Visual Strategies) เป็นเครื่องมือช่วยในการสื่อสารสำหรับเด็กพิการที่มีปัญหาด้านการสื่อสาร หรือที่เรียกว่า "ความล้มเหลวของการสื่อสาร (communication breakdowns)" ซึ่งความล้มเหลวนี้จะก่อให้เกิดปัญหาการ ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ปัญหาการศึกษาและปัญหาพฤติกรรมตามมา เครื่องมือนี้จะช่วยพัฒนาความเข้าใจและการ แสดงออกในการสื่อสาร ช่วยสร้างวิธีการคิดการจำข้อมูลอย่างเป็นระบบลดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์อัน เนื่องมาจากเด็กพิการจะสามารถเรียนรู้และเข้าใจจากสิ่งที่เห็นได้มากกว่าสิ่งที่ได้ยิน ภาพหรือสัญลักษณ์ที่เด็กเห็น


33 จะทำให้เด็กสามารถจดจำได้อย่างมีประสิทธิ ภาพมากกว่าการได้ ยิน (อลิสา สุวรรณรัตน์, 2556) กลวิธีการรับรู้หรือการเรียนรู้ผ่านการมอง จึงเป็นเครื่องมือที่ช่วยในการแก้ปัญหาด้านการสื่อสารของเด็กที่มีปัญหา ในการสื่อสารไม่ว่าจะเป็นเด็กพิการประเภทใดก็ตาม ซึ่งเครื่องมือนี้จะช่วยให้เด็กมีความเข้าใจ รับรู้และจดจำสิ่ง ต่าง ๆ ได้เป็นระบบสามารถปรับตัวตามเรื่องราว สถานการณ์หรือเหตุการณ์ต่าง ๆที่จะเกิดขึ้นในระหว่างวันหรือ เกิดขึ้นในวันข้างหน้าได้อย่างเหมาะสม จากที่กล่าวมาข้างตันสรุปได้ว่า กลวิธีการเรียนรู้ผ่านการมอง (Visual Strategies) หมายถึง การ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม กระบวนการคิดโครงสร้างความคิดในสมองของบุคคลอันเนื่องมาจากการรับรู้ทางสายตา หรือจากการมองเห็น การเรียนรู้ของบุคคลออทิสติกส่วนใหญ่เกิดจากการจดจำ สิ่งของที่เป็นของจริง สิ่งของจำลอง ภาพเคลื่อนไหว ภาพถ่าย ภาพวาด ภาพลายเส้น ป้ายโฆษณา สัญลักษณ์ และโลโก้ต่าง ๆ ซึ่งทำให้บุคคลออทิสติก เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ส่งเสริมกระบวนการคิดในสมอง คนส่วนใหญ่มีรูปแบบการเรียนรู้ได้ดีโดยใช้การ มองและสร้างภาพในสมอง เชื่อมโยงกับประสบการณ์เดิมที่เคยเรียนรู้มา พัฒนาเป็นมโนมดีใหม่ขยายองค์ความรู้ ต่อเนื่องไปสู่ขั้นสูง หลักการของกลวิธีการเรียนรู้ผ่านการมอง เนื่องจากการที่บุคคลออทิสติกไม่สามารถเข้าใจภาษาทั้งหมดได้จึงนำรูปภาพหรือสัญลักษณ์เข้ามา แทนภาษาพูด เพื่อให้บุคคลออทิสติกเข้าใจและสามารถสื่อสารได้ รวมถึงการช่วยจัดการกับปัญหาการแสดง พฤติกรรม ที่ไม่พึงประสงค์ด้วย บุคคลออทิสติกและกลุ่มบุคคลที่มีความบกพร่องทางพัฒนาการ สามารถเรียนรู้ ผ่านการมองได้ดี เนื่องจากสามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว ลดพฤติกรรมก้าวร้าวและการทำร้ายตัวเอง ลด ความเครียด ลดความ กังวล สามารถเชื่อมโยงความรู้ความเข้าใจเมื่อมีการเปลี่ยนสถานที่ทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน (Quil, 1997; Frost and Bondy, 2000; Husdn. (1995 อ้างถึงในสมพร หวานเสร็จ, 2552) กลวิธีการรับรู้ผ่าน การมอง จึงได้ถูกนำมาใช้เพื่อพัฒนาพฤติกรรมเด็กให้ดีขึ้นโดยแสดงสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปให้เด็กเห็นได้ชัดเจน ทำให้ เด็กทำกิจกรรมได้อย่างอิสระและมั่นใจ พัฒนาความสามารถในการเข้าใจของเด็ก เหตุผลที่ต้องใช้กลวิธีการรับรู้ ผ่านการมองเพราะการกระตุ้น ทางการมองอาจทำให้เด็กประสบความสำเร็จในการทำกิจกรรม ดังนั้นกลวิธีการ รับรู้ผ่านการมองนี้จะเป็นเครื่องมือช่วยให้เด็กดำเนินขั้นตอนของกิจกรรม คำสั่ง คำอธิบายได้เสร็จสมบูรณ์ (อาพร ตรีสูน 2550) องค์ประกอบและประเภทของกลวิธีการเรียนรู้ผ่านการมอง อาพร ตรีสูน (2550), พรมณี หาญหัก (2550) และ อลิสา สุวรรณรัตน์ (2556) ศึกษาวิจัยถึง องค์ประกอบและประเภทของกลวิธีการเรียนรู้ผ่านการมอง และนำเสนอไว้ดังต่อไปนี้ 1) ตารางเวลา (Schedule) ตารางที่แสดงด้วยภาพหรือตัวอักษร เพื่อช่วยให้เด็กสามารถรู้ล่วงหน้าว่า จะต้องทำกิจกรรมใดบ้างในวันหนึ่งวันหนึ่ง ตารางเวลาจะให้ข้อมูลกับเด็กดังนี้


34 - บอกว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นบ้าง หรือบอกลำดับของกิจกรรมตลอดทั้งวัน เช่น กิจวัตรที่ จะต้องปฏิบัติในตอนเช้าเริ่มตั้งแต่ ตื่นนอน เก็บที่นอน อาบน้ำทำความสะอาด ร่างกาย แต่งตัว รับประทานอาหาร หรือบอกเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในวันจันทร์ เริ่มตั้งแต่ เช้าไปโรงเรียน ตอนบ่าย ไปโรงพยาบาล ตอนเย็นไปออก กำลังกาย เป็นต้น - บอกกิจกรรมใหม่ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น หรือยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เช่น เปลี่ยนกิจกรรมตอนเย็นจาก การไปออกกำลังกาย เปลี่ยนเป็นไปห้างสรรพสินค้า เป็นต้น - บอกการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นระหว่างกิจกรรม เช่น การเดินทางไปโรงเรียนปกติเป็น รถยนต์ ส่วนตัวเปลี่ยนเป็นภาพการเดินทางโรงเรียนด้วยรถโดยสาร เป็นต้น - บอกเวลาที่เปลี่ยนจากกิจกรรมหนึ่งไปกิจกรรมหนึ่ง เช่น ติดเวลาไว้หน้ากิจกรรมทุกกิจกรรม เพื่อให้เด็ก รู้ว่ากิจกรรมนั้น ๆ ปฏิบัติในช่วงเวลาใด และเริ่มต้นกิจกรรมใหม่ในเวลาใด เป็นต้น ในการใช้ตารางเวลา ให้คำนึงว่าตารางเวลานั้นใช้ได้กับเด็กแต่ละบุคคล หนึ่งตารางไม่สามารถใช้ได้กับเด็กคนอื่น ๆ ควรให้เด็กได้มีส่วน ร่วมในการใช้ตารางเมื่อกิจกรรมใดปฏิบัติเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้ดึงภาพกิจกรรมนั้น ออกไปใส่ใน "กล่องทำงาน เสร็จ"หรือพลิกภาพนั้นปิด หรือนำกระดาษมาปิด หรือใช้กากบาททับ 2) ตารางเวลาย่อย (Mini-schedule) จะเหมือนกับตารางเวลา เพียงดึงภาพกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่ง หรือ ส่วนใดส่วนหนึ่งของตารางเวลามาติดที่หัวตารางเวลาย่อย ซึ่งตารางเวลาย่อยจะเป็นตัวแตกกิจกรรมนั้น ๆ เป็น กิจกรรมย่อย ใช้ในกรณีที่เด็กไม่สามารถทำกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งได้ 3) ปฏิทิน (Calendar) ใช้ในการพูดคุย หรือใช้สัญลักษณ์ที่ปฏิทิน หรือจดบันทึก เพื่อบอกเหตุการณ์ ที่กำลังจะเกิดขึ้น หรือแจ้งเหตุการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงไว้ล่วงหน้า จะทำให้เด็กได้ปรับตัว มีความมั่นใจในตัวเอง และเตรียมพร้อมกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นหรือมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น เช่น วันที่ 12 ติดรูปโรงพยาบาล แสดงว่า วันที่ 12 ไม่ต้องไปโรงเรียนแต่ไปโรงพยาบาลแทน 4) การแบ่งงานออกเป็นขั้นตอนย่อย (Task Organizers) เป็นเครื่องมือที่ใช้ภาพหรือสัญลักษณ์ที่ บอก ขั้นตอนของกิจกรรมย่อย เช่น ขั้นตอนการแปรงฟัน ขั้นตอนการล้างจาน ขั้นตอนการเข้าห้องน้ำ เป็นต้น 5) เครื่องมือที่ใช้ในการจัดการ (Management