The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การพัฒนาบทเรียนสำเร็จรูป กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนพระธาตุขามแก่นพิทยาลัย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by social study, 2021-06-05 13:03:49

21-นางสาวสุดารัตน์-เมืองสุวรรณ-ฉบับสมบูรณ์

การพัฒนาบทเรียนสำเร็จรูป กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนพระธาตุขามแก่นพิทยาลัย



รายงานการศึกษาอสิ ระทางสังคมศกึ ษา
เรื่อง

การพฒั นาบทเรยี นสําเรจ็ รูป กลุ่มสาระการเรยี นรู้สังคมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม
สำหรบั นกั เรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรยี นพระธาตุขามแก่นพทิ ยาลยั

โดย

นางสาวสุดารตั น์ เมอื งสุวรรณ
รหสั นิสิต ๖๐๐๕๕๐๒๐๒๘

รายงานการศกึ ษาอสิ ระนเี้ ปน็ ส่วนหน่งึ ของรายวชิ าการศกึ ษาอิสระทางสงั คมศกึ ษา (๒๐๓ ๔๒๐)
ภาคเรยี นท่ี ๒ ปีการศกึ ษา ๒๕๖๓

หลักสตู รพทุ ธศาสตรบัณฑติ สาขาวชิ าสังคมศึกษา คณะครุศาสตร์
มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั
วิทยาเขตขอนแกน่

ชือ่ งานวจิ ยั ก

ผูว้ จิ ยั : การพฒั นาบทเรยี นสาํ เรจ็ รปู กลมุ่ สาระการเรยี นรู้สังคมศกึ ษา ศาสนา
ปรญิ ญา
อาจารยท์ ีป่ รกึ ษา และวฒั นธรรม สำหรับนกั เรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ 1 โรงเรยี นพระธาตุ
ปกี ารศึกษา ขามแก่นพทิ ยาลยั

: นางสาวสุดารัตน์ เมอื งสวุ รรณ
: พุทธศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสังคมศึกษา
: อาจารย์วริ ัตน์ ทองภู
: ๒๕๖๓

บทคัดยอ่

การวจิ ัยครั้งน้ี มีวัตถปุ ระสงค์ ๑) เพื่อสรา้ งและพฒั นาบทเรยี นสำเรจ็ รปู กลมุ่ สาระการเรียนรู้
สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตามเกณฑ์มาตรฐาน
๘๐/๘๐ ๒) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนพระธาตุขามแก่น
พิทยาลัย ที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนโดยใช้บทเรียนสำเร็จรูป กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา
ศาสนาและวัฒนธรรม เป็นการวจิ ยั เชงิ ทดลอง (Experimental Research) กล่มุ เปา้ หมายท่ีใช้ในการ
วิจัย คือ นักเรียนที่เรียนบทเรียนสําเร็จรูป กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/๒ โรงเรียนพระธาตุขามแก่นพิทยาลัย ภาคเรียนที่ ๒
ปีการศกึ ษา ๒๕๖๓ จำนวน ๑๘ คน ไดม้ าโดยวธิ ีการเลอื กแบบเจาะจง เครอื่ งมือทใี่ ช้ในการวิจัย ได้แก่
1) แผนการจัดการเรียนรู้ ๒) สื่อการสอนบทเรียนสําเร็จรูป จำนวน ๔ ชุด ๓) แบบทดสอบวัด
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นแบบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
ได้แก่ ค่าเฉล่ยี ( ̅ ) และส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน (S.D.)

ผลการวิจัยพบว่า

1) การพัฒนาบทเรียนสำเร็จรูป กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตามเกณฑ์มาตรฐาน ๘๐/๘๐ โรงเรียนพระธาตุขามแก่น
พทิ ยาลัย มปี ระสิทธิภาพ เท่ากบั ๘๒.๒๒/๘๖.๓๐ ซึง่ สูงกวา่ เกณฑท์ ่ีกำหนดไว้

๒) ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนพระธาตุขามแก่นพิทยาลัย
ทไี่ ดร้ บั การจดั การเรยี นการสอนโดยใช้บทเรียนสำเร็จรปู กลมุ่ สาระการเรยี นรู้สงั คมศึกษา ศาสนาและ
วฒั นธรรม อยใู่ นระดบั มาก มีคา่ เฉลีย่ ๔.๓๓ และส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน ๐.๒๐



กติ ตกิ รรมประกาศ

การวิจัยเรื่อง การพัฒนาบทเรียนสําเร็จรูป กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและ
วัฒนธรรม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนพระธาตุขามแก่นพิทยาลัย เล่มนี้สำเร็จ
สมบูรณ์ได้ด้วยความกรุณาและความช่วยเหลือ ให้คำแนะนำอย่างดียิ่งจาก อาจารย์วิรัตน์ ทองภู
อาจารย์ที่ปรึกษาที่กรุณาให้คำปรึกษา ตลอดจนการตรวจแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ และให้กำลังใจใน
การศกึ ษามาโดยตลอด ผู้วิจัยขอขอบพระคณุ เปน็ อยา่ งสูง

ขอขอบพระคุณในความกรุณาของผู้เชี่ยวชาญทั้ง ๓ ท่าน ผศ.ดร.อนุสรณ์ นามทะราช
อาจารย์บุญส่ง นาแสวง และอาจารย์พันทิวา ทับภูมี ที่ได้ให้ความอนุเคราะห์ในการตรวจสอบ
เครื่องมือสำหรับใช้ในงานวิจัยและให้คำปรึกษาเพื่อแก้ไขจนเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมีความถูกต้อง
สมบรู ณค์ รบถ้วน

ขอขอบพระคุณท่านผอู้ ำนวยการ คณะครู โรงเรยี นพระธาตุขามแก่นพิทยาลัย ทีอ่ ำนวยความ
สะดวกในการเกบ็ รวบรวมข้อมูลในระหวา่ งการทำวิจยั ใหค้ ำแนะนำ และแกไ้ ขข้อบกพร่องให้งานวิจัย
น้สี มบรู ณย์ ิง่ ขน้ึ

ขอขอบพระคุณคณาจารย์ นักวิชาการทุกท่านที่เป็นเจ้าของหนังสือและงานวิจัยที่มีคุณค่า
ซึ่งทา่ นได้เขยี นงานเอกสารไว้ให้ไดศ้ กึ ษาคน้ ควา้ เพอ่ื เปน็ ข้อมูลประกอบในการเขยี นงานวิจยั ในคร้ังน้ี

ขอขอบคุณเพื่อน ครอบครัว และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่าน ที่ให้ความช่วยเหลือสนับสนุน
ให้คำแนะนำ และให้กำลังใจตลอดการทำวิจัยในคร้ังน้ี ผู้วิจัยหวังเป็นอย่างย่ิงว่างานวิจัยเล่มนี้จะเปน็
ประโยชนแ์ ก่ผู้ทีส่ นใจต่อไป

นางสาวสดุ ารัตน์ เมืองสวุ รรณ
ผวู้ ิจัย

สารบญั ค

เรื่อง หนา้

บทคัดยอ่ ก
กติ ติกรรมประกาศ ข
สารบญั ค
สารบัญตาราง จ
สารบัญภาพ ฉ

บทที่ ๑ บทนำ ๑
๑.๑ ความเปน็ มาและความสำคัญของปัญหาการวิจยั ๑
๑.๒ วตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจัย ๓
๑.๓ ขอบเขตของการวจิ ยั ๓
๑.๔ นิยามศพั ทเ์ ฉพาะในการวิจัย ๓
๑.๕ ประโยชนท์ ไ่ี ด้รบั จากการวิจยั ๕

บทที่ ๒ แนวคดิ ทฤษฎี และงานวจิ ยั ทเี่ ก่ยี วขอ้ ง ๖
2.1 หลกั สตู รการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน ๖
2.2 แนวคิดการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ ๘
2.3 ทฤษฎกี ารจัดกิจกรรมการเรียนรู้และทฤษฎีเกย่ี วกับความพึงพอใจ ๑๒
2.4 บทเรียนสำเร็จรปู ๒๑
๒.๕ การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น ๓๔
2.๖ งานวิจยั ทเ่ี กยี่ วขอ้ ง ๓๖
2.๗ กรอบแนวคดิ ในการวิจยั ๓๘

บทท่ี ๓ ระเบียบวิธีการวิจัย ๓๙
3.1 รปู แบบการวจิ ัย ๓๙
3.2 ประชากรและกลุ่มเป้าหมาย ๓๙
3.3 เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจยั ๔๐
3.4 การเกบ็ รวบรวมข้อมลู ๔๔
3.5 การวเิ คราะหข์ ้อมูล ๔๕
3.6 สถิติทีใ่ ช้ในการวเิ คราะห์ข้อมูล ๔๕



สารบญั (ตอ่ )

เรอื่ ง หน้า

บทที่ ๔ ผลการศึกษาวิจัย ๔๗
๔.๑ ผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากแบบฝึกหดั ระหว่างเรียน ๔๘
และแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน
ให้มปี ระสิทธภิ าพของบทเรียนสำเร็จรปู กล่มุ สาระการเรยี นรู้สังคมศกึ ษา ๕๐
ศาสนาและวฒั นธรรม สำหรบั นกั เรยี นช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี 1
ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ๕๑
๔.๒ ผลการวเิ คราะหค์ วามพึงพอใจของนักเรยี นชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 1
โรงเรียนพระธาตุขามแกน่ พิทยาลยั ที่ได้รับการจดั การเรยี นการสอน
โดยใชบ้ ทเรยี นสำเรจ็ รปู กลุ่มสาระการเรียนร้สู งั คมศึกษา ศาสนา
และวัฒนธรรม
๔.๓ องค์ความร้ใู หม่ทีไ่ ด้จากการวจิ ัย

บทที่ ๕ สรุปผล อภิปรายผลการวจิ ัย และขอ้ เสนอแนะ ๕๒
๕.๑ สรุปผลการวิจัย ๕๒
๕.๒ อภิปรายผลการวิจัย ๕๒
๕.๓ ขอ้ เสนอแนะ ๕๔

บรรณานกุ รม ๕๕
ภาคผนวก ๕๘
๕๙
ภาคผนวก ก รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครอ่ื งมือทใี่ ชใ้ นการวิจัย ๖๑
ภาคผนวก ข แบบประเมนิ คุณภาพเครื่องมือโดยผู้เชีย่ วชาญ ๖๕
ภาคผนวก ค ผลการวเิ คราะห์ข้อมูลของผู้เชี่ยวชาญ ๖๙
ภาคผนวก ง ผลการวิเคราะห์คา่ ความเชอ่ื มั่นของแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิ ๗๕
ภาคผนวก จ แผนการจดั การเรียนรู้ ๙๕
ภาคผนวก ฉ ตัวอย่างส่ือการสอน บทเรียนสำเร็จรปู ๙๗
ภาคผนวก ช ภาพประกอบการเก็บรวบรวมขอ้ มูล ๑๐๑
ประวัติผู้วจิ ัย



สารบญั ตาราง

ตารางที่ คา่ ประสทิ ธภิ าพ (E๑/E๒) ของบทเรียนสำเรจ็ รูป หนา้
กล่มุ สาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สำหรบั นกั เรยี น
ตารางที่ ๔.๑ ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ๔๘
ผลการวิเคราะหค์ วามพึงพอใจของนักเรยี นช้นั มัธยมศึกษาปที ่ี 1
ตารางท่ี ๔.๒ โรงเรียนพระธาตขุ ามแก่นพิทยาลยั ที่ไดร้ บั การจัดการเรยี นการสอน ๕๐
โดยใชบ้ ทเรียนสำเรจ็ รปู กลุ่มสาระการเรยี นรู้สงั คมศึกษา
ตารางท่ี ๔.๓ ศาสนาและวฒั นธรรม ๖๖
ผลการวเิ คราะหค์ ะแนนความคดิ เห็นผู้เชย่ี วชาญดา้ น
ตารางท่ี ๔.๔ ความสอดคลอ้ งระหว่างแผนการจดั การเรียนรกู้ บั เร่อื ง ๖๗
ตารางที่ ๔.๕ วนั สำคญั ทางพระพทุ ธศาสนา ๖๘
ตารางที่ ๔.๖ ผลการวเิ คราะหค์ ะแนนความคดิ เหน็ ผเู้ ชี่ยวชาญดา้ น ๗๔
ความสอดคลอ้ งระหวา่ งสอ่ื การสอนบทเรยี นสำเรจ็ รูปกบั เน้อื หาทใ่ี ช้สอน
ผลการวิเคราะหค์ ะแนนความคดิ เห็นผูเ้ ชย่ี วชาญด้านความสอดคลอ้ ง
ระหวา่ งแบบสอบถามความพึงพอใจของบทเรยี นสำเร็จรูปกับจดุ ประสงค์
ผลการวิเคราะหค์ ะแนนความคดิ เห็นผู้เชี่ยวชาญด้าน
ความสอดคล้อง (IOC) ระหว่างแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์
ทางการเรียนกับจดุ ประสงค์การเรียนรู้

สารบญั ภาพ ฉ

ภาพท่ี หน้า

ภาพท่ี ๒.๑ กรอบแนวคิดในการวิจยั ๓๘



บทท่ี 1

บทนำ

1.1 ความเป็นมาและความสำคัญของปญั หา

การศึกษานับเป็นรากฐานที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งสำหรับการสร้างสรรค์ความ
เจริญก้าวหน้า และการแก้ไขปัญหาในการพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ เพราะว่าการศึกษามุ่งช่วยให้
บุคคลเกิดความเจริญงอกงามทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์ และสติปัญญา สามารถปรับตนให้เข้ากับ
สภาพแวดล้อมได้อยา่ งเหมาะสม และสามารถดำรงชวี ิตอยใู่ นสังคมไดอ้ ย่างมีความสขุ การศกึ ษายังจะ
ช่วยใหบ้ ุคคลนน้ั เปน็ ผู้ที่ร้จู ักคดิ ร้จู ักทำรจู้ กั การแก้ปญั หาตลอดจนรูจ้ ักใช้ทรัพยากรวัตถุท่ีมี อยู่ให้เกิด
ประโยชน์สงู สดุ และสน้ิ เปลืองน้อยทีส่ ุด การท่ีประเทศจะก้าวหน้าไดจ้ ำเป็นจะต้องมี ทรัพยากรบุคคล
ที่มีความรู้ ความคดิ ความสามารถจำนวนมาก ดังนน้ั การศึกษาจึงเป็น กระบวนการในการเสริมสร้าง
บุคคลให้มคี ณุ ลักษณะพึงประสงค์ ในพระราชบัญญัติการศึกษา แห่งชาติพุทธศกั ราช ๒๕๔๒ หมวด ๔
แนวการจัดการศึกษามาตรา ๒๒ การจดั การศกึ ษาต้องยึดหลักว่า ผเู้ รยี นทกุ คนมคี วามสามารถเรียนรู้
และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้
ผเู้ รยี นสามารถพฒั นาตามธรรมชาติและเต็มตามศกั ยภาพ1

การเรียนการสอนในห้องเรียนเป็นวิธีการที่ใช้กันมานาน มีเทคนิคการสอนมากมายที่เป็น
ประโยชน์แก่ผู้เรียน ไม่ว่าจะเป็นการบรรยาย อภิปราย สาธิต หรือวิธีการอื่นๆ แต่อย่างไรก็ตาม
การเรียนการสอนในห้องเรยี นทีม่ ีผูเ้ รียนจำนวนมากก็เปน็ การยากที่จะให้ผู้เรียนทุกคนสามารถเรยี นรู้
ได้ ทนั กนั พระราชบญั ญตั กิ ารศึกษาแห่งชาติ พุทธศกั ราช ๒๕๔๒ ไดก้ ำหนดแนวทางการจดั การศึกษา
ไว้ว่า การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้และถอื
ว่าผู้เรียนมีความสำคัญอย่างที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนา
ตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพโดยตอ้ งคำนึงถึงความแตกต่างระหวา่ งบคุ คล

กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เป็นกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่จะเป็น
แกนในการพัฒนาคนเพื่อไปพัฒนาสังคมได้ค่อนข้างมาก สาระการเรียนรู้ที่เป็นองค์ความรู้ของกลุ่ม
สาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ประกอบด้วยสาระการเรียนรู้ที่เกี่ยวกับศาสนา
ศีลธรรม จริยธรรม หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรม และการดำรงชีวิตในสังคม เศรษฐศาสตร์
ประวัตศิ าสตร์ และภมู ศิ าสตร์ โดยกำหนดมาตรฐานการเรยี นรู้ใหผ้ เู้ รียนมีความรู้ ความเขา้ ใจในแต่ละ
สาระการเรยี นรู้ดงั กลา่ ว ตลอดจนยึดมั่นและปฏิบัติตนเพอ่ื การอยู่รว่ มกันในสังคมอย่างมีความสุขตาม

๑ กระทรวงศึกษาธกิ าร, พระราชบัญญตั กิ ารศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ และทแี่ กไ้ ขเพิม่ เตมิ ฉบับท่ี ๒
พ.ศ. ๒๕๔๕, (กรงุ เทพฯ : กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, ๒๕๔๒), หน้า ๒.

2

ระบอบการปกครองที่สอดคล้องกับประเพณีวัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม ทั้งทางสังคม และทาง
ธรรมชาติ เนื่องจากวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เป็นวิชาที่มีเนื้อหาจำนวนมาก ต้องอาศัย
การอ่านและการจดจำมากที่สุดถึงจะทำข้อสอบให้ได้คะแนนสูง เป็นเนื้อหาที่ค่อนข้างน่าเบื่อหน่าย
สำหรับนกั เรียนในยคุ ปจั จบุ ันทอ่ี ยใู่ นยุคโลกาภวิ ฒั น์ ท่ีเต็มไปดว้ ยสอื่ ท่ที นั สมัย2

บทเรียนสำเร็จรูปเปีนสื่อการเรียนรู้อีกรูปแบบหนึ่งที่เหมาะสมในการนำมาใช้ประกอบการ
เรียนการสอน เพราะบทเรียนสำเร็จรูปเปรียบเสมือนครูผู้สอนให้ผู้เรียนสามารถศึกษาค้นคว้าทำ
กิจกรรมการเรียนและประเมินผลดว้ ยตนเอง ซึง่ เป็นสอื่ การจัดการเรียนรู้ท่สี ร้างขน้ึ โดยกำหนดเน้ือหา
วัตถุประสงค์วิธีการตลอดจนอุปกรณ์การสอนที่นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองโดยเเบ่งเนื้อหา
ออกเป็นส่วนย่อย ๆ เรียกว่า กรอบ โดยลำดับเนื้อหาจากง่ายไปหายากแต่ละกรอบมีคำถามและ
คำตอบเพื่อให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ตามศักยภาพของตนเอง อาจกล่าวได้ว่าบทเรยี นสำเร็จรูปจงึ
เป็นนวัตกรรมทางการศกึ ษาสามารถนำมาใช้เป็นสื่อการเรียนรู้ ที่ผู้เรียนศึกษาค้นควา้ ทำกิจกรรมการ
เรียนและประเมินผลด้วยตนเองตามลำดับขั้นที่กำหนดไว้ล่วงหน้าเหมาะสมในการถ่ายทอดเนื้อหา
สาระไปสู่ผู้เรียนให้สมบูรณ์ได้เรียนเป็นขั้นตอนช่วยให้เกิดความสนใจที่จะเรียนรู้ด้วยตนเอง ในการ
แสวงหาความร้แู ละเป็นการสนองความแตกตา่ งในดา้ นความสามารถของบุคคลไดเ้ ป็นอยา่ งดี3

โรงเรยี นพระธาตุขามแกน่ พิทยาลัย ตั้งอยเู่ ลขท่ี ๑๙๙ หมู่ที่ ๒ ตำบลบา้ นขาม อำเภอน้ำพอง
จงั หวดั ขอนแก่น สงั กัดองคก์ ารบรหิ ารส่วนจังหวัดขอนแกน่ เป็นโรงเรยี นขนาดเลก็ เปดิ สอนตั้งแต่ชั้น
ม.๑ - ม.๖ ปัจจุบัน มีนักเรียนรวมทั้งสิ้น ๑๕๒ คน เนื่องจากดิฉันได้ไปสังเกตการณ์สอนเป็นเวลา
๑ เทอม จากการสังเกตพบวา่ นกั เรียนในการเรยี นวิชานี้ พบว่า นักเรียนไม่ค่อยชอบเรียนและบางคน
แสดงอาการเบื่อหน่ายต่อการเรียนวิชาสังคมศึกษา และมีนักเรียนจำนวนมากที่ได้คะแนนผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนตำ่ สำหรับกลุม่ สาระการเรยี นรู้น้ี

ดังนั้น ผู้วิจัยเห็นว่า ควรสร้างและพัฒนาบทเรียนสำเรจ็ รปู กลุ่มสาระการเรียนรู้สงั คมศึกษา
ศาสนาและวัฒนธรรม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และผู้วิจัยได้ออกแบบบทเรียนสำเร็จรูป
เพื่อเป็นสื่อการสอนที่หลากหลายรูปแบบ เรียกว่า สื่อการสอนบทเรียนสำเร็จรูป “มินิสไลด์” เพื่อให้
นักเรียนศึกษาและเรียนรู้และเข้าใจง่ายด้วยตนเองตามศักยภาพของนักเรียน เพื่อใช้เป็นแนวทางใน
การพัฒนาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
ทดี่ ขี น้ึ กวา่ เดมิ

2 กุลนิษฐ์ชา รานอก, การศึกษาปัญหาและแนวทางการแก้ปัญหาการจัดชั้นเรียนของครูประจำช้ัน
ประถมศึกษาปีที่ ๔-๖ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครราชสีมา, (วิทยานิพนธ์การศึกษา
มหาบัณฑติ สาขาวชิ าหลกั สูตรและการสอน คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา, ๒๕๕๔),
หน้า ๑๒.

3 ทศิ นา แขมมณี, ศาสตรก์ ารสอน, (กรุงเทพฯ : โรงพมิ พจ์ ุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย, 2552), หนา้ ๕.

