The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ใยไหมได้จากรังของตัวไหม ในไทยมีการเลี้ยงไหมกันมากทางภาคอีสาน ใยไหมได้รับสมญาว่าเป็นราชินีแห่งเส้นใย มีความงามหรูหรา เนื้อผ้าเป็นมันแวววาว ทำความพึงพอใจให้แก่ผู้สวมใส่ แต่ผ้าไหมมีราคาค่อนข้างแพง คนเรารู้จักใช้ผ้าไหมกันมานานหลายพันปีแล้ว ประเทศจีนเป็นประเทศแรกที่รู้จักเลี้ยงไหม และนำเส้นใยมาผลิตเป็นผ้าไหม ด้วยคุณสมบัตินอกจากจะมีเนื้อมันแวววาวสวยงามมากแล้ว ยังเหนียวมาก สวม-ใส่สบาย ปรับให้เหมาะกับอากาศร้อนเย็นได้ดี คือ จะรู้สึกเย็นเมื่ออากาศร้อน และจะรู้สึกอุ่นเมื่ออากาศหนาว ผ้าไหม ย้อมสีติดง่าย พิมพ์ลวดลายได้สวยงาม เวลาสวมใส่ไหมจะเสียดสีกันทำให้เกิดเสียง เราเรียกกันว่าเสียง ส่ายไหม ผ้าไหมนิยมนำมาตัดเป็นเสื้อผ้า เครื่องใช้ที่ให้ความงามหรูหราและใช้เป็นครั้งคราว ทั้งนี้เพราะผ้าไหมราคาค่อนข้างแพง ซักรีดยาก ผ้าไหมที่ฟอกเอาขี้ผึ้งที่ติดมากับเส้นใยออกหมด น้ำหนักจะเบาและค่อนข้างยับง่าย ผ้าไหมจะเก่าเร็วถ้าซักรีดบ่อยๆ ไม่ทนต่อสารซักฟอกที่มีส่วนผสมของด่างเข้มข้นและไม่ทนต่อแสงแดด เวลาซักรีดผ้า-ไหมจึงต้องทำอย่างระมัดระวังมากกว่าการซักผ้าชนิดอื่น

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by SACIT, 2023-08-08 23:31:07

กระบวนการย้อมสีธรรมชาติ (เส้นไหม)

ใยไหมได้จากรังของตัวไหม ในไทยมีการเลี้ยงไหมกันมากทางภาคอีสาน ใยไหมได้รับสมญาว่าเป็นราชินีแห่งเส้นใย มีความงามหรูหรา เนื้อผ้าเป็นมันแวววาว ทำความพึงพอใจให้แก่ผู้สวมใส่ แต่ผ้าไหมมีราคาค่อนข้างแพง คนเรารู้จักใช้ผ้าไหมกันมานานหลายพันปีแล้ว ประเทศจีนเป็นประเทศแรกที่รู้จักเลี้ยงไหม และนำเส้นใยมาผลิตเป็นผ้าไหม ด้วยคุณสมบัตินอกจากจะมีเนื้อมันแวววาวสวยงามมากแล้ว ยังเหนียวมาก สวม-ใส่สบาย ปรับให้เหมาะกับอากาศร้อนเย็นได้ดี คือ จะรู้สึกเย็นเมื่ออากาศร้อน และจะรู้สึกอุ่นเมื่ออากาศหนาว ผ้าไหม ย้อมสีติดง่าย พิมพ์ลวดลายได้สวยงาม เวลาสวมใส่ไหมจะเสียดสีกันทำให้เกิดเสียง เราเรียกกันว่าเสียง ส่ายไหม ผ้าไหมนิยมนำมาตัดเป็นเสื้อผ้า เครื่องใช้ที่ให้ความงามหรูหราและใช้เป็นครั้งคราว ทั้งนี้เพราะผ้าไหมราคาค่อนข้างแพง ซักรีดยาก ผ้าไหมที่ฟอกเอาขี้ผึ้งที่ติดมากับเส้นใยออกหมด น้ำหนักจะเบาและค่อนข้างยับง่าย ผ้าไหมจะเก่าเร็วถ้าซักรีดบ่อยๆ ไม่ทนต่อสารซักฟอกที่มีส่วนผสมของด่างเข้มข้นและไม่ทนต่อแสงแดด เวลาซักรีดผ้า-ไหมจึงต้องทำอย่างระมัดระวังมากกว่าการซักผ้าชนิดอื่น

Keywords: ย้อม,ไหม,เส้นไหม,ชาต

1 กระบวนการย้อมสีธรรมชาติ (เส้นไหม) และการพัฒนาเทคนิคการย้อมสีธรรมชาติ โดย คร ู ส ุ รโชต ิ ตามเจร ิ ญ คร ู ศล ิป์ แหง่แผ่นดน ิ ประจา ปี2559


2 กระบวนการย้อมสีธรรมชาติ(ไหม) และการพัฒนาเทคนิคการย้อมสีธรรมชาติ เส้นไหม ใยไหมได้จากรังของตัวไหม ในไทยมีการเลี้ยงไหมกันมากทางภาคอีสาน ใยไหมได้รับสมญาว่าเป็นราชินีแห่ง เส้นใย มีความงามหรูหรา เนื้อผ้าเป็นมันแวววาว ท าความพึงพอใจให้แก่ผู้สวมใส่ แต่ผ้าไหมมีราคาค่อนข้างแพง คนเรา รู้จักใช้ผ้าไหมกันมานานหลายพันปีแล้ว ประเทศจีนเป็นประเทศแรกที่รู้จักเลี้ยงไหม และน าเส้นใยมาผลิตเป็นผ้าไหม ด้วยคุณสมบัตินอกจากจะมีเนื้อมันแวววาวสวยงามมากแล้ว ยังเหนียวมาก สวม-ใส่สบาย ปรับให้เหมาะกับอากาศร้อน เย็นได้ดี คือ จะรู้สึกเย็นเมื่ออากาศร้อน และจะรู้สึกอุ่นเมื่ออากาศหนาว ผ้าไหม ย้อมสีติดง่าย พิมพ์ลวดลายได้สวยงาม เวลาสวมใส่ไหมจะเสียดสีกันท าให้เกิดเสียง เราเรียกกันว่าเสียง ส่ายไหม ผ้าไหมนิยมน ามาตัดเป็นเสื้อผ้า เครื่องใช้ที่ให้ ความงามหรูหราและใช้เป็นครั้งคราว ทั้งนี้เพราะผ้าไหมราคาค่อนข้างแพง ซักรีดยาก ผ้าไหมที่ฟอกเอาขี้ผึ้งที่ติดมากับ เส้นใยออกหมด น ้าหนักจะเบาและค่อนข้างยับง่าย ผ้าไหมจะเก่าเร็วถ้าซักรีดบ่อยๆ ไม่ทนต่อสารซักฟอกที่มีส่วนผสม ของด่างเข้มข้นและไม่ทนต่อแสงแดด เวลาซักรีดผ้า-ไหมจึงต้องท าอย่างระมัดระวังมากกว่าการซักผ้าชนิดอื่น คุณสมบัติของเส้นใยไหม ไหม เป็นเส้นใยโปรตีนธรรมชาติ มีสารโปรตีนที่เรียกว่า Fibroin และมีโปรตีนที่เรียกว่า เซริซิน (Sericen) มีลักษณะ เหนียวเหมือนกาว ช่วยยึดให้เส้นใยสองเส้นติดกัน โปรตีนของเส้นใยไหม ประกอบด้วยกรดอมิโนเกาะเข้าด้วยกัน เป็น โซ่ยาว เรียกว่า โพลิเปปไทด์ (polypeptide chain) สาร fibroin แตกต่างจากสารเคราติน (Keratln) ซึ่งเป็นโปรตีนในขน สัตว์ คือไม่มีตัวยึดที่ เรียกว่า cystine หรือ Sulphur linkage เช่นในเส้นใยขนสัตว์ โปรตีนของเส้นใยไหมประกอบด้วย กรดอามิโน ประมาณ 15 ซนิด ส่วนใหญ่เป็นกรด อามิโณดี่ยว เช่น Glycin, Alanine, Serine เป็นต้น โมเลกุลของเส้น ใยไหมเรียงตัวกันเป็นระเบียบดีมากท าให้เส้นใยมีความเหนียวแข็งแรงทนทาน


