แผนการจัดการเรียนรู้ รายวิชา ชีววิทยาพื้นฐาน รหัสวิชา ว30141 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จัดท าโดย นางสาวจุฬางพัฒน์ อุทโท ต าแหน่ง ครูช านาญการพิเศษ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนหนองบัวระเหววิทยาคาร อ าเภอหนองบัวระเหว จังหวัดชัยภูมิ ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาชัยภูมิ
บันทึกข้อความ ส่วนราชการ โรงเรียนหนองบัวระเหววิทยาคาร อ าเภอหนองบัวระเหว จังหวัดชัยภูมิ ที่ .............../2566 วันที่ 17 พฤษภาคม 2566 เรื่อง ขออนุมัติใช้แผนการจัดการเรียนรู้ เรียน ผู้อ านวยการโรงเรียนหนองบัวระเหววิทยาคาร ตามที่ข้าพเจ้านางสาวจุฬางพัฒน์ อุทโท ต าแหน่ง ครู วิทยฐานะครูช านาญการพิเศษ กลุ่มสาระการ เรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติงานสอนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 รายวิชา เพิ่มเติม วิชาชีววิทยาพื้นฐาน รหัสวิชา ว30141 จ านวน 1.5 หน่วยกิต ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ข้าพเจ้าจึงได้วิเคราะห์ สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด ค าอธิบายรายวิชา โครงสร้างรายวิชา เพื่อจัดท าแผนการจัดการเรียนรู้ ซึ่งสอดคล้องกับหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนหนองบัวระเหววิทยาคาร ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560) ดังนั้นจึงขออนุมัติใช้ แผนการจัดการเรียนรู้ดังกล่าว เพื่อใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และเพื่อ พัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้บรรลุเป้าหมายของหลักสูตรฯต่อไป จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณาอนุมัติ ลงชื่อ................................................................ ( นางสาวจุฬางพัฒน์ อุทโท ) ต าแหน่งครู คศ.3 ความเห็นของหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ................................................................................ ................................................................................ ลงชื่อ..................................................... (นายอ านาจ หาญรบ) ครู คศ. 3 ความเห็นของหัวหน้ากลุ่มบริหารวิชาการ .................................................................................... .................................................................................... ลงชื่อ..................................................... ( นางนิยา ชาลี ) ครู คศ.3 ความเห็นของผู้อ านวยการโรงเรียนหนองบัวระเหววิทยาคาร ............................................................................................................................. ............................................ ........................................................................................................................................................................ . ลงชื่อ....................................................... (นายวานิส เพียนอก) ผู้อ านวยการโรงเรียนหนองบัวระเหววิทยาคาร
ค าน า แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาชีววิทยาพื้นฐาน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เล่มนี้จัดท าขึ้นเพื่อใช้เป็น แผนการสอนประกอบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวิชาชีววิทยา ทั้งนี้เพื่อให้บรรลุผลการเรียนรู้ตามสาระ หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ โรงเรียนหนองบัวระเหววิทยาคาร ตามหลักสูตรการศึกษา ขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ซึ่งประกอบด้วย 3 หน่วยการเรียนรู้ ได้แก่ การศึกษาชีววิทยา เคมีที่เป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต เซลล์และการท างานของเซลล์ รวม 60 ชั่วโมง ทั้งนี้ได้ปรับ ให้สอดคล้องกับสภาพที่แท้จริง และยืดหยุ่นเวลาตามความเหมาะสม ข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่า แผนการจัดการเรียนรู้เล่มนี้จะมีประโยชน์ต่อครูผู้สอนและผู้ที่ต้องการ ศึกษาเพื่อใช้ในการเตรียมการจัดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดเวลาในการเตรียมการ การจัดการเรียนรู้ของครู และช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ตามผลการเรียนรู้อย่างมีคุณภาพมากขึ้น อนึ่งแผนการจัดการเรียนรู้เล่มนี้ยังมีข้อผิดพลาด บกพร่องหลายประการ หากมีข้อเสนอแนะประการ ใดข้าพเจ้ายินดีที่จะพิจารณาเสมอ และปรับปรุงให้ดีขึ้นในโอกาสต่อไป จุฬางพัฒน์ อุทโท
การวิเคราะห์หลักสูตร วิเคราะห์ผลการเรียนรู้ รายวิชา ชีววิทยาพื้นฐาน รหัสวิชา ว30141 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ผลการเรียนรู้ ความรู้/สาระการเรียนรู้ (K) ทักษะกระบวนการ ตัวบ่งชี้พฤติกรรม (P) คุณลักษณะอัน พึงประสงค์ (A) สมรรถนะที่ส าคัญ (C) 1 สมบัติที่ส าคัญของสิ่งมีชีวิต และความสัมพันธ์ของการ จัดระบบในสิ่งมีชีวิตที่ท าให้ สิ่งมีชีวิตด ารงชีวิตอยู่ได้ การสังเกต ความใฝ่รู้ การคิดวิเคราะห์ 2 ปัญหา ความสัมพันธ์ระหว่าง ปัญหา สมมติฐาน และวิธีการ ตรวจสอบสมมติฐาน รวมทั้ง ออกแบบการทดลองเพื่อ ตรวจสอบสมมติฐาน การทดลอง มุ่งมั่นในการ ท างาน การแก้ปัญหา 3 สมบัติของน้ าที่มีต่อสิ่งมีชีวิต และธาตุต่าง ๆ ที่มีความส าคัญ ต่อร่างกายสิ่งมีชีวิต การส ารวจค้นหา มุ่งมั่นในการ ท างาน การใช้เทคโนโลยี การสื่อสาร 4 โครงสร้างของคาร์โบไฮเดรต ระบุกลุ่มคาร์โบไฮเดรต รวมทั้ง ความส าคัญของคาร์โบไฮเดรตที่ มีต่อสิ่งมีชีวิต การส ารวจค้นหา มุ่งมั่นในการ ท างาน การใช้เทคโนโลยี การสื่อสาร 5 โครงสร้างของโปรตีน และ ความส าคัญของโปรตีนที่มีต่อ สิ่งมีชีวิต การส ารวจค้นหา มุ่งมั่นในการ ท างาน การใช้เทคโนโลยี การสื่อสาร 6 โครงสร้างของลิพิด และ ความส าคัญของลิพิดที่มีต่อ สิ่งมีชีวิต การส ารวจค้นหา มุ่งมั่นในการ ท างาน การใช้เทคโนโลยี การสื่อสาร