Tools) เป็นเครื่องมือที่เป็นภาพสัญลักษณ์ที่บอก ข้อมูลคำสั่งของครู บอกกฎกติกาในห้องเรียนหรือที่บ้าน บอกข้อห้ามหรือห้ามพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น ใน เวลาเรียนครูติดภาพนักเรียนนั่งเรียนคู่กับภาพนักเรียนเล่นของเล่น โดยภาพเล่นของเล่นจะกากบาทไว้ นั่นหมายถึง ให้เด็กนั่งเรียนห้ามเล่นของเล่น เป็นต้น 6) ระบบการทำงาน (Work System) เป็นการวางลำดับของงานที่จะให้เด็กทำ 6.1) ระบบงานจะต้องตอบคำถามสี่คำถามพื้นฐานได้ คือ - เด็กจะต้องทำอะไร - เด็กจะต้องทำมากน้อยแค่ไหน


35 - เด็กจะรู้เมื่อไหร่ว่าทำเสร็จแล้ว - เด็กรู้ว่าจะต้องทำอะไรต่อไป 6.2) ระบบงานจะจัดวางจากซ้ายไปขวา ทุกชิ้นงานจะเริ่มทำจากด้านซ้าย เมื่อทำชิ้นแรกหรือชิ้น หมายเลข 1 เสร็จแล้วนำใส่กล่องเสร็จงาน (Finished box) แล้วจากนั้นเลื่อนไปทางขวาทำชิ้นงานต่อไป เลื่อนไป เรื่อย ๆจนกระทั่งครบทุกชิ้นงาน และทุกชิ้นงานจะอยู่ในกล่องเสร็จงาน (Finished box) 7) เครื่องมือการเปลี่ยนกิจกรรม (Transition Helpers) เด็กบางรายจะไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง หรือ แสดงพฤติกรรมไม่ยอมรับกับการเปลี่ยนแปลง อาจเนื่องมาจากไม่ชอบหรือบางรายไม่รู้ว่ากิจกรรมที่เปลี่ยนต่อไป คืออะไรจึงเกิดอาการกลัว ในกรณีนี้เราควรให้ข้อมูลให้เด็กเห็นเพื่อให้เด็กเข้าใจว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้นและยอมรับ การเปลี่ยนแปลง 8) กระดานให้เลือกและรายการ (Choice boards and Menu) ใช้สำหรับให้เด็กการตัดสินใจ รู้จัก การเลือกด้วยตนเอง เช่น ชั่วโมงพละศึกษาครูติดภาพฟุตบอล กับภาพปิงปอง ให้เด็กเลือกว่าอยากเล่นอะไร หรือ ในมื้ออาหารเช้าติดภาพข้าวต้ม เบอเกอร์ นม ข้าวผัด ให้เด็กเลือกว่าจะรับประทานอะไร เป็นต้น โดยมีนัก การศึกษา (สมพร หวานเสร็จ, 2547) ได้เสนอประเภทของรูปภาพสนับสนุนการเรียนรู้ผ่านการมองที่นิยม ใช้มี 5 ประเภทด้วยกัน คือ 1. การใช้รูปภาพแสดงตารางเวลาและกิจกรรม 2. การใช้รูปภาพในการแลกเปลี่ยนข้อมูล 3. การใช้รูปภาพประกอบแบบตรวจสอบรายการ 4. การใช้รูปภาพสนับสนุนพฤติกรรมที่พึ่งประสงค์ 5. การใช้ รูปภาพสนับสนุนการสร้างทางเลือก 1.3 สื่อสนับสนุนการเรียนรู้ผ่านการมอง (Visual Support) สื่อสนับสนุนการเรียนรู้ผ่านการมอง (Visual Support) หมายถึง สิ่งของที่เป็นของจริง ภาพเคลื่อนไหว ภาพถ่าย ภาพวาด ภาพลายเส้น แผ่นป้ายและสัญลักษณ์ ซึ่งนำมาจัดทำอย่างเป็นระบบเพื่อ นำเสนอให้บุคคลเกิดการเรียนรู้จากการมองเห็น สื่อสนับสนุนการเรียนรู้ผ่านการมองจึงเป็น สิ่งที่ช่วยให้บุคคลออทิ สติก แอสเพอร์เกอร์ซินโดรมและเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษทางการศึกษา เข้าใจคำศัพท์ได้ดีขึ้นนักวิชาการ เกี่ยวกับบุคคลออทิสติก จำนวนมากได้ให้นิยามเกี่ยวกับสื่อสนับสนุนการเรียนรู้ผ่านการมองในบุคคลออทิสติก แอส เพอร์เกอร์ซินโดรมและเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษทางการศึกษาว่า เป็นเครื่องมือที่สามารถช่วยให้บุคคล กลุ่มนี้สามารถดำเนินกิจกรรมหรือเหตุการณ์ระหว่างวันได้สำเร็จเข้าใจกรอบของเวลาในแต่ละกิจกรรมอย่างเป็น รูปธรรมและประยุกต์องค์ความรู้ที่เรียนรู้มาแล้วจากสื่อสนับสนุนการเรียนรู้ผ่านการมองให้สอดคล้องกับ สถานการณ์และสิ่งแวดล้อมปัจจุบันขณะนั้น การสอนผ่านการมอง การจัดสภาพแวดล้อมและระบบงานผ่านการมองช่วยให้นักเรียนทำกิจกรรมอย่างอิสระ เป็น เครื่องมือการสอนที่เป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ผ่านสื่อที่เป็นรูปธรรมมองเห็นได้ ลดข้อจำกัดนักเรียนที่มีปัญหาการ ได้ยิน โครงสร้างรูปภาพงานช่วยให้นักเรียนเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างรูปภาพกับงานที่ทำได้ชัดเจน