3 วัสดุอุปกรณ์ ส าหรับการใช้ย้อมสี ล าดับ ภาพ รายละเอียด 1. ไหมพนื้บา้นสีเหลือง (ลอกกาวแล้ว) 2. ไม้พาย 3. ห่วงคล้องไหม 4. ทกี่รองนา ้ดา่งจากขีเ้ถ้า


4 5. ตะกร้ากรองวัตถุดิบ 6. ขันนา ้พลาสตกิแบบมีด้าม 7. เชือ้เพลิงในการตม้ (ถ่าน) 8. เตา


5 9. หม้อสแตนเลส 10. ครก/สาก นวดคร่ัง 11. ครก / สาก 12. มีด


6 13. เขียง 14. กะละมังพลาสติก 15. ตะแกรงกรองคร่ัง 16 ถังพลาสตกิรองนา ้คร่ัง


7 17. ถังนา ้ 18. กระบวย 19. ผ้ากรองนา ้มะขามเปียก 20. กะละมังรองนา ้ขีเ้ถา้


8 21. ภาชนะดินเผา (ก่อหม้อคราม)


9 วัตถุดิบจากธรรมชาติ และสารช่วยย้อม (มอร์แดนท์) 1. เปลือกมะพดู2 กิโลกรัม 2 แก่นเข 2 กิโลกรัม 3. ครามก้อน ภมูิปัญญาทอ้งถนิ่ของ จ.สุรินทร์ 4. ครามเปี ยก 2 กิโลกรัม


10 5. คร่ัง 3 กิโลกรัม 6. ใบเหมียดแอ 1 ก ามือ 7. ใบชงโค 1 ก ามือ 8. ใบมะขาม 1 ก ามือ


11 9. มะขามเปี ยก 10. นา ้ดา่งจากขเี้ถ้าจากตน้กล้วย คุณสมบัติ ช่วยใหส้ีเข้มขึน้มีความมันเงา สีไม่ตก 11. สารส้ม คุณสมบัติ ช่วยให้สีจับยึดสีกับเส้นด้าย และช่วยให้สี สด สว่างขึน้


12 การเตรียมไหมก่อนย้อมสี 1. ไหมพนื้บา้น (สีเหลือง) แช่นา ้สะอาด 10 นาที ก่อนน าไปย้อม 2. สารส้มบด 1 ช้อนโต๊ะ ละลายนา ้อุ่น 3. แช่เส้นไหม มัดหมี่กับนา ้สารส้ม (สา หรับย้อมคร่ัง)


13 4.บิดพอหมาด 5. กระตุกเส้นไหม วิธีท า น าไหมที่ฟอกกาวแล้ว แช่ในน ้าเพื่อให้ไหมอิ่มตัว ทิ้งไว้ 10 นาที ถ้าไหมจมน ้า แสดงว่าไหมอิ่มตัว ยกขึ้น มาบิดน ้าออกให้หมาด กระตุกไหมเพื่อให้เส้นไหมคลายตัว เรียงเส้นยืดเสมอกัน ป้องกันไหมพันกันเวลาย้อม น าไหม คล้องห่วง โดยจะใช้ห่วง 2 ห่วง (เพื่อพลิกกลับสลับฝ้ายเวลาย้อม) จากนั้นน าไหมไปผึ่ง เตรียมน าไปย้อมได้ กรณีย้อมไหม และมัดหมี่ ด้วยสีจากครั่ง หลังจากน าไหมแช่น ้าทิ้งไว้ 10 นาที เพื่อให้ไหมอิ่มตัวแล้ว ก่อน ย้อมไหมต้องแช่สารส้ม ประมาณ 5 นาที มัดหมี่แช่ 6-12 ชั่วโมง ก่อนย้อมทุกครั้ง เพื่อให้ติดสี เทคนิค (ก่อนย้อม) - น าไหมแช่น ้าก่อนย้อมจะท าให้เส้นไหมอิ่มตัว เส้นไหมจะดูดซับสีได้ดี พร้อมที่จะติดสีสีสม ่าเสมอ เวลาย้อม - น าไหมและมัดหมี่แช่สารส้มก่อนย้อมสีที่สกัดจากครั่ง ทุกครั้ง


14 สารช่วยย้อม หรือสารช่วยติดสี (มอร์แดนท์) พืชแต่ละชนิดที่น ามาใช้ย้อมเส้นด้ายมีความสามารถในการติดสี ความคงทนต่อการขัดถู หรือความคงทนต่อ แสงได้ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบทางชีวเคมีภายในของพืชและเส้นด้ายที่น ามาใช้ย้อม จึงต้องใช้สารช่วยย้อมมา เป็นตัวช่วยในการท าให้เส้นด้ายดูดซับสีได้ดี มีความคงทนต่อแสงและการขัดถูเพิ่มขึ้น ซึ่งคุณสมบัติสารช่วยย้อม นอกจากจะเป็นสารที่ช่วยในการยึด และจับสีแล้ว บางครั้งสารช่วยย้อมยังท าให้ได้เฉดสีใหม่ที่เปลี่ยนไปจากเดิม การใช้ สารช่วยย้อมในการย้อมสี มี 3 วิธี คือ วธิีที่1 การใช้สารช่วยย้อมก่อนการย้อมสีเพื่อให้สีติดยึดแน่นกับเส้นด้าย และช่วยเพิ่มความคงทนของสี ท าได้โดยการน าเส้นด้ายที่ผ่านการท าความสะอาด แล้วไปชุบหรือต้มย้อมกับสารช่วยย้อมก่อนน าไปย้อมด้วยน ้าย้อมสี ธรรมชาติสารช่วยย้อมก่อนการย้อมสี ที่นิยมใช้มักเป็นพืชที่ให้สารฝาดหรือสารแทนนิน สารแทนนิน ได้จากพืชที่ให้รสฝาดและขม เช่น ใบเหมือดแอ ใบชงโค ใบมะขาม เป็นต้น ซึ่งสารดังกล่าวมี คุณสมบัติช่วยให้สีติดกับเส้นด้ายได้ดีขึ้น โดยการต้มสกัดน ้าฝาด หรือแทนนินจากพืชดังกล่าว แล้วน าเส้นด้ายลงไปต้ม ย้อมกับน ้าฝาดก่อน จากนั้นจึงน าเส้นด้ายไปย้อมกับน ้าสีย้อมอีกครั้ง วธิีที่2 การใช้สารช่วยย้อมพร้อมกับการย้อมสีวิธีนี้เป็นการใส่สารช่วยย้อมลงไปในน ้าสี ท าให้เกิดเม็ดสี ขึ้น จากนั้นจึงน าเส้นด้ายลงไปย้อม วธิีที่3 การใช้สารช่วยย้อมหลังการย้อมสีเป็นการน าเส้นด้ายลงไปย้อมสีก่อน แล้วจึงน าไปชุบหรือย้อม ด้วยสารช่วยย้อมในการภายหลัง วิธีการนี้จะช่วยท าให้เกิดเฉดสีใหม่ขึ้น ตัวอย่างสารช่วยย้อม หรือสารช่วยติดสี ดังนี้ (1) สารส้ม มีคุณสมบัติช่วยจับยึดกับเส้นด้าย และช่วยให้สีสดสว่างขึ้น มักใช้กับการย้อมด้วยพืชที่ให้เฉดสี น ้าตาล-เหลือง-เขียว เช่น แก่นเข ใบหูกวาง เปลือกประดู่ เปลือกมะพร้าว เป็นต้น เทคนิค : สารส้มต้องละลายด้วยน ้าร้อนเท่านั้น ห้ามละลายด้วยน ้าเย็น (2) นา ้ดา่ง หรือนา ้ขีเ้ถา้ ได้จากขี้เถ้าพืชเนื้ออ่อน เช่น ส่วนต่างๆ ของกล้วย เปลือกของผลนุ่น กากมะพร้าว เป็นต้น ท าได้โดยเลือกพืชชนิดใดชนิดหนึ่งที่ยังสดๆ น ามาผึ่งแดดให้หมาด แล้วเผาให้เป็นขี้เถ้าสีขาว ท าได้ น าขี้เถ้าที่ได้ ไปใส่ในผ้ากรอง ใส่น ้าเปล่าให้น ้าไหลผ่านผ้ากรอง น าภาชนะมารองน ้าด่างที่สกัดไว้ ทิ้งให้ขี้เถ้าจะตกตะกอน แล้วจึง น าไปใช้งาน


