306 พ.ศ. 2472 เจ้าคุณคธาธรบดี ได้เริ่มจัดการแข่งขันชกมวยไทยขึ้นที่สวนสนุก ภายในบริเวณ สวนลุมพินีร่วมกับมหรสพอื่นๆ มีการชกกันทุกวันเสาร์ เวทีมาตรฐานเชือก 3 เส้น มีมุมแดง และมุมน้ าเงิน มีผู้ตัดสินข้างเวที 2 คน ผู้ชี้ขาดท าหน้าที่บนเวที 1 คน สัญญาณเปลี่ยนจาก การตีกลองหันมาใช้ระฆังเป็น ครั้งแรก และในวันเสาร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2472 ตรงกับวันสิ้น ปี เพื่อต้อนรับปีใหม่ การแข่งขันได้จัดให้มีมวยดีคู่เอก คือ สมาน ดิลกวิลาศ พบกับ เดช ภู่ ภิญโญ มวยประกอบรายการประกอบด้วย นายแอ ม่วงดี กับนายสุวรรณ นิวาสะวัตร ซึ่ง ในครั้งนี้นายแอ ม่วงดี ได้น าเอากระจับเหล็ก มาใช้ในการป้องกันอวัยวะส าคัญ จึงท าให้นักมวย คนอื่นหันมานิยมใช้กระจับเหล็กตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เมื่อถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอนันทมหิดล รัชกาลที่ 8 ( พ.ศ.2477 – 2489 ) ระหว่างปี พ.ศ.2478-2484 คณบดีผู้มีชื่อเสียงสมัยนั้น ได้สร้างเวทีมวยขึ้นบริเวณที่ดิน ของสวนเจ้าเชต ชื่อสนามมวยสวนเจ้าเชต ปัจจุบันคือที่ตั้งกรมรักษาดินแดน ต่อมาก็ได้เลิก กิจการไปเพราะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้น กองทัพญี่ปุ่นบุกไทย ตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ต่อมาในปี 2485-2487 สงครามก าลังจะสงบ การจัดการแข่งขันหรือชกมวยไทย จ าเป็นต้องจัดแข่งหรือชกตามโรงภาพยนตร์ต่างๆ ในเวลากลางวัน เช่น สนามมวยพัฒนาการ สนามมวยท่าพระจันทร์ สนามมวยวงเวียนใหญ่ วันที่ 23 ธันวาคม 2488 สนามมวยราชด าเนิน ได้เปิดท าการแข่งขันเป็นครั้งแรก แต่ ยังไม่มีหลังคาคลุม โดยมีนายปราโมทย์ พึ่งสุนทร เป็นนายสนามคนแรก ท าการแข่งขันหรือ ชกทุกวันอาทิตย์ เวลา 16.00 – 17.00 น. โดยใช้กติกาของกรมพลศึกษาปี 2480 ชก 5 ยก ยกละ 3 นาที พักระหว่างยก 2 นาที ที่อ าเภอไชยาหลังจากหมดยุคเฟื่องฟูเข้าสู่ยุคเปลี่ยนแปลง เวทีมวยไทยไชยาศาลาเก้า ห้องที่โด่งดังในอดีต ที่สร้างขึ้นโดยพระยาวจีสัตยารักษ์ ก็ได้ถูกรื้อถอนไปตามกาลเวลา เนื่องจากศาลากลางถูกย้ายไปอยู่ที่บ้านดอน พระยาไชยาก็ไปเป็นเจ้าเมืองที่บ้านดอน ย้ายที่ว่า การอ าเภอมาไว้ที่อ าเภอไชยาในปัจจุบัน จึงท าให้เกิดมีสนามมวยแห่งใหม่ขึ้นบริเวณสนามของ วัดพระบรมธาตุไชยา ที่วัดพระบรมธาตุไชยามีงานประจ าปีในเดือน 6 ของทุกปี จะมีการจัด