36 1.4 โปรแกรม TEACCH (Treatment and Education of Autistic and Related Communication Handicapped Children) โปรแกรม TEACCH พัฒนาโดย DxEtic Scheplet เน้นการสอนอย่างมีระบบ ขั้นตอน และการจัด สภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับเด็ก เป็นหัวใจสำคัญ โดยมีการจัดห้องเรียนให้เป็นระบบ จัดของเป็นหมวดหมู่ จัดคา รางเวลากิจกรรมต่าง ๆ แน่นอน และมีความคาดหวังที่ชัดเจน ทำให้เด็กรู้ว่าเขาต้องทำอะไรบ้าง และสอนอย่างมี ขั้นตอน วิธีการสอนจะเน้นใช้ภาพมากกว่าเสียง สอนให้สื่อสารโดยใช้รูปหรือสัญลักษณ์ต่าง ๆ เนื้อหาจะครอบคลุม ใน ทักษะทุกด้าน ความหมายของ TEACCH หมายถึง การสอนแบบมีโครงสร้าง (Structured teaching) คือ 1. การจัดตารางเวลาส่วนตัว (Individualized schedulrs) ได้แก่ ตารางกิจกรรมทั้งวัน แต่ละคาบเรียนและตารางกิจกรรมย่อย 2. การจัด สภาพแวดล้อมทางกายภาพ (Physical organization) 3. ระบบงาน (Work Activity systems) ได้แก่ ระบบการ ใช้กล่องงานใบงาน 4. สื่อ งาน และกิจกรรมที่ใช้ภาพเป็นโครงสร้าง TEACCH มีประสิทธิผลต่อการจัดการเรียนรู้ สำหรับบุคคลออทิสติก ซึ่งเป็น Visual Learner โดยการจัด โครงสร้างของชั้นเรียนทำให้นักเรียนเข้าใจว่า กำลังอยู่ที่ไหน จะต้องทำอะไรบ้างและทำอย่างไรบ้าง ซึ่งจะทำให้ เด็กสามารถทำกิจกรรมได้อย่างอิสระ เป้าหมายในการลดข้อจำกัดในด้าน การสื่อสาร การจัดการกับตนเองและ การทำกิจกรรม การเชื่อมโยงความเข้าใจในสถานการณ์ต่างๆ ความเข้าใจเกี่ยวกับมโนมติ การบูรณาการระบบ ประสาทสัมผัส ความยุ่งยากเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงและความเชื่อมโยงกับสิ่งต่างๆ การสอนที่มีโครงสร้างชัดเจน โดยใช้จุดเด่นหรือโครงสร้างลักษณะพื้นฐานของออทิสติกมาส่งเสริมและ พัฒนาการเรียนรู้ และการสอนด้วยการมองเห็น เด็กออทิสติกจะเรียนรู้ได้ดีด้วยการใช้สายตาจากของจริงแล้ว ภาพ เป็นสื่อการสอนที่เหมาะที่สุด การใช้ภาพประกอบขั้นตอนในการเรียนการสอน จะทำให้เด็กออทิสติกเข้าถึง บทเรียนได้ง่าย เรียนรู้ได้เร็วขึ้น การจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับเด็ก เป็นหัวใจสำคัญ โดยมีการจัดห้องเรียน ให้เป็นระบบ จัดของเป็นหมวดหมู่ จัดตารางเวลากิจกรรมต่าง ๆ แน่นอน และมีความคาดหวังที่ชัดเจน ทำให้เด็กรู้ ว่าเขาต้องทำอะไรบ้าง และสอนอย่างมีขั้นตอน วิธีการสอนจะเน้นใช้ภาพมากกว่าเสียง สอนให้สื่อสารโดยใช้รูป หรือสัญลักษณ์ต่างๆ เนื้อหาจะครอบคลุมในทักษะทุกด้าน ความสำคัญของ TEACCH TEACCH (Treatment and Education of Autistic and related Communication handicapped CHildren) เน้นการสอนอย่างมีระบบ ขั้นตอน และการจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับเด็ก เป็นหัวใจสำคัญ โดย มีการจัดห้องเรียนให้เป็นระบบ จัดของเป็นหมวดหมู่ จัดตารางเวลากิจกรรมต่างๆแน่นอน และมีความคาดหวังที่


