256 บทที่ 6 มวยไทยในแต่ละท้องถิ่น มวยไทยตามภูมิภาค มวยไทยมีหลักพื้นฐานเดียวกัน คือ การใช้หมัด เท้า เข่า ศอก และศีรษะ ซึ่งแต่ละ ท้องถิ่นได้มีการพัฒนาความสามารถและความถนัดในเชิงมวยที่แตกต่างกันออกไป มวยไทยใน แต่ละท้องถิ่นของไทยเรา มีมานามแล้ว จากการรวบรวมเรื่องราวของมวยไทยจาก ต ารามวย ไทย การแข่งขันมวยไทย การแสดงการใช้อาวุธมวยไทย การร่ายร าแม่ไม้ การแสดงการร่ายร า ไหว้ครูมวยไทย การฝึกมวยไทยเพื่อออกก าลังกาย ตามภูมิภาคต่าง ในแต่ละภูมิภาคนั้น มวย ไทยในแต่ละภูมิภาคมีเอกลักษณ์ของตนเองตามภูมิภาคนั้น และได้มีการเปรียบเปรยความ สามารถ เชิงมวยของท้องถิ่นต่าง ๆ “หมัดหนักโคราช ฉลาดลพบุรี ท่าดีไชยา ไวกว่าท่าเสา ครบ เครื่องพลศึกษา” มวยไทยในแต่ละภูมิภาคมีดังนี้ มวยไทยภาคกลาง มวยไทยลพบุรี ประวัติมวยลพบุรี เมื่อ พ.ศ.1200 สุกะทันตะฤาษี เปิดส านักวิทยายุทธเขาสมอ คอน เมืองลพบุรี มีลูกศิษย์ ที่เรียนได้แก่ พ่อขุนรามค าแหงมหาราช พ่อขุนง าเมือง ช่วงสืบ ทอดของมวยลพบุรีซึ่งมวยลพบุรีเริ่มเป็นรูปเป็นร่างในสมัย สมเด็จพระนารายณ์ มหาราช เป็น พระมหากษัตริย์ ที่ส่งเสริมมวยลพบุรี อย่างกว้างขวางสมัยรัชกาลที่ 5 พ.ศ. 2411 พระองค์ ทรงโปรดกีฬามวยไทยมากได้จัดให้มีการแข่งขันชกมวยไทยหน้าพระที่นั่ง มีนักมวยฝีมือดีจาก ทุกหัวเมือง สามารถชนะคู่ต่อสู้หลายคน หนึ่งในนั้นคือ นายกลึง โตสะอาด จากอ าเภอท่าวุ้ง ลพบุรีได้รับการกล่าวขานว่า ฉลาดลพบุรี ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ เป็น หมื่นมือแม่นหมัด เกี่ยวกับความเป็นมาของมวยลพบุรี ย้อนอดีตร าลึกถึงมวยลพบุรี ในสมัยที่ผ่านมาจากนั้นได้น า ข้อมูลที่ศึกษามาสรุปพบว่า มวยลพบุรีที่มีประวัติความเป็นมาและวิวัฒนาการตกทอดติดต่อมา ยาวนานหลายชั่วอายุคน นับตั้งแต่สมัยเริ่มสร้างอาณาจักรทวารวดี ลพบุรี จนมาถึงช่วงเวลาที่ มวยลพบุรีเริ่มก าเนิดขึ้นมา มีการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ มากมาย ทั้งในด้านตัวบุคคล
257 สถานที่ ความส าคัญ จุดมุ่งหมาย และโอกาสในการชกมวยเพื่อให้เกิดความเข้าใจในการศึกษา ง่ายขึ้น และเนื้อหาสาระมีความต่อเนื่องกับเหตุการณ์ส าคัญทางประวัติศาสตร์มวยลพบุรี ผู้วิจัยจึงแบ่งขั้นตอน ในการน าเสนอเรื่องประวัติศาสตร์ความเป็นมาของมวยลพบุรีออกเป็น 4 ช่วงเวลาตามล าดับเหตุการณ์ดังมีรายละเอียดดังนี้ ช่วงที่ 1 ระหว่างปีพุทธศักราช 1200 – 2198 น่าจะพอประมาณเรียกได้ว่าเป็นช่วง เริ่มต้นของมวยลพบุรี (วรวิทย์ วงษ์สุวรรณ์ ที่นี่เมืองลพบุรี 2547 : 7) ช่วงที่ 2 ระหว่างปีพุทธศักราช 2199 – 2410 น่าจะพอประมาณเรียกได้ว่าเป็นช่วง สืบทอดของมวยลพบุรี (ชัชชัย โกมารทัต, ฟอง เกิดแก้ว บทความ เรื่อง วิวัฒนาการกีฬามวย ไทย โครงการไทยศึกษา ฝ่ายวิชาการ, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2525 : 3) ช่วงที่ 3 ระหว่างปีพุทธศักราช 2411 – 2487 น่าจะพอประมาณเรียกได้ว่าเป็นช่วง พัฒนาของมวยลพบุรี (ชัชชัย โกมารทัต, ฟอง เกิดแก้ว บทความ เรื่อง วิวัฒนาการกีฬามวย ไทย โครงการไทยศึกษา ฝ่ายวิชาการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2525 : 3) ช่วงที่ 4 ระหว่างปีพุทธศักราช 2488 จนถึงปัจจุบัน น่าจะพอประมาณเรียกว่า ได้ว่า เป็นช่วงสมัยใหม่ ของมวยลพบุรี ( ชัชชัย โกมารทัต, ฟอง เกิดแก้ว บทความเรื่อง วิวัฒนาการ กีฬามวยไทย โครงการไทยศึกษาฝ่ายวิชาการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2523 : 3 )
258 ช่วงที่ 1 ระหว่างปีพุทธศักราช 1200 – 2198 เรียกว่าช่วงเริ่มต้นของมวยลพบุรี มวยลพบุรีเริ่มมีความเกี่ยวพันกับก าเนิดอาณาจักรทวารวดีลพบุรี ที่ได้ชื่อว่าเป็นปฐมบท ของปรมาจารย์วิทยายุทธแห่งส านักเขาสมอคอนอันเป็นที่มาของมวยลพบุรีในปัจจุบัน ดังความ ว่าส านักเขาสมอคอน เป็นส่วนหนึ่งของ อาณาจักรทวารวดีลพบุรี ซึ่งสร้างโดย พระยา กาฬวรรณดิศ โอรสของพระยากากะพัตรแห่งเมืองตักสิลา ได้ทรงสร้าง “ เมืองละโว้ ” หรือ เมือง “ ลวปุระ ” ขึ้น เมื่อจุลศักราชที่ 10 หรือ ปีพุทธศักราช 1191 ในราวพุทธศตวรรษที่ 12 โดยได้ทรงตั้งราชธานีอยู่บนฝั่งที่ราบลุ่มแม่น้ าเจ้าพระยาตอนล่าง ไกลออกไปด้านทิศตะวันออก ปรากฏเทือกเขาสมอคอนซึ่งทอดตัวเป็นแนวยาวจากทิศตะวันออกจนจรดทิศตะวันตกของ ต าบลเขาสมอคอน อ าเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี ในอดีตกาลที่ผ่านมาเขาสมอคอนคือสถาน ที่ตั้งส านักศิลปวิทยา ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง เกรียงไกรมาตั้งแต่ ปี พุทธศักราช 1200 ที่ผู้คนทั่วทุก สารทิศได้หลั่งไหลมาเรียนศิลปวิทยาการ และ ชื่อของ สุกะทันตะฤๅษี เจ้าส านักแห่งเทือกเขา สมอคอน ได้แพร่สะพัดไปทั่วทุกแว่นแค้นของ ชาวไทย เมื่อ 1,300 ปี ที่ผ่านมาอันเป็นเวลา หลังจากพระยากาฬวรรณดิศ ได้ตั้งเมืองลพบุรีล่วงได้ 90 ปี (จากส านวน “สิงหนวัติกุมาร” ได้กล่าวไว้) โดยก่อนปีพุทธศักราช 1,200 ได้มีโอรสของ พระยาวองติฟองโพธิญาณ แห่งกรุงวิ เทหราช ( อาจเป็นหนองแสในจีน ) 2 พระองค์ ชื่อ วาสุเทพ และสุกะทันตะได้ชักชวนกัน เดินทางลงมาทางทิศใต้ โดยพระโอรสวาสุเทพ ได้หยุดพ านักที่ดอย สุเทพ ส่วนพระโอรสสุ กะทันเตะได้มาตั้งส านักอยู่ที่ภูเขาด้านทิศตะวันออกของเมืองละโว้ ซึ่งมีชื่อเรียกว่า เขาสมอ คอน สภาพของเทือกเขาสมอคอนเมื่อราวปีพุทธศักราช 1200 มีสภาพเป็นป่าที่เหมาะสมแก่ การตั้งส านัก เพื่อเป็นแหล่งให้ผู้คนได้เดินทางเข้ามาเรียนศิลปะวิทยาในแขนงต่าง ๆ ที่เจ้า ส านักมีความรู้พอที่จะสั่งสอนวิชาให้กับผู้ที่เป็นศิษย์ได้ รวมทั้งการฝึกวิทยายุทธของเหล่าผู้กล้า ทั้งหลายในยุคนั้นด้วย ทั้งที่เป็นพระโอรสของกษัตริย์ในเมืองหรือแว่นแค้นต่างๆ ในยุคนั้น เมื่อ สุกะทันตะได้ก่อตั้งส านักฝึกวิทยายุทธที่เทือกเขาสมอคอนในครั้งกระโน้น จึงได้รับการยกย่อง ให้เป็นปรมาจารย์แห่งเขาสมอคอน (วรวิทย์ วงษ์สุวรรค์ ที่นี่เมืองลพบุรี 2547 : 29) แต่นิยม เรียกกันโดยทั่วๆ ไปว่า “สุกะทันตะฤาษี” ความเจริญรุ่งเรืองของส านักวิทยายุทธเขาสมอ คอน ของสุกะทันตะฤๅษีได้มีการ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเจ้าส านักมาหลายชั่วอายุคน โดยทอด
259 ระยะเวลาที่ยาวนานจากปลายพุทธศตวรรษที่ 12 มาจนถึงพุทธศตวรรษที่ 18 ท าให้มีอายุยืน นานถึงประมาณ 600 ปี และได้มีการคาดการณ์ว่ามีการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนเจ้าส านักเป็น จ านวนถึง 15 คน และยังได้ชื่อว่าเป็นส านักวิทยายุทธที่มีชื่อเสียงมากในยุคนั้น จนอาจน าไป เปรียบได้กับส านักตักศิลาทิศาปาโมกข์ของประเทศอินเดีย ครั้งกระนั้นเมืองละโว้ หรือลพบุรีมี ความเจริญรุ่งเรืองในด้านศิลปะวัฒนธรรมจนถึงขีดสุดและไม่มีส านักใดจะมาเทียบได้กับส านัก ของสุกะทันตะฤๅษีแห่งเขาสมอคอน ดังมีหลักฐานปรากฏในพงศาวดาร เมือง เงินยาง เชียง แสน ซึ่งได้กล่าวถึงพระราชโอรส 2 พระองค์ ของเจ้าเมืองทางตอนเหนือของไทย คือ “พ่อขุน ราม” กับ “พ่อขุนง าเมือง” ว่าได้เคยเสด็จมาศึกษาศิลปะวิทยา ณ ส านักเขาสมอคอน ก่อนที่ จะกลับไปบ้านเมืองเพื่อเตรียมตัวเป็นกษัตริย์ในอนาคตต่อไป หนังสือพงศาวดารเมืองเงินยาง เชียงแสนมีข้อความตอนหนึ่งว่า “ ท้าวง าเมือง ประสูติจากครรภ์มารดาเมื่อศักราชได้ 600 ปี จอ ทศศก เดือน 4 ถึงอายุได้ 16 ปี ไปเรียนด้วยสุกะทันตะฤๅษี ที่ภูเขาเมืองละโว้ ได้จบ บริบูรณ์มนต์ทั้งปวงสององค์ด้วยกัน พระร่วงครูเดียวกัน ง าเมืองอยู่พะเยา พระร่วงอยู่สุโขทัย ” จากหนังสือพงศาวดารนี้ บอกให้รู้ว่า ท้าวง าเมืองหรือพ่อขุนง าเมืองโอรสเจ้าเมืองพะเยา ได้ บุกป่าฝ่าดงจากเหนือลงสู่ใต้มาเรียนศิลปะวิทยาที่ส านักของ สุกะทันตะฤๅษี และเป็นศิษย์ ครูเดียวกันกับ “ พระร่วง ” หรือ “ พ่อขุนรามค าแหง ” ซึ่งในพงศาวดารได้กล่าวอีกว่า พ่อ ขุนรามค าแหงเกิดเมื่อจุลศักราช 591 หรือ ปี พุทธศักราช 1772 ส่วนพ่อขุนง าเมืองเกิดเมื่อ จุลศักราช 600 หรือ ปี พุทธศักราช 1781 ดังนั้นพ่อขุนง าเมืองจึงมีอายุอ่อนกว่าพ่อขุน รามค าแหงถึง 9 ปี แต่ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จไปทรงศึกษาศิลปะวิทยาที่เทือกเขาสมอคอนด้วย พระชนมายุ 16 พรรษา เหมือนกัน โดยพ่อขุนรามเสด็จไปทรงศึกษาและเป็นศิษย์ในส านักสุ กะทันตะฤๅษีแห่งเทือกเขาสมอคอนเมืองละโว้ เมื่อปีพุทธศักราช 1788 เป็นระยะเวลาหลังจาก นั้นอีก 9 ปี พ่อขุนง าเมือง จึงได้เสด็จไปศึกษาที่ส านักสุกะทันตะฤๅษีเมื่อปีพุทธศักราช 1797 และหลังจากนั้นอีก 1 ปี พ่อขุนรามได้เรียนจบหลักสูตรและเสด็จกลับอาณาจักรสุโขทัย ใน อีก 3 ปี ต่อมาพ่อขุนรามค าแหงจึงได้ท าสงครามกับเจ้าขุนสามชน เจ้าเมืองฉอดโดยรบชนะใน สงครามครั้งนั้นด้วยพระชนมายุเพียง 19 พรรษา ซึ่งได้น าหลักการรบที่เรียนมาจากส านัก
260 วิทยายุทธเขาสมอคอน เมืองลพบุรี มาใช้ในการรบจนสามารถรบชนะ เจ้าขุนสามชน เจ้า เมืองฉอด พระราชบิดาจึงได้ พระราชทานนามให้ใหม่ว่า “ รามค าแหง ” ส านักศึกษาศิลปะศาสตร์ของสุกะทันตะฤๅษีที่เทือกเขาสมอคอน เมืองลพบุรี นับตั้งแต่แรกตั้งจนมาถึงศิษย์ผู้โด่งดัง คือพ่อขุนรามค าแหง กับพ่อขุนง าเมือง ต้องใช้ระยะ ยาวนานกว่า 600 ปี จึงมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วอาณาจักรสยาม ดังนั้นทั้งสองพระองค์จึงนับเป็น กษัตริย์ 2 พระองค์แรก ที่เป็นศิษย์ส านักเทือกเขาสมอคอนแห่งเมืองลพบุรีที่ได้ทรงท า คุณประโยชน์ให้แก่อาณาจักรทวาราวดีหรือ เรียกว่า สยามประเทศในเวลาต่อมา ประมาณว่า ศิษย์ของส านักเขาสมอคอนทั้งสองพระองค์นี้จะเป็นศิษย์ชุดสุดท้ายของส านักวิทยายุทธ แห่ง เทือกเขาสมอคอนด้วย เนื่องจากในภายหลังนับจากที่กล่าวถึงกษัตริย์ ทั้ง 2 พระองค์ นี้แล้ว ไม่ ปรากฏว่ามีพงศาวดารเล่มใดกล่าวถึงส านักเขาสมอคอนอีกเลย แต่ก็ถือได้ว่าในช่วงนี้ช่วงเป็นแห่ง การใช้ศิลปะการต่อสู้แบบไทยและเป็นต้นแบบที่ใช้จุดประกายการต่อสู้ป้องกันตัว เพื่อเอาชีวิต รอด และป้องกันอาณาจักรโดยการน าเอาศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวดังกล่าวมาใช้ในเวลาต่อมา ช่วงที่ 2 ระหว่างปี พ.ศ. 2199 – 2410 เรียกว่า ช่วงสืบทอดของมวยลพบุรี มวยลพบุรีในช่วงนี้เริ่มขึ้นในปีพุทธศักราช 2199 เมื่อสมเด็จพระนารายณ์มหาราช อัครมหากษัตริย์ไทยได้ทรงขึ้นครองราชย์ เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 27 แห่งอาณาจักรกรุงศรี อยุธยา ในขณะที่พระองค์อายุ 24 พรรษา ในยุคนี้นับเป็นยุคที่รุ่งเรืองสุดขีดของอาณาจักรกรุง ศรีอยุธยาและอาณาจักรลพบุรี ด้วยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชไม่โปรดที่จะประทับอยู่ใน อาณาจักรกรุงศรีอยุธยาที่เป็นเมืองหลวง แต่พระองค์ได้โปรดให้สร้างและฟื้นฟูอาณาจักรลพบุรี ให้เป็นเมืองหลวงแห่งที่ 2 ของกรุงศรีอยุธยา โดยในปีพุทธศักราช 2208 ได้สร้างพระราชวัง ขึ้นเป็นจ านวนหลายพระที่นั่ง ในพระนารายณ์พระราชนิเวศน์ ได้แก่ พระที่นั่งสุทธาสวรรค์ พระที่นั่งจันทรพิศาล พระที่นั่งดุสิตสวรรค์ธัญญามหาปราสาท และพระที่นั่งไกรสรสีหราช หรือพระที่นั่งเย็น ส าหรับใช้เป็นที่พักผ่อนพระอิริยาบถ นอกจากนี้สมเด็จพระนารายณ์ ฯ ยัง ได้ทรงศึกษาศิลปะวิทยากับพระมหาราชครูและพระครูพรหมมุนีขณะทรงประทับที่ พระ นารายณ์พระราชนิเวศน์ เป็นระยะเวลานานถึง 6 ปี โดยได้ทรงศึกษาเล่าเรียน ศิลปะวิทยา