ผลการเรียนรู้ ความรู้/สาระการเรียนรู้ (K) ทักษะกระบวนการ ตัวบ่งชี้พฤติกรรม (P) คุณลักษณะอัน พึงประสงค์ (A) สมรรถนะที่ส าคัญ (C) 7 โครงสร้างของกรดนิวคลีอิค และระบุชนิดของกรดนิวคลีอิก และความส าคัญของกรด นิวคลีอิกที่มีต่อสิ่งมีชีวิต การส ารวจค้นหา มุ่งมั่นในการ ท างาน การใช้เทคโนโลยี การสื่อสาร 8 ปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้นในสิ่งมีชีวิต การจ าแนก ใฝ่เรียนรู้ การคิดวิเคราะห์ 9 การท างานของเอนไซม์ในการ เร่งปฏิยาเคมีในสิ่งมีชีวิต และ ระบุปัจจัยที่มีผลต่อการท างาน ของเอนไซม์ การวิเคราะห์ ใฝ่เรียนรู้ การคิดวิเคราะห์ 10 การเตรียมตัวอย่างสิ่งมีชีวิตเพื่อ ศึกษาภายใต้กล้องจุลทรรศน์ใช้ แสง วัดขนาดโดยประมาณและ วาดภาพที่ปรากฏภายใต้กล้อง บอกวิธีใช้ และการดูแลรักษา กล้องจุลทรรศน์ใช้แสงที่ถูกต้อง การทดลอง มุ่งมั่นในการ ท างาน การใช้เทคโนโลยี 11 โครงสร้างและหน้าที่ของส่วนที่ ห่อหุ้มเซลล์ของเซลล์พืชและ เซลล์สัตว์ การส ารวจค้นหา มุ่งมั่นในการ ท างาน การใช้เทคโนโลยี 12 ชนิดและหน้าที่ของออร์แกเนลล์ การส ารวจค้นหา มุ่งมั่นในการ ท างาน การใช้เทคโนโลยี 13 โครงสร้างและหน้าที่ของ นิวเคลียส การส ารวจค้นหา มุ่งมั่นในการ ท างาน การใช้เทคโนโลยี
ผลการเรียนรู้ ความรู้/สาระการเรียนรู้ (K) ทักษะกระบวนการ ตัวบ่งชี้พฤติกรรม (P) คุณลักษณะอัน พึงประสงค์ (A) สมรรถนะที่ส าคัญ (C) 14 การแพร่ การออสโมซิส การ แพร่แบบฟาซิลิเทต และแอก ทีฟทรานสปอร์ต การเปรียบเทียบ ใฝ่เรียนรู้ การคิดวิเคราะห์ 15 การล าเลียงสารโมเลกุลใหญ่ ออกจากเซลล์ด้วยกระบวนการ เอกโซไซโทซิส และการล าเลียง สารโมเลกุลใหญ่เข้าสู่เซลล์ด้วย กระบวนการเอนโดไซโทซิส การเปรียบเทียบ ใฝ่เรียนรู้ การคิดวิเคราะห์ 16 การแบ่งนิวเคลียสแบบไมโทซิส และแบบไมโอซิสจากตัวอย่าง ภายใต้กล้องจุลทรรศน์ พร้อม ทั้งอธิบายและเปรียบเทียบการ แบ่งนิวเคลียสแบบไมโทซิสและ แบบไมโอซิส การสังเกต การวิเคราะห์ ใฝ่เรียนรู้ การคิดวิเคราะห์ 17 การหายใจระดับเซลล์ในภาวะที่ มีออกซิเจนเพียงพอ และภาวะ ที่มีออกซิเจนไม่เพียงพอ การวิเคราะห์ การลงข้อสรุป ใฝ่เรียนรู้ การคิดวิเคราะห์
ค าอธิบายรายวิชาเพิ่มเติม วิชาชีววิทยาพื้นฐาน รหัสวิชา ว30141 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เวลา 60 ชั่วโมง จ านวน 1.5 หน่วยกิต ................................................................................................................................................................... ศึกษาเกี่ยวกับธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต ลักษณะเฉพาะของสิ่งมีชีวิต แขนงวิชาที่เกี่ยวข้องกับชีววิทยา และการใช้ความรู้ทางชีววิทยาที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม ชีววิทยากับการด ารงชีวิตของสิ่งมีชีวิต ความตระหนักในเรื่องของชีวจริยธรรม การศึกษาชีววิทยาโดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ รวมทั้งการศึกษา วิธีการท างานของนักวิทยาศาสตร์ และการน าความรู้เกี่ยวกับชีววิทยา มาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจ าวัน การท า กิจกรรมสะเต็มศึกษา โดยใช้กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรมเพื่อแก้ปัญหาในชีวิตจริง ศึกษาเคมีที่เป็น พื้นฐานของสิ่งมีชีวิต โครงสร้างและหน้าที่ของสารต่างๆ ที่เป็นองค์ประกอบในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต และปฏิกิริยา เคมีในเซลล์ของสิ่งมีชีวิต ศึกษาส่วนประกอบของกล้องจุลทรรศน์ใช้แสง หลักการท างาน วิธีการใช้ รวมทั้งการ ดูแลและเก็บรักษา ศึกษาโครงสร้างและหน้าที่ของส่วนที่ห่อหุ้มเซลล์ ไซโทรพลาสซึมและนิวเคลียส การ ล าเลียงสารเข้าและออกจากเซลล์ การหายใจระดับเซลล์ซึ่งเป็นกระบวนการที่เซลล์สร้างพลังงานจากการสลาย สารอาหาร ส าหรับน าไปใช้ในกิจกรรมต่างๆ ของเซลล์และการแบ่งเซลล์ โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสืบเสาะหาความรู้ การสืบค้นข้อมูล การสังเกต การวิเคราะห์ เปรียบเทียบ อธิบาย อภิปราย และ สรุป เพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ มีความสามารถในการตัดสินใจ มีทักษะปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ รวมทั้งทักษะแห่งศตวรรษที่21 ในด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ด้านการคิดและการแก้ปัญหา ด้านการ สื่อสาร สามารถสื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และน าความรู้ไปใช้ในชีวิตของตนเอง มีจิตวิทยาศาสตร์ จริยธรรม คุณธรรม และค่านิยมตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและงานสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน
ผลการเรียนรู้รายวิชาชีววิทยาพื้นฐาน รหัส ว 30141 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่1 โรงเรียนหนองบัวระเหววิทยาคาร 1. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และสรุปสมบัติที่ส าคัญของสิ่งมีชีวิตและความสัมพันธ์ของการจัดระบบใน สิ่งมีชีวิตที่ท าให้สิ่งมีชีวิตด ารงชีวิตอยู่ได้ 2. อภิปรายและบอกความส าคัญของการระบุปัญหา ความสัมพันธ์ระหว่างปัญหา สมมติฐาน และ วิธีการตรวจสอบสมมติฐาน รวมทั้งออกแบบการทดลองเพื่อตรวจสอบสมมติฐาน 3. สืบค้นข้อมูลอธิบายเกี่ยวกับสมบัติของน้ าและบอกความส าคัญของน้ าที่มีต่อสิ่งมีชีวิต และ ยกตัวอย่างธาตุชนิดต่างๆ ที่มีความส าคัญต่อร่างกายสิ่งมีชีวิต 4. สืบค้นข้อมูล อธิบายโครงสร้างของคาร์โบไฮเดรต ระบุกลุ่มของคาร์โบไฮเดรต รวมทั้งความส าคัญ ของคาร์โบไฮเดรตที่มีต่อสิ่งมีชีวิต ถ. สืบค้นข้อมูล และอธิบายโครงสร้างของโปรตีน และความส าคัญของโปรตีนที่มีต่อสิ่งมีชีวิต ๖. สืบค้นข้อมูล และอธิบายโครงสร้างของลิพิด และความส าคัญของลิพิดที่มีต่อสิ่งมีชีวิต ๗. อธิบายโครงสร้างของกรดนิวคลิอิก และระบุชนิดของกรดนิวคลิอิก และความส าคัญของกรด นิวคลิอิกที่มีต่อสิ่งมีชีวิต ๘. สืบค้นข้อมูล และอธิบายปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้นในสิ่งมีชีวิต ๙. อธิบายการท างานของเอนไซม์ในการเร่งปฏิกิริยาเคมีในสิ่งมีชีวิตและระบุปัจจัยที่มีผลต่อการ ท างานของเอนไซม์ ๑o. บอกวิธีการและเตรียมตัวอย่างสิ่งมีชีวิต เพื่อศึกษาภายใต้กล้องจุลทรรศน์ใช้แสง วัดขนาด โดยประมาณ และวาดภาพที่ปรากฎภายใต้กล้อง บอวิธีการใช้ และการดูแลรักษากล้องจุลทรรศน์ใช้แสงที่ถูก ถูกต้อง ๑๑. อธิบายโครงสร้างและหน้าที่ของส่วนที่ห่อหุ้มเซลล์ของเซลล์พืชและเซลล์สัตว์ ๑๒. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และระบุชนิดและหน้าที่ของออร์แกเนลล์ ๑๓. อธิบายโครงสร้างและหน้าที่ของนิวเคลียส ๑๔. อธิบายและเปรียบเทียบการแพร่ออสโมซีส การแพร่แบบฟาซิลิเทต และแอกทีฟทรานสปอร์ต ๑๕. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และเขียนแผนภาพการล าเลียงสารโมเลกุลใหญ่ออกจากเซลล์ด้วย กระบวนการเอกโซไซโทซีสและการล าเลียงสารโมเลกุลใหญ่เข้าสู่เซลล์ด้วยกระบวนการเอนโดไซโทซีส ๑๖. สังเกตการแบ่งนิวเคลียสแบบไมโทซีสและแบบไมโอซีสจากตัวอย่างภายใต้กล้องจุลทรรศน์ พร้อมทั้งอธิบายและเปรียบเทียบการแบ่งนิวเคลียสแบบไมโทซีสและแบบไมโอซีส ๑๗. อธิบาย เปรียบเทียบ และสรุปขั้นตอนการหายใจระดับเซลล์ในภาวะที่มีออกซิเจนเพียงพอ และ ภาวะที่มีออกซิเจนไม่เพียงพอ รวม 17 ผลการเรียนรู้