3

1.2 วัตถุประสงคก์ ารวจิ ยั

๑.๒.๑ เพื่อสร้างและพัฒนาบทเรยี นสำเรจ็ รูป กลุ่มสาระการเรียนรู้สงั คมศึกษา ศาสนาและ
วัฒนธรรม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนพระธาตุขามแก่นพิทยาลัย ตามเกณฑ์
มาตรฐาน ๘๐/๘๐

๑.๒.๒ เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรยี นพระธาตุขามแก่น
พิทยาลัย ที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนโดยใช้บทเรียนสำเร็จรูป กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา
ศาสนาและวฒั นธรรม

1.3 ขอบเขตการวจิ ัย

1.3.1 ขอบเขตด้านประชากรและกลุ่มเป้าหมาย

ประชากร คือ นักเรียนโรงเรียนพระธาตุขามแก่นพิทยาลัย ตำบลบ้านขาม
อำเภอนำ้ พอง จังหวดั ขอนแกน่ จำนวนทัง้ หมด ๑๕๒ คน

กลุม่ เปา้ หมายที่ใชใ้ นการวจิ ยั นี้ คือ นักเรียนในกลุ่มสาระการเรียนรู้สงั คมศึกษา
ศาสนาและวฒั นธรรม ช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี ๑/๒ โรงเรียนพระธาตขุ ามแก่นพิทยาลยั จำนวน ๑๘ คน

1.3.2 ขอบเขตด้านเนื้อหาท่ใี ชใ้ นการวจิ ยั

ขอบเขตของเนอ้ื หาท่ศี กึ ษา ได้แก่ การพฒั นาบทเรยี นสําเรจ็ รูป กลุ่มสาระการเรยี นรู้
สงั คมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม สำหรบั นกั เรยี นชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี 1 จำนวน ๒ ดา้ น ดังน้ี

๑. บทเรียนสำเร็จรปู
๒. ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน

1.3.3 ขอบเขตด้านระยะเวลาที่ใชใ้ นการวจิ ัย

การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ใช้ระยะเวลาในการดำเนินการวิจัย ภาคเรียนที่ 2/256๓
รวมระยะเวลา ๔ เดอื น ตั้งแตว่ ันที่ ๑ ธนั วาคม ๒๕๖๓ ถงึ ๑๑ มีนาคม ๒๕๖๔

1.3.4 ขอบเขตด้านพนื้ ท่ีในการวิจยั

โรงเรยี นพระธาตขุ ามแกน่ พทิ ยาลัย ตำบลบ้านขาม อำเภอนำ้ พอง จงั หวดั ขอนแก่น

1.4 นิยามศพั ท์เฉพาะในการวิจัย

การพัฒนา หมายถงึ กระบวนการของการเปลี่ยนแปลงที่มีการวางแผนไว้แล้ว คือการทำให้
ลกั ษณะเดมิ เปลีย่ นไปโดยม่งุ หมายวา่ ลกั ษณะใหมท่ เี่ ข้ามาแทนทีน่ น้ั จะดีกวา่ ลกั ษณะเกา่

บทเรียนสำเร็จรูป หมายถึง สื่อการเรียนรู้ที่นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองโดยอาศัย
การนำเสนอสาระการเรียนรู้จากง่ายไปยาก มีเนื้อหาให้ศึกษา คำถามให้นักเรียนตอบและนักเรียน
สามารถตรวจคำตอบได้เองหลังจากตอบคำถามแลว้

4

บทเรียนสำเรจ็ รูปกลมุ่ สาระการเรียนรู้สังคมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม สำหรบั นักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หมายถึง เอกสารประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้
สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สำหรบั นักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 1 ทีผ่ ้วู ิจยั สรา้ งขน้ึ มจี ำนวน ๔
ชุด ประกอบด้วย วันมาฆบูชา วันวิสาขบชู า วันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษาและวันออกพรรษา ซึ่งใน
๔ ชุดนี้ประกอบด้วย คำแนะนำการใช้บทเรียนสำเร็จรูป จุดประสงค์การเรียนรู้ สาระสำคัญ เนื้อหา
แบบฝึกหดั ระหว่างเรียน

การจัดกิจกรรมการเรียนโดยใช้บทเรียนสำเร็จรูป กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา
ศาสนาและวัฒนธรรม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้
ที่กำหนดให้นักเรียนมีการศึกษาค้นคว้าความรู้จากบทเรียนสำเร็จรูปแล้วนำความรู้ที่ได้มาอภิปราย
ร่วมกันเพอ่ื ทีจ่ ะรว่ มกนั สรปุ ความรู้ทไี่ ด้รบั จากการศกึ ษาบทเรียนสำเรจ็ รปู

แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง แบบทดสอบความรู้ ความเข้าใจในการ
จดั การเรียนรโู้ ดยใชบ้ ทเรยี นสำเรจ็ รปู กลุม่ สาระการเรียนรู้สังคมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม สำหรบั
นกั เรยี นชนั้ มัธยมศึกษาปที ี่ 1 ท่ไี ด้สรา้ งและพัฒนาข้ึน

ประสิทธิภาพของบทเรียนสำเร็จรูป กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและ
วัฒนธรรม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 หมายถึง คุณภาพ
ของบทเรียนสำเร็จรูป กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สำหรับนักเรียนชั้น
มธั ยมศึกษาปที ่ี 1 ท่ผี วู้ ิจยั สร้างข้ึน ดงั น้ี

1. 80 ตัวแรก (E๑) คือ ค่าเฉลี่ยของคะแนนที่นักเรียนได้จากการใช้แบบทดสอบบทเรียน
สำเร็จรูป กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา
ปีที่ 1 หลังการใช้บทเรียนสำเรจ็ รูปในแต่ละบท

2. 80 ตวั หลัง (E๒) คอื ค่าเฉล่ียของคะแนนท่ีนักเรียนได้จากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิหลัง
การใช้บทเรียนสำเร็จรูป กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สำหรับนักเรียนชั้น
มธั ยมศึกษาปีท่ี 1

ความพึงพอใจ หมายถึง ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑/๒ ภาคเรียนที่ 2
ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนพระธาตุขามแก่นพิทยาลัย ที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนโดยใช้
บทเรยี นสำเรจ็ รูป กลมุ่ สาระการเรยี นร้สู งั คมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม

นักเรียน หมายถึง นักเรียนที่กำลังศึกษาชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี 1/๒ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา
2563 โรงเรียนพระธาตุขามแก่นพิทยาลัย ตำบลบ้านขาม อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น
สงั กดั องคก์ ารบริหารสว่ นจงั หวัดขอนแกน่

5

1.5 ประโยชนท์ ่ีได้รบั จากการวิจยั

๑.๕.๑ ได้พัฒนาบทเรียนสำเร็จรูป กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
สำหรบั นักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปที ี่ 1 โรงเรยี นพระธาตุขามแก่นพิทยาลัย

๑.๕.๒ ได้ทราบผลประสิทธิภาพของบทเรียนสำเร็จรูป ของนักเรียนโรงเรียนพระธาตุขาม
แกน่ พทิ ยาลยั และสามารถนำไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นการพฒั นาการจดั กจิ กรรมการเรียนการสอน กลุ่มสาระ
การเรียนรู้สงั คมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม ตอ่ ไป

๑.๕.๓ ได้ทราบความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนพระธาตุขามแก่น
พิทยาลัย ที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนโดยใช้บทเรียนสำเร็จรูป กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา
ศาสนาและวฒั นธรรม

6

บทที่ 2

แนวคิด ทฤษฎี และงานวิจยั ทเ่ี กีย่ วขอ้ ง

การวิจัย เรื่อง การพัฒนาบทเรียนสําเร็จรูป กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและ
วัฒนธรรม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนพระธาตุขามแก่นพิทยาลัย ผู้วิจัยได้ศึกษา
แนวคดิ ทฤษฎีและงานวิจัยทีเ่ ก่ยี วข้อง ซ่งึ มรี ายละเอยี ด ดงั น้ี

2.1 หลกั สูตรการศกึ ษาขัน้ พนื้ ฐาน
2.2 แนวคิดการจดั กิจกรรมการเรียนรู้
2.3 ทฤษฎกี ารจดั กจิ กรรมการเรียนรู้และทฤษฎคี วามพึงพอใจ
2.4 บทเรียนสำเรจ็ รปู
๒.๕ การพฒั นาผลสัมฤทธิท์ างการเรยี น
2.๖ งานวิจัยทีเ่ ก่ยี วข้อง
2.๗ กรอบแนวคดิ ในการวิจัย

2.1 หลกั สูตรการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน

หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่งเป็นกำลัง
ของชาติให้เป็นมนุษย์ที่สมดุลทั้งร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสำนึก ในความเป็นพลเมืองไทยและ
เป็นพลโลก ยึดมั่นในการปกครองในระบอบประชาธปิ ไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและมี
ความรู้และทักษะพื้นฐานรวมทั้งเจตคติที่จำเป็นต่อการศึกษา ต่อการประกอบอาชีพและการศึกษา
ตลอดชีวิตโดยมุ่งเน้นผู้เรียนเปน็ สำคัญบนพื้นฐานความเชื่อว่าทกุ คนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเอง
ได้เต็มตามศักยภาพ4

สาระและมาตรฐานการเรียนรู้

สาระท่ี ๑ ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม

มาตรฐาน ส ๑.๑ รู้ และเข้าใจประวตั ิ ความสำคัญ ศาสดา หลักธรรมของ
พระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือและศาสนาอื่น มีศรัทธาท่ี
ถูกต้องยึดมั่น และปฏิบัติตามหลักธรรม เพื่ออยู่ร่วมกันอย่าง
สันติสขุ

4 กระทรวงศึกษาธิการ, ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและ
วัฒนธรรม ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นนพื้นฐาน พุทธศักราช 2551, พิมพ์ครั้งที่ 2, (กรุงเทพฯ :
โรงพมิ พ์ชมุ ชนสหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย, 2553), หน้า ๕.

7

มาตรฐาน ส ๑.๒ เข้าใจ ตระหนักและปฏบิ ัตติ นเป็นศาสนกิ ชนทีด่ ี และธำรงรักษา
พระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือ

สาระที่ ๒ หนา้ ท่ีพลเมอื ง วฒั นธรรม และการดำเนนิ ชวี ิตในสงั คม

มาตรฐาน ส ๒.๑ เขา้ ใจและปฏิบัติตนตามหน้าทข่ี องการเป็นพลเมืองดี มีค่านิยมที่ดี
มาตรฐาน ส ๒.๒ งาม และธำรงรกั ษาประเพณีและวัฒนธรรมไทย ดำรงชีวิตอยู่
รว่ มกนั ในสงั คมไทย และสังคมโลกอยา่ งสนั ตสิ ขุ
เข้าใจระบบการเมืองการปกครองในสังคมปัจจุบัน ยึดมั่น ศรัทธา
และธำรงรกั ษาไวซ้ งึ่ การปกครองระบอบประชาธปิ ไตยอันมี
พระมหากษตั รยิ ท์ รงเปน็ ประมขุ

สาระท่ี ๓ เศรษฐศาสตร์

มาตรฐาน ส.๓.๑ เข้าใจและสามารถบริหารจัดการทรัพยากรในการผลิตและการ
มาตรฐาน ส.๓.๒ บริโภคการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดได้อย่างมีประสิทธิภาพและ
คุ้มค่า รวมทั้งเข้าใจหลักการของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อการดำรง
ชวี ติ อย่างมีดลุ ยภาพ
เข้าใจระบบ และสถาบันทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ความสัมพันธ์ทาง
เศรษฐกิจและความจำเป็นของการร่วมมอื กนั ทางเศรษฐกจิ ใน
สังคมโลก

สาระท่ี ๔ ประวัตศิ าสตร์

มาตรฐาน ส ๔.๑ เขา้ ใจความหมาย ความสำคญั ของเวลาและยุคสมยั ทาง
มาตรฐาน ส ๔.๒ ประวัติศาสตร์สามารถใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์มาวิเคราะห์
มาตรฐาน ส ๔.๓ เหตุการณต์ ่างๆ อยา่ งเป็นระบบ
เข้าใจพัฒนาการของมนุษยชาติจากอดตี จนถึงปัจจบุ นั ในด้าน
ความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์อย่างต่อเนื่อง
ตระหนักถงึ ความสำคัญและสามารถ วเิ คราะหผ์ ลกระทบที่เกิดข้นึ
เขา้ ใจความเป็นมาของชาติไทย วัฒนธรรม ภูมิปัญญาไทย มคี วาม
รกั ความภมู ิใจและธำรงความเปน็ ไทย

สาระท่ี ๕ ภมู ิศาสตร์

มาตรฐาน ส ๕.๑ เขา้ ใจลักษณะของโลกทางกายภาพ และความสัมพันธ์ของสรรพส่ิง
มาตรฐาน ส ๕.๒ ซึง่ มีผลตอ่ กันและกนั ในระบบของธรรมชาติ ใช้แผนทีแ่ ละ
เคร่ืองมอื ทางภูมศิ าสตร์ในการคน้ หาวเิ คราะห์ สรุป และใชข้ ้อมูล
ภมู ิสารสนเทศอย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ
เข้าใจปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสภาพแวดล้อมทางกายภาพท่ี
กอ่ ใหเ้ กดิ การสรา้ งสรรคว์ ฒั นธรรม มีจติ สำนกึ และมีสว่ นร่วมใน

8

การอนุรักษ์ทรพั ยากรและสง่ิ แวดล้อม เพอื่ การพัฒนาท่ยี ั่งยนื

2.๒ แนวคดิ การจดั กิจกรรมการเรียนรู้

แนวทางในการจัดการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช ๒๕๔๒ใน
มาตรา ๔๒ ถือ ว่าผเู้ รียนสำคญั ท่ีสุด กระบวนการเรยี นร้กู ระบวนการเรยี นรู้เป็นการส่งเสริมผู้เรียนให้
เรยี นรดู้ ้วย สมอง ด้วยกาย และด้วยใจ สามารถสรา้ งองคค์ วามร้ผู ่านกระบวนการคิดด้วยตนเองมีส่วน
รว่ มในการเรียนการสอน เนน้ การปฏิบตั ิจริง สามารถทำงานเปน็ ทีมได้5

พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่๒) พ.ศ.๒๕๔๕
หมวด ๔ แนวการจัดการศึกษา มาตรา ๒๒ กำหนดไว้ว่า “การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุก
คนมีความ สามารถในการจดั การเรยี นรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือวา่ ผู้เรยี นสำคัญท่ีสดุ กระบวนการ
จัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพ” (กระทรวง
ศึกษาธิการ,๒๕๔๕) และตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๔๔ กำหนดหลักการ
ข้อ ๓ ซึ่งกำหนดไว้ว่า“ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้พัฒนาและเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิตโดย
ถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด สามารถพั ฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ”
(กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๔๕) จากพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช ๒๕๔๒ นี้เอง
ทำให้เกิดการปฏิรูปการศึกษาขึ้น และการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญก็เป็นประเด็นสำคัญ
ประเดน็ หนง่ึ ในการปฏิรูปการศกึ ษาตามพระราชบัญญตั ิการศึกษาแหง่ ชาติ พทุ ธศกั ราช ๒๕๔๒6

การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ คือ วิธีการสำคญั ที่สามารถสรา้ งและพัฒนา
ผู้เรียน ให้เกิดคุณลักษณะต่างๆ ที่ต้องการในยคุ โลกาภิวัฒน์ เนื่องจากเปน็ การจัดการเรียนการสอนที่
ให้ความสำคัญกับผู้เรียน ส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักเรียนรู้ด้วยตนเอง เรียนในเรื่องที่สอดคล้องกับ
ความสามารถและความต้องการของตนเองและได้พัฒนา ศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่ ซึ่งแนวคิด
การ จัดการศึกษานี้เป็นแนวคิดที่มีรากฐานจากปรัชญาการศึกษาและทฤษฎีการเรียนรู้ต่าง ๆ ที่ได้
พัฒนามาอย่าง ต่อเนื่องยาวนาน และเป็นแนวทางที่ได้รับการพิสูจน์ว่าสามารถพัฒนาผู้เรียนให้มี
คณุ ลกั ษณะตามต้องการอย่างไดผ้ ล7

5 กระทรวงศึกษาธิการ, ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและ
วัฒนธรรม ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันนพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551, พิมพ์คร้ังท่ี 2, (กรุงเทพฯ :
โรงพมิ พ์ชมุ ชนสหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย, 2553), หน้า ๖-๘.

6 วิภาภรณ์ ภู่วัฒนกุล, ใครคือผู้ดำเนินการจัดการเรียนการสอนที่เน้นนักเรียนเป็นศูนย์กลางที่แท้จริง,
(๒๕๕๓), หนา้ ๓๓.

7 วัฒนาพร ระงบั ทุกข์, การจดั การเรยี นการสอนทเี่ น้นผู้เรียนเปน็ ศนู ยก์ ลาง, (กรุงเทพฯ : เลิฟแอนด์เลิฟ
เพรส, ๒๕๕๒), หน้า ๑๐๑.

9

หลกั การพนื้ ฐานของแนวคดิ “ผเู้ รยี นเปน็ สำคญั ”

การเตรียมความพร้อมให้ผู้เรียนก่อนการสอนผู้สอนควรทำความเข้าใจกับผู้เรียนถึง
กจิ กรรมการเรียน เนอื้ หาวชิ า และลกั ษณะการใช้ส่ือการสอน ทงั้ นี้เพ่อื ใหผ้ ู้เรียนทราบบทบาทของตน
และเตรยี มตัวทจี่ ะมีสว่ นร่วมกบั กิจกรรมหรอื ตอบสนองต่อการเรยี นการสอน8

การเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญนี้ ผู้เรียนจะได้รับการส่งเสริมให้ผู้เรียนมี
ความรับผิดชอบและมีส่วนร่วมต่อการเรียนรู้ของตนเอง ซึ่งแนวคิดแบบผู้เรียนเป็นสำคัญจะยึด
การศกึ ษาแบบก้าวหน้าของผู้เรียนเป็นสำคัญ ผเู้ รียนแตล่ ะคนมคี ุณค่าสมควรได้รับการเชื่อถือไว้วางใจ
แนวทางนี้จึงเป็นแนวทางที่จะผลักดนั ผู้เรียนไปสู่การบรรลุศักยภาพของตน โดยส่งเสริมความคิดของ
ผู้เรียนและอำนวยความสะดวกให้เขาได้พัฒนาศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่การจัดการเรียนการ
สอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางเป็นการจัดกระบวนการเรียนรู้แบบใหม่ที่มีลักษณะแตกต่ างจากการ
จัดกระบวนการเรียนรู้แบบดั้งเดมิ ท่ัวไป คอื

๑. ผู้เรียนมีบทบาทรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของตน ผู้เรียนเปน็ ผู้เรียนรู้บทบาทของ
ครูคือผู้สนับสนุน (supporter) และเป็นแหล่งความรู้ (resource person) ของผู้เรียน ผู้เรียนจะ
รับผิดชอบตัง้ แตเ่ ลือกและวางแผนสิ่งที่ตนจะเรียนหรือเข้าไปมีส่วนรว่ มในการเลือกและจะเร่ิมต้นการ
เรียนรดู้ ้วยตนเองดว้ ยการศึกษาคน้ คว้า รับผิดชอบการเรยี นตลอดจนประเมินผลการเรียนร้ดู ว้ ยตนเอง

๒. เน้อื หาวิชามีความสำคญั และมคี วามหมายตอ่ การเรยี นรู้ ในการออกแบบกิจกรรม
การเรียนรู้ปัจจัยสำคัญที่จะต้องนำมาพิจารณาประกอบด้วย ได้แก่ เนื้อหาวิชา ประสบการณ์เดิม
และความต้องการของผู้เรียน การเรียนรู้ที่สำคัญและมีความหมายจึงขึ้นอยู่กับสิ่งที่สอน (เนื้อหา)
และวิธที ี่ใชส้ อน (เทคนิคการสอน)

๓. การเรียนรจู้ ะประสบผลสำเร็จหากผู้เรยี นมีส่วนร่วมในกจิ กรรมการเรียนการสอน
ผู้เรียนจะได้รับความสนุกสนานจากการเรียน หากได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ได้ทำงานร่วมกัน
กับเพื่อน ๆ ได้ค้นพบข้อคำถามและคำตอบใหม่ๆ สิ่งใหม่ๆ ประเด็นที่ท้าทายและความสามารถใน
เรอ่ื งใหม่ๆทีเ่ กดิ ขึ้น รวมทง้ั การบรรลุผลสำเร็จของงานท่ีพวกเขาริเร่มิ ด้วยตนเอง

๔. สัมพันธภาพประกอบดีระหว่างผู้เรียน การมีสัมพันธภาพประกอบดีในกลุ่ม
จะช่วยส่งเสริมความเจริญงอกงาม การพัฒนาความเป็นผู้ใหญ่ การปรับปรุงการทำงาน และการ
จัดการกับชีวิตของแต่ละบุคคล สัมพันธภาพประกอบเท่าเทียมกันระหว่างสมาชิกในกลุ่ม จึงเป็นสิ่ง
สำคญั ที่จะช่วยส่งเสริมการแลกเปล่ยี นเรยี นรซู้ ่ึงกันและกนั ของผเู้ รยี น

๕. ครู คือผู้อำนวยความสะดวกและเป็นแหล่งความรู้ในการจัดการ เรียนการสอน
แบบเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ครูจะต้องมีความสามารถที่จะค้นพบความต้องการที่แท้จริงของผู้เรียน
เป็นแหล่งความรูท้ ี่ทรงคณุ ค่าของผู้เรยี นและสามารถค้นคว้าหาส่ือวัสดุ อุปกรณ์ทีเ่ หมาะสมกับผ้เู รยี น
สง่ิ ท่สี ำคัญทีส่ ุด คือความเต็มใจของครูทจี่ ะช่วยเหลือโดยไม่มีเง่ือนไข ครูจะให้ทุกอย่างแก่ผู้เรียนไม่ว่า

8 ไพรฑรูย์ สินลารัตน์, การศึกษาเชิงสร้างสรรค์และผลิตภาพ, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์แห่ง
จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย, ๒๕๕๙), หน้า ๖๗.

10

จะเป็นความเชี่ยวชาญ ความรู้ เจตคติ และการฝึกฝน โดยผู้เรียนมีอิสระที่จะรับหรือไม่รับการให้นั้น
ก็ได้

๖. ผู้เรียนมีโอกาสเห็นตนเองในแง่มุมท่ีแตกต่างจากเดมิ การจัดการเรียนการสอนท่ี
เน้นผู้เรียนเปน็ สำคญั มงุ่ ใหผ้ ูเ้ รียนมองเห็นตนเองในแง่มมุ ท่ีแตกต่างออกไป ผู้เรยี นจะมีความม่ันใจใน
ตนเองและควบคุมตนเองได้มากขึ้น สามารถเป็นในสิ่งที่อยากเป็น มีวุฒิภาวะสูงมากขึ้น ปรับเปลี่ยน
พฤตกิ รรมตนให้สอดคล้องกับส่งิ แวดล้อม และมสี ่วนร่วมกับเหตุการณต์ า่ ง ๆ มากขนึ้

๗. การศึกษาคือการพัฒนาประสบการณ์การเรียนรู้ของผู้เรียนหลาย ๆ ด้านพร้อม
กันไปการเรยี นร้ทู ี่เนน้ ผู้เรยี นเป็นสำคัญเปน็ จุดเรม่ิ ของการพฒั นาผูเ้ รยี นหลายๆ ด้าน เช่น คุณลกั ษณะ
ด้านความรูค้ วามคดิ ดา้ นการปฏิบัติและดา้ นอารมณ์ความร้สู กึ จะได้รบั การพัฒนาไปพร้อม ๆกัน เมอ่ื รู้
วา่ การจดั การเรยี นร้ทู เ่ี น้นผ้เู รยี นเปน็ สำคญั มดี ีและเป็นประโยชนต์ ่อการจัดการเรยี นรู้

ดังนั้น พวกเราครูมืออาชีพก็ควรศึกษาและปฏิบัติให้ถูกต้อง ผลที่ได้คือ ผลิตผลที่ดี
นักเรียนมีความรู้ ดี เก่งและมีสุข ตามเจตนารมย์ของหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช
๒๕๔๔

ทิศนา แขมมณี9 ได้กล่าวว่า ในการเรียนรู้ต้องให้นักเรียนได้มีโอกาสฝึกคิด ฝึกต้ัง
คำถาม เพราะคำถามเปน็ เคร่ืองมือในการได้มาซึ่งความรู้ควรให้ผู้เรียนฝึกการ ถาม-ตอบ ซึ่งจะช่วยให้
ผู้เรียนเกิดความกระจ่างในเรื่องที่ศึกษารวมทั้งได้ฝึกการใช้เหตุผล การวิเคราะห์และการสังเคราะห์
ฝึกค้นหาคำตอบจากเรอื่ งทเี่ รียน

การจัดกิจกรรมการเรยี นรวู้ ิชาสังคมศึกษา

สังคมโลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตลอดเวลา กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคม
ศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ช่วยให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจ ว่ามนุษย์ดำรงชีวิตอย่างไร ทั้งใน
ฐานะปัจเจกบุคคล และการอยู่รว่ มกันในสังคม การปรับตัวตามสภาพแวดล้อม การจัดการทรพั ยากร
ท่ีมีอยูอ่ ยา่ งจำกดั นอกจากน้ี ยังชว่ ยใหผ้ เู้ รียนเข้าใจถึงการพฒั นา เปลีย่ นแปลงตามยุคสมัย กาลเวลา
ตามเหตุปัจจยั ต่าง ๆ ทำให้เกิดความเข้าใจในตนเองและผูอ้ ื่น มีความอดทน อดกลั้น ยอมรับในความ
แตกตา่ งและมีคุณธรรม สามารถนำความรไู้ ปปรบั ใชใ้ นการดำเนินชีวิต เป็นพลเมืองดขี องประเทศชาติ
และสงั คมโลก10

9 ทิศนา แขมมณี, ศาสตร์การสอน, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , 2552), หน้า ๔๔.
10 สิริพร ศรีสมวงษ์, การจัดการเรียนรู้แบบโครงงานเพื่อพัฒนาความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษ
และคุณลักษณ์อันพึงประสงค์ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีท่ี ๕ โรงเรียนอัสสัมชัญแผนกประถม,
สารนิพนธ์ กศ.ม. การประถมศึกษา (กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒประสานมิตร,
๒๕๕๙), หนา้ ๑๒-๑๗.