261 ทุกแขนงที่เหมาะสมกับการเป็นกษัตริย์ ได้แก่ พระไตรปิฎก กฎหมาย การแต่งโคลงฉันท์ กาพย์ กลอน พระเวท วิชาเวชมนต์คาถา ต ารับพิชัยสงคราม การขี่ช้าง การขี่ม้า การแล่นเรือ และการต่อสู้ป้องกันตัว (พงศาวดารเมืองเงินยางเชียงแสน) โดยพระองค์โปรดการชกมวยมาก และโปรดให้มีการส่งเสริมและสนับสนุนการกีฬาอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะมวยไทยนั้นได้รับ ความนิยมมากจนกลายเป็นกีฬาอาชีพ ในครั้งนั้น กรุงศรีอยุธยาและลพบุรีได้เข้าสู่ยุคที่ เจริญรุ่งเรืองสุดขีดอีกสมัยหนึ่ง ท าให้มวยไทยในยุคนี้ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางไปด้วย เนื่องจากสมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงสนับสนุนการฝึกมวยเป็นอย่างดี ปัญญา ไกรทัศน์ ประวัติมวยไทย.( 2524 : 4) กล่าวว่าในช่วงนี้มีส านักมวยไทยเกิดขึ้นเป็นจ านวนมาก จึงมีการ แข่งขันชกมวยอยู่บ่อยครั้งทั้งในเมืองลพบุรี อยุธยาและหัวเมืองใกล้เคียง และในสมัยนี้อีก เช่นกันได้เริ่มมีการท าขอบเขตของสังเวียนโดยน าเชือกมาขึงเป็นรูปสี่เหลี่ยม นับเป็นเวทีมวยใน สมัยแรก ๆ ของไทย ที่นักมวยจะใช้ด้ายดิบชุบแป้งหรือน้ ามันดินจนแข็งมา พันมือ เรียกว่า คาดเชือก หรือมวยคาดเชือก และยังนิยมสวมมงคลไว้ที่ศีรษะและผูกผ้าประเจียดไว้ที่ ต้นแขนตลอดการแข่งขัน รวมทั้งการเปรียบคู่ชกของมวยไทยสมัยนี้ต้องเป็นไปด้วยความสมัคร ใจทั้งสองฝ่าย ไม่มีการค านึงถึงขนาดของร่างกายและ อายุ มีกติกาการชกง่าย ๆ เพียงว่า ชก จนกว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะยอมแพ้ ดังนั้นจึงพบว่า ในงานเทศกาลต่างๆ มีการจัดแข่งขันมวยอยู่ ด้วยเสมอ ๆ รวมทั้งมีการพนันกันระหว่างนักมวยที่เก่งจากหมู่บ้านหนึ่งกับนักมวยที่เก่งจากอีก หมู่บ้านหนึ่ง นอกจากในรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแล้ว ยังมีผู้สืบสานมวยลพบุรี อีกท่านหนึ่ง คือ พระพุทธเจ้าเสือ ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์ในช่วงสืบทอดของมวยลพบุรีที่ท าให้ มวยลพบุรีเป็นที่กล่าวขวัญ เลืองลือไป ทั่ว พระพุทธเจ้าเสือ หรือ พระสรรเพชญที่ 8 พระองค์ทรงครองราชย์ เป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ 29 แห่งกรุงศรีอยุธยา ระหว่างพุทธศักราช 2240 - 2249 รวม 9 ปี พระองค์ประสูติ ณ ต าบลโพธิประทับช้าง แขวงเมืองพิจิตร พระ บิดาถือเอานิมิต นาม บัญญัติชื่อเจ้าเดื่อ เพราะได้ฝังรกเจ้าเดื่อไว้ที่ต้นอุทุมพร (มะเดื่อ) กับ ต้นโพธิ์เมื่อปีขาล พุทธศักราช 2205 และขึ้นเสวยราชย์สมบัติ พระชนม์ได้ 36 พรรษา ด ารง อยู่ในราชสมบัติได้ 9 ปี และได้สวรรคต ณ พระที่นั่งสุริยาอมรินทร์ ในปีพุทธศักราช 2249 พระชนมายุ 49 พรรษา ในขณะที่พระองค์ขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ. 2246 มวยลพบุรี ก็ได้ถือ
262 ก าเนิดขึ้นมาในช่วงนี้นี่เอง นับเป็นต้นต ารับมวยลพบุรีโดยแท้จริง “มวยลพบุรี” นับแต่อดีต กาลมาไม่มีผู้ใดเขียนไว้โดยชัดเจนแต่ประวัติศาสตร์พงศาวดารไทยได้จารึกไว้ว่าขุนหลวงสรศักดิ์ หรือสมเด็จพระพุทธเจ้าเสือ เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์หนึ่งในสมัยกรุงศรีอยุธยา ที่ได้รับ การกล่าวขวัญมากในเรื่องมีฝีมือชั้นเชิงมวยไทย เพราะพระองค์ทรงเริ่มฝึกมวยไทยมาตั้งแต่ ทรงพระเยาว์ โดยมีครูดั้ง ตาแดง เป็นครูฝึกมวยให้ ณ โรงเลี้ยงช้างในจังหวัดลพบุรี ซึ่ง พระองค์ได้เจริญเติบโต ณ เมืองลพบุรีมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ และอาศัยอยู่ในเมืองลพบุรีมา จนถึงวัยหนุ่ม และได้ฝึกฝนจนเชี่ยวชาญและมีฝีมือมากและชอบการชกมวยมากถึงขนาดปลอม พระองค์ไปชกมวยกับประชาชนในสถานที่ต่างๆ ในประวัติศาสตร์ ตอนหนึ่งกล่าวไว้ว่า พระพุทธเจ้าเสือเสด็จทางชลมารคพร้อมเรือตามเสด็จ เมื่อไปจอดที่ต าบลตลาดกรวด ซึ่งก าลัง มีงานวัดอยู่พระองค์ทรงแต่งกายแบบชาวบ้านพร้อมกับมหาดเล็ก เสด็จไปยังสนามมวย แล้ว ให้นายสนามจัดหาคู่ชกให้ ทางนายสนามได้ประกาศให้ประชาชนทราบว่าพระองค์เป็นนักมวย ที่เดินทางมาจากเมืองกรุง ในครั้งนั้นนายสนามมวยได้จัดนักมวย ฝีมือดีมาให้ชกกับ พระพุทธเจ้าเสือ ถึง 3 คน คือ นายกลาง หมัดตาย นายใหญ่ หมัดเหล็ก และนายเล็ก หมัดหนัก ซึ่งแต่ละคนจัดว่าเป็นยอดมวยในท้องถิ่นทั้งสิ้น แต่ในที่สุด พระพุทธเจ้าเสือก็ สามารถเอาชนะนักมวยทั้งสามคนได้
263 ช่วงที่ 3 ระหว่างปี พ.ศ. 2411 – 2487 เรียกว่า ช่วงพัฒนาของมวยลพบุรี มวยลพบุรีในช่วงนี้ถือว่าเป็นช่วงพัฒนาจนมีความเฟื่องฟูจนถึงขีดสุด เริ่มต้นขึ้นในสมัย รัตนโกสินทร์เริ่มจากปีพุทธศักราช 2411 –2453 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ชื่อว่าเป็นช่วงที่เฟื่องฟูที่สุดของมวยลพบุรี และของมวยไทยอาณาจักร สยามก็ว่าได้ กล่าวคือ ในรัชสมัยนี้ พระเจ้าแผ่นดินได้ทรงฝึกมวยจากส านักมวยหลวงมาตั้งแต่ ครั้งยังทรงพระเยาว์ โดยมีปรมาจารย์มวยชื่อ หลวงมลโยธานุโยค ต าแหน่งครูมวยหลวงเป็นผู้ ถวายการสอน ท าให้พระองค์โปรดกีฬามวยไทยมาก เสด็จทอดพระเนตรการชกมวยหน้าพระที่ นั่งบ่อยครั้งดังเช่น ในงานการพระเมรุพระเจ้าน้องนางเธอพระองค์เจ้าบุษบงเบิกบาน พระราช ธิดาในรัชกาลที่ 4 ในเจ้าจอมมารดาส าลี สิ้นพระชนม์เมื่อวันอังคารที่ 16 มิถุนายน 2419 พระชันษา 17 พรรษา มีการ พระเมรุที่วัดมหาธาตุ และมีการชกมวยโดยพระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โปรดให้หลวงมลโยธานุโยค หลวงไชยโชคชนะ จัดมวยมา ทอดพระเนตร ครั้นชกกันเสร็จแล้ว พระราชทานเงินตราฝ่ายชนะได้ต าลึงครึ่ง ฝ่ายแพ้ได้ 1 ต าลึง และในการแข่งขันกีฬาประจ าปีที่ท้องทุ่งพระเมรุ เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน ถึงวันที่ 2 ธันวาคม ปีพุทธศักราช 2450มี มหรสพต่าง ๆ เช่น มวย และโมงครุ่ม พระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จ ณ พลับพลาที่ประทับรัตนสิงหาศน์ ทอดพระเนตรมวย ซึ่ง พระองค์ได้โปรดให้ข้าหลวงหัวเมืองต่าง ๆ คัดนักมวยฝีมือดีมาชกที่หน้าพระที่นั่งเพื่อหา นักมวยที่เก่งที่สุดเข้าเป็นทหารรักษาพระองค์ สังกัดกรมมวยหลวง และได้ทรงเห็นคุณค่าของ กีฬาประจ าชาติ จึงตรัสให้มีการแข่งขันมวยไทยขึ้นทั่วประเทศ เพื่อให้เกิดความนิยมกีฬามวย ไทยและไม่ให้วิชามวยไทยเสื่อมสูญไป นอกจากนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มี “ มวยหลวง ” ตามหัวเมืองต่าง ๆ เพื่อท าหน้าที่ฝึกสอน จัดการแข่งขัน และควบคุมการแข่งขันมวยไทย ด้วย เหตุนี้เมื่อมีงานพระราชพิธีต่าง ๆ เช่น งานโสกันต์ งานพระเมรุ หรืองานรับแขกเมือง ส านัก พระราชวังก็จะออกหมายเรียกให้มวยหลวงน าคณะนักมวย คณะปี่กลองมาร่วมแสดงในงานด้วย ดังเช่น ในงานพระราชทานเพลิงพระศพของ พระเจ้าลูกยาเธอพระองค์เจ้าอุรุพงษ์รัชสมโภชซึ่ง เป็นผู้บัญชาการกรมมหาดเล็กในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 19 – 22 มีนาคม พุทธศักราช 2452 ณ พระเมรุสวนมิสกะวัน และต่อเนื่องงานพระราชทานเพลิงศพของเจ้าคุณจอม
264 มารดาเปี่ยม ในวันที่ 1- 5 เมษายน พุทธศักราช 2453 ณ เมรุสวนมิสกะวัน ในงานนี้ พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้มีการจัดแข่งขันมวยไทยหน้าพระที่นั่ง มีนักมวยฝีมือดี จากต่างจังหวัดจ านวนหลายคนมาเข้าร่วมการแข่งขันหนึ่งในจ านวนนี้ มี นายกลึง โตสะอาด แห่งบ้านหัวส าโรง ชาวเมืองลพบุรีเข้าแข่งขันด้วย แต่ไม่ปรากฏนามคู่แข่งขัน มีบันทึกเพียงว่า นายกลึง โตสะอาด ได้แข่งขันกับคู่ชกหลายคนและได้รับชัยชนะมาตลอดด้วยฝีมือที่ คล่องแคล่วว่องไวมีการรุกรับรวดเร็ว มีการออกหมัดที่ฉลาดและแหลมคม มีจุดเด่นที่เป็นมวย เน้นหมัดตรง ลักษณะการชกจะชกแบบหงายหมัด ต่อยได้รวดเร็ว สามารถแหวกการควบคุม ป้องกันใบหน้าได้ดีกว่ามวยจากถิ่นอื่น และจากความสามารถของนายกลึง โตสะอาดนี้เอง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระ บรมราชานุญาตให้กระทรวงมหาดไทย ท าประทวนตราพระราชสีห์ ตั้งเป็นขุนหมื่นครูมวยตาม หัวเมือง โดยมีบรรดาศักดิ์เป็น “ หมื่นมือแม่นหมัด” ซึ่งเป็นบรรดาศักดิ์ส าหรับข้าราชการชั้น ประทวนในสมัยนั้น นายกลึง โตสะอาด จึงได้มีชื่อเรียกตามบรรดาศักดิ์ที่ได้รับว่า หมื่นมือแม่น หมัด และด ารง ต าแหน่งกรมการพิเศษเมืองลพบุรี ถือศักดินา 300 ท าหน้าที่ดูแลการจัดการ แข่งขันชกมวยให้กับส านักมวยหลวง นับได้ว่า หมื่นมือแม่นหมัด เป็นวีระบุรุษของมวยลพบุรี และเป็นเจ้าของฉายา “ ฉลาดลพบุรี” โดยแท้จริงรวมทั้งยังเป็นเจ้าต ารับของมวยภาคกลางอีก ต าแหน่งหนึ่งด้วย จึงอาจกล่าวได้ว่าในช่วงนี้ถือเป็นช่วงรุ่งโรจน์ของมวยลพบุรีเป็นอย่างมาก ดัง เอกสารจดหมายเหตุ ที่กรมพระยาด ารงราชานุภาพ เสนาบดีว่าการกระทรวงมหาดไทยในสมัย
265 นั้นได้ ท าหนังสือจดหมายเหตุ ของกระทรวงมหาดไทย ที่ 46/ 1803 กราบบังคมทูลพระบาท สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อ วันที่ 20 พฤษภาคม รัตนโกสินทรศก 129 เรื่อง ขอ พระราชทานบรรดาศักดิ์ให้นักมวยที่ชกถวายและได้ ชัยชนะในงานพระเมรุคราวที่แล้ว เพื่อขอ พระราชด าริห์เห็นชอบจาก พระเจ้าอยู่หัวและขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตออก ประทวนตราพระราชสีห์ตั้ง นายกลึง โตสะอาด และนักมวยอื่น ๆ อีก 2 คน เพื่อให้ปรากฏ ชื่อเสียงในท้องถิ่น และเป็นการบ ารุงวิชามวยตามหัวเมืองไม่ให้ สูญหายไปอีกด้วย โดยนักมวย ที่กล่าวถึง คือ หมื่นมือแม่นหมัดเดิมชื่อ นายกลึง โตสะอาด เกิดเมื่อ ปี พ.ศ. 2414 บิดา ชื่อนายทัต มารดาชื่อนางแฟง มีพี่ชาย 1 คน ชื่อนายกลิ้ง โตสะอาด บ้านอยู่หัวส าโรง เลขที่ 27 หมู่ 1 ต. หัวส าโรง อ าเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี ในสมัยนั้นยังไม่มีนามสกุล นามสกุลเพิ่งเริ่มตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2456 ในสมัยรัชกาลที่ 6 เนื่องจากพ่อ – แม่ มีอาชีพตาม บรรพบุรุษคือเป็นชาวนา แต่นายกลึงซึ่งขณะนั้นเริ่มโตเป็นวัยรุ่นไม่ชอบที่จะเป็นชาวนา จึง ออกจากบ้านมาหางานท า ในเมืองคือบริเวณเมืองเก่า บ้านทะเลชุบศร อาศัยนอนบ้านคนรู้จัก หลังวัดตองปุ นายกลึงท างานทุกอย่างเท่าที่มีคนว่าจ้าง ส่วนใหญ่จะเป็นการยกของขึ้นจากเรือ โดยจะมาท างานแถววัดพรหมาสตร์ ที่อยู่ติดกับแม่น้ าลพบุรี มีท่าเทียบเรือยนต์ส่งสินค้าอยู่ พอมีเวลาว่างนายกลึงมักจะมานั่งดูเขาซ้อมมวยที่วัดพรหมาสตร์ ซึ่งมีวัยรุ่นหลายคนมาซ้อม มีครูมวยคอยดูแลการฝึกซ้อมอยู่เสมอ นานเข้า นายกลึงซึ่งชอบทางหมัดมวยอยู่แล้ว จึงสมัคร เป็นลูกศิษย์ครูมวย และขอฝึกซ้อมด้วย ซ้อมอยู่นานอย่างจริงจังด้วยความขยันขันแข็ง และมีใจรักจึงท าให้มีฝีมือรุดหน้ามากกว่านักมวยคนอื่นๆ ประกอบกับมีพรสวรรค์ในตัวจึงมี ฝีมือเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ มีความถนัดในการใช้หมัดตรงทั้งซ้ายและขวา เนื่องจากยกของขึ้นลงเรือ บ่อย ๆ ข้อมือและแขนจึงแข็งแรงและสามารถต่อยหมัดได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว จนนักมวย คนอื่น ๆ ไม่สามารถสู้ได้ ในละแวกนั้นมักมีงานสมโภชและงานวัดอยู่บ่อย ๆ และในงานนั้น ก็จะมีการแข่งขันชกมวยอยู่ด้วยเสมอ เจ้าเมืองลพบุรีในสมัยนั้น คือ พระยาพิสุทธิ์ธรรมธาดา จะมาดูและมอบรางวัลให้นักมวยด้วย นายกลึงก็เคยต่อยในงานวัดหลาย ๆ งาน จนมีฝีมือ กล้าแข็งจนคนร่ าลือไปทั่ว นายกลึงเดินสายต่อยมวยในละแวกภาคกลางบ่อยทั้งสิงห์บุรี อ่างทอง สระบุรี อยุธยา นครสวรรค์ นายกลึงชนะหมดในทุกๆ เมือง และทุกรายการที่
266 แข่งขัน ในปี พ.ศ. 2452 ทนายเลือกในกรุงเทพฯ ได้มีใบบอกไปตามหัวเมืองต่างๆ ให้ คัดเลือกนักมวยที่เก่งที่สุดในมณฑลต่างๆ เข้ามาชกมวยหน้าพระที่นั่ง ในงานพระราชทานเพลิงพระศพของพระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าอุรุพงษ์รัชสมโภช เมื่อวันที่ 19 – 22 มีนาคม พ.ศ.2452 ณ พระเมรุสวนมิสกะวัน(ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 27 หน้า 25 วันที่ 10 เมษายน รศ 129 ) ต่อเนื่องงานพระราชทานเพลิงศพของเจ้าคุณจอมมารดาเปี่ยม วันที่ 1 -5 เมษายน พ.ศ. 2453 ณ เมรุสวนมิสกะวัน ( ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 27 หน้า 70 วันที่ 17 เมษายน รศ 129)นายกลึงก็เป็นคนหนึ่งที่สมัครเข้าคัดเลือก และได้เป็นตัวแทน เมืองลพบุรีเข้ามาต่อยที่กรุงเทพฯ ในงานพระราชทานเพลิงพระศพดังกล่าว การแข่งขันใน คราวนั้น จัดการแข่งขันเป็นแบบแบ่งสายและให้นักมวยในกลุ่ม ต่อยกันเพื่อหาผู้ชนะเลิศนายก ลึง ขณะนั้นมีอายุได้ 39 ปี แล้ว แต่ก็ยังแข็งแรงมีประสบการณ์ในการต่อยมวยมานานและ เป็นมวยหมัดจึงไม่ต้องใช้แรงมาก นัก นายกลึงอาศัยชั้นเชิงแพรวพราวรุก - รับที่ปราดเปรียว ใช้หมัดดักชกคู่ต่อสู้ ได้อย่างคล่องแคล่ว ว่องไว ลีลาไหวพลิ้ว จนคู่ต่อสู้ ไม่สามารถท าอะไร ได้ ใช้หมัดตรง หลอกล่อต่อยคู่ชกจนเข้าไม่ติด เวลาประชิดวงในก็ต่อยหมัดเสยไปที่ปลายคาง