15 กระบวนการและเทคนิคการย้อมร้อน (วัตถุดิบจากธรรมชาติ) สีแดง – คร่ัง คร่ัง เป็นแมลงสีแดงขนาดเล็กมาก อาศัยอยู่ตามกิ่งของต้นไม้ที่ใช้เลี้ยงเช่น ก้ามปู พุทรา สะแก มีชื่อทาง วิทยาศาสตร์ว่า Lucifer lacca Kerr. ซึ่งอยู่ในวงศ์ Laciferideae ครั่งจะอาศัยอยู่ตามกิ่งไม้และจะใช้ปากซึ่งมีลักษณะ เป็นงวงดูดน ้าเลี้ยงจากต้นไม้เพื่อเป็นอาหารและครั่งจะระบายยางครั่งที่มีลักษณะเหนียวสีเหลืองออกมา เป็นเกราะหุ้ม ตัวเพื่อป้องกันอันตรายจากศัตรู ยางเมื่อสัมผัสกับอากาศจะแข็งตัว เรียกว่า รังครั่ง แมลงครั่งมีพัฒนาการเป็น 4 ระยะ คือ ไข่ ตัวอ่อน ดักแด้และตัวเต็มวัย ตามล าดับ แมลงครั่งตัวเมียมีอายุประมาณ 6 เดือน หลังจากที่วางไข่และฟักเป็นตัว อ่อนแล้วแม่ครั่งจะตายไป ตัวอ่อนจะออกจากซากรังแม่ ไต่ไปตามกิ่งไม้หาส่วนที่มีเปลือกบางอ่อนนุ่มอาศัยเจาะดูดน ้า เลี้ยงแล้วสร้างเกราะหุ้มตัวเองรอบกิ่งไม้นั้นตลอดช่วงชีวิต ครั่งจะขยายพันธุ์ในระยะที่เป็นตัวอ่อน โดยจะปล่อยตัวอ่อนครั่งให้ไปเกาะกิ่งไม้ใหม่ซึ่งจะท าได้ปีละ 2 ครั้ง คือ รอบฤดูฝน ระหว่างเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 1 ครั้ง และรอบฤดูแล้ง ระหว่างเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม อีก 1 ครั้ง เมื่อปล่อยตัวอ่อนครั่งไปแล้ว จะทิ้งให้ขยายพันธุ์เองจนครบวงจรชีวิตของครั่งตัวเมียแล้วจึงตัดกิ่งไม้เก็บผลผลิตครั่ง ถ้า ปล่อยในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน จะเก็บครั่งในเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม แล้วถ้าปล่อยครั่งในเดือนพฤศจิกายนธันวาคม ก็ตัดเก็บในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน เป็นต้นไป เมื่อผู้เพาะเลี้ยงครั่งตัดกิ่งไม้ที่มีรังครั่งหุ้ม และแกะเอารังครั่ง ออกจากกิ่งไม้แล้ว ครั่งที่ได้เรียกว่า ครั่งดิบ (stick lac) ซึ่งมี 2 ลักษณะ คือ 1. คร่ังสด เป็นครั่งดิบที่เมื่อกะเทาะดูจะพบน ้าเมือกสีแดงหรือที่เรียกว่า เลือดครั่ง ซึ่งประกอบด้วยตัวครั่ง และไข่ ที่ยังไม่ฟักตัว ซึ่งครั่งชนิดนี้จะซื้อขายกันในช่วงต้นฤดูกาลผลิต 2. คร่ังแหง้ เป็นครั่งดิบที่ได้ผ่านการตากแห้งหรือเก็บรักษาจนน ้าเมือกสีแดงแห้งแล้ว ที่มา : เว็บไซต์ สถาบันวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี


16 ขัน้ตอนการสกัดสีแดง จากคร่ัง อัตราส่วน : ครั่ง 3 กิโลกรัม / เส้นไหม 1 กิโลกรัม / น ้าเปล่า20-25 ลิตร 1. ล้างคร่ัง 2.เทลงในครก 3. เทนา ้ร้อนลงในคร่ัง 4. นวดคร่ัง