307 ชกมวยขึ้นที่สนามแห่งนี้ในทุกๆ ปี ท าให้มวยไทยไชยายุคเปลี่ยนแปลงที่กฎหมายบังคับให้สวม นวมกลับมาโด่งดังอีกครั้งหนึ่ง แต่เดิมใช้หมัดถักต้องเปลี่ยนมาสวมนวมชก ในยุคนี้มีนักมวย ไทยไชยาที่สร้างชื่อเสียงให้กับอ าเภอไชยามากมาย เช่น นายนุกูล บุญรักษา นายชาย เผือกสวัสดิ์ (น้าให้) ต่อมาพระครูโสภณเจตสิการาม (เอี่ยม) เจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุไชยามรณภาพลง มวยไทยไชยาสมัยนี้ก็สิ้นสุดลงด้วย ท่านเจ้าคุณพุทธทาส (สมัยนั้น) ก็ให้ยกเลิกงานมหรสพ และการชกมวยประจ าปี คงรักษาไว้แต่พิธีทางศาสนาเท่านั้น เป็นต านานเวทีมวยไทยไชยาวัด พระบรมธาตุไชยา ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2474 ได้ท าการรื้อถอนในปี พ.ศ. 2524 รวม ระยะเวลาของเวทีมวยแห่งนี้เป็นเวลา 50 ปีเต็ม เป็นการสร้างชื่อเสียงให้กับมวยไทยไชยา ชาวเมืองไชยามาตราบเท่าทุกวันนี้ เป็นอดีตแห่งความทรงจ าให้ลูกหลานได้ระลึกถึงตลอดไป (กวี บัวทอง และคณะ. 2525 : 21-23) (นุกูล บุญรักษา, สัมภาษณ์, วันที่ 18 ตุลาคม 2549) นักมวยไทยไชยายุคเปลี่ยนแปลงจากหมัดถัก มาสวมนวมที่มีชื่อเสียงเป็นเกียรติแก่ เมืองไชยา มีดังนี้ 1. นายพรหม ราชอักษร ผู้เคยปะทะนักชกฝีมือเยี่ยมจากเมืองกรุง เช่น สวยจุฑาเพชร ไสว แสงจันทร์ เลื่อน ภู่ประเสริฐ และทองอยู่ ทวีสิทธิ์ (กวี บัวทองและคณะ.2525 : 23) 2. นายหนูเคลือบ พันธุมาศ เคยเดินทางมาชกที่กรุงเทพฯ โดยใช้ชื่อว่า สมจิต ฉวี วงศ์ (เท่ง) อยู่ที่วัดหน้าเมือง ต าบลเสม็ด อ าเภอไชยา 3. นายพริ้ง จุลกัลป์ อยู่บ้านปากท่อ ต าบลเสม็ด อ าเภอไชยา 4. นายเพื่อม จุลกัลป์ อยู่บ้านปากท่อ ต าบลเสม็ด อ าเภอไชยา 5. นายเขือม สาลี อยู่บ้านปากท่อ ต าบลเสม็ด อ าเภอไชยา 6. นายถาวร จ านงทอง ผู้เป็นหลานตาของหมื่นมวยมีชื่อ และได้รับค าบอกเล่าจาก หลายคนว่ามีลักษณะรูปร่างคล้ายหมื่นมวยมีชื่อมากที่สุด อยู่บ้านเสม็ด ต าบลเสม็ด อ าเภอไชยา 7. นายสม เวชวิสุทธิ์ อดีตนายกเทศมนตรี เมืองสุราษฎร์ธานี 8. นายปรีชา แห่งบ้านขนอน ต าบลทุ่ง อ าเภอไชยา
308 9. นายจ้วน หิรัญกาญจน์ ถือว่าเป็นนักมวย 2 ยุคที่คาดเชือกและสวมนวม 10. นายทักษิน บ ารุงหิรัญ (เพชรสุวรรณ) เสียชีวิตแล้ว 11. นายเช่ บ ารุงหิรัญ (อินทจักร) เสียชีวิตแล้ว 12. นายยี้ บ ารุงหิรัญ (อินทจักร) ภูมิล าเนาอยู่ที่อ าเภอบางสะพาน จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ 13. เที่ยง บ ารุงหิรัญ (อินทจักร) ภูมิล าเนาอยู่ที่จังหวัดตรัง 14. นายปลอด บ ารุงหิรัญ (มณีรัตน์) เจ้าของฉายาไอ้มนุษย์รถถัง อยู่บ้านเลขที่ 24 หมู่ที่ 3 ต าบลเสม็ด อ าเภอไชยา 15. นายประยงค์ บ ารุงหิรัญ (ศรีสุวรรณ) จอมทรหด อยู่บ้านทุ่ง ต าบลทุ่ง อ าเภอไชยา 16. นายวัชระ บ ารุงหิรัญ (สินธวาชีวะ) อยู่บ้านปากท่อ ต าบลเสม็ด อ าเภอไชยา 17. นายวีระ ณ ศรีวิชัย (ให้ บุญเหมือน)นักชกหมัดหนัก เมื่อครั้งที่ชกกับสุวรรณ (ริม) 18. ศ. ยอดใจเพชร นักชกจอมทรหดของบ้านพุมเรียง ประชาชนจะกล่าวถึงเป็นคู่ ต่อสู้ที่ชกสนุกดุเดือด อยู่ที่บ้านเวียง อ าเภอไชยา 19. นายชิงชัย ณ ศรีวิชัย (เขียน คงทอง) ผู้เคยชกกับศักดิ์ชัย นาคพยัคฆ์ รับราชการเป็นต ารวจ อยู่ที่จังหวัดภูเก็ต 20. นายคล่อง ณ ศรีวิชัย (คล่อง เชื้อกลับ) ดาราศอกกลับเคยชกกับชาญ เลือดเมืองใต้ อยู่หน้าโรงเรียนวัดธารน้ าไหล อ าเภอไชยา 21. นายเพชรน้อย (ยก) ณ ศรีวิชัย 22. นายเทวิน (ไว้) ณ ศรีวิชัย 23. นายชาย (ให้) เผือกสวัสดิ์ หรือชาย ณ ศรีวิชัย
