The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by นิคเนม'ม โน๊ต, 2023-03-14 07:25:55

วิจัยการรับรู้สื่อประชาสัมพันธ์ของนักศึกาามหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง

บทที่-2

ชื่อวิจัย การรับรู้ข่าวสารของนักศึกษาจากสื่อประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฎ หมู่บ้านจอมบึง ชื่อผู้ทำวิจัย นายอติวิชญ์ ทัด 634316011 นายธนวรรศ เรืองเทศ 634316044 นายโสภณ บุตรพิมพ์ 634316050 การศึกษานี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามรายวิชาวิธีวิจัยทางรัฐประศาสศาสตร์ เบื้องต้นหลักสูตรปริญญารัฐประศาสนศาสตรบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง พ.ศ. 2566


Research Name: Recognition of student news from public relations media Chom Bueng Rajabhat University Students Researcher's name Mr. Atiwit Tud 634316011 Mr. Thanawas Ruegtest 634316044 Mr. Sopon Butpim 634316050 This study is part of a research methodology study in political science. Preliminary Bachelor of Public Administration degree program Department of Public Administration Faculty of Humanities and Social Sciences Muban Chom Bueng Rajabhat University 2023


ก ชื่อเรื่องวิจัย การรับรู้ข่าวสารของนักศึกษาจากสื่อประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฎ หมู่บ้านจอมบึง ชื่อนักศึกษา นายอติวิชญ์ ทัด นายธนวรรศ เรืองเทศ นายโสภณ บุตรพิมพ์ รหัสประจำตัว 634316011 634316044 634316050 ปริญญา ปริญญาตรี สาขาวิชา รัฐประศาสนศาสตร์ อาจารย์ที่ปรึกษา ผศ.ดร. จีรพรรณ นิลทองคำ ปีการศึกษา 2566 บทคัดย่อ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา (1) เพื่อศึกษาถึงการรับรู้ข่าวสารจากสื่อประชาสัมพันธ์ของ นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง (2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการรับรู้ข่าวสารจากสื่อ ประชาสัมพันธ์ของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง (3) เพื่อศึกษาภึงการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ของนักศึกษามีความสัมพันธ์กับสื่อประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง (4) เพื่อเสนอ แนวทางในการรับรู้ข่าวสารและการเข้าถึงสื่อประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ผู้วิจัยได้กำหนดกลุ่มตัวอย่างคือ นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฎหมู่บ้านจอมบึง จำนวนทั้งสิ้น 351 คน การ กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างจากนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฎหมู่บ้านจอมบึง ตั้งแต่ระดับชั้นปีที่ 1 - 5 โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบตามสะดวก (Simple Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็น แบบสอบถาม จากนั้นนำแบบสอบถามที่รวบรวมได้มาดำเนินการวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลด้วย คอมพิวเตอร์โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติการแจกแจงค่าความถี่ (Frequency) การหาค่าร้อยละ (Percentage) การหาค่าเฉลี่ย (̅) การหาค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) และการหาค่าความสัมประสิทธิ์ เพื่อคำนวณหาค่าสถิติสำหรับตอบวัตถุประสงค์และสมมติฐานการวิจัยให้ครบถ้วนตามที่ตั้งไว้


ข research title Recognition of student news from public relations media Chom Bueng Rajabhat University Students Student name Mr. Atiwit Tud Mr. Thanawas Ruegtest Mr. Sopon Butpim Student ID 634316011 634316044 634316050 Degree Bachelor's degree Field of Study public administration Advisor Teacher Jeerapan Ninthongkam Academic Year 2023 ABSTRACT The objectives of this research were to study (1) To study the perception of news from public relations media among students of Muban Chom Bueng Rajabhat University, (2) An in-depth survey of students' news from the public relations media of Rajabhat University, (3) To study the perception of information and information of students in relation to public relations media of Muban Chombueng Rajabhat University and (4) To propose guidelines for acknowledging news and access to public relations media of Muban Chom Bueng Rajabhat University. The researcher defined the sample group as Student of ChomBueng Rajabhat University A total of 351 people. Determination of the sample size from Chombueng Rajabhat University students. from year 1 - 5 by using a convenient sampling method The research tool was a questionnaire. Then the collected questionnaires were used to analyze and process the data with computer statistical software packages. frequency distributio finding the percentage averaging (̅) Finding the Standard Deviation (S.D) and Finding the Coefficient to calculate statistical values for answering research objectives and hypotheses completely as set


ค กิตติกรรมประกาศ งานวิจัยเรื่อง การรับรู้ข่าวสารของนักศึกษาจากสื่อประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏ หมู่บ้านจอมบึงสำเร็จได้ด้วยความตั้งใจและมุ่งมั่นในงานที่รับผิดชอบของผู้วิจัย เนื่องจากได้รับความกรุณา อย่างสูงจากท่านอาจารย์จีรพรรณ นิลทองคำ อาจารย์ที่ปรึกษางานวิจัย ที่กรุณาให้คำแนะนำปรึกษา ตลอดจนปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ด้วยความเอาใจใส่อย่างดียิ่ง ผู้วิจัยตระหนักถึงความตั้งใจจริง และความทุ่มเทของอาจารย์และขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงไว้ณ ที่นี้ ผู้วิจัยขอขอบพระคุณเพื่อน ๆ ร่วมหลักสูตรรัฐประศาสนศาสตร์ที่คอยช่วยเหลือให้คำแนะนำ และแบ่งปันประสบการณ์ช่วยกันคิดและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในการจัดทำรายงานการศึกษาวิจัยฉบับนี้ จนสำเร็จเป็นที่เรียบร้อย ผู้วิจัยขอขอบพระคุณนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงที่ได้กรุณาเสียสละเวลาและให้ ความร่วมมือในการตอบแบบสอบถามเป็นอย่างดี ผู้วิจัยขอขอบพระคุณผู้ตอบแบบสอบถามทุกท่านที่ได้กรุณาเสียสละเวลาและให้ความร่วมมือใน การตอบแบบสอบถามเป็นอย่างดีซึ่งทำให้งานวิจัยนี้สำเร็จได้อย่างสมบูรณ์และบรรลุผลได้ดังความตั้งใจ สุดท้ายนี้ผู้วิจัยหวังว่างานวิจัยฉบับนี้คงเป็นประโยชน์สำหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และผู้ที่สนใจศึกษา ต่อไป คณะผู้วิจัย นักศึกษาสาขารัฐประศาสนศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง


ง สารบัญ หน้า บทคัดย่อภาษาไทย.............................................................................................................. ............ ก บทคัดย่อภาษาอังกฤษ................................................................................................ ..................... ค กิตติกรรมประกาศ........................................................................................................................... จ สารบัญ .......................................................................................................... ................................. ฉ สารบัญภาพ..................................................................................................................................... ญ สารบัญตาราง.................................................................................................................................. ฎ บทที่ 1 บทนำ.................................................................................................................................. 1 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา…………………………………………………………… 1 1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย……………………………………………………………………………….. 3 1.3 สมมติฐานของการวิจัย…………………………………………………………………………………… 3 1.4 ขอบเขตและข้อจำกัดของการวิจัย…………………………………………………………………… 3 1.5 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการวิจัย……………………………………………………………. 4 1.6 นิยามศัพท์เฉพาะในการวิจัย...................................................................................... 4 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง.......................................................................................... 5 2.1 แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวกับการรับรู้ …………………..…………………………………………. 5 2.1.1 การรับรู้…………………………………………………………………………………………. 5 2.1.1.1 ความหมายของการรับรู้………………………………………………………. 5 2.1.1.2 ประเภทของการรับรู้………………………………............................... 6 2.1.1.3 ลำดับขั้นของกระบวนการรับรู้…………………............................... 6 2.2 แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวกับสื่อประชาสัมพันธ์……………………………………………………. 7 2.2.1 การประชาสัมพันธ์....……………………………………………………………………….. 7 2.2.1.1 ความหมายของการประชาสัมพันธ์………..………………………………. 7 2.2.1.2 ประเภทของสื่อประชาสัมพันธ์…………..…..………………………………. 8 2.3 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง………………………………………………………………………………………….. 10 2.4 กรอบแนวคิดในการวิจัย…………………………………………………………………………………… 12 2.5 นิยามศัพท์ปฎิบัติการ……………………………………………………………………………………….. 13


จ สารบัญ (ต่อ) หน้า บทที่ 3 วิธีการดำเนินการวิจัย......................................................................................................... 15 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง......................................................................................... 15 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย............................................................................................... 16 3.3 การสร้างเครื่องมือ....................................................................................................... 18 3.4 การศึกษาคุณภาพของเครื่องมือการวิจัย..................................................................... 18 3.5 การเก็บรวบรวมข้อมูล................................................................................................. 18 3.6 การจัดทําและการวิเคราะห์ข้อมูล............................................................................... 19 แบบสอบถาม................................................................................................... ................................. 20 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล...........................................................................................................24 4.1 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาน..................................................................................25 4.1.1 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล………………………………………..25 4.1.2 การวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม……………………………………….25 4.1.3 การวิเคราะห์ข้อมูลความรู้ความเข้าใจของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้าน จอมบึงต่อสื่อประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง...................................................27 4.1.4 การวิเคราะห์ปัจจัยส่วนบุคคลมีผลต่อความรู้ความเข้าใจของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏ หมู่บ้านจอมบึงต่อสื่อประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง……………………………..31 4.1.5 สรุปผลการทดสอบสมมติฐานของการวิจัย…………………………………………………38 4.1.6 ข้อคิดเห็น ปัญหา และข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการให้บริการ…………………………..40 4.2 ผลการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ……………………………………………………………………………….41 บทที่ 5 สรุป อภิปายผล และข้อเสนอแนะ………………………………………………………………………..……46 5.1 สรุปผลการวิจัย………………………………………………………………………………………………..46 ส่วนที่ 1 ผลวิจัยเชิงปริมาณ…………………………………………………………………….…..46 ส่วนที่ 2 ผลวิจัยเชิงคุณภาพ..................................................................................48 5.2 อภิปรายผลการวิจัย......................................................................................................49 5.3 ข้อเสนอแนะการวิจัย....................................................................................................50 5.3.1 ข้อเสนอแนะที่ได้จากการศึกษาวิจัย............................................................50 5.3.2 ข้อเสนอแนะเชิงวิชาการ..............................................................................51


ฉ สารบัญ (ต่อ) หน้า 5.3.3 ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย...............................................................................51 5.3.4 ข้อเสนอแนะในการศึกษาครั้งต่อไป...............................................................51 บรรณานุกรม........................................................................................................................................ฌ ภาคผนวก............................................................................................................................................54 ภาคผนวก ก แบบสอบถามการวิจัย………………………………………………………….…………………55 ภาคผนวก ข แบบสัมภาษณ์การวิจัย.....................................................................................60 ภาคผนวก ค ค่าดัชนีความสอดคล้อง( IOC )………………………………………………………………..67 ประวัติผู้เขียน.......................................................................................................................................70


ช สารบัญภาพ หน้า ภาพที่ 2.1 กรอบแนวคิดในการจัย……………………………………………………………………………..13


ซ สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า ตารางที่4.1 การแสดงค่าความถี่ (Frequency) และค่าร้อยละ (Percentage) ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบ แบบสอบถาม…………………………………………………………………………………………………………………………………….26 ตารางที่ 4.2 แสดงค่าเฉลี่ย (̅) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการวิเคราะห์ข้อมูลความรู้ความเข้าใจของ นักศึกษาต่อสื่อประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงโดยรวม...............................................28 ตารางที่ 4.3 แสดงค่าเฉลี่ย (̅) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการวิเคราะห์ข้อมูลความรู้ความเข้าใจของ นักศึกษาต่อสื่อประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง โดยรวมด้านการเปิดรับสื่อ……………..29 ตารางที่ 4.4 แสดงค่าเฉลี่ย (̅) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการวิเคราะห์ข้อมูลความรู้ความเข้าใจของ นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงต่อสื่อประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง โดย รวมด้านความรู้ความเข้าใจ………………………………………………………………………………………………………………..30 ตารางที่ 4.5 เปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลมีผลต่อความรู้ความเข้าใจของนักศึกษาต่อสื่อประชาสัมพันธ์ของ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงแตกต่างกันจำแนกตามเพศ……………………………………………………………..31 ตารางที่ 4.6 เปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลมีผลต่อความรู้ความเข้าใจของนักศึกษาต่อสื่อประชาสัมพันธ์ของ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงแตกต่างกันจำแนกตามอายุ…………………………………………………………….32 ตารางที่ 4.7 เปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลแตกต่างกันมีความคิดเห็นต่อความรู้ความเข้าใจของนักศึกษาต่อสื่อ5 ประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงแตกต่างกันจำแนกตามคณะ.....................................33 ตารางที่ 4.8 เปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลแตกต่างกันมีความคิดเห็นต่อความรู้ความเข้าใจของนักศึกษาต่อสื่อ ประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงแตกต่างกันจำแนกตามระดับชั้นปี……………………….34 ตารางที่ 4.9เปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลแตกต่างกันมีความคิดเห็นต่อความรู้ความเข้าใจของนักศึกษาต่อสื่อ ประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงแตกต่างกันจำแนกตามที่พักอาศัย............................35 ตารางที่ 4.10เปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลแตกต่างกันมีความคิดเห็นต่อความรู้ความเข้าใจของนักศึกษาต่อสื่อ ประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงแตกต่างกันจำแนกตามการเดินทาง.........................36 ตารางที่ 4.11เปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลแตกต่างกันมีความคิดเห็นต่อความรู้ความเข้าใจของนักศึกษาต่อสื่อ ประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงแตกต่างกันจำแนกตามช่องทางรับสื่อประชาสัมพันธ์...37