11

หลกั การสอนในห้องเรยี นวิชาสงั คมศึกษา
ในการเรียนการสอนหากนักเรียนไม่สามารถที่นั่งฟังได้นานๆ เกิน ๒๐ นาที

สิ่งเหล่านี้มีผลต่อการเรียนของนักเรยี นอย่างหลกี เล่ียงไม่ได้ วิธีการควบคุมพฤติกรรมของนักเรียนน้ัน
สามารถทำได้หลายวธิ ี11 เชน่

- การแบง่ กลมุ่ ให้กลุม่ ควบคุมกันเอง
- การเสริมแรงด้วยการใหร้ างวัล
- การลงโทษ ใชว้ ธิ กี ารตัดสิทธใิ์ นผลประโยชนท์ ่เี ด็กพงึ จะได้รับเช่น ไม่ใหท้ ำงาน
ร่วมกับคนอนื่ งดกิจกรรมบางอย่าง ทเี่ พือ่ นไดท้ ำกัน
ให้นักเรียนมีส่วนรวมในการเรียนการสอน ครูควรงดเว้นการสอนด้วยการบรรยาย
มากเกินไป ถ้าจะใช้ก็พยายามใช้ให้น้อยๆ เวลาสอนต้องยึดนักเรียนเป็นศูนย์กลางให้นักเรียนมีส่วน
ร่วมมากที่สุด เช่น แบ่งกลุ่มให้อภิปราย แสดงบทบาทสมมุติ จัดนิทรรศการด้วยตนเอง การช่วยผลิต
สอื่ หรอื ใหน้ ักเรียนมีหนา้ ท่ีชว่ ยเก็บสื่อเมื่อสอนเสรจ็ หรือเตรียมสื่อขณะสอน
สร้างความสนใจเรื่องที่จะเรียนในชั่วโมงด้วยการใช้สื่อหรือเกม หรือกิจกรรมอื่นๆ
เพื่อให้นักเรียนกระตือรือร้น สนใจที่จะเรียนในเนื้อเรื่องที่จะสอน เพราะถ้านักเรียนมีความสนใจเมื่อ
เร่มิ แล้ว การเรยี นย่อมต่อเน่ืองไปในทางที่ดี เชน่ จะสอนประวัติศาสตร์เรื่องการกู้เอกราชของพระเจ้า
ตากสิน ครูอาจใช้รูปภาพ หรืออัดเสียงจากละครโทรทัศน์มาให้ฟัง เพื่อจะนำเข้าสู่การสอนเรื่องที่จะ
เรียน ครูสอนวิชาสังคม ควรเลือกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง หรือกำลังเกิดกับสังคม มาเป็นตัวอย่างใน
การสอนวิชาสังคม นักเรียนจะได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงเหตุการณ์ของคนทั่วไป มาเกริ่นนำเพื่อโยง
สัมพันธ์กับเรื่องที่สอน หรือนำเรื่องที่เกิดขึ้น นำมาอภิปรายร่วมกัน เช่น การอดอาหารประท้วงร่าง
รัฐธรรมนูญเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๔ ของกลุ่มนักศึกษา ประชาชน ครูจะใช้เรื่องนี้กล่าวนำสนทนา เพื่อสอน
เรื่องรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตย หรือใช้ข่าวที่เกิดขึ้นเป็นเนื้อหาแล้วให้นักเรียนอภิปราย
ร่วมกัน โดยกำหนดหัวข้อให้ครอบคุลมเรื่องที่สอนการสอนวิชาสังคมศึกษา ไม่ควรจำเจอยู่ใน
ห้องเรียนอย่างเดียว เช่น ให้นักเรียนไปสัมภาษณ์คนในชุมชนบ้าง บางครั้งอาจให้นักเรียนได้ปฏิบัติ
จริง เช่น การใช้บริการสหกรณ์ร้านค้า หรือการสร้างสถานการณ์จำลองให้ทดลองปฏิบัติ เช่น
การเลือกตัง้
วัตถปุ ระสงคข์ องบทเรยี นนับว่าเปน็ สว่ นสำคัญยงิ่ ต่อกระบวนการเรยี นรู้ ที่ผู้เรียนจะ
ได้ทราบถึงความคาดหวงั ของบทเรยี นจากผู้เรยี น นอกจากผ้เู รยี นจะทราบถึงพฤติกรรมขั้นสุดท้ายของ
ตนเองหลังจบบทเรียนแล้ว จะยังเป็นการแจ้งให้ทราบล่วงหน้าถึงประเด็นสำคัญของเนื้อหา รวมทั้ง
เค้าโครงของเนื้อหาอีกด้วย การที่ผู้เรียนทราบถึงขอบเขตของเนื้อหาอย่างคร่าวๆ จะช่วยให้ผู้เรียน
สามารถผสมผสานแนวความคิดในรายละเอียดหรือส่วนย่อยของเนื้อหาให้สอดคล้องและสัมพันธ์กับ

11 กฤตพงศ์ ไชยเดช, การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญตามทัศนะของพนักงานครูใน
โรงเรียนสังกัดเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี, (วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต สาขาบรหิ ารการศึกษา มหาวิทยาลยั
ราชภฎั สวนดสุ ติ , ๒๕๕๐), หนา้ ๗๖.

12

เนื้อหาในส่วนใหญ่ได้ ซึ่งมีผลทำให้การเรียนรู้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากจะมีผลดังกล่าวแล้ว
ผลการวิจัยยังพบด้วยว่า ผู้เรียนที่ทราบวัตถุประสงค์ของการเรียนก่อนเรียนบทเรียน จะสามารถจำ
และเขา้ ใจในเนือ้ หาได้ดีข้ึนอีกด้วย

จากการศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ จะเห็นได้ว่าวิธีสอนแบบ
ต่างๆเป็นกระบวนการที่ครู จำเป็นต้องนำมาใช้สอนนักเรียนให้เกิดประสิทธิภาพ และถือเป็น
ภาระหนา้ ที่ของครูผูส้ อนทีจ่ ะนำวิธีสอนทงั้ 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ วิธสี อนแบบครูเปน็ ศูนย์กลางและวิธี
สอนแบบผเู้ รยี นเป็นสำคญั ตลอดจนวิธีสอนแบบต่างๆท่เี ออ้ื ต่อหลกั สูตรมาพจิ ารณาใช้ให้เหมาะสมกบ
สภาพการเรียนการสอนในแตล่ ะกลุ่มวชิ าและสนองความตอ้ งการของนักเรยี นแต่ละวัย แต่ละระดับ

2.๓ ทฤษฎกี ารจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้และทฤษฎีเกยี่ วกบั ความพงึ พอใจ

ทฤษฎีการเชื่อมโยงของธอรน์ ไดค์12 (Thorndike’s connectionism)
ธอร์นไดค์ (Thorndike) เป็นนักจิตวิทยาชาวอเมริกันที่มีความเชื่อว่าการเรียนรู้เกดิ

จากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง ซึ่งมีหลายรูปแบบ บุคคลจะมีการลองผิดลองถูก
และมีการปรับเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะพบรูปแบบการตอบสนองที่ให้ผลที่พึงพอใจมากที่สุด
เมื่อเกดิ การเรยี นรู้แล้วบคุ คลจะใช้รูปแบบการตอบสนองทเ่ี หมาะสมเพยี งรปู แบบเดยี วและจะพยายาม
ใช้รูปแบบการตอบสนองนั้นเชื่อมโยงกับสิ่งเร้าในการเรียนรู้ต่อไปเรื่อย ๆ ซึ่งสามารถสรุปกฎการ
เรยี นรทู้ ่สี ำคญั จากทฤษฎกี ารเชอ่ื มโยงของธอร์นไดค์ ได้ดังนี้

๑) กฎแห่งความพร้อม (Law of Readiness) การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ดีถ้า
ผเู้ รยี นมคี วามพรอ้ มทัง้ ทางด้านรา่ งกายและจติ ใจ

๒) กฎแห่งการฝึกหดั (Law of Exercise) การเรียนรู้ทค่ี งทนจะเกิดจากการ
ฝกึ หดั หรือกระทำซำ้ บ่อยๆ ดว้ ยความเข้าใจ

๓) กฎแห่งการใช้และไมใ่ ช้ (Law of Use and Disuse) ถา้ มีการนำความรู้
ที่เคยเรียนรู้ไปแล้วไปใช้บ่อย ๆ จะทำให้การเรียนรู้เกิดความคงทน แต่หากความรู้ที่เคยเรียนไปไม่ได้
ถกู นำไปใช้จะทำเกดิ การลมื

๔) กฎแหง่ ผลท่ีพึงพอใจ (Law of Effect) เมือ่ บคุ คลได้รับผลจากการเรียน
รู ทีพ่ งึ พอใจจะทำให้อยากจะเรียนรูต้ ่อไป แตถ่ า้ ไดร้ ับผลทีไ่ ม่พงึ พอใจกจ็ ะไมอ่ ยากเรยี นรู้

การนำแนวคิดของทฤษฎีการเชื่อมโยงของธอร์นไดค์ไปประยุกต์ใช้ในการจัดการ
เรียนรู้ สามารถทำได้ ดังนี้

๑) ผู้สอนควรตรวจสอบความพร้อมหรือการสร้างความพร้อมให้แก่ผู้เรียน
ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ รวมทั้งความรู้เดิมที่จำเป็นก่อนเริ่มบทเรียนใหม่ เช่น การให้ผู้เรียนมี

12 ถวัลย์ มาศจรัส และคณะ, เร่ืองส้ันและการเขียนเร่ืองสั้น : การเขียนเชิงสร้างสรรค์เพ่ือการศึกษา
และอาชีพ, พิมพค์ ร้ังท่ี 2, (กรงุ เทพฯ : ธารอกั ษร, 2546), หน้า ๔๓.

13

เวลาในการเตรียมตัวก่อนเริ่มบทเรียน การสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้และการทบทวน
ความรเู้ ดมิ

๒) ผู้สอนควรให้ผู้เรียนฝึกทักษะที่สำคัญและจำเป็นบอ่ ย ๆ เพื่อให้เกิดการ
เรยี นรู้ทค่ี งทน

๓) ผู้สอนควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้นำความรู้ในสิ่งที่ได้จากการเรียนรู้นั้น
ไปใชบ้ ่อย ๆ ในสถานการณท์ ่หี ลากหลาย

๔) หลังจากที่ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ตามจุดประสงค์ที่ผู้สอนกำหนดแล้ว
ผสู้ อนควรใหค้ ำชมเชยหรือรางวลั ที่ทำใหผ้ ู้เรยี นพึงพอใจต่อส่ิงที่ได้กระทำในการรว่ มกจิ กรรมการเรียน
ซง่ึ จะชว่ ยใหผ้ เู้ รียนเกดิ แรงจงู ใจในการเรยี นรู้มากขึน้ และทำใหก้ ารเรียนการสอนประสบผลสำเรจ็

ทฤษฎกี ารวางเงื่อนไข (Conditioning Theory)13
ทฤษฎีการวางเง่อื นไข สามารถแบ่งตามลักษณะของการวางเง่ือนไขออกเป็น ๔

ทฤษฎยี ่อย ประกอบด้วย ทฤษฎกี ารวางเงอ่ื นไขแบบคลาสสิก ทฤษฎกี ารวางเง่ือนไขของวตั สนั ทฤษฎี
การวางเงอื่ นไขแบบต่อเน่อื งและทฤษฎีการวางเงือ่ นไขแบบปฏิบตั ิการ

(๑) ทฤษฎกี ารวางเงือ่ นไขแบบคลาสสิก (Classical conditioning)
ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิกเสนอโดยพาฟลอฟ ( Pavlov)

นักจิตวิทยาและสรีรวิทยาชาวรัสเซีย ซึ่งได้ทำการทดลองใช้ผงเนื้อบดเป็นสิ่งเรา้ ตามธรรมชาติหรอื ส่ิง
เร้าที่ไม่วางเงื่อนไข (unconditioned stimulus) กับสุนัข พบว่าผงเนื้อบดสามารถทำให้สุนัขน้ำลาย
ไหลได้ ต่อมาพาฟลอฟได้นำผงเนือ้ บดมาเปน็ สิง่ เร้าคูก่ ับเสียงกระด่ิง ซึ่งไม่ใช่สิง่ เร้าตามธรรมชาติและ
สนุ ัขจะไมม่ นี ้ำลายไหลเม่ือได้ยินเสยี งกระดิ่ง เขาพบว่าสนุ ัขจะนำ้ ลายไหลเมื่อใชเ้ ม่ือใช้ผงเนื้อบดและ
เสียงกระดิ่งมาเป็นสิ่งเร้าคู่กัน ต่อมาเขาพบว่าเมื่อใช้สิ่งเร้าทั้งสองคู่กันหลาย ๆ ครั้ง แล้วตัดสิ่งเร้า
ตามธรรมชาติ (ผงเนื้อบด) ออกเหลือแต่เสียงกระดิ่งอย่างเดียว ก็ยังพบว่าสุนัขก็ยังน้ำลายไหล แสดง
ว่า การเรียนรู้ของสุนัขเกิดจากการเชื่อมโยงระหว่างเสียงกระดิ่งและพฤติกรรมน้ำลายไหล ดังนั้นเขา
จึงสรุปว่า การเรียนรู้ของสิ่งมีชีวิตสามารถเกิดจากการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข
(conditioned stimulus)ได้ กฎการเรียนรู้จากทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิกของของพาลอฟ
สามารถสรุปได้ ดังน้ี

๑) พฤติกรรมการตอบสนองของมนุษย์สามารถเกิดขึ้นได้จากการเชื่อมโยง
ระหวา่ งสิ่งเร้าที่ไมว่ างเง่ือนไขหรอื ความตอ้ งการทางธรรมชาติ (unconditioned stimulus) กับสิ่งเร้า
ทว่ี างเง่อื นไข (conditioned stimulus)

13 กัลยา อัมพุชินีวรรณ, สภาพการจัดการเรียนการสอนและปัญหาการจัดการเรียนการสอน โดยเน้น
ผู้เรียนเป็นสำคัญของครูคณิตศาสตรใ์ นโรงเรยี นมัธยมศึกษา สังกัดกรมสามัญศึกษา จังหวัดชลบุรี, วิทยานิพนธ์
การศกึ ษามหาบณั ฑิต สาขาการบริหารการศึกษา คณะศึกษาศาสตรม์ หาวิทยาลยั บรู พา, (๒๕๕๗), หนา้ ๓๔-๓๖.

14

๒) กฎแห่งการลดภาวะ (Law of Extinction) ความเข้มข้นของการ
ตอบสนองจะลดลงเรื่อย ๆ หากบุคคลได้รับสิ่งเร้าที่วางเง่ือนไขอย่างเดียว หรือความสัมพันธ์ระหว่าง
สง่ิ เรา้ ทว่ี างเงอื่ นไขกบั สิ่งท่ีเรา้ ท่ไี ม่วางเงื่อนไขห่างกันออกไปมากขน้ึ

๓) กฎแห่งการฟื้นคืนสภาพเดิมตามธรรมชาติ (Law of Spontaneous
Recovery) การตอบสนองที่เกิดจากการวางเงื่อนไขที่ลดลง สามารถทำให้เกิดขึ้นได้อีกโดยใช้ สิ่งเร้า
ตามธรรมชาตหิ รือสิ่งเรา้ ท่ไี มว่ างเง่อื นไขมาเขา้ คู่กบั สง่ิ เร้าท่ีวางเง่ือนไขอกี

๔) กฎแห่งการถ่ายโยงการเรียนรู้สู่สถานการณ์อื่น ๆ ( Law of
Generalization) เม่ือเกดิ การเรียนรูจ้ ากการวางเง่ือนไขแลว้ ถ้ามีสงิ่ เรา้ ทค่ี ล้ายกับส่ิงเร้าท่ีวางเง่ือนไข
ที่เคยใชม้ ากระตนุ้ อาจทำใหเ้ กิดการตอบสนองท่เี หมือนกนั ได้

๕) กฎแหง่ การจำแนกความแตกตา่ ง (Law of Discrimination) ถา้ มกี ารใช้
สิ่งเร้าท่ีวางเงอ่ื นไขหลายแบบ แต่มกี ารใช้สง่ิ เร้าที่ไมว่ างเง่อื นไขหรือความต้องการตามธรรมชาติมาเข้า
คู่กับสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขแบบใดแบบหนึ่งเท่านั้น การเรียนรู้จะเกิดจากการจำแนกความแตกต่างและ
เลือกตอบสนองเฉพาะกับส่งิ เร้าทว่ี างเงื่อนไข

การนำแนวคิดของทฤษฎีการวางเง่ือนไขแบบคลาสสิกของพาลอฟ ไปประยุกต์ใช้ใน
การจดั การเรียนรู้สามารถทำไดด้ ังนี้

๑) ผู้สอนควรนำสิ่งเร้าที่เป็นความต้องการทางธรรมชาติของผู้เรียนมาใช้คู่
กับสิ่งเร้าที่มีเงื่อนไขเพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี เช่น การให้รางวัลเมื่อผู้เรียนสามารถทำได้
ตามจดุ ประสงคท์ ี่ครูกำหนด

๒) การที่จะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ในเรื่องใด ผู้สอนอาจใช้สิ่งเร้าที่วาง
เงื่อนไขหลายแบบพร้อมกบั สิง่ เร้าที่ผู้เรียนชอบตามธรรมชาติ เช่น การให้สิทธิพิเศษในการไปพักก่อน
คนอื่น หรือการให้คะแนนเพิ่มแกผ่ ู้เรียนทสี่ ามารถทำได้ตามจุดประสงคท์ ่คี รูกำหนด

๓) ผู้สอนควรจัดกิจกรรมการเรียนที่มีความต่อเนื่องและสัมพันธ์กับส่ิงท่ี
ผู้เรียนเคยเรียนรู้มาแล้วจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ง่ายขึ้นเพราะมีการถ่ายโยงระหว่าง
ประสบการณเ์ ดิมกบั ประสบการณ์ใหม่

๔) ถา้ ผูส้ อนต้องการใหผ้ ู้เรียนเกิดพฤตกิ รรมใด ผู้สอนไม่ควรใช้สิ่งเร้าที่ไม่มี
เงื่อนไขอย่างเดียวนานเกินไปเพราะจะทำให้พฤติกรรมการตอบสนองลดลงเรื่อย ๆ เช่น ถ้าผู้สอน
ต้องการให้ผู้เรยี นเข้าห้องเรียนตรงเวลา ผู้สอนอาจตั้งเงื่อนไขว่าเมื่อผู้สอนเข้ามาในห้องเรียนจะมกี าร
ทดสอบความรู้ในเรื่องที่เรียนไปในครั้งแล้วในตอนต้นชั่วโมงทุกครั้ง หากผู้สอนทำอย่างสม่ำเสมอ
ผู้เรยี นจะสนองตอบโดยเข้าเรียนตรงเวลา แตถ่ ้าผ้สู อนเขา้ มาในห้องแลว้ ไม่ได้ทดสอบความรู้ในเร่ืองท่ี
เรียนไปแล้วอย่างสม่ำเสมอตามเงื่อนไขที่กำหนด จะทำให้เกิดการลดภาวะของการตอบสนองต่อ
พฤตกิ รรมแบบนี้ได้

15

(๒) ทฤษฎกี ารวางเง่อื นไขของวตั สัน
วัตสัน (Watson) นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน ได้ทำการทดลองเกี่ยวกับการ

วางเงื่อนไขโดยใหเ้ ดก็ คนหนึง่ เล่นกับหนูขาวในขณะท่ีเด็กกำลังจะจบั หนูขาวเขาก็ทำใหเ้ กดิ เสยี งดังโดย
ใช้ค้อนตีแท่งเหล็กซึ่งอยู่ด้านหลังของเด็กจนเด็กตกใจและร้องไห้ หลังจากนั้นเด็กจะกลัวและร้องไห้
เมื่อเห็นหนูขาว ต่อมาเขาทดลองโดยให้แม่กอดเด็กไว้แล้วนำหนูขาวมาให้เด็กดูหลังจากนั้นเด็กก็จะ
ค่อยๆ คลายจากความกลวั หนูขาว จากการทดลองดังกล่าวสามารถสรุปเป็นกฎการเรียนรู้ตามทฤษฎี
การวางเงือ่ นไขของวตั สันได้ ดังน้ี

๑) พฤติกรรมท่ีเกิดจากการเรยี นรูเ้ ปน็ สิ่งที่สามารถควบคุมให้เกิดขึ้นได้โดย
การควบคมุ สงิ่ เรา้ ท่วี างเงือ่ นไขใหส้ ัมพันธก์ บั สิง่ เรา้ ตามธรรมชาติ

๒) พฤตกิ รรมทเ่ี กิดจากการเรียนรใู้ ด ๆ สามารถลดพฤติกรรมนัน้ ใหห้ ายไป
ไดโ้ ดยการควบคมุ ส่งิ เร้าทว่ี างเงอ่ื นไขให้สมั พันธก์ ับส่ิงเร้าตามธรรมชาติอย่างเหมาะสม

การนำแนวคิดของทฤษฎีการวางเงื่อนไขของวัตสันไปประยุกต์ใช้ในการจัดการ
เรียนรูส้ ามารถทำได้ ดังนี้

๑) ผู้สอนควรสร้างพฤติกรรมที่พึงประสงค์ให้เกิดกับผู้เรียนโดยใช้สิ่งเร้าท่ี
เหมาะสมกับภูมิหลังและความต้องการของผู้เรียนควบคู่ไปกับสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข เช่น ถ้าผู้เรียน
นำเสนอผลงานหน้าชนั้ ไดด้ ี ผูส้ อนควรยกย่องชมเชย ใหร้ างวลั หรอื ให้เพ่ือปรบมือให้ จะช่วยผู้เรียนมี
ความตั้งใจทจี่ ะทำใหด้ ยี ิง่ ข้ึน

๒) ผู้สอนสามารถลบพฤติกรรมที่ไม่พึงปรารถนาของผู้เรียนได้โดยใช้สิง่ เร้า
ตามธรรมชาตหิ รือส่งิ เร้าทีไ่ ม่ได้วางเงื่อนไขมาชว่ ย เช่น ถ้าผูเ้ รียนไม่ชอบเรียนคณิตศาสตร์ เพราะเรียน
ไมเ่ ขา้ ใจ ผู้สอนควรปรับวิธีสอนโดยทำให้เข้าใจง่ายขนึ้ และใหค้ วามชว่ ยเหลืออยา่ งใกล้ชิด เปิดโอกาส
ให้มาซักถามได้อยา่ งเป็นกันเองจนผูเ้ รียนสามารถเรยี นเข้าใจมากขน้ึ และชอบเรยี นคณิตศาสตร์

(๓) ทฤษฎกี ารวางเงื่อนไขแบบต่อเน่ือง (Contiguous conditioning)
กัทธรี14 (Guthrie) นักจิตวิทยาชาวอเมริกาได้ทำการทดลองวางเงื่อนไข

โดยปล่อยแมวที่หิวจัดเข้าไปในกล่องปริศนาซึ่งมีเสาเล็กๆ อยู่ตรงกลางและมีกระจกที่ประตูทางออก
ที่เสาในกล่องจะมีกลไกสำหรับเปิดประตู แล้วนำปลาแซลมอนวางไว้นอกกล่อง การทดลองพบว่า
แมวบางตัวใช้การกระทำหลายแบบเพื่อจะออกจากกล่อง แต่แมวบางตัวใชว้ ธิ ีเดียวก็สามารถออกจาก
ล่องได้ กัทธรี อธิบายว่า แมวจะใช้การกระทำครั้งสุดท้ายที่ประสบผลสำเร็จเป็นแบบแผนและยึดไว้
สำหรับการแก้ปัญหาครั้งต่อไป และการเรียนรู้เมื่อเกิดขึ้นแล้วแม้เพียงครั้งเดียวก็นับว่าได้เรียนรู้แลว้
ไมจ่ ำเป็นต้องทำซ้ำอีก

14 ขจรศักดิ์ สีเสน, การจัดการศึกษาตองตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล, (วารสารวิชาการ :
๒๕๔๕), หนา้ ๑๒-๑๗.