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต รายวิชา ชีววิทยาพื้นฐาน รหัสวิชา ว 30141 เวลา 3 ชั่วโมง หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 ชื่อหน่วยการเรียนรู้/บท การศึกษาชีววิทยา รวม 9 ชั่วโมง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่4 ภาคเรียนที่1 บูรณาการ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง อาเซียน STEM PLC สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน มาตรฐานสากล ข้ามกลุ่มสาระ 1. ผลการเรียนรู้ อธิบาย และสรุปสมบัติที่ส าคัญของสิ่งมีชีวิต และความสัมพันธ์ของการจัดระบบในสิ่งมีชีวิต ที่ท าให้สิ่งมีชีวิตด ารงชีวิตอยู่ได้ 2. สาระส าคัญ/ความคิดรวบยอด สิ่งมีชีวิตทุกชนิดต้องการสารอาหารและพลังงาน มีการเจริญเติบโต มีการตอบสนองต่อสิ่งเร้า มีการรักษา ดุลยภาพของร่างกาย มีการสืบพันธุ์ มีการปรับตัวทางวิวัฒนาการ และมีการท างาน ร่วมกันขององค์ประกอบ ต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ สิ่งเหล่านี้จัดเป็นสมบัติที่ส าคัญของสิ่งมีชีวิต 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1) ด้านความรู้ (K) สามารถอธิบายความสัมพันธ์ในการจัดระบบในสิ่งมีชีวิตที่ท าให้สิ่งมีชีวิตด ารงอยู่ได้ 2) ด้านกระบวนการ (P) สามารถสรุปความรู้เกี่ยวกับการจัดระบบในการด ารงอยู่ของสิ่งมีชีวิตได้ 3) ด้านเจตคติ (A) มีความมุ่งมั่นในการท างานกลุ่ม 4. บูรณาการ บูรณาการด้านอาเซียน : ใช้ค าศัพท์ภาษาอังกฤษในการสอน บูรณาการด้าน PLC : การแลกเปลี่ยนความคิดและการท างานเป็นกลุ่ม 5. สาระการเรียนรู้ “ชีววิทยา” แปลมาจากค าศัพท์ในภาษาอังกฤษ “Biology” ซึ่งมาจากรากศัพท์ภาษาละติน 2 ค า ได้แก่bios ที่แปลว่า ชีวิต (life) logos ที่แปลว่า การศึกษา (the study of…) ดังนั้น “ชีววิทยา” หรือ “Biology” จึงหมายถึง ศาสตร์ ความรู้ และการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิต ในบทแรกของชีววิทยานี้เราจึงต้องมาท าความเข้าใจกันก่อนว่า สิ่งมีชีวิตคืออะไร และมีคุณสมบัติอย่างไร แขนงวิชาต่างๆในสาขาชีววิทยา แบ่งได้ 2 กลุ่ม 1.กลุ่มวิชาที่ศึกษาสิ่งมีชีวิตแต่ละกลุ่มสิ่งมีชีวิต 1.1 สัตววิทยา (zoology) 1.2 พฤกษศาสตร์ (Botany) 1.3 จุลชีววิทยา (Microbiology) 1.4 กีฏวิทยา (Entomology) 1.5. ปักษีวิทยา (Ornithology)
1.6 เห็ดวิทยา, ราวิทยาหรือ กิณวิทยา (Mycology) 1.7 มีนวิทยา (Ichthyology) 1.8.วิทยา (Malacology) 1.9 ปรสิตวิทยา (Parasitology) 2. กลุ่มวิชาที่ศึกษาจากโครงสร้างหน้าที่และการท างานของสิ่งมีชีวิต 2.1 กายวิภาคศาสตร์(Anatomy) 2.2 สัณฐานวิทยา (Morphology) 2.3 สรีรวิทยา (Physiology) 2.4 อณูชีววิทยา (Molecular biology) 2.5 พันธุศาสตร์ (Genetics) 2.6 นิเวศวิทยา (Ecology) 2.7 คัพภวิทยา หรือ วิทยาเอ็มบริโอ (Embryology) 2.8 ชีววิทยาของเซลล์(cell biology) หรือ วิทยาเซลล์(cytology) 2.9 มหพยาธิวิทยา (Gross pathology) ชีววิทยากับการด ารงชีวิต มนุษย์อาศัยปัจจัยสี่เพื่อการด ารงชีวิตไม่ว่าจะเป็นอาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่มและยารักษาโรค ซึ่งปัจจัยสี่เหล่านี้ล้วนมีความเกี่ยวข้องกับชีววิทยาทั้งสิ้น ในปัจจุบันนี้พบว่าความรู้ด้านชีววิทยาได้รับการ พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ส่วนใหญ่เพื่อตอบสนองต่อการด ารงชีวิตของมนุษย์เช่น การเพิ่มผลผลิตทางด้าน อาหาร และการดูแลสุขภาพและการป้องกันโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ตลอดจนอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ตัวอย่างประโยชน์ของชีววิทยา เกี่ยวข้องทางด้านการแพทย์ ทางด้านการเกษตร ทางด้าน เทคโนโลยีชีวภาพ ทางด้านการเพิ่มผลิตผลทางด้านอาหาร และทางด้านสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ปัจจุบันนักชีววิทยาถือว่า สิ่งมีชีวิตจะต้องมีคุณสมบัติร่วมกันต่อไปนี้ 7 ประการ ได้แก่ 1. การจัดระเบียบ สิ่งมีชีวิตจะต้องมีการจัดระเบียบ โดยเริ่มจากหน่วยย่อยพื้นที่ฐานที่สุด คือเซลล์ (cell) เซลล์ เพียงหนึ่งเซลล์ก็สามารถท าหน้าที่เป็นสิ่งมีชีวิตได้ แต่ในสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อนกว่านั้น เซลล์ที่หน้าตาเหมือน ร่วมกันท าหน้าอย่างเดียวกันจะเรียกว่า “เนื้อเยื่อ” (tissue) เนื้อเยื่อหลาย ๆ ชนิดจะรวมตัวกัน เพื่อสร้างเป็น “อวัยวะ” (organ) อวัยวะหลาย ๆ ชิ้นส่วนที่ท างานประสานกันเพื่อตอบสนองความต้องการพื้นฐานของ สิ่งมีชีวิต เรียกว่า “ระบบอวัยวะ” (organ system) ซึ่งในสิ่งมีชีวิตขั้นสูงจะประกอบไปด้วย ระบบอวัยวะ หลายๆ ระบบท างานร่วมกัน ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันที่มาอาศัยอยู่ร่วมกันในสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง จะเรียกว่า “ประชากร” (population) ประชากรของสิ่งมีชีวิตหลาย ๆ ชนิดอยู่ร่วมกันเป็น “ชุมชน” (community) เมื่อนับรวมสิ่งแวดล้อมที่ชุมชนนั้น ๆ อาศัยอยู่ด้วย เราจะเรียกว่า “ระบบนิเวศ” (ecosystem) ระบบนิเวศที่มี ลักษณะคล้าย ๆ กันตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกันของโลกจะเรียกว่า “ชีวนิเวศ” (biome) และชีวนิเวศทั้งหมด บนโลกจะประกอบขึ้นเป็น “ชีวภาค” หรือ “ชีวมณฑล” (biosphere) ซึ่งหมายถึงบริเวณใดๆ บนโลกที่มี สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่
2. การสืบพันธุ์ ความสามารถในการสืบพันธุ์แสดงถึงความสามารถในการด ารงเผ่าพันธุ์ของตนให้คงอยู่ต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศหรืออาศัยเพศ 3. การเจริญเติบโต การเจริญ (development) หมายถึงการเปลี่ยนแปลงรูปร่างและหน้าที่ของเซลล์เพื่อไปท า หน้าที่จ าเพาะอย่าง เพื่อสร้างส่วนต่าง ๆ ของร่างกายขึ้น ส่วนการเติบโต (growth) หมายถึงการเพิ่มจ านวน เซลล์และเพิ่มขนาดของเซลล์ เพื่อเพิ่มขนาดของร่างกาย 4. เมตาบอลิซึม (metabolism) เมตาบอลิซึมหมายถึงกระบวนการทางเคมีทั้งหมดที่เกิดขึ้นในสิ่งมีชีวิต กระบวนการทางเคมี ดังกล่าวต้องใช้สารเคมีที่จ าเป็น และพลังงานในรูปแบบที่เหมาะสมเป็นตัวขับเคลื่อน ดังนั้นสิ่งมีชีวิตจึงเป็น ระบบเปิดที่ต้องการพลังงาน 5. การตอบสนองต่อสิ่งเร้า สิ่งมีชีวิตต้องสามารถรับรู้สิ่งเร้าต่าง ๆ จากภายนอก และตอบสนองต่อสิ่งเร้านั้น ๆ ได้อย่าง เหมาะสม เพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ 6. การรักษาดุลยภาพ สิ่งมีชีวิตต้องมีความสามารถในการรักษาสภาพแวดล้อมภายในร่างกายให้เหมาะสมต่อการ ด ารงชีวิต ไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิ ความเป็นกรด-ด่าง ความเข้มข้นของสารต่าง ๆ และจะต้องมีวิธีการในการ ควบคุมสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ให้คงที่ 7. วิวัฒนาการ วิวัฒนาการบ่งบอกถึงความสามารถในการปรับตัวของสิ่งมีชีวิตต่อปัจจัยในการด ารงชีวิต ต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป วิวัฒนาการถือเป็นแกนหลักของชีววิทยาที่เชื่อมโยงองค์ความรู้ต่าง ๆ ของชีววิทยา เข้าด้วยกันให้มีความหมาย 6. กิจกรรมการเรียนรู้ 6.1 ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
