The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by reco.zpo, 2021-03-30 05:42:50

คู่มือนกหว้า สวนสัตว์สงขลา

คู่มือนกหว้า

Keywords: นกหว้า

โครงการเพาะขยายพันธ์ุ นกหว้า
เพอื่ การอนรุ กั ษ์ในสวนสัตวส์ งขลา

องค์การสวนสตั วใ์ นพระบรมราชปู ถัมภ์
งาน วจิ ยั ฝา่ ยอนรุ ักษ์ วจิ ัย และสขุ ภาพสตั วส์ วนสัตวส์ งขลา

ประจำปงี บประมาณ 2559-2561

โครงการเพาะขยายพนั ธุ์ นกหวา้
เพื่อการอนุรักษ์ในสวนสัตว์สงขลา

คณะจดั ทำ องค์การสวนสัตว์ในพระบรมราชปู ถมั ภ์

สุรศกั ด์ิ ย้ิมประเสริฐ งาน วิจัย ฝา่ ยอนุรกั ษ์ วิจยั และสขุ ภาพสัตว์
ชม เพ็ชรทอง สวนสตั ว์สงขลา
อนสิ รา หลังโส๊ะ
ประจำปงี บประมาณ 2559-2561
ปรกึ ษา

สมพงค์ บุญสนอง
สรุ ีรตั น์ ประเสรฐิ สาร
อภิสิทธ์ ปดิ ทอง

สารบัญ หนา้

เร่อื ง 1
2
บทนำ 4
อนุกรมวิธาน 9
ลกั ษณะทั่วไป 11
แหลง่ ทีอ่ ยอู่ าศัย และพฤติกรรม 15
กรงเล้ยี งพ่อแม่พนั ธุ์ 21
อาหารพ่อแมพ่ ันธ์ุ 23
การจับคู่ 28
พฤติกรรมกับฤดกู ารผสมพนั ธ์ุ 29
การผสมพนั ธุ์และการวางไข่ 35
การฟกั ไข่ 47
การอนบุ าลลกู นกหวา้ 50
การสง่ เสริมพฤติกรรม 53
การตรวจสขุ ภาพ
การขนย้าย

สารบัญภาพ หน้า

ภาพท่ี 3
6
1. แสดงนกหวา้ พันธุ์มาเลเซยี หรือพันธุไ์ ทยตัวผูแ้ ละตัวเมีย 7
2. แสดงนกหวา้ ตวั ผู้ 8
3. แสดงขนนกหวา้ ตวั ผ้ทู ผี่ ลดั หลังจากหมดฤดผู สมพนั ธ์ุ 11
4. แสดงนกหวา้ ตัวเมยี 12
5. แสดงขงึ ลวดหนามหนีบเพลงดา้ นบนกรงเลีย้ ง 13
6. แสดงภายในกรงเล้ียงพ่อแม่พนั ธุ์สว่ นกลางแจง้ 14
7. แสดงภายในกรงเลีย้ งพ่อแม่พนั ธ์สุ ่วนในร่ม 14
8. แสดงการปิดทบึ เพ่ือป้องกนั การจิกตีระหว่างคอก 16
9. แสดงการขึงสแลนรองไวบ้ รเิ วณใตค้ อน 18
10. อาหารหลกั ทใี่ หใ้ นแตล่ ะวนั 18
11. แสดงอาหารเสริมอืน่ ๆ 20
12. แสดงรวมพลสั แอนติ ไบโอติค 20
13. แสดงถาดกระเบ้ืองสำหรบั ใสอ่ าหารนกหว้าพ่อแมพ่ นั ธ์ุ 20
14. แสดงขวดน้ำสำหรบั ไกผ่ สมวติ ามนิ รวมพลัสแอนติไบโอตคิ 22
15. แสดงถาดรองอาหาร 24
16. แสดงนกหว้าตัวผู้ในฤดผู สมพนั ธ์ุ 26
17. แสดงพฤตกิ รรมการสง่ เสียงรอ้ งของนกหวา้ ตวั ผู้ 27
18. แสดงพฤตกิ รรมการเก้ยี วพาราสี
19. แสดงพฤติกรรมการเกยี้ วพาราสี (จกิ ขนตัวเมยี )

สารบญั ภาพ

ภาพที่ หนา้

20. แสดงการวางไข่บรเิ วณมมุ คอก 28
21. แสดงลกั ษณะของไข่นกหวา้ 28
22. แสดงขั้นตอนการเก็บไขม่ าฟกั โดยวธิ ฟี ักไขโ่ ดยตูฟ้ กั ไขไ่ ฟฟ้า 31
23. แสดงการฟกั ไข่โดยใช้ต้ฟู กั ไข่ไฟฟ้า 32
24. แสดงไฟฉายในการสอ่ ง 33
25. แสดงไขน่ กหวา้ ทไี่ มม่ ีเช้อื 33
26. แสดงไขน่ กหวา้ มเี ชอื้ หลังเข้าตู้ฟกั ไข่ ไฟฟา้ ระยะ 8 วัน 33
27. แสดงการสอ่ งไข่ระยะ 15 วนั 34
28. แสดงไขน่ กหว้าระยะ 24 วัน 34
29. แสดงแมน่ กหวา้ พาลกู หากิน 36
30. แสดงแมน่ กหวา้ ใหค้ วามอบอุน่ แก่ลกู 37
31. แสดงลูกนกหวา้ แรกเกดิ 38
32. แสดงกรงสำหรับอนบุ าลลูกนกหว้า 39
33. แสดงลูกนกหวา้ ระยะอนบุ าลอายุ 2 วนั จนถงึ อายุ 6 สัปดาห์ 44
34. แสดงลูกนกหว้าระยะไกร่ ุน่ อายุ 6 สปั ดาห์ 46
35. แสดงลกู นกหวา้ ระยะไก่รุน่ 46

สารบญั ภาพ หนา้

ภาพที่ 49
51
36. แสดงการสง่ เสริมพฤติกรรม 51
37. แสดงอจุ จาระของนกหวา้ 52
38. แสดงการยอดยาเขา้ ไปในปากของนกหว้า 53
39. แสดงตวั ยา Fenbendazole 10 เปอรเ์ ซน็ ต์ 53
40. แสดงตวั ยา ivomec 54
41. แสดงการหยดยา ivomec
42. แสดงกล่องขนยา้ ย

บทนำ

นกหวา้ Argusianus argus เปน็ นกทมี่ ขี นาดใหญ่ท่ีไม่มีเดือยในวงศ์
ไก่ฟ้า Galliformes สกุล Argusianus ปัจจุบัน นกหว้าตามธรรมชาติถูก
คุกคาม ทั้งจากการบุกรุกพื้นที่และการล่า ทำให้มีประชากรลดน้อยลง
ปัจจุบันนกหว้า ถูกจดั ใหอ้ ยูม่ สี ถานภาพมีแนวโน้มใกล้สญู พันธุ์ Vulnerabla-
VU ในThailand Red Data Vertebrates และนอกจากนี้องค์กรเพื่อการ
อนุรักษร์ ะหวา่ งประเทศ IUCN (2000) ได้จดั นกหวา้ ไว้ในบัญชีรายชอ่ื สตั ว์ป่า
ทอี่ ยูใ่ นสภาวะใกล้ถูกคุกคาม (Near threatened)

