The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หน่วยที่ 1 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการใช้ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Bank BK, 2023-08-18 10:39:34

หน่วยที่ 1 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการใช้ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร

หน่วยที่ 1 ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการใช้ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร

50 ตัวอย่าง รูปเล่มรายงานในแต่ละหน่วยงาน ตัวอย่าง การเขียนรายงานการปฏิบัติงานอย่างสั้น แบบฟอร์มรายงานผลการปฏิบัติงานรายวันตามภาระงานรายบุคคล สำนักวิทยบริการและเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ ชื่อผู้รับผิดชอบ............................................................ตำแหน่งบริหาร .............................................................. ตำแหน่งงาน........................................................................................................................................................ กลุ่มงาน..........................................................................งาน........................................ ...................................... ผลงานที่ดำเนินการ วันที่............เดือน..................................พ.ศ................................ เวลา งานที่ปฏิบัติ ปัญหาที่พบ แนวทางแก้ไข 07.30-08.00 น. 08.00-09.00 น. 09.00-10.00 น. 10.00-11.00 น. 11.00-12.00 น. 12.00-13.00 น. 13.00-14.00 น. 14.00-15.00 น. 15.00-16.00 น. 16.00-17.00 น. 17.00-18.00 น. .......................................................ผู้รับผิดชอบภาระงาน (......................................................) ข้อเสนอแนะ................................................................................................................................................................................................................................................. ..............................................................หัวหน้ากลุ่มงาน (......................................................) ข้อเสนอแนะ................................................................................................................... ............................................................................................................................. ..................................................................ผู้อำนวยการ (......................................................) ข้อเสนอแนะ................................................................................................................... ...................................... หมายเหตุรวบรวมส่งหัวหน้ากลุ่มงานเป็นรายสัปดาห์ ก่อนเวลา 15.00 น. ของวันสุดท้ายขอวงการปฏิบัติงานในแต่ละสัปดาห์


51 5.3 การเขียนบันทึกภายในหน่วยงาน เรื่อง รายงานสรุปเรื่องการศึกษานอกห้องเรียนแบบบรูณาการ เรียน อาจารย์ประจำวิชาภาษาไทย ตามที่วิทยาลัยเทคนิคพิจิตรได้จัดทำโครงการการศึกษานอกห้องเรียนแบบบูรณาการ เพื่อสร้างประสบการณ์การเรียนรู้จากสภาพ จริงให้กับนักเรียนนักศึกษาที่อำเภอบางกระทุ่มจังหวัดพิษณุโลก เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2549 นั้น สรุปผลการศึกษานอกห้องเรียนแบบบูรณา การได้ดังนี้ 1. ตัวแทนนักเรียนนักศึกษาที่เข้าร่วมโครงการ จำนวน 200 คน มาพร้อมกันที่หน้าองค์พระวิษณุในเวลา 08.30 น. เพื่อขึ้นรถบัส เดินทางไปสู่อำเภอบางกระทุ่มจังหวัดพิษณุโลก 2. เป้าหมายในการไปศึกษานอกห้องเรียนแบบบูรณาการครั้งนี้ มี 2 แห่ง คือ 2.1 โรงพยาบาลบางกระทุ่ม เป็นโรงพยาบาลที่ได้รับรางวัล ISO นอกจากการรักษาผู้ป่วยแล้วโรงพยาบาลแห่งนี้ยังเป็นแหล่งผลิตยา สมุนไพรที่มีชื่อเสียง เช่น ยาหอม ลูกประคบ คาลาไมน์ อาหารเส้นใยเครื่องดื่ม สมนุ ไพร สบู่ และอื่น ๆ เจ้าหน้าทีให้การต้อนรับด้วยอธัยาศัย ที่ดีมีการบรรยายสรุปพาเที่ยวชมแผนกต่าง ๆ และเปิดโอกาสให้ซักถามข้อสงสัยอย่างเป็นกันเอง 2.2 แหล่งผลิตกล้วยตากจากพลังงานแสงอาทิตย์ เป็นโรงงานผลิตกล้วยตากด้วยกรรมวิธีแบบง่ายๆ ด้วยการสร้างตู้ตากกล้วยที่ถูก สุขลักษณะ ป้องกันฝุ่นและแมลงได้ และไปดูโรงงานทำปุ๋ยจากเปลือกกล้วยซึ่งเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่มีประโยชน์มาก เพราะจะได้นำเศษ วัสดุเหลือใช้ คือ เปลือกกล้วยมาสร้างให้เกิดคุณ ค่าเพิ่มและยังประหยัด เงินค่า กำจัด เปลือกกล้วย 3. ประโยชน์ที่ได้รับจากการศึกษานอกห้องเรียนครั้งนี้คือ 3.1 ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ น่าสนใจ และมีความสุข 3.2 ได้รู้ประโยชน์ของสมุนไพรไทยในการรักษาโรค 3.3 ได้รู้ถึงประโยชน์ของกล้วยน้ำว้า สามารถใช้ภูมปัญญาชาวบ้านมาดัดแปลงให้เป็น พืช เศรษฐกิจ 4. เดินทางกลับถึงวิทยาลัยเทคนิคพิจิตร เวลา 16.30 น. 5. ข้อเสนอแนะ ควรจัดการศึกษาในรูป แบบนี้บ่อย ๆ แต่จัดเป็น กลุ่มเล็ก ๆ เพราะเวลาฟังบรรยายจะได้ยินทั่วถึง จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ (นางสาวนวรัตน์ ฉายตรง) นักเรียนระดับ ปวช.1 กลุ่ม 1


52 1. ความสำคัญของบันทกึ ในหน่วยงาน จุฑามาศ เรืองทัพ (2558) กล่าวว่าการเขียนบันทึกในหน่วยงานมีความสำคัญ สรุปได้ดังนี้ 1.1 เป็นการช่วยเหลือผู้บังคับบัญชา ด้วยการช่วยสรุปย่อเรื่องให้เข้าใจได้ง่าย ถูกต้อง ตรงประเด็นช่วยให้ ข้อเท็จจริงที่เป็นสาเหตุ เรี่องราวเหตุการณ์ ระเบียบ ช่วยแสดงข้อคิด เห็นที่เป็นประโยชน์หรือความเสียหายที่ เกิดขึ้น และช่วยให้ข้อเสนอในการดำเนินการซึ่ง จะสะดวกและประหยัดเวลาแก่ผู้บังคับบัญชาในการศึกษาเรื่อง และตกลงใจ 1.2 เป็นโอกาสดีในการปฏิบัติงาน การเขียนบันทึกเป็นสิ่งที่ผู้ปฏิบัติงานต้องใช้ตลอดระยะเวลาทำงานจน เกษียณอายุ อย่างหลีกหนีไม่พ้น หากผู้ใดสามารถเขียนบันทึกได้ดี ตอบสนองผู้บังคับบัญชาได้ก็จะเปน็ โอกาสดีใน อาชพี การงาน 1.3 เป็นหน้าตาของผู้เขียน ผู้ตรวจ ผู้ลงนาม และหน่วยงาน หนังสือหรือบันทึกแต่ละฉบับเกิดขึ้นจากผล พวงของการปฏิบัติงาน ตั้งแต่การหาข้อมูล การประสานงาน การคิดพิจารณา การหาข้อสรุปแนวทางปฏิบัติ ซึ่ง การเขียนหนังสือจะบ่บอกประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของผู้เขียน ผู้ตรวจ ผู้ลงนาม และหน่วยงานว่ามีความรู้ความ เข้าใจมากน้อยเพียงใด อันส่งผลต่อ ภาพลักษณ์ที่เกี่ยวข้องทั้งดีและไม่ดีด้วย 1.4 เป็นแนวทางในการเขียนบันทึกต่อไป ผู้ปฏิบัติงานรุ่นหลังจะสามารถใช้ตัวอย่างการเขียนบันทึก ที่ดี เป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน ซึ่งจะช่วยให้ง่ายตอ่การปฏิบัติและประหยัดเวลา 2. ส่วนประกอบของบันทึก บันทึกข้อความทั้งของข้าราชการและนักธุรกิจ เมื่อแยกส่วนประกอบแล้วจะประกอบด้วย 2.1 ส่วนนำจะบอกให้รู้ว่าเป็นบันทึกของหน่วยงานใด เรื่องอะไร จากใครถึงใคร เขียนเมื่อไร 2.2 ส่วนเนื้อหา หรือส่วนที่เป็นใจความที่ต้องการสื่อสาร 2.3 ส่วนท้ายจะบอกให้รู้ว่า ใครเขียน โดยไม่ต้องมีคำลงท้ายเช่น เดียวกับหนังสือราชการภายใน 3. รูปแบบของบันทึกข้อความ 3.1 บันทึก ข้อความตามระเบียบงานสารบรรณ มีรายละเอียดในการจัดพิมพ์ดังนี้ การพิมพ์บันทึกข้อความตามระเบียบงานสารบรรณ มีวิธีการพิมพ์ดังนี้ 1. ตั้งหน้ากระดาษ กั้นหน้า 3 เซนติเมตร กั้น หลัง 2 เซนติเมตร 2. ขนาดตัวครุฑ 1.5 เซนติเมตร โดยวางตัวครุฑ ห่างจากขอบกระดาษประมาณ 1.5 เซนติเมตร


53 3. คำว่า “บันทึกข้อความ” พิมพ์ด้วยอักษรตัวหนาขนาด 29 พอยท์ และปรับค่าระยะบรรทัดจาก 1 เท่า เป็น ค่าแน่นอน (Exactly) 35 พอยท์ 4. ชั้นความลับ (ถ้ามี) ให้ปั๊มตรงกึ่งกลางด้านบนและด้านล่างของบันทึกข้อความ โดยใช้หมึกสีแดง 5. ชั้นความเร็ว (ถ้าม)ี ให้ปั๊มระหว่าง ครุฑ กับ บันทึกข้อความ โดยใช้หมึกสีแดง 6. คำว่า “ส่วนราชการ” พิมพ์อักษรตัวหนาขนาด 29 พอยท์ สำหรับชื่อส่วนราชการให้ลงชื่อหน่วยงาน เจ้าของเรื่อง หรือหน่วยงานที่ออกหนังสือ/ โทรศัพท์ พร้อมด้วยไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ของส่วนราชการเจ้า ของ เรื่อง โดยพิมพ์ด้วยอักษรขนาด 17 หรือ 18 พอยท์ 7. คำว่า “ที่” พิมพ์อักษรตัวหนาขนาด 22 พอยท์ โดยลงรหัสตัวพยัญชนะและเลขประจำของเจ้าของ เรื่องด้วยอักษรขนาด 17 หรือ 18 พอยท์ 8. คำว่า “วันที่” พิมพ์อักษรตัวหนาขนาด 22 พอยท์ โดยลงตัวเลขของวันที่ ชื่อเต็มของเดือนและตัว เลข ปีพุทธศักราชที่ออกหนังสือด้วยอักษรขนาด 17 หรือ 18 พอยท์ 9. คำว่า “เรื่อง” พิมพ์อักษรตัวหนาขนาด 22 พอยท์ โดยลงเรื่องย่อที่เป็นใจความสั้นที่สุดของหนังสือ ฉบับนั้น ในกรณีที่เป็นหนังสือต่อเนื่อง ให้ลงเรื่องของหนังสือฉบับเดิม ด้วยอักษรขนาด 17 หรือ 18 พอยท์ 10. พิมพ์ “คำขึ้นต้น” ให้มีระยะบรรทัดห่างจากเรื่องเท่ากับระยะบรรทัดปกติ และเพิ่มค่าก่อนหน้าอกี 6 พอยท์ (1 Enter + Before 6 pt) การพิมพ์คำขึ้น ต้นให้ใช้ตามฐานะของผู้รับหนังสือ 11. พิมพ์ย่อหน้าแรก “เรื่องเดมิ ” ให้มีระยะบรรทัดปกติ และเพิ่มค่าก่อนหน้าอีก 6 พอยท์(1 Enter + Before 6 pt) และพิมพ์ “ข้อเท็จจริง” “กฎหมายระเบียบที่เกี่ยวข้อง” “ข้อพิจารณา” “ข้อเสนอแนะ” ให้มีระยะบรรทัดปกติ โดยแต่ละหัวข้อให้มีระยะย่อหน้าตามค่าไม้บรรทัดระยะการพิมพ์เท่ากับ 2.5 เซนติเมตร (2 Tab) และพิมพ์ภาคสรุปโดย ให้มีระยะบรรทัดปกติ และเพิ่มค่าก่อนหน้าอีก 6 พอยต์ (1 Enter + Before 6 pt) 12. ลงชื่อพิมพ์ชื่อเต็มของเจ้าของลายมือชื่อ พร้อมกับตำแหน่งของเจ้าของลายมือชื่อไว้ใต้ลายมือชื่อ โดย เว้น ระยะบรรทัดการพิมพ์ 2.5 บรรทัด (2 Enter + Before 12 pt) สำหรับจำนวนบรรทัดในการพิมพ์หนังสือราชการในแต่ละหน้าให้เป็นไปตามความเหมาะสมกับจำนวน ข้อความ และความสวยงาม