1. ครูน านักเรียนเข้าสู่บทเรียน โดยอภิปรายร่วมกับนักเรียนว่าระบบของสิ่งมีชีวิต ว่ามีลักษณะ ใดบ้าง (แนวค าตอบ : สิ่งมีชีวิตจะต้องมีคุณสมบัติส าคัญทั้ง 7 ลักษณะ คือ สามารถสืบพันธุ์ได้, เกิดกระบวนการ เคมีในร่างกาย, การเกิดวิวัฒนาการ, สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้, มีการตอบสนองต่อสิ่งเร้า, มีการ รักษาสมดุลของร่างกาย และมีการเจริญเติบโต) 6.2 ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration) 1. ครูมีการจัดการเรียนการสอนในห้องเรียนเป็นแบบ jigsaw โดยมีการจัดเนื้อหาในแต่ละหัวข้อ ในเรื่องระบบของสิ่งมีชีวิต แยกเป็นฐาน ซึ่งแต่ละฐาน ได้แก่ 1.1 การสืบพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต 1.2 การเกิดกระบวนการทางเคมีในสิ่งมีชีวิต 1.3 การปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม 1.4 การตอบสนองต่อสิ่งเร้าของสิ่งมีชีวิต 1.5 การรักษาสมดุลของร่างกาย 1.6 การเจริญเติบโต 1.7 วิวัฒนาการ 1.8 กลุ่มวิชาที่ศึกษาสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด 1.9 กลุ่มวิชาที่ศึกษาจากโครงสร้างหน้าที่และการท างานของสิ่งมีชีวิต ซึ่งแต่ละฐาน ครูจะให้แต่ละกลุ่มส่งตัวแทนน าเสนอ กลุ่มละ 1-2 คน โดยการน าเสนอ คือ ครูจะ ให้นักเรียนศึกษาเกี่ยวกับเนื้อหาที่ตนเองได้ และน ามาสรุปในรูปของ โฟร์ชาร์ต และให้สมาชิกคนอื่นในกลุ่มที่เหลือ เวียนการศึกษาหาความรู้ในฐานนั้น ๆ เป็นเวลาฐานละ 5-7 นาที และให้นักเรียนบันทึกองค์ความรู้ในแต่ละฐาน ลงในสมุด 6.3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) 1. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับความรู้ที่ในแต่ละฐาน และอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับ แขนงวิชานอกเหนือจากวิชาที่น ามาให้ศึกษาแล้วนั้น ยังมีสาชาวิชาอื่น ๆ ที่สามารถเชื่อมโยงเข้ากับวิชาทางสาขา ชีววิทยาอีกหลากหลายแขนง รวมทั้งประโยชน์ของชีววิทยามีความเกี่ยวข้องกับการด ารงชีวิตเป็นอย่างมาก ดังนี้ 1. สิ่งมีชีวิตมีการสืบพันธุ์(Reproduction) การสืบพันธุ์เป็นกระบวนการเพิ่มจ านวน ของสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันเพื่อด ารงรักษาเผ่าพันธุ์ไว้แบ่งเป็น การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ (Sexual Reproduction) การสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ (Asexual Reproduction) เช่น การเพิ่มจ านวนจาก 1 เป็น 2 ของ อะมีบา การแตกหน่อของยีสต์ การงอกใหม่ของดาวทะเล เป็นต้น 2. สิ่งมีชีวิตต้องการสารอาหารและพลังงาน - สิ่งมีชีวิตที่สามารถสังเคราะห์ด้วยแสงได้เรียกว่า ผู้ผลิต (Producer) เช่น พืช - สิ่งมีชีวิตอื่นที่ไม่สามารถสังเคราะห์ด้วยแสงได้ เรียกว่า ผู้บริโภค(Consumer) 3. สิ่งมีชีวิตมีการเจริญเติบโต (Development) มีอายุขัย (Life span) และขนาดจ ากัด - การเติบโต (Growth) คือ การเพิ่มขนาดเซลล์และเพิ่มจ านวนเซลล์อย่างใด อย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างรวมกัน 4. สิ่งมีชีวิตมีการตอบสนอง (Response) ต่อสิ่งเร้า (Stimulus)
- สิ่งเร้า คือ สิ่งที่มากระทบร่างกายหรือจิตใจจนท าให้เกิดการเปลี่ยนแปลง พฤติกรรม แบ่งสิ่งเร้าออกเป็น 2 แบบ คือ สิ่งเร้าภายนอก เช่น สภาพภูมิอากาศ อุณหภูมิ แสงแดด เป็นต้น และ สิ่งเร้าภายใน เช่น ฮอร์โมน เป็นต้น 5. สิ่งมีชีวิตมีการรักษาดุลยภาพของร่างกาย (Homeostasis) การรักษาดุลยภาพของ ร่างกาย หมายถึง การปรับสภาพแวดล้อมภายในร่างกายให้เหมาะสมต่อการด ารงชีวิต ท าให้เซลล์ภายในร่างกาย อยู่ได้ ในสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว เช่น Amoeba, Paramesium มีคอนแทร็กไทล์แวคิวโอล (Contractile vacuole) ท าหน้าที่ในการรักษาดุลยภาพของน้ าภายในเซลล์ ในสิ่งมีชีวิตอื่นก็มีการรักษาดุลยภาพเช่นกัน เช่น การขับปัสสาวะบ่อย ๆ การที่เหงื่อไหล ออกมา เป็นต้น 6. สิ่งมีชีวิตมีลักษณะจ าเพาะ 7. สิ่งมีชีวิตมีการจัดระบบ คือ อวัยวะต่าง ๆ ท าหน้าที่เฉพาะเจาะจง ) 6.4 ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) 1. หลังจากสรุปและอภิปรายเกี่ยวกับธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตแล้ว ครูให้นักเรียนท าแบบทดสอบ หลังการท ากิจกรรม เรื่อง ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต จ านวน 10 ข้อ 6.5 ขั้นประเมิน (Evaluation) 1. ครูประเมินจากคะแนนของนักเรียนหลังจากท าแบบทดสอบ เรื่อง ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต 7. สื่อการเรียนรู้/ แหล่งเรียนรู้ 1. หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติม ชีววิทยา เล่ม 1 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 หน้า 1-21 2. เว็ปไซต์ต่าง ๆ เรื่อง เรื่อง ธรรมชาติของชีวิต 3. แบบทดสอบ เรื่อง ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต จ านวน 10 ข้อ 8. การวัดและการประเมิน วัตถุประสงค์การเรียนรู้ วิธีวัดผล เครื่องมือวัดผล เกณฑ์การวัด
1. สามารถอธิบาย ความสัมพันธ์ในการจัดระบบใน สิ่งมีชีวิตที่ท าให้สิ่งมีชีวิตด ารง อยู่ได้ -การถามตอบของ นักเรียนในแต่ละฐาน -โฟร์ชาร์ตในแต่ละหัวข้อที่ นักเรียนได้ -นักเรียนร้อยละ 80 สามารถตอบค าถาม ของกลุ่มตนเองได้ 2. สามารถสรุปความรู้เกี่ยวกับ การจัดระบบในการด ารงอยู่ ของสิ่งมีชีวิตได้ -การท าแบบทดสอบ หลังเรียน จ านวน 10 ข้อ -แบบทดสอบหลังเรียน จ านวน 10 ข้อ -นักเรียนสามารถท า แบบทดสอบได้เกิน ร้อยละ 80 3. มีความมุ่งมั่นในการท างาน กลุ่ม -การร่วมกันท าโฟร์ ชาร์ต -โฟร์ชาร์ตแต่ละหัวข้อที่ นักเรียนได้ -นักเรียนร้อยละ 80 มีความช่วยเหลือกัน ภายในกลุ่ม แบบสังเกตพฤติกรรมรายบุคคล ค าชี้แจง ประเมินโดยสังเกตพฤติกรรมนักเรียนในระหว่างการท ากิจกรรม ที่ ชื่อ – สกุล รายการประเมิน/คะแนน ระดับ คุณภาพ นักเรียนมีความมุ่งมั่นในการท างานกลุ่ม นักเรียนมีความกระตือรือร้นในการ แสวงหาความรู้ นักเรียนสามารถด าเนินงานบรรลุ ผลส าเร็จตามความคาดหมาย นักเรียนสามารถถามค าถามในประเด็นที่ สงสัย นักเรียนสามารถร่วมกันแสดงความ คิดเห็น 1 2 3 4 5 6 7 8 9