267 คู่ต่อสู้ จนคู่ต่อสู้ขยาดไม่กล้าเข้าใกล้ และในที่สุด นายกลึงก็ชนะเลิศในกลุ่ม เป็น 1 ใน 3 คนที่มาต่อยคราวนั้น ซึ่งมีเพียง 3 คนและ 3 เมือง เท่านั้นนับเป็นยอดมวยในสมัยนั้น จนมีคน กล่าวค าพูดสรรเสริญไว้ว่า “หมัดหนักโคราช ฉลาดลพบุรี ท่าดีไชยา” พระบาทสมเด็จ พระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ทอดพระเนตรเห็นลีลาท่าทางการชกมวยของนายกลึง ก็รู้สึกพอพระทัย และชอบใจในความสามารถในเชิงมวยของนายกลึงมาก จึงโปรดเกล้าฯ ให้ นายกลึงและนักมวยอีก 2 คน เข้ามารับราชการในกรมมวยหลวง ในต าแหน่งกรมการพิเศษให้ บรรดาศักดิ์เป็น ขุนหมื่นครูมวยในชื่อว่า หมื่นมือแม่นหมัด ( ประกาศแจ้งความกระทรวง มหาดไทย เรื่องแต่งตั้ง ขุนหมื่อนครูมวย ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 27 หน้า 489 วันที่ 19 มิถุนายน รศ 129 ) มีศักดินา 300 ไร่ ให้มีหน้าที่จัดการแข่งขันและดูแลมวยในหัวเมืองภาค กลาง ที่นาที่ได้รับพระราชทานนั้นอยู่ในต าบลหัวส าโรงที่บ้านสะแกงาม อ.ท่าวุ้ง จ. ลพบุรี หมื่นมือแม่นหมัด มีภรรยาชื่อนางตาบ เป็นคนบ้านไทร มีบุตรธิดาด้วยกัน 6 คน คือ นางเพียร แต่งงานกับ นายผล อ้นสกุล นางวัน โตสะอาด นางวอน แต่งงานกับ นายมิ่ง มั่งคั่ง นายแบน โตสะอาด นางวิง แก้วกระจ่าง นางวัง ทองสัมฤทธิ์ ปัจจุบันนี้ทั้ง 6 คนได้ เสียชีวิต ไปหมดแล้วคงมีหลานอยู่ 2 คนที่เป็นคนเล่าเรื่องของนายกลึง และจ าได้ดีถึงรูปร่าง และบุคลิกหน้าตาของหมื่นมือแม่นหมัด ทั้งสองคน คือ นายผัน อ้นสกุล ซึ่งเป็นลูกชายของ นายผล และนางเพียร อ้นสกุลขณะนี้มีอายุ 69 ปี และนายละออง มั่งคั่ง ซึ่งเป็นลูกชาย ของนายมิ่งและนางวอน มั่งคั่ง อายุ72 ปี ทั้งสองคนเล่าว่าเมื่อตอนเป็นเด็กอายุ 6 ขวบ และ 9 ขวบ คุณตาหมื่น ได้เอาเหรียญตราราชสีห์มาคล้องคอให้แต่หายไปแล้วไม่รู้หายไปตอนไหน หมื่นมือ แม่นหมัด ในบั้นปลายชีวิต ไม่ค่อยอยู่ดีมีสุขนัก เนื่องจากเป็นคนที่ชอบท่องเที่ยว และเล่นมวยเป็นชีวิตจิตใจ จึงท าให้เงินทองที่ได้จากการชกมวยหมดไปกับการพนันมวย แม้แต่ที่นาพระราชทานก็ทะยอยขายไปเรื่อยๆ จนเหลือเพียงส่วนน้อยที่เอาไว้ท านา แต่ ลูกหลานก็ยังพอมีที่ท ากินในถิ่นอื่นๆ ที่นอกเหนือจากที่พระราชทาน ก็คือ ที่หมู่ 1 ต. หัวส าโรง ที่ลูกหลานส่วนใหญ่ยังอยู่กันหลายๆ ครอบครัว ในวัยชราหมื่นมือแม่นหมัด ไม่ค่อยอยู่สุข สบายนักต้องดิ้นรนไปหางานท าในตัวเมืองลพบุรี ในวัยเกือบ 70 ปี แต่ลูกหลานก็ไปตาม กลับมาอยู่ด้วยที่บ้านเลขที่ 27 หมู่ 1 ต าบลหัวส าโรงซึ่งเป็นที่อยู่ปัจจุบันของนายผัน อ้นสกุล
268 และนางขานทอง อ้นสกุล ซึ่งเป็นหลานตาของหมื่นมือแม่นหมัดนั่นเอง หมื่นมือแม่นหมัด มีอายุได้ 72 ปี ก็เสียชีวิตลงในปี พ.ศ. 2486 ด้วยโรคชรา ณ บ้านของหลาน คือ นายผันนั่นเอง ญาติ พี่น้องในเวลานั้นก็ล้วนมีฐานะไม่ค่อยดีก็จัดงานศพไปตามมีตามเกิดใช้ฝาบ้านมาต่อเป็นโลงศพ แล้วแบกไปท าการเผาที่วัดคงคาราม (เดิมชื่อวัดคงคาไหล) ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านประมาณ 1 กิโลเมตร โดยนายผันและนายละอองเล่าว่าทางที่เดินเป็นทางริมคลองข้างคันนาบ้างต้อง ช่วยกันแบกโลงคนละหลายๆ ผลัด กว่าจะถึงวัด หมื่นมือแม่นหมัดมีพี่ชายชื่อ นายกลิ้ง ซึ่งมี ภรรยาชื่อ นางเผือด ก็เป็นนักมวยเหมือนกัน แต่เก่งสู้น้องชายไม่ได้ แต่มีลูกหลานหลายคนที่ เป็นนักมวย เช่น นายโส โตสะอาด นายสุข โตสะอาด นายสิงห์ เพิ่มทรัพย์ นายพร จันทริน ซึ่งเป็นนักมวยที่ไหว้ครูมวยได้สวยมาก นายผ่อง สายสุ่ม ต่อยมวยเก่งมาก และ นายผวน สายสุ่ม ส่วนสายของหมื่นมือแม่นหมัด ส่วนมากจะมีลูกหลานเป็นผู้หญิงเป็นส่วน ใหญ่คงมีแต่เหลนชายคนหนึ่ง ซึ่งเป็นลูกชายนายผัน อ้นสกุล คือ นายวิโรจน์ อ้นสกุล ก็เคย หัดมวยและต่อยมวยตอนเป็นหนุ่ม แต่ไม่ค่อยดังเท่าไหร่ ต่อมาได้รับเลือกตั้งเป็น อ.บ.ต. ต าบล หัวส าโรง หมู่ 1 จึงเลิกต่อยมวยไป ชีวิตของนักมวยคนหนึ่งที่ชะตาชีวิตพลิกผันจน ได้รับบรรดาศักดิ์ เป็นหมื่นมือแม่นหมัด เป็นนักมวยดังในสมัยรัชกาลที่ 5 นับได้ว่า หมื่น มือแม่นหมัด เป็น ผู้จุดประกายมวยลพบุรีให้ยิ่งใหญ่เกรียงไกร ในสมัยนั้น สมควรที่ลูกหลาน ชาวมวยชาวลพบุรีทั้งหลายจะได้ระลึกถึง และรื้อฟื้นอดีตความเก่งกาจและมีชื่อเสียงของมวย ลพบุรีในอดีตให้กลับมาโด่งดังขึ้นอีก เพื่อรักษาเอกลักษณ์และวัฒนธรรมประเพณีศิลปะของ มวยลพบุรีให้คงอยู่คู่เมืองลพบุรีสืบต่อไป
269 ต่อมาในรัชสมัยของรัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2453 – 2467) ได้โปรดให้พระยานนทิเสนสุเรนทรภักดี นายพลเสือป่า จัดการแข่งขันชกมวยการกุศล เพื่อหาเงินซื้อปืนให้กองเสือป่า เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม – 8 สิงหาคม พ.ศ. 2464 และมีเงิน เหลือจากค่าใช้จ่ายในการชกมวยเป็นจ านวนเงินมากถึง 30 บาท รวมกับเงินที่มีผู้บริจาคสมทบ อีก 20 บาท รวมเป็นเงินที่น าไปซื้อปืนจ านวน 50 บาท ให้กองเสือป่า และในกลุ่มนักมวยที่ ขึ้นชกดังกล่าวมีนักมวยจากลพบุรีอยู่ 3 คน คือ ครูนวล ลพบุรี นายซิว อกเพชร และ นาย แอ ประจ าการ นับเป็นนักมวยลพบุรีที่มีฝีมือดีอีกรุ่นหนึ่ง หลังจากนั้นมวยลพบุรีได้มีผู้สืบทอด ต่อกันมาอย่างสม่ าเสมอมิได้ขาด แต่ในช่วงต่อมามวยลพบุรีก็ซบเซาลงไปอีกในช่วงระยะเวลา หนึ่ง นับจากปีพุทธศักราช 2468 จนในปีพุทธศักราช 2468 - 2477 ในรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 เมื่อรัฐบาลได้มีค าสั่งให้การแข่งขันชกมวย ไทยทั่วประเทศต้องสวมนวม เนื่องจากนายเจีย แขกเขมร ถูก นายแพ เลี้ยงประเสริฐ นักมวย ฝีมือดีจากบ้านท่าเสา จังหวัดอุตรดิตถ์ ต่อย จนถึงแก่ความตายด้วยหมัดคาดเชือก (หนังสือพิมพ์ เดลิเมล์ ฉบับวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2471 ลงพาดหัวข่าวว่า “ต่อไปนี้ นักมวยที่ชกบนเวทีต้องสวมนวมที่มือ” ) จึงท าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกติกาของมวยไทย จากการชกด้วยมือเปล่ามาเป็นการชกโดยสวมนวมเพื่อป้องกันอันตรายให้แก่นักมวยระหว่าง การ ชกมวย ต่อมาในวันที่ 30 ธันวาคม พุทธศักราช 2472 ได้มีผู้น าเอากระจับเหล็กมาใช้ ป้องกันอวัยวะส าคัญของนักมวยแทนกระจับที่ท าด้วยผ้าเพื่อให้มีความปลอดภัยระหว่างการชก มวยมากขึ้น เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พุทธศักราช 2475 คณะราษฎรน าโดยพระยาพหลพล พยุหเสนากับพวกได้ท าการยึดอ านาจการปกครอง โดยใช้ก าลังทหาร ท าให้พระบาทสมเด็จ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงประกาศสละราชย์สมบัติ เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พุทธศักราช 2477 ท าให้ในช่วงนี้วงการมวยไทยในประเทศและมวยลพบุรี ซบเซาลงไป เนื่องจากเหตุการณ์บ้านเมืองไม่ปกติ แต่ก็ยังมีการแข่งขันกันอยู่บ้าง
270 ในช่วงนี้มวยลพบุรีก็ยังมีผู้สืบทอดอยู่โดยมีนักมวยที่มีความสามารถใกล้เคียง หมื่นมือแม่น หมัด คือ นายจันทร์ บัวทอง (มีรูปถ่ายที่หน้าห้องพักสโมสรเสือป่า บริเวณสวนดุสิต ซึ่งเมื่อ นักมวยเปรียบคู่ได้แล้ว นักข่าวจะถ่ายภาพท าโฆษณาการแข่งขันชกมวย ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มี การโฆษณาการแข่งขันมวยไทย) นายจันทร์ บัวทอง หรือจันทร์เครือศรี ชื่อจริง คือ สงัด บัว ทอง เกิดเมื่อ วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2457 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นชาวอ าเภอ เสนา มีพี่น้องร่วมสายโลหิต 3 คน นายจันทร์ เป็นบุตรคนแรก มีน้องชายชื่อนายสง่า บัวทอง และน้องสาว ชื่อ นางประเสริฐ บัวทอง ซึ่งเสียชีวิตแล้วทั้งหมด นายจันทร์บัวทอง สมรสกับ นางสมชิต บัวทอง เมื่ออายุได้ 27 ปี มีบุตร – ธิดา รวม 8 คน เป็นชาย 5 คน และหญิง 3 คน จากการที่นายจันทร์เป็นคนที่รักศิลปวัฒนธรรมไทยมาก โดยเฉพาะศิลปะมวยไทย โดยได้เริ่ม ฝึกมวยไทยที่ค่ายอิสระเสนา ฝึกซ้อมจนถึงขั้นคนในค่ายมวยหลายคนสู้ไม่ได้ จึงได้ขึ้นชกมวย ตามวัดและงานต่างๆ จนมีชื่อเสียง เมื่ออายุ 17 ปี ในปี พ.ศ. 2467 เป็นที่ชื่นชอบแก่ผู้ชมใน ลีลาการชกและลีลาการร าร่ายไหว้ครูที่สวยงาม ของจันทร์ บัวทอง จันทร์ บัวทอง ตะเวนชก อยู่ในละแวกภาคกลางตลอด โดยมากจะปักหลักชกอยู่ที่ลพบุรี จนถือได้ว่าเป็นนักมวยลพบุรี คนหนึ่งทีเดียว
271 เนื่องจากพักอาศัยอยู่กับบ้านครูมวย ในเมืองลพบุรีนั่นเอง และก็ได้เป็นตัวแทนของ มวยลพบุรีเข้าแข่งขันในงานประจ าปีที่ท้องสนามหลวง การชกที่นับเป็นครั้งที่โดดเด่นที่สุดของ จันทร์ บัวทอง ในช่วงนั้นคือ การชกกับ นายแก้ว พิณปุรุ นักมวยจากเมืองนครราชสีมา วันนั้น จันทร์ ชกเป็นคู่ที่ 6 ที่เวทีมวยสวนมิสกะวัน เมื่อปี พ.ศ. 2477 อายุได้ 20 ปีพอดี อาศัยที่ จันทร์ได้เปรียบในด้านร่างกายที่หนุ่มแน่น และมีฝีมือที่คล่องแคล่วว่องไวกว่าในเชิงมวย จึง เป็นฝ่ายรุกไล่ต่อยนายแก้วเสียจนสู้ไม่ได้ยอมแพ้ไปในที่สุดจันทร์ บัวทอง เป็นนักมวยที่มีลีลา ไหว้ครู ได้สวยงามที่สุดในยุคนั้นคนหนึ่ง นอกจากนั้นจันทร์ บัวทอง ยังเป็นแชมป์มวยไทย คาดเชือกอีกด้วย จันทร์ต่อยมวยได้ไม่นาน เนื่องจากเป็นผู้ที่มีความสามารถในเรื่องมวย ทั้ง มวยไทย มวยคาดเชือก และมวยสากล ทางกรมต ารวจจึงรับจันทร์เข้ารับราชการที่กรม ต ารวจ และประจ าอยู่ที่กองตรวจคนเข้าเมือง ปฏิบัติหน้าที่ต ารวจได้ประมาณ 15 ปี จึงลาออก จากราชการ เนื่องจากมีนิสัยซื่อสัตย์ ไม่สามารถร่วมทีมกับกลุ่มเพื่อนที่ท างานได้ จึงลาออกมา ท าสวนที่บ้านต าบลบางคอแหลมที่จันทร์ได้เก็บหอมรอมริบเงินจ านวนหนึ่งซื้อที่ดินไว้ประกอบ อาชีพ แม้จะเป็นชาวสวนแต่จันทร์ก็ไม่ได้หยุดการซ้อมมวย แต่อย่างใดยังคงฝึกซ้อมและฝึกหัด การร่ายร าไหว้ครูอยู่ตลอด จนเมื่อครั้งที่จัดงานสมโภช กรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี ในปี พ.ศ. 2525 คณะกรรมการฝ่ายจัดมวยไทย ได้เชิญจันทร์ บัวทอง ในวัย 68 ปี ไปโชว์การร่ายร า
272 ไหว้ครูให้แก่ผู้ชมได้พบเห็นลีลาท่าทาง การไหว้ครูที่สวยงามในงานท้องสนามหลวง เพื่อนร่วม รุ่นของจันทร์ บัวทอง ที่ต่อยมวยในสมัยนั้น คือ ธงกล้าหน้าศึก (บุญมา เสนานันท์) และ จันทร์ ยังได้ไปชกมวย สากลด้วย คู่ชกคนสุดท้ายของจันทร์คือ อาจารย์ ชิตหลี ศรีก าพุฒ ซึ่ง จันทร์ก็ชนะได้อย่างสบาย จันทร์ใช้ชีวิตนักมวยอยู่นานจนกระทั่งเลิกต่อย และเป็นชาวสวนจน อายุได้ 80 ปี ก็ถึงแก่กรรม เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2537 นับเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของ นักมวยชาวลพบุรีคนหนึ่ง ช่วงที่ 4 ระหว่างปี พ.ศ. 2488 ถึง ปัจจุบัน เรียกว่า ช่วงสมัยใหม่มวยลพบุรี มวยลพบุรี ช่วงนี้เริ่มขึ้นอีกครั้งหนึ่งในปี พุทธศักราช 2488 ตรงกับปลายปีในรัชสมัย ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 ที่เรื่องราวเกี่ยวกับมวยลพบุรีเงียบ หายไประยะหนึ่ง ก็เริ่มฟื้นฟูในปี พุทธศักราช 2489 ตรงกับรัชสมัย ของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 มวยลพบุรีเริ่มฟื้นฟูขึ้นมาอย่างจริงจังอีกวาระหนึ่ง เมื่อมีการจัดงานวันพระนารายณ์ ( งานวัง ) เพื่อบวงสรวงดวงพระวิญญาณของสมเด็จพระ นารายณ์มหาราช ในงานนี้ได้จัดขึ้นเป็นระยะเวลา 7 วัน7 คืน ระหว่างงานมีการละเล่นต่างๆ มี มหรสพและศิลปะการต่อสู้แบบต่าง ๆ มากมาย ตลอดจนมีการร ามวยถวายทุกครั้งที่มีการท า