16

กฎการเรยี นรตู้ ามทฤษฎเี งอ่ื นไขแบบต่อเน่ืองของกัทธรี สรปุ ไดด้ งั นี้
๑) กฎแห่งความต่อเนื่อง (Law of Continuity) เมื่อมีสิ่งเร้าชุดใดชุดหน่ึง

มากระตุน้ และกอ่ ใหเ้ กิดการเคลื่อนไหวของร่างกายอย่างใดอยา่ งหน่งึ ข้นึ แล้ว หากสิง่ เร้าชุดเดิมกลบั มา
อีกก็จะทำใหเ้ กดิ การเคลอื่ นไหวอย่างเดิมเกดิ ขึน้

๒) การเรียนรู้เกิดขึ้นได้แม้เพียงครั้งเดียว (One trial learning) เมื่อมีส่ิง
เร้ามากระตุ้น ถ้าบุคคลสามารถการเรียนรู้โดยแสดงปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งเร้านั้นได้อย่างถูกต้อง
แมเ้ พยี งครั้งเดียวก็ถือว่าได้เรยี นรแู้ ลว้ ไม่จำเปน็ ตอ้ งทำซ้ำอีก

๓) กฎของการกระทำครัง้ สุดท้าย (Law of Recency) ในสถานการณ์อย่าง
ใดอย่างหนึ่ง ถา้ มกี ารเรยี นร้เู กดิ ขึน้ อย่างสมบูรณแ์ ลว้ เม่ือมสี ถานการณ์น้ันเกิดขึ้นอีก บคุ คลจะกระทำ
เหมอื นที่เคยไดก้ ระทำในครัง้ สุดท้ายท่เี กิดการเรียนรนู้ น้ั

๔) การจูงใจ (Motivation) การเรียนรู้เกิดจากการจูงใจมากกว่าการ
เสริมแรง การนำแนวคดิ ของทฤษฎีการวางเง่ือนไขแบบต่อเนอ่ื งของกัทธรี ไปประยกุ ตใ์ ชใ้ นการจัดการ
เรียนรู้ สามารถทำได้ ดังนี้

๑) ถา้ ผู้สอนตอ้ งการให้ผู้เรยี นเกิดพฤติกรรมใด ผู้สอนควรให้ส่งิ เร้าแบบวาง
เงื่อนไขที่เหมาะสมแก่ผู้เรียนอย่างต่อเนื่อง เช่น การให้รางวัลผู้เรียนที่ทำความดีทุกครั้งจนผู้เรียนทำ
ความดีอย่างต่อเน่อื ง

๒) ในการสอนในเรื่องใดเรื่องหน่ึง ผ้สู อนควรสอนให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ในส่ิงท่ี
ถูกตอ้ งตงั้ แตแ่ รกโดยไม่จำเปน็ ตอ้ งสอนซำ้ ซากซงึ่ จะทำให้ผูเ้ รียนเกดิ ความเบื่อหน่าย

๓) ในการทบทวนความรู้ของผู้เรียน ผู้สอนควรจัดสิ่งเร้ามากระตุ้นที่คล้าย
กับ สิ่งที่เขาเคยเรียนรู้มาแล้วครั้งสุดท้ายซึ่งจะทำให้ผู้เรียนจะสามารถแสดงปฏิกิริยาตอบสนอง
ออกมาได้อยา่ งถูกต้อง

๔) ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ผู้สอนต้องสร้างแรงจูงใจให้เกิดกับผู้เรียน
เสยี กอ่ น เนือ่ งจากแรงจูงใจเป็นปจั จัยทส่ี ำคัญช่วยใหผ้ ู้เรยี นประสบความสำเร็จในการเรยี นรู้

(๔) ทฤษฎีการเรียนรู้ของฮลั ส์15 (Hull’s Systematic Behavior Theory)
ฮัลส์ (Hull) นักจิตวิทยาชาวอเมริกันได้ใช้หลักการทางคณิตศาสตร์มาช่วย

ในการสร้างทฤษฎีทางจิตวิทยาอย่างมีระบบซึ่งเป็นแบบ S-R คือ การเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการ
ตอบสนอง โดยกล่าวถึงกระบวนการเรียนรู้ต่างๆในรูปของสมการคณิตศาสตร์ หลักการเรียนรู้ตาม
ทฤษฎีการเรียนรู้ของฮัลส์ เริ่มจากการตั้งสมมติฐานโดยใช้กระบวนการอนุมาน (Deductive
Process) ก่อนแล้วจึงทดลองเพื่อทดสอบสมมุติฐานและเมื่อสมมติฐานใดที่เป็นจริงเขาก็ได้ตั้งเป็น
ทฤษฎีต่อไป

15 ทักษิณา เครือหงส์ม, คู่มือการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ, คณะเทคโนโลยี
อุตสาหกรรม มหาวทิ ยาลัยราชภัฏลำปาง, (๒๕๕๐), หนา้ ๑๓.

17

สมมุติฐานแรกของฮัลล์ คอื การที่มนุษย์และสัตว์จะเกิดการเรียนรู้ได้ต้องมีการสร้าง
แรง ขับ(Drive) ได้แก่ ความหิว ความกระหาย เปน็ ต้น ซึง่ เขากล่าววา่ การแสดงพฤติกรรมการเรียนรู้
มากหรือน้อยเกิดจากผลคูณระหว่างแรงขับ (Drive) กับอุปนิสัย (Habit) ของบุคคลนั้นเมื่อได้รับการ
เสรมิ แรง สามารถเขยี นเปน็ สมการได้วา่

B=DxH
เม่ือ B แทน พฤตกิ รรม (Behavior)

D แทน แรงขบั (Drive)
H แทน นิสยั (Habit)
การเรยี นรู้จะเพ่ิมขึ้นเปน็ ระยะและจะมีการสะสมเพิ่มข้นึ ไปเร่ือย ๆ ในลกั ษณะท่ีเป็น
กระทำอย่างต่อเนื่องกัน การเสริมแรงจะทำให้การเรียนรู้เพิ่มระดับมากขึ้น แต่ในบางครั้งอัตราการ
เพิ่มของแต่ละคนอาจมีความไม่สม่ำเสมอ มีทั้งขึ้นและลง เพราะมีตัวแปรหลายอย่างที่มีอิทธิพลต่อ
การเรียนรู้ เช่น เนื้อหาวิชาที่เรียน ความพร้อมของผู้เรียน แรงขับ ความแตกต่างระหว่างบุคคล
เปน็ ตน้
ฮัลส์ (Hull) ได้ทำการทดลองโดยฝึกหนูให้กดคาน โดยแบ่งหนูเป็นกลุ่ม ๆ แต่ละ
กลุ่มจะให้อดอาหารนาน ๒๔ ชั่วโมง และมีการกำหนดแบบแผนในการเสริมแรงแตกต่างกันในแต่ละ
กลุ่ม บางกลุ่มกดคาน ๕ ครั้ง จึงได้อาหาร ไปจนถึงกลุ่มที่กด ๙๐ ครั้ง จึงจะได้อาหาร และอีกพวก
หน่งึ ทดลองแบบเดยี วกันแต่อดอาหารเพียง ๓ ชั่วโมง ผลปรากฏวา่ ยงิ่ ให้หนูอดอาหารนาน คือ มีแรง
ขับมาก จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความเข้มของนิสัย(Habit) กล่าวคือ จะทำให้การเชื่อมโยง
ระหวา่ งอวยั วะรบั สัมผสั (receptor) กับอวยั วะแสดงออก(effector) เข้มแขง็ ขึ้น ดังน้ันเม่ือหนูหิวมาก
จึงมีพฤติกรรมกดคานเร็วขึ้น จากการทดลองดังกล่าวสามารถสรุปเป็น กฎการเรียนรู้ทฤษฎีการ
เรยี นรขู้ องฮลั สไ์ ด้ ดังนี้
๑) กฎแห่งการยับยั้งปฏกิ ิริยา (Law of Reactive Inhibition) ถ้าร่างกายเกิดความ
เหนอื่ ยลา้ การตอบสนองหรือการเรยี นรู้จะลดลง
๒) กฎแห่งการจดั ลำดับกลมุ่ นิสยั (Law of Habit Hierarchy) เมอื่ มีสิ่งเร้ามากระตุ้น
แต่ละคนจะมีการตอบสนองต่างๆ กัน ในระยะแรกการแสดงออกจะมีลักษณะง่ายๆแต่เมื่อเกิดการ
เรียนรู้มากข้นึ กส็ ามารถแสดงการตอบสนองในระดบั ท่ีซับซอ้ นได้
๓) สมมติฐานของการใกล้จะบรรลุเป้าหมาย (Goal Gradient Hypothesis) เม่ือ
ผู้เรียนยิ่งใกล้บรรลุเป้าหมายจะมีสมรรถภาพในการตอบสนองมากขึ้น การเสริมแรงที่ให้ในเวลา
ใกล้เคยี งกับการบรรลุเป้าหมายจะชว่ ยทำให้เกิดการเรียนรไู้ ด้ดีทสี่ ดุ
การนำแนวคิดของทฤษฎีการเรียนรู้ของฮัลส์ ไปประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนรู้
สามารถทำได้ ดังน้ี
๑) ในการจัดการเรียนการสอน ผู้สอนควรคำนึงถึงความพร้อมความสามารถและ
เวลาทผ่ี ู้เรยี นจะเรยี นได้ดที ี่สุด

18

๒) ในการจัดการเรียนการสอน ผู้สอนควรให้ทางเลือกที่หลากหลายเพื่อให้ผู้เรียน
สามารถตอบสนองตามระดับความสามารถของตน เนื่องจากผู้เรียนมีระดับของ ความสามารถไม่
เทา่ กัน

๓) การให้การเสริมแรงในช่วงที่ผู้เรียนทำได้ใกล้ถึงเป้าหมายมากที่สุดจะช่วยทำให้
ผเู้ รียนเกิดการเรียนร้ไู ด้ดี

นอกจากน้ี ฮลั ส์ ยังไดก้ ลา่ วถึงปจั จยั ทจ่ี ำเป็นในการเรยี นรเู้ พ่มิ เตมิ ดงั น้ี
๑) ความสามารถ (Capacity) ในการเรยี นรู้ของแต่ละบคุ คลที่แตกต่างกัน
๒) การจูงใจ (Motivation) จะช่วยให้เกิดพฤติกรรมการเรียนรู้โดยการสร้างแรงขับ

(Drive) ใหเ้ กิดข้นึ ในตวั ผเู้ รยี น
๓) การเสรมิ แรง (Reinforcement) จะชว่ ยทำให้เกดิ การเรียนรไู้ ด้ดี จำนวนครงั้ ของ

การเสริมแรงจะมผี ลมากกว่าปริมาณของการเสริมแรงทีใ่ ห้ในแตล่ ะครง้ั
๔) ความเข้าใจ (Understanding) การเรียนรู้โดยการสร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้น

อย่างแท้จริงจะช่วยให้สามารถนำความรู้มาแก้ปัญหาได้ดียิ่งขึ้น เมื่อประสบปัญหาที่คล้ายคลึงกับ
ประสบการณเ์ ดมิ

๕) การถา่ ยโยงการเรียนรู้ (Transfer of Learning) การเรียนรู้สงิ่ ใหม่ทคี่ ล้ายคลงึ กับ
สิ่งที่เคยการเรียนรู้ในอดีต จะทำให้สามารถนำประสบการณ์เดิมมาใช้ในการตอบสนองต่อการเรียนรู้
สิ่งใหม่ได้

๖) การลืม (Forgetting) เมื่อเวลาผ่านไปนาน ๆ และไม่ได้ใช้สิ่งทีเ่ รียนรูน้ ั้นจะทำให้
เกิดการลืมได้

กล่าวโดยสรุปได้ว่า นักจิตวิทยาการศึกษากลุ่มพฤติกรรมนิยมให้ความสำคัญกับ
พฤติกรรมของมนุษย์มาก เพราะพฤติกรรมเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัด สามารถวัดและทดสอบได้ โดยมีความ
เช่ือว่าการเรยี นรู้เกดิ จากการเช่อื มโยงระหวา่ งสิ่งเรา้ และการตอบสนอง

ทฤษฎีเก่ียวกับความพึงพอใจ

Bernard16 ได้กล่าวถึง สิ่งจูงใจที่ใชเ้ ป็นเครื่องกระตุ้นบุคคลใหเ้ กิดความพึงพอใจใน
งานไว้ ๘ ประการ คอื

๑. สิ่งจูงใจท่ีเป็นวัตถุ ได้แก่ เงนิ สิ่งของ หรือสภาวะทางกายทใ่ี ห้แก่ผ้ปู ฏิบัติงานเป็น
การตอบแทน ชดเชย หรือเปน็ รางวลั ทเ่ี ขาไดป้ ฏิบัติงานให้แกห่ น่วยงานั้นมาเป็นอยา่ งดี

๒. สิ่งจูงใจที่เป็นโอกาสของบุคคลที่มีใช่วัตถุ เป็นสิ่งจูงใจสำคัญที่ช่วยส่งเสริมความ
ร่วมมือในการทำงานมากกว่ารางวัลทีเ่ ปน็ วตั ถุ เพราะสิ่งจงู ใจที่เป็นโอกาสนี้บุคลากรจะได้รับแตกต่าง
กัน เช่นเกียรตภิ มู ิ การใชส้ ทิ ธพิ ิเศษ เป็นต้น

16 Bernard, C.L. The functions of executive, (Cambridge : Harvard University Press, ๑๙๖๘), P.๔๕.

19

สุภาพทางกายภาพที่พึงปรารถนา หมายถึง สิ่งแวดล้อมในการปฏิบัติงาน ได้แก่
สถานที่ทำงาน เครื่องมือการทำงาน สิ่งอำนวยความสะดวกในการทำงานต่าง ๆ ซึ่งเป็นสิ่งอัน
ก่อให้เกิดความสขุ ทางกายในการทำงาน

๓. ผลประโยชน์ทางอุดมคติ หมายถึง สมรรถภาพของหน่วยงานที่สนองความ
ต้องการของบุคคลด้านความภาคภูมิใจท่ีได้แสดงฝีมือ การได้มีโอกาสช่วยเหลือครอบครัวตนเองและ
ผูอ้ ่ืนทั้งไดแ้ สดงความภกั ดตี อ่ หนว่ ยงาน

๔. ความดงึ ดูดใจในสงั คม หมายถงึ ความสมั พันธ์ฉันทม์ ิตร ถา้ ความสัมพันธเ์ ปน็ ไป
ด้วยดจี ะทำให้เกดิ ความผูกพันและความพอใจท่จี ะรว่ มงานกบั หนว่ ยงาน

๕. การปรบั สภาพการทำงานใหเ้ หมาะสมกบั วิธีการ และทศั นคตขิ องบุคคล หมายถึง
การปรับปรงุ ตำแหนง่ วธิ ที ำงานใหส้ อดคลอ้ งกบั ความสามารถของบุคลากร ซ่ึงแตล่ ะคนมี
ความสามารถแตกต่างกนั

๖. โอกาสท่มี ีสว่ นร่วมในงานอยา่ งกว้างขวาง หมายถงึ การเปิดโอกาสให้บคุ ลากร
รู้สึกมีส่วนร่วมในงานเปน็ บุคคลสำคัญคนหนึ่งของหน่วยงาน มีความรู้สึกเท่าเทยี มกันในหมู่ผู้ร่วมงาน
และมกี ำลังใจในการปฏบิ ตั งิ าน

๗. สภาพของการอยู่ร่วมกัน หมายถึง ความพึงพอใจของบุคคลในด้านสังคมหรือ
ความมั่นคงทางสังคม ซึ่งทำให้บุคคลรู้สึกมีหลักประกันและมีความมั่นคงในการทำงาน เช่น
การรวมตวั จดั สมาคมของผู้ปฏิบัติงาน เพอ่ื สร้างผลประโยชนร์ ว่ มกนั

ลูธันส์17 (Luthans) กล่าวว่า การที่จะเกิดแรงจูงใจขึ้นในบุคคลจะประกอบด้วยขั้นตอน
และองค์ประกอบต่าง ๆ ซึ่งแรงจูงใจที่เกิดขึ้นในตัวบุคคลจะประกอบด้วย องค์ประกอบที่สำคัญ
๓ สว่ น คือ

๑. ความตอ้ งการ (Need) เปน็ สงิ่ ท่เี กิดขึน้ เมอื่ ร่างกายเกิดความไม่สมดุล เชน่ เม่อื ร่างกาย
ขาดน้ำ อาหาร ความต้องการทางเพศ หรือไม่ไดร้ บั การยอมรับจากเพ่อื นหรือหมูค่ ณะ

๒. แรงขับหรอื แรงกระต้นุ (Drive) เปน็ พลงั กระตนุ้ ที่เกิดขน้ึ ภายในรา่ งกายเพื่อระงับความ
ต้องการเป็นการกระต้นุ ทำใหเ้ กดิ พฤตกิ รรมเพ่ือนำไปสู่เปา้ หมาย ส่ิงนี้ถือเป็นหัวใจของกระบวนการ
การจูงใจ

๓. เปา้ หมาย (Goal) เป็นสง่ิ ที่มาสนองความตอ้ งการและลดแรงขับอนั เป็นจดุ สน้ิ สดุ ของ
กระบวนการจูงใจ

17 Luthans, F. Organizational behavior, (New York : MaGraw-Hill, Inc., ๑๙๙๕), P. ๘๕.

20

การหาประสทิ ธิภาพแบบสอบถามวดั ความพงึ พอใจ
เมื่อดำเนินการสร้างแบบประเมนิ ความพึงพอใจของผู้เรยี นตามข้นั ตอน ไดแ้ ก่ ศึกษา

เอกสารตำราและงานวิจัยท่ีเก่ียวกับความพงึ พอใจ ศกึ ษาวิธีสรา้ งแบบประเมนิ ความพงึ พอใจและสร้าง
แบบประเมินความพึงพอใจ เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) กำหนดค่าคะแนนเป็น
๕ ระดับ ตามวธิ ขี องลิเคริ ์ท Likert ๒0 ข้อ จากทีต่ ้องการใช้จรงิ ๑0 ขอ้ แล้วตอ้ งนำแบบสอบถามไป
หาประสิทธภิ าพตามวิธีของ บุญชม ศรีสะอาด18 โดยใชเ้ กณฑ์การประเมนิ ผล ดงั นี้

๑. นำแบบประเมินความพึงพอใจที่สร้างขึ้นไปให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาความ
เหมาะสมข้อความและตรวจความเที่ยงตรงเพื่อตรวจสอบหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (Index of
Itemobjective Congruence : IOC) ของแบบประเมินแล้วเลือกข้อคำถามที่มีค่าดัชนีความ ตั้งแต่
0.๕0 ขึ้นไปโดยใช้เกณฑ์การประเมนิ ผลดังนี้

+๑ หมายถงึ แน่ใจวา่ แบบประเมนิ ตรงตามประเด็นการถามข้อน้ัน
๐ หมายถงึ ไมแ่ น่ใจวา่ แบบประเมนิ ตรงตามประเดน็ การถามข้อน้ันหรือไม่
-๑ หมายถงึ แน่ใจวา่ แบบประเมนิ ไม่ตรงตามประเด็นการถามข้อนนั้
๒. ปรับปรุงแบบประเมินตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญแล้วนำไปทดลองใช้
(Tryout) กับประชากรที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมาย เพื่อหาค่าอำนาจจำแนกโดยวิธี (Item Total
Correlation) ปรากฎว่ามีค่าอำนาจจำแนก ๐.๕ ซ่ึงมคี า่ สงู กว่า ๐.๒๐ ถือวา่ ใช้ได้
๓. หาค่าความเชื่อมั่นด้วยสัมประสิทธิ์แอลฟา (Alpha Coefficient) ตามวิธีของ
ครอนบาค (Cron bach) คา่ ความเชอ่ื มัน่ เกณฑ์ยอมรบั อยทู่ ่ี ๐.๓
๔. พมิ พ์เป็นแบบสอบถามฉบบั จริงเพอื่ นำไปใชเ้ กบ็ รวบรวมข้อมลู ตอ่ ไป
๕. วิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการสอนด้วยสื่อประสมใช้ตาราง
คำนวณโดยหาคา่ เฉลี่ย ( ̅ ) และสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน (S.D.) แล้วเปรยี บเทยี บกับเกณฑ์ในการแปล
ความ ดงั น้ี
คา่ เฉลย่ี ระดับความคดิ เหน็
๔.๕๑ - ๕.๐๐ พึงพอใจในระดับมากท่สี ุด
๓.๕๑ - ๔.๕๐ พึงพอใจในระดับมาก
๒.๕๑ - ๓.๕๐ พงึ พอใจในระดบั ปานกลาง
๑.๕๑ - ๒.๕๐ พึงพอใจในระดบั นอ้ ย
๑.๐๐ - ๑.๕๐ พงึ พอใจในระดบั น้อยที่สดุ

18 บุญชม ศรสี ะอาด, วิธกี ารทางสถิติสำหรับการวจิ ยั , พมิ พค์ ร้งั ที่ ๕, (กรงุ เทพฯ : สวุ รี ยิ าสาสน์, ๒๕๕๗),
หนา้ ๗๒.