ปัจจัยที่มีผลต่อประชากรนกหว้าเกิดจากการล่า และดักจับของ
มนุษย์ สามารถทำได้ง่าย เนื่องจากธรรมชาติของนกหว้ามีพฤติกรรมส่งเสยี ง
ร้องได้ยินไปไกล โดยเฉพาะในฤดูผสมพันธุ์ นกหว้าจะอาศัยอยู่ที่ประจำ
บริเวณใกล้ลานของตัวเอง ทำให้ถูกล่าได้จากการซุ่มยิงหรือวางบ่วง ดักจับ
บริเวณลาน (สวัสดิ์ วงศ์ถิรวัฒน์, 2531) รวมทั้งการทำลายถิ่นที่อยู่อาศัย
ส่งผลใหป้ ระชากรนกหว้าท่มี ีอยู่ในธรรมชาตลิ ดน้อยลง การเพาะเล้ียงจึงเป็น
วิธีหนึง่ ท่ีจะทำให้ประชากรนกหว้าเพิ่มมากขึ้นนอกถิ่นที่อยู่อาศัย แต่อย่างไร
ก็ตาม อัตราการขยายพันธุ์ของนกหว้าในกรงเลี้ยงยังคงต่ำกว่าไก่ฟ้าชนิดอน่ื
(โอภาส ขอบเขต, 2541)

สวนสัตว์สงขลาจึงเล็งเห็นความสำคัญของการเพาะขยายพันธุ์นก
หว้า ในสภาพการเพาะเลีย้ งเพื่อป้องกันไม่ให้ชนิดพันธุ์ ที่ถูกคุกคามซึ่งเปน็ ที่
รู้จักต้องสูญพันธุ์ คณะผศู้ กึ ษาจงึ มแี นวคดิ ท่ีจะจัดทำโครงการเพาะขยายพันธ์ุ
นกหว้าเพื่อการอนุรักษ์ในสวนสัตว์สงขลา เป็นการช่วยในการอนุรักษ์และ
เพาะขยายพนั ธุ์นกหวา้ ต่อไป

1

อนกุ รมวธิ าน

นกหว้า Great Argus มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Argusianus argus
จัดอยู่ในวงศ์เดียวกับไก่ฟ้า วงศ์ Phasianidae สกุล Argusianus sp.
(Delacour, 1977) ช่ือสกุล Argus หรือ Argos เป็นคำในภาษากรีก
มีความหมายว่า นกที่มีลายดอกดวงจำนวนมาก (โอภาส ขอบเขตต์, 2541)
นกหว้าเป็นนกที่มีจำนวนประชากรน้อย และพบเห็นได้ยากมากมีการ
กระจายพันธุ์ในประเทศไทย ประเทศมาเลเซีย เกาะสุมาตรา และเกาะ
บอรเ์ นยี ว (Johnsgard, 1999)

นกหว้าสามารถจำแนกได้เปน็ 3 ชนดิ ย่อย (Delacour, 1977)
ค ื อ 1. นกหว ้ าลาย (Double-banded Great Argus; Argusianus argus
bipunctatus) คาดว่าจะสูญพันธุ์ไปแล้ว ปัจจุบันคงมีเหลือเฉพาะ
ตัวอย่างขนที่ไม่ทราบแหล่งที่มาแต่สันนิษฐานว่าอาจเป็นนกหว้าที่
เคยมีพบอยู่เฉพาะบนเกาะ Tioman ของประเทศมาเลเซยี เทา่ นั้น
2. น ก ห ว ้ า พ ั น ธ ุ ์ บ อ ร ์ เ น ี ย ว (Bornean Great Argus; Argusianus
argus grayi) มีถิ่นท่ีอยูเ่ ฉพาะท่ีเกาะบอร์เนยี ว ประเทศอนิ โดนเี ซียเพียงแห่ง
เดยี วเทา่ น้นั
3. นกหว้าพันธุ์มาเลเซียหรือพันธุ์ไทย (Malay Great Argus; Argusianus
argus argus) (ภาพที่ 1) เป็นนกหว้าเพยี งชนิดเดยี วมถี ิ่นทอ่ี ยใู่ นประเทศไทย
แถบภาคใต้ตั้งแต่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ลงไป แหลมมลายู และเกาะ
สุมาตรา ประเทศมาเลเซีย

2

ลักษณะที่แตกต่างกันระหว่างนกหว้าพันธุ์ไทยและพันธุ์บอร์เนียว
คือ นกหว้าพันธุ์ไทยมีสีน้ำตาลเข้มกว่าพันธุ์บอร์เนียว และมีขนาดใหญ่กว่า
นกหว้าพันธุ์บอร์เนียวมีสีตามลำตัวค่อนไปทางสีเทาและที่หน้าอก
ค่อนข้างแดง (บุญส่ง เลขะกุล, 2545) มีขนหางยาว 4 เส้น มีลายจุดกลมๆ
เรียงเป็นแถวโดยตลอดทุกเส้น ขาสีเทา ปากสีขาวครีม ขนหงอนหรือจุกยาว
ไม่สั้นอย่างนกหว้าพันธุ์ไทยขนคอไม่เป็นสีเขียว และมีลักษณะเหมือนกับนก
และไก่ทั่วไปขนปลายปีกยาวเหมือนกับนกยูง และไก่ฟ้า (เฉลียว สุขเจริญ,
2523)

male Female

ภาพท่ี 1 แสดงนกหว้าพนั ธ์มุ าเลเซียหรอื พันธไุ์ ทยตวั ผ้แู ละตัวเมีย

3

ลกั ษณะทวั่ ไป

นกหว้าเป็นนกที่มีขนาดใหญ่ ตัวผู้ และตัวเมียมีลักษณะที่แตกต่าง
กันอย่างเด่นชัด ขนาดลำตัวของตัวผู้ใหญ่กว่าตัวเมีย สีขนตามตัวส่วนใหญ่
เป็นสีน้ำตาล ตัวผู้ไม่มีเดือยที่ขาอย่างไก่ฟ้า และนกยูง ทั้งตัวผู้และตัวเมีย
ลักษณะเดน่ ของนกหวา้ ท่ีแตกต่างไปจากนกในวงศ์เดียวกนั ไดแ้ ก่

ตัวผู้ : นกหว้าตัวผู้ (ภาพที่ 2) โตเต็มวัยเมื่ออายุประมาณ 3 ปี
แต่ผลัดขนปีก และขนหางไปเรื่อยๆจนยาวเต็มที่เมื่ออายุ 6 -7 ปี
(สมพงค์ บุญสนอง, 2554) ขนตามลำตัวมีสีน้ำตาลเข้มและมีลายสีน้ำตาล
อ่อนอมเหลือง ขนหลังของตัวผู้ที่โตเต็มที่จะเป็นสีขาว หรือ สีขาวเทาตัวผู้
ส่วนของหัวและลำคอเป็นหนังเกลี้ยงสีฟ้าคราม แตม่ แี ถบขนแคบๆ สีดำพาด
ตามยาวจากเหนือจะงอยปากไปตลอดแนวสนั คอ แถบขนบนหัวจะมีลักษณะ
เป็นแผงขนหนาสีดำเขม้ กวา่ ของตวั เมีย และตรงส่วนทา้ ยของกระหม่อม แผง
ขนจะยาวกว่าส่วนอื่นมีลักษณะเป็นขนหงอนตั้งเป็นสันขวานขึ้นมาไม่เป็นพู่
ขนหงอนอย่างไก่ฟ้าและนกยูง เส้นขนบนหวั ทเ่ี รยี กวา่ หัวจกุ หรอื หงอนจะต้ัง
เป็นสันหนาเล็กๆมีสีดำเข้ม ตั้งแต่กลางหน้าและกลางกระหม่อม ไปจนถึง
ท้ายทอย ส่วนเส้นขนบริเวณท้ายทอยจะเป็นสัน และงอนกลับไปข้างหน้า
ใบหน้า และลำคอมีหนังเป็นสีฟ้า ขนคอจะเป็นขนอ่อนเส้นเล็กๆ สั้นๆ
จะงอยปากมีสีขาวครีม ขา และนิ้วสีแดงส้ม ขนปีกของนกหว้ายาว และ
แตกต่างไปจากนกชนิดอื่นส่วนมาก คือขนปลายปีกในนกทั่วไปยาวกว่าขน
กลางปีก แต่นกหว้ากลับมีขนปลายปีกสั้น และขนกลางปีกนั้นยาวเฟื้อยไป
จนเกือบ จะลากดิน (ขนหางคู่กลาง) ลักษณะของขนกลางปีกที่ยาวมากนี้จะ
มีปลายเสน้ ขนแผก่ ว้างเกือบเปน็ รูปสเ่ี หลีย่ ม