273 พิธีบวงสรวง รวมทั้งมีการแสดงกระบี่กระบอง การแข่งขันชกมวย โดยสร้างเวทีมวย ข้างพระที่นั่งสุทธาสวรรค์ มีการเปรียบมวยทุกคืน ซึ่งนายพหล นนทอาสา ได้เล่าให้ผู้วิจัยฟัง ว่า เมื่อมีอายุได้ 10 ขวบ เป็นคนชอบดูมวยมาก ได้เล่าว่ามีมวยเทศกาลในงานวังนารายณ์ ในช่วงนี้ นักมวยลพบุรีที่มีชื่อเสียงและโด่งดัง คือ ประกายแก้ว ลูก ส.ก. และมีค่ายมวยที่โด่งดัง ในสมัยนั้นหลายค่าย ได้แก่ ค่ายชัยบาดาล ค่าย ส.ก. ซึ่งค่ายมวยส่วนใหญ่จะอยู่ที่บริเวณ นอกเมือง เช่น ค่ายมวยที่ชุมชนท่าโพธิ์ และสระเสวย ส่วนในบริเวณอ าเภอเมืองลพบุรี มีค่าย ลูกละโว้ ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น ค่ายลูก ส.ก. มีสถานที่ส าหรับให้นักมวยซ้อมอยู่ใกล้เนิน ท่าโพธิ์ และยังมีค่ายลูกเจ้าพ่อศาลพระกาฬอีกค่ายหนึ่ง ประกายแก้ว ลูก ส.ก. เป็นนักมวยรุ่น เดียวกันกับ อภิเดช ศิษย์หิรัญ และอดุลย์ ศรีโสธร ในการต่อยที่สนามมวยเวทีลุมพินีในกรุงเทพ ประกายแก้ว ลูก ส.ก. ถูก อภิเดช ศิษย์หิรัญ เตะจนแขนพิการ ต่อมาประกายแก้ว ลูก ส.ก. ได้เลิกต่อยมวย แต่มาตั้งค่ายมวย ชื่อ ค่ายมวย ทรงวิทย์ ประกายแก้ว ลูก ส.ก. มีชื่อจริง ว่านายสมทรง แก้วเกิด ปัจจุบันอายุ 64 ปี และยังมีชีวิตอยู่ นอกจากนี้ยังมีค่ายมวยจากโคก ส าโรง ชื่อค่ายอุดมฤทธิ์ มีที่ตั้งของค่ายมวยอยู่หลังโรงฆ่าสัตว์ มีนักมวยมาฝึกซ้อมเป็นจ านวน ค่อนข้างมาก ส่วนมากการชกมวยที่โคกส าโรงนี้จะจัดชกมวยกันที่วัด นอกจากนี้มีค่ายชัยบาดาล ซึ่งมีนักมวยเอก ชื่อ ชัยบาดาล ลูกชัยบาดาล เคยมาฝึกมวยที่วัดจันทารามจากนั้นได้ไปฝึกมวย ฝึกต่อที่กรุงเทพฯ ที่ค่ายสวนมิสกะวัน ซึ่งนักมวยส่วนใหญ่ในค่ายสวนมิสกะวันล้วนเคยอยู่ค่าย ชัยบาดาลมาก่อน เมื่อเข้ามาชกมวยในกรุงเทพฯ จะมาอยู่ที่ค่ายสวนมิสกะวัน ในช่วงนั้น นักมวยดังของค่ายสวนมิสกะวัน มี ชัยบาดาล สวนมิสกะวัน (เสน่ห์ จิตการ) และอินทรีย์สวน มิสกะวัน (ปัจจุบันได้ถึงแก่กรรมแล้ว) ซึ่งอินทรีย์ สวนมิสกะวัน หลังจากเลิกชกมวยแล้ว อินทรีได้เป็นก านันมีชื่อจริงว่า ด ารง ในอดีต อินทรีย์ เคยชกมวยกับ น าขบวน หนองกี่ฬาหุยุทธ ด้วย รวมทั้งนพเกล้า สวนมิสกะวัน (มีชื่อจริงว่า สมคิด พลเดชรังสี) ปัจจุบันนพเกล้า เป็น กรรมการบริหารขององค์การบริหารส่วนต าบลชัยบาดาล นอกจากนี้มีนักมวยระดับแชมป์ของ ประเทศ อีกคนหนึ่ง ชื่อ ขุนพลใบ้ สมานชัย เป็นแชมป์มวยไวท๊อป ที่นับว่ายิ่งใหญ่มากใน สมัยนั้น ปัจจุบันขุนพลใบ้ อาศัยอยู่ที่ต าบลนาโสม อ าเภอบัวชุม ในจังหวัดลพบุรี และได้ชื่อว่า เป็นนักมวยจากชัยบาดาล โดยแท้จริง รวมทั้งได้รับการยอมรับให้เป็นแม่ทัพน านักมวยคนอื่น
274 ๆ ไปชกมวยที่กรุงเทพฯ ในรุ่นนั้นมีนักมวยที่มีชื่อเสียงหลายคน เช่น อภิเดช ศิษย์หิรัญ ทองใบ เจริญเมือง และ กตัญญูชัย ขวัญใจชนบท ที่เป็นนักมวยจากอ าเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี แม้ว่าที่อ าเภอชัยบาดาล จะไม่มีค่ายมวยเป็นหลักแหล่ง แต่นักมวยชัยบาดาลอาศัยซ้อมมวยใน วัด เมื่อเริ่มมีฝีมือขึ้น จนนับว่าเก่งพอตัวแล้ว จะถูกส่งขึ้นชกที่เวทีมวยค่ายนารายณ์ ส าหรับชัย บาดาล สวนมิสกะวัน หลังจากเลิกชกมวยแล้วได้ไปสอนมวยไทยที่ประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันได้ กลับมาอยู่ที่ประเทศไทยแล้วและยังมีชีวิตอยู่ส่วนราวี 2 สวนมิสกะวัน เป็นนักมวยอีกคนหนึ่ง ของอ าเภอชัยบาดาล มีบ้านอยู่ใกล้วัดโสม รวมทั้ง เกาะแก้วน้อย ลูกชัยบาดาล ที่มีชื่อจริง ว่า ประทีป มีก าลัง มีสถิติการชกมวยมากกว่า 30 ครั้ง แต่ปัจจุบันเลิกชกมวยแล้ว มีอายุ 57 ปี เดิมเคยเป็นทหาร และได้ชกมวยในรุ่น 54 กิโลกรัม( เรียกอีกอย่างว่า รุ่นแบนตั้มเวท ) ขณะนี้มีอาชีพเลี้ยงวัวอันเป็นผลได้จากน้ าพักน้ าแรงในการชกมวยของประทีปเอง นอกจากนี้ ยังมีนักมวยลพบุรี อีกคน ชื่อ สกลน้อย ศิษย์วัดท่า มีน้องชาย เป็นครูมวยลพบุรี ที่ได้สืบ สานและอนุรักษ์ศิลปะมวยไทยในจังหวัดลพบุรีในปัจจุบัน ชื่อ ครูประดิษฐ์ เล็กคง ที่ยังคง เป็นครูสอนมวยในสถานศึกษาต่างๆ ทั้งในจังหวัดลพบุรีและจังหวัดใกล้เคียง และเป็นผู้ให้ ข้อมูลคนส าคัญเกี่ยวกับมวยลพบุรีของวิทยานิพนธ์ฉบับนี้ด้วย ในเดือนกุมภาพันธ์ของ ทุกปี มีพิธีบวงสรวงประจ าปีในงานวังนารายณ์ เช่น เมื่อประมาณปีพุทธศักราช 2490 ได้จัด พิธีบวงสรวงดวงพระวิญญาณของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชขึ้นในวังนารายณ์ เมื่อถึงเวลา บ่าย 4 โมงเย็น จะเริ่มมีการชกชวยบนเวทีซึ่งเป็นเวทีกึ่งถาวรโดยมีนายปัญจาง สุวรรณปกรณ์ เป็นนายสนามมวยวังนารายณ์ ในสมัยนั้น การชกมวยจะชกทุกวันเสาร์ เวลา 4 โมงเย็นเป็นต้น ไป ในสมัยนั้นค่ายมวยนารายณ์ ล้อมด้วยสังกะสี ด้านหลังปักไม้รวก ไม่มีหลังคาเก็บค่าดูคน ละ 5 บาท และ 10 บาท โดยมีค่ายมวยที่ส่งนักมวยเข้าแข่งขันชกมวยหลายค่าย ได้แก่ ค่าย ลูกลพ ค่ายประจ าการ ค่ายศิลาชัย แต่ละค่ายมวยมีนักมวยที่มีชื่อเสียงหลายคน เช่น ใบ วัยแท้ ชาญ เทียนทอง เมฆด า ช่อฟ้า วรชิต ลูกลพ ( ศรแดง ) และ สมคิด ลูกลพ ซึ่งมีบ้านอยู่ ในตัวเมืองลพบุรี ได้ไปชกมวยในกรุงเทพบ่อยครั้ง รวมทั้ง สุดใจ ศิลาชัย พันธิ์ทิพย์ ฟ้าหม่น และ วัลลภ ศรแดง นักมวยรุ่นนี้ปัจจุบันมีอายุมากกว่า 80 ปี ขึ้นไปทุกคน ส่วนมวยในรุ่นหลังมี ประกายแก้ว ลูก ส.ก. ศรนารายณ์ ลูกมหาโลก และช่วงชัย ศรแดง ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุด
275 พุทธศักราช 2500 –2503 เป็นช่วงเวลาแห่งความซบเซาของมวยลพบุรี ในช่วงหนึ่ง เนื่องจากไม่มี นักมวยที่เป็นแม่เหล็กดึงดูดผู้เข้าชมมวย ประจวบกับการชกมวยในช่วงนี้ไม่ได้รับการสนับสนุน จากผู้เกี่ยวข้องและผู้เข้าชม เนื่องจากมีการพนันมวยของผู้เข้าชมและมีการล้มมวยเกิดขึ้น บ่อยครั้ง จนเป็นข่าวเล่าขานอยู่เนือง ๆ รวมทั้งภาวะเศรษฐกิจของประเทศในยุคนั้นได้ตก ต่ าลง แม้แต่โปรโมเตอร์ที่เป็นผู้จัดรายการแข่งขันก็หลีกหนีจากวงการหลังจากประสบ ภาวะการขาดทุนในการจัดชกมวย และผู้เข้าชมมวยเองก็ไม่ได้สนับสนุนการจัดชกมวยในเวที ของจังหวัดลพบุรี จึงนับว่าในช่วงระยะเวลานี้เป็นช่วงการตกต่ าของมวยลพบุรีก็ว่าได้ ผลที่ ตามมาคือ ชื่อของนักมวยจากลพบุรีได้เงียบหายไปจากวงการมวยในเวทีนครบาล จนผู้คนใน วงการมวยอาจลืมเลือนมวยลพบุรี แต่เป็นระยะเวลาที่สั้นเพียง 3-4 ปี เท่านั้น ต่อมา ในช่วง ปีพุทธศักราช 2504 มีนายสนามมวยหลายคนที่หมุนเวียนมาดูแล ค่ายมวยนารายณ์ ตามต าแหน่งทางทหาร ที่เกี่ยวข้องกับมวยของค่ายนารายณ์ อาทิ พันเอกเฉย วีระบูลย์ ได้มา บริหารและพัฒนาค่ายมวยนารายณ์จนมีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งช่วงนี้เป็นช่วง รุ่งโรจน์สุดขีดของมวยลพบุรี สมัยใหม่มีเวทีมวยและค่ายมวยต่างๆ มีนักมวยที่มีชื่อเสียงเกิดขึ้น อย่างมากมาย ตลอดจน มีการน านักมวยจากกรุงเทพฯ มาชกที่ลพบุรีเป็นประจ าทุกวันพุธ ใน เวลาบ่าย 4 โมง นักมวยดังสมัยนั้น ได้แก่ ชูชัย ศิลปชัย ประลอง ลูกมาตุลี วิทยา ราชวัตร หลาว เลิศฤทธิ์ ศักดา ยนตกิจ อิสระชัย พันท้ายนรสิงห์ ศรศักดิ์ พันท้ายนรสิงห์ และสาย เพชร ยนตกิจ ส าหรับศรศักดิ์ พันท้ายนรสิงห์ ได้เคยไปชกมวยชิงแชมป์โลกกับ ลมิงซาน นักมวยชาวอินโดนีเซีย และยังมีนักมวยจากค่ายอื่นๆ อีกหลายค่าย ได้แก่ ค่าย ลูกละโว้ ค่ายลูก ส.ก. ค่ายจักรนารายณ์ ค่ายศรีนารายณ์ และ ค่ายลูกพูลหลวง
276 มวยลพบุรีนั้น ถือเป็นมวยไทยภาคกลาง เอกลักษณ์ของมวยลพบุรี คือ เป็นมวยที่ชก ฉลาด มีการรุกรับที่คล่องแคล่วว่องไว ต่อยหมัดตรงแม่นย า เรียกว่า “มวยเกี้ยว” หมายถึง มวย ที่ใช้ชั้นเชิงเข้าท าคู่ต่อสู้ โดยใช้กลลวงมากมาย เคลื่อนตัวอยู่เสมอ หลอกล่อ หลบหลีกได้ดี สายตาดี รุกรับและออกอาวุธหมัด เท้า เข่า ศอกได้อย่างรวดเร็ว สมกับฉายา “ฉลาดลพบุรี” และเอกลักษณ์อีกอย่างที่เห็นได้ชัดคือ มีการพันมือครึ่งแขน แต่ที่แปลกและเด่นกว่ามวยสายอื่น ๆ คือ การพันคาดทับข้อเท้า ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของมวยลพบุรี ในส่วนของกระบวนท่าของมวยไทยสายลพบุรีนั้น พบว่า มีด้วยกัน 16 กระบวนท่า ซึ่งเป็น กระบวนท่าที่ผสมกลมกลืนจากการหล่อหลอมและเลียนแบบท่าทางของสัตว์ต่าง ๆ เช่น ลิง และ ช้าง ที่มีอยู่มากในเมืองลพบุรี และครูมวย นักมวยไทยสายลพบุรีที่ควรรู้จัก ได้แก่ ครูดั้ง ตาแดง, ครูนวล หมื่นมือแม่นหมัด, นายซิว อกเพชร, นายแอ ประจ าการ, นายเย็น อบทอง, นายเพิก ฮวบสกุล, นายจันทร์ บัวทอง, นายชาญ ศิวา-รักษ์, นายสมทรง แก้วเกิด และครู ประดิษฐ์ เล็กคง ซึ่งบุคคลเหล่านี้นับได้ว่าเป็น มวยไทยสายลพบุรี เป็นประวัติศาสตร์ของมวย ไทย ที่เป็นมวยท้องถิ่นที่เก่าแก่ที่สุดของอาณาจักรสยาม มีอายุถึง 1,356 ปี มีความโดดเด่น เฉพาะตัว ทั้งด้านประวัติศาสตร์ ประวัติความเป็นมาเอกลักษณ์วัฒนธรรมประเพณี การแข่งขันมวยไทยสายลพบุรี มีกติกาการชก ก าหนด 5 ยก โดยใช้ยกเวียน การหมดยกใช้ กะลาเจาะรูใส่ในโหล เมื่อกะลาจมน้ าถือว่าหมดยก การต่อสู้ใช้อวัยวะได้ทุกส่วนของร่างกาย
277 การเปรียบมวยอยู่ที่ความสมัครใจของผู้ชก ไม่เกี่ยงน้ าหนักหรืออายุ การไหว้ครูเหมือนการไหว้ ครูสายอื่น ๆ โดยทั่วไป มวยพลศึกษา มวยพลศึกษา ได้ก่อก าเนิดมาพร้อมกับการจัดตั้งสามัคยาจารย์สมาคม เพื่อจัดเป็นสถานที่ การออกก าลังกาย ส าหรับประชาชนทั่วไป และได้มีการสืบทอดมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมี ปรมาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชามวยไทยสายพลศึกษาที่มีชื่อเสียงคือ อาจารย์สุนทร ทวีสิทธิ์ หรือ อาจารย์กิมเส็ง ทวีสิทธิ์ ปรมาจารย์มวยที่มีชื่อเสียง มีความเชี่ยวชาญหมัด ซึ่งศึกษามาจาก หม่อมเจ้าวิบูลย์สวัสดิ์วงศ์ สวัสดิกุล ซึ่งได้ทรงศึกษาการชกมวยสากลของประเทศไทย จนได้ชื่อ ว่าเป็นบิดามวยสากลของประเทศไทย นอกจากหมัดแล้วยังเน้นความเร็ว จังหวะเข้า- ออกที่ คล่องแคล่วว่องไว เรียกได้ว่ามวยพลศึกษาเป็นมวยครบเครื่อง สมกับฉายา “ครบเครื่องพล ศึกษา” เอกลักษณ์ของมวยไทยสายพลศึกษา พบว่า มีทั้งหมด 3 ด้าน คือ เอกลักษณ์ด้านการ แต่งกาย เอกลักษณ์ด้านการไหว้ครูและร่ายร ามวยไทย เอกลักษณ์ด้านการเรียนการสอน ส่วน ในเรื่องของกระบวนท่าของมวยไทยสายพลศึกษา จะประกอบไปด้วย กลวิธีการใช้หมัด กล วิธีการใช้เท้า กลวิธีการใช้เข่า กลวิธีการใช้ศอก แม่ไม้มวยไทย และลูกไม้มวยไทย ในเรื่องของ ระเบียบประเพณีของมวยไทย จะมีพิธีการขึ้นครูหรือการยกครู พิธีการไหว้ครู และเครื่องดนตรี ประกอบ ด้วยความที่มวยไทยสืบทอดมาจากมวยโบราณซึ่งแบ่งออกเป็น 5 สาย คือ มวยไทยสายไช ยา มวยไทยสายโคราช มวยไทยสายลพบุรี มวยไทยสายท่าเสาและพระยาพิชัย และมวยไทย สายพลศึกษา แต่ละสายมีทั้งเอกลักษณ์ กระบวนท่า ระเบียบประเพณี และวัฒนธรรมประเพณี ต่าง ๆ ที่ควรค่าแก่การรักษาสืบไว้
278 มวยไทยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มวยโคราช มวยโคราชนั้น ถือเป็นมวยไทยภาคอีสาน เอกลักษณ์ของมวยโคราช คือ สวมกางเกงขาสั้น ไม่สวมเสื้อ สวมมงคลที่ศีรษะขณะชก มีการพันหมัดแบบคาดเชือกตั้งแต่หมัดขึ้นไปจรดข้อศอก เพราะมวยโคราช เป็นมวยชกหมัดวงกว้างหนักหน่วง ที่เรียกว่า “หมัดเหวี่ยงควาย” สมกับ ฉายา “หมัดหนักโคราช” ซึ่งการพันเชือกเช่นนี้เพื่อป้องกันการเตะ ต่อยนั่นเอง ในส่วนของกระบวนท่าของมวยไทยสายโคราชนั้น พบว่า มีการฝึกตามขั้นตอน และเมื่อเกิด ความคล่องแคล่วจะท าพิธียกครู แล้วให้ย่างสามขุมและฝึกท่าอยู่กับที่ 5 ท่า ท่าเคลื่อนที่ 5 ท่า ท่าฝึกลูกไม้แก้ทางมวย 11 ท่า ฝึกท่าแม่ไม้ส าคัญ ซึ่งได้แก่ ท่าแม่ไม้ครู 5 ท่า ท่าแม่ไม้ส าคัญ โบราณ 21 ท่า วิธีจัดการชกมวยโคราช นิยมจัดชกในงานศพที่ลานวัด ในเรื่องของการเปรียบมวยจะให้ ทหารตีฆ้องไปตามหมู่บ้านแล้วร้องบอกให้ทราบโดยทั่วกัน และเมื่อเปรียบได้แล้วให้นักมวยมา ชกประลองฝีมือกันก่อน หากฝีมือทัดเทียมกันก็ให้ชกแล้วนัดวันมาชก ซึ่งในการเปรียบมวย โคราช ไม่มีกฎกติกาที่แน่นอน หากพอใจก็ชกกันได้ ส่วนรางวัลการแข่งขันจะเป็นสิ่งของเงิน ทอง แต่หากเป็นการชกหน้าพระที่นั่ง รางวัลที่ได้รับจะเป็นหัวเสือและสร้อยเงิน