1 บทที่ 1 บทนำ 1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา กระแสการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากเทคโนโลยี (“Digital Disruption”) มีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตของคนใน ปัจจุบัน เพราะปัจจุบันคนมักให้ความสำคัญกับสื่อเป็นอย่างมาก ทั้งนี้สื่อมีด้านที่เป็นแง่บวกและแง่ลบเช่นกัน ดังนั้นคนหรือหน่วยงานต่างๆ ควรเข้าใจเรื่องการใช้สื่อและมีความสามารถในการออกแบบสื่อหรือแม้การใช้คำบน สื่อเพื่อให้ผู้รับรู้ข่าวสารนั้นเกิดความสนใจและเข้าใจในสิ่งที่กำลังสื่อสาร สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดกระบวนการ เปลี่ยนแปลงของสังคมทั่วโลกที่เป็นไปตามกระแสการเปลี่ยนของเทคโนโลยี โดยเฉพาะด้านการสื่อสารแลข้อมูล สารสนเทศ ประสิทธิภาพของการส่งข้อมูลและข่าวสารมีความทันสมัยและรวดเร็ว และด้วยเทคโนโลยีทำให้การ รับรู้เป็นไปอย่างสมบูรณ์มากขึ้นทั้งภาพและเสียง ระบบการกระจายข้อมูลข่าวสารเป็นไปอย่างรวดเร็วไม่จำกัด ช่องทางหรือตัวกลาง ผลจากการพัฒนารูปแบบเทคโนโลยีทุกด้านทำให้เกิดผลกระทบกับระบบเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีทำให้เกิดแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญหลายด้านที่สำคัญ (สุขฤทัย วันเสนา, 2565) การสื่อสารภายในองค์กรที่ดีจะช่วยสร้างความเข้าใจในนโยบายของผู้บริหารและเป็นสิ่งเชื่อม ความสัมพันธ์ ระหว่างบุคลากรในองค์กร และเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลต่อองค์กรในทางบวกเพราะนโยบายการ บริหารงานการจัดการขององค์กรเป็นส่วนสำคัญ และเพื่อให้การดำเนินงานบรรลุเป้าหมาย ที่วางไว้การสื่อสาร ภายในองค์กรจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับกิจกรรมและการดำเนินงานต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในองค์กร ทั้งนี้หากการ สื่อสารภายในองค์กรดีชัดเจน ก็จะส่งผลให้การปฏิบัติงานตามนโยบายเป็นไปในทิศทางเดียวกัน บุคลากรในองค์กร เกิดความพึงพอใจและเข้าใจนโยบายได้อย่างชัดเจน และส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงาน ดังนั้นกระบวนการ ทำงานขององค์กรเพื่อให้บรรลุเป้าหมายจะต้องทำให้การติดต่อสื่อสารระหว่างบุคลากรในฝ่ายต่างๆ ทั้งภายในและ ภายนอกองค์กรเป็นไปอย่างคล่องตัว เกิดความเข้าใจตรงกัน เกิดความร่วมมือและการประสานงานอย่างมี ประสิทธิภาพ การทำงานขององค์กรสามารถบรรลุเป้าหมายและประสบผลสำเร็จด้วยดี(แดเนียล และสไปเกอร์, 1994) ดังที่ วิลเบอร์ แชรมม์ (Wibur Schramm, 1971) กล่าวว่า การสื่อสารหมายถึง การแลกเปลี่ยนข่าวสารระหว่าง บุคคลโดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ดังนั้นการสื่อสาร หมายถึง การแลกเปลี่ยนข่าวสาร ระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสารโดยใช้สื่อหรือช่องทางต่างๆ เพื่อมุ่งหมายโน้มน้าวจิตใจให้เกิดผลในการให้เกิดการรับรู้ หรือเปลี่ยนทัศนคติเพื่อให้เปลี่ยนพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง ซึ่งสอดคล้องกับ


2 ซาแรมบ้า (Zaramba, 2003: 5) กล่าวถึงการสื่อสารในองค์การว่า องค์ประกอบสำคัญที่มีผลต่อความสำเร็จ ขององค์การและช่วยให้บุคลากรในองค์การได้รับทราบกิจกรรมต่างๆ ด้วยการสื่อสารในองค์กร คือ เครื่องสร้าง ความเข้าใจและสร้างวัฒนธรรม ตลอดจนสามารถสร้างความมั่นคง เป็นศูนย์รวมให้องค์กรนั้นๆ ทำงานร่วมกันได้ อย่างมีประสิทธิผล โดยผู้ใช้จะต้องเข้าใจและเข้าถึงกระบวนการสื่อสารเป็นอย่างดี เป็นการติดต่อระหว่างบุคคลใน องค์การมีลักษณะเป็นเครือข่าย (Network) ซึ่งอาจกระทำได้โดยใช้เครื่องมือในการสื่อความหมายด้วยการพูด การ เขียน การใช้สัญลักษณ์เพื่อให้ผู้อื่นรับทราบได้ มหาวิทยาลัยที่ใช้การประชาสัมพันธ์เพื่อให้องค์กรของตนเองได้รับข่าวสารเป็นส่วนใหญ่ มักมีจุดอ่อนอยู่ นั่นคือ เราไม่สามารถรับรู้ได้ว่านักศึกษามีความพร้อมทั้งด้านเทคโนโลยีและเวลา เพื่อเปิดดูข่าวสารหรือไม่ หรือ นักศึกษามีความสนใจในด้านช่องทางประชาสัมพันธ์สื่อหรือไม่ ทำให้นักศึกษาบางครั้งไม่รู้ถึงข่าวสารที่ มหาวิทยาลัยประชาสัมพันธ์ไป สุกิจจา พงษ์สุวรรณ (2547 : 7) กล่าวว่า เทคโนโลยีเกี่ยวข้องกับกระบวนการจัดหา การจัดเก็บ ประมวลผล และเผยแพร่สารสนเทศ ซึ่งในปัจจุบันหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนได้นำเทคโนโลยีไป ประยุกต์ใช้กันอย่างกว้างขวาง งานประยุกต์ที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ การสร้างระบบสารสนเทศแบบต่างๆ มีการนำ เครื่องมือและอุปกรณ์ เช่น คอมพิวเตอร์ ระบบการสื่อสารโทรคมนาคมไปใช้ในหน่วยงานหรือธุรกิจต่างๆ มุ่งไปที่ การคิดค้นอย่างสะดวก รวดเร็ว รวมถึงการจัดทำรายงาน ตลอดจนการจัดทำผลลัพธ์ของข้อมูลให้สามารถ ค้นหา ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากความหมายข้างต้น เทคโนโลยีสารสนเทศ คือ การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการจัดทำข้อมูล ประมวลผล ข้อมูลอย่างเป็นระเบียบแบบแผน อันนำมาซึ่งข้อมูลสารสนเทศเพื่อการนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ เนื่องจากเวลาที่มีกิจกรรมต่างๆ ของมหาวิทยาลัยพบว่ามีนักศึกษาของมหาวิทยาลัยไม่ทราบข่าวหรืองานกิจกรรม ของมหาวิทยาลัย จึงทำไห้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา เช่น นักศึกษาไม่ได้มาร่วมกิจกรรม นักศึกษาไม่รู้กิจกรรม นักศึกษาเตรียมของมาไม่พร้อมสำหรับทำกิจกรรม เป็นเพราะว่า สื่อประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยไม่ครอบคลุม ทำไห้เกิดปัญหาโดยเฉพาะในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 (Covid-19) ทำให้มีผู้ติดเชื้อเป็นจำนวน มากทาง ทำการเผยแพร่กิจกรรม งานพิธีการ กิจกรรมนักศึกษาและข้อมูลข่าวสารต่างๆ ผ่านช่องทางสื่อออนไลน์ เช่น แฟนเพจเฟซบุ๊ก (Facebook) เป็นส่วนใหญ่ การศึกษาวิจัยเรื่อง “การรับรู้ข่าวสารจากสื่อประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงของนักศึกษา” จึงเกิดขึ้น โดยมุ่งหวังว่างานดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อการนำ ผลมาวางแผนบริหารจัดการ สามารถนำมาปรับปรุงแก้ไขการประชาสัมพันธ์ของทางมหาวิทยาลัยให้ครอบคลุม ยิ่งขึ้น รวมถึงผู้ที่สนใจในงานวิจัยดังกล่าวนำไปใช้ประโยชน์และพัฒนาการประชาสัมพันธ์ให้มีประสิทธิภาพมาก ต่อไปในอนาคต


3 1.2 วัตถุประสงค์ 1.2.1 เพื่อศึกษาถึงการรับรู้ข่าวสารจากสื่อประชาสัมพันธ์ของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง 1.2.2 เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการรับรู้ข่าวสารจากสื่อประชาสัมพันธ์ของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง 1.2.3 เพื่อศึกษาภึงการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของนักศึกษามีความสัมพันธ์กับสื่อประชาสัมพันธ์ของ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง 1.2.4 เพื่อเสนอแนวทางในการรับรู้ข่าวสารและการเข้าถึงสื่อประชาสัมพันธ์ของ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง 1.3 สมมติฐานของการวิจัย 1.3.1 นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงมีการรับรู้ข้อมูลข่าวสารประชาสัมพันธ์อยู่ในระดับมาก 1.3.2 ปัจจัยส่วนบุคคลที่มีผลต่อประสิทธิภาพในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารสื่อประชาสัมพันธ์ของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงที่แตกต่างกัน 1.3.3 การรับรู้ข้อมูลข่าวสารของนักศึกษามีความสัมพันธ์กับสื่อประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏ หมู่บ้านจอมบึง 1.4 ขอบเขตและข้อจำกัดของการวิจัย ในการศึกษาวิจัยเรื่อง “การรับรู้ข่าวสารจากสื่อประชาสัมพันธ์ของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้าน จอมบึง”นั้นสามารถแยกขอบเขตในการศึกษาได้ดังนี้ 1.4.1 ขอบเขตด้านเนื้อหา เนื้อหาที่ใช้ในการหาข้อมูลการรับรู้ข่าวสารของนักศึกษา เรื่องการรับรู้ข้อมูล ข่าวสารจากสื่อประชาสัมพันธ์ของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ระดับปริญญาตรีจำนวน 3,8537 คน (สำนักส่งเสริมวิชาการและงานทะเบียน มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง, 2565) ปีการศึกษา 2565 มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี 1.4.2 ขอบเขตด้านการวิจัยและประชากร นักศึกษาระดับปริญญาตรี3,857 คน ปีการศึกษา 2565 (สำนัก ส่งเสริมวิชาการและงานทะเบียน มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง, 2565) 1.4.3 ขอบเขตด้านพื้นที่ในการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง 1.4.4 ขอบเขตด้านเวลา การศึกษาค้นคว้าและหาข้อมูลดำเนินการ และรวบรวมข้อมูลในช่วงเดือน กรกฎาคม - ตุลาคม ในปีการศึกษา 2565