4

แถบเส้นขนด้านใน (inner web) มีลวดลายเป็นดอกดวง (ocelli)
ขนาดใหญ่ ขอบนอกเป็นสีน้ำตาลดำเข้ม ข้างในเป็นสีเหลือบออกเหลืองแกม
นำ้ ตาลเรยี งเปน็ แถวจากโคนถึงปลายทุกอนั ดอกลายเมื่อนกหุบปีกจะมองไม่
เห็นแต่จะเห็นได้เด่นชัดสวยงามเวลา ที่นกหว้าแพนปีกออกเต็มที่ ขนกลาง
ปีกยาวมากคลุมถึงโคนหางได้ ขนหางเฉพาะขนหางคู่กลางหรือที่เรียกว่า
“หางกระรวย” จะมีขนาดใหญ่ และยาวกว่าขนหางถัดออกไปมากถึง
ประมาณ 4 เท่าตัว มีลวดลายเป็นแต้มจุดประเล็กๆขอบสีน้ำตาลเข้ม ตรง
กลางสีขาวกระจายอยู่ทั่วไป ในขณะที่นกหว้าตัวผู้แพนขนเพื่อเกี้ยวพาราสี
ตัวเมียในช่วงฤดูผสมพันธุ์จะเห็นขนกลางปีกและขนหางกระรวยแผ่ออก
สวยงามเด่นสะดุดตา (สุธิดา สัทธรรมวไิ ล, 2547) เมื่อสิ้นสุดฤดูผสมพันธ์นุ ก
หว้าตัวผู้จะผลัดขน และจะสร้างขนใหม่ขึ้นมาแทนที่ขนอันเก่าเพื่อใช้ในการ
เกย้ี วพาราสใี น ฤดูกาลคร้งั ใหม่ (ภาพท่ี 3)

5

ภาพท่ี 2 แสดงนกหวา้ ตวั ผู้

6

ขนของนกหว้าตวั ผู้ทผ่ี ลดั ออก
ภาพท่ี 3 แสดงขนนกหวา้ ตวั ผู้ท่ผี ลดั หลังจากหมดฤดูผสมพันธ์ุ

7

ตัวเมีย : นกหว้าตัวเมีย (ภาพท่ี 4) มีขนาดเล็กกว่าตัวผู้อย่างเห็นได้ชัด
โดยทั่วไปแล้วตัวเมียมีลักษณะคล้ายๆ ตัวผู้ แตกต่างกันตรงที่ขนาดลำตัว
และลักษณะ ของขน ซึ่งขนตามลำตวั ของนกหว้าตัวเมียจะเป็นสีน้ำตาล เข้ม
กว่าของตัวผู้ขนที่คอ จะขึ้นหนากว่า และเส้นใหญ่กว่าเหมือนขนคอของนก
ชนิดอื่น ๆ หรือไก่ฟ้า ขนบนหัวตัวเมียจะไม่เป็นสันเหมือนตัวผู้แต่นกหว้าตวั
เมียจะมแี ถบขนบรเิ วณทา้ ยทอยลงมาเป็นเสน้ ขนยาว ไมเ่ ป็นระเบยี บ สีขนไม่
ดำเข้มและเป็นแผงขนหนาอยา่ งตวั ผู้ (สวัสด์ิ วงศ์ถิรวัฒน์, 2531) จะงอยปาก
มีสีน้ำตาลปลายปากสีขาว ขนกลางปีกของนกหว้าตัวเมียไม่มีลายดอกดวง
ทั้งยังสั้นกว่าขนปลายปีก ในตัวเมียจะมีหางสั้นกว่าและไม่มีขนหางคู่กลางที่
ยาวเหมือนตัวผู้ (ณรงค์ จันทน์สุคนธ์, 2534) ขนหางสั้นและไม่มีขนหางคู่
กลางท่ียาวเหมอื นตวั ผู้

ภาพท่ี 4 แสดงนกหว้าตัวเมีย

8

แหลง่ ที่อยู่อาศัยและพฤตกิ รรม

ในธรรมชาตินกหว้ามักอาศัยอยู่ในป่าดิบทึบ ตามเนินที่สูงๆ
บนภูเขาท่รี ะดับความสงู ประมาณ 200-500 เมตร ตรงบริเวณปา่ ทแ่ี หง้ และมี
โขดหิน (ณรงค์ จันทน์สุคนธ์, 2534) โดยไม่ค่อยพบว่าอาศัยอยู่ตามป่าท่รี าบ
ต่ำหรือบริเวณที่ชื้นแฉะรวมไปถึงป่าโปร่ง เฉลียว สุขเจริญ (2523) รายงาน
ว่านกหว้าเป็นนกที่พบเห็นได้ยากมาก ปกติมักไม่ค่อยบินแต่จะเดินย่างก้าว
อย่างช้าๆ และระมัดระวังตวั อยู่เสมอเวลาตกใจหรือพบศัตรจู ะวิ่งหลบหนีไป
ซ่อนตัวในดงไมท้ ึบตามพ้นื ป่าได้อยา่ งเงียบเชียบ และรวดเรว็ แตถ่ ้าจวนตัวจะ
บินหนีแล้วลงพื้นดินวิ่งหายไป ในตอนกลางวันส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ตามพื้น
ป่าเท่านั้น ตอนกลางคืนจึงจะบินข้ึนไปเกาะนอนอยู่ตามกิ่งไม้ หรือไม้ใหญ่ท่ี
ไม่สูงมากนัก นกหว้าตัวผู้มีอุปนิสัยป้องกันอาณาเขต โดยเมื่อใกล้ฤดูผสม
พันธ์ุตัวผู้จะสร้างลาน มีลักษณะเป็นลานดินที่โลง่ เตียนบนพื้นราบ ล้อมรอบ
ด้วยพุ่มไม้หนาทึบรอบด้านอยู่ท่ามกลางป่ารกทึบตามไหล่เขาหรือสันเขา
(Nijman, 1998) เรียกวา่ ลานนกหวา้ (dancing ground หรอื lek mating)
โดยมีการคาบเกบ็ และทำความสะอาดบริเวณลานดินดังกล่าวจนเกลี้ยงเกลา
ส่วนมากมักพบลานอยู่บนทางลาดเขาด้านทิศตะวันออก นอกจากตัวผู้จะใช้
ลานนี้ในการเกี้ยว พาราสีตัวเมียแล้ว ยังใช้สำหรับอยู่อาศัย และแสดง
พฤติกรรมต่างๆในตอนกลางวันของช่วงฤดูผสมพันธุ์ซึ่งนานไม่น้อยกว่า
6 เดอื นต่อปี ตวั ผ้มู ักจะหากิน ไมไ่ กลจากลานของตน นกหว้าตัวผู้ท่ีโตเต็มวัย
ซึ่งมีอายุประมาณ 3 ปีขึ้นไปจะมีลานเป็นของตัวเองทุกตัว และจะเข้าใช้ลาน
รวมทั้งเขา้ ทำความสะอาดลานของตนอย่างสม่ำเสมอตลอดช่วงฤดูผสมพนั ธ์ุ

9

ขนาดของลาน โดยทั่วไปมีพื้นที่ประมาณ 12-15 ตารางเมตร วิธีการในการ
ทำความสะอาดลานสว่ นใหญ่จะใชจ้ ะงอยปากคาบเหว่ียงเศษใบไม้หรือกิง่ ไม้
เล็กๆทรี่ ว่ งหลน่ อยู่ออกไปนอกลานหรือใช้การกระพือปีกแรงๆพัดโบกเศษกิ่ง
ไม้ นั้นๆปลิวพ้นขอบลานไปเป็นต้น ส่วนนกหว้าตัวเมียจะไม่ทำลานอย่างนก
หวา้ ตวั ผู้

นกหวา้ ตวั ผู้ และตวั เมียจะออกหาอาหารกินและอาศยั อยู่ตามลำพัง
เพียงตัวเดียว ไม่อยู่รวมกันเป็นฝูงเหมือนไก่ป่า ยกเว้นในช่วงฤดูผสมพันธ์จุ งึ
จะอยู่เป็นคู่ แต่ก็ไม่นานนักพอผสมพันธุ์กัน 2-3 ครั้ง ตัวเมียก็จะจากไป
วางไขแ่ ละเล้ียงลกู นกหว้าตามลำพงั สว่ นตวั ผู้จะอยู่ที่ลานเพื่อผสมพนั ธกุ์ ับตัว
เมียตัวอื่นต่อไปจนกว่าจะสิ้นสุดฤดูผสมพันธ์ุ นอกจากนี้ยังพบแม่นกหว้าอยู่
รว่ มกับลูกท่ียังไม่โตเต็มที่ 1-2 ตวั แตพ่ บเหน็ ไม่บ่อยนัก โดยท่ัวไปนกหว้าจะ
หากินตามพน้ื ดนิ เช่นเดียวกบั ไก่ฟ้า และนกยูง โดยใช้ปากจิกคุ้ยหาอาหาร ไม่
ใช้ตีนคุ้ยเขี่ยเหมือนไก่ฟ้าชนิดอื่นๆอาหารของนกหว้ามีทั้งพืชและสัตว์ได้แก่
ผลไม้ที่หล่นตามพื้นดินลูกไม้ เมล็ดพืช หน่ออ่อนและใบอ่อนของพืช มด
ปลวก แมลง หนอน ไส้เดือน พวกหอยทากที่พบอยู่ตามพื้นดินในป่า และ
สัตว์เลีย้ งลกู ดว้ ยนมขนาดเล็ก ในชว่ งกลางวันหลงั จากที่อ่ิมแล้ว นกหวา้ จะลง
ไปกินน้ำในลำธารหรือแอ่งน้ำเสมอ บางครั้งอาจลงกินโป่งด้วย
(โอภาส ขอบเขตต์, 2541)

10

กรงเล้ยี งพ่อแม่พนั ธุ์

กรงสำหรับพ่อแม่พันธุ์นกหว้า (อายุ 3 ปีขึ้นไป) สร้างเป็นห้องแถว
ยาวติดต่อกันหรือสามารถสร้างเปน็ กรงเดี่ยวกไ็ ด้

1.1 ขนาดกรง (กว้าง X ยาว ) 3X6 เมตร สูงด้านหน้า 2.6 เมตร
สูงดา้ นหลัง 2.3 เมตร กรงมีโครงสรา้ งจากเหล็กเพอ่ื ความคงทน ฐานของกรง
ก่ออิฐขึ้นมาประมาณ 0.4 เมตร กรุตาข่ายใช้ตาข่ายขนาด 1 x 1 เซนติเมตร
บริเวณด้านหน้าระหว่างคอก และด้านบน ขึงลวดหนามหนีบเพลงด้านบน
กรงเพาะเลี้ยง (ภาพที่ 5) เพื่อป้องกันหนู งู ลิงป่า หรือสัตว์ชนิดอื่นรบกวน
ด้านข้าง และด้านหลังใช้หลังคาเมทัลชีท ส่วนผนังใช้แผ่นไฟเบอร์ซีเมนต์
มีประตเู ขา้ -ออกเปิดเขา้ ข้างใน

ภาพท่ี 5 แสดงขึงลวดหนามหนีบเพลงด้านบนกรงเพาะเลี้ยง

11

1.2 ภายในกรงแบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนกลางแจ้ง
(ภาพท่ี6) ยาวประมาณ 3.45 เมตร เป็นส่วนบริเวณด้านหน้ามีแดดส่องถึง
อากาศสามารถถ่ายเทได้ดี ภายในปลูกตน้ ไม้และหญ้าเพือ่ ความร่มร่ืนไม่ควร
ปลูกเยอะจนเกินไปต้องคำนึงถึงการใช้พื้นที่ในการเกี้ยวพาราสีของนกหว้า
ในช่วงฤดูผสมพันธุ์ด้วย และส่วนในร่ม (ภาพที่ 7) ยาวประมาณ 2.55 เมตร
เปน็ บริเวณดา้ นหลัง ภายในจำเปน็ อยา่ งยง่ิ จะตอ้ งมีคอนสำหรับนกเกาะนอน
มีพนื้ ทีส่ ำหรับหลบภยั และพืน้ ที่สำหรับกินอาหาร

ภาพท่ี 6 แสดงภายในกรงเลีย้ งพอ่ แม่พนั ธ์ุสว่ นกลางแจ้ง

12

ภาพท่ี 7 แสดงภายในกรงเล้ยี งพอ่ แม่พันธ์ุสว่ นในรม่
ขอ้ ควรระวงั
1. ภายในกรงเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ระหว่างกรงควรปิดทึบเพื่อป้องกันการจักตี
ระหว่างคอก (ภาพท่ี 8)
2. การวางไข่บนคอนอาจเกิดขึ้นในนกหว้าบางตัวที่ไข่ขณะเกาะคอน
ควรป้องกันโดยการขึงสแลนรองไว้บริเวณใต้คอน เมื่อนกหว้าไข่ลงมาจะทำ
ให้ไข่ไมห่ ล่นลงกระทบพ้ืนลดอัตราการสญู เสียได้เป็นอย่างดี (ภาพท่ี 9)

13

ภาพท่ี 8 แสดงการปิดทบึ เพื่อปอ้ งกันการจิกตีระหว่างคอก

ภาพท่ี 9 แสดงการขงึ สแลนรองไว้บรเิ วณใต้คอน

14

อาหารพอ่ แมพ่ นั ธุ์

อาหารเป็นแหล่งของพลงั งาน แหล่งของโปรตนี และวัตถุดิบอาหาร
ท่เี ป็นแหล่งของวิตามิน และแร่ธาตุทีส่ ตั วต์ ้องการเพียงพอในแต่ละวันในการ
ให้อาหารของพ่อแม่พันธ์ุเพ่ืออัตราการฟักออก ดงั น้นั จึงต้องคำนึงถึงปริมาณ
โภชนาการและคุณภาพของอาหารเป็นสำคัญ เพื่อให้สัตว์ปีกพ่อพันธ์ุมี
ประสิทธิภาพการสืบพันธุ์ที่สมบูรณ์ และสัตว์ปีกแม่พันธุ์มีประสิทธิภาพการ
ผลิตไข่ที่ดีทั้งในด้านปริมาณ และคุณภาพของไข่ฟัก ซึ่งจะนำไปสู่อัตราการ
ฟักออกที่ดีต่อไป ในธรรมชาตินกหว้าสามารถกินอาหารได้หลายชนิดเช่น
ผลไมส้ กุ หล่นจากตน้ ธัญพชื แมลง ปลวก และหนอน เป็นต้น

ในสภาพการเพาะเลี้ยงนกหว้าสามารถกินอาหารท่ีหลากหลายและ
ได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน และเพียงพอในแต่ละวันใกล้เคียงกับอาหารใน
ธรรมชาติ เพื่อการดำรงชีวิต การสืบพันธุ์ที่ดี เช่น โปรตีน มีระดับโปรตีน
ประมาณ 18 เปอรเ์ ซ็นตใ์ นพ่อแม่พนั ธ์ุ สำหรับระยะไกร่ นุ่ ให้โปรตีนประมาณ
16 เปอร์เซ็นต์และโปรตีน 30 เปอร์เซ็นต์สำหรับลูกไก่ การศึกษาของ ยุพา
พร สุรพันธ์พิทักษ์ และสมพงค์ วิณิกสัมบัน ( ม.ป.ป.) ได้ศึกษาความ
หลากหลาย และความต้องการโภชนะสำหรับนกหว้าโดยการเลือกกินอาหาร
แบบอิสระในสถานีวิจัยเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าโคกไม้เรือ อำเภอตากใบ จังหวัด
นราธิวาส พบว่านกหว้าสามารถเลือกกินอาหารได้หลากหลายและจะเลือก
กนิ อาหารบางชนิดมากกว่าบางชนิดตามความชอบ อาหารทน่ี กหวา้ ชอบและ
เลือกกินมากที่สุดคือ มะละกอ รองลงมาคือกล้วย และถั่วเขียว และอาหาร
ที่เลอื กกินในปรมิ าณน้อย คอื ข้าวเปลอื ก และอาหารไก่ไข่