279 ในสมัยรัชกาลที่ 5 – 6 มวยไทยโคราช เป็นช่วงที่มวยคาดเชือกรุ่งเรือง มีชื่อเสียง เป็นที่รู้จัก ทั่วประเทศ นักมวยฝีมือดี ได้แก่ นายแดง ไทยประเสริฐ หรือ “หมื่นชงัดเชิงชก”, ครูบัว นิล อาชา (วัดอิ่ม), นายทับ จ าเกาะ, นายยัง หาญทะเล, นายตู้ ไทยประเสริฐ, นายพูน ศักดา เป็น ต้น ประวัติมวย ไทยโคราชการแบ่งยุค และพัฒนาการของมวยไทยโคราช 1. มวยไทยโคราชยุคเริ่มต้น (สมัยรัชกาลที่ 1 – รัชกาลที่ 4) ในสมัยนี้ยัง ไม่มีหลักฐาน ชัดเจน แต่มีการบันทึกประวัติศาสตร์ในแผ่นศิลาจารึกของเดิมข้างแท่นอนุสาวรีย์คุณ หญิงโม เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2477 มีแผ่นทองแดงรูปเสมาจารึกไว้ว่า “ พุทธศักราช2369 เจ้าอนุวงศ์ แห่งเวียงจันทร์เป็นกบฏต่อกรุงเทพมหานคร ยกกองทัพเข้ายึดเมืองนครราชสีมาได้ แล้วกวาด ต้อนครอบครัวชาวนครราชสีมาไปถึงทุ่งส าริด ท่านผู้หญิงโมรวบรวมก าลังชาย หญิง เข้าต่อสู้ อย่างตะลุมบอน กองทหารเวียงจันทร์แตกพินาศ เจ้าอนุวงศ์ถอยทัพกลับ ในที่สุดกองทัพไทยยก ไปปราบปรามจับตัวเจ้าอนุวงศ์ได้ ท่านผู้หญิงกล้าหาญ ได้นามว่าเป็นวีระสตรีกอบกู้อิสรภาพ นครราชสีมาไว้ได้ด้วยความสามารถมีคุณต่อ ประเทศชาติอย่างยิ่ง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า เจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาท่านคุณหญิงโมเป็น “ท้าวสุรนารี”
280 2. มวยไทยโคราชยุครุ่งเรือง (รัชกาลที่ 5 – รัชกาล ที่ 6) เป็นยุคที่มวย ไทยโคราช และมวยไทยภาคอื่นๆ เช่นมวยไชยา จากภาคใต้ มวยท่าเสา จาก อุตรดิตถ์ ภาคเหนือ มวยพระนคร และมวยลพบุรี จากภาคกลาง ซึ่งชกกันในแบบคาด เชือกเจริญพัฒนารุ่งเรืองถึงขึ้นสูงสุด มีการฝึกหัดมวยไปทั่วประเทศอย่างกว้างขวาง เพราะ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงเสด็จทอดพระเมตรการชกมวยอยู่ เสมอๆ อีกทั้งยังพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้กับนักมวยที่มีความสามารถเป็นที่พอพระราช หฤทัยให้เป็น“ขุนหมื่นครูมวย” ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 3 คน คือหมื่นมวยมีชื่อ(นายปรง จ านงทอง นักมวยจากเมืองไชยา) หมื่นมือแม่นหมัด (นายกลึง โตสะอาด นักมวยจากเมืองลพบุรี) หมื่นช งัดเชิงชก (นาย แดง ไทยประเสริฐ นักมวยจากเมืองโคราช) ไม่มีเวทีที่ แน่นอน ชกกันบนพื้นดินที่ไหนก็ได้ มีนักมวยที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ จากพันเอกเสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตอุดม ศักดิ์ โปรดเกล้า ฯ ให้นักมวยจากเมืองโคราชเข้าไป ฝึกซ้อมมวยอยู่ในวังเปรมประชากรและขึ้นท าการ แข่งขันทั่วประเทศไทย สร้างชื่อเสียงให้กับ ชาวโคราช เป็นอย่างยิ่ง นายบัว วัดอิ่ม (นิลอาชา)ได้เป็นครูสอนพลศึกษา ณ โรงเรียนนายร้อย จปร.นอกจากนี้ยังมี นายยัง หาญทะเล นายทับ จ าเกาะ นายตู้ ไทยประเสริฐ นายพูน ศักดา ฯลฯ
281 3. มวยไทยโคราชยุคเริ่มต้นสวมนวม (รัชกาลที่ 6 – รัชกาลที่ 8) ในสมัยนี้ เริ่มมีการน าเอานวมแบบฝรั่งมาให้นักมวยสวมชกกันแทนการคาดเชือก อัน เนื่องมาจากกรณีที่นายแพ เลี้ยงประเสริฐ นักมวยจากท่าเสา อุตรดิตถ์ ชกนายเจียร์ นักมวย จากเขมร เสียชีวิตด้วยการชกกันในแบบคาดเชือก เป็นรอยต่อระหว่างมวยคาดเชือกกับการสวม นวมชก มีการสอนมวยไทยโคราชในโรงเรียนนายร้อย จปร.โดยครูบัว นิลอาชา (วัดอิ่ม) เป็นช่วงระยะ เวลาที่นักมวยไทยโคราชมีฝีมือดีและมีชื่อเสียงโด่งดังหลายคนเดิน ทางเข้าท า การแข่งขันในกรุงเทพฯ มากขึ้น เวทีราชด าเนินก่อสร้างขึ้น ตามด้วยเวทีลุมพินี จัดการแข่งขันโดยให้นักมวยมีการสวมนวมชก มีกฎกติกาควบคุมการแข่งขันและตัดสินชัดเจน ทุกอย่างมีรูปแบบเป็นสากลมากขึ้น เมืองโคราชมีคณะนักมวยเกิดขึ้น เช่น คณะเทียมก าแหง คณะแขวงมีชัย คณะอุดมศักดิ์ คณะสุรพรหม คณะปราสาทหินพิมาย คณะลูกสุรินทร์ คณะสิน ประเสริฐ คณะกฤษณะสุวรรณ คณะสิงหพัลลภ ฯลฯ นักมวยโคราชที่สร้างชื่อเสียงให้แก่เมือง โคราชในยุคนี้ เช่น สุข ปราสาท หินพิมาย ประยุทธ อุดมศักดิ์ บุญมี แม่นฉมัง สมเดช แขวงมี ชัย (ยนตรกิจ) เลิศชัย ยนตรกิจ ณรงค์ แขวงมีชัย สุรเดช แขวงมีชัย (ทรงกิตติ รัตน์) สายฟ้า แขวง มีชัย สงวนศักดิ์แขวงมีชัย ดาวใหม่ แขวงมีชัย เผด็จ แขวงมีชัย ชัยยง ราช วัตร คงคา อุดมศักดิ์สิงห์อุดมศักดิ์พิชิต อุดมศักดิ์ ฉลวย อุดมศักดิ์ หลุย เดชศักดา (หมอผี) พี ระ ลูกสุรินทร์ ฯลฯ 4. มวยไทยโคราชยุคฟื้นฟู(รัชกาลที่ 9 –ปัจจุบัน) เป็นยุคที่มีเวที จัดการแข่งขันมวยไทยอาชีพอยู่ทุกหนทุกแห่งโดยทั่วไป หากไม่ใช่มวย โคราชคาดเชือกแบบดั้งเดิม มีกฎกติกา การแข่งขันที่ใช้กติกาของสมาคมมวยไทย ใช้ พระราชบัญญัติกีฬามวยเหมือนกับเวทีมวยไทยอื่นๆทั่วประเทศ การฝึกซ้อมมวยและการจัด แข่งขันเน้นไปในทางธุรกิจเป็นส าคัญมากกว่าที่ จะเน้นในด้านศิลปะแม่ไม้มวยไทยในสมัย รัชกาลที่5 รัชกาลที่ 6 บุคคลส าคัญอีก คนหนึ่งของมวยไทยโคราชคือ ครูบัว วัดอิ่ม หรือ ร.ท.บัว นิลอาชา ใน ภายหลังเป็นครูสอนพลศึกษาในโรงเรียนนายร้อย จปร.ตั้งแต่ พ.ศ.2473จนถึงเกษียณอายุ ราชการในพ.ศ.2501ลูกศิษย์ของครูบัวหลังจากการฝึกมวยในเวลาเรียนแล้ว ที่นิยมและชอบการ ชกมวยจนมีชื่อเสียง เช่น พล.อ.อ.บุญชู จันทรุเบกษา อดีต ผบ.ทอ. ใช้ชื่อในการชกมวยชื่อสม เพ็ชร น้ าน้อย พล.ต.ยงยุทธ ดิษฐบรรจง พล.ต.ท.พระเนตร ฤทธิฤๅชัย พล.ต.ท.บันเทิง กัมปนาท แสนยากร จอมพลสฤษดิ์ธนะรัชต์ พล.อ.อาทิตย์ก าลังเอก อดีต ผบ.ทบ. จอมพลประภาส จารุ
282 เสถียร มวยสกลนคร ประวัติความเป็นมามวยสกลนคร “มวย เป็นศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว เป็นการต่อสู้ด้วยพละก าลัง ใช้อวัยวะเกือบทุกส่วน ของร่างกาย ทั้งมือ เท้า เข่า ศอก รวมทั้งหัวด้วย มีประวัติความเป็นมาตั้งแต่ดึกด าบรรพ์มาแล้ว ในสมัยก่อนนิยมฝึกหัดกันในหมู่นักรบโบราณ เป็นที่นิยมชมชอบของชนทุกชั้น แม้แต่พระเจ้า แผ่นดินก็มีปรากฏในพงศาวดาร ครั้งกรุงศรีอยุธยา ขุนหลวงสรศักดิ์ หรือที่ชาวบ้านรู้จักกันใน
283 นาม พระเจ้าเสือ ทรงนิยมชมชอบมวยมาก ถึงกับปลอมพระองค์ไปชกมวยตามหัวเมือง บ่อยครั้ง”(จากหนังสือเชิดชูเกียรติ อาจารย์จ าลอง นวลมณี ครูมวยโบราณของสกลนคร ผู้ที่สืบ สานศิลปะการร่ายร ามวยโบราณ) ส่วนอีกเรื่องหนึ่งที่อาจารย์จ าลอง นวลมณีได้เล่าไว้อย่างน่าสนใจมาก คือ…. ” เมื่อปี พ.ศ.2331 เป็นปีที่ 7 ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มีนักมวยฝรั่ง สองพี่น้อง ล่องเรือก าปั่นท้าพนันชกมวยมาหลายหัวเมือง และชกชนะมาทั้งสิ้น ครั้นมาถึง กรุงเทพฯ ก็มาท้าพนันชกมวยกับคนไทย พระยาพระคลัง กราบบังคมทูลให้พระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงทราบ จึงรับสั่งให้รับท้าพนัน วางเดิมพันเป็นเงิน 50 ชั่ง หรือ 4,000 บาท (สมัยนั้นก็มากแล้ว) สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทราชอนุชา จึงจัดหานักมวย ชื่อ หมื่นผลาญ ซึ่งมีความรู้ทั้งมวยต่อยและมวยปล้ า และด ารัสให้ปลูกพลับพลาใกล้โรงละคร ด้านทิศตะวันตกของวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เพื่อประทับทอดพระเนตร ผลการชกปรากฏว่า นักมวยฝรั่งแพ้ไม้เป็นท่า เป็นที่น่าอับอายมาก” นางศาสตร์ พรหมสาขา ณ สกลนคร ได้เขียนไว้ในหนังสือเชิดชูเกียรติ อาจารย์จ าลอง นวลมณี ว่า “ในสมัย 50 ปีมาแล้ว จะมีงานแห่ต่างๆ โดยเฉพาะงานประเพณีที่เรียกว่า งานบุญพระเวส ชาวสกลนคร 10 คุ้ม ก็มีการแห่กัณฑ์เทศน์ และแห่บั้งไฟไปตามถนนสายต่างๆ เพื่อทอดถวาย องค์พระธาตุเชิงชุม โดยมีคณะนักมวยร ามวยออกหน้า มีปี่ ฆ้อง กลองประโคม เป็นเครื่อง ประกอบ เมื่อขบวนไปพบกันจะไม่มีใครหลีกทางให้กัน จึงมีการต่อสู้กันขึ้น” ดังนั้น มวยโบราณ จึงเป็นการต่อสู้ด้วยมือ เท้า เข่า ศอก มีมาก่อนมวยคาดเชือก (มวยคาดเชือกใช้ผ้าดิบ หรือ บางครั้งใช้เชือกพันมือ สันนิษฐานว่า มีขึ้นในสมัยอยุธยา) การแสดงมวยโบราณ แบ่งเป็น 3 ตอน คือ – ขบวนแห่มวยโบราณ – ท่าไหว้ครูหรือร าเดี่ยว – การต่อสู้ เป็นที่น่าสังเกตว่า มวยโบราณไม่ใช้การต่อสู้แบบเข้าคลุกวงใน ทั้งนี้เพราะจะท าให้ เห็นลีลาท่าฟ้อนร าน้อยไป แต่นักมวยจะเข้าไปเล่นงานคู่ต่อสู้พร้อมกับถอยมาฟ้อนร าเป็นระยะๆ แล้วจึงบุกเข้าไปหรือเตรียมตั้งรับหรือตอบโต้คู่ต่อสู้ กล่าวได้ว่าความสนุกสนานของมวย โบราณ อยู่ที่ชั้นเชิงและกลเม็ดของนักมวยผู้ที่เจนจัด มักมีลูกเล่นกลเม็ดแพรวพรายทั้งท่ารุก ท่า
284 รับ ซึ่งหมายถึงการฝึก หัดมาอย่างดีในท่ารุกเข้าพิชิตคู่ต่อสู้หลายแบบ นักมวยโบราณที่มีความ คล่องตัวนิยมเล่นงานคู่ต่อสู้ด้วยเท้า ในขณะที่เสียเปรียบคู่ต่อสู้จนเสียหลัก นักมวยจะแก้ปัญหา เช่น การหลบ โดยหลบลอดได้อย่างเร็ว พร้อมใช้เท้าถีบคู่ต่อสู้ให้ล้มหรือใช้ศอกถอง แต่ก็ต้อง ระวังท่าจระเข้ฟาดหางจากฝ่ายตรงข้ามตอบโต้ด้วย มวยโบราณจึงมิใช่มวยที่ชกกันเอาแพ้ชนะ เช่นมวยในปัจจุบัน แต่หากเป็นการต่อสู้ที่เน้นศิลปะของท่าร า จึงควรให้เรียกว่าการร ามวย โบราณ มิใช่การชกมวยต่อยมวยเช่นในปัจจุบัน ท่าฟ้อนของมวยโบราณ อ่อนช้อยแต่เข้มแข็งทะมัดทะแมงอยู่ในการฟ้อนมวยโบราณ ท่าฟ้อน มวยโบราณนั้นทั้งหมดมี 14 ท่า คือ.. 1. ท่าเสือออกจากเหล่า 2. ท่าย่างสามขุม 3. ท่ากุมภัณฑ์ถอยทัพ 4. ท่าลับหอกโมกขศักดิ์ 5. ท่าตบผาบปราบมาร 6. ท่าทะยานเหยื่อเสือลากหาง 7. ท่าไก่เลียบเล้า 8. ท่าน้าวคันศร 9. ท่ากินนรเข้าถ้ า 10. ท่าเตี้ยต่ าเสือหมอบ 11. ท่าทรพีชนพ่อ 12. ท่าล่อแก้วเมขลา 13. ท่าม้ากระทืบโรง 14. ท่าช้างโขลงทะลายป่า นอกจากนั้นยังมีท่าร ามวยโบราณแบบที่ร าเป็นขบวนแห่อีก 9 ท่า คือ 1. ท่ากาเต้นก้อนขี้ไถ 2. ท่าหวะพราย 3. ท่าย่างสามขุม 4. ท่าน้าวเฮียวไผ่ 5. ท่าไล่ลูกแตก-ตบผาบปราบมาร
285 6. ท่าช้างม้วนงวง 7. ท่าทวงฮัก กวักชู้ 8. ท่าแหลวถลา กาตากปีก 9. ท่าเลาะเลียบตูบ ร ามวยโบราณ การแต่งกาย มวยโบราณนิยมนุ่งผ้าโจงกระเบนแบบหยักรั้ง คือ ดึงชายกระเบนให้สูงขึ้น เพื่อให้เห็น ลายสักที่ขา สีของผ้าโจงกระเบนนิยมสีแดงหรือสีน้ าเงิน ปล่อยชายหางกระเบน ห้อยลงมาพอ งาม มีผ้าคาดเอวสีแดงหรือ น้ าเงิน (ใส่สลับกับผ้านุ่ง คือ ถ้าผ้านุ่งสีแดง ผ้าคาดเอวก็สีน้ า เงิน) ผ้าคาดเอวนี้จะช่วยรัดให้ผ้าโจงกระเบนแน่นกระชับ ที่ส าคัญอีกอย่างก็คือ มีผ้าประเจียด โพกศีรษะ (ผ้าประเจียดคือ ผ้าลงยันต์ บรรจุมนต์ขลังของเกจิอาจารย์) นอกจากนั้นก็มีผ้ารัดต้น แขนทั้งสองข้าง เป็นผ้าสีแดง มีตะกรุดหรือเครื่องรางของขลังอยู่ข้างใน การสักหรือการเขียนลาย จุดเด่นของมวยโบราณนิยมสักลวดลายตามตัวทั่วร่างกาย ทั้งแขน ขา สมัยก่อนสักด้วย น้ าว่าน น้ ายาศักดิ์สิทธิ์สักเป็นรูปสัตว์ต่างๆ ที่เลื่อมใสว่ามีก าลังอ านาจ นอกจากนั้นยังสักเป็น ลวดลายและลงอักษรโบราณที่เป็นคาถาอาคม เล่ากันว่า ในสมัยโบราณผู้ชายที่ไม่สักลายผู้หญิง จะไม่รัก และไม่แต่งงานด้วย ถึงกับมีค าพังเพยว่า “ขาบ่ลายบ่ให้ก่าย” ก่ายก็หมายถึง กอดก่าย
286 การสักนี้มีจุดมุ่งหมายเหมือนกับมีเครื่องรางของขลังติดตัวไปด้วย ท าให้อยู่ยงคงกะพันแคล้ว คลาดและเป็นมหาเสน่ห์ สมัยก่อนการสักลงยันต์ท ากันเป็นเรื่องใหญ่เพราะต้องสักลงไปบน ผิวหนัง ฝังลงไปในเนื้อโดยให้เหล็กแหลมเหมือนปากกา สักด้วยหมึกด า หมึกแดง ผสมกับรง และว่าน รอยสักนี้จะติดไปบนผิวหนังตลอดชีวิต ในปัจจุบันนี้ ไม่มีผู้นิยมสักลาย นักมวยโบราณ จึงได้พัฒนาการสักลายมาเป็นการเขียนลายแทน และเขียนด้วยปากกาเมจิก หรือสีเคมีแห้งเร็ว เมื่อเขียนเสร็จแล้วก็ใช้แป้งผงที่ทาตัวเด็ก โรยลงไปให้ทั่วเพื่อไม่ให้สีที่เขียนเลอะเทอะเมื่อเหงื่อ ออก ดนตรีประกอบการแสดง เป็นสิ่งจ าเป็นมากในการแสดงมวยโบราณ เพราะจะช่วยสร้างอารมณ์ให้เกิดความคึกคักให้กับ นักมวย และผู้ชมยิ่งเป็นดนตรีพื้นเมืองของอีสานด้วยแล้วยิ่งสนุก คึกคัก เร้าใจ นักมวยโบราณ ได้ฟังเสียงแล้วก็ฮึกเหิม ร่ายร าได้โดยไม่เหน็ดเหนื่อย คนดูก็สนุกไปด้วย เครื่องดนตรีของมวยโบราณ เป็นดนตรีพื้นบ้านทั้งสิ้น แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ คือ 1. เครื่องดีด ได้แก่ พิณ เป็นเครื่องดนตรีหลัก 2. เครื่องสี ได้แก่ ซอกระบอกไม้ไผ่ 3. เครื่องตี ได้แก่ กลองตุ้ม(กลองสองหน้า)โปงลาง ฆ้อง ฯลฯ 4. เครื่องเป่า ได้แก่ แคน โหวด ส่วนเพลงที่ใช้ตีประกอบนั้น มวยโบราณจะอาศัยจังหวะจากเสียงกลองและเครื่องตีประกอบ จังหวะอื่นๆ เป็นตัวท าจังหวะให้นักมวยเต้นเหยาะย่างตามลีลาท่าฟ้อน ส าหรับบทเพลงที่เหมาะ ที่สุด คือ บรรเลงลายภูไทเลาะตูบ