17 5. กรองนา ้คร่ัง 6. ต้มสีสกัดจากคร่ัง พร้อมใช้ย้อม วิธีท า น าครั่ง ล้างด้วยน ้าเปล่าให้สะอาด ให้สังเกตดูถ้าน ้าออกสีแดงสามารถน าไปใช้ย้อมได้ตามปกติแต่ถ้า น ้าออกสีม่วงแสดงว่าครั่งมีด่างผสมต้องล้างเศษออกให้หมด เมื่อล้างครั่งเสร็จแล้วน ามากรองในกระชอน หรือผ้ามุ้ง เท ใส่ครก แล้วเติมน ้าเดือดลงไปให้ท่วมครั่ง จากนั้นใช้ไม้ค่อยๆ นวดบดไปเรื่อยๆ ดันเอาน ้าร้อนผ่านเข้าไปในเนื้อครั่ง สีจะ คายออกมาในปริมาณที่มาก โดยน ้าแรกจะได้น ้าหัวเชื้อสีแดง ท าไปจนน ้ากลายเป็นสีชมพูอ่อนหรือไม่มีสีแล้วค่อยเติม ครั่งลงไปใหม่ ท าใช้ตามปริมาณที่ต้องการ จากนั้นน าน ้าสกัดสีจากครั่งไปต้มให้เดือด (ใช้เตาถ่าน) เตรียมพร้อมใช้ย้อมไหม ปัจจัยส าคัญการต้มสกัดสี ควรใช้น ้าที่มีค่าเป็นกลางที่สุด ไม่มีค่าเป็นกรดหรือด่าง เช่น น ้าบาดาลจะมีด่าง น ้าที่ดีที่สุด คือ น ้าประปา น ้าดื่ม หรือใช้ น ้าฝนรองทิ้งไว้ย้อมออกมาสีจะสวย เทคนิค - ล้างครั่งด้วยน ้าสะอาดเพื่อเอาเศษฝุ่ นออก และเป็นการทดสอบความเป็นกรดด่างของน ้าที่จะใช้ต้ม ถ้า น ้าเปลี่ยนสีเป็นสีแดงแสดงว่าน ้ามีค่าเป็นกลาง สามารถน ามาใช้ต้มสกัดสีได้ แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นสีม่วง แสดงว่าน ้าไม่สามรถน ามาใช้ต้มสกัดสีได้ ให้เปลี่ยนใช้น ้าดื่ม หรือน ้าที่กรองไว้เท่านั้น - ครั่งใหม่จะมีสีแดงสดและเหนียว เติมน ้าร้อนจะละลายทันทีส่วนครั่งเก่า (ครั่งค้างปี) จะแข็งต้องน ามา ต าให้ละเอียดก่อนค่อยน าไปนวด - การนวดครั่ง ต้องใช้น ้าเดือด - การสกัดน ้าสีจากครั่ง ที่เข้มข้น สีจะติดผ้าง่าย


18 ข้อควรระวัง - การนวดครั่งต้องใช้น ้าเดือด หรือน ้าร้อน และต้องท าอย่างรวดเร็ว สังเกตน ้าอย่าให้เย็นหากใช้เวลาท า นานครั่งจะแข็งตัวสีจะออกยาก - การนวดครั่งกระบวนการดังกล่าว ต้องท าต่อเนื่องครั้งเดียวให้เสร็จ - ควรใช้น ้าที่มีค่าเป็นกลางที่สุด ไม่มีค่าเป็นกรดหรือด่าง ป้องกันสีเพี้ยน ขัน้ตอนการย้อมเส้นไหมสีแดง จากคร่ัง อัตราส่วน : ครั่ง 3 กิโลกรัม / ใบเหมียดแอ 1 ก ามือ / ใบชงโค 1 ก ามือ /เส้นไหม 1 กิโลกรัม / น ้าสีสกัดจากครั่ง 20-25 ลิตร 1.ตม้นา ้สีสกัดจากคร่ัง ใหเ้ดอืด 2.ใส่สารช่วยติดสี ใบเหมียดแอ+ใบชงโค


19 3.เส้นไหมแช่นา ้ 10 นาที 4. กระตุกเส้นไหม 5.ต าสารส้มละเอียด ใส่ในนา ้ 6.แช่ไหม 5 นาที 7. เส้นไหมลงย้อม 8.พลิกกลับเส้นไหม


20 9.แช่ไหม ทงิ้ไว้30 นาที 10. เช็คสียกขึน้ผึ่งใหเ้ยน็ 11. ล้างนา ้ 12. กระตุกไหม


21 13. สีแดง = คร่ัง วิธีท า เตรียมน ้าสกัดสีแดงจากครั่ง น ามาต้มให้เดือดพร้อมใส่มอร์แดนท์ธรรมชาติ ใบเหมียดแอ และชงโค โดย ไม่ต้องกรองใบออก รอให้เดือด น าเส้นไหมล้าง และแช่น ้าสะอาดทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที ให้ไหมอิ่มตัว แล้วน ามาบิด หมาด และกระตุกเพื่อให้เส้นไหมเรียงเส้น น ามาพึ่ง ก่อนน าไปย้อมน าเส้นไหมแช่ด้วยน ้าสารส้ม อีกครั้ง ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที จากนั้นน ามาย้อมในหม้อสกัดสีแดง จากครั่ง ขณะน าไหมลงย้อมให้กลับหรือพลิกเส้นไหม แช่ทิ้งไว้ 30 นาที สังเกตสีไหมว่าได้ความเข้มตามที่ต้องการหรือไม่ ถ้ายังให้แช่ทิ้งไว้เมื่อได้สีตามต้องการ น าไหมขึ้น ผึ่งให้เย็น น ามาซัก ล้าง กระตุกให้เรียงเส้น และตาก จะได้ สีแดง จากครั่ง เทคนิค - น าเส้นไหมแช่สารส้มก่อนลงย้อมน ้าสกัดสีจากครั่งทุกครั้ง เพื่อให้เส้นไหมดูดซับและติดสี ช่วยท าให้สี สว่างขึ้น - เวลาน าเส้นไหมลงย้อม ใช้ไม้พายกดเส้นไหม ให้น ้าสีสกัดท่วมเส้นไหม ป้องกันไม่ให้เส้นไหมสีด่าง - ในขณะน าเส้นไหมลงย้อม ให้กลับพลิกเส้นไหมไปมาให้เส้นไหมกระจายตัว จะท าให้ย้อมไหมติดสีได้ สม ่าเสมอ


22 สีเหลืองเข้ม – จากแก่นเข เข ชื่อท้องถิ่น ภาคกลางเรียกว่า แกแล สักขี เหลือง หนามเข (ประจวบคีรีขันธ์) กะเลอะ เซอะ (กะเหรี่ยงกาญจนบุรี)ภาคเหนือเรียกว่า แกก้อง (แพร่) ช้างงาต้อก (ล าปาง) ภาคใต้เรียกว่า แกแหร น ้าเคี่ยว โซ่ (ปัตตานี) ลักษณะ เป็นไม้พุ่มรอเลื้อย กิ่งมีหนามแหลมตามซอกใบ ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับรูปไข่กลับปลายใบมนหรือสอบ แหลม มีติ่งเป็นขนแข็งโคนใบสอบแหลมรูปลิ่ม แผ่นใบบาง ผิวเรียบ ดอกออกเป็นช่อที่ซอกใบเป็นดอกแยกเพศและ อยู่คนละต้น ช่อดอกมีสีเหลือง มีดอกย่อยเป็นจ านวนมากเรียงชิดกันแน่นไม่มีก้านดอก ผลเป็นผลรวมรูปกลม ผิว ขรุขระ โดยมีส่วนทจี่ะใช้ประโยชนใ์นการย้อมเส้นไหม หรือเส้นฝ้าย คือ แก่นต้น และเปลือกต้น จะให้สี เหลืองเข้ม เว็บไซต์ฐานข้อมูลและส่งเสริมและยกระดับคุณภาพสินค้า OTOP


23 ขัน้ตอนการสกัดสีเหลืองเข้ม จากแก่นเข อัตราส่วน :แก่นเข 2 กิโลกรัม / ไหม 1 กิโลกรัม / น ้าเปล่า 20 ลิตร 1. สับแก่นเข 2. ต้มสกัดสีเหลือง แก่นเข 3.กรองนา ้สกัดสี 4. เทนา ้สกัดสีลงหม้อต้ม พร้อมย้อม