15

อาหารหลักที่ให้ในแต่ละวันให้อาหารที่หลากหลายผสมกันให้ตัว
สัตว์เลือกกิน ใช้อาหารไก่ไข่เป็นแหล่งโปรตีน ผสมเมล็ดธัญพืชรวมเช่น ถ่ัว
เขียวข้าวเปลือก ถั่วลิสงเป็นต้น ผลไม้สุกกล้วย มะละกอ (ภาพท่ี 10) และ
แหลง่ แคลเซียมจากเปลอื กหอยป่น

กลว้ ย มะละกอ

เปลอื กหอยปน่ อาหารไก่ไขผ่ สมเมลด็ ธัญพืชรวม

ภาพท่ี 10 อาหารหลักท่ีให้ในแตล่ ะวัน

16

อาหารเสริมอน่ื ๆ จากหนอนนก จ้ิงหรีด ไสเ้ ดอื น ข้าวกล้องผสมไข่ไก่
ตม้ ในช่วงฤดูผสมพนั ธุ์ อง่นุ ขา้ วโพด (ภาพที่ 11) และปลายขา้ ว และเสริม
วติ ามนิ รวมพลสั แอนติ ไบโอติค ทีม่ ขี ายทั่วไปเชน่ ไบโอ- บี12 และที-มิกซ์พลัส
(ภาพท่ี 12) เป็นตน้

กข

คง

17

จ ฉ

ภาพท่ี 11 แสดงอาหารเสรมิ อืน่ ๆ
(ก) หนอนนก (ข) จงิ้ หรีด (ค) ไสเ้ ดอื น
(ง) ข้าวกล้องผสมไข่ไก่ตม้ (จ) องุ่น (ฉ) ข้าวโพด

ก ข

ภาพท่ี 12 แสดงรวมพลัสแอนติ ไบโอติค
(ก) ไบโอ- บี12 (ข) ที-มิกซพ์ ลัส

18

ใช้ถาดกระเบื้อง (ภาพที่ 13) ที่อาหารหล่นออกยากในขณะที่นก
หวา้ คุย้ เข่ียอาหาร และขวดนำ้ ใช้ขวดน้ำสำหรับไก่ ผสมวติ ามนิ รวมพลัสแอน
ติไบโอติค (ภาพที่14) ให้สัปดาห์ละครั้งหรือเมื่ออากาศเปลี่ยนแปลงเพื่อลด
ความเครยี ดและปอ้ งกันโรคติดเชอื้ ต่าง ๆ

การให้อาหารและน้ำให้ในเวลาเช้า 8.00-8.30 น. ไม่ควรให้อาหาร
ในปริมาณที่มากหรือน้อยจนเกินไป โดยให้อาหารหลักเป็นอาหารไก่ไข่ผสม
เมล็ดธัญพืชรวมเช่น ถั่วเขียว ข้าวเปลือก ถั่วลิสง 30 กรัม กล้วยสุก
20 กรัม มะละกอ สุก 20 กรัม แหล่งแคลเซียมจากเปลือกหอยป่น 2 กรัม
และเสริมอาหารเสริมสลับกันไปในแต่ละวัน เช่นหนอนนก จิ้งหรีด ไส้เดือน
ข้าวกลอ้ งผสมไข่ไกต่ ้ม ในช่วงฤดูผสมพนั ธ์ุ หรอื องนุ่ ข้าวโพด และปลายข้าว
พ ่ อ แ ม ่ พ ั น ธ ุ ์ น ก ห ว ้ า จ ะ ก ิ น อ า ห า ร ใ น ป ร ะ ม า ณ ก า ร ใ ห ้ ท ี ่ เ ห ม า ะ ส ม เ ฉ ลี่ ย
ไม่เกิน 144.90 กรัม/ตัว/วัน

วางถาดอาหารบนถาดรองอาหารใส่นำ้ ในถาดรองเพ่ือปอ้ งกนั มด
(ภาพท่ี 15) บริเวณใกล้ๆ ประตูกรงเพื่อไม่เป็นการรบกวนตัวสัตว์มาก
จนเกินไป และควรเกบ็ ถาดอาหารในทุกๆ เย็นเพ่อื ป้องกันหนูที่เป็นพาหะนำ
โรคตา่ งๆ

19

ภาพท่ี 13 แสดงถาดกระเบื้องสำหรับใส่
อาหารนกหว้าพ่อแมพ่ ันธุ์

ภาพท่ี 14 แสดง ขวดนำ้ สำหรบั ไก่ ภาพท่ี 15 แสดงถาดรองอาหาร
ผสมวติ ามนิ รวมพลสั แอนติไบโอ
ตคิ

20

การจบั คู่

การเตรียมพ่อแม่พันธุ์ควรเป็นพ่อแม่พันธุ์ที่มีความสมบูรณ์
และโตเต็มวัยอายุ 3 ปี ขึ้นไปเหมาะสำหรับการเป็นพ่อแม่พันธุ์ จากนั้น
ดำเนินการเทียบคู่ก่อนฤดูผสมพันธุ์จะมาถึงสร้างความคุ้นเคยเพื่อลดโอกาส
การทำร้ายจิกตีกัน และเพื่อให้พร้อมที่จะผสมพันธุ์ และวางไข่ การจับคู่พ่อ
แม่พันธุ์นกหว้าในสภาพการเพาะเลี้ยงควรจับคู่ในเวลากลางคืน คือนำนก
หว้าแต่ละตัวออกจากกรงเดิมแล้วนำไปจับคู่ในกรงใหม่เมื่อถึงตอนเช้ามานก
หว้าจะรู้สึกว่าอยู่ถิ่นใหม่ทั้งคู่ไม่ควรจับตัวใดตัวหนึ่งเข้าหาตัวที่อยู่ในกรง
เพราะสัตว์ในตระกูลไก่ฟ้าเป็นสัตว์ที่หวงถิ่นอาศัยอาจจะทำให้เกิดการจิกตี
ตัวที่เข้ามาในอาณาเขตจนถึงตายได้ นกหว้าตัวผู้เมื่อมีลักษณะที่โดดเด่นไป
จากปกติเป็นอย่างมากเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับการเข้าสู่ฤดูผสมพันธุ์ โดย
ลักษณะของนกหว้าตัวผู้จะมีสีบริเวณหน้าเป็นสีฟ้าครามเข้ม ตาดำสนิท
ขนบริเวณหัวพองชี้ตั้งตรงขนบริเวณคอ และตัวพองฟู อย่างเห็นได้ชัด
(ภาพท่ี 16)

21

ภาพท่ี 16 แสดงนกหวา้ ตวั ผู้ในฤดูผสมพนั ธ์ุ

22

พฤตกิ รรมกับฤดูการผสมพนั ธุ์

1. พฤตกิ รรมการส่งเสยี งรอ้ ง
พ ฤ ต ิ ก ร ร ม ก า ร ส ่ ง เ ส ี ย ง ร ้ อ ง ข อ ง น ก ห ว ้ า จ ะ ม ี ล ั ก ษ ณ ะ เ ฉ พ า ะ ตั ว