4 1.5 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. เพื่อทราบถึงประเภทของสื่อประชาสัมพันธ์ที่มีความสัมพันธ์ต่อกระบวนการเปิดรับสื่อเพื่อที่จะนำมาพัฒนา สื่อการประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยโดยตรงต่อกลุ่มเป้าหมาย 2. เพื่อทราบว่าสื่อประชาสัมพันธ์ใดที่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายของนักศึกษาในการประชาสัมพันธ์ใน มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง 3. เพื่อสร้างสื่อประชาสัมพันธ์ตามสายทุกเช้าให้นักศึกษากลุ่มเป้าหมายเข้าถึงข่าวสารต่างๆ ของมหาวิทยาลัย ราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง 1.6 นิยามศัพท์เฉพาะ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกันเกี่ยวกับศัพท์บางคำที่ใช้ในการศึกษาการรับรู้ข้อมูลจากสื่อประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ผู้ศึกษาจึงได้กำหนดความหมายของคำต่างๆ ดังนี้ 1. ช่องทางประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสาร หมายถึง ช่องทางการประชาสัมพันธ์ของสถานศึกษา ที่ทำการ ให้บริการข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยและนักศึกษา 2. บุคลากร หมายถึง เจ้าหน้าที่ในสถานศึกษาที่มีหน้ารับผิดชอบในส่วนของข้อมูลต่างๆ เพื่อนำไป ประชาสัมพันธ์แก่นักศึกษาผ่านสื่อออนไลน์ 3. นักศึกษา หมายถึง บุคคลที่กำลังศึกษาในระดับปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง อำเภอ จอมบึง จังหวัดราชบุรี 4. สื่อประชาสัมพันธ์ หมายถึง เครื่องมือสื่อประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ประกอบด้วย สื่อบุคคล สื่อสิ่งพิมพ์ และสื่อสมัยใหม่ 5. การรับรู้สื่อประชาสัมพันธ์หมายถึง การรับรู้ข้อมูลของกลุ่มเป้าหมายจากสื่อประชาสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงในด้านข้อมูลข่าวสารต่างๆ


5 บทที่ 2 เอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การศึกษาวิจัยเรื่อง การรับรู้ข่าวสารจากสื่อประชาสัมพันธ์ของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอม บึง โดยศึกษาเอกสารทางวิชาการ แนวคิดทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ 2.1 แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวกับการรับรู้ 2.2 แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวกับสื่อประชาสัมพันธ์ 2.3 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.4 กรอบแนวคิดในการวิจัย 2.5 นิยามศัพท์ปฏิบัติการ 2.1 แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวกับการรับรู้ 2.1.1 การรับรู้ 2.1.1.1 ความหมายของการรับรู้ จิราภรณ์ ตั้งกิตติภาภรณ์ (2556:29) กล่าวว่าการรับรู้ หมายถึง กระบวนการที่อินทรีย์ หรือสิ่งมีชีวิตพยายามทำความเข้าใจสิ่งแวดล้อม โดยผ่านทางอวัยวะทางสัมผัสทั้งห้า คือ ตา หู จมูก ลิ้น และผิว กาย กระบวนการนี้จะเริ่มจากอวัยวะรับสัมผัสกับสิ่งเร้าและส่งกระแสประสาท ไปยังระบบประสาทส่วนกลาง จากนั้นสมองจะอาศัยประสบการณ์เดิม แรงจูงใจ สติปัญญา ฯลฯอเพื่อแปลความหมายของกการสัมผัส ออกมา เป็นการรับรู้ กรกนก อนรรฆธนะกุล (2564:19) เป็นกระบวนการซึ่งเริ่มต้นจากการรับข้อมูลจาก ภายนอกของประสาทสัมผัสต่างๆ (Sensation) ข้อมูลจะถุกส่งไปแลกเปลี่ยนกับข้อมูลจากความทรงจำเดิมที่มี (Memory) จากนั้น จึงประมวลออกมาเป็นความเข้าใจ (Cognition) และส่งผลออกมาเป็นการโต้ตอบ (Action) ในที่สุด ข้อมูลที่ได้รับในแต่ละวันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของข้อมูลจำนวนมหาศาลที่มีอยู่รอบตัวเพราะเป็นช่วงเวลา หนึ่งๆ จะมีสิ่งเร้าจากภายนอกที่มีอิทธิพลต่อเรา และเราจ้เลือกให้ความสนใจจากสิ่งเร้าจากภายนอก ที่มี ความสำคัญที่สุดในช่วงเวลานั้นและจะเพิกเฉยต่อข้อมูลอื่นๆ ที่เหลือ ดวงกมล ทองอยู่ (2559:20) ได้ให้ความหมายของการรับรู้ว่า “กระบวนการที่มีสิ่งมีชีวิต ทำความเข้าใจกับสิ่งแวดล้อมโดยผ่านประสาทสัมผัส สิ่งแวดล้อมในที่นี้อาจจะเป็นบุคคลหรือวัตถุ” สุรพงษ์ ชูเดช, (2558:20) สรุปความหมายได้ว่า กระบวนการที่สิ่งมีชีวิตทำความเข้าใจ กับสิ่งแวดล้อมและตีความหมายออกมา โดยอาศัยประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของบุคคลนั้น จนเกิดการรับรู้และความ เข้าใจ การรับรู้จะเกิดขึ้นได้นั้นจะมีองค์ประกอบที่สำคัญ 4 ข้อ ดังนี้


6 1. การสัมผัส คือ การรับสัมผัสได้จาก 5 ทาง ประกอบด้วย ตา หู จมูก ลิ้น และ ผิวกาย 2. ชนิดและธรรมชาติของสิ่งเร้า คือ สิ่งเร้าที่มากระตุ้น ซึ่งสิ่งเร้านี้แบ่งได้เป็น 2 ชนิดประกอบด้วยสิ่งเร้าจากภายใน ได้แก่ ความหิว ความเครียด และฮอร์โมน และสิ่งเร้าจากภายนอกได้แก่ แสง อุณหภูมิ น้ำ และการสัมผัสโนโลยี่รา" 3. การแปลความหมายจากการสัมผัส 4. การใช้ประสบการณ์เพื่อแปลความหมาย แต่ละคนอาจจะรับรู้ได้ต่างกันนั้น ซึ่งอาจเกิดจากกระบวนการเลือกสิ่งที่จะรับรู้ กระบวนการเลือกหลัก ๆ นั้นมี 3 กระบวนการ คือ 1. การเลือกสนใจ (Selective attention) 2. การเลือกที่จะบิดเบือน (Selective distortion) 3. การเลือกที่จะเก็บรักษา (Selective retention) 2.1.1.2 ประเภทของการรับรู้ วลีรัตน์ ใจสูงเนิน (2558: 36) แบ่งกระบวนการรับรู้ที่เกิดเป็น 4 ประการ 1) การรับรู้ทางอารมณ์ หมายถึง การรับรู้ความรู้สึกนึกคิดภายในใจ เช่น รู้สึกดี ใจ ตื่นเต้น รัก เกลียด ชื่นชม 2) การรับรู้ลักษณะของบุคคล ต้องอาศัยข้อมูล 3 ประการมาประกอบ ได้แก่ ลักษณะทางกายภาพ พฤติกรรม และการบอกเล่า 3) การรับรู้ภาพพจน์ของกลุ่ม หมายถึง มโนภาพ มโนคติของสิ่งต่างๆ โดยเป็น ภาพที่อยู่ในความคิด หรือจินตนาการของบุคคล และบุคคลสามารถบอกลักษณะภาพเหล่านั้นให้ผู้อื่นรับทราบได้ 4) การรับรู้ปรากฏการณ์ทางสังคม เป็นการตีความหมาย ปรากฏการณ์ต่างๆที่ เกิดขึ้นในสังคมตามความเชื่อของตนเอง เพื่อให้เกิดความเข้าใจ และอธิบายสิ่งต่างๆเหล่านั้นได้โดยขึ้นอยู่กับสาเหตุ 2 ประการ ได้แก่ ระดับการระรับรู้ และการแลกเปลี่ยนการรับรู้ 2.1.1.3 ลำดับขั้นของกระบวนการรับรู้ กิตติ ยิ้มสงวน (2560: 21) สรุปว่า การรับรู้จะเกิดขึ้นได้ ต้องเป็นไปตามกระบวนการ ขั้นที่ 1 สิ่งเร้า (Stimulus) มากระทบอวัยวะสัมผัสของอินทรีย์ ขั้นที่ 2 กระแสประสาทสัมผัสวิ่งไปยังระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งมีศูนย์อยู่ที่ สมองเพื่อสั่งการให้เกิดการ


7 ขั้นที่ 3 สมองแปลความหมายออกมาเป็นความรู้ความเข้าใจโดยอาศัยความรู้ เดิม ประสบการณ์เดิม ความจำ เจตคติ ความต้องการ บรรทัดฐาน บุคลิกภาพ เชาว์ ปัญญา ทำให้เกิดการ ตอบสนองอย่างใดอย่างหนึ่งต่อการรับรู้ (Perception) 2.2 แนวคิดและทฤษฎีที่เกี่ยวกับสื่อประชาสัมพันธ์ 2.2.1 การประชาสัมพันธ์ 2.2.1.1 ความหมายของการประชาสัมพันธ์ เสรี วงษ์มณฑา (2562:2) ได้กล่าวว่า “การประชาสัมพันธ์” คือ การกระทำทั้งสิ้น ทั้งหลาย ทั้งปวง ที่เกิดจากการวางแผนล่วงหน้า ในการที่จะสร้างความเข้าใจกับ สาธารณชนที่เกี่ยวข้องเพื่อ ก่อให้เกิดทัศนคติที่ดี ภาพพจน์ที่ดี อันจะนำไปสู่สัมพันธภาพทีระหว่างหน่วยงานและสาธารณชนที่เกี่ยวข้อง ก่อให้เกิดการสนับสนุนและความร่วมมือกันเป็นอย่างดี พรทิพย์ วรกิจโภคาทร (2560:2) ให้ความหมาย “ การประชาสัมพันธ์ ” คือ การปฏิบัติ กิจกรรมต่างๆ ตามแผนการของการสื่อสารที่ได้กำหนดไว้ เพื่อส่งเสริมความเข้าใจอันถูกต้องตรงกันในอันที่จะสร้าง ความเชื่อถือ ศรัทธา และความร่วมมือระหว่างสถาบันกับประชาชนกลุ่มเป้าหมาย โดยเป็นการปฏิบัติกิจกรรมที่ ต่อเนื่องและหวังผลระยะยาว การประชาสัมพันธ์มีความสำคัญ คือ เป็นเครื่องมือที่ส่งถ่ายข้อมูลให้กับประชาชน เพื่อ โน้มน้าวให้เกิดความเข้าใจและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีทั้งในส่วนของภายในและภายนอกหน่วยงานยั่งยืน ให้เกิดการ ร่วมมือสนับสนุนกัน เพื่อช่วยลดความขัดแย้งหรือต่อต้านต่อการดำเนินงานของหน่วยงานลงได้ เพราะมีการ ประกาศให้รับรู้ว่าองค์กรมีการบริหารที่ดี อยู่บนความโปร่งใส และ รับผิดชอบต่อสังคม วัตถุประสงค์ของการประชาสัมพันธ์ 1. เพื่อให้เกิดความเข้าใจและรับรู้ถึงภาพลักษณ์ที่ดีระหว่างหน่วยงานและประชาชน โดยผ่านเครื่องมือสื่อประชาสัมพันธ์ต่างๆ 2. เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อเท็จจริง หลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดที่อาจจะเกิดขึ้นจากข้อมูล ข่าวสารที่ไม่ครบถ้วน 3. เพื่อสร้างความเข้าใจที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เมื่อเกิดภาวะวิกฤตการณ์หรือปัญหาที่ อาจส่งผลกระทบต่อหน่วยงานและประชาชน 4. เพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างหน่วยงานและประชาชนที่เกี่ยวข้องได้อย่างยั่งยืน ประเภทของการประชาสัมพันธ์การประชาสัมพันธ์สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้


