The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เล่มจริงรายงานปี 2566 ฉบับแก้(ล่าสุด) 29.012567

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by psdg0224, 2024-01-31 05:29:25

รายงานการพัฒนาระบบราชการ ประจำปีงบประมาณ 2566

เล่มจริงรายงานปี 2566 ฉบับแก้(ล่าสุด) 29.012567

๙๔ อาชีพคนพิการ/คนพิการต้นแบบสร้างแรงบันดาลใจ ความรู้ในการดูแลคนพิการ


๙๕ 5. กรมกิจการผู้สูงอายุ(ผส.) 1. การพัฒนาห้องสมุด กรมกิจการผู้สูงอายุ ได้พัฒนาระบบ E-LIBRARY ห้องสมุดมีชีวิต เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ ผู้สูงอายุ บุคลากร และประชาชนทั่วไป สามารถเข้าถึงแหล่งความรู้ด้านผู้สูงอายุโดยมีประเด็นความรู้ที่น่าสนใจ ประจำเดือน ในรูปแบบวีดิโอ Infographic และชุดคู่มือต่าง ๆ โดยสามารถสืบค้นข้อมูลได้ที่เว็บไซต์ https://www.dop.go.th/thai/know/13 2. การขับเคลื่อนตัวชี้วัด กรมกิจการผู้สูงอายุ โดยกลุ่มพัฒนาระบบบริหาร ได้ถ่ายทอดตัวชี้วัดการประเมินส่วนราชการฯ ของ กรมกิจการผู้สูงอายุสู่ตัวชี้วัดคำรับรองปฏิบัติราชการ ระดับกอง และเทียบเท่า โดยการจัดประชุมคณะทำงานเครือข่าย การพัฒนาระบบบริหาร


๙๖ 3. การเรียนรู้ด้วยตนเองผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-Learning) กรมกิจการผู้สูงอายุ ได้พัฒนาการเรียนรู้ด้วยตนเองผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-Learning) ในการเตรียม ความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงและการส่งเสริมให้ทุกคนเข้าถึงความรู้ความเข้าใจในการดูแลผู้สูงอายุอย่างถูกต้องและ เหมาะสม กรมกิจการผู้สูงอายุจึงได้จัดทำหลักสูตรออนไลน์ : การดูแลผู้สูงอายุขั้นเบื้องต้น จำนวน 18 ชั่วโมง (Elderly Care E-learning) เพื่อเพิ่มช่องทางในการเข้าถึงหลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุ และส่งเสริมทักษะความรู้ ความ เข้าใจในการดูแลผู้สูงอายุให้กับผู้ดูแลผู้สูงอายุในครอบครัว อาสาสมัครหรือผู้ที่สนใจ ให้สามารถดูแลผู้สูงอายุได้ อย่างมีคุณภาพตรงตามมาตรฐานส่งผลให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไป กรมกิจการผู้สูงอายุโดยกลุ่มพัฒนาระบบบริหาร ได้พัฒนาทักษะด้านดิจิทัลของบุคลากร โดยการเรียนรู้ ด้วยตนเองผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Learning) โดยกำหนดเป็นคำรับรองการปฏิบัติราชการ ระดับกอง/กลุ่ม/ศูนย์ ประจำปี 2566 โดยบุคลากรในสังกัดเข้ารับการพัฒนาทักษะดิจิทัล อย่างน้อย 2 หลักสูตรต่อปี


๙๗ 4.การจัดกิจกรรมเสวนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ กรมกิจการผู้สูงอายุ โดยกลุ่มพัฒนาระบบบริหาร ได้จัดกิจกรรมประชุมเชิงปฏิบัติการ "ผส รุ่นใหม่ ใส่ใจ KM" โดยมีการนำเสนอผลงาน KM ของหน่วยงานภายในสังกัดกรมกิจการผู้สูงอายุ จำนวน 20 องค์ความรู้ ณ ห้องประชุมประชาบดี ชั้น 19 A อาคารกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์


๙๘ 6.กรมกิจการสตรีและครอบครัว (สค.) ๖.๑ การทบทวนคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงาน KM ทั้งในระดับ กรม/กอง ให้เป็นปัจจุบัน รวมถึงแนวทาง การดำเนินงานเพื่อขับเคลื่อนแผนการจัดการความรู้ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้งองค์กร ๖.๒ การจัดทำแผนการจัดการความรู้ ระยะ ๕ ปี (๒๕๖๖ – ๒๕๗๐) โดยจำแนกองค์ความรู้ที่จำเป็น ต่อการผลักดันความสำเร็จของเป้าหมายตามประเด็นยุทธศาสตร์ของแผนปฏิบัติราชการ กรมกิจการสตรีและสถาบัน ครอบครัวระยะ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๖ -๒๕๗๐) โดยมีคณะทำงานพัฒนาระบบบริหารจัดการความรู้ และเจ้าหน้าที่ ของทุกหน่วยงานในสังกัดร่วมกันวิเคราะห์และกำหนดองค์ความรู้ที่สอดคล้องและจำเป็นเพื่อให้หน่วยงานในสังกัดนำองค์ ความรู้ไปดำเนินการจัดการความรู้ของหน่วยงาน ๖.๓ การเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านการจัดการความรู้ให้แก่คณะทำงานฯ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้าง องค์กรแห่งการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง โดยในปีงบประมาณ ๒๕๖๖ ได้จัดให้มีการศึกษาดูงานจากหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อ ศึกษาวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศในด้านต่าง ๆ ประกอบด้วย ๑) การศึกษาดูงาน ณ กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้การดำเนินงาน การจัดการ ความรู้วิธีปฏิบัติของรางวัลคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ รายหมวด ๔ ด้าน การวิเคราะห์ผลการดำเนินงานขององค์การ และการจัดการความรู้ เมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ ๒) ศึกษาดูงานกลุ่มเกษตรกรผู้เพาะเห็ดบ้านเชิงสะพาน จ.ราชบุรี เพื่อศึกษาวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ และแลก เปลี่ยนประสบการณ์ด้านการจัดทำผลงานรางวัลเลิศรัฐ ประเภทร่วมใจแก้จน เมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๕ ๓) การศึกษาดูงานด้านการฝึกอาชีพ และระบบงานของศูนย์บริการคนพิการ ณ กรมส่งเสริมและพัฒนา คุณภาพชีวิตคนพิการ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้กระบวนการทำงานด้านการฝึกอาชีพ และระบบการทำงานในรูปแบบ ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๖ ๔) การศึกษาดูงานระบบการทำงานด้านความรุนแรงในครอบครัวของศูนย์พึ่งได้ (OSCC) ณ โรงพยาบาล ตำรวจ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้กระบวนงานคุ้มครองและการจัดการระบบข้อมูลเพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการทำงาน ของ ศปก.สค. และสร้างความสัมพันธ์เครือข่ายสหวิชาชีพด้านความรุนแรงในครอบครัว เมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๖๖ ๖.๔ การส่งเสริมการจัดการความรู้และสร้างนวัตกรรมการดำเนินงานด้านสตรี ครอบครัว และความเสมอภาค ระหว่างเพศ ได้แก่ ๑) การจัดการประกวดรางวัลสุดยอดการจัดการความรู้เพื่อการพัฒนางาน (KM Awards) อย่างต่อเนื่อง ทุกปี และในปี ๒๕๖๖ มีผลงานที่ส่งประกวดจำนวน ๑๗ ผลงาน แบ่งเป็นประเภททีม (๒ – ๕ คน) ๑ ผลงาน และ ประเภทหน่วยงาน ๑๖ ผลงาน ซึ่งผลการประกวดเมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๖๖ มีผลงานที่ได้รับรางวัล ดังนี้ ประเภท ทีม ได้รับรางวัล ระดับดีจำนวน ๑ ผลงาน ประเภทหน่วยงาน ได้รับรางวัลระดับดีเด่น จำนวน ๑ ผลงาน ระดับดี จำนวน ๑๐ ผลงาน และระดับชมเชย จำนวน ๕ ผลงาน


๙๙ ๒) การประกวดรางวัลนวัตกรรม กรมกิจการสตรีและครอบครัว ได้จัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้การพัฒนานวัตกรรมในองค์กร ดังนี้ ๑. ประชุมเชิงปฏิบัติการจัดการความรู้เพื่อการพัฒนางานเพื่อให้ความรู้ความเข้าใจแก่บุคลากรเกี่ยวกับ แนวคิดการจัดการความรู้ (Knowledge Managment) และการนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในการพัฒนา งานการจัดการความรู้กับการสร้างนวัตกรรมในการทำงานในวันที่ ๙ มิ.ย. ๒๕๖๖ ๒. กพร.ร่วมกับ กยผ.จัดประชุมเชิงปฏิบัติการขับเคลื่อนนวัตกรด้านสังคมรุ่นใหม่ของ สค. ให้คนรุ่นใหม่ของสค. เป็นนวัตกรด้านสังคม เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงและก่อให้เกิดนวัตกรรมเชิงนโยบาย การบริการและ กระบวนการทำงานด้านสตรี ครอบครัวและความเสมอภาคระหว่างเพศรุ่นที่ ๑ เมื่อวันที่ ๕ - ๗ ก.ค. ๖๖ ๓. จัดประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนาศักยภาพนวัตกรด้านสังคมรุ่นใหม่ของสค. เพื่อชี้แจงสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับ แนวทางการประกวดต้นแบบนวัตกรรมการทำงานของสค. การให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้เครื่องมือสำหรับ การสร้าง Prototype และแลกเปลี่ยนเรียนรู้การสร้างนวัตกรรมการทำงานของ สค. วันที่ ๘ ส.ค. ๖๖ ๔. จัดประชุมพิจารณาคัดเลือกผลงานต้นแบบนวัตกรรมการทำงานของ สค. ในวันพุธที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๖ ซึ่งผลการประกวด ดังนี้ รางวัลชนะเลิศ : ผลงาน “Happy Kawaii Mascot : กวิ้นไม่ใช่ทางผ่าน แต่เป็น ด่านของความสุข” รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ ๑ : ผลงาน “Family Dee: ครอบครัวดี อะไรก็ดี” รางวัล รองชนะเลิศอันดับที่ ๒ : ผลงาน “Pride Complex : ชิค แอนด์ คูลเป็นตัวของคุณเองได้ที่ Pride Complex” และรางวัลชมเชย : ผลงาน “Spatial Space: โลกยุคใหม่ในศตวรรษที่ ๒๑” ๓) การจัดกิจกรรมตลาดนัดความรู้ ประจำปี ๒๕๖๖ เมื่อวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๖๖ ณ โรงแรมลองบีช จังหวัด เพชรบุรี เพื่อส่งเสริมให้บุคลากรตระหนักถึงความสำคัญของการจัดการความรู้ และส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ภายในหน่วยงาน โดยทุกหน่วยงานในสังกัด ร่วมจัดบูธนิทรรศการเสนอองคความรู้ และนวัตกรรมของแต่ละหน่วยงาน และมีการถอดบทเรียนรางวัลเลิศรัฐ กับการพัฒนางานเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์การทำงานและเทคนิคการ ส่งผลงานเข้าประกวดรางวัลเลิศรัฐของศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภาคเหนือ จังหวัดลำปาง


๑๐๐ ๕ ) การประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วนงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment : ITA) ITA เป็นการประเมินที่มีจุดมุ่งหมายที่จะก่อให้เกิดการปรับปรุงพัฒนาด้านคุณธรรมและความโปร่งใส ในหน่วยงานภาครัฐ โดยถือเป็นการประเมินที่ครอบคลุมหน่วยงานภาครัฐทั่วประเทศ ซึ่งเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2561 มีมติเห็นชอบให้หน่วยงานภาครัฐทุกหน่วยงานให้ความร่วมมือและเข้าร่วม การประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ โดยใช้แนวทางและเครื่องมือการ ประเมินตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ สำนักงาน ป.ป.ช. กำหนด และ เป็นกลไกในการสร้างความตระหนักให้หน่วยงานภาครัฐมีการดำเนินงานอย่างโปร่งใสและมีคุณธรรม ประเด็นในการ ประเมิน จำแนกออกเป็น 10 ตัวชี้วัด ดังนี้ ๑. แบบวัดการรับรู้ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายใน (Internal Integrity and Transparency Assessment: IIT) ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลในตัวชี้วัดที่ 1 – ตัวชี้วัดที่ 5 ๒. แบบวัดการรับรู้ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียภายนอก (External Integrity and Transparency Assessment: EIT) ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลในตัวชี้วัดที่ 6 – ตัวชี้วัดที่ 8 ๓. แบบตรวจการเปิดเผยข้อมูลสาธารณะ (Open Data Integrity and Transparency Assessment: OIT) ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลในตัวชี้วัดที่ 9 – ตัวชี้วัดที่ 10 ในปีงบประมาณ ๒๕๖๖ มีการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วนงานภาครัฐ ITA ของหน่วยงานต่าง ๆ ในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยแบ่งคะแนนตามตัวชี้วัด ที่ ๑ - ๑๐ และมีผลคะแนนการประเมิน ดังต่อไปนี้ หน่วยงานที่มีคะแนนมากที่สุดอันดันหนึ่งเท่ากับ ๙๗.๔๖ ได้แก่ กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ หน่วยงานที่มีคะแนนประเมินเป็นอันดับสอง เท่ากับ ๙๗.๓๕ ได้แก่ กรมกิจการสตรีและครอบครัว และการเคหะแห่งชาติมีคะแนนประเมินเป็นอันดับสาม เท่ากับ ๙๖.๒๔ และ คะแนนเฉลี่ยการประเมิน ITA ปี 2566 ของหน่วยงานต่าง ๆ ในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคง ของมนุษย์เท่ากับ ๙๔.๓๗ มีรายละเอียดตามตารางด้านล่าง ดังนี้


