The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Hatthaya Khamnak, 2023-03-07 07:59:51

e-book ป.6

e-book ป.6

SCIENCE คู่มือการจัดการเรีย รี นรู้ วิท วิ ยาศาสตร์เเละเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6


จัดทำ โดย 1.นางสาวหัทยา คำ นาค 6594110050 สาขา วิช วิ าการประถมศึกษา 2.นางสาวรุจิเรศ อิ่มแมน 6594110055 สาขา วิช วิ าการประถมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิท วิ ยาลัยภาคตะวัน วั ออกเฉียงเหนือ


คำ นำ กระทรวงศึกษาธิการ โดยสถาบันส่งเสริมริการสอนวิทวิยาศาสตร์และ เทคโนโลยีได้ดำ เนินการ จัดทำ มาตรฐานการเรียรีนรู้และตัวชี้วัดวักลุ่ม สาระการเรียรีนรู้คณิตศาสตร์และ วิทวิยาศาสตร์(ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) และสำ นักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้น ฐานได้ดำ เนินการ จัดทำ สาระภูมิศาสตร์ในกลุ่มสาระการเรียรีนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และ วัฒวันธรรม (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการ ศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ พร้อมทั้งจัดทำ สาระการเรียรีนรู้ แกนกลางของกลุ่มสาระการเรียรีนรู้และ สาระดังกล่าวในแต่ละระดับชั้น เพื่อให้เขตพื้นที่การศึกษา หน่วยงานระดับท้องถิ่น และ สถานศึกษาทุก สังกัดที่จัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้นำ ไปใช้เป็นกรอบและทิศทางใน การ พัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา และจัดการเรียรีนการสอน โดยจัดท เป็น ๓ เล่ม ดังนี้ ๑.ตัวชี้วัดวัและสาระการเรียรีนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียรีนรู้ คณิตศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ๒. ตัวชี้วัดวัและสาระการเรียรีนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียรีนรู้ วิทวิยาศาสตร์ (ฉบับ ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ๓. ตัวชี้วัดวัและสาระการเรียรีนรู้แกนกลาง สาระภูมิศาสตร์ (ฉบับ ปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) กลุ่มสาระการเรียรีนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒวันธรรม ตามหลักสูตรแกน กลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ และแนวการจัดกิจกรรมการเรียรีนรู้ สำ นักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ขอขอบคุณผู้ที่มีส่วนร่วมจาก ทุกหน่วยงาน และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งในและนอกกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งช่วยใน การจัดทำ เอกสารดังกล่าว ให้มีความสมบูรณ์และเหมาะสมสำ หรับการจัดการเรียรีนการสอนในแต่ละ ระดับชั้น สามารถพัฒนาผู้เรียรีน ให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการเรียรีนรู้และตัวชี้วัดวัที่กำ หนด


สารบัญ คำ นำ สารบัญ บทนำ วิสัวิสัยทัศน์ หลักการ จุดมุ่งหมาย คุณลักษณะอันพึงประสงค์ของหลักสูตรและ คุณลักษณะตามศตวรรษ ที่21 สมรรถนะของหลักสูตรและสมรรถนะตามศตวรรษ21 คุณภาพผู้เรียรีน รายวิชวิาที่เปิดสอน ทำ ไมต้องเรียรีนวิทวิยาศาสตร์และเทคโนโลยี เรียรีนรู้อะไรในวิทวิยาศาสตร์และเทคโนโลยี ธรรมชาติของความรู้วิทวิยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป้าหมายสำ คัญของการจัดการเรียรีนการสอน วิทวิยาศาสตร์ แนวการสร้างการรู้วิทวิยาศาสตร์สำ หรับหลักสูตร นักเรียรีนระดับประถมศึกษา สาระและมาตรฐานการเรียรีนรู้ รายวิชวิาเพิ่มเติม ตัวชี้วัดวัและสาระเรียรีนรู้แกนกลาง


คำ อธิบายรายวิชวิาพื้นฐานและโครงสร้างรายวิชวิาพื้นฐาน กระบวนการจัดการเรียรีนรู้รูปแบบการสอนและทักษะทางวิทวิยาศาสตร์ การวัดวัและการประเมินผลการเรียรีนรู้ สื่อ/แหล่งเรียรีนรู้ ภาคผนวก อภิธานศัพท์ ตัวอย่างหน่วยการเรียรีนรู้ แผนการจัดการเรียรีนรู้ที่เน้นผู้เรียรีนเป็นสำ คัญที่ใช้นวัตวักรรม


บทนำ ตัวชี้วัดวัและสาระการเรียรีนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียรีนรู้ วิทวิยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุงพ.ศ.๒๕๖๐) ตามหลักสูตรแกนกลางการ ศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ นี้ได้กำ หนด สาระการเรียรีนรู้ออก เป็น ๔ สาระ ได้แก่ สาระที่ ๑ วิทวิยาศาสตร์ชีวภาพ สาระที่ ๒ วิทวิยาศาสตร์กายภาพสาระที่ ๓ วิทวิยาศาสตร์โลก และอวกาศ และ สาระที่ ๔ เทคโนโลยีมี สาระเพิ่มเติม ๔ สาระ ได้แก่ สาระชีววิทวิยาสาระ เคมีสาระฟิสิกส์และสาระโลกดาราศาสตร์ และอวกาศซึ่งองค์ประกอบ ของหลักสูตร ทั้งในด้านของเนื้อหา การจัดการเรียรีนการสอน และการ วัดวัและประเมินผลการเรียรีนรู้นั้น มีความสำ คัญอย่างยิ่งในการวาง รากฐานการ เรียรีนรู้วิทวิยาศาสตร์ของผู้เรียรีนในแต่ละระดับชั้น ให้มี ความต่อเนื่องเชื่อมโยงกัน ตั้งแต่ชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๑ จนถึงชั้น มัธยมศึกษาปีที่ ๖ สำ หรับกลุ่มสาระการเรียรีนรู้วิทวิยาศาสตร์ได้ กำ หนด ตัวชี้วัดวัและสาระการเรียรีนรู้แกนกลาง ที่ผู้เรียรีนจำ เป็นต้องเรียรีน เป็นพื้นฐาน เพื่อให้ สามารถนำ ความรู้นี้ไปใช้ในการดำ รงชีวิตวิหรือรืศึกษาต่อในวิชวิาชีพที่ต้องใช้วิทวิยาศาสตร์ได้ โดยจัดเรียรีงลำ ดับความ ยากง่ายของเนื้อหาแต่ละสาระในแต่ละระดับชั้นให้มีการเชื่อมโยง ความรู้กับกระบวนการเรียรีนรู้และการจัดกิจกรรมการเรียรีนรู้ที่ส่งเสริมริ ให้ผู้เรียรีนพัฒนาความ คิด ทั้งความคิดเป็นเหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์ คิดวิเวิคราะห์วิจวิารณ์ มีทักษะที่สำ คัญทั้ง ทักษะกระบวนการทาง วิทวิยาศาสตร์และทักษะในศตวรรษที่ ๒๑ ในการค้นคว้าว้และสร้าง องค์ ความรู้ด้วยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้สามารถแก้ปัญหาอย่างเป็น ระบบ สามารถ ตัดสินใจ โดยใช้ข้อมูลหลากหลายและประจักษ์พยานที่ ตรวจสอบได้ สถาบันส่งเสริมริการ สอนวิทวิยาศาสตร์และ เทคโนโลยี(สสวท.) ตระหนักถึงความสำ คัญของการจัดการเรียรีนรู้ วิทวิยาศาสตร์ที่มุ่งหวังวัให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อผู้เรียรีนมากที่สุด จึงได้จัด ทำ ตัวชี้วัดวัและสาระการ เรียรีนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียรีนรู้ วิทวิยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตาม หลักสูตรแกนกลางการ ศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ขึ้น เพื่อให้สถานศึกษา ครูผู้ สอน ตลอดจนหน่วยงานต่าง ๆ ได้ใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาหนังสือเรียรีน คู่มือครูสื่อ ประกอบการเรียรีนการสอน ตลอดจนการวัดวัและประเมินผล โดยตัวชี้วัดวัและสาระการ เรียรีนรู้ แกนกลาง กลุ่มสาระ การเรียรีนรู้วิทวิยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) ตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ที่จัดทำ ขึ้นนี้ได้ปรับปรุงเพื่อให้มีความ สอดคล้อง และเชื่อมโยงกันภายในสาระ การเรียรีนรู้เดียวกัน และระหว่าว่งสาระการเรียรีนรู้ใน กลุ่มสาระการเรียรีนรู้ วิทวิยาศาสตร์ตลอดจน การเชื่อมโยงเนื้อหาความรู้ทางวิทวิยาศาสตร์กับ คณิตศาสตร์ด้วย นอกจากนี้ยังได้ปรับปรุงเพื่อให้มี ความทันสมัยต่อการเปลี่ยนแปลง และ ความเจริญริก้าวหน้าของ วิทวิยาการต่าง ๆ และทัดเทียมกับนานาชาติ


หลักสูตรแกนกลางขั้นพื้นฐาน วิสัวิสัยทัศน์ วิสัวิสัยทัศน์แผนการศึกษายุทธศาสตร์แห่งชาติ(กระทรวงศึกษาธิการ๒๕๕๑) ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561-2580) เป็นยุทธศาสตร์ชาติ ฉบับ แรกของ ประเทศไทยตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งจะต้องนาไปสู่ การ ปฏิบัติเพื่อให้ประเทศไทยบรรลุวิสัวิสัยทัศน์ “ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียง” เพื่อความสุขของคนไทยทุกคน วิสัวิสัยทัศน์แผนการศึกษายุทธศาสตร์ แห่งชาติ “คนไทยทุกคนได้รับการศึกษาและเรียรีนรู้ตลอดชีวิตวิอย่างมีคุณภาพ ดำ รง ชีวิตวิอย่างเป็นสุข สอดคล้องกับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และ การ เปลี่ยนแปลงของ โลกศตวรรษที่ 21” วิสัวิสัยทัศน์หลักสูตรแกนกลาง (กระทรวงศึกษาธิการ๒๕๖๐) หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานมุ่งพัฒนาผู้เรียรีนทุกคน ซึ่งเป็น กำ ลังของชาติให้เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มี จิตสานึกในความเป็นพลเมืองไทยและเป็นพลโลก ยึดมั่นในการปกครอง ตาม ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และ ทักษะ พื้นฐาน รวมทั้ง เจตคติ ที่จาเป็นต่อการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพ และการ ศึกษาตลอดชีวิตวิ โดยมุ่งเน้นผู้เรียรีนเป็นสำ คัญบนพื้นฐานความเชื่อ ว่าว่ทุกคน สามารถเรียรีนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ วิสัวิสัยทัศน์กลุ่มสาระการเรียรีนรู้วิทวิยาศาสตร์และเทคโนโลยี(กระทรวง ศึกษาธิการ๒๕๖๐) กลุ่มสาระการเรียรีนรู้วิทวิยาศาสตร์ มุ่งให้ผู้เรียรีน มีความสามารถในการเรียรีนรู้ กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ กระบวนการแก้ปัญหา โดยใช้ทักษะกระบวนการ ทางด้านวิทวิยาศาสตร์ รวมทั้งพัฒนาผู้เรียรีนให้มีเจตคติ คุณธรรม จริยริธรรม ค่า นิยมที่เหมาะสมต่อวิทวิยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคมและสิ่งแวดล้อม


หลักการหลักสูตรแกนกลาง(กระทรวงศึกษาธิการ๒๕๕๑) หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อความ เป็นเอกภาพของชาติ มีหลักการที่สำ คัญดังนี้ 1.การเรียรีนรู้เป็นเป้าหมายสำ หรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ มีจุดมุ่ง หมายและมาตรฐานทักษะเจตคติและคุณธรรมบนพื้นฐานของความเป็นไทย ควบคู่กับความเป็นสากล 2.เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชนที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการ ศึกษาอย่างเสมอภาคและมีคุณภาพ 3.เป็นหลักสูตรการศึกษาที่สนองการกระจายอำ นาจให้สังคมมีส่วนร่วมใน การจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถิ่น 4.เป็นหลักสูตรการศึกษาที่มีโครงสร้างยืดหยุ่นทั้งด้านสาระการเรียรีนรู้และ การจัดการเรียรีนรู้ 5.เป็นหลักสูตรการศึกษาที่เน้นผู้เรียรีนเป็นสำ คัญ 6.เป็นหลักสูตรการศึกษาสำ หรับการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตาม อัธยาศัยครอบคุรมทุกกลุ่มเป้าหมาย หลักการกลุ่มสาระการเรียรีนรู้วิทวิยาศาสตร์และเทคโนโลยี(กระทรวง ศึกษาธิการ๒๕๕๑) 1. พัฒนาความรู้ความสามารถทางวิทวิยาศาสตร์และเทคโนโลยีตาม ศักยภาพของผู้เรียรีน และสามารถนำ ไปเป็นเครื่อรื่งมือในการเรียรีนรู้สิ่งต่าง ๆ และเป็นพื้นฐานสำ หรับการศึกษาต่อ 2. จัดกิจกรรมกระบวนการเรียรีนรู้อย่างหลากหลายต่อเนื่อง ผู้เรียรีนมีส่วน ร่วม ในการจัดกระบวนการเรียรีนรู้อย่างมีความสุข 3. จัดแผนการเรียรีนการสอนให้แก่ผู้เรียรีน เพื่อให้ผู้เรียรีนได้มีโอกาสเรียรีนรู้ วิชวิาวิทวิยาศาสตร์และเทคโนโลยีตามความถนัดและความสนใจ 4. พัฒนาบุคลากรของกลุ่มสาระการเรียรีนรู้วิทวิยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้มี ความรู้และทักษะตลอดจนนำ ประสบการณ์มาใช้ในการเรียรีนการสอนโดย เน้นผู้เรียรีนเป็นสำ คัญ


5. มีการนิเทศและติดตามอย่างเป็นระบบในด้านการเรียรีนการสอน วิทวิยาศาสตร์และเทคโนโลยี 6. จัดการเรียรีนการสอนโดยการสอดแทรกคุณธรรม จริยริธรรม ในทุกรายวิชวิา อย่างเป็นรูปธรรม จัดกิจกรรมวิชวิาการด้านวิทวิยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้ นักเรียรีนกล้าแสดงออก และได้ปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ ตามความถนัดและความ สนใจ 7. จัดกิจกรรมนำ เสนอผลงานนักเรียรีน – ครูในงานนิทรรศการทางวิชวิาการ ภายในโรงเรียรีน 8. สนับสนุน ส่งเสริมริให้ครูผลิตสื่อและนวัตวักรรมประกอบการเรียรีนการสอน ตามเนื้อหาการเรียรีนรู้ 9. จัดกิจกรรมส่งเสริมริพัฒนาผู้เรียรีนที่มีความสามารถ และช่วยเหลือผู้เรียรีน ที่ มีปัญหาด้านการเรียรีนวิทวิยาศาสตร์และเทคโนโลยี 10. วัดวัผลและประเมินผลตามสภาพจริงริด้วยวิธีวิธีการที่หลากหลายให้ ครอบคลุมทั้งทางด้านความรู้ทักษะ/กระบวนการ สมรรถนะสำ คัญของผู้ เรียรีน และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ จุดมุ่งหมายหลักสูตรแกนกลาง(กระทรวงศึกษาธิการ๒๕๕๑) หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานมุ่งพัฒนาผู้เรียรีนให้เป็นคนดีมี ปัญญา มีความสุข มีศักยภาพในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพ จึงกำ หนด เป็นจุดหมายเพื่อให้เกิดกับผู้เรียรีนเมื่อจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดังนี้ 1.มีคุณธรรมจริยริธรรมและค่านิยมที่พึงประสงค์เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัวินัย และปฏิบัติตนตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนาที่ตนนับถือ ยึดถือหลัก ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 2.มีความรู้อันเป็นสากลและมีความสามารถในการสื่อสารการคิดแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยีและมีทักษะ 3.ชีวิตวิมีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีสุขนิสัยและรักการออกกำ ลังกาย 4.มีความรักชาติ มีจิตสำ นึกในการเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดมั่นในวิถีวิถี ชีวิตวิและการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ริย์ทรงเป็น ประมุข 5.มีจิตสำ นึกในการอนุรักษ์วัฒวันธรรมและภูมิปัญญาไทยการอนุรักษ์และ พัฒนาสิ่งแวดล้อม มีจิตสาธารณะที่มุ่งทำ ประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดีงามใน สังคมและอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข


จุดมุ่งหมายกลุ่มสาระการเรียรีนรู้วิทวิยาศาสตร์และเทคโนโลยี(กระทรวงศึกษาธิการ๒๕๖๐) กลุ่มสาระการเรียรีนรู้วิทวิยาศาสตร์และเทคโนโลยีมุ่งพัฒนาผู้เรียรีนให้เป็นคนดี มี ปัญญา มีความสุข มีศักยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพ และผู้ เรียรีนมีคุณภาพ ตามเกณฑ์ของคุณภาพผู้เรียรีนกลุ่มสาระการเรียรีนรู้ วิทวิยาศาสตร์และเทคโนโลยีเมื่อจบการ ศึกษาขั้นพื้นฐาน ดังนี้ 1. มีคุณภาพตามเกณฑ์ของคุณภาพผู้เรียรีนกลุ่มสาระการเรียรีนรู้วิทวิยาศาสตร์ และเทคโนโลยี 2. มีคุณธรรม จริยริธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มี วินัวินัยและ ปฏิบัติตนตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรือรืศาสนาที่ตนนับถือ ยึดหลักปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียง 3. มีความรู้ ความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้ เทคโนโลยี และมี ทักษะชีวิตวิ 4. มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีสุขนิสัย และรักการออกกำ ลังกาย 5. มีความรักชาติ มีจิตสานึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดมั่นใน วิถีวิถีชีวิตวิและ การปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ริย์ทรง เป็นประมุข 6. มีจิตสานึกในการอนุรักษ์วัฒวันธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และ พัฒนาสิ่ง แวดล้อม มีจิตสาธารณะที่มุ่งทำ ประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดีงามใน สังคม และอยู่ร่วมกันใน สังคมอย่างมีความสุข คุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามศตวรรษที่๒๑ (กระทรวงศึกษาธิการ๒๕๕๑) กลุ่มสาระการเรียรีนรู้วิทวิยาศาสตร์และเทคโนโลยีมุ่งพัฒนาผู้เรียรีนให้มี คุณลักษณะอันพึง ประสงค์เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมี ความสุข ในฐานะเป็นพลเมือง ไทย และพลโลก ตามหลักสูตรแกนกลางการ ศึกษาขั้นพื้นฐาน ดังนี้ 1. รักชาติ ศาสน์กษัตริย์ริย์หมายถึง มีความภาคภูมิใจในความเป็นไทย นิยม ไทย ปฏิบัติตาม คำ สั่งสอนของศาสนาเคารพเทิดทูนศาสนา แสดงความจงรัก ภักดีเทิดทูนพระเกียรติและ พระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ริย์ 2. ซื่อสัตย์สุจริตริหมายถึง การประพฤติปฏิบัติอย่างเหมาะสม และตรงต่อ ความเป็นจริงริ ประพฤติปฏิบัติอย่างตรงไปตรงมา ทั้งกาย วาจา ใจ ต่อตนเอง และผู้อื่นรวมตลอดทั้งต่อ หน้าที่การงานและคำ มั่นสัญญา