แตกต่างไปจากนกชนิดอื่นๆสามารถส่งเสียงร้องดังได้ยินไปไกล จะพบได้
ตลอดทั้งปีโดยเฉพาะในช่วงก่อนฤดูผสมพันธุ์ในเดอื นตลุ าคม นกหว้าตัวผ้จู ะ
ส่งเสียงร้องดงั อย่างชดั เจน ทงั้ ตอนกลางวัน และกลางคนื เป็นระยะๆเป็นการ
ประกาศอาณาเขตของตนโดยลักษณะการส่งเสียงร้อง นกหว้าจะอ้าปาก เงย
หน้าขึ้น ยืดคอขึ้น แล้วเปล่งเสียงออกจากลำคอเสียงร้องของนกหว้าจะส่ง
เสยี งร้องว่า กวา้ -ว้าว ๆ ๆ ๆ เสยี งจะดงั ก้องกงั วาน เปน็ การร้องเรยี กนกหว้า
ตัวเมียเมื่อนกหว้าตัวเมียสนใจ นกหว้าตัวผู้ นกหว้าตัวเมียจะเดินเข้ามาหา
ตัวผู้ทีล่ าน (ภาพท่ี 17)

23

ภาพที่ 17 แสดงพฤติกรรมการส่งเสยี งร้องของนกหวา้ ตวั ผู้

24

2. พฤติกรรมการเกี้ยวพาราสี

นกหว้าตัวผู้จะแสดงพฤติกรรมเกี้ยวพาราสีในเดือนธันวาคม
เมื่อนกหว้าตัวเมียเข้ามาหาตัวผูบ้ ริเวณลาน นกหว้าตัวผูจ้ ะเกรง็ ตัว และพอง
แถบขนบนหัวจนฟู ยืดคอไปข้างหน้า เดินโก่ง แล้วเดินตบเท้าหนักๆเสียงดัง
วนไปรอบๆ ตวั เมยี สลับกับการวง่ิ วนกระแซะตวั เมยี เพื่อให้ตวั เมียสนใจ แลว้
จึงโบกหางเขา้ มาใกล้ ค้ตู ัวไปข้างหน้า กางปีกออกรำแพนปีกทั้งสองกางออก
เต็มที่คล้ายพัดให้เห็นลายดอกดวงบนขนกลางปีกพร้อมทั้งขนหางคู่กลางจะ
เกรง็ ขึน้ ตงั้ ฉากกบั ลำตัวย่อเท้าข้างใดข้างหนึ่งไปข้างหน้าแลว้ พบั คอเอาหัวซุก
ปกี แนบลำตวั (ภาพท่ี 18) จากน้นั กม้ หวั ลงตำ่ เดินตบเทา้ รอบๆ ตวั เมีย มกี าร
วิ่งโฉบเข้าหาตัวเมียในเวลาสั้นๆ เมื่อรำแพนไม่นานก็หยุดแล้วจิกขนตัวเมีย
(ภาพท1่ี 9) สลับกบั การเดินวนรอบตวั เมียแลว้ จกิ พ้ืนใกล้ๆ เมอื่ ตวั เมียยนิ ยอม
จะนอนหมอบ ตัวผู้จะขน้ึ ไปเหยยี บบนหลงั เพอ่ื ทำการผสมพันธุ์

25

ภาพท่ี 18 แสดงพฤติกรรมการเกี้ยวพาราสี

26

ภาพท่ี 19 แสดงพฤติกรรมการเก้ยี วพาราสี (จกิ ขนตวั เมยี )

27

การผสมพันธ์แุ ละการวางไข่

ฤดูการผสมพันธุ์จะเริ่มขึ้นในเดือนตุลาคม และฤดูวางไข่จะอยู่ใน
เดือน มกราคม-เมษายน การวางไขข่ องนกหว้าจะวางไข่ และกกไขบ่ นพื้นดิน
นกหวา้ ตวั เมียจะค้ยุ ดนิ เปน็ หลุมบริเวณมุมกรง (ภาพที่ 20) ท่ีมีอากาศถ่ายเท
ได้สะดวก มแี ดดสอ่ งส่องถึง การวางไข่จะวางไข่ คร้งั ละ 1-2 ฟอง โดยวางไข่
วันเว้นวันๆ ละ 1 ฟอง สีของไข่มีสีขาวครีม มีจุดประสีน้ำตาลแดงโดยรอบ
(ภาพที่ 21) ขนาดของไขเ่ ฉล่ียอยทู่ ่ี 4.41 x 6 เซนตเิ มตร น้ำหนักของไขเ่ ฉล่ีย
อยู่ที่ 74 กรัม มีระยะฟักไข่ 25 วัน หากเก็บไข่ออกมาฟักเองนกหว้าจะออก
ไขท่ ดแทนราว 2-3 ชดุ ต่อปี

ภาพท่ี 20 แสดงการวางไข่ ภาพท่ี 21 แสดง
บรเิ วณมมุ คอก ลกั ษณะของไข่นกหว้า

28

การฟกั ไข่

1 .วิธีฟักไข่โดยแมน่ กหว้าเอง
วิธีนีแ้ ม่นกหว้าจะฟักไข่เองใช้เวลาฟักไข่ 25 วัน เมื่อลูกนกหว้าออก

จากไข่จะต้องจัดเตรียมภาชนะที่ไมส่ ูงจนเกินไปเพื่อป้องกันการตกน้ำของลูก
นกหว้าน้ำสำหรับลูกนกหวา้ นั้นจะผสมวิตามินรวม อาหารสำหรับลูกนกหว้า
ระยะอนุบาล คืออาหารสำหรับลูกไก่ แม่นกหว้าจะพาลูกหาอาหาร, สอน
การจิกเขี่ยอาหาร และการระวังภัยรวมถึงการให้ความอบอุ่นแกล่ กู
ข้อดีของการฟักโดยวิธนี ้ีคอื ลดค่าใช้จ่ายในการอนุบาล และลูกนกหว้าจะได้
เรียนรูพ้ ฤตกิ รรมจากแม่นกหว้าโดยตรง
ข้อเสียของการฟักโดยวิธีนี้คือ ลูกนกหว้าเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย เช่นเป็น
ไขห้ วัดเป็นโรคฝดี าษทมี่ พี าหะเป็นยุงเป็นตน้ และจำนวนชุดของไข่จะนอ้ ยลง

2. วิธีฟักไขโ่ ดยแม่ไก่บ้าน
วิธีการใช้แม่ไก่บ้านในการฟักโดยการนำเอาไข่ของนกหว้ามาทำ

ความสะอาดด้วยฟอร์มาลีน 1 เปอร์เซ็นต์ เช็ดทำความสะอาดแล้วนำไข่ของ
ไก่บ้านออกแล้วนำไข่ของนกหว้าเข้าไปแทนที่โดยทำในช่วงตอนเวลา
กลางคนื เพอื่ ให้แมไ่ กย่ อมฟักไขข่ องนกหวา้ ซงึ่ ใช้เวลาฟักไข่ 25 วัน
ข้อดีของการฟักโดยวิธีนี้คือ ลดค่าใช้จ่ายในการอนุบาล และจำนวนของไข่
นกหว้ามากขึ้นเพราะมีการออกไข่ทดแทนไข่ท่ีหายไป
ข้อเสียของการฟักโดยวิธีนี้คือ เพิ่มต้นทุน และการจัดการไก่บ้านที่นำมาใช้
ฟักไข่และช่วงเวลาในการวางไข่ของแม่ไก่บ้าน อ าจ ไม่ตรง กับช่ว ง ก า ร
วางไข่ของนกหว้า

29

3. วธิ ีฟักไขโ่ ดยตฟู้ กั ไขไ่ ฟฟ้า
วิธีฟักไข่โดยตู้ฟักไข่ไฟฟ้าเป็นวิธีที่สะดวกมีอากาศหมุนเวียนภายใน

