ขุนช้างขุนแผน
ตอน ขุนช้างถวายฏีกา
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖/๑
นำเสนอคุณครูชมัยพร แก้วปานกัน
ขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฏีกา
จัดทำโดย
น.ส.กมลวรรณ แก้วจีน เลขที่ ๑
น.ส.ณิศวรา ปานมณี เลขที่ ๗
น.ส.ธนวรรณ ปาร์จาปาติ เลขที่ ๑๑
น.ส.เบญจมาศ ชีพนุรัตน์ เลขที่ ๑๖
น.ส.ปภาวรินท์ เกิดนุช เลขที่ ๑๙
น.ส.พฤฒิรัตน์ บุญฟัก เลขที่ ๒๑
น.ส.รัฐมณี เกาะสมบัติ เลขที่ ๒๕
น.ส.วีรวรรณ บัวแก้ว เลขที่ ๒๙
น.ส.สุนันทา จันทร์เรือง เลขที่ ๓๓
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖/๑
เสนอ
คุณครู ชมัยพร แก้วปานกัน
วารสารอิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาภาษาไทยพื้นฐาน ๕
ท๓๓๑๐๑
ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๕
โรงเรียนสงวนหญิง จังหวัดสุพรรณบุรี
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาเขต ๙
ก
คำนำ
หนังสือ E-Book หนังสือที่สร้างขึ้นด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เป็น
เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ เล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาภาษาไทยพื้นฐาน ๕
ท๓๓๑๐๑ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ โดยจัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็นสื่อประกอบ
การเรียนการสอนเรื่อง ขุนช้างขุนแผน โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อให้ศึกษา
ข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวกับขุนช้างขุนแผนว่าเคยเกิดขึ้นจริงในสมัยอยุธยา มีผู้
จดจำและเล่าสืบต่อกันมา เพื่อวิเคราะห์คุณค่าด้านต่างๆ และได้ศึกษา
อย่างละเอียดเพื่อเป็นประโยชน์ในการเรียนการสอนระดับสูงขึ้น
คณะผู้จัดทำหวังว่าเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือ E-Book เล่มนี้จะเป็น
ประโยชน์ต่อผู้ที่กำลังศึกษาหาข้อมูลเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้าง
ถวายฏีกา และข้อมูลอื่นๆเกี่ยวกับขุนช้างขุนแผน หากมีข้อแนะนำหรือข้อ
ผิดพลาดประการใดทางคณะผู้จัดทำต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้
คณะผู้จัดทำ
๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๕
ข
สารบัญ
คำนำ หน้า
สารบัญ ก
ความเป็นมาของขุนช้างขุนแผน ข
จุดประสงค์ของการแต่งขุนช้างขุนแผน ๑
ผู้แต่งขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฏีกา ๒
ลักษณะคำประพันธ์ ๒
เนื้อเรื่องเต็มขุนช้างขุนแผน ( แบบย่อ ) ๒
บทเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฏีกา
วิเคราะห์คุณค่าวรรณคดี ๓-๗
๘-๒๖
* คุณค่าด้านเนื้อหา
* คุณค่าด้านวรรณศิลป์
* คุณค่าด้านสังคม ๒๗-๓๓
บรรณานุกรม ๓๔-๔๕
ภาคผนวก ๔๖-๔๘
๔๙-๕๐
๕๑
๑
ความเป็นมาของขุนช้างขุนแผน
เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน เป็นนิทานมหากาพย์พื้นบ้านของไทย เค้าเรื่องขุนช้าง
ขุนแผนนี้สันนิษฐานว่าเคยเกิดขึ้นจริงในสมัยกรุงศรีอยุธยา แล้วมีผู้จดจาเล่าสืบต่อกันมา
เนื่องจากเรื่องราวของขุนช้างขุนแผนมีปรากฏในหนังสือให้การชาวกรุงเก่า แต่มีการ
ดัดแปลงเพิ่มเติมจนมีลักษณะคล้ายนิทานเพื่อให้เนื้อเรื่องสนุกสนานชวนติดตามยิ่งขึ้น
รายละเอียดในการดำเนินเรื่องยังสะท้อนภาพการดำเนินชีวิต ขนบธรรมเนียมประเพณี
และวัฒนธรรมของชาวสยามในครั้งอดีตได้อย่างชัดเจนยิ่ง เรื่องขุนช้างขุนแผนนี้ ถูก
สันนิษฐานว่าเป็นการแต่งขึ้นร้องแบบมุขปาฐะ เพื่อความบันเทิง โดยคงจะเริ่มแต่งตั้งแต่
ราวอยุธยาตอนกลาง ( ราว พ.ศ. ๒๑๔๓ ) และมีการเพิ่มเติม หรือตัดทอนเรื่อยมา จนมี
รายละเอียดและความยาวอย่างที่สืบทอดกันอยู่ในสมัยอยุธยาตอนปลาย แต่ไม่ได้ถูก
บันทึกลงไว้เป็นกิจจะลักษณะ เนื่องจากบุคคลชั้นสูงสมัยนั้นเห็นว่าเป็นกลอนชาวบ้าน ที่มี
เนื้อหาบางตอนหยาบโลน และไม่มีการใช้ฉันทลักษณ์อย่างวิจิตร ดังนั้นเมื่อกรุงศรีอยุธยา
ถูกทำลายในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ จึงไม่มีต้นฉบับเรื่องขุนช้างขุนแผนเหลืออยู่ แต่เนื่องจากเป็น
เรื่องที่มีความนิยมสูงในหมู่ชาวไทย จึงมีผู้ที่จำเนื้อหาได้อยู่มาก และทำให้ถูกฟื้ นฟูกลับมา
สำหรับเนื้อหาของขุนช้างขุนแผนในปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
ได้โปรดเกล้าฯ ให้กวีในรัชสมัยของพระองค์ ตลอดจนพระองค์เองร่วมกันแต่งและทรงพระ
ราชนิพนธ์ขึ้นเป็นวรรณคดีที่มีค่าทั้งในด้านความไพเราะและในลีลาการแต่ง ตลอดจน
เค้าโครงเรื่อง ได้รับการยกย่องตามพระราชบัญญัติวรรณคดีสโมสรในรัชกาลพระบาท
สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวว่าเป็นยอดของหนังสือประเภทกลอนเสภา และได้รับ
ประทับราชลัญจกรรูปพระคเณศร์ไว้เป็นเครื่องหมายของการยกย่องนั้นด้วย
เสภาเรื่องขุนช้างขุนแผนฉบับที่รวบรวมในปัจจุบันมีทั้งหมด ๔๓ ตอน มีอยู่ ๘ ตอนที่
วรรณคดีสมาคม ซึ่งมีพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดารงราชานุภาททรงเป็นประธาน
ได้ลงมติไว้ใน พ.ศ ๒๔๗๔ ว่าแต่งดีเป็นยอดเยี่ยม
๒
จุดประสงค์ของการแต่งขุนช้างขุนแผน
เพื่อให้นักเรียนได้ศึกษาเกี่ยวกับวิถีชีวิตของสังคมไทยในอดีต สมัยกรุงศรีอยุธยา
ผู้แต่งขุนช้างขุนแผน ตอนขุนช้างถวายฏีกา
ไม่ปรากฏนามผู้แต่ง ตอน ขุนช้างถวายฏีกา แต่ได้รับการยกย่องจากวรรณคดี
สโมสรว่าเรื่องขุนช้างขุนแผนเป็นยอดของกลอนเสภา เพราะดีเลิศทั้งในด้านเนื้อเรื่อง
และกระบวนกลอน ( เป็น ๑ ใน ๘ ตอนที่ได้รับการยกย่อง )
ลักษณะคำประพันธ์
เรื่องขุนช้างขุนแผนเป็นคำประพันธ์ ประเภทกลอนเสภา ๔๓ ตอน ซึ่งมีอยู่ ๘ ตอนที่ได้รับ
การยกย่องว่าแต่งดียอดเยี่ยมจากวรรณคดีสมาคมอันมีสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์กรม
พระยาดำรงราชานุภาพทรงเป็นประธานโดยลงมติเมื่อ พ.ศ.๒๔๗๔ และตอน ขุนช้าง
ถวายฎีกาเป็นหนึ่ง ในแปดตอนที่ ได้รับการยกย่อง
ลักษณะคำประพันธ์กลอนเสภาเป็นกลอนสุภาพ เสภาเป็นกลอนขั้นเล่าเรื่องอย่างเล่า
นิทานจึงใช้คำมากเพื่อบรรจุข้อความให้ชัดเจนแก่ผู้ฟัง และมุ่งเอาการขับได้ ไพเราะเป็น
สำคัญ สัมผัสของคำประพันธ์ คือ คำสุดท้ายของวรรคต้น ส่งสัมผัสไปยังคำใดคำหนึ่งใน ๕
คำแรกของวรรคหลังสัมผัสวรรคอื่นและสัมผัสระหว่างบทเหมือนกลอนสุภาพ
๓
เนื้อเรื่องเต็มขุนช้างขุนแผน ( แบบย่อ )
ขุนช้าง พลายแก้ว และนางพิมพิลาไลย เป็น พลายแก้วแต่งงานกับนางพิม
ชาวเมืองจังหวัดสุพรรณบุรีอยู่ในระแวกบ้าน นางพิมเปลี่ยนชื่อเป็นนางวันทอง
เดียวกัน และเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่ยัง
เล็กครั้นเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ นางพิมพิลาไลย
ก็ได้แต่งงานกับพลายแก้ว ส่วนขุนช้างที่หลง
รักนางพิมพิลาไลยก็คอยหาโอกาสแย่งชิง
นางพิมพิลาไลยมาเป็นของตน ครั้งหนึ่งเกิด
ศึกสงครามขึ้นในบ้านเมือง มีเมืองที่ชื่อว่า
เมืองเชียงทอง พยายามจะส่งเครื่องราช
บรรณาการต่าง ๆ มาที่กรุงศรีอยุธยา แต่ว่า
เมืองเชียงใหม่ไม่พอใจ เมืองเชียงใหม่ก็เลย
ยกทัพมา แล้วก็ตีเมืองเชียงทองพระพันวษา
โกรธมากจึงส่งพลายแก้วไปเป็นแม่ทัพรบกับ
เมืองเชียงใหม่ ระหว่างที่พลายแก้วไปทำ
สงคราม นางพิมเกิดป่วยหนัก ขลัวตาจูเลย
ให้นางพิม เปลี่ยนชื่อเป็น นางวันทอง
เพื่อแก้เคล็ด ส่วนขุนช้างได้ออกอุบายหลอกนางศรีประจัน ซึ่งเป็นแม่ของนางวันทองว่า
พลายแก้วไปรบแพ้เสียชีวิตแล้ว อาจจะโดนริบราชบาตร วิธีแก้ให้นางวันทองมาแต่งงาน
กับตัวเอง จะได้ชื่อว่าเป็นเมียขุนช้าง แล้วรอดจากการโดนริบราชบาตร แต่นางวันทองไม่
ยอม เพราะเชื่อว่ายังไงพลายแก้วก็กลับมา ส่วนทางพลายแก้วไปทำสงครามได้ชัยชนะ
ทำให้ได้รับบรรดาศักดิ์เป็นขุนแผน และได้เมียมาเพิ่มชื่อว่า นางลาวทอง ซึ่งได้มาระหว่าง
ทาง กระทั่งถึงวันที่ขุนแผนกลับมา นางวันทองได้บอกกล่าวเรื่องที่แม่ของตนจะยกตนนั้น
ให้เป็นเมียขุนช้าง ด้วยความโกรธ ขุนแผนเลยจะไปฆ่าขุนช้าง แต่นางลาวทอง เป็นเมีย
ใหม่ออกมาห้าม ดังนั้นนางพิมพ์และนางลาวทองก็เลยตบกันโดยไม่ฟังขุนแผนห้าม
ขุนแผนโมโหจึงพานางลาวทองกลับไปกาญจนบุรี ไปอยู่ที่บ้านแม่ของตนเอง
๔
วันนั้นนางวันทองเลยโดนขุนช้างข่มขืน และกลายเป็นเมียขุนช้าง ขุนแผนรับราชการ
มาเรื่อย ๆ โดยที่ต้องไปอยู่กรุงศรีอยุธยา แต่วันหนึ่งนางลาวทองซึ่งอยู่ที่กาญจนบุรี
เกิดล้มป่วย ขุนแผนเลยฝากเวรไว้กับขุนช้างเพื่อจะไปเยี่ยมนางลาวทอง ขุนช้างจึง
