ชดุ ท่ี 1 รอบรูร้ ะบำมำตรฐำน 1
หน่วยที่ 1 รอบรูร้ ะบำมำตรฐำน
สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้
สาระท่ี 2 ระบามาตรฐาน
มาตรฐานที่ ศ 2.1 มีความรู้ความเข้าใจ สามารถอธบิ ายประวตั คิ วามเป็นมา องคป์ ระกอบของ
ระบามาตรฐาน
สาระการเรยี นรู้
ประวัตคิ วามเปน็ มาและนาฏยศพั ท์ของระบามาตรฐาน ระบาส่บี ท บทที่ 1 (เพลงพระทอง)
ระบาสบ่ี ทบทที่ 2 (เพลงเบ้าหลดุ ) ระบากฤดาภนิ ิหาร ระบาเทพบันเทงิ ระบาดาวดงึ ส์ ระบาย่องหงดิ
องค์ประกอบของระบามาตรฐาน เครื่องแตง่ กาย ดนตรี บทรอ้ งและทานองเพลง โอกาสท่ีใช้
ชุดที่ 1 รอบรรู้ ะบำมำตรฐำน 2
ผลการเรียนรู้
1. บอกประวัติความเป็นมา อธบิ ายความหมายและองค์ประกอบของระบามาตรฐานได้ (K)
2. จาแนกองค์ประกอบของระบามาตรฐานได้ (P)
3. มคี วำมสนใจ ใฝ่เรียนรู้ (A)
ชุดที่ 1 รอบรู้ระบำมำตรฐำน 3
แผนผงั มโนทศั น์ ชดุ ฝกึ ทกั ษะการปฏบิ ตั ทิ า่ รา เรอื่ ง ระบามาตรฐาน
ชดุ ที่ 1 รอบรรู้ ะบามาตรฐาน
ความรทู้ ว่ั ไปเกย่ี วกบั ระบามาตรฐาน
ความหมายของระบา
ท่มี าของระบา
ความสาคญั ของระบา
ประเภทของระบา
ระบามาตรฐาน
ชดุ ท่ี 1 รอบรรู้ ะบำมำตรฐำน 4
แบบทดสอบกอ่ นเรยี น
ชดุ ฝกึ ทกั ษะการปฏบิ ัตทิ า่ รา เรอื่ ง ระบามาตรฐาน
ชดุ ที่ 1 รอบรรู้ ะบามาตรฐาน
คาชแี้ จง : ขอ้ สอบปรนยั เลอื กตอบ 4 ตวั เลือก จานวน 10 ข้อ เวลา 10 นาที คะแนนเตม็ 10 คะแนน
ใหน้ ักเรียน × ลงในช่อง ที่ถูกตอ้ งท่สี ดุ ในกระดาษคาตอบ
1. พระราชกฤษฎกี าวฒั นธรรมทางศลิ ปกรรม คืออะไร
ก. กฎหมายเกี่ยวกบั ชดุ การแสดง
ข. ดัชนีชวี้ ดั ตัวผู้แสดงใหไ้ ดม้ าตรฐาน
ค. การกาหนดใหก้ ารแสดงมรี ะเบียบแบบแผน
ง. ดชั นีชี้วัดหนว่ ยงานทเี่ กย่ี วข้องกบั การแสดง
2. ข้อใดกล่าวถกู ตอ้ งเกยี่ วกับความหมายของคาวา่ “ระบา”
ก. การแสดงทใ่ี ชผ้ ้แู สดงตัง้ แต่ 2 คนขนึ้ ไปร่ายราประกอบเพลง
ข. การแสดงบนเวทีใช้ผแู้ สดงเป็นจานวนมากเลน่ เปน็ เรื่องราว
ค. การแสดงราเด่ยี วเพ่อื อวดฝีมือ
ง. การแสดงราคู่เพ่อื อวดฝีมอื
3. ขอ้ ใดคอื ลักษณะการแต่งกายในการแสดงระบามาตรฐาน
ก. การแต่งกายนางใน
ข. การแตง่ กายยนื เครือ่ งต้น
ค. แต่งกายยนื เคร่อื งพระนาง
ง. การแตง่ กายทรงเครอ่ื งพระนาง
4. ขอ้ ใดไม่ใช่องค์ประกอบในการแสดงระบามาตรฐาน
ก. การแต่งกายยนื เคร่ือง พระ-นาง ข. การแต่งกายหรูหราตามสมยั นิยม
ค. มเี พลงหนา้ พาทย์บรรเลง ง. บรรเลงด้วยวงปีพ่ าทย์
ชดุ ที่ 1 รอบรรู้ ะบำมำตรฐำน 5
5. ขอ้ ใดกล่าวไม่ถูกต้องเกย่ี วกบั การแสดง “ระบา”
ก. ระบาเบิกโรงเป็นการแสดงชุดหน่ึงก่อนจะเข้าส่กู ารแสดงโขน ละคร
ข. การแสดงระบามคี วามจาเป็นต้องแทรกอยู่ในการแสดงละครเสมอ
ค. ระบาหนา้ ม่านเปน็ ระบาที่นามาแสดงเพอ่ื คั่นเวลาในการจดั ฉาก
ง. การแสดงระบาใช้เพือ่ การดาเนินเรือ่ งในการแสดงโขน ละคร
6. การแสดงประเภทใดไม่ปรากฏระบามาตรฐานประกอบการแสดง
ก. ละครดกึ ดาบรรพ์ ข. ละครใน
ค. ละครพูด ง. โขน
7. ข้อใด ไม่ใช่ จุดมงุ่ หมายของการแสดงระบามาตรฐาน
ก. ใชแ้ สดงเป็นระบาสลบั ฉากในการแสดงโขน - ละคร
ข. ใช้แสดงเป็นระบาเพ่ือเปดิ - ปดิ ในการแสดง
ค. ใช้แสดงในงานมงคลหรอื มหรสพต่าง ๆ
ง. ใชแ้ สดงเพอื่ งานอวมงคลเทา่ นัน้
8. หากตอ้ งการจัดการแสดงในงาน “เกษตรแฟร์”ควรนาการแสดงชุดใดไปร่วมพิธีเปดิ
ก. ระบาชาวนา ข. ระบานพรตั น์
ค. ระบาพธั วสิ ยั ง. ระบาโบราณคดี
9. ผูแ้ สดงตามบทร้องในระบามาตรฐานหมายถงึ ใคร
ก. อมนุษย์ ข. เทพบตุ ร
ค. เทพเจา้ ง. เทพบุตร - เทพธดิ า
10. ขอ้ ใดไมป่ รากฏลกั ษณะของผแู้ สดงในการแสดงประเภทระบามาตรฐาน
ก. รปู แบบการขับร้องเด่ยี ว ข. การเกย้ี วพาราสี
ค. การแปรแถว ง. การราเขา้ คู่
ชุดท่ี 1 รอบร้รู ะบำมำตรฐำน 6
กระดาษคาตอบแบบทดสอบกอ่ นเรยี น
ชดุ ท่ี 1 รอบรรู้ ะบามาตรฐาน
คะแนน
ชือ่ ชน้ั เลขที่
ขอ้ ก ข ค ง
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
ชุดที่ 1 รอบรู้ระบำมำตรฐำน 7
ใบความรทู้ ี่ 1
ความรทู้ วั่ ไปเกย่ี วกบั ระบา
ความรทู้ ว่ั ไปเกยี่ วกับระบา
1. ความหมายของระบา
คาว่า “ระบา” ตามพจนานุกรมฉบับเฉลิมพระเกียรติ และนักวิชาการหลายๆ ท่าน ได้ให้
ความหมายไว้ ดงั น้ี
พจนานุกรมฉบับเฉลิมพระเกียรติ พ.ศ. 2554 (2556: 980) ได้ให้ความหมายของคาว่า
“ระบา” ไว้ 2 ลักษณะ ว่า
“ระบา” เปน็ คานาม หมายถึง การแสดงที่มุ่งความสวยงามความบันเทิง ใช้ผู้แสดงเป็นหมู่
เช่น ระบาส่ีบท ระบานพรัตน์ ระบาเทพบันเทิง ระบาปลายเท้า คานาม การเต้นราแบบหน่ึงของ
ชาวตะวันตก แสดงเปน็ เรอ่ื งราวหรอื แสดงเดย่ี วกไ็ ด้ , บัลเลต์ (อ.Ballet)
รูจี ศรสี มบตั ิ (2547: 42) กล่าวไวว้ า่ “การฟอ้ นราเป็นชุดซ่ึงต้องใช้ผู้แสดงตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป
ในขณะที่แสดงก็จะมีการจัดแถว – แปรแถว เป็นลักษณะต่าง ๆ เช่น แถวเฉียง แถวตอนลึก จัดเป็น
วงกลม เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความเคลอื่ นไหวอยา่ งสวยงามทาใหผ้ ูช้ มไม่เบ่ือ ไดร้ ับความบันเทิงใจในศิลปะ ลีลาท่ารา
ที่
อ่อนชอ้ ยสวยงาม และความสวยงามของเครือ่ งแต่งกายท่จี ดั ไวอ้ ยา่ งเหมาะสมและตระการตา”
วิมลศรี อปุ รมยั (2553: 49) กล่าวว่า พระยาอนุมานราชธน (เสถียรโกเศศ) ได้ให้คานิยาม
ของ “ระบา” ไวว้ า่ “ระบาเป็นส่งิ ทีร่ าสาหรับเลน่ งาม ๆ ไม่มีเรื่อง แต่เขาเลิกดูกันเสียแล้วเพราะดูไปก็ไม่
สนกุ เหมอื นรามีเร่ือง ตอ่ มาไดว้ วิ ัฒนาการนาเอาเมขลา รามสูร อรชุน เข้ามาประกอบเพิ่มเติมขึ้น จึงเกิด
เป็นเรื่องเขา้ ไปในการรา ทาให้ผ้ชู มเกิดความสนกุ และชวนตดิ ตามยงิ่ ข้นึ ”
เรณู โกศินานนท์ (2543: 100-101) ให้ความหมายไว้ว่า “การแสดงที่ใช้คนเป็นจานวน
มากกว่า 2 คน ข้นึ ไป มที ้งั เนอ้ื ร้องและไม่มเี นอ้ื รอ้ ง ใช้เพียงดนตรีประกอบการรา่ ยรา แบง่ เป็น 2 ชนดิ คือ
ระบาแบบมาตรฐาน และระบาแบบปรับปรุง
ชุดท่ี 1 รอบรูร้ ะบำมำตรฐำน 8
อาคม สายาคม (2525: 69) ปรมาจารย์ทางด้านนาฏศิลป์ไทยโขนพระ กล่าวไว้ว่า “การทา
ระบาน้ันทา่ นจะตอ้ งดูความพร้อมเพรียงเป็นหลกั จะยกขาก็ดีหรือยกแขนก็ดี จะต้องมีความพร้อมเพรียง
กัน”
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (2518: 77) ทรงกล่าวไว้ในหนังสือศกุนตลาว่า
“ระบา คือ นางรา มีแต่ท่าทางงาม ๆ ไม่ใช่ราเป็นเร่ืองราว เช่น ในงานโสกันต์เขาไกรลาศ มีผู้หญิงรา
ตน้ ไมเ้ งนิ ทองอยู่ริมเกยนีค้ ือ ระบา”
สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพ (2507: 14-15) ได้ทรงอธิบายไว้ใน
หนังสือตานานละครอเิ หนาไว้วา่ “โขนกด็ ี ละครกด็ ี ชัน้ เดมิ เป็นของผู้ชายเล่น การฟ้อนราท่ีผู้หญิงเล่นนั้น
ชั้นเดิมปรากฏ แต่ว่าเป็นนางราคงได้ตารามาจากอินเดียเหมือนกัน จึงมีท้ังในเมืองไทย เมืองพม่า และ
เมืองชวา ไทยเรียกว่า ระบา พม่าเรียกว่า เยนปวย ชวาเรียกว่า สะเรมปี ลักษณะที่เล่นก็เป็นทานอง
เดียวกันท้ัง 3 ประเทศ คือ ราเป็นคู่ ๆ เขา้ กับขับร้อง ป่ีพาทย์เปน็ ของสาหรับให้ดูกระบวนรางามกับฟังลา
นาขบั รอ้ ง และดนตรที ่ีไพเราะหาได้เล่นเปน็ เร่อื งอย่างโขนและละครไม่”
นอกจากน้ี ได้ทรงอธิบายเก่ียวกับการแสดงประเภทระบา ว่า ระบานอกจากจะนาไปแสดง
เป็นชุดเอกเทศที่มีความสมบูรณ์ทางองค์ประกอบของการแสดงความพร้อมเพรียง ความสวยงามของ
กระบวนทา่ รา เครือ่ งแต่งกาย รวมไปถงึ บทรอ้ ง ทานองเพลง การแสดงระบายังเป็นส่วนหนึ่งในการแสดง
ละคร ซง่ึ การแสดงเป็นไปตามสภาพและเหตกุ ารณ์ของตัวละครนน้ั ๆ เช่น ระบากวาง ระบานกยงู เปน็ ต้น
ดงั น้ัน ในการแสดงโขน ละคร จึงปรากฏการแสดงระบาเพอื่ ให้การแสดงเกดิ ความสมบรู ณม์ ากทีส่ ดุ
จากการให้ความหมายของและการกล่าวถึงคาว่า ระบา สามารถสรุปได้ว่า ระบา คือ การ
ร่ายราตัง้ แต่ 2 คนขึ้นไป มีรปู แบบการแปรแถวในลักษณะตา่ ง ๆ เพอ่ื ให้เห็นความสวยงามของผู้แสดงและ
ความพรอ้ มเพรียงกัน รา่ ยราประกอบบทรอ้ งและทานองเพลง หรือบางคร้ังอาจไมจ่ าเปน็ ต้องมบี ทร้องกไ็ ด้
การแสดงบางชุดอาจจะไมส่ ่อื ความหมายอะไร นอกจากความสวยงาม บางชุดก็สามารถบอกเล่าเร่ืองราว
ผ่านการแสดง ซง่ึ แลว้ แตจ่ ุดมงุ่ หมายของการแสดงระบาชุดนน้ั ๆ
2. ทมี่ าของคาว่า “ระบา”
คาว่า ระบา นน้ั ปรากฏว่ามแี สดงเม่ือไหรย่ ังไม่มหี ลักฐานปรากฏแน่ชัด แต่สามารถที่จะกล่าวถึง
ท่มี าของระบาได้ ดังนี้
2.1 สมยั สุโขทยั
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ไทยคาว่า “ระบา” ปรากฏอยู่ในหลักศิลาจารึกสมัย
สโุ ขทยั ดังน้ี “มีระบา เตน้ เลน่ ทกุ ฉันดว้ ยเสียงอนั สาธกุ ารบูชา... ” (กรมศิลปากร, 2515: 117)
ชดุ ท่ี 1 รอบรูร้ ะบำมำตรฐำน 9
นอกจากหลักฐานท่ีปรากฏในการแสดงระบาของประชาชนแล้ว ยังมีการกล่าวถึงการเสด็จของพระ
เจ้าแผ่นดนิ วา่ เม่ือมีการเสด็จไปยังที่ใดจะมีการร้องราทาเพลงเพ่ือความสนุกสนานร่ืนเริงตลอดเวลา ดัง
ข้อความดังต่อไปนี้ “ลางจาพวกดีดพิณแลสีซอพุงตอ และกันฉิ่งเริงรา จับระบาเต้นเล่นสารพนักคน
ท้ังหลาย สับดรุ ยิ ดนตรอี ยคู่ รื้นเครง” (พระยาลไิ ทย, 2496: 87)
นอกจากน้ี พระยาอนมุ าราชธนทรงกลา่ วไว้ในหนังสอื เล่าเรอ่ื งในไตรภูมวิ ่า “เรื่องทีก่ ล่าว
เป็นท่ีนาอดุ มคติเขา้ ไปประกอบไว้ดว้ ย ทีก่ ล่าวเป็นจานวนเขอื่ ง ๆ ต้องการเน้นให้รู้สึกเด่นเท่านั้น” ดังนั้น
การแสดงระบาท่ีมกี ารกลา่ วถงึ ในไตรภมู นิ ี้ กอ็ าจจะมีส่วนที่เป็นเค้าของจริงอยู่บ้าง จากท่ีกล่าวมาในเรื่อง
ไตรภูมิน้ีมีอยคู่ วามหนง่ึ ชใ้ี หเ้ หว้ า่ นางระบาตอ้ งเป็นผูง้ ดงามมาก คือ ในตอนพระยาศรีธรรมาโศกราชทรง
หยอกล้อนางอสันธมิตตาราชเทวีว่า “ใครหนอแลมาน่ังอยู่ แลมากินอ้อยอยู่ในท่ีท่ามกลางนางนักสนม