21

จากการศกึ ษาการหาประสิทธภิ าพแบบสอบถามวดั ความพึงพอใจข้างต้น สามารถสรปุ ได้วา่
การหาประสิทธภิ าพแบบสอบถามวดั ความพงึ พอใจต้องผา่ นเกณฑ์ตามทผ่ี ้เู ชีย่ วชาญพิจารณา ทีม่ ีค่า
ดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ ๐.๕ ขึ้นไป จึงจะถือได้ว่ามีความน่าเชื่อถือ และวัดเป็นแบบมาตราส่วน
ประมาณค่า กำหนดค่าคะแนนเปน็ ๕ ระดบั แล้วนำไปประเมินผลทางสถติ ิ

2.4 บทเรยี นสำเร็จรปู

ความหมายของบทเรยี นสาํ เรจ็ รปู

บทเรียนสําเร็จรูปนนั้ ได้มนี ักวชิ าการได้ให้ความหมายไว้ ดังนี้
สุวิทย์ มูลคํา และอรทัย มูลคํา19 ได้กล่าวว่า บทเรียนโปรแกรมหรือบทเรียน

สําเรจ็ รปู วา่ เปน็ บทเรียนที่นําเนื้อหาสาระทจ่ี ะให้ผเู้ รียนไดเ้ รียนรู้มาแบ่งเป็นหนว่ ยย่อยหลาย ๆ กรอบ
(Frames) เพื่อให้ง่ายต่อการเรียนรู้ ในแต่ละกรอบจะมีเนื้อหาคำอธิบายและคําถามที่เรียบเรียงไว้
ต่อเนอื่ งจากงา่ ยไปหายาก

สานิตย์ กายาผาด20 ได้กล่าวว่า บทเรียนสําเร็จรูป หมายถึง บทเรียนที่เหมือนกับ
จําลองสถานการณ์การเรียนกับการสอนมาไว้ในรูปของวัสดุหรือสิ่งพิมพ์ ซึ่งทำหน้าที่เหมือนครูโดย
เปิดโอกาสให้ผู้เรียนทำกิจกรรมร่วมบทเรียน เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ขึ้นมาด้วยตนเองเพราะมีการ
เสริมแรงให้ผู้เรียนได้รับทราบทันทีว่ากิจกรรมที่ผูเ้ รียนทำนั้นถูกหรือผิดเป็นบทเรียนที่ผู้เรียนสามารถ
เรียนรดู้ ว้ ยตนเองและก้าวไปตามความสามารถของแตล่ ะบุคคล

สุนันทา สุนทรประเสริฐ21 ได้กล่าวว่า บทเรียนสําเร็จรูปว่าเป็นบทเรียนที่สร้างขึ้น
โดยกำหนดเนื้อหาวัตถุประสงค์ที่ต้องการวิธีการ ตลอดจนวัสดุอุปกรณ์ไว้ล่วงหน้าผู้เรียนสามารถ
ศกึ ษาค้นคว้าและประเมินผลการเรยี นด้วยตนเองตามขั้นตอนที่กำหนดไว้และมีแรงเสริมแก่ผเู้ รียนเป็น
ระยะ ๆ จึงถือว่าเปน็ บทเรียนท่ีผูเ้ รยี นสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองและเป็นไปตามความสามารถของแต่
ละบุคคล

ถวลั ย์ มาศจรัส22 ได้กลา่ วว่า บทเรียนสาํ เรจ็ รูป หมายถงึ บทเรยี นท่ีผู้สอนจัดทำขึ้น
เพือ่ ใช้เปน็ เครอ่ื งมอื ในการจัดกิจกรรมในการเรียนรูใ้ ห้ผู้เรียนเกิดกระบวนการเรียนรู้ในแต่ละสาระการ
เรยี นรทู้ ีก่ ำหนดไว้ในบทเรียนแตล่ ะบทเรียนด้วยตนเอง โดยเรมิ่ จากเน้ือหาสาระงา่ ย ๆ ไปสู่เน้ือหา
ที่ยากขึ้นเป็นลำดับ เป็นบทเรียนที่สร้างขึ้น โดยกำหนดเนื้อหาวัตถุประสงค์วิธีการ และสื่อการเรียน

19 สวุ ทิ ย์ มูลคาํ และอรทยั มูลคาํ , วธิ ีจดั การเรยี นร,ู้ พมิ พค์ รัง้ ท่ี 4, (กรุงเทพฯ : ภาพพมิ พ์, 2545),
หน้า ๕๖.

20 สานิตย์ กายาผาด, เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อชีวิต, (กรุงเทพฯ : เธิร์ดเวฟ เอ็ดดูเคชั่น, 2547),
หน้า ๒.

21 สุนันทา สุนทรประเสริฐ, การสร้างสื่อการสอนและนวัตกรรมการเรียนรู้สู่การการพัฒนาผู้เรียน,
(ราชบุรี : ธรรมรกั ษก์ ารพิมพ์, 2547), หนา้ ๕๓.

22 ถวัลย์ มาศจรัส, บทเรียนโปรแกรม กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย, (กรุงเทพ : ธารอักษร, 2548),
หนา้ 17.

22

การสอนไว้ล่วงหน้า ผู้เรียนสามารถศึกษาค้นคว้าและประเมินการเรียนด้วยตนเองตามขั้นตอนที่
กำหนดไว้

ฉวีลักษณ์ บุณยะกาญจน23 ไดก้ ลา่ วว่า บทเรียนสําเรจ็ รูป หมายถึง บทเรยี นทล่ี ำดับ
เนื้อหาจากง่ายไปยากนําเสนอในรูปแบบของกรอบ ซึ่งจะมีคําถามและเฉลยไว้ เพื่อให้นักเรียนได้
เรียนรู้ด้วยตนเองตามความถนัดและความสามารถของนักเรยี น โดยนกั เรียนตอ้ งมคี วามซอ่ื สัตย์ในการ
เรียนจงึ จะบรรลจุ ดุ ประสงคข์ องการเรยี นรู้

ทิศนา แขมมณี24 ได้กล่าวว่า บทเรียนสําเร็จรูป หมายถึง สื่อการจัดการเรียนรู้่ท่ี
สร้างขึ้น โดยกำหนดเนื้อหา วัตถุประสงค์วิธีการตลอดจน อุปกรณ์การสอนที่นักเรียนสามารถเรียนรู้
ได้ด้วยตนเองโดยแบ่งเนื้อหาออกเป็นส่วนย่อย ๆ เรียกว่า กรอบ โดยลำดับเนื้อหาจากง่ายไปหายาก
แต่ละกรอบมคี าํ ถามและคาํ ตอบเพื่อให้นักเรียนสามารถเรยี นรู้ได้ตามศักยภาพของตนเอง

ธีรชัย ปรูณโชติ25 ได้กล่าวว่า บทเรียนสําเร็จรูป หมายถึง สื่อการเรียนรู้ที่เน้นให้
นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง โดยเรียงลำดับเนื้อหาจากง่ายไปยาก ซึ่งบทเรียนสำเร็จรูปนี้มี
แบบทดสอบวัดความรู้ ความเข้าใจของนักเรียนทั้งก่อนเรียนและหลังเรียนทำให้ทราบความก้าวหน้า
ในการเรยี นรขู้ องนักเรียน

กุศยา แสงเดช26 ได้กล่าวว่า บทเรียนสําเร็จรูป หมายถึง บทเรียนที่สร้างขึ้นให้
นักเรียนเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยจัดเป็นกรอบที่เรียงลำดับเนื้อหาจากง่ายไปหายาก แต่ละกรอบมี
คำอธบิ าย คาํ ถาม และเฉลยใหน้ กั เรยี นไดเ้ รียนร้ไู ด้ดว้ ยตนเอง

สรุปได้ว่า บทเรียนสําเร็จรูป หมายถึง บทเรียนที่ครูจัดทำขึ้นเพื่อให้ผู้เรียนเรียนรู้
ด้วยตนเองโดยบทเรียนสําเร็จรปู จะนําเสนอเน้ือหาบทเรียนทีละน้อยจากง่ายไปหายาก โดยเสนอเป็น
กรอบหรือเฟรม ในแต่ละกรอบหรือเฟรมจะมีคําถามและคําเฉลยอยู่ โดยคําถามจะเป็นคําถามที่ง่าย
ไปหายากและนักเรียนสามารถประเมินผลความก้าวหน้าของนักเรียนได้ทันที เพื่อเป็นการเสริมแรง
ใหผ้ เู้ รยี นมีความต้งั ใจทจ่ี ะศกึ ษาบทเรียนตอ่ ไป

23 ฉวีลักษณ์ บุณยะกาญจน, นวัตกรรมการศกึ ษา, (กรุงเทพฯ : ธารอักษร, 2551), หนา้ 21.
24 ทิศนา แขมมณี, ศาสตร์การสอน, (กรงุ เทพฯ : โรงพิมพจ์ ฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั , 2552), หนา้ ๑๖.
25 ธีรชัย ปูรณโชติ, การสร้างบทเรียนสําเร็จรูป, พิมพ์คร้ังที่ 2, (กรุงเทพฯ :โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย, 2552), หนา้ 4.
26 กุศยา แสงเดช, บทเรียนสําเร็จรูป คู่มือการพัฒนาสื่อการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ,
ระดบั ประถมศกึ ษา, (กรงุ เทพฯ : ฟสิ ิกสเ์ ซ็นเตอร์, 2552), หนา้ 3.

23

ลักษณะสำคัญของบทเรยี นสําเร็จรปู

สุวิทย์ มูลคํา และอรทัย มูลคํา27 ได้กล่าวไว้ว่า องค์ประกอบและลักษณะของ
บทเรียนสําเร็จรูปที่สำคัญ ดงั น้ี

1. กำหนดจุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมที่สามารถวดั ได้
2. เนื้อหาหรือเรื่องที่อยากให้เรียนรู้ แบ่งเป็นหน่วยย่อย ๆ เรียกว่า กรอบ
การเรียงความสัน้ ยาวของแตล่ ะกรอบแตกตา่ งกนั ไปตามความเหมาะสม
3. จัดเรียงลำดับกรอบบทเรียนให้ต่อเนื่องกัน เริ่มจากง่ายไปหายาก และ
เหมาะสมกบั ความสามารถของผเู้ รียน มกี ารทบทวนใหผ้ เู้ รยี นทดสอบการเรียนรู้ของตนเองตลอดเวลา
4. ผู้เรียนมีโอกาสเรียนรู้เนื้อหาและทักษะจากกิจกรรมต่าง ๆ ที่กำหนดไว้
ในกรอบ
5. เป็นการเรียนรู้ที่ให้ข้อมูลย้อนกลับจากผลการทดสอบทันทีโดยสามารถ
ตรวจสอบคาํ ตอบจากคาํ เฉลยดว้ ยตนเองซง่ึ ในบางข้ออาจมีคำอธิบายเพ่ิมเติมให้ดว้ ย
6. มีการเสริมแรงผู้เรียนในขั้นตอนสำคัญเป็นระยะ เช่น คําชมจากการท่ี
ผู้เรียนรูว้ า่ ตนเองทำไดถ้ ูกต้องแล้ว
7. ไม่จำกัดเวลาเรียน ผู้เรียนสามารถใช้เวลาในการเรียนรู้ตาม
ความสามารถของแตล่ ะบุคคล
8. มีการวัดประเมินผลแน่นอน ซึง่ มีการทดสอบก่อนเรียน ทดสอบระหว่าง
เรียน และทดสอบหลงั เรยี น เพือ่ วัดความกา้ วหน้าในการเรียนรู้

ประเภทบทเรยี นสําเรจ็ รปู

ประเภทของบทเรียนสาํ เร็จรปู แบง่ ออกเป็น 3 ลักษณะ คอื
1. บทเรียนสําเร็จรูปแบบเส้นตรง (Linear Programmed) เนื้อหาจะถูก

จัดเรียงเป็นกรอบ (Frame) ตามลำดับจากง่ายไปหายาก ผู้เรียนจะต้องเริ่มเรียนจากกรอบแรก
และเรียงลำดับจนกระท่ังกรอบสุดท้ายของบทเรียน จะข้ามกรอบใดกรอบหนึ่งไม่ได้สิ่งที่เรียนจาก
กรอบแรกจะเป็นพน้ื ฐานของกรอบถัด ๆ ไป

2. บทเรียนสําเร็จรูปแบบแยกกิ่งหรือสาขา (Branching Programmed)
Noman H. Crowdow เปน็ ผู้พัฒนาจากสกินเนอร์ (Skinner) โดยบทเรียนจะไมด่ ำเนินการตามลำดับ
แต่จะจัดให้มีการเรียงลำดับเนื้อหาย่อยโดยอาศัยคําตอบของผู้เรียนเป็นเกณฑ์ ถ้าผู้เรียนตอบคําถาม
ของข้อความย่อย ๆ ที่เป็นหลักของบทเรียนได้ถูกต้อง บทเรียนอาจจะมีคำแนะนําให้ผู้เรียนปฏิบัติ
ต่อไปโดยให้ข้ามกรอบนี้ไปกรอบต่อไป แต่ถ้าผู้เรียนตอบคําถามไม่ถูกต้องก็อาจจะมีข้อความย่อย ๆ

27 สุวิทย์ มูลคํา และอรทัย มูลคํา, วิธีจัดการเรียนรู้, พิมพ์ครั้งที่ 4, (กรุงเทพฯ : ภาพพิมพ์, 2545),
หน้า 35.

24

เพิ่มเติมให้ศึกษาก่อนเพื่อเข้าใจและก้าวต่อไป การเรียนจะไม่ดำเนินตามลำดับขั้นจากกรอบแรกไป
จนถงึ กรอบสุดท้ายแตอ่ าจจะยอ้ นไปย้อนมาในกรอบต่าง ๆ ทั้งนีข้ นึ้ อยู่กับความสามารถของผูเ้ รียน

3. บทเรียนผสม (Combination Programmed) เป็นบทเรียนที่ให้โอกาส
การตอบสนองของผ้เู รยี น โดยมที ้ังแบบเสน้ ตรงและแบบแตกกิง่ ในเนื้อหาเดียวกัน

กศุ ยา แสงเดช28 ได้กล่าวถงึ ประเภทของบทเรียนสําเรจ็ รปู ไว้ ดงั นี้
1. บทเรียนสําเร็จรูปแบบเส้นตรง (Linear Program) ในการสร้างบทเรียนจะยึด
หลกั การแบ่งเน้ือหาเปน็ ข้นั ตอนเล็ก ๆ ในแต่ละกรอบ พร้อมดว้ ยคาํ ถาม แตม่ ีการให้ นักเรยี นตอบเป็น
2 ลักษณะ ดงั นี้

1.1 แบบสร้างคําตอบ (Constructs) ในช่องว่างที่ให้ไว้ เป็นบทเรียนที่ให้
ผู้เรียนสร้างคําตอบเอง ซึ่งเป็นผลมาจากการศึกษาของสกินเนอร์ (Burrhus F. Skinner) เนื้อหาจะ
แบ่งเป็น ขั้นตอนเล็ก ๆ สั้น ๆ โดยขนาดของกรอบจะต้องมีขนาดใหญ่ พอที่จะอธิบายเนื้อหาทัง้ หมด
นน้ั ๆ เพื่อชว่ ยให้ผูเ้ รียนตอบคําถามได้ ถกู ตอ้ ง เป็นการช่วยมิให้ตอบผดิ ซงึ่ จะทำให้ เกิดการจดจํา
ไปนานและถา้ นักเรียนตอบถูกกจ็ ะทำให้นักเรียนเกดิ กำลงั ใจ เปรยี บเสมอื นเปน็ รางวลั ทีพ่ ึงได้รับ

1.2 แบบเลือกตอบ (Multiple Choices) เป็นการสร้างบทเรียนตาม
หลักการของเพรสซี (Sydney L. Pressey) โดยเมื่อผู้เรียนเลือกคําตอบที่ถูกต้องแล้ว จะมีสิ่งที่เรา
ถัดไปเสนอมาให้แต่ถ้าผู้เรียนเลือกข้อผิดก็ต้องกลับไปอ่านและทำความเข้าใจเนื้อหาในกรอบเดิมอีก
ครงั้ หนง่ึ แลว้ จงึ เลอื กคาํ ตอบใหม่จนกว่าจะถกู ต้อง

2. บทเรียนสําเร็จรูปแบบสาขา (Branching Program) เป็นแนวความคิดของโคร
เดอร์ (Crowder) ซึ่งลักษณะของบทเรียนจะคล้ายกันกับแบบเลือกตอบของเพรสซี แต่มีข้อแตกต่าง
ตรงที่ว่าตัวเลือกในแต่ละตัวจะนําผู้เรียนได้ไปศึกษาในกรอบหรือหน้าอื่น ๆ ต่อไป การเรียงลำดับขั้น
หรือกรอบจะไม่เป็นไปตามลำดับ โดยถ้าผู้เรียนตอบคําถามของเนื้อหาในกรอบนั้นได้ อาจข้ามกรอบ
บางกรอบไป เพื่อเรียนในกรอบของเนื้อหาท่ีกำหนด แตถ่ า้ ผู้เรียนตอบผิดก็จะได้รับการอธิบายเหตุผล
หรือสาเหตุที่ผิด และอาจได้รับบทเรียนเพิ่มเติมจากหน่วยย่อย ดังนั้นผู้เรียนจึงต้องทำตามคำแนะนํา
ในแต่ละกรอบอยา่ งเครง่ ครัด

ธรี ชยั ปรูณโชติ29 ได้แบ่งบทเรียนสําเรจ็ รูปออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
1. บทเรียนสําเร็จรูปแบบไม่แยกกรอบ เป็นบทเรียนที่เสนอเนื้อหาทีละน้อย

ตามลำดับขั้นตอน มีคําถามและเฉลย หรือแนวในคําตอบไว้ให้ตรวจสอบทันที แต่ไม่เสนอเนื้อหาใน
ลักษณะของกรอบ แต่เสนอเนื้อหาเป็นลำดับต่อเนื่องกัน เช่นเดียวกับการเขียนบทความหรือตํารา

28 กุศยา แสงเดช, บทเรียนสําเร็จรูป คู่มือการพัฒนาสื่อการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ,
ระดบั ประถมศึกษา, (กรงุ เทพฯ : ฟสิ กิ ส์เซ็นเตอร์, 2552), หน้า 10.

29 ธีรชัย ปูรณโชติ, การสร้างบทเรียนสําเร็จรูป, พิมพ์ครั้งที่ 2, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลยั , 2552), หนา้ 7.

25

แตกตา่ งกนั เพียงแต่วา่ บทเรียนประเภทนี้จะต้องมีคําตอบหรือแนวคําตอบไว้ใหน้ ักเรียนเพ่ือเป็นข้อมูล
ยอ้ นกลบั แกน่ กั เรียนวา่ คําตอบของตนถูกหรือผดิ

2. บทเรียนสําเร็จรูปแบบเส้นตรง (Linear Programming) เป็นบทเรียนแบบ
เส้นตรงที่นําเสนอเนื้อหาทีละน้อยบรรจุลงในกรอบหรือเฟรมต่อเนื่องกันตามลำดับจากกรอบหนึ่งไป
ยังกรอบที่สอง จนถึงกรอบสุดท้ายตามลำดับโดยเรียงลำดับเนื้อหาจากง่ายไปหายาก สิ่งที่เรียนจาก
หนว่ ยย่อยหรอื กรอบแรกจะเป็นพ้นื ฐานสำหรับกรอบถัดไป นักเรียนจะต้องเรยี นตามลำดับทีละกรอบ
ต่อเนอ่ื งกันไปตงั้ แต่กรอบแรกจนถึงกรอบสดุ ท้าย โดยไมข่ า้ มกรอบใดกรอบหนงึ่ เลย

3. บทเรยี นสําเรจ็ รปู แบบแตกกงิ่ หรอื สาขา (Branching Programming) เปน็ วธิ กี าร
เขียนบทเรียนแบบลำดับแตกต่างจากการเขียนแบบเส้นตรง การเขียนโปรแกรมแบบสาขามีการ
เรียงลำดบั ข้อความยอ่ ย โดยอาศัยคาํ ตอบของนักเรียนเป็นเกณฑ์ ถา้ นกั เรียนตอบคําถามข้อความย่อย
ได้ถูกต้อง นักเรียนจะได้รับคำสั่งให้ข้ามไปหน่วยย่อยได้จำนวนหนึ่งแต่ถ้าตอบไม่ถูกต้องอาจจะได้รับ
คำสง่ั ให้ย้อนไปเรียนขอ้ ความยอ่ ยต่าง ๆ เพิม่ เตมิ กอ่ นทจี่ ะก้าวหนา้ ต่อไป

สรุปได้ว่า บทเรียนสําเร็จรูปแบ่งได้ ๓ ประเภทคือ บทเรียนสําเร็จรูปแบบไม่แยก
กรอบบทเรียนสำเร็จรูปแบบเส้นตรง และบทเรียนสำเร็จรูปแบบแตกกิ่งหรือสาขา แต่ละประเภทมี
ลักษณะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับผู้เลือกใช้ ซึ่งในการสร้างบทเรียนสําเร็จรูปในครั้งนี้ ได้เลือกใช้ประเภท
บทเรียนสําเร็จรูปแบบเส้นตรงที่มีลักษณะการนําเสนอเนื้อหาทีละน้อยบรรจุลงในกรอบหรือเฟรม
ต่อเนื่องกันตามลำดับจากกรอบหนึ่งไปยังกรอบที่สอง จนถึงกรอบสุดท้ายตามลำดับโดยเรียงลำดับ
เนื้อหาจากง่ายไปหายาก สิ่งที่เรียนจากหน่วยย่อยหรือกรอบแรกจะเป็นพื้นฐานสำหรับกรอบถัดไป
นักเรียนจะต้องเรียนตามลำดับทีละกรอบต่อเนื่องกันไปตั้งแต่กรอบแรกจนถึงกรอบสุดท้าย โดยไม่
ขา้ มกรอบใดกรอบหนง่ึ เลย

สว่ นประกอบของบทเรียนสําเร็จรปู

กศุ ยา แสงเดช30 ได้กลา่ วถงึ บทเรยี นสําเร็จรูปประกอบด้วยส่วนประกอบดังน้ี
1. กรอบตง้ั ต้น (Set Frame) คือ กรอบใดกต็ ามที่มีอยตู่ อนหนึง่ ให้นักเรียน

สร้างการตอบสนองลงไป การตอบสนองจะเป็นอะไรนั้น นักเรียนสามารถทำได้จากข้อมูลในกรอบ
เดียวกนัโดยนกั เรียนไม่มคี วามจำเปน็ ตอ้ งมคี วามรูส้ ำหรบั ใช้ตอบมาก่อน

2. กรอบฝึกหดั (Practice Frame) เป็นกรอบทนี่ ักเรียนไดใ้ ชฝ้ ึกหดั เกยี่ วกับ
สิ่งที่ได้เรียนมาแล้วจากกรอบตัวต้น หลักการสำคัญ จะต้องให้นักเรียนได้ฝึกหัดเฉพาะสิ่งที่เขาได้รับ
จากกรอบตวั ตน้ เทา่ น้นั

3. กรอบรองส่งท้าย (Sub Terminal Frame) เป็นกรอบที่ให้ความรู้ท่ี
จำเป็นแก่นักเรียนเพื่อให้นักเรียนสนองตอบในกรอบสรุปได้ถูกต้อง กรอบรองส่งท้ายแรกควรจะมี

30 กุศยา แสงเดช, บทเรียนสําเร็จรูป คู่มือการพัฒนาสื่อการเรียนการสอนทีเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ,
ระดับประถมศึกษา, (กรงุ เทพฯ : ฟิสกิ สเ์ ซ็นเตอร์, 2552), หนา้ 15.