ความประพฤติที่ ตรงไปตรงมาและจริงริใจในสิ่งที่ถูกที่ควร ถูกต้องตามทำ นองคลอง ธรรมรวม ไปถึงการไม่คิดคดทรยศ ไม่คดโกงและไม่หลอกลวงนอกจากนี้แล้วความ ซื่อสัตย์สุจริตริยังรวมไปถึงการรักษาคำ พูดหรือรืคำ มั่นสัญญาและการปฏิบัติ หน้าที่การ งานของตนเองด้วยความรับผิดชอบและด้วยความซื่อสัตย์ไม่ แสวงหาผลประโยชน์ให้ แก่ตนเองและพวกพ้องด้วยการใช้อำ นาจหน้าที่โดย มิชอบซึ่งความซื่อสัตย์สุจริตรินี้จะ ดำ เนินไปด้วยความตั้งใจจริงริเพื่อทำ หน้าที่ ของตนเองให้สำ เร็จลุล่วง ด้วยความ ระมัดระวังวัและเกิดผลดีต่อตนเองและ สังคม 3. มีวินัวินัย หมายถึง การควบคุมความประพฤติให้ถูกต้องและเหมาะสมกับ จรรยา มารยาท ข้อบังคับข้อตกลง กฎหมายและศีลธรรมการรู้จักควบคุม ตนเองให้ประพฤติ ปฏิบัติตามข้อตกลง ข้อบังคับระเบียบแบบแผน และ ขนบธรรมเนียมประเพณีอันดี งามย่อมนำ มาซึ่งความสงบสุขในชีวิตวิของตน ความเป็นระเบียบเรียรีบร้อยของสังคม และประเทศชาติ 4. ใฝ่เรียรีนรู้หมายถึง การค้นคว้าว้หาความรู้หรือรืสิ่งที่เป็นประโยชน์เพื่อพัฒนา ตนเองอยู่ เสมอ 5. อยู่อย่างพอเพียง หมายถึง การมีความพอดีในการบริโริภค ใช้ทรัพยากร และเวลา ว่าว่งให้เป็นประโยชน์คำ นึงถึงฐานะและเศรษฐกิจ คิดก่อนใช้จ่าย ตามความเหมาะสมรู้ จักการเพิ่มพูนทรัพย์ด้วยการเก็บและนำ ไปใช้ให้เกิด ประโยชน์ดูแลรักษาบูรณทรัพย์ ของตนเอง มีการเก็บออมเงินไว้ตว้ามสมควร คุณลักษณะอันพึงประสงค์ของหลักสูตร และคุณลักษณะตาม ศตวรรษที่ ๒๑ 6. มุ่งมั่นในการทำ งาน หมายถึง การศึกษาเรียรีนรู้เพื่อหาข้อเท็จจริงริซึ่งอาจ พัฒนาไป สู่ความจริงริในสิ่งที่ต้องการเรียรีนรู้หรือรืต้องการหาคำ ตอบเพื่อนำ ค ตอบที่ได้นั้นมาใช้ ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ เช่น การยกระดับความรู้การนำ ไป ประยุกต์ใช้ในชีวิตวิประจำ วันวั หรือรืนำ มาสรุปเป็นความจริงริได้ 7. รักความเป็นไทย หมายถึง เข้าใจ หวงแหนความเป็นไทยซึ่งถือเป็นต้นทุน ทาง สังคมทำ ให้ทุกศาสนาสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติโดยต้องมีการ ดำ เนินชีวิตวิโดย กายสุจริตริวจีสุจริตริและมโนสุจริตริเป็นคุณลักษณะที่เกี่ยวข้อง กับการเข้าสังคมและ การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เช่น ความมีกิริยริามารยาท การปรับตัว ความตรงต่อเวลา ความสุภาพ การมีสัมมาคารวะ การพูดจา ไพเราะ และอ่อนน้อมถ่อมตน 8. มีจิตสาธารณะ หมายถึง คุณลักษณะทางจิตใจของบุคคลเกี่ยวกับการมอง เห็น คุณค่า หรือรืการให้คุณค่าแก่การมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและสิ่งต่าง ๆ ที่ เป็นสิ่ง สาธารณะที่ไม่มีผู้ใดผู้ผู้หนึ่งเป็นเจ้าของหรือรืเป็นสิ่งที่คนในสังคมเป็น เจ้าของร่วมกัน เป็นสิ่งที่สามารถสังเกตได้จากความรู้สึกนึกคิด หรือรืการกระ ทำ ที่แสดงออกมา ได้แก่


การหลีกเลี่ยงการใช้หรือรืการกระทำ ที่จะทำ ให้เกิด ความชำ รุดเสียหายต่อส่วน รวมที่ใช้ประโยชน์ร่วมกันของกลุ่มการถือเป็น หน้าที่ที่จะมีส่วนร่วมในการดูแล รักษาของส่วนรวมในวิสัวิสัยที่ตนสามารถทำ ได้ และการเคารพสิทธิในการใช้ของ ส่วนรวมที่เป็นประโยชน์ร่วมกันของกลุ่ม คุณสมบัติหรือรืทักษะที่สำ คัญ 3R8C 3R ได้แก่ Reading อ่านออก (W)Riting เขียนได้ (A)Rithmatic มีทักษะในการคำ นวณ 8C ได้แก่ Critical Thinking and Problem Solving: มีทักษะในการคิด วิเวิคราะห์ การคิด อย่างมี วิจวิารณญาณ และแก้ไขปัญหาได้ Creativity and Innovation: คิดอย่างสร้างสรรค์ คิดเชิงนวัตวักรรม Collaboration Teamwork and Leadership: ความร่วมมือ การ ทำ งานเป็นทีม และภาวะผู้นำ Communication Information and Media Literacy: ทักษะใน การสื่อสาร และ การรู้เท่าทันสื่อ Cross-cultural Understanding: ความเข้าใจความแตกต่างทาง วัฒวันธรรม กระบวนการคิดข้ามวัฒวันธรรม Computing and IT literacy: มีทักษะการใช้คอมพิวเตอร์และรู้เท่าทัน เทคโนโลยี Career and Learning Skills:ทักษะทางอาชีพ และการเรียรีนรู้ Compassion: มีความเมตตากรุณา มีคุณธรรม และมีระเบียบวินัวินัย


สมรรถนะตามศตวรรษที่ ๒๑ (กระทรวงศึกษาธิการ๒๕๕๑) กลุ่มสาระการเรียรีนรู้วิทวิยาศาสตร์และเทคโนโลยีมุ่งพัฒนาผู้เรียรีนตาม หลักสูตร แกนกลางการศึกษา ขั้นพื้นฐานมุ่งเน้นพัฒนาผู้เรียรีนให้มีคุณภาพ ตามมาตรฐาน ที่กำ หนด ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียรีนเกิดสมรรถนะสำ คัญ5 ประการ ดังนี้ 1. ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มี วัฒนธรรมในการใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และ ทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและประสบการณ์อันจะ เป็น ประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจาต่อรองเพื่อ ขจัดและ ลดปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ การเลือกรับหรือรืไม่รับข้อมูลข่าวสาร ด้วยหลัก เหตุผลและความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้วิธีวิธีการสื่อสารที่มี ประสิทธิภาพโดย คำ นึงถึงผลกระทบที่มีต่อตนเองและสังคม 2. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเวิคราะห์การคิด สังเคราะห์การคิดอย่างสร้างสรรค์การคิดอย่างมีวิจวิารณญาณ และการคิด เป็น ระบบ เพื่อนำ ไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือรืสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจ เกี่ยวกับ ตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม 3. ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและ อุปสรรคต่าง ๆ ที่เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของ เหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการ ป้องกัน และแก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดยคำ นึงถึง ผลกระทบที่ เกิดขึ้นต่อตนเอง สังคมและสิ่งแวดล้อม 4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิตวิเป็นความสามารถในการน กระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ในการดำ เนินชีวิตวิประจำ วัน การเรียรีนรู้ด้วยตนเอง การเรียรีนรู้อย่างต่อ เนื่อง การทำ งาน และการอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยการ สร้างเสริมริความสัมพันธ์อัน ดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหาและความขัด แย้งต่าง ๆอย่างเหมาะสม การ ปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคม และความขัดแย้งต่าง ๆ อย่างเหมาะ สม การปรับตัวให้ทันกับการ สมรรถนะของหลักสูตรและสมรรถนะตามศตวรรษ 21 เปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม และการรู้จักหลีกเลี่ยงพฤติกรรม ไม่พึงประสงค์ที่ส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น


5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเป็นความสามารถในการเลือกและใช้ เทคโนโลยี ด้านต่าง ๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยีเพื่อการ พัฒนาตนเองและสังคมใน ด้านการเรียรีนรู้ การสื่อสาร การทำ งาน การแก้ ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ถูกต้องเหมาะ สมและมีคุณธรรม คุณภาพผู้เรียรีน(กระทรวงศึกษาธิการ๒๕๕๑) จบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ •เข้าใจลักษณะทั่วไปของสิ่งมีชีวิตวิและการดำ รงชีวิตวิของสิ่งมีชีวิตวิรอบตัว •เข้าใจลักษณะที่ปรากฏ ชนิดและสมบัติบางประการของวัสวัดุที่ใช้ทำ วัตวัถุ และการ เปลี่ยนแปลงของวัสวัดุรอบตัว •เข้าใจการดึง การผลัก แรงแม่เหล็ก และผลของแรงที่มีต่อการ เปลี่ยนแปลง การ เคลื่อนที่ของวัตวัถุพลังงานไฟฟ้า และการผลิตไฟฟ้า การ เกิดเสียง แสงและการมอง เห็น •เข้าใจการปรากฏของดวงอาทิตย์ดวงจันทร์และดาว ปรากฏการณ์การขึ้นและตกของ ดวงอาทิตย์การเกิดกลางวันวักลางคืน การกำ หนดทิศ ลักษณะของ หิน การจำ แนก ชนิดดิน และการใช้ประโยชน์ลักษณะและความสำ คัญของอากาศ การเกิดลม ประโยชน์และโทษของลม •ตั้งคำ ถามหรือรืกำ หนดปัญหาเกี่ยวกับสิ่งที่จะเรียรีนรู้ตามที่กำ หนดให้หรือรืตามความ สนใจสังเกต สำ รวจตรวจสอบโดยใช้เครื่อรื่งมืออย่างง่าย รวบรวม ข้อมูล บันทึก และ อธิบายผลการสำ รวจ ตรวจสอบด้วยการเขียนหรือรืวาดภาพ และสื่อสารสิ่งที่เรียรีนรู้ด้วย การเล่าเรื่อรื่ง หรือรืด้วยการแสดงท่าทางเพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจ •แก้ปัญหาอย่างง่ายโดยใช้ขั้นตอนการแก้ปัญหา มีทักษะในการใช้ เทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสารเบื้องต้น รักษาข้อมูลส่วนตัว •แสดงความกระตือรือรืร้น สนใจที่จะเรียรีนรู้มีความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับ เรื่อรื่งที่จะ ศึกษาตามที่กำ หนดให้หรือรืตามความสนใจ มีส่วนร่วมในการแสดง ความคิดเห็น และ ยอมรับฟังความคิดเห็นผู้อื่น •แสดงความรับผิดชอบด้วยการทำ งานที่ได้รับมอบหมายอย่างมุ่งมั่น รอบคอบ ประหยัด ซื่อสัตย์จนงานลุล่วงเป็นผลสำ เร็จ และทำ งานร่วมกับผู้ อื่นอย่างมีความสุข •ตระหนักถึงประโยชน์ของการใช้ความรู้และกระบวนการทาง วิทวิยาศาสตร์ในการ คุณภาพผู้เรียรีน ดำ รงชีวิตวิศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ทำ โครงงานหรือรืชิ้นงานตามที่ กำ หนดให้ หรือรืตามความสนใจ


จบชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ •เข้าใจโครงสร้าง ลักษณะ เฉพาะการปรับตัวของสิ่งมีชีวิตวิรวมทั้งความ สัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตวิในแหล่งที่ อยู่ การทำ หน้าที่ของส่วนต่าง ๆ ของพืช การ ทำ งานของระบบย่อยอาหาร ของมนุษย์ •เข้าใจสมบัติและการจำ แนกกลุ่มของวัสวัดุ สถานะและการเปลี่ยนสถานะ ของ สสาร การละลาย การเปลี่ยนแปลงทางเคมีการเปลี่ยนแปลงที่ผันกลับได้ และ ผันกลับไม่ได้และการแยกสาร อย่างง่าย •เข้าใจลักษณะของแรงโน้มถ่วงของโลก แรงลัพธ์แรงเสียดทาน แรง ไฟฟ้า และ ผลของแรงต่าง ๆ ผลที่เกิดจากแรงกระทำ ต่อวัตวัถุความดัน หลักการที่มี ต่อ วัตวัถุวงจรไฟฟ้าอย่างง่าย ปรากฏการณ์เบื้องต้นของเสียง และแสง •เข้าใจปรากฏการณ์การขึ้นและตก รวมถึงการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง ปรากฏ ของดวงจันทร์องค์ประกอบของระบสุริยริะ คาบการโคจรของดาวเคราะห์ ความแตกต่างของดาวเคราะห์และดาวฤกษ์การขึ้นและตกของกลุ่ม ดาวฤกษ์ การใช้แผนที่ดาว การเกิดอุปราคา พัฒนาการและประโยชน์ของ เทคโนโลยี อวกาศ •เข้าใจลักษณะของแหล่งน้ำ วัฏวัจักรน้ำ กระบวนการเกิดเมฆ หมอก น้ำ ค้าง น้ำ ค้างแข็ง หยาดน้ำ ฟ้า กระบวนการเกิดหิน วัฏวัจักรหิน การใช ประโยชน์หิน และแร่ การเกิดซากดึกดำ บรรพ์การเกิดลมบก ลมทะเล มรสุม ลักษณะและ ผลกระทบของภัยธรรมชาติธรณีพิบัติภัยการเกิดและผลกระทบ ของ ปรากฏการณ์เรือรืนกระจก •ค้นหาข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพและประเมินความน่าเชื่อถือ ตัดสินใจ เลือก ข้อมูลใช้เหตุผลเชิงตรรกะในการแก้ปัญหา ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ และการ สื่อสารในการทำ งานร่วมกันเข้าใจสิทธิและหน้าที่ของตน เคารพ สิทธิของผู้ อื่น •ตั้งคำ ถามหรือรืกำ หนดปัญหาเกี่ยวกับสิ่งที่จะเรียรีนรู้ตามที่กำ หนดให้หรือรืตาม ความสนใจ คาดคะเนคำ ตอบหลายแนวทาง สร้างสมมติฐานที่สอดคล้องกับ คำ ถามหรือรืปัญหาที่จะสำ รวจตรวจสอบ วางแผนและสำ รวจ ตรวจสอบโดยใช้ เครื่อรื่งมือ อุปกรณ์และเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่เหมาะสม ในการเก็บรวบรวม ข้อมูลทั้งเชิงปริมริาณและคุณภาพ •วิเวิคราะห์ข้อมูล ลงความเห็น และสรุปความสัมพันธ์ของข้อมูลที่มาจาก การ สำ รวจตรวจสอบในรูปแบบที่เหมาะสม เพื่อสื่อสารความรู้จากผลการ สำ รวจ ตรวจสอบได้อย่างมีเหตุผลและหลักฐานอ้างอิง


•แสดงถึงความสนใจ มุ่งมั่น ในสิ่งที่จะเรียรีนรู้ มีความคิดสร้างสรรค์ เกี่ยวกับเรื่อรื่งที่จะศึกษาตามความสนใจของตนเอง แสดงความคิดเห็น ของ ตนเอง ยอมรับในข้อมูลที่มีหลักฐานอ้างอิง และรับฟังความคิดเห็น ผู้อื่น •แสดงความรับผิดชอบด้วยการทำ งานที่ได้รับมอบหมายอย่างมุ่งมั่น รอบคอบ ประหยัด ซื่อสัตย์จนงานลุล่วงเป็นผลสำ เร็จ และทำ งานร่วม กับผู้ อื่นอย่างสร้างสรรค์ มาก •ตระหนักในคุณค่าของความรู้วิทวิยาศาสตร์และเทคโนโลยีใช้ความรู้และ กระบวนการทางวิทวิยาศาสตร์ในการดำ รงชีวิตวิแสดงความชื่นชม ยกย่อง และเคารพสิทธิในผลงาน ของผู้คิดค้นและศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม ทำ โครงงานหรือรืชิ้นงานตามที่ กำ หนดให้หรือรืตามความสนใจ รายวิชวิาที่เปิดสอน รายวิชวิาพื้นฐานและเพิ่มเติมกลุ่มสาระการเรียรีนรู้วิทวิยาศาสตร์และ เทคโนโลยี รายวิชวิาพื้นฐาน ระดับชั้นประถมศึกษา ป. 1 - ป. 6 ว11101 วิทวิยาศาสตร์และเทคโนโลยี จำ นวน 80 ชั่วโมง ว12101 วิทวิยาศาสตร์และเทคโนโลยี จำ นวน 80 ชั่วโมง ว13101 วิทวิยาศาสตร์และเทคโนโลยี จำ นวน 80 ชั่วโมง ว14101 วิทวิยาศาสตร์และเทคโนโลยี จำ นวน 80 ชั่วโมง ว15101 วิทวิยาศาสตร์และเทคโนโลยี จำ นวน 80 ชั่วโมง ว16101 วิทวิยาศาสตร์และเทคโนโลยี จำ นวน 80 ชั่วโมง ว31102 วิทวิยาศาสตร์และเทคโนโลยี(ภาคเรียรีนที่2) 2 หน่วยกิต จำ นวน 80 ชั่วโมง


ทำ ไมต้องเรียรีนวิทวิยาศาสตร์และเทคโนโลยี(กระทรวงศึกษาธิการ๒๕๕๑) วิทวิยาศาสตร์มีบทบาทสำ คัญยิ่งในสังคมโลกปัจจุบันและอนาคต เพราะ วิทวิยาศาสตร์เกี่ยวข้องกับทุกคนทั้งในชีวิตวิประจำ วันวัและการงานอาชีพต่าง ๆ ตลอดจนเทคโนโลยี เครื่อรื่งมือเครื่อรื่งใช้และผลผลิตต่าง ๆ ที่มนุษย์ได้ ใช้เพื่ออำ นวย ความสะดวกในชีวิตวิและการทำ งาน เหล่านี้ล้วนเป็นผลของ ความรู้วิทวิยาศาสตร์ ผสมผสานกับความคิดสร้างสรรค์และศาสตร์อื่น ๆ วิทวิยาศาสตร์ช่วยให้มนุษย์ได้ พัฒนาวิธีวิธีคิด ทั้งความคิดเป็นเหตุเป็นผล คิด สร้างสรรค์ คิดวิเวิคราะห์ วิจวิารณ์ มี ทักษะสำ คัญในการค้นคว้าว้หาความรู้ มีความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างเป็น ระบบ สามารถตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลที่หลากหลายและมีประจักษ์พยานที่ตรวจสอบ ได้ วิทวิยาศาสตร์เป็น วัฒวันธรรมของโลกสมัยใหม่ซึ่งเป็นสังคมแห่งการเรียรีนรู้ (Knowledge-based-society) ดังนั้นทุกคนจึงจำ เป็นต้องได้รับการพัฒนาให้รู้ วิทวิยาศาสตร์ เพื่อที่จะมีความรู้ความเข้าใจในธรรมชาติและเทคโนโลยีที่ มนุษย์ สร้างสรรค์ขึ้น สามารถนำ ความรู้ไปใช้อย่างมีเหตุผล สร้างสรรค์ และ มีคุณธรรม เรียรีนรู้อะไรในวิทวิยาศาสตร์(กระทรวงศึกษาธิการ๒๕๖๐) กลุ่มสาระการเรียรีนรู้วิทวิยาศาสตร์มุ่งหวังวัให้ผู้เรียรีนได้เรียรีนรู้ วิทวิยาศาสตร์ ที่เน้นการ เชื่อมโยงความรู้กับกระบวนการ มีทักษะสําคัญใน การค้นคว้าว้และสร้างองค์ความรู้ โดยใช้ กระบวนการในการสืบเสาะ หาความรู้ และแก้ปัญหาที่หลากหลาย ให้ผู้ เรียรีนมีส่วนร่วมในการเรียรีนรู้ ทุก ขั้นตอน มีการทํากิจกรรมด้วยการลงมือปฏิบัติ จริงริอย่างหลากหลาย เหมาะ สมกับระดับชั้น โดยกําหนดสาระสําคัญ ดังนี้ •วิทวิยาศาสตร์ชีวภาพเรียรีนรู้เกี่ยวกับชีวิตวิในสิ่งแวดล้อมองค์ประกอบ ของสิ่งมีชีวิตวิ การดํารงชีวิตวิของมนุษย์และสัตว์ การดํารงชีวิตวิของพืช พันธุกรรม ความหลาก หลายทางชีวภาพ และวิวัวิฒวันาการของสิ่งมีชีวิตวิ •วิทวิยาศาสตร์กายภาพเรียรีนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติของสาร การ เปลี่ยนแปลงของสาร การเคลื่อนที่ พลังงาน และคลื่น •วิทวิยาศาสตร์โลก และอวกาศ เรียรีนรู้เกี่ยวกับองค์ประกอบของ เอกภพ ปฏิสัมพันธ์ ภายในระบบสุริยริะ เทคโนโลยีอวกาศ ระบบโลก การ เปลี่ยนแปลงทาง ธรณีวิทวิยา กระบวนการ เปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศ และผล ต่อสิ่งมีชีวิตวิและสิ่ง แวดล้อม