10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 ชื่อ – สกุล รายการประเมิน/คะแนน ระดับ คุณภาพ นักเรียนมีความมุ่งมั่นในการท างานกลุ่ม นักเรียนมีความกระตือรือร้นในการ แสวงหาความรู้ นักเรียนสามารถด าเนินงานบรรลุ ผลส าเร็จตามความคาดหมาย นักเรียนสามารถถามค าถามในประเด็นที่ สงสัย นักเรียนสามารถร่วมกันแสดงความ คิดเห็น 21 22 23 24 25 26 27 28 29 30 31 32 33
34 35 36 37 38 รายการประเมิน ระดับคุณภาพ
เกณฑ์การให้คะแนน คะแนน ระดับคุณภาพ 20 - 25 ดีมาก 15 - 19 ดี 10 – 14 พอใช้ 0 – 9 ปรับปรุง บันทึกหลังการสอน หน่วยการเรียนรู้ที่.......................เรื่อง............................................................................................................... ระดับ 4 ระดับ 3 ระดับ 2 ระดับ 1 1. นักเรียนมีความมุ่งมั่น ในการท างานกลุ่ม นักเรียนมีความ มุ่งมั่นในการท างาน กลุ่มอย่างสม่ าเสมอ นักเรียนมีความ มุ่งมั่นในการท างาน กลุ่มในบางครั้ง นักเรียนมีความ มุ่งมั่นในการท างาน กลุ่มเป็นครั้งคราว นักเรียนไม่มีความ มุ่งมั่นในการท างาน กลุ่ม 2. นักเรียนมีความ กระตือรือร้นในการ แสวงหาความรู้ นักเรียนมีความ กระตือรือร้นในการ แสวงหาความรู้ สม่ าเสมอ นักเรียนมีความ กระตือรือร้นในการ แสวงหาความรู้ บางครั้ง นักเรียนมีความ กระตือรือร้นในการ แสวงหาความรู้ครั้ง คราว นักเรียนไม่มีความ กระตือรือร้นในการ แสวงหาความรู้ 3. นักเรียนสามารถ ด าเนินงานบรรลุผล ส าเร็จตามความ คาดหมาย นักเรียนสามารถ ด าเนินงานบรรลุผล ส าเร็จตามความ คาดหมายสม่ าเสมอ นักเรียนสามารถ ด าเนินงานบรรลุผล ส าเร็จตามความ คาดหมายบางครั้ง นักเรียนสามารถ ด าเนินงานบรรลุผล ส าเร็จตามความ คาดหมายครั้งคราว นักเรียนไม่สามารถ ด าเนินงานบรรลุผล ส าเร็จตามความ คาดหมาย 4. นักเรียนสามารถถาม ค าถามในประเด็นที่ สงสัย นักเรียนสามารถ ถามค าถามใน ประเด็นที่สงสัย สม่ าเสมอ นักเรียนสามารถ ถามค าถามใน ประเด็นที่สงสัย บางครั้ง นักเรียนสามารถ ถามค าถามใน ประเด็นที่สงสัยครั้ง คราว นักเรียนไม่สามารถ ถามค าถามใน ประเด็นที่สงสัย 5. นักเรียนสามารถ ร่วมกันแสดงความ คิดเห็น นักเรียนสามารถ ร่วมกันแสดงความ คิดเห็นสม่ าเสมอ นักเรียนสามารถ ร่วมกันแสดงความ คิดเห็นบางครั้ง นักเรียนสามารถ ร่วมกันแสดงความ คิดเห็นครั้งคราว นักเรียนไม่สามารถ ร่วมแสดงความ คิดเห็น
วันที่...............................เดือน...............................................................พ.ศ....................................................... ผลการสอน ปัญหา / อุปสรรค ข้อเสนอแนะ/แนวทางแก้ปัญหา ลงชื่อ............................................ครูผู้สอน (................................................) แบบทดสอบหลังเรียน
เรื่อง ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต จ านวน 10 ข้อ ค าชี้แจง ให้นักเรียนเลือกค าตอบที่ถูกต้องที่สุด 1. ลักษณะของสิ่งมีชีวิตข้อใดที่ใช้จ าแนกไวรัสออกจาก สิ่งไม่มีชีวิต ก.มีการสืบพันธุ์ ข.ต้องการสารอาหารและพลังงาน ค.มีกระบวนการเมทาบอลิซึม ง.มีลักษณะจ าเพาะ 2. ข้อไม่ใช่กระบวนการเมทาบอลิซึม ก.การเปลี่ยนอาหารให้เป็นATP ข.การสร้างโพรโทพลาสซึม ค.การสร้างโครโมโซม ง.แอนนาบอลิซึม 3. กระบวนการแคทาบอลิซึมคืออะไร ก.การสร้างโพรโทพลาสซึม ข.การสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ ค.การสร้างATP ง.การสร้างโครโมโซม 4. การสืบพันธุ์แบบใดอาศัยเพศ ก.การสร้างเจมูล ข.คอนจูเกชั่น ค.การหลอมรวมโพรโทพาส ง.การแบ่งออกเป็นสอง 5.ข้อใดเป็นการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ ก.การแตกหน่อของไผ่ ข.การขาดออกของพลานาเรีย ค.การคอนจูเกชั่นกันของเซลล์ราด า ง.การสร้างเจมูลของฟองน้ า 6. การรักษาดุลยภาพคือกระบวนการต่อไปนี้ยกเว้นข้อ ใด ก.การขับแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากร่างกาย ข.การขับเกลือออกจากร่างกาย ค.การขับยูเรียออกจากร่างกาย ง.การขับน้ าลาย 7. ข้อใดไม่ใช่การตอบสนองต่อสิ่งเร้า ก.การดอกเข้าหันหาดวงอาทิตย์ของทานตะวัน ข.การที่รากของพืชเคลื่อนเข้าหาแหล่งน้ า ค.การหุบของใบไมยราพ ง.การที่ดอกมะเขือห้อยลง 8. Entomology เป็นการศึกษาเกี่ยวกับอะไร ก.แมลง ข.นก ค.พืช ง.เชื้อรา 9. Parasitology เป็นการศึกษาเกี่ยวกับอะไร ก.ปรสิต ข.ระบบนิเวศ ค.ประชากร ง.การถ่ายทอดทางพันธุกรรม 10. Geneties เป็นการศึกษาเกี่ยวกับอะไร ก.ปรสิต ข.ระบบนิเวศ ค.ประชากร ง.การถ่ายทอดทางพันธุกรรม
เฉลยแบบทดสอบหลังเรียน เรื่อง ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิต จ านวน 10 ข้อ ค าชี้แจง ให้นักเรียนเลือกค าตอบที่ถูกต้องที่สุด 1. ลักษณะของสิ่งมีชีวิตข้อใดที่ใช้จ าแนกไวรัสออกจาก สิ่งไม่มีชีวิต ก.มีการสืบพันธุ์ ข.ต้องการสารอาหารและพลังงาน ค.มีกระบวนการเมทาบอลิซึม ง.มีลักษณะจ าเพาะ 2. ข้อไม่ใช่กระบวนการเมทาบอลิซึม ก.การเปลี่ยนอาหารให้เป็นATP ข.การสร้างโพรโทพลาสซึม ค.การสร้างโครโมโซม ง.แอนนาบอลิซึม 3. กระบวนการแคทาบอลิซึมคืออะไร ก.การสร้างโพรโทพลาสซึม ข.การสร้างเยื่อหุ้มเซลล์ ค.การสร้างATP ง.การสร้างโครโมโซม 4. การสืบพันธุ์แบบใด ไม่อาศัยเพศ ก.การสร้างเจมูล ข.คอนจูเกชั่น ค.การหลอมรวมโพรโทพาส ง.การแบ่งออกเป็นสอง 5.ข้อใดเป็นการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ ก.การแตกหน่อของไผ่ ข.การขาดออกของพลานาเรีย ค.การคอนจูเกชั่นกันของเซลล์ราด า ง.การสร้างเจมูลของฟองน้ า 6. การรักษาดุลยภาพคือกระบวนการต่อไปนี้ยกเว้น ข้อใด ก.การขับแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากร่างกาย ข.การขับเกลือออกจากร่างกาย ค.การขับยูเรียออกจากร่างกาย ง.การขับน้ าลาย 7. ข้อใดไม่ใช่การตอบสนองต่อสิ่งเร้า ก.การดอกเข้าหันหาดวงอาทิตย์ของทานตะวัน ข.การที่รากของพืชเคลื่อนเข้าหาแหล่งน้ า ค.การหุบของใบไมยราพ ง.การที่ดอกมะเขือห้อยลง 8. Entomology เป็นการศึกษาเกี่ยวกับอะไร ก.แมลง ข.นก ค.พืช ง.เชื้อรา 9. Parasitology เป็นการศึกษาเกี่ยวกับอะไร ก.ปรสิต ข.ระบบนิเวศ ค.ประชากร ง.การถ่ายทอดทางพันธุกรรม 10. Geneties เป็นการศึกษาเกี่ยวกับอะไร ก.ปรสิต ข.ระบบนิเวศ ค.ประชากร ง.การถ่ายทอดทางพันธุกรรม