ท้ังหลาย แลมีหน้าอันงามนักหนา เจ้าน้ันจะว่าผู้หญิงหรือว่าระเบงระบา อันแสร้งแต่งแลงามพ้นแพ่ง
พรรณ” (พระยาอนุมานราชธน, ม.ป.ป. : 56)
ระบาในสมยั สุโขทัยนี้ อาจกล่าวได้ว่ามีท้ังระบาที่เป็นนางในและท่ีเป็นผู้ชาย (คนธรรพ์
จับระบาในไตรภูมิพระร่วง) ความงามที่เห็นเด่นชัดคือ ผู้ราต้องงาม ส่วนด้านอ่ืน ๆ เช่นกระบวนรางาม
ดนตรีงาม เครอ่ื งแตง่ กายงามคงตอ้ งมีบา้ งแตม่ ไิ ด้กล่าวถงึ โดยตรง (สมรตั น์ ทองแท,้ 2538 : 23)
จากหลักฐานที่ปรากฏแสดงให้เห็นว่ามีการแสดงประเภทระบาเกิดข้ึนแล้วและใช้เป็น
การแสดงเพ่อื ความรนื่ เริงแต่ไม่ได้ระบุว่ามีลักษณะอย่างไรแต่คงจะมีความสาคัญถึงได้มีการแสดงในงาน
พธิ สี าคัญสาคัญ
2.2 สมยั อยุธยา
ปรากฏหลกั ฐานการแสดงประเภทระบาในบนั ทึกจดหมายเหตุเร่อื งต่าง ๆ ที่เก่ยี วข้องกับ
ประเทศไทย โดย เดอ ลาลูแบร์ ราชทตู ชาวฝรัง่ เศสในสมัยพระเจ้าหลยุ ส์ที่ 14 ท่ีเข้ามาเจริญสัมพันธไมตรี
ในสมัยแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ระหว่างปีพ.ศ. 2199 – พ.ศ. 2231 โดยกล่าวถึงการแสดง
ระบาในพระราชสานกั ดังนี้ “ระบานัน้ เป็นคนเตน้ รา 2 แถว ชายและหญิงไม่ใช่ทหาร ไม่ใช่การทาศึก แต่
เป็นเจา้ ชู้มาสโมสรกรอกนั ต่างร่ายราเข้าพิณพาทย์ให้เราดูพร้อม ๆ กัน และสลับกัน ดังข้าพเจ้าได้กล่าว
แลว้ แต่ก่อนพวกระบาเหลา่ น้ีทั้งชายและหญิงล้วนใชเ้ ล็บเก๊ ยาวมาก ๆ ปลายงอนทาด้วยทองแดง ร้องคา
ขบั พลางราพลาง ออกทา่ ทางได้โดยไม่เหน่ือยยากอะไรนัก เพราะวิธีรั่วแต่กลับเดินไปเดินมา และวงรอบ
ๆ ช้า ๆ ช้ามาก หรอื ไม่โลดโผนโจนคะนอง จะยกมอื ยกไม้ หรือเอย้ี วเนือ้ เอย้ี วตวั ก็แตล่ ะล้วนใช้กิริยาอืด ๆ
ทงั้ นัน้ ไม่ใครพ่ รอ้ มเพรยี งกัน...กาลังจับระบาอยู่นั้นมีชาย 2 คนมาบาเรอคนดูด้วยวาจาทอดเสน่ห์ลวง ๆ
หลายขบวน คนหนึ่งพดู ในนามของพระระบาทง้ั ปวง และอกี คนหน่ึงพูดในนามนางระบาทงั้ ปวง บรรดาตัว
ระบาเหล่าน้ีไม่มีเครื่องแต่งตัวแปลกประหลาดอย่างไร ผิดกว่าตัวโขนและละคร มีชฎาปิดทองสูงปลาย
ชุดที่ 1 รอบรู้ระบำมำตรฐำน 10
แหลมคล้ายตะลอมพอกขุนนางเวลางานราชพิธี แต่มีจอนห้อยลงมาสองข้างจนใต้หู ประดับพลอยเทียม
(เหน็ จะประดบั กระจก) ทัดดอกไม้ปิดทอง...(พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์, 2505 :
210-211)
นอกจากน้ียังปรากฏหลักฐานการแสดงระบาจากวรรณกรรมเร่ือง ปุณโณวาทคาฉันท์
ของพระมหานาค วัดท่าทราย ในสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (ระหว่างปีพ.ศ. 2293 – พ.ศ. 2301) ได้
กลา่ วถึงการละเล่นในงานสมโภชพระพุทธบาท ดังน้ี
“นางราระบาบรร- พกฟ็ ้อนบชาเนยี ร
พศิ เลน่ แต่พาเหยี ร บ่มสิ ะ่ สารวล”
(พระมหานาค วัดท่าทราย, 2503: 41)
ส่วนหลักฐานการแสดงระบาที่มีการสืบต่อมาของเจ้านายนั้น คงจะเกิดในสมัยอยุธยา
หรือก่อนหน้านั้นดังปรากฏในบทละคร เร่ืองอิเหนา ซึ่งได้กล่าวถึงการฟ้อนราของนางบุษบา ในตอน
บุษบาชมศาล ดังนี้
“ชวนฝูงอนงคน์ างราฟอ้ น ทอดกรกรีดกรายซา้ ยขวา”
(พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย, 2507: 435)
และปรากฏในบททา้ วดาหา ตรสั ส่ังอิเหนาในตอนใชบ้ นวา่
“จงชวนกันขับราใหส้ าราญ ทาสกั การะเทวานปา่ ใหญ่”
(พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลยั , 2507: 461)
จากหลักฐานทางวรรณกรรมและวรรณคดีสามารถสะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ บรบิ ททางสังคมไทย
ในสมัยนั้นได้ว่าคงมีการฟ้อนราหรือระบา ทั้งในราชสานักและนอกราชสานักอย่างแพร่หลาย และนิยม
นาไปแสดงตามงานสมโภชตา่ ง ๆ
2 3 สมัยกรงุ ธนบุรี
หลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาให้แก่พม่าครั้งท่ี 2 พระเจ้ากรุงธนบุรี ได้ทรงฟ้ืนฟูบ้านเมือง
พระองค์ไดใ้ ห้ความสาคัญกับศิลปวฒั นธรรม จงึ ทรงรวบรวมวรรณกรรมตา่ ง ๆ ท่ีหลงเหลอื มาจากสมยั กรุง
ศรีอยุธยา และยังทรงพระราชนิพนธ์บทโขนขึ้นใหม่อีกด้วย ส่วนการแสดงระบายังคงมีสืบเน่ืองมาจาก
สมัยกรุงศรอี ยุธยา และถือเป็นเครื่องประดับพระเกียรติยศพระมหากษัตริย์ และยอพระเกียรติพระองค์
ซึ่งปรากฏในวรรณกรรมโคลงยอพระเกียรติพระเจ้ากรุงธนบุรี ประพันธ์โดยนายสวน มหาดเล็ก เม่ือปี
พ.ศ. 2314 ดงั น้ี
“มนี รนาริศเรอื้ ง ระบาขา
วรรปู สนุ ทรารา เรือ่ ยรอ้ ง
ชดุ ท่ี 1 รอบรรู้ ะบำมำตรฐำน 11
ชูเฉลมิ ราชฐานบา เรอราช
เป็นทีส่ ุขเขษมซร้อง พร่งั พร้อมเพราไสว”
(ประยุทธ์ สทิ ธพิ นั ธ,ุ์ ม.ป.ป.: 118)
2.4 สมัยรตั นโกสินทร์
สมัยนี้เป็นยุคสมัยที่บ้านเมืองค่อนข้างสงบสุขไม่ค่อยมีสงครามเท่าใดนัก มีการสืบทอด
พระราชพธิ ีสาคัญบางอยา่ งตามกฎมณเฑยี รบาล ตั้งแตส่ มยั อยุธยาจนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ซึ่ง
มกี ารกลา่ วถงึ การแสดงระบาในพระราชพธิ สี าคัญ เช่น
พระราชพิธีถือน้าพิพัฒสัตยา (เป็นพระราชพิธีในเดือน 5 เก่ียวกับการทาสัตย์สาบาน)
กล่าวถึงลาดับผู้ท่ีนั่งหมอบเฝ้าพร้อมท้ังจานวนผู้ท่ีเข้าเฝ้า ซึ่งมีนางระบาจานวน 48 คน ก็มีตาแหน่งข้ึน
บัญชีไว้ในกฎของพิธีน้ีด้วย นอกจากนที้ างระเบียง (เฉลยี ง) ด้านตะวนั ออกยังมีนายระบาเตรยี มพร้อมที่จะ
ระบาอยู่ด้วย (กรมศิลปากร. 2549 : 51)
พระราชพิธีเผด็จสก (พระราชพิธีในเดือน 5 เก่ียวกับการเปล่ียนศักราชใหม่) กล่าวถึง
ผนังตาแหน่งที่อยูพ่ ระราชวังและผู้มาปฏิบตั ิงาน โดยกล่าวถึงการแสดงวา่ “นายรองนงั่ ด้วยอินทเภรีหรทึก
ยืนฉานระบา ซา้ ยขวาโมงครุ่ม” คือมมี โหระทกึ อยดู่ ้านหนา้ ระบาอย่กู ลาง ซา้ ยขวาเป็นพวกโมงครุ่ม และ
ยังกล่าวอีกว่าเมื่อถึงเวลาเสด็จออกเบิกราชสกุล จะมีลาดับการแสดงต่าง ๆ ดังน้ี ม้า ฬ่อ ช้าง ระเบง
ซ้าย – ขวา ราดาบซา้ ย – ขวา ระบาออก โมงครมุ่ (กรมศิลปากร, 2549 : 51)
จากพระราชพธิ ที ่ีปรากฏในกฎมณเฑียรบาล แสดงให้เห็นถึงความสาคัญของ “ระบาใน
พระราชพิธี ซึ่งรปู แบบของการแสดงมคี วามแตกตา่ งกนั ไปตามจารีตแบบแผนของพระราชพิธนี ้นั ๆ”
จากหลักฐานแสดงให้เห็นว่าการแสดงประเภทระบาเป็นการแสดงท่ีมีความเก่าแก่ชนิดหน่ึง ซ่ึง
สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานรศิ รานุวัดติวงศ์ ทรงกล่าวถึงระบาไว้ว่า “อันว่าการรานั้น
ช้นั แรกกเ็ ป็นแตเ่ ตน้ ราแฉง่ ไปตามธรรมชาติ อนั ความดีใจบนั ดาลให้เปน็ ไป ต่อมาเมื่อมีความฉลาดขึ้นก็จัด
เตน้ รานั้นใหม้ จี ังหวะพร้อม ๆ กนั แล้วดดั ท่าให้งดงาม แล้วประกอบให้เปน็ เรอ่ื งราว ตามทก่ี วีคิดแต่งให้จึ่ง
เสร็จเรียบร้อยเป็นระบา เป็นโขน ละครอย่างทุกวันนี้” (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยา
นรศิ รานุวัดติวงศ,์ 2521: 123)
จึงทาให้ระบานอกจากจะปรากฏการแสดงในพระราชพิธีแล้วยังปรากฏหลักฐานใน
วรรณกรรมเรอ่ื งตา่ ง ๆ เช่น
1. การแสดงระบาในบทละครเรื่อง รามเกียรติ์ พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จ
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลท่ี 1 ซ่ึงปรากฏหลายตอนที่ได้กล่าวถึงการแสดงระบาของ
เทวดา – นางฟา้ และการแสดงระบาของนางในราชสานกั
ชดุ ท่ี 1 รอบร้รู ะบำมำตรฐำน 12
2. การแสดงระบาในเรื่อง รามเกียรต์ิ พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธ
เลิศหล้านภาลัย มีหลายตอนที่กล่าวถึงการแสดงระบาของเทวดา – นางฟ้า และการแสดงระบาของ
นางในราชสานกั
3. การแสดงระบาในละครในเร่ือง อิเหนา พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธ
เลศิ หล้านภาลยั ทก่ี ล่าวถงึ การแสดงระบาของนางบุษบาในตอนบุษบาชมศาล เป็นต้น
4. การแสดงระบาในละครดึกดาบรรพ์ พระนิพนธ์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้า
กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ปรากฏอยู่หลายเรื่อง เช่น เร่ืองอิเหนา ตอนบุษบาชมศาล มีระบาของนาง
บษุ บา พี่เล้ียง และนางกานลั เรอื่ งสังข์ทอง ตอนสมโภชพระสังข์กับนางรจนา มีระบาของเสนา เร่ืองคาวี
ตอนสมโภชพระคาวกี บั นางจันสดุ า มรี ะบาของเสนา เปน็ ต้น
5. การแสดงระบาในละครพนั ทาง เรอ่ื งพระลอ พระนิพนธ์พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระ
นราธปิ ประพนั ธพ์ งศ์ ตอนปู่เจา้ เรยี กไก่ มรี ะบาไก่ เปน็ ต้น
จนกระทง่ั เมอ่ื มกี ารจดั ตั้งกรมศลิ ปากรขน้ึ จึงได้ฟื้นฟูการแสดงโขนละครกลับมาแสดงอีก
ครงั้ ทาใหม้ กี ารนาระบาเข้ามาสอดแทรกประกอบการแสดงโขน ละคร ขึ้นเป็นจานวนมาก โดยระบาท่ีได้
ฟ้ืนฟูขึ้นพบว่ามีทั้งระบาที่ถูกสืบทอดมาแต่โบราณ ระบาที่มีมาแต่เดิมแล้วนามาปรับปรุงข้ึนใหม่
ตลอดจนระบาที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นเพ่ือให้เข้ากับบทโขนหรือละครท่ีจะนาออกแสดง ทาให้ต่อมามีการแบ่ง
ประเภทของการแสดงระบาเพ่ือให้งา่ ยต่อการจดจาและนาไปใช้
3. ความสาคญั ของระบา
ระบา เป็นนาฏศิลป์ที่มีวิวัฒนาการมาพร้อม ๆ กับความเจริญของมนุษย์ ที่มีท่าทางการ
แสดงออกผา่ นรา่ งกายด้วยความรสู้ กึ สนุกสนาน รา่ เริง ถ่ายทอดออกมาเปน็ กิริยาอาการต่าง ๆ จากท่าทาง
ธรรมชาติ ส่กู ารประดิษฐ์ความงดงามเปน็ ท่าร่ายรา หากย้อนกลับไปมองความเป็นอยู่ของคนไทยในอดีต
จะพบว่า วิถีชีวิตของคนไทยมีความผูกพันกับธรรมชาติและเร่ืองเหนือธรรมชาติ ดังนั้น กิริยาอาการ
แสดงออกทางการฟอ้ นราตา่ ง ๆ จงึ ถูกกระทาในการเคารพบูชาสิ่งศักดิ์สิทธ์ิ การบวงสรวง หรอื ในพธิ กี รรม
ตามความ
เชื่อเพ่ือให้เกิดความสุขทางใจ ต่อมาการแสดงออกทางการฟ้อนราจากที่เคยอยู่กับเรื่องเหนือธรรมชาติ
ได้ถูกนาประกอบเข้ากับการแสดงโขน ละคร จากที่เคยแสดงเพื่อความเพลิดเพลินเพ่ือความสนุก จึงถูก