•เทคโนโลยีการออกแบบและเทคโนโลยี เรียรีนรู้เกี่ยวกับ เทคโนโลยี เพื่อการดํารงชีวิตวิ ใน สังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และ ทักษะทางด้านวิทวิยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศาสตร์อื่น ๆ เพื่อแก้ปัญหาหรือรืพัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ ด้วยกระบวนการออกแบบ เชิง วิศวิวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมโดยคํานึงถึง ผลกระทบต่อชีวิตวิสังคม และสิ่งแวดล้อม •วิทวิยาการคํานวณ เรียรีนรู้เกี่ยวกับ การคิด เชิงคํานวณ การคิด วิเวิคราะห์ แก้ปัญหา เป็นขั้น ตอนและเป็นระบบ ประยุกต์ใช้ความรู้ด้าน วิทวิยาการคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร ในการแก้ ปัญหาที่พบในชีวิตวิจริงริได้ด้วย ธรรมชาติของความรู้วิทวิยาศาสตร์และเทคโนโลยี(โรงเรียรีนพระโขนงวิทวิยาลัย) ความรู้ทางวิทวิยาศาสตร์ได้มาด้วยความพยายามของมนุษย์ที่ใช้ กระบวนการทาง วิทวิยาศาสตร์(scientific process) ในการสืบเสาะหาความรู้ (scientific inquiry) การ แก้ปัญหาโดยผ่านการสังเกตการสำ รวจตรวจสอบ (investigation) การศึกษาค้นคว้าว้ อย่างเป็นระบบและการสืบค้นข้อมูล ทำ ให้ เกิดองค์ความรู้ใหม่เพิ่มพูนตลอดเวลาความรู้และ กระบวนการดังกล่าวมีการ ถ่ายทอดต่อเนื่องกันเป็นเวลายาวนาน ความรู้วิทวิยาศาสตร์ต้อง สามารถอธิบายและตรวจสอบได้เพื่อนำ มาใช้ อ้างอิงทั้งในการสนับสนุนหรือรืโต้แย้งเมื่อมีการ ค้นพบข้อมูลหรือรืหลักฐาน ใหม่หรือรืแม้แต่ข้อมูลเดิมเดียวกันก็อาจเกิดความขัดแย้งขึ้นได้ถ้า นัก วิทวิยาศาสตร์แปลความหมายด้วยวิธีวิธีการหรือรืแนวคิดที่แตกต่างกัน ความรู้ วิทวิยาศาสตร์ จึงอาจเปลี่ยนแปลงได้ วิทวิยาศาสตร์เป็นเรื่อรื่งที่ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมได้ไม่ว่าว่จะอยู่ในส่วน ใดของโลกวิทวิยาศาสตร์จึงเป็นผลจากการสร้างเสริมริความรู้ของบุคคล การ สื่อสารและการ เผยแพร่ข้อมูลเพื่อให้เกิดความคิดในเชิงวิเวิคราะห์วิจวิารณ์ มี ผลให้ความรู้วิทวิยาศาสตร์เพิ่มขึ้น อย่างไม่หยุดยั้งและส่งผลต่อคนในสังคม และสิ่งแวดล้อม การศึกษาค้นคว้าว้และการใช้ความ รู้ทางวิทวิยาศาสตร์จึงต้อง อยู่ภายในขอบเขตคุณธรรมจริยริธรรม เป็นที่ยอมรับของสังคม และเป็นการ รักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ความรู้วิทวิยาศาสตร์เป็นพื้นฐานที่สำ คัญในการ พัฒนาเทคโนโลยี เทคโนโลยีเป็นกระบวนการในงานต่างๆหรือรืกระบวนการพัฒนาปรับปรุง ผลิตภัณฑ์ โดยอาศัยความรู้วิทวิยาศาสตร์ร่วมกับศาสตร์อื่นๆ ทักษะ ประสบการณ์ จินตนาการและความคิดริเริริ่มริ่สร้างสรรค์ของมนุษย์ โดยมีจุด มุ่งหมายที่จะให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ ตอบสนองความต้องการและแก้ปัญหาของ มวลมนุษย์ เทคโนโลยีเกี่ยวข้องกับทรัพยากร กระบวนการและระบบการ จัดการ จึงต้องใช้เทคโนโลยีในทางสร้างสรรค์ต่อสังคมและสิ่ง แวดล้อม


เป้าหมายสำ คัญของการจัดการเรียรีนการสอนวิทวิยาศาสตร์(กระทรวง ศึกษาธิการ๒๕๖๐) วิทวิยาศาสตร์เป็นเรื่อรื่งของการเรียรีนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติโดยมนุษย์ใช้ กระบวนการสังเกต สำ รวจ และการทดลองเกี่ยวกับปรากฏการณ์ธรรมชาติ และนำ ผลมาจัดระบบ หลักการ แนวคิด และทฤษฎี ดังนั้นการเรียรีนการสอน วิทวิยาศาสตร์จึงมุ่งเน้นให้ผู้เรียรีนได้เป็นผู้เรียรีนรู้และค้นพบด้วยตนเองมาก ที่สุด นั่นคือให้ได้ทั้งกระบวนการและองค์ความรู้ ตั้งแต่วัยวัแรกเริ่มริ่ก่อนเข้า เรียรีน เมื่ออยู่ในสถานศึกษา และเมื่อออกจากสถานศึกษาไปประกอบอาชีพ แล้วการจัดการเรียรีนการสอนวิทวิยาศาสตร์ในสถานศึกษามีเป้าหมายสำ คัญ ดังนี้ 1. เพื่อให้เข้าใจหลักการ ทฤษฎีที่เป็นพื้นฐานวิทวิยาศาสตร์ 2. เพื่อให้เข้าใจขอบเขต ธรรมชาติ และข้อจำ กัดของวิทวิยาศาสตร์ 3. เพื่อให้มีทักษะสำ คัญในการศึกษาค้นคว้าว้ทางวิทวิยาศาสตร์และ เทคโนโลยี 4. เพื่อพัฒนากระบวนการคิดและจินตนาการ ความสามารถในการแก้ ปัญหา และการ จัดการทักษะในการสื่อสาร และความสามารถในการตัดสิน ใจ 5. เพื่อให้ตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหว่าว่งวิทวิยาศาสตร์ เทคโนโลยี มวล มนุษย์และ สภาพแวดล้อมในเชิงที่มีอิทธิพลและผลกระทบซึ่งกันและกัน 6. เพื่อนำ ความรู้ความเข้าใจในเรื่อรื่งวิทวิยาศาสตร์และเทคโนโลยีใช้ให้เกิด ประโยชน์ ต่อสังคม และการดำ รงชีวิตวิ 7. เพื่อให้เป็นคนมีจิตวิทวิยาศาสตร์ มีคุณธรรม จริยริธรรม และค่านิยม ใน การ ใช้วิทวิยาศาสตร์ และเทคโนโลยีอย่างสร้างสรรค์ แนวการสร้างการเรียรีนรู้วิทวิยาศาสตร์ สำ หรับหลักสูตรนักเรียรีนระดับประถม ศึกษา องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (Organization for Economic Corporation and Development : OECD) ให้ความหมาย การรู้ วิทวิยาศาสตร์ว่าว่เป็น“ความสามารถที่จะใช้ความรู้ทางวิทวิยาศาสตร์เพื่อที่ จะ ตอบคำ ถามและเพื่อสรุปข้อมูลโดยอาศัยหลักฐานทำ ให้


เข้าใจและช่วยใน การตัดสินใจในเรื่อรื่งโลกธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจาก การกระ ทำ ของมนุษย์”จะเห็นว่าว่การรู้วิทวิยาศาสตร์นั้นจะต้องเน้นทั้งความรู้ทาง วิทวิยาศาสตร์และการรู้กระบวนการวิทวิยาศาสตร์ที่จำ เป็นต่อการพัฒนาซึ่งจะ เกี่ยวข้อง กับความเข้าใจวิทวิยาศาสตร์อันได้แก่ความรู้ทางวิทวิยาศาสตร์ที่ใช้ เพื่อตอบคำ ถามและ เพื่อสรุปข้อมูลจากหลักฐานเพื่อให้เข้าใจและช่วยในการ ตัดสินใจ 1.ธรรมชาติของวิทวิยาศาสตร์ (nature of science) บุคคลผู้รู้วิทวิยาศาสตร์ เข้าใจ ในธรรมชาติของวิทวิยาศาสตร์และความรู้เชิงวิทวิยาศาสตร์ โดยการใช้ ประสบการณ์ ทางวิทวิยาศาสตร์จะทำ ให้ผู้เรียรีนได้สืบเสาะและค้นพบความรู้ ทางวิทวิยาศาสตร์ด้วยตัว เอง 2. แนวคิดวิทวิยาศาสตร์ที่สำ คัญ (key science concepts) บุคคลผู้รู้ วิทวิยาศาสตร์ เข้าใจและสามารถนำ เอาแนวคิด หลักการ กฎ และทฤษฎีทาง วิทวิยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้กับสังคมและสิ่งแวดล้อมรอบตัวได้ 3. กระบวนการทางวิทวิยาศาสตร์ (processes of science) บุคคลผู้รู้ วิทวิยาศาสตร์สามารถใช้กระบวนการทางวิทวิยาศาสตร์เพื่อแก้ปัญหา ตัดสิน ใจ และ ทำ ความเข้าใจในสังคมและสิ่งแวดล้อมได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น 4. ความสัมพันธ์กันระหว่าว่งวิทวิยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม(sciencetechnologysociety-environment-interrelationships) ตระหนักถึงคุณค่าใน ความ สัมพันธ์ของวิทวิยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมไปถึงผลกระทบที่มีต่อ สังคมและสิ่ง แวดล้อม 5. ทักษะทางวิทวิยาศาสตร์และทางเทคนิค (scientific and technical skills) บุคคลผู้รู้วิทวิยาศาสตร์ได้พัฒนาตนเองให้เกิดทักษะการใช้ร่างกาย สำ หรับ การปฏิบัติ การในส่วนที่เกี่ยวข้องกับวิทวิยาศาสตร์และเทคโนโลยี แนวการสร้างการรู้วิทวิยาศาสตร์ สำ หรับหลักสูตรนักเรียรีนระดับประถมศึกษา 6. คุณค่า (values) ที่แสดงความเป็นวิทวิยาศาสตร์ บุคคลผู้รู้วิทวิยาศาสตร์มี ปฏิสัมพันธ์กับสังคมและสิ่งแวดล้อมในวิถีวิถีทางที่สอดคล้องกบคุณค่าที่แสดง ความ เป็นวิทวิยาศาสตร์ 7. ความสนใจและทัศนคติที่เกี่ยวข้องกับวิทวิยาศาสตร์ (science-related interests and attitudes) บุคลลผู้รู้วิทวิยาศาสตร์ได้พัฒนาตนเองให้มีมุมมอง ใน วิทวิยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นเอกลักษณ์ และ สานต่อเพื่อ ขยายการศึกษาไปตลอดชีวิตวิ


สาระและมาตรฐานการเรียรีนรู้(กระทรวงศึกษาธิการ๒๕๖๐) สาระที่ ๑ วิทวิยาศาสตร์ชีวภาพ • มาตรฐาน ว ๑.๑ เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ ระหว่าว่งสิ่ง ไม่มีชีวิตวิกับสิ่งมีชีวิตวิและความสัมพันธ์ระหว่าว่งสิ่งมีชีวิตวิกับสิ่งมี ชีวิตวิต่าง ๆ ในระบบ นิเวศการถ่ายทอดพลังงาน การเปลี่ยนแปลงแทนที่ใน ระบบนิเวศ ความหมายของ ประชากร ปัญหาและผลกระทบที่มีต่อ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแนวทางใน การอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติและการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมรวมทั้งนำ ความรู้ไปใช้ ประโยชน์ • มาตรฐาน ว ๑.๒ เข้าใจสมบัติของสิ่งมีชีวิตวิหน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตวิการลำ เลียง สารเข้าและออกจากเซลล์ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ ของระบบต่าง ๆ ของ สัตว์แว์ละมนุษย์ที่ทำ งานสัมพันธ์กัน ความสัมพันธ์ของ โครงสร้างและหน้าที่ของอวัยวัวะ ต่าง ๆ ของพืชที่ทำ งานสัมพันธ์กัน รวมทั้งน ความรู้ไปใช้ประโยชน์ • มาตรฐาน ว ๑.๓ เข้าใจกระบวนการและความสำ คัญของการถ่ายทอด ลักษณะทาง พันธุกรรม สารพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมที่มีผล ต่อสิ่งมีชีวิตวิความ หลากหลายทางชีวภาพและวิวัวิฒวันาการของสิ่งมีชีวิตวิรวม ทั้งนำ ความรู้ไปใช้ประโยชน์ สาระและมาตรฐานการเรียรีนรู้ สาระที่ ๒ วิทวิยาศาสตร์กายภาพ • มาตรฐาน ว ๒.๑เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ ระหว่าว่งสมบัติของสสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่าว่งอนุภาค หลักและ ธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกิด ปฏิกิริยริาเคมี • มาตรฐาน ว ๒.๒ เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตวิประจำ วันวัผลของแรงที่กระท ต่อ วัตวัถุ ลักษณะการเคลื่อนที่แบบต่าง ๆ ของวัตวัถุรวมทั้งนำ ความรู้ไปใช้ประโยชน์ • มาตรฐาน ว ๒.๓ เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการ ถ่ายโอน พลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่าว่งสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตวิประจำ วันวัธรรมชาติ ของคลื่น ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเสียง แสง และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า รวมทั้งนำ ความรู้ไปใช้ประโยชน์


สาระที่ ๓ วิทวิยาศาสตร์โลก และอวกาศ • มาตรฐาน ว ๓.๑ เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และ วิวัวิฒวันาการ ของเอกภพกาแล็กซีดาวฤกษ์และระบบสุริยริะ รวมทั้ง ปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยริะ ที่ส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตวิและการประยุกต์ใช้ เทคโนโลยีอวกาศ • มาตรฐาน ว ๓.๒ เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลงภายในโลกและบนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการ เปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศโลก รวมทั้งผลต่อสิ่ง มีชีวิตวิและสิ่ง แวดล้อม สาระที่ ๔ เทคโนโลยี • มาตรฐาน ว ๔.๑ เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยีเพื่อการดำ รงชีวิตวิใน สังคมที่ มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้าน วิทวิยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และศาสตร์อื่น ๆ เพื่อแก้ปัญหาหรือรืพัฒนางาน อย่างมีความคิด สร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวิวกรรม เลือก ใช้เทคโนโลยีอย่าง เหมาะสมโดยคำ นึงถึงผลกระทบต่อชีวิตวิสังคม และสิ่ง แวดล้อม • มาตรฐาน ว ๔.๒ เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคำ นวณในการแก้ปัญหาที่พบใน ชีวิตวิจริงริอย่างเป็นขั้นตอนและเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการ สื่อสารใน การเรียรีนรู้การทำ งาน และการแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ รู้เท่าทัน และมี จริยริธรรม สาระวิทวิยาศาสตร์เพิ่มเติม สาระชีววิทวิยา ๑.เข้าใจธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตวิการศึกษาชีววิทวิยาและวิธีวิธีการทาง วิทวิยาศาสตร์สารที่เป็นองค์ประกอบของสิ่งมีชีวิตวิ ปฏิกิริยริาเคมีในเซลล์ของ สิ่งมี ชีวิตวิกล้องจุลทรรศน์ โครงสร้างและหน้าที่ของเซลล์การลำ เลียงสาร เข้าและออก จากเซลล์การแบ่งเซลล์และการหายใจระดับเซลล์


๒.เข้าใจการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม การถ่ายทอดยีนบนโครโมโซม สมบัติ และหน้าที่ของสารพันธุกรรม การเกิดมิวเทชัน เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ หลัก ฐาน ข้อมูลและแนวคิดเกี่ยวกับวิวัวิฒวันาการของสิ่งมีชีวิตวิภาวะสมดุลของฮาร์ดี-ไวน์ เบิร์ก การเกิดสปีชีส์ใหม่ ความหลากหลายทางชีวภาพ กำ เนิดของสิ่งมีชีวิตวิความ หลากหลายของสิ่งมีชีวิตวิและอนุกรมวิธวิาน รวมทั้งนำ ความรู้ไปใช้ประโยชน์ ๓.เข้าใจส่วนประกอบของพืช การแลกเปลี่ยนแก๊สและคายน้ำ ของพืช การลำ เลียง ของพืช การสังเคราะห์ด้วยแสง การสืบพันธุ์ของพืชดอกและการเจริญริเติบโต และ การตอบสนองของพืช รวมทั้งนำ ความรู้ไปใช้ประโยชน์ ๔. เข้าใจการย่อยอาหารของสัตว์แว์ละมนุษย์การหายใจและการแลกเปลี่ยนแก๊ส การ ลำ เลียงสารและการหมุนเวียวีนเลือด ภูมิคุ้มกันของร่างกาย การขับถ่าย การ รับรู้ และการตอบสนองการเคลื่อนที่ การสืบพันธุ์และการเจริญริเติบโต ฮอร์โมนกับ การ รักษาดุลยภาพ และพฤติกรรมของสัตว์รว์วมทั้งนำ ความรู้ไปใช้ประโยชน์ ๕.เข้าใจแนวคิดเกี่ยวกับระบบนิเวศ กระบวนการถ่ายทอดพลังงานและการ หมุนเวียวีนสารในระบบนิเวศ ความหลากหลายของไบโอม การเปลี่ยนแปลงแทนที่ ของสิ่งมีชีวิตวิในระบบนิเวศประชากรและรูปแบบการเพิ่มของประชากร ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปัญหาและผลกระทบที่เกิดจากการใช้ ประโยชน์และแนวทางการแก้ไขปัญหา สาระเคมี ๑.เข้าใจโครงสร้างอะตอม การจัดเรียรีงธาตุในตารางธาตุ สมบัติของธาตุ พันธะเคมี และสมบัติของสาร แก๊สและสมบัติของแก๊ส ประเภทและสมบัติของสารประกอบ อินทรีย์รีย์และพอลิเมอร์รวมทั้งการนำ ความรู้ไปใช้ประโยชน์ ๒.เข้าใจการเขียนและการดุลสมการเคมีปริมริาณสัมพันธ์ในปฏิกิริยริาเคมีอัตราการ เกิด ปฏิกิริยริาเคมีสมดุลในปฏิกิริยริาเคมีสมบัติและปฏิกิริยริาของกรด-เบส ปฏิกิริยริา รีดรีอกซ์และเซลล์เคมีไฟฟ้า รวมทั้งการนำ ความรู้ไปใช้ประโยชน์ ๓.เข้าใจหลักการทำ ปฏิบัติการเคมีการวัดวั ปริมริาณสาร หน่วยวัดวัและการเปลี่ยน หน่วย การคำ นวณปริมริาณของสาร ความเข้มข้นของสารละลาย รวมทั้งการบูรณา การความรู้ และทักษะในการอธิบายปรากฏการณ์ในชีวิตวิประจำ วันวัและการแก้ ปัญหาทางเคมี


สาระฟิสิกส์ ๑.เข้าใจธรรมชาติทางฟิสิกส์ ปริมริาณและกระบวนการวัดวัการเคลื่อนที่แนวตรง แรงและกฎ การเคลื่อนที่ของนิวตัน กฎความโน้มถ่วงสากล แรงเสียดทานสมดุลกลของ วัตวัถุ งานและ กฎการอนุรักษ์พลังงานกล โมเมนตัมและกฎการอนุรักษ์โมเมนตัม การ เคลื่อนที่แนวโค้ง รวมทั้งนำ ความรู้ไปใช้ประโยชน์ ๒.เข้าใจการเคลื่อนที่แบบฮาร์มอนิกส์อย่างง่าย ธรรมชาติของคลื่น เสียงและ การได้ยิน ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเสียง แสงและการเห็น ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้อง กับแสง รวม ทั้งนำ ความรู้ไปใช้ประโยชน์ ๓.เข้าใจแรงไฟฟ้าและกฎของคูลอมบ์สนามไฟฟ้า ศักย์ไฟฟ้า ความจุไฟฟ้า กระแสไฟฟ้า และ กฎของโอห์ม วงจรไฟฟ้ากระแสตรง พลังงานไฟฟ้าและกำ ลังไฟฟ้า การเปลี่ยน พลังงาน ทดแทนเป็นพลังงานไฟฟ้า สนามแม่เหล็ก แรงแม่เหล็กที่กระทำ กับประจุไฟฟ้า และกระแส ไฟฟ้า การเหนี่ยวนำ แม่เหล็กไฟฟ้าและกฎของฟาราเดย์ ไฟฟ้ากระแสสลับ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและการสื่อสาร รวมทั้งนำ ความรู้ไปใช้ประโยชน์ ๔.เข้าใจความสัมพันธ์ของความร้อนกับการเปลี่ยนอุณหภูมิและสถานะของสสาร สภาพ ยืดหยุ่นของวัสวัดุและมอดุลัสของยัง ความดันในของไหล แรงพยุง และหลักขอ งอาร์คิมีดีส ความตึงผิวและแรงหนืดของของเหลว ของไหลอุดมคติและสมการแบร์นูลลี กฎของแก๊ส ทฤษฎีจลน์ของแก๊สอุดมคติและพลังงานในระบบ ทฤษฎีอะตอมของโบร์ ปรากฏการณ์โฟโต อิเล็กทริกริทวิภวิาวะของคลื่นและอนุภาค กัมมันตภาพรังสีแรง นิวเคลียร์ ปฏิกิริยริานิวเคลียร์ พลังงานนิวเคลียร์ ฟิสิกส์อนุภาค รวมทั้งนำ ความรู้ไปใช้ ประโยชน์ สาระโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ ๑. เข้าใจกระบวนการเปลี่ยนแปลงภายในโลก ธรณีพิบัติภัย และผลต่อสิ่งมีชีวิตวิและสิ่ง แวดล้อม รวมทั้งการศึกษาลำ ดับชั้นหิน ทรัพยากรธรณี แผนที่และการนำ ไปใช้ประโยชน์ ๒. เข้าใจสมดุลพลังงานของโลก การหมุนเวียวีนของอากาศบน โลก การหมุนเวียวีนของน้ำ ใน มหาสมุทร การเกิดเมฆ การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลกและผล ต่อสิ่งมีชีวิตวิและสิ่งแวดล้อม รวมทั้ง การพยากรณ์อากาศ ๓. เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และ วิวัวิฒวันาการของเอกภพ กาแล็กซี ดาวฤกษ์และระบบสุริยริะ ความสัมพันธ์ของดาราศาสตร์กับ มนุษย์จากการศึกษาตำ แหน่ง ดาวบนทรงกลมฟ้าและปฏิสัมพันธ์ภายใน ระบบสุริยริะ รวมทั้งการ ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศ


โครงสร้างหลักสูตรสถานศึกษา ระดับประถมศึกษา กลุ่มสาระการเรียรีนรู้วิทวิยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 วิชวิาวิทวิยาศาสตร์ 1 รหัสวิชวิาว11101 2 ชั่วโมง/สัปดาห์ 40 ชั่วโมง/ปี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 วิชวิาวิทวิยาศาสตร์ 2 รหัสวิชวิา ว12101 2 ชั่วโมง/สัปดาห์ 40 ชั่วโมง/ปี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 วิชวิาวิทวิยาศาสตร์ 3 รหัสวิชวิา ว13101 2 ชั่วโมง/สัปดาห์ 40 ชั่วโมง/ปี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 วิชวิาวิทวิยาศาสตร์ 4 รหัสวิชวิา ว14101 2 ชั่วโมง/สัปดาห์ 120 ชั่วโมง/ปี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 วิชวิาวิทวิยาศาสตร์ 5 รหัสวิชวิา ว15101 2 ชั่วโมง/สัปดาห์ 120 ชั่วโมง/ปี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 วิชวิาวิทวิยาศาสตร์ 6 รหัสวิชวิา ว16101 2 ชั่วโมง/สัปดาห์ 120 ชั่วโมง/ปี


ตัวชี้วัดวัและสาระการเรียรีนรู้แกนกลาง ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 สาระที่1 วิทวิยาศาสตร์ชีวภาพ มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่าว่งสิ่งไม่มีชีวิตวิกับสิ่งมี ชีวิตวิและความสัมพันธ์ระหว่าว่งสิ่งมีชีวิตวิกับสิ่งมีชีวิตวิต่าง ๆ ในระบบนิเวศ การถ่ายทอดพลังงาน การ เปลี่ยนแปลงแทนที่ในระบบนิเวศ ความหมายของประชากรปัญหาและผลกระทบที่มีต่อ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แนวทางในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการแก้ไขปัญหา สิ่งแวดล้อมรวมทั้งนำ ความรู้ไปใช้ประโยชน์ รหัสตัวชี้วัดวั ตัวชี้วัดวั สาระการเรียรีนรู้แกนกลาง - - - มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัติของสิ่งมีชีวิตวิหน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตวิการลาเลียงสารผ่านเซลล์ ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าที่ของระบบต่าง ๆ ของสัตว์แว์ละมนุษย์ที่ทางานสัมพันธ์กัน ความ สัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าที่ของอวัยวัวะต่าง ๆ ของพืชที่ทางานสัมพันธ์กันรวมทั้งนำ ความรู้ไปใช้ ประโยชน์ รหัสตัวชี้วัดวั ตัวชี้วัดวั สาระการเรียรีนรู้แกนกลาง ว 1.2 ป 6/1 1. ระบุสารอาหารและบอกประโยชน์ของสารอาหารแต่ละประเภทจากอาหารที่ตนเองรับประทาน - สารอาหารที่อยู่ในอาหารมี 6 ประเภท ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน เกลือแร่ วิตวิามินและน้ำ - อาหารแต่ละชนิดประกอบด้วยสารอาหาร ที่ แตกต่างกัน อาหารบางอย่างประกอบด้วยสารอาหาร ประเภทเดียว อาหารบางย่างประกอบด้วยสารอาหารมากกว่าว่หนึ่งประเภท - สารอาหารแต่ละประเภทมีประโยชน์ต่อร่างกายแตกต่างกัน โดยคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน เป็นสารอาหารที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย ส่วนเกลือแร่ วิตวิามินและน้ำ เป็นสารอาหารที่ไม่ให้พลังงานแก่ ร่างกาย แต่ช่วยให้ร่างกายทำ งานได้เป็นปกติ – การรับประทานอาหารเพื่อให้ร่างกายเจริญริเติบโต มี การเปลี่ยนแปลงของร่างกายตามเพศและวัยวัและ มีสุขภาพดี จำ เป็นต้องรับประทานให้ได้พลังงาน เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย และให้ได้สารอาหารครบถ้วนในสัดส่วนที่เหมาะสมกับเพศ และ วัยวัรวมทั้งต้องคำ นึงถึงชนิดและปริมริาณของวัตวัถุ เจือปนในอาหารเพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพ


ว 1.2 ป 6/2 2. บอกแนวทางในการเลือกรับประทานอาหารให้ได้สารอาหารครบถ้วนในสัดส่วนที่ เหมาะสมกับเพศและวัยวัรวมทั้งความปลอดภัยต่อสุขภาพ ว 1.2 ป 6/3 3. ตระหนักถึงความสำ คัญของสารอาหาร โดยการเลือกรับประทานอาหารที่มีสารอำ หารครบถ้วนในสัดส่วนที่เหมาะสมกับเพศและวัยวัรวมทั้งปลอดภัยต่อสุขภาพ ว 1.2 ป 6/4 4. สร้างแบบจำ ลองระบบย่อยอาหาร และบรรยายหน้าที่ของอวัยวัวะในระบบย่อย อาหาร รวมทั้งอธิบายการย่อยอาหารและการดูดซึมสารอาหาร - ระบบย่อยอาหารประกอบด้วยอวัยวัวะต่าง ๆ ได้แก่ ปาก หลอดอาหาร กระเพาะ อาหาร ลำ ไส้เล็ก ลำ ไส้ใหญ่ ทวารหนัก ตับ และตับอ่อน ซึ่งทำ หน้าที่ร่วมกันในการ ย่อยและดูดซึมสารอาหาร - ปาก มีฟันช่วยบดเคี้ยวอำ หารให้มีขนาดเล็กลงและมีลิ้นช่วยคลุกเคล้าอาหารกับ น้ำ ลาย ในน้ำ ลาย มีเอนไซม์ย่อยแป้งให้เป็นน้ำ ตาล – หลอดอาหาร ทำ หน้าที่ลำ เลียงอาหารจากปาก ไปยังกระเพาะอาหาร ภายใน กระเพาะอาหารมีการย่อยโปรตีนโดยกรดและเอนไซม์ที่สร้างจากกระเพาะอาหาร - ลำ ไส้เล็กมีเอนไซม์ที่สร้างจากผนังลำ ไส้เล็กเองและจากตับอ่อนที่ช่วยย่อยโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน โดยโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน ที่ผ่านการย่อยจนเป็น สารอาหารขนาดเล็กพอที่จะ ดูดซึมได้ รวมถึงน้ำ เกลือแร่ และวิตวิามิน จะถูกดูดซึม ที่ ผนังลำ ไส้เล็กเข้าสู่กระแสเลือด เพื่อลำ เลียงไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน จะถูกนำ ไปใช้เป็นแหล่งพลังงานสำ หรับใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ ส่วนน้ำ เกลือแร่ และวิตวิามิน จะช่วยให้ร่างกายทำ งานได้เป็นปกติ - ตับสร้างน้ำ ดีแล้วส่งมายังลำ ไส้เล็กช่วยให้ไขมันแตกตัว - ลำ ไส้ใหญ่ทำ หน้าที่ดูดน้ำ และเกลือแร่ เป็นบริเริวณที่มีอาหารที่ย่อยไม่ได้ หรือรืย่อยไม่ หมด เป็นกากอาหาร ซึ่งจะถูกกำ จัดออกทางทวารหนัก - อวัยวัวะต่าง ๆ ในระบบย่อยอาหาร มีความสำ คัญ จึงควรปฏิบัติตน ดูแลรักษา อวัยวัวะให้ทำ งานเป็นปกติ


ว 1.2 ป 6/5 5. ตระหนักถึงความสำ คัญของระบบย่อยอาหาร โดยการบอกแนวทางในการดูแลรักษาอวัยวัวะ ในระบบย่อยอาหารให้ทำ งานเป็นปกติ มาตรฐาน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสำ คัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สารพันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมที่มีผลต่อสิ่งมีชีวิตวิความหลากหลายทางชีวภาพ และวิวัวิฒวันาการของสิ่งมีชีวิตวิรวมทั้งนำ ความรู้ไปใช้ประโยชน์ รหัสตัวชี้วัดวั ตัวชี้วัดวั สาระการเรียรีนรู้แกนกลาง - - - สาระที่ 2 วิทวิยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่าว่งสมบัติ ของสสารกับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่าว่งอนุภาค หลักและธรรมชาติของการ เปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏิกิริยริาเคมี รหัสตัวชี้วัดวั ตัวชี้วัดวั สาระการเรียรีนรู้แกนกลาง ว 2.1 ป 6/1 1. อธิบายและเปรียรีบเทียบการแยกสารผสม โดยการหยิบออก การร่อน การใช้แม่เหล็กดึงดูด การรินริออก การกรอง และการตกตะกอน โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ รวมทั้งระบุวิธีวิธีแก้ปัญหา ในชีวิตวิประจำ วันวัเกี่ยวกับการแยกสาร - สารผสมประกอบด้วยสารตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปผสมกัน เช่น น้ำ มันผสมน้ำ ข้าวสารปนกรวด ทราย วิธีวิธีการ ที่เหมาะสมในการแยกสารผสมขึ้นอยู่กับลักษณะและสมบัติของสารที่ผสมกันถ้า องค์ประกอบของสารผสมเป็นของแข็งกับของแข็งที่มีขนาดแตกต่างกันอย่างชัดเจน อาจใช้วิธีวิธี การหยิบออกหรือรืการร่อนผ่านวัสวัดุ ที่มีรู ถ้ำ มีสารใดสารหนึ่งเป็นสารแม่เหล็กอาจใช้วิธีวิธีการใช้ แม่เหล็กดึงดูด ถ้ำ องค์ประกอบเป็นของแข็ง ที่ไม่ละลายในของเหลว อาจใช้วิธีวิธีการรินริออก การกรอง หรือรืการตกตะกอน ซึ่งวิธีวิธีการแยกสาร สามารถนำ ไปใช้ประโยชน์ในชีวิตวิประจำ วันวั ได้


มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตวิประจำ วันวัผลของแรงที่กระทาต่อวัตวัถุ ลักษณะการเคลื่อนที่แบบต่าง ๆ ของวัตวัถุ รวมทั้งนำ ความรู้ไปใช้ประโยชน์ รหัสตัวชี้วัดวั ตัวชี้วัดวั สาระการเรียรีนรู้แกนกลาง ว 2.2 ป 6/1 1. อธิบายการเกิดและผลของแรงไฟฟ้าซึ่งเกิดจากวัตวัถุที่ผ่านการขัดถูโดยใช้หลักฐานเชิง ประจักษ์ - วัตวัถุ ๒ ชนิดที่ผ่านการขัดถูแล้ว เมื่อนำ เข้าใกล้กัน อาจดึงดูดหรือรืผลักกัน แรงที่เกิดขึ้นนี้เป็น แรงไฟฟ้า ซึ่งเป็นแรงไม่สัมผัส เกิดขึ้นระหว่าว่งวัตวัถุที่มีประจุไฟฟ้า ซึ่งประจุไฟฟ้ามี 2 ชนิด คือ ประจุไฟฟ้าบวกและประจุไฟฟ้าลบ วัตวัถุที่มีประจุไฟฟ้าชนิดเดียวกันผลักกัน ชนิดตรงข้ามกัน ดึงดูดกัน มาตรฐาน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่าว่งสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตวิประจำ วันวัธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเสียง แสง และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า รวมทั้งนำ ความรู้ไปใช้ประโยชน์ รหัสตัวชี้วัดวั ตัวชี้วัดวั สาระการเรียรีนรู้แกนกลาง ว 2.3 ป 6/1 1. ระบุส่วนประกอบและบรรยายหน้าที่ ของแต่ละส่วนประกอบของวงจรไฟฟ้า อย่างง่ายจาก หลักฐานเชิงประจักษ์ - วงจรไฟฟ้าอย่างง่ายประกอบด้วยแหล่งกำ เนิดไฟฟ้า สายไฟฟ้า และเครื่อรื่งใช้ไฟฟ้าหรือรื อุปกรณ์ไฟฟ้า แหล่งกำ เนิดไฟฟ้า เช่น ถ่านไฟฉาย หรือรืแบตเตอรี่ ทำ หน้าที่ให้พลังงานไฟฟ้า สายไฟฟ้าเป็นตัวนำ ไฟฟ้าทำ หน้าที่เชื่อมต่อระหว่าว่งแหล่งกำ เนิดไฟฟ้า และเครื่อรื่งใช้ไฟฟ้าเข้าด้วย กัน เครื่อรื่งใช้ไฟฟ้ามีหน้าที่เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานอื่น ว 2.3 ป 6/2 2. เขียนแผนภาพและต่อวงจรไฟฟ้าอย่างง่าย ว 2.3 ป 6/3 3. ออกแบบกำ รทดลองและทดลองด้วยวิธีวิธี ที่เหมาะสมในการอธิบายวิธีวิธีการและผลของการต่อเซลล์ไฟฟ้าแบบอนุกรม - เมื่อนำ เซลล์ไฟฟ้าหลายเซลล์มาต่อเรียรีงกัน โดยให้ขั้วบวกของเซลล์ไฟฟ้าเซลล์หนึ่งต่อกับ ขั้วลบของอีกเซลล์หนึ่งเป็นการต่อแบบอนุกรม ทำ ให้มีพลังงานไฟฟ้าเหมาะสมกับเครื่อรื่งใช้ ไฟฟ้า ซึ่งการต่อเซลล์ไฟฟ้าแบบอนุกรมสามารถนำ ไปใช้ประโยชน์ในชีวิตวิประจำ วันวัเช่น การต่อ เซลล์ไฟฟ้าในไฟฉาย ว 2.3 ป 6/4 4. ตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้ของการต่อ เซลล์ไฟฟ้าแบบอนุกรมโดยบอกประโยชน์และการประยุกต์ใช้ในชีวิตวิประจำ วันวั


ว 2.3 ป 6/5 5. ออกแบบการทดลองและทดลองด้วยวิธีวิธี ที่เหมาะสมในการอธิบายการต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมและแบบขนาน - การต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมเมื่อถอดหลอดไฟฟ้าดวงใดดวงหนึ่งออกทำ ให้หลอดไฟฟ้า ที่เหลือดับทั้งหมด ส่วนการต่อหลอดไฟฟ้าแบบขนาน เมื่อถอดลอดไฟฟ้าดวงใดดวงหนึ่ง ออก หลอดไฟฟ้าที่เหลือ ก็ยังสว่าว่งได้ การต่อหลอดไฟฟ้าแต่ละแบบสามารถนำ ไปใช้ประโยชน์ได้ เช่น การต่อหลอด ไฟฟ้าหลายดวงในบ้านจึงต้องต่อหลอดไฟฟ้าแบบขนานเพื่อเลือกใช้หลอดไฟฟ้าดวงใดดวง หนึ่งได้ตามต้องการ ว 2.3 ป 6/6 6. ตระหนักถึงประโยชน์ของความรู้ของการต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมและแบบขนาน โดย บอกประโยชน์ ข้อจำ กัด และการประยุกต์ใช้ในชีวิตวิประจำ วันวั ว 2.3 ป 6/7 7. อธิบายการเกิดเงามืดเงามัวจากหลักฐาน เชิงประจักษ์ - เมื่อนำ วัตวัถุทึบแสงมากั้นแสงจะเกิดเงาบนฉากรับแสงที่อยู่ด้านหลังวัตวัถุ โดยเงามีรูปร่าง คล้ายวัตวัถุที่ทำ ให้เกิดเงา เงามัวเป็นบริเริวณที่มีแสงบางส่วนตกลงบนฉาก ส่วนเงามืดเป็น บริเริวณที่ไม่มีแสงตกลงบนฉากเลย ว 2.3 ป 6/8 8. เขียนแผนภาพรังสีของแสงแสดงการเกิดเงามืดเงามัว สาระที่ 3 วิทวิยาศาสตร์โลก และอวกาศ มาตรฐาน ว 3.1 เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัวิฒวันาการของ เอกภพ กาแล็กซีดาวฤกษ์ และระบบสุริยริะ รวมทั้งปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยริะที่ส่งผลต่อ สิ่งมีชีวิตวิและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศ


ว 3.1 ป 6/1 1. สร้างแบบจำ ลองที่อธิบายการเกิด และเปรียรีบเทียบปรากฏการณ์สุริยุริยุปราคา และจันทรุปราคา - เมื่อโลกและดวงจันทร์ โคจรมาอยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกันกับดวงอาทิตย์ในระยะทางที่เหมาะสม ทำ ให้ดวงจันทร์ บังดวงอาทิตย์ เงาของดวงจันทร์ทอดมายังโลก ผู้สังเกตที่อยู่บริเริวณเงาจะมองเห็น ดวงอาทิตย์มืดไป เกิด ปรากฏการณ์สุริยุริยุปรำ คำ ซึ่งมีทั้งสุริยุริยุปราคาเต็มดวง สุริยุริยุปราคาบางส่วน และสุริยุริยุปราคาวงแหวน หากดวงจันทร์และโลกโคจรมาอยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกันกับดวงอาทิตย์ แล้วดวงจันทร์เคลื่อนที่ผ่านเงาของโลก จะมองเห็นดวงจันทร์มืดไป เกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคา ซึ่งมีทั้งจันทรุปราคาเต็มดวง และจันทรุปราคาบางส่วน ว 3.1 ป 6/2 2. อธิบายพัฒนาการของเทคโนโลยีอวกาศ และยกตัวอย่างการนำ เทคโนโลยีอวกาศมาใช้ประโยชน์ในชีวิตวิประจำ วันวั จากข้อมูลที่รวบรวมได้ - เทคโนโลยีอวกาศเริ่มริ่จากความต้องการของมนุษย์ในการสำ รวจวัตวัถุท้องฟ้าโดยใช้ตาเปล่า กล้อง-โทรทรรศน์ และได้พัฒนาไปสู่การขนส่งเพื่อสำ รวจอวกาศด้วยจรวดและยานขนส่งอวกาศ และยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีการนำ เทคโนโลยีอวกาศบางประเภทมาประยุกต์ใช้ในชีวิตวิประจำ วันวัเช่น การใช้ดาวเทียมเพื่อการสื่อสาร การพยากรณ์อากาศ หรือรืการสำ รวจทรัพยากรธรรมชำ ติ การใช้อุปกรณ์วัดวัชีพจรและการเต้นของหัวใจ หมวก นิรภัย ชุดกีฬา มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบ และความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลงภายในโลกและ บนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศโลกรวมทั้งผลต่อสิ่งมีชีวิตวิและสิ่ง แวดล้อม รหัสตัวชี้วัดวั ตัวชี้วัดวั สาระการเรียรีนรู้แกนกลาง ว 3.2 ป 6/1 1. เปรียรีบเทียบกระบวนการเกิดหินอัคนี หินตะกอน และหินแปรและอธิบายวัฏวัจักรหินจากแบบจำ ลอง - หินเป็นวัสวัดุแข็งเกิดขึ้นเองตามธรรมชำ ติ ประกอบ ด้วยแร่ตั้งแต่หนึ่งชนิดขึ้นไป สามารถจำ แนกหินตำ มกระบวน การเกิดได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ หินอัคนี หินตะกอน และหินแปร - หินอัคนีเกิดจากการเย็นตัวของแมกมา เนื้อหิน มีลักษณะเป็นผลึก ทั้งผลึกขนาดใหญ่และขนาดเล็ก บางชนิดอาจ เป็นเนื้อแก้ว หรือรืมีรูพรุน - หินตะกอน เกิดจากการทับถมของตะกอนเมื่อถูกแรงกดทับและมีสารเชื่อมประสานจึงเกิดเป็นหิน เนื้อหินกลุ่มนี้ ส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นเม็ดตะกอน มีทั้งเนื้อหยาบและเนื้อละเอียด บางชนิดเป็นเนื้อผลึกที่ยึดเกาะกันเกิดจากการ ตกผลึกหรือรืตกตะกอนจากน้ำ โดยเฉพาะน้ำ ทะเล บางชนิดมีลักษณะเป็นชั้น ๆ จึงเรียรีกอีกชื่อว่าว่หินชั้น - หินแปร เกิดจากการแปรสภาพของหินเดิมซึ่งอาจเป็นหินอัคนี หินตะกอน หรือรืหินแปร โดยการกระทำ ของความ ร้อน ความดัน และปฏิกิริยริาเคมี เนื้อหินของหินแปรบางชนิดผลึกของแร่เรียรีงตัวขนานกัน เป็นแถบ บางชนิดแซะ ออกเป็นแผ่นได้ บางชนิด เป็นเนื้อผลึกที่มีความแข็งมาก - หินในธรรมชาติทั้ง ประเภท มีการเปลี่ยนแปลงจากประเภทหนึ่งไปเป็นอีกประเภทหนึ่ง หรือรืประเภทเดิมได้ โดยมี แบบรูปการเปลี่ยนแปลงคงที่และต่อเนื่องเป็นวัฏวัจักร