26

ความรู้อยู่ส่วนหนึ่งที่จะนําไปใช้ในกรอบส่งท้ายที่อยู่ถัดไป จะสะสมความรู้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนกว่า
นักเรียนบรรลุถึงความสามารถที่จะตอบสนองในกรอบส่งท้ายได้อย่างถูกต้อง การสร้างบทเรียน
สาํ เรจ็ รปู จงึ มกั สรา้ งกรอบสง่ ทา้ ย หรอื กรอบสรุปกอ่ นกรอบรองทา้ ย

4. กรอบสรุปหรือกรอบส่งท้าย (Terminal Frame) กรอบนี้ นักเรียน
จะต้องรวบรวมข้อมูลที่ได้เรียนจากกรอบต้น ๆ แล้วเขียนตอบสนองออกมาเอง นักเรียนจะพบวามี
การชช้ี อ่ งไวบ้ า้ งหรอื ไมม่ ีเลย

ธรี ชยั ปรณู โชติ31 ได้กลา่ วถึง สว่ นสำคญั ของบทเรยี นสาํ เร็จรูปไว้ 3 ประการ ดังน้ี
1. จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม (Behavioral Objectives) หมายถึง จุดประสงค์ท่ี

กำหนดไว้ เป็นเกณฑ์สำหรับพฤติกรรมของนักเรียน หลังจากที่เรียนเนื้อหาวิชาจนจบแล้วว่ามี
ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียนเพยี งใด

2. เนื้อหาวิชาถูกแบ่งออกเป็นแต่ละสังกัป ซึ่งเรียกว่า บท แต่ละบทจะถูกแบ่ง
ออกเป็นขั้นเล็ก ๆ ตามลำดับ เรียกว่า กรอบ (Frame) แต่ละกรอบจะมีคำอธิบายเนื้อหา ตัวอย่าง
และมีคําถาม ่ให้นักเรียนตอบ เมื่อนักเรียนตอบเสร็จแล้วก็ตรวจคําตอบได้จากเฉลยที่มีอยูในกรอบ
ถัดไป

3. แบบทดสอบท้ายบท เป็นแบบบทดสอบที่ใช้สอบเพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
วา่ เมื่อนักเรียนได้เรียนเนื้อหาวิชานน้ั ในแตล่ ะบทแล้ว นักเรียนมีความร้คู วามเข้าใจในเน้ือหาวิชามาก
นอ้ ยเพียงใด นักเรียนไดบ้ รรลุตามเกณฑท์ ีไ่ ด้กำหนดไวใ้ นจุดประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรมหรือไม่

สรุปได้ว่า ส่วนประกอบของบทเรียนสําเร็จรูป ควรจะประกอบไปด้วยจุดประสงค์เชิง
พฤติกรรม เนอ้ื หาในแต่ละกรอบสำหรับเรียนรพู้ ร้อมทั้งมคี ําถามและเฉลยคําถามให้นักเรยี นตรวจสอบ
ไดด้ ว้ ยตนเอง และมแี บบทดสอบทา้ ยบทสำหรับวดั ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น

หลักการสรา้ งบทเรียนสาํ เร็จรปู

บุญชม ศรีสะอาด32 อธิบายถึง การสร้างบทเรียนสําเร็จรูปจะต้องยึดหลักการที่
สำคัญของการสอน ดังน้ี

1. หลักการเรียนรู้เพิ่มขึ้นทีละน้อย (Gradual Approximation) การ
เรียนรูท้ ่ีเกิดข้ึนได้ดีถา้ มกี ารแบ่งข้นั ตอนของกิจกรรมการเรียนการสอนให้เปน็ ข้ันตอนส้นั ๆ พอสมควร
เพ่ือให้เป็นพนื้ ฐานเสรมิ หรือเช่ือมโยงใหเ้ กดิ การเรยี นรขู้ ัน้ ต่อ ๆ ไป การสรา้ งบทเรียนสาํ เร็จรูปจงึ มีการ
แบง่ เน้อื หาการเรยี นออกเปน็ ตอน ๆ เปน็ กรอบ ผู้เรียนจะคอ่ ยเรียนรสู้ ะสมไปเรอ่ื ย ๆ เมอื่ เรียนรหู้ ลาย
ๆกรอบจนจบบทเรยี นก็จะบรรลุจดุ ประสงค์การเรยี นร้ตู ามตอ้ งการ

2. หลักการมีส่วนร่วมอยางจริงจัง (Active Participation) การเรียนรู้จะ
เกดิ ขน้ึ ไดด้ ี เมอ่ื ผู้เรียนทำกจิ กรรม เชน่ คิดแกป้ ญั หา คน้ หาความสัมพันธร์ ะลกึ ถงึ ความรเู้ ดมิ ผ้เู รยี นจงึ

31 ธีรชัย ปูรณโชติ, การสร้างบทเรียนสําเร็จรูป, พิมพ์ครั้งที่ 2, (กรุงเทพฯ :โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์
มหาวทิ ยาลยั , 2552), หนา้ 10.

32 บุญชม ศรีสะอาด, การพัฒนาการสอน, (กรงุ เทพฯ : สุวีรยิ าสาสน์ , 2545 ก), หนา้ 77.

27

ต้องมีส่วนจะต้องตอบสนองออกมาโดยเติมข้อความลงในช่องวางหรือเลือกคําตอบที่เหมาะสมโดย
จะต้องตอบสนองอยู่บ่อย ๆ แทบทุกกรอบ บางกรอบอาจตอบมากกวา 1 ครั้ง ลักษณะดังกล่าว จะ
ทำให้ผู้เรยี นตดิ ตามบทเรียนตลอดเวลา

3. หลักการรู้ผล (Feedback) การเรียนรู้จะเกดิ ขนึ้ ได้ดีถ้าผู้เรียนไดร้ ผู้ ลของ
การกระทำของตนรู้วา่ สงิ่ ทีท่ ำไปนน้ั ถูกหรอื ผดิ ถ้าผิดที่ถูกควรเป็นอยา่ งไร จากหลกั การดงั กลา่ วในการ
สร้างบทเรียนสําเร็จรูปจึงมีการเฉลยตําตอบที่ถูกต้องให้ผู้เรียนทราบว่าที่ได้ตอบสนองไปนั้นถูกต้อง
หรือไม่ โดยเทียบกับคาํ ตอบที่เฉลยไวแ้ ล้ว

4. หลักการของความสำเร็จ (Success Experience) การเรียนรู้จะเกิดข้ึน
ได้ดีถ้าผู้เรียนรู้สกึ ว่าได้รับความทำสำเร็จ ทำได้ถูกต้อง จากหลักการดังกล่าวนี้ จึงมีการปูพื้นฐานเร่มิ
จากง่าย ๆมีการเขียนความรู้ และที่สำคัญคอื ในการตอบสนองบทเรียนจะพยายามให้ตอบโดยท่ีม่นั ใจ
วา่ ถ้าผูเ้ รยี นติดตามอยางตง้ั ใจกจ็ ะสามารถตอบไดถ้ ูกตอ้ ง

กศุ ยา แสงเดช33 ไดก้ ลา่ วถงึ หลักการของเรยี นสําเร็จรูปจะต้องยดึ หลกั ท่ีสำคัญ ดงั น้ี
1. หลักการเรียนรู้ เพมิ่ ทีละนอ้ ย (Gradual Approximation) การเรียนรู้ จะเกดิ ขึ้น

ได้ดีถ้ามีการจัดแบ่งขั้นของกิจกรรมการเรียนการสอน ให้ เป็นขั้นตอนสั้น ๆ พอสมควร เพื่อให้เป็น
พื้นฐานเสริมหรอื เชือ่ มโยงให้เกิดการเรียนรู้ขั้นต่อ ๆไป การสร้างบทเรียนสําเร็จรูปจึงการแบ่งเนื้อหา
การเรยี นออกเปน็ ตอน ๆ เป็นกรอบ ผู้เรียนจะคอยเรียนรสู้ ง่ั สมข้ึนไปเร่อื ย ๆเม่ือเรยี นร้หู ลาย ๆ กรอบ
จนจบบทเรยี นก็จะบรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้ครบตามต้องการ

2. หลักการมีส่วนร่วมอย่างจริงจัง (Active Participation) การเรียนรู้ จะเกิดขึ้นได้
ดี ถ้าผู้เรียนทำกิจกรรม เช่น คิดแก้ปัญหา คนหาความสัมพันธ์ ระลึกถึงความรู้เดิม ผู้เรียนจึงมีส่วนที่
จะต้องตอบสนองออกมา โดยเติมข้อความลงในช่องวางหรือเลือกคําตอบที่เหมาะสม โดยจะต้อง
ตอบสนองอยู่บ่อย ๆ แทบทุกกรอบ บางกรอบอาจตอบมากกว่า 1 ครั้ง ลักษณะดังกล่าวจะทำให้
ผูเ้ รียนเรียนตดิ ตามบทเรยี นตลอดเวลา

3. หลักของการรู้ผล (Feedback) การเรียนรู้ จะเกิดขึ้นได้ดี ถ้าผู้เรียนได้รู้ผลของ
การกระทำของตนรู้ ว่าสิง่ ท่ีทำไปน้ันถูกหรือผดิ ถา้ ผดิ ถูกควรเปน็ อย่างไร จากหลักการดังกล่าวในการ
สร้างบทเรียนสําเร็จรูป จึงมีการเฉลยคําตอบที่ถูกต้อง ให้ผู้เรียนได้ทราบว่าที่ได้ตอบคําถามไปนั้น
ถูกต้องหรอื ไม่ โดยเทยี บกับคาํ ตอบทเ่ี ฉลยไวใ้ หแ้ ล้ว

4. หลักของความสำเร็จ (Success Experience) การเรียนรู้ จะเกิดขึ้นได้ดีถ้า
ผเู้ รยี นรสู้ ึกว่าได้รับความสำเร็จ ทำได้ถูกต้อง จากหลักการดงั กลา่ วน้ี จึงมีการปูพื้นฐานเริ่มจากง่าย ๆ
มีการเขียนความรู้ และที่สำคัญคือ ในการตอบสนองบทเรียนจะพยายามให้ ตอบโดยที่มั่นใจว่าถ้า
ผเู้ รียนติดตาม อย่างตั้งใจกจ็ ะสามารถตอบได้ถูกต้อง

33 กุศยา แสงเดช, บทเรียนสําเร็จรูป คู่มือการพัฒนาสื่อการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ,
ระดับประถมศกึ ษา, (กรงุ เทพฯ : ฟสิ กิ ส์เซ็นเตอร์, 2552), หน้า 17.

28

ธีรชัย ปรูณโชติ34 กล่าวถึง หลักการของบทเรียนสาํ เร็จรปู ดังน้ี
1. แบ่งเนื้อหาเป็นข้อย่อย ๆ (Small Step) ในการแบ่งเนื้อหาออกเป็นหน่วยหรือ

ขอ้ ยอ่ ย ๆ นที้ ำใหน้ กั เรียนสามารถเรยี นรูไ้ ดอ้ ย่างเหมาะสมกบั ความสามารถของนักเรยี น
2. เป็นบทเรยี นทม่ี ุ่งเนน้ ใหน้ ักเรียนเรียนด้วยตนเอง (Self - pacing)
3. นักเรยี นร่วมกิจกรรมมากท่สี ดุ (Activity Participation) โดยในแตล่ ะกรอบจะใช้

หลักของความสัมพันธข์ องสิง่ เร้ากับการตอบสนองนักเรียนจะต้องตอบคําถามในแตล่ ะกรอบ จงึ มีส่วน
ร่วมกจิ กรรมมากท่สี ดุ

4. มีข้อมูลย้อนกลับหรือประเมินผลตนเองได้ทันที (Immediate Feedback)
คําตอบที่นักเรียนสามารถตรวจดูว่าถูกต้องหรือไม่นั้น ทำให้นักเรียนเกิดการเสริมแรงในทางบวกใน
การเรยี นรใู้ นกรอบต่อไป

5. การทดสอบหาประสิทธิภาพของบทเรียน (Testing) บทเรียนสำเร็จรูปเมื่อสร้าง
เสร็จแล้วจะมีประสิทธิภาพของบทเรียนอย่างมีระบบเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า บทเรียนช่วยทำให้
นักเรียนเกดิ การเรยี นรูไ้ ด้มากทสี่ ุด

สรุปได้ว่า หลักการของบทเรียนสําเร็จรูปควรจะใช้หลักการเรียนรู้เพิ่มทีละน้อย หลักการมี
ส่วนร่วมอย่างจริงจัง หลักของการรู้ผล และหลักของความสำเร็จ เพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ให้ มี
ประสทิ ธิภาพมากยิ่งข้ึน

ประโยชน์ของบทเรยี นสําเร็จรูป

สุคนธ์ สินธุพานนท์ และคณะ35 (2545) ได้กล่าวถึง คุณค่าและประโยชน์ของ
บทเรยี นสาํ เร็จรปู สรุปได้ดงั น้ี

1. เด็กสามารถทำงานได้ตามลำพัง พ้นการดูถูก ถูกว่ากล่าวจากครู ไม่ต้องฟังคํา
วิพากษ์วจิ ารณ์หรอื เยาะเย้ยจากเพ่อื น ๆ ซึง่ ก่อให้เกดิ ความสบายใจและความเปน็ อิสระ

2. ทำให้เกดิ ความพง่ึ ตนเอง และมคี วามเชื่อมน่ั ในตนเองมากขึ้น
3. สามารถพิสูจน์ความไม่รู้ของนักเรียนโดยการให้นักเรียนได้รู้ผลการกระทำหรือการตอบ
คาํ ถามของตนเอง
4. สามารถใช้เป็นองค์ประกอบของกิจกรรมเสริมการเรียนรู้ของนักเรียนได้เป็นอย่างดีการ
สรา้ งบทเรียนสาํ เร็จรปู

34 ธีรชัย ปูรณโชติ, การสร้างบทเรียนสําเร็จรูป, พิมพ์ครั้งที่ 2, (กรุงเทพฯ :โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์
มหาวทิ ยาลัย, 2552), หนา้ 11.

35 สุคนธ์ สินธพานนท์ และคณะ, การจัดกระบวนการเรียนรู้, (กรุงเทพฯ : อักษรเจริญทัศน์, 2545),
หน้า 115.

29

การสรา้ งบทเรียนสําเรจ็ รปู แบง่ ออกเปน็ 4 ขน้ั ตอน36
ขั้นที่ 1 ขนั้ เตรยี ม เปน็ การศึกษาหลักสูตร กำหนดจดุ ประสงค์วิเคราะห์ ภารกิจการ

เรยี นและสร้างแบบทดสอบ
ขน้ั ที่ 2 ข้ันดำเนินการเขยี นเป็นการเขยี นบทเรียน พรอ้ มทง้ั ทบทวนและแกไ้ ข
ขน้ั ที่ 3 ขน้ั ทดลองและปรบั ปรงโดยทดลองใช้บทเรียนสําเรจ็ รูปแบบรายบุคคลแบบ

กลมุ่ เล็ก และใช้ในหอ้ งเรยี น
ขนั้ ที่ 4 ขน้ั พิมพบ์ ทเรยี น เพื่อนาํ บทเรยี นฉบับจรงิ ไปใช้
ในการสร้างบทเรียนสําเร็จรูป ผู้สร้างจะต้องวิเคราะห์เนื้อหาที่จะสอน และนํา

เนื้อหาสาระมาแตกย่อยและเรียงลำดับใหเ้ หมาะสม เพื่อให้ง่ายต่อการเรียนรู้ หลังจากนั้นจึงนําเสนอ
เน้ือหาสาระน้ันทลี ะนอ้ ยไปตามลำดับ และมีข้อคําถามท่ที า้ ทายความคิดของผู้เรยี นและมีคําตอบเฉลย
ใหไ้ ว้ดว้ ย จากน้นั นำมาใช้กับกลุ่มใหญ่ เพอ่ื หาประสิทธภิ าพของบทเรยี น

กุศยา แสงเดช37 (2552) ได้กล่าวถึง ขั้นตอนในการสร้างบทเรียนสำเร็จรูปนั้นมีขั้นตอน
ดงั นี้

ขั้นที่ 1 ศึกษาวิธีการเขียนบทเรียนสำเร็จรูปแบบต่าง ๆ จนเข้าใจแจ่มแจ้งทั้งศึกษา
จากตําราและการสอบถามจากผรู้ ู้

ขั้นที่ 2 กำหนดและเลือกวิชาที่จะเขียนและระดับชั้นสำหรับที่จะใช้บทเรียน
สำเร็จรูปนั้น

ขน้ั ท่ี 3 เลอื กหน่วยการเรียนรูว้ ่าจะเขยี นในเรอ่ื งใด
ขั้นที่ 4 กำหนดหัวข้อต่าง ๆที่จะเขียนโดยศึกษาจากหลักสูตรประมวลการสอน
โครงการสอนคู่มือครู และหนังสือเรยี นว่า หลกั สตู รกำหนดให้นักเรียนเรียนอะไรบ้าง แล้วเลือกหัวข้อ
เร่อื งทีจ่ ะเขยี น
ขั้นที่ 5 ศึกษาลักษณะของนักเรียน ได้แก่ อายุ ระดับชั้น พื้นฐาน ความรู้เดิมและ
ทักษะที่นักเรียนเคยได้รับการฝึกฝนมาก่อน ทั้งนี้ เพราะบทเรียนสําเร็จรูปมีหลักการสนองความ
แตกตา่ งระหว่างบุคคลของนกั เรียนในดา้ นตา่ ง ๆ
ขั้นที่ 6 ตั้งจุดมุง่ หมายสำหรับบทเรียนสําเร็จรปู ที่จะเขียนโดยจะต้องตั้งจดุ มุง่ หมาย
ทั่วไปและจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายเฉพาะอันจะเป็นแนวทางในการเขียนกรอบ
ต่าง ๆ ในบทเรียนเป็นอย่างดี และยังเป็นประโยชน์ต่อการสร้างแบบทดสอบ ซึ่งจะทำให้ทดสอบ
นักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน การเขียนวัตถุประสงค์ของการเรียนการสอน ควรแยกเป็นข้อ ๆ
เพื่อให้วัตถุประสงค์เด่นชัดขึ้น และต้องบรรยายด้วยถ้อยคําที่ทำให้ดี ความหมายได้ชัดเจน รัดกุม

36 บุญชม ศรสี ะอาด, การพัฒนาการสอน, (กรุงเทพฯ : สุวรี ยิ าสาสน์ , 2545), หนา้ ๕๖.
37 กุศยา แสงเดช, บทเรียนสําเร็จรูป คู่มือการพัฒนาสื่อการเรียนการสอนท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ,
ระดบั ประถมศึกษา, (กรงุ เทพฯ : ฟิสิกสเ์ ซน็ เตอร์, 2552), หน้า 20-25.

30

สามารถมองเห็นภาพการแสดงออกของนักเรียนได้ เช่น เขียนบอก อธิบาย จําแนก เปรียบเทียบ
ทดลอง เป็นต้น

ขั้นที่ 7 วางโครงเรื่องที่จะเขียนเป็นลำดับ เร่ืองราวก่อน หลัง จากง่ายไปหายาก
ทั้งนี้เพราะบทเรียนสําเร็จรูป จะต้องแบ่งเนื้อหาออกเป็นตอน ๆ ย่อยและแต่ละตอนจะต้องต่อเนื่อง
สมั พนั ธ์กัน

ขั้นที่ 8 ลงมือเขียนบทเรียนสําเร็จรูปตามจุดประสงค์ที่วางไว้ โดยแบ่งบทเรียน
ออกเปน็ ตอน ๆ หรือบท ท้ังนี้ เพอื่ สะดวกในการเรียนรู้ เปน็ การแบง่ หมวดหมู่เพื่อนักเรยี นจะได้เข้าใจ
และจดจําได้ง่าย แล้วดำเนินการเขียนกรอบต่าง ๆ ในบทเรียนตามหลักการเขียนบทเรียนสําเร็จรูป
การเขียนกรอบในบทเรียนจะเริ่มต้นด้วยกรอบให้ความรู้ แล้วติดตามด้วยกรอบแบบฝึกหัดและกรอบ
ทดสอบเป็นตอน ๆ ไป จำนวนกรอบจะมากหรือน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับผู้เขียน ถ้าบทเรียนสำหรับเดก็
เก่งจำนวนกรอบอาจน้อยกว่าบทเรยี นสำหรับเดก็ ไม่เก่งก็ได้

ขั้นที่ 9 ควรนําบทเรียนสำเร็จรูปที่เสร็จแล้วไปให้เพื่อนครู ที่สอนวิชานั้น ๆ
หรอื ผทู้ รงคุณวฒุ ิ อา่ น และให้ติชม เพื่อนาํ มาแกไ้ ขปรับปรงุ กรอบต่าง ๆ ในบทเรียนให้ดยี ง่ิ ขึ้น

ขนั้ ท่ี 10 นําบทเรียนสาํ เร็จรปู ท่ีปรบั ปรุงจนเหน็ ว่าเรยี บร้อยดีแล้ว มาพมิ พโ์ ดยยังไม่
ใส่คําตอบของคําถามต่าง ๆ เพื่อที่จะนําบทเรียนนี้ไปทดลองใช้กับนักเรียนในขั้นทดลองหนึ่งต่อหนึ่ง
หรอื การทดลองท่เี รียกวา่ การทดลองขน้ั หนง่ึ คน

ขั้นที่ 11 สร้างแบบทดสอบขั้นหนึ่งตามจุดมุ่งหมายที่วางไว้ให้ครบถ้วนและ
ครอบคลุมทุกเรื่องตามบทเรียน บทเรียนตอนใดมีเนื้อหามากก็ออกมาก บทเรียนใดน้อยก็ออกน้อย
สำหรับแบบทดสอบทีส่ ร้างข้ึนน้ัน จะต้องนาํ ไปวิเคราะหร์ ายข้อเพื่อหาคา่ ความยาก ค่าอำนาจจําแนก
และปรับปรุงแก้ไข ให้มีค่าความยากที่เหมาะสมคือ 0.20 - 0.80 และมีค่าอำนาจจําแนกและ
ปรบั ปรุงแกไ้ ขให้มคี ่าความยากทีเ่ หมาะสม คอื 0.20 ขน้ึ ไป

ขั้นท่ี 12 นําบทเรยี นสําเรจ็ รูปท่เี ขียนเสร็จตามข้อ 10 ไปทดลองใชก้ ับนักเรียนหน่ึง
คน โดยเริ่มทำแบบทดสอบก่อน แล้วจับเวลาไว้เพื่อจะได้ทราบว่า แบบทดสอบดังกล่าวนักเรียน
สามารถทำเสร็จภายในเวลาประมาณกี่นาที เมื่อนักเรียนทำแบบทดสอบเสร็จแล้ว ก็ให้นักเรียนเรียน
บทเรียนสําเร็จรูปที่สร้างขึ้น โดยผู้สอนจะต้องอธิบายให้นักเรียนเข้าใจความมุ่งหมายและวิธีเรียน
เสียก่อน นักเรียนจะต้องอ่านบทเรียนไปทีละกรอบ ทีละตอนและตอบคําถามไปทีละคําถามเมื่อ
นักเรียนตอบแต่ละคําถามผู้สอนจะเฉลยคําตอบที่ถูกให้ทันที ผู้สอนจะอภิปรายกบนักเรียน
เพื่อหาทางปรับปรุงแก้ไขบทเรียนในกรอบนั้น หรือคําถามให้ดีขึ้น แล้วนํามาปรับปรุงแก้ไขภายหลัง
หลังจากเรียนบทเรียนเสร็จแล้ว ก็ให้นักเรียนทำแบบทดสอบหลังเรียน เพื่อเปรียบเทียบคะแนนจาก
การทำแบบทดสอบทั้งสองครั้งว่า นักเรียนมีความรู้ ความเข้าใจเพิ่มขึ้นหรือไม่ ผลการเปรียบเทียบ
ควรแสดงใหน้ กั เรียนเหน็ วา่ มีความกา้ วหนา้ ขึ้นหลงั จากเรยี นบทเรียน