ปรับเปล่ียนให้เกิดเป็นเรื่องราวเพ่ือให้น่าติดตามทาให้การแสดงระบาเกิดความสาคัญและมีบทบาทใน
ตัวเองเพมิ่ ข้นึ ดังน้ี
1) ระบาหน้าม่าน หรอื ทเี่ รยี กว่า ระบาสลบั ฉาก หมายถึง การนาระบามาแสดงไว้ท่ีหน้าม่าน
เพอื่ ขั้นเวลาในการจดั ฉากตอนตอ่ ไปของการแสดงละครเร่อื งน้ัน
ชดุ ท่ี 1 รอบรู้ระบำมำตรฐำน 13
2) ระบาเสริม เพื่อสร้างเร่ืองราวให้มีความอลังการตระการตา ในกรณีท่ีผู้กากับการแสดง
ต้องการแสดงความยิ่งใหญ่ของฉาก หรือเป็นระบาเสริมเพื่อสร้างความสมจริงให้กับฉากในการเน้น
บรรยากาศของละครในตอนน้ันใหเ้ ด่นชดั มากยิง่ ขึ้น
3) ระบาทีใ่ ชใ้ นการดาเนินเร่ืองในการแสดงโขน ละคร ให้มีความกระชับ ไม่ยืดเยื้อด้วยการ
ใช้ระบาเป็นสื่อการแสดงใหผ้ ูช้ มเกิดความเขา้ ใจในเรอื่ งราวโดยไม่ตอ้ งบรรยาย
4) ระบาเบกิ โรง หรือนยิ มเรยี กวา่ การแสดงปะหนา้ ที่จะตอ้ งมีการแสดงชุดหนึ่งก่อนจะเข้าสู่
การแสดงโขน หรือละคร อันเปน็ จารตี ประเพณีที่มมี าแต่โบราณ
5) ระบาเปิดเรื่องของการแสดงละคร กล่าวคือ ระบาชนิดน้ีเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงโดย
นามาไวเ้ ปดิ เรอ่ื งเพอ่ื ให้ทราบว่าฉากทจี่ ะได้รบั ชมต่อไปนี้อย่ใู นสถานท่ใี ด มคี วามเกยี่ วข้องกบั ตวั ละครใด
6) ระบาสรุปหรือปิดเรื่องในตอนท้ายของการแสดงโขน ละคร โดยส่วนใหญ่จะพบว่าการ
แสดงระบาปิดเรื่องจะนาเสนอเรื่องราวการอวยพร และความสงบสุข เพื่อให้ละครเรื่องน้ันจบอย่าง
สมบูรณ์
ปัจจุบันการแสดงระบาไม่จาเป็นต้องแทรกอยู่ในละคร ส่วนใหญ่นิยมนาไปแสดงเป็นชุด
เอกเทศเพ่ือให้ตรงตามวัตถุประสงค์ของงาน อาจเป็นงานบวงสรวง งานรื่นเริง งานจัดเลี้ยง
งานหัตถกรรมท้องถ่นิ หรอื ในงานพธิ กี รรมต่าง ๆ แล้วแต่โอกาส
นอกจากนี้ รปู แบบของการแสดงระบาโดยท่ัวไป นิยมแบ่งการแสดงออกเป็น 3 ช่วง ได้แก่
ช่วงท่ี 1 ส่วนนา นิยมใช้ท่าราที่เป็นแม่ท่าให้ผู้แสดงออกมาจากหลังเวที โดยในส่วนน้ี
จะมหี ากสงั เกตจะเห็นได้ว่าในระบามาตรฐานส่วนใหญ่ใช้เพลงรัว หรือเพลงหน้าพาทย์โคมเวียน เหาะ
หรือกลองโยน เป็นทานองออก ส่วนระบาเบ็ดเตล็ดจะนยิ มการซอยเทา้ หรือใหผ้ ูแ้ สดงเคล่ือนท่ีออกมาใน
ลักษณะของทา่ ราท่ีมีการเคลื่อนไหวอยา่ งเชอื่ งช้า
ช่วงท่ี 2 สว่ นเนือ้ เร่อื ง มีการแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ ระบาท่ีมีบทร้อง และไม่มีบท
ร้อง สาหรับระบาที่มบี ทร้องจะใชท้ ่าราตีบท หรอื ภาษาทา่ ประกอบกบั บทรอ้ งเพ่ือสอื่ ความหมาย หรือบาง
ชุดการแสดงอาจมีทา่ ราท่ีไม่ตรงกบั ความหมายของบทรอ้ งก็ย่อมได้ แตจ่ ะใช้วธิ ีการแปรแถวประกอบการ
แสดงเพ่ือให้ระบาชุดนั้นดูสวยงามตระการตา ส่วนระบาที่ไม่มีบทร้องประกอบการนาเสนอเนื้อเร่ืองจะ
เน้นลกั ษณะของท่าราท่ีเป็นเอกลักษณ์หรือท่าราที่ตรงตามวัตถุประสงค์ของระบาชุดน้ัน เช่น ระบามฤค
ระเริง ระบาฉ่งิ เป็นตน้ โดยทานองเพลงจะมคี วามกระชับขน้ึ ตามลาดบั และสอดคล้องกันกับทา่ รา
ชว่ งที่ 3 สว่ นทา้ ยของระบา เป็นการบ่งบอกให้ทราบว่าการแสดงระบาชุดน้ีจะสิ้นสุดลง
โดยส่วนใหญ่ในระบามาตรฐาน จะพบวา่ นิยมใช้เพลงรัว เพลงเร็ว หรือเพลงลา เป็นตัวกาหนดช่วงท้าย
ให้ผู้แสดงและผู้ชมทราบว่าการแสดงชุดนี้กาลังจะสิ้นสุดลง ส่วนในระบาเบ็ดเตล็ด และระบามาตรฐาน
ชดุ ที่ 1 รอบรู้ระบำมำตรฐำน 14
บางชุดการแสดงนิยมใช้ทานองเพลงสุดท้ายบรรเลงด้วยความกระชับแล้วทอดเพลงลง เพ่ือให้ผู้แสดง
เคลอื่ นไหวเขา้ หลงั เวที เชน่ เพลงยะวาเร็ว ในระบาเทพบันเทงิ ระบาศรีวชิ ัย ระบาไก่ เปน็ ตน้
กจิ กรรมที่ 1 คะแนน
ชอื่ ช้นั เลขท่ี
คาแนะนา : ใหน้ ักเรียนตอบคาถามตอ่ ไปนี้
1. ระบามาตรฐาน หมายถงึ
2. บอกท่ีมาของระบาในสมัยตา่ งๆ
3. ระบาเบ็ดเตลด็ หมายถงึ
4. ประโยชนข์ องระบาหน้ามา่ นคือ
5. ระบาเบด็ เตล็ดในการแสดงประกอบโขนละครจัดทาขึน้ เพื่ออะไร
ชุดท่ี 1 รอบรู้ระบำมำตรฐำน 15
ใบความรทู้ ่ี 2
ประเภทของระบา
ประเภทของระบา
การแสดงหรือการเคล่ือนไหวประกอบอิริยาบถต่าง ๆ ของร่างกายให้มีความสัมพันธ์สอดคล้อง
สวยงาม เรยี กว่า รา ซ่ึงการแสดงรานัน้ มีทัง้ การแสดงราเดี่ยว ราคู่ และราเป็นหมู่ ต่อมาจึงได้มีการคิดค้น
คาว่า “ระบา” ข้ึนมาเพ่ือใช้เรียกแทนการราเป็นหมู่ และได้มีการแบ่งประเภทของระบาออกเป็น
2 ประเภท คือ ระบามาตรฐาน และระบาเบด็ เตล็ด
1. ระบามาตรฐาน
คาวา่ “มาตรฐาน” เป็นคานามหน่ึงทถี่ กู นามารวมเขา้ กบั คาวา่ “ระบา” จนเกิดเป็นคาสมาส
ขน้ึ ใหม่หน่งึ คาคือ ระบามาตรฐาน โดยคาวา่ “มาตรฐาน” มีผูใ้ หค้ วามหมาย ดังนี้
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 (ราชบัณฑิตยสถาน, 2543: 854) ได้ให้
ความหมายคาว่า “มาตรฐาน” ไวว้ า่ “สิ่งทีถ่ อื เอาเป็นเกณฑ์ท่ีรับรองกันท่ัวไป เช่น เวลามาตรฐานกรีนิช,
สิ่งท่ีถือเอาเป็นเกณฑ์สาหรับเทียบกาหนดท้ังในด้านปริมาณและคุณภาพ เช่น มาตรฐานอุตสาหกรรม
หนังสอื นยี้ งั ไมเ่ ข้ามาตรฐาน”
อัจฉรา สุภาไชยกิจ (สัมภาษณ์, 2560) กล่าวว่า ในวงการนาฏศิลป์ไทย คาว่า มาตรฐาน
นิยมนามาใช้ประกอบกับคาว่า “รา” และ “ระบา” เพ่ือใช้จากัดความของการราประเภทหนึ่งที่มีท่ารา
เปน็ ไปในทิศทางเดียวกัน และเป็นท่ียอมรับของบุคคลทั่วไปในวงการนาฏศิลป์ ว่าเป็นท่าราที่งดงามและ
เปน็ แบบแผนที่ปฏิบตั ิสืบต่อกันมา
เรวดี สายาคม (สัมภาษณ์, 2560) กล่าวว่า คาว่า มาตรฐาน ในแวดวงของนาฏศิลป์ไทยใช้
เปน็ คาจากัดความสาหรับการราที่ต้องอาศัยท่าราตามแบบแผนประกอบเข้ากับบทร้องและทานองเพลง
หน้าพาทย์ ซ่ึงอาจเป็นท่าราท่ีถูกสืบทอดกันมาแต่โบราณ หรือประดิษฐ์ขึ้นใหม่ย่อมได้ แต่ท้ังน้ีการราที่
ชุดท่ี 1 รอบรูร้ ะบำมำตรฐำน 16
เป็นมาตรฐานจะต้องได้รับการยอมรับจากผู้คนในแวดวงนาฏศิลป์ไทย จึงจะจัดว่าเป็นการรามาตรฐาน
หรือระบามาตรฐาน
สรปุ ไดว้ ่า คาว่า “มาตรฐาน” ท่ใี ชใ้ นนาฏศลิ ป์ไทย หมายถึง เกณฑป์ ฏิบัติท่าราอนั งดงามที่เป็นไป
ในทศิ ทางเดยี วกนั จนได้รบั การยอมรบั จากบคุ คลในวงการนาฏศลิ ปไ์ ทยและปฏิบัติเป็นแบบแผนสืบต่อกัน
มา โดยมีประเภทของการราที่มชี ่อื เรียกว่า มาตรฐาน 2 ประเภท คือ รามาตรฐาน และระบามาตรฐาน
นอกจากนี้ ยังมผี ใู้ หก้ ล่าวถึงความหมายของคาวา่ “ระบามาตรฐาน” ไว้ดงั น้ี
ปราณี สาราญวงศ์ (2525: 77) ได้กล่าวถึง ระบามาตรฐาน ไวใ้ นหนังสือศิลปวัฒนธรรมไทย
เลม่ ท่ี 7 ไวว้ า่ ระบามาตรฐาน หมายถึง การแสดงที่มีลักษณะการแต่งกายยืนเคร่ืองพระนาง (แต่เดิมตัว
พระสวมเสื้อแขนยาว ปจั จุบันตวั พระละครใชเ้ สอื้ แขนสนั้ ) ตลอดจนท่าราเพลงร้อง และดนตรีมีกาหนดไว้
เป็นแบบแผนท่ีมีลกั ษณะเฉพาะตวั เชน่ ระบาสี่บท ต่อมาได้มีผู้ประดิษฐ์ระบาซ่ึงเลียนแบบระบาส่ีบทขึ้น
อกี หลายชดุ ได้แก่ ระบายอ่ งหงดิ ระบาดาวดงึ ส์ ระบากฤดาภินิหาร และระบาเทพบันเทิง ฯลฯ
สุมติ ร เทพวงษ์ (2548: 117-118) ได้กล่าวถึง ระบามาตรฐานไว้ ดังนี้ ระบามาตรฐาน เป็น
ระบาทม่ี มี าตง้ั แต่โบราณ ไมส่ ามารถนามาเปลี่ยนแปลงท่าราได้ เพราะถอื ว่าเปน็ การร่ายราที่เป็นแบบฉบับ
บรมครูนาฏศิลป์ ไดค้ ดิ ประดิษฐ์ไว้ และนยิ มนามาเป็นแบบแผนในการราท่ีเครง่ ครดั เชน่ ระบาสบี่ ท ซึ่งถือ
ว่าเปน็ ระบาที่มมี าช้านาน แต่ละบทของเพลงมีการราแตกตา่ งกัน ประกอบด้วยเพลงพระทอง เบา้ หลดุ
บลม่ิ สระบหุ ร่ง รวม 4 เพลง ต่อมามีผู้ประดิษฐ์ระบา ซ่ึงเลียนแบบระบาส่ีบทขึ้นอีกหลายชุด และถือว่า
เป็นระบามาตรฐานที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เช่น ระบายอ่ งหงิด ระบาเทพบนั เทิง ระบาดาวดึงส์ ฯลฯ การแต่ง
กายระบาชนดิ น้ี นยิ มแต่งกายในลกั ษณะที่เรยี กว่า “ยืนเคร่ือง”
อมรา กล่าเจริญ (2542: 64) ให้ความหมายคาว่า ระบามาตรฐานไว้ดังนี้ ระบามาตรฐาน
หมายถึง ระบาที่ปรมาจารย์ทางนาฏศิลป์ได้คิดประดิษฐ์ท่าราไว้ มีความงดงาม วางท่าได้เหมาะสมเป็น
แบบฉบับ สอดคลอ้ งกับบทรอ้ งและการบรรเลง เช่น ระบาดาวดึงส์ เมื่อนาไปใช้แสดงจะต้องคงไว้ ซึ่งท่า
ราที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมา ไม่สมควรนาไปเปล่ียนแปลงตามชอบใจ การแต่งกายระบาประเภทนี้นิยมแต่ง
แบบ "ยนื เคร่อื ง"
จากความหมายข้างต้นของคาว่า “ระบา” และ “มาตรฐาน” เม่ือสมาสแล้วคาว่า “ระบา
มาตรฐาน” น่าจะหมายถึง การร่ายราพร้อมกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปราเป็นคู่ เป็นการแสดงถึงลักษณะตัว
ละครแสดงเป็นเทวดา นางฟ้า มีระเบียบแบบแผนในการแสดง มีวัตถุประสงค์เพื่อถ่ายทอดความงดงาม
และความประณตี ของท่ารา ประกอบบทร้องและทานองเพลง ซึ่งต้องมีเพลงหนา้ พาทย์ ประกอบด้วย
ชุดท่ี 1 รอบรู้ระบำมำตรฐำน 17
รปู แบบการแปรแถว แต่งกายยืนเครื่อง ซึ่งท่าราดังกล่าวบางชุดอาจจะไม่มีความหมายตามบท
ร้อง หรอื ไม่มบี ทร้อง นอกจากนีใ้ นรปู แบบการแสดงอ่ืน ๆ ยังมีหลักเกณฑ์เป็นท่าราท่ีมีการสืบทอดมาแต่
โบราณ กาหนดเปน็ แบบฉบับของทา่ รา เพ่ือทจ่ี ะดารงไว้ให้เปน็ มาตรฐานของนาฏศลิ ปไ์ ทย เชน่ ระบา
สี่บท ซึ่งตอ่ มาได้มีผู้ประดิษฐร์ ะบาขึ้นมาอกี หลายชุดเพ่ือใช้เป็นส่วนหน่ึงของการแสดงละคร ได้แก่ ระบา
ย่องหงิด ระบาดาวดึงส์ ระบากฤดาภินิหาร การแสดงบางชุดแต่งกายยืนเครื่องแต่ไม่ถือเป็นการแสดง
ระบามาตรฐาน เนอื่ งจากว่าเพลงที่ใช้บรรเลงประกอบการแสดงน้ันไมม่ เี พลงหนา้ พาทย์ เช่น ชุด ระบาซัด
ชาตรี ระบากินรรี อ่ น เปน็ ต้น
ดงั นน้ั จงึ สามารถสรุปองค์ประกอบการแสดงระบามาตรฐานได้ดังน้ี ผู้แสดงในบทบาทเทวดา
นางฟ้า ราเป็นคู่พระ นาง เพลงร้องและดนตรี มีการกาหนดเป็นแบบแผนท่ีมีลักษณะเฉพาะตัวและสืบ
ทอดมาแต่โบราณ ต่อมาได้มีแนวคิดในการจัดทาระบามาตรฐานขึ้นมาอีกหลายชุดโดยใช้ระบาสี่บทเป็น