54 **หมายเหตุ ส่วนหัวของแบบกระดาษบันทึกขอ้ ความจะตอ้ งใช้จุดไข่ปลาแสดงเส้น บรรทัดที่เป็นช่องว่าง หลังคำว่า ส่วนราชการ... ที่.... วันที่.... เรื่อง..... ทั้งนี้บันทึกข้อความไม่ต้องมีคำลงท้าย และกรณีที่มีความจำเป็น อาจปรับการพิมพ์หนังสือราชการให้แตกต่างได้ตามความเหมาะสม โดยให้คำนึงถึงความสวยงามและรูปแบบของ หนังสือราชการเป็นสำคัญ 3.2 บันทึกข้อความของหน่วยราชการ เป็นแบบบันทึกที่หน่วยราชการแต่ละแห่งทำขึ้นโดยมากมักทำ เป็นเล่ม ๆ ขนาดเล็ก เช่นเดียวกับสมุดฉกีใช้สำหรับเขียนข้อความติดต่อกันไม่เป็นทางการ หรือใช้บันทึกความจำ บันทึกความเห็น 4. ประเภทของบันทึก โดยทั่วไปแล้วการบันทึกเสนอผู้บังคับบัญชา สามารถแบ่งตามลักษณะของการนําเสนอได้เป็น4 ประเภท ได้แก่ 1. บันทึกย่อเรื่อง คือ บันทึกที่ผู้เขียนย่อจากเรื่องหรือรายงานที่เป็นเรื่องยาว ให้สั้นและได้เพื่อนําเสนอต่อ ผู้บังคับบัญชาจะได้สะดวกในการอ่านและทราบเรื่องโดยไม่ต้องเสียเวลาอ่านข้อความทั้งหมด 2. บันทึกรายงาน คือ บันทึกที่ผู้เขียนรายงานผลการปฏิบัติงานตามคำสั่งเสนอต่อผู้บังคับบัญชาให้ รับทราบ 3. บันทึกติดต่อสื่อสาร คือ บันทึกที่ผู้เขียนสื่อสารในเรื่องใดเรื่องหนึ่งกับผู้บังคับบัญชาเพื่อ พิจารณาลง ความเห็น 4. บันทึกความเห็น คือ บันทึกที่ผู้เขียนแสดงความคิดเห็นหรือเสนอแนะในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเสนอต่อ ผู้บังคับบัญชาเพื่อ พิจารณาสั่งการ 5. วิธีเขียนและการใช้ภาษา บันทึกภายในขององค์กรที่ไม่เป็นราชการมักเขียนโดยกรอกข้อความไปตามแบบฟอร์มของแต่ละ หน่วยงานที่คิดแบบขึ้นมาเอง เขียนเฉพาะใจความสำคัญ และเขียนตรงไปตรงมา ใช้ภาษามาตรฐานคำนึงถึงผู้รบั วา่ เปน็ ใคร อาจใช้ภาษาที่เป็นกันเอง (กึ่งทางการ) มากกว่า จดหมายทั่วไปไม่ต้องเขียนคำขึ้นตันคำลงท้ายแต่ลง ชื่อผู้เขียน


55 ภาษาและสำนวนในการเขียนบันทึก จุดสำคัญในการเขียนบันทึก คือ การนั้นที่ความเข้าใจซึ่งกันและกันเป็นหลัก ส่วนภาษาที่ใช้และสำนวนใน การเขียนถือว่าเป็นเรื่องรองลงมา การติดต่อต้องการความถูกต้อง รวดเร็วของการปฏิบัติจึงไม่อาจขัดเกลาสำนวน ภาษาให้สละสลวย ข้อความที่ควรเขียนให้ชัดเจนคือ "ข้อความปิดท้าย" หลักการใช้ภาษามีดังนี้ 1. สั้นและง่าย 2. เป็นที่เข้าใจ 3. ตรุงไปตรงมา 4. ถูกต้องและครบถ้วน ข้อควรคำนึงถึงในการเขียนบันทึก 1. ควรคำนึงถึงขั้นตอนในการเขียนบันทึก 1.1 นึกเสียก่อนว่าจะเขียนกับใคร เรื่องอะไร ต้องการให้ผู้รับดำเนินการอย่างไร 1.2 ลงมือเขียนข้อมูลให้ถูกต้อง ชัดเจน สมบูรณ์ 1.3 ตรวจทานบันทึกทีเขียนว่า ครบถ้วนตามที่นึกไว้หรือไม่ 2. คำนึงเกี่ยวกับวิธีการเขียนบันทึก 2.1 อย่าเขียนยาวเกินไปถ้าจำเป็นให้แบ่งเป็นข้อๆ หรือ ทำเป็นเอกสารแนบ 2.2 อย่าเขียนหลายเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกันลงในบันทึกเดียวกัน 2.3 อย่าเขียนย่อเกินไปโดยคิด ว่าผู้รับเข้าใจอยู่แล้ว เช่น ย่อตำแหน่งยอชื่อหน่วยงาน


56 หน่วยที่ 6 การเขียนโครงการ โครงการ (Project) เป็นแผนงานการจัดกิจกรรมขององค์กรหรือหน่วยงานที่มาดำเนินงานอย่างใด อย่างหนึ่งที่องค์กรกำหนดขึ้น การดำเนินตามโครงการในแต่ละโครงการมีส่วนสำคัญในการพัฒนาศักยภาพใน การดำเนินงาน การจัดทำโครงการจะต้องมีการวางแผนโดยการเรียบเรียงรายละเอียดอย่างเป็นระบบรอบคอบ เพื่อบรรลุตามวัตถุประสงค์และเกิดประโยชน์ 6.1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการเขียนโครงการ โครงการ หมายถึง การกำหนดแผนงานกิจกรรมต่าง ๆ ที่บุคคลหน่วยงานหรือองค์กรต่าง ๆ กำหนด ขึ้นที่เกี่ยวข้องกับแผนงานงบประมาณและทรัพยากรของหน่วยงานมีผลดีต่อการพัฒนาหน่วยงานหรือองค์กร ให้ดียิ่งขึ้นในแต่ละโครงการจะมีจดุมุ่งหมายเฉพาะเพื่อให้แผนงานหลักดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ โครงการ มีความความสำคัญอย่างยิ่งจะเป็นแนวทางในการพัฒนางานทุกด้านให้บรรลุเป้าหมายที่ กำหนดไว้ดังนี้ 1.โครงการ คือ แนวทางการแก้ปัญหาร่วมกันที่มีความชัดเจนและเข้าใจง่าย 2.เป็นการทำงานตามนโยบายที่เห็นได้ชัดและดำเนินไปอย่างประสิทธิภาพ 3.ช่วยลดภาวะความขัดแย้งและความซ้ำซ้อน ความรับผิดชอบของหน่วยงานเนื่องในแต่ละงานได้ จัดทำโครงการแยกออกจากกันชัดเจน 4.ช่วยให้บุคลากรเกิดความสามัคคีและรับผิดชอบร่วมกัน 5.ช่วยให้บุคลากรได้แสดงความรู้ความสามารถอย่างเต็มที่ 6.เป็นแนวทางในการพัฒนาคนพัฒนางาน เป็นปัจจัยสำคัญนำไปสู่แนวทางการพัฒนาและ ความเจริญของหน่วยงาน 6.2 ประเภทของโครงการ โครงการแบ่งออกได้หลายประเภทตามความต้องการและความเหมาะสม ได้แก่ แบ่งตามระยะเวลา เช่น โครงการระยะสั้น โครงการระยะยาว หรือแบ่งตามความสำคัญ เช่น โครงการหลักโครงการเสริมเป็นต้น


57 แต่ที่นิยมกันโดยทั่วไป มักจะแบ่งประเภทของโครงการตามลักษณะของผู้เสนอโครงการ ดังต่อไปนี้ 1.โครงการที่เสนอโดยตัวบุคคล หมายถึง โครงการที่ริเริ่มขึ้นโดยบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ทั้งนี้อาจเป็น ความคิดริเริ่มของตัวผู้เขียนโครงการเอง หรือได้รับการมอบหมายจากผู้อื่นให้เป็นผู้เขียนโครงการก็ได้ 2.โครงการที่เสนอโดยกลุ่มบุคคล หมายถึง โครงการที่ริเริ่มขึ้นโดยบุคคลมากกว่า 2 คนขึ้นไป ที่มี ความเห็นพ้องต้องกันในวัตถุประสงค์ วิธีการ และมีเจตนาที่จะทำงานร่วมกัน ซึ่งส่วนประกอบของโครงการ จะต้องได้รับการอภิปรายจนเป็นที่พอใจของกลุ่ม การเขียนโครงการโดยกลุ่มบุคคล มีผลดีเพราะนอกจากจะ ได้รับประสบการณ์จากการเขียนโครงการแล้ว ยังได้มีการประชุม อภิปราย แสดงความคิดเห็น และการใช้ เหตุผลพร้อมกับการเรียนรู้วิธีการทำงานร่วมกันเป็นหมู่คณะ ดังนั้น โครงการนำเสนอโดยกลุ่มบุคคลจึงมี ความสมบูรณ์ และรัดกุมมากกว่าการเขียนโครงการโดยตัวบุคคล 3.โครงการที่เสนอโดยหน่วยงาน หมายถึง โครงการที่อาจจะเริ่มโดยตัวบุคคล หรือกลุ่มบุคคลก็ได้ แต่เป็นโครงการที่ดำเนินการในนามของหน่วยงาน ซึ่งหมายความว่าทุกคนในหน่วยงานนั้นจะต้องเห็นด้วย และร่วมกันรับผิดชอบโครงการที่เสนอโดยหน่วยงานจึงจัดเป็นโครงการใหญ่ที่ต้องประสานงาน และร่วมมือ กันทุกฝ่ายนับว่าเป็นโครงการที่มีความสมบูรณ์มากกว่าโครงการประเภทอื่น 6.3 ลักษณะของโครงการที่ดี โครงการเป็นกิจกรรมที่จัดทำขึ้น เพื่อการปฏิบัติภารกิจให้บรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ โครงการที่ดียอมมีผลตอบแทนหน่วยงาน หรือองค์การอย่างคุ้มค่าลักษณะของโครงการที่ดีมีดังต่อไปนี้ 1. สามารถแก้ปัญหาองค์กรหรือหน่วยงานได้ 2. มีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดผลตอบแทนคุ้มค่า 3. รายละเอียดของโครงการต้องสอดคล้องและสัมพันธ์กัน 4. วัตถุประสงค์และเป้าหมายต้องชัดเจน และมีความเป็นได้สูง 5. สามารถสนองความต้องการขององค์กรและหน่วยงานได้อย่างดี 6. สามารถนำไปปฏิบัติได้สอดคล้องกับแผนงาน


58 7. กำหนดขึ้นจากข้อมูลที่มีความเป็นจริง และได้รับการวิเคราะห์อย่างรอบคอบ 8. ต้องได้รับการสนับสนุนด้านทรัพยากรหรือค่าใช้จ่ายอย่างเหมาะสม 9. ต้องมีระยะเวลาการดำเนินโครงการชัดเจน 6.4 ส่วนประกอบของโครงการ ในการเขียนโครงการจำเป็นต้องเข้าใจส่วนประกอบต่าง ๆ ทั้งนี้ เพื่อให้การเขียนโครงการเป็นไป ตามลำดับขั้นตอน มีเหตุผลน่าเชื่อถือ และการเขียนส่วนประกอบของโครงการครบถ้วนช่วยให้การลงมือปฏิบัติ ตามโครงการเป็นไปโดยราบรื่น รวดเร็ว และสมบูรณ์ ส่วนประกอบของโครงการ จำแนกได้ 3 ส่วนดังต่อไปนี้ 1. ส่วนนำ หมายถึง ส่วนที่ให้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับโครงการนั้น ๆ ส่วนนำของโครงการมุ่งตอบ คำถามต่อไปนี้ คือ โครงการนั้นคือโครงการอะไร เกี่ยวข้องกับใคร ใครเป็นผู้เสนอหรือดำเนินโครงการ โครงการนั้นมีความเป็นมา หรือความสำคัญอย่างไร ทำไมจึงจัดโครงการนั้นขึ้นมา และมีวัตถุประสงค์อย่างไร จะเห็นได้ว่าความในส่วนนำต้องมีรายละเอียดเพียงพอที่จะให้ผู้อ่าน และผู้เกี่ยวข้องได้เข้าใจข้อมูลพื้นฐาน ก่อนจะอ่านรายละเอียดในโครงการต่อไป ส่วนนำของโครงการประกอบด้วยหัวข้อต่อไปนี้ 1.1 ชื่อโครงการ (Project Title) 1.2 โครงการหลกั (Main Project) 1.3 แผนงาน (Plan) 1.4 ผู้รับผิด ชอบ หรือผู้ดำเนินโครงการ (Project Responsibility) 1.5 ลักษณะโครงการ (Project Characteristic) 1.6 หลักการและเหตุผล (ความเป็นมาและความสำคัญของโครงการ) (Reason for Project Determination) 1.7 วัตถุประสงค์ (Objectives) การเขียนส่วนนำของโครงการต้องทำให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจ และเห็นความสำคัญของโครงการ นั้น พร้อมตัดสินใจว่าเป็นโครงการที่น่าสนใจหรือไม่ หากผู้อ่านเป็นกลุ่มบุคคลที่มีหน้าที่ต้องพิจารณาอนุมัติ