ข้ันที่ 13 นําบทเรยี นสําเร็จรูปไปทดลองกับนักเรียนกลุ่มเล็กที่เรียนอยูในระดับปาน
กลาง จำนวน 20 คน ซึ่งวิธีการเหมือนกับการทดลองในขั้นหนึ่งคนแต่ละบทเรียน จะมีคําตอบของ

31

คาํ ถามไวใ้ หเ้ สรจ็ นกั เรยี นจะตอ้ งเรียนทีละกรอบ และตรวจคาํ ตอบของตนเองกับคําเฉลยคําตอบท่ีให้
ไวใ้ นบทเรียน ขอ้ มลู ทต่ี อ้ งการในขนั้ 10 คน ได้แกค่ ะแนนเฉลี่ย (ของนกั เรียนทั้ง 10 คน) ในการตอบ
คําถามในบทเรียนสำเร็จรูปคิดเป็นร้อยละเกณฑ์มาตรฐานในการตอบคําถามในบทเรียนโดยถูกต้อง
ร้อยละ 90 คะแนนเฉลี่ย (ของนักเรียนทั้ง 10 คน) ของการทำแบบทดสอบหลังเรียนคิดเป็นร้อยละ
เกณฑ์มาตรฐานในการทำแบบทดสอบคือ ร้อยละ 90 คะแนนเฉลี่ย (ของนักเรียนทั้ง 10 คน)
ของการทำแบบทดสอบกอ่ นเรยี นคดิ เปน็ ร้อยละ 9

ขน้ั ที่ 14 การทดลองภาคสนามโดยนาํ บทเรยี นท่ผี ่านการทดลองในข้ันกลุ่มเล็กและ
ปรับปรุงแก้ไขแล้ว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจะทราบว่า บทเรียนสำเร็จรูปที่สร้างขึ้นแล้วนี้มี
ประสทิ ธภิ าพตามเกณฑม์ าตรฐาน

สรุปได้ว่า ในการสร้างบทเรียนสําเร็จรูป ผู้สร้างจะต้องวิเคราะห์เนื้อหาที่จะสอน
และนําเนื้อหาสาระมาแตกย่อยและเรียงลำดับให้เหมาะสม เพื่อให้ง่ายต่อการเรียนรู้ หลังจากนั้นจึง
นําเสนอเนื้อหา สาระนั้นทีละน้อยไปตามลำดับ และมีข้อคําถามที่ท้าทายความคิดของผู้เรียนและมี
คําตอบเฉลยใหไ้ วด้ ้วย จากนนั้ นำมาใช้กบั กลมุ่ ใหญ่ เพือ่ หาประสทิ ธภิ าพของบทเรียน

การหาประสทิ ธภิ าพบทเรียนสาํ เรจ็ รปู

การทดสอบประสทิ ธิภาพเครือ่ งมอื เปน็ กระบวนการทสี่ ำคัญเม่ือผลิตสื่อการสอนแล้ว
ต้องนําสื่อไปทดสอบหาประสทิ ธิภาพเพื่อที่จะให้ทราบว่าเมือ่ ใช้สื่อกับนักเรียนแล้วเกิดประสิทธิผลใน
การเรยี นมากนอ้ ยเพยี งใด38

กุศยา แสงเดช39 กล่าวถึงขั้นตอนของการทดสอบเพื่อหาประสิทธิภาพของสื่อว่า
ต้องนาํ เครื่องมือไปใช้ทดลองใช้ (Try Out) เพื่อปรบั ปรงุ แล้วนาํ ไปทดสอบใช้จริง (TrialRum) นําผลท่ี
ได้มาปรับปรุงแก้ไข เสร็จแล้วจะดำเนนิ การผลิตเป็นจำนวนมากและนําไปใช้จัดการเรียนรู้ในชั้นเรยี น
ตามปกตไิ ดก้ ารทดลองมีขน้ั ตอน ดงั น้ี

1. การทดลองแบบเดี่ยว (1 : 1) เป็นการทดลองกับนักเรียน 1 คน โดยใช้เด็กอ่อน
ปานกลางและเด็กเก่ง คํานวณหาประสิทธิภาพแล้วปรับปรุงให้ดีขึ้น โดยปกติคะแนนที่ได้จากการ
ทดลองแบบเดี่ยวนี้ จะได้คะแนนต่ำกว่าเกณฑ์มากแต่ไม่ต้องวิตก เมื่อปรับปรุงแล้วจะสูงขึ้นมาก
กอ่ นนําไปทดลองแบบกลุ่มในข้นั น้ี E1/E2 ทีไ่ ดจ้ ะมีค่าประมาณ 60/60

2. การทดลองแบบกลุ่มย่อย (1 : 10) เป็นการทดลองกับนักเรียน 6 - 10 คน
(คละนกั เรียน ท่ีเกง่ กับอ่อน) คํานวณหาประสิทธภิ าพแล้วปรับปรงุ ในคราวน้ี คะแนนของนักเรียนจะ
เพิ่มขึ้นอีกเกือบเท่าเกณฑ์ โดยเฉลี่ยจะห่างจากเกณฑ์ประมาณ 10 % นั้นคือ E1/E2 ที่ได้จะมี
ค่าประมาณ 70/70

38 พชิ ติ ฤทธิ์จรูญ, การวจิ ยั เพือ่ พัฒนาการเรียนรู้ : ปฏิบัตกิ ารวิจยั ในชั้นเรียน, พมิ พ์คร้งั ที่ 3, (กรุงเทพฯ
: ครศุ าสตร์มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏพระนคร, 2545), หนา้ ๔๓-๔๘.

39 กุศยา แสงเดช, บทเรียนสําเร็จรูป คู่มือการพัฒนาสื่อการเรียนการสอนท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ,
ระดบั ประถมศึกษา, (กรุงเทพฯ : ฟสิ ิกสเ์ ซ็นเตอร์, 2552), หน้า 28-31.

32

3. การทดลองแบบกลุ่มใหญ่ (1 : 100) เป็นการทดลองกบนักเรียนทั้งชั้น
30 - 100 คนคาํ นวณหาประสทิ ธภิ าพแล้วทำการปรบั ปรงุ ผลลพั ธท์ ไี่ ด้ควรใกลเ้ คียงกับเกณฑ์ท่ีต้ังไว้
หากต่ำกว่าเกณฑ์ไม่เกิน 2.5% ก็ยอมรับหากแตกต่างกันมากผู้สอนต้องกำหนดเกณฑ์ประสิทธิภาพ
ของเครื่องมือใหม่ โดยยึดสภาพความจริงเป็นเกณฑ์ สมมติว่าเมื่อทดสอบประสิทธิภาพได้เกณฑ์
85/85 ที่ตั้งไว้ แต่ถ้าเกณฑ์ 75/75 เมื่อผลทดลองเป็น 85.30/85.40 ก็อาจเลื่อนเกณฑ์ขึ้นมา
เปน็ 85/85 ได้

การกำหนดเกณฑ์ E1/E2 ให้มีค่าเท่าใดนั้นให้ผู้สอนเป็นผู้พิจารณาตามความพอใจ
โดยปกติ เนื้อหาที่เป็นความรู้ ความจํามักจะตั้งไว้ 80/80, 85/85 ส่วนเนื้อหาทีเ่ ป็นทักษะหรือเจต
คตศิ กึ ษา อาจตั้งไวต้ ่ำกว่าน้ี เช่น 75/75 เปน็ ตน้

วธิ คี ํานวณหาประสทิ ธภิ าพ

การคาํ นวณหาประสิทธิภาพโดยใช้ E1/E2

ข้อดีของบทเรยี นสาํ เร็จรูป

กุศยา แสงเดช40 ไดก้ ล่าวถงึ ขอ้ ดีของบทเรยี นสําเร็จรูป ดงั น้ี
1. นักเรียนมีโอกาสเรียนรู้ด้วยตนเอง และดำเนินไปตามความสามารถของตนเอง
เป็นการตอบสนองตอ่ ความแตกตา่ งระหวางบุคคลเป็นอย่างดี
2. ช่วยประหยัดเวลาในการสอนของครทู ำให้ครูมีโอกาสใหค้ วามสนใจดูแลนักเรยี น
เป็นรายบุคคลไดม้ ากข้นึ
3. ส่งเสรมิ นักเรียนใหร้ จู้ ักแสวงหาความร้ดู ว้ ยตัวเอง
4. ชว่ ยแกป้ ญั หาการขาดแคลนครไู ด้
5. นกั เรยี นไดเ้ รียนรเู้ ป็นขั้นตอน ทลี ะน้อยและทราบผลการเรียนรู้ของตนเองทุก
ขน้ั ตอน
6. นักเรียนสามารถศกึ ษาบทเรียนเวลาใดกไ็ ด้ ตามความพอใจ
7. นักเรยี นสามารถแกไ้ ขความเข้าใจผดิ ของตนเองได้ จากการดูคาํ ตอบในบทเรยี น
8. ผู้ทข่ี าดเรยี นมีโอกาสเรยี นด้วยตนเอง เพ่อื ใหต้ ามผู้อ่ืนไดท้ นั
ฉวีลักษณ์ บุญยะกาญจน41 (2551) ได้กล่าวถึง ขอ้ ดีของบทเรยี นสาํ เรจ็ รูป ดงั น้ี
1. เปน็ วิธสี อนทส่ี ่งเสริมให้นกั เรียนศึกษาดว้ ยตนเอง
2. เป็นวิธีสอนที่ช่วยให้นักเรียนได้เรียนเป็นรายบุคคล สามารถเรียนรู้ได้ตาม
ความสามารถของตน เป็นการตอบสนองความแตกต่างระหวางบุคคล
3. เปน็ วิธีสอนทีช่ ว่ ยลดภาระครู และช่วยแกป้ ญั หาการขาดแคลนครู

40 เรื่องเดียวกัน, หมายถึง บทเรียนสําเร็จรูป คู่มือการพัฒนาสื่อการเรียนการสอนท่ีเน้นผู้เรียนเป็น
สำคัญ, ระดับประถมศกึ ษา, (กรงุ เทพฯ : ฟิสกิ สเ์ ซ็นเตอร์, 2552), หน้า 28-31.

41 ฉวีลกั ษณ์ บุณยะกาญจน, นวตั กรรมการศกึ ษา, (กรงุ เทพฯ : ธารอกั ษร, 2551), หนา้ ๒๓.

33

ธีรชัย ปรณู โชติ (2552) ไดก้ ลา่ วถึงขอ้ ดีของบทเรียนสําเรจ็ รปู 42 ดงั น้ี
1. นกั เรียนสามารถเรียนร้ไู ด้ดว้ ยตัวเอง
2. นักเรียนได้เรียนรู้เป็นขั้นตอนทีละน้อย และได้ทราบผลการเรียนรู้ของตนทุก

ขั้นตอนเกิดแรงเสรมิ (Reinforcement)
3. สนองความแตกต่างระหวางบุคคลของนักเรียน ทำให้นักเรียนได้เรียนรู้ตาม

เอกตั ภาพของตน เช่น ความสนใจ สติปญั ญา วฒุ ิภาวะ ฯลฯ
4. นักเรียนสามารถศึกษาบทเรียนในเวลาใดเมื่อไรก็ตาม ตามความพอใจของ

นักเรยี นเองแมแ้ ต่จะเป็นท่ีบา้ นของนักเรยี นเอง
สรุปได้ว่า บทเรียนสำเร็จรูปนั้นมีข้อดี คือ การส่งเสริมให้นักเรียนเรียนรู้ได้ด้วย

ตัวเองนักเรียนได้เรียนรู้เป็นขั้นตอน ทีละน้อยและทราบผลการเรียนรู้ของตนเองทุกขั้นตอน สนอง
ความแตกต่างระหว่างบุคคลของนักเรียน เพราะนักเรียนสามารถศึกษาบทเรียนในเวลาใดเมื่อไรก็ได้
ตามความพอใจของนักเรียนเอง ทั้งยังเป็นวิธีสอนที่ช่วยลดภาระครู และช่วยแก้ปัญหาการขาด
แคลนครู

ข้อจํากัดของบทเรยี นสาํ เร็จรูป

กุศยา แสงเดช43 ไดก้ ลา่ วถึง ข้อจํากดั ของบทเรียนสําเร็จรูป สรุปไดด้ งั นี้
1. การใช้บทเรียนสําเร็จรปู อย่างเดยี วตลอด ทำใหน้ กั เรียนขาดการติดต่อซึ่งกันและ
กนั ไม่สง่ เสริมการเรยี นรซู้ ึ่งกนั และกนั
2. บทเรียนสําเร็จรูปเหมาะสมสำหรับเนื้อหาที่เป็นความจริง หรือความรู้พื้นฐาน
มากกวา่ ท่ีตอ้ งการความคิดเหน็ และริเรมิ่
3. ทำให้นักเรียนขาดทักษะการเขียนหนังสือ เพราะนักเรียนจะเขียนเฉพาะคําตอบ
เทา่ นนั้
4. การใช้บทเรียนสําเร็จรูปในชั้นเรียน จะมีลักษณะเป็นผู้ช่วยครูมากกว่าที่จะใช้
แทนครู
5. ภาษาที่ใช้อาจเป็นปัญหาในบางท้องถ่ิน
6. มสี ่วนที่ทำใหเ้ ด็กเรียนเก่งเบอ่ื ง่าย โดยเฉพาะบทเรียนสาํ เรจ็ รูปแบบเชงิ เสน้
7. การใช้บทเรียนสำเร็จรูปในชั้นเรียน ผู้ทีเรียนได้รวดเร็วจะเสร็จก่อนและมีเวลา
อาจมีพฤติกรรมที่รบกวนผู้อนื่ ส่วนผูท้ เี่ รียนช้าบางคนอาจทำไม่เสร็จ ตอ้ งใหท้ ำนอกเวลาหรือให้ไปทำ
ท่บี ้านซึ่งยากแกก่ ารควบคุม

42 ธีรชัย ปูรณโชติ, การสร้างบทเรียนสําเร็จรูป, พิมพ์ครั้งที่ 2, (กรุงเทพฯ :โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์
มหาวทิ ยาลัย, 2552), หนา้ 26.

43 กุศยา แสงเดช, บทเรียนสําเร็จรูป คู่มือการพัฒนาสื่อการเรียนการสอนท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ,
ระดบั ประถมศกึ ษา, (กรงุ เทพฯ : ฟสิ ิกสเ์ ซ็นเตอร์, 2552), หนา้ 35.

34

8. เด็กที่ขาดความซื่อสัตย์ต่อตนเอง อาจเป็นการฝึกให้มีลักษณะนิสัยที่ไม่ดี
บางอยา่ งได้ เช่น การโกงตวั เอง เป็นต้น

ธีรชัย ปรูณโชติ44 ได้กล่าวถงึ ข้อจํากัดของวธิ ีสอนโดยใช้บทเรยี นสําเรจ็ รูป ดงั นี้
1. เป็นวิธีสอนที่พึ่งบทเรียนสำเร็จรูป หากไม่มีบทเรียน หรือบทเรียนไม่มีคุณภาพก็

ยอมสง่ ผลตอ่ การเรยี นของนักเรียน
2. การสร้างบทเรียนสําเร็จรูปให้มีคุณภาพที่ดี เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา และมีความ

ยงุ่ ยากในการจดั ทำ ผูส้ ร้างจำเปน็ ตอ้ งมีความเขา้ ใจในการสรา้ งบทเรยี น
3. บทเรยี นสำเรจ็ รปู ท่ีดียังมปี ริมาณน้อย บทเรยี นสำเร็จรปู ทมี่ ีคณุ ภาพไม่ดีพอจะไม่

นา่ สนใจ และจะไม่สามารถดงึ ดดู ความสนใจของนักเรยี น และทำใหน้ ักเรียนเบ่ือหนา่ ยได้
สรปุ ไดว้ า่ การจดั การเรียนรู้โดยใช้บทเรยี นสำเรจ็ รปู น้ันต้องเลอื กใช้ให้เหมาะสมโดย

เนื้อหาจัดการเรียนรู้ให้นักเรียนนั้นควรจะทำให้นักเรียนง่ายต่อการอ่านทำ ความเข้าใจด้วยตนเอง
เพื่อทน่ี ักเรียนจะสามารถเรียนรไู้ ดด้ ว้ ยตนเองตามศักยภาพของแต่ละบคุ คล

๒.๕ การพัฒนาผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น

ความหมายของผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน

ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นความสามารถของนักเรียนในด้านต่างๆ ซึ่งเกิดจาก
นักเรยี นไดร้ ับประสบการณจ์ ากกระบวนการเรยี นการสอนของครู โดยครูต้องศึกษาแนวทางในการวัด
และประเมนิ ผล การสรา้ งเครื่องมอื วดั ให้มีคุณภาพน้ันได้มผี ู้ให้ความหมายของผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน
ไว้ ดงั น้ี

สมพร เชื้อพันธ์45 สรุปว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ หมายถึง
ความสามารถ ความสำเร็จและสมรรถภาพด้านต่างๆของผู้เรียนที่ได้จากการเรียนรู้อันเป็นผลมาจาก
การเรียนการสอนการฝึกฝนหรือประสบการณ์ของแต่ละบุคคลซึ่งสามารถวัดได้จากการทดสอบด้วย
วิธีการตา่ ง ๆ

พมิ พนั ธ์ เดชะคปุ ต์ และพเยาว์ ยนิ ดสี ุข46 กล่าวว่า ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหมายถึง
ขนาดของความสำเร็จท่ีไดจ้ ากกระบวนการเรียนการสอน

44 ธีรชัย ปูรณโชติ, การสร้างบทเรียนสําเร็จรูป, พิมพ์ครั้งที่ 2, (กรุงเทพฯ :โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์
มหาวทิ ยาลัย, 2552), หน้า 28.

45 สมพร เช้ือพันธ์, การเปรยี บเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นคณิตศาสตรข์ องนกั เรียนชั้นมัธยมศึกษาปี
ท่ี 3 โดยใช้วิธีการจัดการเรียนการสอนแบบสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองกับการจัดการเรียนการสอนตามปกติ ,
วิทยานิพนธ์ ค.บ.หลักสูตรและการสอน, (พระนครศรีอยุธยา: บัณฑิตวิทยาลัย สถาบันราชภัฏพระนครศรีอยุธยา,
2547), หนา้ 53.

46 พิมพันธ์ เตชะคุปต์, การเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง, (กรุงเทพฯ: เดอะมาสเตอร์กรุ๊ป
แบเนจเมน็ ท์, 2548), หนา้ 125.

35

ปราณี กองจินดา47 กล่าว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถหรือ
ผลสำเร็จที่ได้รับจากกิจกรรมการเรียนการสอนเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและประสบการณ์
เรียนรทู้ างดา้ นพุทธิพิสัย

จิตพิสัย และทักษะพิสัย และยังได้จำแนกผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนไว้ตามลักษณะ
ของวัตถุประสงค์ของการเรยี นการสอนท่ีแตกต่างกัน

ดังนั้นจึง สรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ผลที่เกิดจากกระบวนการ
เรียนการสอนที่จะทำให้นักเรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและสามารถวัดได้โดยการแสดง
ออกมาทง้ั 3 ด้าน คือ ดา้ นพทุ ธิพสิ ยั ด้านจิตพิสยั และด้านทักษะพิสยั

การวดั ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน

อุทุมพร จามรมาน48 กล่าวถึง หลักการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่า คือการ
พยายามที่จะทำการวัดให้ได้ผลตรงตามจุดงหมายของการเรียนการสอน ตรงตามเนื้อหาสาระและ
วิธีการทีค่ รูจดั ประสบการณ์การเรียนการสอน ดังนั้น การวัดผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน จึงต้องมุ่งหวงั ที่
การทำความเข้าใจกับจุดมุ่งหมายหลักสูตรระดับต่างๆ การจัดการศึกษาตลอดจนการเรียนการสอน
และเทคนิควิธีการวัดผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน

อารมณ์ เพชรชื่น49 ได้กล่าวว่า การวัดผลสัมฤทธิ์ที่นิยมใช้กันแพรห่ ลายในโรงเรยี น
ส่วนมากจะวัดกันมากในดา้ นเนื้อหา เป็นการทดสอบในด้านวิชาความรู้ ความจำ ความเข้าใจ การวัด
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในครั้งนี้ เป็นการวัดความสามารถของนักเรียนก่อนและหลังการเรียนโดย
วธิ ีการจัดการเรียนรแู้ บบร่วมมอื โดยการตรสจสอบพฤติกรรมของผู้เรยี นในด้านตา่ งๆ

สำหรับพฤติกรรมที่ผู้วิจัยใช้เป็นแนวทางในการสร้างข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียนในครง้ั นโ้ี ดยวัดพฤตกิ รรม 4 ด้าน ดังตอ่ ไปนี้

๑) ความรู้ ความจำ หมายถึง ความสามารถในการเรียนการระลึกถึงซึ่งเรื่องราวท้ัง
ปวงของประสบการณท์ ่ผี ่านมา รามทงั้ สงิ่ ที่สันพนั ธก์ ันกับประสบการณน์ ัน้ ๆ ดว้ ย

2) ความเข้าใจ หมายถึง ความสามารถในการแปลความ ตีความ และสรุปความ
เกย่ี วกบั สิ่งต่างๆ ท่ีไดเ้ หน็ หรือเรอื่ งราวและเหตุการณต์ ่างๆ ท่ไี ด้รบั อยา่ งถกู ต้อง

47 ปราณี กองจินดา, การเปรียบเทียบผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียนคณติ ศาสตร์และทักษะการ คิดเลขในใจ
ของนกั เรียนทีไ่ ด้รับการสอนตามรูปแบบซิปปาโดยใชแ้ บบฝึกหดั ท่ีเนน้ ทักษะการคดิ เลขในใจกับนักเรียนท่ีได้รับ
การสอนโดยใช้คู่มือครู, วิทยานิพนธ์ ค.บ. หลักสูตรและการสอน, (พระนครศรีอยุธยา : บัณฑิตวิทยาลัย
มหาวทิ ยาลัยราชภัฏพระนครศรอี ยธุ ยา, 2549), หนา้ 42.

48 อุทุมพร จามรมาน, การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ปฏิบัติการวิจัยในชั้นเรียน, พิมพ์ครั้งที่ 3,
(กรุงเทพฯ : ครศุ าสตร์มหาวทิ ยาลัยราชภฏั พระนคร, 25๔4), หน้า ๓๔.

49 อารมณ์ เพชรชื่น, หลักสูตรและการสอนคณิตศาสตร์, (กรุงเทพฯ : พัฒนาคุณภาพวิชาการ, 2527),
หน้า 40-41.