ต้นแบบของการประดิษฐ์ท่ารา เพ่ือใช้ประกอบในการแสดงโขน ละคร ทาให้เกิดเป็นระบามาตรฐานท่ี
รู้จกั กนั อย่างแพร่หลาย เช่น ระบาดาวดงึ ส์ ระบาเทพบันเทิง ระบากฤดาภินิหาร เป็นต้น เครื่องดนตรีท่ี
ใช้ประกอบการแสดง ใช้วงปพี่ าทย์บรรเลงประกอบการแสดง และใช้วงดนตรีสากลบรรเลงประกอบการ
แสดง ซ่ึงจะได้กล่าวถึงรายละเอียดในหัวข้อ ระบามาตรฐานที่แบบปรับบปรุงข้ึนใหม่ การแต่งกาย เดิม
การ
แต่งกายยืนเครื่องพระ – นาง เดิมพระสวมเส้ือแขนยาว แต่ปัจจุบันนิยมการสวมเส้ือแขนส้ันเพ่ือให้เห็น
ความงดงามของวงแขน ปัจจุบันน้ีระบามาตรฐานต่าง ๆ ท่ีนิยมแสดงและเป็นท่ีรู้จักในปัจจุบัน สามารถ
แบง่ ประเภทของระบามาตรฐานออกเปน็ 2 ประเภท คือ
1.1 ระบามาตรฐานแบบด้ังเดิม
ระบามาตรฐานทมี่ มี าแตด่ ้งั เดมิ และเปน็ ตน้ แบบของการคดิ ประดษิ ฐ์ระบามาตรฐานชุดอื่น ๆ
ที่ได้รับการยกย่องมาแต่โบราณว่าเป็นระบาท่ีมีความสวยงาม บทร้องไพเราะ ระบาชุดนี้ไม่ปรากฏท่ีมา
และผสู้ ร้าง เนื่องจากวา่ เปน็ ระบาโบราณท่ีมีการสืบทอดมาเป็นเวลาหลายร้อยปี มีข้อสันนิษฐานว่าระบา
ชุดนมี้ มี าครั้งสมัยสุโขทัยแต่ไม่ปรากฏหลักฐานเด่นชัด สมัยอยุธยาตอนกลางปรากฏการแสดงนาฏศิลป์
ของนางในวัง เสมือนเป็นเคร่ืองราชูปโภคของพระมหากษัตริย์ และการแสดงดังกล่าวมีการแสดงระบา
เทวดานางฟ้าเข้ากับเร่อื งรามสรู เมขลา จากหลักฐานบทจบั ระบาทีป่ รากฏในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
จะพบว่าชุดจับระบาหรือระบาสี่บท เป็นการราของเหล่าเทวดา นางฟ้า ที่นิยมแสดงประกอบละครตอน
รามสูรเมขลา และมักใช้ราเบกิ โรงในการแสดงโขน ละครมาจนถึงทุกวันนี้
ชุดท่ี 1 รอบรูร้ ะบำมำตรฐำน 18
ดังท่สี มเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดารงราชานภุ าพดงั ท่ี ได้ทรงแสดงความคิดเห็น
ไว้วา่ “สนั นษิ ฐานในชัน้ เดิมเห็นจะเป็นด้วยพระเจา้ แผ่นดินพระองคใ์ ดพระองค์หน่ึงซ่ึงครองกรุงศรีอยุธยา
(บางทีจะเปน็ ชนั้ ในกอ่ นรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์) ทรงพระราชดาริให้นางราเล่นระบาเข้ากับเรื่องไสย
ศาสตร์ เชน่ ใหแ้ ตง่ เป็นเทพบตุ รธดิ าจบั ระบา เขา้ กบั เร่ืองรามสูร เป็นต้น เห็นจะเล่นระบาเช่นกล่าวนี้ ใน
พระราชพิธอี ันใดอนั หนงึ่ ในพระราชนเิ วศนเ์ ป็นทานอง เชน่ เล่น ดึกดาบรรพ์ท่กี ล่าวมาเป็นเดิมก่อน บางที
จะเป็นระบานี้เองท่ีเป็นต้นตารับ ละครในจึงได้เล่นระบาเรื่องรามสูรเบิกโรงละครในมาจนในกรุง
รตั นโกสนิ ทร์นี้ ทานองเมอ่ื เล่นระบาเป็นเร่อื งข้นึ แล้ว จะเลยเปน็ แบบแผนสาหรบั เลน่ ในพระราชพิธีภายใน
พระราชนิเวศน์ เหมือนอย่างท่ีโขนหลวงเคยเล่นการพระราชพิธีข้างภายนอก คร้ันต่อมาจะเล่นระบาให้
เร่ืองแปลกออกไป จึงเลือกเอาเรื่องโขนบางตอนท่ีเหมาะแก่กระบวนฟ้อนรา เช่น ตอนอุณรุท ในเรื่อง
กฤษณาวตาร เป็นต้น มาคิดปรุงกับกระบวนละครฝึกซ้อมให้พวกนางราของหลวงเล่น” (สมเด็จพระเจ้า
บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพ, 2507: 15-16)
ในสมัยโบราณเรียกระบาส่ีบทว่า “ชุดจับระบา” ต่อมาภายหลังจึงเรียกว่า ระบาสี่บท ซ่ึง
ลายอง โสวัตร (สัมภาษณ์, 10 มกราคม 2560) ได้กล่าวเกี่ยวกับเร่ืองน้ีว่า “ครูมนตรี ตราโมท (ศิลปิน
แห่งชาต)ิ ท่านเคยเล่าวา่ เหตุท่ีเรียกกันว่าระบาส่ีบท เพราะเพลงร้องนั้นเป็น 4 บท แล้วก็ร้อง 4 เพลงคือ
พระทอง เบา้ หลุด สระบุหรง่ บลิ่ม ทัง้ 4 เพลงเหลา่ น้ีลว้ นแลว้ ใชร้ าในการแสดงโขน ละคร”
ระบาส่ีบทถึงแม้ว่าจะไม่มีหลักฐานปรากฏว่าเร่ิมมีการแสดงมาตั้งแต่เมื่อใดแต่คงจะนิยม
แสดงมากในสมัยโบราณ ซงึ่ ปรากฏบทเหลา่ นอี้ ยู่ในบทละครเรอ่ื งตา่ ง ๆ เช่น รามเกยี รติ์ และ อุณรทุ ได้
นาระบาส่ีบทบทบรรจุไว้สาหรับการแสดงตอนที่มีการชุมนุมของเทวดานางฟ้า หรือเพ่ืออวยพรใน
ความสาเร็จต่าง ๆ ผู้จัดทาขอยกตัวอย่างพระราชนิพนธ์ในรัชกาลท่ี 1 ถึงรัชกาลท่ี 6 เร่ืองรามเกียรติ์ที่
ปรากฏอยู่หลายบท ดงั จะขอยกตวั อยา่ งประกอบ ดังน้ี
รชั กาลท่ี 1 เป็นบทท่ีเก่าแกท่ ่สี ดุ ทรงพระราชนิพนธไ์ ว้ในละครเรอื่ งรามเกียรต์ทิ ง้ั หมด 6 ฉบบั
6 ตอน คอื ตอนรามสูรเมขลา ตอนท้าวทศรถฆ่ายักษ์ปทูตทันต์ ตอนพระนารายณอ์ วตาร ตอนนางสีดาลุย
ไฟ ตอนราชาภเิ ษกพระราม และตอนพระอินทรเ์ ขา้ เฝา้ พระอิศวร ตอนท่ีนิยมนามาแสดงคือ ตอน รามสูร
เมขลา มี 2 บท ใชเ้ พลงรอ้ ง 2 เพลง คือ สระบหุ รง่ 6 คาและพระทอง 6 คา
ตอนรามสรู เมขลา บทจับระบา ตอน รามสูร เมขลา มี 2 บท บทแรกเพลงสระบุหร่ง 6
คาและบทสองเพลงพระทอง 6 คา
ชดุ ที่ 1 รอบรรู้ ะบำมำตรฐำน 19
สระบหุ รง่
จงึ จบั ระบาราร่าย ทอดกรกรีดกรายทง้ั ซ้ายขวา
ร่ายเรยี งเคยี งชิดเขา้ มา เลียมลอดสอดคว้าทกุ นาง
แลว้ กลบั ร่ายราทาที แทรกเปลยี่ นเสยี ดสีมิให้หา่ ง
ย่งิ เย้าเคล้าคลอก้ันกาง พลางแนมแกมกลปนมา
ฉวยฉุดยดุ นางเบ้อื งซา้ ย ยา้ ยเป็นหยอกนางขา้ งขวา
รน่ื เริงบันเทงิ ทกุ เทวา ดว้ ยฝงู นางฟา้ วิลาวัณย์ฯ
ฯ 6 คา ฯ
พระทอง
เม่ือนน้ั นางเทพธดิ าสาวสวรรค์
รารอล่อไวไ้ มต่ ดิ พัน เกษมสันตช์ าเลืองแลไป
ครัน้ เทวัญเข้าชดิ กบ็ ิดหนี ร่ายราทาท่มี ิให้ใกล้
หลกี เลยี้ วตีวงเวียนไป นัยนเ์ นตรชม้อยคอยที
คร้ันเทพบตุ รฉดุ ครา่ นางฟ้าปอ้ งปดั สลัดหนี
แสนสนุกสขุ เกษมเปรมปรีด์ ทกุ เทพนารีเทวา ฯ
ฯ 6 คา ฯ
(พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช, 2510 : 103-104)
ตอนทา้ วทศรถมายกั ษป์ ที ูตทนั ต บทจับระบาในตอนท้าวทศรถฆา่ ยกั ษ์ปทูตทันต มี 2
บท บทแรกเพลงพระทอง 8 บทสองเพลงเบา้ หลุด 8 คา
พระทอง
เม่ือนั้น เทวานางฟ้าทุกราศี
รบั ส่ังทา้ วสชุ าบดี มใี จช่นื ชมโสมนสั
จ่ึงจบั ระบาราถวาย นวยนาควาดชายกรายหัตถ์
รารอดลงเคยี งเลีย่ งลดั กรกระหวดั ยมิ้ พรายชายตา
นางฟ้าตลบหนไี ป เทพบตุ รเลี้ยวไล่สกดั หน้า
นางสวรรคเ์ วยี นซ้ายร่ายเรียงมา เทวญั เวยี นขวาเปลีย่ นไป
นางสวรรคร์ าชา้ นางนอน ทอดกรเยอื้ งกรายสา่ ยไหล่
คลอเคลา้ เปน็ กระบวนให้ยวนใจ เทพไทยินดีปรีดาฯ
ชดุ ท่ี 1 รอบรู้ระบำมำตรฐำน 20
ฯ 8 คา ฯ
เบา้ หลดุ
เมื่อนนั้ โฉมนางอัปสรเสน่หา
กรายกรฟ้อนราชาเลอื งตา เคยทีเทวาสราฤทธ์ิ
ครัน้ เทวญั เข้าใกลก้ ็ยา้ ยหนี ทาทีรา่ ยเรียงเบ่ียงบิด
เทพบุตรราเคลา้ เข้าชิด ทอดสนิทคว้าไขว่ ในที
นางฟ้าสลดั ปัดกร ชม้ายชายคอ้ นแล้วถอยหนี
เทวัญราทา่ มาลี แล้วตีวงเวยี นเปลี่ยนไป
นางสวรรคร์ าหงสล์ ีลา ชายหนเี ทวามิใหใ้ กล้
ขับร้องอานวยอวยชยั สุขเกษมเปรมใจทง้ั เมอื งฟา้ ฯ
ฯ 8 คา ฯ
(พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟา้ จุฬาโลกมหาราช, 2510 : 274-275)
ตอนพระนารายณอ์ วตาร บทจบั ระบา ตอนพระนารายณอ์ วตาร มี 4 บท บทแรกเพลง
สระบุหร่ง 14 คา บทสองเพลงบหลิ่ม (ปหลิ่ม) 10 คา บทสาม เพลงพระทอง 10 คา และบทสเ่ี พลงเบ้า
หลดุ 10 คา
สระบหุ รง่
เมื่อนัน้ เทพไทนางฟ้าทุกราศี
เห็นพระนารายณฤ์ ทธี กับพระลักษมีรว่ มใจ
ทงั้ คทาจักรสงั ข์บลั ลงั ก์นาค อวตารจากเกษยี รสมุทรใหญ่
ไปเปน็ มนษุ ย์วุฒไิ กร พวกภยั จะม้วยดว้ ยฤทธา
ต่างพระองคโ์ ปรยทพิ ย์มาลาศ อภิวาทยอ์ วยพรถ้วนหน้า
เป่าสังข์ดงั สนน่ั ลน่ั ฟา้ เทวากจ็ บั ระบาบรรพ์
ยกั ยา้ ยถา่ ยเทเลห่ ก์ ล แยบยลชั้นเชงิ บดิ ผนั
ตา่ งลดเล้ยี วเกยี้ วพัน เทวัญกนั้ กางนางไว้
ฉวยฉดุ ยุคชายสไบทรง แทรกเปลี่ยนเวียงวงขวักไขว่
สาวสวรรคห์ นั หลีกเลีย้ วไป เทวัญกระชนั้ ไล่ตามมา
นางเทพอัปสรเวยี นซ้าย เทเวศรเ์ รียงร่ายเวยี นขวา
สาวสวรรค์หันล่อเทวา ทาทา่ มิใหใ้ กลช้ ิด
ชุดที่ 1 รอบรู้ระบำมำตรฐำน 21
นางเทพอัปสรศรี แตช่ มอ้ ยคอยทจี ะเบีย่ งบิด
สะบัดปกั กรสรุ าฤทธ์ิ แสนสาราญจิตทกุ เวลาฯ
ฯ 14 คา ฯ
บะหลมิ่ (ปลม่ิ )
เม่ือนั้น ฝูงนางอปั สรเสน่หา
ราลอ่ คลอเคียงเขา้ มา นยั นาชม้อยคอยที
ครนั้ เทวัญกระชัน้ เข้าชดิ นางฟ้าทาจรติ บิดหนี
ราร่ายกรายทา่ มาตีคลี มารศรีล่อเล้ียวให้ติดพนั
เปล่ยี นกรรอ่ นราเยอื้ งไหล่ เทพบุตรเข้าใกล้กบ็ ิดพน้
เยื้องยักผลักมอื เทวัญ หันวงเวียนไปขา้ งซ้าย
เทเวศร์ก็รายา้ ยท่า มยรุ าฟ้อนหางเฉดิ ฉาย
นางราเรียงหมอนกรกราย ชม้ายมา่ ยเมยี งเคียงไป
เทพบตุ รราท่าเลียบถา้ นางราผาลาเพียงไหล่
เทวาราเคลา้ เย้ายวั่ ใจ นางในสขุ เกษมเปรมปรีดิ์ฯ
ฯ 14 คา ฯ
พระทอง
เมอื่ นัน้ ฝา่ ยฝงู เทวาในราศี
ราเคลา้ นางเทพนารี ทาทีไขวค่ ว้าเลียมลวน
แลว้ แซงเยือ้ งยา่ งขา้ งกางก้ัน ทอดสนิทติดพันแยม้ สรวล
ฝูงเทพธิดาทากระบวน ราทวนล่อร่ายชายตา
เทวาราภุมรเี คล้า สพั ยอกยอกเยา้ แลว้ เวยี นขวา
นางราสอดสร้อยมาลา วงมาเบ้ืองซ้ายเทวินทร์
เทพบุตรเปล่ียนทา่ เยอื้ งกราย เหราเล่นสายกระแสสนิ ธ์ุ
อัปสรร่อนราเป็นหงสบ์ นิ ผันผินคอยทปี่ ้องกัน
เทเวศร์ราเคล้าเข้าใหใ้ กล้ เลีย้ วไล่ไขว่ควา้ นางสวรรค์
ต่างฉวยตา่ งปัดพลั วัน เกษมสนั ต์บันเทงิ พนั ทวฯี
ฯ 10 คา ฯ
ชุดท่ี 1 รอบรู้ระบำมำตรฐำน 22
เบา้ หลดุ
เม่อื นั้น ฝงู เทพธดิ ามารศรี
ราลอ่ สุราลยั ในที ชายหนีโดยกระบวนระบาบรรพ์
ครน้ั เทพบตุ รเลีย้ วไล่ นางฟา้ คอ้ นให้แล้วผินผนั
เทวาแทรกเปลีย่ นพลั วัน นางสวรรค์หลีกลอ่ รอมา
กรายกรรอ่ นร้องโอดครวญ โหยหวนงอนจรติ ประดษิ ฐ์ทา่
ทาทีเลีย้ วลอ่ เทวา ดว้ ยมารยาแยบยลกลใน
เห็นเทเวศร์เวยี นขวาเข้ามาก้นั ทอดสนิทติดพันคว้าไขว่
นางสวรรคเ์ วยี นซ้ายชายไป มใิ ห้สรุ าลยั เขา้ ชดิ
อันเทวานางฟา้ ก็ช่นื บาน ด้วยนารายณ์อวตารสาราญจิต
ถวายพระศลุ ีมีฤทธ์ิ อันประสิทธ์ิประเสริฐเลิศชาตรีฯ
ฯ 10 คา ฯ
(พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช, 2510 : 321-324)
ตอนนางสีดาลยุ ไฟ บทจบั ระบาในตอนตอนนางสดี าลุยไฟ มี 2 บท บทแรกเพลงพระ
ทอง 8 คา บทสองเพลงเบา้ หลุด 8 คา