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง ชีวจริยธรรม และชีววิทยากับการด ารงชีวิต รายวิชา ชีววิทยาพื้นฐาน รหัสวิชา ว30141 เวลา 3 ชั่วโมง หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 ชื่อหน่วยการเรียนรู้/บท การศึกษาชีววิทยา รวม 9 ชั่วโมง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่4 ภาคเรียนที่1 บูรณาการ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง อาเซียน STEM PLC สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน มาตรฐานสากล ข้ามกลุ่มสาระ 1. ผลการเรียนรู้ อธิบาย และสรุปสมบัติที่ส าคัญของสิ่งมีชีวิต และความสัมพันธ์ของการจัดระบบในสิ่งมีชีวิต ที่ท าให้สิ่งมีชีวิตด ารงชีวิตอยู่ได้ 2. สาระส าคัญ/ความคิดรวบยอด การศึกษาทางด้านชีววิทยาเป็นการศึกษาเรื่องของสิ่งมีชีวิต จึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนเป็นอย่างมาก ใน การศึกษาและกระท า เพราะอาจจะผิดต่อขนบธรรมเนียมประเพณี กฎหมาย หรือจริยธรรมได้ 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1) ด้านความรู้ (K) สามารถอธิบายความส าคัญของชีววิทยากับการด ารงชีวิต และชีวจริยธรรมได้ 2) ด้านกระบวนการ (P) สามารถสืบค้นความรู้ใหม่ๆเกี่ยวกับประโยชน์ของชีววิทยากับการด ารงชีวิต และสืบค้นข่าวที่น่าสนใจเกี่ยวกับการกระท าของมนุษย์ที่ขัดต่อชีวจริยธรรม 3) ด้านเจตคติ (A) มีความมุ่งมั่นในการท างานกลุ่ม 4. บูรณาการ บูรณาการด้าน PLC : การแลกเปลี่ยนความคิดและการท างานเป็นกลุ่ม 5. สาระการเรียนรู้ ชีวจริยธรรม (bioethics) หมายถึงการปฏิบัติต่อสิ่งมีชีวิตอย่างมีคุณธรรม ไม่ท าร้ายหรือท าอันตราย ต่อสัตว์หรือมนุษย์เพื่อการศึกษาหรือการวิจัย จรรยาบรรณในการใช้สัตว์ทดลอง ส านักงานคณะกรรมการการวิจัยแห่งชาติ ได้ก าหนดจรรยาบรรณการใช้สัตว์เพื่องานวิจัย งานสอน งานทดสอบ และงานผลิตชีววัตถุไว้ดังนี้ 1. ผู้ใช้สัตว์ต้องตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตสัตว์ 2. ผู้ใช้สัตว์ต้องตระหนักถึงความแม่นย าของผลงานโดยใช้สัตว์จ านวนน้อยที่สุด 3. การใช้สัตว์ป่าต้องไม่ขัดต่อกฎหมายและนโยบายการอนุรักษ์ป่า 4. ผู้ใช้สัตว์ต้องตระหนักว่าสัตว์เป็นสิ่งมีชีวิตเช่นเดียวกับมนุษย์ 5. ผู้ใช้สัตว์ต้องบันทึกการปฏิบัติต่อสัตว์ไว้เป็นหลักฐานอย่างครบถ้วน
การก ากับดูแลให้ผู้ใช้สัตว์ปฏิบัติตามจรรยาบรรณการใช้สัตว์ ทั้งระดับองค์กร และระดับชาติ ต้องจัดให้มีคณะกรรมการก ากับติดตามดูแลรับผิดชอบ เช่น ในระดับชาติได้แก่ ส านักงานคณะกรรมการการ วิจัยแห่งชาติ และกองบรรณาธิการของวารสารที่ตีพิมพ์ผลงานวิจัย อาวุธชีวภาพ “อาวุธชีวภาพ” หรือ “อาวุธเชื้อโรค” คืออาวุธที่ได้จากสิ่งมีชีวิต ซึ่งครอบคลุมถึงสารพิษจากสิ่งมีชีวิต หรือแม้กระทั่งฮอร์โมนหรือสารอื่นใดที่สิ่งมีชีวิตผลิตขึ้นมา หากจะพูดให้เข้าใจได้ง่ายก็คืออาวุธเชื้อโรค หรือ อาวุธสารพิษที่สกัดจากสิ่งมีชีวิตทั้งพืช สัตว์ และจุลินทรีย์นั่นเอง อาวุธชีวภาพนี้เป็นอาวุธที่ผลิตได้ง่าย มนุษย์รู้จักผลิตอาวุธชีวภาพนี้โดยเลียนแบบการเกิดโรคระบาด ความหายนะที่เกิดจากอาวุธชีวภาพ นั้นไม่ได้ ด้อยกว่าระเบิดปรมาณูเลย วิธีการใช้อาจน าไปโปรยลงมาจากเครื่องบิน หรือน าไปท าเป็นหัวรบ ของขีปนาวุธยิงสู่พื้นที่เป้าหมาย อาวุธชีวภาพมีผลกระทบทั้งต่อความมั่นคงของชาติ (national security) และการสาธารณสุข (public health) ผลกระทบที่ติดตามมาในแง่จิตวิทยาและสังคม สามารถน าความหายนะ มาสู่ตัวบุคคลและสังคม โดยสร้างโศกนาฎกรรมมากกว่าอาวุธชนิดอื่นได้ การโคลนมนุษย์ โคลนนิ่ง (cloning) หรือการโคลน หมายถึงการคัดลอกหรือการท าซ้ า (copy) ในทางชีววิทยา หมายถึง การสร้างสิ่งมีชีวิตใหม่ที่มีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนเดิมทุกประการ ประโยชน์ของการโคลน ช่วยให้สร้างสัตว์ที่มีลักษณะทางพันธุกรรมตามที่เราต้องการได้ เป็นจ านวนมาก เช่น สัตว์ที่ให้น้ านมมาก มีความต้านทานโรคสูง สัตว์ที่ใกล้จะสูญพันธุ์ ข้อเสียของการโคลน ก็คือ สถิติความส าเร็จมีน้อยมาก ในการโคลนแกะดอลลี ใช้ไข่ถึง 277 เซลล์ แต่ประสบผลเพียง 1 เซลล์ คิดเป็นร้อยละ 0.4 แต่นักวิทยาศาสตร์และกลุ่มคนที่ชอบยังคงมีความหวัง บางกลุ่มสนใจที่จะให้โคลนมนุษย์ ซึ่งเป็นประเด็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันมาก เพราะมนุษย์ที่เกิดจากการโคลนไม่มีพ่อและแม่ที่แท้จริง และอาจมี อุปนิสัยใจคอต่างไป แม้จะมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับบุคคลเจ้าของเซลล์ต้นก าเนิด อาจก่อให้เกิดปัญหาทาง สังคม แต่ในวงการแพทย์มีการวิจัยการโคลนเอ็มบริโอของคนโดยมีเป้าประสงค์เพื่อน าอวัยวะไปทดแทนผู้ป่วย เช่น ไต เป็นต้น แต่ก็เป็นการท าให้มนุษย์โคลนมีอวัยวะไม่ครบ บางประเทศจึงไม่สนับสนุน โดยเหตุนี้ ทุกประเทศทั่วโลกจึงห้ามการโคลนมนุษย์ แต่บางประเทศได้ร่างกฎหมายเกี่ยวกับชีวจริยศาสตร์เพื่อขออนุญาต ให้ใช้ตัวอ่อนมนุษย์ในการท าวิจัย เช่น ฝรั่งเศส อังกฤษ จีน และญี่ปุ่น การท าแท้ง ตามหลักศาสนา ถือว่าการท าแท้งเป็นสิ่งไม่ดี ผิดศีลธรรม เป็นบาป แต่เมื่อไม่นาน ในสหรัฐอเมริกามีบางกลุ่มถือว่าการท้องเป็นเรื่องส่วนตัว และกล่าวว่าเด็กในครรภ์เป็นส่วนหนึ่งของอวัยวะสตรี จึงมีสิทธิที่จะเลือกให้เด็กอยู่ในครรภ์หรือไม่ กลุ่มนี้เรียกว่า พวก pro-choice ส่วนกลุ่มตรงข้ามมีความเห็นว่า เด็กในครรภ์เป็นสิ่งมีชีวิตที่จะถือก าเนิดมาเป็นมนุษย์ การท าแท้งถือเป็นฆาตกรรมอย่างหนึ่ง ความเห็น ของกลุ่มนี้เรียกว่า pro-life ในประเทศไทยมีการอนุมัติให้ขายยา RU 486 ที่ท าให้เกิดการแท้ง และมีกฎหมาย อนุญาตให้ท าแท้งได้ 2 กรณี คือ 1. สุขภาพกาย สุขภาพจิตของหญิงผู้เป็นแม่ และสุขภาพของทารกในครรภ์ ไม่ดี เช่น ติดเชื้อ HIV เป็นโรคต่อมไร้ท่อ โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง โรคธาลัสซีเมีย มีภาวะปัญญาอ่อน 2. การตั้งครรภ์เพราะถูกข่มขืน