37 ชัดเจน ทำให้เด็กรู้ว่าเขาต้องทำอะไรบ้าง และสอนอย่างมีขั้นตอน วิธีการสอนจะเน้นใช้ภาพมากกว่าเสียง สอนให้ สื่อสารโดยใช้รูปหรือสัญลักษณ์ต่างๆ เนื้อหาจะครอบคลุมในทักษะทุกด้าน สำหรับประเทศไทยเอง การฟื้นฟูสมรรถภาพทางการศึกษา สำหรับบุคคลออทิสติก มีการเปลี่ยนแปลง และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 กล่าวไว้ว่า “การจัดการศึกษาสำหรับ บุคคลที่มีความบกพร่องทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ สังคม การสื่อสาร และการเรียนรู้ หรือมีร่างกาย พิการ หรือทุพพลภาพ หรือบุคคลซึ่งไม่สามารถพึ่งตนเองได้ หรือไม่มีผู้ดูแล หรือผู้ด้อยโอกาส ต้องจัดให้บุคคล ดังกล่าว มีสิทธิและโอกาสที่ได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นพิเศษ”หน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง คือ สำนัก บริหารงานการศึกษาพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ มีหน้าที่ดำเนินการ ในด้านการขยายโอกาสและบริการทางการศึกษาให้ทั่วถึงปัจจุบันมีทางเลือกในการศึกษาเพิ่มขึ้น ทั้งในรูปแบบ โรงเรียนการศึกษาพิเศษเฉพาะทาง โรงเรียนเรียนร่วม ห้องเรียนคู่ขนาน ห้องเรียนปกติ รวมถึงการศึกษ านอก โรงเรียน และการศึกษาตามอัธยาศัยควรมีการจัดทำ แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ( Individualized Education Program; IEP) โดยออกแบบให้เหมาะสมกับระดับความสามารถ ความบกพร่อง และความสนใจของ เด็กแต่ละคน เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่ง่าย ไม่สับสน เด็กสามารถนำทักษะที่ได้จากชั้นเรียนไปใช้นอกห้องเรียนได้ กฎกระทรวงว่าด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อบริการ และความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา ออกตาม ความในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ให้นิยามว่า “แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล หมายความว่า แผนซึ่งกำหนดแนวทางการจัดการศึกษาที่สอดคล้องกับความต้องการจำเป็นพิเศษของบุคคลพิการ ตลอดจนกำหนดสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ บริการ และความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษาให้เป็นเฉพาะบุคคล” เทคโนโลยีสารสนเทศ สามารถนำมาช่วยเสริมทั้งในด้านการประเมินทักษะการเรียน ช่วยในด้านการสอน ช่วยใน การสื่อสาร และเสริมสร้างทักษะสังคม ในเด็กบางคน การสื่อสารผ่านทางแป้นพิมพ์และหน้าจอคอมพิวเตอร์จะง่าย กว่าการใช้ภาษาพูด นอกจากนี้การรับรู้ผ่านทางตัวหนังสือและรูปภาพ ยังสามารถช่วยให้บุคคลออทิสติกสามารถ เรียนรู้ และเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ออกมาได้ง่ายกว่าด้วย หลักการและแนวคิดของ TEACCH หลักการของ TEACCH คือ การสอนแบบมีโครงสร้าง (Structured teaching) ประกอบด้วย 1. การจัดสภาพแวดล้อมทางกายภาพ (Physical organization) 2. การจัดตารางเวลาส่วนตัว (Individualized schedules) ได้แก่ ตารางกิจกรรมทั้งวัน แต่ละคาบเรียนและตาราง กิจกรรมย่อย