พระทอง
จงึ จบั ระบาราถวาย วาดกรเย้อื งกรายทาท่า
เวียนวงเป็นหงส์ลีลา คลอเคียงนางฟา้ ติดพนั
แล้วซัดสองกรออ่ นระทวย นาคนวยเขา้ ชดิ สาวสวรรค์
เมียงมา่ ยไขว่ควา้ พัลวนั หนเวียนเปล่ียนไปในที่
คลอเคล้าก้าวสกดั กัน้ กาง ฉวยฉุดยุดนางอัปสรศรี
ย้ายทา่ เป็นม้าตีคล่ี ทาทรี ่ายเรยี งเบ่ียงไป
ส่ายเนตรให้สบเนตรนาง แลว้ เบือ้ งยางลดั เลย้ี งเขา้ เคียงไหล่
สพั ยอกหยอกเยา้ อนงคใ์ น สาราญใจทกุ เทพเทวัญฯ
ฯ 8 คา ฯ
ชุดที่ 1 รอบรู้ระบำมำตรฐำน 23
เพลงเบา้ หลดุ
เมื่อนน้ั นวลนางอัปสรสาวสวรรค์
เหน็ เทวากระชดิ ติดพนม ก้ันกางขวางหน้าสะกดไว้
ดาเนินเดินรา่ ยชายหน้ี ทาที่มใิ ห้เขา้ ใกล้
แลว้ ตีวงเวยี นเปล่ยี นไป นยั น์เนตรชม้ายมายเมียง
รารา่ ยกรายหัตถ์ใหย้ ยี าน ทากระบวนใสจ่ ริตบิดเบ่ียง
ล่อเลี้ยวเกย่ี วกรเปน็ ค่เู คยี ง หลกี เลย่ี งหนั ไปด้วยมายา
ครนั้ เทพบตุ รมาขา้ งชาย สวรรคเ์ บอ้ื งยา้ ยไปขวา
แทรกเปลย่ี นเวยี นวงไปมา เทวัญนางฟา้ กย็ นิ ดฯี
ฯ 8 คา ฯ เพลง
(พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้าจฬุ าโลกมหาราช, 2510 : 574-575)
ตอนราชาภเิ ษกพระราม บทจับระบาในตอนราชาภิเษกพระราม มี 2 บท บท แรกเพลง
พระทอง 6 คาส่วนบทท่ีสองไม่มชี ื่อเพลง เขา้ ใจว่าร้องเพลงพระทอง เชน่ เดียวกนั มี 8 คา
พระทอง
ชวนกนั จับระบารถวาย เย้อื งกรายร่ายราทาท่า
เป็นกระบวนหงส์บนิ ลนิ ลา มาขวาทวนทบตลบไป
แล้วตีวงเวียนเปลีย่ นหัตถ์ พลัดเป็นผาลาเพยี งไหล่
เคยี งข้างนางฟ้าสุราลยั ควา้ ไขวเ่ ขา้ ชิดติดพัน
นางสวรรค์สลดั ปัดกร คมค้อนงอนจริตบิดผัน
เทเวศรส์ กัดกางกัน้ แล้วหนั หา่ งร่างเรียงเคยี งมาฯ
ฯ 6 คา ฯ
เมื่อน้นั นางเทพอัปสรเสนห่ า
ราล่อคลอเคล้าเทวา ชาเลอื งนยั นาเป็นที่
เห็นเทเวศร์เวียนขวาเข้ามาชิด กเ็ บยี่ งบดิ เวยี นซา้ ยชายหนี
แล้วกรายทา่ เปน็ ม้าท่ี ทาทม่ี ่ายเมยี งเคียงไป
คร้นั เทพบุตรเขา้ ยุตหัตถ์ ก็สลัดปัดการมิให้ใกล้
ทาจริตมารยาพิราใน ย่ัวเย้าเทพไทเทวัญ
ชุดที่ 1 รอบรู้ระบำมำตรฐำน 24
อันหม่เู ทเวศรแ์ ลอปั สร ขับฟอ้ นด้วยใจเกษมสนั ต์
ถวายพระองค์ทรงสุบรรณ เปน็ มหันตมโหโอฬารฯ
ฯ 8 คา ฯ
(พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟา้ จุฬาโลกมหาราช, 2510 : 696-699)
ตอนพระอนิ ทรเ์ ขา้ เฝา้ พระอศิ วร บทจับระบาในตอนพระอนิ ทร์เข้าเฝา้ พระอิศวร มี 4
บท บทแรกเพลงพระทอง 12 คาบทสองไม่มีชอ่ื เพลง มี 10 คา บทสามเพลง เบา้ หลุด 10 คา บทเพลง
บหลิม่ 12 คา
พระทอง
เม่อื น้ัน เทวญั นางฟา้ ทกุ ราศี
รับส่ังโกษิตผฤู้ ทธี ต่างองคย์ ินดีเป็นสดุ คิด
จึงจับระบาราถวาย ย้ายเทเลห่ ก์ ลอกนิษฐ์
ราเบียดเสียดเข้าไปให้ชิด ทอดสนิทติดพนั กลั ยา
แล้วตีวงเวียนเปล่ยี นซ้าย ร่ายตวี งเวยี นเปลยี่ นขวา
เลียมลอดสอดเคล้าเข้ามา กนั้ กางขวางหนา้ นางไว้
ยักย้ายมอ่ ยเมียงเบีย่ งผนั แทรกเปล่ียนพลั วนั ขวกั ไขว่
เหน็บแนมแกมกลปนไป ในนางสวรรค์กัลยาณี
เล้ยี วลดสกดั กนั้ กาง ควา้ ไขวไ่ ล่นางสาวศรี
ราเคล้าเยา้ หยอกไปในที เคยี งขา้ งมิให้หา่ งกัลยา
ฉวยฉุดยุดนางข้างซา้ ย ยมิ้ พรายชายเนตรชาเลอื งหา
แลว้ กลบั ผินผันหนา้ มา ยดุ นางขา้ งขวาสราญใจ ฯ
ฯ 12 คา ฯ
เมื่อน้นั นางเทพธดิ านอ้ ยใหญ่
ระวงั ทเ่ี ทวาสรุ าลยั ราเปลย่ี นเวยี นไวไล่กัน
ฝงู นางสวรรค์แต่ผันผนิ เทวินทร์เข้าขวางกางกั้น
หลีกหลบลดเล้ียวเก่ยี วพนั ใหท้ ีเทวญั ดว้ ยมารยา
คร้นั เห็นเทพบตุ รเวยี นชาย นางสวรรคผ์ นั ยา้ ยเปลยี่ นขวา
เทวัญกนั หน้าเขา้ มา นางฟา้ หยุดยง้ั ทกุ นารี
ชดุ ท่ี 1 รอบร้รู ะบำมำตรฐำน 25
แลว้ ทากระบวนใหย้ วนใจ ใสจ่ ริตค้อนใหแ้ ล้วชายหนี
ครนั้ เทวาควา้ ไขว่เป็นที่ มารศรสี ลดั ปดั กร
แล้วราตลบถอยหลัง งามดังกนิ รรี ารอ่ น
เทเวศร์เปล่ียนทา่ นางนอน เคียงคู่อัปสรดว้ ยปรีดาฯ
ฯ 10 คา ฯ
เบา้ หลดุ
เมื่อน้นั ฝูงเทพเทวญั ถ้วนหนา้
ราเคยี งเลียงลอดสอดควา้ เลย้ี วไลน่ างฟา้ เป็นแยบคาย
แล้วชกั เวยี นวงเปน็ หงสร์ อ่ น งามงอนพรงึ เพรศิ เฉดิ ฉาย
ทอดกรออ่ นระทวยกรีดกราย ยักยา้ ยร่ายเรยี งเคียงกนั
เทเวศรร์ กระชั้นเข้าชิด นางฟ้าเบี่ยงบดิ หลบฝนั
เป็นทล่ี วงลอ่ เทวญั ฉวยฉดุ ยดุ พลั วนั ไป
ฝูงนางสวรรค์กผ็ นั หนี เทวญั ทาที่ตลบไล่
นางฟา้ ถอยลอ่ เวียนไว มใิ หค้ ลอเคล้าเข้าชิด
เทพบตุ รรเคียงเรยี งมา นางฟา้ เล้ยี วเลี่ยงเบ่ยี งบิด
อนั หมเู่ ทวาสรุ าฤทธ์ิ บนั เทิงจติ ด้วยฝงู นารี ฯ
ฯ 10 คา ฯ
บหลม่ิ (ปะวะหลม่ิ )
เม่ือน้ัน นางเทพธดิ าโฉมศรี
ราลอ่ เทวญั เปน็ ที่ ชายหนหี ลีกเลย้ี วไปมา
เย้ืองย่างกรายกรฟ้อนขบั ตีวงกลอกกลบั ซ้ายขวา
แลว้ ถอยหลงั ราลอ่ เทวา ทาชมา้ ยชายตาเป็นกล
ครัน้ เทวาเข้าใกล้ก็กรายกร เป็นหงสร์ ่อนพา่ งพน้ื โพยมหน
งามดงั่ เมขลานฤมล ดว้ ยแยบยลมารยาพิราใน
ฝา่ ยฝงู เทวญั อนั ดีดสี เคลม้ิ ประหวดั ยนิ ดไี ม่ทนได้
ลกุ ข้นึ ก้ันกางขวางหน้าไว้ เยื้องกรายเขา้ ไปใหช้ ดิ
ฉวยฉุดยดุ นางสาวสวรรค์ เวียนหนั สพั ยอกตามตดิ
โทนทับตกแตกมิได้คิด ทอดสนิทย่ัวเย้าเยาวมาลย์
ชดุ ที่ 1 รอบรู้ระบำมำตรฐำน 26
มคี วามเพลดิ เพลินจาเรญิ ใจ สรุ าลยั เปน็ สุขเกษมศานต์
งวยงงด้วยองค์นงคราญ สาราญทงั้ ไกรลาสบรรพตาฯ
ฯ 10 คา ฯ
(พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช, 2510 : 1491-1492)
จากบทจับระบาในรัชกาลท่ี 1 จะเห็นว่ามีการนาทานองเพลง และบทจับระบาคล้ายกับระบา
ส่ีบทมาใช้ในการแสดง ทาให้เกิดเป็นบทจับระบาใหม่ข้ึนมาจึงเชื่อว่าระบาส่ีบทเป็นระบามาตรฐานที่เป็น
แบบฉบับในดา้ นรูปแบบการแสดง ทา่ รา การแต่งกาย เพลงร้อง และดนตรี ของระบามาตรฐานที่แต่งกาย
ยนื เครื่องพระ นางในชดุ อื่น ๆ ด้วย ซึ่งในบทพระราชนพิ นธ์ปรากฏช่ือแมท่ ่านาฏศลิ ป์ไทย เชน่ ม้าตีคลี
สอดสร้อยมาลา เหราเล่นสายกระแสสินธุ์ (เหราเล่นน้า) ภุมารีเคล้า (ภมรเคล้า) กวางเดินดง มยุเรศฟ้อน
หาง เปน็ ตน้ ฯลฯ หลายทา่ ตรงกับตาราราท่ีได้มีการจัดทาขึ้นในรัชสมัยของพระองค์มากกว่าการราเกี้ยว
พาราสเี พียงอยา่ งเดียว
ในสมัยรัชกาลที่ 2 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงพระราชนิพนธ์บทละครเร่ือง
รามเกียรต์ิขึ้นเป็นตอนสั้น ฯ เพ่ือจุดประสงค์ในการแสดงละครในโดยเฉพาะ ในตอนอภิเษกพระรามกับ
นางสีดา มีปรากฎบทจบั ระบา 4 บท ใช้เพลงรอ้ ง 4 เพลง เพลงแรกพระทอง 12 คา เบ้าหลุด 10 คา สระ
บหุ รง่ 10 และบหล่ิม 10 คา ดังมเี นอื้ เพลง ต่อไปน้ี
พระทอง
เม่ือน้นั ฝา่ ยฝูงเทพไทถ้วนหน้า
ทั้งนางอปั สรสวรรค์กลั ยา ยนิ ดีปรีดาเป็นสดุ คิด
จึง่ ชวนกนั จับระบารถวาย เย้ืองกรายงามงอนอ่อนจรติ
ราเรียงเคียงเข้าไปใกลช้ ิด ทอดสนิทติดพนั กลั ยา
แลว้ ตวี งเวียนเปลย่ี นซ้าย ร่ายตีวงเวียนเปล่ยี นขวา
เลียมลอดสอดเคล้าเข้ามา กั้นกางขวางหน้านางไว้
หลีกเลี้ยวเกย่ี วพันหนั เหียน แทรกเปลีย่ นไปมาคว้าไขว่
เหนบ็ แนมกลปนไป เลย้ี วไลส่ ัพยอกหยอกนาง
ซ้อนจงั หวะประเทา้ เคล่าคลอ่ ง เลย้ี วลอดสอดคลอ้ งไปตามหวา่ ง
วงเวียนเทียนหันกน้ั กาง ทาที่มใิ ห้หา่ งกัลยา
ชดุ ท่ี 1 รอบรู้ระบำมำตรฐำน 27
ฉวยฉุดยุดนางข้างซ้าย แล้วยา้ ยยุดนางขา้ งขวา
ตลบหลังลดเล้ยี วลงมา เทวญั กัลยาสาราญใจ
ฯ 12 คา ฯ
เบา้ หลดุ
เมอ่ื นน้ั นางเทพอัปสรศรีใส
ราลอ่ เทวาสรุ าลยั ทว่ งทีหนีไมพ่ อได้กนั
เทพบตุ รฉุดฉวยชายสไบ นางผลัดกรคอ้ นให้แล้วผินผัน
หลกี หลบลดเล้ียวเกีย่ วพนั เกยี ดกันด้วยกลมารยา
คร้นั เทเวศรว์ งเวยี นเปล่ียนซ้าย สาวสวรรค์ผนั ยา้ ยเปล่ียนขวา
ยิ้มพรายชายชาเลืองดเู ทวา ครน้ั สบตามอ่ ยเมยี งเอยี งอาย
แล้วทวนทบตลบหลกี เลยี่ ง เคล้าคลอรอเรยี งเมียงมา่ ย
หนั เหยี นเปลย่ี นแทรกมาขา้ งซ้าย แลว้ ยา้ ยมาขวาทาท่าทาง
คร้ันเทพเทวญั กระช้นั ไล่ นางชมอ้ ยถอยไปเสยี ให้หา่ ง
เวียนระวนั หันวงอย่ตู รงกลาง ฝงู นางนารกี ป็ รดี า
ฯ 10 คา ฯ
สระบหุ รง่
เม่ือนั้น ฝ่ายฝูงเทพไทถว้ นหน้า
ราเรียงเคียงคั่นกลยา เลย้ี วไลไ่ ขวค่ วา้ เปน็ แยบคาย
เทพบุตรหยดุ ยืนจบั ระบา นางฟา้ ฟ้อนราทาถวาย
ทอดกรออ่ นระทวยกรีดกราย แลว้ ตีวงเยอื้ งย้ายเป็นโคมเวยี น
ฉวยฉุดยดุ กรอัปสรสวรรค์ นางสะบัดมินตนั หนั เหียน
เหนบ็ แนมแกมกลแนบเนียน หลีกลดั ผลัดเปลย่ี นไปมา
เลย้ี วตลบทบทาเปน็ ถอ่ งแถว คร้นั แล้วราเคล้าเขา้ หา
ร่ายเรยี งเคียงคมประสมตา กั้นกางขวางหน้านางไว้
สัพยอกหยอกเยา้ แย้มสรวล นางผลกั พลกิ หยกิ ขวนกอ้ นให้
ถอยหลงั ร้ังรอล่อไป เทพไทสขุ เกษมเปรมปรีดิ์
ฯ 10 คา ฯ
ชุดท่ี 1 รอบรูร้ ะบำมำตรฐำน 28
บหลมิ่
เมอ่ื นน้ั นางเทพธดิ ามารศรี
กรายกรอ่อนระทวยท้งั อินทรีย์ ดังกินรีฟอ้ นร่อนรา
แลว้ ตวี งลดเลี้ยวเกยี่ วกล ประสานแทรกสับสนซ้ายขวา
เลยี้ วลัดกระหวัดเวยี นมา เกษมสขุ ทุกหนา้ สรุ าลยั
เทวัญกระชันชดิ ฉดุ กร นางอายเอยี งเมยี งค้อนแลว้ ผลักไส
หลีกลดั ปัดปอ้ งว่องไว ชักสไบเบ่ยี งบดิ ปิดบัง
ทาทอดกรงอนงามกิริยา เทวาประดพิ ทั ธ์ประหวัดหวัง
หันตลบเล้ียวลอ่ รอรัง้ เมยี งชมอ้ ยคอยระวังท่วงที
ครน้ั เทพเทวัญก้นั กาง ฝงู นางสาวสวรรค์ก็ผนั หนี
สัพยอกหยอกหยิกซกิ ซี้ ถอ้ ยทรี ืน่ เริงบนั เทิงใจ
ฯ 10 คา ฯ
(พระบาทสมเดจ็ พระพุทธเลิศหลา้ นภาลัย, 2510 : 256-258)
จากบทละครข้างต้นน้ีจะเห็นได้ว่าในสมัยรัชกาลที่ 2 ระบาส่ีบทยังคงอยู่ในฐานะที่เป็นระบา
นางในที่สูงส่งด้วยเป็นระบาท่ีราประกอบละครในเรื่อง อีกทั้งพระมหากษัตริย์ยังทรงพอพระราชหฤทัย
โปรดฯ ใหน้ ามาแสดงเป็นชดุ เดยี่ วหรือแสดงเฉพาะตอนแสดงให้เห็นถึงความสวยงามของระบาชดุ นี้และใน
บทละครแทบไม่ปรากฏชื่อแม่ท่านาฏศิลป์ไทยดังเช่นบทพระราชนิพนธ์รัชกาลที่ 1 หรือจะเป็นเพราะว่า