287 มวยไทยภาคใต้ มวยไทยไชยา ประวัติความเป็นมาของกีฬามวยไทยไชยา โดยสามารถแบ่งออกเป็นยุค ได้ดังนี้ 1. ยุคแรก 2. ยุคเฟื่องฟู 3. ยุคเปลี่ยนแปลง 4. ยุคอนุรักษ์ ยุคแรก มวยไทยไชยายุคแรกเริ่มตั้งแต่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาล ที่ 3 พ.ศ. 2367 – 2394 ถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 พ.ศ. 2394 – 2411 ก าเนิดมวยไทยไชยา ค าว่า “มวย” หมายถึง การชกกันด้วยหมัด “มวยไทย” คือ กีฬาชกมวยบนเวทีที่มี กติกายอม ให้คู่ชกใช้เท้า ศอก และเข่าได้ (ราชบัณฑิตยสถาน. 2530 : 628) “มวยไทยไชยา” หมายถึงศิลปะมวยไทยประจ าถิ่นของอ าเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่เคยมีชื่อเสียงมาแต่อดีต และมีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในสมัยรัชกาลที่ 5-6 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ถึงขนาดได้ชกถวายหน้าพระที่นั่งจนนักมวยได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น “หมื่น” ความมีชื่อเสียงของมวยไทยไชยานั้นเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายจนเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปมี หลักฐานปรากฏอยู่ในวรรณกรรมท้องถิ่นภาคใต้ เช่น มีเพลงนาบทหนึ่งของจังหวัดชุมพร กล่าว ไว้ว่า “มวยดีไชยา เพลงนาชุมพร ขึ้นชื่อลือกระฉ่อน มานานหนักหนา” (ทวี เชื้อเอี่ยม. 2529 : 2716) หรือในเรื่อง “พลายจ าเริญ” วรรณกรรมท้องถิ่นของจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งแต่งขึ้น ในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้กล่าวถึงมวยไทยไชยาไว้ว่า “คนหนึ่งชื่อคล้าย รูปร่างคมคาย บ้านอยู่
288 สงขลา คนหนึ่งชื่อลิบ ขุนทิพย์น ามา มันอยู่ไชยา เข้ามาบังคม” และ “แขกตีกลองชนะ สองเข้า ปะทะ สู้กันทั้งสอง ลิบมวยไทยไชยา ทีท่าไวว่อง ตีนเท้าศอกถอง คล้ายหยองทุกที” (กวี บัว ทอง และคณะ. 2526 : 3) ศิลปะมวยไทยที่เก่าแก่เป็นที่ยอมรับและรู้จักกันแพร่หลายทั่วไป แต่ละภาคก็มีจุดเด่น เป็นเอกลักษณ์ประจ าภาคของตน จนมีค ากล่าวกันว่า “หมัดหนักโคราช ฉลาดลพบุรี ท่าดีไชยา ไว กว่าท่าเสา” มวยไทยไชยาเริ่มมีเป็นแบบแผนที่ต าบลพุมเรียง อ าเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดย “พ่อท่านมา” ซึ่งเป็นคนกรุงเทพฯได้มาบวช และเป็นสมภารที่วัดทุ่งจับช้าง ท่านเป็นผู้มี วิทยาคุณสูงและมีความรอบรู้เรื่องหมัดมวย จึงฝึกซ้อมศิลปะมวยไทยให้ชาวไชยา ประวัติพ่อท่านมา (หลวงพ่อมา เจ้าอาวาสวัดทุ่งจับช้าง เมืองไชยา) ภาพที่ 2 สถูปและรูปเหมือน พ่อท่านมา ครูมวยไทยไชยาคนแรก ประวัติของท่านนั้นไม่มีการกล่าวหรือบันทึกไว้มากนักทราบเพียงว่า พ่อท่านมาเป็นครู มวยใหญ่ ที่เดินทางมายังเมืองไชยา (บ้างก็ว่าท่านเป็น ขุนศึก หรือ แม่ทัพ ออกบวช และธุดงค์ มาจากกรุงเทพฯ) เมื่อราว 165 ปีมาแล้ว สมัยรัชกาลที่ 3 ตอนปลาย ท่านเชี่ยวชาญวิชาการ ต่อสู้และมีวิชาอาคมแก่กล้า เคยมีเรื่องเล่าว่ามีช้างตกมันอาละวาด ไม่มีผู้ใดปราบได้พ่อท่าน มาได้บริกรรมคาถาแล้วใช้กะลามะพร้าวครอบจับช้างเชือกนั้นไว้ชาวบ้านจึงได้สร้างวัดขึ้นที่ท้อง ทุ่งแห่งนั้นขนานนามว่าวัดทุ่งจับช้าง
289 ศิลปะมวยของท่านได้รับการถ่ายทอด สืบต่อ สู่ชาวเมืองไชยาและครูมวยต่อมาอีก หลายๆท่าน นับแต่พระยาวจีสัตยารักษ์ (ข า ศรียาภัย) ปฐมศิษย์เบื้องต้นผู้เป็นครูมวยของหมื่นมวย มีชื่อ (ปรง จ านงทอง) ครูนิล ปักษีครูอินทร์ ศักดิ์เดช โดยเฉพาะหมื่นมวยมีชื่อ ที่ได้รับ พระราชทานนามนี้จากล้นเกล้าในรัชกาลที่ 5 นับเป็นเกียรติแก่เมืองไชยายิ่งนัก แม้ทุกวันนี้ยังมี นักมวย นักศึกษาและประชาชนเดินทางไปกราบไหว้ และร ามวยถวาย หน้าเจดีย์บรรจุอัฐิพ่อท่าน มา วัดทุ่งจับช้าง อ าเภอพุมเรียง จังหวัดสุราษฎร์ธานี อยู่เสมอ ช่วงปี พ.ศ. 2544 หลวงพ่อไสว อินทะวังโส ได้มาอยู่จ าพรรษาที่วัดและดูแลพัฒนาบริเวณวัด สร้างหลังคากันแดดฝนคลุมรักษา สถูปบรรจุอัฐิพ่อท่านมาไว้ โดยมีชาวบ้านและคุณยายท่านหนึ่ง ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานสาวของท่าน ปรมาจารย์เขตร ศรียาภัย ได้ร่วมกันบ ารุงรักษาวัดอยู่ ต้นปี พ.ศ.2545 หลวงพ่อไสว เดินทางไปจ าวัดอยู่ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นที่น่าเสียดาย วัดทุ่งจับช้าง จึงเป็นวัดร้างไร้ การดูแลอีกครั้ง ต่อมาเมื่อ ปี พ.ศ. 2547 หลวงพ่อไสว อินทะวังโส ได้กลับมาจ าพรรษาที่วัดทุ่ง จับช้างอีกครั้งหนึ่ง ชาวบ้านได้ร่วมแรงร่วมใจกันจัดสร้างพระรูปเหมือนของพ่อท่านมา บริเวณ ด้านหน้าองค์สถูปของท่าน เป็นรูปเหมือนขนาดเท่าองค์จริง แต่ไม่มีใครเคยเห็นท่านมาก่อน จึงได้ใช้พิธีกรรมแบบโบราณ โดยให้ช่างผู้ปั้น รูปเหมือนได้อธิษฐานจิต ถ้าขณะที่ปั้นรูปเหมือน พ่อท่านมาจริงให้มือที่ปั้นไหลลื่นไปเรื่อยๆ แต่ถ้าไม่เหมือนองค์ท่าน ให้มือหยุด การปั้นรูป เหมือนพ่อท่านมาส าเร็จลุล่วงไปด้วยดี ชาวบ้านต่างชื่นชมศรัทธาและในพิธีนี้ได้มีการจัดสร้างรูป หล่อของพ่อท่านมาขนาดเล็กประมาณ 1 นิ้วไว้เป็นที่ระลึกเพื่อน าไปกราบไหว้บูชาต่อไป (หลวง พ่อไสว อินทะวังโส ผู้ให้สัมภาษณ์ 19 ตุลาคม 2549 ที่วัดทุ่งจับช้าง ) สรุปยุคแรก มวยไทยไชยายุคแรก เริ่มตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 ถึงสมัยรัชกาลที่ 4 โดยพ่อท่านมา ซึ่งเป็นคนกรุงเทพ ฯ เป็นครูมวยอดีตขุนศึก สมัยรัชกาลที่ 3 ตอนปลาย ท่านออกบวชและ ธุดงค์มาที่ต าบลพุมเรียง อ าเภอไชยา ท่านเป็นผู้ที่มีวิชาการต่อสู้ พร้อมคาถาอาคม ได้ช่วย ชาวบ้านในการไล่ช้างที่มาอาละวาด ท าให้พืชไร่เสียหาย ด้วยคาถาอาคมจนช้างไม่มารบกวน อีก ชาวบ้านจึงสร้างวัด เรียกว่า วัดทุ่งจับช้าง
290 ท่านได้สอนมวยไทยให้กับพระยาวจีสัตยารักษ์ (ข า ศรียาภัย) ซึ่งเป็นปฐมศิษย์ และ สอนมวยให้กับคนในท้องถิ่น ปัจจุบันวัดทุ่งจับช้างเป็นวัดเล็กที่เกือบร้าง ท่านหลวงพ่อไสว อิน ทะวังโส เป็นเจ้าอาวาส ดูแลท านุบ ารุงวัดอยู่ บริเวณวัดจะมีสถูปพ่อท่านมาและรูปเหมือน ขนาดเท่าองค์จริง ของพ่อท่านมาซึ่งสร้างขึ้นภายหลังในปี พ.ศ. 2547 จากการร่วมแรงร่วมใจ ของชาวบ้านบุคคลใดที่ผ่านไปสักการะบูชามักจะร ามวยถวายพ่อท่านมา เพื่อเป็นศิริมงคลต่อ ตนเอง และครอบครัว ยุคเฟื่องฟู มวยไทยไชยายุคเฟื่องฟูจัดอยู่ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พุทธศักราช 2411 – 2453 และรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า เจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 พุทธศักราช 2453 – 2468 ภาพที่ 3 การแข่งขันชกมวยหน้าพระที่นั่งสมัยรัชกาลที่ 5 (ภาพจากหนังสือภูมิแผ่นดินไทย)
291 มวยไทยไชยาในยุคนี้มีความเฟื่องฟูสูงสุดเป็นมวยโบราณที่จ าต้องบันทึกไว้ใน ประวัติศาสตร์ของชาติไทยในเรื่องของมวยคาดเชือกหรือมวยหมัดถักทอ ในรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 พระองค์ท่านได้ทรงฝึกมวย จาก ส านักมวยหลวงมาตั้งแต่ครั้งยังทรงพระเยาว์ โดยมีปรมาจารย์ ชื่อ หลวงมลโยธานุโยค ต าแหน่ง ครูมวยหลวงเป็นผู้ถวายการสอน ท าให้พระองค์ทรงโปรดกีฬามวยไทยเป็นอย่างมาก เสด็จ ทอดพระเนตรการชกมวยหน้าพระที่นั่งหลายครา ดังเช่น ในงานพระราชทานเพลิงศพพระเจ้า น้องนางเธอพระองค์เจ้าบุษบงเบิกบาน พระราชธิดา ในรัชกาลที่ 4 ในเจ้าจอมมารดา ส าลี สิ้นพระชนม์ เมื่อวันอังคารที่ 16 มิถุนายน 2419 พระชันษา 17 มีการพระเมรุที่ วัดมหาธาตุ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 โปรดให้หลวง มล โยธานุโยค หลวงชัยโชคชกชนะจัดมวยทอดพระเนตร ครั้นชกกันเสร็จแล้ว พระราชทาน เงินตราฝ่ายชนะได้ต าลึงครึ่ง ฝ่ายแพ้ได้ 1 ต าลึง ในงานแข่งขันกีฬาประจ าปีที่ท้องทุ่งพระเมรุ เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน ถึงวันที่ 5 ธันวาคม ปีพุทธศักราช 2450 มีการแข่งขันมหรสพต่าง ๆ เช่น มวยและโม่งคุ่ม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จ ณ ที่ประทับรัตนสิงหาศน์ ทอดพระเนตรมวย ซึ่งพระองค์ได้ทรงโปรด ให้ข้าหลวงหัวเมืองต่าง ๆ คัดนักมวยฝีมือดีมาชกที่หน้าพระที่นั่ง เพื่อหานักมวยที่เก่งที่สุดเข้าเป็นทหารรักษาพระองค์ สังกัดกรมมวยหลวงและได้ทรงเห็นคุณค่า ของกีฬาประจ าชาติ จึงตรัสให้มีการแข่งขันมวยไทยขึ้นทั่วประเทศ เพื่อให้เกิดความนิยมกีฬา มวยไทยและไม่ให้มวยไทยเสื่อมสูญไป นอกจากนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้มี “มวยหลวง” ตามหัวเมืองต่าง ๆ เพื่อท า หน้าที่ฝึกสอนควบคุมการแข่งขัน และเมื่อมีงานพระราชพิธีต่างๆ เพื่อท าหน้าที่ฝึกสอนควบคุม การแข่งขันงานโสกันต์ งานพระเมรุ ส านักพระราชวังก็จะออกหมายเรียกให้มวยหลวงน าคณะ นักมวย คณะปี่กลองมาร่วมแสดงในงานด้วย ในปี พ.ศ.2452 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 พระองค์ทรง พระกรุณาโปรดเกล้าให้มีมหรสพในงานพระราชทานเพลิงพระศพ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ
292 พระองค์เจ้าชายอุรุพงศ์ รัชสมโภช (ซึ่งเป็นผู้บัญชาการกรมมหาดเล็กในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งพระองค์ประสูติวันอาทิตย์ ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2436 ปีมะเส็งในล าดับที่ 2 ในเจ้าจอม มารดาเลื่อน สิ้นพระชนม์ 20 กันยายน พ.ศ.2452 พระชันษา 16) (กัลยาณิวัฒนา กรม หลวงนราธิวาสราช-นครินทร์,สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้า. 2548 : 34 ) ระหว่างวันที่ 19 – 22 มีนาคม พ.ศ. 2452 (สมัย ร.5 นับเดือนเมษายนเป็นต้นปีใหม่) และต่อเนื่องถึงงาน พระราชทานเพลิงศพเจ้าคุณจอมมารดาเปี่ยม เมื่อวันที่ 1-5 เมษายน พ.ศ. 2453 ณ มณฑล พิธีพระเมรุสวนมิสกะวัน พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้มีมหรสพหน้าพระที่ประทับ พลับพลาทรงธรรม เช่น มวย ไม้ลอย ยวนหก ไต่ลวด เป็นต้น และในงานมหรสพนี้มีนักมวยฝีมือดีจากหลาย เมือง หลายมณฑลเข้าแข่งขันในจ านวนนักมวยที่เข้าแข่งขันในครั้งนี้ เจ้าเมืองไชยา พระยาวจีสัตยารักษ์ (นายข า ศรียาภัย) ได้น านักมวยไทยไชยาเข้าร่วมแข่งขันในครั้งนี้ด้วย ชื่อว่านายปรง (ได้รับพระราชทานนามสกุลสมัยรัชกาลที่ 6 ว่า จ านงทอง) แห่งบ้านพุมเรียง เมืองไชยา มณฑลชุมพร ในสมัยนั้น แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่านายปรงชกกับใคร ทราบ แต่เพียงว่าชกกับนักมวยโคราช พวกเดียวกับนายแดง ไทยประเสริฐ (ต่อมาได้เป็นที่หมื่นชงัดเชิง ชก) ก่อนที่จะข้ามสายสามเข้าไปต่อสู้กัน พระยาวจีสัตยารักษ์ เจ้าเมืองไชยา (ผู้ว่าราชการ) ปรารภเป็นเชิงปลุกใจว่า “ปรงเอ๋ย หากข้าฯไม่พาแกมา ล าพังแกคนเดียวถึงจะมีฝีมือ (มวย) ดีเพียงใดก็ตามคงไม่มีปัญญาจะได้ เข้ามาเมืองหลวง แสดงฝีมือมวยหนนี้ต่อหน้าคนนับพัน ๆ (รถไฟยังไม่มี ค่าเรือเมล์พร้อมด้วย อาหาร 2 วัน 2 คืน เป็นเงิน 10 บาท) ข้าฯ จึงขอเตือนแกให้พยายามตั้งใจต่อสู้อย่างไว้ ลายของมวยไทยไชยาอย่าให้อายเขา ถ้าแกชนะ ข้าฯ เองก็จะมีหน้ามีตายิ่งขึ้น คนไชยา ทั้งเมืองจะนับถือแกจนตาย ลูกหลานชาวบ้านหัววัวจะดีอกดีใจ อวดกันเต็มปากตลอดไป แก จงร าถวายให้ดีที่สุดและขอให้สวัสดีมีชัย” นายปรง จ านงทอง คงจะตั้งใจจริง ก้มหน้ากัดฟันจนเห็นเป็นแนวนูน แล้วกราบลงที่ เท้าของพระยาวจีสัตยารักษ์ ก้าวหย่ง ๆ ด้วยปลายเท้าเข้าไปยืนในสนาม ผินหน้าสู่ที่ประทับ ประชาชนคนดูต่างพึมพ าจนไม่ได้ศัพท์