ว 3.2 ป 6/2 2. บรรยายและยกตัวอย่างการใช้ประโยชน์ของหินและแร่ในชีวิตวิประจำ วันวัจากข้อมูล ที่รวบรวมได้ หินและแร่แต่ละชนิดมีลักษณะและสมบัติแตกต่างกัน มนุษย์ใช้ประโยชน์จากแร่ในชีวิตวิประจำ วันวั ในลักษณะต่าง ๆ เช่น นำ แร่มาทำ เครื่อรื่งสำ อาง ยำ สีฟัน เครื่อรื่งประดับ อุปกรณ์ทางการแพทย์ และนำ หินมาใช้ในงานก่อสร้างต่าง ๆ เป็นต้น ว 3.2 ป 6/3 3. สร้างแบบจำ ลองที่อธิบายการเกิด ซากดึกดำ บรรพ์และคาดคะเนสภาพแวดล้อมในอดีตของซากดึกดำ บรรพ์ - ซากดึกดำ บรรพ์เกิดจากการทับถม หรือรืการประทับรอยของสิ่งมีชีวิตวิในอดีต จนเกิดเป็นโครงสร้างของซากหรือรืร่องรอยของสิ่งมีชีวิตวิ ที่ปรากฏอยู่ในหิน ในประเทศไทยพบซากดึกดำ บรรพ์ ที่หลากหลาย เช่น พืช ปะกำ รัง หอย ปลา เต่า ไดโนเสาร์ และรอยตีนสัตว์ - ซากดึกดำ บรรพ์สามารถใช้เป็นหลักฐานหนึ่งที่ช่วยอธิบายสภาพแวดล้อมของพื้นที่ในอดีตขณะเกิดสิ่งมีชีวิตวินั้น เช่น หากพบ ซากดึกดำ บรรพ์ของ หอยน้ำ จืด สภาพแวดล้อมบริเริวณนั้นอาจเคยเป็นแหล่งน้ำ จืดมาก่อน และหากพบซากดึกดำ บรรพ์ของพืช สภาพ แวดล้อมบริเริวณนั้นอาจเคยเป็นป่ามาก่อน นอกจากนี้ซากดึกดำ บรรพ์ยังสามารถใช้ระบุอายุของหิน และเป็นข้อมูลในการศึกษา วิวัวิฒวันาการของสิ่งมีชีวิตวิ ว 3.2 ป 6/4 4. เปรียรีบเทียบการเกิดลมบก ลมทะเล และมรสุม รวมทั้งอธิบายผลที่มีต่อสิ่งมีชีวิตวิและสิ่งแวดล้อม จากแบบจำ ลอง - ลมบก ลมทะเล และมรสุม เกิดจากพื้นดินและ พื้นน้ำ ร้อนและเย็นไม่เท่ากันทำ ให้อุณหภูมิอากาศเหนือพื้นดินและพื้นน้ำ แตกต่างกัน จึงเกิด การเคลื่อนที่ของอากาศจากบริเริวณที่มีอุณหภูมิต่ำ ไปยังบริเริวณที่มีอุณหภูมิสูง - ลมบกและลมทะเลเป็นลมประจำ ถิ่นที่พบบริเริวณชายฝั่ง โดยลมบกเกิดในเวลากลางคืน ทำ ให้มีลมพัดจากชายฝั่งไปสู่ทะเล ส่วน ลมทะเลเกิดในเวลากลางวันวัทำ ให้มีลมพัดจากทะเลเข้าสู่ชายฝั่ง ว 3.2 ป 6/5 5. อธิบายผลของมรสุมต่อการเกิดฤดูของประเทศไทย จากข้อมูลที่รวบรวมได้ - มรสุมเป็นลมประจำ ฤดูเกิดบริเริวณเขตร้อนของโลก ซึ่งเป็นบริเริวณกว้าว้งระดับภูมิภาค ประเทศไทยได้รับผลจากมรสุมตะวันวัออกเฉียง เหนือในช่วงประมาณกลางเดือนตุลำ คมจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ทำ ให้เกิด ฤดูหนาว และได้รับผลจากมรสุมตะวันวัตกเฉียงใต้ในช่วง ประมาณกลางเดือนพฤษภาคมจนถึงกลางเดือนตุลำ คมทำ ให้เกิดฤดูฝน ส่วนช่วงประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์จนถึงกลางเดือน พฤษภาคมเป็นช่วงเปลี่ยนมรสุมและประเทศไทยอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร แสงอาทิตย์เกือบตั้งตรงและตั้งตรงประเทศไทย ในเวลาเที่ยงวันวั ทำ ให้ได้รับความร้อนจำ กดวงอาทิตย์อย่างเต็มที่อากาศจึงร้อนอบอ้าวทำ ให้เกิดฤดูร้อน ว 3.2 ป 6/6 ว 3.2 ป 6/7 6. บรรยายลักษณะและผลกระทบของ น้ำ ท่วม การกัดเซาะชายฝั่ง ดินถล่ม แผ่นดินไหว สึนามิ 7. ตระหนักถึงผลกระทบของภัยธรรมชำ ติและธรณีพิบัติภัย โดยนำ เสนอแนวทางในการเฝ้าระวังวัและปฏิบัติตนให้ปลอดภัยจากภัยธรรม ชำ ติและธรณีพิบัติภัยที่อาจเกิดในท้องถิ่น - น้ำ ท่วม การกัดเซาะชายฝั่ง ดินถล่ม แผ่นดินไหว และ สึนามิ มีผลกระทบต่อชีวิตวิและสิ่งแวดล้อมแตกต่างกัน - มนุษย์ควรเรียรีนรู้วิธีวิธีปฏิบัติตนให้ปลอดภัย เช่น ติดตามข่าวสารอย่างสม่ำ เสมอ เตรียรีมถุงยังชีพ ให้พร้อมใช้ตลอดเวลา และปฏิบัติ ตามคำ สั่งของผู้ปกครองและเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัดเมื่อเกิดภัยทางธรรมชำ ติและธรณีพิบัติภัย ว 3.2 ป 6/8 ว 3.2 ป 6/9 8. สร้างแบบจำ ลองที่อธิบายการเกิดปรากฏการณ์เรือรืนกระจกและผลของปรากฏการณ์เรือรืนกระจกต่อสิ่งมีชีวิตวิ 9. ตระหนักถึงผลกระทบของปรากฏการณ์เรือรืนกระจกโดยนำ เสนอแนวทางการปฏิบัติตนเพื่อลดกิจกรรมที่ก่อให้เกิดแก๊สเรือรืนกระจก - ปรากฏการณ์เรือรืนกระจกเกิดจากแก๊สเรือรืนกระจกในชั้นบรรยากาศของโลก กักเก็บความร้อนแล้ว คายความร้อนบางส่วนกลับสู่ผิว โลก ทำ ให้อากาศ บนโลกมีอุณหภูมิเหมะสมต่อการดำ รงชีวิตวิ - หากปรากฏการณ์เรือรืนกระจกรุนแรงมากขึ้น จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก มนุษย์ จึงควรร่วมกันลดกิจกรรมที่ก่อให้เกิด แก๊สเรือรืนกระจก


สาระที่ 4 เทคโนโลยี มาตรฐาน ว 4.1 เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยีเพื่อการดำ รงชีวิตวิในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วใช้ความรู้และทักษะทางด้าน วิทวิยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศาสตร์อื่น ๆ เพื่อแก้ปัญหา หรือรืพัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวิวกรรม เลือก ใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมโดยคำ นึงถึงผลกระทบต่อชีวิตวิสังคม และสิ่งแวดล้อม รหัสตัวชี้วัดวั ตัวชี้วัดวั สาระการเรียรีนรู้แกนกลาง - - - มาตรฐาน ว 4.2 เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคำ นวณในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตวิจริงริอย่างเป็นขั้นตอนและเป็นระบบใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการ สื่อสารในการเรียรีนรู้ การทางาน และการแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ รู้เท่าทัน และมีจริยริธรรม รหัสตัวชี้วัดวั ตัวชี้วัดวั สาระการเรียรีนรู้แกนกลาง ว 4.2 ป 6/1 1. ใช้เหตุผลเชิงตรรกะในการอธิบายและออกแบบวิธีวิธีการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตวิประจำ วันวั - การแก้ปัญหาอย่างเป็นขั้นตอนจะช่วยให้แก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ - การใช้เหตุผลเชิงตรรกะเป็นการนำ กฎเกณฑ์ หรือรืเงื่อนไขที่ครอบคลุมทุกกรณีมาใช้พิจารณา ในการแก้ปัญหา - แนวคิดของการทำ งานแบบวนซ้ำ และเงื่อนไข - กำ รพิจารณากระบวนการทำ งานที่มีการทำ งานแบบวนซ้ำ หรือรืเงื่อนไขเป็นวิธีวิธีการที่จะช่วยให้การออกแบบวิธีวิธีการแก้ปัญหาเป็นไปอย่างมี ประสิทธิภาพ - ตัวอย่างปัญหา เช่น การค้นหาเลขหน้าที่ต้องการให้เร็วที่สุด, การทายเลข 1 – 1,000,000 โดยตอบให้ถูกภายใน 20 คำ ถาม, การคำ นวณเวลาในการเดินทาง โดยคำ นึงถึงระยะทาง เวลา จุดหยุดพัก ว 4.2 ป 6/2 2. ออกแบบและเขียนโปรแกรมอย่างง่าย เพื่อแก้ปัญหาในชีวิตวิประจำ วันวัตรวจหำ ข้อผิดพลาดของโปรแกรมและแก้ไข - การออกแบบโปรแกรมสามารถทำ ได้โดยเขียน เป็นข้อความ หรือรืผังงาน - การออกแบบและเขียนโปรแกรมที่มีการใช้ตัวแปร การวนซ้ำ การตรวจสอบเงื่อนไข – หากมีข้อผิดพลาดให้ตรวจสอบการทำ งาน ทีละคำ สั่ง เมื่อ พบจุดที่ทำ ให้ผลลัพธ์ไม่ถูกต้อง ให้ทำ การแก้ไขจนกว่าว่จะได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้อง - การฝึกตรวจหำ ข้อผิดพลาดจากโปรแกรมของผู้อื่นจะช่วยพัฒนาทักษะการหาสาเหตุของปัญหาได้ดียิ่งขึ้น - ตัวอย่างปัญหา เช่น โปรแกรมเกม โปรแกรมหาค่า ค.ร.น เกมฝึกพิมพ์ - ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการเขียนโปรแกรม เช่น Scratch, logo ว 4.2 ป 6/3 3. ใช้อินเทอร์เน็ตในการค้นหาข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ - การค้นหาอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการค้นหาข้อมูลที่ได้ตรงตามความต้องการในเวลาที่รวดเร็วจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือหลายแหล่ง และข้อมูล มีความสอดคล้องกัน – การใช้เทคนิคการค้นหาขั้นสูง เช่น การใช้ ตัวดำ เนินการ การระบุรูปแบบของข้อมูล หรือรืชนิดของไฟล์ - การจัดลำ ดับผลลัพธ์จากกาค้นหาของโปรแกรมค้นหา - การเรียรีบเรียรีง สรุปสำ ระสำ คัญ (บูรณาการกับวิชวิาภาษาไทย) ว 4.2 ป 6/4 4. ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศทำ งานร่วมกันอย่างปลอดภัย เข้าใจสิทธิและหน้าที่ของตน เคารพในสิทธิของผู้อื่น แจ้งผู้เกี่ยวข้องเมื่อพบข้อมูลหรือรืบุคคล ที่ไม่เหมาะสม - อันตรายจากการใช้งานและอาชญากรรม ทางอินเทอร์เน็ต แนวทางในการป้องกัน - วิธีวิธีกำ หนดรหัสผ่าน - การกำ หนดสิทธิ์การใช้งาน (สิทธิ์ในการเข้าถึง) - แนวทางการตรวจสอบและป้องกันมัลแวร์ – อันตรายจากการติดตั้งซอฟต์แวร์ที่อยู่บนอินเทอร์เน็ต


คำ อธิบายรายวิชวิา กลุ่มสาระการเรียรีนรู้วิทวิยาศาสตร์ รายวิชวิาวิทวิยาศาสตร์ 6 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 รหัสวิชวิา ว16101 เวลา 120ชั่วโมง / ปี ............................................................................................................................................................. ศึกษา วิเวิคราะห์สารอาหารประโยชน์ของสารอาหารแต่ละประเภทจากอาหารที่ตนเองรับประทาน การ เลือกรับประทานอาหารให้ได้สารอาหารครบถ้วนในสัดส่วนที่เหมาะสมกับเพศและวัยวัรวมทั้งความปลอดภัยต่อ สุขภาพ แบบจำ ลอง ระบบย่อยอาหาร หน้าที่ของอวัยวัวะในระบบย่อยอาหาร การย่อยอาหารและการดูดซึม สารอาหารความสำ คัญของระบบย่อยอาหาร การดูแลรักษาอวัยวัวะในระบบย่อยอาหารให้ทำ งานเป็นปกติ การ แยกสารผสม โดยการหยิบออก การร่อน การใช้แม่เหล็กดึงดูด การรินริออก การกรอง และการตกตะกอน วิธีวิธี การแก้ปัญหาในชีวิตวิประจำ วันวัเกี่ยวกับการแยกสาร การเกิดและผลของแรงไฟฟ้าซึ่งเกิดจากวัตวัถุที่ผ่านการขัด ถู ส่วนประกอบ หน้าที่ ของวงจรไฟฟ้าแต่ละส่วนอย่างง่ายแผนภาพการต่อวงจรไฟฟ้าอนุกรมและแบบขนาน การต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมและขนานด้วยวิธีวิธีการที่เหมาะสม ประโยชน์ ข้อจำ กัด การเกิดเงามืด เงามัว แผนภาพรังสีของแสงแสดงการเกิดเงามืดเงามัว แบบจำ ลองปรากฏการณ์สุริยุริยุปราคา และจันทรุปราคา พัฒนาการของเทคโนโลยีอวกาศและการใช้ประโยชน์ในชีวิตวิประจำ วันวักระบวนการเกิดหินอัคนี หินตะกอน และหินแปรแบบจำ ลองวัฏวัจักรหินการใช้ประโยชน์ของหินและแร่ในชีวิตวิประจำ วันวัแบบจำ ลองการเกิด ซากดึกดำ บรรพ์สภาพแวดล้อมในอดีต การเกิดลมบก ลมทะเล และมรสุม จากแบบจำ ลอง ผลของมรสุมต่อ การเกิดฤดูของประเทศไทย ลักษณะและผลกระทบของ น้ำ ท่วม การกัดเซาะชายฝั่ง ดินถล่ม แผ่นดินไหว สึนา มิผลกระทบของภัยธรรมชาติและธรณีพิบัติภัยแนวทางการเฝ้าระวังวัและปฏิบัติตนให้ปลอดภัยจากภัย ธรรมชาติ แบบจำ ลองอธิบายการเกิดและผลของปรากฏการณ์เรือรืนกระจก กิจกรรมที่ก่อให้เกิดแก๊สเรือรืน กระจก ผลกระทบของปรากฏการณ์เรือรืนกระจกลูกเห็บ ใช้เหตุผลเชิงตรรกะในการแก้ปัญหา การทำ งาน การคาดการณ์ผลลัพธ์ จากปัญหาอย่างง่าย ออกแบบ และ เขียนโปรแกรมอย่างง่าย โดยใช้ซอฟต์แวร์ หรือรืสื่อ และตรวจหาข้อผิดพลาดและแก้ไขใช้อินเทอร์เน็ตค้นหา ความรู้ รวบรวม ประเมิน นำ เสนอข้อมูลและสารสนเทศ โดยใช้ซอฟต์แวร์ที่หลากหลาย เพื่อแก้ปัญหาในชีวิตวิ ประจำ วันวั ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย เข้าใจสิทธิและหน้าที่ของตน เคารพในสิทธิของผู้อื่น โดยใช้กระบวนการทางวิทวิยาศาสตร์ในการสืบเสาะหาความรู้ การสำ รวจตรวจสอบ การสืบค้นข้อมูล การเปรียรีบเทียบข้อมูลจากหลักฐานเชิงประจักษ์ และการอภิปรายเพื่อให้เกิดความรู้ ความคิดความเข้าใจ สามารถสื่อสารสิ่งที่เรียรีนรู้มีความสามารถในการตัดสินใจนำ ความรู้ไปใช้ในชีวิตวิประจำ วันวัมีจิตวิทวิยาศาสตร์มี จริยริธรรมคุณธรรมและค่านิยมที่เหมาะสม รหัสตัวชี้วัดวั มาตรฐาน ว 1.2 ป.6/1, ป.6/2, ป.6/3, ป.6/4, ป.6/5 มาตรฐาน ว 2.1 ป.6/1 มาตรฐาน ว 2.2 ป.6/1 มาตรฐาน ว 2.3 ป.6/1 , ป.6/2 , ป.6/3 , ป.6/4 , ป.6/5 , ป.6/6 , ป.6/7 , ป.6/8 มาตรฐาน ว 3.1 ป.6/1 , ป.6/2 มาตรฐาน ว 3.2 ป.6/1 , ป.6/2 , ป.6/3 , ป.6/4 , ป’6/5 , ป.6/6 , ป.6/7 , ป.6/8 , ป.6/9 มาตรฐาน ว 4.2 ป.6/1 , ป.6/2 , ป.6/3, ป.6/4 รวม30 ตัวชี้วัดวั


โครงสร้างรายวิชวิา รายวิชวิา วิทวิยาศาสตร์ 6 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 รหัสวิชวิา ว16101 เวลา 120ชั่วโมง / ปี ชื่อหน่วยการเรียรีนรู้ ตัวชี้วัดวั จำ นวน(ชั่วโมง) น้ำ หนักคะแนน สารอาหารและระบบย่อยอาหาร ว 1.2 ป6/1, ป6/2, ป6/3, ป6/4, ป6/5 การแยกสาร ว 2.1 ป6/1 แรงไฟฟ้า ว 2.2 ป6/1 วงจรไฟฟ้า ว 2.3 ป6/1, ป6/2, ป6/3, ป6/4, ป6/5, ป6/6,ป6/7, ป6/8 สุริยุริยุปราคา จันทรุปราคาและเทคโนโลยีอวกาศ ว 3.1 ป6/1, ป6/2 โลกและการเปลี่ยนแปลง ว 3.2 ป6/1, ป6/2, ป6/3, ป6/4, ป6/5, ป6/6, ป6/7, ป6/8, ป6/9 วิทวิยาการคำ นวณ ว 4.2 ป6/1, ป6/2, ป6/3, ป6/4 รวม 30 120 100


กระบวนการจัดการเรียรีนรู้ การจัดการเรียรีนรู้เป็นกระบวนการสำ คัญในการนำ หลักสูตรสู่การ ปฏิบัติ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นหลักสูตรที่มีมาตรฐานการเรียรีนรู้ สมรรถนะสำ คัญและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียรีน เป็นเป้าหมายสำ คัญ สำ หรับพัฒนาเด็กและเยาวชน ในการพัฒนาผู้เรียรีนให้มี คุณสมบัติตามเป้าหมายหลักสูตร ผู้สอนพยายามคัดสรร กระบวนการเรียรีนรู้ จัดการเรียรีนรู้โดยช่วยให้ผู้เรียรีนเรียรีนรู้ผ่านสาระที่กำ หนดไว้ใว้น หลักสูตร 8 กลุ่มสาระการเรียรีนรู้ รวมทั้งปลูกฝังเสริมริสร้างคุณลักษณะอันพึงประสงค์ พัฒนาทักษะด้าน ต่างๆอันเป็น สมรรถนะสำ คัญให้ผู้เรียรีนบรรลุตามเป้าหมาย 1.หลักการจัดการเรียรีนรู้ การจัดการเรียรีนรู้เพื่อให้ผู้เรียรีนนำ ความรู้ความสามารถตามมาตรฐานการเรียรีนรู้ สมรรถนะสำ คัญและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามที่กำ หนดไว้ใว้นหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐานโดยยึดหลักว่าว่ผู้เรียรีนมีความสำ คัญที่สุดเชื่อว่าว่ทุกคนมีความ สามารถเรียรีนรู้และพัฒนาตนเองได้ ยึดประโยชน์ที่เกิดกับผู้เรียรีน กระบวนการจัดการ เรียรีนรู้ต้องส่งเสริมริให้ผู้เรียรีนสามารถพัฒนาตนเองตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ คำ นึงถึงความแตกต่างระหว่าว่งบุคคลและพัฒนาการทางสมอง 2.กระบวนการเรียรีนรู้ การจัดการเรียรีนรู้ที่เน้นผู้เรียรีนเป็นสำ คัญ ผู้เรียรีนจะต้องอาศัยกระบวนการเรียรีนรู้ที่ หลากหลาย เป็นเครื่อรื่งมือที่จะนำ พาตนเองไปสู่เป้าหมายของหลักสูตร กระบวนการ จัดการเรียรีนรู้ที่จำ เป็น สำ หรับผู้เรียรีน อาทิ กระบวนการจัดการเรียรีนรู้แบบบูรณาการ กระบวนการสร้างความรู้ กระบวนการคิดกระบวนการทางสังคม กระบวนการเผชิญ สถานการณ์และแก้ไขปัญหา กระบวนการเรียรีนรู้จากประสบการณ์จริงริกระบวนการ การปฏิบัติลงมือทำ จริงริกระบวนการจัดการ กระบวนการวิจัวิจัย กระบวนการเรียรีนรู้การ เรียรีนรู้ของตนเองกระบวนการพัฒนาลักษณะนิสัย กระบวนการเหล่านี้เป็นแนวทางในการจัดการเรียรีนรู้ที่ผู้เรียรีนควรได้รับการฝึกฝน พัฒนา เพราะจะสามารถช่วยให้ผู้เรียรีนเกิดการเรียรีนรู้ได้ดีบรรลุเป้าหมายของหลักสูตร ดังนั้นผู้สอนจึงจำ เป็นต้องศึกษาทำ ความเข้าใจในกระบวนการต่างๆเพื่อให้สามารถ เลือกใช้ในกระบวนการเรียรีนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ


3.การออกแบบการจัดการเรียรีนรู้ ผู้สอนต้องศึกษาหลักสูตรสถานศึกษาให้เข้าใจถึงมาตรฐานการเรียรีนรู้ ตัวชี้วัดวัสมรรถนะ สำ คัญของผู้เรียรีนคุณลักษณะอันพึงประสงค์และสาระการเรียรีนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียรีนแล้วจึง พิจารณาออกแบบการจัดการเรียรีนรู้โดยเลือกใช้วิธีวิธีการสอนและเทคนิคการสอน สื่อและ แหล่งเรียรีนรู้ การวัดวัและการประเมินผลเพื่อให้ผู้เรียรีนได้พัฒนาเต็มตามศักยภาพและบรรลุ เป้าหมายที่กำ หนด 4.บทบาทของผู้สอนและผู้เรียรีน การจัดการเรียรีนรู้เพื่อให้ผู้เรียรีนมีคุณภาพตามเป้าหมายของหลักสูตร ทั้งผู้สอนและผู้เรียรีน ควรมีบทบาท ดังนี้ 4.1 บทบาทของผู้สอน 1.ศึกษาวิเวิคราะห์ผู้เรียรีนเป็นรายบุคคล แล้วนำ ข้อมูลมาใช้ในการวางแผนการจัดการเรียรีนรู้ ที่ ท้าทายความสามารถของผู้เรียรีน 2.กำ หนดเป้าหมายที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับผู้เรียรีนด้านความรู้และทักษะกระบวนการที่เป็น ความคิดรวบยอดหลักการและความสัมพันธ์รวมทั้งคุณลักษณะอันพึงประสงค์ 3.ออกแบบการเรียรีนรู้และจัดการเรียรีนรู้ที่ตอบสนองความ แตกต่างระหว่าว่งบุคคลและ พัฒนาการทางสมอง เพื่อนำ ผู้เรียรีนไปสู่เป้าหมาย 4.อากาศที่เอื้อต่อการเรียรีนรู้ และดูแลช่วยเหลือผู้เรียรีนให้เกิดการเรียรีนรู้ 5.จัดเตรียรีมและเลือกใช้สื่อให้เหมาะสมกับกิจกรรม นำ ภูมิปัญญาท้องถิ่นเทคโนโลยีที่เหมาะ สมมาประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียรีนการสอน 6. ประเมินความก้าวหน้าของผู้เรียรีนด้วยวิธีวิธีการหลากหลายเหมาะสมกับธรรมชาติของวิชวิา และระดับพัฒนาของผู้เรียรีน 7. วิเวิคราะห์ผลการประเมินมาใช้ในการซ่อมเสริมริและพัฒนาผู้เรียรีนรวมทั้งปรับปรุงและการ จัดการเรียรีนการสอนของตนเอง 4.2 บทบาทของผู้เรียรีน 1.กำ หนดเป้าหมายวางแผนและรับผิดชอบการเรียรีนรู้ของตนเอง 2.แสวงหาความรู้ เข้าถึงแหล่งเรียรีนรู้วิเวิคราะห์สังเคราะห์ข้อความรู้ ตั้งคำ ถาม คิดหาคำ ตอบ หรือรืหาแนวทางแก้ปัญหาด้วยวิธีวิธีต่างๆ 3.ลงมือปฏิบัติจริงริสรุปสิ่งที่ได้เรียรีนรู้ด้วยตนเองและนำ ความรู้ไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ ต่างๆ 4.มีปฏิสัมพันธ์ทำ งาน ทำ กิจกรรมร่วมกับกลุ่มและครู 5.ประเมินการพัฒนากระบวนการเรียรีนรู้ของตนเองอย่างต่อเนื่อง


รูปแบบการสอนและทักษะทางวิทวิยาศาสตร์ วิธีวิธีการสอนแบบโครงงาน(Project Method) เป็นวิธีวิธีการจัดการเรียรีนรู้ที่ให้ผู้เรียรีนได้ศึกษาค้นคว้า หรือรืปฏิบัติงานตามหัวข้อที่ผู้เรียรีนสนใจ ซึ่งผู้ เรียรีนจะต้องฝึกกระบวนการทำ งานอย่างมีขั้นตอน มีการวางแผนในการทำ งานหรือรืการแก้ปัญหา อย่างเป็นระบบ จนการดำ เนินงานสำ เร็จลุล่วงตามวัตถุประสงค์ ส่งผลให้ผู้เรียรีนมีทักษะการเรียรีนรู้ อย่างหลากหลาย อันเป็นประสบการณ์ตรงที่มีคุณค่า สามารถนำ ไปประยุกต์ใช้ในการดำ เนินงาน ต่าง ๆ ได้วีกวีารสอนโครงงานสามารถสอนต่อเนื่องกับวีสวีอนแบบบูรณาการได้ ทั้งในรูปแบบบูรณา การภายในกลุ่มสาระการเรียรีนรู้ และบูรณาการระหว่างกลุ่มสาระการเรียรีนรู้ เพื่อให้ผู้เรียรีนได้นำ องค์ ความรู้และประสบการณ์ที่ได้มาบูรณาการเพื่อทำ โครงงาน การจัดกิจกรรมการเรียรีนรู้ 1. ขั้นกำ หนดปัญหา หรือรืสำ รวจความสนใจ ผู้สอนเสนอสถานการณ์หรือรืตัวอย่างที่เป็นปัญหาและ กระตุ้นให้ผู้เรียรีนหาวีกวีารแก้ปัญหาหรือรืยั่วยุให้ผู้เรียรีนมีความต้องการใคร่เรียรีนใคร่รู้ ในเรื่อรื่งใดเรื่อรื่ง หนึ่ง 2. ขั้นกำ หนดจุดมุ่งหมายในการเรียรีน ผู้สอนแนะนำ ให้ผู้เรียรีนกำ หนดจุดมุ่งหมายให้ชัดเจนว่าเรียรีน เพื่ออะไร จะทำ โครงงานนั้นเพื่อแก้ปัญหาอะไร ซึ่งทำ ให้ผู้เรียรีนกำ หนดโครงงานแนวทางในการ ดำ เนินงานได้ตรงตามจุดมุ่งหมาย 3. ขั้นวางแผนและวิเวิคราะห์โครงงาน ให้ผู้เรียรีนวางแผนแก้ปัญหา ซึ่งเป็นโครงงานเดี่ยวหรือรื กลุ่มก็ได้ แล้วเสนอแผนการดำ เนินงานให้ผู้สอนพิจารณา ให้คำ แนะนำ ช่วยเหลือและข้อเสนอแนะ การวางแผนโครงงานของผู้เรียรีน ผู้เรียรีนเขียนโครงงานตามหัวข้อซึ่งมีหัวข้อสำ คัญ (ชื่อโครงงาน หลักการและเหตุผลวัตถุประสงค์หรือรืจุดมุ่งหมาย เจ้าของโครงการ ที่ปรึกรึษาโครงการ แหล่งความ รู้ สถานที่ดำ เนินการ ระยะเวลาดำ เนินการ งบประมาณ วิธีวิธีดำ เนินการ เครื่อรื่งมือที่ใช้ ผลที่คาดว่า จะได้รับ) 4. ขั้นลงมือปฏิบัติหรือรืแก้ปัญหา ให้ผู้เรียรีนลงมือปฏิบัติหรือรืแก้ปัญหาตามแผนการที่กำ หนดไว้โดย มีผู้สอนเป็นที่ปรึกรึษา คอยสังเกต ติดตาม แนะนำ ให้ผู้เรียรีนรู้จักสังเกต เก็บรวบรวมข้อมูล บันทึก ผลดำ เนินการด้วยความมานะอดทน มีการประชุมอภิปราย ปรึกรึษาหารือรืกันเป็นระยะ ๆ ผู้สอนจะ เข้าไปเกี่ยวข้องเท่าที่จำ เป็น ผู้เรียรีนเป็นผู้ใช้ความคิด ความรู้ ในการวางแผนและตัดสินใจทำ ด้วย ตนเอง


5. ขั้นประเมินผลระหว่าว่ ปฏิบัติงาน ผู้สอนแนะนำ ให้ผู้เรียรีนรู้จักประเมินผลก่อนดำ เนินการ ระหว่าว่งดำ เนินการและหลังดำ เนินการ คือรู้จักพิจารณาว่าว่ก่อนที่จะดำ เนินการมีสภาพเป็น อย่างไร มีปัญหาอย่างไรระหว่าว่งที่ดำ เนินงานตามโครงงานนั้น ยังมีสิ่งใดที่ผิดพลาดหรือรืเป็น ข้อบกพร่องอยู่ ต้อแก้ไขอะไรอีกบ้าง มีวิธีวิธีแก้ไขอย่างไร เมื่อดำ เนินการไปแล้วผู้เรียรีนมีแนวคิด อย่างไร มีความพึงพอใจหรือรืไม่ ผลของการดำ เนินการตามโครงงาน ผู้เรียรีนได้ความรู้อะไร ได้ประโยชน์อย่างไร และสามารถนำ ความรู้นั้นไปพัฒนาปรับปรุงงานได้อย่างดียิ่งขึ้น หรือรื เอาความรู้นั้นไปใช้ในชีวิตวิได้อย่างไร โดยผู้เรียรีนประเมินโครงงานของตนเองหรือรืเพื่อนร่วม ประเมิน จากนั้นผู้สอนจึงประเมินผลโครงงานตามแบบประเมิน ซึ่งผู้ปกครองอาจจะมีส่วน ร่วมในการประเมินด้วยก็ได้ 6. ขั้นสรุป รายงานผล และเสนอผลงาน เมื่อผู้เรียรีนทำ งานตามแผนและเก็บข้อมูลแล้วต้อง ทำ การวิเวิคราะห์ข้อมูล สรุปและเขียนรายงานเพื่อนำ เสนอผลงาน ซึ่งนอกเหนือจากรายงาน เอกสารแล้ว อาจมีแผนภูมิ แผนภาพ กราฟ แบบจำ ลอง หรือรืของจริงริประกอบการนำ เสนอ อาจจัดได้หลายรูปแบบ เช่น จัดนิทรรศการ การแสดงละคร ฯลฯ ประโยชน์ 1. เป็นการสอนที่มุ่งให้ผู้เรียรีนมีบทบาท มีส่วนร่วมในการจัดกระบวนการเรียรีนรู้ได้ปฏิบัติจริงริ คิดเอง ทำ เอง อย่างละเอียดรอบคอบ อย่างเป็นระบบ 2. ผู้เรียรีนรู้จักวีแวีสวงหาข้อมูล สร้างองค์ความรู้และสรุปความรู้ได้ด้วยตนเอง 3. ผู้เรียรีนมีทักษะในการแก้ปัญหา มีทักษะกระบวนการในการทำ งาน มีทักษะการ เคลื่อนไหวทางกาย 4. ผู้เรียรีนได้ฝึกกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์ ทำ งานร่วมกันกับผู้อื่นได้ 5. ฝึกความเป็นประชาธิปไตย คือการรับฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกัน มีเหตุผล มีการ ยอมรับในความรู้ ความสามารถซึ่งกันและกัน 6. ผู้เรียรีนได้ฝึกลักษณะนิสัยที่ดีในการทำ งาน เช่น การจดบันทึกข้อมูล การเก็บข้อมูลอย่าง เป็นระบบ ความรับผิดชอบ ความซื่อตรง ความเอาใจใส่ ความขยันหมั่นเพียรในการทำ งาน รู้จักทำ งานอย่างเป็นระบบ ทำ งานอย่างมีแผน ใช้เวลาว่าว่งให้เป็นประโยชน์ 7. ผู้เรียรีนเกิดความคิดริเริริ่มริ่สร้างสรรค์ และสามารถนำ ความรู้ ความคิด หรือรืแนวทางที่ได้ไป ใช้ในการแก้ปัญหาในชีวิตวิหรือรืในสถานการณ์อื่น ๆ ได้


การจัดการเรียรีนรู้แบบใช้โครงงานเป็นฐาน (PROJECT-BASED LEARNING) การจัดการเรียรีนรู้แบบใช้โครงงานเป็นฐาน หมายถึง การจัดการเรียรีนรู้ที่มีครูเป็นผู้ กระตุ้นเพื่อนำ ความสนใจที่เกิดจากตัวนักเรียรีนมาใช้ในการทำ กิจกรรมค้นคว้าว้หาความรู้ ด้วยตัวนักเรียรีนเอง นำ ไปสู่การเพิ่มความรู้ที่ได้จากการลงมือปฏิบัติ การฟังและการ สังเกตจากผู้เชี่ยวชาญ โดยนักเรียรีนมีการเรียรีนรู้ผ่านกระบวนการทำ งานเป็นกลุ่ม ที่จะ นำ มาสู่การสรุปความรู้ใหม่ มีการเขียนกระบวนการจัดทำ โครงงานและได้ผลการจัด กิจกรรมเป็นผลงานแบบรูปธรรม (ดุษฎี โยเหลาและคณะ, 2557: 19-20) แนวคิดสำ คัญ การเรียรีนรู้แบบโครงงานนั้น มีแนวคิดสอดคล้องกับ John Dewey เรื่อรื่ง “learning by doing” ซึ่งได้กล่าวว่าว่ “Education is a process of living and not a preparation for future living.” (Dewey John, 1897: 79 cite in Douladeli Efstratia, 2014) ซึ่งเป็นการเน้นการจัดการเรียรีนรู้ที่ให้นักเรียรีนได้รับ ประสบการณ์ชีวิตวิขณะที่เรียรีน เพื่อให้นักเรียรีนได้พัฒนาทักษะต่างๆ ซึ่งสอดคล้องกับ หลักพัฒนาการคิดของ Bloom ทั้ง 6 ขั้น คือ ความรู้ความจำ (Remembering) ความเข้าใจ (understanding) การประยุกต์ใช้ (Applying) การวิเวิคราะห์ (Analyzing) การประเมินค่า (Evaluating) และ การคิดสร้างสรรค์ (Creating) ซึ่งการจัดการเรียรีนรู้แบบใช้โครงงานเป็นฐาน นั้นจึงเป็นเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง ที่ถือได้ว่าว่ เป็น การจัดการเรียรีนรู้ที่เน้นผู้เรียรีนเป็นสำ คัญ เนื่องจากผู้เรียรีนได้ลงมือปฏิบัติเพื่อฝึก ทักษะต่างๆด้วยตนเองทุกขั้นตอน โดยมีครูเป็นผู้จัดประสบการณ์การเรียรีนรู้ ขั้นตอนการจัดการเรียรีนรู้แบบใช้โครงงานเป็นฐาน การจัดการเรียรีนรู้แบบใช้โครงงานเป็นฐานนั้น มีกระบวนการและขั้นตอนแตกต่างกันไป ตามแต่ละทฤษฎี ซึ่งในคู่มือการจัดการเรียรีนรู้แบบใช้โครงงานเป็นฐานฉบับนี้ ขอนำ เสนอ 3 แนวคิดที่ถูกพิจารณาแล้วเหมาะสมกับบริบริทของเมืองไทย คือ 1. การจัดการ เรียรีรู้แบบใช้โครงงาน ของ สำ นักงานเลขาธิการสภาการศึกษาและกระทรวงศึกษาธิการ (2550) 2. ขั้นการจัดการเรียรีนรู้ ตาม โมเดล จักรยานแห่งการเรียรีนรู้แบบ PBL ของ วิจวิารณ์ พาณิช(2555) และ 3. การจัดการเรียรีนรู้แบบใช้โครงงานเป็นฐาน ที่ได้จาก โครงการสร้างชุดความรู้เพื่อสร้างเสริมริทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ของเด็กและเยาวชน: จากประสบการณ์ความสำ เร็จของโรงเรียรีนไทย ของ ดุษฎี โยเหลาและคณะ (2557) ดังนี้


·แนวคิดที่ 1 ขั้นตอนการจัดการเรียรีนรู้แบบโครงงาน ของ สำ นักงานเลขาธิการสภาการ ศึกษาและกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งได้นำ เสนอขั้นตอนการจัดการเรียรีนรู้แบบโครงงาน ไว้ 4 ขั้นตอน ดังนี้ ภาพ 1 ขั้นตอนการจัดการเรียรีนรู้แบบโครงงาน สำ นักงานเลขาธิการสภาการศึกษาและ กระทรวงศึกษาธิการ 1. ขั้นนำ เสนอ หมายถึง ขั้นที่ผู้สอนให้ผู้เรียรีนศึกษาใบความรู้ กำ หนดสถานการณ์ ศึกษา สถานการณ์ เล่นเกม ดูรูปภาพ หรือรืผู้สอนใช้เทคนิคการตั้งคำ ถามเกี่ยวกับสาระการเรียรีนรู้ ที่กำ หนดในแผนการจัดการเรียรีนรู้แต่ละแผน เช่น สาระการเรียรีนรู้ตามหลักสูตรและสาระ การเรียรีนรู้ที่เป็นขั้นตอนของโครงงานเพื่อใช้เป็นแนวทางในการวางแผนการเรียรีนรู้ 2. ขั้นวางแผน หมายถึง ขั้นที่ผู้เรียรีนร่วมกันวางแผน โดยการระดมความคิด อภิปราย หารือรืข้อสรุปของกลุ่ม เพื่อใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติ 3. ขั้นปฏิบัติ หมายถึง ขั้นที่ผู้เรียรีนปฏิบัติกิจกรรม เขียนสรุปรายงานผลที่เกิดขึ้นจากการ วางแผนร่วมกัน 4. ขั้นประเมินผล หมายถึง ขั้นการวัดวัและประเมินผลตามสภาพจริงริ โดยให้บรรลุจุด ประสงค์การเรียรีนรู้ที่กำ หนดไว้ใว้นแผนการจัดการเรียรีนรู้ โดยมีผู้สอน ผู้เรียรีนและเพื่อนร่วม กันประเมิน ·แนวคิดที่ 2 ขั้นการจัดการเรียรีนรู้ ตาม โมเดล จักรยานแห่งการเรียรีนรู้แบบ PBL ของ วิจวิารณ์ พาณิช (2555:71-75) ซึ่งแนวคิดนี้ มีความเชื่อว่าว่หากต้องการให้การเรียรีนรู้มี พลังและฝังในตัวผู้เรียรีนได้ ต้องเป็นการเรียรีนรู้ที่เรียรีนโดยการลงมือทำ เป็นโครงการ (Project) ร่วมมือกันทำ เป็นทีม และทำ กับปัญหาที่มีอยู่ในชีวิตวิจริงริซึ่ง ส่วนของ วงล้อ แต่ละชิ้น ได้แก่ Define, Plan, Do, Review และ Presentation ภาพ 2 โมเดล จักรยานแห่งการเรียรีนรู้แบบ PBL 1. Define คือ ขั้นตอนการทำ ให้สมาชิกของทีมงาน ร่วมทั้งครูด้วยมีความชัดเจนร่วมกัน ว่าว่คำ ถาม ปัญหา ประเด็น ความท้าทายของโครงการคืออะไร และเพื่อให้เกิดการเรียรีนรู้ อะไร