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงตั้งพระทัยท่ีจะให้ระบาชุดนี้เป็นระบาท่ีร่ายราเพื่อให้รส
หรรษาแห่งการเกี้ยวพาราสีแก่ผู้ชมมากท่ีสุด ด้วยเหตุนี้เองจึงทาให้ระบาส่ีบทของพระบาทสมเด็จพระ
พุทธเลิศหล้านภาลัยได้รับความนิยมจนถึงกับได้มีการถ่ายทอด และนาออกแสดงในงาน ต่าง ๆ ของ
พระมหากษัตริย์และเจ้านายชั้นสูงสืบต่อมาในภายหลัง และท่ีสาคัญก็คือยังเป็นต้นแบบของระบาสี่บท
ฉบับปัจจุบันด้วย
ในสมัยรัชกาลท่ี 4 ไม่ปรากฏระบาสี่บทในเรื่องรามเกียรติ์ท่ีทรงพระราชนิพนธ์ มีเฉพาะในบท
ละครจบั ระบาตอนรามสรู เมขลาแยกออกต่างหาก พระองคท์ รงนาบทพระราชนิพนธ์ในรัชกาลท่ี 2 มาตัด
ทอนใหส้ น้ั ลง ดังน้ี เพลงพระทอง 6 คา เพลงเบา้ หลดุ 6 คา เพลง สระบุหร่ง 4 คา และเพลงบหล่ิม 4 คา
ซ่งึ บทจบั ระบานไี้ ด้ถา่ ยทอดและใช้ฝกึ หดั และบรรจุอยใู่ นหลักสตู รการเรียนการสอนของวิทยาลัยนาฏศิลป
และสถาบนั การศกึ ษาดา้ นนาฏศลิ ป์ไทย ดังตอ่ ไปนี้
ชดุ ที่ 1 รอบรู้ระบำมำตรฐำน 29
พระทอง
เม่อื นัน้ ฝ่ายฝูงเทวาทกุ ราศี
ท้งั เทพธิดานารี สุขเกษมเปรมปรดี ิ์เป็นสดุ คดิ
เทพบตุ รจับระบาทาท่า นางฟ้าราฟอ้ นงอนจริต1
ราเรยี งเคยี งเข้าไปใหช้ ดิ ทอดสนทิ ติดพันกัลยา
แล้วตีวงเวียนเปลีย่ นซา้ ย รา่ ยตวี งเวียนเปลี่ยนขวา
ตลบหลังลดเลี้ยวลงมา เทวญั กลั ยาสาราญใจ
ฯ 6 คา ฯ
เบา้ หลดุ
เมื่อนน้ั นางเทพอัปสรศรใี ส
ราลอ่ เทวาสุราลยั ท่วงทหี นไี ลพ่ อไดก้ นั
เทพบุตรฉุดฉวยชายสไบ นางผลกั กรคอ้ นใหแ้ ล้วผินผนั
หลกี หลบลดเล้ียวเก่ียวพนั เหยี นหันมาขวาทาท่าทาง
ครั้นเทพเทวญั กระชน้ั ไล่ นางชมอ้ ยถอยไปเสียใหห้ ่าง
เวยี นระวนั หนั วงอย่ตู รงกลาง ฝูงนางนารีก็ปรีดา
ฯ 6 คา ฯ
สระบหุ รง่
เมื่อน้ัน ฝ่ายฝูงเทพไทถ้วนหนา้
ราเรียงเคยี งค่นั กลั ยา เลีย้ วไล่ไขว่คว้าเป็นแยบคาย
เทพบุตรหยุดยืนจับระบา นางฟา้ ฟอ้ นราทาถวาย
ทอดกรอ่อนระทวยกรีดกราย เทพไทสขุ เกษมเปรมปรดี ์ิ
ฯ 4 คา ฯ
1 ปจั จุบนั เนอ้ื ร้องเปล่ยี นเปน็ “อ่อนจริต”
ชุดที่ 1 รอบรูร้ ะบำมำตรฐำน 30
บหลม่ิ (ปลมิ่ )
เม่ือน้ัน นางเทพธดิ ามารศรี
กรายกรอ่อนระทวยท้ังอนิ ทรยี ์ ดังกินรีราฟอ้ นรอ่ นรา
แลว้ ตวี งลดเล้ยี วเก่ียวกล ประสานแทรกสบั สนซ้ายขวา
ทอดกรงอนงามกิริยา เทวาปฏพิ ัทธ์เปรมปรดี ์ิ
ฯ 4 คา ฯ
(พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจา้ อย่หู วั , 2466 : 22)
ในสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงพระราชนิพนธ์บทละครจับระบาตอนรามสูรเมขลา โดยมีผู้สันนิฐานว่า
ทรงแก้ไขบทพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 4 ปรากฏหลักฐานเพียง 2 บท คือสระบุหร่ง 4 คาและบหลิ่ม 4
คา ดังตอ่ ไปน้ี
สระบหุ รง่
เมื่อนน้ั ฝ่ายฝูงเทพไทถ้วนหนา้
ราเรียงเคียงคนื กัลยา เลย้ี วไล่ไขวค่ ว้าเป็นแยบคาย
เทเวศนต์ ีวงเวยี นขวา ยดุ กรนางฟา้ เรยี งราย
นางสลับลดเล้ียวมาข้างซ้าย เทพไททั้งหลายก็เปรมปรดี ์ิ
ฯ 4 คา ฯ
บะหลม่ิ (ปะหลม่ิ )
เมือ่ นนั้ นางเทพธดิ ามารศรี
กรายกรอ่อนระทวยทง้ั อินทรีย์ ดงั กนิ รีราฟ้อนร่อนรา
แล้วตีวงลดเลยี้ วเทย่ี วกล ระสานแทรกสบั สนทั้งซา้ ยขวา
เลยี้ วลดกระหวดั เวยี นมา นางฟ้าสมถวลิ ยินดี
ฯ 4 คา ฯ
(พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, 2466 : 26)
ชดุ ที่ 1 รอบรู้ระบำมำตรฐำน 31
ในสมัยรัชกาลที่ 6 พระราชนิพนธ์บทละครเบิกโรง เร่ือง “รามสูรชิงแก้ว” ทรงนาบทจับระบา
พระราชนิพนธใ์ นรชั กาลท่ี 1 ตอน รามสูรเมขลา 2 บทมาใช้และทรงเปลยี่ นเพลงใหม่ จากเพลงสระบุหร่ง
เปน็ เพลงพระทอง และจากเพลงพระทองเป็นเพลงเบา้ หลุด ดังนี้
พระทอง
จงึ จับระบาราร่าย ทอดกรกรดี กรายทัง้ ซ้ายขวา
ราเรียงเคยี งชดิ เข้ามา เลียมลอดสอดคว้าทุกนาง
แล้วกลับรา่ ยราทาที แซกเปล่ยี นเสียดสีมิใหห้ ่าง
ยั่วเยา้ เคล้าคลอก้นั กาง พลางแนมแกมกลปนมา
ฉวยฉดุ ยุดนางเบ้ืองซา้ ย ย้ายไปหยอกนางข้างขวา
ร่นื เริงบรรเทิงทุกเทวา ด้วยฝูงนางฟ้าวิลาวรรณฯ
ฯ 6 ฯ คา
เบา้ หลดุ
เมอื่ น้ัน นางเทพธิดานางสวรรค์
รารอฬ่อไว้ไมต่ ดิ พน้ เกษมสนั ตช์ าเลอื งแลไป
ครั้นเทวัญเข้าชดิ ก็บิดหนี ร่ายราทาทมี ิใหใ้ กล้
หลกี เลย้ี วตีวงเวยี นไป ไนยเนตรชม้อยคอยที
คร้ันเทพบุตรฉุดคร่า นางฟ้าป้องปดั สลัดหนี
แสนสนกุ ศุขเกษมเปรมปรี ทกุ เทพนารเี ทวาฯ
ฯ 6 คา ฯ
(พระบาทสมเด็จพระรามาธบิ ดีศรีสินทรมหาวชิราวุธ, 2518 : 28)
ระบาสบี่ ทหรอื บทจับระบาเทวดา นางฟา้ ปรากฏมาตัง้ แต่รชั กาลท่ี 1 ถงึ รชั กาลท่ี 6 มาโดยตลอด
จากบทที่มีความส้ัน 6 คาไปสู่บทท่ีมีความยาว 12 คา และถูกตัดทอนให้มีความสั้นลงในสมัยหลังเหลือ
เพียง 4 คา บทจับระบาท่ีมีความยาวคณะละครของเจ้านายชั้นสูงในรัชกาลที่ 5 และ รัชกาลที่ 6 ทรง
อุปถัมภไ์ ว้ โดยใหม้ ีการฝึกหัดนาฏศิลป์และดนตรีกันอย่างจริงจัง ระบาสี่บทของโบราณ (พระราชนิพนธ์
ของรชั กาลที่ 2 ) ซงึ่ มคี วามยาว10-12 คา ได้ถกู นามาถา่ ยทอดให้ กบั บรรดาเจ้านายและข้าหลวงได้ฝึกหัด
และออกแสดงหลายครัง้ หลายคราวในคณะละครท่ีมีช่อื เสยี ง เช่น คณะละครวงั สวนกุหลาบ คณะละครวัง
ชุดที่ 1 รอบรู้ระบำมำตรฐำน 32
เพชรบูรณ์ คณะละครวังบา้ นหมอ้ เปน็ ต้น แสดงให้เห็นว่าระบาสี่บทอยู่ในความนิยมของพระมหากษัตริย์
และเจ้านายชั้นสูงอยู่อย่างไม่เสื่อมคลายในฐานะของระบาที่แสดงประกอบละคร และใช้ในการฝึกหัด
นาฏศลิ ปข์ ้นั พ้นื ฐาน
ในสมัยรัชกาลที่ 7 คณะโขนหลวงได้ฝึกหัดระบาส่ีบทพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ 2 เป็นเพลง
พืน้ ฐานการฝึกหัดนาฏศิลป์ และนาระบาชุดนีอ้ อกแสดงตามงานต่าง ๆ หลายครั้ง เมื่อ พ.ศ. 2477 มีการ
ตั้งโรงเรียนนาฏดุริยางค์ศาสตร์ (วิทยาลัยนาฏศิลปในปัจจุบัน) ขึ้นเป็นโรงเรียนหลวงเพื่อสอนด้าน
นาฏศิลป์ คุณครูลมุล ยมะคุปต์ ได้นาระบาสี่บท บทพระราชนิพนธ์ของรัชกาลท่ี 4 มาบรรจุลงใน
หลกั สตู รการเรียนการสอนในระดับชั้นกลางและสูง ด้วยต้องการให้การแสดงชุดน้ีเป็นแบบแผนและเป็น
ระบาแม่บทเพ่ือการฝึกทักษะและความชานาญของนักเรียน เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งปรากฏใน
หลักสูตรระดับข้ันพ้ืนฐานและระดับอุดมศึกษา และระบาชุดน้ียังปรากฏอยู่ในหลักสูตรของ
สถาบันการศึกษาทเี่ รยี นเกีย่ วกบั นาฏศลิ ป์ไทย
ระบาสี่บทมีเป็นระบาท่ีมีอายุยาวนานกว่า 200 ปี เหตุท่ีทาให้ระบาชุดน้ีสืบทอดต่อมาเป็น
ระยะเวลา ยาวนานได้ ถ้าจะพิจารณาจากบทกลอนจบระบาที่ยกมาแสดงข้างต้นนี้จะพบว่า ระบาส่ีบทมี
คุณลักษณะพิเศษ ดงั น้ี
1. รวมแม่ท่านาฏศิลป์ไทย เช่นท่าผาลาเพียงไหล่ ท่าม้าตีคลี ท่าช้านางนอน ท่าหงษ์ลินลา
ท่ากินรีเลียบถ้า ท่ากวางเดินดง ฯลฯ แสดงให้เห็นว่าระบาชุดน้ีจะต้องมีท่าราที่สวยงามได้มาตรฐาน
เพราะไดใ้ ช้ทา่ ราทีเ่ ปน็ แม่ท่าที่เปน็ ที่ยอมรับกนั โดยทว่ั ไปวา่ สวยงามเปน็ ส่วนใหญ่
2. บทกลอนแสดงถึงกิรยิ า และอารมณอ์ นั เปน็ ธรรมชาตขิ องมนุษย์ เช่น คาว่า ไขว่คว้า ค้อน
ให้ หยกิ ข่วน เบี่ยงบา่ ย ก้ันกางขวางหนา้ ฉุด ฉวยชายสไบ เอียงอาย แย้มสรวล สุขเกษม เปรมปรีดิ์ ฯลฯ
แสดงให้เห็นว่าระบาชุดน้ีไม่เพียงแต่ร่ายราทาท่าตามบทเท่านั้น แต่ยังจะต้องสอดใส่อารมณ์ ความรู้สึก
ทางสีหน้า และดวงตาใหเ้ ขา้ กบั ท่าราและบทร้องเหมอื นกับการแสดงละครฉากหน่ึงด้วย นอกจากนน้ั
ถ้อยคาที่ใช้ยังเป็นคาธรรมดา ๆ ท่ีใช้อยู่เสมอในชีวิตประจาวันของมนุษย์ ซึ่งจะช่วยให้การสื่อสารด้วย
ท่าทางและการรับสารของผู้ชมสามารถเขา้ ใจได้ตรงกนั จงึ เพิ่มความสนุกสนานเพลิดเพลินไดม้ ากย่งิ ขึ้น
3. บทกลอนแสดงการเคล่ือนไหวในลักษณะตา่ ง ๆ อย่าง ชัดเจนเช่น เลี้ยวไล่ ตลบหลัง ตีวง
ประสานแทรก หันเหียน ลดเลี้ยว แล้วย้ายไปขวา ฯลฯ แสดงให้เห็นถึงการเคล่ือนไหวหรือการแปรแถว
ของระบา ชุดน้ีท่ีมีความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นวงกลม แถวโค้ง ตลบแถวไปข้างหลังหรือ แถวสลับฟัน
ปลา ซงึ่ จะทาให้ระบาชดุ น้ดี ูสวยงามด้วยมกี ารเคล่อื นไหวแปรขบวน ตามบททกี่ ากับไวเ้ ป็นจานวนมาก
ชดุ ที่ 1 รอบร้รู ะบำมำตรฐำน 33
นอกจากนย้ี ังปรากฏบทจับระบาทไ่ี มร่ ะบุชอื่ ผู้แต่ง ต้นฉบบั เขียนหลังสมดุ วา่ “พระสมุดระบา
ทรงแทรก” ข้างในสมุดเขยี นวา่ “ระบาใหญ่” ลายมือนน้ั เปน็ หนังสือเก่าขนาดเท่ารัชกาลที่ 1 หรืออาจจะ
เป็นบทพระราชนิพนธใ์ นรัชกาลที่ 1 ท่ที รงข้นึ ตา่ งหากจากเร่อื งรามเกียรติ์
ระบาสบ่ี ทแต่เดมิ หากพจิ ารณาจากบทพระราชนพิ นธ์แลว้ ปรากฏแมท่ ่าสาคัญ ๆ ดังน้ี
1) การโลมบน ทา่ เชยคาง ท่าปดั ป้อง ท่าจบั ที่ 2 และทา่ จับท่ี 3
2) ท่าราแสดงกริ ิยาอารมณ์ เชน่ ท่ายิม้ ท่าอาย ทา่ ผลักไส ท่าหยกิ ท่าขว่ น เปน็ ตน้
3) รูปแบบการแปรแถวมจี านวนมาก
ปจั จุบันระบาส่ีบทนยิ มมานาไปประกอบการแสดงโขนในตอนนารายณร์ าบนนทุก บทที่ใช้คือ
บทพระราชนพิ นธ์ในรชั กาลท่ี 4 แสดงทง้ั 4 บท บางครั้งก็ตัดทอนออกเหลือ 2 บท และบทเดียว หรือนา
บทรอ้ งเพลงพระทองเพียง 2 บทแรก และนาเพลงเบ้าหลุดใน 2 บทหลังมาใช้ราในการแสดง เป็นต้น ใน
ระยะหลงั ตอ่ มาจนถึงปจั จุบันจงึ ไม่ปรากฏว่ามีการแสดงระบาทง้ั สบ่ี ทใหเ้ ห็น แต่ถึงกระน้ันระบาสี่บทกย็ ัง
อยู่ในฐานะเปน็ ระบาแม่บททใี่ ชใ้ นการฝึกหัดนาฏยศิลปใ์ ห้แก่นาฏยศิลปินไทยในปัจจุบันโดยใช้ฉบับตัดซ่ึง
เปน็ บทพระราชนิพนธ์ของรชั กาลท่ี 4 ซงึ่ มีการเรียงมีลาดับดังนี้ ออกด้วยเพลงหน้าพาทย์โคมเวียน บทท่ี
1 ร้องเพลงพระทอง บทที่ 2 ร้องเพลงเบ้าหลุด บทท่ี 3 ร้องเพลงสระบุหร่ง บทที่ 4 ร้องเพลงบลิ่ม จบ
ดว้ ยปี่พาทยท์ าเพลงช้า-เร็ว ระบา
ภาพท่ี 12 การแสดงระบาส่ีบท
ท่ีมา: https://www.bloggang.com/data/r/rouenrarai/picture/1500052847.jpg