59 หรือให้การสนับสนุนก็อาจจะเกิดแนวคิดว่าจะให้ความช่วยเหลือโครงการนั้นแค่ไหน เพียงใด ก่อนที่จะอ่าน รายละเอียดอื่น ๆ ต่อไป ดังนั้น ผู้เขียนโครงการต้องพิถีพิถันในการใช้ภาษาให้ถูกต้องชัดเจน รัดกุม และ เหมาะสม โดยชี่แจ้งเหตุผลสำคัญ ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน 2. ส่วนเนื้อความ หมายถึง ส่วนที่เป็นสาระสำคัญของโครงการ ได้แก่ วิธีดำเนินการซึ่งกล่าวถึงลำดับ ขั้นตอนต่าง ๆ ในการปฏิบัติงาน รวมทั้งพื้นที่การปฏิบัติงาน ซึ่งครอบคลุมปริมาณ และคุณภาพ ตลอดจน การดำเนินงานตาม วัน เวลา และสถานที่ส่วนเนื้อความของโครงการประกอบด้วย หัวข้อต่อไปนี้ 2.1 เป้าหมายของโครงการ (Goal) 2.2 ขั้นตอนการดำเนินงาน (Work Procedure) 2.3 วัน เวลา และสถานที่ในการดำเนินงาน (Duration and Place) 2.4 ระยะเวลาการดำเนินการ วิธีดำเนินการจัดเป็นหัวใจสำคัญของโครงการ ผู้เขียนต้องพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ทำให้ผู้อ่านเกิด ความสับสน วิธีดำเนินการควรแยกอธิบายเป็นข้อ ๆ ให้ชัดเจนตามลำดับขั้นตอนการทำงาน อาจทำแผนผังสรุป วิธีดำเนินการตาม วัน เวลา เพื่อความชัดเจนด้วยก็ได้ 3. ส่วนขยายความ หมายถึง ส่วนประกอบที่ให้รายละเอียดอื่น ๆ เกี่ยวกับ โครงการได้แก่ ประโยชน์หรือ ผลที่คาดว่าจะได้รับงบประมาณดำเนินการ หรือแหล่งเงินทุนสนับสนุนตลอดจนการติดตามและประเมินผล ส่วน ขยายเนื้อความของโครงการ ประกอบด้วยหัวข้อต่อไปนี้ 3.1 งบประมาณที่ใช้ (Budgets) 3.2 การประเมินโครงการ (Project Evaluation) 3.3 ผลที่คาดว่าจะได้รบั (Benefits) 3.4 สถานที่ (Place) ในส่วนขยายความ อาจจะเพิ่มเติมผู้เสนอโครงการไว้ในตอนท้ายของโครงการ ในกรณีที่เป็น โครงการที่ต้องเสนอผ่านตามลำดับขั้นตอน และผู้อนุมัติโครงการลงนามในตอนท้ายสุดของโครงการ


60 6.5 ส่วนประกอบของการเขียนโครงการ โครงการทุกโครงการที่ทำขึ้น จะต้องมีบุคคลหรือบุคคลเป็นผู้ดำเนินโครงการ และเขียนขึ้นเพื่อขออนุมัติ โดยการเขียนโครงการมีส่วนประกอบดังนี้ 1. ชื่อโครงการ เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ผู้อ่าน หรือผู้อนุมัติโครงการเข้าใจว่า ผู้จัดโครงการควรเขียนชื่อโครงการให้ชัดเจนเมื่อ ผู้อ่าน อ่านแล้วสามารถทราบได้ทันทีว่าเป็นโครงการเกี่ยวกับอะไร ดังนั้นผู้เขียนโครงการจำเป็น ต้องตั้งชื่อเรื่องให้ ชัดเจน โครงการดังกล่าวเป็นโครงการอะไร มีลักษณะการจัดกิจกรรมแบบใด หรือวัตถุประสงค์อย่างไร เช่น โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ เรื่องพูด อย่างไรให้โดนใจผู้ฟัง โครงการเลขานุการมืออาชีพ เป็นต้น 2. หน่วยงานที่รับ ผิด ชอบ ผู้จัดโครงการควรระบุหน่วยงาน หรือต้นสังกัดที่รับผิดชอบการจัดโครงการนั้นให้ชัดเจน ทั้งนี้เพื่อความ สะดวกในการขออนุมัติโครงการของงบประมาณ และการติด ตามผลการประเมินโครงการ 3. ชื่อผู้เสนอโครงการ/ผู้รับผิดชอบโครงการ ชื่อผู้เสนอโครงการ/ผู้รับผิดชอบโครงการ เป็นส่วนที่บอกว่าใครเป็นผู้เสนอชื่อผู้เสนอโครงการใครรับผิด ชอบและเป็น ผู้ดำเนิน โครงการในการปฏิบัติงานตามโครงการ 4. หลักการและเหตุผล หลักการและเหตุผลหรือความสำคัญของโครงการ บอกสาเหตุหรือปัญหาที่ทำให้เกิดโครงการนี้ขึ้นและที่ สำคัญคือต้องบอกได้ว่า ถ้าได้ทำโครงการแล้วจะแก้ไขปัญหานี้ตรงไหน การเขียนอธิบายปัญหาที่มาโครงการ ควร นำข้อมูลสถานการณ์ปัญหาจากหน่วยงานหรือพื้นที่ที่จะทำโครงการมาแจกแจงให้ผู้พิจารณาโครงการเกิดความ เข้าใจชัดเจนขึ้น 5. วัตถุประสงค์และเป้าหมายของโครงการ วัตถุประสงค์เป็นการบอกจุดหมายในการทำโครงการ และผลที่จะเกิดขึ้นจากการทำโครงการคำว่า วัตถุประสงค์และเป้าหมายมีความแตกต่างกัน ดังนี่ วัตถุประสงค์หมายถึง สภาพที่จะทำให้เกิดขึ้นให้ได้ในช่วงการทำโครงการ และเป็นขั้นตอนหนึ่งของการ ไปให้ถึงเป้าหมายที่วางไว้


61 เป้าหมายของโครงการ หมายถึง สภาพที่อยากให้เกิดขึ้นในอนาคตที่ไกลกว่าเมื่อโครงการจบลงรับปาก ไม่ได้ว่าจะเกิดได้ภายในระยะเวลาโครงการแต่เป็นทิศทางที่ต้องไปให้ถึง การเขียนเป้าหมายต้องชัดเจนสามารถ ระบุผลที่จะเกิดขึ้นหลังโครงการจำนวนเท่าไร กลุ่ม เป้า หมายมีใครบ้าง 6. สถานที่ดำเนินโครงการ สถานที่ดำเนินโครงการเป็นส่วนที่บอกให้ทราบว่าโครงการจะดำเนินการที่ใด บริเวณใด อาคารใดพื้นที่ใด ผู้เขียนจะต้องระบุให้ชัดเจน 7. ระยะเวลาในการดำเนินโครงการ ระยะเวลาในการดำเนินโครงการ จะต้องระบุกำหนดระยะเวลาเริ่มดำเนิน โครงการและระยะเวลาสิ้น สุด การดำเนินโครงการที่ชัดเจน โดยปกติแล้ว โครงการจะดำเนินการให้แล้วเสร็จในปีงบประมาณ คือ ตั้งแต่เดือน กันยายนถึงเดือนตุลาคมของทุกปี 8. วิธีดำเนินโครงการ วิธีดำเนินโครงการ คือ ภารกิจสำคัญที่ผู้รับผิด ชอบโครงการจะต้องปฏิบัติตามลำดับก่อนและหลังให้บรรลุ ตามวัตถุประสงค์ของโครงการว่าจะทำอะไรที่ไหน อย่างไร ใครรับผิดชอบ ให้ชัดเจน เพื่อให้โครงการบรรลุตามวัตถ ปุระสงค์ 9. งบประมาณ เป็นส่วนที่แสดงยอดเงินงบประมาณ พร้อมแจกแจงค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ หากมีแหล่งทุนหลาย แห่งให้ข้อมูลที่โปร่งใสด้วย โดยระบุรายละเอียดอย่างชัดเจนว่ารับทุนจากแหล่ใดบ้าง จำนวนเท่าไร และจากแต่ละ แหล่งแบ่ง สรรไปใช้กับงบประมาณส่วนใด 10. ผลที่คาดว่าจะได้รับ ผลที่คาดว่าจะได้รับ คือ ความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นหลังจากโครงการจบลงโดยแยกให้เห็นชัดเจน ระหว่างผลที่เกิดโดยตรงทันทีที่สิ้นสุดโครงการ และผลที่จะเกิดตามมาในระยะยาว ถ้าหากผู้เสนอโครงการแสดงให้ เห็นได้ชัดเจนว่า ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากโครงการนี้ไม่ได้เป็นแค่ไฟไหม้ฟาง แต่จะเป็นเชื้อที่นำสู่การ เปลี่ยนแปลงให้เกิดการสร้างสุขภาพต่อไปอย่างต่อเนื่อง


62 11. การติดตามประเมินผลโครงการ หลังเริ่มดำเนินโครงการควรมีการติดตามประเมินผลว่าแต่ละกิจกรรมของโครงการก่อให้เกิดผลตาม วัตถุประสงค์หรือไม่ หากพบปัญหาก็จะสามารถแก้ไขได้ทันเวลา ดังนั้น จึงต้องนำเสนอไว้ว่าจะติดตามประเมินด้วย วิธีใดทั้งในขั้นตอนการดำเนินกิจกรรม และหลังจบโครงการแล้ว พร้อมทั้งระบุตัวชี้วัด ความสำเร็จทั้งในแง่ปริมาณ และคณุภาพว่าคืออะไร 6.6 การใช้ถ้อยคำสำนวนในการเขียนโครงการ ผู้เขียนโครงการต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการใช้ถ้อยคำ สำนวนภาษาเป็นอย่างดี เนื่องจากโครงการ จะบรรลุเป้าหมายหรือประสบผลสำเร็จขึ้นอยู่กับการใช้ถ้อยคำภาษาเป็นสำคัญ ถ้าใช้ถ้อยคำภาษาถูกต้อง ชัดเจน สละสลวย ย่อมสื่อความหมายได้ง่าย และรวดเร็ว ดังนั้นผู้เขียนโครงการจึงต้องรู้จักเลือกใช้ถ้อยคำที่มีลักษณะ ดังต่อไปนี้ 1. ใช้ภาษาให้ถูกต้อง คือ ใช้ให้ถูกต้องตรงตามความหมายและเขียนให้ถูกต้องตามอักษรวิธีทั้ง พยัญ ชนะ สระ วรรณยุกต์ ตัวสะกด และการันต์ 2. ให้ภาษาให้กะทัดรัด คือ ใช้ถ้อยคำกระชับ รัดกุม ไม่เยิ่นเย้อ ยืดยาว ประหยัดถ้อยคำ แต่ต้องได้ ใจความสมบูรณ์ 3. ให้ภาษาให้ชัดเจน คือ ใช้ถ้อยคำที่มีความหมายตรงไปตรงมา หรือตรงตามตัวทำให้ผู้รับสารเข้าใจ ทันทีไม่ใช้ถ้อยคำคลุมเครือหรือกำกวม 4. ใช้ภาษาให้เหมาะสม คือใช้ภาษาให้เหมาะสมกับเนื้อความ หรือเหมาะสมกับกาลเทศะ 5. ใช้ภาษาให้สุภาพ คือ ใช้ภาษาเขียนเป็นภาษาที่มีแบบแผน ไม่ใช้ภาษาพูดในการเขียนโครงการ 6. เขียนวัตถุประสงค์นิยมใช้คำและหลีกเลี่ยงการใช้คำ ดังตารางต่อไปนี้


63 ตารางแสดงคำที่ควรใช้และคำที่ควรหลีกเลี่ยงในการเขียนโครงการ คำที่ควรใช้ คำที่ควรหลีกเลี่ยง เพื่อกล่าวถึง เพื่อเข้าใจถึง เพื่ออธิบายถึง เพื่อทราบถึง เพื่อพรรณาถึง เพื่อคุ้นเคยกับ เพื่อเลือกสรร เพื่อซาบซึ้งใน เพื่อระบุ เพื่อรู้ซึ้งถึง เพื่อจำแนกแยกแยะ เพื่อสนใจใน เพื่อลำดับ หรือเพื่อแจกแจง เพื่อเคยชินกับ เพื่อประเมิน เพื่อยอมรับใน เพื่อสร้างเสริม เพื่อเชื่อถือใน เพื่อกำหนดรูปแบบ เพื่อสำนึกใน โครงการเป็นส่วนประกอบของแผนงานและเป็นแนวทางการพัฒนางานในทุก ๆ ด้าน ให้บรรลุเป้าหมายที่ กำหนดไว้ โครงการแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ โครงการที่แบ่งตามระยะเวลาดำเนินงานได้แก่ โครงการ ระยะสั้น ที่มีระยะเวลาปฏิบัติงานสิ้นสุดภายใน 1 ปี และโครงการระยะยาวหรือโคร งการตอ่ เนื่องที่ใช้ระยะเวลา มากกวา่ 1 ปี หรืออาจแบ่งเป็นโครงการที่เสนอโดยบุคคลเพียงคนเดียว กลุ่มบุคคลและหน่วยงาน โครงการที่ดีมี หลักการและเหตุผลสอดคล้องกับแผนพัฒนา แก้ปัญหาของหน่วยงานได้มีงบประมาณสนับสนุนที่เหมาะสมหลัง เสร็จสิ้นโครงการควรรายงานผลการดำเนินงานที่สามารถตรวจสอบและประเมินผลได้


64 หน่วยที่ 7 การนำเสนอผลงาน การนำเสนอผลงานเป็นทักษะการสื่อสารที่จำเป็นเนื่องจากบ่อยครั้งที่เราต้องเผชิญกับการพูดต่อหน้าผู้อื่น เช่น การ นำเสนองานหน้าชั้นเรียน การนำเสนอต่อที่ประชุม การเสนอโครงการเพื่อดำเนินงานต่าง ๆรวมถึงการนำเสนอ ข้อมูลจากการดำเนินงานที่ผ่านมา ดังนั้นทุกคนจึงควรฝึกฝนทักษะในการนำเสนอผลงานเพื่อให้เกิดความชำนาญ และเกิดประสิทธิภาพในการนำเสนอ 7.1 ความหมายของการนำเสนอผลงาน การนำเสนอ หมายถึง การเผยแพร่สิ่งอันเป็นคุณประโยชน์ เพื่อสาธารณชนได้รับรู้และเกิดความเข้าใจในคุณค่าต่อ สิ่งนั้นอย่างแท้จริง ผลงาน หมายถึง ผลของการศึกษาค้นคว้าหรือกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งจนกระทั่งเกิดผลผลิตที่สัมฤทธิ์ผลเป็น รูปธรรมขึ้นมา การนำเสนอผลงาน หมายถึง การเผยแพร่ผลผลิตที่กระทำโดยวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่งจนประสบผลสำเร็จ เรียบร้อยแล้ว เพื่อให้สาธารณชนได้รับรู้และเกิดความเข้าใจในคุณค่าหรือคุณประโยชน์ของผลผลิตจากงานที่ทำนั้น ๆ ภาพการนำเสนอผลงานโดยนักเรียน 7.2 จุดมุ่งหมายในการนำเสนอผลงาน โดยทั่วไปการนำเสนอผลงานควรจะมุ่งเน้นในวัตถุประสงค์ที่เฉพาะเจาะจง ไม่ควรนำเสนอด้วยวัตถุประสงค์ที่ มากมายหลายด้าน เพราะจะเป็นเหตุให้ไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแท้จริง การนำเสนอผลงานเป็นระบบการ สื่อสารที่สามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อกระบวนการปฏิบัติงานในหน่วยงานทุกองค์กรซึ่งส่วนใหญ่มักนำไปใช้ ด้วยจุดมุ่งหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้ 1. เพื่อการประชาสัมพันธ์


65 2. เพื่อให้ได้รับการพิจารณา 3. เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ 4. เพื่อให้ได้รับการสนับสนุน 5. เพื่อการฝึกอบรม/สัมมนา 6. เพื่อรายงานการปฏิบัติงาน 7. เพื่อรายงานในการตรวจเยี่ยม 7.3 รูปแบบการนำเสนอผลงาน รูปแบบการนำเสนอผลงาน ทำได้หลายแบบดังนี้ 1. นำเสนอด้วยปากเปล่าการนำเสนอด้วยปากเปล่าอาจทำให้ขาดความน่าสนใจ และหากใช้วิธีการก้มหน้าก้มตา อ่านไม่สนใจผู้ฟังยิ่งขาดความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น ผู้นำเสนอจึงต้องใช้น้ำเสียงให้มีประสิทธิภาพเน้นหนักเบา สูง ต่ำ เพื่อเพิ่ม ความสนใจ 2. นำเสนอด้วยสื่อ การนำเสนอด้วยสื่อให้สื่อทำหน้าที่นำเสนอผลงานเพียงอย่างเดียว ไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติม ผู้สนใจต้องทำความเข้าใจผลงานด้วยตนเอง 3. นำเสนอด้วยปากเปล่าพร้อมสื่อประกอบ สื่อที่ใช้ เช่น ป้ายนิเทศ แผ่นโปสเตอร์ โปรแกรมPowerPoint ผู้นำ เสนอต้องมีการอธิบายเพิ่มเติม การจะใช้รูปแบบใดในการนำเสนอผลงานขึ้นอยู่กับความเหมาะสม แต่ทั้งนี้ต้องทำให้ผู้รับสารรู้ว่าเหตุใดจึงทำ ผลงานนี้มีวิธีการทำอย่างไร ทำแล้วได้อะไร ผลงานน้ันหมายความว่าอย่างไรให้ชัดเจน 7.4 ประเภทของการนำเสนอผลงาน การนำเสนอผลงานเป็นการสื่อสารที่มีความแตกต่างกันในทางปฏิบัติ วัตถุประสงค์ของการนำเสนอและความ ต้องการของผู้รับการนำเสนอ การแบ่งประเภทของการนำเสนอแบ่งตามวิธีการที่ใช้ในการนำเสนอดังนี้


66 1. การนำเสนอด้วยการจัดแสดงนิทรรศการ ภาพการนำเสนอด้วยการจัดนิทรรศการ 2. การนำเสนอด้วยการแสดงประกอบการบรรยาย การนำเสนอลักษณะนี้มักเป็นผลงานที่เนื้อหาต้องใช้กรรมวิธีใน การสาธิตให้ผู้ฟังได้ดู เวลานำเสนอจะต้องเรียบเรียงลำดับขั้นตอนให้ถูกต้อง มีการอธิบายประกอบในแต่ละขั้น ต้อง มีความชัดเจนและสอดคล้องกัน ส่วนใหญ่ใช้กับผลงานที่เป็นสิ่งประดิษฐ์คนรุ่นใหม่ข้อเสนอแนะ คือ ควรมีเอกสาร ประกอบการสาธิตให้ผู้ชมได้ศึกษาไปพร้อม ๆ กัน ภาพการนำเสนอด้วยการแสดงประกอบการบรรยาย 3. การนำเสนอด้วยสื่อประกอบการบรรยาย ภาพการนำเสนอด้วยสื่อประกอบการบรรยาย


67 4. การนำเสนอด้วยวิธีการผสมผสาน การนำเสนองานลักษณะนี้อาจใช้สื่อประกอบหลายประเภทเข้ามาช่วยใน ขณะที่นำเสนอ ได้แก่ สื่ออิเล็กทรอนิกส์สื่อของจริงสื่อเคลื่อนไหว ประกอบการบรรยาย มักเป็นผลงานที่มีเนื้อหา ค่อนข้าซับซ้อน มีอุปกรณ์ ประกอบหลายชิ้น ต้องใช้กรรมวิธีในการสาธิตหลายขั้นตอน ภาพการนำเสนอด้วยวิธีการผสมผสาน 7.5 คุณสมบัติที่ดีของผู้นำเสนอผลงาน การนำเสนองานคุณสมบัติอันเป็นลักษณะประจำตัวของผู้นำเสนอผลงานถือว่าเป็นส่วนสำคัญของความสำเร็จใน การนำเสนอ เพราะคุณสมบัติของผู้นำเสนอจะมีอิทธิพลต่อการโน้มน้าวชักจูงให้ผู้ฟังเกิดความไว้วางใจเชื่อถือ ศรัทธาและยอมรับได้มากเท่ากับผลงานที่นำเสนอ ผู้นำเสนอที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่จะมีคุณสมบัติ ดังนี้ 1. บุคลิกภาพดี มีความเชื่อมั่นในตนเอง 2. ช่างสังเกต 3. มีไหวพริบปฏิภาณในการตอบคำถาม 4. มีความน่าเชื่อถือไว้วางใจได้ 5. มีความรู้ในเรื่องที่นำเสนอ 6. มีจิตวิทยาในการโน้มน้าวใจ 7. มีการใช้โสตทัศนูปกรณ์ได้ดี 8. มีความสามารถในการพูด


68 7.6 ทักษะการเป็นผู้นำเสนอผลงาน ผู้นำเสนอผลงานจะต้องศึกษาและฝึกฝนตนเองให้มีทักษะหลายด้าน เพื่อเตรียมความพร้อมในการเป็นผู้นำเสนอที่ ดี เพราะผู้นำเสนอเป็นปัจจัยสำคัญในความสำเร็จของการนำเสนอ โดยทั่วไปผู้นำเสนอจะต้องเสริมสร้างทักษะ ดังต่อไปนี้ 1. ทักษะในการคิด (conceptual skill) ผู้นำเสนอจะต้องเรียนรู้ และ สร้างความชำนาญชัดเจนในการคิดแม้ว่าจะ มีเนื้อหาสาระจากข้อมูลที่มีอยู่ ผู้นำเสนอก็จะต้องคิดพิจารณาเลือกใช้ข้อมูล และลำดับความคิด เพื่อจะนำเสนอให้ เหมาะแก่ผู้รับการนำเสนอ ระยะเวลา และโอกาส 2. ทักษะในการฟัง (listening skill) ผู้นำเสนอจะต้องสดับรับฟัง และสั่งสมปัญญาเป็นการรอบรู้จากการได้ฟังผู้รู้ และผู้เชี่ยวชาญในเรื่องที่จะนำเสนอเพื่อนำมากลั่นกรองเรียบเรียงเป็นเนื้อหาในการนำเสนอ 3. ทักษะในการพูด (speaking skill) ผู้นำเสนอจะต้องฝึกฝนการพูด เพื่อบอกเล่าเนื่องโน้มน้าวจูงใจ ให้ผู้รับฟังการ นำเสนอเห็นด้วย อันจะเป็นทางทำให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการนำเสนอ 7.7 ลักษณะที่ดีในการนำเสนอผลงาน นอกจากการเลือกรูปแบบของการนำเสนอให้ถูกต้องและเหมาะสมแล้ว จะต้องคำนึงถึงลักษณะของการนำเสนอที่ จะช่วยให้บรรลุผลตามวัตถุประสงค์ของการนำเสนอด้วย โดยทั่วไปลักษณะของการนำเสนอที่ดีควรมีดังต่อไปนี้ 1. มีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน กล่าวคือ มีความต้องการที่แน่ชัดว่า เสนอเพื่ออะไร โดยไม่ต้องให้ผู้รับการนำเสนอต้อง ถามว่าต้องการให้พิจารณาอะไร 2. มีรูปแบบการนำเสนอเหมาะสม กล่าวคือ มีความกระทัดรัดได้ใจความ เรียงลำดับไม่สนใช้ภาษาเข้าใจง่าย ใช้ ตาราง แผนภูมิแผนภาพ ช่วยให้พิจารณาข้อมูลได้สะดวก 3. เนื้อหาสาระดี กล่าวคือ มีความน่าเชื่อถือ เที่ยงตรง ถูกต้อง สมบูรณ์ครบถ้วน ตรงตามความต้องการ มีข้อมูลที่ เป็นปัจจุบันทันสมัย และมีเนื้อหาเพียงพอแก่การพิจารณา 4. มีข้อเสนอที่ดี กล่าวคือมีข้อเสนอที่สมเหตุสมผล มีข้อพิจารณาเปรียบเทียบ ทางเลือกที่เห็นได้ชัด เสนอแนะแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน 7.8 หลักการนำเสนอผลงาน ในการนำเสนอผลงานเพื่อวัตถุประสงค์ใด ๆ ก็ตาม ผู้นำเสนอจะต้องพิจารณาถึงหลักการที่จะใช้เป็นข้อยึดถือ


69 เพราะฉะนั้นจึงต้องพิจารณาหลกั การนำเสนอผลงาน ดังนี้ 1. คำนึงถึงความถูกต้องของเนื้อหา 2. คำนึงถึงความเหมาะสมของสถานการณ์และโอกาส 3. คำนึงถึงความชัดเจนของรายละเอียดและคำอธิบาย 4. คำนึงถึงประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือ 5. คำนึงถึงประโยชน์ที่ทุกฝ่ายจะได้รับ 7.9 การเตรียมการนำเสนอผลงาน การจัดทำผลงานเมื่อต้องการนำออกแสดงเพื่อการสาธิตผู้ที่จะต้องนำเสนอจะต้องเตรียมการนำเสนอ ตามลำดับขั้นตอนต่อไปนี้ 1. การกำหนดจุดมุ่งหมายของการนำเสนอ การนำเสนอจะต้องมีจุดมุ่งหมายที่อยู่บนพื้นฐานของหลักการ ดังนี้ 1.1 ต้องก่อประโยชน์ทั้งต่อฝ่ายผู้นำเสนอและผู้รับการนำเสนอ 1.2 ต้องคำนึงถึงผู้รับการนำเสนอเป็นหลัก 1.3 ต้องมีจุดมุ่งหมายที่มีความเป็นไปได้ 1.4 ต้องไม่กำหนดจุดมุ่งหมายมากหลากหลายจนคลุมเครือ 1.5 ต้องกำหนดจุดมุ่งหมายให้สอดคล้องกับสถานการณ์ 2. การเลือกรูปแบบการนำเสนอ การแสดงผลงานนั้นอาจทำได้หลายรูปแบบต่าง ๆ กันดังนี้ 2.1 การนำเสนอผลงานในรูปนิทรรศการ 2.2 การนำเสนอผลงานแบบโปสเตอร์ โปสเตอร์ที่นิยมใช้ในปัจจุบันนี้มี3 แบบ คือ 2.2.1 แบบบอร์ดแผ่นเดียว ภาพโปสเตอร์แบบบอรด์แผ่นเดียว


70 2.2.2 แบบบอรด์สามส่วน ภาพโปสเตอร์แบบบอร์ดสามส่วน 2.2.3 แบบบอรด์พับมีขาตั้ง ภาพโปสเตอร์แบบบอรด์ พับมีขาตั้ง 3. การรวบรวมข้อมูล การนำเสนอเอกสารประกอบจะต้องมีความรอบคอบ จัดทำอย่างเป็นระบบ มีความสมบูรณ์ครบถ้วนฉะนั้นผู้นำ เสนอจะต้องค้นหาข้อเท็จจริงประกอบหลักฐานอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ ถ้ามีหลักฐานอ้างอิงเป็นเอกสาร จะต้องตรวจ ความสมบูรณ์ถูกต้อง การใช้สถิติ หรือบันทึกเหตุการณ์จากแหล่งข้อมูลใดผู้นำเสนอจะต้องพิสูจน์ความถูกต้อง ครบถ้วนและจะต้องทำความเข้าใจข้อมลูต่างๆ ให้แน่ชัด 4. การวางโครงสร้างนำเสนอ โครงสร้างการนำเสนอเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้การนำเสนอมีความสมรูป ตามเนื้อหาของการนำเสนอ จึงควรจัด โครงสร้างตามหลักการดังนี้ 4.1 ต้องมีส่วนของการกล่าวนำ ให้รู้ว่าผู้นำเสนอ หรือคณะผู้นำเสนอเป็นใคร หรือประกอบด้วยผู้ใดบ้าง และ นำเสนอในนามของหน่วยงานใด บอกชื่อเรื่องที่นำเสนอ พร้อมด้วยวัตถุประสงค์ บอกระยะเวลาที่จะใช้ในการ นำเสนอ และแจ้งให้รู้ถึงข้อมูลที่ได้เสนอให้พิจารณาแล้วล่วงหน้า 4.2 ต้องมีส่วนแจ้งให้รู้ถึงสถานการณ์ ความเป็นมาของเรื่องให้รู้ถึงความเดิมก่อนที่จะนำเสนอว่ามีความสืบเนื่อง ประการใด 4.3 ต้องมีส่วนที่ชี้ถึงสภาพปัญหา สาเหตุของปัญหา และตัวแปรที่สัมพันธ์เกี่ยวข้อง เช่นข้อกฎหมาย 4.4 ต้องมีส่วนที่ชี้ถึงทางเลือกในการแก้ปัญหาพร้อมด้วยการประเมินข้อดีและข้อเสีย


71 4.5 ต้องมีส่วนที่เป็นข้อเสนอในการแก้ปัญหาอันเป็นการตัดสินใจเลือกทางเลือกที่ดีที่สุด 4.6 ต้องมีส่วนที่เป็นบทสรุป ทั้งข้อเท็จจริง และข้อโต้แย้งที่สำคัญ ถ้าเป็นการนำเสนอเพื่อขออนุมัติจะต้องกล่าวถึง ขั้นตอนการดำเนินงานต่อไป ถ้าได้รับอนุมัติ 5. การเตรียมเนื้อหาที่จะเสนอ เนื้อหาในการนำเสนอเป็นส่วยสำคัญในการนำเสนอ ฉะนั้นจะต้องเรียงลำดับขั้นตอนและจัดปันหมวดหมู่โดยคำนึง ถึงหลักการเฉพาะของการนำเสนอ ดังนี้ 5.1 ต้องจัดทำร่างเนื้อหาตามโครงสร้างให้พอเหมาะแก่ระยะเวลาในการนำเสนอ 5.2 ต้องลำดับเรื่องให้เกิดความเชื่อมโยงตามขั้นตอน 5.3 ต้องเรียบเรียงข้อมูลให้เข้าใจง่ายและทำความเข้าใจได้รวดเร็ว 5.4 ต้องแสดงให้เห็นถึงประโยชน์ที่ผู้ฟังจะได้รับจากข้อคิดเห็นที่นำเสนอในทุกด้าน 5.5 ต้องเชื่อมโยงเหตุผลโดยมีหลักฐานประกอบให้สอดคล้องและกลมกลืนกัน 6. การตอบคำถามในการนำเสนอ ในการนำเสนอส่วนใหญ่ จะมีการเชื้อเชิญให้มีการซักถามในตอนท้ายของการนำเสนอ ดังนั้น ผู้นำเสนอจึงต้องมีหลักการเป็นข้อยึดถือในการปฏิบัติ ดังนี้ 6.1 ต้องจัดเวลาให้เหมาะสมในการเปิดการซักถาม 6.2 ต้องคาดคะเนคำถามที่จะเกิดขึ้นไว้ล่วงหน้าเพื่อจะได้เตรียมคำตอบที่เหมาะสม 6.3 ต้องแสดงความยินดีต้อนรับคำถาม แม้จะเป็นคำถามที่ไร้สาระ หรือแฝงด้วยความประสงค์ร้าย แต่ก็สามารถ จะเลือกตอบ และสงวนคำตอบไว้ตอบเฉพาะตัวผู้ถามภายหลังก็ได้ 6.4 ต้องรู้จักเรียบเรียงคำถามที่มีข้อความยืดยาว เยิ่นเย้อให้กระชับขึ้น 6.5 ต้องตอบให้ตรงประเด็น หมายถึงตรงกับเรื่องที่ถามไม่ตอบเลี่ยง หรือ ตอบคลุมเครือ 7. 10 ข้อควรปฏิบัติในการนำเสนอผลงาน 1. ก่อนนำเสนอ 1.1 เลือกเครื่องแต่งกายให้เหมาะสมกับกลุ่มผู้ฟังและสถานที่ 1.2 รู้จักผ่อนคลายอิริยาบถเพื่อระงับความกังวล ความประหม่า 1.3 ควรเดินทางไปถึงสถานที่นำเสนออย่างน้อย 15 นาที 1.4 เตรียมการซักถามด้วยความมั่นใจสุขุมรอบคอบ 2. ขณะนำเสนอ 2.1 รักษาเวลาตามที่กำหนด


72 2.2 นำเสนอให้ดูเป็นธรรมชาติ 2.3 ยิ้มแย้มแจ่มใส เป็นมิตรกับผู้ฟัง 2.4 ใช้ภาษาและท่าทีที่สุภาพ เข้าใจง่าย ใช้ภาษาท่าทางประกอบอย่างเหมาะสม 2.5 ใช้สื่อประกอบการบรรยายได้อย่างเหมาะสม 2.6 หากมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นควรกล่าวคำว่า “ขออภัย ” 2.7 นำหลักการพูดในที่ชุมชนมาประยุกต์ใช้ 3. หลังการนำเสนอ 3.1 ประเมินผู้ฟังด้วยการสังเกตปฏิกิริยาของผู้ฟัง 3.2 ประเมินผู้ฟังด้วยแบบสอบถาม นำผลการประเมินมาใช้ในการพัฒนาการนำเสนอในครั้งต่อไป 7.11 การใช้ภาษาในการนำเสนอผลงาน ภาษาที่ผู้นำเสนอใช้ในการนำเสนอผลงานมีทั้งวัจนภาษาอวัจนภาษา ดังนั้น จึงควรใช้ให้เหมาะสม ดังนี้ 1. การพูด ไม่ควรพูดเร็วเกินไป หรือใช้เสียงสูงมากเกินความจำเป็น ควรพูดให้เป็นธรรมชาติ ไม่เร็วหรือ ช้า จนเกินไป และไม่ควรใช้วิธีการอ่านจากบทอ่านตลอดเวลา 2. การใช้สายตา ควรมีการประสานตาหรือสบตากับผู้ฟังเป็นระยะ ๆ มองผู้ฟังให้รอบจะช่วยให้ผู้ฟังรู้สึกดีต่อผู้ นำเสนอได้ 3. การเคลื่อนไหวไม่ควรเดินไปมาบ่อย ๆ และไม่ควรล้วงแคะแกะเกาในขณะที่พูด เพราะอาจทำให้ผู้ฟังรู้สึรำคาญ 4. การใช้มือควรใช้มือประกอบการพูดให้ดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด 5. การวางท่าทาง ควรพยายามหลีกเลี่ยงกิริยาที่จะก่อให้เกิดความรำคาญใจแก่ผู้ฟัง วางท่าทางให้เป็นธรรมชาติ เชื่อมั่นในตนเอง และมีความกระตือรือร้น การนำเสนอผลงานเป็นการสื่อสารเพื่อถ่ายทอดข้อมูลที่มีวัตถุประสงค์แน่ชัดให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจภายในระยเวลา กำหนด ฉะนั้นผู้พูด จะต้องมีการเตรียมการอย่างดี โดยจะต้องเตรียมตัวและเตรียมความพร้อมทุกด้าน นับตั้งแต่ การเตรียมเรื่อง ผู้พูดควรกำหนดวัตถุประสงค์หลักของการพูดให้ชัดเจนว่าต้องการให้ผู้ฟังทราบเรื่องอะไร แล้วจึง กำหนดวัตถุประสงค์รองเป็นเป็นประเด็นต่าง ๆ ต่อมา คือ การสร้างความเชื่อมั่นในตนเองด้วยการฝึกฝนให้เกิด ความชำนาญ นอกจากนี้ยังต้องเตรียมเรื่องการแต่งกาย บุคลิกภาพ และอุปกรณ์การนำเสนออื่น ๆ ที่จำเป็นด้วย


73 แบบทดสอบหลังเรียน ตอนที่1 คำชี้แจ้งให้ทำเครื่องหมายกากบาท (X) ลงหน้าตัวเลือกที่ถูกต้องที่สุด 1. ข้อใดจัดเป็นความหมายของการนำเสนอผลงาน ก. สิ่งที่ผู้ส่งสารสื่อไปยังผู้รับสาร ข. การส่งสารผ่านสื่อไปยังผู้รับสาร ค. การรับข้อมูลข่าวสารจากผู้ส่งสาร ง. สื่อกลางในการส่งผ่านไปยังผู้รับสาร จ. การนำสารจากผู้ส่งสารไปยังผู้รับสาร 2. ข้อใดไม่จัดเป็นความสำคัญของการนำเสนอผลงาน ก. ใช้ในการเผยแพร่ความรู้ใหม่ ๆ ข. ใช้ในการเบิกจ่ายงบประมาณได้ ค. ใช้ชี้แจงระเบียบในการปฏิบัติงานได้ ง. ใช้เสนอขอจัดทำโครงการต่าง ๆ จ. ใช้เสนอขออนุมัติแผนงานต่าง ๆ 3. ข้อใดไม่จัดเป็นลักษณะของการนำเสนอที่ดี ก. มีเนื้อหาสาระดี ข. มีจุดมุ่งหมายที่ดี ค. มีรูปแบบที่เหมาะสม ง. มีวัตถุประสงค์ชัดเจน จ. มีความสำคัญอย่างยิ่ง 4. ข้อใดจัดเป็นการเตรียมเนื้อหาในการนำเสนองานที่ไม่ถูกต้อง ก. จัดเตรียมหาหลักฐานอ้างอิงต่างๆ ให้ครบถ้วน


74 ข. เตรียมการยกตัวอย่างหรือกรณีศึกษามาประกอบ ค. จัดทำร่างเนื้อหาตามโครงสร้างที่เหมาะสมแก่ระยะเวลา ง. เรียงลำดับเรื่องเพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงเป็นเอกภาพ จ. ต้องคัดเลือกเนื้อหาที่น่าสนใจตามความต้องการของผู้พูด 5. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับการนำเสนอ ก. การปาฐกถา ข. การอภิปราย ค. การบรรยาย ง. การให้โอวาท จ. การแถลงข่าว 6. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้อง ก. ถ้าเป็นการนำเสนอด้วยการพูดควรใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย ข. การนำเสนอควรลำดับเนื้อหาให้มีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน ค. การนำเสนอผลงานอาจใช้เทคนิคหรือวิธการต่าง ๆ ประกอบได้ ง. การนำเสนอด้วยการบรรยายไม่จำเป็นต้องใช้สื่อโสตทัศนูปกรณ์ จ. ข้อมลูที่นำเสนอควรเรียบเรียงจากความรู้ความเข้าใจของผู้นำเสนอ 7. ภาษาที่ใช้ในการนำเสนอควรเป็นลักษณะใด ก. พูดแบบสัมภาษณ์เรื่องราวต่าง ๆ ข. พูดลักษณะเป็นการสื่อสารทางเดียว ค. พูดด้วยการสร้างความเชื่อมั่นให้ตนเอง ง. พูดให้ผู้ฟังเข้าใจเรื่องราวนั้น ๆ อย่างแจ่มแจ้ง จ. พูดซักถามความคิดเห็นระหว่างบุคคลสองฝ่าย