ตภู้ ายในมพี ัดลมพดั อากาศให้หมุนเวยี นอยู่ตลอดเวลาชว่ ยให้อุณหภูมิภายใน
ตู้คงที่ทั่วตู้ ตู้ฟักไข่ไฟฟ้าจะมีอุปกรณ์ควบคุมอุณหภูมิ และความชื้น มีการ
กลับไข่อัตโนมัติเพื่อง่ายต่อการใช้งาน การฟักวิธีนี้ต้องมีความใส่ใจ และ
ความรู้ ในการใชต้ ู้ฟักไขไ่ ฟฟา้
ข้อดีของการฟักโดยวิธีนี้คือ อัตราการรอดในการฟักสูง และสะดวกง่าย
ต่อการใช้งาน
ขอ้ เสียของการฟกั โดยวธิ นี ค้ี ือ ต้นทุนสูง

ขน้ั ตอนการเก็บไขม่ าฟกั โดยวธิ ีฟักไข่โดยตู้ฟกั ไข่ไฟฟ้า

1. เก็บไข่นกหว้าออกมาทำความสะอาด ด้วยฟอร์มาลีน
1 เปอร์เซ็นต์เช็ดทำความสะอาดแล้วนำไข่ของนกหวา้ เขยี นหมายเลขไข่ระบุ
วันที่เข้าฟักและหมายเลขกรงของพ่อแม่พันธุ์ พร้อมทั้งชั่งน้ำหนักวัดขนาด
ความกวา้ งและความยาว (ภาพที่ 22 )

2. เตรียมตู้ที่ทำความสะอาดฆ่าเชื้อเรียบร้อยแล้ว ตั้งอุณหภูมิในตู้
ฟักไม่ต่ำกว่า 37 องศาเซลเซียส ให้อยู่ระหว่าง 37-38 องศาเซลเซียส
ความชื้น 50-60 เปอร์เซ็นต์ เมื่อตู้พร้อมนำไข่นกหว้าวางในตูท้ ี่มีแผงกลับไข่
(ภาพที่ 23)

30

ทำความสะอาดดว้ ย เขียนหมายเลขของไข่

ชง่ั นำ้ หนกั ของไข่ วัดขนาดของไข่

ภาพที่ 22 แสดงการขน้ั ตอนการเก็บไขม่ าฟักโดยวธิ ีฟกั ไข่โดยตฟู้ กั ไข่ไฟฟา้

31

ภาพที่ 23 แสดงการฟักไขโ่ ดยใชต้ ้ฟู กั ไข่ไฟฟา้
3. การส่องไข่ เป็นขั้นตอนที่สำคัญหลังจากนำไข่เข้าฟักและควรใช้
เวลาในการส่องไข่ควรใช้เวลาอย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้อุณหภูมิเปลี่ยนไปจาก
ในตู้ฟักมากนัก เวลาในการส่องควรส่องในเวลาตอนกลางคืนจะทำให้เห็นได้
ชดั การสอ่ งไข่ใช้ไฟฉายในการส่อง (ภาพที่ 24) ไขบ่ างฟองเปน็ ไข่มีเชื้อที่เช้ือ
ตาย (ตายโคม) หรือไข่บางฟองเมื่อเข้าฟักอาจเป็นไข่ที่ไม่มีเชื้อสังเกตุได้
หลังจากเข้าฟัก 7-8 วัน จะส่องเห็นเป็นสีใสไม่มีเส้นเลือดภายในไข่ (ภาพท่ี
25 ) หากเป็นไข่มีเชื้อหลังเข้าตู้ฟักไข่ฟ้า 8 วัน จะเห็นเส้นเลือดสีแดงเป็น
ร่างแห ตรงกลางเป็นจุด และเคลื่อนไหวได้ (ภาพที่ 26) เมื่ออายุ 15 วัน ตัว
อ่อนมีการเคลื่อนไหว เส้นเลือดเจริญ (ภาพที่ 27) และมีขนาดใหญ่เต็มฟอง
เมื่อไข่อายุ 22-23 วันนำไข่ลงตู้เกิดหรือถาดเกิดไม่ต้องมีการกลับไข่เพ่ือ
ป้องกันลูกนกหว้าพิการ หลังจากนัน้ เมื่อครบระยะฟัก 25 วัน ลูกนกจะเจาะ
เปลือกไขเ่ พ่ือท่ีจะออกจากไข่ (ภาพท่ี 28)

32

ภาพท่ี 24 แสดงไฟฉายในการสอ่ ง

ภาพท่ี 25 แสดงไขน่ กหว้า ภาพท่ี 26 แสดงไขม่ เี ชื้อ
ทไ่ี ม่มีเช้อื หลังเข้าต้ฟู ักไข่ไฟฟ้าระยะ

8 วัน

33

ภาพท่ี 27 แสดงการส่องไข่ระยะ 15 วัน
ภาพที่ 28 แสดงไขน่ กหวา้ ระยะ 25 วนั

34

การอนุบาลลูกนกหวา้

1. การอนบุ าลโดยแมน่ กหวา้
สามารถให้แม่นกหว้าเลี้ยงลูกภายในกรงได้เลยลูกนกหว้าแรกเกิด
ลืมตาได้ มีขนอุยปกคลุมทั่วตัว และสามารถเดินตามแม่ไปหาอาหารได้ทันที
ที่ขนแห้ง ขนตามตัวจะเป็นสีน้ำตาลไม่มีลาย ยกเว้นบนหลังจะมีสีน้ำตาล
อ่อนแกมเหลืองเป็นแถบยาว 2 แถบ แม่นกหว้าจะพาลูกออกหาอาหาร
(ภาพท่ี 29) โดยแม่จะคุ้ยเขี่ยหาตัวแมลง และหนอนคาบไว้เพื่อให้ลูกจิกกิน
และจดั น้ำผสมวติ ามนิ รวม อาหารลกู ไกไ่ วใ้ ห้แม่นกหวา้ จะพาลกู หากินได้เป็น
อยา่ งดี และให้ความอบอุ่น (ภาพที่ 30) แตค่ วรระวังการติดเช้ือที่มีอยู่ภายใน
กรงของพอ่ แม่พันธุ์ และพาหะนำโรคทีส่ ามารถนำเชือ้ มาตดิ ลูกนกได้ เช่น ยุง
เป็นตน้ ลูกนกจะอยู่กบั แม่อายุ จนถงึ อายรุ าว 5 - 6 สัปดาห์สามารถแยกลูกนกหว้า
ออกไปเลีย้ งในกรงอืน่ ได้

35

ภาพที่ 29 แสดงแม่นกหวา้ พาลกู หากนิ

36

ภาพท่ี 30 แสดงแมน่ กหว้าให้ความอบอนุ่ แกล่ ูก

2. การอนบุ าลโดยคนเล้ียง
หลังจากครบระยะออกจากไข่จะต้องอนุบาลโดยคนเลี้ยงลูกนกหวา้

ที่ออกจากไขจ่ ะทำการเจาะไข่ออกมาแล้วจะส่งเสยี งร้องทันที ลูกนกหวา้ แรก
เกิดขนจะมีลักษณะเปียก ขาจะไม่มีแรงหรือมีการแบะในบางตัวจำเป็นต้อง
เก็บลูกนกหว้าไว้ในตู้เกิดจะต้องอยู่ในตู้เกิดอีก 1 วัน เพื่อให้ขนของลูกนก
หวา้ น้นั แหง้ สนทิ ขนจะฟูหลงั (ภาพท่ี 31) จากนัน้ ในระหว่างทอี่ ยใู่ นต้เู กิดน้ัน
ไมค่ วรให้อาหาร และนำ้

37

ภาพท่ี 31 แสดงลูกนกหว้าแรกเกิด

การอนบุ าลลูกนกหวา้ ระยะอนุบาล
เม่ือลูกนกอายุ 2 วัน นำออกมาเก็บข้อมูลน้ำหนักแรกเกิดเฉลี่ยอยู่ที่