38 3. ระบบงาน Work (Activity) systems ได้แก่ ระบบการใช้กล่องงานใบงาน 4. สื่อ งาน และกิจกรรมที่ใช้ภาพเป็นโครงสร้าง (Visual structure of materials in tasks and activities) TEACCH มีประสิทธิผลต่อการจัดการเรียนรู้ สำหรับบุคคลออทิสติก ซึ่งเป็น Visual Learner โดยการจัดโครงสร้าง ของชั้นเรียนทำให้นักเรียนเข้าใจว่า กำลังอยู่ที่ไหน จะต้องทำอะไรบ้างและทำอย่างไรบ้าง ซึ่งจะทำให้เด็กสามารถ ทำกิจกรรมได้อย่างอิสระ เป้าหมายในการลดข้อจำกัดในด้าน การสื่อสาร การจัดการกับตนเองและการทำกิจกรรม การเชื่อมโยง ความเข้าใจในสถานณ์การต่างๆ ความเข้าใจเกี่ยวกับมโนมติ การบูรณาการระบบประสาทสัมผัส ความยุ่งยากเมื่อมี การเปลี่ยนแปลงและความเชื่อมโยงกับสิ่งต่างๆ 1.5 การปฏิบัติกิจกรรมประจำวัน ความหมายของการปฏิบัติกิจกรรมประจำวัน ตารางกิจกรรม (Schedule) การแสดงให้บุคคลรู้ว่าจะต้องทำอะไร ที่ไหน ในโครงสร้างกายภาพและ กิจกรรมที่เป็นลำดับขั้นตอน การสร้างตารางกิจกรรมมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับระดับความสามารถของเด็กแต่ ละคน ตารางกิจกรรมประจำวัน 1. ใช้ง่าย เข้าใจง่าย 2. นักเรียนใช้ได้เอง 3. อยู่ร่วมกันไม่แยกชิ้น 4. ตรงกับระดับความสามารถนักเรียน ตารางกิจกรรมประจำวัน ทำให้เด็กมีสติไม่ลืมและพัฒนาความจำระยะสั้นสู่ความจำระยะยาว ใช้นาฬิกาจับเวลาเพื่อที่จะให้เด็กรับรู้การจบกิจกรรม รู้สึกเวลาสำคัญและติดตัวเด็กไป ตั้งวัตถุประสงค์การพัฒนาให้ชัดเจน 1. ง่ายไปหายาก 2. ลำดับขั้นตอน ก่อน-หลัง


39 3. ถ่ายโยงการเรียนรู้สู่ขั้นซับซ้อน การสร้างโครงสร้างของเวลาจากกิจกรรมใน 1 วัน 1. ภาพแสดงให้เห็นเนื้อหาที่จะเรียนชัดเจน 2. มองเห็นได้อย่างชัดเจน 3. พยากรณ์สถานการณ์และสามารถดำเนินกิจกรรมไปได้ 4. รู้ว่าสถานการณ์นี้จะทำอะไร ต่อไปทำอะไร 5. สามารถควบคุมตนเองจนทำกิจกรรมสำเร็จ ตารางหรือขั้นตอนรูปภาพทำให้เข้าใจง่าย แผ่นภาพลำดับขั้นตอนกิจกรรมทำให้พยากรณ์สิ่งที่เกิดขึ้นหรือชี้บอกพฤติกรรมที่จะเกิดขึ้นต่อไป การ ตรวจสอบรายการหรือบันทึกกิจกรรมสำคัญควรทำง่ายๆเฉพาะจำเป็นไม่ใช่หลากหลาย เช่น กิจกรรมตอนเช้าที่ โรงเรียนต้องทำอะไรบ้าง การให้ข้อมูลการทำงานที่สมบูรณ์และเป็นอิสระด้วยตนเอง ระบบงาน (Work System) เป็นการจัดการงานหรือกิจกรรมผ่านการมอง นำเสนอขั้นตอนชี้บอกลักษณะ งาน จำนวนชิ้นงานและความสำเร็จของงาน เพื่อให้นักเรียนเรียนรู้ที่จะทำงานได้อย่างอิสระ การนำเสนอขั้นตอน ระเบียบของงาน เพื่อให้นักเรียนรู้ที่จะทำงานอย่างอิสระโดยไม่ต้องพึ่งพาผู้ใหญ่ ได้แก่ 1. งานอะไร 2. จำนวนงานมีเท่าไหร่ 3. ทำอย่างไรและเสร็จเมื่อไหร่ 4. เสร็จแล้วต่อไปคืออะไร (สิ่งเสริมแรง) ระบบงาน สามารถสะท้อนให้เห็นถึงประเภทของงานหรือกิจกรรม เช่น ทักษะวิชาการ ทักษะใน ชีวิตประจำวันและนันทนาการ


40 ระบบกล่องงาน ระบบกล่องงาน เป็นสื่อการเรียนรู้ผ่านการมองประกอบด้วย ตารางกิจกรรมที่เป็นลำดับขั้นตอน มีจุดเริ่มต้น จุดสิ้นสุด ชุดสื่อหรือกิจกรรม แบบวัดประเมินผลการเรียนรู้ ประโยชน์ระบบกล่องงาน 1. สามารถนำหลักสูตรสู่การปฏิบัติได้ง่ายเป็นรูปธรรม 2. ระบบกล่องงานเป็นลำดับขั้นตอน เข้าใจง่าย 3. ระบบกล่องงานช่วยครูให้ควบคุมชั้นเรียน บริหารจัดการเรียนการสอนในชั้น 4. ระบบกล่องงานทำให้นักเรียนมีสมาธิจดจ่อและทำงานสำเร็จด้วยตนเอง 5. เด็กมีความสุขเด็กได้เห็นการทำงานของพวกเขาหายไปและสามารถมองเห็นสิ่งที่พวกเขาได้ ประสบความสำเร็จ องค์ประกอบสำคัญของ Work boxes system 1. โครงสร้างทางกายภาพ เช่น โครงสร้างชั้นเรียน โครงสร้างเวลา โครงสร้างกิจกรรม ที่สามารถ มองเห็นได้มีระบบงานชัดเจน 2. กิจกรรมตามหลักสูตร 3. สื่อการสอนในกล่องงาน 4. การวัดประเมินผล กิจกรรมมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับระดับความสามารถของเด็กแต่ละคน