24 วิธีท า การเตรียมน ้าย้อมสีเหลืองเข้ม สับแก่นเขให้ละเอียดและบางที่สุด เพื่อให้คายสีได้มากที่สุด สับเสร็จแล้ว จะน าไปล้างเอาเศษฝุ่ น และเปลือกออก น ามาต้มในอัตราส่วน แก่นเข 2 กิโลกรัม ต่อน ้า 20 ลิตร ต้มยิ่งนานยิ่งดีเพราะสี จะเข้ม โดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที (ใช้เตาถ่านไฟแรง) จากนั้นมากรองผ่านตะแกรงลงในหม้อสแตนเลสที่เตรียมไว้ น าไปตั้งไฟอีกครั้ง พร้อมย้อมเส้นไหม โดยน ้าสกัดสีแก่นเขหม้อหนึ่งสามารถย้อมได้มากถึง 2-3 รอบ เทคนิค - หากต้องการย้อมสีเหลืองให้อ่อนลง ลดปริมาณแก่นเขลง - ใช้แก่นไม้ใหญ่ อายุมาก สีจะเยอะและเข้มกว่าไม้อ่อน - เอกลักษณ์การย้อมสีจังหวัดสุรินทร์ จะเน้นการใช้สีหัวเชื้อ ที่ย้อมผ้าไหมแล้วมีอายุการใช้งานได้ 100 ปี สีเข้มและไม่ตก ขัน้ตอนการย้อมเส้นไหมสีเหลืองเข้ม จากแก่นเข อัตราส่วน : ไหม 1 กิโลกรัม / น ้าสกัดสีจากแก่นเข 20 ลิตร / สารส้ม 1 ช้อนโต๊ะ 1. เส้นไหมแช่นา ้10 นาที 2. กระตุกเส้นไหม


25 3.ใส่สารส้ม 4.เตรียมย้อม 5.เส้นไหมลงย้อม 6.ล้าง บิดหมาด 7.สีเหลืองเข้ม = แก่นเข


26 วิธีท า น าเส้นไหม แช่น ้า 10 นาที ก่อนจะย้อมน าเส้นไหม ล้างน ้าและแช่ไว้ให้อิ่มตัวประมาณ 10 นาที น ามา บิดหมาดๆ กระตุกเส้นไหมให้คลายตัวเรียงกัน ซึ่งสีที่สกัดไว้จะได้สีเหลืองเข้ม กระบวนการย้อมจะใส่ตัวช่วยให้สีติดไหม คือ สารส้ม ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ น ้าเส้นไหมลงย้อมในน ้าที่เดือด แช่ไว้ประมาณ 30 นาที จากนั้นค่อยน ามาซักล้าง และ ตาก จะได้สีเหลืองเข้ม จากแก่นเข สีเหลืองอ่อน – จากเปลือกมะพดู มะพูด เป็นพันธุ์ไม้ที่มีถิ่นก าเนิดในเอเชียเขตร้อน จัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง มีความสูงของต้นประมาณ 7- 10 เมตร เรือนยอดเป็นกลมกลมหรือเป็นรูปไข่ เป็นทรงพุ่มแน่นทึบ ล าต้นตั้งตรง และอาจมีร่องรอยของแผลเป็น มี ลักษณะเป็นปุ่ มปมตะปุ่ มตะป ่ า ซึ่งเกิดจากการหลุดร่วงของกิ่งก้านทั่วไป โดยจะแตกกิ่งก้านต ่าเป็นพุ่มโปร่ง ก้านจะแตก ออกจากล าต้นค่อนข้างถี่ และเปลือกล าต้นเป็นสีน ้าตาลเข้ม เรียบ และแตกเป็นร่องตื้น ๆ ตามยาวของล าต้น เมื่อ เปลือกต้นเกิดบาดแผลจะมียางสีขาวแล้วเปลี่ยนเป็นสีเหลืองไหลซึมออกมา ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้เมล็ดและการใช้ กล้าปักช า มีเขตการกระจายพันธุ์ในป่ าดิบชื้น และตามชายห้วยหรือพื้นที่ริมน ้าในป่ าเบญจพรรณ โดยจะพบมากทาง ภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ และในพื้นที่แถบชายแดนจังหวัดสุรินทร์และศรีสะเกษ ส่วนในต่างประเทศสามารถ พบได้ที่ประเทศฟิ ลิปปินส์ ชวา ลาว กัมพูชา และบอร์เนียว เว็บไซต์อุทยานการอาชีพชัยพัฒนา www.chaipatpark.com


27 ขัน้ตอนการสกัดสีเหลืองอ่อน จากมะพดู อัตราส่วน : มะพูด 2 กิโลกรัม / ไหม 1 กิโลกรัม / น ้าเปล่า 20-25 ลิตร 1.สับเปลือกมะพูด 2. ตม้สกัดสีเหลืองมะพูด 3.กรองนา ้สกัดสี 4. เทนา ้สกัดสีลงหม้อตม้พร้อมย้อม


28 วิธีท า น ามะพูด มาถากเปลือกออกก่อน พอสะอาดแล้วมาสับเป็นชิ้นเล็กๆ เพื่อให้สีเข้มและออกเยอะๆ แล้ว น ามาต้ม (ใช้เตาถ่านไฟแรง) ประมาณ 30 นาที การสกัดสีของมะพูดจะมีสีเหลืองอ่อน ซึ่งเมื่อได้ตามต้องการแล้วให้เท ผ่านตะแกรงกรองลงในหม้อสแตนเลสที่เตรียมไว้ น าไปตั้งไฟอีกครั้ง พร้อมย้อมเส้นไหมต่อไป ขัน้ตอนการย้อมเส้นไหมสีเหลืองอ่อน จากเปลือกมะพดู อัตราส่วน : น ้าสีสกัดมะพูด 20 ลิตร / เส้นไหม 1 กิโลกรัม / สารส้ม (มอร์แดนท์) 2 ช้อนโต๊ะ 1.เส้นไหมล้างนา ้- แช่ 10 นาที 2.บิดหมาด 3.กระตุกไหม 4. ใส่สารส้ม


29 5.สีเหลืองอ่อน มะพูด + สารส้ม (มอรแดนท์ ์ ) 6. เส้นไหมลงย้อม 6.ล้างและตาก 7. สีเหลืองอ่อน = มะพดู วิธีท า ก่อนจะย้อมน าเส้นไหม ล้างน ้าและแช่ไว้ให้อิ่มตัวประมาณ 10 นาที น ามาบิดหมาดๆ กระตุกเส้นไหมให้ คลายตัวเรียงกัน ซึ่งสีจากมะพูดที่สกัดไว้จะได้สีเหลืองอ่อน เพื่อให้สีเข้มขึ้นจะใส่ตัวช่วยติดสี คือ สารส้ม ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ น าเส้นไหมลงย้อมในน ้าที่เดือด พลิกกลับเส้นไหม แช่ไว้ประมาณ 30 นาทีจากนั้นค่อยน ามาซักล้าง และตาก จะได้สีเหลืองอ่อน จากเปลือกมะพูด เทคนิค - ใช้น ้าด่างขี้เถ้าจากต้นกล้วยเผามาล้างช่วยให้สีไม่ตก สีเข้มและเส้นไหมเงาขึ้น เป็นเทคนิคโบราณจาก ธรรมชาติเหมาะกับการล้างสีที่ย้อมด้วยเปลือกไม้