8 1. การประชาสัมพันธ์ภายใน คือ การสื่อสารที่เกิดขึ้นภายในองค์กรทั้งในส่วน ของ ผู้บริหาร ผู้ถือหุ้น และพนักงาน เพื่อให้เกิดความเข้าใจและสัมพันธ์ที่ดี ก่อให้เกิดความสามัคคีภายในองค์กร เหล่านั้น โดยผ่านเครื่องมือประชาสัมพันธ์ต่างๆ เช่น วารสารเผยแพร่ จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ การจัดนิทรรศการ หรือกิจกรรมภายในต่างๆ 2. การประชาสัมพันธ์ภายนอก คือ การสื่อสารที่สร้างความเข้าใจ ก่อให้เกิดการรับรู้ ภาพลักษณ์ที่ดี กับกลุ่มของประชนที่เกี่ยวข้องภายนอกองค์กร เช่น ลูกค้า ผู้บริโภค องค์กรที่ทำธุรกิจร่วมกัน ประชาชนทั่วไป และสื่อมวลชนแขนงต่างๆ โดยผ่านเครื่องมือ เช่น การออกโฆษณาทั้งโทรทัศน์ วิทยุสื่อสิ่งพิมพ์ อินเทอร์เน็ต และกิจกรรมต่างๆ องค์ประกอบของกระบวนการสื่อสารและกระบวนการสื่อสารเพื่อการประชาสัมพันธ์ การสื่อสารและการสื่อสารเพื่อการประชาสัมพันธ์มีองค์ประกอบพื้นฐานที่คล้ายคลึงกัน คือ (1) ผู้ส่งสาร (2) สาร (3) สื่อหรือช่องทาง (4) ผู้รับสาร (5) ปฏิกริยาตอบกลับ 2.2.1.2 ประเภทของสื่อประชาสัมพันธ์ สื่อประชาสัมพันธ์นับว่าเป็นเครื่องมือที่สำคัญอย่างหนึ่งของการสื่อสาร ดังนั้นสามารถ กล่าวได้ว่า สื่อในการประชาสัมพันธ์เป็นช่องทางที่ช่วยถ่ายทอดข้อมูลข่าวสารไปยังประชาชนที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย ดังนั้น หน่วยงานหรือองค์กรต่างๆ จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการเลือกใช้สื่อที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้เข้าถึง กลุ่มเป้าหมายอย่างทั่วถึง และนำความสำเร็จมาสู่หน่วยงานหรือ องค์กร สามารถจำแนกประเภทของสื่อต่าง ๆ ไว้ ตามเกณฑ์ดังนี้ วิรัช ลภิรัตนกุล (2562: 31) กล่าวถึงสื่อที่ใช้ในการประชาสัมพันธ์สามารถจำแนก ได้ เป็น 2 ลักษณะ คือ 1. สื่อที่ควบคุมได้ หมายถึง สื่อที่สามารถจัดการและควบคุมได้ตั้งแต่เริ่มต้น โดยนัก ประชาสัมพันธ์ทั้งในส่วนของปริมาณและคุณภาพ และสามารถควบคุมการเผยแพร่และการ นำเสนอว่าจะส่งให้ กลุ่มใดด้วยความถี่และปริมาณเท่าไร ตามที่ต้องการประกอบไปด้วย งานประชาสัมพันธ์ ประกอบไปด้วย 1.1 สื่อสิ่งพิมพ์ เช่น โปสเตอร์ แผ่นพับ ใบปลิว วารสารแจกฟรี วารสารภายใน องค์กร หรือรายงานประจําปี เป็นต้น 1.2 สื่อบุคคล กล่าวคือ บุคคลที่ได้รับมอบหมายเป็นตัวแทนในการสื่อสารให้ ข้อมูลขององค์กรนั้นๆผ่านทางการแถลงข่าว ให้สัมภาษณ์ การประชุม อภิปราย สัมมนาต่างๆ 1.3 สื่อโสตทัศน์ ได้แก่ โทรทัศน์ ภาพยนตร์ วีดีทัศน์ เสียงตามสาย และ สไลด์ ตาม งานประชุมต่าง ๆ เป็นต้น 1.4 สื่อกิจกรรม ทั้งผ่านทางการจัดกิจกรรมหรือโครงการเพื่อสังคม การเปิดให้ เยี่ยมชม การทัศนศึกษา การจัดงานประกวด รวมไปถึงการจัดนิทรรศการในสถานที่ต่างๆ


9 1.5 สื่ออื่น ๆ เช่นการให้การสนับสนุนทางการเงิน การจัดทำของชำร่วยหรือ สินค้าที่ เป็นแบรนขององค์กรนั้นๆ ป้ายที่ติดตามพาหนะขนส่งมวลชนต่างๆ การประชาสัมพันธ์แสดง ข้อความผ่าน ทางเครื่องบิน เป็นต้น 2. สื่อที่ควบคุมไม่ได้ คือ สื่อที่ไม่สามารถควบคุมตั้งแต่ในส่วนการผลิต การเผยแพร่ ปริมาณและคุณภาพของสารที่เผยแพร่ออกไป อย่างไรก็ดีสื่อชนิดนี้ก็ยังมีความสำคัญอย่างมากในงาน ประชาสัมพันธ์ ประกอบไปด้วย 2.1 สื่อมวลชน การนำเสนอข่าวและเผยแพร่ข่าวจะต้องได้รับการพิจารณาจาก สื่อมวลชน หากข้อมูลที่บุคคลเหล่านี้ได้รับมีคุณค่าหรือเป็นที่สนใจต่อสังคมก็จะได้รับการเผยแพร่ ในปริมาณ และความถี่ที่สูง อย่างไรก็ตามหากองค์กรนั้นๆสามารถสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อสื่อมวลชนเหล่านี้ก็จะทำให้มี โอกาสได้รับการสนับสนุนในการเผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์ขององค์กรได้มากขึ้น 2.2 สื่อบุคคล หมายถึง บุคคลอื่นที่ไม่ใช่ตัวแทนขององค์กร แต่เป็นบุคคล สาธารณะที่ได้มีโอกาสเผยแพร่ในเรื่องทีเกี่ยวข้องกับองค์กร 2.2.1.3 ลักษณะของสื่อประชาสัมพันธ์แต่ละประเภท กระจอกข่าว (2560) ได้อธิบายถึงลักษณะของสื่อประชาสัมพันธ์แต่ละประเภทไว้ดังนี้ (1) สื่อเพื่อการประชาสัมพันธ์ภายในหน่วยงาน (House or Home Journal) เป็น หนังสือวารสารสิ่งพิมพ์ที่ใช้สื่อสัมพันธ์ในหน่วยงานให้รู้หรือเข้าใจและแจกจ่ายกันเฉพาะภายในหน่วยงาน (2) สื่อประชาสัมพันธ์ภายนอกหน่วยงาน (External Publication) เป็นวารสารสิ่งพิมพ์ ที่ใช้เพื่อสัมพันธ์ระหว่างหน่วยงานกับบุคคลภายนอกหน่วยงาน จัดทำรูปเล่มประณีตใช้ถ้อยคำสำนวนภาษาเป็น ทางการ การระมัดระวังมากกว่าหนังสือสัมพันธ์ภายใน (3) สื่อประชาสัมพันธ์แบบผสม (Combination) เป็นการจัดทำสิ่งพิมพ์สื่อสัมพันธ์ใน ลักษณะผสมใช้อ่านได้ ทั้งคนภายในและภายนอกหน่วยงานในเล่มเดียวกันการเตรียมสิ่งพิมพ์เพื่อการ ประชาสัมพันธ์ (Preparation for Publication) ก่อนจะทำสิ่งพิมพ์ควรมีการวางแผนให้เรียบร้อย การวางแผนที่ดี ต้องคำนึงถึงสิ่ง 3 ประการด้วยกัน คือ วัตถุประสงค์ (Purpose) ผู้อ่าน (Reader) และรูปแบบ (Format) ใน ขณะเดียวกันจะต้องพิจารณาปัจจัยทั้ง 3 ประการนี้ร่วมกัน (1) วัตถุประสงค์ (Purpose) ก่อนที่จะทำหนังสือควรจะวางวัตถุประสงค์อย่างรอบคอบ เขียนวัตถุประสงค์และให้ผู้อ่านมีอำนาจอนุมัติและทำงานให้ตรงตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ (2) ผู้อ่าน (Reader) งานสำคัญอันดับแรกคือ ทำงานให้ได้ตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้และ งานนั้นจะเป็นจริงได้ต้องคำนึงถึงผู้อ่านเป็นหลัก ผู้อ่านจะเป็นผู้ตัดสินผลงาน ถ้าเขารู้สึกซาบซึ้งกับหนังสือก็ประสบ ความสำเร็จ แต่ถ้าเขาไม่อ่านหนังสือเขาก็จะไม่ซาบซึ้ง ดังนั้น เราต้องตอบให้ได้ว่า


10 นิสัยในการอ่านหนังสือของเขาเป็นอย่างไร ตัวอย่างประเภทไหนที่จะดึงดูดความสนใจของเขา จะวาง เค้าโครงเรื่องอย่างไรจึงจะเอาชนะใจเขาได้ ควรจะเป็นส่วนไหน เป็นต้น 2.2.1.3 หลักการพิจารณาเลือกใช้เพื่อการประชาสัมพันธ์ เนื่องจากสิ่งที่ใช้ในการประชาสัมพันธ์มีอยู่มากมายหลายชนิดด้วยกัน ฉะนั้นผู้ที่จะ ตัดสินใจเลือกสื่ออะไรมาใช้จะต้องพิจารณาให้รอบคอบก่อน ว่าเหมาะสมและช่วยให้บรรลุเป้าหมายหรือไม่ การ พิจารณาเลือกสื่อมาใช้นั้นควรจะคำนึงถึงลักษณะของสื่อที่แตกต่างกัน ดังนี้ 2.2.1.3.1 ด้านเนื้อที่ – เวลา (Space - Time) สิ่งพิมพ์ รูปภาพ เป็นสื่อที่คำนึงถึงเฉพาะ ด้าน “เนื้อที่การพูดทาง โทรศัพท์ วิทยุ คำนึงเฉพาะด้าน “เวลา” ส่วนการติดต่อธรรมดา โทรทัศภาพยนต์นั้น คำนึงถึง “เนื้อที่ - เวลา 2.2.1.3.2 การมีส่วนร่วมของประชาชนเป้าหมาย (Audience's participation) สื่อที่ ประชาชนเป้าหมายได้มีส่วนร่วมมากที่สุดไปยังน้อยที่สุด สามารถเรียงได้ดังนี้การสนทนาระหว่างบุคคล กลุ่ม อภิปราย การประชุมที่ไม่เป็นทางการ โทรศัพท์ การประชุมที่เป็นทางการ ภาพยนตร์เสียงในฟิล์ม โทรทัศน์ วิทยุกระจายเสียง โทรเลข จดหมายโต้ตอบระหว่างบุคคล (ทั้งส่วนตัวและกึ่งราชการ) จดหมายติดต่อทั่วไป (จดหมายราชการหรือที่มีรูปแบบเป็นทางการ) หนังสือพิมพ์ใบประกาศและภาพโฆษณานิตยสารหนังสือ 2.2.1.3.3 ด้านความเร็ว (Speed) สื่อที่มีความเร็วมากที่สุดคือ วิทยุและโทรทัศน์ และ สื่อที่ช้าที่สุดคือ พวกหนังสือ ลักษณะเหล่านี้อาจกล่าวได้ว่า หากเป็นการติดต่อเผยแพร่ข่าวความเคลื่อนไหว ก็ต้อง อาศัยความเร็วสูง แต่หากข่าวสารใดที่ต้องการให้ประชาชนเป้าหมายได้ศึกษาวิเคราะห์อย่างละเอียดก็ต้องใช้สื่อที่มี ความเร็วต่ำ 2.2.1.3.4 ด้านความคงทน (Permanence) หนังสือจัดได้ว่าเป็นสื่อที่มีความคงทนถาวร มากกว่าสื่อใดๆ วิทยุและโทรทัศน์จัดเป็นสื่อที่มีความคงทนน้อยที่สุด 2.3 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ภริตพร สังข์สะนา, รวีวรรณ ชินะตระกูล, & เสมอ เริงอนันต์. (2557) ได้ศึกษาเรื่อง "ศึกษาสภาพ ปัญหา และความต้องการในการรับ รู้ ข้อมูลข่าวสารจากสื่อประชาสัมพันธ์ของ นักศึกษา ระดับปริญญาตรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี พระจอมเกล้าธนบุรี " ผลการวิจัยพบว่า นักศึกษาจากทั้งสองมหาวิทยาลัยรายงานปัญหาในระดับปานกลางในสถานการณ์ปัจจุบัน แต่ การประเมินข้อมูลอยู่ในระดับสูง นักศึกษาจาก 2 มหาวิทยาลัยรายงานความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทั้งปัญหา และการประเมินข้อมูล อย่างไรก็ตามมีความแตกต่างด้านเพศ นักศึกษา มจพ. ต่างเพศ รายงานว่าไม่มีความ แตกต่างทั้ง 2 ด้าน ขณะที่ น.ม. มีความแตกต่างกัน นอกจากนี้ยังมีความแตกต่างในด้านปีการศึกษาที่แตกต่างกัน