41 1.6 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับวิธีการ งานวิจัยในประเทศ เบญจมาศ พระธานี อมรรัตน์ พงศ์จรรยากุล (2544) การสอนพูดโดยใช้โปรแกรม TEACCH การใช้ โปรแกรม TEACCH มาประยุกต์ใช้ในการพูดให้ก้าวหน้าขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตามผลการฝึกพูดต้องขึ้นอยู่ กับปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับเด็กอีกหลายอย่าง เช่น การสนับสนุนของครอบครัว ศักยภาพของเด็กเอง ความรุนแรงของ โรค เป็นต้น ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากบุคคลหลายฝ่ายร่วมกัน ชญานิษฐ์ อนันตวรวงศ์ (2550) การส่งเสริมพัฒนาการด้วย TEACCH การส่งเสริมพัฒนาการเด็กออทิสติก ด้ว ย TEACCH (Treatment and Education of Autistic and related Communication Handicapped Children) การส่งเสริมพัฒนาการด้วย TEACCH ช่วยให้เด็กเข้าใจสิ่งต่างๆ จากการจัดสิ่งแวดล้อมให้เอื้อต่อการ เรียนรู้ ใช้ตารางกิจกรรมเพื่อให้เด็กรู้ลำดับกิจกรรม สามารถคาดการณ์ในกิจกรรมที่ต้องทำนำไปสู่การยอมรับและ ให้ความร่วมมือได้ในที่สุด การใช้ภาพจะช่วยให้เรียนรู้ได้ดีขึ้น ลดปัญหาพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์จากการวิตก กังวลหรือความคับข้องใจที่เป็นปัญหาสำคัญของเด็กออทิสติก วรวลัญช์ สุพรรณชนะบุรี สุการต์พิชา ปิยะธรรมวรากุล (2554) การส่งเสริมการทำกิจวัตรประจำวันโดย วิธีการสอนแบบ TEACCH สำหรับเด็กออทิสติก ได้ทำการศึกษาผลของการฝึกปฏิบัติกิจวัตรประจำวันโดยวิธีการ สอนแบบ TEACCH ผลการทำกิจวัตรประจำวันของเด็กออทิสติกก่อนและหลังใช้ วิธีการสอนแบบ TEACCH มี ความแตกต่างกัน โดยหลังใช้วิธีการสอนแบบ TEACCH เด็กสามารถปฏิบัติกิจวัตรได้เพิ่มมากขึ้น เมื่อเปรียบเทียบ ค่าเฉลี่ยคะแนนการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันทั้ง 3 ระยะ งานวิจัยต่างประเทศ Erick Schopler. (2006) TEACCH Autism Program. University of North Carolina. This article is related to the guideline to develop activities of daily living skills in children with autism. It is applicable for parents, families, caregivers and teachers of children with autism. The author studied from papers, textbooks and specialists in special education in order to apply the principles and techniques to develop activities of daily living skills in children with autism. The author actually used these guidelines to teach and practice. The selected guideline to develop activities of daily living skills in children with autism for parents. As for guideline to develop activities of daily living skills in children with autism for teachers, use the following techniques ; 1 ) Analyzing task