30 ขัน้ตอนการย้อมสี และเทคนิคการย้อมทับ (ย้อมร้อน) 1.สีส้ม จาก เหลืองมะพดูทบัคร่ัง 1.นา ้สกัดสีจากคร่ัง ต้มเดือด 2.นา สีเหลืองมะพูดลงย้อม 3.ย้อมลงสีแดงจากคร่ัง 4.ล้างดว้ยนา ้เปล่า


31 5.ล้าง และตาก 6.ผสมนา ้ดา่ง (ขีเ้ถ้าเผาจากตน้กล้วย) 7. นา ้เส้นไหมสีส้มขย านา ้ดา่ง 30 วินาที 8.ล้างนา ้เปล่า 2 ครั้ง 9. กระตุกเส้นไหม และตาก 10 สีส้ม = เหลืองมะพดูทบัคร่ัง


32 วิธีท า เตรียมน ้าสกัดสีจากครั่งพร้อมใส่มอร์แดนท์ธรรมชาติ ใบเหมียดแอ และชงโค ต้มด้วยกันรอให้เดือด จุ่ม เส้นฝ้ายสีเหลืองจากมะพูดลงไปในหม้อน ้าสกัดสีแดง จากครั่ง กดลงไปยกขึ้นมาเช็คสีดูรีบย้อมถ้านานเกินไปจะ กลายเป็นสีแดง น ้ามาล้างด้วยน ้าเปล่า น าไปพึ่ง ขั้นตอนสุดท้ายเพื่อไม่ให้สีตก สีเข้มและเส้นไหมเป็นเงาขึ้น น ามาล้าง ด้วยน ้าด่าง นวดให้ด่างเข้าไปในเส้นไหม ประมาณ 30 วินาที แล้วรีบไปล้างน ้าเปล่าทันที บิดหมาด กระตุกเส้นไหม และ ตากให้แห้งจะได้ สีส้ม จากเหลืองมะพูดทับครั่ง เทคนิค - น าด่าง 1 ลิตร ผสมน ้าเปล่า 2 ลิตร (ให้น ้าท่วมเส้นไหม) - นวดเส้นไหมให้ด่างเข้าไปในเส้นไหม จะท าให้สีส่วนเกินหลุดออกมา แล้วรีบไปล้างน ้าเปล่าทันที - การเพิ่มสีหลังจากย้อมเส้นไหมด้วยการล้างด่างโดยไม่ต้องย้อมทับสีหลายรอบ ช่วยให้ประหยัด วัตถุดิบ ถือเป็นภูมิปัญญาและเทคนิคของคนโบราณ ข้อควรระวัง - ไม่ควรใช่เวลาในการย้อมนานเกินไป เพราะจะท าให้เส้นไหมสีเหลือง(มะพูด) กลายเป็นสีแดง - หลังจากล้างน ้าด่าง ควรรีบล้างน ้าเปล่าทันที เพราะด่างจะกัดเส้นไหม ท าให้ไหมเปื่อย 2.สีชมพูจาก คร่ัง 1 ล้างเส้นไหม 2 กระตุกเส้นไหม


33 3.เตรียมนา ้คร่ังลงหม้อ 4.นา ้เปล่าผสมนา ้จากคร่ัง 5.เส้นไหมลงย้อม 6.บิด


34 7.กระตุกเส้นไหม 8.ย้อมลงในนา ้คร่ังเดอืด 9.ล้างนา ้เปล่า 10.ใส่สารส้มในนา ้เปล่า 11. แช่ในนา ้สารส้ม 10 นาที


35 12.บิดตาก 13.สีชมพู= คร่ัง วิธีท า น าเส้นไหมมาล้างด้วยน ้าเปล่าให้สะอาด แล้วน าไปแช่ในสารส้ม ประมาณ 10-20 นาที บิดหมาดกระตุก เพื่อให้ไหมเรียงเส้น จะง่ายต่อการย้อมและให้สีเข้าในเส้นไหม วิธีการย้อมสีชมพูจากครั่งจะทดลองตักแบ่งน ้าครั่งสีแดง ที่เข้มข้น ใส่น ้าเปล่าผสมให้สีแดงจางลง สังเกตสีชมพูว่าต้องการโทนแบบไหน และถ้าต้องการชมพูเข้มให้เติมครั่งลงไป ตามที่ต้องการ หรือทดลองย้อมดูส าคัญขั้นตอนการซักล้างต้องนวดให้เข้าเส้นไหมอย่างรวดเร็วจะได้สีสม ่าเสมอ ถ้า ล้างช้าสีชมพูจะด่าง ล้างเสร็จแล้ว กระตุกเส้นไหมให้เรียงเส้น น าน ้าสีแดงจากที่ย้อมเย็นในหม้อแรก มาต้มให้เดือดอีกครั้งเช็คสีตาม ต้องการ ถ้าต้องการให้เป็นสีชมพูเข้มเติมสีจากครั่งลงไป น ้าเดือดจุ่มเส้นไหมลงในหม้อให้กินสีทั่วถึงสม ่าเสมอแช่ทิ้งไว้ จนกินสีในหม้อเจือจาง น ามาล้างน ้าเปล่าไล่เศษผงใบไม้ และสีส่วนเกินจนน ้าล้างใส จากนั้นใส่สารส้มลงในน ้าเปล่าอีก 1 ช้อนโต๊ะ (กะน ้าเปล่าให้ท่วมเส้นไหม) น าเส้นไหมที่ย้อมสีชมพูลงแช่ ประมาณ 10 นาที แล้วบิดตาก จะได้สีชมพูจาก ครั่ง เทคนิค - ในการย้อมสีชมพู ถ้าหากต้องการให้เส้นไหมกินสีเร็ว มีเทคนิคสามารถน าสารส้มมาใส่ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ


36 กระบวนการและเทคนิคการย้อมเย็น (วัตถุดิบจากธรรมชาติ) สีนา ้เงนิ– จากคราม คราม พืชไม้พุ่มที่มีลักษณะของใบคล้ายกับขนนกปลายคี่เรียงสลับกัน ลักษณะของดอก จะออกเป็นช่อ มี กลีบดอกสีชมพูอมแดง สรรพคุณทางยามีมากมายหลายแขนง ทั้งแก้อักเสบ แก้ปวด ดับพิษ รากใช้ขับปัสสาวะ ขับนิ่ว ลดบวม เปลือกต้านพิษงู แก้พิษฝีฯลฯ ในปัจจุบัน ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นที่รู้จักกันในระดับประเทศ และมีชื่อเสียงใน ระดับโลก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ผ้ามัดย้อมที่ได้จากการสกัด หรือย้อมจากสีของต้นคราม ที่มีชื่อเสียงและรู้จักกัน ได้แก่ ผลิตภัณฑ์จากทางภาคอีสาน เช่น จ.สกลนคร หรือ จ.เลย กลายเป็นสินค้าที่โด่งดังและเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัด หาก เราไปท่องเที่ยวทางภาคอีสาน เราอาจจะได้ยินชื่อเรียกผ้าย้อมครามที่แตกต่างไป ซึ่งคนท้องถิ่นมักเรียกว่า ผ้าหม้อนิล หากกล่าวถึงผ้าหม้อนิล ในประเทศลาว หรือคนตระกูลไทยทั้ง ไทยลื้อ ไทยแดง ไทยด า ไทยขาว ผู้ไทย ไทยพวน ที่อยู่ใน ลาว กัมพูชา เวียดนาม ก็รู้จักผ้าหม้อนิลกันทั้งสิ้น คนท้องถิ่น/ชนเผ่า นิยมย้อมสีผ้าเอง และเพื่อตัดเย็บเสื้อผ้าเป็นผ้า ประจ าชนเผ่า ผ้าหม้อนิลนี้ได้ด ารงอยู่คู่กับเผ่าพันธุ์ไทมายาวนาน เช่นเดียวกับชนชาติที่เก่าแก่ของโลกทั้งอียิปต์ มายา อินเดีย จีน ซึ่งต่างก็ใช้ครามในการย้อมผ้าเช่นเดียวกัน ที่มา : https://bit.ly/2ZGbwta