11 กล่าวคือ นักศึกษา มจพ. ในปีการศึกษาต่างๆ รายงานปัญหาและการประเมินข้อมูลในระดับต่างๆ ในขณะที่ นักศึกษา มจธ. รายงานไม่แตกต่างกัน สุดท้าย นศ.ของทั้งสองมหาวิทยาลัยจากหลากหลายคณะได้แสดงความเห็น ต่างกันไปทั้ง 2 ด้าน ฉันทนา ปาปัดถา. (2561). ได้ศึกษาเรื่อง "การรับรู้ข่าวสารผ่านสื่อ ประชาสัมพันธ์ ของ นักศึกษาคณะ เทคโนโลยีสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร" ผลการวิจัยพบว่า นักศึกษาส่วนใหญ่เป็นเพศ หญิง ร้อยละ 51.67 และสาขาวิชาเทคโนโลยีมัลติมีเดีย ร้อยละ 47.00 นักศึกษามีการรับรู้ข่าวสารผ่านสื่อ ประชาสัมพันธ์อยู่ในระดับมาก โดยรับรู้ข่าวสารจากสื่อบุคคลสื่อโฆษณา และจากสื่อสิ่งพิมพ์ และนักศึกษามีการ เปิดรับข่าวสารผ่านสื่อประชาสัมพันธ์อยู่ในระดับมาก ซึ่งสามารถเข้าถึงสื่อประชาสัมพันธ์ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และเนื้อหามีประโยชน์ สุไบ ซะจานงลักษณ์(2561) ได้ศึกษาเรื่อง "พฤติกรรม การ รับ รู้ ข่าวสาร และความพึง พอใจต่อสื่อ ประชาสัมพันธ์ภายในองค์กร คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี ราชมงคลธัญบุรี ผลการวิจัยพบว่า (1) ระดับพฤติกรรมการรับรู้ข่าวสารภายในองค์กรของกลุ่มตัวอย่าง 500 คน พบว่าช่องทางการ ประชาสัมพันธ์ที่กลุ่มตัวอย่างทราบมากที่สุดคือ เว็บไซต์/เฟสบุ๊ก/ไลน์ คิดเป็นร้อยละ 39. ช่องทางการ77 ประชาสัมพันธ์ ประเภทเว็บไซต์/เฟสบุ๊ก/ไลน์ มีกลุ่มตัวอย่างเข้าไปติดตามมากที่สุด คือ ร้อยละ 85.32 บอร์ด ประชาสัมพันธ์หน้าลิฟต์ได้รับความสนใจจากกลุ่มตัวอย่างมากที่สุด คือ ร้อยละ 34.84 ความถี่ในการอ่านสื่อ ประชาสัมพันธ์ของกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่จะติดตามข่าวสารทุกวัน อยู่ที่ร้อยละ 52.20 และได้รับประโยชน์จากสื่อ ประชาสัมพันธ์ในด้านการเรียนการสอนมากที่สุด คือร้อยละ 35.19 และช่วงเวลาที่กลุ่มตัวอย่างเข้าไปติดตามมาก ที่สุด คือ ช่วงเวลา 08.00-12.00 น. คิดเป็นร้อยละ 28.65 (2) ระดับความพึงพอใจต่อสื่อประชาสัมพันธ์ภายใน องค์กร พบว่าความพึงพอใจต่อช่องทางในการประชาสัมพันธ์ มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.96 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน อยู่ที่ 0.54 ระดับความพึงพอใจมาก ความพึงพอใจต่อประโยชน์ที่ได้รับ ค่าเฉลี่ยรวมอยู่ที่ 3.90 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.72 มีระดับความพึงพอใจมาก ส่วนความพึงพอใจต่อเนื้อหาของสื่อประชาสัมพันธ์ มีค่าเฉลี่ย 3.94 ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน 0.72 มีระดับความพึงพอใจมาก สุนิทรา วงศ์แสนสุข (2561) ได้ศึกษาเรื่อง " สื่อประชาสัมพันธ์ที่มีผลต่อกระบวนการเปิดรับสื่อ" ผลการวิจัยพบว่า (1) ระดับพฤติกรรมการรับรู้ข่าวสารภายในองค์กรของกลุ่มตัวอย่าง 500คน พบว่าช่องทางการ ประชาสัมพันธ์ที่กลุ่มตัวอย่างทราบมากที่สุดคือ เว็บไซต์/เฟสบุ๊ก/ไลน์คิดเป็นร้อยละ 39.77 ช่องทางการ ประชาสัมพันธ์ประเภทเว็บไซต์/เฟสบุ๊ก/ไลน์ มีกลุ่มตัวอย่างเข้าไปติดตามมากที่สุดคือ ร้อยละ 85.32 บอร์ด ประชาสัมพันธ์หน้าลิฟต์ได้รับความสนใจจากกลุ่มตัวอย่างมากที่สุดคือ ร้อยละ 34.84 ความถี่ในการอ่านสื่อ


12 ประชาสัมพันธ์ของกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่จะติดตามข่าวสารทุกวัน อยู่ที่ร้อยละ 52.20 และได้รับประโยชน์จากสื่อ ประชาสัมพันธ์ในด้านการเรียนการสอนมากที่สุด คือร้อยละ 35.19 และช่วงเวลาที่กลุ่มตัวอย่างเข้าไปติดตามมาก ที่สุดคือ ช่วงเวลา 08.00-12.00 น. คิดเป็นร้อยละ 28.65 (2) ระดับความพึงพอใจต่อสื่อประชาสัมพันธ์ภายใน องค์กร พบว่าความพึงพอใจต่อช่องทางในการประชาสัมพันธ์ มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 3.96ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน อยู่ที่ 0.54 ระดับความพึงพอใจมาก ความพึงพอใจต่อประโยชน์ที่ได้รับค่าเฉลี่ยรวมอยู่ที่ 3.90 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.72 มีระดับความพึงพอใจมาก ส่วนความพึงพอใจต่อเนื้อหาของสื่อประชาสัมพันธ์มีค่าเฉลี่ย 3.94 ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน 0.72 มีระดับความพึงพอใจมาก และแนวคิดที่กล่าวมาข้างต้น ผู้ศึกษาได้นำมาเป็นแนวทางในการศึกษา งานวิจัยเรื่องการรับรู้ข่าวสาร จากสื่อประชาสัมพันธ์ ของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ตาม วัตถุประสงค์ของงานวิจัยในด้านต่างๆเพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาสื่อประชาสัมพันธ์ต่อไป 2.4 กรอบแนวคิดของการวิจัย การศึกษาวิจัยเรื่อง การรับรู้ข่าวสารจากสื่อประชาสัมพันธ์ของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอม บึง ครั้งนี้ได้ศึกษาจากแนวคิดทฤษฎี เอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง สามารถที่จะตอบ ประเด็นคำถามได้สมบูรณ์ โดยกำหนดตัวแปรที่ใช้ในการศึกษาคือ ตัวแปรต้นผู้วิจัยได้กำหนดกรอบแนวคิดจากแนวคิดของ โจเซฟ ทีแคลป เปอร์(Klapper, J.T., 1960: 19) ที่กล่าวว่าการรับรู้ข่าวสารไว้ทั้งหมด 2 ขั้นตอน (1) การเปิดรับ (2) ความรู้ความ เข้าใจ นอกจากนี้ในส่วนของตัวแปรตามผู้วิจัยได้นำแนวคิดของ พงษ์ วิเศษสังข์ (2553: 97-98) ได้กล่าวถึงสื่อประชาสัมพันธ์และวัตถุประสงค์ของการประชาสัมพันธ์มีองค์ประกอบที่สำคัญ 4 ประการ คือ (1) เพื่อให้เกิดความเข้าใจและรับรู้ถึงภาพลักษณ์ที่ดีระหว่างหน่วยงานและประชาชน (2) เพื่อให้ ประชาชนเข้าถึงข้อเท็จจริง (3) เพื่อสร้างความเข้าใจที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และ(4) เพื่อรักษาความสัมพันธ์อันดี ระหว่างหน่วยงานและประชาชน ดังภาพกรอบแนวคิดของการวิจัย


13 ภาพที่ 2.1 กรอบแนวคิดในการวิจัย 2.5 นิยามศัพท์ปฏิบัติการของการวิจัย ปัจจัยส่วนบุคคล คือ คุณลักษณะส่วนตัวของกลุ่มตัวอย่างประกอบด้วย เพศ อายุ ระดับชั้นปี คณะ การ เดินทาง ที่พักอาศัย ช่องทางการรับข่าวสาร เป็นต้น เพศ คือ เพศสภาพชาย หญิง และเพศที่สามของนักศึกที่บ่งบอกถึงตัวตนของนักศึกษามหาวิทยาลัยราช ภัฏหมู่บ้านจอมบึง ตั้งแต่ชั้นปีที่ 1 – 4 อายุคือ อายุของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ระดับชั้นปีคือ ข้อมูลระดับชั้นปีที่นักศึกษากำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง การเดินทาง คือ การเดินทางมามหวิทยาลัยของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ที่พักอาศัย คือ ที่อยู่ของนักศึกษาระหว่างที่มาศึกษาที่มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง คณะ คือ องค์กรในสถาบันอุดมศึกษาที่มีหน้าที่จัดการเรียนการสอน และให้บริการความรู้เกี่ยวกับ วิชาการสาขาที่อยู่ในประเภทเดียวกัน ในที่นี้คือคณะที่นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงสังกัดอยู่ ช่องทางการรับข่าวสาร คือ ช่องทางที่นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ใช้รับข้อมูลข่าวสาร จากทางมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ปัจจัยส่วนบุคคล - เพศ - อายุ - ระดับชั้นปี - คณะ -การเดินทาง -ที่พักอาศัย - ช่องทางการรับข่าวสาร การรับรู้สื่อประชาสัมพันธ์ของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง - การรู้สื่อประชาสัมพันธ์ - การเปิดรับ - ความรู้ความเข้าใจ


14 การรู้สื่อประชาสัมพันธ์คือ ปัจจัยที่มีผลต่อการรับข่าวสารของนักศึกษา เช่น การเปิดรับ การเลือกให้ ความสนใจ การเลือกรับรู้และตีความ การเลือกจดจำ การเปิดรับ คือ การเลือกเปิดรับสื่อของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ความรู้ความเข้าใจ คือ การเข้าใจข้อมูลข่าวสารจากสื่อประชาสัมพันธ์ของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏ หมู่บ้านจอมบึง การรับรู้สื่อประชาสัมพันธ์ของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง คือ การที่นักศึกษาของ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงสามารถรับรู้ข่าวสารได้อย่างทั่วถึง ซึ่งทำให้นักศึกษามีความเข้าใจ ต่อข่าวสารที่ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงต้องการจะสื่อให้นักศึกษาได้รู้ความหมายของสารนั้น


15 บทที่ 3 วิธีการดำเนินการวิจัย การศึกษาวิจัยเรื่อง การรับรู้ข่าวสารจากสื่อประชาสัมพันธ์มหาวิทยาลัยของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราช ภัฏหมู่บ้านจอมบึง ซึ่งผู้วิจัยมีวิธีดำเนินการวิจัยดังมีรายละเอียด ต่อไปนี้ 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3.3 การสร้างเครื่องมือและการตรวจสภาพเครื่องมือ 3.4 การศึกษาคุณภาพของเครื่องมือการวิจัย 3.5 การเก็บรวบรวมข้อมูล 3.6 การจัดทําและการวิเคราะห์ข้อมูล 3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้คือ นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ตั้งแต่ระดับชั้นปีที่ 1 ถึง ระดับชั้นปีที่ 4 จํานวน 3,857 คน (สำนักส่งเสริมวิชาการและงานทะเบียนมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ,2565) ซึ่งผู้วิจัยได้ใช้สูตรคำนวณการกำหนดกลุ่มตัวอย่างของทาโร ยามาเน (Taro Tayamane, 1970) มาใช้ใน การประมาณค่าสัดส่วนของประชากร และกำหนดให้สัดส่วนของลักษณะที่สนใจในประชากร เท่ากับ 0.5 ระดับ ความคลาดเคลื่อนที่ยอมรับได้ 5% และระดับความเชื่อมั่น 95% สามารถคำนวณหาขนาดของกลุ่มตัวอย่างกับ ประชากร ซึ่งจำนวนนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงมีขนาดเท่ากับ 3,857 คน ขนาดกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ในการวิจัยครั้งนี้จึงเท่ากับ 363 คน ดังนี้ 3.1.1 ขนาดกลุ่มตัวอย่างสูตรของทาโร ยามาเน (Taro Tayamane)


16 n = +((.) ) n = +((.)) n = +. n = . n = 363 ที่มา: ทาโร ยามาเน (Taro Tayamane, 1970 อ้างอิงในUX RESEARCH LAB, 2021) 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ในการศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาในเชิงปริมาณซึ่งได้ประยุกต์มาจากการทบทวนวรรณกรรมแนวคิดทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย 4 ตอนดังนี้ ตอนที่ 1 เป็นแบบสัมภาษณ์ข้อมูลลักษณะส่วนตัวของผู้ตอบแบบสอบถาม ได้แก่ เพศ อายุคณะ ระดับชั้น ปีที่พักอาศัย การเดินทาง ช่องทางในการรับรู้สื่อ ตอนที่ 2 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับการรับรู้ข่าวสารของนักศึกษาจากสื่อประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัย ราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงเรียน ตามทั้ง 5 ประเด็น ได้แก่ การเปิดรับ การเลือกให้ความสนใจ การเลือกรับรู้และ ตีความ และการเลือกจดจำ ลักษณะเป็นคําถามปลายปิดแบบมาตรประมาณค่า (Rating Scale) ตามแบบของ ลิเคอร์ท (Likert Scale) 5 ระดับ คือ 5 หมายถึง ระดับมากที่สุด 4 หมายถึง ระดับมาก 3 หมายถึง ระดับปานกลาง 2 หมายถึง ระดับน้อย 1 หมายถึง ระดับปรับปรุง


17 เกณฑ์ในการแปลผลคะแนนความหมายของค่าเฉลี่ยมีดังนี้(สุจิตรา บุณยรัตพันธ์, 2562) 1.00-1.49 หมายถึง การรับรู้ข่าวสารอยู่ในระดับปรับปรุง 1.50-2.49 หมายถึง การรับรู้ข่าวสารอยู่ในระดับน้อย 2.50-3.49 หมายถึง การรับรู้ข่าวสารอยู่ในระดับปานกลาง 3.50-4.49 หมายถึง การรับรู้ข่าวสารอยู่ในระดับมาก 4.50-5.00 หมายถึง การรับรู้ข่าวสารอยู่ในระดับมากที่สุด ตอนที่ 3 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับประสิทธิภาพการรับรู้ข่าวสารของนักศึกษาจากสื่อประชาสัมพันธ์ของ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง คือสื่อทั้ง 5 ประเภท ดังนี้ ประเภทสื่อบุคคล ประเภทสื่อโฆษณาประเภทสื่อ สิ่งพิมพ์ประเภทสื่อป้ายโฆษณา และประเภทสื่อวิทยุลักษณะเป็นคําถามปลายปิดแบบมาตรประมาณค่า (Rating Scale) ตามแบบของลิเคอร์ท (Likert Scale) 5 ระดับ คือ 5 หมายถึง ระดับมากที่สุด 4 หมายถึง ระดับมาก 3 หมายถึง ระดับปานกลาง 2 หมายถึง ระดับน้อย 1 หมายถึง ระดับปรับปรุง เกณฑ์ในการแปลผลคะแนนความหมายของค่าเฉลี่ยมีดังนี้ (สุจิตรา บุณยรัตพันธ์, 2562) 1.00-1.49 หมายถึง ประสิทธิภาพการรับรู้ข่าวสารอยู่ในระดับปรับปรุง 1.50-2.49 หมายถึง ประสิทธิภาพการรับรู้ข่าวสารอยู่ในระดับน้อย 2.50-3.49 หมายถึง ประสิทธิภาพการรับรู้ข่าวสารอยู่ในระดับปานกลาง 3.50-4.49 หมายถึง ประสิทธิภาพการรับรู้ข่าวสารอยู่ในระดับมาก 4.50-5.00 หมายถึง ประสิทธิภาพการรับรู้ข่าวสารอยู่ในระดับมากที่สุด ตอนที่ 4 เป็นคําถามเกี่ยวกับข้อคิดเห็นปัญหา และข้อเสนอแนะในกระบวนการทางการรับรู้ข่าวสารของ นักศึกษาจากสื่อประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงทุกๆแหล่งมีลักษณะเป็นคําถามแบบ ปลายเปิดสําหรับให้ผู้ตอบแบบสอบถามเติมข้อเสนอแนะเพื่อนําไปพัฒนาปรับปรุงการจัดการเผยแพร่ข้อมูล ข่าวสารจากสื่อประชาสัมพันธ์ให้มีประสิทธิภาพต่อไป


18 3.3 การสร้างเครื่องมือ เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยสร้างตามกรอบที่จะศึกษาโดยมีขั้นตอนการสร้างเครื่องมือ ตามลําดับ ดังนี้(ภริตพร สังข์สะนา, รวีวรรณ ชินะตระกูล, & เสมอ เริงอนันต์. 2557) 1. ศึกษาแนวคิด ทฤษฎีเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับกรอบที่จะศึกษาตามหลักการรับรู้ข่าวสารจาก สื่อประชาสัมพันธ์ และประสิทธิภาพการรับรู้ข่าวสารจากสื่อประชาสัมพันธ์ เพื่อเป็นแนวทางในการสร้างเครื่องมือ 2. สร้างแบบสอบถามที่ใช้เป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล โดยการพิจารณาประเด็นคําถามครอบคลุม วัตถุประสงค์ของการศึกษา 3. นําเครื่องมือที่สร้างขึ้นไปขอคําแนะนําจากอาจารย์ที่ปรึกษาเพื่อตรวจสอบ แก้ไขปรับปรุงให้ครอบคลุม และเหมาะสมกับกรอบที่จะศึกษามากที่สุด 4. แก้ไขปรับปรุงข้อบกพร่อง และให้ครอบคลุมตามแนวทางการสร้างเครื่องมือ 5. นําแบบสอบถามไปหาค่าความเชื่อมั่น 6. นําเครื่องมือที่ได้ปรับปรุงแก้ไขแล้วไปเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา 3.4 การศึกษาคุณภาพของเครื่องมือการวิจัย 1. การวิเคราะห์ค่าความสอดคล้องของแบบสอบถามใช้สถิติค่าเฉลี่ยจากคะแนนที่ได้จากผู้กรอก แบบสอบถาม 2. การวิเคราะห์ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับของแบบสอบถามแบบมาตรวัด 3 ระดับ ใช้การหาค่าสัมประสิทธิ์ แอลฟา (Cronbach’s Alpha Coefficient) โดยนําแบบสอบถามไปทดสอบใช้(try out) กับกลุ่มตัวอย่างจํานวน 363 คน จากนั้นนําแบบสอบถามมาวิเคราะห์หาความเชื่อมั่นของแบบสอบถามโดยวิธีใช้การทดสอบค่าความ เชื่อมั่นของครอนบาค (Cronbach, L. J., 1977; อ้างถึงในยุทธ มะลิรส, 2555: 78) 3.5 การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ดําเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลตามขั้นตอน ดังนี้ 1. ผู้วิจัยประสานงานผ่านอาจารย์ที่ปรึกษา เพื่อขอความอนุเคราะห์ในการดําเนินการวิจัยและรวบรวม ข้อมูล 2. ทําการชี้แจงรายละเอียดในการเก็บรวบรวมข้อมูลแก่นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง 3. ผู้วิจัยแจกแบบสอบถามให้กลุ่มตัวอย่างทุกคนด้วยตนเองโดยวิธีการสุ่มแบบตามสะดวก จํานวน 363 ชุด และนัดหมายการเก็บแบบสอบถามคืน 4. ผู้วิจัยติดตามเก็บแบบสอบถามคืนจากกลุ่มตัวอย่างให้ได้แบบสอบถามคืนมา จํานวน 363 ชุด


19 5. นําแบบสอบถามที่เก็บรวบรวมได้มาจัดกระทํา ตรวจสอบความถูกต้อง ครบถ้วนของการตอบ แบบสอบถามแล้ว จึงนําไปทําการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ 3.6 การจัดทําและการวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูลครั้งนี้ผู้วิจัยได้เก็บรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูล โดยการนําคะแนนที่ได้จากการ ทดสอบมาวิเคราะห์ทางสถิติดังนี้ 1. วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถามโดยการหาค่าความถี่ และร้อยละ 2. วิเคราะห์ข้อมูลการรับรู้ข่าวสาร โดยการหาค่าเฉลี่ย ( ̅) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เป็นราย ประเภท และรายข้อ 3. วิเคราะห์ข้อมูลประสิทธิภาพการรับรู้ข่าวสารของนักศึกษา โดยการหาค่าเฉลี่ย ( ̅) และส่วน เบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D.) เป็นรายประเภท และรายข้อ 4. วิเคราะห์ข้อมูลปัจจัยส่วนบุคคลที่มีผลต่อประสิทธิภาพการรับรู้ข่าวสารของนักศึกษาราชภัฏหมู่บ้าน จอมบึง โดยการหาค่าเฉลี่ย ( ̅) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เป็นรายประเภท และรายข้อ โดยการแปล ความหมายของคะแนน ค่า t-test และค่า F-test 5. วิเคราะห์ข้อมูลความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ข่าวสารกับประสิทธิภาพการรับรู้ข่าวสารของ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง โดยใช้ค่าสหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (r) ใช้เกณฑ์การแปลความหมาย (สุจิตรา บุณยรัตพันธ์, 2562) ดังนี้ 0.90 ขึ้นไป หมายถึง มีความสัมพันธ์กันสูงมาก 0.70 - 0.89 หมายถึง มีความสัมพันธ์กันสูง 0.50 - 0.69 หมายถึง มีความสัมพันธ์กันปานกลาง 0.30 - 0.49 หมายถึง มีความสัมพันธ์กันต่ำ ต่ำกว่า 0.30 หมายถึง มีความสัมพันธ์กันต่ำมาก


20 แบบสอบถาม การรับรู้สื่อประชาสัมพันธ์ของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง คำชี้แจง 1. แบบสอบถามนี้จัดทำขึ้นเพื่อทราบความคิดเห็นและความรู้ความเข้าใจของนักศึกษามหาวิทยาลัยราช ภัฏหมู่บ้านจอมบึง ท่านเป็นบุคคลหนึ่งที่ได้รับเลือกเป็นผู้ตอบแบบสอบถาม กรุณาตอบตามความเป็นจริง และ ตอบให้ครบทุกข้อ คำตอบของท่านจะเป็นประโยชน์ในการศึกษาวิจัย เพื่อนำผลมาใช้ในการพัฒนาการจัดทำสื่อ ประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงต่อไปให้มีประสิทธิภาพ 2. ข้อมูลที่ได้จากท่านจะได้รับกรรักษาไว้เป็นความลับ ฉะนั้นแบบสอบถามทุกชุดจะไม่ระบุชื่อผู้ตอบ แบบสอบถาม และจะไม่ส่งผลต่อผู้ตอบแบบสอบถามแต่ประการใด การวิเคราะห์ข้อมูลและเสนอผลงานผู้ศึกษาจะ ทำในภาพรวม 3. แบบสอบถามฉบับนี้แบ่งออกเป็น 4 ตอน ดังนี้ ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ตอนที่ 2 ปัจจัยด้านความรู้ของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฎหมู่บ้านจอมบึงต่อสื่อประชาสัมพันธ์ของ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ตอนที่ 3 ความรู้ความเข้าใจของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงต่อสื่อประชาสัมพันธ์ของ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ตอนที่ 4 ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม 4. ขอความกรุณาตอบแบบสอบถามทุกข้อตามความคิดเห็นของท่านตามความเป็นจริง เพื่อให้ข้อมูลที่ ได้รับเกิดประโยชน์สูงสุดต่อสังคมและผู้เกี่ยวข้อง คณะผู้วิจัย นักศึกษาสาขารัฐประศาสนศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎหมู่บ้านจอมบึง


21 ตอนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม คำขี้แจง เขียนเครื่องหมาย ลงใน ( ) ที่ตรงกับความเป็นจริง 1. เพศ ( ) เพศชาย ( ) เพศหญิง ( ) เพศทางเลือก 2. อายุ ( ) ต่ำกว่า 18 ปี ( ) 19 ปี ( ) 20 ปี ( ) 21 ปี ( ) 22 ปี ( ) มากกว่า 22 ปี 3. ระดับชั้นปี ( ) ชั้นปีที่ 1 ( ) ชั้นปีที่ 2 ( ) ขั้นปีที่ 3 ( ) ขั้นปีที่ 4 4. คณะ ( ) มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ( )วิทยาการจัดการ ( ) เทคโนโลยีอุตสาหกรรม ( ) วิทยาลัยมวยไทยและการแพทย์แผนไทย ( ) ครุศาสตร์ ( ) วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 5. ที่พักอาศัย ( ) หอพักนอก ( ) หอพักใน 6. การเดินทาง ( ) รถส่วนตัว ( ) รถประจำทาง 7. ช่องทางในการรับรู้สื่อ ( ) ป้ายโฆษณา ( ) เพจมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ( ) แผ่นพับ/ใบปลิว/โปสเตอร์ ( ) อื่น ๆ


22 ตอนที่ 2 การรับรู้ข่าวสารของนักศึกษาจากสื่อประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง คำชี้แจง ให้ท่านเลือกประเด็นต่างๆ ในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารจากสื่อประชาสัมพันธ์ของนักศึกษาอยู่ในระดับใด โดยให้ท่านทำเครื่องหมาย √ ลงในช่องว่าง ให้ตรงกับความเห็นของท่าน ลำดับที่ การเข้าใจสื่อประชาสัมพันธ์ของ นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้าน จอมบึง ระดับความคิดเห็น มากที่สุด มาก ปาน กลาง น้อย น้อย ที่สุด การเปิดรับสื่อ นักศึกษาคิดว่าสื่อประชาสัมพันธ์มีความเหมาะสม นักศึกษาเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของมหาวิทยาลัย สาระสำคัญของสื่อประชาสัมพันธ์มีความน่าสนใจ สื่อประชาสัมพันธ์สามารถดึงดูดให้นักศึกษาเข้า ร่วมกิจกรรม ความรู้ความเข้าใจ สื่อประชาสัมพันธ์สามารถให้ข้อมูลได้ชัดเจน เนื้อหาสื่อประชาสัมพันธ์ช่วยเสริมการเรียนและ การทำกิจกรรม สาระของสื่อประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัย สามารถทำให้เรานำข้อมูลไปบอกเพื่อนให้รับรู้ ประสิทธิภาพของสื่อประชาสัมพันธ์ ( การเข้าถึง เนื้อหาชัดเจน ) ถ้าท่านเห็นป้ายประชาสัมพันธ์จะยืนอ่านหรือไม่ ท่านจะเข้าไปเช็คข้อมูลใน Facebookหรือไม่ มีการถามข้อมูลข่าวสารจากเพื่อนบ่อยครั้ง เมื่อท่านมีปัญหาท่านเคยได้ติดต่อหน่วยงาน ประชาสัมพันธ์โดยตรงหรือไม่ ท่านรู้สถานที่ตั้งหน่วยงานประชาสัมพันธ์ของ มหาวิทยาลัยหรือไม่


23 ตอนที่ 4 ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ............................................................................................................................. ....................................................... .................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................. ....................................................... ............................................................................................................................................................................. ....... .................................................................................................................... ................................................................ ............................................................................................................................. ....................................................... ......................................................................................................................................................... ........................... ขอบพระคุณอย่างสูง ในความอนุเคราะห์ตอบแบบสอบถามนี้เป็นอย่างดี


24 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยเรื่อง การรับรู้สื่อประชาสัมพันธ์ของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ผู้วิจัยตั้ง วัตถุประสงค์ไว้ 4 ประการ คือ (1) เพื่อศึกษาถึงการรับรู้ข่าวสารจากสื่อประชาสัมพันธ์ของนักศึกษา มหาวิทยาลัย ราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง (2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการรับรู้ข่าวสารจากสื่อประชาสัมพันธ์ของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง (3) เพื่อศึกษาถึงการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของนักศึกษามีความสัมพันธ์กับสื่อ ประชาสัมพันธ์ของ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง (4) เพื่อเสนอแนวทางในการรับรู้ข่าวสารและการเข้าถึงสื่อ ประชาสัมพันธ์ของ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม/แบบสัมภาษณ์กับกลุ่มตัวอย่างวิจัยเชิง คุณภาพและกลุ่มตัวอย่างวิจัยเชิงปริมาณ ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้ดำเนินการวิเคราะห์และนำเสนอ เป็น ตอน ๆ เพื่อตอบวัตถุประสงค์ของการวิจัย ดังนี้ 4.1 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาน 4.1.1 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 4.1.2 การวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม 4.1.3 การวิเคราะห์ข้อมูลความรู้ความเข้าใจของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงต่อสื่อ ประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง 4.1.4 การวิเคราะห์ปัจจัยส่วนบุคคลมีผลต่อความรู้ความเข้าใจของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏ หมู่บ้านจอมบึงต่อสื่อประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง 4.1.5 สรุปผลการทดสอบสมมติฐานของการวิจัย 4.1.6 ข้อคิดเห็น ปัญหา และข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการให้บริการ 4.2 ผลการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ


25 4.1 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาน 4.1.1 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อความเข้าใจที่ตรงกันในการแปลความหมายข้อมูล จึงกำหนดสัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการ วิเคราะห์ข้อมูลดังนี้ ̅ แทน ค่าเฉลี่ย S.D แทน ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน n แทน จำนวนกลุ่มตัวอย่าง t แทน ค่าสถิติที่ใช้พิจารณาความมีนัยสำคัญจากการแจกแจงแบบ t (t - Distribution) F แทน ค่าสถิติที่ใช้พิจารณาความมีนัยสำคัญจากการแจกแจงแบบ F (F - Distribution) r แทน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (Correlation Coefficient) Sig แทน ระดับนัยสำคัญทางสถิติ * แทน นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ** แทน นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 4.1.2 การวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม ในการวิจัยเรื่องนี้กลุ่มตัวอย่างที่วิจัยคือ นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ซึ่งมีข้อมูลทั่วไปของ ผู้ตอบแบบสอบถาม ได้แก่ เพศ อายุ คณะ ระดับชั้นปี ที่พักอาศัย การเดินทาง ช่องทางรับสื่อประชาสัมพันธ์ โดยใช้การวิเคราะห์โดยการแจกแจงค่าความถี่ (Frequency) และค่าร้อยละ (Percentage) แล้วนำเสนอในรูป ตารางประกอบการบรรยาย ปรากฏดังตารางที่ 4.1


26 ตารางที่ 4.1 การแสดงค่าความถี่ (Frequency) และค่าร้อยละ (Percentage) ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบ แบบสอบถาม เพศ จำนวน ร้อยละ ชาย 159 43.8 หญิง 189 52.1 เพศทางเลือก 15 4.1 อายุ ต่ำกว่า 18 ปี 11 3.0 19 ปี 78 21.5 20 ปี 99 27.3 21 ปี 142 39.1 22 ปี 29 8.0 มากกว่า 22 ปี 4 1.1 คณะ มนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 142 39.1 วิทยาการจัดการ 48 13.2 เทคโนโลยีอุตสาหกรรม 40 11.0 ครุศาสตร์ 29 8.0 วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 76 20.9 วิทยาลัยมวยไทยและการแพทย์แผนไทย 28 7.7 ชั้นปี ชั้นปีที่ 1 88 24.2 ชั้นปีที่ 2 117 32.2 ชั้นปีที่ 3 141 38.8 ชั้นปีที่ 4 17 4.7 ที่พักอาศัย หอพักนอก 305 84 หอพักใน 58 16


27 ตารางที่ 4.1 (ต่อ) การเดินทาง รถส่วนตัว 329 90.6 รถประจำทาง 34 9.4 ช่องทางการรับสื่อประชาสัมพันธ์ ป้ายโฆษณา 33 9.1 แผ่นพับ/ใบปลิว/โปสเตอร์ 6 1.7 เพจมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง 304 83.7 อื่นๆ 20 5.5 จากตารางที่ 4.1 พบว่า กลุ่มตัวอย่างนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ผู้ตอบแบบสอบถาม ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาเพศหญิง คิดเป็นร้อยละ 52.1ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาอายุ21 ปีคิดเป็นร้อยละ39.1ส่วนใหญ่ เป็นนักศึกษาคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์คิดเป็นร้อยละ 39.1 ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 3 คิดเป็น ร้อยละ 38.8 ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาที่พักอาศัยอยู่หอพักนอก คิดเป็นร้อยละ 84 ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาที่ เดินทางด้วยรถส่วนตัว คิดเป็นร้อยละ 90.6 ส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาที่รับสื่อประชาสัมพันธ์จากเพจมหาวิทยาลัย ราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง คิดเป็นร้อยละ 83.7 4.1.3 การวิเคราะห์ข้อมูลความรู้ความเข้าใจของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงต่อสื่อ ประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง การวิเคราะห์ข้อมูลความรู้ความเข้าใจของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงต่อสื่อ ประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ใช้การวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ย (̅) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) แล้วนำเสนอในรูปตารางประกอบการบรรยาย ดังตารางที่ 4.2 - 4.11


28 ตารางที่ 4.2 แสดงค่าเฉลี่ย (̅) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการวิเคราะห์ข้อมูลความรู้ความเข้าใจของ นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงต่อสื่อประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้าน จอมบึง โดยรวม ลำดับ การเข้าใจสื่อประชาสัมพันธ์ของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ระดับความคิดเห็น ( X ) (S.D) แปลผล 1 การเปิดรับสื่อ 3.90 0.727 มาก 2 ความรู้ความเข้าใจ 3.75 0.710 มาก รวม 3.82 0.673 มาก จากตารางที่ 4.2 พบว่า การเข้าใจสื่อประชาสัมพันธ์ของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง โดยรวมอยู่ในระดับมาก (̅= 3.82, S.D. = 0.673) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านการเปิดรับ (̅= 3.90, S.D. = 0.727) รองลงมาเป็นด้านความรู้ความเข้าใจมีค่าต่ำที่สุด (̅=3.75, S.D. =0.710) ตามลำดับ


29 ตารางที่ 4.3 แสดงค่าเฉลี่ย (̅) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการวิเคราะห์ข้อมูลความรู้ความเข้าใจของ นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงต่อสื่อประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้าน จอมบึง โดยรวมด้านการเปิดรับสื่อ ลำดับ การเข้าใจสื่อประชาสัมพันธ์ของนักศึกษามหาวิทยาลัยราช ภัฏหมู่บ้านจอมบึง ระดับความคิดเห็น ( X ) (S.D) แปลผล 1 นักศึกษาคิดว่าสื่อประชาสัมพันธ์มีความเหมาะสม 4.06 0.908 มาก 2 นักศึกษาเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของมหาวิทยาลัย 3.87 0.896 มาก 3 สาระสำคัญของสื่อประชาสัมพันธ์มีความน่าสนใจ 3.85 0.965 มาก 4 สื่อประชาสัมพันธ์สามารถดึงดูดให้นักศึกษาเข้าร่วมกิจกรรม 3.82 0.933 มาก รวม 3.90 0.727 มาก จากตารางที่ 4.3 พบว่า ความคิดเห็นการเข้าใจสื่อประชาสัมพันธ์ของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้าน จอมบึง โดยรวมด้านการเปิดรับสื่ออยู่ในระดับมาก (̅= 3.90, S.D. = 0.727) เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อพบว่า ข้อที่ 1 นักศึกษาคิดว่าสื่อประชาสัมพันธ์มีความเหมาะสมมีค่าสูงที่สุด (̅= 4.06, S.D. = 0.908) รองลงมาเป็น ข้อที่ 2 นักศึกษาเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของมหาวิทยาลัย (̅= 3.87, S.D. = 0.896) ลำดับถัดมาคือข้อที่ 3 สาระสำคัญ ของสื่อประชาสัมพันธ์มีความน่าสนใจ (̅= 3.85, S.D. = 0.965) และข้อที่ 4 สื่อประชาสัมพันธ์สามารถดึงดูดให้ นักศึกษาเข้าร่วมกิจกรรมมีค่าน้อยที่สุด (̅= 3.82, S.D. = 0.933) ตามลำดับ


30 ตารางที่ 4.4 แสดงค่าเฉลี่ย (̅) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการวิเคราะห์ข้อมูลความรู้ความเข้าใจของ นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงต่อสื่อประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้าน จอมบึง โดยรวมด้านความรู้ความเข้าใจ ลำดับ การเข้าใจสื่อประชาสัมพันธ์ของนักศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ระดับความคิดเห็น ( X ) (S.D) แปลผล 1 สื่อประชาสัมพันธ์สามารถให้ข้อมูลได้ชัดเจน 3.80 0.943 มาก 2 เนื้อหาสื่อประชาสัมพันธ์ช่วยเสริมการเรียนและ การทำกิจกรรม 3.74 0.971 มาก 3 สาระของสื่อประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัย สามารถทำให้เรานำข้อมูลไปบอกเพื่อนให้รับรู้ 3.83 0.972 มาก 4 ประสิทธิภาพของสื่อประชาสัมพันธ์ ( การเข้าถึง เนื้อหาชัดเจน ) 3.77 0.978 มาก 5 ถ้าท่านเห็นป้ายประชาสัมพันธ์จะยืนอ่านหรือไม่ 3.63 1.037 มาก 6 ท่านจะเข้าไปตรวจเช็คข้อมูลใน Facebook หรือไม่ 3.79 0.983 มาก 7 มีการถามข้อมูลข่าวสารจากเพื่อนบ่อยครั้ง 3.77 0.945 มาก 8 เมื่อท่านมีปัญหาท่านเคยได้ติดต่อหน่วยงาน ประชาสัมพันธ์โดยตรงหรือไม่ 3.59 1.066 มาก 9 ท่านรู้สถานที่ตั้งหน่วยงานประชาสัมพันธ์ของ มหาวิทยาลัยหรือไม่ 3.80 0.899 มาก รวม 3.75 0.710 มาก จากตารางที่ 4.4 พบว่า ความคิดเห็นการเข้าใจสื่อประชาสัมพันธ์ของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏ หมู่บ้านจอมบึง โดยรวมด้านความรู้ความเข้าใจอยู่ในระดับมาก (̅= 3.75, S.D. = 0.710) เมื่อพิจารณาเป็นราย ข้อพบว่า ข้อที่ 3 สาระของสื่อประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยสามารถทำให้เรานำข้อมูลไปบอกเพื่อนให้รับรู้มีค่า สูงที่สุด (̅= 3.83, S.D. = 0.972) รองลงมาเป็นข้อที่ 1 สื่อประชาสัมพันธ์สามารถให้ข้อมูลได้ชัดเจน (̅= 3.80, S.D. = 0.943) และข้อที่ 9 ท่านรู้สถานที่ตั้งหน่วยงานประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยหรือไม่ มีค่าต่ำที่สุด (̅= 3.80, S.D. = 0.899) ตามลำดับ


31 4.1.4 การวิเคราะห์ปัจจัยส่วนบุคคลมีผลต่อความรู้ความเข้าใจของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอม บึงต่อสื่อประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง ผู้วิจัยได้ตั้งสมมติฐานการวิจัยไว้ว่านักศึกษาที่มีปัจจัยส่วนบุคคล มีผลต่อความรู้ความเข้าใจต่อสื่อ ประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง มีเพศ อายุ คณะ ระดับชั้นปี ที่พักอาศัย การเดินทาง ช่องทางรับสื่อประชาสัมพันธ์ มีความคิดเห็นต่อความรู้ความเข้าใจของนักศึกษาต่อสื่อประชาสัมพันธ์ของ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงแตกต่างกัน ซึ่งผลการวิเคราะห์ปรากฏดังตารางที่ 4.5 – 4.11 ตารางที่ 4.5 เปรียบเทียบปัจจัยส่วนบุคคลมีผลต่อความรู้ความเข้าใจของนักศึกษาต่อสื่อประชาสัมพันธ์ของ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงแตกต่างกันจำแนกตามเพศ การเข้าใจสื่อ ประชาสัมพันธ์ เพศ ชาย หญิง F Sig. เพศทางเลือก ( X ) (S.D) ( X ) (S.D) ( X ) (S.D) การเปิดรับสื่อ 3.92 0.744 3.89 0.736 3.78 0.376 0.288 0.750 ความรู้ความเข้าใจ 3.76 0.754 3.77 0.675 3.36 0.583 2.327 0.099 รวม 3.84 0.704 3.83 0.663 3.57 0.383 1.098 0.335 * มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ** มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 จากตารางที่ 4.5 พบว่า กลุ่มตัวอย่างทั้งเพศชาย เพศหญิง และเพศทางเลือกมีความเห็นว่าความรู้ความ เข้าใจของนักศึกษาต่อสื่อประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงแตกต่างกันจำแนกตามเพศโดย ภาพรวมกลุ่มตัวอย่างที่มีเพศที่แตกต่างกันมีความเห็นที่ไม่แตกต่างกัน (F = 1.098, Sig = 0.335) ซึ่งไม่ เป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้


32


33


34


35


36


37


38 4.1.5 สรุปผลการวิจัยและทดสอบสมมติฐานของการวิจัย 1. การวิเคราะห์ข้อมูลความรู้ความเข้าใจของนักศึกษาต่อสื่อประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏ หมู่บ้านจอมบึงพบว่า การเข้าใจสื่อประชาสัมพันธ์ของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงโดยรวมอยู่ ในระดับมาก (̅= 3.82, S.D. = 0.673) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านการเปิดรับ (̅= 3.90, S.D. = 0.727) รองลงมาเป็นด้านความรู้ความเข้าใจมีค่าต่ำที่สุด (̅=3.75, S.D. =0.710) ตามลำดับ 2. ปัจจัยส่วนบุคคลมีผลต่อความรู้ความเข้าใจของนักศึกษาต่อสื่อประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยราช ภัฏหมู่บ้านจอมบึงพบว่า โดยภาพรวมปัจจัยส่วนบุคคลที่แตกต่างกันไม่มีผลต่อความพึงพอใจ หากพิจารณา เป็นรายด้าน พบว่า เพศ กลุ่มตัวอย่างทั้งเพศชาย เพศหญิง และเพศทางเลือกมีความเห็นว่าความรู้ความเข้าใจของนักศึกษา ต่อสื่อประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงแตกต่างกันจำแนกตามเพศโดยภาพรวมกลุ่มตัวอย่าง ที่มีเพศที่แตกต่างกันมีความเห็นที่ไม่แตกต่างกัน (F = 1.098, Sig = 0.335) ซึ่งไม่เป็นไปตามสมมติฐาน ที่ตั้งไว้ คณะ กลุ่มตัวอย่างทั้งคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์คณะวิทยาการจัดการ คณะเทคโนโลยี อุตสาหกรรม คณะครุศาสตร์คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและคณะวิทยาลัยมวยไทยและการแพทย์แผนไทย มีความเห็นว่าความรู้ความเข้าใจของนักศึกษาต่อสื่อประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง บึง แตกต่างกันจำแนกตามคณะโดยภาพรวมกลุ่มตัวอย่างที่มีคณะที่แตกต่างกันมีความเห็นที่แตกต่าง กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01(F =7.026, Sig = 0.000**) ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ หาก พิจารณาเป็นรายด้านจะพบว่าด้านความรู้ความเข้าใจมีค่าความแตกต่างสูงที่สุด (F=7.416, Sig =.000**) และด้านการเปิดรับสื่อมีค่าความแตกต่างต่ำที่สุด (F = 5.802, Sig =0.000**) ตามลำดับ ชั้นปี กลุ่มตัวอย่างทั้งชั้นปีที่ 1 ชั้นปีที่ 2 ชั้นปีที่ 3 และชั้นปีที่ 4 มีความเห็นว่าความรู้ความเข้าใจของ นักศึกษาต่อสื่อประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงแตกต่างกันจำแนกตามชั้นปีโดยภาพรวม กลุ่มตัวอย่างที่มีชั้นปีที่แตกต่างกันมีความเห็นที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (F =6.309, Sig = 0.000**) ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ หากพิจารณาเป็นรายด้านจะพบว่าด้านความรู้ความเข้าใจมีค่า ความแตกต่างสูงที่สุด (F =6.499,Sig =0.000**) และด้านการเปิดรับสื่อมีค่าความแตกต่างต่ำที่สุด (F = 4.672, Sig =0.003**) ตามลำดับ อายุ กลุ่มตัวอย่างทั้งอายุต่ำกว่า18ปี อายุ18 ปีอายุ 19 ปี อายุ 20 ปี อายุ 21 ปี และอายุ 22 ปี มี ความเห็นว่าความรู้ความเข้าใจของนักศึกษาต่อสื่อประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงแตกต่าง กันจำแนกตามอายุโดยภาพรวมกลุ่มตัวอย่างที่มีอายุที่แตกต่างกันมีความเห็นที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ .01 (F =4.993, Sig = 0.000**) ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ หากพิจารณาเป็นรายด้านจะ


39 พบว่าด้านความรู้ความเข้าใจมีค่าความแตกต่างสูงที่สุด(F =4.965, Sig =.0.000**) และด้านความรู้ความเข้าใจมีค่า ความแตกต่างต่ำที่สุด (F =3.885, Sig = 0.002**)ตามลำดับ ที่พักอาศัย กลุ่มตัวอย่างทั้งนักศึกษาที่พักอาศัยอยู่หอพักนอก และหอพักใน มีความเห็นว่าความรู้ความ เข้าใจของนักศึกษาต่อสื่อประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงแตกต่างกันจำแนกตามที่พักอาศัย โดยภาพรวมกลุ่มตัวอย่างที่มีที่พักอาศัยแตกต่างกันมีความเห็นที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (F =5.105, Sig = 0.024**) ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ หากพิจารณาเป็นรายด้านจะพบว่าด้านการเปิดรับสื่อ มีค่าความแตกต่างสูงที่สุด (F =4.704,Sig =0.031**) รองลงมาเป็นด้านความรู้ความเข้าใจ (F =4.233, Sig =0.040**) ตามลำดับ การเดินทาง กลุ่มตัวอย่างทั้งนักศึกษาที่เดินทางด้วยรถส่วนตัว และรถประจำทาง มีความเห็นว่าความรู้ ความเข้าใจของนักศึกษาต่อสื่อประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงแตกต่างกันจำแนกตามการ เดินทางโดยภาพรวมกลุ่มตัวอย่างที่มีที่การเดินทางแตกต่างกันมีความเห็นที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .01 (F =29.258, Sig = 0.000**) ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ หากพิจารณาเป็นรายด้านจะพบว่าด้าน การเปิดรับสื่อมีค่าความแตกต่างสูงที่สุด (F =27.975,Sig =0.000**) รองลงมาเป็นด้านความรู้ความเข้าใจ (F =22.909, Sig =0.000**)ตามลำดับ ช่องทางรับสื่อประชาสัมพันธ์กลุ่มตัวอย่างทั้งนักศึกษาที่รับสื่อประชาสัมพันธ์จาก ป้ายโฆษณา แผ่นพับ/ ใบปลิว/โปสเตอร์เพจมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง และช่องทางอื่นๆ มีความเห็นว่าความรู้ความเข้าใจของ นักศึกษาต่อสื่อประชาสัมพันธ์ของมหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึงแตกต่างกันจำแนกตามช่องทางที่ใช้รับสื่อ ประชาสัมพันธ์โดยภาพรวมกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ช่องทางในการรับสื่อประชาสัมพันธ์แตกต่างกันมีความเห็นที่แตกต่าง กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (F =0.790, Sig = 0.500**) ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ หากพิจารณา เป็นรายด้านจะพบว่าด้านความรู้ความเข้าใจมีค่าความแตกต่างสูงที่สุด (F =0.741,Sig =0.528**) รองลงมาเป็น การเปิดรับสื่อ(F =0.649, Sig =0.584**)ตามลำดับ


40 4.1.6 ข้อคิดเห็น ปัญหาและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์ การเปิดรับ จุบันโลกได้มีการพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ คนยุคใหม่ให้ความสนใจกับโซเชียลมีเดียมากขึ้น ควรใช่ โอกาสทางโซเชียล ให้เกิดประโยชน์มากยิ่งขึ้น จัดทำการนำเสนอ ข้อมูล ข่าวสาร ในรูปแบบใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ ควร จัดหารูปแบบการนำเสนอที่ทันสมัย การใช้คำสื่อความหมายของกิจกรรมที่ดูตื่นตาตื่นใจ หรือการนำเสนอผลดีของ กิจกรรมที่นักศึกษาจะได้สิ่งเหล่านี้คือการสร้างแรงจูงใจที่จะทำให้นักศึกษาสนใจข้อมูล ข่าวสาร รวมไปถึงกิจกรรม ต่าง ๆ ที่ทางมหาวิทยาลัยได้แจ้ง ความรู้ความเข้าใจ การประชาสัมพันธ์ควรจะประชาสัมพันธ์ก่อนที่กิจกรรมจะเริ่มอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ไม่ควรประชาสัมพันธ์ในระยะเวลาที่กระชั้นชิด เพราะจะทำให้ผู้ที่จะต้องร่วมกิจกรรมบริหารเวลาไม่ได้ และควร ที่จะแน่ชัดทั้งเรื่องลักษณะของกิจกรรม เวลา และสถานที่ที่แน่นนอน และชัดเจน สรุป การรับรู้สื่อประชาสัมพันธ์ของนักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง นั้นโดยภาพรวมอยู่ใน ระดับดี แต่ก็ควรมีการปรับปรุงแก้ไขการใช้สื่อประชาสัมพันธ์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เนื้อหากระชับเข้าใจ ง่าย และควรประชาสัมพันธ์ก่อนเริ่มกิจกรรมเพื่อเป็นการสร้างความพร้อมให้กับนักศึกษา


Click to View FlipBook Version