51 กรัมจากนั้นอนุบาลลูกนกหว้าในกรงอนุบาลที่มีไฟให้ความอบอุ่นแก่ลูก
นกหวา้ ตลอด 24 ชวั่ โมง มอี าหารทสี่ ดใหมใ่ ห้กนิ ตลอดเวลา และจะต้องดูแล
เปน็ พิเศษ

ลูกนกหว้าระยะอนุบาลมีอายุตั้งแต่ 2 วัน ถึง 6 สัปดาห์ ทำการ
อนุบาลภายในกรงอนุบาล สามารถนำกล่องขนย้ายสัตว์ที่มีมาประยุกต์ใช้ได้
เพื่อลดตน้ ทุนในการจดั ทำกรงอนุบาลสัตวแ์ รกเกดิ ได้ โดยเลือกขนาดกรงท่ีไม่
เล็กและใหญ่เกินไป ภายในใส่หญ้าแพงโกล่าที่สะอาดใส่ในปริมาณที่ไม่มาก
หรือ น้อยเกนิ ไป

38

สำหรับรองพื้นกรง มีโคมไฟพร้อมหลอดไฟขนาด 60 วัตต์ คลุมโคมไฟด้วย
กระดาษแก้วสีแดงทนความร้อนเพ่ือป้องกันการระคายเคืองตาของลูกนก
โคมไฟจะต้องติดไมส่ ูงหรือตำ่ จนเกนิ ไปเพ่ือใหล้ ูกนกได้รับความอบอุ่นที่พอดี
(ภาพท่ี 32)

โคมไฟพร้อมหลอดไฟขนาด
60 วัตต์

หญา้ แพงโกลา่
ภาพท่ี 32 แสดงกรงสำหรบั อนุบาลลกู นกหวา้

39

อาหารสำหรบั ลกู นกหวา้ ระยะอนบุ าล
1. งดการใหอ้ าหารสำหรบั วันแรกท่ีออกจากไข่เร่ิมให้อาหารในระยะ

อายุ 2 วนั ซ่ึงในระยะน้ียังกินอาหารไม่ค่อยเกง่ ควรใชถ่ าดอาหารตืน้ ๆและฝึก
ให้ลูกนกหว้ากินอาหารโดยใช้นิ้วเขี่ยอาหารไปมาเป็นการกระตุ้น ให้ลูกนก
หว้ากินอาหารได้ และควรมีภาชนะใส่น้ำขนาดเล็กมีความสูงเพียงเล็กน้อย
เพ่อื ปอ้ งกนั การตกน้ำของระยะน้ี

2. ใชอ้ าหารสำเรจ็ รปู สำหรบั ลกู ไก่เน้ือ หรือลูกไก่ไขท่ ีม่ รี ะดับโปรตีน
20 - 30 เปอรเ์ ซ็นต์

3. การให้วิตามินรวมละลายในน้ำตลอดระยะเวลาจะช่วยลด
ความเครียด ลดอัตราการตาย ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโต และป้องกันการ
เป็นหวดั ในลกู นกหว้า

4. ลูกนกหว้าอายุ 1 สปั ดาหเ์ สรมิ อาหารประเภทโปรตีน เช่น ปลวก
ไข่ไก่ต้มสุก และหนอนนกตัวเล็กๆ และมีอาหารลูกไก่ขนาดเล็กเพื่อให้ลูก
นกหว้ากนิ ได้งา่ ย

5. ควรมีอาหาร และน้ำสำหรับกินตลอดเวลาโดยเปลี่ยนใหม่
ทกุ ๆ วัน

6. หมั่นดูแลความสะอาดในกรงควรทำความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ
เพราะมูลของลกู นกอาจเปน็ แหล่งสะสมเชือ้ ทำให้ลูกนกเกิดการติดเช้ือได้

40

ข้อควรระวัง
1. ควรระวังและป้องกันสตั วท์ ี่สามารถมาทำร้ายและเป็นพาหะของ

โรคสู่ลกู นกหว้าได้ เชน่ แมว หนู มด และยุง เป็นตน้
2. ควรทำความสะอาดกรงอนุบาลเป็นพิเศษเพื่อป้องกันการ

ติดเชอื้
3. กรงควรวางบรเิ วณทมี่ อี ากาศถา่ ยเทสะดวกแต่ไม่มลี มโกรก

ลูกนกหวา้ ระยะอนุบาล
ลูกนกหว้าระยะอนุบาลเป็นระยะที่เริ่มตั้งแต่อายุ 2 วันจนถึงอายุ 6

สัปดาห์ ลูกนกหว้าในระยะอนุบาลจะมีความแตกต่างกันในระหว่างช่วงอายุ
โดยเฉพาะ ขนาดตวั ความยาวขนปกี และขนหางทม่ี กี ารเปล่ียนแปลงไปอย่าง
เหน็ ได้ชัด รวมทง้ั สขี นท่เี ปลย่ี นไปจากสนี ้ำตาลแดงเปน็ สีน้ำตาลเข้ม ลวดลาย
บนเสน้ ขนชดั เจนข้นึ เมื่อมีอายุท่ีมากข้ึน และนำ้ หนักจะเพ่ิมข้ึนเรื่อยๆในทุกๆ
สัปดาห์เมื่ออายุ 2 วันจะมีน้ำหนักอยู่เฉลี่ยที่ 51 กรัม อายุ 1 สัปดาห์ มี
นำ้ หนักเฉลย่ี อยูท่ ่ี 53 กรมั อายุ 2 สปั ดาห์ มีนำ้ หนักเฉลย่ี อยทู่ ี่ 84 กรมั อายุ
3 สัปดาห์ มีน้ำหนักเฉลี่ยอยู่ที่ 95 กรัม อายุ 4 สัปดาห์ มีน้ำหนักเฉลี่ยอยู่ที่
110 กรัม อายุ 5 สัปดาห์ มีน้ำหนักเฉลี่ยอยู่ท่ี 175 กรัม และ อายุ6 สัปดาห์
มนี ้ำหนักเฉล่ยี อยทู่ ่ี 213 กรมั (ภาพที่ 33)

41

อายุ 2 วนั
อายุ 1 สปั ดาห์

อายุ 2 สปั ดาห์

42

อายุ 3 สปั ดาห์

อายุ 4 สัปดาห์
อายุ 5 สปั ดาห์

43

อายุ 6 สปั ดาห์

ภาพที่ 33 แสดงลูกนกหว้าระยะอนุบาลอายุ 2 วนั จนถึงอายุ 6 สปั ดาห์

การอนุบาลลกู นกหวา้ ระยะไก่รนุ่
กรงสำหรับอนุบาลลูกนกหว้าระยะไก่รุ่นขนาดกรงความกว้าง

1.5 - 2 เมตร ความยาว 3 เมตร ความสูง 1.8 เมตรการออกแบบกรงนั้น
ความตอ้ งดเู หมาะสมของสภาพพ้นื ที่ จำนวนลูกสตั ว์ และควรคำนึงถึงวัสดุใน
การสร้างกรงควรมีความทนทาน รูปแบบกรงต้องระบายอากาศได้ดีพื้นท่ี
ภายในแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนในร่ม และกลางแจ้ง ส่วนในร่มจะ
ประกอบด้วยคอนไม้ในลูกนกระยะนี้จำเป็นอย่างมากจะต้องมีคอนสำหรับ
เกาะ เดิน นอนรวมทั้ง หนีภัย พื้นกลางแจ้งประกอบด้วยหญ้า และต้นไม้
เพอ่ื ใหค้ วามร่มเงา พ้ืนทีส่ ำหรับเดิน และเพ่ือคุย้ เขยี่ อาหาร

ระยะนี้คืออายุตั้งแต่ 6 สัปดาห์ ถึง 1 หรือ 2 ปี ซึ่งความต้องการ
ของสารอาหารจะเปลย่ี นแปลงไปดงั น้ันควรเลอื กสตู รอาหารท่เี หมาะสม

44


Click to View FlipBook Version