ชุดท่ี 1 รอบร้รู ะบำมำตรฐำน 34
ประเลง
การราประเลง เปน็ การแสดงราคู่ ผูแ้ สดงแต่งกายยืนเครื่องพระ แต่เดิมน้ันผู้ท่ีเป็นนายโรง2
เป็นผู้รา ในการแสดงผู้แสดงสวมศีรษะเทวดาเป็นศีรษะโล้น มือทั้งสองถือหางนกยูง3 ไม่มีบทขับร้องมี
เพลงหน้าพาทย์คือ เพลงกลม ชานาญ และเชิด บางโอกาสใช้เพลงเหาะหรือโคมเวียนแทนเพลงกลมและ
ชานาญ การแสดงชุดน้ีถือเป็นธรรมเนียมในการแสดงละครราที่ต้องมีการราเบิกโรงก่อนการแสดงเป็น
เรือ่ ง และเพือ่ ปอ้ งกันเสนียดจัญไรขบั ไล่ภตู ผีปศี าจ
ภาพที่ 13 ราประเลง
ทม่ี า: กรมศิลปากร (2542, น. 216)
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงได้รับเคร่ืองราชบรรณาการดอกไม้
เงิน – ดอกไม้ทองจากเมืองประเทศราชจึงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พวกละครหลวงดัดแปลงการรา
ประเลง มาเปน็ ราดอกไมเ้ งิน – ดอกไมท้ อง ผู้แสดงแต่งกายเป็นเทพบุตรท้ังคู่ และยังทรงพระราชนิพนธ์
บทร้องประกอบการฟอ้ นราอกี ด้วย
2 นายโรง คอื ผ้แู สดงท่เี ปน็ พระเอก
3 ถอื เพือ่ ไวป้ อ้ งกนั เสนียดจัญไร
ชุดที่ 1 รอบรู้ระบำมำตรฐำน 35
บทราดอกไมเ้ งนิ ทอง
-ปพ่ี าทย์ทาเพลงกลม-
-รอ้ งเชดิ ฉ่งิ -
เมือ่ นั้น ไทท้ ้าวเทพบตุ รบุรษุ สอง
สองมือถอื ดอกไม้เงินทอง ปอ้ งหน้าออกมาว่าจะรา
เบกิ โรงละครในให้ประหลาด มวี ลิ าสน่าชมคมขา
ทา่ ก็งามตามครูดูแมน่ ยา เปน็ แต่ทาอยา่ งใหมม่ ิใช่ฟ้อน
หางนกยูงอยา่ งเก่าเขาเล่นมาก ไม่เห็นหลากจืดตามาแตก่ อ่ น
คงแต่ทาไวใ้ หง้ ามตามละคร ทีแ่ ต่งตนก้นไมง่ อนตามโบราณ
ราไปใหเ้ ห็นเปน็ เกยี รติยศ ปรากฏทกุ ตาแหน่งแหลง่ สถาน
ว่าพวกฟอ้ นฝ่ายในใชร้ าชการ สาหรับพระภบู าลสาราญรมย์
ย่อมชว่ งใช้ดอกไมเ้ งินทอง ไม่เหมือนของเขาอน่ื ทต่ี ่ืนถม
ถงึ ผดิ อย่างไปใครจะไมช่ ม กค็ วรนยิ มวา่ เป็นมงคลเอย
(วิทยาลยั นาฏศิลป, เอกสารอัดสาเนา)
ภาพที่ 14 ราดอกไม้เงนิ -ดอกไมท้ อง
ท่มี า: https://www.isranews.org/images/2017/Thairefrom/06/DAY26_0024.jpg
ชดุ ท่ี 1 รอบรรู้ ะบำมำตรฐำน 36
ระบาดาวดงึ ส์
ระบาดาวดงึ ส์ จดั เป็นระบามาตรฐานอีกชดุ หน่ึงที่สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์
ได้ทรงนิพนธ์บทร้องเพ่ือใช้ประกอบการแสดงละครดึกดาบรรพ์ที่วังบ้านหม้อ โดยแทรกอยู่ในการแสดง
เรื่องสังขท์ อง ตอนตคี ลี ปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การแสดงระบาชุดน้ีท่ีมี
บทร้องที่พรรณนาถึงความงดงามของเทพบุตรเทพธิดา ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และทิพยสมบัติขององค์
อมั รนิ ทร์ มีทว่ งทานองจงั หวะเพลงชา้ เร็วตามลาดับท่ีสอดคล้องกบั ท่าราอยา่ งสวยงามลงตวั
ในส่วนของกระบวนท่ารามีการนาท่าราเลียนแบบมาจากท่าเต้นทุบอกในพิธีเจ้าเซ็นของผู้ที่
นบั ถอื ศาสนาอิสลามนกิ ายเจา้ เซ็นทผ่ี ้แู สดงยกมือประสานไขว้ไวท้ ่ีทรวงอกพรอ้ มทั้งขยับฝ่ามือข้ึนลงพร้อม
กบั การยา่ เทา้ ตามจังหวะ ซงึ่ ท่ารานเี้ จา้ ฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรีในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศ
หลา้ นภาลยั ในรชั กาลท่ี 2 ทรงประดิษฐ์ขนึ้ ไวต้ ามชื่อของทานองเพลงท่ีใช้ประกอบการแสดง นอกจากนี้
ผทู้ ป่ี รบั ปรุงกระบวนท่าราใหม้ ีความสวยงาม คือ หม่อมเข็ม กุญชร ซ่ึงปรับปรุงมาจากท่าราเจ้าเซ็นของ
เจ้าฟ้ากรมพิทักษ์มนตรี จงึ ทาใหก้ ารแสดงชดุ นนี้ ับเปน็ นาฏศิลป์ทม่ี คี วามสวยงามเป็นระเบียบแบบแผนอีก
ชุดหนงึ่
บทรอ้ งระบาดาวดงึ ส์
-ปีพ่ าทย์ทาเพลงเหาะ-
-ร้องตะเขิ่ง-
ดาวดึงส์เทวโลกมโหฬาร เป็นท่ีอยู่สาราญฤทยั หรรษ์
สารพัดงามจรงิ ทกุ ส่งิ อนั สารพนั อดุ มสมใจปอง
เทพบตุ รผดุ พรรณโฉมยง งามทรงอาภรณ์ไม่มหี มอง
นางอัปสรงอนสงวนนวลละออง งามทรงเครอื่ งทองแลเพชรนิล
-ร้องเจ้าเซ็น-
สมเด็จพระอมรนิ ทรป์ ่ินมงกุฎ ทรงวชิราวธุ ธนศู ลิ ป์
รกั ษาเทวสมี าเป็นอาจิณ อสุรินทร์อรไิ ม่บฑี า
อันอนิ ทรปราสาททัง้ สาม ทรงงามสูงเงื้อมกลางเวหา
ส่มี ุขหุม้ มาศสะอาดตา ใบระกาแกมแกว้ ประกอบกัน
ช่อฟ้าช้อยเฟอ้ื ยเฉอื่ ยชด บราลที ่ีลดมุขกระสนั
มขุ เด็ดทองดาดกนกพนั บุษบกสุวรรณชามพนู ุท
ราชยานเวชยนั ตรร์ ถแก้ว เพริศแพร้วกากงอลงกต
ชดุ ท่ี 1 รอบรู้ระบำมำตรฐำน 37
แอกงอนออ่ นสลวยชวยชด เครือขดชอ่ ต้งั บัลลงั กล์ อย
รายรปู สงิ หอ์ ัดหมัดยนั สบุ รรณจบั นาคห้ิวเศยี รห้อย
ดุมพราววาววับประดับพลอย แปรกแก้วกาบชอ้ ยสะบดั บัง
เทียมด้วยสนิ ธพเทพบตุ ร ท้ังส่ีบรสิ ทุ ธ์ิดงั่ สีสงั ข์
มาตลีอาจขข่ี ับประดงั ให้รีบรดุ สดุ กาลังดังลมพา
-ปพี่ าทยท์ าเพลงรัว-
(วิทยาลยั นาฏศิลป, เอกสารอัดสาเนา)
ภาพที่ 15 ระบาดาวดงึ ส์
ท่ีมา: https://1.bp.blogspot.com/.jpg
ชุดท่ี 1 รอบร้รู ะบำมำตรฐำน 38
ระบาพรหมาสตร์
ระบาพรหมาสตรห์ รอื ระบาหนา้ ชา้ ง เปน็ ระบามาตรฐานประกอบการแสดงโขนเร่ืองรามเกยี รติ์
ตอนศกึ พรหมาสตร์ เปน็ ศิลปะการรา่ ยราของเทวดานางฟา้ ที่ (ยกั ษแ์ ปลงกาย) ทมี่ ่งุ เนน้ กระบวนทา่ รา
เกย้ี วพาราสแี ละแสดงใหเ้ ห็นถึงความพรอ้ มเพรยี งของผแู้ สดง กรมศิลปากรจดั การแสดงคร้งั แรกในปี พ.ศ.
2476 ที่โรงโขนหลวงมสิ กวัน สนามเสือปา่ ต่อมาในปี พ.ศ. 2503 กรมศิลปากรได้จัดการแสดงขนึ้ อีกครงั้
และรักษารปู แบบเดมิ ไว้ ปรับปรุงบทโดย นายประพนั ธ์ สคุ นธชาติ โดยนาบทคอนเสริ ต์ ของสมเดจ็ พระ
เจา้ บรมวงศ์เธอ เจา้ ฟ้ากรมพระยานรศิ รานุวดั ติวงศม์ าจัดแสดง โดยแทรกบทเจรจาไวต้ อนทา้ ยของระบา
พรหมาสตร์
เน้ือเรื่องในตอนศึกพรหมาสตร์ กล่าวถึงอินทรชิตโอรสทศกัณฐ์ ทาสงครามติดพันกับพระ
ลกั ษณ์ อินทรชติ ได้ใช้กลยุทธลวง โดยตนไดแ้ ปลงกายเปน็ พระอินทร์ เจ้าแห่งสวรรค์ชั้นพรหมาสตร์ ให้กา
รุณราชแปลงกายเป็นช้างเอราวัณพาหนะทรง บรรดาพลยักษ์ให้แปลงกายเป็นเทพบุตร นางฟ้า ฟ้อนรา
นาหน้าขบวนช้างเอราวัณ ว่าเป็นขบวนเสด็จของพระอินทร์กาลังเสด็จผ่านมาทางอากาศ เพ่ือลวงพร ะ
ลักษณแ์ ละกองทัพวานร เม่ือกองทัพพระลักษณ์เพลิดเพลินกับการชมการฟ้อนรา อินทรชิตจึงลอบใช้ศร
พรหมาสตร์แผลงสังหารพระลักษณ์และทหารวานร และเหตุที่เรียกชุดระบาพรหมาสตร์ว่า “ระบาหน้า
ช้าง” คงเรียกตามลักษณะของระบาที่ราอยู่หน้าช้างเอราวัณของพระอินทร์แปลงราตามรูปขบวน
เกียรติยศเครื่องสูง ซึ่งในบทร้องได้บรรยายถึงลักษณะริ้วขบวนเกียรติยศเคร่ืองสูงของพระอินทร์ ท่ารา
ของระบาพรหมาสตร์ได้รับการสืบทอดมาจากปรมาจารย์และบรรจุไว้ในหลักสูตรการเรียนการสอนใน
วิทยาลยั นาฏศลิ ป
ชุดท่ี 1 รอบรรู้ ะบำมำตรฐำน 39
บทรอ้ งระบาพรหมาสตร์
-ปี่พาทยท์ าเพลงโคมเวียน-
-ร้องสรอ้ ยสน-
ตา่ งจบั ระบาราฟอ้ น ทอดกรกรีดกรายซ้ายขวา
ร่ายเรียงเคยี งคมประสมตา เล้ียวไลไ่ ขวค่ ว้าเป็นท่าทาง
ซ้อนจงั หวะประเท้าแคล่วคล่อง เลี้ยวลอดสอดคลอ้ งไปตามหว่าง
วนเวียนเหยี นหนั ก้นั กาง เปน็ คูค่ ู่อย่กู ลางอัมพร
-ป่ีพาทย์ทาเพลงเร็ว ลา-
(วทิ ยาลัยนาฏศิลป, เอกสารอัดสาเนา)
ภาพที่ 16 ระบาพรหมาสตรป์ ระกอบการแสดงโขนเร่ืองรามเกียรต์ิ ตอน ศกึ พรหมาสตร์
ท่ีมา: https://images.app.goo.gl/NadCjkASv21UhuiB8
ชุดที่ 1 รอบรรู้ ะบำมำตรฐำน 40
ระบายอ่ งหงดิ
ภาพท่ี 17 ระบายอ่ งหงดิ
ที่มา: กรมศิลปากร (2542, น. 166)
เป็นระบามาตรฐานชุดหนึ่งประกอบการแสดงละครเร่ืองอุณรุท ตอนศุภลักษณ์วาดรูป
สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศ์เธอ เจา้ ฟา้ กรมพระยานรศิ รานวุ ัดติวงศ์ ทรงปรับปรุงจากบทละครเร่ืองอุณรุท ใน
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ซึ่งทรงพระราชนิพนธ์ไว้เป็นบทจับระบาในตอนพระ
นารายณอ์ วตารเป็นพระบรมจักรกฤษณ์ มที ัง้ หมด 4 บท บทแรก 10 คา ใช้เพลงพระทอง บทสอง 10 คา
ใช้เพลงเบ้าหลุด บทสาม 8 คา ใช้เพลงนกจอก และบทสี่ 12 คา ใช้เพลงบหลิ่ม สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์
เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานรศิ รานวุ ดั ตวิ งศ์ทรงนาเพลงพระทองมาปรับใช้ ดังบทกลอน ดังน้ี
จึง่ จับระบาราถวาย พระทอง
กระหยบั ยา่ งนวยนาดเขา้ มา เยอ้ื งกรายร่ายคดิ ประดษิ ฐท์ ่า
แลว้ ชดั สองกรอ่อนชด ใกลฝ้ ูงนางฟา้ ยุพาพาล
เรียงรอคลอเคล้าเยาวมาลย์ ทาท่าพระรถโยนสาร
นางราพิสมัยเรียงหมอน ประโลมลานทอดสนทิ ตดิ พัน
เมยี งม่ายชายหนีเทวญั ทาทีคมคอ้ นแล้วผนิ ผัน
เทเวศรเคลา้ เขา้ ให้ใกล้ หันเวียนเปลีย่ นชา้ ยรา่ ยมา
ฉวยฉุดยุคกรกลยา เลีย้ วไลผ่ ลัดเปลยี่ นเวยี นขวา
เลียมลอดสอดคว้าไปในที
ชดุ ที่ 1 รอบรู้ระบำมำตรฐำน 41
นางสวรรคก์ ันกรป้อง บิดสะบัดเบีย่ งบา่ ยชายหนี
เทวบุตรราท่าม้าตีคลี เวียนไปตามท่ีอันดับกัน
ฯ 10 คา ฯ
(พระบาทสมเดจ็ พระพุทธยอดฟา้ จุฬาโลกมหาราช, 2510 : 12)
บทรอ้ งกลา่ วถงึ การจับระบาเก้ยี วพาราสขี องเทพบุตร เทพธิดา เดิมเรียกว่า “ระบาเทพบุตร
นางฟ้า” เช่นเดียวกับระบาสี่บท ระบาพรหมาสตร์ และระบาที่มีลักษณะเดียวกัน ภายหลังเรียกตามชื่อ
บทเพลงที่ใชข้ บั รอ้ งวา่ “ระบายหู่ งดิ ” และเรียกวา่ “ระบายอ่ งหงดิ ” ในระยะต่อมา
บทร้องในระบาย่องหงดิ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศ์เธอเจ้าฟ้า กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ได้
ทรงนามาประกอบการแสดงในละครเรอื่ งอุณรุท ตอนสมอุษา (ฉากนางศุภลักษณ์วาดรูปเทพบุตร) ได้จัด
แสดงแบบละครนอก ในงานโกนจกุ หมอ่ มหลวงวงศ์ กมลาศน์ (กญุ ชร) เมื่อราว พ.ศ. 2449 โดยมีพระราช
ประสงค์จะให้หม่อมเล็ก กุญชร ธิดาเจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์ ซ่ึงขณะนั้นมีอายุ 8 - 9 ขวบ ไว้ร่วม