2. Plan คือ การวางแผนการทำ งานในโครงการ ครูก็ต้องวางแผน กำ หนดทางหนีทีไล่ในการทำ หน้าที่ โค้ช รวมทั้งเตรียรีมเครื่อรื่งอำ นวยความสะดวกในการทำ โครงการของนักเรียรีน และที่สำ คัญ เตรียรีม คำ ถามไว้ถว้ามทีมงานเพื่อกระตุ้นให้คิดถึงประเด็นสำ คัญบางประเด็นที่นักเรียรีนมองข้าม โดยถือหลักว่าว่ ครูต้องไม่เข้าไปช่วยเหลือจนทีมงานขาดโอกาสคิดเองแก้ปัญหาเอง นักเรียรีนที่เป็นทีมงานก็ต้อง วางแผนงานของตน แบ่งหน้าที่ก็รับผิดชอบ การประชุมพบปะระหว่าว่งทีมงาน การแลกเปลี่ยนข้อค้น พบแลกเปลี่ยนคำ ถาม แลกเปลี่ยนวิธีวิธีการ ยิ่งทำ ความเข้าใจร่วมกันไว้ชัว้ ชัดเจนเพียงใด งานในขั้น Do ก็ จะสะดวกเลื่อนไหลดีเพียงนั้น 3. Do คือ การลงมือทำ มักจะพบปัญหาที่ไม่คาดคิดเสมอ นักเรียรีนจึงจะได้เรียรีนรู้ทักษะในการแก้ ปัญหา การประสานงาน การทำ งานร่วมกันเป็นทีม การจัดการความขัดแย้ง ทักษะในการทำ งานภาย ใต้ทรัพยากรจำ กัด ทักษะในการค้นหาความรู้เพิ่มเติมทักษะในการทำ งานในสภาพที่ทีมงานมีความแตก ต่างหลากหลาย ทักษะการทำ งานในสภาพกดดัน ทักษะในการบันทึกผลงาน ทักษะในการวิเวิคราะห์ผล และแลกเปลี่ยนข้อวิเวิคราะห์กับเพื่อนร่วมทีม เป็นต้น ในขั้นตอน Do นี้ ครูเพื่อศิษย์จะได้มีโอกาสสังเกตทำ ความรู้จักและเข้าใจศิษย์เป็นรายคน และเรียรีนรู้ หรือรืฝึกทำ หน้าที่เป็น “วิทวิยากร” และโค้ชด้วย 4. Review คือ การที่ทีมนักเรียรีนจะทบทวนการเรียรีนรู้ ที่ไม่ใช่แค่ทบทวนว่าว่ โครงการได้ผลตามความ มุ่งหมายหรือรืไม่ แต่จะต้องเน้นทบทวนว่าว่งานหรือรืกิจกรรม หรือรืพฤติกรรมแต่ละขั้นตอนได้ให้บทเรียรีน อะไรบ้าง เอาทั้งขั้นตอนที่เป็นความสำ เร็จและความล้มเหลวมาทำ ความเข้าใจ และกำ หนดวิธีวิธีทำ งาน ใหม่ที่ถูกต้องเหมาะสมรวมทั้งเอาเหตุการณ์ระทึกใจ หรือรืเหตุการณ์ที่ภาคภูมิใจ ประทับใจ มาแลก เปลี่ยนเรียรีนรู้กัน ขั้นตอนนี้เป็นการเรียรีนรู้แบบทบทวนไตร่ตรอง (reflection) หรือรืในภาษา KM เรียรีกว่าว่ AAR (After Action Review) 5. Presentation คือ การนำ เสนอโครงการต่อชั้นเรียรีน เป็นขั้นตอนที่ให้การเรียรีนรู้ทักษะอีกชุดหนึ่ง ต่อเนื่องกับขั้นตอน Review เป็นขั้นตอนที่ทำ ให้เกิดการทบทวนขั้นตอนของงานและการเรียรีนรู้ที่เกิด ขึ้นอย่างเข้มข้น แล้วเอามานำ เสนอในรูปแบบที่เร้าใจ ให้อารมณ์และให้ความรู้ (ปัญญา) ทีมงานของ นักเรียรีนอาจสร้างนวัตวักรรมในการนำ เสนอก็ได้ โดยอาจเขียนเป็นรายงาน และนำ เสนอเป็นการรายงาน หน้าชั้น มี เพาเวอร์พอยท์ (PowerPoint) ประกอบ หรือรืจัดทำ วีดีวีดีทัศน์นำ เสนอ หรือรืนำ เสนอเป็น ละคร เป็นต้น “Project-Based Learning increases long-term retention, improves problemsolving and collaboration skills, and improves students’ attitudes towards learning.” (Strobel , 2009) แนวคิดที่ 3 การจัดการเรียรีนรู้แบบใช้โครงงานเป็นฐาน ที่ปรับจากการศึกษาการจัดการเรียรีนรู้แบบ PBL ที่ได้จากโครงการสร้างชุดความรู้เพื่อสร้างเสริมริทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ของเด็กและเยาวชน:


จากประสบการณ์ความสำ เร็จของโรงเรียรีนไทย ของ ดุษฎี โยเหลาและคณะ (2557) โดยมีทั้งหมด 6 ขั้นตอน ดังนี้ ภาพ 3 ขั้นตอนการจัดการเรียรีนรู้แบบใช้โครงงานเป็นฐาน (ปรับปรุงจาก ดุษฎี โยเหลาและคณะ, 2557: 20-23) ในการจัดการเรียรีนรู้แบบใช้โครงงานเป็นฐานครั้งนี้ ได้นำ แนวคิดที่ปรับปรุงจาก ดุษฎี โยเหลาและคณะ (2557: 20-23) ซึ่งเป็นแนวทางการจัดการเรียรีนรู้ที่สร้างขึ้น มาจากการศึกษาโรงเรียรีนในประเทศไทย โดยมีขั้นตอนดังนี้ 1. ขั้นให้ความรู้พื้นฐาน ครูให้ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการทำ โครงงานก่อนการ เรียรีนรู้เนื่องจากการทำ โครงงานมีรูปแบบและขั้นตอนที่ชัดเจนและรัดกุม ดังนั้น นักเรียรีนจึงมีความจำ เป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความรู้เกี่ยวกับโครงงานไว้เว้ป็นพื้นฐาน เพื่อใช้ในการปฏิบัติขณะทำ งานโครงงานจริงริ ในขั้นแสวงหาความรู้ 2. ขั้นกระตุ้นความสนใจ ครูเตรียรีมกิจกรรมที่จะกระตุ้นความสนใจของนักเรียรีน โดย ต้องคิดหรือรืเตรียรีมกิจกรรมที่ดึงดูดให้นักเรียรีนสนใจ ใคร่รู้ ถึงความสนุกสนานในการ ทำ โครงงานหรือรืกิจกรรมร่วมกัน โดยกิจกรรมนั้นอาจเป็นกิจกรรมที่ครูกำ หนดขึ้น หรือรือาจเป็นกิจกรรมที่นักเรียรีนมีความสนใจต้องการจะทำ อยู่แล้ว ทั้งนี้ในการกระตุ้นของครูจะต้องเปิดโอกาสให้นักเรียรีนเสนอจากกิจกรรมที่ได้เรียรีนรู้ ผ่านการจัดการเรียรีนรู้ของครูที่เกี่ยวข้องกับชุมชนที่นักเรียรีนอาศัยอยู่หรือรืเป็นเรื่อรื่งใกล้ ตัวที่สามารถเรียรีนรู้ได้ด้วยตนเอง 3. ขั้นจัดกลุ่มร่วมมือ ครูให้นักเรียรีนแบ่งกลุ่มกันแสวงหาความรู้ ใช้กระบวนการกลุ่ม ในการวางแผนดำ เนินกิจกรรม โดยนักเรียรีนเป็นผู้ร่วมกันวางแผนกิจกรรมการเรียรีน ของตนเอง โดยระดมความคิดและหารือรืแบ่งหน้าที่เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติร่วมกัน หลังจากที่ได้ทราบหัวข้อสิ่งที่ตนเองต้องเรียรีนรู้ในภาคเรียรีนนั้นๆเรียรีบร้อยแล้ว 4. ขั้นแสวงหาความรู้ ในขั้นแสวงหาความรู้มีแนวทางปฏิบัติสำ หรับนักเรียรีนในการ ทำ กิจกรรม ดังนี้ นักเรียรีนลงมือปฏิบัติกิจกรรมโครงงาน ตามหัวข้อที่กลุ่มสนใจ นักเรียรีนปฏิบัติหน้าที่ของตนตามข้อตกลงของกลุ่ม พร้อมทั้งร่วมมือกันปฏิบัติ กิจกรรม โดยขอคำ ปรึกรึษาจากครูเป็นระยะเมื่อมีข้อสงสัยหรือรืปัญหาเกิดขึ้น นักเรียรีนร่วมกันเขียนรูปเล่ม สรุปรายงานจากโครงงานที่ตนปฏิบัติ 5. ขั้นสรุปสิ่งที่เรียรีนรู้ ครูให้นักเรียรีนสรุปสิ่งที่เรียรีนรู้จากการทำ กิจกรรม โดยครูใช้ คำ ถาม ถามนักเรียรีนนำ ไปสู่การสรุปสิ่งที่เรียรีนรู้ 6. ขั้นนำ เสนอผลงาน ครูให้นักเรียรีนนำ เสนอผลการเรียรีนรู้ โดยครูออกแบบกิจกรรม หรือรืจัดเวลาให้นักเรียรีนได้เสนอสิ่งที่ตนเองได้เรียรีนรู้ เพื่อให้เพื่อนร่วมชั้น และนักเรียรีน อื่นๆในโรงเรียรีนได้ชมผลงานและเรียรีนรู้กิจกรรมที่นักเรียรีนปฏิบัติในการทำ โครงงาน


รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5E รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ของสถาบันส่งเสริมริการสอนวิทวิยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท., 2546) ประกอบด้วยขั้นตอนที่สำ คัญดังนี้ 1) ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement) เป็นการนำ เข้าสู่บทเรียรีนหรือรืเรื่อรื่งที่สนใจซึ่งเกิดขึ้นจาก ความสงสัยหรือรือาจเริ่มริ่จากความสนใจของตัวนักเรียรีนเองหรือรืเกิดจากการอภิปรายภายในกลุ่มเรื่อรื่งที่ น่าสนใจอาจมาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ในช่วงเวลานั้น หรือรืเป็นเรื่อรื่งที่เชื่อมโยงกับความรู้เดิมที่เพิ่ง เรียรีนรู้มาแล้ว เป็นตัวกระตุ้นให้นักเรียรีนสร้างคำ ถาม กำ หนดประเด็นที่ศึกษา ในกรณีที่ไม่มีประเด็นใด ที่น่าสนใจ ครูอาจให้ศึกษาจากสื่อต่างๆหรือรืเป็นผู้กระตุ้นด้วยการเสนอด้วยประเด็นขึ้นมาก่อน แต่ไม่ ควรบังคับให้นักเรียรีนยอมรับประเด็นหรือรืคำ ถามที่ครูกำ ลังสนใจเป็นเรื่อรื่งที่จะใช้ศึกษา เมื่อมีคำ ถามที่ น่าสนใจและนักเรียรีนส่วนใหญ่ยอมรับให้เป็นประเด็นที่ต้องการศึกษา จึงร่วมกันกำ หนดขอบเขตและ แจกแจงรายละเอียดของเรื่อรื่งที่จะศึกษาให้มีความชัดเจนมากขึ้น อาจรวมทั้งการรับรู้ประสบการณ์ เดิม หรือรืความรู้จากแหล่งต่างๆที่จะช่วยให้นำ ไปสู่ความเข้าใจเรื่อรื่งหรือรืประเด็นที่จะศึกษามากขึ้น และ มีแนวทางที่ใช้ในการสำ รวจตรวจสอบอย่างหลากหลาย 2)ขั้นสำ รวจและค้นหา (Exploration) เมื่อทำ ความเข้าใจในประเด็นหรือรืคำ ถามที่สนใจจะศึกษา อย่างถ่องแท้แล้วก็มีการวางแผนกำ หนดแนวทางสำ หรับการตรวจสอบตั้งสมมติฐาน กำ หนดทาง เลือกที่เป็นไปได้ ลงมือปฏิบัติเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล ข้อสนเทศ หรือรืปรากฏการณ์ต่าง ๆ วิธีวิธีการตรวจ สอบอาจทำ ได้หลายวิธีวิธีเช่นทำ การทดลอง ทำ กิจกรรมภาคสนาม การใช้คอมพิวเตอร์เพื่อช่วยสร้าง สถานการณ์จำ ลอง (Simulation) การศึกษาหาข้อมูลจากเอกสารอ้างอิงหรือรืจากแหล่งข้อมูลต่างๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลอย่างเพียงพอที่จะใช้ในขั้นต่อไป 3) ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) เมื่อได้ข้อมูลอย่างเพียงพอจากการสำ รวจตรวจสอบ แล้ว จึงนำ ข้อมูลข้อสนเทศที่ได้มิเคราะห์ แปลผล สรุปผลและนำ เสนอผลที่ได้ในรูปต่าง ๆ เช่น บรรยายสรุป สร้างแบบจำ ลองทางคณิตศาสตร์ หรือรืรูปวาด สร้างตาราง ฯลฯ การค้นพบในขั้นนี้ อาจเป็นไปได้หลายทาง เช่น สนับสนุนสมติฐานที่ตั้งไว้ โต้แย้งกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ หรือรืไม่เกี่ยวข้อง กับประเด็นที่ได้กำ หนดไว้ แต่ผลที่ได้จะอยู่ในรูปใดก็สามารถสร้างความรู้และช่วยให้เกิดการเรียรีนรู้ได้ 4) ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) เป็นการนำ ความรู้ที่สร้างขึ้นไปเชื่อมโยงกับความรู้เดิมหรือรื ความคิดที่ได้ค้นคว้าว้เพิ่มเติมหรือรืนำ แบบจำ ลองหรือรืข้อสรุปที่ได้ไปใช้อธิบายสถานการณ์หรือรื เหตุการณ์อื่น ๆ ถ้าใช้อธิบายเรื่อรื่งต่าง ๆ ได้มากก็แสดงว่าว่ข้อจำ กัดน้อย ซึ่งจะช่วยให้เชื่อมโยงกับ เรื่อรื่งต่าง ๆ และทำ ให้เกิดความรู้กว้าว้งขวางขึ้น 5)ขั้นประเมิน (Evaluation) เป็นการประเมินการเรียรีนรู้ด้วยกระบวนการต่าง ๆ ว่าว่นักเรียรีนมีความ รู้อะไรบ้าง อย่างไร และมากน้อยเพียงใด จากขั้นนี้จะนำ ไปสู่การนำ ความรู้ไปประยุกต์ใช้ในเรื่อรื่งอื่นๆ การนำ ความรู้หรือรืแบบจำ ลองไปใช้อธิบายหรือรืประยุกต์ใช้กับเหตุการณ์หรือรืเรื่อรื่งอื่นๆจะนำ ไปสู่ข้อโต้ แย้งหรือรืข้อจำ กัดซึ่งจะก่อให้เกิดประเด็นหรือรืคำ ถาม หรือรืปัญหาที่จะต้องสำ รวจตรวจสอบต่อไป ทำ ให้ เกิดเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องกันไปเรื่อรื่ยๆ จึงเรียรีกว่าว่ Inquiry cycle กระบวนการสืบเสาะหาความ รู้จึงช่วยให้นักเรียรีนเกิดการเรียรีนรู้ทั้งเนื้อหาหลักและหลักการทฤษฎี ตลอดจนลงมือปฏิบัติ เพื่อให้ได้ ความรู้ซึ่งจะเป็นพื้นฐานในการเรียรีนต่อไป


การสอนตามแบบวัฎจักรการเรียรีนรู้ 7 ขั้น (7E) การสอนตามแบบวัฎจักรการเรียรีนรู้ 7 ขั้น เป็นการสอนที่เน้นการถ่ายโอนการเรียรีนรู้และ ให้ความสำ คัญเกี่ยวกับ การตรวจสอบความรู้เดิมของเด็ก ซึ่งเป็น สิ่งที่ครูละเลยไม่ได้และการตรวจ สอบความรู้พื้นฐานเดิมของเด็กจะทำ ให้ครูค้นพบว่านักเรียรีนต้องเรียรีนรู้อะไรก่อนก่อนที่จะเรียรีนรู้ใน เนื้อหาบทเรียรีนนั้นๆ ซึ่ง จะช่วยให้เด็กเกิดการเรียรีนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ขั้นของการเรียรีนรู้ตามแนว คิดของ Eisenkraft (2003 : 58) มีเนื้อหาสาระ ดังนี้ 1. ขั้นตรวจสอบความรู้เดิม(Elicitation Phase) ในขั้นนี้จะเป็นขั้นที่ครูจะตั้งคำ ถามเพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียรีนได้แสดงความรู้เดิมออกมา เพื่อครูจะได้รู้ว่า เด็ก แต่ละคนมีพื้นความรู้เดิมเท่าไร จะได้วางแผนการสอนได้ถูกต้อง และครูได้รู้ว่านักเรียรีนควรจะเรียรีนเนื้อหาใดก่อนที่จะเรียรีนในเนื้อหานั้น ๆ 2. ขั้นเร้าความสนใจ(Engagement Phase) เป็นการนำ เข้าสู่บทเรียรีนหรือรืเรื่อรื่งที่สนใจจากความสงสัย หรือรือาจเริ่มริ่จากความสนใจของตัวนักเรียรีนเองหรือรื เกิดจากการอภิปรายภายในกลุ่ม เรื่อรื่งที่น่าสนใจอาจมาจากเหตุการณ์ที่กำ ลังเกิดขึ้นอยู่ในช่วงเวลานั้น หรือรืเป็นเรื่อรื่งที่เชื่อมโยงกับความรู้เดิมที่เด็กเพิ่งเรียรีนรู้ มาแล้ว ครูเป็นคนกระตุ้นให้นักเรียรีนสร้างคำ ถามกำ หนดประเด็นที่ที่จะกระตุ้นโดยการเสนอประเด็นขึ้นก่อน แต่ไม่ควรบังคับให้นักเรียรีนยอมรับประเด็นหรือรื คำ ถามที่ครูกำ ลังสนใจเป็นเรื่อรื่งที่จะใช้ศึกษา 3. ขั้นสำ รวจและค้นหา(Exploration Phase) ในขั้นนี้จะต่อเนื่องจากขั้นเร้าความสนใจ ซึ่งเมื่อนักเรียรีนทำ ความเข้าใจในประเด็นหรือรืคำ ถามที่สนใจจะ ศึกษาอย่างถ่องแท้แล้วก็มีการวางแผนกำ หนดแนวทางควรสำ รวจตรวจสอบ ตั้งสมมุติฐาน กำ หนดทางเลือกที่เป็นไปได้ ลงมือปฏิบัติเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูล ข้อสนเทศ หรือรืปรากฏการณ์ต่าง ๆ วิธีวิธีการตรวจสอบอาจทำ ได้หลายวิธีวิธี เช่น ทำ การทดลอง ทำ กิจกรรมภาคสนาม การใช้คอมพิวเตอร์เพื่อช่วยสร้างสถานการณ์จำ ลอง (Simulation) การศึกษาหาข้อมูลจากเอกสารอ้างอิงจาก แหล่งข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลอย่างเพียงพอที่จะใช้ในขั้นต่อไป 4. ขั้นอธิบาย(Explanation Phase) ในขั้นนี้เมื่อนักเรียรีนได้ข้อมูลมาอย่างเพียงพอจากการสำ รวจตรวจสอบแล้ว จึงนำ ข้อมูล ข้อสนเทศที่ได้มาวิเวิคราะห์ แปลผล สรุปผล และนำ เสนอผลที่ได้ในรูปต่าง ๆ เช่น บรรยายสรุป สร้างแบบจำ ลองทางคณิตศาสตร์ หรือรืรูปวาด สร้างตารางฯลฯการค้นพบในด้านนี้อาจ เป็นไปได้หลายทาง เช่น สนับสนุนสมมุติฐานที่ตั้งไว้ โต้แย้งกับสมมุติฐานที่ตั้งไว้ หรือรืไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่ได้กำ หนดไว้ แต้ผลที่ได้จะอยู่ในรูปใดก็ สามารถสร้างความรู้และช่วยให้เกิดการเรียรีนรู้ได้ 5. ขั้นขยายความคิด(Expansion Phase/Elaboration Phase) เป็นการนำ ความรู้ที่สร้างขึ้นไปเชื่อมโยงกับความรู้เดิมหรือรืแนวคิดที่ได้ค้นคว้าเพิ่มเติม หรือรืนำ แบบจำ ลองหรือรืข้อสรุปที่ไปใช้อธิบายสถานการณ์หรือรืเหตุการณ์อื่นๆ ถ้าใช้อธิบายเรื่อรื่งต่างๆ ได้มากก็แสดงว่าข้อกำ กัดน้อย ซึ่งก็จะช่วยให้เชื่อมโยง กับเรื่อรื่งราวต่างๆ และทำ ให้เกิดความรู้สึกกว้างขวางขึ้น 6. ขั้นประเมินผล(Evaluation Phase) ในขั้นนี้เป็นการประเมินการเรียรีนรู้ด้วยกระบวนการต่าง ๆ ว่านักเรียรีนมีความรู้อะไรบ้าง อย่างไร และมากน้อย เพียงใด จากขั้นนี้จะนำ ไปสู่การนำ ความรู้ไปประยุกต์ใช้ในด้านอื่นๆ 7. ขั้นนำ ความรู้ไปใช้(Extension Phase) ในขั้นนี้เป็นที่ครูจะต้องมีการจัดเตรียรีมโอกาสให้นักเรียรีนได้นำ สิ่งที่ได้เรียรีนมาไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ใน ชีวิตวิประจำ วัน ครูจะเป็นผู้กระตุ้นให้นักเรียรีนสามารถนำ ความรู้ที่ได้รับไปสร้างเป็นความรู้ที่เรียรีกว่า “การถ่ายโอนการเรียรีนรู้” จากขั้นตอนต่าง ๆ ในรูปแบบการสอนโดยวัฏจักรการเรียรีนรู้ 7 ขั้น จะเห็นได้ว่ารูปแบบการสอนโดยใช้วัฏจักรการเรียรีนรู้7 ขั้น จะเน้นการถ่ายโอนการเรียรีนรู้ และให้ความสำ คัญกับกาตรวจสอบความรู้เดิมของเด็กซึ่งเป็นสิ่งที่ครูไม่ควรละเลย หรือรืละทิ้ง เนื่องจาก การตรวจสอบพื้นความรู้เดิมของเด็กจะทำ ให้ครูได้ ค้นพบว่านักเรียรีนจะต้องเรียรีนรู้อะไรก่อนที่จะเรียรีนในเนื้อหานั้น ๆ นักเรียรีนจะสร้างความรู้จากพื้นความรู้เดิมที่เด็กมี ทำ ให้เด็กเกิดการเรียรีนรู้อย่างมีความ หมายและไม่คิดแนวความคิดที่ผิดพลาด การละเลยหรือรืเพิกเฉยในขั้นนี้จะทำ ให้ยากแก่การพัฒนาแนวความคิดของเด็กซึ่งจะไม่เป็นไปตามจุดมุ่งหมายที่ครู วางไว้ นอกจากนี้ยังเน้นให้นักเรียรีนสามารถนำ ความรู้ที่ได้รับไประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตวิประจำ วันได้ แผนการจัดการเรียรีนรู้แบบวัฎจักรการเรียรีนรู้ 7 ขั้น หมายถึง การกำ หนดแนวทาง หรือรืรูปแบบการเรียรีนการสอน แบบสืบเสาะหาความรู้อย่างต่อเนื่องซึ่งมีขั้นตอนการสอน ดังนี้ 1.1ขั้นตรวจสอบความรู้เดิม (Elictation Phase) เป็นขั้นที่ครูตั้งคำ ถามเพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียรีนได้แสดงความรู้เดิมออกมา เพื่อครูจะได้รู้ว่าเด็กแต่ละคนมีพื้น ฐานความรู้เดิมเท่าไร จะได้วางแผนการสอนได้ถูกต้อง และครูได้รู้ว่านักเรียรีนควรจะเรียรีนเนื้อหาใดก่อนที่จะเรียรีนเนื้อหานั้น ๆ 1.2 ขั้นสร้างความสนใจ(Engagement Phase) เป็นการนำ เข้าสู่บทเรียรีนที่สนใจ ซึ่งอาจเกิดขึ้นเองจากความสงสัย หรือรือาจเริ่มริ่จากความสนใจของตัวนักเรียรีนเองหรือรืเกิดจากการอภิปราย ซักถาม หรือรืเรื่อรื่งที่เชื่อมโยงกับความรู้เดิมที่เพิ่ง เรียรีนรู้มาแล้ว เป็นตัวกระตุ้นให้นักเรียรีนสร้างคำ ถาม กำ หนดประเด็นที่จะศึกษา 1.3 ขั้นสำ รวจและค้นหา(Exploration Phase) การวางแผนกำ หนดแนวทาง การสำ รวจ ตรวจสอบ ตั้งสมมุติฐาน กำ หนดทางเลือกที่เป็นไปได้ ลงมือปฏิบัติเพื่อเก็บรวบรวม ข้อมูล ข้อสนเทศ ศึกษาข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลอย่างเพียงพอที่จะใช้ในขั้นต่อไป 1.4 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป(Explanation Phase) นำ ข้อมูลที่ได้มาวิเวิคราะห์ อภิปราย แปลผล สรุปผล และนำ เสนอผล 1.5 ขั้นขยายความรู้(Expansion Phase) เป็นการนำ ความรู้ที่สร้างขึ้นไปเชื่อมโยง กับความรู้เดิม หรือรืแนวคิดที่ค้นคว้าเพิ่มเติม นำ ข้อสรุปที่ได้ไปใช้อธิบายสถานการณ์อื่น ๆ และทำ ให้เกิดความรู้กว้างขวางขึ้น 1.6 ขั้นประเมินผล(Evaluation Phase) เป็นการประเมินการเรียรีนรู้ด้วยกระบวน การต่าง ๆ ว่านักเรียรีนมีความรู้อะไรบ้าง และมากน้อยเพียงใด จากขั้นนี้จะนำ ไปสู่การนำ ความรู้ไปประยุกต์ใช้ในเรื่อรื่งอื่น ๆ 1.7 ขั้นนำ ความรู้ไปใช้(Extension Phase) เป็นขั้นที่นักเรียรีนได้นำ สิ่งที่ได้จากการ เรียรีนรู้ไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตวิประจำ วัน เพื่อสร้างความรู้ใหม่ที่เรียรีกว่า “การถ่ายโอนการเรียรีนรู้”