สิ่งมีชีวิต GMOs สิ่งมีชีวิต GMOs หรือสิ่งมีชีวิตตัดแต่งพันธุกรรม GMOs มาจากค าว่า Genetically Modified Organisms หมายถึงสิ่งมีชีวิตที่มีการตัดและต่อยีนด้วยเทคนิคพันธุวิศวกรรม (genetic engineering) ท าให้มีลักษณะพันธุกรรมตามที่ต้องการ มีประโยชน์ ดังเช่น 1. สารที่ผลิตโดยจุลินทรีย์แปลงพันธุ์ มีหลายชนิดมีประโยชน์ เช่น ช่วยขยายหลอดเลือด ฟื้นฟูกระดูกภายหลัง การปลูกถ่ายไขกระดูก ลดน้ าหนองในปอดของคนไข้ กระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อที่เกิดจาก บาดแผลไฟไหม้ กระตุ้นการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดง ช่วยแก้ความเป็นหมัน ช่วยในการดูดซึมกลูโคส ฯลฯ 2. สารที่ผลิตโดยพืชแปลงพันธุ์ มีหลายชนิด เช่น แครอท ท าให้เนื้อเหนียวขึ้น มะเขือเทศ ช่วยควบคุมการสุกของผล มะละกอมีความทนทานต่อไวรัสโรคใบด่าง ผักกาดหอมต้านทานต่อโรค ทานตะวัน ท าให้เมล็ดมีโปรตีนเพิ่มขึ้น ข้าวโพดทนทานต่อยาปราบวัชพืช ฯลฯ 3. สารที่ผลิตโดยสัตว์แปลงพันธุ์ มีหลายชนิด เช่น วัวผลิต GH ฮอร์โมนช่วยเพิ่มผลผลิตน้ านม หนูผลิต GH ของคนช่วยเพิ่มความสูงของคนเตี้ยแคระ กระต่ายผลิตสาร EPO กระตุ้นการสร้างเซลล์เม็ดเลือด แดงส าหรับคนป่วยโรคโลหิตจางเนื่องจากไตวาย เป็นต้น อันตรายจากอาหารที่ได้จากสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม (GE foods หรือ GM foods) แม้จะยังไม่มีข้อมูลรายงานชัดเจน แต่ก็ก่อให้เกิดความหวั่นวิตก และเกรงจะเกิดภัยอันตรายแก่มนุษย์ แม้ว่าศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีแห่งชาติได้พยายามชี้แจงว่าผลิตภัณฑ์ GMO ยังไม่ เกิดอันตรายอย่างเด่นชัด แต่เราในฐานะผู้บริโภคควรระวังตนไว้ก่อน สิ่งใดมีคุณอนันต์ก็อาจก่อให้เกิดผลเสีย อย่างมหันต์ได้ ถ้าไม่จ าเป็นก็ควรหลีกเลี่ยงการบริโภค หรือถ้าบริโภคก็ไม่ควรซ้ า ๆ ต่อเนื่องกัน ทัวร์อวสานชีวิต/กรุณพิฆาต ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีบริการให้ผู้ป่วยที่ไม่ปรารถนาจะมีชีวิตอยู่ไปได้จบชีวิตลงอย่าง สงบ ด าเนินการโดยมูลนิธิการกุศลแห่งหนึ่ง เป็นการกระท าที่ถูกต้องตามกฎหมาย มีทั้งชาวสวิต และชาวต่างชาติเดินทางมาใช้บริการไปแล้วประมาณ 150 ราย กรณีนี้ยังไม่เป็นที่ยอมรับส าหรับประเทศอื่น ๆ ถือเป็นปัญหาชีวจริยธรรมที่ต้องพิจารณากันอย่างรอบคอบ ชีววิทยากับการด ารงชีวิต 1. การเลือกบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น เลือกกินอาหารที่สะอาด และสุกใหม่ ๆ ซึ่งอาจติดโรคพยาธิ ได้ ไม่กินอาหารที่แมลงวันตอมเพราะอาจจะแพร่โรคได้ เลือกอาหารที่ปลอดจากสารพิษต่าง ๆ เป็นต้น 2. การออกก าลังกายช่วยให้สุขภาพแข็งแรง รู้จักเลือกการออกก าลังกายให้เหมาะสมกับเพศและวัย และสภาพของร่างกาย 3. การรู้จักระบบต่าง ๆ ของร่างกาย ช่วยให้การดูแลและรักษาระบบต่าง ๆ ของร่างกาย เช่นระบบ โครงกระดูกระบบ ผิวหนัง ระบบหายใจ ระบบย่อยอาหารฯลฯเป็นไปอย่างถูกต้อง อันจะเป็นผลให้สุขภาพ ของระบบต่าง ๆ รวมถึงร่างกายเป็นปกติสุขด้วย การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมได้แก่ 1. การไม่ตัดไม้ท าไม้ลายป่า เพราะต้นไม้มีความส าคัญต่อสภาพแวดล้อม ละเป็นตัวการส าคัญในการผลิต ออกซิเจนให้แก่โลก และลดระดับคาร์บอนไดออกไซด์ให้แก่โลกด้วย
2. การปลูกพืชคลุมดินการปลูกพืชหมุนเวียน การสงวนรักษาน้ าดินแร่ธาตุ และอากาศมีผลต่อการพัฒนา สิ่งแวดล้อมของโลกให้ยั่งยืนทั้งสิ้น 3. การเข้าใจสมดุลของ พืชสัตว์ จุลินทรีย์ในฐานะผู้ผลิตอาหาร ผู้ย่อยสลายสาร อันจะก่อให้เกิดวัฎจักร ต่าง ๆ ของสารในระบบนิเวศ ซึ่งน าไปสู่ความสมดุลของสารในธรรมชาติได้ดียิ่งขึ้น ฯลฯ การพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อการอยู่ดีกินดีของมนุษย์ชาติได้แก่ 1. การผลิตสารต่างที่เป็นอาหารและช่วยในการรักษาโรค เช่น การผลิตฮอร์โมนอินซูลินจากยีสต์เพื่อรักษา โรคเบาหวานในคน การผลิตกรดอะมิโนจ าเป็นโดยแบคทีเรีย การผลิตสาหร่ายสไปรูไลนาซึ่งมีโปรตีนสูง การถนอม อาหารโดยวิธีการต่างๆเป็นต้น 2. การพัฒนาทางด้านพันธุวิศวกรรม (genetic engineering) มาใช้ในการตัดต่อสารพันธุ์กรรม เพื่อใช้ในการพัฒนาพันธุ์กรรมพืช พันธุ์สัตว์ที่ให้ผลตอบแทนหรือมีคุณภาพดีมากยิ่งขึ้น เพื่อความเป็นอยู่ของมนุษย์ ที่ดีขึ้น แต่ก็ยังต้องมีการศึกษาถึงผลดีและผลเสียกันต่อไป 3. การพัฒนาเทคนิคทางด้าน DNA เพื่อน ามาใช้ในการตรวจหาสายสัมพันธ์ของพ่อแม่ลูก นอกจากนี้ ยังใช้ในการสืบสวนสอบสวนทางคดีของแพทย์และต ารวจได้เป็นอย่างดี 4. การศึกษาทางด้านพืชสมุนไพรสามารถน ามาผลิตเป็นยาแผนโบราณ ใช้ในการรักษาโรคต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดีนับเป็นภูมิปัญญาไทยที่น่าภาคภูมิใจ 5. การศึกษาทางด้านเทคโนโลยีการเจริญพันธุ์ เช่น การผสมเทียมในหลอดแก้ว แล้วน าไปท าการ ถ่ายฝากตัวอ่อน (InVitro Fertilization-Embryo Transfr) การน าเซลล์สืบพันธุ์ไปใส่ที่ท่อน้ าไข่หรือที่เรียกว่า กิ๊ฟ (GIFT หรือ Gamete Intrafallopian Transfer) การท าอิ๊กซี่ (ICSI หรือ Intracytoplasmic Sperm Injection) รวมไปถึงการท าโคลนนิ่ง (Cloning) ด้วยสิ่งต่างๆเหล่านี้ช่วยให้คนมีบุตรยากมีบุตรได้ทั้งสิ้น 6. กิจกรรมการเรียนรู้ 6.1 ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement) 1. ครูทบทวนเกี่ยวกับสาขาวิชาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความรู้ทางด้านชีววิทยา 2. ครูและนักเรียนร่วมพูดคุยเกี่ยวกับประโยชน์ของความรู้ทางด้านชีววิทยาในชีวิตประจ าวัน 6.2 ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration) 1. ครูแบ่งเนื้อหาออกเป็น 5 หัวข้อ - ชีวจริยธรรมและจรรยาบรรณในการใช้สัตว์ทดลอง - ตัวอย่างปัญหาชีวจริยธรรมที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน 1 - ตัวอย่างปัญหาชีวจริยธรรมที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน 2 - ชีววิทยากับการด ารงชีวิต - การพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อการกินดีอยู่ดีของมนุษย์ 2. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มแบ่งหน้าที่กันภายในกลุ่ม สมาชิกแต่ละคนจะต้องรับผิดชอบศึกษาคนละ อย่างน้อย 1 หัวข้อ 3. นักเรียนแต่ละคนศึกษาข้อมูลตามหัวข้อที่ได้รับมอบหมาย 6.3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) 1. สมาชิกแต่ละคนน าข้อมูลที่ได้ศึกษา มาร่วมอภิปรายกับสมาชิกภายในกลุ่ม
2. นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันสรุปความรู้ที่ได้แต่ร่วมกันสืบค้นความรู้ใหม่ๆเกี่ยวกับประโยชน์ ของชีววิทยากับการด ารงชีวิต และสืบค้นข่าวที่น่าสนใจเกี่ยวกับการกระท าของมนุษย์ที่ขัดต่อชีวจริยธรรมเป็น แผนผัง และเตรียมน าเสนอหน้าชั้นเรียน 6.4 ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) 1. นักเรียนแต่ละกลุ่มน าเสนอแผนผังความรู้ที่ได้ หน้าชั้นเรียน โดยครูเป็นผู้ให้ค าแนะน าเพิ่มเติม 6.5 ขั้นประเมิน (Evaluation) 1. ประเมินจากการน าเสนอหน้าชั้นเรียน 7. สื่อการเรียนรู้/ แหล่งเรียนรู้ 1. ใบความรู้ เรื่อง ชีวจริยธรรม และชีววิทยากับการด ารงชีวิต 8. การวัดและการประเมิน วัตถุประสงค์การเรียนรู้ วิธีวัดผล เครื่องมือวัดผล เกณฑ์การวัด 1. สามารถอธิบายความส าคัญ ของชีววิทยากับการด ารงชีวิต และชีวจริยธรรมได้ - การประเมินจาก การน าเสนอหน้าชั้น เรียน - แบบประเมิน -นักเรียนร้อยละ 80 ของทั้งหมด สามารถอธิบายความส าคัญ ของชีววิทยากับการด ารงชีวิต และชีวจริยธรรมได้ 2. สามารถสืบค้นความรู้ใหม่ๆ เกี่ยวกับประโยชน์ของชีววิทยา กับการด ารงชีวิต และสืบค้น ข่าวที่น่าสนใจเกี่ยวกับการ กระท าของมนุษย์ที่ขัดต่อ ชีวจริยธรรม - การประเมินจาก การน าเสนอหน้าชั้น เรียน - แบบประเมิน -นักเรียนแต่ละกลุ่มสามารถ สืบค้นความรู้ใหม่ๆเกี่ยวกับ ประโยชน์ของชีววิทยา กับการด ารงชีวิต และสืบค้นข่าว ที่น่าสนใจเกี่ยวกับการกระท า ของมนุษย์ที่ขัดต่อชีวจริยธรรม ได้ 3. มีความมุ่งมั่นในการท างาน กลุ่ม - การช่วยกันหา ข้อมูลและน าเสนอ หน้าชั้นเรียน - แบบประเมิน -นักเรียนร้อยละ 80มีความ ช่วยเหลือกันภายในกลุ่ม