แสดงเปน็ ตัวทศมขุ สว่ นผูแ้ สดงอน่ื ๆ นั้นเปน็ ผแู้ สดงจากคณะละครวงั บ้านหม้อของเจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์
วิวฒั น์
กระบวนท่าราระบาย่องหงิดเป็นการราเข้าคู่พระ – นาง เช่นเดียวกับการราฝรั่งคู่ มีการ
สันนิษฐานว่า ท่าราถูกประดิษฐ์ข้ึนโดยครูละครวังบ้านหม้อของเจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์ และได้รับ
การสืบทอดโดยบรมครู 2 ท่าน คือ นางศุภลักษณ์ ภัทรนาวิก (หม่อมครูต่วน) ครูละครวังบ้านหม้อ
และ นางลมุล ยมะคุปต์ ครูละครวังสวนกุหลาบ โดยทา่ นทง้ั สองเป็นผู้วางรากฐานการสอนนาฏศิลปไ์ ทย
บทรอ้ งระบายอ่ งหงดิ
-ปีพ่ าทย์ทาเพลงรวั -
-รอ้ งยอ่ งหงิด-
เมอ่ื น้นั ฝ่ายฝงู เทพไทถว้ นหน้า
ขยับย่างนวยนาฏเข้ามา ใกล้ฝูงนางฟ้ายพุ าพาล
แล้วซัดสองกรออ่ นชด ทาทา่ พระรถโยนสาร
เรียงรอคลอเคล้าเยาวมาลย์ ประโลมลานทอดสนิทไปในที
นางสวรรคก์ ันกรปอ้ งปัด บดิ สะบดั เบยี่ งบ่ายชายหนี
เทพบุตรราท่าม้าตีคลี ทว่ งทีเวยี นตามอนั ดับกัน
-ปพ่ี าทย์ทาเพลงตะเขิ่ง เจ้าเซน็ -
(วิทยาลยั นาฏศิลป, เอกสารอัดสาเนา)
ชดุ ที่ 1 รอบรู้ระบำมำตรฐำน 42
1.2 ระบามาตรฐานที่ปรบั ปรงุ ขึ้นใหม่
ระบามาตรฐานทปี่ รับปรุงข้นึ มาใหม่ เป็นระบาที่คดิ ประดษิ ฐ์ขน้ึ โดยยึดรูปแบบของการแสดง
ระบามาตรฐานรูปแบบเดิมเอาไว้ คือ เป็นการแสดงของเทวดา นางฟ้า แต่งกายยืนเครื่อง บรรเลง
ประกอบการแสดงด้วยเพลงหน้าพาทย์ สว่ นท่เี พ่มิ เตมิ เข้ามาอาจจะเพิม่ ตามวัตถุประสงค์ของการจัดแสดง
มีการปรับปรุงรูปแบบการแปรแถวหรือประดิษฐ์รูปแบบการแสดงต่าง ๆ ให้เกิดความเหมาะสมและ
สวยงาม ซ่ึงระบามาตรฐานท่ปี รบั ปรุงขึน้ มาใหมเ่ ปน็ ระบาทีน่ ามาเป็นส่วนหนึ่งในการแสดงประกอบละคร
มดี งั น้ี
ระบากฤดาภนิ หิ าร
ภาพที่ 18 ระบากฤดาภนิ หิ าร
ที่มา: ขวญั ฟา้ ภูแ่ พง่ สทุ ธ์ิ (2560)
ระบากฤดาภนิ หิ าร เป็นระบามาตรฐานที่สมมติตัวละครเป็นเทพบุตร นางฟ้า ประกอบการ
แสดงละครเร่ือง เกียรติศักด์ิไทย ซึ่งกรมศิลปากรได้นาออกแสดงเม่ือ พ.ศ. 2486 เป็นระบาในตอนท้าย
ของเรื่อง บทรอ้ งกล่าวถึงการจบั ระบาของเทพบตุ ร นางฟ้า สนุกสนานรื่นเริง และโปรยดอกไม้อวยชัยให้
พรแก่เมืองไทยด้วยความยนิ ดี เมือ่ ทราบถงึ กฤดาภนิ หิ ารของชาติไทย แต่งบทรอ้ งโดย สุดา บษุ ปฤกษ์
ชดุ ท่ี 1 รอบรู้ระบำมำตรฐำน 43
บทรอ้ งระบากฤดาภนิ หิ าร
-ปพ่ี าทย์ทาเพลงรวั ดึกดาบรรพ์-
-ร้องครวญหา-
ปราโมทยแ์ สน องคอ์ ัปสรอมรแมนแดนสวรรค์
ยนิ กฤดาภินิหารมหัศจรรย์ เกียรติไทยลน่ั ลอื เรอ่ื งเรืองรูจี
ตา่ งเต็มต้ืนชืน่ ชมโสมนัส โอษฐเ์ อือ้ นอรรถอวยพรสนุ ทรศรี
แจ้วจาเรยี งเสียงเพลงสดดุ ี ดนตรีรี่เรือ่ ยประโคมประโลมลาน
แล้วลีลาศเริงราระบารา่ ย กรกรดี กรายโปรยมาลศี รปี ระสาน
พรมน้าทพิ ย์ปรุงปนสคุ นธาร จักรวาลฉ่าชื่นร่ืนรมย์ครัน
-ปีพ่ าทยท์ าเพลงจีนรัว จนี ถอน-
(วิทยาลัยนาฏศิลป, เอกสารอดั สาเนา)
ระบานนั ทอุทยาน
ภาพที่ 19 ระบานนั ทอทุ ยาน
ทีม่ า: https://i.ytimg.com/vi/ePUb0avaFBw/hqdefault.jpg
ระบานันทอุทยาน เป็นระบามาตรฐานของเทวดา นางฟ้า ท่ีปรับปรุงข้ึนเพ่ือใช้แสดง
ประกอบในละครดกึ ดาบรรพ์เรือ่ ง กรงุ พาณชมทวปี ตอนกาเรบิ ฤทธิ์ บทพระนพิ นธ์ในสมเด็จพระบรมวงศ์
เธอเจ้าฟา้ กรมพระยานรศิ รานวุ ดั ติวงศ์ เคยจัดแสดงในตอนปลายรชั สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจา้ อย่หู วั รัชกาลที่ 5 ณ โรงละครดึกดาบรรพ์ (วังบา้ นหมอ้ ของเจา้ พระยาเทเวศร์วงศ์ววิ ฒั น์)
ชดุ ท่ี 1 รอบรรู้ ะบำมำตรฐำน 44
รูปแบบการแสดงแบบเดิม เทวดา - นางฟา้ ออกมาราประกอบเพลงหน้าพาทย์เพลงฉิ่งไม่มีบทร้อง ต่อมา
ใน พ.ศ. 2490 กรมศิลปากร ได้จัดแสดงละครดึกดาบรรพ์ให้ประชาชนชม ณ โรงละครศิลปากร ใน
บริเวณพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ (เม่ือถูกไฟไหม้ได้มีการสร้างโรงละครแห่งชาติขึ้นมาแทน) ในครั้งกรม
ศิลปากรได้นาบทพระนิพนธ์ ละครดึกดาบรรพ์เร่ือง กรุงพาณชมทวีป ตอนกาเริบฤทธิ์ มาจัดแสดงโดย
ป รั บ ป รุ ง ฉ า ก
ท่ี 2 ฉากนันทอุทยานโดยเพ่ิมบทร้องในช่วงแรกของฉากนันทอุทยาน ประกอบการแสดงในช่วงแรก
ซึง่ ประพนั ธ์โดย นายมนตรี ตราโมท เปน็ การร่ายราของเหล่าเทวดา - นางฟ้า ด้วยเพลงรวั ตามด้วยบทร้อง
เพลงชมตลาด เพลงตน้ วรเชษฐ์ เพลงเรว็ และเพลงลา เพ่ือสร้างบรรยากาศใหก้ ับท้องเร่ือง และสร้างความ
สมจริงให้กับละคร โดยมีหม่อมครูต่วน (ศุภลักษณ์ ภัทรนาวิก) คุณครูลมุล ยมะคุปต์ คุณครูมัลลี
คงประภสั ร์ เปน็ ผูป้ ระดษิ ฐท์ า่ รา
ระบานันทอุทยานบรรจุในหลักสูตรนาฏศิลป์ชั้นกลาง พุทธศักราช 2526 (ฉบับปรับปรุง
ปี 2534) ของวิทยาลยั นาฏศลิ ป ตอ่ มาคณุ ครูเฉลย ศขุ ะวณิช ผู้เช่ยี วชาญการสอนนาฏศิลป์ไทยในขณะน้ัน
ไดน้ าเพลงหน้าพาทยเ์ พลงเหาะเพิม่ ในเพลงออกในระบานนั ทอุทยานจึงประกอบด้วย เพลงเหาะ เพลงรัว
ร้องเพลงชมตลาด ตอ่ ดว้ ยเพลงตน้ วรเชษฐ์ และจบดว้ ยเพลงเร็ว – ลา
บทรอ้ งระบานทั อทุ ยาน
-ปพ่ี าทย์บรรเลงเพลงเหาะ-รวั -
-รอ้ งเพลงชมตลาด-
แดนเกษมเปรมใจใดจะทนั นันทวนั ของเราชาวแมนสรวง
สารพดั งามสะพรัง่ ไปทัง้ ปวง แลละลวงละลานพศิ ติดหทัย
มีสระแก้วแวววาววะวาววบั แลระยับรุ้งปล่งั รงั สีใส
อบุ ลบานตระการลา้ ผ่องอาไพ ชูไสวแขง่ ฉวีนิรมล
-เพลงตน้ วรเชษฐ์-
ทีแ่ ถวทางหวา่ งวถิ ีมณีลาด งามโอภาสผอ่ งแผว้ แนวสถล
พมุ่ ไม้ดอกออกอร่ามงามพงึ ยล ตา่ งต่างตน้ ตา่ งสลับสีสับกัน
มนี ้าพพุ ุ่งซา่ ธาราไหล แลวไิ ลวลิ าศลว้ นสวนสวรรค์
สาหรับองค์อัมรินทร์ปิน่ เทวัญ ซ่งึ รังสรรคส์ รา้ งสมอบรมมา
-เพลงเรว็ ลา-
(วิทยาลยั นาฏศิลป, เอกสารอัดสาเนา)
ชุดท่ี 1 รอบร้รู ะบำมำตรฐำน 45
ระบาเทพบนั เทงิ
ภาพที่ 20 ระบาเทพบนั เทิง
ท่มี า: กรมศิลปากร (2542, น. 136)
ระบาเทพบันเทิง ใช้ประกอบการแสดงละครในเร่ืองอิเหนา ตอนลมหอบ เป็นการฟ้อนรา
ถวายองคป์ ะตาระกาหลา กรมศิลปากรนาออกแสดงใหป้ ระชาชนชมเมื่อ พ.ศ. 2499 เพลงที่ใช้ในระบาชุด
นค้ี ือ เพลงแขกเชิญเจา้ กับเพลงยะวาเร็ว บทร้องประพนั ธโ์ ดยนายมนตรี ตราโมท
บทรอ้ งระบาเทพบนั เทงิ
-ปีพ่ าทยท์ าเพลงแขกเชญิ เจ้า-
-รอ้ งแขกเชิญเจ้า-
เหล่าข้าพระบาท ขอวโรกาสเทวฤทธ์อิ ดิศร
ขอฟ้อนกราย ราร่ายถวายกร
บาเรอปน่ิ อมร ปะตาระกาหลา
ผู้ทรงพระคณุ ยิ่งบุญบารมี
เพอ่ื เทวบดี สขุ สมรมยา
เถลงิ เทพพระสิมา พมิ านสาราญฤทัย
(สร้อย)
ชุดท่ี 1 รอบรรู้ ะบำมำตรฐำน 46
สุรศักด์ิประสทิ ธ์ิ สุรฤทธิก์ าจาย
ทรงสราญพระกาย ทรงสบายพระทัย
ตา่ งมาลีบูชา
ถวายอินทรยี ์ ต่างประทีปจารสั ไข
ถวายดวงตา ต่างธปู หอมจณุ จันทร์
ถอ้ ยคาอาไพ อญั ชลติ วรคุณ
ถวายดวงจิต ผองข้ามาแต่บรรพ์
ท่ที รงการุณย์ รองบาทจนบรรลยั
ถวายชีวนั
มาฟ้อนมาราใหร้ ่ืนเริงใจ (ซ้า)
(สรอ้ ย) เปลี่ยนสบั ทว่ งทีหนีไล่
-เพลงยะวาเรว็ - ได้จังหวะกนั
รว่ มกนั รอ้ งทานองลานา กรดี กรายออกมา
ใหพ้ รอ้ มใหเ้ พรยี งเรยี งระดับ ทาท่ากางกน้ั (ซ้า)
เวยี นไป ไม่บิดไม่ผัน (ซ้า)
อัปสรฟ้อนส่าย ปล้ืมเปรม (ซ้า) ปรดี า
ฝา่ ยฝูงเทวา (วทิ ยาลัยนาฏศิลป, เอกสารอดั สาเนา)
เขา้ ทอดสนทิ
ผกู พนั (ซ้า) สุดเกษม
ชดุ ที่ 1 รอบรู้ระบำมำตรฐำน 47
3.2 ระบาเบด็ เตล็ด
ระบาเบ็ดเตล็ด หมายถึง การแสดงท่ีแต่งกายตามจุดประสงค์และรูปแบบการแสดงน้ัน ๆ บาง
กรณีอาจจะแสดงเพ่ือประกอบการแสดงโขน - ละคร หรือการแสดงเฉพาะของท้องถิ่นต่าง ๆ ระบา
เบ็ดเตลด็ สามารถแบง่ ไดต้ ามประเภทของการแสดงได้ ดงั น้ี
1) ระบาเบ็ดเตล็ดเพอื่ ใช้ประกอบการแสดงโขน - ละคร
ระบาประเภทนี้ ได้มีการคิดประดิษฐ์ขึ้นประกอบการแสดงโขน - ละคร เพื่อทาให้
การแสดงเกิดความสมบูรณ์มากย่ิงขึ้น ซึ่งระบาเบ็ดเตล็ดอาจนาไปใช้ในการเปิดก่อนการดาเนินเร่ือง
แทรกอยู่ในระหว่างการดาเนินเรื่อง หรืออาจอยู่ในช่วงท้ายของเรื่อง อีกทั้งระบาบางชุดสามารถนาไป
แสดงเป็นชุดเอกเทศได้โดยมีเรื่องราวโขน-ละครประกอบ เชน่
ระบากวาง แทรกอย่ใู นการแสดงโขนเร่อื งรามเกยี รติ์ ตอนพระรามตามกวาง
ระบานพรตั น์ แทรกอยใู่ นการแสดงละครเรอ่ื งสุวรรณหงส์ ตอน สวุ รรณหงส์ชมถ้า
ระบาชมุ นุมเผา่ ไทย แสดงกอ่ นการดาเนินเรื่องของละครเร่ืองอานภุ าพแหง่ ความเสียสละ
ระบาพัธวิสยั แสดงในชว่ งทา้ ยของละครดึกดาบรรพ์เรอ่ื ง สังขท์ อง
ภาพที่ 1 ระบานพรตั น์
ทีม่ า : https://images.search.yahoo.com/search/images
ชดุ ท่ี 1 รอบร้รู ะบำมำตรฐำน 48
2) ระบาเบ็ดเตล็ดทป่ี รบั ปรุงจากวิถีชีวิต
การแสดงระบาเบ็ดเตล็ดที่ปรับปรุงมาจากวิถีชีวิต เป็นการนาแนวคิดในการ
ดารงชีวิตของคนแต่ละท้องถ่ิน เช่น การทาเกษตรกรรม วิถีชีวิต การทามาหากิน ตลอดจนการนา
วัฒนธรรม ประเพณี และความเชื่อต่าง ๆ ตามภูมิภาคของประเทศไทย ซ่ึงอาจใช้คาอื่นแทนคาว่า
“ระบา” เช่น คาวา่ ฟอ้ น เซงิ้ ในประเภทของการแสดงระบา เช่น
ระบาภาคเหนอื ได้แก่ ฟ้อนขนั ดอก, ระบาเกบ็ ใบชา, ฟอ้ นผาง
ภาพท่ี 2 ฟอ้ นผาง การแสดงทมี่ าจากความเชื่อพธิ กี รรมความเชือ่ เรอ่ื งการจดุ ผางเพอ่ื ใหแ้ สงสว่างในชวี ติ
หรอื บูชาองคพ์ ระสมั มาสัมพทุ ธเจา้ รวมท้งั เทพยดาประจาทิศต่าง ๆ
ท่ีมา: ขวัญฟา้ ภู่แพง่ สทุ ธิ์ (2560)
ชุดท่ี 1 รอบรรู้ ะบำมำตรฐำน 49
ระบาภาคกลาง ได้แก่ ระบาวชิ นี, ระบาแมซ่ อื้
ภาพที่ 3 ระบาแมซ่ ้อื กลา่ วถึงเทวดาหรือผีประจาวันเกดิ ทค่ี อยปกปักรกั ษาเดก็ ทารกซง่ึ เชอ่ื วา่ ทกุ คนตอ้ งมี
ผูแ้ สดงสวมศีรษะรูปสัตวต์ ามวนั
ที่มา: ขวญั ฟ้า ภแู่ พ่งสุทธ์ิ (2559)
ระบาภาคอีสาน ได้แก่ ฟ้อนศรโี คตรบูรณ์, เซิ้งกะโป๋ (เซงิ้ กะลา), ฟ้อนภูไทสามเผ่า
ภาพที่ 4 การแต่งกายการแสดงชดุ ฟ้อนภูไทสามเผ่า
ทม่ี า: ขวัญฟา้ ภแู่ พง่ สุทธ์ิ (2559)