36

3) การนำไปใช้ หมายถึง ความสามารถที่จะนำความรู้และความเข้าใจสิ่งที่เรียนไป
แล้วไปใชใ้ นสถานการณ์ใหมๆ่ ทคี่ ล้ายคลงึ กันไค้อยา่ งถกู ต้องเหมาะสม โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ การนำไปใช้
ในชวี ิตประจำวนั

4) การวิเคราะห์ หมายถึง ความสามารถในการแยกแยะเรื่องราวใดๆ ออกเป็น
สว่ นย่อย ๆ มคี วามเกี่ยวพนั กันอย่างไร

2.๖ งานวิจยั ทเ่ี กี่ยวขอ้ ง

เกษมศรี บุญพอ50 ได้พัฒนาบทเรียนสําเร็จรูป เรื่อง กฎหมายน่ารู้ ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 3
พบว่า บทเรียนสําเร็จรูปที่สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ 93.66/ 95.08 2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังเรียนด้วยบทเรียนสําเร็จรูปสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมนี ัยสําคัญ ทาง
สถิติทีร่ ะดบั .01

เสงี่ยม แสนสุด51 ได้สร้างบทเรียนโปรแกรมวิชาสังคมศึกษาเรื่อง ประวัติศาสตร์สมัยอยุธยา
สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 พบว่า บทเรียนสําเร็จรูปที่สร้างขึ้นมีคุณภาพอยู่ในระดับมาก
โดยมีค่าเฉลี่ย 4.02 มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 87.27/82.51 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนท่ี
เรียนด้วยบทเรียนสําเร็จรูปหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ ที่ระดับ .01 และ
นักเรยี นท่เี รียนดว้ ยบทเรยี นสําเร็จรูปมคี วามพึงพอใจอยูในระดบั มาก

อาภาภรณ์ อินเสมียน52 ได้พัฒนาบทเรียนสําเร็จรูปประกอบการ์ตูน เรื่อง อริยสัจ 4 กลุ่ม
สร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 พบว่า บทเรียนสำเร็จรูป ประกอบการ์ตูน เรื่อง
อรยิ สจั 4 กล่มุ สรา้ งเสริมประสบการณช์ ีวิต ชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 5 มคี ณุ ภาพ อย่ใู นระดับมาก โดยมี
ค่าเฉล่ยี 3.91 มปี ระสทิ ธิภาพเท่ากับ 87.66/89.40 ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อน
เรยี นอย่างมีนัยสาํ คัญทางสถิตทิ ่รี ะดบั .01 และนักเรยี นมีความพงึ พอใจอยใู่ นระดับมาก

รุ่งทิพย์ กลินทะ53 ได้ศึกษาการพัฒนาแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยเพลงประกอบ
ภาพ เรื่อง วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา กลุ่มสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2

50 เกษมศรี บุญพอ, การพัฒนาบทเรียนสําเร็จรูป เรื่อง กฎหมายน่ารู้ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3,
วิทยานิพนธ์ กศ.ม. (หลักสูตรและการสอน), (มหาสารคาม : บัณฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2550),
หนา้ 74.

51 เสง่ียม แสนสุด, การสร้างบทเรยี นโปรแกรมวิชาสงั คมศึกษาเร่ือง ประวัติศาสตร์สมยั อยุธยา สำหรับ
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2, วิทยานิพนธ์ ศษ.ม. (การประถมศึกษา), (ขอนแก่น : บัณฑิตวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยขอนแกน่ , 2551), หนา้ 74.

52 อาภาภรณ์ อินเสมียน, การพัฒนาบทเรียนสําเร็จรูปแบบประกอบภาพการ์ตูน เร่ือง อริยสัจ 4
กลุ่มสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4, วิทยานิพนธ์ กศ.ม. (หลักสูตรและการสอน),
(มหาสารคาม : บัณฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม, 2551), หน้า 67-68.

53 รงุ่ ทพิ ย์ กลนิ ทะ, การพัฒนาแผนการจดั การเรียนรู้ดว้ ยเพลงประกอบภาพ เรื่อง วันสำคญั ทาง
พระพทุ ธศาสนา กลุ่มสร้างเสรมิ ประสบการณช์ ีวิต ชั้นประถมศกึ ษาปที ่ี 2, วิทยานิพนธ์ กศ.ม. (หลกั สูตรและการ
สอน), (มหาสารคาม : บณั ฑติ วิทยาลัยมหาวิทยาลยั มหาสารคาม, 2551), หน้า 102-106.

37
พบว่า แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ด้วยเพลงประกอบภาพ เรื่อง วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
กลุ่มสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 81.24/88.33 ซ่ึง
สูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้ ดัชนีประสิทธิผลมีค่าเท่ากับ 0.7964 ซึ่งหมายความว่า นักเรียนมี
ความรู้เพิ่มขึ้นร้อยละ 79.64 และนักเรียนมีความคิดเห็นเกี่ยวกับแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
ดว้ ยเพลงประกอบภาพ เรอ่ื งวนั สำคัญทางพระพุทธศาสนาโดยภาพรวมอยู่ในระดบั มาก

เมตตา ภูนาวัน54 ได้ศึกษาการจัดการเรียนรู้โดยใช้บทเรียนสําเร็จรูป เรื่องจังหวัดกาฬสินธุ์
กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 พบว่า แผนการ
จัดการเรียนรู้มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 82.00/81.75 มีความพึงพอใจในการเรียนรู้ โดยรวมระดับ
มากทสี่ ุด

จากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง สรุปได้ว่า กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา
และวัฒนธรรม โดยเฉพาะวันสำคัญทางพระพุทธศาสนามีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง
สำหรับนักเรียน จึงได้สร้างและพัฒนาบทเรียนสําเร็จรูป กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา
และวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 เรื่อง วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ได้นําหลักการทฤษฎี
เอกสาร และผลการวิจัยที่เกี่ยวข้องมาใช้ในการดําเนินงานสร้างและพัฒนานวัตกรรม เพื่อเป็นสื่อใน
การจัดการเรียนร้ใู ห้กบั นักเรียนอยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ

54 เมตตา ภูนาวัน, ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้บทเรียนสําเร็จรูป เร่ือง จังหวัดกาฬสินธุ์ กลุ่ม
สาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 4, วิทยานิพนธ์ กศ.ม. (หลักสูตรและ
การสอน), (มหาสารคาม : บัณฑติ วิทยาลยั มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2553), หน้า 80.

38

2.๗ กรอบแนวคดิ ในการวจิ ยั

การวิจัย เรื่อง การพัฒนาบทเรียนสำเร็จรูป กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและ
วัฒนธรรม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนพระธาตุขามแก่นพิทยาลัย ได้กำหนด
ตวั แปนต้นและตวั แปรตาม ดังนี้

ตวั แปรต้น ตวั แปรตาม

บทเรียนสำเร็จรูป รายวิชาสังคมศึกษา ๑. ประสิทธิภาพของบทเรียนสำเร็จรูป กลุ่ม
ศาสนาและวัฒนธรรม สำหรับนักเรียนชั้น สาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและ
มัธยมศึกษาปที ี่ 1 โรงเรียนพระธาตุขามแกน่ วัฒนธรรม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา
พิทยาลัย ประกอบด้วย วันมาฆบูชา ปีที่ 1 โรงเรียนพระธาตุขามแก่นพิทยาลัย
วนั วสิ าขบชู า วันอาสาฬหบูชา วันเขา้ พรรษา ตามเกณฑ์มาตรฐาน ๘๐/๘๐
และวันออกพรรษา ๒. ความพงึ พอใจของนักเรยี นชั้นมธั ยมศึกษา
ปีที่ 1 โรงเรียนพระธาตุขามแก่นพิทยาลัย
ที่ได้รับการจัดการเรียนการสอน โดยใช้
บทเรียนสำเร็จรปู กล่มุ สาระการเรยี นรู้สังคม
ศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม

(ภาพท่ี ๒.1 กรอบแนวคิดในการวิจัย)

39

บทที่ ๓

ระเบียบวิธวี ิจยั

การวิจัย เรื่อง การพัฒนาบทเรียนสำเร็จรูป กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและ
วฒั นธรรม สำหรับนกั เรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรยี นพระธาตุขามแก่นพิทยาลัย มีวัตถปุ ระสงคใ์ น
การวิจัย คือ ๑) เพื่อสร้างและพัฒนาบทเรียนสำเร็จรูป กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและ
วัฒนธรรม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนพระธาตุขามแก่นพิทยาลัย ตามเกณฑ์
มาตรฐาน ๘๐/๘๐ ๒) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนพระธาตุ
ขามแก่นพิทยาลัย ที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนโดยใช้บทเรียนสำเร็จรูป กลุ่มสาระการ เรียนรู้
สงั คมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม ผู้วจิ ัยไดด้ ำเนนิ การตามขนั้ ตอน ดังนี้

3.1 รปู แบบการวจิ ยั
3.2 ประชากรและกลุ่มเป้าหมาย
3.3 เคร่ืองมอื ท่ีใช้ในการวจิ ัย
3.4 การเก็บรวบรวมข้อมูล
3.5 การวิเคราะห์ข้อมูล
3.6 สถิตทิ ี่ใชใ้ นการวิเคราะห์ขอ้ มูล

3.1 รปู แบบการวจิ ัย

การวิจัย เรื่อง การพัฒนาบทเรียนสำเร็จรูป กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและ
วัฒนธรรม สำหรบั นักเรียนช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี ๑ โรงเรียนพระธาตุขามแก่นพิทยาลยั เป็นการวิจัยเชิง
ทดลอง (Experimental Research) ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ สื่อการสอนบทเรียนสำเร็จรูป
และแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น

3.2 ประชากรและกลุ่มเปา้ หมาย

ประชากร คือ นักเรียนโรงเรียนพระธาตุขามแก่นพิทยาลัย ตำบลบ้านขาม อำเภอน้ำพอง
จังหวดั ขอนแก่น จำนวนทงั้ หมด ๑๕๒ คน

กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยน้ี คือ นักเรียนในกลุ่มสาระการเรียนรู้สงั คมศึกษา ศาสนาและ
วฒั นธรรม ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๑/๒ โรงเรยี นพระธาตุขามแก่นพิทยาลัย จำนวน ๑๘ คน

40

3.3 เครือ่ งมือทีใ่ ชใ้ นการวิจัย

๓.๓.1 เคร่อื งมือที่ใช้ในการวิจยั

๑. แผนการจัดการเรยี นรู้บทเรียนสาํ เรจ็ รปู กลมุ่ สาระการเรียนรู้สงั คมศึกษา ศาสนา
และวัฒนธรรม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนพระธาตุขามแก่นพิทยาลัย จำนวน ๔
แผน แผนการจดั การเรียนรลู้ ะ ๑ ชั่วโมง รวมเวลาเรยี น ๔ ชว่ั โมง มรี ายละเอยี ด ดังน้ี

หน่วยการเรียนรทู้ ่ี ๑ เรอ่ื ง วันสำคญั ทางพระพทุ ธศาสนา
แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี ๑ เร่อื ง วนั มาฆบูชา
แผนการจัดการเรยี นรูท้ ่ี ๒ เรอ่ื ง วันวิสาขบูชา
แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ ๓ เรือ่ ง วนั อาสาฬหบูชา
แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี ๔ เรื่อง วันเขา้ พรรษาและวนั ออกพรรษา

๒. บทเรยี นสำเรจ็ รูป กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
สำหรับนกั เรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 โรงเรียนพระธาตขุ ามแก่นพิทยาลยั จำนวน ๔ ชุด ประกอบดว้ ย

ชดุ ที่ ๑ วนั มาฆบูชา
ชุดท่ี ๒ วนั วสิ าขบชู า
ชุดท่ี ๓ วันอาสาฬหบชู า
ชดุ ท่ี ๔ วันเขา้ พรรษาและวนั ออกพรรษา
๓. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น โดยใชแ้ บบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียนหลังการใช้บทเรียนสําเร็จรูป กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สำหรับ
นกั เรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีท่ี ๑ โรงเรยี นพระธาตุขามแก่นพทิ ยาลัย เปน็ แบบปรนยั 4 ตวั เลอื ก จำนวน
๓0 ขอ้
๔. แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนพระธาตุ
ขามแก่นพิทยาลัย ที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนโดยใช้บทเรียนสำเร็จรูป กลุ่มสาระการเรียนรู้
สงั คมศึกษา ศาสนาและวฒั นธรรม จำนวน ๑๐ ขอ้

๓.๓.๒ การสร้างเครอ่ื งมือทีใ่ ชใ้ นการวิจยั

๑. ศึกษากรอบแผนการจัดการเรียนรู้บทเรียนสําเร็จรูป กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคม
ศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนพระธาตุขามแก่น
พิทยาลัย เรอ่ื ง วันสำคญั ทางพระพทุ ธศาสนา มีขัน้ ตอน ดงั น้ี

๑.๑ ศึกษาเอกสารหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช
2551 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ของกระทรวงศึกษาธิการ
เกี่ยวกับคุณภาพผู้เรียน สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ ประเด็นการเรียนรู้ และการประเมินผลการ
เรียนรู้ของนักเรียนชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรยี นพระธาตุขามแก่นพทิ ยาลัย

41

๑.๒ กำหนดกรอบเนื้อหา กิจกรรม จุดประสงค์การเรียนรู้ ตัวชี้วัดในการ
เขียนแผนการจัดการเรียนรู้ของบทเรียนสําเร็จรูป กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและ
วฒั นธรรมสำหรบั นักเรียนชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๑ โรงเรียนพระธาตุขามแกน่ พิทยาลยั

๑.๓ กำหนดกิจกรรมการเรียนรู้ สื่อ แหล่งเรียนรู้ การวัดผลและการ
ประเมินผลในแผนการจัดการเรียนรู้ของบทเรียนสำเร็จรูป กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา
และวฒั นธรรม สำหรบั นกั เรียนช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ ๑ โรงเรียนพระธาตขุ ามแก่นพทิ ยาลัย

๑.๔ ศึกษาการออกแบบการเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ของบทเรียน
สําเร็จรปู กล่มุ สาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม สำหรับนักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาปีที่
๑ โรงเรียนพระธาตุขามแก่นพิทยาลัย จากหนังสือ เอกสารและหลักการสร้างบทเรียนสําเร็จรูป เพ่ือ
ใช้เปน็ แนวทางในการเขยี นตอ่ ไป

๑.๕ จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา
และวัฒนธรรมสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนพระธาตุขามแก่นพิทยาลัย ตามกรอบ
เนื้อหาสาระ ตัวชี้วัดที่กำหนดไว้ของกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม โดย
กรอบเนื้อหาและสาระของการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม อิงจากหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาขนั้ พนื้ ฐานพทุ ธศักราช 2551 มีจำนวน ๔ แผน คือ

แผนการจดั การเรยี นรูท้ ี่ ๑ เรื่อง วันมาฆบชู า
แผนการจดั การเรียนรู้ที่ ๒ เรื่อง วันวิสาขบชู า
แผนการจัดการเรียนร้ทู ่ี ๓ เร่อื ง วนั อาสาฬหบชู า
แผนการจดั การเรยี นรูท้ ี่ ๔ เร่ือง วันเขา้ พรรษาและวันออกพรรษา
๑.๖ การหาคุณภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคม
ศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๑ โรงเรียนพระธาตุขามแก่นพิทยา
ลัย ผวู้ ิจัยไดด้ ำเนนิ การ ดงั นี้
๑) ผู้วิจัยนำแผนการจัดการเรียนรู้ เสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษา งานวิจัย
ศึกษาอสิ ระทางสังคมศกึ ษา เพ่อื ขอคำแนะนำและไดป้ รบั ปรุงแก้ไขตามคำแนะนำ
๒) นำแผนการจัดการเรยี นรู้ไปให้ผูเ้ ชี่ยวชาญจำนวน ๓ ทา่ น เพอ่ื ตรวจสอบ
ความเท่ียงตรง ของแผนการจัดการเรยี นรู้จากนั้นนำมาปรับปรุงแก้ไขให้สมบูรณ์ เพอื่ ตรวจสอบความ
ถูกตอ้ งชดั เจนอีกครงั้ กอ่ นนำแบบทดสอบไปทดลองใช้
๓) ปรบั เปลยี่ นแผนการจดั การเรียนรู้ตามผเู้ ชี่ยวชาญ
๒. บทเรยี นสำเร็จรูป
๒.๑ ศกึ ษาเอกสารหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551
ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ของกระทรวงศึกษาธิการเกี่ยวกับ
คณุ ภาพผูเ้ รยี น สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ ประเดน็ การเรยี นรู้ และการประเมนิ ผลการเรียนรู้ของ
นกั เรียนชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 โรงเรียนพระธาตุขามแกน่ พิทยาลยั

42

๒.๒ กำหนดกรอบเนื้อหา กิจกรรม จุดประสงค์การเรียนรู้ ตัวชี้วัดในการจัดทำ
บทเรียนสำเร็จรูป กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมสำหรับนักเรียนช้ัน
มธั ยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรียนพระธาตุขามแกน่ พิทยาลัย

๒.๓ กำหนดกิจกรรมการเรียนรู้ ส่อื แหล่งเรยี นรู้ การวัดผลและการประเมินผลใน
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ใช้บทเรียนสำเร็จรูป กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและ
วัฒนธรรม สำหรับนกั เรียนชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 1 โรงเรยี นพระธาตขุ ามแกน่ พทิ ยาลยั

๒.๔ การศึกษาการสร้างบทเรียนสำเร็จรูป กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา
ศาสนาและวัฒนธรรม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศกึ ษาปีที่ 1 โรงเรยี นพระธาตุขามแก่นพิทยาลัย จาก
หนังสือ เอกสารและหลกั การสร้างชดุ กจิ กรรมเพ่อื ใช้เปน็ แนวทางในการสรา้ งตอ่ ไป

๒.๕ สร้างบทเรียนสำเร็จรูป กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและ
วัฒนธรรม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนพระธาตุขามแก่นพิทยาลัย ตามกรอบ
เนื้อหาสาระ ตัวชี้วัดที่กำหนดไว้ของกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ให้
สอดคล้องกับบรบิ ทโดยกรอบเนื้อหาและสาระของการเรียนรู้สังคมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม จาก
หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พืน้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 มีจำนวน ๔ ชุด ดังน้ี

ชดุ ท่ี 1 วนั มาฆบูชา
ชดุ ที่ 2 วันวิสาขบชู า
ชดุ ที่ 3 วนั อาสาฬหบูชา
ชดุ ท่ี 4 วนั เข้าพรรษาและวันออกพรรษา
ในแต่ละชุดของบทเรียนสําเร็จรูปประกอบด้วย ๑) คำแนะนำการใช้บทเรียนสำเร็จรูป
๒) จุดประสงค์การเรียนรู้ ๓) สาระสำคัญ ๔) เน้ือหา ๕) แบบฝกึ หดั ระหว่างเรียน
๓. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังการใช้บทเรียนสําเร็จรูป กลุ่มสาระการ
เรียนรู้สังคมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม สำหรบั นกั เรียนช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี ๑ โรงเรียนพระธาตุขาม
แกน่ พทิ ยาลยั
๓.1 ศึกษาเอกสารหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
ได้แก่ คู่มือการสร้างสื่อการสอน คู่มือการจัดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา
ศาสนาและวัฒนธรรม คู่มือวัดผลประเมินผล การศึกษาวิธีการสร้างและทำแบบทดสอบจากเอกสาร
ต่าง ๆ วิเคราะห์หลักสูตรสถานศึกษาในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาศาสนา และวัฒนธรรม
เกย่ี วกับสาระ และตัวชวี้ ัดทใ่ี ชใ้ นการทดลองเพ่อื สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
๓.๒ ศึกษาวิธีการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ลักษณะของ
แบบทดสอบเกี่ยวกับความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาและมาตรฐานการเรียนรู้ วิเคราะห์สาระการเรียนรู้
มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวช้ีวดั โดยศึกษาเก่ยี วกับคำศพั ท์ โครงสรา้ ง สํานวนทางภาษา
๓.๓ สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นแบบชนิดเลือกตอบ
4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ

43

๔. แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนพระธาตขุ ามแก่น

พิทยาลัย ที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนโดยใช้บทเรียนสำเร็จรูป กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา

ศาสนาและวัฒนธรรม

๔.๑ ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี เอกสาร และงานวิจัยท่ีเกยี่ วข้อง เพ่ือเป็นแนวทางในการ

สร้างแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนพระธาตุขามแก่นพิทยา

ลัย ที่ได้รับการจดั การเรียนการสอนโดยใช้บทเรียนสำเรจ็ รูป กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา

และวฒั นธรรม

๔.๒ นําข้อมูลท่ีได้จากการศึกษามาเป็นแนวทางในการสร้างแบบสอบถามความพึง

พอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนพระธาตุขามแก่นพิทยาลัย ที่ได้รับการจัดการเรียน

การสอนโดยใช้บทเรียนสำเร็จรูป กลุ่มสาระการเรียนรูส้ ังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ให้มีเกณฑ์

ครอบคลุมองค์ประกอบของความพึงพอใจ โดยการหาค่าเฉล่ียและค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน แล้วนํา

ค่าเฉลี่ยไปเปรียบเทียบกับเกณฑ์ในการแปลความหมายเป็นช่วงคะแนน ดังน้ี (บุญชม ศรีสะอาด,

๒๕๔๗)

คา่ เฉลีย่ ระดับความคิดเห็น

๔.๕๑ - ๕.๐๐ พงึ พอใจในระดับมากทสี่ ุด

๓.๕๑ - ๔.๕๐ พงึ พอใจในระดับมาก

๒.๕๑ - ๓.๕๐ พงึ พอใจในระดบั ปานกลาง

๑.๕๑ - ๒.๕๐ พึงพอใจในระดบั น้อย

๑.๐๐ - ๑.๕๐ พงึ พอใจในระดับนอ้ ยทีส่ ดุ

แล้วเปรียบเทยี บกบั เกณฑ์ในการแปลความ ดังน้ี

ระดบั 5 หมายถงึ มีความพึงพอใจอยใู นระดับมากที่สุด

ระดับ 4 หมายถึง มคี วามพงึ พอใจอยูในระดบั มาก

ระดบั 3 หมายถึง มีความพึงพอใจอยูในระดับปานกลาง

ระดับ 2 หมายถงึ มคี วามพึงพอใจอยใู นระดบั น้อย

ระดบั 1 หมายถงึ มคี วามพึงพอใจอยใู นระดับนอ้ ยที่สดุ

๔.๓ การหาคุณภาพแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียน

พระธาตุขามแก่นพิทยาลัย ที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนโดยใช้บทเรียนสำเร็จรูป กลุ่มสาระ

การเรยี นร้สู ังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม มขี ัน้ ตอน ดงั น้ี

๑) นำแบบสอบถามความพึงพอใจ เสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษา เพื่อขอ

คำแนะนำและได้ปรบั ปรุงแกไ้ ขตามคำแนะนำ

๒) นำแบบสอบถามความพึงพอใจไปให้ผู้เชี่ยวชาญจำนวน ๓ ท่าน

เพื่อตรวจสอบความเที่ยงตรง ของแผนการจัดการเรียนรู้จากนั้นนำมาปรับปรุงแก้ไขให้สมบูรณ์

เพื่อตรวจสอบความถกู ต้องชัดเจนอีกครั้ง กอ่ นนำแบบสอบถามความพึงพอใจไปทดลองใช้


Click to View FlipBook Version