ทักษะกระบวนการทางวิทวิยาศาสตร์ (science process skill) หมายถึง ความสามารถ และความชำ นาญในการคิด เพื่อค้นหาความรู้และการแก้ไขปัญหา โดยใช้กระบวนการทาง วิทวิยาศาสตร์อาทิการสังเกต การวัดวัการคำ นวณ การจำ แนก การหาความสัมพันธ์ระหว่าว่งสเปสกับเวลา การจัดกระทำ และสื่อความหมาย ข้อมูล การลงความคิดเห็น การพยากรณ์การตั้งสมมติฐาน การกำ หนดนิยาม การกำ หนดตัวแปร การทดลอง การวิเวิคราะห์และแปรผลข้อมูล การสรุปผลข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้อง และแม่นยำ 109 ทักษะกระบวนการทางวิทวิยาศาสตร์13 ทักษะ แบ่งเป็น 2 ระดับ คือ 1. ระดับทักษะกระบวนการทางวิทวิยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน 8 ทักษะ เป็นทักษะเพื่อการแสวงหาความรู้ทั่วไป ประกอบด้วยทักษะที่1 การสังเกต (Observing) หมายถึง การใช้ประสาทสัมผัสของร่างกายอย่างใด อย่างหนึ่งหรือรืหลายอย่าง ได้แก่ หูตา จมูก ลิ้น กายสัมผัส เข้าสัมผัสกับวัตถุหรือรืเหตุการณ์เพื่อให้ทราบ และรับรู้ข้อมูลรายละเอียดของสิ่งเหล่านั้น โดยปราศจากความคิดเห็นส่วนตน ข้อมูลเหล่านี้จะประกอบด้วย ข้อมูลเชิงคุณภาพ เชิงปริมริาณ และรายละเอียดการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากการ สังเกต ทักษะที่ 2 การวัด (Measuring) หมายถึง การใช้เครื่อรื่งมือสำ หรับ การวัดข้อมูลในเชิงปริมริาณของสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลเป็นตัวเลขในหน่วยการวัดที่ถูกต้อง แม่นยำ ได้ ทั้งนี้ การใช้เครื่อรื่งมือจำ เป็นต้องเลือกใช้ ให้เหมาะสมกับสิ่งที่ต้องการวัด รวมถึงเข้าใจวิธีวิธีการวัด และแสดงขั้นตอนการวัดได้อย่างถูกต้อง ทักษะ ที่ 3 การคำ นวณ (Using numbers) หมายถึง การนับจำ นวนของวัตถุ และการนำ ตัวเลขที่ได้จากนับ และตัวเลขจากการวัดมาคำ นวณด้วยสูตรคณิตศาสตร์ เช่น การบวก การลบ การคูณ การหาร เป็นต้นโดยการเกิดทักษะการคำ นวณจะแสดงออกจากการนับที่ถูกต้อง ส่วนการคำ นวณจะแสดงออกจากการเลือกสูตร คณิตศาสตร์การแสดงวิธีวิธีคำ นวณและการคำ นวณที่ถูกต้อง แม่นยำ ทักษะที่ 4 การจำ แนกประเภท (Classifying) หมายถึง การเรียรีงลำ ดับ และการแบ่งกลุ่มวัตถุหรือรืรายละเอียดข้อมูลด้วยเกณฑ์ความแตกต่าง หรือรืความสัมพันธ์ใด ๆอย่างใดอย่างหนึ่ง ทักษะที่ 5 การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปส และ สเปสกับเวลา (Usingspace/Timerelationships) สเปสของวัตถุ หมายถึง ที่ว่างที่วัตถุนั้นครองอยู่ ซึ่งอาจมีรูปร่างเหมือนกันหรือรืแตกต่าง กับวัตถุนั้น โดยทั่วไปแบ่งเป็น 3 มิติ คือ ความกว้าง ความยาว และความสูง ความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปสของวัตถุ ได้แก่ ความสัมพันธ์ ระหว่าง 3 มิติ กับ 2 มิติ ความสัมพันธ์ระหว่างตำ แหน่งที่อยู่ของวัตถุหนึ่งกับวัตถุหนึ่งความสัมพันธ์ระหว่างสเปสของวัตถุกับเวลา ได้แก่ ความ สัมพันธ์ของการเปลี่ยนแปลงตำ แหน่งของวัตถุกับช่วงเวลา หรือรืความสัมพันธ์ของสเปสของวัตถุที่เปลี่ยนไปกับช่วงเวลา ทักษะที่ 6 การ จัดกระทำ และสื่อความหมายข้อมูล (Communication) หมายถึง การนำ ข้อมูลที่ได้จากการสังเกต และการวัด มาจัดกระทำ ให้มีความหมาย โดยการหาความถี่ การเรียรีงลำ ดับ การจัดกลุ่ม การคำ นวณค่า เพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจความหมายได้ดีขึ้น ผ่านการเสนอในรูปแบบของตาราง แผนภูมิ วงจร เขียนหรือรืบรรยาย เป็นต้น ทักษะที่ 7 การลงความเห็นจากข้อมูล (Inferring) หมายถึง การเพิ่มความคิดเห็นของตนต่อข้อมูลที่ได้จากการสังเกตอย่างมีเหตุผลจากพื้นฐาน ความรู้หรือรืประสบการณ์ที่มี ทักษะที่ 8 การพยากรณ์(Predicting) หมายถึง การทำ นายหรือรืการคาดคะเนคำ ตอบ โดยอาศัยข้อมูลที่ได้จากการสังเกตหรือรืการทำ ซ้ำ ผ่าน กระบวนการแปรความหายของข้อมูลจากสัมพันธ์ภายใต้ความรู้ทางวิทวิยาศาสตร์ 2. ระดับทักษะกระบวนการทางวิทวิยาศาสตร์ขั้นบูรณาการ 5 ทักษะ เป็นทักษะกระบวนการขั้นสูงที่มีความซับซ้อนมากขึ้น เพื่อแสวงหาความรู้ โดยใช้ทักษะกระบวนการทางวิทวิยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน เป็นพื้นฐานในการพัฒนา ประกอบด้วย ทักษะที่ 9 การตั้งสมมติฐาน (Formulating hypotheses) หมายถึง การตั้งคำ ถามหรือรืคิดคำ ตอบล่วงหน้าก่อนการทดลองเพื่ออธิบาย หาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่าง ๆ ว่ามีความสัมพันธ์อย่างไรโดยสมมติฐานสร้างขึ้นจะอาศัยการสังเกต ความรู้ และประสบการณ์ภายใต้หลัก การ กฎ หรือรืทฤษฎีที่สามารถอธิบายคำ ตอบได้ ทักษะที่ 10 การกำ หนดนิยามเชิงปฏิบัติการ (Defining operationally) หมายถึง การกำ หนด และอธิบายความหมาย และขอบเขตของคำ ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาหรือรืการทดลองเพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกันระหว่างบุคคล ทักษะที่ 11 การกำ หนด และควบคุมตัวแปร (Identifying and controlling variables) หมายถึง การบ่งชี้ และกำ หนดลักษณะตัวแปรใด ๆ ให้เป็นเป็นตัวแปรอิสระหรือรืตัวแปรต้น และตัวแปรใดๆให้เป็นตัวแปรตาม และตัวแปรใด ๆให้เป็นตัวแปรควบคุม ทักษะที่ 12 การทดลอง (Experimenting) หมายถึง กระบวนการปฏิบัติ และทำ ซ้ำ ในขั้นตอนเพื่อหาคำ ตอบจากสมมติฐาน แบ่งเป็น 3 ขั้นตอน คือ1. การออกแบบการทดลอง หมายถึง การวางแผนการทดลองก่อนการทดลองจริงริๆ เพื่อกำ หนดวิธีวิธีการและขั้นตอนการทดลองที่สามารถ ดำ เนินการได้จริงริรวมถึงวิธีวิธีการแก้ไขปัญหาอุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นขณะทำ การทดลองเพื่อให้การทดลองสามารถดำ เนินการให้สำ เร็จลุล่วงด้วยดี2. การปฏิบัติการทดลอง หมายถึง การปฏิบัติการทดลองจริงริ3. การบันทึกผลการทดลอง หมายถึง การจดบันทึกข้อมูลที่ได้จากการทดลองซึ่งอาจ เป็นผลจากการสังเกต การวัดและอื่นๆ ทักษะที่ 13 การตีความหมายข้อมูล และการลงข้อมูล (Interpreting data and conclusion)หมายถึง การแปรความหมายหรือรืการบรรยาย ลักษณะและสมบัติของข้อมูลที่มีอยู่ การ ตีความหมายข้อมูลในบางครั้งอาจต้องใช้ทักษะอื่น ๆ เช่น ทักษะการสังเกต ทักษะการคำ นวณา


ภาคผนวก


อภิธานศัพท์ 1.กำ หนดปัญหา (Define problem) หมายถึง ระบุคำ ถาม ประเด็น หรือรื สถานการณ์ที่เป็นข้อสงสัยเพื่อนำ ไปสู่การแก้ปัญหา หรือรือภิปราย ร่วมกัน 2.แก้ปัญหา (Solve problem) หมายถึง หาคำ ตอบของปัญหาที่ยังไม่รู้วิธีวิธีการ มาก่อน ทั้ง ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับวิทวิยาศาสตร์โดยตรง และปัญหาในชีวิตวิประจำ วันวั โดยใช้เทคนิคและวิธีวิธีการต่าง ๆ 3.เขียนแผนผัง/ วาดภาพ (Construct diagram/ illustrate) หมายถึง นำ เสนอข้อมูล หรือรืผลการสำ รวจตรวจสอบด้วย แผนผัง กราฟ หรือรืภาพวาด 4.คาดคะเน (Predict) หมายถึง คาดการณ์ผลที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยอาศัย ข้อมูลที่สังเกตได้ และประสบการณ์ที่มี 135 5.คำ นวณ (Calculate) หมายถึง หาผลลัพธ์จากข้อมูลโดยใช้หลักการ ทฤษฎี หรือรืวิธีวิธีการทางคณิตศาสตร์ 6.จำ แนก (Classify) หมายถึง จัดกลุ่มของสิ่งต่าง ๆ โดยอาศัยลักษณะที่ เหมือนกันเป็นเกณฑ์ 7.ตั้งคำ ถาม (Ask question) หมายถึง พูดหรือรืเขียนประโยค หรือรืวลีเพื่อให้ได้ มาซึ่ง การค้นหำ คำ ตอบที่ต้องการ 8.ทดลอง (Conduct/ experiment) หมายถึง ปฏิบัติการเพื่อหำ คำ ตอบของ คำ ถาม หรือรืปัญหา ในกำ รทดลอง โดยตั้งสมมติฐานเพื่อเป็นแนวทาง ในการ กำ หนดตัวแปรและวางแผนดำ เนินการ เพื่อตรวจสอบสมมติฐาน 9.นำ เสนอ (Present) หมายถึง แสดงข้อมูล เรื่อรื่งราว หรือรืความคิด เพื่อให้ผู้ อื่น รับรู้หรือรืพิจารณา 10.บรรยาย (Describe) หมายถึง ให้รายละเอียดของเหตุการณ์หรือรื ปรากฏการณ์ที่ เกิดขึ้นให้ผู้อื่นได้รับรู้ด้วยการบอกหรือรืเขียน 11.บอก (Tell) หมายถึง ให้ข้อมูล ข้อเท็จจริงริแก่ผู้อื่นด้วยการพูด หรือรืเขียน 136


12.บันทึก (Record) หมายถึง เขียนข้อมูลที่ได้จากการสังเกต เพื่อช่วยจำ หรือรืเพื่อเป็นหลักฐาน 13.เปรียรีบเทียบ (Compare) หมายถึง บอกความเหมือน และ/หรือรืความ แตกต่างของ สิ่งที่เทียบเคียงกัน 14.แปลความหมาย (Interpret) หมายถึง แสดงความหมายของข้อมูลจาก หลักฐานที่ปรากฏ เพื่อลงข้อสรุป 15.ยกตัวอย่าง (Give examples) หมายถึง ให้ข้อมูล เหตุการณ์ หรือรื สถานการณ์ เพื่อแสดง ความเข้าใจในสิ่งที่ได้เรียรีนรู้ 16.ระบุ (Identify) หมายถึง ชี้บอกสิ่งต่าง ๆ โดยใช้ข้อมูลประกอบอย่าง เพียงพอ 17.เลือกใช้ (Select) หมายถึง พิจารณาและตัดสินใจนำ วัสวัดุ สิ่งของ อุปกรณ์ หรือรืวิธีวิธีการมาใช้ได้อย่างเหมาะสม 18.วัดวั (Measure) หมายถึง หาขนดหรือรืปริมริาณของสิ่งต่าง ๆ โดยใช้เครื่อรื่ง มือ ที่เหมาะสม 19.วิเวิคราะห์ (Analyze) หมายถึง แยกแยะ จัดระบบ เปรียรีบเทียบ จัดลำ ดับ จัดจำ แนก หรือรืเชื่อมโยงข้อมูล 137 20.สร้างแบบจำ ลอง (Construct model) หมายถึง นำ เสนอแนวคิดหรือรื เหตุการณ์ในรูปของ แผนภาพ ชิ้นงาน สมการ ข้อความ คำ พูด และ/หรือรืใช้ แบบจำ ลองเพื่ออธิบายความคิด วัตวัถุ หรือรืเหตุการณ์ต่าง ๆ 21.สังเกต (Observe) หมายถึง หาข้อมูลด้วยการใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้ำ ที่ เหมาะสม ตามข้อเท็จจริงริที่ปรากฏ โดยไม่ใช้ ประสบการณ์เดิมของผู้สังเกต 22.สำ รวจ (Explore) หมายถึง หาข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ โดยใช้วิธีวิธีการและ เทคนิคที่เหมาะสมเพื่อนำ ข้อมูลมาใช้ตาม วัตวัถุประสงค์ที่กำ หนดไว้ 23.สืบค้นข้อมูล (Search) หมายถึง หาข้อมูล หรือรืข้อสนเทศที่มีผู้รวบรวมไว้ แล้วจาก แหล่งต่าง ๆ มาใช้ประโยชน์ 24.สื่อสาร (Communicate) หมายถึง นำ เสนอและแลกเปลี่ยนความคิด ข้อมูล หรือรืผล จากการสำ รวจตรวจสอบด้วยวิธีวิธีที่เหมาะสม 25.อธิบาย (Explain) หมายถึง กล่าวถึงเรื่อรื่งราวต่าง ๆ อย่างมีเหตุผล และ มี ข้อมูล หรือรืประจักษ์พยานอ้างอิง


แผนการจัดการเรียรีนรู้โดยใช้นวัตกรรม Active Learning โรงเรียรีนบ้านภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หน่วยการเรียรีนรู้ที่1เรื่อรื่ง สิ่งเเวดล้อม ชั้นประถมศึกษาปีที่6 กลุ่มสาระการเรียรีนรู้วิทวิยาศาสตร์และเทคโนโลยี รหัสวิชวิา ว16101จำ นวน15ชั่วโมง แผนการเรียรีนรู้ที่1เรื่อรื่ง ชีวิตวิของหิน (วัฏจักรหิน) วันที่24กุมภาพันธ์พ.ศ.2566 เวลา2ชั่วโมง ผู้สอน นางสาวหัทยา คำ นาค อาจารย์ที่ปรึกรึษา อ.สมหวัง นิลพันธ์ อาจารย์พี่เลี้ยง 1.มาตรฐานการดเรียรีนรู้/ตัวชี้วัด สาระที่3วิทวิยาศาสตร์โลกและอวกาศ มาตรฐานการเรียรีนรู้ ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการ เปลี่ยนแปลงภายในโลกและบนผิว โลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศและภูมิ อากาศโลก รวมทั้งผลต่อสิ่งมีชีวิตวิและสิ่งแวดล้อม ตัวชี้วัด ว 3.2 ป.6/1เปรียรีบเทียบกระบวนการเกิดหินอัคนี หินตะกอนและหินแปรและอธิบาย วัฏจักรของหินจากแบบจำ ลอง 2.สาระสำ คัญ วัฏจักรของหิน คือ กระบวนการเปลี่ยนแปลงและหมุนเวียวีนของหินอัคนี หินตะกอน และหินแปร โดยเริ่มริ่ จากหินหนืดเย็นตัวลงกลายเป็นหินอัคนี จากนั้นหินอัคนีจะผุพังและ สึกกร่อนเป็นเศษหินและตะกอนต่างๆ ซึ่งถูกพัดพาและทับถมกันเป็นหินตะกอน เมื่อหินตะกอน ได้รับความร้อนและแรงกดดันสูงจะกลายเป็น หินแปร และเมื่อหินแปรได้รับความร้อนสูงมากจน หลอมละลายจะกลายสภาพเป็นหินหนืด ซึ่งเมื่อเย็นตัว ลงจะตกผลึกเป็นหินอัคนีอีกครั้งวนเวียวีน เช่นนี้เรื่อรื่ยไปเป็น วัฏจักรของหิน 3.จุดประสงค์การเรียรีนรู้ 1.อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างการเกิดหินประเภทต่างๆ จากแผนภาพวัฏจักรของหินได้ (K) 2.สืบสอบข้อมูลเกี่ยวกับวัฏจักรของหิน อย่างรวมพลัง ด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจได้ (P) 3.มีความมุ่งมั่นและตั้งใจ (A)


Click to View FlipBook Version