293 เมื่อมีสัญญาณกลองให้เริ่มชกกันได้ นักมวยชาวโคราชดูเหมือนจะคึกคะนองอย่าง เชื่อมั่นในฝีมือนายปรง นักมวยไชยาทรุดตัวลงนั่งยอง ๆ แบบเบญจางคประดิษฐ์ ซึ่งชาวพุทธ ถือว่าเป็นกริยากราบถวายบังคมพระเจ้าอยู่หัวแล้วค่อยๆ คลานถอยหลังออกมาราว 5 ก้าว ยืดตัวขึ้นยืนตรงหันหน้า สู่ทิศบูรพา อันเป็นที่สถิตของครู ชายหางตาช าเลืองคู่ปรับ เห็นก าลังคึกคะนอง หาจุดจบ นายปรง จ านงทอง ยกหมัดขวาขึ้นช้า ๆ ใช้นิ้วแตะจมูกเพื่อสบปราณ อาราธนาคุณ ผ้าประเจียดรัดแขนของพระอาจารย์หลวงพ่อปลัดชุ่ม เจ้าอาวาสวัดอุบ (ปัจจุบันเป็นวัดร้าง แต่มีวิหารและหลุมฝังศพท่านพ่อปลัดชุ่ม) และหลวงพ่อมา เจ้าอาวาสวัดทุ่งจับช้างนัยว่าเป็น ครูมวยใหญ่หลบไปจากกรุงเทพฯ และบวชจนเป็นเจ้าอาวาส (ปัจจุบันเป็นวัดร้าง) อยู่ระหว่าง ทางไปอ าเภอไชยา ขณะที่นายปรง จ านงทอง ก าลังร่ายร าท่าชักช้าอยู่นั้น นักมวยชาวโคราชถือว่า มี สัญญาณให้ชกต่อยกันได้แล้ว จึงก้าวพรวด ๆ ตวัดด้วยตีนขวาตามถนัด แม้นายปรง จะไหว ตัวผงะหงายหน้าออกห่างก็ไม่ส าเร็จปลายตีนปฏิปักษ์ปะเข้าเหนือขมับ นายปรงมือตกตาลอย หงายหลังดิ้นเล่า ๆ อยู่กับ พื้นสนาม นักมวยโคราชกระโดดตัวลอยด้วยความดีใจ ถอยออก
294 ร าเยาะเย้ยอยู่ห่างๆ ประชาชนบางคนตะโกนเชิงคัดค้าน แต่บางคนก็เห็นสมควรเพราะ กรรมการได้ลั่นกลองสัญญาณให้คู่ต่อสู้ตีกันได้แล้ว มวยไชยาอยากเซ่อซ่าเองต่างหาก นายปรง จ านงทอง ถูกประคองเข้าพุ่ม (ความจริงไม่มีพุ่ม แต่เป็นค าเรียกที่พักให้น้ า นักมวยสมัยโบราณ) การต่อสู้ต้องชะงักลงชั่วคราวโดยให้นักมวยคู่อื่นชกต่อยกันแทนตาม ประเพณี นายปรง จ านงทอง ได้รับการปัดเป่านวดเฟ้นจนรู้สึกตัวและลืมตา พระยาวจีสัตยา รักษ์ ซึ่งมีสีหน้าเต็มไปด้วยความทุกข์ร้อนตลอดเวลาเข้ากระซิบถามนายปรง จ านงทอง ว่าจะ ยอมแพ้หรือจะสู้เขาต่อไป นายปรงตอบทันควันว่าสู้จนตายคาตีน (ฟ้าเมืองไทย ปีที่ 6 ฉบับที่ 301 วันพฤหัสบดีที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2517) พระยาวจีสัตยารักษ์ยิ้มออกเมื่อได้ยินค าว่า “สู้ตายคาตีน” เอื้อมมือลูบก้านคอลูกศิษย์ ตัวโปรดเป็นนัยชี้จุดมรณะ พลางปลอบใจที่ไม่เสียแรงเกิดใกล้แดนน้ าเค็มต่อจากนั้นได้แนบหน้า เข้ากระซิบข้างหูให้ “จับหัก” อันเป็นกระบวนแม่ไม้กลในสาขาวิชามวยไทย (พาหุยุทธ์) เมื่อนายปรง จ านงทอง ได้พักฟื้นตัว พร้อมมีท่าจะออกเผชิญหน้ากับปฏิปักษ์ ประชาชน คนดูก็ป้องปากโห่ร้องต้อนรับเพราะจะได้ดูการพันตูระหว่างมวยคู่ส าคัญของเมืองโคราชและ เมืองไชยาให้จุใจ นายปรงจ้องเขม็งไปยังร่างคู่ปรับอย่างไม่กระพริบตา ยกหมัดครู (สองหมัด แตะหน้าผากเหนืออุณาโลมเป็นสัญลักษณ์ของการไหว้ครูอย่างย่อของมวยใต้) ด้วยความ ระมัดระวังตัว เพื่อมิให้เสียทีซ้ าสอง บรรจงย่างสามขุมคลุมแดนยักษ์ เริ่มการต่อสู้แบบ “ยอม ตายคาตีน” ย่อตัวลงต่ า สั่นหัวดิกๆ ท าทีตุปัดตุเป๋ (Strolling) คล้ายกับคนที่เพิ่งสร่างเมา นักมวยโคราชมองเขม้นดูลักษณะการมวยไชยาที่ยังฮึดสู้ มั่นใจและแปลกใจระคนกัน นายปรง จ านงทอง ย่อตัวต่ าลงๆ งอศอกพันซ้ายขวาสลับป้องกันตัวด้านหน้าตลอดถึงชายโครง ค่อย ๆ กระดิบ ๆ ด้วยปลายนิ้วตีนเข้าหาปฏิปักษ์ในแดนอันตราย ก่อความสนเท่ห์ลังเลใจ ให้แก่นักมวยโคราช ซึ่งรอจังหวะพิฆาตคู่ปรับ ด้วยไม้มวยส าคัญของชาวที่ราบสูง เอาซี ! เตะ ! เตะ! เป็นเสียงตะโกนติดต่อจากรอบสนาม ตีนที่เขย่งสลับสับเปลี่ยน พร้อมที่จะฟาดเปรี้ยงทุก ขณะ จ าต้อง รอจังหวะเพื่อผลทีเดียวอยู่
295 นายปรงเองก็ได้ยินเสียงเตือน อย่าย่อต่ า !อย่าย่อต่ า ! เดี๋ยวตาย ! เดี๋ยวตาย ! แต่ไม่ยอม ฟังเสียง เพราะได้ตั้งใจยอมตายคาตีน ยิ่งประชิดเข้าไป ตาจ้องจับบริเวณท้องน้อยตรงจุดหนึ่งใน สาม ที่เรียกว่า “สุมนา” ตามต าราหมอนวดกล้ามเนื้อแขนขาของนายปรงดิ้นยุบยิบ พร้อมที่จะ ปฏิบัติงานส าคัญทันทีทันใด ปฏิปักษ์ชาวโคราชยิ่งสงสัยเชิงของคู่ต่อสู้ยิ่งขึ้น รัวแขนไขว้ป้องกัน ตีวงใน พร้อมจะดีดขาแข้งหากถูกจู่โจม นายปรงคงชันเข่าซ้าย เคลื่อนตนเข้าแดนอันตรายหรือ ระยะตีนส่วนขาขวาเหยียดยาวทอดไปข้างหลังท านอง “เสือลากหาง” ก่อนตะครุบเหยื่อ คู่ต่อสู้ ยังไม่เตะทั้งๆ ที่น่าเตะได้ ประชาชนคนดูโห่เท่าไรก็โห่ไป เมื่อไม่ได้ช่องเหมาะก็ยังไม่ท า ซึ่งเป็น ค าสั่งสอนของครูบาอาจารย์ ขณะนี้หน้าของนายปรง จ านงทอง อยู่ในระดับเข่าของปฏิปักษ์ และห่างจากตีนไม่ถึง 2 ศอก กัดฟันตัดสินใจครั้งสุดท้ายพลาดท่าก็หาม นายปรงรีบเอื้อมมือ ขวาปัดป้ายขาซ้ายด้านนอกของคู่ต่อสู้ คนดูนิ่งเงียบด้วยตกตะลึงที่เห็นมวยไชยากล้าเสี่ยงอย่าง บ้าบิ่น ทันทีทันใดนั้น ตีนขวามหาประลัยก็ผลุดจากแหล่งสมค าพังเพย “ตีนดีโคราช” ซึ่งยัง ความครั่นคร้ามไว้แก่นักมวยต่างถิ่นทั่ว ๆ ไป ในพริบตาเดียวกันนั้นเอง นายปรง จ านงทอง นักมวยไชยา รีบเสือกขาขวาพรวดไป ข้างหน้าใต้หว่างขาปฏิปักษ์ งอศอกขวาเข้าแนบปลายคางจนหมัดขวาพาดปิดขมับเหนือหูซ้าย ทะลึ่งพลิกเหลี่ยม กระชากขาผู้เตะเข้ามาชิดตัวจนปฏิปักษ์เสียศูนย์ พร้อมกันนั้นก็กดหัว ปฏิปักษ์ทิ่มลงกับพื้นแบบ “หิรัญยักษ์ม้วนแผ่นดิน” ก้านคอด้านหลังของนักมวยชาวโคราช สัมผัสพื้น โดยมีร่างก าย าน าด้วยศอกประกบเข่าของมวยไชยาทับลงไปบนหน้าอกและท้องน้อย ท่ามกลางเสียงโห่ร้องก้องบริเวณโดยไม่ทราบว่าใครโห่ให้ฝ่ายไหน ไม่มีกรรมการหรือผู้ทรง เกียรติที่ถูกคัดเลือกเป็นผู้ตัดสินช่วยรับดังที่เคยเห็น ๆ กันอยู่บ่อย ๆ ในปัจจุบัน เพราะ โบราณถือว่า กรรมการต้องเป็นกลางและเที่ยงธรรม จะช่วยเหลือหรือเข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ไม่ได้เป็นอันขาด เมื่อการต่อสู้ชะงักลงชั่วคราวตามประเพณี เพราะนักมวยทั้งคู่ล้มติดพันกันลงไป ปรากฏ ว่า นายปรง จ านงทอง เป็นฝ่ายลุกขึ้นได้ก่อน ส่วนปฏิปักษ์ยังคงนอนหงายหลังหลับตาพริ้ม
296 จนพวกพี่เลี้ยงต้องช่วยกันหามเข้าพุ่ม (ที่พักให้น้ า) พยายามนวดเฟ้นแก้ไขด้วยความห่วงใย แต่ นักมวย ฝ่ายถูก “จับหัก” นอนคอเอียง ไม่อาจลุกขึ้นชกแก้ตัว จนกระทั่งเวลาค่ ามวยเลิก นายปรง จ านงทอง เป็นนักมวยไทยไชยาที่มีความรวดเร็วและว่องไว ถนัดท่าเสือลาก หาง เข้าทุ่มทับจับหักคู่ปรปักษ์อย่างสวยงาม ด้วยชัยชนะอันเฉียบพลันเหนือคู่ต่อสู้และพระ ราชปรารภในหมู่ข้าราชบริพารใกล้ชิดว่า “อ้ายนี่ส าคัญ” (ฟ้าเมืองไทยปีที่ 6 ฉบับที่ 302 วัน พฤหัสบดีที่ 2 มกราคม พ.ศ.2518) จากความสามารถของนายปรง จ านงทอง ในเรื่องมวยไทยไชยา จึงท าให้กรมพระยา ด ารง ราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยในรัชกาลที่ 5 ได้ท าหนังสือกราบบังคมทูล พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว วันที่ 20 พฤษภาคม รัตนโกสินทร์ศก 129 เรื่อง ขอพระราชทานบรรดาศักดิ์ ให้นักมวยที่ชกถวายและได้รับชัยชนะในงานพระเมรุ เพื่อขอ พระราชด าริเห็นชอบจาก พระเจ้าอยู่หัว ฯ และขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตออก ประทวนตราพระราชสีห์ตั้ง นายปรง จ านงทอง และนักมวยอื่นอีก 2 คน เพื่อให้ปรากฏ ชื่อเสียงในท้องถิ่น และเป็นการบ ารุงวิชามวยตามหัวเมืองไม่ให้สูญหายไปอีกด้วย
297 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน พระบรมราชานุญาตให้กระทรวงมหาดไทย ท าประทวนตราพระราชสีห์ ตั้ง เป็นครูมวยตามหัวเมืองโดยมีบรรดาศักดิ์เป็น “หมื่นมวยมีชื่อ” ซึ่งเป็นบรรดาศักดิ์ส าหรับ ข้าราชการชั้นประทวนในสมัยนั้น และด ารงต าแหน่งกรรมการพิเศษเมืองไชยา ถือศักดินา 300 เป็นการแจ้งความจากกระทรวงมหาดไทย วันที่ 10 มิถุนายน รัตนโกสินทร์ศก 129 และในคราวเดียวกันนักมวยอีก 2 คน ก็ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ กระทรวงมหาดไทยท าประทวน ตราพระราชสีห์ตั้งครูมวยตามหัวเมือง คือ นายกลึง โตสะอาด เป็นหมื่นมือแม่นหมัด ต าแหน่งกรมการพิเศษ เมืองลพบุรี ถือศักดินา 300 และนายแดง ไทยประเสริฐ เป็นหมื่นชงัดเชิงชก ต าแหน่งกรมการพิเศษเมืองนครราชสีมา ถือศักดินา 300 (ราชกิจจานุเบกษาเล่ม 27 รัตนโกสินทร์ศก 129 หน้า 489) ภาพที่ 4 ภาพหมื่นชงัดเชิงชก ( นายแดง ไทยประเสริฐ ) 1 ใน 3 หมื่นมวย ที่มีภาพเหลืออยู่จากหนังสือปริทัศน์มวยไทย ปี 2550 หน้า 23
298 ผู้อยู่เบื้องหลังมวยไทยไชยายุคเฟื่องฟูคือ ป้าชื่น ศรียาภัย ภาพถ่ายป้าชื่น ศรียาภัย หน้าสถูปบรรจุอัฐิตระกูลศรียาภัย เกิดที่เมืองไชยา บิดาชื่อพระยาวจีสัตยารักษ์ (ข า ศรียาภัย) บิดาเป็นคนเมืองไชยา บิดาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยาวิชิตภักดีศรีพิชัยสงคราม ผู้ว่าราชการเมือง แต่ เมื่อก่อนเรียกว่า พระไชยา มารดาเป็นคนกรุงเทพฯ คุณแม่เสียตั้งแต่ป้าชื่นยังเล็ก บิดาได้ซื้อ บ้านไว้ที่กรุงเทพฯ เพราะต้องมากรุงเทพฯ ในทางราชการหรือธุระส่วนตัว ป้าชื่นได้มา กรุงเทพฯครั้งแรก เมื่อคราวพระเมรุพระศพสมเด็จพระนางสุนันทา ป้าชื่นมีพี่น้องร่วมบิดาสี่คน ป้าชื่นเป็นพี่คนโต คนรองคือ พระยาประชุมขันธ์ (ขัน ศรียาภัย) บ้านเรือนอยู่ในซอยตั้งง่วน ส่วย คนที่สอง ชื่อ จร ศรียาภัย ออกจากราชการกรมราชทัณฑ์ แล้วก็กลับไปอยู่บ้านเดิมที่ อ าเภอไชยา คนที่สามชื่อ เฉลิม ได้สามีนามสกุลฤทธาภัย ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่จังหวัด สุราษฏร์ธานี คนที่สี่ชื่อ เขตร ศรียาภัย เพื่อนฝูงเรียกกันว่า “อ้ายแบ๊ค” รับราชการ อยู่ที่เทศบาล ชอบกีฬาต่างๆเหมือนป้าชื่น มีครอบครัวอยู่กรุงเทพฯ ป้าชื่นก าพร้าแม่ตั้งแต่ยังเล็ก จึงตามคุณพ่อไปทุก ๆ แห่ง ชอบขี่ม้า ขี่ควาย ชักว่าว เล่นไม้หึ่ง เตะตะกร้อ ชกมวย กัดจิ้งหรีด กัดปลา (ฟ้าเมืองไทยปีที่ 6 ฉบับที่ 287 วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ.2517) หรือ (เขตร ศีรยาภัย. 2550 : 410-411) งานวันเกิดครั้งหลังสุดของ“ป้าชื่น” หนังสือพิมพ์ “กีฬามวย” ฉบับประจ าวันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2495 ได้ตีพิมพ์เรื่องวันเกิดของ “ป้าชื่น” ครบรอบ 80 ปี อันเป็นงานวันเกิด
299 ครั้งหลังสุดในชีวิตของท่านไว้ดังนี้ “ในงานวันเกิดครบรอบ 80 ปี ของคุณป้าชื่น ศรียาภัย ที่ บ้านไชยา ต าบลถนนสีลม จัดอย่างเงียบ ๆ แต่ท่านที่เคารพนับถือและชอบพอ ต่างพากัน ไปให้ศีลให้พรคุณป้าชื่นตลอดวัน” งานวันเกิดปีนี้คุณป้าชื่นรู้สึกมีความปลาบปลื้มปรีดา ปราโมทย์เป็นอย่างยิ่ง ที่ได้เห็นบรรดาหัวหน้า คณะนักมวยพากันน ากระเช้าดอกไม้ไปมอบให้ เป็นของขวัญ ยังให้ศีลให้พร ให้มีอายุยืนนานเป็นขวัญใจของพวกเราต่อไปถึง 100 ปี ความจริงในเช้าวันนั้น คุณป้าชื่นมีอาการไม่สู้จะปกตินัก แพทย์ต้องมาตรวจอาการและ ฉีดยาให้ 1 เข็ม คุณป้าชื่นนอนอยู่ลุกไม่ขึ้น เพราะไม่สบายมาหลายวัน แต่พอคุณเขตร ศรียาภัย ผู้เป็นน้องชายบอกว่าวันนี้จะมีหัวหน้าคณะนักมวยและบรรดานักมวยพากันมาให้ศีลให้พรวัน เกิด คุณป้าชื่นพอได้ทราบกลับลุกขึ้นได้ทันที รู้สึกมีแรงกระปรี้กระเปร่าขึ้น คุณป้าชื่นพูดกับ น้องชายว่า ถ้าอย่างนั้นพี่ก็หาย ออกไปรับรองพวกนักมวย ยิ่งเมื่อได้อยู่ในระหว่างห้อมล้อม ของบรรดาหัวหน้าคณะและนักมวยด้วยแล้ว ป้าชื่นมีความสุข ท าให้ทุกคนที่เห็นต่างพากันรู้สึก แปลกใจ ในวันเกิดท่านได้สละเงินท าบุญก้อนหนึ่งเป็นจ านวน 1,222 บาท แก่มหามงกุฎ วิทยาลัย วิทย์คีรีขันธ์ ในฐานะผู้แทนหัวหน้าคณะนักมวยของเวทีราชด าเนิน น ากระเช้าดอกไม้ สด 1 กระเช้า มอบให้ป้าชื่น สุดใจ สรวลส าเริงพร้อมด้วยสมศรี เทียมก าแหง ได้น ากระเช้า ดอกไม้ 1 กระเช้าเป็นของขวัญ และกิตยา อัชวณิช หัวหน้าคณะทรงกิตติรัตน์ด้วยอีก 1 กระเช้า นอกนั้นก็มีนายตันกี้ ธเนตรกิจ มนู สมพันธ์ แนบ ชมศรีเมฆ จ ารัส ภู่พุ่มพวง สมจิตต์ นฤภัย พูน พระขรรค์ชัย อุไร ชินนคร สุชาติ วิถีชัย หัวหน้าคณะนักมวยอีกมากมาย คุณป้าชื่นได้แจกหนังสือแก่แขกผู้ที่ไปงานนั้นทุกคน (หนังสือที่แจกเป็นหนังสือที่ป้าชื่น เขียนไว้เอง พิมพ์ขึ้นเป็นอภินันทนาการแก่บรรดาผู้นับถือคุ้นเคยในหนังสือมีรูปป้าชื่นอยู่ถึง 4 ภาพ ขนาดหนังสือ 16 หน้ายก ปกอ่อน หนา 144 หน้า พิมพ์ พ.ศ. 2461 ด้วยกระดาษปรู้ฟ ธรรมดา) ป้าชื่นได้รับเกียรติจากเวทีมวยราชด าเนินเป็นผู้ช านาญการมวย ในการแข่งขันชกมวย เก็บเงินสะสมเป็นมูลนิธิช่วยเหลือนักมวย ในวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2495 โดยคู่เอกได้แก่ สมเดช ยนตรกิจ ซึ่งเคยแพ้ สมศรี เทียมก าแหง ได้ชกแก้มือ