เข้าเฝ้าพระพันวษากราบทูลว่าขุนแผนหนีเวร พระพันวษาโกรธมาก ริบนางลาวทอง
เข้าไปไว้ในวัง ขุนแผนจึงตัดสินใจออกไปตระเวนด่านต่าง ๆ โดยตั้งใจไปหาของวิเศษ
๓ อย่าง ได้แก่ กุมารทอง ดาบฟ้าฟื้ น และ ม้าสีหมอก จนได้ของวิเศษครบทั้งหมด
ด้วยความแค้นขุนช้าง ขุนแผนจึงแอบขึ้นเรือนขุนช้าง ระหว่างทางไปเจอนางแก้ว
กิริยา ผู้หญิงที่อยู่ในบ้านขุนช้าง เพราะว่าพ่อแม่ติดนี่ขุนช้างก็เลยเอามาขัดดอก
ขุนแผนได้แก้วกิริยาเป็นเมียแล้วก็ให้เงินทิ้งไว้ บอกว่าให้ไปไถ่ตัวเอง ฝั่ งตัวเองลักพา
ตัวนางวันทองไปอยู่ด้วยกันจนท้อง แล้วพาเข้าเฝ้าสมเด็จพระพันวษาเพื่อแก้คดี
ขุนแผนชนะความขุนช้าง ต่อมาขุนแผนได้ขอนางลาวทองจากพระพันวษา เป็นเหตุ
ให้พระพันวษากริ้วจึงนำขุนแผนไปจำคุก ขุนช้างได้โอกาสจึงพานางวันทองไปอยู่กับ
ตน นางวันทองไปอยู่กับขุนช้างจนคลอดบุตรชื่อ พลายงาม
กำเนิดพลายงาม
ขุนช้างลวงพลายงามซึ่งเป็นลูกของขุนแผนไปฆ่าแต่ผีโหงพรายของขุนแผนมาช่วย
ไว้ทัน นางวันทองจึงให้พลายงามไปอยู่กับนางศรีประจันที่กาญจนบุรี ทำให้พลาย
งามได้เรียนวิชาของขุนแผนจนแกร่งกล้า จึงได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็ก ต่อมาพระเจ้า
ล้านช้างได้ถวายนางสร้อยฟ้าพระธิดาให้แก่พระพันวษา
๕
แต่พระเจ้าเมืองเชียงใหม่มาชิงตัวไป แล้วมีหนังสือท้าพระพันวษาให้ไปแย่งชิงนาง
สร้อยทองคืน พลายงามอาสาไปทำศึกและขอตัวขุนแผนออกจากคุกเพื่อไปทำศึก
เมืองเชียงใหม่
ระหว่างทางพลายงามก็ไปพักที่บ้านของพระพิจิตร จึงได้ลูกสาวพระพิจิตรชื่อว่า นาง
ศรีมาลา ขุนแผนก็เลยให้หมั้นไว้ก่อน จนทั้งสองได้ชัยชนะกลับมา พระพันวษาก็เลย
ปูนบำเหน็จพลายงาม กลายเป็น จมื่นไวยวรนาถ และให้แต่งงานกับทั้งนางสร้อยฟ้า
และนางศรีมาลา จากนั้นไม่นาน พระไวยก็เลยตัดสินใจ ปีนบ้านขุนช้าง ไปขโมยแม่
กลับมาอยู่กับตนเอง ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้ขุนช้างตัดสินใจ ไปฟ้องร้องกับพระพันวษา
พระพันวษาอารมณ์เสียมาก จึงเรียกนางวันทองเข้าเฝ้า และให้นางวันทองเลือก
ชะตาชีวิตของตัวเอง ว่าจะเลือกอยู่กับใคร ซึ่งนางวันทองตัดสินใจเลือกไม่ถูกพระพัน
วษาโมโหมาก สั่งประหารชีวิตนางวันทอง ขุนแผนกับกาญจนบุรีไปพร้อมกับ นาง
แก้วกิริยา และ นางลาวทอง ฝั่ งพระไวยก็อยู่กับเมียทั้งสอง และนางทองประศรี ซึ่ง
เป็นย่าไม่ยอมกลับ พร้อมกับขอลูกของนางแก้วกิริยา ชื่อว่า พลายชุมพล เอามาไว้
กับตนเอง ผ่านไปสักพัก บังเอิญพระไวยมีเมีย ๒ คน นางทองประศรีกับพลายชุมพล
ก็จะเข้าข้างนางศรีมาลา นางสร้อยฟ้าก็รู้สึกเจ็บแค้นน้ำใจอย่างหนัก ตัดสินใจทำ
เสน่ห์ใส่พระไวย ซึ่งทำให้เหตุการณ์ทั้งหมดพลิกกลับ เพราะว่านางศรีมาลาโดน
รังแกแทนทำให้ทุกคนกลับมาชุมนุมกันที่กรุงศรีอยุธยาอีกรอบทุกคนทะเลาะกัน
วุ่นวายถึงขั้น ขุนแผนตัดพ่อตัดลูกกับพระไวย ร่วมมือกับพลายชุมพล ปลอมตัวเป็น
ข้าศึกจะมาตีกรุงศรีอยุธยา
๖
แต่พระเจ้าเมืองเชียงใหม่มาชิงตัวไป แล้วมี พลายงามอาสา
หนังสือท้าพระพันวษาให้ไปแย่งชิงนาง ประหารนางวันทอง
สร้อยทองคืน พลายงามอาสาไปทำศึกและ
ขอตัวขุนแผนออกจากคุกเพื่อไปทำศึกเมือง
เชียงใหม่ ระหว่างทางพลายงามก็ไปพักที่
บ้านของพระพิจิตร จึงได้ลูกสาวพระพิจิตร
ชื่อว่า นางศรีมาลา ขุนแผนก็เลยให้หมั้นไว้
ก่อน จนทั้งสองได้ชัยชนะกลับมา พระพัน
วษาก็เลยปูนบำเหน็จพลายงาม กลายเป็น
จมื่นไวยวรนาถ และให้แต่งงานกับทั้งนาง
สร้อยฟ้าและนางศรีมาลา จากนั้นไม่นาน
พระไวยก็เลยตัดสินใจ ปีนบ้านขุนช้าง ไป
ขโมยแม่กลับมาอยู่กับตนเอง ซึ่งเหตุการณ์
นี้ทำให้ขุนช้างตัดสินใจ ไปฟ้องร้องกับพระ
พันวษา พระพันวษาอารมณ์เสียมาก จึง
เรียกนางวันทองเข้าเฝ้า และให้นางวันทอง
เลือกชะตาชีวิตของตัวเอง ว่าจะเลือกอยู่กับ
ใคร ซึ่งนางวันทองตัดสินใจเลือกไม่ถูกพระ
พันวษาโมโหมาก
สั่งประหารชีวิตนางวันทอง ขุนแผนกับกาญจนบุรีไปพร้อมกับ นางแก้วกิริยา และ
นางลาวทอง ฝั่ งพระไวยก็อยู่กับเมียทั้งสอง และนางทองประศรี ซึ่งเป็นย่าไม่ยอม
กลับ พร้อมกับขอลูกของนางแก้วกิริยา ชื่อว่า พลายชุมพล เอามาไว้กับตนเอง
ผ่านไปสักพัก บังเอิญพระไวยมีเมีย ๒ คน นางทองประศรีกับพลายชุมพล ก็จะเข้า
ข้างนางศรีมาลา นางสร้อยฟ้าก็รู้สึกเจ็บแค้นน้ำใจอย่างหนัก ตัดสินใจทำเสน่ห์ใส่
พระไวย ซึ่งทำให้เหตุการณ์ทั้งหมดพลิกกลับ เพราะว่านางศรีมาลาโดนรังแกแทน
ทำให้ทุกคนกลับมาชุมนุมกันที่กรุงศรีอยุธยาอีกรอบทุกคนทะเลาะกันวุ่นวายถึง
ขั้น ขุนแผนตัดพ่อตัดลูกกับพระไวย ร่วมมือกับพลายชุมพล ปลอมตัวเป็นข้าศึกจะ
มาตีกรุงศรีอยุธยา
๗
เพราะรู้ว่าพระพันวษาจะต้องส่งพระไวยออกไปสู้แน่นอน ซึ่งระหว่างทาง เปรตนาง
วันทอง ก็มีการมาเตือน ให้ระวังไว้ให้ดี สุดท้ายพระไวยก็รู้ตัว พระพันวษาก็พยายาม
จะไกล่เกลี่ยทุกคน ปรากฏว่าไต่สวนไปไต่สวนมา ก็มีคนไปจับเอาเถรขวาด ซึ่งเป็นคน
ทำยาเสน่ห์ แต่เถรขวาดแกล้งตายแล้วก็หนีไป ฝั่ งนางสร้อยฟ้าพยายามกล่าวหา ว่า
นางศรีมาลาเป็นชู้กับพลายชุมพล จึงได้พิสูจน์ คือการลุยไฟ
นางสร้อยฟ้าและนางสีมาลาพิสูจน์ลุยไฟ
ซึ่งนางสร้อยฟ้าลุยไฟแพ้นางศรีมาลา ดังนั้นเลยจะโดนประหารชีวิต แต่นางศรีมาลา
ขอไว้ว่าแค่เนรเทศกลับเชียงใหม่ไป ปรากฏว่ากลับไป ยังไม่หายจองเวรกัน เพราะว่า
เถรขวาด ยังแค้นพลายชุมพล ที่มาจับตัวเองได้ จึงแปลงร่างเป็นจระเข้ตัวใหญ่ ไหลลง
มาตามแม่น้ำเจ้าพระยา มาอาละวาดกัดกินคน
พลายชุมพลปราบจระเข้เถรขวาด
ซึ่งทำให้พลายชุมพลต้องออกไป ปราบจระเข้เถรขวาด เมื่อสำเร็จเลยได้รับบรรดาศักดิ์
รับราชการเหมือนกับทุกคนเหตุการณ์ร้ายแรงผ่านไป ทุกคนก็อยู่อย่างมีความสุข
๘
บทเสภาเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอน ขุนช้างถวายฏีกา
* จะกล่าวถึงโฉมเจ้าพลายงาม เมื่อเป็นความชนะขุนช้างนั้น
กลับมาอยู่บ้านสำราญครัน เกษมสันต์สองสมภิรมย์ยวน
พร้อมญาติขาดอยู่แต่มราดา นึกนึกตรึกตราละห้อยหวน
โอ้ว่าแม่วันทองช่างหมองนวล ไม่สมควรเคียงคู่กับขุนช้าง
เออนี่เนื้อเคราะห์กรรมมานำผิด น่าอายมิตรหมองใจไม่หายหมาง
ฝ่ายพ่อมีบุญเป็นขุนนาง แต่แม่ไปแนบข้างคนจัญไร
รูปร่างผิดวิปริตผิดกว่าคน ทรพลอัปรีย์ไม่ดีได้
ทั้งใจคอชั่วโฉดโหดไร้ ช่างไปหลงรักใคร่ได้เป็นดี
วันนั้นแพ้กูเมื่อดำน้ำ ก็กริ้วซ้ำจะฆ่าให้เป็นผี
แสนแค้นด้วยมารดายังปรานี ให้ไปขอชีวีขุนช้างไว้
แค้นแม่จำจะแก้ให้หายแค้น ไม่ทดแทนอ้ายขุนช้างบ้างไม่ได้
หมายจิตคิดจะให้มันบรรลัย ไม่สมใจจำเพาะเคราะห์มันดี
อย่าเลยจะรับแม่กลับมา ให้อยู่ด้วยบิดาเกษมศรี
พรากให้พ้นคนอุบาทว์ชาติอัปรีย์ ยิ่งคิดก็ยิ่งมีความโกรธา
อัดอึดฮึดฮัดด้วยขัดใจ เมื่อไหร่ตะวันจะลับหล้า
เข้าห้องหวนละห้อยคอยเวลา จนสุริยาเลี้ยวลับเมรุไกร
เงียบสัตว์จัตุบททวิบาท ดาวดาษเดือนสว่างกระจ่างไข
น้ำค้างตกกระเซ็นเย็นเยือกใจ สงัดเสียงคนใครไม่พูดจา
ได้ยินเสียงฆ้องย่ำประจำวัง ลอยลมล่องดังถึงเคหา
คะเนนับย่ำยามได้สามครา ดูเวลาปลอดห่วงทักทิน
ฟ้าขาวดาวเด่นดวงสว่าง จันทร์กระจ่ายทรงกลดหมดเมฆสิ้น
จึงเซ่นเหล้าขาวปลาให้พรายกิน เสกขมิ้นว่านยาเข้าทาตัว
๙
ลงยันต์ราชะเอาปะอก หยิบยกมงคลขึ้นใส่หัว
เป่ามนตร์เบื้องบนชอุ่มมัว พรายยั่วยวนใจให้ไคลคลา
จับดาบเคยปราบณรงค์รบ เสร็จครบบริกรรมพระคาถา
ลงจากเรือนไปมิได้ช้า รีบมาถึงบ้านขุนช้างพลัน
* เห็นคนนอนล้อมอ้อมเป็นวง ประตูลั่นมั่นคงขอบรั้วกั้น
กองไฟสว่างดังกลางวัน หมายสำคัญตรงมาหน้าประตู
จึงร่ายมนตรามหาสะกด เสื่อมหมดอาถรรพณ์ที่ฝั่ งอยู่
ภูตพรายนายขุนช้างวางวิ่งพรู คนผู้ในบ้านก็ซานเซอะ
ทั้งชายหญิงง่วงงมล้มหลับ นอนทับคว่ำหงายก่ายกันเปรอะ
จี่ปลาคาไฟมันไหลเลอะ โงกเงอะงุยงมไม่สมประดี
ใช้พรายถอดกลอนถอนลิ่ม รอยทิ่มถอดหลุดไปจากที่
ย่างเท้าก้าวไปในทันที มิได้มีใครทักแต่สักคน
มีแต่หลับเพ้อมะเมอฝัน ทั้งไฟกองป้องกันทุกแห่งหน
ผู้คนเงียบสำเนียงเสียงแต่กรน มาจนถึงเรือนเจ้าขุนช้าง
จุดเทียนสะกดข้าวสารปราย ภูตพรายโดดเรือนสะเทือนผาง
สะเดาะดาลบานเปิดหน้ต่างกาง ย่างเท้าก้าวขึ้นร้านดอกไม้
หอมหวนอวลอบบุปผชาติ เบิกบานก้านกลาดกิ่งไสว
เรณูฟูร่อนขจรใจ ย่างเท้าก้าวไปไม่โครมครา
ข้าไทนอนหลับลงทับกัน สะเดาะกลอนถอนลั่นถึงชั้นสาม
กระจกฉากหลากสลับวับแวมวาม อร่ามแสงโคมแก้วแววจับตา
ม่านมูลี่มีฉากประจำกั้น อัฒจันทร์เครื่องแก้วก็หนักหนา
ชมพลางย่างเยื้องชำเลืองมา เปิดมุ้งเห็นหน้าแม่วันทอง
นิ่งนอนอยู่บนเตียงเคียงขุนช้าง มันแนบข้างกอดกลมประสมสอง
เจ็บใจดังหัวใจจะพังพอง ขยับจ้องดาบง่าอยากฆ่าฟัน
๑๐
จะใคร่ถีบขุนช้างที่กลางตัว นึกกลัวจะถูกแม่วันทองนั่น
พลางนั่งลงนอบนบอภิวันทน์ สะอื้นอั้นอกแค้นน้ำตาคลอ
โอ้แม่เจ้าประคุณของลูกเอ๋ย ไม่ควรเลยจะพรากจากคุณพ่อ
เวรกรรมนำไปไม่รั้งรอ มิพอที่จะต้องพรากก็จากมา
มันไปฉุดมารดาเอามาไว้ อ้ายหัวใสข่มแหงไม่เกรงหน้า
ที่ทำแค้นกูจะแทนให้ทันตา ขอษมาแม่แล้วก็ขับพราย
เป่าลงด้วยพระเวทวิทยา มารดาก็ฟื้ นตื่นโดยง่าย
ดาบใส่ฝักไว้ไม่เคลื่อนคลาย วันทองรู้สึกกายก็ลืมตา
ต้องมนต์มัวหมองเป็นหนักหนา
*ครานั้นจึงโฉมเจ้าวันทอง เห็นลูกยานั้นยืนอยู่ริมเตียง
ตื่นพลางทางชำเลืองนัยน์ตามา กอดผัวร้องดิ้นจนสิ้นเสียง
สำคัญคิดว่าผู้ร้ายให้นึกกลัว พระหมื่นไวยเข้าเคียงห้ามมารดา
ซวนซบหลบลงมาหมองเมือง ลูกร้อนรำคาญใจจึงมาหา
อะไรแม่แซ่ร้องทั้งห้องนอน สนทนาด้วยลูกอย่าตกใจ
จะร้องไปใยใช่โจรผู้ร้ายมา ครั้นรู้ว่าลูกยาหาหกลัวไม่
* ครานั้นวันทองผ่องโสภา พระหมื่นไวยเข้ากอดเอาบาทา
ลุกออกมาพลันด้วยทันใด ซบพักตร์ร้องไห้ไม่เงยหน้า
วันทองประคองสอดกอดลูกรัก เขารักษาอยู่ทุกแห่งตำแหน่งใน
เจ้ามาไยป่านนี้นี่ลูกอาเขา พ่อช่างลอบเข้ามากระไร้ได้
ใส่ดาลบ้านช่องกองไฟรอบ นี่พ่อใช้ฤๅว่าเจ้ามาเอง
อาจองทะนงตัวไม่กลัวภัย เขาจะรุกรานพาลข่มเหง
ขุนช้างตื่นขึ้นมิเป็นการ ฉวยสบเพลงพลาดพล้ำมิเป็นการ
จะเกิดผิดแม่คิดคะนึงเกรง พ่อจงเล่าแก่แม่แล้วกลับบ้าน
มีธุระสิ่งไรในใจเจ้า อย่าหาญเหมือนพ่อนักคะนองใจ
มิควรทำเจ้าอย่าทำให้รำคาญ
๑๑
* จมื่นไวยสารภาพกราบบาทา ลูกมาผิดจริงหาเถียงไม่
รักตัวกลัวผิดแต่คิดไป ก็หักใจเพราะรักแม่วันทอง
ทุกวันนี้กลัวลูกชายสบายยศ พร้อมหมดเมียมิ่งก็มีสอง
มีบ่าวไพร่ใช้สอยทั้งเงินทอง พี่น้องข้างพ่อก็บริบูรณ์
ยังขาดแต่แม่คุณไม่แลเห็น เป็นอยู่ก็เหมือนตายไปหายสูญ
ข้อนี้ที่ทุกข์ยังเพิ่มพูน ถ้าพร้อมมูลแม่ด้วยจะสำราญ
ลูกมาหมายว่าจะมารับ เชิญแม่วันทองกลับคืนไปบ้าน
แม้นจะบังเกิดเหตุเภทพาล ประการใดก็ตามแต่เวรา
มาอยู่ไยกับอ้ายหินชาติ แสนอุบาทว์ใจจิตริษยา
ดังทองคำทำเลี่ยมปากกะลา หน้าตาดำเหมือนมินหม้อมอม
เหมือนแมลงวันว่อนเคล้าที่เน่าชั่ว มาเกลือกกลัวปทุมมาลย์ที่วานหอม
ดอกมะเดื่อฤๅจะเจือดอกพะยอม ว่านักแม่จะตรอมระกำใจ
แม่เลี้ยงลูกมาถึงเจ็ดขวบ เคราะห์ประจวบจากแม่หาเห็นไม่
จะคิดถึงลูกบ้างฤๅอย่างไร ฤาหาไม่ใจแม่ไม่คิดเลย
ถ้าคิดเห็นเอ็นดูว่าลูกเต้า แม่ทูนเกล้าไปเรือนอย่าเชื่อนเฉย
ให้ลูกคลายอารมณ์ได้ชมเชย เหมือนเมื่อครั้งแม่เคยเลี้ยงลูกมา
เศร้าหมองด้วยลูกเป็นหนักหนา
* ครานั้นจึงโฉมเจ้าวันทอง แม่โศกาเกือบเจียนจะบรรลัย
พ่อพลายงามทรามสวาดิของแม่อา มิใช่ของตัวทำมาแต่ไหน
ใช่จะอิ่มเอิบอาบด้วยเงินทอง ไม่รักใคร่เหมือนกับพ่อพลายงาม
ทั้งผู้คนช้างม้าแลข้าไท มีแต่ทุกข์ใจเจ็บดังเหน็บหนาม
ทุกวันนี้ใช่แม่จะผาสุก จะขืนความคิดไปก็ใช่ที
ต้องจำจนทนกรรมที่ติดตาม เขาฉุดแม่ใช่จะแกล้งแหนงหนี
เมื่อพ่อเจ้าเข้าคุกแม่ท้องแก่
๑๒
ถึงพ่อเจ้าเล่าไม่รู้ว่าร้ายดี เป็นหลายปีแม่มาอยู่กับขุนช้าง
เมื่อพ่อเจ้ากลับมาแต่เชียงใหม่ ไม่เพ็ดทูลสิ่งไรแต่สักอย่าง
เมื่อคราวตัวแม่เป็นคนกลาง ท่านก็วางบทคืนให้บิดา
เจ้าเป็นถึงหัวหมื่นมหาดเล็ก มิใช่เด็กดอกจงฟังคำแม่ว่า
จงเร่งกลับไปคิดกับบิดา ฟ้องหากราบทูลพระทรงธรรม์
พระองค์คงจะโปรดประทานให้ จะปรากฏยศไกรเฉิดฉัน
อันจะมาลักพาไม่ว่ากัน เช่นนั้นใจแม่มิเต็มใจ
ฟังความเห็นว่าแม่หาไปไม่
*ครานั้นจึงโฉมเจ้าพลายงาม เพราะรักไอ้ขุนช้างกว่าบิดา
คิดบ่ายเบี่ยงเลี่ยงเลี้ยวเบี้ยวบิดไป แม่ยังกลับทัดทานเป็นหนักหนา
จึงว่าอนิจจาลูกมารับ อุตส่าห์มารับแล้วยังมิไป
เหมือนไม่มีรักใคร่ในลูกยา จะพาแม่ไปเรือนให้จงได้
เสียแรงเป็นลูกผู้ชายไม่อายเพื่อน จะบาปกรรมอย่างไรก็ตามที
แม้นมิไปให้งามก็ตามใจ ทิ้งแต่ตัวไว้ให้อยู่นี่
จะตัดเอาศีรษะของแม่ไป จวนแจ้งแสงศรีจะรีบไป
แม่อย่าเจรจาให้ช้าที เห็นลูกยากัดฟันมันไส้
* ครานั้นวันทองผ่องโสภา ตกใจกลัวว่าจะฆ่าฟัน
ถือดาบฟ้าฟื้ นยืนแกว่งไกว อย่าฮึกฮักว้าวุ่นทำหุนหัน
จึงปลอบว่าพลายงามพ่อทรามรัก แม่นี้พรั่นกลัวแต่จะเกิดความ
จงครวญใคร่ให้เห็นข้อสำคัญ เห็นเบื้องหน้าจะอึงแม่จึงห้าม
ด้วยเป็นข้าลักไปไทลักมา ก็ตามเถิดมารดาจะคลาไคล
ถ้าเห็นเจ้าเป็นสุขไม่ลุกลาม เศร้าหมองโศกาน้ำตาไหล
ว่าพลางนางลุกออกจากห้อง พอรุ่งแจ้งแสงใสก็ถึงเรือน
พระหมื่นไวยก็พามารดาไป
๑๓
* จะกล่าวถึงเจ้าจอมหม่อมขุนช้าง นอนครางหลับกรนอยู่ป่นเปื้ อน
อัศจรรย์ฝันแปรแชเชือน ว่าขี้เรื้อนขึ้นตัวทั่วทั้งนั้น
หาหมอมารักษายาเข้าปรอท มันกินปอดตับไตออกไหลลั่น
ทั้งไส้น้อยไส้ใหญ่แลไส้ตัน ฟันฟางก็หักจากปากตัว
ตกใจตื่นผวาคว้าวันทอง ร้องว่าแม่คุณแม่ช่วยผัว
ลุกขึ้นงกงันตัวสั่นรัว ให้นึกกลัวปรอทจะตอดตาย
ลืมตาเหลียวหาเจ้าวันทอง ไม่เห็นน้องห้องสว่างตะวันสาย
ผ้าผ่อนล่อนแก่นไม่ติดกาย เห็นม่านขาดเรี่ยรายประหลาดใจ
ตะโกนเรียกในห้องวันทองเอ๋ย หาขานรับเช่นเคยสักคำไม่
ทั้งข้าวของมากมายก็หายไป ปากประตูเปิดไว้ไม่ใส่กลอน
พลางเรียกหาข้าไทอยู่ว้าวุ่น อีอุ่นอีอิ่มอีฉิมอีสอน
อีมีอีมาอีสาคร นิ่งนอนไยหวามาหากู
บ่าวผู้หญิงวิ่งไปอยู่งกงัน เห็นนายนั้นแก้ผ้ากางขาอยู่่
ต่างคนทรุดนั่งบังประตู ตกตะลึงแลดูไม่เข้ามา
ขุนช้างเห็นข้าไม่มาใกล้ ขัดใจลุกขึ้นทั้งแก้ผ้า
แหงนเถ่อเป้อปังยืนจังก้า ย่างเท้าก้าวมาไม่รู้ตัว
ยายจันงันงกยกมือไหว้ นั่นพ่อจะไปไหนพ่อทูนหัว
ไม่นุ่งผ่อนนุ่งผ้าดูน่ากลัว ขุนช้างมองดูตัวก็ตกใจ
สองมือปิดขาเหมือนท่าเปรต ใครมาเทศน์เอาผ้ากูไปไหน
ให้นึกอดสูหมู่ข้าไท ยายจันไปเอาผ้าให้ข้าที
ยายจันตกใจเต็มประดา เข้าไปฉวยผ้าเอามาคลี่
หยิบยื่นส่งไปให้ทันที เมินหนีอดสูไม่ดูนาย
ขุนช้างตัวสั่นทาวบอกบ่าวไพร่ วันทองไปไหนอย่างไรหาย
เอ็งไปดูให้รู้ซึ่งแยบคาย พบแล้วอย่าวุ่นวายให้เชิญมา
๑๔
*ข้าไทได้ฟังขุนช้างใช้ ต่างเที่ยวค้นด้นไปจะเอาหน้า
ทั้งห้องนอกห้องในไม่พบพา ทั่วเคหาแล้วไปค้นจนแผ่นดิน
เห็นประตูรั้วบ้านบานเปิดกว้าง ผู้คนนอนสล้างไม่ตื่นสิ้น
เสาแรกแตกต้นเป็นมลทิน กินใจกลับมาหาขุนช้าง
บอกว่าได้ค้นคว้าหาพบไม่ แล้วเล่าแจ้งเหตุไปสิ้นทุกอย่าง
ข้าเห็นวิปริตผิดท่าทาง ที่นวลนางวันทองนั้นหายไป
เหงื่อออกโซมล้านกระบานใส
*ครานั้นขุนช้างฟังบ่าวบอก ช่างทำได้ต่างต่างทุกอย่างจริง
คิดคิดให้แค้นแสนเจ็บใจ พลั้งทีลงไม่รอดนางยอดหญิง
สองหนสามหนก่นแต่หนี นี่คราวนี้หนีวิ่งไปตามใคร
คราวนั้นอ้ายขุนแผนมันแง้นชิง ยังสาระแนหลบลี้หนีไปไหน
ไม่คิดว่าจะเป็นเห็นว่าแก่ ไม่เอากลับมาได้มิใช่กู
เอาเถิดเป็นไรก็เป็นไป เกรงเนื้อความนั่งนึกตรึกตรองอยู่
* จะกล่าวถึงโฉมเจ้าพลายงาม ถ้ามันรู้ว่าลักเอาแม่มา
อ้ายขุนช้างสารพัดเป็นศัตรู ไปกราบทูลสมเด็จพระพันวษา
มันก็จะสอดแนมแกมเท็จ มารดาก็จะต้องซึ่งโทษภัย
ดูจะระแวงผิดในกิจจา เอ็งเป็นคนเคยชอบอัชฌาสัย
คิดแล้วเรียกหมื่นวิเศษผล ไกล่เกลี่ยเสียอย่าให้มันโกรธา
จงไปบ้านขุนช้างด้วยทันใด เกรงแม่จะไม่ทันมาเห็นหน้า
บอกว่าเราจับไข้มาหลายวัน เราใช้คนไปหาแม่วันทอง
เมื่อคืนนี้ซ้ำมีอันเป็นมา ร้องปลุกเข้าไปถึงในห้อง
พอขณะมารดามาส่งทุกข์ รักษาจนแสงทองสว่างฟ้า
จึงรีบมาเร็วไวดังใจปอง กูขอแม่ไว้พอเห็นหน้า
ไม่ตายคลายคืนฟื้ นขึ้นได้ จึงจะส่งมารดานั้นคืนไป
แต่พอให้เคลื่อนคลายหลายเวลา
๑๕
* หมื่นวิเศษรับคำแล้วอำลา รีบมาบ้านขุนช้างหาช้าไม่
ครั้นถึงแอบดูอยู่แต่ไกล เห็นผู้คนขวักไขว่ทั้งเรือนชาน
ขุนช้างนั่งเยี่ยมหน้าต่างเรือน ดูหน้าเฝื่ อนทีโกรธอยู่งุ่นง่าน
จะดื้อเดินเข้าไปไม่เป็นการ คิดแล้วลงคลานเข้าประตู
นั่งคาหน้าต่างเยี่ยมหน้าอยู่
* ครานั้นเจ้าจอมหม่อมขุนช้าง นี่มาล้อหลอกกูฤๅอย่างไร
เห็นคนคลานเข้ามาเหลือบตาดู เด็กหวาจับถองให้จงได้
อะไรพอสว่างวางเข้ามา ทุดอ้ายไพร่ขี้ครอกหลอกผู้ดี
ลุกขึ้นถกเขมรร้องเกนไป ยกมือขึ้นไหว้ไม่วิ่งหนี
* ครานั้นวิเศษผลคนว่องไว คนดีดอกข้าไหว้ใช่คนพาล
ร้องตอบไปพลันในทันที เป็นขุนหมื่นรับใช้อยู่ในบ้าน
ข้าพเจ้าเป็นบ่าวพระหมื่นไวย ขอประทานคืนนี้พระหมื่นไวย
ท่านใช้ให้กระผมมากราบกราน แก้ไขก็เห็นหาหายไม่
เจ็บจุกปัจจุบันมีอันเป็น จึงใช้ให้ตัวข้ามาแจ้งการ
ร้องโอดโดดดิ้นเพียงสิ้นใจ ข้าพเจ้าร้องปลุกไปในบ้าน
พอพบท่านมารดามาส่งทุกข์ ท่านจึงรีบไปในกลางคืน
จะกลับขึ้นเคหาเห็นช้านาน คุณอย่าสงสัยว่าไปอื่น
พยาบาลคุณพระนายพอคลายไข้ พอหายเจ็บแล้วจะคืนไม่นอนใจ
ให้คำมั่นสั่งมาว่ายั่งยืน แค้นดังเลือดตาจะหลั่งไหล.
* ครานั้นขุนช้างได้ฟังว่า เราก็ไม่ว่าไรสุดแต่ดี
ดับโมโหโกรธาทำว่าไป ประจุบันอันเป็นทั้งกรุงศรี
การไข้เจ็บล้มตายไม่วายเว้น ก็มาเอาที่นี่อย่าเกรงใจ
ถ้าขัดสนสิ่งไรที่ไม่มี ขุนช้างเดือดดาลทะยานไส้
ว่าแล้วปิดบานหน้าต่างผาง ดูดู๋เป็นได้เจียววันทอง
ทอดตัวลงกับหมอนถอนฤทัย
๑๖
เพราะกูแพ้ความจมื่นไวย มันจึงเหิมใจทำจองหอง
พ่อลูกแม่ลูกถูกทำนอง ถึงสองครั้งแล้วเป็นแต่เช่นนี้
อ้ายพ่อไปเชียงใหม่มีชัยมา ตั้งตัวดังพระยาราชสีห์
อ้ายลูกเป็นหมื่นไวยทำไมมี เห็นกูนี้คนผิดติดโทษทัณฑ์
มันจึงข่มเหงไม่เกรงใจ จะพึ่งพาใครได้ที่ไหนนั่น
ขุนนางน้อยใหญ่เกรงใจกัน ถึงฟ้องมันก็จะปิดให้มิดไป
ตามบุญตามกรรมได้ทำมา จะเฆี่ยนฆ่าหาคิดชีวิตไม่
ยิ่งคิดเดือดดาลทะยานใจ ฉวยได้กระดานชนวนมา
ร่างฟ้องท่องเทียบให้เรียบร้อย ถ้อยคำถี่ถ้วนเป็นหนักหนา
ลงกระดาษพับไว้มิได้ช้า อาบน้ำผลัดผ้าแล้วคลาไคล
วันนั้นพอพระปิ่ นนรินทร์ราช เสด็จประพาสบัวยังหากลับไม่
ขุนช้างมาถึงซึ่งวังใน คอยจ้องที่ใต้ตำหนักน้ำ
* จะกล่าวถึงพระองค์ผู้ทรงเดช เสด็จคืนนิเวศน์พอจวบค่ำ
ฝีพายรายเล่มมาเต็มลำ เรือประจำแหนแห่เซ็งแซ่มา
พอเรือที่นั่งประทับที่ ขุนช้างก็รี่ลงตีนท่า
ลอยคอชูหนังสือดื้อเข้ามา ผุดโผล่โงหน้ายึดแคมเรือ
เข้าตรงบโทนอ้นต้นกัญญา เพื่อนโขกลงด้วยกะลาว่าผีเสื้อ
มหาดเล็กอยู่งานพัดพลัดตกเรือ ร้องว่าเสือตัวใหญ่ว่ายน้ำมา
ขุนช้างดึงดื้อมือยึดเรือ มิใช่เสือกระหม่อมฉานล้านเกศา
สู้ตายขอถวายซึ่งฎีกา แค้นเหลือปัญญาจะทานทน
* ครานั้นสมเด็จพระพันวษา ทรงพระโกรธาโกลาหล
ทุดอ้ายจัญไรมิใช่คน บนบกบนฝั่ งดังไม่มี
ใช่ที่ใช่ทางวางเข้ามา ฤๅอ้ายช้างเป็นบ้ากระมังนี่
เฮ้ยใครรับฟ้องของมันที ตีเสียสามสิบจึงปล่อยไป
๑๗
มหาดเล็กก็รับเอาฟ้องมา ตำรวจคว้าขุนช้างหาวางไม่
ลงพระราชอาญาตามว่าไว้ พระจึงให้ตั้งกฤษฎีกา
ว่าตั้งแต่วันนี้สืบต่อไป หน้าที่ของผู้ใดให้รักษา
ถ้าประมาทราชการไม่นำพา ปล่อยให้ใครเข้ามาในล้อมวง
ระวางโทษเบ็ดเสร็จเจ็ดสถาน ถึงประหารชีวิตเป็นผุยผง
ตามกฤษฎีการักษาพระองค์ แล้วลงจากพระที่นั่งเข้าวังใน
* จะกล่าวถึงขุนแผนแสนสนิท เรืองฤทธิฦๅจบพิภพไหว
อยู่บ้านสุขเกษมเปรมใจ สมสนิทพิสมัยด้วยสองนาง
ลาวทองกับเจ้าแก้วกิริยา ปรนนิบัติวัตถาไม่ห่างข้าง
เพลิดเพลินจำเริญใจไม่เว้นวาง คืนนั้นในกลางซึ่งราตรี
นางแก้วลาวทองทั้งสองหลับ ขุนแผนกลับผวาตื่นฟื้ นจากที่
พระจันทรจรแจ่มกระจ่างดี พระพายพัดมาลีตรลบไป
คิดคะนึงถึงมิตรแต่ก่อนเก่า นิจจาเจ้าเหินห่างร้างพิสมัย
ถึงสองครั้งตั้งแต่พรากจากพี่ไป ดังเด็ดใจจากร่างก็ราวกัน
กูก็ชั่วมัวรักแต่สองนาง ละวางให้วันทองน้องโศกศัลย์
เมื่อตีได้เชียงใหม่ก็โปรดครัน จะเพ็ดทูลคราวนั้นก็คล่องใจ
สารพัดที่จะว่าได้ทุกอย่าง อ้ายขุนช้างไหนจะโต้จะตอบได้
ไม่ควรเลยเฉยมาไม่อาลัย บัดนี้เล่าเจ้าไวยไปรับมา
จำกูจะไปสู่สวาดิน้อง เจ้าวันทองจะคอยละห้อยหา
คิดพลางจัดแจงแต่งกายา น้ำอบทาหอมฟุ้งจรุงใจ
ออกจากห้องย่องเดินดำเนินมา ถึงเรือนลูกยาหาช้าไม่
เข้าห้องวันทองในทันใด เห็นนางหลับใหลนิ่งนิทรา
ลดตัวลงนั่งข้างวันทอง เตือนต้องด้วยความเสนหา
สั่นปลุกลุกขึ้นเถิดน้องอา พี่มาหาแล้วอย่านอนเลย
๑๘
* นางวันทองตื่นอยู่รู้สึกตัว หมายใจว่าผัวก็ทำเฉย
นิ่งดูอารมณ์ที่ชมเชย จะรักจริงฤๅจะเปรยเป็นจำใจ
แต่นิ่งดูกิริยาเป็นช้านาน หาว่าขานโต้ตอบอย่างไรไม่
ทั้งรักทั้งแค้นแน่นฤทัย ความอาลัยปั่ นป่วนยวนวิญญาณ์
เจ้าหลับใหลกะไรเลยเป็นหนักหนา
* โอ้เจ้าแก้วแววตาของพี่เอ๋ย ฤๅขัดเคืองคิดว่าพี่ทอดทิ้ง
ดังนิ่มน้องหมองใจไม่นำพา พี่ไม่คลาศคลายรักแต่สักสิ่ง
ความรักหนักหน่วงทรวงสวาดิ จะนอนนิ่งถือโทษโกรธอยู่ไย
เผอิญเป็นวิปริตพี่ผิดจริง จูบพลางชวนชิดพิสมัย
ว่าพลางเอนแอบลงแนบข้าง เป็นไรจึงไม่ฟื้ นตื่นนิทรา
ลูบไล้พิไรปลอบให้ชอบใจ โอนอ่อนวอนไหว้พิไรว่า
ใช่ตัวข้านี้จะงอนค่อนพิไร
* เจ้าวันทองน้องตื่นจากที่นอน อันตัวน้องมลทินหาสิ้นไม่
หม่อมน้อยใจฤๅที่ไม่เจรจา พบไหนก็เป็นแต่เช่นนั้น
ชอบผิดพ่อจงคิดคะนึงตรอง คงคิดคืนที่หม่อมเป็นแม่นมั่น
ประหนึ่งว่าวันทองนี้สองใจ คราวนั้นก็ไปอยู่เพราะจำใจ
ที่จริงใจถึงไปอยู่เรือนอื่น ยามมีที่เชยเฉยเสียได้
ด้วยรักลูกรักผัวยังพัวพัน กินผลไม้ต่างข้าวทุกเพรางาย
แค้นคิดด้วยมิตรไม่รักเลย ก็เพราะหากหม่อมมีซึ่งที่หมาย
เสียแรงร่วมทุกข์ยากกันกลางไพร เอ็นดูน้องอย่าให้อายเขาอีกเลย
พอได้ดีมีสุขลืมทุกข์ยาก เหมือนลืมน้องหลงเลือนทำเชือนเฉย
ว่านักก็เครื่องเคืองระคาย เงยหน้าเถิดจะเล่าอย่าเฝ้าแค้น
ต้องกลืนกล้ำโศกเศร้านั้นเหลือแสน
* พี่ผิดจริงแล้วเจ้าวันทอง มันดูแคลนว่าพี่นี้ยากยับ
ใช่จะเพลิดเพลินชื่นเพราะอื่นเชย
เมื่อติดคุกทุกข์ถึงเจ้าทุกเช้าค่ำ
ซ้ำขุนช้างคิดคดทำทดแทน
๑๙
อาลัยเจ้าเท่ากับดวงชีวิตพี่ คิดจะหนีไปตามเอาเจ้ากลับ
เกรงจะพากันผิดเข้าติดทับ แต่ขยับอยู่จนได้ไปเชียงอินท์
กลับมาหมายว่าจะไปตาม พอเจ้าไวยเป็นความก็ค้างสิ้น
หัวอกใครได้แค้นในแผ่นดิน ไม่เดือดดิ้นเท่าพี่กับวันทอง
คิดอยู่ว่าจะทูลพระพันวษา เห็นช้ากว่าจะได้มาร่วมห้อง
จะเป็นความอิกก็ตามแต่ทำนอง จึงให้ลูกรับน้องมาร่วมเรือน
จะเป็นตายง่ายยากไม่ยากรัก จะฟูมฟักเหมือนเมื่ออยู่ในกลางเถื่อน
ขอโทษที่พี่ผิดอย่าบิดเบือน เจ้าเพื่อนเสนหาจงอาลัย
พี่ผิดพี่ก็มาลุแก่โทษ จะคุมโกรธคุมแค้นไปถึงไหน
ความรักพี่ยังรักระงมใจ อย่าตัดไมตรีตรึงให้ตรอมตาย
ว่าพลางทางแอบเข้าแนบอก ประคองยกของสำคัญมั่นหมาย
เจ้าเนื้อทิพหยิบชื่นอารมณ์ชาย ขอสบายสักหน่อยอย่าโกรธา
ไม่ตัดใจให้ตรอมเสนหา
* ใจน้องมิให้หมองอารมณ์หม่อม ม่อมอย่าว่าเลยว่าฉันไม่คืนคิด
ถ้าตัดรักหักใจแล้วไม่มา น้องนี้กลัวบาปทับเมื่อดับจิต
ถึงตัวไปใจยังนับอยู่ว่าผัว ถ้ามิปลิดเสียให้เปลื้องไม่ตามใจ
หญิงเดียวชายครองเป็นสองมิตร หน้าดำเหมือนหนึ่งทามินหม้อไหม้
คราวนั้นเมื่อตามไปกลางป่า เขาฉุดไปเหมือนลงทะเลลึก
ชนะความงามหน้าดังเทียนชัย ทีนี้หน้าจะดำเป็นน้ำหมึก
เจ้าพลายงามตามรับเอากลับมา จะพาแม่ตกลึกให้จำตาย
กำเริบใจด้วยเจ้าไวยกำลังฮึก เอาความผิดคิดหักให้เหือดหาย
มิใช่หนุ่มดอกอย่ากลุ้มกำเริบรัก ฉันกลับกลายแล้วหม่อมจงฟาดฟัน
ถ้ารักน้องป้องปิดให้มิดอาย น้องจะแต่งบายศรีไว้เชิญขวัญ
ไปเพ็ดทูลเสียให้ทูลกระหม่อมแจ้ง ไม่เช่นนั้นฉันไม่เลยจะเคยตัว
ไม่พักวอนดอกจะนอนอยู่ด้วยกัน
๒๐
ฯลฯ
* ครั้นเวลาดึกกำดัดสงัดเงียบ ใบไม้แห้งแกร่งเกรียบระรุบร่อน
พระพายโชยเสาวรสขจายจร พระจันทรแจ่มแจ้งกระจ่างดวง
ดุเหว่าเร้าเสียงสำเนียงก้อง ระฆังฆ้องขานแข่งในวังหลวง
วันทองน้องนอนสนิททรวง จิตรง่วงระงับสู่ภวังค์
ฝันว่าพลัดไปในไพรเถื่อน เลื่อนเปื้ อนไม่รู้ที่จะกลับหลัง
ลดเลี้ยวเที่ยงหลงในดงรัง ยังมีพยัคฆร้ายมาราวี
ทั้งสองมองหมอบอยู่ริมทาง พอนางดั้นป่ามาถึงที่
โดดตะครุบคาดคั้นในทันที แล้วฉุดคร่าพารี่ไปในไพร
สิ้นฝันครั้นตื่นตกประหม่า หวีดผวากอดผัวสะอื้นไห้
เล่าความบอกผัวด้วยกลัวภัย ประหลาดใจน้องฝันพรั่นอุรา
ใต้เตียงเสียงหนูก็กุกกก แมลงมุมทุ่มอกที่ริมฝา
ยิ่งหวาดหวั่นพรั่นตัวกลัวมรณา ดังวิญญาณ์นางจะพรากไปจากกาย
* ครานั้นขุนแผนแสนสนิท ฟังความตามนิมิตก็ใจหาย
ครั้งนี้น่าจะมีอันตราย ฝันร้ายสาหัสตัดตำรา
พิเคราะห์ดูทั้งยามอัฐกาล ก็บันดาลฤกษ์แรงเป็นหนักหนา
มิรู้ที่จะแถลงแจ้งกิจจา กอดเมียเมินหน้าน้ำตากระเด็น
จึงแกล้งเพทุบายทำนายไป ฝันอย่างนี้มิใช่จะเกิดเข็ญ
เพราะวิตกหมกไหม้จึงได้เป็น เนื้อเย็นอยู่กับผัวอย่ากลัวทุกข์
พรุ่งนี้พี่จะแก้เสนียดฝัน แล้วทำมิ่งสิ่งขวัญให้เป็นสุข
มิให้เกิดราคีกลียุค อย่าเป็นทุกข์เลยเจ้าจงเบาใจ
* ครั้นว่ารุ่งสางสว่างฟ้า สุริยาแย้มเยี่ยมเหลี่ยมไศล
จะกล่าวถึงพระองค์ผู้ทรงชัย เนาในพระที่นั่งบัลลังก์รัตน์
พร้อมด้วยพระกำนัลนักสนม หมอบประนมเฝ้าแหนแน่นขนัด
ประจำตั้งเครื่องอานอยู่งานพัด ทรงเคืองขัดขุนช้างแต่กลางคืน
๒๑
แสนถ่อยใครจะถ่อยเหมือนมันบ้าง ทุกอย่างที่จะชั่วอ้ายหัวลื่น
เวียนแต่เป็นถ้อยความไม่ข้ามคืน น้ำยืนหยั่งไม่ถึงยังดึงมา
คราวนั้นฟ้องกันด้วยวันทอง นี่มันฟ้องใครอิกไอ้ชาติข้า
ดำริพลางทางเสด็จยาตรา ออกมาพระที่นั่งจักรพรรดิ
พระสูตรรูดกร่างกระจ่างองค์ ขุนนางกราบราบลงเป็นขนัด
ทั้งหน้าหลังเบียดเสียดเยียดยัด หมอบอัดถัดกันเป็นหลั่นไป
ทอดพระเนตรมาเห็นขุนช้างเฝ้า เออใครเอาฟ้องมันไปไว้ไหน
พระหมื่นศรีถวายพลันในทันใด รับไว้คลี่ทอดพระเนตรพลัน
พอทรงจบแจ้งพระทัยในข้อหา ก็โกรธาเคืองขุ่นหุนหัน
มันเคี่ยวเข็ญทำเป็นอย่างไรกัน อีวันทองคนเดียวไม่รู้แล้ว
ราวกับไม่มีหญิงเฝ้าชิงกัน ฤๅอีวันทองนั้นมันมีแก้ว
รูปอ้ายช้างชั่วช้าตาแบ้งแบว ไม่เห็นแววที่ว่ามันจะรัก
ใครจะเอาเป็นผัวเขากลัวอาย หัวหูดูเหมือนควายที่ตกปลัก
คราวนั้นเป็นความกูถามซัก ตกหนักอยู่กับเถ้าศรีประจัน
วันทองกูสิให้กับไอ้แผน ไยแล่นมาอยู่กับอ้ายช้างนั่น
จมื่นศรีไปเอาตัวมันมาพลัน ทั้งวันทองขุนแผนอ้ายหมื่นไวย
ถอยหลังออกมาไม่ช้าได้
* ฝ่ายพระหมื่นศรีได้รับสั่ง ตำรวจในวิ่งตะบึงมาถึงพลัน
สั่งเวรกรมวังในทันใด แจ้งข้อรับสั่งไปขมีขมัน
ขึ้นไปบนเรือนพระหมื่นไวย ให้หาทั้งสามทั่นนั้นเข้าไป
ขุนช้างฟ้องร้องฎีกาพระทรงธรรม์ ได้ฟังความคร้ามครั่นหวั่นไหว
ไม่ไว้ใจจึงเสกด้วยเวทมนตร์
* ครานั้นวันทองเจ้าพลายงาม ซึ่งวิเศษสารพัดแก้ขัดสน
ขุนแผนเรียกวันทองเข้าห้องใน เคยคุ้มขังบังตนแต่ไรมา
สีขี้ผึ้งสีปากกินหมากเวท
น้ำมันพรายน้ำมันจันทน์สรรเสกปน
แล้วทำผงอิทธิเจเข้าเจิมพักตร์ ๒๒
เสกกระแจะจวงจันทน์น้ำมันทา
คนเห็นคนทักรักทุกหน้า
* ครานั้นทองประศรีผู้มารดา เสร็จแล้วก็พาวันทองไป
เด็กเอ๋ยวิ่งตามมาไวไว ครั้นได้แจ้งกิจจาไม่นิ่งได้
พลายชุมพลกอดก้นทองประศรี ลงบันไดงันงกตกนอกชาน
ลุกขึ้นโขย่งโก้งโค้งคลาน กูมิใช่ช้างขี่ดอกลูกหลาน
ครั้นถึงยั้งอยู่ประตูวัง ซมซานโฮกฮากอ้าปากไป
ขุนแผนวันทองพระหมื่นไวย ผู้รับสั่งเร่งรุดไม่หยุดได้
เข้าไปเฝ้าองค์พระภูมี
* ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช ปิ่ นปักนัคเรศเรืองศรี
เห็นสามราเข้ามาอัญชลี พระปรานีเหมือนลูกในอุทร
ด้วยเดชะพระเวทวิเศษประสิทธิ เผอิญคิดรักใคร่พระทัยอ่อน
ตรัสถามอย่างความราษฎร ฮ้าเฮ้ยดูก่อนอีวันทอง
เมื่อมึงกลับมาแต่ป่าใหญ่ กูสิให้ไอ้แผนประสมสอง
ครั้นกูขัดใจให้จำจอง ตัวของมึงไปอยู่แห่งไร
ทำไมไม่อยู่กับอ้ายแผน แล่นไปอยู่กับอ้ายช้างใหม่
เดิมมึงรักอ้ายแผนแล่นตามไป ครั้นยกให้สิเต้นกลับเล่นตัว
อยู่กับอ้ายช้างไม่อยู่ได้ เกิดรังเกียจเกลียดใจด้วยชังหัว
ดูยักใหม่ย้ายเก่าเฝ้าเปลี่ยนตัว ตกว่าชั่วแล้วมึงไม่ไยดี
ละล้าละลังประนมก้มเกศี
* ครานั้นวันทองได้รับสั่ง ทูลคดีพระองค์ผู้ทรงธรรม์
หัวสยองพองพรั่นทันที องค์หริรักษ์ราชรังสรรค์
ขอเดชะละอองธุลีบาท ครั้งนั้นโปรดประทานขุนแผนไป
เมื่อกระหม่อมฉันมาแต่อารัญ กระหม่อมฉันมีท้องนั้นเติบใหญ่
ครั้นอยู่มาขุนแผนต้องจำจอง ขุนช้างไปบอกว่าพระโองการ
อยู่ที่เคหาหน้าวัดตะไกร
๒๓
มีรับสั่งโปรดปรานประทานให้ กระหม่อมฉันไม่ไปก็หักหาญ
ยื้อยุดฉุดคร่าทำสามานย์ เพื่อนบ้านจะช่วยก็สุดคิด
ด้วยขุนช้างอ้างว่ารับสั่งให้ ใครจะขัดขืนไว้ก็กลัวผิด
จนใจจะมิไปก็สุดฤทธิ ชีวิตอยู่ใต้พระบาทา
ฟังจบกริ้วขุนช้างเป็นหนักหนาา
* ครานั้นพระองค์ผู้ทรงภพ อ้ายบ้าเย่อหยิ่งอ้ายลิงโลน
มีพระสิงหนาทตวาดมา มึงถือใจว่าเป็นเจ้าที่โรงโขน
ตกว่ากูหาเป็นเจ้าชีวิตไม่ เที่ยวทำโจรใจคะนองจองหองครัน
เป็นไม่มีอาญาสิทธิคิดดึงโดน ชอบแต่เฆี่ยนสองหวายตลอดสัน
เลี้ยงมึงไม่ได้อ้ายใจร้าย เออเมื่อมันฉุดคร่าพามึงไป
แล้วกลับความถามข้างวันทองพลัน ครั้งนี้ทำไมมึงจึงมาได้
ก็ช้านานประมาณได้สิบแปดปี ฤๅว่าใครไปรับเอามึงมา
นี่มึงหนีมันมาฤๅว่าไร บังคมคัลประนมก้มเกศา
พระอาญาเป็นพ้นล้นเกล้าไป
* วันทองฟังถามให้คร้ามครั่น กระหม่อมฉันจึงกลับคืนมาได้
ขอเดชะพระองค์ทรงศักดา ขุนแผนก็มิได้ประเวณี
ครั้งนี้จมื่นไวยนั้นไปรับ ขุนช้างจึงหาความว่าหลบหนี
มิใช่ย้อนยอกทำนอกใจ ชีวีอยู่ใต้พระบาทา
แต่มานั้นเวลาสักสองยาม ฟังเหตุขุ่นเคืองเป็นหนักหนา
ขอพระองค์จงทรงพระปรานี ตกว่าบ้านเมืองไม่มีนาย
จึงทำตามน้ำใจเอาง่ายง่าย
* ครานั้นพระองค์ผู้ทรงเดช อันตรายไพร่เมืองก็เคืองกู
อ้ายหมื่นไวยทำใจอหังการ์ อ้ายช้างบังอาจใจทำจู่ลู่
จะปรึกษาตราสินให้ไม่ได้ ตะคอกขู่อีวันทองให้ตกใจ
ถ้าฉวยเกิดฆ่าฟันกันล้มตาย
อีวันทองกูให้ไอ้แผนไป
ฉุดมันขึ้นช้างอ้างถึงกู
๒๔
ชอบตบให้สลบลงกับที่ เฆี่ยนตีเสียให้ยับไม่นับได้
มะพร้าวห้าวยัดปากให้สาใจ อ้ายหมื่นไวยก็โทษถึงฉกรรจ์
มึงถือว่าอีวันทองเป็นแม่ตัว ไม่เกรงกลัวเว้โว้ทำโมหันธ์
ไปรับไยไม่ไปในกลางวัน อ้ายแผนพ่อนั้นก็เป็นใจ
มันเหมือนวัวเคยขาม้าเคยขี่ ถึงบอกกูว่าดีหาเชื่อไม่
อ้ายช้างมันก็ฟ้องเป็นสองนัย ว่าอ้ายไวยลักแม่ให้บิดา
เป็นราคีข้อผิดมีติดตัว หมองมัวมลทินอยู่หนักหนา
ถ้าอ้ายไวยอยากจะใคร่ได้แม่มา ชวนพ่อฟ้องหาเอาเป็นไร
อัยการศาลโรงก็มีอยู่ ฤๅว่ากูตัดสินให้ไม่ได้
ชอบทวนด้วยลวดให้ปวดไป ปรับไหมให้เท่ากับชายชู้
มันเกิดเหตุทั้งนี้ก็เพราะหญิง จึงหึงหวงช่วงชิงยุ่งยิ่งอยู่
จำจะตัดรากใหญ่ให้หล่นพรู ให้ลูกดอกดกอยู่แต่กิ่งเดียว
อีวันทองตัวมันเหมือนรากแก้ว ถ้าตัดโคนขาดแล้วก็ใบเหี่ยว
ใครจะควรสู่สมอยู่กลมเกลียว ให้เด็ดเดี่ยวรู้กันแต่วันนี้
เฮ้ยอีวันทองว่ากะไร มึงตั้งใจปลดปลงให้ตรงที่
อย่าพะวังกังขาเป็นราคี เพราะมึงมีผัวสองกูต้องแค้น
ถ้ารักใหม่ก็ไปอยู่กับอ้ายช้าง ถ้ารักเก่าเข้าข้างอ้ายขุนแผน
อย่าเวียนวนไปให้คนมันหมิ่นแคลน ถ้าแม้นมึงรักไหนให้ว่ามาา
ให้ละล้าละลังเป็นหนักหนา
* ครานั้นวันทองฟังรับสั่ง ขุนช้างแลดูตายักคิ้วลน
ครั้นจะทูลกลัวพระราชอาชญา บุ้ยปากตรงบิดาเป็นหลายหน
พระหมื่นไวยใช้ใบ้ให้แม่ว่า เป็นจนใจนิ่งอยู่ไม่ทูลไป
วันทองหมองจิตรคิดเวียนวน หาได้ยินวันทองทูลขึ้นไม่
ฤๅมึงไม่รักใครให้ว่ามา
* ครานั้นพระองค์ทรงธรณินทร์
พระตรัสความถามซักไปทันใด
๒๕
จะรักชู้ชังผัวมึงกลัวอาย จะอยู่ด้วยลูกชายก็ไม่ว่า
ตามใจกูจะให้ดังวาจา แต่นี้เบื้องหน้าขาดเด็ดไป
ให้บันดาลบังจิตรหาคิดไม่
* นางวันทองรับพระราชโองการ ด้วยสิ้นในอายุที่เกิดมา
อกุศลดลมัวให้ชั่วใจ ดังตัวตกพระสุเมรุภูผา
คิดคะนึงตะลึงตะลานอก เกรงผิดภายหน้าก็สุดคิด
ให้อุทัจอัดอั้นตันอุรา ที่จริงใจมิได้รักแต่สักหนิด
จะว่ารักขุนช้างกะไรได้ แม้นทูลผิดจะพิโรธไม่โปรดปราน
รักพ่อลูกห่วงดังดวงชีวิต ตามพระทัยท้าวจะแยกให้แตกฉาน
อย่าเลยจะทูลเป็นกลางไว้ นางก้มกรานแล้วก็ทูลไปฉับพลัน
คิดแล้วเท่านั้นมิทันนาน ด้วยร่วมยากมานักไม่เดียดฉันท์
ความรักขุนแผนก็แสนรัก สารพันอดออมถนอมใจ
สู้ลำบากบุกป่ามาด้วยกัน คำหนักหาได้ว่าให้เคืองไม่
ขุนช้างแต่อยู่ด้วยกันมา ข้าไทใช้สอยเหมือนของตัวว
เงินทองกองไว้มิให้ใคร ก็หยิบยกรักเท่ากันกับผัว
จมื่นไวยเล่าก็เลือดที่ในอก ความกลัวพระอาญาเป็นพ้นไป
ทูลพลางตัวนางระเริ่มรัว ฟังจบแค้นคั่งดังเพลิงไหม้
* ครานั้นพระองค์ผู้ทรงภพ ดูดู๋เป็นได้อีวันทอง
เหมือนดินประสิวปลิวติดกับเปลวไฟ น้ำใจจะประดังเข้าทั้งสอง
จะว่ารักข้างไหนไม่ว่าได้ ยิ่งกว่าท้องทะเลอันล้ำลึก
ออกนั่นเข้านี่มีสำรอง จะทอดถมเท่าไรไม่รู้สึก
จอกแหนแพเสาสำเภาใหญ่ น้ำลึกเหลือจะหยั่งกระทั่งดิน
เหมือนมหาสมุทรสุดซึ้งซึก ก็จ่อมจมสูญหายไปหมดสิ้น
อิฐผาหาหาบมาทุ่มถม ดังเพชรนิลเกิดขึ้นในอาจม
อีแสนถ่อยจัญไรใจทมิฬ
๒๖
รูปงามนามเพราะน้อยไปฤๅ ใจไม่ซื่อสมศักดิเท่าเส้นผม
แต่ใจสัตว์มันยังมีที่นิยม สมาคมก็แต่ถึงฤดูมัน
มึงนี่ถ่อยยิ่งกว่าถ่อยอีท้ายเมือง จะเอาเรื่องไม่ได้สักสิ่งสรรพ์
ละโมบมากตัณหาตาเป็นมัน สักร้อยพันให้มึงไม่ถึงใจ
ว่าหญิงชั่วผัวยังคราวละคนเดียว หาตามตอมกันเกรียวเหมือนมึงไม่
หนักแผ่นดินกูจะอยู่ไย อ้ายไวยมึงอย่านับว่ามารดา
กูเลี้ยงมึงถึงให้เป็นหัวหมื่น คนอื่นรู้ว่าแม่ก็ขายหน้า
อ้ายขุนช้างขุนแผนทั้งสองรา กูจะหาเมียให้อย่าอาลัย
หญิงกาลกิณีอีแพศยา มันไม่น่าเชยชิดพิสมัย
ที่รูปรวยสวยสมมีถมไป มึงตัดใจเสียเถิดอีคนนี้
เร่งเร็วเหวยพระยายมราช ไปฟันฟาดเสียให้มันเป็นผี
อกเอาขวานผ่าอย่าปรานี อย่าให้มีโลหิตติดดินกู
เอาใบตองรองไว้ให้หมากิน ตกดินจะอัปรีย์กาลีอยู่
ฟันให้หญิงชายทั้งหลายดู สั่งเสร็จเสด็จสู่ปราสาทชัย
๒๗
คุณค่าวรรณคดี
คุณค่าด้านเนื้อหา
๑.๑ รูปแบบ
เป็นร้อยกรองประเภทกลอนเสภา ผู้แต่งเลือกใช้คำประพันธ์ได้เหมาะสม ที่ไพเราะ
จากถ้อยคำธรรมดา และเรียบเรียงให้เป็นระเบียบตามข้อบังคับของฉันทลักษณ์ แต่
อาจมีบางช่วงบางวรรคที่จำนวนคำไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับเนื้อความ กระบวนกลอนและ
จังหวะ ซึ่งกลอนเสภาบทนี้เหมาะกับการเล่าเรื่อง หรือการขับเสภา
๑.๒ องค์ประกอบของเรื่อง
๑.๒.๑ สาระ ขุนช้างขุนแผนเป็นเรื่องชีวิตรักสามเส้าของหนุ่มสาวสองรุ่น รุ่นพ่อและรุ่น
ลูก และแสดงวิถีชีวิตของลูกผู้ชายไทยในอดีต ตั้งแต่เด็กจนโต ให้ความรู้สึกนึกคิดและ
ชีวิตจิตใจเหมือนคนจริงๆ มีดีมีชั่ว มีถูกมีผิด เฉกเช่นปุถุชนทั้งหลาย ทำให้เข้าใจชีวิตใน
หลากหลายแง่มุม เมื่อเข้าใจตัวละครก็จะย้อนเป็นบทเรียนให้เข้าใจชีวิตตัวเอง
๑.๒.๒ โครงเรื่อง เรื่องขุนช้างขุนแผน แสดงให้เห็นถึงความรักของชายสองหญิงหนึ่ง
ชายคนหนึ่งเป็นคนรูปงาม มีวิชาอาคม แต่เจ้าชู้ ชายที่สองเป็นคนหน้าตาอัปลักษณ์ มี
ฐานะร่ำรวย ชายทั้งสองแข่งเเย่งชิงผู้หญิงคนเดียวกัน ปมปัญหาคือผู้หญิงคนนี้จะตก
เป็นของชายใด ต่อมาในตอน ขุนช้างถวายฎีกา เมื่อพระไวยชนะศึกกลับมา จึงไปรับนาง
วันทองมาอยู่ด้วย พอขุนช้างรู้ว่าพระไวยมาพาตัวนางวันทองไปก็โกรธมากจึงเขียนฎีกา
เพื่อนำไป ถวายสมเด็จพระพันวษา เพื่อให้พระพันวษาได้ตัดสินเรื่องนี้
๒๘
๑.๒.๓ วิเคราะห์ตัวละคร
๑. ขุนแผน หรือ พลายแแก้ว
ลักษณะนิสัย เจ้าชู้และมีคารมคมคาย แบบนี้ดูได้จากความความว่า
ตัวอย่าง ลาวทองกับแก้วกิริยา ปรนนิบัติวัตถาไม่ห่างข้าง
เพลิดเพลินจำเริญใจไม่เว้นวาง คืนนั้นในกลางซึ่งราตรี
ถอดความได้ว่า ขุนแผนมีความสุขที่มีนางลาวทองและนางแก้วกิริยา คอยดูแลอยู่
ข้างกายไม่เคยห่าง
ลักษณะนิสัย นุ่มนวล อ่อนโยน
ตัวอย่าง โอ้เจ้าแก้วแววตาของพี่เอ๋ย เจ้าหลับใหลกระไรเลยเป็นหนักหนา
ดังนิ่มน้องหมองใจไม่นำพา ฤๅขัดเคืองคิดว่าพี่ทอดทิ้ง’
ถอดความได้ว่า ขุนแผนง้อนางวันทองด้วยคำพูดที่อ่อนหวานและขอโทษนางวัน
ทอง จะนอนไม่สนใจกันเลยหรอ นางวันทองน้อยใจคิดว่าขุนแผนจะทอดทิ้งนาง
๒๙
๒. ขุนช้าง
ลักษณะนิสัย รักเดียวใจเดียว ถึงมีฐานะร่ำรวยก็ไม่เคยมีหญิงอื่น เลี้ยงดูนางวันทอง
อย่างดี
ตัวอย่าง ขุนช้างแต่อยู่ด้วยกันมา คำหนักหาได้ว่าให้เคืองไม่
เงินทองกองไว้มิให้ใคร ข้าไทใช้สอยเหมือนของตน
ถอดความได้ว่า ตั้งแต่อยู่ับขุนช้าง ไม่เคยมีเรื่องให้ขุ่นเคืองใจ เงินทองมีใช้ไม่เคย
ขาด ( คำพูดจานางวันทอง )
๓๐
๓. นางพิมพิลาไลย หรือ นางวันทอง
ลักษณะนิสัย สองใจ ไม่เลือกเด็ดขาดว่าจะอยู่กับใคร จนถูกประหารเพราะนาง
ทำตัวเอง
ตัวอย่าง จะว่ารักข้างไหนไม่ว่าได้ น้ำใจจะประดังเข้าทั้งสอง
ออกนั่นเข้านี่มีสำรอง ยิ่งกว่าท้องทะเลอันล้ำลึก
ถอดความได้ว่า นางวันทองเลือกไม่ได้ว่าจะอยู่กับใคร จนพระพันวษาด่าว่าจะเก็บ
ไว้ทั้งสอง ยิ่งกว่าความลึกของท้องทะเลเกินจะคาดคะเนได้
๓๑
๔. จมื่นไวยวรนาถ หรือ พระไวย หรือ พลายงาม
ลักษณะนิสัย กล้าหาญ มีความสามารถด้านการรบเหมือนพ่อ
ตัวอย่าง กล่าวถึงโฉมเจ้าพลายงาม เมื่อเป็นความชนะขุนช้างนั่น
กลับมาอยู่บ้านสำราญครัน เกษมสันต์สองสมภิรมย์ยวน
ถอดความได้ว่า หลังจากที่ชนะขุนช้าง จึงกลับมาอยู่บ้านอย่างสุขสบาย
๓๒
๑.๒.๔ ฉากและบรรยากาศ
ฉากขุนช้างมาขอถวายฏีกาในน้ำ
จะกล่าวถึงพระองค์ผู้ทรงเดช เสด็จคืนนิเวศน์พอจวนค่ำ
ฝีพายรายเล่มมาเต็มลำ เรือประจำแหนแห่เซ็งแช่มา
พอเรือพระที่นั่งประทับที่ ขุนช้างก็รี่ลงตีนท่า
ลอยคอชูหนังสือดื้อเข้ามา ผุดโผล่โงหน้ายึดแคมเรือ
เข้าตรงบโทนอ้นต้นกัญญา เพื่อนโขกลงด้วยกะลาว่าผีเสื้อ
มหาดเล็กอยู่งานพัดพลัดตกเรือ ร้องว่าเสือตัวใหญ่ว่ายน้ำมา
ถอดความได้ว่า พระพันวษาเสด็จกลับตอนใกล้ค่ำ ขุนช้างรีบลงจากท่าแล้ว
ลอยคอชูยื่นหนังสือฎีกาถวาย โดยโผล่มาทางที่แคมเรือจนคนบนเรือตกใจนึกว่า
เป็นผีน้ำหรือเสือว่ายมา ทำให้เกิดความวุ่นวาย จนมหาดเล็กพลัดตกจากเรือ แล้ว
ร้องว่าเสือตัวใหญ่ว่ายน้ำมา
๓๓
ขุนช้างดึงดื้อมือยึดเรือ มิใช่เสือกระหม่อมฉานล้านเกศา
สู้ตายของถวายซึ่งฎีกา แค้นเหลือปัญญาจะทนทาน
ครานั้นสมเด็จพระพันวษา ทรงพระโกรธาโกลาหล
ทุดอ้ายจัญไรมิใช่คน บนบกบนฝั่ งดังไม่มี
ใช่ที่ใช่ทางวางเข้ามา ฤๅอ้ายช้างเป็นบ้ากระมังนี่
เฮ้ยใครรับฟ้องของมันที ตีเสียสามสิบจึงปล่อยไป
ถอดความได้ว่า ขุนช้างเอามือไปยึดเรือ แล้วพูดว่าเป็นตัวเองไม่ใช่เสือจะมาขอ
ถวายฎีกา พระพันวษาโกรธว่าขุนช้างไม่ใช่คนบนฝั่ งก็มีไม่ไป กลับลุยน้ำมาหาหรือ
ว่าขุนช้างเป็นบ้าถึงทำแบบนี้ จึงสั่งให้มหาดเล็กไปรับฎีกาแล้วโบยขุนช้าง ๓๐ ที
ถึงปล่อยกลับ
๑.๒.๕ กลวิธีในการแต่ง กลวิธีสำคัญที่ช่วยทำให้เรื่องขุนช้างขุนแผนมีความน่าสนใจ
และเกิดความสมจริง คือการลำดับเหตุการณ์ในเรื่อง โดยกวีเปิดเรื่องด้วย บทไหว้ครู จึง
บรรยายและพรรณนาเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ สภาพบ้านเมือง แล้วกล่าวถึงการ
กำเนิดตัวละครหลัก คือ ขุนช้าง ขุนแผน นางพิม ซึ่งในส่วนนี้กวีได้กล่าวไว้ในเรื่อง
๓๔
คุณค่าด้านวรรณศิลป์
โวหาร
๑. บรรยายโวหาร
ได้ยินเสียงฆ้องย่ำประจำวัง ลอยลมล่องดังถึงเคหา
คะเนนับย่ำยามได้สามครา ดูเวลาปลอดห่วงทักทิน
ฟ้าขาวดาวเด่นดวงสว่าง จันทร์กระจ่างทรงกลดหมดเมฆสิ้น
จึงเซ่นเหล้าข้าวปลาให้พรายกิน เสกขมิ้นว่านยาเข้าทาตัว
ลงยันต์ราชะเอาปะอก หยิบยกมงคลขึ้นใส่หัว
เป่ามนตร์เบื้องบนชอุ่มมัว พรายยั่วยวนใจให้ไคลคลา
จับดาบเคยปราบณรงค์รบ เสร็จครบบริกรรมพระคาถา
ลงจากเรือนไปมิได้ช้า รีบมาถึงบ้านขุนช้างพลัน
อธิบายได้ว่า จากตัวบทข้างต้นเป็นการแสดงให้เห็นการบรรยายในตอนที่พลาย
งามกำลังจะปลดปล่อยความชั่วร้าย โดยการนำเหล้า อาหารไปเซ่นให้ผีพราย เอา
ขมิ้นมาทาตัว ลงยันต์ที่อก เอาสิ่งมงคลมาใส่หัว เป่ามนตร์คาถาเพื่อให้ผีพรายหลง
มนตร์ หยิบดาบที่เคยรบมาร่ายมนตร์เสกคาถา และลงจากเรือนรีบไปบ้านขุนช้าง
ข้อความที่ปรากฏสื่อความได้ตรงไปตรงมา สามารถสื่อความได้อย่างครบถ้วน
๒. พรรณนาโวหาร
ดุเหว่าเร้าเสียงสำเนียงก้อง ระฆังฆ้องขานแข่งในวังหลวง
วันทองน้องนอนสนิทรวง จิตง่วงระงับสู่ภวังค์
ฝันว่าพลัดไปในไพรเถื่อน เลื่อนเปื้ อนไม่รู้ที่จะกลับหลัง
ลดเลี้ยวเที่ยวหลงในดงรัง ยังมีพยัคฆ์ร้ายมาราวี
ทั้งสองมองหมอบอยู่ริมทาง พอนางดั้นป่ามาถึงที่
โดดตะครุบคาบคั้นในทันที แล้วฉุดคร่าพารี่ไปในไพร
อธิบายได้ว่า จากตัวบทข้างต้นเป็นการแสดงให้เห็นการ พรรณนา ที่นางพิมเล่า
ความฝันให้ขุนแผนฟังตั้งแต่ต้นจนจบ อย่างเด่นชัด โดยเป็นการมุ่งให้แจ่มแจ้ง มุ่ง
ให้คิดภาพและมีอารมณ์ความรู้สึกตาม เต็มไปด้วยสำนวนที่ไพเราะ
๓๕
๓. เทศนาโวหาร
เมื่อติดคุกทุกข์ถึงเจ้าทุกเช้าค่ำ ต้องกลืนกกล้ำโศกเศร้านั้นเหลือแสน
ซ้ำขุนช้างคิดคดทำทดแทน มันดูแคลนว่าพี่นี้ยากยับ
อาลัยเจ้าเท่ากับดวงชีวิตพี่ คิดจะหนีไปตามเอาเจ้ากลับ
เกรงจะพากันผิดเข้าติดทับ แต่ขยับอยู่จนได้ไปเชียงอินทร์
กลับมาหมายว่าจะไปตาม พอเจ้าไวยเป็นความก็ค้างสิ้น
อธิบายได้ว่า มีจุดหมายแสดงความแจ่มแจ้ง มุ่งชักจูงเพื่อให้ผู้อ่านคล้อยตามหาก
เป็นการแสดงความคิดเห็นควรอธิบายทั้งด้านที่เป็นประโยชน์และโทษ หรือแสดง
เหตุและผล ทั้งนี้เพื่อให้ใจความชัดเจนแจ่มแจ้ง จากบทข้างต้น ขุนแผนกล่าว
ขอโทษนางวันทอง และเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังเพื่อปรับความเข้าใจ
๔. อุปมาโวหาร
จะว่ารักข้างไหนไม่ว่าได้ น้ำใจจะประดังเข้าทั้งสอง
ออกนั่นเข้านี่มีสำรอง ยิ่งกว่าท้องทะเลอันล้ำลึก
จอกแหนแพเสาสำเภาใหญ่ จะทอดถมเท่าไรไม่รู้สึก
เหมือนมหาสมุทรสุดซึ้งซึก น้ำลึกเหลือจะหยั่งกระทั่งดิน
อธิบายได้ว่า จากตัวบทข้างต้นเป็นการยกตัวอย่างสิ่งที่คล้ายคลึงกันมาเปรียบ
เพื่อให้เกิดความชัดเจนด้านความหมาย ด้านภาพ และเกิดอารมณ์ความรู้สึกมาก
ยิ่งขึ้น โดยพระพันวษาได้ด่านางวันทองว่าเลือกรักข้างไหนไม่ได้ จะเอาไว้สำรอง
ทั้งสอง ยิ่งว่าความลึกของทะเลทอดสมอที่ลึกเกินจะคาดคะเนได้
๓๖
รสวรรณคดี
๑. เสาวรจนี เป็นการชมความงาม ชมโฉม ชมเมือง ชมธรรมชาติ พร่ำพรรณนา
และบรรยายถึงความงามแห่งนาง
ตัวอย่างที่ ๑ วันนั้นพอปิ่ นนรินทร์ราช เสด็จประพาสบัวยังหากลับไม่
ขุนช้างมาถึงซึ้งวังใน ก็คอยจ้องที่ใต้ตำหนักน้ำ
ถอดความได้ว่า วันนั้นพระพันวษาเสด็จประพาสบัวยังไม่กลับ เมื่อขุนช้างมาถึง
จึงมาคอยรอในน้ำ ( แสดงให้เห็นว่าพระพันวษาเสด็จประพาสไปชมท้องทุ่งในฤดู
น้ำหลากที่มีน้ำเต็มเปี่ ยมมีดอกบัวและพันธุ์ไม้ น้ำที่งดงาม )
๒. นารีปราโมทย์ การทำให้นารีปลื้ม ท่วงทำนอง ฝากรักและแสดงความรักต่อ
นางอันเป็นที่ต้องใจ บทโอ้โลม เกี้ยวพาราสี การแสดงความรัก รวมถึงบทสังวาส
ตัวอย่างที่ ๑ ว่าพลางเอนแอบลงแนบข้าง จูบพลางชวนชิดพิสมัย
ลูบไล้พิไรปลอบให้ชอบใจ เป็นไรจึงไม่ฟื้ นตื่นนิทรา
ถอดความได้ว่า ขุนแผนนอนลงแนบข้างนางวันทอง พลางจูบ ลูบแขน แสดง
ความรักความหลงใหล และถามนางวันทองว่าทำไมไม่ตื่นมาคุยกับพี่
ตัวอย่างที่ ๒ ความรักหนักหน่วงทรวงสวาท พี่ไม่คลาดคลายรักแต่สิ่งใด
เผอิญเป็นวิปริตที่ผิดจริง จะนอนนิ่งถือโทษโกรธอยู่ใย
ถอดความได้ว่า ขุนแผนง้อนางวันทองด้วยคำหวานและขอโทษว่า พี่ไม่เคยคลาย
รักจากน้อง อย่าโกรธพี่เลย จะนอนนิ่งๆไม่คุยกับพี่หรอ
๓๗
๓. พิโรธวาทัง การที่แสดงความโกรธแค้น ผ่านการใช้คำตัดพ้อ น้อยเนื้อต่ำใจ ผิด
หวัง แค้นคับอับจิต และความโกรธกริ้ว
ตัวอย่างที่ ๑ ครานั้นพระองค์ผู้ทรงภพ ฟังจบกริ้วขุนช้างเป็นหนักหนา
มีพระสิงหนาทตวาดมา อ้ายบ้าเย่อหยิ่งอ้ายลิงโลน
ตัวอย่างที่ ๒ ตกหาว่ากูเป็นเจ้าชีวิตหรือไม่ มึงถือใจว่าเป็นเจ้าที่โรงโขน
เป็นไม่มีอาชญาสิทธิ์คิดถึงโดน เที่ยวทำโจรใจคะนองจองหองครัน
ถอดความได้ว่า เมื่อพระพันวษาได้ฟังจบ ก็โกรธขุนช้างเป็นอย่างมาก ตวาดเสียง
ดังลั่น ว่าขุนช้างนั้นบ้า จองหองเกินฐานะ ถ้าพระองค์ไม่ใช่กษัตริย์ ขุนช้างคงไม่
เห็นหัว ถือตัวเองว่าเป็นใหญ่ไม่มีใครขัดอำนาจได้
๔. สัลลปังคพิสัย
ตัวอย่างที่ ๑ ครานั้นจึงโฉมเจ้าวันทอง เศร้าหมองด้วยลูกเป็นหนักหนา
พ่อพลายงามทรามสวาทดิของแม่อา แม่โศกาเกือบเจียนจะบรรลัย
ถอดความได้ว่า เมื่อนั้นสีหน้านางวันทองเศร้าหมองเพราะคิดถึงลูกมาก และได้
พูดว่า พ่อพลายงามลูกรักของแม่ แม่โศกเศร้าใจจะตาย
ตัวอย่างที่ ๒ วันทองประคองสอดกอดลูกรัก ซบพักตร์ร้องให้ไม่เงยหน้า
เจ้ามาใยป่านนี้นี่ลูกอา เขารักษาอยู่ทุกแห่งตำแหน่งใน
ถอดความได้ว่า พลายงามรีบกอดแม่แล้วซบหน้าร้องให้ นางวันทองถามว่าทำไม
ลูกถึงมาเวลานี้ ผ่านมาได้อย่างไรข้าทาสเฝ้าอยู่ทุกหนแห่งในเรือน
๓๘
รสทางวรรณคดีสันสกฤต
๑. ศฤงคารส ( รสแห่งความรัก ) การกล่าวพรรณนาเกิดความรัก ระหว่างหนุ่ม
สาว สามีภรรยา ผู้ใหญ่กับเด็ก หรือบิดามารดากับบุตร ฯลฯ
ตัวอย่างที่ ๑ ที่จริงใจถึงไปอยู่เรือนอื่น คงคิดคืนที่หม่อมเป็นแม่นมั่น
ด้วยรักลูกกรักผัวยังพัวพัน คราวนั้นก็ไปอยู่เพราะจำใจ
ถอดความได้ว่า ถึงตัวจะอยู่ที่เรือนของขุนช้าง แต่ในใจของนางวันทองยังรักและ
คิดถึงพลายงามกับขุนแผนมาก แต่ที่ยังอยู่กับขุนช้างเพราะต้องจำใจอยู่
ตัวอย่างที่ ๒ จมื่นไวยสารภาพกราบบาทา ลูกมาผิดจริงหาเถียงไม่
รักตัวกลัวผิดแต่คิดไป ก็หักใจเพราะรักแม่วันทอง
ถอดความได้ว่า พลายงามกราบเท้าแม่แล้วพูดว่า ลูกทำผิดจริงจะไม่เถียงผิดที่
คิดไป แต่ก็จำใจเพราะรักแม่วันทอง
๒. หาสยรส ( รสแห่งความขบขัน ) เป็นการพรรณนาที่ทำให้เกิดความร่าเริง
สดชื่น เสนาะ ขบขัน อาจทำให้ผู้อ่านยิ้ม และถึงกับลืมทุกข์ดับกลุ้มไปชั่วขณะ
ตัวอย่างที่ ๑ เข้าตรงบโทนอันต้นกัญญา เพื่อนโขกลงด้วยกะลาว่าผีเสื้อ
มหาดเล็กอยู่งานพัดพลัดตกเรือ ร้องว่าเสือตัวใหญ่ว่ายน้ำมา
ถอดความได้ว่า ขุนช้างเข้ามาตรงที่ฝีพายต่างตกใจคิดว่าผีพรายน้ำ จนมหาดเล็ก
ที่อยู่งานพัดพลัดตกจากเรือ แล้วตะโกนว่าเสือตัวใหญ่ว่ายน้ำมา
ตัวอย่างที่ ๒ ขุนช้างเห็นข้าไม่มาใกล้ ขัดใจลุกขึ้นทั้งแก้ผ้า
แหงนเถ่อเป้อปังยืนจังกา ย่างเท้าก้าวมาไม่รู้ตัว
ถอดความได้ว่า ขุนช้างเห็นข้าทาสบริวารไม่มาใกล้ตน จึงรู้สึกขัดใจลุกขึ้นยืนถ่าง
ขาค้างขณะที่ยังแก้ผ้า แล้วก้าวเท้าออกไปโดยไม่รู้ตัว
๓๙
๓. กรุณารส ( รสแห่งความเมตตากรุณาที่เกิดภายหลังความโศกเศร้า )
พรรณนาให้เกิดความเห็นใจถึงกับน้ำตาไหล พลอยเป็นทุกข์
ตัวอย่างที่ ๑ ใช่จะอิ่มเอิบอาบด้วยเงินทอง มิใช่ของตัวทำมาแต่ไหน
ทั้งผู้คนช้างม้าแลข้าไท ไม่รักใคร่เหมือนกับพ่อพลายงาม
ตัวอย่างที่ ๒ ทุกวันนี้ใช่แม่จะผาสุก มีแต่ทุกข์เจ็บดังเหน็บหนาม
ต้องจำจนทนกรรมที่ติดตาม จะขืนความคิดไปก็ใช่ที
ถอดความได้ว่า เงินทองข้าทาสบริวาร หรือจะช้างม้า ก็ไม่มีอะไรสำคัญเท่าลูก
พลายงาม ทุกวันนี้แม่ไม่ได้มีความสุข มีแต่ทุกข์ แต่ต้องจำใจอยู่ ทำตามใจตัวเอง
ไม่ได้
๔. รุทรรส/เราทรรส ( รสแห่งความโกรธเคือง ) พรรณนาให้ขัดใจ ฉุนเฉียว
ขัดเคืองบุคคลบางคน บางทีถึงกับขว้างปาของ
ตัวอย่างที่ ๑ ครานั้นขุนช้างฟังบ่าวบอก เหงื่อออกโซมล้านกระบาลใส
คิดคิดให้แค้นแสนเจ็บใจ ช่างทำได้ต่างต่างทุกอย่างจริง
ถอดความได้ว่า ขุนช้างได้ฟังที่คนใช้บอก เหงื่อก็ออกเต็มหัวล้าน คิดแล้วรู้สึก
เจ็บใจ พอได้โอกาสนางวันทองก็คิดหาวิธีหนีได้ต่างๆเสียจริง
ตัวอย่างที่ ๒ ขุนช้างนั่งเยี่ยมหน้าต่างเรือน ดูหน้าเฝื่ อนทีโกรธอยู่งุ่นง่าน
จะดื้อเดินเข้าไปไม่เป็นการ คิดแล้วลงคลานเข้าประตู
ถอดความได้ว่า ขุนช้างนั่งอยู่ตรงหน้าต่างเรือน ดูท่าจะกำลังโกรธกระวนดระ
วายอยู่ จะเดินเข้าไปเลยจะไม่ดี ลงคลานเข้าทางประตูดีกว่า
๔๐
๕. วีรรส ( รสแห่งความกล้าหาญ ) การกล่าวบรรยายหรือพรรณนาให้เกิด
ความฮึกเหิม พึงพอใจในผลงานและหน้าที่ของตัวเอง
ตัวอย่างที่ ๑ จับดาบเคยปราบณรงค์รบ เสร็จครบบริกรรมพระคาถา
ลงจากเรือนไปมิได้ช้า รีบมาถึงบ้านขุนช้างพลัน
ถอดความได้ว่า พลายงามหยิบดาบที่เคยใช้ในการสู้รบ มาร่ายมนต์เสกคาถา
และรีบออกจากเรือนตัวเอง เพื่อไปเรือนของขุนช้าง
ตัวอย่างที่ ๒ จะกล่าวถึงโฉมเจ้าพลายงาม เมื่อเป็นความชนะขุนช้างนั่น
กลับมาอยู่บ้านสำราญครัน เกษมสันต์สองสมภิรมย์ยวน
ถอดความได้ว่า พลายงามได้ชนะความขุนช้าง ก็ได้กลับมาอยู่ที่บ้านอย่างสุข
สบาย
๖. ภยานกรส ( รสแห่งความกลัว ตื่นเต้นตกใจ ) การใจกล่าวบรรยายหรือ
พรรณนาให้มองเห็นทุกข์ เห็นโทษ ให้ภัยในบาปกรรมทุจริต เกิดความสะดุ้ง ภูตผี
ปีศาจ บางครั้งต้องหยุดอ่าน รูสึกขนซู่
ตัวอย่างที่ ๑ ทั้งสองมองหมอบอยู่ริมทาง พอนางดั้นป่ามาถึงที่
โดดตะครุบคาบคั้นในทันที แล้วฉุดคร่าพารี่ไปในไพร
ตัวอย่างที่ ๒ สิ้นฝันครั้นตื่นตกประหม่า หวีดผวากอดผัวสะอื้นไห้
เล่าความบอกผัวด้วยกลัวภัย ประหลาดใจน้องฝันพรั่นอุรา
ถอดความได้ว่า ไปเห็นเสือทั้งสองหมอบอยู่ริมทาง พอนางฝ่าป่ามาก็โดนตะครุบ
ในทันที แล้วโดนฉุดร่างคาบเข้าไปในป่า นางวันทองสะดุ้งตื่นจากฝัน ร้องให้ตกใจ
โผลเข้ากอดขุนแผน แล้วเล่าความฝันให้ฟังด้วยความกลัว
๔๑
๗. พีภัตสรส ( รสแห่งความชัง ความรังเกียจ ) การกล่าวบรรยายหรือพรรณนา
ชังน้ำหน้า การกระทำของตัวละครนั้นๆ
ตัวอย่างที่ ๑ อย่าเลยจะรับแม่กลับมา ให้อยู่ด้วยบิดาเกษมศรี
พรากให้พ้นคนอุบาทว์ชาติอัปรีย์ ยิ่งคิดก็ยิ่งมีความโกรธา
ถอดความได้ว่า พลายงามรู้สึกแค้นขุนช้างมาก จะต้องหาทางแก้แค้นขุนช้างให้
ได้ อยากให้คนเลวทรามอย่างขุนช้างตายๆไป
ตัวอย่างที่ ๒ ครานั้นขุนช้างได้ฟังว่า แค้นดังเลือดตาจะหลั่งไหล
ดับโมโหโกรธาทำว่าไป เราก็ไม่ว่าไรสุดแต่ดี
ถอดความได้ว่า พอขุนช้างได้ฟังก็รู้สึกแค้นเหมือนเลือดตาจะหลั่งไหล แต่แกล้ง
พูดไปว่าการเจ็บไข้เป็นเรื่องปกติ
๘. อัพภูตรส ( รสแห่งพิศวง ประหลาดใจ ) บรรยายหรือพรรณนาที่ทำให้นึก
แปลกใจ เอะใจ อย่างหนัก ตื่นเต้น นึกไม่ถึงว่าเป็นไปได้
ตัวอย่างที่ ๑ เห็นประตูรั้วบ้านบานเปิดกว้าง ผู้คนนอนสล้างไม่ตื่นสิ้น
เสาแรกแตกต้นเป็นมลทิน กินใจกลับมาหาขุนช้าง
ถอดความได้ว่า เห็นประตูรั้วบ้านเปิดกว้าง ข้าทาสนอนกันเกลื่อนแต่ไม่ตื่นเลย
เห็นเสาแรกแตกต้น ซึ่งดูแปลกประหลาด
๔๒
โวหารภาพพพจน์
อุปมา คือ การเปรียบเทียบสิ่งหนึ่งเหมือนกับสิ่งหนึ่งโดยใช้คำเชื่อมที่มีความ
หมายเช่นเดียวกับ
ตัวอย่าง มาอยู่ไยกับอ้ายหินชาติ แสนอุบาทว์ใจจิตริษยา
ดังทองคำเลี่ยมปากกะลา หน้าตาเหมือนมินหม้อ
• คำที่ต้องการเปรียบ = หน้าตา
• คำเชื่อม = เหมือน
• คำที่นำมาเปรียบ = มินหม้อ
อุปลักษณ์ คือ การเปรียบเทียบสิ่งหนึ่งเหมือนกับสิ่งหนึ่งโดยใช้คำเชื่อมที่มีความ
หมายเช่นเดียวกับ
อุปลักษณ์ คือภาพพจน์ที่ใช้ในการเปรียบเทียบสิ่งหนึ่งเป็น อีกสิ่งหนึ่ง โดยมีคำว่า
เป็น หรือ คือ
ตัวอย่าง เจ้าพลายงามตามรับเอากลับมา ทีนี้หน้าจะดำเป็นน้ำหมึก
กำเริบใจด้วยเจ้าไวยกำลังฮึก จะพาแม่ตกลึกให้จำตาย
> หน้าจะดำเป็นน้ำหมึก
อติพจน์ คือ การเปรียบเทียบโดยการกล่าวข้อความที่เกินจริง
ตัวอย่าง ข้าไทได้ฟังขุนช้างใช้ ต่างเที่ยวค้นด้นไปจะเอาหน้า
ทั้งห้องนอกห้องในไม่พบพา ทั่วเคหาแล้วไปค้นจนแผ่นดิน
> ทั่วเคหาแล้วไปค้นจนแผ่นดิน
๔๓
อวพจน์ คือ การกล่าวเปรียบเทียบน้อยกว่าความเป็นจริง
ตัวอย่าง รูปงามนามเพราะน้อยไปหรือ ใจไม่ซื่อสมศักดิ์เท่าเส้นผม
แต่ใจสัตว์มันยังมีที่นิยม สมาคมก็แต่ถึงฤดูมัน
> ใจไม่ซื่อสมศักดิ์เท่าเส้นผม
บุคคลาธิษฐาน หรือ บุคคลวัต คือ การสมุมติสิ่งต่างๆ ให้มีกิริยาอาการ ความ
รู้สึกเหนือมนุษย์
ตัวอย่าง ดุเหว่าเร้าเสียงสำเนียงก้อง ระฆังฆ้องขานแข่งในวังหลวง
วันทองน้องนอนสนิทรวง จิตง่วงระงับสู่ภวังค์
> ระฆังฆ้องขานแข่งในวังหลวง
ไวพจน์ คือ คำที่เขียนต่างกันแต่มีความหมายเหมือน หรือใกล้เคียงกัน
ตัวอย่างที่ ๑ สะเดาะดาลบานเปิดหน้าต่างกาง ย่างเท้าก้าวขึ้นร้านดอกไม้
หอมหวนอวลอบบุปผชาติ เบิกบานก้านกลาดกิ่งไสว
ตัวอย่างที่ ๒ นางแก้วลาวทองทั้งสองหลับ ขุนแผนกลับผวาตื่นฟื้ นจากที่
พระจันทรจรแจ่มกระจ่างดี พระพายพัดมาลีตรลบไป
> ดอกไม้ = บุบผชาติ มาลี
สมญานาม คือ การตั้งชื่อใหม่ที่เหมาะสมกับลักษณะของสิ่งที่ต้องการสื่อ การ
เลือกสรรคำหรือกลุ่มคำที่เหมาะสมเพื่อนาสิ่งที่ต้องการสื่อ การตั้งสมญานามมัก
จะเป็นการสื่อคำที่รับรู้กันเฉพาะคนในกลุ่ม
> พระพันวษา แทน พระเจ้าแผ่นดิน
๔๔
ฆานพจน์ คือ การใช้คำทำให้ได้กลิ่น
ตัวอย่างที่ ๑ สะเดาะดาลบานเปิดหน้าต่างกาง ย่างเท้าก้าวขึ้นร้านดอกไม้
หอมหวนอวลอบบุปผชาติ เบิกบานก้านกลาดกิ่งไสว
> หอมหวน อบอวล
ตัวอย่างที่ ๒ นางแก้วลาวทองทั้งสองหลับ ขุนแผนกลับผวาตื่นฟื้ นจากที่
พระจันทรจรแจ่มกระจ่างดี พระพายพัดมาลีตรลบไป
> ตรลบ
การเล่นเสียงสัมผัส มีการเล่นเสียงสัมผัสสระและสัมผัสพยัญชนะ
ตัวอย่างที่ ๑ ครานั้นจึงโฉมเจ้าพลายงาม ฟังความเห็นว่าแม่หาไปไม่
คิดบ่ายเบี่ยงเลี่ยงเลี้ยวเบี้ยวบิดไป เพราะรักอ้ายขุนช้างกว่าบิดา
> เบี่ยงเลี่ยงเลี้ยวเบี้ยว = เป็นการเล่นเสียงสัมผัสสระ เอีย
ตัวอย่างที่ ๒ อัดอึดฮึดฮัดด้วยขัดใจ เมื่อไรตะวันจะลับหล้า
เข้าห้องหวนละห้อยคอยเวลา จวนสุริยาเลี้ยวลับเมรุไกร
> อัดอึดฮึดฮัดด้วยขัดใจ = เป็นการเล่นเสียงสัมผัสพยัญชนะ อ,ฮ
การเล่นคำ การใช้คำเดียวกัน วางไปทั่วคำประพันธ์หลายจุด อย่างไม่ละเอียด
และความหมายไม่เหมือนกัน
ตัวอย่างที่ ๑ มึงถือว่าอีวันทองเป็นแม่ตัว ไม่เกรงกลัวเว้โว้ทำโมหันธ์
ไปรับไยไม่ไปในกลางวัน อ้ายแผนพ่อนั้นก็เป็นใจ
> ไม่เกรงกลัว = อาการการไม่หวากกลัวสิ่งต่างๆ เหล่านั้น
> ไม่ไป = เป็นประโยคการปฏิเสธ
๔๕
จินตภาพ ภาพที่เกิดในจินตนาการ โดยสังเกตจากคำที่ผู้ประพันะ์นำมาใช้ในบท
สังเกตจากคำกริยา และคำวิเศษณ์ ๓ ลักษณะ ได้แก่
๑. จินตภาพด้านภาพ
ตัวอย่าง ได้ยินเสียงฆ้องย่ำประจำวัง ลอยลมล่องดังถึงเคหา
คะเนนับย่ำยามได้สามครา ดูเวลาปลอดห่วงทักทิน
ฟ้าขาวดาวเด่นดวงสว่าง จันทร์กระจ่างทรงกลดหมดเมฆสิ้น
จึงเซ่นเหล้าข้าวปลาให้พรายกิน เสกขมิ้นว่านยาเข้าทาตัว
ลงยันต์ราชะเอาปะอก หยิบยกมงคลขึ้นใส่หัว
เป่ามนตร์เบื้องบนชอุ่มมัว พรายยั่วยวนใจให้ไคลคลา
กลอนบทนี้ สามารถมโนหรือจินตนาการภาพได้ชัดเจน คือ เสียงฆ้องประจำของ
วังดัง สายลมพัดดังไปถึงเรือน นับเวลาได้ตีสาม ได้เวลาปล่อยความชั่วร้าย
ท้องฟ้าสว่าง ดวงจันทร์ก็สว่างจนบังเมฆหมด พลายงามจึงนำเหล้า อาหารไปเซ่น
ให้ผีพราย เอาขมิ้นมาทาตัว ลงยันต์ที่อก เอาสิ่งมงคลมาใส่หัว เป่ามนตร์คาถา
เพื่อให้ผีพรายหลง หยิบดาบที่เคยรบมาร่ายมนตร์เสกคาถา และลงจากเรือนรีบ
ไปบ้านขุนช้าง
๑. จินตภาพเสียง
ตัวอย่าง ดุเหว่าเร้าเสียงสำเนียงก้อง ระฆังฆ้องขานแข่งในวังหลวง
วันทองน้องนอนสนิทรวง จิตง่วงระงับสู่ภวังค์
ดุเหว่าเร้าเสียงสำเนียงก้อง ( เสียงนกร้อง ) = จินตภาพด้านเสียง
ระฆังร้องขานแข่งในวังหลวง ( เสียงตีระฆัง ) = จินตภาพด้านเสียง
๓. นาฏการ
ตัวอย่าง ฝ่ายพระหมื่นศรีได้รับสั่ง ถอยหลังออกมาไม่ช้าได้
สั่งเวรกรมวังในทันใด ตำรวจในวิ่งตะบึงมาถึงพลัน
ตำรวจในวิ่งตะบึงมาถึงพลัน ( ทหารวิ่งมาอย่างเร่งรีบ ) = นาฏการ
๔๖
คุณค่าด้านสังคม
๑.สะท้อนความเชื่อของคนในสังคม
๑.๑ ความเชื่อเกี่ยวกับไสยศาสตร์ ตอนที่พลายงามคิดที่จะขึ้นเรือนขุนช้างเพื่อ
พานางวันทองมาอยู่ด้วย พลายงามต้องเตรียมตัวหลายประการ เริ่มจากดูเวลา
ฤกษ์ยาม เช่น พลาย เสกขมิ้น ลงยันต์ใส่มงคล เป่ามนตร์ และบริกรรมคาถาก่อนที่
จะลงเรือนของตน
ตัวอย่างที่ ๑ ได้ยินเสียงฆ้องย่ำประจำวัง ลอยลมล่องดังถึงเคหา
คะเนนับย่ำยามได้สามครา ดูเวลาปลอดห่วงทักทิน
ตัวอย่างที่ ๒ ฟ้าขาวดาวเด่นดวงสว่างจันทร์ กระจ่างทรงกลดหมดเมฆสิ้น
จึงเซ่นเหล้าข้าวปลาให้พรายกิน เสกขมิ้นว่านยาเข้าทาตัว
ตัวอย่างที่ ๓ ลงยันต์ราชะเอาปะอก หยิบยกมงคลขึ้นใส่หัว
เป่ามนตร์เบื้องบนชอุ่มมัว พรายยั่วยวนใจให้ไคลคลา
๒.สะท้อนค่านิยมของคนในสังคม
๒.๑ ค่านิยมเกี่ยวกับการมีสัมมาคารวะ พลายงามรู้จัก แสดงความเคารพ
นอบน้อมมีสัมมาคารวะ แม้จะอยู่ใน สถานการณ์ที่ทำให้ ขุ่นเคืองใจ แต่เมื่อมา
เห็นมารดาก็ยังระลึกถึง พระคุณเข้า ไปกราบไหว้
ตัวอย่างที่ ๑ ม่านมู่ลี่มีฉากประจำกั้น อัฒจันทร์เครื่องแก้วก็หนักหนา
ชมพลางย่างเยื้องชำเลืองมา เปิดมุ้งเห็นหน้าแม่วันทอง
ตัวอย่างที่ ๒ นิ่งนอนอยู่บนเตียงเคียงขุนช้าง มันแนบข้างกอดกลมประสมสอง
เจ็บใจดังหัวใจจะพังพอง ขยับจ้องดาบง่าอยากฆ่าฟัน
ตัวอย่างที่ ๓ จะใครถีบขุนช้างที่กลางตัว นึกกลัวจะถูกแม่วันทองนั่น
พลางนั่งลงนอบนบอภิวันทน์ สะอื้นอั้นอกแค้นน้ำตาคลอ