75 8. ข้อใดกล่าวถูกต้อง ก. การนำเสนอผลงานต้องคำนึงถึงผู้นำเสนอเป็นหลัก ข. การรายงานผลการปฏิบัติงานไม่จัดว่าเป็นการนำเสนอ ค. การนำเสนอใช้ในการแนะนำในการเยี่ยมชมกิจการต่าง ๆ ได้ ง. การนำเสนอผลงานนำไปใช้ได้เฉพาะพนักงานในบริษัทเท่านั้น จ. การนำเสนอไม่สามารถนำไปใช้ในการพิจารณาอนุมัติเรื่องต่าง ๆ ได้ 9. ข้อใดไม่จัดเป็นการนำเสนอเฉพาะกลุ่ม ก. การฝึกอบรมทำขนมอบ ข. การสัมมนาครูภาษาไทย ค. การประชุมผู้ปกครอง ง. การบรรยายทางโทรทัศน์ จ. ทุกข้อที่กล่าวมา 10. ข้อใดจัดเป็นการนำเสนอในที่ประชุม ก. การฝึกอบรมทำขนมอบ ข. การสัมมนาครูภาษาไทย ค. การประชุมผู้ปกครอง ง. การบรรยายทางโทรทัศน์ จ. ทุกข้อที่กล่าวมา 11. ข้อใดคือข้อคำนึงถึงการเขียนร่างโครงการ ก. ความเป็นมา ข. ความสำคัญของปัญหา ค. ประโยชน์ที่จะได้รับ


76 ง. แผนดำเนินงานการประเมินผล จ. ถูกทุกขอ้ 12. ข้อใดไม่ใช่แนวปฏิบัติในการตั้งชื่อโครงการ ก. สั้นกะทัดรัด ชัดเจน ข. ควรตั้งชื่อเรื่องให้น่าสนใจ ทันเหตุการณ์ ค. สื่อความหมายครอบคลุมความสำคัญของเรื่อง ง. ชื่อเรื่องภาษาไทยควรสอดคล้องกับชื่อกลุ่มเป้าหมาย จ. ระบุสิ่งที่ต้องการบอกให้ทราบว่า โครงการจะทำอะไร เพื่ออะไร 13. ข้อใดไม่ใช่แนวปฏิบัติการเขียนความเป็นมาของโครงการ ก. เขียนระบุถึงความสำคัญของปัญหา ความจำเป็นคุณค่าและประโยชน์ที่จะได้รับอย่างมีเหตุผล ข. เขียนระบุความเป็นมาของโครงการจำเป็นต้องอาศัยข้อมลูมาประกอบในการพิจารณา ค. ระบุได้ว่ามีการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่มีที่ใดบ้าง ง. เขียนระบุถึงการค้นคว้าจากอินเทอร์เน็ต จ. การศึกษานี้จะช่วยเพิ่มคุณค่าได้อย่างไร 14. “ผู้เสนอโครงการต้องแสดงให้เห็นว่า มีความรู้พื้นฐานและเข้าใจในปัญหาที่กำลังจะศึกษาอย่างชัดเจน ทั้งทางทฤษฎีและปฏิบัติสามารถระบุถึงความสำคัญของปัญหา ความจำเป็นคุณค่าและประโยชน์ที่จะได้รับอย่าง มีเหตุผลระบุได้ว่ามีการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่มีที่ใดบ้างและการศึกษานี้จะช่วยเพิ่มคุณค่าได้อย่างไร” จากข้อความข้างต้น หมายถึงข้อใด ก. ความเป็นมาของโครงการ ข. วิธีการดำเนินงาน ค. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ง. วิธีการวิเคราะห์ข้อมลู


77 จ. สรุปผลโครงการ 15. ข้อใดคือขั้นตอนกรอบแนวคิดการวิจัย ก. ศึกษาข้อมลูสร้างนำไปใช้ ข. กำหนดกรอบสร้างแบบสอบถาม ค. ศึกษาข้อมลูนำไปใช้วิเคราะห์ข้อมูล ง. สร้างหาประสิทธิภาพนำไปใช้ประเมินผล จ. สร้างหาประสิทธิภาพประเมินผลวิเคราะห์ข้อมูล 16. ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ของการอ้างอิงในการจัดทำโครงการและเรียบเรียงเขียนรายงาน ก. การอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูลทุกครั้งเพราะการอ้างอิงเป็นสิ่งแสดงถึงการศึกษาค้นคว้าและความ น่าเชื่อถือของข้อมูลของรายงานและทำให้ผู้อ่านค้นคว้าเพิ่มเติมได้ ข. ผู้เสนอได้แนวคิดหรือได้ศึกษาค้นคว้าจากแหล่งความรู้ใดบ้างเพื่อให้ผู้อ่านได้มองเห็นความสัมพันธ์ ของแนวคิดนั้นกับแนวคิดของผู้เสนอ ค. การนำข้อมูลจากแหล่งความรู้ใดมาบ้างเพื่อให้ผู้อ่านได้มองเห็นความสัมพันธ์ของแนวคิดนั้นกับ แนวคิดของผู้เสอน ง. การอ้างอิงจะเป็นการบอกถึงงบประมาณและเวลาที่ใช้ในการจัดทำโครงการ จ. ถูกทุกข้อ 17. การระบุผลที่ต้องการให้เกิดขึ้นหลังการดำเนินโครงการจะเขียนโดยยึดตามวัตถุประสงค์ ประโยชน์และ ผลกระทบจากการดำเนินงานซึ่งเป็นการคาดการล่วงหน้าจากข้อความคือหลักการหรือแนวทางการเขียนส่วน ใดของโครงการ ก. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ข. กรอบแนวคิดการวิจัย ค. วิธีการดำเนินงาน


78 ง. การวิเคราะห์ข้อมลู จ. การแปลข้อมลู 18. การเขียนต้องเขียนเป็นภาษาไทยที่เข้าใจง่ายทำการทดสอบได้ เฉพาะเจาะจงไม่คลุมเครือบ่งชี้ถึงสิ่งที่จะ ทำขอบเขตก็ควรจะอยู่ในห้วงของขอบเขตวัตถุประสงค์ต้องสอดคล้องกับชื่อเรื่องและความเป็นมาโดยทั่วไป เขียนในรูปประโยคบอกเล่า แยกเป็นข้อ ๆ เพื่อชี้ให้เห็นถึงกระบวนการเรียงตามลำดับดำเนินโครงการ จาก ข้อความคือหลักการหรือ แนวทางการเขียนส่วนใดของโครงการ ก. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ข. วิธีการดำเนินงาน ค. วัตถุประสงค์ของโครงการ ง. กรอบแนวคิดการวิจัย จ. การแปลข้อมูล 19. ข้อใดคือประโยชน์ของการเขียนแผนการสรุปงบประมาณการดำเนินโครงการ ก. ประหยัดงบประมาณ ข. จำกัดงบประมาณ ค. วางแผนของงบประมาณ ง. ของบประมาณได้มากตามความต้องการ จ. ทำให้การกำหนดงบประมาณใกล้เคียงกับที่ควรจะเป็น 20. การกำหนดคำสำคัญที่เกี่ยวข้องกับโครงการและการให้คำจำกัดความที่เฉพาะเจาะจงในประเด็นที่ เกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการวิจัย ควรนิยามในรูปคำปฏิบัติการให้ชัดเจนไม่กำกวมหรือกว้างเกินไป เพื่อให้ ผู้ดำเนินโครงการและผู้อ่านมีความเข้าใจตรงกัน มักนิยามในเรื่องของนวัตกรรม และเนื้อหารายละเอียดย่อย ของเรื่องที่นำมาพัฒนาหมายถึงข้อใด ก. ชื่อโครงการ


79 ข. คำนิยามศัพท์ ค. ประโยชน์ของโครงการ ง. วัตถุประสงค์ของโครงการ จ. กลุ่มตัวอย่างในการทดลอง 21.ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ของรายงานการประชุม ก. เป็นหลักฐานอ้างอิง ข. เป็นคู่มือการปฏิบัติงาน ค. เป็นข้อมูลประชาสัมพันธ์ ง. เป็นหลักฐานการปฏิบัติงาน 22.ข้อใดเป็นวิธีการจดบันทึกรายงานการประชุมที่นิยมมากที่สุด ก. จดแบบใดก็ได้ ข. จดละเอียดทุกคำพูด ค. จดเฉพาะวาระและมติของที่ประชุม ง. จดประเด็นสำคัญพร้อมมติของที่ประชุม 23.บุคคลใดมีคุณสมบัติเหมาะแก่การเป็นผู้จัดรายงานการประชุม ก. ไก่เรียนหนังสือเก่ง ข. ปลาเป็นคนพูดเก่ง ค. ผึ้งมีร่างกายแข็งแรง ง. หมีมีทักษะในการสรุปความ 24.ข้อใดหมายถึงองค์ประชุม ก. ผู้ที่เข้าประชุมทุกคน ข. ผู้ที่มีส่วนร่วมในการจัดประชุม


80 ค. ผู้ที่มีรายชื่อเป็นคณะกรรมการทุกคน ง. ผู้ที่เข้าประชุมมีจำนวน 2 ใน 3 ของสมาชิกทั้งหมด 25.ข้อใดเป็นการเขียนรายงานอย่างยาว ก. เขียนบทความชี้แจงเหตุการณ์ผิดปกติ ข. เขียนแบบฟอร์มรายงานผลการเข้ารับการอบรม ค. เขียนรายงานผลการจัดกิจกรรมการปฏิบัติงาน ง. เขียนบันทึกข้อความรายงานผลการเข้าร่วมประชุม 26.ข้อใดต่างจากพวก ก. วีรพล : มานพเขียนบันทึกการทำรายงานส่งหัวหน้า ข. ณัฐพงษ์ : บอกหัวหน้าแผนกว่าไม่มีปัญหาในการทำงาน ค. พลกฤต : กรอกแบบฟอร์มรายงานผลการขายสินค้าประจำวัน ง. สราวุธ : ทำรายงานเรื่อง อินเทอร์เน็ตกับการเรียน ส่งอาจารย์ 27.ข้อใดไม่ใช่รายงานผลการปฏิบัติงาน ก. รายงานประจำปี ข. รายงายขนาดสั้น ค. บันทึกประจำวัน ง.รายงานขนาดยาว 28.ข้อใดไม่ใช่รูปแบบการเขียนรายงานการปฏิบัติงาน ก. ใช้แบบตามหน่วยงาน ข. ใช้รูปแบบรายงานขนาดสั้น ค. ใช้รูปแบบการเขียนจดหมาย ง. ใช้รูปแบบที่เป็นที่นิยมที่สุด


81 29.ข้อใดที่ไม่ต้องมีในบันทึกข้อความ ก. เรียน........ ข. ชื่อ-สกุลผู้บันทึก ค. ขอแสดงความนับถือ ง. จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ 30.ข้อใดคือวัตถุประสงค์ของการเขียนบันทึกข้อความ ก. เพื่อบังคับให้ทำตามที่ได้กำหนดไว้ ข. เพื่อเป็นอกสารและหลักฐานในราชการ ค. เพื่อให้เป็นกฎของสำนักงานและปฏิบัติตาม ง. เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องทราบหรือเมื่อทราบแล้วให้ปฏิบัติตาม 31. เหตุใดจึงต้องวิเคราะห์ผู้ฟังก่อนการพูดทุกครั้ง ก. ผู้ฟังสำคัญ ข. ต้องการรู้จักผู้ฟัง ค. ช่วยกำหนดแนวทางการพูด ง. เพราะการพูดไม่ได้เตรียมตัว 32. การวิเคราะห์ผู้ฟังในการพูดควรวิเคราะห์สิ่งใดบ้าง ก. เพศ การศึกษา ข. เพศ วัย อาชีพ ค. หน้าตา พื้นฐานความรู้ ง. เพศ วัย อาชีพ พื้นฐานความรู้ 33. ข้อใดถูกต้อง ก. ควรใช้ภาษาทางการทุกครั้งที่พูด


82 ข. ควรจัดลำดับในการพูดโดยเฉพาะเนื้อหา ค. ในการพูดแต่ละครั้งไม่จำเป็นต้องวิเคราะห์ผู้ฟัง ง. ควรใช้อวัจนภาษาให้เป็นธรรมชาติในการพูด 34. การปฏิเสธที่ดีควรมีลักษณะอย่างไร ก. รักษาน้ำใจเพื่อน ข. รักษาน้ำใจผู้ชวน ค. อ้างความรู้สึกประกอบ ง. ปฏิเสธอย่างชัดเจนทั้งท่าทาง น้ำเสียง และคำพดู 35. การพูดโอกาสใดที่ผู้ร่วมงานต้องสงบนิ่งและสำรวมกาย วาจา ใจ ก. การกล่าวอำลา ข. การกล่าวคำไว้อาลัย ค. การกล่าวมอบของขวัญ ง. การกล่าวอวยพรวันเกิด 36. สิ่งใดเป็นสิ่งที่ควรคำนึงในการพูดตอบรับ ก. ถ่อมตนอย่าโอ้อวด ข. ไม่ควรถ่อมตนจนไร้ความหมาย ค. ควรยกย่องสรรเสริญชมเชยเพื่อนร่วมงาน ง. แสดงความขอบคณุ ถ้าไม่พอใจก็บอกว่าไม่พอใจ 37. ข้อใดไม่ใช่ประโยคปฏิเสธที่ดี ก. การถามความคิดเห็นเป็นการรักษาน้ำใจผู้ชวน ข. การอ้างความรู้สึกที่ดีประกอบแทนการใช้เหตุผล ค. ปฏิเสธอย่างชัดเจนทั้งท่าทาง น้ำเสียง และคำพูด


83 ง. อยากปฏิเสธอะไรก็พูดออกไปเลยไม่ต้องอ้อมค้อม 38. ข้อใดเป็นการพูดแสดงความยินดี ก. งานศพ ข. งานเกษียณ ค. งานมงคลสมรส ง. งานประชุมทางวิชาการ 39. สำนวนในข้อใดแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการพูด ก. ปากหวานก้นเปรี้ยว ข. ปากปราศรัย ใจเชือดคอ ค. พูดดีเป็นศรีแก่ตัว พูดชั่ว อัปราชัย ง. พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง 40. ข้อใดเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เกิดการพูดการตามมารยาททางสังคม ก. มนุษย์จำเป็นต้องสร้างปฏิสัมพันธ์กับคนในสังคม ข. เพราะทุกคนเกิดมาต้องมีเพื่อนและจำเป็นต้องเข้าสังคม ค. เพราะเป็นมารยาทที่ดีและปฏิบัติตามประเพณีของสังคม ง. เพราะมนุษย์อยู่รวมกันเป็นหมู่เป็นกลุ่มกิจกรรมที่ย่อมเกิดขึ้น 41.องค์ประกอบของการสื่อสารตรงกับข้อใด ก. ผู้รับสาร ผู้ส่งสาร สาร สื่อ ข. ผู้รับสาร ผู้ส่งสาร เอกสาร สื่อ ค. ผู้นำสาร ผู้ส่งสาร เอกสาร สื่อ ง. ผู้รับสาร ผู้ส่งสาร สาร ตัวนำสาร


84 42.ข้อใดใช้คำผิดความหมาย ก. สมพรอ่านหนังสือฆ่าเวลา ข. วาสนาทำตัวแหลกเหลว ค. สมหญิงหิวจนหูอื้อตาลาย ง. อ้อยทำงานหนักจนเหงื่อไหลโทรมกาย 43.ข้อใดใช้ภาษาได้ดีที่สุด ก. แจ็คดูอาการหนักฉันว่าไม่รอดแน่ ข. ยินดีด้วยนะที่เธอได้รับรางวัลวันนี้ ค. วิชาภาษาไทยพื้นฐานเธอไม่เก่งเลยนะ ง. เธอทำงานช้าทุกอย่างเลยไม่ทันกินหรอก 44. ข้อใดมีความหมายโดยนัย ก. เขามีอาชีพเป็นลูกหาบ ข. แม่มีลูกมือทำขนมหลายคน ค. ลูกมะพร้าวลอยมาตามน้ำ ง. ลูกพี่ของเด็กแว้นกลุ่มนี้ค่อนข้างมีเหตุผล 45. ข้อใดเป็นการส่งสารด้วยอวจันภาษา ก. เขาหัวเราะร่วน เมื่อได้ฟังเร่ืองตลก ข. เมื่อเขากวักมือเรียกเธอก็เดินเข้ามา ค. พออ่านนวนิยายจบ นำ้ ตาเธอก็ไหลริน ง. เมื่อเขาฟังเพลงที่เกี่ยวกับพระคุณแม่เขาถึงกับน้ำตาซึม 46.สำนวนในข้อใดที่ชี้ให้เห็นว่าภาษาไทยเป็นภาษามีระดับ ก. ปลาหมอตายเพราะปาก


85 ข. คนยากว่าผี คนดีว่าศพ ค. สำเนียงส่อภาษากิริยาส่อสกุล ง. พูดไปสองไพเบี้ยนิ่งเสียตำลึงทอง 47.ข้อใดเขียนสะกดถูกต้องทุกคำ ก. นอต ย่อมเยา ข. พจนานุกรม มงกุฎ ค. เครื่องสำอางน้ำแข็งไส ง. ไตรยางค์ กระเพรา 48.ข้อใดใช้ภาษากึ่งทางการ ก. บิ๊กไปทำบุญกับเพื่อน ๆ ข. ดาวคุยโทรศัพท์กับนกทุกวัน ค. แอ๋วไปร่วมงานแต่วงน้องสาวดา ง. ครูสมศรีกำลังบรรยายเรื่องปัญหาเด็กเร่ร่อน 49. ลักษณะเด่นของภาษาสื่อมวลชนคือข้อใด ก. สั้น กระชับ สะดุดตา สะใจ ข. สั้น กระชับ สะดุดตา เน้นข้อคิด ค. สั้น กระชับ สะดุดตา สะเทือนใจ ง. สั้น กระชับ สะดุดตา เกิดความรู้ 50.ขอ้ ใดไม่จัดเป็นการสื่อสาร ก. การชมภาพยนตร์ ข. การตะโกนในห้องน้ำ ค. การเขียนจดหมายลาครู


86 ง. การกวักมือเรียกคนข้างหลัง 51.ข้อใดสำคัญที่สุดในการฟังสารแบบจรรโลงใจ ก. สร้างความเพลิดเพลิน ข. นำความรู้ที่ได้ไปใช้ประโยชน์ ค. จับใจความสำคัญของเรื่องได้ ง. ได้รับแง่คิดที่สามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตได้ 52.ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ของการฟัง ก. ทำให้ผู้ฟังมีความรู้กว้างขึ้น ข. สามารถเข้าสังคมกับผู้อื่นได้ดี ค. ทำใหผู้ฟังตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว ง. ไม่ตกเป็นเหยื่อของคำโฆษณาชวนเชื่อ 53. ข้อใดเป็นข้อเท็จจริง ก. วันนี้อากาศครึ้มมากฝนคงจะตกหนัก ข. แมวไทยมีหน้าตาน่ารักและเฉลียวฉลาด ค. การตื่นนอนแต่เช้าตรู่เป็นกำไรของชีวิต ง. พ่อขุนรามคำแหงเป็นผู้ประดิษฐ์อักษรไทย 54.เมื่อราตรีพูดจบ วิทวัสก็ปรบมือให้ทันที แสดงว่าวิทวัสมีกระบวนการรับรู้สารด้วยการฟังขั้นตอนใด ก. ได้ยิน ข. เข้าใจ ค. ตีความ ง. ตอบสนอง


87 55.ขั้นตอนแรกในการจับประเด็นสำคัญจากเรื่องที่ฟังและดูคืออะไร ก. มีสมาธิจดจ่ออยู่กับการฟังและการดู ข. สรุปประเด็นเป็นภาษาของตนเอง ค. แยกแยะข้อเท็จจริงข้อคิดเห็น ง. ทำความเข้าใจกับจุดมุ่งหมายของการรับสาร 56.ข้อใดไม่ใช่วิธีการวิเคราะห์และประเมินค่าจากการฟัง ก.ฟังด้วยความตั้งใจ ข.ฟังแล้วจับใจความได้ ค.ฟังแล้ววิจารณ์เรื่องที่ฟังได้ ง. ตีความถ้อยคำสำนวนโวหารที่ผู้พูดพูดได้ 57.ขอ้ ใดเป็นรายการที่มุ่งให้ผู้ชมนำแง่คิดที่ได้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน ก. คนค้นฅน ข. คุณพระช่วย ค. กบนอกกะลา ง. เรื่องจริงผ่านจอ 58. เหตุใดจึงกล่าวว่า“ข่าว” ไม่ใช่รายงานตามความเป็นจริงทั้งหมดที่เกิดขึ้น ก. ประชาชนรับฟังวามจริงของข่าวเพียง บางส่วนเท่านั้น ข. ข่าวถูกกำหนดและควบคุมโดยชนชั้นปกครองหรือเจ้าของทุน ค. สื่อมวลชนช่วยนำเสนอให้สังคมทราบความ เคลื่อนไหวของข่าว ง. ผู้รายงานข่าวจะเป็นผู้สร้างความหมายให้กับเรื่องที่เกิดขึ้นในสังคม 59.ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการประเมินค่าสาร ก. ต้องทำโดยปราศจากอคติ


88 ข. อย่าให้คนอื่นมาครอบงำความคดิ ค. ควรใช้อารมณ์หรือความรู้สึกของตนเข้าประเมิน ง. ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อหาคุณค่าของสาร 60.ข้อใดไม่ใช่สิ่งที่ได้จากการดูละคร ก. ได้รับความเพลิดเพลิน ข. เสริมสร้างโลกทัศน์ให้กว้างขึ้น ค. ได้รับแง่คิดที่สามารถนำไปปรับใช้ในชีวิต ง. สามารถเลียนแบบพฤติกรรมของตัวละครได้ 61. ข้อใดกล่าวถึงลักษณะเบื้องต้นที่สำคัญของผู้อ่านที่ดี ก. ผู้อ่านที่ดีต้องเชื่อในสิ่งที่อ่านเป็นสำคัญ ข. ผู้อ่านที่ดีต้องเข้าใจองค์ประกอบของการสื่อสาร ค. ผุ้อ่านที่ดีต้องอ่านเฉพาะประเด็นที่ตนเองสนใจเท่านั้น ง. ผู้อ่านที่ดีต้องสามารถถ่ายทอดตามความรู้สึกนึกคิดของตนเองได้ 62.แม้วอ่านสารคดีเรื่อง ภัยธรรมชาติ โดยมุ่งที่จะเข้าใจเนื้อหาสาระอย่างละเอียดและพิจารณาหาเหตุผลของ เรื่อง ที่อ่านแม้วควรใช้วิธีการอ่านประเภทใด ก. อ่านเก็บความรู้ ข. อ่านเอาเรื่อง ค. อ่านวิเคราะห์ ง. อ่านตีความ


89 63. ข้อใดกล่าวถึงขั้นตอนการอ่านได้ถูกต้อง ก. ตั้งคำถามและหาคำตอบ สำรวจ อ่านจริงจังระลึกถึงทบทวน ข. สำรวจ ตั้งคำถามและหาคำตอบ อ่านจริงจังระลึกถึงทบทวน ค.ตั้งคำถามและหาคำตอบสำรวจอ่านจริงจังทบทวน ระลึกถึง ง. สำรวจ อ่านจริงจัง ตั้งคำถามและหาคำตอบทบทวนระลึกถึง 64.ข้อใดไม่ใช่ลักษณะการอ่านที่ดี ก. ปานวาดอ่านวารสารแม่และเด็กแล้วนำวิธีการเลี้ยงเด็ก มาช่วยดูแลน้อง ข. ธาดาอ่านนวนิยายเรื่องใหม่แล้วนำมาเล่าให้เพื่อนๆ ฟังอย่างสนุกสนาน ค. นิชาอ่านข่าวสินค้าจะขึ้นราคาจึงรีบไปซื้อสินค้ามากักตุนไว้ที่บ้านทันที ง. สุชาติอ่านวิธีการทำอาหารเพื่อสุขภาพ แล้วนำมาทำให้ที่บ้านลองรับประทาน 65.ข้อใดไม่จำเป็นต้องวิเคราะห์สาร ก. ป้องเลือกซื้อครีมกันแดด ข. นกให้อาหารแมวอยู่ริมระเบียง ค. ครูฟังนักเรียนเล่าปัญหาในการเรียน ง. ตุ๊กตาอ่านนวนิยายเรื่อง “ความสุขของกะทิ” 66.ข้อใดไม่ใช่วิธีการวิเคราะห์และประเมินค่าจากการฟัง ก. ฟังด้วยความตั้งใจ ข. ฟังแล้วจับใจความได้ ค. ฟังแล้ววิจารณ์เรื่องที่ฟังได้ ง. ตีความถ้อยคำสำนวนโวหารที่ผู้พูด พูดได้


90 67. ข้อใดคือความหมายของการวิเคราะห์สาร ก. คุณค่าราคาประโยชน์ ข. คาดคะเนกะดูคาดเดา ค. รับรู้เข้าใจ ใคร่ครวญ ง. พิจารณา ใคร่ครวญ ไตร่ตรอง อ่านข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคำถามข้อ 8-10 “ลิงน้อยมีนิสัยซุกซน วิ่งไปเหยียบขามดแดง มดแดงบอกให้ขอโทษ แต่ลิงน้อยไม่ยอมขอโทษ มดแดงจึง ชวนเพื่อนมารุมกัดต่อยลิงน้อยลิงน้อยได้รับความเจ็บปวดชวนเพื่อนมารุมกัดต่อยลิงน้อยลิงน้อยได้รับควาเจ็บปวด 68. ข้อใดเหมือนพฤติกรรมของลิงน้อย ก. กล้าวิ่งไปชนตอไม้จนหกล้ม ข. ชัยทำการบ้านส่งครูทันเวลาทุกวัน ค. วินัยวิ่งไล่เตะฟุตบอลในสนาม ง. วันดีวิ่งเล่นลิงชิงหลัก 69.คำพูดใดตรงกับการกระทำของลิงน้อย ก. ไม่รู้จักเข็ดหลาบ ข. ไม่ดูตาม้าตาเรือ ค. ไม่รู้จักเอาตัวรอด ง. ไม่รู้จักประมาณตนเอง 70. ลิงควรทำตามข้อใดเหตุการณ์จึงจะไม่จบลงแบบนี้ ก. เรียกเพื่อนมาฆ่ามดแดง


91 ข. ขอโทษมดแดง ค. จับมดแดงกินเป็นอาหาร ง. วิ่งไปให้ไกลที่สุด 71. ข้อใดเป็นลักษณะของผู้ฟังที่มีประสิทธิภาพ ก. ญาญ่าวิพากษ์วิจารณ์บุคลิกภาพ วิธีพูด และการแต่งกายของผู้พูดเทียบกับเรื่องที่พูด ข. ณเดชพร้อมที่จะเชื่อเรื่องที่ฟังเพราะเป็นข้อมูลที่ตรงกับความเชื่อของตนเอง ค. ไบร์ทพยายามค้นหาว่าสิ่งที่ฟังมีสาระอะไรที่เป็นประโยชน์สำหรับตนเอง ง. วินตั้งใจฟังเฉพาะประเด็นที่ตนเองคาดหวังไว้ จ. แต้วจดตามเรื่องราวที่ฟังเพียงอย่างเดียว 72.ข้อใดเป็นอวัจนภาษา ก. ไข่มุกคุยโทรศัพท์กับอั้ม ข. มาริโอ้จอดรถยนต์รอสัญญาณไฟจราจร ค. ภูภูมิร้องเพลงให้นักศึกษาฟัง ง. เนยอ่านหนังสือพิมพ์ข่าวบันเทิง จ. เด่นคุณเป็นตัวแทนกลุ่มนำเสนอรายงานหน้าชั้นเรียน 73. ข้อใดเป็นความหมายของการวิเคราะห์สารที่ถูกต้อง ก. การแยกเนื้อหาออกเป็นส่วน ๆ โดยใคร่ครวญและไตร่ตรอง ข. การนำความคิดและความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ค. การแยกเนื้อหาออกเป็นส่วน ๆ โดยใคร่ครวญและไตร่ตรอง ง. การทำความเข้าใจเกี่ยวกับสาร


92 จ.การแสวงหาเนื้อหาที่มีสาระ 74.ข้อใดคือลักษณะของการนำเสนอที่ดี ก. ผู้นำเสนอมีข้อมูลพอสมควร ข. ผู้นำเสนอมีความรู้พอสมควร ค. ผู้นำเสนอมีน้ำเสียงที่ราบเรียบ ง. ผู้นำเสนอมีวัสดุอุปกรณ์มากมาย จ. ผู้นำเสนอมีเทคนิคการนำเสนอที่น่าสนใจ 75. ข้อใดมีบุคลิกภาพที่ดีของผู้นำเสนอข้อมูล ก. คิมซูฮยอนยิ้มแย้มแจ่มใสกับผู้ฟังที่รู้จักกันเท่านั้น ข. จอนจีฮยอนแต่งกายตามสบายเพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลาย ค. ฮยองบินมองผู้ฟังอย่างเป็นมิตรและกวาดสายตามองอย่างทั่วถึง ง. อีมินโฮชี้นิ้วไปยังผู้ฟังที่ยกมือถามคำถามเป็นคนแรกเพื่อให้พูดคำถาม จ. ซงจุงกิยืนกอดอกจ้องหน้าผู้ฟังที่คุยเสียงดังให้เงียบเสียงลงเพื่อควบคุมสถานการณ์ 76. ข้อใดใช้สื่อประกอบการนำเสนอไม่เหมาะสม ก.กงยูใช้ภาพถ่ายสถานที่จริงประกอบการบรรยาย ข.ซอคังจุนใช้แผนภูมิวงกลมแสดงสัดส่วนสินค้าที่มีในร้าน ค. จองแฮอันใช้แผนภูมิแท่งเปรียบเทียบยอดขายกับปีที่แล้ว ง.พัคเซจุนใช้แบบจำลองฟันเพื่อสาธิตการแปรงฟันให้นักเรียนอนุบาลดู จ. พัคแฮจุนใช้ตัวอักษรขนาดเท่ากันในสื่อพาวเวอร์พอยต์เพื่อให้มีเอกภาพ 77. ข้อใดคือความแตกต่างของการสัมภาษณ์และการสนทนา


93 ก. การใช้ถ้อยคำภาษา ข. เวลาและโอกาส ค. จุดมุ่งหมาย ง. บุคคล จ. วิธีการสื่อสาร 78. คุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของพิธีกรคือข้อใด ก. ใช้ภาษากึ่งแบบแผนหรือค่อนข้างเป็นแบบแผน ข.ลีลาการพูดดี ออกเสียงถูกต้อง ค. มีบุคลิกภาพดี แต่งกายสุภาพ ง.มีไหวพริบปฏิภาณดี จ. รูปร่าง หน้าตาดี 79.การพูดเป็นศาสตร์และศิลป์ หมายความว่าอย่างไร ใช้ภาษากึ่งแบบแผนหรือค่อนข้างเป็นแบบแผน ก. เป็นความพยายามเฉพาะบุคคล ข. มีหลักเกณฑ์ในการสอนและฝึกได้ ค. เป็นศิลปะเฉพาะตัว ง. เป็นศาสตร์เฉพาะตัว จ. เป็นความงดงามของภาษา 80. ข้อใดควรเป็นคำกล่าวอวยพรงานมงคลสมรส ก.งานจัดได้ดีมากไม่มีข้อบกพร่อง ผมจะจำไปจัดบ้าง ข. โชคดีจริง ๆ ที่คุณได้เพื่อนผมเป็นเจ้าบ่าว


94 ค. ขอให้มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงตลอดไป ง. คนหนึ่งเป็นไฟ อีกคนหนึ่งต้องเป็นน้ำ จ. งานนี้อาหารอร่อยมากครับ 81. ผู้ใดจัดว่ามีจรรยาบรรณทางการใช้ภาษาไทย ก. ต้อยใฝ่รู้และรักการศึกษาค้นคว้า ข. ตุ้มมีบุคลิกภาพดีแต่งกายเรียบร้อย ค. แตนมีความคิดสร้างสรรค์กว้างไกล ง. ติวปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างในการใช้ภาษาที่ดี จ. แต๋วมีมนุษย์สัมพันธ์และบุคลิกภาพที่ดี 82.ข้อใดเป็นความสำคัญของจรรยาบรรณ ก. ช่วยลดการละเมิดสิทธิต่อกัน ข.ช่วยลดปัญหาการเอารัดเอาเปรียบ ค. ช่วยให้บุคคลในสังคมมีความรับผิดชอบ ง. ช่วยควบคุมจริยธรรมของผู้ประกอบอาชีพ จ. ถูกทุกข้อ 83. ข้อใดไม่จำเป็นต้องเขียนรายงานการปฏิบัติงาน ก. การไปทัศนศึกษาอ่าวคุ้งกระเบน ข. การไปดูงานที่บริษัทผลิตรถยนต์ ค. การไปอบรมการทำเครื่องจักสาน ง. การไปสัมมนาที่โรงแรมแกรนด์ บีช


95 จ. การไปเที่ยวห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์บางแค 84. ข้อใด ไม่ใช่รายงานการปฏิบัติงาน ก.รายงานการเป็นวิทยากร ข. รายงานการดำเนินโครงการ ค. รายงานการตรวจสอบอุปกรณ์ ง. รายงานผลการตกแต่งบ้าน จ. รายงานข่าวเกษตรทางวิทยุ 85. ข้อใด ไม่ใช่คุณลักษณะที่ดีของผู้เขียนรายงานการปฏิบัติงาน ก. มีเทคนิคและวิธีการใช้ภาษาเพื่อสื่อสาร ข. มีความรู้และประสบการณ์ในงานที่ปฏิบัติ ค. มีความสามารถในการบริหารงานบุคคล ง. มีความมั่นใจและรู้จักการตัดสินใจที่ดี จ. มีความจำดีและเป็นคนช่างสังเกต 86. ข้อใดเป็นความหมายของการสังเคราะห์สารที่ถูกต้องที่สุด ก. การรวมเนื้อหาของสารเข้าด้วยกัน ข. การนำความคิดและความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ค .การจัดการกับเนื้อหาของสารเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ ง. การแยกเนื้อหาออกเป็นส่วน ๆ โดยใคร่ครวญและไตร่ตรอง จ. การบูรณาการเพื่อให้เกิดสิ่งใหม่ โดยอาศัยประสบการณ์ที่มีมา 87. ความหมายของการสื่อสารข้อใดชัดเจนที่สุด


96 ก. การรับสารจากผู้ส่งสารไปยังผู้รับสาร ข. การฟังข้อมูลจากผู้ส่งสารไปยังผู้รับสาร ค. การรับรู้ข้อมูลจากผู้ส่งสารไปยังผู้รับสาร ง. การถ่ายทอดสารจากผู้ส่งสารไปยังผู้รับสาร จ. ถ่ายทอดสารจากผู้ส่งไปยังผู้รับโดยผ่านสื่อ 88. ข้อใดจัดเป็นการวิเคราะห์สาร ก. การพิจารณาสารอย่างละเอียด ข. การทำความเข้าใจเกี่ยวกับสาร ค. การแบ่งแยกเนื้อหาเป็นสัดส่วน ง. การรวมสารเพื่อการสร้างสิ่งใหม่ จ. การนำสารไปใช้ให้เกิดประโยชน์ 89. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับบันทึก ก. การย่นย่อ ทำให้สั้น ข. สามารถเขียนด้วยลายมือได้ ค. ข้อความที่นำมาจดย่อ ๆ ไว้เพื่อให้รู้เรื่องเดิม ง. ข้อความที่ใช้ติดต่อสื่อสารในกรณีไม่เป็นทางการเท่านั้น


97 จ. การจดข้อความเพื่อช่วยความทรงจำหรือเพื่อเป็นหลักฐานการพิจารณาสารอย่างละเอียด 90. ข้อใดใช้ภาษาระดับทางการ ก. ตลาดน้ำอัมพวากลับมาคึกคักอีกครั้ง ข. ลอยกระทงปีนี้รู้สึกบรรยากาศเงียบเหงานะ ค. ถนนแรงงานทุกสายต่างมุ่งไปยังโลกอาหรับ ง. เมื่อศึกฟุตบอลโลกปิดฉากลงการรอคอยก็เริ่มต้น จ. การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์เป็นนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจ 91. ข้อใดใช้คำ ผิดความหมาย ก. เขาแต่งงานกินอยู่กันมานานแล้ว ข. ทางวัดไม่ได้ส่งใครออกไปเรี่ยไรเงิน ค. คุณป้ามีฝีมือในการทำกล้วยบวชชี ง. ยายแม้นไปซื้อช้อนส้อมมาใหม่ ๆ จ. สมศรีนัดไปดูภาพยนตร์กับเพื่อน 92. ข้อใดจัดเป็นสารที่นำมาวิเคราะห์ได้ ก. บทโฆษณา บทวิจารณ์ ข. บทความ นวนิยาย


98 ค. ภาพยนตร์ สารคดี ง.บทวิเคราะห์ ข่าว จ. ถูกทุกข้อ 93. ข้อใดเป็นการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ก. นุจรีสาธิตการร้อยลูกปัดจนเพื่อนทำตามได้แล้ว ข. พิพัฒน์ทำหน้างุนงงขณะที่เพื่อนเสนอรายงานหน้าห้อง ค. พลอยนัดกับเพื่อนหน้าโรงภาพยนตร์แต่คอยอยู่นานมาก ง. พิมพาเดินไปชนกับคนที่เดินสวนทางแต่ไม่ได้กล่าวขอโทษ จ. ไม่มีข้อใดถูก 94. ข้อใดแสดงถึงประโยชน์สูงสุดของการฟัง การดู และการอ่าน ก. มีความรู้กว้างขวางขึ้น ข. มีความเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ได้มากขึ้น ค. มีไหวพริบในการประยุกต์ใช้ ง. มีความสามารถในการเรียน จ. ไม่มีข้อใดถูก


99 95. ข้อใดไม่ใช่ประเด็นหลักในการนำเสนอผลงาน ก. ทำงานนี้ทำไม ข. งานนี้ทำอย่างไร ค. งานนี้เต็มใจทำแค่ไหน ง. งานนี้ทำแล้วพบอะไร จ. ถูกทุกข้อ 96. ข้อใดควรพูดด้วยภาษาไม่เป็นทางการ ก. การประชุม ข. การพูดโฆษณา ค. การกล่าวปาฐกถา ง. การสัมภาษณ์ จ. การอภิปราย 97. ข้อใดเป็นการเขียนเพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ ก. การเขียนบทวิพากษ์วิจารณ์อาหาร ข. การเขียนคู่มือการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ ค. การเขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับงานบริการของร้านค้าในศูนย์อาหาร


Click to View FlipBook Version