309 ภาพถ่ายนายชาย เผือกสวัสดิ์ ให้สัมภาษณ์ วันที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2549 นายชาย (ให้) เผือกสวัสดิ์ นักชกจอมทรหด สามพี่น้องตระกูลเผือกสวัสดิ์ มีพี่ชายที่ชกมวย คือ เพชรน้อย (ยก) ณ ศรีวิชัย , เทวิน (ไว้) ณ ศรีวิชัย ครูมวยคืออาจารย์บุญส่ง (นายแผลด) เทพพิมล ชกมวยที่เวทีมวยวัดพระบรมธาตุครั้งแรกเมื่ออายุ 16 ปี กับ ชุมพล ศ.เพชรน้อย มวยมาจากกรุงเทพฯ ชนะคะแนน เมื่อ พ.ศ. 2491 ไชยามีค่ายมวยมาก หมู่บ้านห่างหันไม่เกิน 2 กิโลเมตร ก็มีค่ายมวยกีฬามวยไทยไชยายุคนี้มีมวยชกกันมากไม่ว่าจะงานประจ าปีของวัด พระบรมธาตุ หรืองานอื่น ๆ เช่น ฉลองอาคารเรียน เขาจะจัดชกมวยเป็นประจ า เมื่อมีการจัด ชกมวย นักมวยก็ต้องไปเปรียบมวยที่สถานีรถไฟไชยา เพราะมีเครื่องชั่งน้ าหนักอยู่ 1 เครื่อง เป็นเครื่องชั่งของการรถไฟ การเปรียบมวยก่อนชกประมาณ 1-2 อาทิตย์ หากมีงานประจ าปีที่ จังหวัด (บ้านดอน-สุราษฎร์ธานี) ทางสนามจะส่งมวยกรุงเทพฯมาชก แล้วส่งมวยไชยามารับ มวยที่อ าเภออื่นๆ หรือจังหวัดไม่มีมวยรับก็ส่งมวยไชยารับแทน เช่น บุญธรรม วิถีชัย , วีระ ณ ศรีวิชัย (เมฆิน เกศสงคราม) ชาย (ให้) ณ ศรีวิชัย ชกมวยมาประมาณ 76 ครั้ง แพ้ 2 ครั้ง (เสมอ 19 ครั้ง , ชนะคะแนน 24 ครั้ง , ชนะน็อก 31 ครั้ง แพ้ 2 ครั้ง คือแพ้ เฉลิมศักดิ์ ศ. เฉลิมชัย ยกที่ 2 เพราะถูกศอกกลับ แพ้ มาลา ศ.สมานจิต ยกที่ 3 เพราะเดินลงจากเวที) ปัจจุบันนี้ชาย เผือกสวัสดิ์ เป็นข้าราชการบ านาญ สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ ครอบครัว อบอุ่น อายุได้ 74 ปี พักอาศัยอยู่ที่บ้านในอ าเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี (ชาย เผือกสวัสดิ์ ,สัมภาษณ์, วันที่ 19 ตุลาคม 2549)
310 24. นายนาค ณ ศรีวิชัย (ศักดิ์เพชร) 25. นายปรีดา ณ ศรีวิชัย (ศักดิ์เพชร) สองพี่น้องลูกชายยอดมวยของไชยา คือนาย สอน ศักดิ์เพชร โดยนายนาคมีฉายาไอ้เป๋ เพราะขาพิการแต่ด้วยเลือดของมวยไชยา จึงขึ้น ชกทั้งขาเป๋และได้รับชัยชนะเป็นส่วนใหญ่ ส่วนน้องชายคือนายปรีดาเป็นนักชกจอมมุทะลุ นายนาคมีอาชีพเป็นลูกจ้างประจ าต าแหน่งนักการภารโรงโรงเรียนไชยาวิทยา นายปรีดา ด าเนินธุรกิจส่วนตัวอยู่ที่บ้านสะพานจันทร์ หมู่ที่ 3 ต าบลเวียง อ าเภอไชยา (กวี บัวทอง และ คณะ. 2525 : 26) 26. นายนุกูล บุญรักษา หรือ นุกูล ณ ศรีวิชัย ภาพ นายนุกูล บุญรักษา ให้สัมภาษณ์ วันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2549 นายนุกูล บุญรักษา หรือนุกูล ณ ศรีวิชัย อดีตเสือหมัดซ้าย ที่เคยต่อสู้กับสมใจ ลูก สุรินทร์ เป็นลูกศิษย์อาจารย์บุญส่ง เทพพิมล หรือชื่อมวยคือ “บุญส่งศรีวิชัย” เริ่มชกมวย เมื่ออายุ 16 ปี ชกในงานวัดพระบรมธาตุเป็นงานประจ าปี ส่วนมากจะชกกับค่ายมวยบ ารุง หิรัญ ซึ่งเป็นค่ายมวยของนายจ้วน หิรัญกาญจน์ ปัจจุบันนายนุกูล บุญรักษา เป็นข้าราชการ บ านาญต าแหน่งอดีตอาจารย์ใหญ่โรงเรียนพระบรมธาตุไชยา และเป็นผู้รื้อถอนเวทีมวยวัดพระ บรมธาตุด้วยเมื่อปี พ.ศ. 2524 มีความภาคภูมิใจในชีวิตที่ชกมวยไทยไชยาจนประสบ
311 ความส าเร็จในชีวิตด้วยการรับราชการครู ตั้งแต่ครูน้อยจนถึงอาจารย์ใหญ่เมื่อปี 2532 ปัจจุบันอายุ 78 ปี สุขภาพเข็งแรงสมบูรณ์ อยู่บ้านเลขที่ 126 หมู่ที่ 3 ต าบลเสม็ด อ าเภอ ไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี โทร 077-431296 , 077-431494 (นุกูล บุญรักษา,สัมภาษณ์, วันที่ 18 ตุลาคม 2549) 27. นายมา ใสสะอาด ก านันต าบลป่าเว ใช้ชื่อมวยว่า บุญมา ไชยสิทธิ์ 28. นายแพ ชัยอินทร์ ก านันต าบลตลาดไชยา 29. นายพร้อม ไวทยินทร์ อยู่บ้านปากด่าน ต าบลเสม็ด อ าเภอไชยา 30. นายนับ ศ.สิงห์ชัย (ทองสาลี) จอมศอกหน้าหยก อยู่บ้านคอนโด ต าบลเสม็ด อ าเภอไชยา 31. เบี้ยว ศ.สิงห์ชัย ไอ้ก าแพงเมืองจีนของไชยา ผู้เป็นตัวยืนคนหนึ่งในการรับมือนัก ชกจากต่างถิ่น เช่นมาจากกรุงเทพฯ เสียชีวิตแล้ว นอกจากนี้คณะมวยอื่นอีก เช่น ชัยประดิษฐ์ ศ.ยอดใจเพชร หลังจากเวทีมวย วัด พระบรมธาตุสิ้นสุดลง วงการมวยไทยไชยาก็เริ่มเสื่อมลง มวยดังไชยาก็ลดน้อยลงไป เพราะ ขาดผู้สนับสนุนที่แท้จริงทั้ง ๆ ที่คนไชยายังคงมีสายเลือดนักสู้อยู่เต็มตัว ความเป็นเมืองมวย ก าลังจะสูญไปเพราะขาดผู้น าที่จริงจัง รวมทั้งปัญหาที่ส าคัญที่ท าให้วงการมวยเสื่อมลง ทุกวันนี้ ที่เห็นได้เด่นชัดคือการพนัน การต่อสู้ผลปรากฏจะอยู่ที่การพนันเป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้อยู่ที่ ฝีมือนักมวยมวยไชยาเสื่อมลง จึงน่าที่จะปลุกวิญญาณของความเป็นนักสู้ของเมืองมวยในอดีต ออกมาให้เป็นที่ประจักษ์เหมือนที่ “หมื่นมวยมีชื่อ” เคยท าไว้ในอดีต (กวี บัวทอง และคณะ. 2525 : 23-27) สรุปยุคเปลี่ยนแปลง มวยไทยยุคเปลี่ยนแปลงตรงกับสมัยรัชกาลที่ 7 และรัชกาลที่ 9 มวยไทยไชยาสมัยนี้ เกิดการเปลี่ยนแปลงจากมวยหมัดถัก หรือมวยคาดเชือก แบบโบราณมาเป็นสวมนวม เนื่องจากเกิดเหตุส าคัญทางประวัติศาสตร์ของมวยไทย กล่าวคือ นายแพ เลี้ยงประเสริฐ มวย ดังท่าเสา จังหวัดอุตรดิตถ์ ชกนายเจียร์ พระตะบองซึ่งเป็นครัวแขกเขมรถึงตาย ทางการจึง ประกาศให้การแข่งขันกีฬามวยไทยทั่วไทย จ าเป็นต้องสวมนวมตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และที่เวที