42 technique, 2) TEACCH technique, 3) Demonstration technique, and 4) Positive reinforcement technique. These guidelines will help develop activities of daily living skills in children with autism, thus allow them to do daily living activities by themselves and be least dependent on others. Manason P. (2013) Application of the TEACCH Approach on Thai Pre-school Children With Autism: A Multidimensional Pilot Study. In recent years, the term Autism Spectrum Disorder of ASD was widely known as one of the world largest phenomenon disorder. Many researchers have shown the radio of children with ASD compared to normal ones was approximately 1:88, which is unexpectedly increased for the last five years. While the ASD was claimed as a neurobehavioral syndrome caused by a dysfunction in the central nervous system, which leads to disordered development, three general categories of behavioral impairment were shown. Common to all persons who have autism are composing of qualitative impairments in social interaction, qualitative impairment in communication, and restricted repetitive and stereotyped patterns of behavior, interest, and activities. Patara Napanang (2021) Using the TEACCH Program and Positive Reinforcement to Increase SelfRegulation of a Preschool Child with Autism. Children with autism often have attention-deficit hyperactivity disorder (ADHD) and lack of self- regulation, and therefore they needed assistant or prompting. The TEACCH program and positive reinforcement are effective teachings to increase self-regulation. This study was a single-subject design with an A-B-A-B design and aims to determine the result of using the TEACCH program and positive reinforcement to increase selfregulation of a preschool child with autism. The case study was selected by purposive sampling, a 5 years old boy, who was treated at the Child Psychiatric Unit, Maharaj Nakhon Chiang Mai Hospital. The instruments used in this study included the materials of the TEACCH program, the individualized education plan, the reinforcement assessment form, and the observation prompt form. These instruments were developed by the researcher and all instruments have been evaluated the content validity (IOC) by experts. Data were analyzed by using simple statistics and descriptive statistics The results showed that the trainer's promptings score steadily decrease, the baseline (A1) has a prompting score of 2.69, the first treatment period (B1) has a promptings score of 1.67, withdrawn the treatment (A2) has a promptings score of 1.59 and the second treatment


43 period (B2) has a promptings score of 1.15. these results mean self-regulation of the case study increased after using the TEACCH program and positive reinforcement.


Click to View FlipBook Version