300 ในวันนั้นที่ประชุมตกลงให้เชิญผู้มีเกียรติและผู้ช านาญการมวยมีดังนี้ นายสุนทร (กิม เส็ง) ทวีสิทธิ์ หลวงพิพัฒน์พลกาย ม.ล.ยิ่งศักดิ์ อิศราเสนา นายมาลัย ชูพินิจ นายฉัตร ศรี ยานนท์ นายวิชิต ทรัพย์สุนทร เจ้ากรมสวัสดิการ ท.บ. น.อ สวัสดิ์ จันทรมณี ร.น. พล.ต.ต. หลวงสัมฤทธิ์สุขุมวาท พ.ต.อ.พิชัย กุลละวณิชย์ นายพล เซียวซองขิม ศรีบุญเรือง คุณชื่น ศรียาภัย นายนิยม ทองชิต นับว่าเป็นเกียรติประวัติแก่ป้าชื่นเป็นอย่างยิ่ง ป้าชื่นยังชอบช่วยเหลือนักมวยที่ตกทุกข์ได้ยากทั้งที่รู้จักและไม่รู้จักอย่างเงียบ ๆ เป็น ประจ าอยู่เสมอมา แม้ว่าครูบัว วัดอิ่ม ชกกับครูอินทร์ ศิลารักษ์ เพื่อเอาเงินบวชลูกชายทั้ง ๆ ที่ตนเองมีอายุมากแล้ว ปรากฏว่าครูบัวขอยอมแพ้ครูอินทร์ เพียงยกที่ 3 เพราะเหนื่อยมาก เมื่อป้าชื่นทราบเรื่อง ก็เห็นใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูก จึงได้มอบเงินให้แก่ครูบัว เป็นพิเศษร่วมกับคนอื่น ๆ ด้วย เมื่อครั้งนายนบ ชมศรีเมฆ สมัยสวนสนุก ล่องใต้ไปชกกับนายแผลด หรือบุญส่ง นักมวยไทยไชยาชกคว่ าในยกที่ 1 จนท าให้นายนบ กลายเป็นคนประสาทเสีย ชกมวยไม่ได้ งานไม่มีท า ป้าชื่นก็สงสารได้มอบเงินให้นายนบสัปดาห์ละ 30 บาทตลอดมา 3 หรือ 4 ปี จนนายนบถึงแก่กรรม โดยป้าชื่นไม่ได้รู้จักมักคุ้นกับนายนบมาก่อนเลย อนึ่ง เมื่อครั้งวงการมวยมีมติให้มี “วันนักมวย” ขึ้นเพื่อหาเงินเป็นสวัสดิการแก่ บรรดานักมวย ป้าชื่นก็สมทบทุนช่วยด้วยแสดงให้เห็นถึงความปรารถนาดีของป้าชื่นที่มีต่อ วงการมวยไทย และนักมวยไทยอย่างมากมาย ด้วยเหตุนี้เองนักมวยไทยไชยาหรือนักมวยอื่น ตลอดจนบุคคลในวงการมวยไทย จึงเรียกท่านว่า คุณป้าชื่นบ้าง คุณแม่ชื่นบ้างตามแต่ถนัด (ฟ้าเมืองไทยปีที่ 6 ฉบับวันที่ 292 วันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม พ.ศ.2517) หรือ ( เขตร ศรียา ภัย. 2550 : 429-432 ) ป้าชื่น ศรียาภัย ได้เขียนหนังสือไว้แจกจ่ายให้กับผู้นับถือและคุ้นเคย โดยที่หน้าปกเขียน ว่า อภินันทนาการล่วงหน้า แด่ท่านที่นับถือ ญาติและมิตรทั้งปวง ก่อนจะถึงวันที่จ าต้องลาจาก กันไป ชั่วนิรันดร และต่อมาก็ได้ถึง “วันที่จ าต้องลาจากกันไปชั่วนิรันดร” เมื่อวันที่ 10
301 สิงหาคม พ.ศ. 2497 ท่านมีอายุได้ 80 ปี ได้มีการฌาปนกิจศพของท่าน ณ วัดแก้วแจ่มฟ้าสี่ พระยา กรุงเทพฯ ในการจากไปของท่าน นักมวยไทยไชยา หรือบุคคลในวงการมวยไทยได้ระลึกถึงท่านมา โดยตลอด นับว่าเป็นปาจารีย์ท่านหนึ่งที่เป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลัง หรืออุปถัมภ์มวยไทยไชยามา ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 – 6 จนท าให้มวยไทยไชยามีประวัติศาสตร์อันดีงามและโด่งดังมาถึงทุก วันนี้ สรุปยุคเฟื่องฟู มวยไทยไชยายุคเฟื่องฟูเริ่มตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ถึงรัชกาลที่ 6 โดยพระยาวจีสัตยา รักษ์ (ข า ศรียาภัย) เจ้าเมืองไชยา ได้สอนศิษย์มวยไทยไชยาเพื่อเป็นครูมวยสอนมวย ให้กับคนในท้องถิ่น จนมีศิษย์ที่เก่งกล้าสามารถอยู่ 2 คน คือ นายปรง จ านงทอง กับ นาย นิล ปักษี เป็นศิษย์เอกในการแข่งขันชกมวยที่สนามมวยศาลาเก้าห้อง ต่อมาได้ส่งนักมวยเข้า แข่งขันในกรุงเทพมหานคร ในงานพระเมรุของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชายอุรุพงศ์รัช สมโภช ซึ่งเป็นผู้บัญชาการกรมมหาดเล็กในพระบรมมหาราชวังในเจ้าจอมมารดาเลื่อน สิ้นพระชนม์ 20 กันยายน พ.ศ. 2452 พระชันษา 16 ณ มณฑลพิธีพระเมรุสวนมิสกะวัน พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้มีมวยหน้าพระที่นั่ง ในงานนี้มีมวยจาก หลายเมืองเข้าแข่งขัน นายปรง จ านงทอง เป็นหนึ่งที่เข้าแข่งขันจนได้รับชนะเลิศ โดยชนะ มวยดังจากโคราชแต่ไม่ทราบชื่อ ต่อมากรมกระย าด ารงราชานุภาพ เสน าบดี กระทรวงมหาดไทยในสมัยนั้น ได้กราบบังคมทูล พระเจ้าอยู่หัว วันที่ 20 พฤษภาคม รัตนโกสินทร์ศก 129 เรื่องขอพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้นักมวย คือ นายปรง จ านงทอง และนักมวยอีก 2 คน เพื่อให้ปรากฏชื่อและบ ารุงรักษามวยใน หัวเมือง ตั้งเป็นครูมวยตาม หัวเมืองโดยมีบรรดาศักดิ์เป็น “หมื่นมวยมีชื่อ” ซึ่งเป็นบรรดาศักดิ์ส าหรับข้าราชการประทวน และด ารงต าแหน่งกรรมการพิเศษเมืองไชย ถือศักดินา 300 เป็นการแจ้งความจาก กระทรวงมหาดไทยวันที่ 10 มิถุนายน รัตนโกสินทร์ศก 129 และในคราวเดียวกันกับ นักมวย 2 คน ก็ได้รับพระราชทาน ด้วย คือ นายกลึง โตสะอาด เป็น “หมื่นมือแม่นหมัด”
302 ต าแหน่งกรรมการพิเศษ เมืองลพบุรี ถือศักดินา 300 และนายแดง ไทยประเสริฐ เป็น “หมื่นชงัดเชิงชก” ต าแหน่งกรรมการพิเศษเมืองนครราชสีมา ถือศักดินา 300 ต่อมาคุณชื่น ศรียาภัย บุตรี ของพระยาวจีสัตยารักษ์ ก็ด าเนินรอยตามบิดาเป็น บุตรี คนโต แต่ชอบมวยไทยไชยาเป็นชีวิตจิตใจได้สานงานต่อ โดยน านักมวยชื่อดังของไชยา เช่น นายสอน ศักดิ์เพชร นายจ้อย เหล็กแท้ ฯลฯ ขึ้นมาชกที่กรุงเทพฯ ประสบความส าเร็จเป็น อย่างมาก ท าให้คนภาคกลางหรือทั่วไทยได้รู้จักมวยไทยไชยา ท าให้มวยทางภาคใต้หรือมวย ไทยไชยา มีชื่อเสียงมาจนถึงทุกวันนี้ ยุคเปลี่ยนแปลง มวยไทยไชยาเข้าสู่ยุคเปลี่ยนแปลงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 (พ.ศ.2468-2477) ถึง รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ฯ รัชกาลที่ 9 (พ.ศ.2489) มวยไทยสมัยนี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงพัฒนาให้ทันสมัยและทันเหตุการณ์ในสถานการณ์ ของโลกที่พัฒนาขึ้น เช่น มีการเปลี่ยนจากการชกมวยแบบคาดเชือกหรือมวยไทยไชยาแบบ หมัดถัก ก็เปลี่ยนมาเป็นชกแบบสวมนวมให้ทันสมัยหรือทันเหตุการณ์ เพราะชาว ต่างประเทศมีการใช้นวมเพื่อลดการบาดเจ็บ หรือลดอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเวลาประจวบ กับรัฐบาลสมัยนั้นได้เล็งเห็นความปลอดภัยจากการกีฬาเป็นเรื่องส าคัญ การกีฬาไม่ควรต้อง ถึงกับบาดเจ็บหนักหรืออันตรายร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต โดยเฉพาะกีฬามวยไทยจึงควรมีวิธี ป้องกันที่ดีกว่า ถึงยุคนี้การเปลี่ยนแปลงจึงเริ่มมีขึ้นเช่นในปี พ.ศ. 2466 – พ.ศ.2472 พลโทพระยาเทพ หัสดินทร์ได้สร้างสนามมวยหลักเมืองท่าช้างขึ้นบริเวณโรงละครแห่งชาติในปัจจุบัน และในปี พ.ศ.2472 นี้เองที่เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ โดยรัฐบาลได้มีค าสั่งให้การแข่งขันมวยไทย ทั่วประเทศต้องสวมนวมชกเท่านั้น โดยได้ตัวอย่างจากการสวมนวมชกจากนักมวยฟิลิปปินส์ที่ เข้ามาชกมวยสากลในประเทศไทย และอีกสาเหตุส าคัญของการเปลี่ยนแปลงก็เนื่องมาจากนาย
303 แพ เลี้ยงประเสริฐ 5 ใบเถาแห่งอุตรดิตถ์ ศิษย์ร่วมส านักพระยาพิชัยดาบหัก (ทหารเสือ พระเจ้าตาก) พี่น้องทั้ง 5 คนแห่งตระกูลเลี้ยงประเสริฐ คือ นายโต๊ะ นายโพล้ง นายฤทธิ์ นายแพ นายพลอย และเมื่อย้อนหลังไปในอดีตเรื่องของ “ครูเมฆ” แห่งบ้านท่าเสา ซึ่งเป็นที่ เชื่อกันสืบมาว่าเป็นครูมวยของพระยาพิชัยดาบหัก และเป็นปรมาจารย์มวยไทยที่มีลูกศิษย์ มากมาย เป็นครูมวยเก่าแก่ชาวบ้านท่าเสา เมืองพิชัย และได้ถ่ายทอดวิชาสืบเชื้อสาย ต่อมา ครูเอี่ยม ผู้สืบต่อจากครูเอี่ยม คือครูเอม และผู้สืบวิชาต่อจากครูเอมก็คือ 5 พี่น้อง ตระกูล เลี้ยงประเสริฐ หลานตาแท้ ๆ ของครูเอมนั่นเอง เพราะฉะนั้นจึงเป็นประเพณีของศิษย์ในสาย นี้ เมื่อขึ้นเวทีชกมวย ก่อนร่ายร าไหว้ครู ต้องแสดงนิมิตถึงครู นั่นคือจะต้องยืนหันหน้าไปทาง ทิศตะวันออก แล้วแหงนหน้าขึ้นดูเมฆเป็นนิมิต ร าลึกถึงนามครูเมฆบรมครูเฒ่าเสียก่อน (เวที สมัยก่อนเป็นเวทีกลางแจ้ง) นายแพ เกิดราวปี 2477 เป็นผู้ที่มีฝีมือเชิงชกเป็นที่เลื่องลือรู้จักกันในระดับยอดมวย เคยปราบบังสะเล็บ ศรไขว้ ลงได้ ครั้งหนึ่งมีมวยเขมรเป็นแขกครัว ชื่อนายเจียร์ พระตะบอง เข้ามาท้านักมวยไทยชกคาดเชือกกันตามแบบฉบับของมวยไทย นายเจียร์ผู้นี้เป็นนักมวยเอก ฝีมือดีของเขมร รูปร่างล่ าสัน ใหญ่โต ผิวด าลือชื่อ ในเรื่องคงกระพันชาตรี ว่านยาอาคม ตามแบบเขมรโบราณ และมีกิตติศัพท์ว่าเคยชกคนตายมาแล้ว คุณพระชลัมภ์พิสัยเสนีย์ ผู้ดูแลนักมวยในสังกัดวังเปรมประชากรของกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ และเป็นผู้ช่วยนาย สนามมวยหลักเมือง จึงได้ประกาศหาผู้อาสาขึ้นลองฝีมือกับนายเจียร์ เมื่อยังไม่มีผู้ใดอาสา นายโพล้งจึงอาสาขึ้นชก แต่พระชลัมภ์พิสัยเสนีย์ได้ขอให้นายแพ ขึ้นชกลองดูก่อน ถ้าหากว่า นายเจียร์สามารถเอาชนะนายแพได้แล้ว จึงค่อยจัดให้พบกับนายโพล้งในรายการต่อไป ตกลง นายแพก็ได้ขึ้นชกกับนายเจียร์แบบคาดเชือก ที่สนามมวยหลักเมือง (ซึ่งมีพระยาเทพหัสดินทร์ เป็นนายสนาม) ในการชกครั้งนี้นายแพเป็นฝ่ายเสียเปรียบมากมายทั้งรูปร่างและน้ าหนัก จึงเป็นรอง ก่อนชกอยู่มาก และเมื่อชกกันในยกแรกๆ นายแพก็มีท่าทีจะเพลี่ยงพล้ าแก่นักมวยชาวเขมร การต่อสู้ด าเนินไปจนถึงยกที่ 3 นายโพล้งซึ่งท าหน้าที่พี่เลี้ยงนายแพ เห็นนายเจียร์ รุกไล่นาย
304 แพไปจนติดเชือกกั้นสังเวียนจึงตะโกนบอกให้นายแพใช้ท่าแม่ไม้ “หนุมานถวายแหวน” อัน เป็น ไม้ส าคัญของส านักบ้านท่าเสา นายแพเมื่อได้ยินนายโพล้งบอกมาดังกล่าวก็พอดีกับ จังหวะที่นายเจียร์รุกถล าเข้ามา จึงชกหมัดคู่ในท่าหนุมานถวายแหวนทันที ถูกเข้าที่ ลูกกระเดือกของนายเจียร์ ถึงชะงักงันอยู่กับที่ นายแพเห็นวินาทีทองเป็นของตนเช่นนั้นก็ไม่ ปล่อยให้ผ่านไป โดยเปล่าประโยชน์ตรงเข้าชกซ้ายขวา จนหมัด นายเจียร์ตกลงข้างตัวแล้ว ก็ใช้แขนซ้ายโน้มคอนายเจียร์ลงมา พร้อมกับอัดหมัดขวาเข้าที่ลิ้นปี่ของนายเจียร์สุดแรง นาย เจียร์ถึงกับทรุดลงกองกับพื้นเวทีตรงนั้นเอง กรรมการจึงกันนายแพออกและเข้านับจนกระทั่ง ครบ 10 นายเจียร์ก็ยังไม่ฟื้นคืนสติ กรรมการจึงตัดสินใจให้นายแพเป็นฝ่ายชนะน็อคไปในยกที่ 3 ส่วนนายเจียร์ แพทย์ได้เข้าแก้ไขเท่าไหร่ก็ไม่ฟื้น จึงต้องน าส่งโรงพยาบาล แต่ปรากฏว่านาย เจียร์ได้สิ้นใจในระหว่างทาง การที่นายเจียร์ต้องถึงกับสิ้นใจนี้ ได้กลายเป็นข่าวใหญ่เมื่อต ารวจกรมการเมืองได้เข้า จับกุมนายแพในข้อหาฆ่าคนตาย และได้เอาตัวไปควบคุมไว้เพื่อรอการพิจารณา นายแพถูกคุมขัง อยู่ 2-3 วัน นายสนามมวยพระยาเทพหัสดินทร์ ได้พยายามช่วยเหลือแก้ไขตาม กระบวนการยุติธรรม เพราะเป็นการชกมวยกันตามกฎหมายเดิมก็คุ้มครองอยู่แล้ว ดังได้มี บทบัญญัติไว้ในกฎหมายตราสามดวงในพระอัยการเบ็ดเสร็จมาตรา 117 ว่า “มาตราหนึ่ง ชน ทั้งสองมีเอกจิตร เอกฉันทร์ มาตีมวยด้วยกันก็ดี และปล้ ากันก็ดี และผู้หนึ่งต้องเจ็บปวดก็ ดี คนหัก ถึงแก่มรณภาพก็ดี ท่านว่า หาโทษมิได้ อนึ่งผู้ยุยงตกรางวัลก็ดีให้ปล้ ากันนั้น ผู้ยุ หาโทษมิได้ เพราะเหตุผู้ยุนั้นจะดูเล่นเป็น จะได้มีจิตเจตนาที่จะใคร่ให้สิ้นชีวิตหามิได้ แต่ใคร ผาสุขภาพ เป็นกรรมแก่ผู้มรณภาพเองแล” จากกฎหมายข้อนี้เอง ท าให้กรมการเมืองปล่อยตัวนายแพเป็นอิสระไม่ถือเป็นความผิด ในข้อหาฆ่าคนตาย จากกรณีที่นายแพชกนายเจียร์ตายนี้เอง ทางกระทรวงมหาดไทยก็ได้ พิจารณาเห็นว่า การชกมวยแบบคาดเชือกเป็นการทารุณโหดร้ายเกินไป อาจเกิดกรณีดังกล่าว ขึ้นมาอีก ก็เป็นได้ จึงได้มีการประกาศห้ามมิให้มีการชกมวยแบบคาดเชือกอีกต่อไป โดย ก าหนดให้มีการสวมนวมแบบมวยฝรั่งแทน (ซึ่งในขณะนั้นการชกมวยแบบฝรั่งในเมืองไทยเริ่ม
305 จะเป็นที่นิยมกันแล้ว) และก็ได้เป็นข้อที่ยึดถือกันมาจนถึงปัจจุบัน นับได้ว่านายแพ เลี้ยง ประเสริฐ ได้สร้างประวัติศาสตร์ส าคัญไว้แก่วงการมวยเมืองไทยไว้อย่างหนึ่งทีเดียว นายแพ เลี้ยงประเสริฐ ถึงแก่กรรมเมื่อปี พ.ศ. 2520 มีอายุได้ 73 ปี (สมพงษ์ แจ้งเร็ว. 2527 : 45-51) ภาพที่ 12 คู่มวยไทยประวัติศาสตร์ยุคเปลี่ยนแปลงจากคาดเชือกมาสวมนวม นายแพ เลี้ยงประเสริฐ (ซ้าย) นายเจียร์พระตะบอง (ขวา) ภาพที่ 13 นายบังสะเล็บ ศรไขว้ (ซ้าย) นายแพ เลี้ยงประเสริฐ (ขวา) ภาพจากหนังสือมวยไทย 4 ภาค โดย อเล็ก ซุย ชาวฮ่องกง ผู้เรียบเรียง การเปลี่ยนจากการคาดเชือกมาเป็นสวมนวมได้เริ่มขึ้นในช่วงนี้ และยังมีการ เปลี่ยนแปลงจากในเรื่องของเวทีและอุปกรณ์อื่นๆ อีกด้วยเช่น เมื่อวันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน