The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หน่วยที่ 1 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการใช้ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Bank BK, 2023-08-18 10:39:34

หน่วยที่ 1 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการใช้ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร

หน่วยที่ 1 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการใช้ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร

วิชา ทักษะภาษาไทยเชิงวิทยา


1 หน่วยที่ 1 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการใช้ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร ภาษาไทยเป็นภาษาประจำชาติที่แสดงเอกลักษณ์ละวัฒนธรรมไทยจึงควรใช้ภาษาไทยให้ถูกตองละมี ศิลปะ ในการสื่อสารทุกครั้งผู้ส่งสารและผู้รับสารจะต้องมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับภาษาไทย เพื่อความเข้าใจในการ สื่อกสาร ไม่ว่าจะเป็นการใช้ถ้อยคำ สำนวน และระดับของภาษา รวมถึงมารยาทและคุณธรรมจึงจะทำให้การ สื่อสารเกิดประสิทธิภาพและบรรลุวัตถุประสงค์ในการสื่อสาร 1.1 ความหมายและประเภทของภาษา การสื่อสารจำเป็นต้องอาศัยทั้งสัญลักษณ์และภาษาเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจที่ตรงกันความหมายของ ภาษามีผู้รู้ได้ให้ความหมายและคำนิยามไว้อย่างหลากหลาย ดังนี้ เปลื้อง ณ นคร (2522, หน้า 336) ให้ความหมายว่า ภาษา หมายถึง เสียงหรือกริยาอาการที่ใช้ทำความ เข้าใจติดต่อกัน คำพูด คนหรือชาติที่พูดภาษานั้นๆ ความรู้ ความเข้าใจ พจนานกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 ได้ให้คำจำกัดความของคำว่า ภาษา ไว้ว่า ถ้อยคำที่ใช้พูด หรือเขียนเพื่อสื่อความของชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เช่น ภาษาไทย ภาษาจีน หรือเพื่อสื่อความเฉพาะวงการ เช่น ภาษา ราชการ ภาษากฎหมาย ภาษาธรรม ; เสียง ตัวหนังสือ หรือกริยา ; อาการที่สื่อความได้ เช่น ภาษาพูด ภาษาเขียน ภาษาท่าทาง ภาษามือ เป็นต้น สรุปได้ว่า ภาษา (Language)หมายถึง สัญลักษณ์ที่กำหนดขึ้นเพื่อใช้เป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดในการ สื่อความเข้าใจระหว่างกันของคนในสังคมไม่ว่าจะเป็นถ้อยคำที่ใช้พูดหรือเขียนเพื่อสื่อความหมาย ภาษาจำแนกตามวิธีการแสดงออกได้ 2 ประเภท ได้แก่ 1.วัจนภาษา คือ ภาษาใช้ถอยคำ ได้แก่ คำพูดหรือตัวอักษรที่กำหนดใช้ร่วมกันในสังคมซึ่งหมายรวมทั้ง เสียง และลายลักษณ์อักษร ภาษาถ้อยคำจึงเป็นภาษาที่มนุษย์สร้างขึ้นอย่างมีระบบ 2.อวัจนภาษา คือ ภาษาที่ไม่ใช่การพูดเป็นถ้อยคำ แต่เป็นสิ่งที่สามารถสื่อให้เกิดความหมายความรู้สึกนึก คิด ความเข้าใจตรงกัน เช่น ภาษาท่าทาง ภาษาใบ้ ภาษากาย มี 7 ประเภท ได้แก่ 2.1 เทศภาษา อวัจนภาษาที่รับรู้ได้จากระยะห่างระหว่างบุคคลและสถานที่ที่ใช้ในการสื่อสารกัน เช่น การโน้มตัวเดินผ่านผู้ใหญ่ให้ห่างมากที่สุดเพื่อแสดงความมีสัมมาคารวะ 2.2 กาลภาษา อวัจนภาษาที่รับรู้จากช่วงเวลาในการสื่อสาร เช่น นักศึกษาเข้าเรียนตรงเวลา แสดงถึง ความตั้งใจ เอาใจใส่ และให้เกียรติผู้สอน


2 2.3 เนตรภาษา อวัจนภาษาที่รับรู้ได้จากสายตา เพื่อแสดงอารมณ์ ความรู้สึก เช่น การหลบสายตาเพราะ กลัวหรือเขินอาย หรือมีความผิดไม่กล้าสู้หน้า 2.4 สัมผัสภาษา อวัจนภาษาที่รับรู้จากการสัมผัส เช่น การโอบกอด การจับมือ 2.5 อาการภาษา อวัจนภาษาที่รับรู้จาการเคลื่อนไหลของร่างกาย เช่น การไหว้ การยิ้ม การเม้มปาก การ นั่งไขว่ห้าง การยืนเคราพธงชาติ 2.6 วัตถุภาษา อวัจนภาษาที่รับรู้จากการเลือกใช้วัตถุเพื่อสื่อความหมาย เช่น เครื่องประดับ การแต่งบ้าน การมอบดอกไม้ การ์ดอวยพร 2.7 ปริภาษา อวัจนภาษาที่รับรู้ได้จากการใช้น้ำเสียงแสดงออกพร้อมกับถ้อยคำนั้น ทำให้สามารถเข้าใจ ความหมายของถ้อยคำได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ช่วยเน้นให้เห็นถึงเจตนา หรือลักษณะของผู้ส่งสารว่าพอใจ โกรธ เช่น ความเร็ว จังหวะ การเน้นเสียง ลากเสียง ความดัง ความทุ้มแหลม ในกรณีของภาษาเขียนอวัจนภาษาที่ปรากฎ ได้แก่ ลายมือ การเว้นวรรคตอน การย่อหน้า ขนาดตัวอักษร ฯลฯ 1.2 ความหมายและองค์ประกอบของการสื่อสาร การสื่อสารหรือ Communication มาจากรากศัพท์ภาษาละตินว่า Communis หมายถึงความเหมือนกัน หรือร่วมกัน การสื่อสาร (Communication) หมายถึง กระบวนถ่ายทอดข่าวสาร ข้อมูล ความรู้ ประสบการณ์ ความรู้สึก ความคิดเห็น ความต้องการจากผู้ส่งสารโดยผ่านสื่อต่างๆ ที่อาจเป็นการพูด การเขียน สัญลักษณ์อื่นใด การแสดงหรือการจัดกิจกรรมต่างๆ ไปยังผู้รับสาร ซึ่งอาจจะใช้กระบวนการสื่อสารที่แตกต่างกันไปตามความ เหมาะสม หรือความจำเป็นของตนเองและคู่สื่อสาร โดยมีวัตถุประสงค์ให้เกิดการรับรู้ร่วมกันและมีปฏิกิริยา ตอบสนองต่อกัน บริบททางการสื่อสารที่เหมาะสมเป็น ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้การสื่อสารสัมฤทธิ์ผลประกอบด้วย 4 ปัจจัย ดังรายละเอียดต่อไปนี้ 1. ผู้ส่งสาร (Sender) คือ ผู้ส่งสารได้แก่บุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่เป็นผู้เริ่มต้นการติดต่อสื่อสารผู้ส่งสารที่ดี จะต้องมีจุด ประสงค์ในการส่งสาร มีความรู้ ความเขา้ ใจในเรื่องที่ต้องการสื่อสารอย่างถ่องแท้ เข้าใจความพร้อม ความสามารถของผู้รับสารและเลือกใช้กลวิธีสื่อสารอย่างเหมาะสม 2. ผู้รับสาร (Receiver) คือ ผู้รับสารได้แก่บุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่รับรู้ข้อมูลจากผู้ส่งสารทำควาเข้าใจกับ ข้อมลู ที่ได้รับและมีปฏิกิริยาตอบสนองผู้รับสารที่ดีจะต้องมีจุดประสงค์ในการรับสารพร้อมรับข่าวสารต่าง ๆ อย่าง มีสติ และสมาธิ รวมถึงมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อผู้ส่งสาร


3 3. สาร (Message) คือ เรื่องราวที่มีความหมายอาจอยู่ในรูปของข้อมูล ความรู้ ความคิดความต้องการ อารมณ์ ฯลฯ ซึ่งถ่ายทอดจากผู้ส่งสารไปยังผู้รับสารให้ได้รับรู้อาจแสดงออกมาโดยอาศัยภาษาหรือสัญลักษณ์ที่ สามารถทำให้เกิดการรับรู้ร่วมกันได้ 4. สื่อหรือช่องทาง (Media or Channel) เป็นตัวกลางที่เชื่อมโยงสารจากผู้ส่งสารไปยังผู้รับสาร การสื่อสารแต่ละครั้งผู้สื่อสารจะต้องใช้ภาษาทั้งวัจนภาษาและอวัจนภาษาเป็นสื่อกลางในการสื่อสาร เช่น สื่อธรรมชาติ สื่อบคุคล สื่อสิ่งพิมพ์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น นอกจากองค์ประกอบของการสื่อสารที่กล่าวข้างต้น ยังมีองค์ประกอบที่มักพบในการสื่อสาร นั่นคือ ปฏิกิริยาตอบสนอง ปฏิกิริยาตอบสนอง (Feedback) ปฏิกิริยาตอบสนองหรือผลของการสื่อสาร หมายถึง การที่ ผู้รับสารมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อผู้ส่งสารโดยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง การสื่อสารแต่ละครั้งจะประสบความสำเร็จ หรือล้มเหลว ผู้สื่อสารจะสังเกตได้จากปฏิกิริยาตอบสนองของผู้รับสารว่าตรงตามวัตถุประสงค์ของผู้ส่งสาร หรือไม่ การสื่อสารแต่ละครั้งจะประสบความสำเร็จได้ง่ายหากจุดประสงค์การสื่อสารของผู้สื่อสารตรงกัน 1.3 การเขียนสะกดคำและการใช้ตัวการันต์ การเขียนกับการอ่านมีความสัมพันธ์กัน การอ่านให้ถูกต้องอยู่ที่การเขียนที่ถูกต้องด้วย ดังนั้น การใช้ ตัวสะกดหรือการันต์จึงถือเป็นเรื่องสำคัญและควรระมัดระวังอย่างมาก นอกจากจะทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนใน การสื่อสารยังแสดงให้เห็นถึงระดับความรู้ของผู้เขียนหรือผู้ใช้ภาษาด้วย เพราะฉะนั้นผู้ใช้ควรศึกษาหาความรู้ใน การเขียนสะกดคำและการใช้ตัวการันต์ให้ผิดน้อยที่สุด ตัว สะกดการันต์ มีลักษณะดังนี้ 1. คำในภาษาไทยมีรูปคล้ายกัน ต่างกัน เพียงเสียงวรรณยุกต์หรือตัวควบกล้ำ เช่น ผัด ผลัด เพาะ เพราะ เชื่อ เชื้อ


4 2. คำบางคำมีเสียงเหมือนกัน ต่างกันที่ตัวสะกดและความหมาย เช่น คำศัพท์ ความหมาย กาล เวลา ครั้ง คราว กาฬ ดำ การณ์ เหตุ เค้า มูล บาตร ภาชนะใส่อาหารพระ บาต ตกไป ตก บาท ตีน มาตราเงินตราของไทย 3. การเขียนตัวสะกดการันต์ผิด จะทำให้ความหมายเปลี่ยนไป หรืออาจเขียนผิดเพราะความเคยชิน เช่น คำที่เขียนถูก คำที่มักเขียนผิด กระทะ กะทะ กฎหมาย กฏหมาย กระเพาะ กะเพาะ สังเกต สังเกตุ เซ็นชื่อ เซ็นต์ชื่อ เงินทดรอง เงินทดลอง ซาบซึ้ง ทราบซึ้ง ลิฟต์ ลิฟต์ 1.4 การใช้ถ้อยคำในการสื่อสาร คำ หมายถึง ส่วนที่เล็กที่สุด ในภาษาที่มีความหมาย ใช้ตามลำพังเพื่อการสื่อสาร จะเป็นข้อความก็ได้ คำที่ใช้ในการสื่อสารต้องมีความหมาย ไม่ว่าจะเป็นความหมายโดยตรงตามตัวความหมายอุปมา ความหมาย คล้ายกนั ความหมายตรงกันข้าม ความหมายแคบ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการสื่อสาร 1.4.1 ความหมายของคำ 1) ความหมายโดยตรง เป็นความหมายตามพจนานุกรม เช่น หมู หมายถึง สัตว์สี่เท้า จมกู กลม หางสั้น มีผิว สีชมพู นิยมเลี้ยงเป็นอาหาร กล้วย หมายถึง ผลไม้ชนิดหนึ่ง ดาว หมายถึง สิ่งที่เห็นเป็นดวงมีแสงสว่างในท้องฟ้าเวลามืด 2) ความหมายอุปมา เป็นความหมายเชิงเปรียบเทียบ เช่น หมู หมายถึง ง่าย เช่น ข้อสอบชุดนี้หมูมาก ๆ กล้วย หมายถึง ง่าย เช่น งานนี้กล้วย ๆ


5 ดาว หมายถึง คนสวย คนเด่น คนดัง เช่น งานรับน้องปีนี้มีดาวหลายคน 3) ความหมายคล้ายกัน หมายถึง ความหมายใกล้เคียงกันหรือเป็นไปในแนวเดียวกัน เช่น โชย (ส่งกลิ่นมาแต่ไกล) ฟุ้ง (กลิ่นฟุ้งกระจายไปในอากาศ) กะ (มองด้วยสายตา) เดา (ขึ้นอยู่กับความรู้สึก ) อนุญาต (ยินยอม ยอมให้ ตกลง) อนุมัติ(เห็นชอบตามระเบียบที่กำหนดไว้) 4) ความหมายตรงข้าม หมายถึง ความหมายตรงข้ามกัน เช่น ดี- ชั่ว หอม - เหม็น เล็ก - ใหญ่ สงู - ต่ำ มาก - น้อย แพ้- ชนะ เหนือ-ใต้ อ้วน-ผอม 5) ความหมายกว้าง-แคบ ความหมายกว้าง หมายถึง คำที่มีความหมายกินความมากกว่าหรือ ครอบคลุมกว่า ความหมายแคบ หมายถึง คำที่มีความหมายเฉพาะ คำที่มีความหมายกว้าง คำที่มีความหมายแคบ ผลไม้ แอปเปิ้ล มะละกอ กล้วย ส้ม เฟอร์นิเจอร์ โต๊ะ ตู้ เตียง โคมไฟ เครื่องครัว กระทะ หม้อ ตะหลิว เขียง 6) ความหมายนัยประหวัด หมายถึง ความหมายที่โยงถึงบางสิ่งบางอย่างที่เกี่ยวเนื่องกับ คำนั้น เช่น สีดำ หมายถึง ความทุกข์ ความเศร้าโศก กุหลาบ หมายถึง ความรัก ลิง หมายถึง ความซุก ซน ไฟ หมายถึง ความเร่าร้อน สีเขียว หมายถึง ความร่มรื่น ความชุ่มฉ่ำ ความสดชื่น แจ่มใส 7) ความหมายหลายนัย หมายถึง คำที่มีความหมายหลายความหมาย โดยความหมายจะ เปลี่ยนไปตามบริบทของคำ เช่น ขัน หมายถึง การทำให้ตึง ภาชนะสำหรับตักน้ำ หัวเราะ นึกอยากหัวเราะ ติด หมายถึง ประดับ , ตกแต่ง ต่อเนื่อง, ใกล้ชิด ขัด ข้อง , ไม่สะดวก


6 กิน หมายถึง เคี้ยว กลืน เอาประโยชน์ในทางทุจรติ 8) ความหมายเหมือนกัน หมายถึง ความหมายเดียวกันแต่ใช้ได้หลายคำ เช่น กันยา/กัญญา/กานดา/กัลยาณี หมายถึง ผู้หญิง บุปผา/บุษบา/ผกา/มาลี หมายถึง ดอกไม้ อัมพร/ทิฆัมพร/นภา/โพยม หมายถึง ท้องฟ้า *แต่มีคำที่มีความหมายเหมือนกันแต่ใช้แทนกันไม่ได้ทุกกรณี เช่น ตาย : มรณะ ถึง แก่กรรม ใช้เป็น ภาษาทางการ หมายถึง สิ้นชีวติ อาสัญ วายชีวาตย์ ใช้ในการประพันธ์ ปรินิพพาน ใช้เรียกอาการตายของพระพุทธเจ้า สวรรคต ตาย ใช้ในราชาศัพท์สำหรับพระเจ้าแผ่นดิน 1.4.2 หลักการใช้คำ ควรพิจารณาดงั นี้ 1) ใช้คำให้ตรงความหมาย เพราะคำในภาษาไทยมีจำนวนมากที่มีความหมายใกล้เคียงกัน เช่น แหลกเหลว (แตกไม่มีชิ้นดี) เหลวแหลก (ป่นปี้น่ารังเกียจ) แม่ของเธอเสียใจที่เธอตัวทำแหลกเหลว แม่ของเธอเสียใจที่เธอตัวทำเหลวแหลก พล่า (ทำลาย) ฆ่า (ทำให้หมดไป) สมศรีอ่านหนังสือพล่าเวลาขณะรอรถ สมศรีอ่านหนังสือฆ่าเวลาขณะรอรถ 2) ใช้คำให้เหมาะสมกับเวลา สถานที่ และบุคคล ฐานะของบุคคล อายุเพศ เวลา สถานที่และ กาลเทศะ ถ้าใช้ผิดพลาดอาจทำให้การสื่อสารไม่เกิดประสิทธิภาพ ดังนั้นจึง ควรคำนึงด้วยว่าจะเลือกใช้คำใดใน สถานที่ใดเวลาใดกับใครใช้อย่างเป็นทางการหรือไม่เป็นทางการ บุคคลที่สื่อสารกัน โอกาสและกาลเทศะ ภาษาที่ใช้ เพื่อนสนิทกับเพื่อนสนิท ส่วนตัว นี่เธอ ฉันมีเรื่องจะบอกเธอ เพื่อนสนิทกับเพื่อนไม่สนิท โรงเรียน นี่คณุ ผมมีเรื่องจะบอกคณุ ผู้เรียนกับอาจารย์ โรงเรียน อาจารย์ครับผมมีเรื่องจะเรียนให้อาจารย์ 3) ใช้คำให้แจ่มชัด หมายถึง การเลือกคำที่มีความหมายชัดเจน แจ่มแจ้ง ไม่กำกวม เพื่อ สร้างความเข้าใจตรงกันระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสารโดยไม่ต้องอธิบายขยายความเพิ่มเติม เช่น ➢ ถ้าเธอจะทำงานให้สำเร็จ เธอจะต้องทำงานอย่างมีแผน (อุบาย เล่ห์เหล่ียม) ➢ ถ้าเธอจะทำงานให้สำเร็จ เธอจะต้องทำงานอย่างมีแผนการ (แผนการที่รอบคอบ)


7 4) เลือกใช้คำอย่างมีศิลปะเหมาะสม สามารถสื่อสารกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพตรงต่อความต้องการ และมีมนุษย์สัมพันธ์กับผู้อื่นด้วยเพื่อให้เกิดความรู้สึกดีต่อกันเช่น การใช้คำไม่เหมาะสม - นัยนาไม่เจอกันนานเลย เธออ้วนขึ้นเยอะเลยนะ - ฉันว่าแม่เธออาการหนักมากเลยฉันว่าไม่น่าเกินสามวัน การใช้คำอย่างมีศลิปะ - ยินดีด้วยนะเพื่อนที่เธอได้รับรางวัลนักเรียนดีเด่น - ขอบคณุ ครูครู อาจารย์ ทุกท่านนะคะที่ช่วยแนะนำทุกสิ่งทุกอยา่ งให้กับหนูจนหนูมีวันนี้ 1.5 สำนวนภาษาที่ใช้ในการสื่อสาร การสื่อสารในแต่ละครั้งจำเป็นต้องคำนึงถึงการใช้สำนวนภาษาให้เหมาะสมกับเนื้อหาที่เราต้องการ สื่อสารซึ่งสำนวนภาษาแต่ละชนิด มีลักษณะเฉพาะตัว ซึ่งแบ่งออกได้ 4 ชนิด ดังนี้ 1.5.1 สำนวนภาษาสามัญ หรือสำนวนภาษาทั่วไป เป็นสำนวนภาษาสุภาพทั่วไปการใช้ภาษาสุภาพเพื่อ ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น โดยเน้นภาษาสุภาพ หลีกเลี่ยงการใช้คำศัพท์ที่ยาก ๆ เป็นสำนวนที่เข้าใจ ง่าย ส่วนใหญ่มักใช้ในกลุ่มผู้มีการศึกษา ในวงราชการในหมู่ครูอาจารย์ นักเรียน นักศึกษาตลอดจนหน่วยงานต่างๆ ตัวอย่าง สำนวนภาษาสามัญ คำสุภาพ คำสามัญ/คำสภาพ คำราชาศัพท์ ผักบุ้ง ผักทอดยอด ผักตบ ผักสามหาว ผักกระเฉด ผักรู้นอน ผักอี้รื้น ผักนางริ้น ดอกซ่อนชู้ ดอกซ่อนกลิ่น 1.5.2 สำนวนภาษาการประพันธ์เป็นสำนวนที่สะดุดตาและสะดุดใจผู้อ่านไม่ว่าจะเป็นสำนวนภาษาร้อย แก้วหรือร้อยกรองประเภทใดประเภทหนึ่ง โดยผู้แต่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้อ่านเกิดจินตนาการและจินตนาการและ เกิดอารมณ์สะเทือนใจ ผู้แต่งมักใช้โวหารต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความไพเราะทั้งเรื่องเสียงและความหมาย มักพบ สำนวนภาษาการประพันธ์จากงานเขียนต่าง ๆ เช่น บทร้อยกรองทุกประเภท เรื่องสั้นการโฆษณาต่าง ๆ ยกเว้น งานเขียนทางวิทยาศาสตร์ ตัวอย่าง สำนวนภาษาการประพันธ์ จากบทเสภา เรื่อง ขุนช้างขนุ แผน “...ฝูง ลิง ไต่กิ่งลางลิงไขว่ ลางลิงแล่นไล่กันวุ่นวิ่ง ลางลิงชิงค่างขึ้นลางลิง กาหลงลงกิ่งกาหลงลง เพกากาเกาะทุกก้านกิ่ง กรรณิกากาชิงกันชมหลง


8 มัดกากากวนล้วนกาดง กาฝากกาลงทำรังกา เสือมองย่องแอบต้นตาเสือ ร่มหูกวางกวางเฝือฝูงกวางป่า อ้อยช้างช้างน้าวเป็นราวมา สาลิกาจับกิ่งพิกุลกิน...” 1.5.3 สำนวนภาษาสื่อมวลชนและสำนวนภาษาโฆษณา สำนวนภาษาทั้งสองประเภทนี้ปะปนกัน ไป เนื่องจากการโฆษณามักใช้สื่อประเภทต่าง ๆ เผยแพร่ข่าวสาร ดังนั้นเราจึงพบสำนวนภาษาโฆษณาใน สื่อมวลชนมากกว่าแหล่งอื่น เช่น รายการวิทยุ รายการโทรทัศน์ เป็นต้น การทำงานของสื่อมวลชนมี จุดมุ่งหมายหลักเพื่อเร้าความสนใจของผู้รับสาร จึงทำให้เกิดสำนวนภาษาที่สะกิดหูและสะดุดตาผู้รับสาร ดังนั้นจึงควรเลือกใช้สำนวนภาษาสื่อมวลชนและสำนวนภาษาโฆษณาให้ถูกต้องและเหมาะสมตามกาลเทศะ ตัวอย่าง สำนวนภาษาสื่อมวลชน 1.5.4 สำนวนภาษาบนสื่ออิเล็กทรอนิกส์เป็นภาษาที่ใช้ในการสื่อสารผ่านระบบคอมพิวเตอร์ เช่น สื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ อาทิ เฟซบุ๊ก ไลน์ ทวิตเตอร์ เว็บไซต์ โพสต์ เป็นต้น ตัวอย่าง สำนวนภาษาใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ 1.6 ระดับภาษาที่ใช้ในการสื่อสาร ภาษานอกจากจะใช้เป็นเครื่องมือในการสื่อสารความรู้ ความคิด ความรู้สึก ทัศนคติแล้วยังใช้สร้าง ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ มนุษย์ใช้ภาษาโดยคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างกัน โอกาส กาลเทศะ และ ประชุมชน ภาษาจึงมีลักษณะแตกต่างกันเป็นหลายระดับเพื่อใช้ให้สัมฤทธิ์ผลสมความมุ่งหมาย


9 ระดับของภาษา หมายถึง ความลดหลั่นของถ้อยคำและการเรียบเรียงถ้อยคำที่ใช้โดยพิจารณาตาม โอกาส กาลเทศะ หรือความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่เป็นผู้สื่อสาร รวมถึงเนื้อหาที่สื่อสาร ภาษาอาจแบ่งเป็น 3 ระดับ ดังนี้ 1.6.1 ระดับพิธีการ หรือเรียกอีกชื่อว่า ระดับแบบแผนเป็นภาษาที่เรียบเรียงมาเป็นอย่างดี มีความ ไพเราะ ใช้ถ่ายทอดเรื่องราวที่เป็นทางการผู้ส่งสารมักเป็นบุคคลสำคัญโดยใช้การสื่อสารในที่ประชุมที่จัดเป็น พิธีการ ผู้ส่งสารมักเป็นผู้ส่งสารแต่เพียงฝ่ายเดียว ข้อสังเกตภาษาระดับนี้มักจะไม่มีการโต้ตอบกันระหว่าง ผู้ส่งสารและผู้รับสาร เช่น พิธีเปิดงานต่างๆการกล่าวให้โอวาท การกล่าวสุนทรพจน์การกล่าวถวายพระพร เป็นต้น ตัวอย่าง ภาษาระดับพิธีการ “เนื่องในวโรกาสอันเป็นมหามงคลที่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทเจริญพระชนมพรรษา ครบ 6 รอบ ปวงประชาชาวไทยขอน้อมเกล้าฯ ถวายพระพรชัย ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์อันทรง มหาพลานุภาพทั้งหลาย จงโปรดอภิบาลบันดาลดลให้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจงเจริญด้วย มิ่งมหาศุภสวัสดิ์ เจริญพระชนมพรรษานับหมื่น ๆ ศตพรรษ สถิตเสถียรเป็นร่มโพธิ์ทองของปวง ประชาชาวไทย ตราบชั่วกัลปาวสาน” 2. ระดับกึ่งพิธีการ เรียกอีกชื่อว่า ระดับกึ่งแบบแผน เป็นภาษาที่ใช้ถ่ายทอดเรื่องราวต่าง ๆ ทั่วไปเป็นภาษาสุภาพ อาจจะใช้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องทางวิชาการ ผู้ส่งสารและผู้รับสารรู้จกั และคุ้นเคยกันหรือมีความสนใจใน เรื่องเดียวกัน อาจมีคำศัพท์ทางวิชาการบ้าง ผู้ส่งสารและผู้รับสารมีการแลกเปลี่ยนทรรศนะและแสดงความสนใจ ของตนเองได้ ภาษาระดับนี้ใช้ในการบรรยาย อภิปราย การประชุมย่อยตลอดจนการเขียนที่ปรากฏต่อสาธารณชน เช่น การเขียนบทความหรือข่าว หนังสือ ตำรา เป็นต้น ตัวอย่าง ภาษาระดับกึ่งพิธีการ “ธุรกิจระบบแฟรนไชส์ (franchise) คือ กระบวนการทางธุรกิจซึ่งกลุ่มบุคคลได้พัฒนา วิธีการอันได้รับการพิสูจน์แล้วว่าประสบความสำเร็จในการประกอบการและการจัดการธุรกิจได้ ถ่ายทอดสิทธิในการประกอบการธุรกิจรูปแบบดังกล่าวให้กับกลุ่มบุคคลอื่นภายใต้ตราสินค้าหรือ บริการ หรือเครื่องหมายการค้าอันหนึ่งอันใด โดยกระบวนการนี้เกี่ยวข้องกับการทำข้อตกลงทาง กฎหมายระหวา่งกลุ่มบุคคล 2 กลุ่มในข้างตน้ ”


10 3. ระดับไม่เป็นพิธีการ/ไม่เป็นแบบแผน (ภาษาปาก) เป็นภาษาที่ใช้สื่อสารกับบุคคลที่สนิทคุ้นเคย เป็นกันเองจึงไม่จำเป็นต้องใช้ให้ถูกต้องตามแบบแผนมากนักภาษาปากเหล่านี้ได้แก่คำพูดระหว่างบุคคลใน ชีวติประจำวันคำถิ่นและคำคะนอง เช่น “เป็นไงบ้าง” มาจาก “เป็นอย่างไรบ้าง” “กินข้าวยงั ” มาจาก “กินข้าวหรือ ยัง ” “ทานข้าวหรือ ยัง” “เป็นจะไดพ่อง” มาจาก “เป็นอย่างไรบ้าง” (คำถิ่นเหนือ) “อย่ามาแอ๊บมึน” (คำคะนอง) แปลว่า อยา่ ทำเปน็ วา่ ไม่รู้เรื่อง “แดงเรียนจบจากรามคำแหง” มากจาก มหาวิทยาลัยรามคำแหง “เมย์โดนแม่ค้าตุ๋นซะเปื่อยเลย” แปลว่า ถูก หลอก แม้ว่าภาษาจะเป็นออกเป็น 3 ระดับแต่บางครั้งการสื่อสารอาจมีการใช้ระดับภาษาที่คาบเกี่ยวกัน การเลือกใช้ภาษาจึงควรเลือกให้เหมาะสมกับกาลเทศะจึงจะสามารถใช้ภาษาในการสื่อสารได้อย่างมี ประสิทธิภาพ


11 หน่วยที่ 2 การวิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินคา่ สารจากการฟังและการดู ในสังคมปัจจุบันมีช่องทางการนำเสนอข้อมูลให้ฟังและดูจำนวนมากการรู้จักเลือกที่จะฟังและดูเมื่อได้รับ ข้อมูลแล้วรู้จักวิเคราะห์ประเมินค่าเพื่อนำไปใช้ในทางสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่จำเป็นเพราะผลที่ตามมาจากการฟังและ การดูจะเป็นผลบวกหรือลบต่อสังคมขึ้นอยู่กับการนำไปใช้ดังนั้นผู้ฟังและดูต้องรับสารอย่างมีวิจารณญาณโดยเข้า ใจเนื้อหาสาระใช้ปัญญาคิดใครครวญอาศัยความรู้ความคิดเหตุผลและประสบการณ์แล้วนำไปใช้อย่างเหมาะสม จึง จะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อตนเองและสังคม 2.1 ลักษณะการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ กระบวนการของการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพนั้นทั้งผู้สื่อสารและผู้รับสารเป็นองค์ประกอบที่สำคัญยิ่ง ที่จะต้องมีการรับรู้และมีปฏิกิริยาตอบสนองซึ่งกันและกันในลักษณะที่เรียกว่าการสื่อสารสองทาง (two ways communication) การพัฒนาทักษะในการส่งสารและรับสารนั้นต้องอาศัยการคิดเป็นพื้นฐานอันสำคัญอย่างยิ่ง ทั้งนี้เพราะในการส่งสารไม่ว่าจะด้วยวิธีพูดหรือเขียน ซึ่งเป็นทักษะการส่งสาร ผู้ส่งสารจะต้องใช้ความคิด ในการ เรียบเรียงถ้อยคำหรือข้อความเพื่อสื่อความหมายให้ผู้รับสารเกิดความเข้าใจขณะเดียวกันผู้รับสารจะต้องใช้ ความคิดในการแปลสัญลักษณ์ซึ่งได้แก่ เสียง ถ้อยคำหรือข้อความที่ได้ฟัง ได้อ่านได้ดู เพื่อเกิดเป็นความรู้ ความ เข้าใจในสิ่งนั้น และจับใจความในส่วนที่อ่านมีความเห็นคล้อยตามหรือโต้แย้งกระบวนการสื่อสารดังกล่าวปรากฏ ดังแผนภาพดังนี้ กระบวนการสื่อสารในบุคคล แผนภาพแสดงความสัมพันธ์ของความคดิ กับทักษะการส่งสารและรับสาร จากแผนภาพดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าองค์ประกอบทุกส่วนในการสื่อสารสัมพันธ์กันอย่างต่อเนื่อง การสื่อสารที่เหมาะสมจะต้องมีปฏิสัมพันธ์กันของทักษะการส่งสารและรับสารโดยมีความคิดเป็นหัวใจสำคัญ หากการส่งสารขาดความคิดในการเรียบเรียงส่งสารให้สมบูรณ์ ก็จะส่งผลให้สารคลาดเคลื่อน ขณ ะเดียวกัน ถ้าผู้รับสารขาดความคิดในการทบทวนไตร่ตรองก็จะทำให้เกิดความสับสนการรับสารผิดไปจากที่ผู้ส่งสาร ต้องการผู้ฟัง ผู้อ่านและผู้ดู อยู่ในฐานะการรับสารโดยใช้ช่องทางการเห็นและการได้ยินถ้าสารใช้ถ้อยคำที่เข้าใจ มี เนื้อหาเหมาะสมและมีการจัดลำดับอย่างดีผู้รับสารย่อมเข้าใจสารตรงตามวัตถุประสงค์ที่ผู้ส่งสารต้องการดังนั้นผู้ที่ ทักษะการส่งสาร เขียน ทักษะการรับสารฟัง


12 มีทักษะในการรับสารต้องวิเคราะห์และประเมินสารอย่างมีประสิทธิภาพ 2.2 ความหมายของการวิเคราะห์และการประเมินค่าสาร พจนานกุรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้ให้ความหมายของคำว่าวิเคราะห์และสาร ดังนี้ วิเคราะห์หมายถึงใคร่ครวญ แยกออกเป็นส่วน ๆ เพื่อศึกษาให้ถ่องแท้ สาร หมายถึง แก่นเนื้อแท้ ข้อความ ถ้อยคำ เร่ืองราว การวิเคราะห์สาร หมายความโดยรวมว่า การพิจารณาใคร่ครวญ ถ้อยคำ ข้อความหรือเรื่องราวอย่าง ละเอียดเพื่อให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ประเมิน หมายถึง การประมาณค่าเท่าที่ควรจะเป็น ค่า หมายถึง มูลค่าหรือราคาของสิ่งใด ๆ ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมที่มีประโยชน์ในทางใช้สอย แลกเปลี่ยนหรือทางจิตใจ การประเมินค่าสาร ความหมายโดยรวมว่า การประมาณคุณประโยชน์ของถ้อยคำ ข้อความเนื้อหาหรือ เรื่อ งราวนั้นๆ 2.3 ประเภทของสาร สารที่ใช้สื่อสารในชีวติประจำวันมี 2 ประเภท ดังนี้ 1. ข้อเท็จจริง คือสารที่มีอยู่ในโลกมนุษย์และสามารถตรวจสอบหรือพิสูจน์ได้ว่าจรงิตามสารนั้นเช่น พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก คำตอบคือจริงซึ่งเราสามารถหาคำตอบหรือพิสูจน์ได้ 2. ข้อคดิเห็น คือ สารที่เกิดขึ้นในใจของผู้ส่งสารอาจเป็นความรู้สึก ความเชื่อ หรือแนวคิดที่ผู้ส่งสาร มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งลักษณะของข้อคิดเห็น ตรวจสอบความจริงไม่ได้ เป็นแต่เพียงสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าข้อคิดเห็น เป็นที่ยอมรับหรือไม่ สมเหตุสมผลหรือไม่อย่างไร เช่น ผู้หญิงไทยแต่งตัวตามแฟชั่นตะวันตกมากเกินไป นักเรียนมัธยมมีค่านิยมต่อการเรียนมหาวิทยาลัยมากกว่าอาชีวศึกษา ซึ่งข้อคิดเห็นนั้นแบ่งเป็น 5 ประเภท ได้แก่ 2.1 ข้อคิดเห็นเชิงประมาณค่า เป็นการระบุว่า ดี–ไม่ดี เป็นประโยชน์–เป็นโทษ หรือ ยังไม่ดี– ค่อนข้างดีนับว่าเป็นประโยชน์ ค่อนข้างดี เช่น จากการสำรวจความนิยมของประชาชนต่อนโยบายของรัฐบาล พบวา่ ประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาลเพราะเป็นประโยชน์ต่อผู้มีรายได้น้อย ประชาชนเห็น ว่าการแก้ปัญหายาเสพติดของรัฐบาลทำได้ค่อนข้างดี 2.2 ข้อคิดเห็นเชิงแนะนำ คือ การบอกล่าวให้ทราบว่าสิ่งใดควรทำหรือควรปฏิบัติ มีขั้นตอนการ ปฏิบัติอย่างไร เพราะอย่างไรจึงควรปฏิบัติเช่นนั้น เช่น ผู้บริโภค ควรเลือกใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีฉลากประหยัด ไฟ เบอร์ 5 เพราะนอกจากจะช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าแล้วยังช่วยลดการใช้พลังงานอีกด้วย 2.3 ข้อคิดเห็นเชิงตั้งข้อสังเกต คือ การชี้ให้เห็นลักษณะบางประการที่แฝงอยู่ซึ่งอาจมองข้ามไป เป็นลักษณะที่น่าสนใจ น่าพิจารณา น่าระมัดระวัง น่านำไปศึกษาต่อ เช่น น้ำท่วมประเทศไทยครั้งใหญ่ที่ผ่าน


13 มาน่าจะเกิดจากการตัดไม้ทำลายป่าทำให้น้ำป่าไหลอย่างรวดเร็วเพราะไม่มีสิ่งขีดขวางทางน้ำ 2.4 ข้อคิดเห็นเชิงตัดสินใจ คือ การยอมรับหรือไม่ยอมรับในข้อเสนอนั้นเมื่อผู้ส่งสารสรุปผลการ ตัดสินใจการที่จะยุติการพิจารณาต่าง ๆ ควรมีเหตุผลการพิจารณาต่าง ๆ ควรมีเหตุผลการพิจารณาอย่าง ชัดเจน เช่น รัฐบาลประกาศจะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาททั่วประเทศแน่นอนภายในปี 2556 2.5 ข้อคิดเห็นเชิงแสดงอารมณ์คือ สารที่แสดงภาพอารมณ์ ความรู้สึกทัศนคติและอัธยาศัยของ ผู้ส่งสาร ในข้อคิดเห็นเชิงแสดงอารมณ์อาจมีสารประเภทอื่นปะปนอยู่ด้วยเช่น ผลการเลือกตั้งออกมาแล้ว ขอบคุณทกุ ๆ คนที่เลือกฉันเป็น ส.ส.หญิงเขต 8 รัฐอิลลินอยส์ ฉันไม่สามารถขอบคุณได้พียงพอสำหรับทุกสิ่ง ที่พวกคุณช่วยฉันในระหว่างหาเสียงฉันยังรู้สึกปลาบปลื้มกับการสนับสนุนที่ไม่เคยห่างหาย 2.4 การวิเคราะห์และประเมินค่าสารจากการฟัง การฟังเป็นกระบวนการรับรู้โดยผ่านสื่อคือเรียงในรูปแบบต่าง ๆ ขณะฟัง ผู้ฟังต้องให้ความสนใจ สามารถตีความสิ่งที่ใช้ฟังจึงจะตอบสนองได้ถูกต้อง 1. กระบวนการรับรู้สารด้วยการฟัง กระบวนการรับรู้สารด้วยการฟังอย่างสมบูรณ์ ดังแสดงเป็นแผนภูมิต่อไปนี้ แผนภูมิกระบวนการรับรู้สารด้วยการฟัง จากแผนภูมิข้างต้นอธิบายได้ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 การได้ยิน (Hearing) เป็นขั้นแรกของการฟังเมื่อมีเสียงมากระทบประสาท ขั้นตอนที่ 2 การม่งุความสนใจ (Concentration) ผู้ฟังจะมุ่งความสนใจไปตามเรื่องที่ได้ยนินั้น ขั้นตอนที่ 3 การเข้าใจ (Comprehension) ผู้ฟังรับรู้และเข้าใจสารนั้นได้ ถ้าผู้ส่งสาร ส่งสาร อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ขั้นตอนที่ 4 การตีความ (Interpretation) เมื่อเข้าใจจึงถึงขั้นวิเคราะห์ค้นหาความหมายของสาร ว่ามีเจตนาที่แท้จริงอย่างไร ส่วนใดเป็นข้อเท็จจริง ส่วนใดเป็นข้อคิดเห็นพร้อมทั้งประเมินค่าสารว่ามีคุณค่า หรือประโยชน์เพียงใด ขั้นตอนที่ 5 การตอบสนอง (Reaction) เมื่อผู้ฟังคิดวิเคราะห์วินิจฉัยและประเมินค่าแล้วก็จะตอบสนอง อย่างใดอย่างหนึ่งต่อผู้ส่งสาร ได้ยิน มุ่งความสนใจ เข้าใจ ตีความ ตอบสนอง


14 2. ประโยชน์ของการฟัง ประโยชน์ของการฟัง จำแนกได้ดังนี้ 2.1 ประโยชน์ส่วนตน 2.1.1 การฟังเป็นเครื่องมือของการเขียน ผู้ที่เรียนหนังสือได้ดีต้องมีการฟังที่ดีด้วย คือต้องฟัง คำอธิบายให้รู้เรื่องและจับใจความสำคัญให้ได้จึงจะทำให้การเรียนมีประสิทธิภาพไม่ว่าจะเป็นการฟังคำอธิบายใน ห้องเรียน การฟังอภิปราย การฟังบทความ ล้วนแต่ช่วยพัฒนาสติปัญญาทำให้เกิดความรู้และเกิดความเฉลียว ฉลาดจากการฟัง 2.1.2 การฟังช่วยให้ผู้ฟังพัฒนาความสามารถในการพูด พัฒนาความสามารถในการใช้ภาษา เพราะการฟังทำให้ผู้ฟังมีความรู้กว้างขึ้นและมีประสบการณ์มากขึ้น 2.1.3 การฟังช่วยปูพื้นฐานความคิดที่ดีให้กับผู้ฟัง ซึ่งจะได้จากการฟังเรื่องราวที่มีคุณค่ามี ประโยชน์จากผู้อื่นช่วยพัฒนาสติปัญญาแก่ผู้ฟังการได้รับข้อคิดเห็นที่มีประโยชน์ทำให้เกิดแนวความคิดใหม่ ๆ ได้ 2.1.4 การฟังช่วยให้ผู้มีมารยาทในการฟังสามารถเข้าสังคมกับผู้อื่นได้เช่น รู้จักฟังผู้อื่นรู้จัก ซักถามโต้ตอบได้ตามกาลเทศะ 2.2 ประโยชน์ทางสังคม 2.2.1 การฟังทำให้เกิดความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง เช่น การฟังประกาศ ฟัง ปราศรัย ฟังการอภิปราย เป็นต้น 2.2.2 การฟังช่วยให้ประพฤติดีปฏิบัติให้สังคมเป็นสุข เช่น ฟังธรรม ฟังเทศนา ฟังคำแนะนำ การอบรม เป็นต้น 2.3 ประโยชน์ของการฟังเชิงวิเคราะห์ 2.3.1 บอกได้ว่าสารที่ฟังส่วนใดเป็นความจริงส่วนใดเป็นความเห็น 2.3.2 กระตุ้นให้ผู้ฟังเกดิความคิดและทัศนะที่กว้างไกล 2.3.3 ไม่ทำให้ผู้ฟังตกเป็นเหยื่อของคำโฆษณาชวนเชื่อและรู้จักตัดสินใจด้วยตนเองอย่างชาญฉล 2.3.4รู้จักประเมินค่าเรื่องที่ฟังด้วยความรอบคอบและมีเหตุผลซึ่งนำไปใช้ประโยชน์ใน ชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี 3. ลักษณะการฟังเพื่อวิเคราะห์และประเมินค่า 3.1 การฟังเพื่อวิเคราะห์ ผู้ฟังต้องนำสารมาแยกย่อยเนื้อหาออกเป็นส่วน ๆ โดยอาศัยการตรึกตรอง การวิเคราะห์แยกแยะ ข้อเท็จจริงจากเนื้อหาต้องพิจารณาทั้งวัจนภาษา (Verbal communication) และอวัจนภาษา(Non-Verbal communication) ผู้ฟังต้องใคร่ครวญและพยายามขจัดสิ่งต่อไปนี้ออกไปในขณะที่ฟังได้แก่ 3.1.1 ท่าทางและรูปร่างหน้าตาของผู้พูดโดยไม่เกิดอคติต่อรูปร่างหน้าตาที่ไม่สวยงามของ


15 ผู้พูดเพราะอาจทำให้ใจเอนเอียงและเป็นปฏิปักษ์ต่อเรื่องที่ฟัง 3.1.2 เสียงหรืออากัปกิริยาของผู้พูดต้องไม่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เสื่อมศรัทธาต่อผู้พูด 3.1.3 การใช้ภาษาของผู้พูด ผู้พูดบางคนอาจไม่สันทัดในการใช้ภาษาที่ดีอาจใช้ถ้อยคำหรือ สำนวนไม่ถูกต้อง ผู้ฟังต้องพยายามใจกว้างที่จะเข้าใจและพยายามเลือกรับสิ่งที่เป็นประโยชน์และความรู้จาก การฟังนั้นให้ได้ 3.1.4 เพศของผู้พูด บางกรณีเพศของผู้พูดอาจตรงกันข้ามกับความรู้ของผู้พูด เช่น ผู้หญิงมี ความรู้ในเรื่องวิศวกรรม หรือผู้ชายมีความรู้ทางด้านคหกรรม ผู้ฟังไม่สมควรที่จะเกิดความคิดที่ไม่อยากฟังหรือไม่ เชื่อในสาระที่ได้ฟังเพราะผู้พูดอาจจะมีความเชี่ยวชาญในเรื่องที่พูดเป็นอย่างดีก็ได้ 3.1.5 ความสนใจในเรื่องที่ฟัง หากเรื่องที่ฟังไม่ใช่เรื่องที่ตนสนใจมักจะสรุปความว่าเป็นเรื่องไร้ สาระซึ่งความจริงอาจมีประโยชน์มาก ดังนั้นผู้ฟังไม่ควรที่จะมีความคิดคับแคบ เพราะจะทำให้ความรู้คับแคบไม่ หลากหลาย 3.2 การฟังเพื่อวินิจฉัย และประเมินค่า การฟังเพื่อวินิจฉัย หมายถึง การฟังเพื่อหาคุณค่าด้วยการตัดสินใจจากการไตร่ตรองใคร่ครวญอย่างดีแล้ว จากกระบวนการวิเคราะห์สารนั้นอย่างปราศจากอคติผู้ฟังจะต้องพิจารณาหาคุณค่าของสารซึ่งจะประกอบด้วย ข้อเท็จจริง ข้อคิดเห็นและความน่าฟังผู้ฟังไม่ควรติดใจผู้พูดที่พูดน่าฟังจนลืมนึกถึงความคิดหรือข้อคิดเห็นซึ่งเป็นสิ่ง สำคัญที่สุดและข้อเท็จจริงมีความสำคัญอันดับต่อมาการประเมินค่าสารจากการฟังนั้นมีหลักดังต่อไปนี้ 3.2.1 มีใจเป็นกลางผู้ฟังต้องสามารถรับฟังข้อคิดเห็นที่ถูกต้องตามข้อเท็จจริง แม้ข้อคิดเห็น นั้นจะไม่ตรงกับข้อคิดเห็นของผู้ฟัง 3.2.2 ไม่ใช้อารมณ์หรือความรู้สึกของผู้ฟังเป็นเกณฑ์ในการตัดสินสิ่งที่ได้ฟังว่าถูกต้องหรือไม่ ถูกต้องเพราะอารมณ์และความรู้สึกเป็นสิ่งไม่แน่นอนจึงไม่ใช่เกณฑ์มาตรฐานในการตัดสินเรื่องราวที่ฟัง 3.2.3 ความสำคัญผิดทางเหตุผลและการชวนเชื่ออาจเกิดขึ้นโดยการอ้างเหตุผลที่ไม่สมควร ความสำคัญผิดในเนื้อหาและความสำคัญผิดในอารมณ์ที่ถูกเร้าจนเกิดความคิดคล้อยตามอย่างไม่คิดถึงเหตุผล การพูดบางประเภท เช่น โฆษณา การอภิปรายหาเสียง ผู้ฟังจะต้องระมัดระวังในการหาเหตุผลที่ถูกต้องก่อน ประเมินค่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการโฆษณาซึ่งต้องเกี่ยวข้องกับผู้บริโภคในชีวิตประจำวัน เราจึงต้องพิจารณาให้ ถึงวันก่อนตัดสินใจ 2.5 วิธีการวิเคราะห์และประเมินค่าจากการฟัง ก่อนการประเมินค่าสารจากการฟังผู้ฟังควรปฏิบัติดั้งนี้ 2.5.1 ฟังด้วยความตั้งใจผู้ฟังต้องมีสมาธิติดตามเรื่องราวที่ฟังให้ตลอดพร้อมทั้งแยกแยะได้ว่าข้อความใด เป็นใจความสำคัญข้อความใดเป็นพลความ 2.5.2 ฟังแล้วจับประเด็นได้ผู้ฟังต้องจับประเด็นหลักของเรื่องที่ฟังโดยพิจารณาจากบริบท


16 2.5.3 ผู้ฟังต้องสังเกตกิริยาท่าทาง หรือน้ำเสียงประกอบกับถ้อยคำหรือข้อความเพื่อหาความสัมพันธ์กัน แล้วสรุปว่าอะไรเป็นข้อเท็จจริงอะไรเป็นข้อคิดเห็นของผู้พูด 2.5.4 ตีความถ้อยคำ สำนวนโวหารประกอบคำพูดที่พูดขยายเรื่องตามกลวิธีการพูดเพื่อให้น่าสนใจ สามารถสรุปแนวคิดหรือความหมายที่ผู้พูดแฝงไว้ในสารนั้นได้ 2.5.5 เมื่อจับประเด็นสำคัญของเรื่องได้สามารถแยกแยะได้ว่าข้อความใดเป็นข้อเท็จจริง ข้อความใดเป็น ข้อคิดเห็นแล้วก็จะประมาณค่าได้ว่า สิ่งใดเป็นความรู้ เป็นข้อคิดที่เป็นประโยชน์หรือเป็นข้อที่ไม่ควรปฏิบัติเพื่อ นำมาปรับ ใช้ในชวีติประจำวันต่อไป 2.6 การวิเคราะห์และประเมินค่าสารจากการดู การดูเป็นการใช้สายตาเพื่อให้เห็นประกอบกับการพิจารณาเพื่อให้เกิดความเข้าใจในการดูนั้นการดูต้อง อาศัยการสังเกตและพิจารณาในรายละเอียดติดตามอย่างต่อเนื่องจึงจะทำให้การดูเกิดประสิทธิผล 1. จุดมุ่งหมายในการดู บุคคลมีจุดมุ่งหมายของการดูในชีวิตประจำวันดังต่อไปนี้ 1.1 เพื่อความเพลิดเพลิน ผ่อนคลาย เช่น การดูละคร ดูภาพยนตร์ ดูเกมโชว์ ดูการ์ตูน ดูการละเล่น ดู กีฬา ดูรายการต่าง ๆ ทางสื่อ โทรทัศน์ เป็นต้น 1.2 เพื่อความรู้และความเข้าใจ เช่น รายการข่าว สารคดี หรือรายการปกิณกะอื่น ๆ เช่นรายการกระจก หกด้านกบนอกกะลา ท่องโลกกว้าง คุณพระช่วย ถ้าคุณแน่อย่าแพ้เด็กประถม จดหมายเหตุกรุงศรีฯ เป็นต้น 1.3 เพื่อให้เกิดความคิดนำแง่คิดที่ได้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น รายการสู้แล้วรวย เร่ืองจริง ผ่านจอ วันนี้ที่รอคอย มดคันไฟปราชญ์เดินดินคนค้นฅน เป็นต้น 1.4 เพื่อความจรรโลงใจ ทำให้เกิดความรู้สึกดีเบิกบานผ่องแผ้ว ยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น เช่น รายการพระมาแล้ว คำกล่าวให้โอวาท สุนทรพจน์ แผ่นดินธรรมแผ่นดินทอง การแสดงพระธรรมเทศนา ตลอดจนละคร หรือคำประพันธ์ ซึ่งผู้ดูสามารถรับรู้ความคิดและนำไปใช้ประโยชน์นอกเหนือจากความ เพลดิ เพลนิ ได้ 1.5 เพื่อประเมินผลและวิจารณ์ผู้ดูต้องพิจารณาว่าการส่งสารนั้นควรเชื่อถือได้เพียงใด เป็นโฆษณาชวน เชื่อหรือไม่ผู้ส่งสารมีอคติหรือไม่มีจดุ ประสงค์อย่างไร เช่น โฆษณา ข่าวการเมืองรายการมิติลี้ลับ บันทึกลึกลับ เป็นต้น 2. ลักษณะของการดู การดูในชีวิตประจำวันของบุคคลมี 2 ลักษณะดังนี้ 2.1 ดูโดยไม่ผ่านสื่อ เป็นการใช้สายตาในการดูสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นของจริงและกำลังปรากฏให้เห็นอยู่ ได้แก่ การดูการแสดง เช่น ลิเก ดนตรี มายากล กายกรรม ฯลฯ การดูกีฬา กรีฑา เช่น ฟุตบอล ตะกร้อ พุ่งแหลน วิ่ง


17 ฯลฯ ดูสิ่งก่อสร้าง ตึกรามบ้านช่อง สถาปัตยกรรม จิตรกรรม หรือประติมากรรม ดูกิจกรรมที่ตนเองกระทำ ดูการ สาธิตจากผู้อื่น การดูสิ่งแวดล้อมรอบตัว เช่น ดูต้นไม้รถแล่นผ่าน คนที่เดินสวนมาสัตว์เลี้ยงนก ทิวทัศน์ ฯลฯ 2.2 การดูโดยผ่านสื่อ ได้แก่ สื่อสิ่งพิมพ์ เช่น หนังสือ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร แผ่นพับ ป้ายโฆษณา ฯลฯ สื่อโสตทัศนูปกรณ์ เช่น กล้องถ่ายรปู กล้องส่องทางไกล กล้องจุลทรรศน์ ตลอดจนสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น คอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ ซีดีรอม วีดีทัศน์ โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ เป็นต้น 3. วิธีวิเคราะห์และประเมินค่าจากการดูโดยทั่วไป การวิเคราะห์และประเมินค่าจากการดูมีวิธีการดังนี้ 3.1 ติดตามเรื่องที่ดูอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ 3.2 ใช้ความรู้ประสบการณ์ พิจารณาสิ่งที่ดูอย่างละเอียด แยกแยะข้อเท็จจริงข้อคิดเห็นอย่างมีเหตุผล 3.3 จับประเด็นสิ่งที่ดูจนสามารถตอบตนเองได้ว่าได้รับความรู้ ข้อคิดและความเพลิดเพลินจากสิ่งที่ดู 3.4 บอกประโยชน์และคณุค่าจากการดูได้ 4. การวิเคราะห์และประเมินค่าสารจากการดูโทรทัศน์ โทรทัศน์เป็นสื่อประเภทโสตทัศน์ที่ได้รับความนิยมจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตในสังคมยุคปัจจุบัน ด้วยความสามารถในการเข้าถึงทุกครัวเรือน ความรวดเร็วในการสื่อสารความดึงดูดใจจากภาพเคลื่อนไหวและเสียง ตลอดจนความหลากหลายของรายการ 4.1 ประเภทของรายการโทรทัศน์ รายการโทรทัศน์ จำแนกตามเนื้อหาแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ได้ดังนี้ 4.1.1 รายการแนวข่าวสารและสารคดีได้แก่ รายการข่าวและวิเคราะห์ข่าว รายการสารคดี รายการ ศึกษา รายการสนทนา รายการบรรยายนอกสถานที่ 4.1.2 รายการแนวบันเทิงคดีได้แก่ รายการละคร รายการตลก ภาพยนตร์ การ์ตูน เกมและแข่งขันตอบ ปัญหาปกณิกะบันเทิง ดนตรี เพลงและกีฬาซึ่งแยกย่อยแนวรายการได้อีก 2 ลักษณะ คือ 1) รายการแนวที่มีส่วนร่วมของผู้ชมและวิทยากรรับเชิญ ได้แก่ รายการเปิดสายจากผู้ชม รายการอภิปราย รายการเพื่อผู้บริโภค 2) รายการโฆษณา ได้แก่ โฆษณาสินค้า ประกาศบริการ รายการรณรงค์เพื่อสังคมปัจจุบันมี รายการผสม 2 ลักษณะ ได้แก่ รายการแนวละครผสมตลก รายการสารคดีผสมละคร เปน็ ตน้ 4.2 การวิเคราะห์ข่าวจากการดู ข่าว คือ การรายงานเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นโดยนักข่าวจะเป็นผู้คอยสังเกตการณ์แล้วรายงานไปให้ ผู้รับสารรับรู้ แต่ทั้งนี้ด้วยข้อจำกัดในด้านเนื้อที่และเวลาของสื่อ จึงทำให้ไม่สามารถรายงานเหตุการณ์ทุกอย่างได้ ผู้สื่อข่าวหรือนักข่าว จึงต้องเลือกนำเสนอเพียงบางข่าวบางประเด็นเท่านั้นขึ้นอยู่กับว่าข่าวนั้น ๆ มีคุณค่าของความ เป็นข่าว (News worthiness) มากน้อยเพียงใด โดยเกณฑ์ที่ใช้ในการพิจารณาคณุค่าของข่าวสาร คือองค์ประกอบ


18 ของข่าว (News elements) ได้แก่ 4.2.1 องค์ประกอบของข่าว 1) ความรวดเร็ว (Immediacy) หรือความสด (Timeliness) ข่าวจะต้องเป็น เหตุการณ์ที่มีความรวดเร็วในการนำเสนอและเป็นเหตุการณ์ที่มีความทันสมัยสดใหม่ทันต่อเหตุการณ์ 2) ความใกล้ชิด (Nearness) ข่าวที่มีความใกล้ชิดกับผู้รับสารมากเท่าใดผู้รับสารก็จะให้ความ สนใจต่อข่าวมากยิ่งขึ้น 3) ความสำคัญหรือความเด่น (Prominence) ทั้งนี้อยู่ที่ว่าข่าวนั้นจะเด่นในเรื่องใดอาจเป็นเรื่อง ของบุคคลที่มีความเด่น ฐานะของผู้เป็นข่าว เวลาหรือสถานที่ที่เป็นข่าวจะมีความสำคัญต่อข่าวเช่นกัน 4) ผลกระทบ (Impact) คือ ความใกล้ชิดเกี่ยวข้องกับผู้รับสารโดยตรงหรือมีผลกระทบต่อคน จำนวนมาก 5) ความมีเงื่อนงำ (Suspense) เงื่อนงำ คือ การค้นหาข้อเท็จจริง การมีปมในข่าวเงื่อนงำ น่าสนใจ น่าติดตาม 6) ความผิดธรรมดา (Oddity) อาจเป็นเรื่องของคนในข่าว สิ่งของหรืออื่น ๆ ที่สามารถเป็น ข่าว ได้นั้นต้องมีความแปลกเป็นที่น่าสนใจของผู้บริหาร 7) ความขัดแย้ง (Conflict) อาจเป็นความขัดแย้งระหว่างบุคคลกลุ่มบุคคลประเทศหรือระหว่าง ประเทศ เช่น ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างรัฐบาลกับผู้ชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย หรือความขัดแย้งใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย 8) องค์ประกอบของเพศ (Sex) เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างชาย-หญิง เช่นความรัก กาแต่งงาน การหย่าร้าง เพศที่สามรวมทั้งการประกวดความงาม เป็นต้น 9) อารมณ์ (Emotion) เป็นข่าวที่สะเทือนอารมณ์ผู้รับสาร เมื่อรับรู้แล้วรู้สึกคล้อยตามข่า ว เช่น ข่าวการตาย การสูญเสียชีวิตที่รันทด 10) ความก้าวหน้า (Development) เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ข่าววิชาการการพัฒนา 11) ความตลกขบขันของชีวิต (Drama) 4.2.2 คณุภาพของข่าว ข่าวจะต้องตอบสนองต่อสังคมอย่างมีคุณภาพ โดยพิจารณาได้จากสิ่งต่อไปนี้ 1) ข่าวจะต้องมีความถูกต้องสมบูรณ์ 2) ข่าวต้องมีความสมดุลและเที่ยงตรง 3) ข่าวจะต้องมีความสดและทันต่อเหตุการณ์ 4) ข่าวจะต้องมีความเป็นกลาง


19 5) ข่าวจะต้องมีความกะทัดรัดชัดเจนและรายงานด้วยภาษาง่าย เลี่ยงคำศัพทเทคนิค 4.2.3 ข้อสังเกตการนำเสนอข่าวทางโทรทัศน์ การนำเสนอข่าวทางโทรทัศน์มีข้อที่ควรสังเกตดังต่อไปนี้ 1) ไม่สามารถนำเสนอข่าวได้รวดเร็วเท่าวิทยุเพราะมีข้อจำกัดเรื่องภาพและการตัดสัญญาณจาก รายการปกติ 2) เสนอข่าวได้เช่นเดียวกับวิทยุแต่อาจมีปัญหาในการติดตั้งอปุกรณ์ 3) เสนอข่าวได้น้อยกว่ารายการวิทยุ 4) แม้จะให้รายละเอียดได้มากกว่าวิทยุแต่ก็น้อยกว่าหนังสือพิมพ์ 5) เร้าความสนใจผู้ชมได้มากที่สุดเพราะมีทั้งภาพและเสียง 6) ต้องตั้งใจดูและฟัง ยกเว้นต้องการฟังเพียงอย่างเดียว 7) สามารถดูได้ทุกเพศทุกวัย 4.2.4 แนวคิดสำคัญต่อคณุลักษณะและคุณค่าของข่าว แนวคิดทางการสื่อสารที่มีต่อคณุลักษณะของข่าวและคุณค่าของข่าวประกอบด้วย 1) แนวคิดตามโครงสร้างหน้าที่ แนวคิดนี้เชื่อว่าคุณค่าข่าวเป็นคุณลักษณะที่มีอยู่แล้วโดย ธรรมชาติในบางเรื่องหรือบางเหตุการณ์ สื่อมวลชนนำเสนอเพื่อช่วยให้สังคมทราบความเคลื่อนไหวต่างๆ ที่เกิดขึ้น ในชมุชนและโลก 2) แนวคิดเชิงวิพากษ์ แนวคิดนี้เชื่อว่าข่าวเป็นเสมือนสินค้าที่ถกู ผลิตขึ้นมาโดยถูกกำหนดและ ควบคุมโดยชนชั้นปกครองหรือเจ้าของทุนเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดให้มากที่สุด ข่าวที่มีคุณค่าจึง หมายถึงข่าวที่ขายได้และค่านิยมต่าง ๆ ในเนื้อหาข่าวเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดและควบคุมโดยชนชั้นปกครองหรือ เจ้า ของทนุ 3) แนวคิดทางวัฒนธรรมศึกษา แนวคิดนี้เชื่อว่า “ข่าว” ไม่ใช่รายงานตามความเป็นจริงทั้งหมดที่ เกิดขึ้น แต่เป็นเพียง “ความจริงที่ถูกประกอบสร้าง” บนพื้นฐานข้อเท็จจริงของเหตุการณ์นั้น ๆโดยผู้รายงานข่าว จะเป็นผู้สร้างความหมายให้กับเรื่องที่เกิดขึ้นในสังคมโดยใช้เทคนิคหรือทักษะของมืออาชีพที่ผู้ชมคุ้นเคย มีการ เข้ารหัสทางวัฒนธรรมและผ่านกระบวนการครอบงำทางสังคม ข่าวจึงเป็นสินค้าที่มีมูลค่า และค่านิยมบางอย่างที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อครอบงำมุมมองอื่น ๆ 5. การวิเคราะห์จากการดูละครโทรทัศน์ ละคร หมายถึง ศิลปะการแสดงที่เกิดขึ้นจากการนำภาพประสบการณ์และจินตนาการของมนุษย์มาผูก เป็นเรื่องราวแล้วนำเสนอแก่ผู้ชมโดยมีผู้แสดงเป็นผู้สื่อความหมาย 5.1 ประเภทของละคร แบ่งออกเปน็ ๒ ประเภทดังนี้


20 5.1.1 ละครแนวเหมือนจริง (Representation drama) คือละครที่ให้ภาพชีวติ ความเป็นจริง สะท้อนชีวติ ในสังคมและความเป็นอยู่ของชุมชนออกมาเป็นเรื่องราวดังคำกล่าวที่วา “ละครคือ ชีวติ ” 5.1.2 ละครแนวไม่เหมือนจริง (Presentation drama) คือ ละครที่ให้ภาพของการแสดง หลุดออกไปจากชีวิตประจำวัน โดยยึดคนดูเป็นเป้าหมายสำคัญเพื่อให้คนดูเกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน ตื่นเต้นและผู้ดูจะเกิดความรู้สึกว่าสิ่งที่ปรากฏไม่ใช่ชีวิตจริง เช่น การแสดงโขน ละครรำ ซึ่งฉากและเครื่องแต่งกาย จะหรูหราเกินจริง แต่ก็สวยงามประณีตวิจติรบรรจง มีเสน่ห์ประทับใจคนดู 5.2 องค์ประกอบของละคร การแสดงที่เป็นละครจะต้องมีองค์ประกอบ ดังนี้ 5.2.1 เรื่อง (Story) ตัวละครเจรจาไปตามเนื้อเรื่องของบทละคร ผู้เขียนบทจะต้องมี ความสามารถในการบรรยายบุคลิกลักษณะนิสัยของตัวละครได้ชัดเจน 5.2.2 เนื้อหาสรุป (Subject) หรือแนวคิด (Theme) เช่น ต้องการให้เกิดความกตัญญูความรัก ชาติหรือมุ่งสอนจริยธรรม 5.2.3 นิสัยตัวละคร (Characterization) บุคลิกลักษณะนิสัยของตัวละครต้องตรงกับเนื้อหา สรุป 5.2.4 บรรยากาศ (Atmosphere) หมายถึง การสร้างบรรยากาศรอบ ๆ ที่เกี่ยวกับตัวละคร เพื่อ ช่วยให้ผู้ชมละครมีความรู้สึกคล้อยตามไปกับตัวละคร 5.3 จุดมุ่งหมายของละคร ละครมีจุดมุ่งหมายเพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์ 3 ระดับดังนี้ 5.3.1 อารมณ์ละครมีจุดมุ่งหมายให้ความบันเทิงแก่มนุษย์ได้ผ่อนคลายความเครียด บางครั้งอาจกระตุ้น อารมณ์ให้เกิด ความรู้สึกตื่น เต้น ทำให้มนุษย์มีความสุข กระตือรือร้น ในการดำเนิน ชีวิต 5.3.2 สมอง ละครให้คุณค่าทางสติปัญญา โดยการดูละครแล้วกลับมาพิจารณาปัญหาต่าง ๆ เกี่ยวกับตนเอง เกี่ยวกับ สังคมส่วนรวม 5.3.3 จิตใจ ความสัมพันธ์ของละครกับจิตใจมนุษย์มีมาแต่โบราณ จะเห็นได้ว่าละครตะวันออก และตะวันตกล้วนถือกำเนิด มาจากพิธีบวงสรวงเทพเจ้า เพื่อขอพรพระและให้เทพเจ้าบันดาลสิ่งที่ตนปรารถนา ดังนั้น ผู้ดูละครจึงควรดูอย่างวิเคราะห์ว่า ละครสามารถให้ได้ทั้งความบันเทิงกระตุ้นเร้าความคิด ให้การศึกษา ความสนุกสนาน เพลินเพลิน สอนบทเรียน ให้ความฝันที่คนดูปรารถนาเป็นเสมือนโลกที่งดงาม ให้ผู้คนหลีกหนีจากชีวิตที่สับสน ได้พักสมองคลายความเครียดได้ชั่วขณะหนึ่ง หากผู้ดูดูอย่างเข้าใจจะทำให้ ได้รับทั้ง อรรถรสและประโยชน์จากการดูอย่างเต็มที่


21 หน่วยที่ 3 การวิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินค่าสารจากการอ่าน การอ่านเป็นทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อการศึกษาหาความรู้และพัฒนาชีวิตซึ่งนอกจากจะทำให้เกิดความรู้ แล้ว ยังก่อให้เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลินและส่งเสริมให้มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ได้รับแนวคดิ ในการดำเนิน ชีวิต การอ่านเป็นหัวใจหลักของการศึกษาทุกระดับและเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ต่าง ๆดังนั้นการอ่านจึง เป็นความรู้พื้นฐานสำคัญเพื่อใช้ในการศึกษาหาความรู้การติดต่อสื่อสารรวมถึงเป็น เครื่องมือที่ใช้ในการดำรงชีวติ ประจำวัน 3.1 ความหมายและความสำคัญของการอ่าน อมรรัตน์ชำนาญรักษา (2555, สื่อออนไลน์) ให้ความหมายไว้ว่า การอ่าน หมายถึง การแปลความหมาย ของตัวอักษรที่อ่านออกมาเป็นความรู้ความคิด และเกิดความเข้า ใจเรื่องราวที่อ่านตรงกับเรื่องราวที่ผู้เขียนเขียน ผู้อ่านสามารถนำความรู้ ความคิด หรือ สาระจากเรื่องราวที่อ่านไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ การอ่านมีความสำคัญดัง นี้ 1) การอ่านเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในวัยศึกษาเล่าเรียนจำเป็นต้องอ่าน หนังสือเพื่อการศึกษาหาความรู้ด้านต่าง ๆ 2) การอ่านเป็นเครื่องมือช่วยให้ประสบความสำเร็จในการประกอบอาชีพเพราะสามารถนำความรู้ที่ได้จาก การอ่านไปพัฒนางานของตนได้ 3) การอ่านเป็นเครื่องมือสืบทอดทางวัฒนธรรมของคนรุ่นต่อ ๆ ไป 4) การอ่านเป็นวิธีการส่งเสริมให้คนมีความคิดอ่านและฉลาดรอบรู้ เพราะประสบการณ์ที่ได้จากการ อ่านเมื่อเก็บสะสมเพิ่มพูนนานวันเข้าก็จะทำให้เกิดความคิดเกิดสติปัญญา เป็นคนฉลาดรอบรู้ได้ 5) การอ่านเป็นกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความเพลิดเพลินบันเทิงใจ เป็นวิธีหนึ่งในการแสวงหาความสุขให้กับ ตนเองที่ง่ายที่สุด และได้ประโยชน์คุ้มค่าที่สุด 6) การอ่านเป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตทำให้เป็นคนที่สมบูรณ์ทั้งด้านจิตใจและบุคลิกภาพ เพราะเมื่อ อ่านมากย่อมรู้มาก สามารถนำความรู้ไปใช่ในการดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุข 7) การอ่านเป็นเครื่องมือในการพัฒนาระบบการเมืองการปกครอง ศาสนา ประวัติศาสตร์ และสังคม 8) การอ่านเป็นวิธีการหนึ่งในการพัฒนาระบบการสื่อสารและการใช้เครื่องมือทางอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ 3.2 จุดมุ่งหมายของการอ่าน การอ่านจากหนังสือและสื่อแต่ละครั้งของแต่ละคนจะมีจุดมุ่งหมายแตกต่างกันออกไป อาจจำแนกได้ กว้าง ๆ ดังนี้ 3.2.1 อ่านเพื่อหาความรู้การอ่านเพื่อหาความรู้ ได้แก่ การอ่านหนังสือจากหนังสือประเภทตำรา ทางวิชาการ สารคดีทางวิชาการ การวิจัยประเภทต่าง ๆ หรือการอ่านผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ การอ่านจากหนังสือที่ มีสาระเดียวกันควรอ่านจากผู้เขียนหลาย ๆ คน เพื่อเป็นการตรวจสอบความถูกต้องแม่นยำของเนื้อหา ผู้อ่านจะได้


22 มีมุมมองที่กว้างขึ้น มีความรอบรู้ได้แนวคิดที่หลากหลาย และไม่ควรอ่านเฉพาะในเนื้อหาวิชาที่ตนชอบเท่านั้น ควร อ่านอย่างหลากหลายเพราะความรู้ในวิชาหนึ่ง อาจนำไปช่วยเสริมในอีกวิชาหนึ่งได้ 3.2.2. อ่านเพื่อความบันเทิง การอ่านเพื่อความบันเทิง ได้แก่ การอ่านจากหนังสือประเภทสารคดี ท่องเที่ยว นวนิยาย เรื่องสั้น เรื่องแปล การ์ตูน บทประพันธ์ บทเพลง แม้จะเป็นการอ่านเพื่อความบันเทิง แต่ผู้อ่าน จะได้ความรู้ที่สอดแทรกอยู่ในเรื่องด้วย การอ่านประเภทนี้มีข้อควรระวังว่าปัจจุบันหนังสือบางชนิดมีเนื้อหาสาระ และรูปภาพที่ขัดต่อวัฒนธรรมและจารีตประเพณีไทย ผู้อ่านจึงควรพิจารณาเลือกให้ดี 3.2.3. การอ่านเพื่อทราบข่าวสาร ความคิด การอ่านเพื่อทราบข่าวสารความคิด ได้แก่ การอ่านหนังสือ ประเภทบทความบทวิจารณ์ข่าวรายงานการประชุมข้อควรระวังในกาอ่านประเภทนี้คือ ผู้อ่านมักเลือกอ่าน สื่อที่สอดคล้องกับความคิดและความชอบของตน จึงทำให้ปิดกั้นการรับรู้และแนวคิดด้านอื่น ๆ ดังนั้น ถ้าจะเกิด ประโยชน์อย่างแท้จริงต้องเลือกอ่านอย่างหลากหลายไม่เจาะจงอ่านเฉพาะสื่อที่นำเสนอตรงกับความคิดของตน เพราะจะทำให้มีมุมมองที่กว้างขึ้นอันจะช่วยให้เรามีเหตุผลอื่นๆ มาประกอบการวิจารณ์ วิเคราะห์ได้ลุ่มลึกมากขึ้น 3.2.4. การอ่านเพื่อจุดประสงค์เฉพาะแต่ละครั้ง การอ่านเพื่อจุดประสงค์เฉพาะแต่ละครั้ง ได้แก่ การอ่านที่ไม่ได้เจาะจง แต่เป็นการอ่านเป็นครั้งคราวในเรื่องที่ตนสนใจหรืออยากรู้ เช่น การอ่านประกาศต่าง ๆ การอ่านโฆษณา แผ่นพับประชาสัมพันธ์ สลากยา การอ่านสมุดโทรศัพท์หน้าเหลือง การอ่านข่าวสังคม ข่าวบันเทิง ข่าวกีฬา การอ่านประเภทนี้มักใช้เวลาไม่นานและไม่กระทำทุกวัน ส่วนใหญ่เป็นการอ่านเพื่อให้ความรู้แนะนำไปใช้ หรือนำไปเป็นหัวข้อสนทนา บางครั้งก็เพื่อฆ่าเวลา 3.3 ลักษณะของการอ่าน ลักษณะของการอ่านแบ่ง เป็น ๒ ประเภท ดังนี้ 3.3.1 การอ่านในใจ คือ การแปลความหมายของตัวหนังสือออกมาเป็นความคิดความเข้าใจ และ นำความคิดความเข้าใจนั้นมาใช้ประโยชน์ การอ่านในใจเป็นกลไกทที่ทำงานร่วมกันระหว่างสายตากับสมองเป็น การอ่านที่มุ่งจับใจความสำคัญผู้อ่านจึงควรอ่านให้ได้รวดเร็วถูกต้อง และควรทำบันทึกย่อในเรื่องที่อ่านด้วย 3.3.2 การอ่านออกเสียง เป็นกระบวนการที่ทางานสอดคล้องสัมพันธ์ระหว่างสายตามองเห็น ตัวอักษร สมองรับรู้แล้วเปล่งเสียงเพื่อให้ผู้อื่นได้ฟังหรือเพื่อฝึกทักษะการออกเสียง 3.4 ขั้นตอนของการอ่านโดยทั่วไป การอ่านโดยทั่วไปมีข้นั ตอนดงั นี้ 3.4.1 กำหนดจุดประสงค์ในการอ่านให้แน่นอน ก่อนการอ่านหนังสือทุกครั้งผู้อ่านต้องตั้งวัตถุประสงค์ไว้ ว่าต้องการอ่านเพื่ออะไร เพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลิน หรือเพื่อศึกษาหาความรู้ ขณะอ่านต้องพยายามค้นหาสิ่ง ที่ต้องการจากหนังสือที่อ่านให้ได้มากที่สุดเพื่อให้ได้รับประโยชน์จากการอ่านอย่างคุ้มค่าการอ่านหนังสือโดยทั่วไป มีหลายวิธีดังนี้


23 1) อ่านผ่าน ๆ หรืออ่านคร่าว ๆ การอ่านแบบนี้ไม่ต้องอ่านรายละเอียดแต่จะอ่านเฉพาะหัวข้อสำคัญเพื่อหา แนวทางหรือหาสิ่งที่เราต้องการ บางตอนก็ข้ามไปบ้างเมื่อเห็นว่าข้อความนั้นไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการใช้กับการอ่าน หนังสือพิมพ์หรือนวนิยาย 2) อ่านอย่างละเอียด วิธีนี้ต้องอ่านละเอียดทุกตัวอักษร ต้องให้ความสนใจมากอ่านอย่างมีสมาธิ ไม่หยุดครึ่ง ๆ กลาง ๆ ขณะอ่านต้องพยายามติดตามเรื่องถ้ามีข้อความตอนใดที่เห็นว่าควรจะจดจำควรขีดเส้นใต้ไว้ ให้เห็นเด่นชัดการอ่านแบบนี้ใช้อ่านตำราเรียนบทความ 3) อ่านอย่างวิเคราะห์วิจารณ์ หมายถึงการอ่านอย่างละเอียดทุกตัวอักษร และเมื่ออ่านจบแล้ว ต้องแยกแยะได้ว่าอะไรคือข้อเท็จจริง อะไรคือความเห็น อะไรถูก อะไรผิด ถ้าผิดก็ต้องทราบว่าผิดอย่างไรขณะอ่าน ควรใช้ความคิดวิจารณ์ในเรื่องที่อ่านด้วยว่าวิธีเขียนเป็นอย่างไร ชอบหรือไม่ชอบ ตอนไหนเพราะเหตุใดวิธีนี้ใช้กับ การอ่านกฎเกณฑ์ ทฤษฎีต่าง ๆ ตลอดจนคำโฆษณาชวนเชื่อ 4) พยายามทความเข้าใจกับเรื่องที่อ่าน 5) มีสมาธิในการอ่าน 6) เมื่ออ่านจบ ทบทวนเรื่องที่อ่านอีกครั้ง 3.5 ประโยชน์จากการอ่าน การอ่านมีความสำคัญต่อชีวิตมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนโต และจนกระทั่งถึงวัยชรา การอ่านทำให้รู้ข่าวสาร ข้อมูลต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งปัจจุบันเป็นโลกของข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ทั่วโลก ทำให้ผู้อ่านมีความสุข มีความหวัง และมีความอยากรู้อยากเห็น อันเป็นความต้องการของมนุษย์ทุกคน การอ่านมีประโยชน์ในการพัฒนาตนเอง คือพัฒนาการศึกษา พัฒนาอาชีพ พัฒนาคุณภาพชีวิต ทำให้เป็นคนทันสมัย ทันต่อเหตุการณ์ และมีความอยากรู้ อยากเห็นการที่จะพัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าได้ต้องอาศัยประชาชนที่มีความรู้ความสามารถ ซึ่งความรู้ ต่าง ๆ ก็ได้มาจากการอ่านนั่นเอง ดังนั้นการอ่านจึงมีประโยชน์ดังนี้ 3.5.1 ช่วยให้เป็นคนเรียนเก่ง เพราะเมื่ออ่านเก่งแล้วจะเรียนวิชาต่าง ๆ ได้ดี 3.5.2 ช่วยให้เป็นผู้ประสบความสำเร็จในการประกอบอาชีพเพราะได้อ่านเอกสารที่ให้ความรู้ในการ ปรับปรุงงาของตนอยู่เสมอ 3.5.3 ช่วยให้ได้รับความบันเทิงในชีวิตมากขึ้นเพราะการได้อ่านวรรณกรรมดี ๆ ย่อมทำให้เกิดความ เพลิดเพลินในยามว่าง 3.5.4 ช่วยทำให้ผู้ที่สังคมยอมรับเพราะผู้ที่อ่านมากจะรู้จักปรับตัวให้เข้ากับสังคมได้ดี 3.5.5 ช่วยทำให้เป็นคนที่น่าสนใจเพราะผู้ที่อ่านหนังสือมากจะมีความคิดลึกซึ้งและกว้างขวางสามารถ แสดงความรู้ความคิดเห็นดี ๆ มีประโยชน์ได้ทุกแห่งทุกเวลา


24 3.6 การอ่านวิเคราะห์ การอ่านวิเคราะห์ หมายถึง การอ่านเพื่อแยกแยะข้อความที่อ่านอย่างถี่ถ้วนเพื่อให้ทราบถึงโครงสร้าง องค์ประกอบหลักการและเหตุผลของเรื่องจนสรปุได้ว่าแต่ละส่วนเป็นอย่างไรสัมพันธ์กันอย่างไร เหมือนหรือ แตกต่างกันอย่างไร การอ่านวิเคราะห์ช่วยให้เห็นภาพรวมและรายละเอียดของเรื่องที่อ่าน ฝึกให้อ่านอย่าง รอบคอบ ช่วยให้เข้าใจเรื่องนั้นอย่างแท้จริง ช่วยพัฒนาสติปัญญาเพราะต้องใช้เหตุผลในการอธิบายแง่มุม ต่าง ๆ ซึ่งทักษะในการอ่านนี้สามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ และจะนำไปใช้ในการอา่ นประเมินค่าต่อไป 3.6.1 วิธีการอ่านด้วยความวิเคราะห์ 1) ผู้อ่านควรอ่านเรื่องหนึ่งเรื่องใดเป็นประจำให้ต่อเนื่องกัน และติดตามเรื่องนั้นอย่างสม่ำเสมอ 2) ผู้อ่านควรอ่านเรื่องที่ตนสนใจอย่างสม่ำเสมอ 3) ควรอ่านบทความที่มีการวิเคราะห์วิจารณ์ เพราะจะช่วยให้ผู้อ่านได้รู้ความคิดของคนอื่น ๆ และยังเป็นการเพิ่มพูนความรู้ใหม่ ๆ อีกด้วย 4) ถ้าผู้อ่านมีโอกาสแสดงความคิดเห็นต่อบทวิเคราะห์วิจารณ์ของผู้เขียนคนอื่น จะทำให้ ผู้เขียนนั้นได้รู้่ว่าที่เขาคิดนั้นคิดถูกหรือ ผิดอย่างไร 5) ถ้าผู้อ่านมีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้อ่านคนอื่นจะทำให้รู้และเข้าใจความคิด ของผู้อ่านคนอื่นซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้เกิดความคิดใหม่ ๆ หรือเกิดความคิดในสิ่งที่เราคิดไม่ถึงมาก่อน 3.6.2 ข้อเสนอแนะในการอ่านด้วยความวิเคราะห์ 1) อ่านหนังสือเรื่องนั้น ๆ อย่างละเอียดตั้งแต่ต้นจนจบและพินิจพิจารณาหาเหตุผลประกอบ 2) อ่านหนังสืออื่นๆ ประกอบเพื่อเสริมสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องก่อนที่จะประเมินค่า 3) ใช้ความรู้ ประสบการณ์ และวิจารณญาณในการแยกแยะส่วนที่ดี ส่วนที่บกพร่องอย่างเป็น เหตุเป็นผล 4) เมื่ออ่านหนังสือเรื่องนั้น ๆ จบสามารถตอบตนเองได้ว่าได้รับอะไรบ้างจากการอ่านเรื่องนั้น ๆ เช่น ได้รับความรู้ ความบันเทิง ข้อคิดเห็นที่เป็น ประโยชน์ และเรื่องนั้นมีคุณค่า อย่างไร เป็นต้น 3.6.3 ประโยชน์ของการอ่านด้วยความวิเคราะห์ 1) ได้รู้ว่าข้อมูลส่วนใดเป็นความจริงส่วนใดเป็นความเห็น 2) ทำให้ผู้อ่านมีความใฝ่รู้อยากอ่านหนังสืออยู่เสมอ 3) เป็นการกระตุ้นให้ผู้อ่านเกิดความคิดและทัศนะที่กว้างไกลออกไปเมื่อได้ตั้งคำถามถามตนเอง อยู่เสมอ ๆ 4) ผู้อ่านจะไม่ยึดมั่นในตำราเพียงเล่มหนึ่งเล่มใดอีกต่อไป 5) ผู้อ่านจะไม่ตกเป็นเหยื่อคำโฆษณาชวนเชื่อแต่จะรู้จักตัดสินใจด้วยตนเองอย่างถูกต้อง 6) รู้จักการประเมินค่าเรื่องที่อ่านด้วยความรอบคอบและอย่างมีเหตุมีผลซึ่งสามารถนำไปใช้ประ


25 โยชนในชีวิตประจำวันในสังคมหรือแม้แต่ในการศึกษาวิชาอื่นๆ ได้ 3.7 การอ่านประเมินค่า การอ่านประเมินค่า เป็นการอ่านเพื่ออธิบายลักษณะดีลักษณะบกพร่องของงานเขียนในแง่มุมต่าง ๆ ได้แก่ ด้านเนื้อเรื่อง ด้านความคิดเห็น ด้านทำนองแต่ง เป็นต้น อธิบายให้ผู้อ่านเข้า ใจแล้วต้องวินิจฉัยว่า งานนั้น เขียนดีหรือไม่ดี ผู้ประเมินค่าจะต้องหยบิ ยกส่วนประกอบที่สำคัญมาวิพากษ์วิจารณ์ทุกแง่ทกุ มุม เพื่อให้ผู้อ่าน คล้อยตามและเห็นดีเห็นงามตามมุมมองของผู้ประเมินค่า ซึ่งผลจากการเผยแพร่การประเมินค่าจะช่วยให้เกิด งานเขียนที่สร้างสรรค์ทำให้ผู้เขียนหรือผู้แต่งสร้างสรรค์งานคณุภาพเพื่อผู้อ่านและช่วยให้งานเขียนแพร่หลาย ยิ่งขึ้น 3.7.1 การอ่านประเมินค่าโดยทั่วไป 1) ต้องอาศัยหลักเกณฑ์การประเมินค่าตามชนิดของสารที่อ่าน 2) ต้องมีความสามารถในการอ่าน ใช้วิจารณญาณใคร่ครวญทุกแง่ทุก มุมของงานเขียน 3) ต้องค้นหาข้อดี ข้อบกพร่องของงานเขียนให้ได้ 3.7.2 รูปแบบของงานเขียน รูปแบบของงานเขียนโดยทั่วไปแบ่งเป็น ๒ รูปแบบดังนี้ 1. สารคดี เสนอความรู้ที่น่าสนใจ ถูกต้อง และน่าเชื่อถือ เสนอความเห็นที่มีเหตุผล มีความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ จริงใจ และเป็นกลาง การนำเสนอเรื่องสนุกสนาน ชวนติดตามต่อเนื่อง ใช้ภาษาชัดเจน เข้าใจง่าย เหมาะกับผู้อ่าน 2. บันเทิงคดีการอ่านบันเทิงคดีต้องพิจารณาส่วนประกอบดังนี้ 1) พิจารณาองค์ประกอบของเรื่อง 1.1) โครงเรื่องต้องแสดงการกระทำและเหตุการณ์ที่เกี่ยวโยงต่อเนื่องกันมีลักษณะสมจริง 1.2) เนื้อเรื่องก่อให้เกิดความเพลิดเพลินและสติปัญญาแกผู้อ่าน 1.3) แนวคิดของเรื่องชัดเจนและมีคุณค่าแกผู้อ่าน 1.4) ตัวละครและฉากมีลักษณะสมจริง และช่วยเสนอแนวคิดของเรื่อง 2) การเสนอเรื่องชวนติดตามเร้าความสนใจของผู้อ่าน 3) การใช้ภาษาชัดเจน และเข้าใจง่าย 3.7.3 คุณสมบัติของผู้ประเมินค่า ผู้ประเมินค่าจากการอ่านควรมีคุณสมบัติดังนี้ 1) มีความรู้เกี่ยวกับผลงานที่ประเมินค่า 2) รู้หลักการประเมินค่า หรือหลักการวิพากษ์วิจารณ์ 3) มีความรู้ในสาขาวิชาการต่าง ๆ


26 4) เป็นนักอ่านและสนใจงานทุกประเภท 5) มีใจกว้างยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น 3.7.4 หลักการอ่านประเมินค่า 1) พิจารณาความถูกต้องของภาษาจากเรื่องที่อ่านภาษาที่ไม่ถูกต้องจะทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนไปจาก ความหมายที่แท้จริงความถูกต้องของภาษามีหลายลักษณะ เช่น การใช้คำ ผิดความหมาย การเรียงคำในประโยค ผิด การไม่รู้จักเว้นวรรคตอน เป็นต้น นับเป็นองค์ประกอบสำคัญต่อการสื่อความหมาย 2) พิจารณาความต่อเนื่องของประโยค ว่าเป็นข้อความที่ไปกันได้ ไม่ขัดแย้งกันหรือข้อความที่ให้ ความก้าวหน้าแก่กัน หากข้อความใดมีเนื้อหาสับสนวุ่นวาย ไม่เข้ากับหลักตามข้อนี้ให้ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรอ่าน 3) พิจารณาความต่อเนื่องของความหมาย ความหมายที่ต่อเนื่องต้องมีแกนหลักในการเชื่อมโยความหมาย เช่น การเขียนชีวประวัติ อาจใช้ช่วงเวลาของชีวิตเป็นหลักเกณฑ์ เป็นต้น 4) เมื่ออ่านแล้วต้องแยกข้อเท็จจริงออกจากความคิดเห็นและความรู้สึกจากเรื่องที่อ่าน ตัวอย่าง “ประเทศหนึ่ง ๆ ต่างมีระบอบการปกครองแตกต่างกันออกไป ประเทศรัสเซียได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ ปกครองด้วยระบบสังคมนิยม ไม่มีศาสนา ไม่มีพระมหากษัตริย์ ถ้าข้าพเจ้าต้องมีชีวิตอยู่ที่นั่นคงจะอึดอัดมิใช่ น้อย เพราะข้าพเจ้าถือว่า ทั้งสองสถาบันนี้คือ ศูนย์รวมจิตใจของทกุ คน” (การพูดตามนัย เนื้อหา : อรวรรณ ปิลันธน์โอวาท) ข้อเท็จจริง – ประเทศหนึ่ง ๆ ต่างมีระบอบการปกครองของตนเองไม่เหมือนประเทศอื่นประเทศ รัสเซียมีการปกครองตามระบอบสังคมนิยม ไม่มีศาสนา ไม่มีพระมหากษัตริย์ ความคิดเห็น – เพราะข้าพเจ้าถือว่าทั้ง สองสถาบันนี้คือศูนย์รวมจิตใจของทุกคน ความรู้สึก – ถ้าข้าพเจ้าต้องมีชีวิต อยู่ที่นั่นคงจะอึดอัดใจมีใช่น้อย 5) พิจารณาดูความสัมพันธ์ของหลักการและตัวอย่างว่ามีความจริงอย่างไรสมเหตุผลหรือไม่ก่อนที่จะเชื่อ ในเรื่องที่อ่านนั้น 6) ประเมินข้อเท็จจริง ความคิดเห็น และความรู้สึก วิเคราะห์ ความเป็นไปในความคิดของผู้เขียน กับ ความคิดเห็นส่วนตัวของเรา ผลลัพธ์แห่งการประเมินนั้นจะก่อเป็นความคิดสร้างสรรค์ให้กับเรา หรือ ไม่


27 ตัวอย่าง การประเมินค่าหนังสือรวมเรื่องสั้น “ความน่าจะเปน็ ” ของปราบดา หยุ่น “ความน่าจะเป็น” แสดงความสามารถของผู้เขียนในการนำเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นเรื่องมาเขียนให้เป็น เรื่องน่าขบคิดหรือตั้งคำถามโดยไม่ให้คำตอบ เรื่องสั้นในรวมเรื่องสั้นชุดนี้มีลีลาและกลวิธีการเขียนเฉพาะตัว และมีความหลากหลายแปลกใหม่ใน ด้านกลวิธีและขนบวรรณศิลป์ นอกจากนี้ ยังมีความโดดเด่นด้านการเล่นกับภาษาอย่างมีรากฐานทางวัฒนธรรม ด้วยคุณสมบัติดังกล่าวข้างต้น หนังสือรวมเรื่องสั้น “ความน่าจะเป็น” ของ ปราบดา หยุ่น จึงมี ความดีเด่นสมควรแก่การยกย่องเป็นวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) ของประเทศไทย ประจำปี 2555 ที่มา : คำประกาศของคณะกรรมการตัดสนิ รางวัลซีไรต์ การรู้เท่าทันการสื่อสาร เป็นทักษะชีวิต เป็นวิธีคิดที่เป็นประโยชน์ต่อผู้เรียน การวิเคราะห์และประเมินค่า สารเป็นพื้นฐานในการฝึกการรู้เท่าทันการสื่อสาร ซึ่งเป็นการฝึกให้ผู้สื่อสารรู้เท่าทันการสื่อสารทั้งกระบวนการ ตั้งแต่การรู้เท่าทันจุดมุ่งหมายแท้ ๆ ของผู้ส่งสาร รู้เท่า ทันความหมายแท้ ๆ ของสารรู้เท่าทันสื่อรู้เท่าทันผล โดยตรงและผลกระทบสืบเนื่องของการสื่อสารครั้งนั้น การวิเคราะห์สารทำให้ได้ฉุกใจคิด และการประเมินค่า คือ การเลือกรับ สารอย่างเหมาะสม โดยใช้วิจารณญาณในการคิดไตร่ตรอง ซึ่งเป็นหนทางหนึ่งที่จะช่วยฝึกให้ผู้เรียน เป็นเด็ก ฉลาด รู้จักคิด การที่ผู้สื่อสารสามารถวางท่าทีต่อการสื่อสารครั้งนั้น ๆ ได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม มีวิธีคิดและวิธีทำ (มีการคิดและการตัดสินใจ การเลือกท่าทีที่เหมาะสม และการลงมือทำ) ที่เหมาะแก่สถานการณ์หรือภาวการณ์ นั้น โดยมีเป็นหมายสูงสุดเพื่อให้เป็นผู้มีวุฒิภาวะเข้าใจโลก และรู้เท่าทันชีวิต ดังนั้น การวิเคราะห์และ ประเมินค่าสารเป็นทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อการสื่อสารและพัฒนาชีวิต เพราะจะทำให้มีวิจารณญาณใน การคิดอันจะเป็นประโยชน์ในการดำเนิน ชีวิตในยุคข้อมูลข่าวสาร


28 หน่วยที่ 4 การพูดตามมารยาททางสังคม การพดูเป็นทักษะการส่งสารที่มนุษย์เราใช้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในชีวิตประจำวันและ ในการประกอบอาชีพการพูดที่ดีและสร้างสรรค์ย่อมทำให้ประสบความสำเร็จการพูดในโอกาสต่าง ๆ ในหน่วยนี้ ประกอบด้วยการแนะนำตนเองและผู้อื่น การกล่าวทักทายและโต้ตอบ การตอบรับและปฏิเสธการกล่าวแสดง ความยินดีและการกล่าวแสดงความเสียใจ การพูดในโอกาสต่าง ๆ มีหลักการพูดที่ผู้เรียนสามารถฝึกฝนจนชำนาญ ได้ 4.1 ความหมายและความสำคัญของการพูด การพูดเป็นการส่งสารจากผู้ส่งสารไปยังผู้รับสารด้วยเสียงไม่ว่า จะเป็นเสียงพูดโดยตรงหรือเสียงพูดที่เกิด จากการพูดผ่านไมโครโฟน หรือเสียงจากวิทยุ การพูดในที่นี้จึงหมายถึง การพูดหรือส่งสารให้ผู้อื่นทราบความ ต้องการของผู้พูดโดยใช้ถ้อยคำ น้ำเสียง ตลอดจนอากัปกิริยาต่าง ๆ ดังจะเห็นว่ามีสำนวนสุภาษิตในคำประพันธ์ ต่าง ๆ เช่น ปากเป็นเอก เลขเป็นโท พูดดีเป็น เงินเป็นทอง พูดดีเป็นศรีแก่ตัว เป็นต้น ภาพการพูดสื่อสารในงานอาชีพ การพูดตามมารยาททางสังคมเป็นการพูดเพื่อแสดงความรู้สึกในสถานการณ์ต่าง ๆ มีความสำคัญต่อการ นำไปใช้ในชีวิตประจำวันและการประกอบอาชีพการงานเป็นอย่างมาก ในหน่วยนี้จะกล่าวถึงการแนะนำตนเอง และผู้อื่น การกล่าวทักทายและโต้ตอบ การตอบรับและปฏิเสธ การกล่าวแสดงความยินดี และการกล่าวแสดง ความเสียใจ 4.2 หลักการสำคัญของการพูดตามมารยาททางสังคม การพูดตามมารยาททางสังคมหรือการพูดในโอกาสต่าง ๆ มีหลักการที่ควรคำนึง 4 ประการดังนี้ 1. วิเคราะห์ผู้ฟัง ผู้ฟังเป็นองค์ประกอบสำคัญในการช่วยกำหนดความสำเร็จในการพูด ก่อนพูดต้องวิเคราะห์ผู้ฟัง เพื่อกำหนดแนวทางการพูด ได้แก่ เพศ วัย อาชีพ และพื้นฐานความรู้ของผู้ฟัง


29 2. เนื้อหาสาระ ต้องชัดเจน ตรงประเด็น และกระชับเพื่อให้การพูด นั้นสั้นและประทับใจผู้พูดควรใช้เวลา พูดประมาณ 3-5 นาที 3. การลำดับความและการใช้ภาษา เรียงลำดับเรื่องราวไม่ให้เกิดความสับสน เตรียมคำขึ้นต้นให้น่าสนใจ และประทับใจ ควรหลีกเลี่ยงคำซ้ำ ๆ เช่น ...รู้สึกเป็นเกียรติ ...มีความยินดีมาก ...ไม่คิดเลยว่าจะได้รับเชิญ เป็นต้น 4. การนำเสนอ ผู้พูดควรพูดปากเปล่ากล่าวชื่อ บุคคล สถานที่ชื่องานให้ถูกต้อง ควรคำนึงถึงโอกาสที่พูด ด้วย เช่น ถ้าเป็นโอกาสที่เป็นทางการผู้พูดควรสำรวมเป็น พิเศษ แต่หากเป็นการพูดที่เป็นกันเอง ผู้พูดควรยิ้มแยม้ แจ่มใส 4.3 การแนะนำตนเองและผู้อื่น การแนะนำตนเองและผู้อื่นในแต่ละครั้งมีจุดมุ่งหมายแตกต่างกัน เช่น การแนะนำตนเองในงานสังคมการ แนะนำวิทยากร หลักการแนะนำตนเองที่ควรปฏิบัติมีดังนี้ 1. เริ่มบทสนทนาสั้น ๆ ก่อนแล้วจึงกล่าวแนะนำตนเอง 2. เมื่อมีผู้แนะนำตนเองแล้วคู่สนทนาควรพูดนำเสนอตนเองด้วย 3. มีกิริยาท่าทางที่เป็นมิตร 4. กล่าวชื่อ-นามสกลุ ของตนเองให้ชัดเจนด้วยเสียงดังพอสมควร 5. หากไปติดต่อธุรกิจเมื่อบอกชื่อ – นามสกุลของตนเองแล้วควรบอกกิจธุระของตนด้วย 6. หากเป็นการแนะนำตนเองต่อผู้ใหญ่เมื่อเข้าไปขอสัมภาษณ์ ควรพูดด้วยน้ำเสียงที่ชัดเจน แจ่มใสแจ้ง ให้ ทราบว่าตนเป็นใครมาจากที่ใดมาเพื่อการใดด้วยกิริยามารยาทที่สำรวมและสุภาพการแนะนำตนเองและผู้อื่นมี หลักการปฏิบัติดังนี้ 1. การแนะนำตนเองในการเข้าเรียนหรือ เข้าทำงานใหม่ สิ่งที่ควรแนะนำ คือ 1.1 ชื่อ -นามสกุล 1.2 ระดับ การศึกษา และสถาบันการศึกษา 1.3 ประสบการณ์เดิม 1.4 เข้าเรียน หรือปฏิบัติหน้าที่ใด


30 2. การแนะนำตนเองในงานสังคม สิ่งที่ควรแนะนำ คือ 2.1 ชื่อ -นามสกลุ 2.2 ตำแหน่งหน้าที่การงาน หรือ ลักษณะเด่นพิเศษ 2.3 ความสนใจ 3. การแนะนำเพื่อนใหม่ให้เพื่อนเรียนด้วยกันรู้จักสิ่งที่ควรแนะนำ คือ 3.1 ชื่อ -นามสกลุ 3.2 สถานศึกษาหรือสถานที่ทำงานเดิม 3.3 ความรู้ คุณวุฒิ อายุ 3.4 ภูมิลำเนา 3.5 ที่อยู่ปัจจุบัน 3.6 ความสามารถพิเศษ ความสนใจ งานอดิเรก 4. การแนะนำวิทยากร ผู้บรรยาย ผู้อภิปราย ควรแนะนำสิ่งต่อไปนี้ 4.1 แนะนำชื่อ ยศ ตำแหน่งให้ถูก ต้องและชัดเจน 4.2 แนะนำงานที่เกี่ยวข้อง ความสามารถ วุฒิและความสามารถพิเศษ 4.3 ผลงานที่สร้างชื่อเสียง 4.4 ประสบการณ์เด่นสัก 2-3 เรื่อง 4.5 ด้านที่มีความเชี่ยวชาญ 4.6 ความคิด หรือการสร้างคุณประโยชน์แก่สังคม 4.4 การกล่าวทักทายและการโต้ตอบ การกล่าวทักทายและการโต้ตอบ เป็นการกล่าวทักทายเมื่อพบกันครั้งแรก เป้นการผูกมิตรกับผู้อื่นอาจ ทักทายปราศรัยด้วยยอวัจนภาษา นั่นคือการยิ้มแล้วจึงเริ่มพูด ลักษณะการทักทายปราศรัยที่ดีมีดังนี้ 1. ยิ้ม แย้ม แจ่มใส แสดงความยินดีที่ได้พบกัน


31 2. กล่าวคำทักทายที่เป็นที่ยอมรับกันของคนในสังคม เช่น “สวัสดีครับ” “สวัสดีค่ะ ” 3. แสดงกิริยาอาการประกอบคำทักทาย โดยคำนึงถึง ฐานะของบุคคลที่เราทักทาย 4. หากผู้ทักทายมีอาวุโสกว่า ควรยิ้มยกมือไหว้ กล่าวคำทักทาย “สวัสดีครับ” “สวัสดีค่ะ” 5. หากผู้ทักทายมีอายุเท่ากัน หรือน้อยกว่า ควรยิ้ม กล่าวคำทักทาย “สวัสดีครับ ” “สวัสดีค่ะ” 6. การแนะนำจะแนะนำผู้น้อยรู้จักผุ้อาวุโส หรือแนะนำบุรุษให้รู้จักสตรีก่อน ถ้าไม่รู้จักคู่สนทนา มาก่อน อาจเริ่มต้นการสนทนาด้วยการกล่าวคำทักทายสั้น ๆ หรือ แนะนำตนเอง เช่น “สวัสดีครับ /ค่ะ” “มีอะไรให้ช่วยไหมค่ะ” “ต้องการพบใครคะ นัดไว้หรือเปลา่ คะ” “ขอโทษนะคะ ขอถาม...................................................” “สวัสดีครับ ผมชื่อนุกูล รักเรียน เอกคอมพิวเตอร์ครับ จะขออนุญาตพบท่านรองวิชาการครับ ” 7. หากเป็นผู้คุ้นเคย อาจกล่าวคำที่เป็นเรื่องทั่วไป เช่น “สวัสดีครับคุณแก้ว ไม่ได้เจอกันนานคุณแก้ว สบายดีเหมือนเดิมนะครบั ” 8. จบการทักทาย ควรกล่าวคำอำลา และแสดงความคาดหวังว่าจะพบกันใหม่ กรณีคู่สนทนาอายุน้อยกว่า ควรยกมือไหว้คู่สนทนาที่อายุมากกว่าทุกครั้ง เช่น “สวัสดีค่ะ คงมีโอกาสได้พบกันใหม่นะคะ” 4.5 การตอบรับและปฏิเสธ ในการใช้ชีวิตประจำวัน ผู้เรียนต้องพูดตอบรับและปฏิเสธในสถานการณ์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นมารยาททางสังคม และเป็นการสร้างเสน่ห์ให้กับตนเอง การพูดตอบรับ การพูดตอบรับมักเป็นสถานการณ์ที่พึงพอใจ เลือกใช้ถ้อยคำที่น่าฟังเมื่อมีการชักชวนหรือโน้มน้าวใจให้ กระทำกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง มีข้อควรคำนึง ดังนี้ 1. มารยาทในการตอบรับ เช่น แสดงความขอบคุณ แสดงความพอใจ นอกจากจะมีประโยชน์ต่อตนเอง แล้วยังแสดงถึงความมีนำ้ใจใช้ภาษาง่าย ชัดเจน และจริงใจ 2. ไม่ควรโอ้อวดและถ่อมตัวเองจนเกินไป รู้จักเชยชมยกย่องผู้ร่วมงาน


32 การพูดปฏิเสธ การพูดปฏิเสธ เป็นการใช้คำพูดหรือกล่าวอย่างมีชั้นเชิง ทุกคนมีสิทธิที่จะปฏิเสธการชักชวนให้กระทำ กิจกรรมที่เราไม่ชอบหรือไม่อยากทำ ไม่เต็มใจ โดยเฉพาะในเรื่องที่มีความเสี่ยงไม่ปลอดภัย ผู้พูดปฏิเสธต้องรักษา มารยาทในการพูดและแสดงให้เห็นว่าจำเป็นต้องปฏิเสธจริง ๆ ทั้งนี้ควรพูดแสดงความเสียใจที่ต้องปฏิเสธในครั้งนี้ และกล่าวถึงการตอบรับในโอกาสตอ่ ไป เช่น “ขอโทษจริง ๆ นะเพื่อน พรุ่งนี้เรามีนัดกับ คุณหมอ ไว้โอกาสหน้า เรานัด เจอกันอีก ทีนะ” 4.6 การกล่าวแสดงความยินดี การกล่าวแสดงความยินดีเป็นการพูดเพื่อแสดงให้เห็นว่าผู้พูดมีความชอบใจและดีใจในสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น การต้อนรับพนักงานใหม่หรือได้รับรางวัล การอวยพรในงานมงคลสมรส การอวยพรวันเกิดงาน ขึ้นบ้านใหม่ ฯลฯ 1. การกล่าวมอบของขวัญหรือรางวัล เป็นการกล่าวเพื่อแสดงความยินดีแก่ผู้รับมอบของขวัญหรือโอกาส ต่าง ๆ เช่น การปฏิบัติงานดีเด่น ควรกล่าวดังนี้ 1.1 กล่าวถึงความสำคัญของโอกาส หรือ จุดมุ่งหมายของการมอบรางวัล 1.2 กล่าวถึงความสำคัญของรางวัล 1.3 กล่าวถึงผลงานและความสำคัญของผู้รับรางวัล 1.4 กล่าวชมเชยและกล่าวอวยพรผู้รับรางวัลให้มีความก้าวหน้า และประสบผลสำเร็จในหน้าที่ การงาน 2. การกลา่ วในโอกาสที่ได้รับรางวัลผู้ที่ได้รับรางวัลควรกล่าวแสดงความรู้สึกหลังจากที่ได้รับรางวัลควร กล่าวดังนี้ 2.1 กล่าวขอบคุณคณะจัดงาน และผู้มอบรางวัล 2.2 กล่าวถึงคุณค่าของรางวัล ซึ่งมีผลต่อจิตใจของผู้รับ 2.3 ควรกล่าวปวารณาตัวจะรักษาความดีนี้ไว้และจะพัฒนางานของตนให้ดียิ่งขึ้น


33 ตัวอย่าง การกล่าวตอบรับในโอกาสที่ได้รับรางวัล ในการประกวดคัดลายมือ “ดิฉันขอขอบพระคุณคณะกรรมการจัดงานการประกวดคัดลายมือที่เปิดโอกาสให้ดิฉันได้เข้าร่วม การประกวด ดิฉันรู้สึกยินดีและดีใจมากที่ได้รบั รางวัลดังกล่าว การได้รับรางวัลในครั้งนี้นำมาซึ่งความ ภาคภูมิใจ และจะเป็นกำลังใจสำคัญที่จะทำให้ดิฉันตั้งใจพัฒนาฝีมือการคัดลายมือให้ดียิ่งขึ้นไป ขอบคุณ ค่ะ ” 3. การกล่าวอวยพรในงานมงคลสมรส ผู้พูดพูดเพื่อแสดงความปรารถนาให้ผู้ฟังประสบสิ่งที่เป็นสิริมงคล ผู้กล่าวจะเตรียมตัว ล่วงหน้าหากผู้กล่าวเป็นผู้ทรงคุณวุฒิและรู้จักกับคู่สมรสควรนัดแนะกับผู้พูดก่อนล่วงหน้า หรือ อาจได้รับเชิญขึ้นกล่าวอย่างกะทันหัน ผู้พูดควรคำนึงดังนี้ 3.1 ควรเริ่มด้วยการกล่าวแสดงความรู้สึกยินดี 3.2 กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างผู้พูดกับ คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง 3.3 กล่าวถึงคุณความดีของคู่สมรส 3.4 กล่าวให้ข้อคิดในการครองเรือนแก่คู่สมรส 3.5 กล่าวอวยพรแล้วชักชวนให้ผู้ร่วมงานดื่มแสดงความยินดีแก่คู่สมรส ภาพการกล่าวอวยพรในงานมงคลสมรส


34 ตัวอย่าง การกล่าวอวยพรในงานมงคลสมรส “กระผมมีความยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้รับเชิญเป็นประธานในงานมงคลสมรสของ คุณธนาวิทย์ และคุณรุ่งนภา วันนี้นับเป็นวันฤกษ์งามยามดีที่สำคัญในการเริ่มต้นชีวิตครอบครัว ซึ่งคู่บ่าวสาวทั้งสองเป็นผู้ใต้บังคับ บัญชาของกระผม คุณธนาวิทยุได้ร่วมงานกับ ผมตลอดระยะเวลา 3 ปี ได้แสดงศักยภาพในการทำงานอย่างสูงยิ่ง ทั้งด้านมนุษย์สัมพันธ์ก็เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนเข้ากับผู้อื่นได้ดี เป็นที่รักใคร่ของเพื่อนร่วมงาน สำหรับคุณรุ่งนภา เป็นคนน่ารัก คล่องแคล่ว ทำงานเก่ง ซึ่งกระผมเห็นว่าเจ้าบ่าวและเจ้าสาวมีความเหมาะสมกันเป็นอย่างดีที่จะเป็น ครอบครัวตัวอย่าง สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตสมรสคือ ความเข้าใจ เห็นใจ ซื่อ สัตย์ และการให้สิ่งดี ๆ ต่อกันในทุกด้าน ท้ายที่สุดนี้ กระผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย จงบันดาลให้คู่สมรสประสบแต่ความสุขความเจริญ และพร้อม กันนี้ขอเชิญทุกท่านร่วมดื่มอวยพรให้แก่คู่สมรสเพื่อเป็นสิริมงคลและเป็นสักขีพยานในงานแต่งงานวันนี้สวัสดีครับ” 4. การกล่าวอวยพรวันเกิด ใช้ในโอกาสที่มีคุณวุฒิและอาวุโสกล่าวอวยพรให้กับผู้ที่อ่อนอาวุโสกว่าหรือ อาจเป็นเพื่อนวัยเดียวกัน ควรกล่าวดังนี้ 4.1 กล่าวแสดงความรู้สึกยินดีที่ได้รับเกียรติเป็น ผู้กล่าวอวยพร 4.2 กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างผู้พูดกับเจ้าภาพ 4.3 กล่าวถึงความดีและเกียรติคณุ ของเจ้าภาพ 4.4 กล่าวอวยพร ตัวอย่าง การกล่าวอวยพรวันเกิด สวัสดีค่ะ ท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน ก่อนอื่นดิฉันขอขอบพระคุณทุกท่านที่ให้เกียรติมาร่วมงานวันเกิดเพื่อน ดิฉันในวันนี้ เพื่อดิฉันคนนี้สนิทสนมกันมาตั้งแต่สมัยเรียนอนุบาลแล้วค่ะ เป็นคนสนุกสนาน มีมนุษย์สัมพันธ์โอบ อ้อมอารีเป็นที่รักและยอมรับจากเพื่อนๆ และคนรอบข้างเสมอโอกาสนี้ดิฉันขออวยพรให้เพื่อนรักคนนี้จงมีแต่ ความสุข ความเจริญ อายุมั่นขวัญยืน อีกทั้งเจริญ ในหน้าที่การงานยิ่งๆ ขึ้นไป