๑๐๑ สรุปคะแนนการประเมิน ITA ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ของหน่วยงานต่าง ๆ ในสังกัดกระทรวง พม. ตัวชี้วัด สป. ดย. ผส. สค. พก. พส. กคช. พอช สธค. กระทรวง พม. ตัวชี้วัดที่ 1 การปฏิบัติ หน้าที่ 94.05 94.33 98.50 98.89 99.97 94.47 94.72 99.86 98.29 97.02 ตัวชี้วัดที่ 2 การใช้ งบประมาณ 84.47 88.96 96.01 96.82 99.42 86.53 88.35 97.93 93.04 92.39 ตัวชี้วัดที่ 3 การใช้ อำนาจ 88.12 88.40 96.59 96.48 99.28 88.99 90.74 98.21 95.20 93.56 ตัวชี้วัดที่ 4 การใช้ ทรัพย์สิน ของทาง ราชการ 84.75 84.51 95.16 95.46 99.42 87.74 89.27 97.66 92.89 91.87 ตัวชี้วัดที่ 5 การแก้ไข ปัญหาการ ทุจริต 84.70 84.98 96.64 95.98 99.70 88.96 88.95 97.80 94.31 92.45 ตัวชี้วัดที่ 6 คุณภาพการ ดำเนินงาน 87.64 94.45 95.30 97.37 96.63 83.15 97.33 90.36 87.49 92.19 ตัวชี้วัดที่ 7 ประสิทธิภาพ การสื่อสาร 82.05 89.09 87.39 92.81 88.65 80.06 95.87 85.67 82.07 87.07 ตัวชี้วัดที่ 8 การปรับปรุง ระบบการ ทำงาน 81.19 92.32 88.38 93.13 93.62 79.77 97.96 87.26 82.77 88.49 ตัวชี้วัดที่ 9 การเปิดเผย ข้อมูล 95 100 100 100 100 100 100 100 95 98.89 ตัวชี้วัดที่ 10 การ ป้องกันการ ทุจริต 100 100 100 100 100 100 100 90 100 98.89 คะแนนเฉลี่ย 90.25 94.06 96.08 97.35 97.46 91.10 96.24 93.82 92.66 94.37


๑๐๒ ๖) การตรวจสอบและประเมินผลของคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลประจำกระทรวงการ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ค.ต.ป.พม.) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ คณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลประจำกระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ (ค.ต.ป.พม.) ได้พิจารณาคัดเลือกประเด็นการตรวจสอบและประเมินผลตามแนวทาง ที่คณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการกำหนด โดยมีประเด็นการตรวจสอบตามหลักห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ที่ ค.ต.ป.พม. เกี่ยวข้อง ดังนี้ ประเด็นห่วงโซ่ คุณค่าหลัก ประเด็นย่อยตามห่วงโซ่คุณค่า แผนงาน/โครงการ ที่ ค.ต.ป.พม. พิจารณาคัดเลือก ห่วงโซ่คุณค่าที่ ๒ : การช่วยเหลือกลุ่ม เปราะบางในภาวะ วิกฤตให้เข้าถึงบริการ ภาครัฐ เพื่อลดความ เหลื่อมล้ำ 1) ระบบช่วยเหลือทางสังคม ที่ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย - การพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบาง รายครัวเรือน 2) ปรับปรุงที่อยู่อาศัยและสถานที่ สาธารณะที่เหมาะสมกับ ผู้สูงอายุและ คนทุกวัย - การเสริมสร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัย 3) ระบบข้อมูลด้านการคุ้มครอง และหลักประกันทางสังคม - ระบบสมุดพกครอบครัวอิเล็กทรอนิกส์ (MSO - LOGBOOK) - ระบบฐานข้อมูลด้านการช่วยเหลือของ ทุกกรม 4) ระเบียบ/กฎหมายที่สอดคล้อง กับการช่วยเหลือกลุ่ม เปราะบางในภาวะวิกฤต - การปรับปรุงกฎหมาย/ ระเบียบ/ หลักเกณฑ์ด้านการสงเคราะห์ กองทุน ต่าง ๆ ห่วงโซ่คุณค่าที่ 7 : การเสริมสร้างผู้สูงอายุ ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีมี ความมั่นคงในชีวิต 1) การเปิดโอกาสให้ชุมชนและภาคี เครือข่าย เข้ามามีส่วนร่วมในการ ดูแลผู้สูงอายุการเพิ่มศักยภาพ ชุมชนและภาคีเครือข่ายให้เข้ามา มีส่วนร่วม - สานพลังเครือข่ายเพื่อเป็นหุ้นส่วน ในการพัฒนาสังคม การจัดสวัสดิการของ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคง ของมนุษย์สำหรับผู้สูงอายุ โดยมีผลการตรวจสอบและประเมินผลในแต่ละประเด็นการตรวจสอบ ดังนี้ ห่วงโซ่คุณค่าที่ 2 : การช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางในภาวะวิกฤตให้เข้าถึงบริการภาครัฐ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ประเด็นย่อย : ระบบช่วยเหลือทางสังคมที่ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย แผนงาน/โครงการ : การพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางรายครัวเรือน


๑๐๓ ข้อค้นพบ/กิจกรรมการดำเนินงานเชิงลบ ที่อาจส่งผลต่อผลการดำเนินงาน (Output) และ เป้าประสงค์ (Outcome) ข้อเสนอแนะ 1. การบูรณาการความร่วมมือภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางราย ครัวเรือน เป็นไปในลักษณะการลงนามความตกลง (MOU) ร่วมกัน และใช้ข้อมูล TPMAP เป็นข้อมูล ในการขับเคลื่อน แต่ยังขาดการวางแผนและ กำหนดเป้าหมายการดำเนินงานร่วมกันอย่าง ชัดเจนในระดับนโยบาย ซึ่งส่งผลต่อการดำเนิน โครงการ ดังนี้ (1) กลไกการขับเคลื่อนงานอยู่ในระดับพื้นที่ ปฏิบัติการเป็นหลัก คือ คณะทำงานระดับจังหวัด และศูนย์ช่วยเหลือสังคมระดับตำบล เมื่อการ วางแผนและกำหนดเป้าหมายการดำเนินงาน ร่วมกันในระดับนโยบายไม่ชัดเจน ทำให้การ ประสานงานและบูรณาการความร่วมมือในระดับ พื้นที่ทำได้ยาก ในมิติที่กระทรวง พม. ไม่สามารถ ดำเนินการได้เองและต้องประสาน /ส่งต่อ/ ดำเนินงานร่วมกับภาคีเครือข่ายอื่น ๆ ได้แก่ มิติด้านรายได้ มิติด้านสุขภาพ และมิติด้าน การศึกษา การวางแผนและกำหนดเป้าหมายการ ดำเนินงานร่วมกันในระดับนโยบายไม่ชัดเจน ทำให้ การดำเนินการช่วยเหลือยังมีรอยต่อและการ ติดตามผลการช่วยเหลือเป็นไปได้ยาก ส่งผลให้ ไม่สามารถกำหนดเกณฑ์การวัดความสำเร็จเชิง คุณภาพได้ ควรเพิ่มประสิทธิภาพการบูรณาการ ดังนี้ (1 ๑. กำหนดให้มีกลไกการทำงานในระดับนโยบาย เพื่อร่วมกันกำหนดยุทธศาสตร์และตัวชี้วัดความสำเร็จ จัดทำแผนขับเคลื่อน เป้าหมายและแนวทางการ ดำเนินงานร่วมกันอย่างชัดเจน รวมถึงการติดตามผล การดำเนินงานในภาพรวม ( ๒. ควรมีการจัดเก็บ/จัดทำรายงานผลการ ดำเนินงานของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเสนอ ความสำเร็จในการพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบาง รายครัวเรือนเป็นประจำทุกปี 2. กระทรวง พม. ไม่สามารถรวบรวมงบประมาณ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงตามโครงการได้ เนื่องจากมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภายในและ ภายนอกที่หลากหลาย และมีรูปแบบและนิยาม การช่วยเหลือบางประการที่ไม่อาจชี้ชัดเป็นราย มิติได้ ทำให้ไม่สามารถวิเคราะห์ข้อมูลผลผลิต และผลสำเร็จในการแก้ไขปัญหาได้อย่างแท้จริง 2. ควรมีการออกแบบการรายงานความก้าวหน้าของ การแก้ไขปัญหากลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะระบบ รายงานผลการใช้จ่ายงบประมาณเป็นรายมิติ เพื่อ ประโยชน์ในการติดตาม รายงานผล และวิเคราะห์ผล การดำเนินงานเสนอต่อสาธารณะ


๑๐๔ ข้อค้นพบ/กิจกรรมการดำเนินงานเชิงลบ ที่อาจส่งผลต่อผลการดำเนินงาน (Output) และ เป้าประสงค์ (Outcome) ข้อเสนอแนะ 3. ขาดการใช้ประโยชน์จากข้อมูลกลุ่มเปราะบาง ในการวางแผน กำหนดโครงการและติดตามผล 3. ควรพัฒนาทักษะ ความรู้ ความสามารถในการ วิเคราะห์ข้อมูล และส่งเสริมการนำข้อมูลไปใช้ เพื่อ เตรียมความพร้อมให้กับบุคลากรและส่งเสริมให้ภาคี เครือข่ายในระดับพื้นที่นำข้อมูลไปใช้ในการวางแผน การแปลงนโยบายไปสู่การปฏิบัติควบคู่ไปกับทำการ จัดการรายกรณี (Case Management : CM) 4. เมื่อพิจารณาภาพรวมวัตถุประสงค์และการ ดำเนิน งานของโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิต กลุ่มเปราะบางรายครัวเรือนแล้ว พบว่า มีความ สอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ ที่ 17 ประเด็นความเสมอภาคและหลักประกัน ทางสังคม ไปถึงระดับแผนย่อย ซึ่งประกอบด้วย 1) การคุ้มครองทางสังคมขั้นพื้นฐานและ หลักประกันทางเศรษฐกิจสังคมและสุขภาพ และ 2) มาตรการแบบเจาะจงกลุ่มเป้าหมาย เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะกลุ่ม และกระทรวง พม. ได้รับมอบหมายให้เป็นหน่วยงานเจ้าภาพใน การขับเคลื่อนประเด็นแผนแม่บทฯ ที่ 17 (จ.1) เป็นหน่วยงานเจ้าภาพ ในการขับเคลื่อน เป้าหมายระดับประเด็นของแผนแม่บทฯ (จ.2) และเป็นหน่วยงานเจ้าภาพในการขับเคลื่อน เป้าหมายระดับแผนย่อยของแผนแม่บทฯ (จ. 3) แต่เมื่อพิจารณาตัวชี้วัดระดับประเด็น พบว่า มีการกำหนดตัวชี้วัดเป็น (1) ดัชนีความยากจนหลากหลายมิติของ กลุ่มเป้าหมายที่ต้องการความช่วยเหลือ (ร้อยละต่อปี) (2) สัดส่วนของประชากรกลุ่มเปราะบาง ที่ได้รับการยกระดับตาม 3 ขั้น ของการ พัฒนา ต่อกลุ่มเปราะบางในระบบบริหาร จัดการข้อมูลการพัฒนาคนแบบชี้เป้า ทั้งหมด (ร้อยละ (อยู่รอด : พอเพียง : ยั่งยืน) ภายในปี 2570/ 2575/ 2580) 4. ควรหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการ ขับเคลื่อนแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติที่ 17 เพื่อร่วมกันปรับปรุงนิยามกลุ่มเป้าหมาย ตัวชี้วัดให้ เหมาะสม และการเชื่อมโยงระบบฐานข้อมูลระหว่าง หน่วยงาน รวมถึงการเพิ่มสำนักงานสภาพัฒนาการ เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และ กระทรวงมหาดไทย (มท.) ร่วมเป็นหน่วยงานเจ้าภาพ ระดับแผนแม่บทย่อย (จ.3) เพื่อให้การขับเคลื่อน ประเด็นแผนแม่บทฯที่ ๑๗ ให้มีประสิทธิภาพและ บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้