37 ขัน้ตอนและวธิีการก่อหม้อคราม การเตรียมส่วนผสมในการก่อหม้อคราม ขั้นตอนการสกัดนา ้“กรด และ ด่าง” ตัวช่วยในการติดสี ส่วนผสมในการก่อหม้อคราม ดงันี้ 1. กรด จาก นา ้มะขามเปียก อัตราส่วน : มะขามเปียก 1 กิโลกกรัม : น ้าเปล่าประมาณ 10 ลิตร 1.ใส่มะขามเปี ยกในหม้อต้ม 2. รอตกตะกอน 3 . กรองด้วยผ้าขาวบาง 4.“กรด” จาก นา ้ตม้มะขามเปียก


38 วิธีท า น าน ้าเปล่า ใส่หม้อต้ม ตั้งไฟ รอน ้าร้อน แบ่งมะขามเปียกเป็นชิ้นเล็กๆ ลงไปในหม้อต้ม มะขามเปียกจะ ละลายได้ง่ายขึ้น ปล่อยทิ้งไว้ไม่ต้องคน น ้าที่ได้จากการต้มมะขามเปียกชั้นบนจะใส ช่วยให้ครามที่ก่อขึ้นเร็ว หลังจาก น ้าต้มมะขามเดือด พักทิ้งไว้ รอตกตะกอน น าน ้าต้มมะขามเปียกมากรองด้วยผ้าขาวบางเพื่อไม่ให้เศษเนื้อมะขามปน ในหม้อก่อครามเพราะจะท าให้หม้อครามขึ้นราได้ง่าย น าน ้าต้มมะขามเปียกที่สกัดไว้เตรียมผสมก่อหม้อคราม 2. นา ้ดา่ง หรือนา ้ขีเ้ถา ” จากขีเ้ถ้าต้นกล้วย อัตราส่วน : ขี้เถ้าจากการเผาต้นกล้วย 1 กิโลกรัม : น ้าเปล่า 10 ลิตร 1.เทขเี้ถาลงในผ้ากรอง 2.นา นา ้สะอาดเทลงในขีเ้ถ้า 3.กรองนา ้ดา่ง 4. “นา ้ดา่ง” จากขีเ้ถ้าตน้กล้วย วิธีท า น าขี้เถ้าที่ได้จาการเผาต้นกล้วยเทลงในผ้ากรอง ใส่น ้าเปล่าลงในขี้เถ้า ให้น ้าไหลผ่านขี้เถ้าจนกว่าน ้าจะ ใส (สามารถใส่น ้าเปล่าได้ จนกว่าน ้าขี้เถ้าจะใส)ใช้ภาชนะสะอาดรองเก็บน ้าขี้เถ้าไว้ เพื่อจะน าผสมก่อหม้อคราม


39 ขัน้ตอนการก่อหมอคราม อัตราส่วน : เนื้อคราม 4 กิโลกรัม (ครามเก่า) / น ้าด่าง 3 ลิตร / น ้ามะขามเปียก 7 ลิตร หมายเหตุ : ความผันแปรของอัตราส่วน ขึ้นอยู่กับวัตถุดิบในการก่อหม้อครามแต่ละครั้ง 1.เตรียมเนือ้ครามประมาณ 3 กิโลกกรัม 2.ใส่เนือ้ครามลงในภาชนะดนิเผา 3.ใส่นา ้ดา่ง 1 ลิตร 4.ใช้มือขยา เนือ้ครามกับนา ้ด่างให้เข้ากัน (ทอดสอบปริมาณปูนขาวในเนือ้คราม)


40 5. ผสมนา ้ดา่งเพมิ่ 2 ลิตร ขย า/กวนปนูจากครามทยี่ังเป็นก้อนให้เข้ากัน 6.สังเกตฟองอากาศเป็นสีนา ้เงนิ 7.ใส่นา ้ตม้มะขามเปียกทยี่ังร้อน 2 ลิตร ใช้กระบวยคนผสมให้เข้ากัน


41 8. โจกคราม 9. เตมินา ้ตม้มะขามเพมิ่ 3 ลิตร 10.โจกคราม สังเกตถ้าฟองอากาศสีขาวตักออก (ครามยังใช้ไม่ได้) 11.เตมิเนือ้ครามเพมิ่1 กโิลกรัม 12. ใส่นา ้ตม้มะขามเพมิ่2 ลิตร


42 13.คนผสมให้เนือ้คราม นา ้กรด นา ้ดา่ง เข้ากัน 14. โจกคราม 15.สังเกตฟองอากาศเปลี่ยนเป็นสีนา ้เงนินา ้สีดา เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขยีว (ก่อครามส าเร็จ)