35 4.7 การกล่าวแสดงความเสียใจ การกล่าวแสดงความเสียใจเป็นการพูดที่ถือว่าเป็นมารยาททางสังคม เพื่อแสดงความไม่สบายใจหรือรู้สึก เสียใจที่ต้องพลัดพรากจากกัน การกล่าวแสดงความเสียใจในชีวิตประจำวัน ได้แก่ การกล่าวอำลา และการกล่าวไว้ อาลัย 1. การกล่าวอำลา กล่าวในโอกาสย้ายจากสถานที่ทำงาน เกษียณอายุราชการ หรือออกจากงานด้วย เหตุผลส่วนตัว บริษัท จัดงานเลี้ยงและมอบช่อดอกไม้หรือ ของที่ระลึกให้แก่ผู้จากไป ผู้ต้องกล่าวลาตามมารยาท ทางสังคมควรกล่าวดังนี้ 1.1 กล่าวแสดงความขอบคณุ ในกรณที่มีการจัดงานเลี้ยงเพื่ออำลา 1.2 กล่าวถึง ความจำเป็นที่ต้องจากหน่วยงานไป 1.3 กล่าวถึงประสบการณ์ และความประทับใจที่เคยทำงานอยู่ในหน่วยงานนั้น 1.4 กล่าวถึงความสัมพันธ์ที่ดีที่มีต่อบุคคลและหน่วยงานที่ได้รับตลอดมา ซึ่งยังคงมีอยู่ตลอดไป 1.5 กล่าวเชิญชวนให้ไปเยี่ยมเยือนเมื่อมีโอกาส ภาพการกล่าวอำลาในงานเกษียณอายุราชการ ตัวอย่าง การกล่าวอำลาในโอกาสย้ายที่ทำงานใหม่ ดิฉันต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ให้เกียรติจัดงานเลี้ยงให้ดิฉันที่จะต้องย้ายไปทำงานที่แห่งใหม่ดิฉันรู้สึก ซาบซึ้งใจต่อท่านทั้งหลายมากยิ่งกว่าการจัดงานเลี้ยงคือ การที่ดิฉันได้รับความเมตตาความร่วมมือร่วมใจและ ช่วยเหลือสนับสนุนการทำงานมาด้วยดีตลอดมา ตลอดระยะเวลาที่ดิฉันทำงานอยู่ที่นี่ รวม 5 ปี 7 เดือน เพื่อน ร่วมงานทุกท่านได้ให้ความร่วมมือและเอื้อเฟื้อต่อการทำงานเป็นอย่างดี ดิฉันขอขอบคุณทุกท่านอีกครั้ง และดิฉัน ไม่สามารถบรรยายสิ่งต่าง ๆ ที่เพื่อนร่วมงานทุกท่านได้ทำให้แก่ดิฉันได้หมดในที่นี้


36 ในความรู้สึกส่วนลึกของดิฉัน ดิฉันไม่อยากจะจากเพื่อนรวมงานไปเลยแต่ด้วยความจำเป็นหลากหลาย ประการจึงมีวันนี้ หากเพื่อนร่วมงานทั้งหลายมีกิจธุระใดหรือผ่านสถานที่ทำงานแห่งใหม่ของดิฉัน ดิฉันก็ยินดี ต้อนรับทุกท่านด้วยความยินดีสุดท้ายนี้ หากดิฉันได้ทำสิ่งใดล่วงเกิน หรือไม่เป็นที่พอใจต่อเพื่อนร่วมงานผู้ใด ดิฉันขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยโอกาสนี้ด ฉันขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ท่านเคารพนับถือ ได้โปรดอภิบาลคุ้มครองท่านให้มีความปลอดภัย จากสิ่งอันตราย ชั่วร้ายทั้งปวง หากท่านมีความปรารถนาสิ่งใด ก็ขอให้ท่านได้สิ่งนั้นสมความปรารถนาตลอดไป 2. การกล่าวไว้อาลัย เป็นการกล่าวเนื่องในโอกาสงานศพ เพื่อแสดงความอาลัยแก่ผู้ตาย ซึ่งเป็นงานพิธี การ ดังนั้นการกล่าวคำไว้อาลัย จะเป็นการพดูโดยการอ่านจากต้นฉบับ ควรกล่าวดังนี้ 2.1 กล่าวแสดงความเสียใจแก่ครอบครัว ผู้เสียชีวิต 2.2 กล่าวสรรเสริญผู้เสียชีวิต ประวัติ สถานภาพทางครอบครัว คุณงามความดีสั้น ๆ 2.3 กล่าวถึงความอาลัยของญาติพี่น้อง เพื่อนและผู้ที่อยู่เบื้องหลัง 2.4 กล่าวแสดงความหวัง ว่าผู้เสียชีวิต คงจากไปสู่ภพภมิที่ดี 2.5 กล่าวให้ผู้ที่มาร่วมงานศพ ยืน สงบนิ่ง ประมาณ 1 นาที ภาพการกล่าวไว้อาลัย ตัวอย่าง คำกล่าวไว้อาลัย ดิฉันมีความรู้สึกเศร้าสะเทือนใจต่อการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของคุณนพรัตน์ นับเป็นการสูญเสียที่ยิ่ง ใหญ่ต่อครอบครัวและพวกเราทั้ง หลายเป็นอย่างยิ่ง คุณนพรัตน์ เป็นบุคคลที่มีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือสงั คมส่วนรวมอยู่เสมอ รางวัลที่ท่านได้รับจากหน่วยงาน ต่าง ๆ นั้นเป็นเครื่องยืนยันถึง คุณงามความดีของท่านได้เป็นอย่างดี


37 ท่านเป็นบุคคลตัวอย่างและเป็นแบบอย่างของอนุชนคนรุ่นหลัง ท่านเป็นผู้มีความประพฤติที่งดงาม ตั้งมั่น อยู่ในกฎแห่งกรรม และทำบุญอยู่เสมอ ดิฉันเชื่อว่าคุณงามความดีของท่านจะไม่หายไปจากความทรงจำของพวก เราทั้งหลาย ท่านได้จากไปโดยไม่มีวันกลับตามธรรมดาของสังขารของมนุษย์ แต่ชื่อเสียงและความน่ารักน่านับถือของ ท่านจะยังฝังอยู่ในใจของพวกเราไปอีกชั่วกาลนาน ท่านเป็นผู้ชอบทำบุญกุศล ดิฉันเชื่อเหลือเกิน ว่าผลานิสงส์อันดี งามจากกุศลกรรมนานัปการที่ท่านสะสมไว้ จะนำวิญญาณของท่านไปสู่สุคติภพ และผลสะท้อนอันดีงามแก่ ลูกหลานญาติมิตร โดยทั่วกัน โอกาสนี้ดิฉันขอเรียนเชิญท่านทั้งหลายโปรดยืนขึ้น เพื่อไว้อาลัย แก่ท่านผู้นี้เป็นเวลา 1 นาทีขอบคณุค่ะ การพูดคือการส่งสารให้ผู้อื่นทราบความต้องการของผู้พูดและได้รับผลสำเร็จตามที่ผู้พูดต้องการ โดยใช้ ถ้อยคำ สำเนียง น้ำเสียง ตลอดจนอากัปกิริยาต่าง ๆ การพูดสื่อสารตามมารยาททางสังคม ได้แก่การแนะนำตนเอง และผู้อื่น การกล่าวทักทายและโต้ตอบ การตอบรับและปฏิเสธ การกล่าวแสดงความยินดีและการกล่าวแสดงความ เสียใจ การพูดในโอกาสต่าง ๆ มีหลักการและวิธีการพูดที่แตกต่างกันไป ดังนั้น ผู้พูดจึงควรเตรียมตัว ให้พร้อม เพื่อให้ประสบผลสำเร็จในการพูดทุกครั้ง


38 หน่วยที่ 5 การเขียนในงานอาชีพ สังคมปัจจุบันการติดต่อในแต่ช่องทางเป็นสิ่งสำคัญและเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การดำเนินงานเป็นไปด้วย ความราบรื่น ประสบความสำเร็จ ผู้ใดที่มีศิลปะในการใช้ภาษาทั้งภาษาพูดและภาษาเขียนย่อมได้เปรียบผู้เรียนจึง ควรศึกษาเรื่องราวการติดต่อเพื่อกิจธุระด้วยวิธีการเขียนซึ่งมีหลากหลาย เช่น การเขียนบันทึกการเขียนรายงาน การประชุม การเขียนรายงานการปฏิบัติงาน เป็นต้น เพื่อเตรียมความพร้อมสู่การประกอบอาชีพ 5.1 การเขียนรายงานการประชุม 1. ความหมายของรายงานการประชุม ราชบัณฑิตยสถาน (2552, หน้า 953) ให้ความหมายว่า รายงานการประชุม หมายถึงรายละเอียดหรือ สาระของการประชุมที่จดไว้อย่างเป็นทางการรายงานการประชุม หมายถึงข้อความที่เป็นสาระสำคัญของการ ประชุมซึ่งจดไว้เป็นหลักฐาน เพื่อแจ้งให้ผู้เกี่ยวข้องทราบ ใช้เป็นแนวทางการปฏิบัติงานและเป็นหลักฐานอ้างอิง 2. ความสำคัญของรายการงานประชุม รายงานการประชุมมีความสำคัญต่อการดำเนินงานขององค์กรดังนี้ 2.1 เป็นเอกสารแจ้งผลการประชุมให้ผู้ที่เกี่ยวข้องรับทราบและถือปฏิบัติต่อไป 2.2 เป็นหลักฐานยืนยันผลการปฏิบัติงานการปฏิบัติงานในองค์กร หรือหน่วยงานต่าง ๆ ได้จัดให้มีการ ประชุมเพื่อรายงานผลการดำเนินงานให้ผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบความก้าวหน้า หรือปัญหาในการดำเนินงาน 2.3 เป็นเครื่องมือในการติดตามงาน 2.4 เป็นหลักฐานอ้างอิงที่เชื่อถือได้ 3. คุณสมบัติของผู้บันทึกรายงานการประชุม ผู้บันทึกรายงานการประชุมที่ดี ควรมีคุณสมบัติดังนี้ 3.1 มีความรู้ดี 3.2 มีสมาธิดี 3.3 มีทักษะการสรุปความดี 3.4 มีความรู้ทางภาษาและการใช้ภาษาในการเรียบเรียงได้ดี


39 4. คำศัพท์ที่ใช้ในการประชุม ในการประชุมมีคำศัพท์ที่ใช้เรียกองค์ประกอบต่าง ๆ ของการประชุมดังนี้ 4.1 องค์ประชุม หมายถึง คณะกรรมการหรือสมาชิก ผู้มีหน้าที่ต้องเข้าประชุม ได้แก่ ประธานรอง ประธาน (ถ้ามี) กรรมการหรือสมาชิก เลขานุการ 4.2 ครบองค์ประชุม หมายความว่า ครบจำนวนผู้เข้าประชุมตามที่ระบุไว้ในระเบียบหรือจำนวน กรรมการเกินครึ่งหนึ่งของคณะกรรมการหรือสมาชิกทั้งหมดถ้ามาน้อยถือว่าไม่ครบองค์ประชุม ตามที่กำหนด ประธานต้องยกเลิก การประชุมเพราะมติที่ได้จากที่ประชุมจะเป็น โมฆะเนื่องจากไม่เป็นคะแนนเสียงข้ามาก 4.3 ญัตติหมายถึง ข้อเสนอที่สมาชิกเสนอต่อที่ประชุมเพื่อพิจารณาลงมติ การเสนอโดยปกติจะทำเป็น หนังสือต่อประธาน เพื่อบรรจุเข้าในระเบียบวาระการประชุมแต่ถ้าเป็นการเร่งด่วนสมาชิกอาจเสนอในที่ประชุมเลย ก็ได้ 4.4 การแปรญัตติหมายถึง การเปลี่ยนแปลงญัตติด้วยการเพิ่ม ตัดออก หรือเสนอซ้อน ทั้งด้านถ้อยคำ และข้อแม้ต่าง ๆ คำศัพท์ญัตติและแปรญัตตินี้ใช้เฉพาะการประชุมบางประเภท เช่น การประชุมสภาผู้แทนราษฎร การประชมุ สภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นตัน 4.5 มติคือ ข้อตกลงของที่ประชุม การออกเสียงลงมตินี้ถือเสียงข้างมาก ซึ่งทุกคนต้องยอมรับแม้บางคน จะไม่เห็นด้วยการออกเสียงลงมติอาจทำโดยเปิดเผย คือ การยกมือ หรือลงมติแบบลับคือเขียนใส่ซองปิดผนึกและ ตรวจนับภายหลังก็ได้ 4.6 ที่ประชุม หมายถึง บรรดาผู้เข้าประชุมทั้งหมด (ไม่รวมผู้จัดการประชุม) 4.7 สมัยการประชุม หมายถึง ช่วงเวลาที่จัดประชุมซึ่งแบ่ง 2 สมัยคือ 1) การประชุมสมัยสามัญ หมายถึง การประชุมตามที่ได้มีการกำหนดเวลาไว้อย่างแน่นอน 2) การประชุมสมัยวิสามัญ หมายถึง การประชุมที่จัดเป็นพิเศษเพราะมีเรื่องสำคัญเร่งด่วนที่ ต้องการปรึกษากันหรือต้องการพิจารณารวมทั้ง มีเรื่องสำคัญ ที่ต้องการให้คณะกรรมการทราบโดยด่วน 4.8 ระเบียบวาระการประชุม หมายถึง เรื่องที่จะนำเข้าปรึกษากันในที่ประชุมตามลำดับก่อน-หลัง ซึ่ง การประชุมส่วนมากมักมีกำหนดระเบียบวาระการประชุม ดังนี้ (เป็นการกำหนดตามระเบียบงานสารบรรณ พ.ศ. 2526 คำอธิบายที่ 10 เรื่องรายงานการประชุม)


40 ระเบียบวาระที่ 1 เรื่องที่ประธานแจ้งให้ที่ประชุมทราบ ระเบียบวาระที่ 2 เรื่องรับรองรายงานการประชุม ระเบียบวาระที่ 3 เรื่องเสนอให้ที่ประชุมทราบ ระเบียบวาระที่ 4 เรื่องเสนอให้ที่ประชุมพิจารณา ระเบียบวาระที่ 5 เรื่องอื่น ๆ 4.9 จดหมายเชิญประชุม คือ จดหมายแจ้งสถานที่ วัน เวลาการประชุม พร้อมทั้งระเบียบวาระการ ประชุมตามที่ประธานกำหนด 4.10 รายงานการประชุม คือ การบันทึก ความคิด เห็นของผู้เข้าประชุม ผู้เข้า ร่วมประชุมและมติ 5. หลักในการเขียนรายงานการประชุม การเขียนรายงานการประชุม เป็นการนำบันทึกการประชุมที่เลขานุการจดข้อความหรือบันทึกเสียง ในขณะประชุม ซึ่งการจดบันทึกการประชุมอาจทำได้ 3 วิธี คือ วิธีที่ 1 จดรายละเอียดทุกคำพูดของกรรมการ หรือผู้เข้าร่วมประชุมทุกคน พร้อมด้วยมติ วิธีที่ 2 จดย่อคำพูดที่เป็นประเด็นสำคัญของกรรมการหรือผู้เข้าร่วมประชุม อันเป็นเหตุผลนำไปสู่มติ ของที่ประชุมพร้อมด้วยมติ วิธีที่ 3 จดแต่เหตุผลกับมติของที่ประชุม การจดรายงานการประชุมโดยวิธีใดนั้น ให้ที่ประชุมนั้นเองเป็น ผู้กำหนดหรือให้ประธานและเลขานุการของที่ประชุมปรึกษาหารือกันและกำหนด เมื่อบันทึกการประชุมเรียบร้อยแล้วให้นำมาเขียนเป็นรายงานการประชุมตามลำดับหัวข้อดังนี้ 1. รายงานการประชุม ให้ลงชื่อคณะที่ประชุม หรือชื่อการประชุมนั้น เช่น “รายงานการประชุม คณะกรรมการ............” 2. ครั้งที่ การลงครั้งที่ที่ประชุม มี 2 วิธีที่สามารถเลือกปฏิบัติได้ คือ 2.1 ลงครั้งที่ที่ประชุมเป็นรายปี โดยเริ่มครั้งแรกจากเลข 1 เรียงเป็นลำดับไปจนสิ้นปีปฏิทินทับเลขปี พุทธศักราชที่ประชุม เมื่อขึ้นปีปฏิทินใหม่ให้ เริ่มครั้งที่ใหม่ เรียงไปตามลำดับ เช่น ครั้งที่ 1/2544 2.2 ลงจำนวนครั้งที่ประชุมทั้งหมดของคณะที่ประชุม หรือการประชุมนั้น ประกอบกับครั้งที่ที่ประชุม เป็นรายปี เช่น ครั้งที่ 36-1/254


41 3. เมื่อให้ลงวัน เดือน ปี ที่ประชุมโดยลงวันที่ พร้อมตัวเลขของวันที่ ชื่อเต็มของเดือนและตัวเลขของปี พุทธศักราช เช่น เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2544 4. ณ ให้ลงชื่อสถานที่ ที่ใช้เป็นที่ประชุม 5. ผู้มาประชุม ให้ลงชื่อและหรือตำแหน่งของผู้ได้รับแต่งตั้งเป็นคณะที่ประชุมซึ่งมาประชุม ในกรณีที่เปน็ ผู้ได้รับการแต่งตั้ง เป็นผู้แทนหน่วยงานให้ระบุว่าเป็นผู้แทนของหน่วยงานใด พร้อมตำแหน่งในคณะที่ประชุม ใน กรณีที่เป็นผู้มาประชุมแทนให้ลงชื่อผู้มาประชุมแทนและลงด้วยว่ามาประชุมแทนผู้ใด หรือตำแหน่งใด หรือแทน ผู้แทนหน่วยงานใด 6. ผู้ไม่มาประชุม ให้ลงชื่อหรือตำแหน่งของผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นคณะที่ประชุมซึ่งมิได้มาประชุม โดย ระบุให้ทราบว่าเป็นผู้แทนจากหน่วยงานใด พร้อมทั้งเหตุผลที่ไม่สามารถมาประชุม ถ้าหากทราบด้วยก็ได้ 7. ผู้เข้าร่วมประชุม ให้ลงชื่อหรือตำแหน่งของผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นคณะที่ประชุม ซึ่งได้เข้ามาร่วม ประชุม และหน่วยงานที่สังกัด (ถ้ามี) 8. เริ่มประชุมให้ลงเวลาที่เริ่มประชมุ 9. ข้อความ ให้บันทึกข้อความที่ประชุม โดยปกติให้เริ่มด้วยประธานกล่าวเปิดประชุมและเรื่องที่ประชุม กับ มติหรือข้อสรุปของที่ประชุมในแต่ละเรื่องประกอบด้วยหัวข้อ ดังนี้ วาระที่ 1 เรื่องที่ประธานแจ้งให้ที่ประชุมทราบ วาระที่ 2 เรื่องรับรองรายงานการประชุม (กรณีเป็นการประชุมที่ไม่ใช่การประชุม ครั้งแรก) วาระที่ 3 เรื่องที่เสนอให้ที่ประชุมทราบ วาระที่ 4 เรื่องที่เสนอให้ที่ประชุมพิจารณา วาระที่ 5 เรื่องอื่น ๆ (ถ้ามี) 10. เลิกประชุมเวลาให้ลงเวลาที่เลิกประชุม


42 ผู้จัดรายงานการประชุม ให้เลขานุการหรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายให้จัดรายงานการประชุม ลงลายมือชื่อ พร้อมทั้งพิมพ์ชื่อเต็มและนามสกุล ไว้ไต้ลายมือชื่อ ในรายงานการประชุม ครั้งนั้นด้วย การบันทึกมติที่ประชุม กรณีประชุมตามระเบียบวาระที่เสนอ ไม่มีผู้ขัด แย้ง ควรบันทึกเป็น มติที่ประชุม รับทราบ หรือ เห็นชอบ กรณีมีผู้เสนอขัดแย้งและไม่เห็นด้วยต้องบันทึกว่าเห็นด้วย จำนวนกี่เสียง ไม่เห็นด้วย จำนวนกี่เสียง กรณีที่ประชุมมีคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ หรือด้วยเสียงข้างมากจำนวน.......เสียง การบันทึกรายงานการประชุม ผู้บันทึกต้องให้ผู้เข้า ประชมุ ลงลายมือชื่อ พร้อมบันทึกเรื่องที่พิจารณา และลงมติไว้ทุกเรื่อง และให้ประธานในที่ประชุม กับเลขานุการหรือกรรมการอื่นอีกคนหนึ่งที่เข้าประชุมลงลายมือ ชื่อด้วย


43 ตัวอย่าง รูปแบบรายงานการประชุม รายงานการประชุม…………………………………………. ครั้งที่….…………………………… เมื่อ ........................................ ณ............................................. ผู้มาประชุม 1.................................................................................................. 2.................................................................................................. ผู้ไม่มาประชุม 1.................................................................................................. 2.................................................................................................. ผู้เข้าร่วมประชุม (ถ้ามี) 1.................................................................................................. 2...................................................................... ............................ เริ่มประชมุ เวลา................................................... (ข้อความ).................................................................................................................... ............................................................................................................................. ................................. ....................................................................................................................................................... .................................... ............................................................................................... ................................................................ เลิกประชมุ เวลา..................................................... ลงชื่อ ..................................................... (.....................................................) ผู้บันทึกรายงานการประชุม ลงชื่อ ..................................................... (.....................................................) ผู้ตรวจรายงานการประชุม


44 ตัวอย่าง รายงานการประชุม รายงานการประชุมคณะกรรมการดำเนนิ งาน โครงการสัปดาห์ภาษาไทย...ร้อยใจแด่สุนทรภู่ ปีการศึกษา ๒๕๖๒ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๒ วันจันทร์ที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๒ ณ ห้องประชุมวิทยาลัยอาชีวศึกษาลพบุรี ชั้น ๒ อาคารอำนวยการวิทยาลัยอาชีวศึกษาลพบุรี ************************************ ผู้มาประชุม ๑. นางณัฐษมนต์ ณุวงค์ศรี ประธาน ๒. นางณิชาพัฒน์ กันหริ ๓. นางสุภัทตรา ทรัพย์ทวี ๔. นางมุฑิตา ผลพรต ๕. นายดิเรก ญาณสุภาพ ๖. นางสาวรวิพร อู่อรุณ ๗. นางสาวจิตติมา แก้วเรือง ๘. นายสหัสเนตร ดีมงคล ๙. นางสาวศิริวรรณ รสจันทร์ ๑๐. นายสมชาย เอี่ยมละมัย ๑๑. นายธีรพงษ์ ตรีกุล ๑๒. นางกาญจนา มาลา ผู้ไม่มาประชุม ๑. นายจุฬา โหรวิชติ ไปราชการ ๒. นายปรัตถกร ชูสกุลทิพย์ ไปราชการ ๓. นางสาวศุภมาศ ชะเอม ไปราชการ ๔. นางสาวพัชรีวรรณ ภาสบุตร ลากิจ เริ่มประชุมเวลา ๑๕.๓๐ น. นางณัฐษมนต์ ณุวงค์ศรี (ผู้อำนวยการวิทยาลัยอาชวี ศึกษาลพบุรี) ทำหน้าที่ประธานการประชุมดำเนิน วาระดังนี้ระเบียบวาระการประชุมที่ ๑ เรื่องแจ้งให้ทราบ ๑. ประธานแจ้งกำหนดการโครงการสัปดาห์ภาษาไทย...ร้อยใจแด่สุนทรภู่ ประจำปีการศึกษา ๒๕๖๒ จัดในวันศุกร์ที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๖๒ เวลา ๑๓.๓๐ – ๑๕.๐๐ น. ณ ห้องท้าวทองกีบม้า วิทยาลัยอาชีวศึกษาลพบุรี ๒. ประธานแจ้งคำสั่งวิทยาลัยอาชีวศึกษาลพบุรี เลขที่ ๑๘๗/๒๕๖๒ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินงานการแข่งขันทักษะทางภาษาไทย เนื่องในโครงการสัปดาห์ ภาษาไทยร้อยใจแด่สุนทรภู่ ปีการศึกษา ๒๕๖๒ ที่ประชมุ รับทราบ


45 ระเบียบวาระการประชุมที่ ๒ รับรองรายงานการประชุม -ไม่มี- ระเบียบวาระการประชุมที่ ๓ เรื่องสืบเนื่อง -ไม่มี- ระเบียบวาระการประชุมที่ ๔ เรื่องเสนอเพื่อทราบ ๑. ชี้แจงแนวทางในการตดั สินการแขง่ ขนั ทักษะทางภาษาไทย การแข่งขันทักษะทางภาษาไทย จัดการแข่งขันเป็น ๓ ทักษะ ได้แก่ ทักษะการคัดลายมือ ทักษะการเขียนเรียงความ และทักษะการแต่งคำประพันธ์ แต่ละ ทักษะมีเกณฑ์ในการแข่งขัน ดังนี้ ๑.๑ ทักษะการคัดลายมอื (คะแนนเต็ม ๑๐๐ คะแนน) ๑) ตัวอักษรแบบของกระทรวงศึกษาธิการ ๔๐ คะแนน ๒) ถูกต้องตามอักขรวิธี ๔๐ คะแนน ๓) ความสะอาดเรียบร้อย ๒๐ คะแนน ๑.๒ ทักษะการเขียนเรียงความ (คะแนนเต็ม ๑๐๐ คะแนน) ๑) การวางโครงเรื่อง ๒๐ คะแนน ๒) คำนำ ๒๐ คะแนน ๓) สาระในเนื้อเรื่อง ๒๐ คะแนน ๔) การใช้โวหารการเขียน ๒๐ คะแนน ๕) สรุป ๒๐ คะแนน ๑.๓ ทักษะการแต่งคำประพันธ์ ประเภทกลอนสุภาพ (คะแนนเต็ม ๑๐๐ คะแนน) ๑) ฉันทลักษณ์ ๓๐ คะแนน ๒) เนื้อหา ๓๐ คะแนน ๓) การใช้ภาษา ๓๐ คะแนน ๔) ความเป็นระเบียบ ๑๐ คะแนน ที่ประชุมรับทราบ ๒. การควบคุมนักเรียน มอบนายสหสัเนตร ดีมงคล ควบคุมนักเรียนในการเข้าร่วมกิจกรรม ที่ประชุมรับทราบ ๓. การจัดสถานที่ดำเนิน โครงการ มอบนายธีรพงษ์ตรีกุล จัดเตรียมโต๊ะกล่าวรายงาน โต๊ะลงทะเบียน ติดตั้งป้ายโครงการตลอดจนดูแลสถานที่ตลอดการดำเนินโครงการ


46 ที่ประชุมรับทราบ ๔. การเตรียมสื่อโสตทัศนูปกรณ์ มอบนายดิเรก ญาณสุภาพ เตรียมเครื่องเสียงจอฉายภาพตลอดการดำเนินโครงการ ที่ประชุมรับทราบ ๕. ประชาสัมพันธ์และพิธีกรมอบนางมุฑิตา ผลพรต เป็นพิธีกรดำเนินการในพิธีเปิดโครงการฯ และมอบ นายสหัสเนตรดีมงคล เป็นพิธีกรในเล่นเกมปริศนา สำนวนไทย ที่ประชุมรับทราบ 6. การแต่งกายของคณะครู และนักเรียนที่ประชุมมีติให้คณะครูสวมเสื้อสีเหลือง Fix it นักเรียนชั้น ปวช.๑ แต่งกายชุดลูกเสือ ส่วนนักเรียนชั้นปีอื่น แต่งกายชุดกีฬา ที่ประชุมรับทราบ ระเบียบวาระการประชมุ ที่ ๕ เรื่องอื่น ๆ -ไม่มี- ปิดประชุมเวลา ๑๖.๒๐ น. (นายสมชาย เอี่ยมละมัย ) ผู้บันทึกรายงานการประชุม (นางณชิาพัฒน์ กันหริ) ผู้ตรวจรายงานการประชุม ……………………………………………………………… ……………………………………………………………… (นางวราภรณ์ เกิดอนันต์) ครู คศ.๒ รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการวิทยาลัยอาชีวศึกษาลพบุรี


47 5.2 การเขียนรายงานการปฏิบัติงาน 1. ความหมายของรายงานการปฏิบัติงาน นวภรณ์ อุ่นเรือน (2561, หน้า 36) ให้ความหมายของ รายงานการปฏิบัติงาน ว่าเป็นการชี้แจงด้วยการ แสดงข้อมูลต่าง ๆ ที่ตนได้ปฏิบัติหรือรับผิดชอบอยู่ให้บุคคลอื่นได้ทราบข้อเท็จจริง เพื่อประโยชน์ในการปฏิบัติงาน หรือประกอบการตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งข้อมูลนั้นอาจเป็นข้อมูลดิบ หรือข้อมูลเชิงสถิติที่แปลความหมาย ออกมาเป็นตาราง แผนภูมิแผนภาพหรืออื่น ๆ นันทภรณ์ ริวงค์เวียง (2552) ให้ความหมายว่ารายงานคือ การเสนอรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับการ ดำเนินงานของบุคคลของหน่วยงาน เป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญในการบริหารงานทั้งในหน่วยงานราชการและธุรกิจ เอกชน เพราะรายงานจะบรรจุข้อมูลพื้นฐานที่ช่วยให้บุคลากรของหน่วยงานทราบนโยบาย เป้าหมายผลการปฏิบัติ งาน ปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ในการดำเนินงาน สรุปได้ว่า รายงานการปฏิบัติงานเป็นการเขียนชี้แจงรายละเอียดการทำงานเพื่อให้ผู้บริหารหรือบุคคลอื่น ได้รับทราบข้อมูล เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในด้านอื่นๆ ต่อไป 2. ประโยชน์ของรายงานการปฏิบัติงาน นวภรณ์ อุ่นเรือน (2561) กลา่ วถึงประโยชนข์ องการเขยี นรายงานการปฏิบัติงานไว้ดังนี้ 1. ทำให้ทราบผลการดำเนินงานทั้งในอดีตและปัจจุบัน รวมทั้งปัญหาและอุปสรรคในการปฏิบัติงาน 2. เป็นการประเมินผลการปฏิบัติงานที่ทำมาแล้ว 3. เป็นแนวทางในการกำหนดโครงการหรือ แผนการปฏิบัติงานในอนาคต 4. เป็นสื่อกลางในการติดต่อระหว่างผู้ร่วมงาน 5. เป็นเอกสารอ้างอิงในการศึกษาและปฏิบัติงานครั้งต่อไป 6. เป็นเครื่องมือประกอบการตัดสินใจเพื่อทำการสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ทั้งโดยฉับพลันและในระยะยาว 3. ประเภทของรายงานการปฏิบัติงาน นวภรณ์ อุ่นเรือน (2561) ได้แบ่งประเภทของรายงานการปฏิบัติงานไว้ดังนี้ 3.1 รายงานแบบธรรมดา เป็นรายงานตามระยะเวลาที่กำหนดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อแสดงความก้าวหน้า หรือความสำเร็จในการปฏิบัติงาน ได้แก่ รายงานการปฏิบัติงานรายชั่วโมง รายวัน รายสัปดาห์รายเดือนและรายปี เช่น รายงานความก้าวหน้า ของโครงการ รายงานประจำปีของธนาคาร ฯลฯ


48 3.2 รายงานแบบพิเศษ เป็นรายงานที่จัดทำขึ้นเป็นครั้งคราวในโอกาสต่าง ๆ ตามความต้องการและ ความจำเป็นเพื่อแสดงรายละเอียดของการวิเคราะห์อดีตและปัจจุบันเพื่อกำหนดวิธีการปฏิบัติในอนาคต 4. ลักษณะของรายงานการปฏิบัติงาน รายงานการปฏิบัติงานแบ่งได้เป็นหลายลักษณะตามงานที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งนวภรณ์ อุ่นเรือนกล่าวไว้ด้ง นี้(2546 : 137-138) 4.1 รายงานเหตุการณ์เป็นรายงานที่ใช้เสนอข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น อันเป็นผลทำให้เกิดความเสียหาย เช่น อุบัติเหตุในโรงงาน เครื่องจักรเสีย การทำงานล่าช้า ค่าใช้จ่ายสูง ผลผลิตต่ำ ปัญหาเกี่ยวกับบุคลากรเป็นตัน รายงานชนิดนี้มุ่ง ให้ข้อมูลที่ครบถ้วนและเสนอข้อมูลอย่างตรงไปตรงมาไม่ใช้ภาษาที่นั้นความรู้สึกหรืออารมณ์ ซึ่ง จะทำให้รายงานนั้นไม่เที่ยงตรง ข้อมูลที่ได้จากการรายงานจะเป็นพื้นฐานสำหรับการตีความเพื่อตัดสินใจ เพื่อใช้ เป็นหลักฐานตามกฎหมาย หรือเพื่อใช้เป็นส่วนประกอบในการเขียนรายงานอื่น ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่การพัฒนา องค์กรต่อไป 4.2 รายงานความก้าวหน้า เป็นรายงานที่ผู้จัดทำใช้อธิบายแก่บุคคล หรือบริษัทเกี่ยวกับงานที่ได้ทำไป แล้ว ปัญหาและอุปสรรคที่ทำให้เกิดความล่าช้าและงานที่จะดำเนินการต่อไป รายงานแบบนี้ช่วยให้ผู้ร่วมงานที่ ทำงานในส่วนอื่น ๆ สามารถปรับแผนงาน วิธีทำงานและกำลังคนได้ 4.3 รายงานความเป็นไปได้เมื่อหน่วยงานมอบหมายให้บุคคลในหน่วยงานพิจารณาโครงการใหม่ ผลิตภัณฑ์ไหมหรือซื้อเครื่องจักรใหม่ บุคคลนั้นจะต้องพิจารณาความเป็นไปได้ในการจัดการสิ่งเหล่านี้การเขียน รายงานดังกล่าวจะต้องแสดงหลักฐานการตรวจสอบวิเคราะห์ข้อสรุปหรือข้อเสนอแนะแก่หน่วยงาน 4.4 รายงานการทดลอง ในการทดลองวิทยาศาสตร์ ผู้ทดลองจะต้องเขียนรายงานโดยบอกจุดประสงค์ วิธีการหรือกระบวนการทดลอง ระบุผลการทดลอง สรุปผลและข้อเสนอแนะแต่ในการปฏิบัติงานภาคอุตสาหกรรม หรือภาคธุรกิจ นอกจากการทดลองแล้วอาจมีการทดสอบและเขียนรายงาน แต่มักไม่ใช้แบบแผนที่เข้มงวดเหมือน รายงานทางวิทยาศาสตร์ แต่ใช้ขั้นตอนการรายงานอย่างเดียวกันได้ การเขียนรายงานแบบนี้มักจะเขียนในรูปบัน ทึกข้อความมากกว่าจะกำหนดแบบฟอร์มตายตัว 4.5 รายงานการทำภาคสนาม เป็นการเขียนรายงานในกรณีที่ออกไปทำงานนอกสถานที่ เช่นวิศวกรออกสำรวจ พื้นที่ นักธุรกิจที่ต้องไปดูงานหรือตรวจงาน หาที่ตั้งโรงงาน นักการตลาดออกสำรวจข้อมูลการวางสินค้า เป็นต้น 5. วิธีเขียนรายงานการปฏิบัติงาน การเขียนรายงานสามารถทำได้ 2 วิธีคือเขียนรายงานอย่างสั้นและรายงานอย่างยาว


49 1. การเขียนรายงานอย่างสั้น เป็นรายงานสั้น ๆ ความยาว 1-2 หน้ากระดาษ เพื่อเสนอข้อเท็จจริงความ คิดเห็น ชี้แจงเรื่องราว ขออนุญาตดำเนินการหรือเพื่อสั่งการรายงานที่มีขนาดสั้นมาก ๆ มักเป็นรายงานแบบไม่เป็น ทางการโดยอาจเขียนในรูปแบบของบันทึกข้อความ จดหมาย บทความหรือกรอกข้อความในแบบฟอร์ม ตามที่ หน่วยงานกำหนด การเขียนรายงานอย่างสั้น มีองค์ประกอบ คือ 1.1 ส่วนนำ เป็นการกล่าวถึงสาเหตุและจุดประสงค์ในการเขียนว่า เขียนขึ้นเพื่ออะไรหรือเพราะเหตุใด 1.2 ส่วนเนื้อหา กล่าวถึงเนื้อเรื่อง รายละเอียด สาระสำคัญของเรื่องที่รายงานโดยระบุขอบเขตของเรื่อง ข้อมูลประกอบ ข้อเสนอแนะและความคิดเห็นส่วนตัวของผู้รายงาน การเขียนส่วนเนื้อหาให้ครอบคลุม ควรตั้ง คำถามแบบเดียวกันกับที่นักหนังสือพิมพ์ใช้ในการเซียนข่าวคือ ใครทำอะไรที่ไหน เมื่อไรอย่างไร และทำไม 1.3 ส่วนสรุป อาจลงท้ายลักษณะเดียวกับจดหมาย เช่น จึงเรียนมาเพื่อทราบ จึงเรียนมาเพื่อโปรด พิจารณาสั่งการ ฯลฯ แล้วลงชื่อผู้เสนอรายงาน 2. การเขียนรายงานอย่างยาว หมายถึง รายงานอย่างเป็นทางการแบบวิเคราะห์ มีความยาวเกิน 10 หน้าขึ้นไป นำเสนอเพื่อให้เกิดความเข้าใจ หรือยึดถือเป็นแนวปฏิบัติและเก็บเป็นหลักฐาน มีการจัดทำรูป เล่ม ที่ สะดวกแก่การเก็บและค้นคว้า ภายในเล่มประกอบด้วย 2.1 ส่วนประกอบตอนต้น ได้แก่ ปกนอก ปกใน คำนำ สารบัญเรื่อง สารบัญภาพ (ถ้ามี) สารบัญตาราง (ถ้ามี) 2.2 ส่วนเนื้อหา ได้แก่บทนำ รายละเอียดของเร่ือง ข้อสรุป ผลลัพธ์ ตาราง เชิง อรรถ เป็นต้น 2.3 ส่วนประกอบตอนท้าย ได้แก่ ภาคผนวก บรรณานุกรม ดัชนี เป็นต้น 6. การใช้ภาษาในการเขียนรายงานการปฏิบัติงาน ภาษาที่ใช้ในการเขียนรายงานควรมีลักษณะดังนี้ 1. ใช้ภาษาทางการ เป็นภาษาเขียนมากกว่าภาษาพูด 2. เขียนอย่างรวบรัดตรงประเด็น นำเสนอเฉพาะข้อมูล ที่เกี่ยวข้อง 3. กระชับ กะทัดรัดได้ใจความชัดเจน อาจใช้ตัวเลข ตาราง กราฟหรือ แผนภาพประกอบ 4. ใช้ภาษาและถ้อยคำสำนวนคงเส้นคงวาไม่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา


Click to View FlipBook Version