312 มวยวัดพระบรมธาตุไชยา ก็เริ่มมีชื่อเสียงอีกครั้งมวยไทยไชยาเริ่มโด่งดังในยุคสวมนวม มวยดัง มีชื่อที่ยังมีชีวิตอยู่ คือ นายจ้วน หิรัญกาญจน์ เป็นมวยดัง 2 ยุค ก่อนนั้นยุคคาดเชือก และ ยุคสวมนวมปัจจุบัน อายุ 99 ปี นายนุกูล บุญรักษา และนายชาย เผือกสวัสดิ์ ต่อมาเวที มวยวัดพระบรมธาตุสิ้นสุดลง มวยไทยไชยาก็เริ่มลดน้อยลง และหายไป มวยไทยไชยายุคอนุรักษ์ตอนต้น พ.ศ. 2489 – พ.ศ. 2524 มวยไทยไชยาเมื่อหมดยุคเปลี่ยนแปลง ด้วยการสวมนวมชกกันในสมัยรัชกาลที่ 7 – สมัยรัชกาลที่ 8 ก็เริ่มเสื่อมลงไปตามกาลเวลาจวบจนแทบจะหายจากไป กระทั่งมีผู้ที่สืบสาน มรดกทรัพย์สินทางปัญญาของภูมิแผ่นดินไทย คือ ท่านปรมาจารย์เขตร ศรียาภัย ซึ่งท่านก็ เป็นมวยไทยไชยาอยู่แล้วโดยก าเนิด เป็นผู้สืบทอดมาจากตระกูลมวยไทยไชยา เพราะบิดาของ ท่าน คือ พระยาวจีสัตยารักษ์ (ข า ศรียาภัย) อดีตเจ้าเมืองไชยา ท่านปรมาจารย์เขตร ศรียา ภัย ผู้ที่รักและหวงแหนศิลปะมวยไทยมิยิ่งหย่อนไปกว่าคนไทยด้วยกัน ท่านก็พยายามสืบทอด ศิลปะมวยไทยไชยาอันเป็นมรดกอันยิ่งใหญ่ เพื่อให้คงอยู่คู่กับคนไทยตลอดไป จากการที่ท่าน ได้เพียรพยายามอนุรักษ์มวยไทยไชยาให้คงอยู่ ท่านก็ได้ศึกษาค้นคว้าศาสตร์และศิลป์ของ แผ่นดินจากปรมาจารย์หลาย ๆ ท่าน เพื่อน าไปประยุกต์ใช้ พร้อมทั้งอบรมสั่งสอนศิษย์ให้ ได้รับวิทยาการอันแก่กล้าต่อไปในภาคหน้า ในที่นี้จะขอกล่าวถึงประวัติของท่านปรมาจารย์ สุนทร (กิมเส็ง) ทวีสิทธิ์ ซึ่งเป็น 1 ใน 12 พระอาจารย์ของท่านปรมาจารย์เขตร ศรียาภัย รวมทั้งกัลยามิตรที่มีอุดมการณ์ในเรื่องมวยไทยด้วยกัน ฝึกมวยไทยไชยามาจากพระอาจารย์ทาง ใต้สายมวยไทยไชยา ก็คือ นายเจือ จักษุรักษ์ ยักษ์ใหญ่แห่งวงการมวยไทยท่านหนึ่ง รวมถึง ประวัติของท่านปรมาจารย์เขตร ศรียาภัย ที่ท่านได้อนุรักษ์มวยไทยไชยาให้คงอยู่เป็นสมบัติ ของลูกหลานไทย เป็นมรดกของชาติไทย และเป็นที่เผยแพร่สู่ชุมชนมวลมนุษย์ชาติทั่วโลกต่อไป ในอนาคต
313 มวยไทยภาคเหนือ 1. มวยท่าเสาและพระยาพิชัย มวยท่าเสา ถือเป็นมวยไทยภาคเหนือ แต่ไม่มีหลักฐานปรากฏชัดเจนว่าก าเนิดขึ้นเมื่อใด ใครเป็นครูมวยคนแรก แต่จากหลักฐานที่ปรากฏอยู่ท าให้ทราบว่าครูมวยไทยสายท่าเสาที่มี ชื่อเสียงโด่งดัง คือ ครูเมฆ เอกลักษณ์ของมวยท่าเสา คือ การจดมวยกว้างและให้น้ าหนักตัวไป ทางด้านหลัง เท้าหน้าสัมผัสพื้นเบา ๆ ท าให้ออกมวยได้ไกล รวดเร็ว และรุนแรง สมกับ ฉายา “ไวกว่าท่าเสา” ส่วนกลยุทธ์มวยพระยาพิชัยดาบหักเป็นทั้งมวยอ่อนและแข็ง สามารถรุก รับตามสถานการณ์ รู้วิธีรับก่อนรุก เรียนแก้ก่อนผูก เรียนรู้จุดอ่อนจุดแข็งของตนเองและคู่ต่อสู้ ครูมวยท่าเสาที่มีความสามารถ ได้แก่ ครูเมฆ, นายทองดี ฟันขาว, ครูเอี่ยม, ครูเอม, ครูอัด คงเกตุ, ครูโต๊ะ, ครูโพล้ง, ครูฤทธิ์, ครูแพ, ครูพลอย, นายประพันธ์ เลี้ยงประเสริฐ, นายเต่า ค า ฮ่อ (เชียงใหม่) และนายศรี ชัยมงคล กระบวนท่าของมวยไทยสายท่าเสาและพระยาพิชัยนั้น พบว่า มีกระบวนท่าการชก 15 ไม้ การเตะ 10 ไม้ การถีบ 10 ไม้ การตีเข่า 10 ไม้ และการศอก 10 ไม้ส่วนในเรื่องของระเบียบ ประเพณีของมวยไทยสายท่าเสาและพระยาพิชัย ต้องมีการขึ้นครูหรือยกครู การไหว้ครูประจ าปี การครอบครู และการร าไหว้ครูก่อนชก เมื่อครูที่มีชื่อเสียงทั้งหลายเริ่มถึงแก่กรรม ท าให้มวยไทยสายท่าเสาได้ลดบทบาทลง และมี มวยสายอื่น ๆ เข้ามามากขึ้น มวยไทยสายครูเมฆแห่งท่าเสาเริ่มถูกลบเลือนไป เอกลักษณ์ของ มวยสายท่าเสาอาจจะสูญสิ้นไปหากไม่มีการอนุรักษ์มวย “ลาวแกมไทย ตีนไวเหมือน หมา” เอาไว้ มวยไทยท่าเสา มวยไทยท่าเสาเป็นมวยไทยทางภาคเหนือที่ไม่มีประวัติศาสตร์ที่แน่ชัดว่ามวยไทยท่าเสานี้ ก าเนิดขึ้นเมื่อไหร่และใครเป็นครูมวยคนแรกของมวยไทยท่าเสาแต่มีครูมวยไทยท่าเสาที่มี ชื่อเสียงโด่งดังคนหนึ่งนั้นก็คือ “ครูเมฆ” ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นในเรื่องความคล่องแคล่วว่องไว รวดเร็ว เด็ดขาด มีลีลาท่าทางสวยงามและมีความสามารถที่มีประสิทธิภาพอย่างมากโดยเฉพาะ การเตะ ศอกและถีบเป็นความสามารถที่มีชื่อเสียงอย่างมากจนท าให้นายทองดีสาบานกับตัวเอง ว่าจะต้องมาเรียนศิลปะมวยไทยกับส านักท่าเสาให้ได้และจนสุดท้ายก็มาเป็นลูกศิษย์ของครูเมฆ
314 ผู้ประสิทธิประสาทวิชามวยไทยท่าเสาให้กับนายทองดีและได้น้ าความรู้ที่ได้รับมานั้นไป ผสมผสานกับมวยจีนอีกทีหนึ่ง เมื่อนายทองดีได้เป็นเจ้าเมืองพระยาพิชัยก็กลับมาคารวะครูเมฆ และแต่งตั้งให้ครูเมฆเป็นก านันปกครองต าบลท่าอิฐ ครูเมฆได้ถ่ายทอดวิชาให้แก่ผู้สืบสกุลต่อมา จนถึงครูเอี่ยม ครูเอี่ยมถ่ายทอดแก่ผู้สืบสกุลโดยครูเอม ครูถ่ายทอดผู้สืบสกุล คือ ครูอัด คงเกตุ และเมื่อครูอัด คงเกตุกับลูกศิษย์มาชกมวยที่กรุงเทพฯ ก่อนสงครามโลกครั้งที่2 ใช้ชื่อค่ามวยว่า “เลือดคนดง” และนอกจากครูอัด คงเกตุแล้วครูเอมยังสืบทอดให้กับหลานตาอีก 5 คนซึ่งอายุ รุ่นเดียวกับครูอัด คงเกตุและทั้ง 5 คนเป็นนักมวยตระกูล “เลี้ยงเชื้อ” ในเวลาต่อมากรมหลวง ชุมพรฯ ได้เปลี่ยนให้เป็น “เลี้ยงประเสริฐ” เป็นบุตรของนายสอน นางข า (ลูกครูเอม) และทั้ง 5 คนนี้ถือว่าเป็นยอดมวยเชิงเตะเพราะมีท่าทีที่แพรวพรายทุกกระบวนท่าที่ได้สืบทอดมาจาก ส านักท่าเสาของครูเมฆจนท าให้มีชื่อเสียงเป็นอย่างมาก ซึ่ง 5 คนนั้น ได้แก่ - ครูโต๊ะ เกิดประมาณ พ.ศ.2440 เป็นบุตรคนที่ 2 ของนายสอนและนางข า เป็นนักมวยที่มี อาวุธหนักหน่วงและเชิงเตะ เข่าและหมัดรวดเร็ว - ครูโพล้ง เกิดปี พ.