๑๐๕ ข้อค้นพบ/กิจกรรมการดำเนินงานเชิงลบ ที่อาจส่งผลต่อผลการดำเนินงาน (Output) และ เป้าประสงค์ (Outcome) ข้อเสนอแนะ (3) คนเปราะบางในระบบบริหารจัดการข้อมูล การพัฒนาคนแบบชี้เป้า (ร้อยละต่อปี) โดยตัวชี้วัดทั้ง 3 ใช้ข้อมูลคนเปราะบาง จากระบบบริหารจัดการข้อมูลการพัฒนาคน แบบชี้เป้า (Thai People Map and Analytics Platform : TPMAP) เป็นแหล่งอ้างอิง ซึ่งมี นิยามกลุ่มเป้าหมาย ข้อมูลปฐมภูมิ และ วิธีการวัด เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของสำนักงาน สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และกระทรวงมหาดไทย (มท.) ซึ่ง ไม่สอดคล้องกับนิยามกลุ่มเป้าหมายและวิธีการ วัดของโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่ม เปราะบางรายครัวเรือน เท่ากับว่า การ ดำเนินงานของกระทรวง พม. ซึ่งเป็นหน่วยงาน เจ้าภาพ ไม่ตอบสนอง/ไม่ส่งผลต่อการบรรลุ เป้าหมายของประเด็นแผนแม่บทฯ นอกจากนี้ เครื่องมือและระบบฐานข้อมูลหลักในการ ขับเคลื่อนประเด็นแผนแม่บทฯ กำหนดให้ใช้ “TPMAP Logbook” ของ สศช. เป็นหลัก ซึ่ง กระทรวง พม.ได้ดำเนินการประสาน สศช. เพื่อ ข อ ใ ห ้ ม ี ก า ร เ ช ื ่ อ ม โ ยง ร ะ บบ “TPMAP Logbook”ก ั บ ร ะ บ บ ส ม ุ ด พ ก ค ร อ บ ค รั ว อิเล็กทรอนิกส์ (MSO - LOGBOOK) แล้ว แต่ ไม่ได้รับการตอบรับจาก สศช. จึงทำให้ ผู้ปฏิบัติงานต้องมีภาระในการนำเข้าข้อมูล ทั้ง 2 ระบบ


๑๐๖ ประเด็นย่อย : ปรับปรุงที่อยู่อาศัยและสถานที่สาธารณะที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุและคนทุกวัย แผนงาน/โครงการ : การเสริมสร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัย ข้อค้นพบ/กิจกรรมการดำเนินงานเชิงลบ ที่อาจส่งผลต่อผลการดำเนินงาน (Output) และ เป้าประสงค์ (Outcome) ข้อเสนอแนะ 1. งบประมาณด้านที่อยู่อาศัยของกระทรวง พม. ในปี งบประมาณ พ.ศ. 2566 เท่ากับ 1,272.88 ล้านบาท มีเป้าหมายดำเนินการ จำนวน 46,584 แห่ง โดยเป็นงบประมาณ สนับสนุนค่าวัสดุอุปกรณ์ในการปรับปรุงที่อยู่ อาศัย วงเงินต่ำสุดหลังละ 20,000 บาท และ สูงสุดหลังละ 40,000 บาท ซึ่งเป็นวงเงิน ที่ไม่สอดคล้องกับราคาวัสดุและอุปกรณ์ ในปัจจุบัน 1. สร้างความเข้าใจให้ครัวเรือนเป้าหมายและ ผู้เกี่ยวข้องทุกระดับ : กระทรวง พม. ต้องสร้าง ความเข้าใจให้กับครัวเรือนเป้าหมายและ ผู้เกี่ยวข้องทุกระดับ รับทราบถึงงบประมาณ และวิธีดำเนินการตั้งแต่เริ่มต้นสำรวจข้อมูล เพื่อให้ทุกฝ่ายได้มีการเตรียมความพร้อมและ วางแผนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับ เป้าหมายและงบประมาณที่ได้รับ 2. ประสานเตรียมการร่วมกับพื้นที่ :ควรประสาน เตรียมการกับชุมชนและท้องถิ่น รวมถึง หน่วยงานที่อาจเกี่ยวข้องในระหว่างและ หลังการก่อสร้าง เช่น การจัดหาแรงงานสมทบ การขออนุญาตก่อสร้าง การขอบ้านเลขที่ และ สาธารณูปโภคที่จำเป็น 3. สร้างความร่วมมือ : ควรสร้างความร่วมมือกับ สถาบันการศึกษา องค์กรภาครัฐ ท้องถิ่น และ ภาคเอกชน เพื่อส่งเสริมให้นักศึกษาและ บุคลากรที่มีความรู้ด้านการก่อสร้าง เข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงาน เช่น จัดกิจกรรมในหลักสูตรของสถาบันการศึกษา ที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างในลักษณะการทำ ชิ้นงาน (Project) ร่วมกับภาคเอกชน กิจกรรม จิตอาสาเพื่อสังคม 4. จัดทำฐานข้อมูลด้านที่อยู่อาศัยและการรับ ความช่วยเหลือให้เป็นปัจจุบัน : ควรจัดทำ ฐานข้อมูลด้านที่อยู่อาศัยและการรับความ ช่วยเหลือให้เป็นปัจจุบัน เพื่อเป็นประโยชน์ ในการวางแผนทั้งในด้านงบประมาณ การ ดำเนินงาน การติดตามประเมินผล และการ 2. งบประมาณที่ได้รับการจัดสรร เป็นการสนับสนุน เฉพาะค่าวัสดุอุปกรณ์ ทำให้ครัวเรือน/ชุมชน/ ท้องถิ่นต้องหาค่าใช้จ่ายสำหรับแรงงานมาสมทบ เพิ่มเติม หรือ ขอความร่วมมือแรงงานจิตอาสา ซึ่งแรงงานจิตอาสามีจำนวนน้อย ไม่เพียงพอกับ ปริมาณงานที่จะต้องใช้ในการปรับปรุงที่อยู่อาศัย อีกทั้ง ยังขาดความรู้และทักษะด้านการจัด สิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการและ ผู้สูงอายุตามหลักการออกแบบที่เป็นสากล (Universal Design)


๑๐๗ ข้อค้นพบ/กิจกรรมการดำเนินงานเชิงลบ ที่อาจส่งผลต่อผลการดำเนินงาน (Output) และ เป้าประสงค์ (Outcome) ข้อเสนอแนะ บูรณาการการช่วยเหลือจากภาคส่วนอื่น ๆ เพื่อเติมเต็มทรัพยากรที่ยังขาด (Matching ผู้ให้และผู้รับ) ทั้งนี้ ควรออกแบบให้ระบบ ไม่เป็นภาระกับเจ้าหน้าที่ในการดำเนินงาน เช่น การส่งภาพที่อยู่อาศัยที่ต้องการรับความ ช่วยเหลือผ่านช่องทางใหม่ที่เปิดให้บริการ เช่น ระบบ พม. SMART เป็นต้น ประเด็นย่อย : ระบบข้อมูลด้านการคุ้มครองและหลักประกันทางสังคม แผนงาน/โครงการ : ระบบสมุดพกครอบครัวอิเล็กทรอนิกส์ (MSO - LOGBOOK) ข้อค้นพบ/กิจกรรมการดำเนินงานเชิงลบ ที่อาจส่งผลต่อผลการดำเนินงาน (Output) และ เป้าประสงค์ (Outcome) ข้อเสนอแนะ 1. ข้อมูลในระบบฯ มีจำนวนมาก เป็นข้อจำกัดทำ ให้ ไม่สามารถแสดงการประมวลผลแบบ Real - time บนเว็บไซต์ในส่วนที่เป็นสาธารณะได้ 1. การพัฒนาทักษะความรู้ที่เกี่ยวข้องให้กับ บุคลากร : ควรจัดหลักสูตรพัฒนาทักษะ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานระบบ MSO - LOGBOOK และระบบดิจิทัลอื่น ๆ รวมถึงการ กำหนดให้เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรการพัฒนา บุคลากรในแต่ละระดับ เพื่อให้บุคลากรมี องค์ความรู้และทักษะด้านดิจิทัลที่จำเป็น สามารถใช้งานระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ และ ใช้ประโยชน์จากข้อมูลได้ 2. ปัจจุบันไม่มีการจัดจ้างพนักงานราชการเฉพาะ กิจเพื่อรับผิดชอบการนำเข้าและดูแลข้อมูล ในระบบของแต่ละจังหวัดอย่างต่อเนื่อง ทำให้ เกิดการถ่ายโอนงานให้เจ้าหน้าที่ตำแหน่งอื่น ซึ่งบางส่วน ขาดทักษะด้านดิจิทัล จึงทำให้การ ท ำงำนในระยะเปลี่ยนผ่ำนนี้ ขำดควำมต่อเนื่อง 3. การใช้ประโยชน์ข้อมูลครัวเรือนเปราะบางใน ปัจจุบัน ยังเป็นไปในลักษณะการจัดการรายกรณี (Case Management) เป็นหลัก ยังไม่มีการ นำไปใช้ในระดับนโยบาย 4. ในระหว่างการเชื่อมโยงระบบ MSO - LOGBOOK กับฐานข้อมูลของหน่วยงานอื่นที่ จำเป็นต้องใช้ในการปฏิบัติงาน ผู้ปฏิบัติงานมี ภาระในการตรวจสอบและเปรียบเทียบข้อมูล 2. การเชื่อมโยงระบบ MSO - LOGBOOK กับ ฐานข้อมูลต่าง ๆ : ควรเร่งเชื่อมโยงระบบ MSO - LOGBOOK กับฐานข้อมูลต่าง ๆ ทั้งของภาคี เครือข่ายที่เกี่ยวข้องภายนอกและฐานข้อมูล


๑๐๘ ข้อค้นพบ/กิจกรรมการดำเนินงานเชิงลบ ที่อาจส่งผลต่อผลการดำเนินงาน (Output) และ เป้าประสงค์ (Outcome) ข้อเสนอแนะ จากหลายระบบ เช่น ฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ ซึ่งใช้เวลาในการดำเนินการมาก ภายในกระทรวง เช่น ฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ TPMAP ฐานข้อมูลบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นต้น โดยใช้เลขประจำตัวประชาชนเป็นหลักในการ เชื่อมโยง รวมถึงควรเร่งขยายผลการบันทึกข้อมูล ผ่านระบบ พม. SMART ให้ครอบคลุมทุกจังหวัด โดยเร็ว เพื่อลดความซ้ำซ้อนในการบันทึก ลดระยะเวลาในการดูแลฐานข้อมูล และสามารถ ตรวจสอบความถูกต้องและความเป็นปัจจุบัน ของข้อมูลกับฐานข้อมูลอื่นได้ 5. ด้วยกระทรวง พม. มีเป้าหมายที่จะพัฒนาให้ ระบบสมุดพกครอบครัวอิเล็กทรอนิกส์ (MSO - LOGBOOK) เป็นฐานข้อมูลกลางของกระทรวง ประกอบกับนิยามของกลุ่มเปราะบางที่มีความ หลากหลายและซับซ้อน ข้อมูลที่ต้องใช้มีหลาย ส่วน ทั้งในส่วนครัวเรือน ส่วนครอบครัว และ ส่วนสมาชิก ทำให้การเก็บข้อมูลเพื่อให้เพียงพอ ต่อการวิเคราะห์และจัดทำแผนการให้ความ ช่วยเหลือ ต้องใช้เวลามากและอาจต้อง เก็บข้อมูลมากกว่าหนึ่งครั้ง 6. ข้อมูลและสถิติที่แสดงผลในระบบ MSO – LOGBOOK เป็นลักษณะการรายงานทั่วไป ไม่มี การสร้างเงื่อนไขหรือออกแบบให้สามารถแสดง แนวโน้มหรือแจ้งเตือนเฝ้าระวังปัญหาที่อาจจะ เกิดขึ้นล่วงหน้าได้ 3. การออกแบบระบบเพื่อการทำงานเชิงรุก : ควร พัฒนา/ออกแบบระบบสมุดพกครอบครัว อิเล็กทรอนิกส์ (MSO - LOGBOOK) ให้สามารถ กรองข้อมูล (Filter) โดยใช้เงื่อนไขต่าง ๆ และ แสดงผล เป็นแนวโน้มหรือการแจ้งเตือนปัญหา ที่อาจจะเกิดขึ้นล่วงหน้า ซึ่งจะทำให้กระทรวงมี กลุ่มเฝ้าระวัง/กลุ่มน่าสนใจ (Watchlist) สำหรับ การทำงานเชิงป้องกัน/เชิงรุกได้ แผนงาน/โครงการ : ระบบฐานข้อมูลด้านการช่วยเหลือของทุกกรม ข้อค้นพบ/กิจกรรมการดำเนินงานเชิงลบ ที่อาจส่งผลต่อผลการดำเนินงาน (Output) และ เป้าประสงค์ (Outcome) ข้อเสนอแนะ 1. ระบบฐานข้อมูลด้านการช่วยเหลือที่ใช้ในการ ปฏิบัติงานปกติได้แก่ ระบบสมุดพกครอบครัว อิเล็กทรอนิกส์ (MSO - LOGBOOK) ระบบฐาน ข้อมูลการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาทาง สังคม (MSO - WELFARE) ระบบบริการทาง สังคม (กรมกิจการเด็กและเยาวชน) ระบบ งานบริการทางสังคม (กรมพัฒนาสังคมและ 1. ระบบฐานข้อมูลด้านการช่วยเหลือที่ใช้ในการ ปฏิบัติงานปกติ มีข้อเสนอแนะ ดังนี้ 1) การเชื่อมโยงระบบ : ควรเร่งดำเนินการ เชื่อมโยงระบบ MSO - LOGBOOK กับระบบ พม. SMART และระบบฐานข้อมูลที่จำเป็นอื่น ๆ ให้แล้ว เสร็จโดยเร็ว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริการ


๑๐๙ ข้อค้นพบ/กิจกรรมการดำเนินงานเชิงลบ ที่อาจส่งผลต่อผลการดำเนินงาน (Output) และ เป้าประสงค์ (Outcome) ข้อเสนอแนะ สวัสดิการ) ระบบศูนย์ข้อมูลกลางผู้สูงอายุ (DOP CENTER) และระบบ พม. SMART มีข้อค้นพบ จากการตรวจสอบและประเมินผล ดังนี้ 1) ในบางพื้นที่ยังมีข้อจำกัดด้านสัญญาณ อินเตอร์เน็ตและอุปกรณ์ที่ทำให้การใช้งาน ระบบยังไม่สมบูรณ์ 2) ในระหว่างการเชื่อมโยงระบบ MSO - LOGBOOK กับระบบฐานข้อมูลอื่น ๆ ผู้ปฏิบัติงาน ยังต้องบันทึกข้อมูลทั้งในระบบ MSO - LOGBOOK และระบบฐานข้อมูลของ แต่ละกรมควบคู่กันไปเป็นการเพิ่มภาระ ให้กับผู้ปฏิบัติงาน 3) ระบบ พม. SMART เป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำ ให้เจ้าหน้าที่และภาคีเครือข่ายสามารถ ช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว และ มีการเชื่อมโยงกับระบบฐานข้อมูลอื่น ๆ ภายในกระทรวงเรียบร้อยแล้ว แต่สามารถ เปิดใช้งานระบบฯ เพียง 16 จังหวัดเท่านั้น (ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเตรียมขยายผลการใช้ งานให้ครบทุกจังหวัด โดยมีแผนดำเนินการ ให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566) และยังไม่เชื่อมโยงข้อมูลกับระบบ MSO – LOGBOOK ประชาชนอย่างรวดเร็วและทั่วถึง และลดการทำงาน ซ้ำซ้อน 2) การขยายผล : ควรเร่งดำเนินการขยายการใช้ ง า น ร ะ บ บ พ ม . SMART ใ ห ้ ค ร อ บ ค ลุ ม ทั้งกรุงเทพมหานคร และ 76 จังหวัด เพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพในการบริการประชาชนอย่างรวดเร็ว และทั่วถึง 3) เตรียมความพร้อม : ควรมีการศึกษาและเตรียม ความพร้อมในการใช้ระบบเครือข่ายสัญญาณ ที่เหมาะสม เพื่อรองรับข้อมูลจำนวนมากที่จะเกิดขึ้น หลังการเชื่อมโยงระบบฐานข้อมูลต่าง ๆ กับระบบ MSO - LOGBOOK และการบันทึกข้อมูลผ่านระบบ พม. SMART ที่จะขยายผลทุกจังหวัด 2. ระบบฐานข้อมูลด้านการช่วยเหลือที่ใช้ในการ ปฏิบัติงานกรณีปัญหาสังคมหรือภาวะวิกฤต ได้แก่ ระบบศูนย์ช่วยเหลือสังคม 1300 และ ระบบ ESS Help Me มีข้อค้นพบจากการ ตรวจสอบและประเมินผล ดังนี้ 1) ระบบศูนย์ช่วยเหลือสังคม 1300 (1) ระบบงาน : ยังไม่มีการแบ่งภารกิจการ ให้ บริการทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับภารกิจหลัก ของกระทรวงสำหรับการปฏิบัติงานสายด่วน 2. ระบบฐานข้อมูลด้านการช่วยเหลือที่ใช้ในการ ปฏิบัติงานกรณีปัญหาสังคมหรือภาวะวิกฤต ๑) ระบบศูนย์ช่วยเหลือสังคม 1300 มีข้อเสนอแนะ ดังนี้ (1) เพิ่มประสิทธิภาพ : ควรมีการใช้ระบบ AI เข้ามาช่วยบริหารจัดการสายด่วน 1300 ในการ แยกประเภทของข้อมูลที่ต้องการสื่อสารให้กับ ผู้ใช้บริการที่โทรเข้ามาเป็นระบบฟังเสียงอัตโนมัติ หากยังไม่เข้าใจในประเด็นใดสามารถโอนสาย


๑๑๐ ข้อค้นพบ/กิจกรรมการดำเนินงานเชิงลบ ที่อาจส่งผลต่อผลการดำเนินงาน (Output) และ เป้าประสงค์ (Outcome) ข้อเสนอแนะ 1300 ที่ชัดเจน และไม่มีการใช้รหัสระบุ ประเภทของบริการอย่างเป็นระบบ (2) ระเบียบ/กฎหมาย : ยังไม่มีการขอความ ยินยอมในการให้ข้อมูลส่วนบุคคล สำหรับกรณี ขอรับความช่วยเหลือด้วยตัวเอง (3) บุคลากร : ยังไม่มีทีมตอบสนองภาวะ วิกฤต (crisis response team) ที่ชัดเจน (4) การเชื่อมโยงข้อมูล : ยังไม่มีการเชื่อมโยง กับฐานข้อมูลของหน่วยงานภายนอกที่ต้องมีการ ประสาน/ส่งต่อการดำเนินงานกัน โดยเฉพาะ ระบบสายด่วน 191 และโรงพยาบาล (5) การประชาสัมพันธ์ : ขาดความต่อเนื่อง ในการประชาสัมพันธ์ระบบฯ ให้เป็นที่รู้จัก 2) ระบบ ESS Help Me (1) การประชาสัมพันธ์ : ด้วยระบบ ESS Help Me เป็นระบบใหม่ เปิดใช้งานไม่นาน ยัง ไม่เป็นที่รู้จักมากนัก กอปรกับที่ผ่านภาครัฐมีการ พัฒนา Application ออกมาหลากหลาย ทำให้ ประชาชนอาจเกิดความสับสน และไม่สนใจที่จะ ขอเพิ่มเป็นผู้ใช้งาน (เพิ่มเพื่อน) เพื่อนำไปใช้ ประโยชน์ (2) ระบบ : ตำแหน่งแผนที่ (map location) ที่แสดงพื้นที่เกิดเหตุและเขตพื้นที่รับผิดชอบของ สถานีตำรวจ ยังมีความคลาดเคลื่อนในบางพื้นที่ โดยอาจแสดงพื้นที่เกิดเหตุอยู่ในความรับผิดชอบ ของสถานีตำรวจหลายแห่ง ทำให้เจ้าหน้าที่เกิด ความสับสนในการปฏิบัติงาน (3) ขั้นตอนการทำงาน : เจ้าหน้าที่บางส่วน/ บางพื้นที่ ทั้งจากกระทรวง พม. และเจ้าหน้าที่ ตำรวจ ยังขาดความเข้าใจในขั้นตอนการทำงาน ทำให้เกิดความสับสนในการทำงานร่วมกัน และ อาจก่อให้เกิดอันตรายในการปฏิบัติงานได้ สนทนากับเจ้าหน้าที่ได้ซึ่งจะเป็นการลดภาระงาน ของ เจ้าหน้าที่รับโทรศัพท์ลงได้ (2) ระบบงาน : ควรแบ่งภารกิจการ ให้บริการ ทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับภารกิจหลักของ กระทรวงฯ สำหรับการปฏิบัติงานสายด่วน 1300 และต้องกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน รวมถึงควรใช้ รหัสระบุประเภทของบริการอย่างเป็นระบบ (3) ระเบียบ/กฎหมาย : ควรมีการขอความ ยินยอมในการให้ข้อมูลส่วนบุคคล สำหรับกรณีขอรับ ความช่วยเหลือด้วยตัวเอง แต่สำหรับพลเมืองดีที่แจ้ง เหตุสามารถเลือกที่จะเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลหรือ ไม่เปิดเผยก็ได้ ไม่เช่นนั้นอาจจะไม่มีผู้ใดที่ต้องการ เป็นพลเมืองดีช่วย แจ้งเหตุ (4) บุคลากร : กระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ ควรพัฒนา crisis response team ที่เป็นมืออาชีพ ด้วยการร่วมกัน สร้างหลักสูตรฝึกอบรมกับหน่วยงานที่มี ประสบการณ์โดยตรง เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นต้น (5) การเชื่อมโยงข้อมูล : ควรหารือเพื่อ เชื่อมโยงฐานข้อมูลกับหน่วยงานภายนอกที่ต้องมี การประสาน/ส่งต่อการดำเนินงานกัน โดยเฉพาะ ระบบสายด่วน 191 และโรงพยาบาล 2) ระบบ ESS Help Me มีข้อเสนอแนะ ดังนี้ (1) ระบบ : ควรเร่งสร้างความร่วมมือกับ สำนักงานตำรวจแห่งชาติและทีมวิจัยมูลนิธิศูนย์วิจัย และติดตามความเป็นธรรมทางสุขภาพ (ผู้พัฒนา ระบบ) ร่วมกันแก้ไขตำแหน่งแผนที่ (Map Location) ที่แสดงพื้นที่เกิดเหตุแล เขตพื้นที่ รับผิดชอบของสถานีตำรวจ ให้มีความแม่นยำ เพื่อ ลดความผิดพลาดในการเข้าช่วยเหลือผู้ประสบเหตุ


๑๑๑ ข้อค้นพบ/กิจกรรมการดำเนินงานเชิงลบ ที่อาจส่งผลต่อผลการดำเนินงาน (Output) และ เป้าประสงค์ (Outcome) ข้อเสนอแนะ โดยเฉพาะในกรณีผู้คลุ้มคลั่งจากยาเสพติด หรือ มีอาการจิตเวช (4) การประสานส่งต่อ : อยู่ระหว่างการปรับ แผนรองรับการส่งต่อการช่วยเหลือผู้ประสบเหตุ ทั่วไป แต่ยังขาดการเตรียมแผนรองรับเรื่อง หน่วยงานที่จะส่งต่อ หรือ สถานที่รองรับ กรณีที่ มีปัญหาผู้คลุ้มคลั่งจากยาเสพติดหรือมีอาการ จิตเวช ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นต่อระบบฯ ให้กับ ประชาชน (2) บุคลากร : ควรมีการเตรียมความพร้อมให้ ความรู้กับบุคลากรในการเข้าช่วยเหลือผู้ประสบเหตุ ในภาวะวิกฤต เพื่อความปลอดภัยของผู้ประสบเหตุ และบุคลากร (3) การประสานส่งต่อ : ควรเร่งดำเนินการ ปรับแผนรองรับการส่งต่อให้แล้วเสร็จ และควรมี แผน/เตรียมสถานที่รองรับการแจ้งเหตุกรณีที่มี ปัญหาผู้คลุ้มคลั่งจากยาเสพติด หรือมีอาการจิตเวช (4) การประชาสัมพันธ์: ควรมีการสื่อสารและ ประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเข้าใจ และความไว้วางใจให้กับประชาชน 3. ระบบฐานข้อมูลด้านอาสาสมัครของกระทรวง การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ อาสาสมัครนับเป็นหุ้นส่วนทางสังคมที่ช่วย ขับเคลื่อนภารกิจของกระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ โดยมีการแต่งตั้ง อาสาสมัครไว้เป็นจำนวนมาก เช่น อาสาสมัคร พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ซึ่งดูแลรับผิดชอบโดยกรมพัฒนาสังคมและ สวัสดิการ (พส.) ขณะเดียวกันกรมอื่น ๆ ก็มี อาสาสมัครเฉพาะด้าน เช่น อพม. เชี่ยวชาญด้าน คนพิการ อาสาสมัครด้านผู้สูงอายุ และ อาสาสมัครด้านเด็กและเยาวชน เป็นต้น ซึ่งที่ ผ่านมาแต่ละหน่วยงานพยายามสร้างระบบ ฐานข้อมูลอาสาสมัครเพื่อใช้ประโยชน์ในการ บริหารจัดการ เช่น พส. ได้มีการพัฒนาระบบงาน ข้อมูล อพม. ซึ่งถูกใช้งานมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง และได้ดำเนินการขอจัดสรรงบประมาณ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 เพื่อปรับปรุงและ เพิ ่ ม ปร ะส ิ ทธิ ภาพร ะบบใ ห้ ตอบสนอง ใช้ประโยชน์ที่กว้างขวางรวดเร็วยิ่งขึ้น ขณะที่ 3. ระบบฐานข้อมูลด้านอาสาสมัครของกระทรวง การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มีข้อเสนอแนะ ดังนี้ เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงข้อมูลด้าน อาสาสมัครทั้งในระดับกระทรวงและระหว่างกรม เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วและใช้ประโชน์อย่างทันท่วงที ส่งผลให้ผู้บริหารสามารถเห็นภาพรวมของ อาสาสมัครของกระทรวงได้อย่างมีประสิทธิภาพ สมควรพิจารณาใช้ระบบงานอาสาสมัครเพียงระบบ เดียวที่ครอบคลุมงานด้านอาสาสมัครของ ทุกหน่วยงานใน พม. โดยทุกหน่วยงานสามารถเก็บ ข้อมูลและเรียกใช้ข้อมูลได้ผ่านการจัดการสิทธิ ในการเข้าถึงข้อมูลให้เหมาะสมและเป็นไปตาม หลักการความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ เพื่อให้ หน่วยงานต่าง ๆ สามารถเก็บข้อมูลและเรียกใช้ ข้อมูลได้ รวมถึงประโยชน์ในอนาคตกรณีการ เชื่อมโยง ข้อมูลและบริการดิจิทัลกับหน่วยงาน ภายนอกที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงดิจิทัลเพื่อ เศรษฐกิจและสังคมผ่านแอปพลิเคชัน “อาสาสมัคร ดิจิทัล” เพื่อบูรณาการข้อมูลอาสาสมัครร่วมกัน


๑๑๒ ข้อค้นพบ/กิจกรรมการดำเนินงานเชิงลบ ที่อาจส่งผลต่อผลการดำเนินงาน (Output) และ เป้าประสงค์ (Outcome) ข้อเสนอแนะ กรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) ซึ่งได้รับ งบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 เพื่อ พัฒนาระบบจัดเก็บและบริหารจัดการข้อมูล อาสาสมัครด้านเด็กและเยาวชน ซึ่งแล้วเสร็จ และเริ่มใช้งานแล้ว แต่เมื่อพิจารณารายละเอียด การเก็บข้อมูลอาสาสมัครของ ดย. พบว่า มีการ เก็บข้อมูลตามแบบฟอร์มการสมัคร อพม. ของ พส. จึงเป็นข้อมูลครบถ้วนตามระบบงานเดิมของ พส. และเพิ่มเติมในส่วนที่ ดย. จำเป็นต้อง นำไปใช้ในการบริหารจัดการ นอกจากนี้ระบบ ข้อมูลอาสาสมัครของ ดย. ยังสามารถรองรับการ เก็บข้อมูลอาสาสมัครด้านคนพิการและผู้สูงอายุ ได้อีกด้วยเช่นกัน เกิดประโยชน์ต่อทางราชการและแก่ประชาชน โดยหารือในรายละเอียดร่วมกันต่อไป ทั้งนี้ ในขั้นต้นนี้ของการจัดทำระบบ อาสาสมัคร พม. ควรพิจารณาใช้ระบบอาสาสมัคร ที่ ดย. ได้พัฒนาขึ้นเป็นระบบกลางด้านอาสาสมัคร ที่ทุกหน่วยงานในสังกัด พม. สามารถใช้งานร่วมกัน ได้เพื่อประหยัดงบประมาณและใช้ทรัพยากรให้เกิด ความคุ้มค่า และเป็นประโยชน์ต่อผู้บริหารในการ บริหารจัดการอาสาสมัคร พม. ในภาพรวมโดย สมควรมอบให้ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการ สื่อสาร (ศทส.) เป็นเจ้าภาพในการหารือถึงแนว ทางการกำหนดสิทธิและการเข้าใช้ระบบดังกล่าว ผ่านกลไกคณะกรรมการผู้บริหารเทคโนโลยี สารสนเทศระดับสูง (CIO) เสนอให้เป็นระบบกลาง ของกระทรวงฯ และเห็นควรใช้แนวทางดังกล่าว ในการพิจารณาให้ความเห็นชอบการพัฒนาระบบ อื่น ๆ ของหน่วยงานใน พม. ที่อาจส่งผลต่อความ ซ้ำซ้อนงานของและข้อมูลซึ่งจะเป็นภาระการ เชื่อมโยงระบบและข้อมูลในภายหลัง โดยเน้นการใช้ ทรัพยากรและงบประมาณอย่างคุ้มค่า ประเด็นย่อย : ระเบียบ/กฎหมายที่สอดคล้องกับการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางในภาวะวิกฤต แผนงาน/โครงการ : การปรับปรุงกฎหมาย/ ระเบียบ/ หลักเกณฑ์ด้านการสงเคราะห์ กองทุนต่าง ๆ ข้อค้นพบ/กิจกรรมการดำเนินงานเชิงลบ ที่อาจส่งผลต่อผลการดำเนินงาน (Output) และ เป้าประสงค์ (Outcome) ข้อเสนอแนะ แม้ว่าปัจจุบันพระราชบัญญัติการปฏิบัติ ราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2565 มีผลบังคับ ใช้แล้ว และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความ มั่นคงของมนุษย์ได้ดำเนินการปรับปรุงกฎหมาย/ ระเบียบ/หลักเกณฑ์ด้านการสงเคราะห์ กองทุนต่าง ๆ ให้รองรับกับการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ ๑.ควรหารือร่วมกับกรมบัญชีกลางและสำนักงาน การตรวจเงินแผ่นดิน ในประเด็นการลงลายมือชื่อ ของผู้ที่เกี่ยวข้องกับการขอรับความช่วยเหลือของ ผู้ประสบปัญหาทางสังคมผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ให้ชัดเจน เพื่อกำหนดแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้อง เพื่อ ลดภาระงานที่ไม่จำเป็นของผู้ปฏิบัติและเพิ่มโอกาส


๑๑๓ ข้อค้นพบ/กิจกรรมการดำเนินงานเชิงลบ ที่อาจส่งผลต่อผลการดำเนินงาน (Output) และ เป้าประสงค์ (Outcome) ข้อเสนอแนะ โดยเฉพาะการปรับปรุงให้สามารถยื่นคำขอรับความ ช่วยเหลือของ ผู้ประสบปัญหาทางสังคมผ่าน ช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ได้ แต่ยังมีข้อจำกัด/ข้อกังวล เชิงกฎหมายเกี่ยวกับการลงลายมือชื่อในระบบของ ผู้ที่เกี่ยวข้อง (ผู้ขอรับความช่วยเหลือ เจ้าหน้าที่ รับคำขอ ผู้เยี่ยมบ้าน และผู้วินิจฉัยในการช่วยเหลือ) ทั้งใน “แบบรับรองข้อมูลส่วนบุคคลจากแบบ คำขอรับความช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาทางสังคม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคง ของมนุษย์” และ “แบบแจ้งข้อมูลการรับเงินโอน ผ่านระบบ KTB Corporate Online” ทำให้ต้องใช้ เอกสารต้นฉบับ (กระดาษ) ที่มีการลงลายมือชื่อของ ผู้ที่เกี่ยวข้องกำกับ ควบคู่ไปกับระบบอิเล็กทรอนิกส์ ด้วย (โดยผู้ที่เกี่ยวข้องต้องลงลายมือชื่อเอกสาร ฉบับจริงให้ครบถ้วน และสแกนหรือถ่ายภาพแบบ ดังกล่าวแนบไฟล์ในระบบฯ และส่งต้นฉบับให้กับ สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จังหวัด) ซึ่งในทางปฏิบัติ การดำเนินการลักษณะนี้ อาจไม่ได้ลดภาระงานของเจ้าหน้าที่และ ลดระยะเวลาในการดำเนินการมากนัก และอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในการ เข้าถึงสิทธิสวัสดิการได้อย่างแท้จริง 2. ควรมีการปรับแก้ไขกฎหมาย/ระเบียบ/ กฎกระทรวงอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่ออำนวยความ สะดวกในการให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชน สนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่ และปรับรูปแบบ การทำงานให้สอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐและ พ ร ะ ร า ช บ ั ญ ญ ั ต ิ ก า ร ป ฏ ิ บ ั ต ิ ร า ช ก า ร ทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2565 ห่วงโซ่คุณค่าที่ 7 : การเสริมสร้างผู้สูงอายุให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีความมั่นคงในชีวิต ประเด็นย่อย : 1) การเปิดโอกาสให้ชุมชนและภาคีเครือข่าย เข้ามามีส่วนร่วมในการดูแลผู้สูงอายุ 2) การเพิ่มศักยภาพชุมชนและภาคีเครือข่ายให้เข้ามามีส่วนร่วม แผนงาน/โครงการ : สานพลังเครือข่ายเพื่อเป็นหุ้นส่วนในการพัฒนาสังคม ข้อค้นพบ/กิจกรรมการดำเนินงานเชิงลบ ที่อาจส่งผลต่อผลการดำเนินงาน (Output) และ เป้าประสงค์ (Outcome) ข้อเสนอแนะ 1. กิจกรรมการสร้างความเข้มแข็งเครือข่ายเดิม และสร้างเครือข่ายกิจกรรมเพื่อสังคม (อาสาสมัครและเครือข่ายที่ดูแลกลุ่มเป้าหมาย โดยรวมของ พม.) 1. กิจกรรมการสร้างความเข้มแข็งเครือข่ายเดิมและ สร้างเครือข่ายกิจกรรมเพื่อสังคม มีข้อเสนอแนะ ดังนี้


๑๑๔ ข้อค้นพบ/กิจกรรมการดำเนินงานเชิงลบ ที่อาจส่งผลต่อผลการดำเนินงาน (Output) และ เป้าประสงค์ (Outcome) ข้อเสนอแนะ (1) นับจากปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 เป็นต้น ไปกระทรวง พม. จะนำระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ใน การดำเนินการบริการประชาชนให้เข้าถึงสิทธิและ สวัสดิการมากขึ้น รวมถึงนำมา เป็นเครื่องมือในการ ปฏิบัติงานสำหรับเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครพัฒนา สังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) เช่น ระบบ พ ม .SMART ร ะ บ บ ESS Help Me เ ป ็ น ต้ น แต่ อพม.ส่วนใหญ่ในปัจจุบันเป็นกลุ่มผู้สูงอายุ ที่ยังขาดความรู้ ทักษะ และความพร้อมด้านดิจิทัล ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานในอนาคต (2) ห ล ั กส ู ตร ใ นร ะบบก าร เ ร ี ย นอ อ น ไ ล น์ (E-Learning) ที่กระทรวงจัดทำไว้สำหรับอบรม ผู้สมัครเป็น อพม. ในปัจจุบัน เป็นหลักสูตรที่เน้น ความรู้พื้นฐานสำหรับ อพม. ใหม่ ยังไม่มีหลักสูตร เ ฉ พ า ะ ด ้ า น ห ร ื อ ห ล ั ก ส ู ต ร ส ำ ห รั บ Upskill/Reskill ให้กับ อพม. เดิม และอยู่ระหว่าง การวางแผนปรับปรุงหลักสูตรให้สอดคล้องกับ ระเบียบกระทรวงการพัฒนาสังคมและความ มั่นคงของมนุษย์ ว่าด้วยอาสาสมัครพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ พ.ศ. 2564 (หลักสูตร ที่ใช้ปัจจุบัน อ้างอิงระเบียบฯ ฉบับปี พ.ศ. 2557) นอกจากนี้ระบบฯ ยังไม่สามารถเก็บสถิติ การผ่านการอบรมได้อย่างเป็นระบบ (3) ระบบทะเบียน อพม. ยังขาดการปรับปรุงข้อมูล ให้เป็นปัจจุบัน ข้อมูลเกี่ยวเนื่องที่สำคัญต่อ การ วางแผนงานและกำหนดนโยบายบางรายการไม่ ถูกออกแบบให้บันทึกไว้ เช่น ทักษะ/ความ เชี่ยวชาญพิเศษ ด้านอื่น ๆ ของ อพม. สถานะการ เป็นอาสาสมัครอื่น ๆ บันทึกการปฏิบัติงาน เป็น ต้น รูปแบบระบบยังไม่เป็นมิตรกับผู้ใช้เท่าที่ควร (User friendly) และ ยังขาดการออกแบบการ แสดงผลที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงยังไม่มีการ เชื่อมโยงข้อมูลกับฐานข้อมูลอื่น ๆ ที่จำเป็น เช่น 1) ควรวางแผนและวางระบบการขับเคลื่อนงาน อาสาสมัครและเครือข่ายให้รองรับการทำงาน รูปแบบดิจิทัล เนื่องจากกระทรวง พม. มีจำนวน บุคลากรน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับภารกิจที่รับผิดชอบ อาสาสมัครจึงเป็นหัวใจสำคัญในการในการช่วย ขับเคลื่อนงานของกระทรวง พม.ให้บรรลุเป้าหมาย กอปรกับรูปแบบการทำงานในอนาคตที่จะปรับเป็น ระบบดิจิทัลมากขึ้น กระทรวง พม. จึงควรวางแผน และวางระบบขับเคลื่อนงาน อพม. ให้เป็นระบบ ดิจิทัลด้วย ดังนี้ (1) ปรับปรุงหลักสูตรอบรม อพม. ในระบบการ เรียนออนไลน์ (E-Learning) ให้สอดคล้องกับ ระเบียบกระทรวงการพัฒนาสังคมและ ความ มั่นคงของมนุษย์ ว่าด้วยอาสาสมัครพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ พ.ศ. 2564 โดย แบ่งเป็นหลักสูตรพื้นฐานสำหรับผู้ที่มาสมัครเป็น อพม. ใหม่ และหลักสูตรเฉพาะด้านหลักสูตร Upskill / Reskill เพื่อให้ อพม. ได้รับการพัฒนา ศักยภาพตนเอง อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ หลักสูตรพัฒนาทักษะด้านดิจิทัล ซึ่งควรมีการ ฝ ึ ก อ บ ร ม ก า ร ใ ช ้ ง า น ร ะ บ บ ป ฏ ิ บ ั ต ิ ง า น อิเล็กทรอนิกส์ของ พม. และให้ความรู้เกี่ยวกับ ความปลอดภัยในการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อให้อพม. สามารถช่วยเหลือ ให้คำแนะนำ ประชาชนในการเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการ และ ป้องกันอันตรายจากการใช้ Social Media (เช่น ข่าวปลอม การหลอกให้โอนเงิน) ให้กับ คนในชุมชนได้ ทั้งนี้ควรให้กลุ่มสภาเด็กและ เยาวชนเข้ามามีส่วนร่วมในการพี่เลี้ยงในการ อบรมให้กับ อพม. ด้วยเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพด้าน ดิจิทัลสูง และควรบูรณาการความร่วมมือกับ สำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ (สดช.) ในการเข้าถึงโครงสร้าง


๑๑๕ ข้อค้นพบ/กิจกรรมการดำเนินงานเชิงลบ ที่อาจส่งผลต่อผลการดำเนินงาน (Output) และ เป้าประสงค์ (Outcome) ข้อเสนอแนะ ระบบการเรียนออนไลน์ (E-Learning) ฐานข้อมูล อาสาสมัครของหน่วยงานอื่น ๆ ระบบ พม. SMART เป็นต้น (4) เนื่องจากอาสาสมัครของบางหน่วยงานได้รับ สิทธิประโยชน์ตอบแทนค่อนข้างมาก ในขณะที่ กระทรวง พม. มีค่าใช้จ่ายสนับสนุนการ ดำเนินงานของ อพม. ในการประสานส่งต่อ รายกรณี กรณีละ 120 บาท และเบิกค่าใช้จ่าย ได้ไม่เกิน 600 บาท/เดือน (5 กรณี) โดยต้องยื่น แบบรายงาน การปฏิบัติงานของแต่ละกรณี ที่สำนักงาน พม. จังหวัดเท่านั้น ซึ่งเป็น ค่าตอบแทนจำนวนไม่มากและขั้นตอนการเบิกที่ เพิ่มภาระงานเมื่อเปรียบเทียบกับสิทธิประโยชน์ที่ อาสาสมัครของหน่วยงานอื่นได้รับอาจทำให้ อพม.บางส่วนขาดแรงจูงใจในการทำงานได้ (5) ในบางจังหวัด อพม. มีการรวมกลุ่มจัดตั้งเป็น ชมรม จัดระบบการดูแลในระดับพื้นที่ มีประธาน อพม. จังหวัด/ อำเภอ/ ตำบลที่ชัดเจน ซึ่งนอกจากจะทำหน้าที่ อพม. ช่วยเหลือ กลุ่มเป้าหมายโดยตรงแล้ว กรมพัฒนาสังคมและ สวัสดิการ ยังได้ส่งเสริมให้มีการรวมกลุ่มจด ทะเบียนเป็นองค์กรสาธารณประโยชน์ ทำให้ สามารถจัดทำโครงการที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิต ประชาชนในพื้นที่ของตนเองได้ แต่การดำเนินการ ลักษณะนี้ยังไม่ได้ดำเนินการในทุกจังหวัด และ ไม่มีการจัดเก็บข้อมูลในประเด็นนี้ให้เป็นระบบ พื้นฐานด้านดิจิทัล และเชื่อมโยงระบบ E-Learning ของทั้ง 2 หน่วยงานให้ อพม. สามารถเข้าถึงหลักสูตรของ สดช.เพื่อเพิ่มความรู้ และทักษะทางด้านดิจิทัล (2) ปรับปรุงระบบการเรียนออนไลน์(E-Learning) ให้สามารถเก็บข้อมูลและสถิติเกี่ยวกับการอบรม ได้อย่างเป็นระบบทั้งข้อมูลผู้ผ่านการอบรม และ สถิติของ แต่ละหลักสูตร เช่น หลักสูตรใดบ้างที่มี ผู้สมัครฯ สอบไม่ผ่านเกณฑ์จำนวนมาก และ มีจำนวนครั้งที่สอบซ้ำต่อหนึ่งคนมากน้อยเพียงใด เพื่อนำมาใช้ปรับปรุงเนื้อหาหลักสูตรให้มีความ เหมาะสมมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ ควรบูรณาการความ ร่วมมือในการปรับปรุงระบบฯ กับ สดช. ซึ่งมี ทักษะ และประสบการณ์เกี่ยวกับการจัดทำ E-Learning (3) ปรับปรุงระบบทะเบียน อพม. ให้มีข้อมูล ที่ครบถ้วน เป็นปัจจุบัน และสามารถใช้ประโยชน์ ได้สูงสุด ดังนี้ - ควรเพิ่มเติมการเก็บข้อมูลความสามารถ ทักษะ/ ความเชี่ยวชาญพิเศษ และการเป็นอาสาสมัครด้าน อื่น ๆ ของ อพม. ไว้ในระบบด้วย เพราะปัจจุบัน มี อพม.จำนวนมาก ที่มีทักษะพิเศษและทำงาน อาสาสมัครด้านอื่น ๆ ควบคู่กัน เช่น อพม. เชี่ยวชาญด้านผู้สูงอายุ อพม. เชี่ยวชาญด้านคน พิการ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) อาสาสมัครดิจิทัล (อสด.) อาสาสมัครเกษตร หมู่บ้าน (อกม.) เป็นต้น เพื่อเป็นฐานข้อมูลสำหรับ วางแผนพัฒนาศักยภาพและเสริมทักษะ ให้เหมาะสม รวมถึงการเชื่อมโยงกับฐานข้อมูล อาสาสมัครอื่น ๆ ในอนาคต ซึ่งจะเป็นประโยชน์ มากโดยเฉพาะในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินและต้องการ อาสาสมัครที่มีความสามารถเฉพาะหน้า ทั้งนี้ควร


๑๑๖ ข้อค้นพบ/กิจกรรมการดำเนินงานเชิงลบ ที่อาจส่งผลต่อผลการดำเนินงาน (Output) และ เป้าประสงค์ (Outcome) ข้อเสนอแนะ ออกแบบ User Interface ในการเก็บข้อมูล ให้ใช้ง่ายและสะดวก (User friendly) มากขึ้น - ควรบันทึกข้อมูลการปฏิบัติงานด้าน ต่าง ๆ ของ อพม. แต่ละคน เพื่อเป็นหลักฐานสำหรับการสะสม ชั่วโมงทำงาน ที่สามารถตรวจสอบได้ อันจะเป็น ประโยชน์ในการเบิกจ่ายค่าตอบแทนการดำเนินงาน (ค่าใช้จ่ายสนับสนุนการดำเนินงานในการประสานส่ง ต่อรายกรณี) และเป็นตัวชี้วัดในการมอบรางวัลและ ขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ให้กับ อพม. ที่มีผลงานโดดเด่น รวมถึงเป็นประโยชน์ต่อเด็กและ เยาวชนในการเก็บสะสมชั่วโมงจิตอาสา (กรณี สภาเด็กและเยาวชนที่เป็น อพม.) - ควรเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ทั้งภายในหน่วยงาน (ระบบทะเบียน อพม. ระบบ E-Learning และเว็บไซต์ของ กอส.) และ ภายนอก อาทิ ฐานข้อมูลการอบรม อพม. เชี่ยวชาญ ด้านต่าง ๆ ระบบ E-Learning ของ สดช. ฐานข้อมูล อาสาสมัครอื่น ๆ ฐานข้อมูลของสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) เป็นต้น -ควรปรับปรุงส่วนของการแสดงผลให้มีประสิทธิภาพ มากขึ้นโดยจัดทำเป็น Dashboard เพื่อให้สามารถ นำเสนอข้อมูลในรูปแบบที่เข้าใจได้ง่าย เห็นข้อมูล ในทุกมิติ ทั้งภาพรวมและเชิงลึก ซึ่งช่วยให้นำไปใช้ ประโยชน์ในการวางแผนการตัดสินใจ และ การออกแบบนโยบายได้อย่างแม่นยำ ๔) ควรจัดทำแผนและแนวทางการส่งเสริมและ สนับสนุนการจัดตั้งชมรม อพม. และการ จดทะเบียนเป็นองค์กรสาธารณประโยชน์ให้ชัดเจน เพื่อให้ อพม. สามารถจัดทำโครงการที่จะพัฒนา คุณภาพชีวิตประชาชนในพื้นที่ของตนเองได้ และ ค ว ร จ ั ด เ ก ็ บ ข ้ อ ม ู ล ส ถ ิ ติใ น แ ต ่ ล ะ จ ั ง ห วั ด อย่างเป็นระบบ


๑๑๗ ข้อค้นพบ/กิจกรรมการดำเนินงานเชิงลบ ที่อาจส่งผลต่อผลการดำเนินงาน (Output) และ เป้าประสงค์ (Outcome) ข้อเสนอแนะ ๕) ควรสร้างแรงจูงใจและปรับปรุงสิทธิประโยชน์ สำหรับ อพม. เพื่อให้ อพม. ความสำคัญกับงาน ของกระทรวง พม. เพิ่มมากขึ้น โดยควรหารือกับ กรมบัญชีกลางและสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ในการปรับรูปแบบคำขอเบิกค่าใช้จ่ายสนับสนุน การดำเนินงานในการประสานส่งต่อรายกรณี ให้เป็นอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถใช้งานได้ง่าย ไม่ซับซ้อน เพื่อให้ อพม. สามารถดำเนินการได้ด้วย ตนเอง และควรเพิ่มการประชาสัมพันธ์ให้ อพม. รับรู้ถึงสิทธิ และผลักดันให้มีการเบิกค่าใช้จ่ายฯ เพิ่มขึ้น เพื่อเป็นฐานในการของบประมาณ ในปีถัดไป ซึ่งอาจทำให้ อพม.ได้รับสิทธิค่าตอบแทน ที่เป็นประจำและทั่วถึงในอนาคต อย่างไรก็ตาม ควรสร้างแรงจูงใจอื่น ๆ ที่มิใช่การตอบแทนเป็น ค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงาน อาทิ สิทธิสวัสดิการใน การรักษาพยาบาล กรณีเกิดอุบัติเหตุและบาดเจ็บ ในการทำงานจิตอาสาเพื่อสังคมการเพิ่มสิทธิ/ อำนาจให้กับ อพม. ในการใช้บัตรประจำตัว อพม. ประกันตัวผู้ต้องหากลุ่มเปราะบางที่อยู่ในความดูแล เช่น ในกรณีที่เป็นเด็กและเยาวชน ซึ่งหาก กระทรวง พม. สามารถ ทำความตกลงความร่วมมือ (MOU) กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ ถือว่าเป็น การทำงานเชิงก้าวหน้า และเป็นการเพิ่มคุณค่าการ ทำงานให้กับ อพม.มากขึ้น


๑๑๘ ๗) การดำเนินงานที่เป็นเลิศ ( Best Practice ) เป็นกระบวนการดำเนินงาน และการปฏิบัติงานทั้งหลายที่สามารถก่อให้เกิดผลที่เป็นเลิศ หรือวิธีปฏิบัติ ที่ทำให้องค์กรประสบความสำเร็จ หรือสู่ความเป็นเลิศ โดยมุ่งเน้นผู้รับบริการเป็นหลัก และมีหลักฐานเชิงประจักษ์ ที่สำคัญ ได้แก่ รางวัลเลิศรัฐ รางวัลมาตรฐานในการปฏิบัติงาน รางวัลผลงานทางวิชาการ เป็นต้น ในปีงบประมาณ 2566 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้รับรางวัลเลิศรัฐ จำนวน ๔ รางวัล โดยเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2566 ที่ ห้อง Grand Diamond Ballroom ชั้น 2 อาคารอิมแพคฟอรั่ม เมืองทองธานีจังหวัดนนทบุรี นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ร่วมรับรางวัลเลิศรัฐ ประจำปี 2566 ซึ่งหน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. ได้รับรางวัลรวมทั้งสิ้น 13 รางวัล โดยมี ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.วิษณุ เครืองาม เป็นประธานการเปิดงาน และ นายไมตรี อินทุสุต กรรมการพัฒนาระบบราชการ เป็นผู้มอบรางวัล ทั้งนี้ รางวัลเลิศรัฐเป็นรางวัลแห่งเกียรติยศ ที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร) มอบให้หน่วยงานภาครัฐเพื่อเป็นการยกย่องเชิดชูหน่วยงานที่ได้มุ่งมั่น ปฏิบัติราชการจนประสบความสำเร็จมีความเป็นเลิศแห่งหน่วยงานภาครัฐทั้งปวง ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (สำนักงาน ก.พ.ร.) ได้กำหนดพิธีมอบรางวัลเลิศรัฐ อย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี เพื่อมอบรางวัลให้กับหน่วยงานที่มีผลการดำเนินการที่เป็นเลิศทั้งในด้านการเพิ่ม ประสิทธิภาพการให้บริการภาครัฐ การพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภายใน และเปิดระบบราชการให้ภาคส่วนอื่น เข้ามามีส่วนร่วม สำหรับพิธีมอบรางวัลเลิศรัฐ ประจำปี 2566 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) สามารถคว้ารางวัลเลิศรัฐรวม 13 รางวัล จากผลงานที่ผ่านเกณฑ์การประเมิน ซึ่งมากกว่าปี 2565 ที่ได้รับ รางวัลรวม 9 รางวัล นับเป็นรางวัลแห่งความมุ่งมั่นตั้งใจของกระทรวง พม. เพื่อเป็นหน่วยงานที่มีผลการดำเนินการ ที่เป็นเลิศในการยกระดับพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีสำหรับประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ทั้งนี้ หน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. ได้รับรางวัลเลิศรัฐ ประจำปี 2566 มีดังต่อไปนี้ 1) สำนักงานปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (สป.พม.) ได้รับรางวัลเลิศรัฐ 4 รางวัล ประกอบด้วย 1.1) รางวัลการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม ระดับดีเด่น จำนวน 2 รางวัล ได้แก่ (1) ประเภทสัมฤทธิผลประชาชนมีส่วนร่วม ผลงาน : พลังเครือข่ายในการพัฒนาคุณภาพชีวิตกลุ่ม เปราะบางอย่างเข้าถึง ทั่วถึง เป็นธรรม จังหวัดสตูล (2) ประเภทผู้นำหุ้นส่วนความร่วมมือ โดยนายอติพล ดำพิลา ผลงาน : พลังเครือข่ายในการพัฒนา คุณภาพชีวิตกลุ่มเปราะบางอย่างเข้าถึง ทั่วถึง เป็นธรรม จังหวัดสตูล ( เสนอชื่อโดยสำนักงานปลัดกระทรวง พม.) 1.2) รางวัลการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม ระดับดีประเภทสัมฤทธิผลประชาชนมีส่วนร่วม ผลงาน : โมเดลสูงวัยไทรโยค "เปลี่ยนสูงวัยพึ่งพิง...เป็นพึ่งได้" 1.3) รางวัลคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ 4.0 ระดับก้าวหน้า (Advance)


๑๑๙ 2) กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) ได้รับรางวัลเลิศรัฐ 5 รางวัล ประกอบด้วย 2.1) รางวัลบริการภาครัฐ ระดับดีประเภทขยายผลมาตรฐานการบริการ โดยกองคุ้มครองสวัสดิภาพ และเสริมสร้างคุณภาพชีวิต ผลงาน : Well Station ขยายผลคอนโดยา พัฒนาระบบจัดจ่ายกลุ่มเป้าหมายอยู่ดีมีสุข 2.2) รางวัลการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม ระดับดีเด่น ได้แก่ (1) ประเภทสัมฤทธิผลประชาชน มีส่วนร่วม ผลงาน : โนนแดงโมเดล สร้างเสริมสวัสดิการสังคม และ (2) ประเภทผู้นำหุ้นส่วนความร่วมมือ โดยนางลำพู โมรานอก ผลงาน : โนนแดงโมเดล สร้างเสริม สวัสดิการสังคม (เสนอชื่อโดย พส.) 2.3) รางวัลการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม ระดับดีประเภทสัมฤทธิผลประชาชนมีส่วนร่วม ผลงาน : ห้องเช่าคนละครึ่ง ที่พึ่งคนไร้บ้าน 2.4) รางวัลคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ หมวด 6 ด้านกระบวนการคุณภาพและนวัตกรรม 3) กรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) ได้รับรางวัลเลิศรัฐ 2 รางวัล ประกอบด้วย 3.1) รางวัลบริการภาครัฐ ระดับดีเด่น ประเภทบูรณาการข้อมูลเพื่อการบริการ ผลงาน : การบูรณาการข้อมูลในการจัดสวัสดิการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด 3.2) รางวัลบริการภาครัฐ ระดับดี ประเภทพัฒนาการบริการ โดยสถานพัฒนาและฟื้นฟูเด็กจังหวัด สุราษฎร์ธานี ผลงาน : 3 Plus พลิกชีวิตใหม่ ( 3 กระบวนการ + 3 ศาสตร์+ 3 กลไก ) 4) กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) ได้รับรางวัลการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม ระดับดี ประเภทร่วมใจแก้จน โดยศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภาคเหนือ จังหวัดลำปาง ผลงาน : “หมอนเต่า” แก้จน สร้างชุมชน เกิดรายได้ 5) สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. ได้รับรางวัลการบริหารราชการแบบมี ส่วนร่วม ระดับดีประเภทร่วมใจแก้จน ผลงาน : แก้ปัญหาที่อยู่อาศัยผู้มีรายได้น้อย เมืองชุมแพ " บ้านที่มากกว่าบ้าน บ้านที่ชุมชนร่วมสร้าง"


๑๒๐ มีรายละเอียด ดังนี้ • รางวัลเลิศรัฐ ชื่อผลงาน ชื่อหน่วยงาน ปัจจัยความสำเร็จ รูปภาพ หมาย เหตุ 1. สาขาบริการภาครัฐ ประเภท ขยายผลมาตรฐานการบริการ (ระดับดี) คือ ผลงาน : Well Station : ข ย า ย ผ ล ค อ น โ ด ย า พัฒนาระบบจัดจ่าย กลุ่มเป้าหมาย อยู่ดีมีสุข กรมพัฒนาสังคม และสวัสดิการ 1) บุคลากรและภาคีเครือข่าย มีการให้ความรู้ และสร้างความ ตระหนักให้แก่บุคลากรในการจ่ายยา การดูแลด้านการรักษาพยาบาล มีการจัดการความรู้ (KM) และ ประสานงานภาคีเครือข่ายที่มี ความรู้เฉพาะด้าน ทักษะ และ ประสบการณ์ เข้ามามีส่วนร่วมใน การแก้ไขปัญหา 2) สถานที่ให้บริการ ประยุกต์ใช้ ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์ สูงสุด คือ ปรับปรุงอาคารแรกรับ กายภาพบำบัด เป็นห้องเก็บรักษายา และจัดยา 3) กระบวนการให้บริการ จัดทำ ผังกระบวนการที่ชัดเจน ตั้งแต่การ รับยาจากโรงพยาบาล ตรวจ ความถูกต้องของยา ประสานจิต อาสามาช่วยจัดยา จัดให้มี เจ้าหน้าที่ตรวจเช็ดความถูกต้องใน การจัดยาให้แก่ผู้ใช้บริการ ( double check) จ ่ า ย ย า ใ ห้ ผู้ใช้บริการ - 2. สาขาการบริหารราชการแบบ มีส่วนร่วม ประเภทสัมฤทธิ์ผล ประชาชนมีส่วนร่วม (ระดับดีเด่น) ผลงาน : โนนแดงโมเดล สร้างเสริม สวัสดิการสังคม กรมพัฒนาสังคม และสวัสดิการ (ศูนย์คุ้มครอง คนไร้ที่พึ่งจังหวัด นครราชสีมา) 1) การถ่ายทอดข้อมูล ให้ภาคี เครือข่ายทุกฝ่าย เห็นความสำเร็จ ร่วมกัน 2) การสร้างความร่วมมือ ในการ ทำงานจากเครือข่ายทุกขั้นตอน ทำให้รู้สึกเป็นเจ้าของผลงาน -


๑๒๑ ชื่อผลงาน ชื่อหน่วยงาน ปัจจัยความสำเร็จ รูปภาพ หมาย เหตุ ร่วมกัน 3) การสร้างความไว้วางใจ ทำงานด้วยความโปร่งใส เปิดเผย งบประมาณ และมีการสื่อสาร เชิงบวก ให้กำลังใจกันและกัน 4) ไม่ผลักภาระให้ฝ่ายใดแบกรับ เพียงฝ่ายเดียว โดยศูนย์คุ้มครอง เป็นพี่เลี้ยง สนับสนุนการทำงาน อย่างต่อเนื่อง 3. สาขาการบริหารราชการแบบ มีส่วนร่วม ประเภทผู้นำหุ้นส่วน ความร่วมมือ (ระดับดีเด่น) ของ ผลงานโนนแดงโมเดล สร้างเสริม สวัสดิการสังคม กรมพัฒนาสังคม และสวัสดิการ (ศูนย์คุ้มครอง คนไร้ที่พึ่งจังหวัด นครราชสีมา) โดยนางลำพูน โมรานอก 1) การถ่ายทอดข้อมูล ให้ภาคี เครือข่ายทุกฝ่ายเห็นความสำเร็จ ร่วมกัน 2) การสร้างความร่วมมือ ในการ ทำงานจากเครือข่ายทุกขั้นตอน ทำให้รู้สึกเป็นเจ้าของผลงาน ร่วมกัน 3) การสร้างความไว้วางใจ ทำงานด้วยความโปร่งใส เปิดเผย งบประมาณ และมีการสื่อสาร เชิงบวก ให้กำลังใจกันและกัน 4) ไม่ผลักภาระให้ฝ่ายใดแบกรับ เพียงฝ่ายเดียว โดยศูนย์คุ้มครอง เป็นพี่เลี้ยง สนับสนุนการทำงาน อย่างต่อเนื่อง - 4. สาขาการบริหารราชการแบบ มีส่วนร่วม ประเภทสัมฤทธิ์ผล ประชาชนมีส่วนร่วม (ระดับดี) ผลงาน : ห้องเช่าคนละครึ่ง ที่พึ่งคนไร้บ้าน กรมพัฒนาสังคม และสวัสดิการ 1) มีการเปิดรับฟังความคิดเห็น หรือเสียงสะท้อนความต้องการของ คนไร้บ้าน 2) คนไร้บ้าน มีความพยายามใน การพัฒนาตนเอง และยืนหยัด ในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ -


๑๒๒ ชื่อผลงาน ชื่อหน่วยงาน ปัจจัยความสำเร็จ รูปภาพ หมาย เหตุ 3) การหนุนเสริมจากองค์กรภาคี เครือข่าย ในการร่วมกันคิด ร่วมวางแผน ร่วมดำเนินการ ร่วมระดมทรัพยากร และร่วม ประเมินผล 4) การสร้างการรับรู้ ยอมรับ และเข้าใจในการกำหนดกติกา ร่วมกัน 5) มีคณะทำงาน และการกำหนด บทบาทหน้าที่ที่ชัดเจน 6) มีการลงพื้นที่พูดคุยกันอย่าง ต่อเนื่อง 5. สาขาคุณภาพการบริหาร จัดการภาครัฐ (PMQA) หมวด 6 ด้านกระบวนการคุณภาพและ นวัตกรรม กรมพัฒนาสังคม และสวัสดิการ 1 ) ม ี ค ณ ะ อ ำ น ว ย ก า ร แ ล ะ คณะทำงานรายหมวด ทำหน้าที่ ในการกำกับ ดูแลการดำเนินงาน ตามเกณฑ์คุณภาพการบริหาร จัดการภาครัฐ (PMQA) 2) มีระบบการจัดเก็บข้อมูล ผลลัพธ์การดำเนินงานในเชิงสถิติ ที่ชัดเจน 3) มีแผนยกระดับองค์กร เพื่อมุ่งสู่ การเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วย นวัตกรรม 4) วางแผนปรับปรุงการขับเคลื่อนงาน โดยนำ Feedback ของสำนักงาน ก.พ.ร. และประเด็นที่ไม่ผ่านการ ประเมินมาพัฒนาปรับปรุงกระบวนงาน -


๑๒๓ 2.2 การปรับบทบาทภารกิจโครงสร้างหน่วยงานให้ทันสมัย ยืดหยุ่นรองรับการเปลี่ยนแปลง


๑๒๔ ที่มา พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 กำหนดให้มีคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีอำนาจหน้าที่ในการ จัดทำแผนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น ได้ประกาศให้ใช้แผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ 1) พ.ศ. 2544 แผนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2551 และ แผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ 2) และ (ร่าง) แผนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2563 – 2563 และ (ร่าง) แผนปฏิบัติการ กำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2563 – 2565 (เหตุที่ยัง เป็นร่าง เนื่องจากยังไม่ได้เสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบและคณะรัฐมนตรีหมดวาระต้องรอชุดใหม่) และ 2) โอนอำนาจหน้าที่ให้กระทรวงมหาดไทย จำนวน 2 ภารกิจ ได้แก่ (1) บทบาทการควบคุมการ บริหารงาน ตาม พ.ร.บ.การฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. 2545 และ (2) บทบาทตาม พ.ร.บ. หอพัก พ.ศ. 2558 ผลการดำเนินงาน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 1. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ถ่ายโอนภารกิจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) โดยได้รับบรรจุใน (ร่าง) แผนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2563 – 2565 และ (ร่าง) แผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2563 – 2565 จำนวน 7 ภารกิจ ได้แก่ (1) โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด (2) ภารกิจการจัดตั้ง และดำเนินการสภาเด็กและเยาวชน (3) งานสงเคราะห์การจัดการศพผู้สูงอายุตามประเพณี(4) งานอาสาสมัครดูแล ผู้สูงอายุที่บ้าน (5) ภารกิจศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุ (6) งานปรับสภาพแวดล้อม ที่อยู่อาศัย และสิ่งอำนวยความสะดวกของผู้สูงอายุ และผู้พิการ ให้เหมาะสมและปลอดภัย และ (7) ภารกิจงานศูนย์พัฒนา ครอบครัวในชุมชน 2. ในระหว่างที่ (ร่าง) แผนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2563 – 2565 และ (ร่าง) แผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2563 – 2565 ยังไม่ประกาศใช้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้มีการประชุมร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (สำนักงาน ก.ก.ถ.) เพื่อพิจารณาโครงการ/ กิจกรรมที่ถ่ายโอน สรุปสถานะการถ่ายโอน (ข้อมูล ณ วันที่ 21 สิงหาคม 2566) ได้ดังนี้ 1) การถ่ายโอนภารกิจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)


๑๒๕ โครงการ/กิจกรรม สถานการณ์ถ่ายโอน (1) โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด บรรจุไว้ในร่างแผน (2) ภารกิจการจัดตั้งและดำเนินการสภาเด็กและ เยาวชน บรรจุไว้ในร่างแผน (3) งานสงเคราะห์การจัดการศพผู้สูงอายุตามประเพณี บรรจุไว้ในร่างแผน (4) งานอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุที่บ้าน ขอยกเลิกการถ่ายโอนเนื่องจากไม่ได้ขับเคลื่อน ภารกิจดังกล่าวตั้งแต่ปีงบประมาณ 2557 5) ภารกิจศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพ ผู้สูงอายุ บรรจุไว้ในร่างแผน (6) งานปรับสภาพแวดล้อม ที่อยู่อาศัย และสิ่ง อำนวยความสะดวกของผู้สูงอายุให้เหมาะสมและ ปลอดภัย ขอยกเลิกการถ่ายโอน (7) ภารกิจงานศูนย์พัฒนาครอบครัวในชุมชน ขอยกเลิกการถ่ายโอน เนื่องจากไม่ได้ ขับเคลื่อนภารกิจดังกล่าวตั้งแต่ปีงบประมาณ 2557 (๘) การปรับสถาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยสำหรับคนพิการ เสนอขอบรรจุไว้ในแผน (เพิ่มเติม)


๑๒๖ ที่มา : กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ขอปรับปรุงโครงสร้างการแบ่งส่วนราชการของ สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดย ก.พ.ร.ในการประชุมครั้งที่ 5/2562 เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 มีมติเห็นควรสนับสนุนการจัดตั้ง กองพัฒนานโยบายและนวัตกรรมทาง สังคม โดยให้ยุบเลิกสำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 2 มาจัดตั้งตามที่ พม. เสนอ และมีข้อสังเกตเพิ่มเติม ให้ พม.ดำเนินการศึกษาทบทวนความจำเป็นและความคุ้มค่าของสำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการที่มีอยู่ใน ปัจจุบันร่วมกับสำนักงาน ก.พ.ร. และรายงานความก้าวหน้าให้ อ.ก.พ.ร ฯ ด้านสังคมทราบต่อไป ผลงาน : 1. ศึกษาทบทวนความจำเป็นและความคุ้มค่าการดำเนินงานของสำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ (สสว.) 1 – 11 ส่งรายงานผล (ฉบับสมบูรณ์) ให้กับสำนักงาน ก.พ.ร. เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2564 โดยคณะอนุกรรมการพัฒนาระบบราชการ (อ.ก.พ.ร.) เกี่ยวกับการทบทวนบทบาทภารกิจและปรับปรุงโครงสร้างของ ส่วนราชการ ในการประชุมครั้งที่ 3/2565 เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2565 มีมติเห็นชอบให้ สป.พม. จัดทำ Roadmap การยกระดับและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ สสว. และให้สำนักงาน ก.พ.ร. ประเมินผลการปรับปรุงประสิทธิภาพ ดังกล่าวเมื่อครบกำหนด 1 ปี และในปีที่ 2 ให้ประเมินผลสัมฤทธิ์และความคุ้มค่าของ สสว. เสนอ ก.พ.ร.พิจารณา 2. จัดทำ Roadmap การยกระดับและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของ สสว. ส่งให้สำนักงาน ก.พ.ร. เมื่อ 12 เมษายน 2566 โดย อ.ก.พ.ร.ในการประชุมครั้งที่ 4/2566 เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2566 ได้มีมติ รับทราบ และมีข้อสังเกตเพิ่มเติมเพื่อให้การดำเนินงานตาม Roadmap มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น 3. จัดทำผลการดำเนินงานตาม Roadmap ระยะเวลา เมษายน 2565-2566 (ครบกำหนด 1 ปี) และ ส่งให้สำนักงาน ก.พ.ร. ในเดือนตุลาคม 2566 เพื่อประเมินผลการปรับปรุงประสิทธิภาพ 2) การแบ่งส่วนราชการภายในสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงการพัฒนาสังคมและ ความมั่นคงของมนุษย์


๑๒๗ ส่วนที่ ๓ ภาคผนวก -รายงานการประเมินส่วนราชการตามมาตรการปรับปรุง ประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ -รายชื่อคณะผู้จัดทำรายงานการพัฒนาระบบราชการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖6


๑๒๘ รายงานการประเมินส่วนราชการตามมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพในการปฏิบัติราชการ ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566


๑๒๙


๑๓๐


๑๓๑


๑๓๒


๑๓๓


๑๓๔ รายชื่อคณะผู้จัดทำรายงานการพัฒนาระบบราชการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖6 สำนักงานปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ๑. นางสาวพิมพ์ธิดา แสงจันทร์ ผู้อำนวยการกลุ่มพัฒนาระบบบริหาร ๒. นางสาวณิชาภัทร เทียนมั่น นักพัฒนาสังคมชำนาญการพิเศษ ๓. นายสัญญา โพธิ์ทองคำ นักพัฒนาสังคมชำนาญการพิเศษ ๔. นางสาววันจันทร์ ทองศรีพงศ์ นักพัฒนาสังคมชำนาญการพิเศษ ๕. นางสาวประไพศรี คำมุง นักพัฒนาสังคมชำนาญการพิเศษ ๖. นายอาทิตย์ เตียวตระกูล นักทรัพยากรบุคคลชำนาญการพิเศษ ๗. นางสาวกุณฑลี เงาแสงธรรม นักสังคมสงเคราะห์ชำนาญการ ๘. นางสาวฐิติมนต์ สุทธิโรจน์ธนากุล พนักงานธุรการ ระดับ ส ๔ ๙. นางสาวปิยธิดา แอบจันทึก นักพัฒนาสังคม ๑๐.นางสาวสุรินทร์พร แก้วชา นักวิเคราะห์นโยบายและแผน ๑๑.นายกระสินธุ์ เจริญกุล นักวิเคราะห์นโยบายและแผน ๑๒.นายวชิรวิทย์ สาเกตุ นักวิเคราะห์นโยบายและแผน 1๓.นายวรวิทย์ เอี่ยมสนธิ พนักงานขับรถยนต์ กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ 1. นางสาวอภิรดี มีสัตย์ หัวหน้ากลุ่มพัฒนาระบบบริหาร 2. นายศุภศิษฐ์ สุวรรณสิน นักพัฒนาสังคมชำนาญการ 3. นางสาวอัจฉราพร ตาเฟื่อง นักพัฒนาสังคมปฏิบัติการ 4. นางสาวนิตยา ใบปก นักพัฒนาสังคม 5. นางสาวรัชชนันท์ กลางสาทร นักวิเคราะห์นโยบายและแผน 6. นางสาวแพรววนิต ชูแก้ว นักพัฒนาสังคม กรมกิจการเด็กและเยาวชน 1. นางสาวสุภาวิดา กฤติเดช หัวหน้ากลุ่มพัฒนาระบบบริหาร ๒. นางวารุณี ศุภนิมิตตระกูล นักพัฒนาสังคมชำนาญการพิเศษ ๓. นางฤทัยรัตน์ ศรีฉันทะมิตร นักสังคมสงเคราะห์ชำนาญการ ๔. นางสาวนวนิตย์ จันทร์ชุ่ม นักพัฒนาสังคม ๕. นายภมรพัฒน์ วงค์ศรี นักพัฒนาสังคม ๖. นางสาวภวริศา สิริวรรณสิน เจ้าพนักงานธุรการ ๗. นางมณีรัตน์ เจียห์สกุล พนักงานธุรการ


๑๓๕ กรมกิจการผู้สูงอายุ ๑. นางสาวผึ้งพันธ์ เผ่าจินดา หัวหน้ากลุ่มพัฒนาระบบบริหาร 2. นางสาวกรกนก กวางแก้ว นักจัดการงานทั่วไปปฏิบัติการ 3. นางสาวมณีรินทร์ อ่อนโชติ นักพัฒนาสังคม 4. นางสาวอุมารินทร์ อินทร์รักษา นักพัฒนาสังคม 5. นางสาวเธียรธิดา สุขปัญ นักพัฒนาสังคม 6. นายวิภาส ประสิทธิ์นุ้ย ช่วยปฏิบัติงานโครงการส่งเสริมการพัฒนาระบบบริหาร กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว ๑. นางสาวศิริพร สันติกุล หัวหน้ากลุ่มพัฒนาระบบบริหาร ๒. นางสาวนริศรา หนูเงิน นักพัฒนาสังคมชำนาญการพิเศษ ๓. นางสาวชยพร ภู่ชื่น นักพัฒนาสังคมชำนาญการ ๔. นางสาววรรณวิศา แย้มเยื้อน นักพัฒนาสังคมชำนาญการ ๕. นางสาวพัชชา ใสสุข นักจัดการงานทั่วไป ๖. นางสาวกวินทรา เทพคำมี เจ้าพนักงานธุรการ กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ 1. นางเบญจวรรณ เทียนทอง ผู้อำนวยการกลุ่มพัฒนาระบบบริหาร 2. นางพัชรินทร์ ศิลปรัสมี นักพัฒนาสังคมชำนาญการ 3. นางสาวสุพิชญา บุญเกิด นักสังคมสงเคราะห์ปฏิบัติการ -----------------------------------------------


๑๓๖


Click to View FlipBook Version