43 วิธีท า น าเนื้อคราม 3 กิโลกรัม ใส่ในภาชนะดินเผา ผสมน ้าด่างก่อน 1 ลิตร ขย าโดยใช้มือสัมผัสให้เนื้อครามกับน ้า ด่างเป็นเนื้อเดียวกัน เติมน ้าด่างใส่ลงไปอีก 1 ลิตร เมื่อเนื้อครามกับน ้าด่างเข้ากันแล้ว ให้สังเกตฟองอากาศถ้าเป็นสีน ้า เงินครามจะก่อขึ้นดี ใส่น ้ามะขามเปียกที่ผ่านการต้มและกรองแล้วลงไปในขณะที่น ้ายังร้อนอยู่ 2 ลิตร คนให้เข้ากัน แล้วท าการ โจกคราม (การตักน ้าคราม ยกขึ้นแล้วเทลงไป คล้ายการท าชาชัก เพื่อเป็นการเพิ่มอากาศในคราม ท าให้ ครามก่อตัว) ให้ น ้ากรด น ้าด่าง เนื้อครามเข้ากัน เติมน ้ามะขามอีก 3 ลิตร สังเกตดูที่ฟองอากาศ ถ้าฟองอากาศสีขาว ต้องตักทิ้งก่อน เพราะปูนผสมอยู่ในเนื้อครามมาก ท าให้ก่อยาก แก้โดย เติมเนื้อครามอีก 1 กิโลกรัม ใส่น ้ามะขามเพิ่ม อีก 2 ลิตร คนผสมให้ เนื้อคราม น ้ากรด น ้าด่าง ให้เป็นเนื้อเดียวกัน ท าการโจกคราม อีกครั้ง สังเกตฟองเริ่มเปลี่ยนเป็น สีน ้าเงิน น ้าจากสีด าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียว แสดงว่าการก่อครามนั้นส าเร็จพร้อมน าไปย้อมได้ ข้อดี/ ข้อเสีย : ครามเก่าจะก่ออยากเพราะเนื้อครามเริ่มแห้งเป็นก้อนตกผลึก แต่ความติดทนและให้สีดีกว่า ข้อดี/ ข้อเสีย : ครามใหม่จะก่อง่าย แต่ให้สีและติดทนน้อยกว่า เทคนิค - ไม่คนมะขามเปียกเวลาต้ม เพราะจะท าให้น ้ามะขามเปียกขุ่น - ใช้ความร้อนจากน ้าต้มน ้ามะขามเปียกเป็นตัวเร่งให้ครามก่อตัว - พักน ้ามะขามเปียกที่ต้มไว้ให้มะขามเปียกตกตะกอน แล้วจึงน ามากรอง เพื่อใช้น ้าต้มมะขามเปียกที่ยังร้อน ผสมคราม - ใช้ น ้าด่างขี้เถาจากต้นกล้วยที่น ามาเผาทั้งต้น - ใช้ภาชนะที่ท าจาก ดินเผา ก่อหม้อคราม เพราะเก็บความร้อนได้ดี - ให้สังเกตฟองอากาศที่เกิดขึ้นในขณะท าการ โจกคราม ถ้าเป็นฟองสีขาวขนาดเล็ก ครามยังใช้ไม่ได้ เพราะปูน ขาวในเนื้อครามมากเกินไป ถ้าฟองสีน ้าเงินแสดงว่าครามเริ่มก่อตัวได้ดี - หม้อครามที่ก่อจะตากแดด ไม่เก็บไว้ในที่ร่ม - ภูมิปัญญาท้องถิ่น ของจ.สุรินทร์ น าครามมาแตกแดด ปั้นให้เป็นก้อน - การดูแลหม้อคราม หลังจากก่อเสร็จแล้วต้องหมั่นคอยดูแลหม้อคราม ถ้าครามไม่มีฟองแสดงว่าเริ่มจะเสีย ให้ ใส่แอลกอฮอล์ เช่นเหล้าขาว หรือ น ้าตาลแดง เพื่อเลี้ยงคราม (ใส่ทุกวันพระ) ถ้าครามเสียไม่ต้องทิ้ง แก้โดยให้ เทน ้าชั้นบนทิ้งแล้วก่อหม้อครามใหม่ (ตามกระบวนการก่อหม้อคราม) ข้อควรระวัง - เวลากรองน ้ามะขามเปียก ระวังไม่ให้เนื้อมะขามเปียกที่ต้มหล่นลงในหม้อที่ก่อคราม เพราะจะท าให้หม้อคราม ขึ้นราได้ง่าย


44 ขัน้ตอนและเทคนิคการย้อมคราม 1. สีฟ้า จากคราม 1.นา ไหมแช่นา ้ก่อนย้อม ไหมพนื้บ้าน(สีเหลือง) 2.บิดพอหมาด 3. กระตุกเส้นไหม 4. ทดสอบนา ้คราม


45 5. น าเส้นไหมม้วนทับกัน 2 รอบ 6.นวดเส้นไหมลงในหม้อคราม โดยใช้นา ้ครามชัน้บนสุด ประมาณ 30 วินาที 7.สังเกตเส้นไหมเปลี่ยนสีนา ขนึ้บดิหมาด


46 8. กระตุกเส้นไหม 9.สีทไี่ด้= สีฟ้า (ก่อนซักล้าง) 10. ล้างนา ้สะอาด 2 ครั้ง 11.แช่นา ้สารส้ม 15 นาท ี 12.กระตุกเส้นไหม ตาก


47 13.สีฟ้าทไี่ด้(หลังซักล้าง) วิธีท า น าเส้นไหมที่ฟอกกาวแล้ว ไปแช่ในน ้าสะอาดเป็นเวลา 15 นาที น าขึ้นบิดพอหมาด ผึ่งลม ประมาณ 5-10 นาที ก่อนย้อม จากนั้น น าเส้นไหมม้วนทับ กัน 2 รอบ เพื่อสะดวกในการนวดเส้นไหม โดยใช้สีน ้าชั้นบนสุดของน ้าคราม นวด เส้นไหมให้ทั่วใช้เวลาประมาณ 30 วินาทีสังเกตสีไหมตอนเปียกจะเป็นสีเขียว ยกขึ้นเช็คสีเมื่อได้สีตามที่ต้องการ ให้รีบ ยกไหมขึ้น บิดหมาด กระตุกเส้นไหมให้โดนอากาศให้เร็วที่สุดเพื่อให้ไหมไม่ด่าง น าตากในที่ร่ม จากนั้นน ามาซักด้วย น ้าเปล่า จนกว่าสีส่วนเกินที่ติดจะออกหมด และแช่ด้วยน ้าสารส้ม เพื่อให้สีสว่าง น าไปตากให้แห้ง สามารถน าเส้นไหม ไปใช้งานได้ เทคนิค - หลังก่อหม้อครามเสร็จ ควรทิ้งไว้ 2-3 วัน ครามจะมีความเสถียรเหมาะส าหรับการย้อมคราม - การย้อมไหมให้ได้สีฟ้าใสที่ดีสุด ควรเป็นเส้นไหมสีขาว - ย้อมด้วยน ้าครามชั้นบนสุด - เส้นไหมเมื่อท าการย้อมครามแล้วจะยังไม่เปลี่ยนสีในทันที จะเปลี่ยนสีเมื่อสัมผัสกับอากาศภายนอก - หลังซักล้างด้วยน ้าเปล่า แช่น ้าสารส้ม 15 นาที สังเกตน ้าที่แช่เส้นไหมจะใส ไม่มีสีตก ข้อควรระวัง - ไม่ควรจุ่มเส้นไหมลงไปถึงก้นของภาชนะ จะท าให้เนื้อครามที่ขุ่นติดเส้นไหม ท าให้สีของไหมด่าง หมองไม่เงา งาม


48 ขัน้ตอนการย้อมสี และเทคนิคการย้อมทับเส้นไหม (ย้อมเย็น – จากคราม) เทคนิคการทับสี(เส้นไหม)หลังจากทผี่่านกระบวนการย้อมร้อน เส้นไหม ที่จะน ามาย้อมทับ ได้แก่1.สีเหลือง จากมะพูด 2. สีชมพูจากคร่ัง 3.เส้นไหมพนื้บ้าน (สี เหลืองยังไม่ได้ย้อมสี) โดยจะน ามาย้อมเย็นด้วยสีจากคราม สีเหลืองอ่อนทับคราม เป็นสีเขียว / สีชมพู ทับคราม เป็น สีม่วง และสีไหมพื้นบ้าน เป็นสีคราม (สีจากครามย้อมทับ 2 ครั้ง)และสีน ้าเงิน (สีครามย้อมทับ 2 ครั้ง)ซึ่งจะผ่าน กระบวนการ ดังนี้ 1.เชค็สีนา ้คราม ในอ่างย้อม 2. น าเส้นไหมลงย้อม


49 3.นวดเส้นไหม 4. นา เส้นไหมขนึ้บดิหมาด 5.กระตุกให้เส้นไหมโดนอากาศ 6. ลักษณะสีและเส้นไหม (ก่อนซักล้าง) 5.ล้างนา ้เปล่า


50 6.บิดหมาด 7.กระตุกเส้นไหม 9. สีทไี่ด้ม่วง เขยีว ฟ้าคราม 10. น าเส้นไหม สีม่วง สีเขียว และสีฟ้าคราม ลงย้อมอีก 1 รอบ


Click to View FlipBook Version