ศ.2444 มีอาวุธมวยไทยรอบด้าน โดยเฉพาะลูกเตะที่ว่องไวและรุนแรง ความสามารถในการถีบอย่างยอดเยี่ยม จนได้รับฉายาว่า “มวยตีนลิง” ครูโพล้งมีเอกลักษณ์การ ไหว้ครูร่ายร าตามแบบฉบับของส านักท่าเสา ในจ านวน 5 คน ครูโพล้ง มีฝีมือดีที่สุด เมื่อมาชก กรุงเทพ ฯ เคยชนะ นายสร่าง ลพบุรี และครูบัว วัดอิ่ม เคยชนะนายสิงห์วัน ประตูเมือง เชียงใหม่ ที่เชียงใหม่ และนายผัน เสือลาย ที่โคราช แต่เคยพลาดท่าแพ้ นายสุวรรณนิวาสวัด ที่ กรุงเทพ ฯ ครั้งหนึ่ง เพราะโดนจับขาเอาศอกถองโคนขาจนกล้ามเนื้อพลิก - ครูฤทธิ์เกิดปี พ.ศ.2446 มีฝีมือไม่ยิ่งหย่อนกว่าพี่น้องคนอื่นๆ เคยชกชนะหลายครั้งที่กรุงเทพ ฯ และเคยชกเสมอ บังสะเล็บ ครูมวยคณะศรไขว้ (ลูกศิษย์ครูแสง อุตรดิตถ์ ผู้สืบทอดสายมวย พระยาพิชัยดาบหัก) - ครูแพ เกิดปี พ.ศ.2447 เป็นนักมวยที่มีชื่อเสียงระดับครูโพล้ง เคยปราบ บังสะเล็บ ศรไขว้ ชนิดที่คู่ต่อสู้บอบช้ ามากที่สุดและชก นายเจียร์ พระตะบอง นักมวยแขกครัวเขมรเสียชีวิตด้วย ไม้หนุมานถวายแหวน ทางราชการจึงก าหนดให้มีการสวมนวมแทนคาดเชือก ตั้งแต่นั้นเป็นต้น มา - ครูพลอย เกิดปี พ.ศ.2450 เป็นมวยที่คล่องแคล่วว่องไวในเชิงเตะ ถีบและหมัด เนื่องจาก ครูโพล้ง เป็นผู้ถ่ายทอดเชิงชกให้ด้วย ครูพลอยถึงถอดแบบการใช้เท้าจากครูโพล้ง ครู พลอยเคยมาชกชนะในกรุงเทพ ฯ หลายครั้งแต่ก็ได้ถึงแก่กรรมเมื่ออายุเพียง 24 ปีเท่านั้น
315 นอกจากครูโพล้งและพี่น้องได้ร่วมกันสอนเชิงมวยให้แก่ลูกศิษย์หลายคนที่มีชื่อเสียงแล้วยัง มีศิษย์ส านักท่าเสาอีกหลายคน ได้แก่ - นายประพันธ์ เลี้ยงประเสริฐ - นายเต่า ค าฮ่อ (เชียงใหม่) - นายศรี ชัยมงคล ผู้เป็นเพื่อนสนิทของครูพลอยและเป็นผู้ที่ ผล พระประแดง ยอมรับว่าเจ็บตัวมากที่สุดเมื่อได้ชกแพ้ นายศรี อย่างสะบักสะบอม ชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นในชีวิต การต่อสู้เลย เพราะนายศรี มีอาวุธหนักหน่วงเกือบทุกอย่างและรวดเร็ว รวมไปถึงยังมีเชิงมวย สูงมากด้วย หลังจากการจากไปของครูโพล้ง มวยไทยสายท่าเสาได้ลดบทบาทลงไปอย่างมากยิ่งครูมวย ในปัจจุบันสอนมวยตามแบบฉบับของสายมวยอื่น ๆ มวยไทยท่าเสาสายครูเมฆแห่งส านักท่าเสา ก็ยิ่งห่างหายไป แม้แต่ชาวอุตรดิตถ์เองปัจจุบันยังไม่สามารถบอกความแตกต่างของมวยท่าเสา กับมวยสายอื่น ๆ ได้เลย เอกลักษณ์มวยไทยท่าเสา เอกลักษณ์มวยไทยท่าเสาการไหว้ครูจะไหว้พระแม่ธรณีก่อนท าพิธีไหว้ครู การไหว้ ครูมวยไทยท่าเสาจะไหว้บรมครูก่อน คือ “พระอิศวร” เพราะนับว่าพระอิศวรเป็นผู้ประสิทธิ ประสาทวิชาการต่อสู้แบบฉบับมวยไทยท่าเสา การกราบพระรัตนตรัย จะกราบในทิศหรดี(ทิศ ตะวันตกเฉียงใต้) ซึ่งเป็นทิศที่ผีฟ้าไม่ข้าม การนับหน้าไหว้ครูไปทางทิศตะวันออกซึ่งเป็นไปตาม ประเพณีของพราหมณ์ ในการเห็นหน้าโบราณสถาน หรือ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์สอดคล้องกับความ เชื่อว่าบรมครูของมวยไทยท่าเสามีพระอิศวรและทิศตะวันออกเป็นทิศที่พระอาทิตย์ส่องแสงมา สู่โลกและมวลมนุษย์เป็นสัญญาลักษณ์ของวันใหม่และจุดเริ่มต้นที่เป็นมงคล หรือ นักมวยก่อน กราบจะหันหน้าเข้าหาดนตรี ปี่ กลอง เพราะถือว่า ดนตรี ปี่ กลอง ได้ไหว้ครูหรือพระอิศวรแล้ว การจดมวยของมวยไทยท่าเสามือซ้ายน าและสูงกว่ามือขวา เมื่อเปลี่ยนเหลี่ยมมือขวาน าและสูง กว่ามือซ้าย เมื่อตั้งมวยได้ถูกต้องและย่างแปดทิศได้คล่องแคล่วว่องไวแล้ว นักมวยจะต้องฝึกท่า มือสี่ทิศพร้อม ๆ กัน กับการจดมวยและย่างแปดทิศ ท่ามือต้องออกด้วยสัญชาตญาณเพื่อให้เกิด การ “หลบหลีก ปัด ป้อง ปิด” ในการป้องกันตัว การคาดเชือกสายมวยไทยท่าเสาต้องเอาเชือก ด้านตราสังผีมาลงคาถาอาคมแล้วบิดให้เขม็งเกลียง หลังจากนั้นเอามาขดก้นหอย 4 ขด แล้วเอา ด้ายตราสังมาเคียนท าเป็นวง 4 วง รองข้างล่างก้นหอยอีกทีหนึ่งเพื่อสวมเป็นสนับมือ เมื่อสวม นิ้วมือแล้วก็เอาด้ายตราสังมาเคียนทับอีกทีหนึ่ง หลังจากนั้นเชือกที่คาดจะต้องลงรักและคลุก
316 น้ ามันยาง ต่อมาก็คลุกแก้วบดอีกทีหนึ่งเป็นอันเสร็จพิธีคาดเชือก นักมวยไทยท่าเสาจะต้องเสก พริกไทย 7 เม็ดและกินทุกวันเพื่อให้อยู่ยงคงกะพันและเสกคาถากระทู้ 7 แบกประจ าทิศบูรพา คือ อิ ระ ชา คะ ตะ ระ สา 15 จบ ก่อนขึ้นชกต้องเสกหมาก หรือ ว่านเคี้ยวกินด้วยคาถา ฝนแสนห่า ประจ าทิศอาคเนย์ 8 จบ คือ ติ หัง จะ โต โร ถิ นัง ครูอาจเสกแป้งประหน้านักมวย ก่อนชกด้วยนะจังงัง มวยไทยท่าเสาอาจจะสูญสิ้นไปหากไม่มีการอนุรักษ์ สรุปบทที่ 6 มวยไทย ในแต่ละท้องถิ่น มวยไทยในแต่ละท้องถิ่น ต้นก าเนิดมาจากมวยในพระนครทั้งสิ้น โดยกรมทนายเลือกที่อยู่ใน พระนครหรือในวัง เมื่อท่านเกษียณอายุราชการ จากกรมทนายเลือก ส่วนมากท่านก็จะออก บวช เป็นพระภิกษุ ไปธุดงค์ในแต่ละท้องถิ่นของสยามประเทศ จากวังมาสู่วัด ท่านได้สอน อักขระภาษาเขียน อ่าน และสอนวิชามวยเพื่อการออกก าลังกาย เพื่อสุขภาพให้คนในชุมชน และท้องถิ่นนั้นๆ ที่อยู่ในบริเวณลานวัด หรือพื้นที่ใกล้เคียง มวยไทยท้องถิ่นหรือมวยไทยในแต่ ละสาย ถือว่าเป็นมวยประจ าท้องถิ่นในแต่ละภูมิภาค ลักษณะการร่ายร าไหว้ครู จะแตกต่างกัน ไป ตามกระบวนการของท้องถิ่นและครูมวยผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชา ส่วน เกล็ดมวย กลมวยหรือ ไม้มวยไทยต่างมีจุดเด่นของแต่ละ ภูมิภาคหรือแต่ละสายมวย แตกต่างกันไป มวยไทยท้องถิ่น คนไทยน ามารวบรวมไว้และน าเสนอว่าเป็นมวยไทยโบราณหรือมวยโบราณ แต่ด้วยความเป็น จริงเป็นมวยที่เกิดขึ้นมายาวนาน และส่วนมากจะเป็นมวยในพระนครเป็นส่วนใหญ่ที่แตกระแหง ไปในแต่ละภูมิภาคของสยามประเทศ