แบบประเมินการน าเสนอหน้าชั้นเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง ชีวจริยธรรม และชีววิทยากับการด ารงชีวิต สมาชิกกลุ่ม………………………………… ห้อง…………………………………… 1………………………………………………………………………... 2.……………………………………………………………………….. 3………………………………………………………………………….4.……………………………………………………………………...... 5………………………………………………………………………… 6................................................................................... ค าชี้แจง : ให้ท าเครื่องหมาย ในช่องว่างที่ก าหนดให้ รายการประเมิน พฤติกรรมบ่งชี้ รวม 5 4 3 2 1 1. มีการวางแผนการท างาน 2. มีความพร้อมในการน าเสนอ 3. ความน่าสนใจในการน าเสนอ 4. มีความคิดสร้างสรรค์ 5. ประโยชน์และความถูกต้องของเนื้อหา เกณฑ์การประเมิน 4 3 2 1 ดี ปานกลาง พอใช้ ปรับปรุง
รายการประเมิน ระดับคุณภาพ ระดับ 4 ระดับ 3 ระดับ 2 ระดับ 1 ลงชื่อ…………….…………...................ผู้ประเมิน ( )
บันทึกหลังการสอน หน่วยการเรียนรู้ที่.......................เรื่อง............................................................................................................... 1. มีการวางแผนการ ท างาน นักเรียนมีการ วางแผนในการ ท างานกลุ่มอย่าง สม่ าเสมอ นักเรียนมีการ วางแผนในการ ท างานกลุ่มใน บางครั้ง นักเรียนมีการ วางแผนในการ ท างานกลุ่มเป็นครั้ง คราว นักเรียนไม่มีการ วางแผนในการ ท างานกลุ่ม 2. มีความพร้อมในการ น าเสนอ นักเรียนมีความ พร้อมในการ น าเสนอความรู้ สม่ าเสมอ นักเรียนมีความ พร้อมในการ น าเสนอความรู้ บางครั้ง นักเรียนมีความ พร้อมในการ น าเสนอความรู้ครั้ง คราว นักเรียนไม่มีความ พร้อมในการ น าเสนอความรู้ นักเรียนไม่สามารถ ด าเนินงานบรรลุผล ส าเร็จตามความ คาดหมาย นักเรียนสามารถ น าเสนอได้น่าสนใจ ดีมาก นักเรียนสามารถ น าเสนอได้ค่อนข้าง น่าสนใจ นักเรียนสามารถ น าเสนอได้แต่ยังไม่ ค่อยน่าสนใจ นักเรียนไม่สามารถ น าเสนอให้เพื่อน ร่วมชั้นเรียนสนใจได้ 4. มีความคิดสร้างสรรค์ นักเรียนมีความคิด สร้างสรรค์ดีมาก นักเรียนค่อนข้างมี ความคิดสร้างสรรค์ ดี นักเรียนยังมี ความคิดสร้างสรรค์ ไม่มากเท่าที่ควร นักเรียนไม่มี ความคิดสร้างสรรค์ ในการน าเสนอ 5. ประโยชน์และความ ถูกต้องของเนื้อหา เนื้อหามีความ ถูกต้อง มีประโยชน์ ต่อชีวิตประจ าวัน และทันสมัย เนื้อหามีความ ถูกต้อง มีประโยชน์ ต่อชีวิตประจ าวัน แต่ไม่ทันสมัย เนื้อหามีความ ถูกต้องแต่ไม่ สมบูรณ์ 100% มี ประโยชน์ต่อ ชีวิตประจ าวัน แต่ ไม่ทันสมัย เนื้อหาไม่ถูกต้อง
วันที่...............................เดือน...............................................................พ.ศ....................................................... ผลการสอน ปัญหา / อุปสรรค ข้อเสนอแนะ/แนวทางแก้ปัญหา ลงชื่อ............................................ครูผู้สอน (…………………………………) ชีวจริยธรรมและจรรยาบรรณในการใช้สัตว์ทดลอง
ชีวจริยธรรม (bioethics) หมายถึงการปฏิบัติต่อสิ่งมีชีวิตอย่างมีคุณธรรม ไม่ท าร้าย หรือ ท าอันตรายต่อสัตว์หรือมนุษย์เพื่อการศึกษาหรือการวิจัย จรรยาบรรณในการใช้สัตว์ทดลอง ส านักงานคณะกรรมการการวิจัยแห่งชาติ ได้ก าหนดจรรยาบรรณการใช้สัตว์เพื่องานวิจัย งานสอน งานทดสอบ และงานผลิตชีววัตถุไว้ดังนี้ 1. ผู้ใช้สัตว์ต้องตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตสัตว์ 2. ผู้ใช้สัตว์ต้องตระหนักถึงความแม่นย าของผลงานโดยใช้สัตว์จ านวนน้อยที่สุด 3. การใช้สัตว์ป่าต้องไม่ขัดต่อกฎหมายและนโยบายการอนุรักษ์ป่า 4. ผู้ใช้สัตว์ต้องตระหนักว่าสัตว์เป็นสิ่งมีชีวิตเช่นเดียวกับมนุษย์ 5. ผู้ใช้สัตว์ต้องบันทึกการปฏิบัติต่อสัตว์ไว้เป็นหลักฐานอย่างครบถ้วน การก ากับดูแลให้ผู้ใช้สัตว์ปฏิบัติตามจรรยาบรรณการใช้สัตว์ ทั้งระดับองค์กร และ ระดับชาติ ต้องจัดให้มีคณะกรรมการก ากับติดตามดูแลรับผิดชอบ เช่น ในระดับชาติได้แก่ ส านักงานคณะกรรมการการวิจัยแห่งชาติ และกองบรรณาธิการของวารสารที่ตีพิมพ์ผลงานวิจัย ตัวอย่างปัญหาชีวจริยธรรมที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน 1
อาวุธชีวภาพ “อาวุธชีวภาพ” หรือ “อาวุธเชื้อโรค” คืออาวุธที่ได้จากสิ่งมีชีวิต ซึ่งครอบคลุมถึงสารพิษจาก สิ่งมีชีวิต หรือแม้กระทั่งฮอร์โมนหรือสารอื่นใดที่สิ่งมีชีวิตผลิตขึ้นมา หากจะพูดให้เข้าใจได้ง่ายก็คืออาวุธ เชื้อโรคหรืออาวุธสารพิษที่สกัดจากสิ่งมีชีวิตทั้งพืช สัตว์ และจุลินทรีย์นั่นเอง อาวุธชีวภาพนี้เป็นอาวุธที่ ผลิตได้ง่าย มนุษย์รู้จักผลิตอาวุธชีวภาพนี้โดยเลียนแบบการเกิดโรคระบาด ความหายนะที่เกิดจากอาวุธ ชีวภาพนั้นไม่ได้ด้อยกว่าระเบิดปรมาณูเลย การโคลนมนุษย์ โคลนนิ่ง (cloning) หรือการโคลน หมายถึงการคัดลอกหรือการท าซ้ า (copy) ในทาง ชีววิทยา หมายถึง การสร้างสิ่งมีชีวิตใหม่ที่มีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนเดิมทุกประการ ประโยชน์ของการโคลน ช่วยให้สร้างสัตว์ที่มีลักษณะทางพันธุกรรมตามที่เราต้องการได้ เป็นจ านวนมาก เช่น สัตว์ที่ให้น้ านมมาก มีความต้านทานโรคสูง สัตว์ที่ใกล้จะสูญพันธุ์ นักวิทยาศาสตร์ และกลุ่มคนที่ชอบยังคงมีความหวัง บางกลุ่มสนใจที่จะให้โคลนมนุษย์ซึ่งเป็นประเด็นที่วิพากษ์วิจารณ์กัน มาก เพราะมนุษย์ที่เกิดจากการโคลนไม่มีพ่อและแม่ที่แท้จริง และอาจมีอุปนิสัยใจคอต่างไป แม้จะมีรูปร่าง หน้าตาเหมือนกับบุคคลเจ้าของเซลล์ต้นก าเนิด อาจก่อให้เกิดปัญหาทางสังคม ตัวอย่างปัญหาชีวจริยธรรมที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน 2
การท าแท้ง ตามหลักศาสนา ถือว่าการท าแท้งเป็นสิ่งไม่ดี ผิดศีลธรรม เป็นบาป แต่เมื่อไม่นานใน สหรัฐอเมริกามีบางกลุ่มถือว่าการท้องเป็นเรื่องส่วนตัว และกล่าวว่าเด็กในครรภ์เป็นส่วนหนึ่งของอวัยวะ สตรี จึงมีสิทธิที่จะเลือกให้เด็กอยู่ในครรภ์หรือไม่ กลุ่มนี้เรียกว่า พวก pro-choice ส่วนกลุ่มตรงข้ามมี ความเห็นว่าเด็กในครรภ์เป็นสิ่งมีชีวิตที่จะถือก าเนิดมาเป็นมนุษย์ การท าแท้งถือเป็นฆาตกรรมอย่างหนึ่ง สิ่งมีชีวิต GMOs สิ่งมีชีวิต GMOs หรือสิ่งมีชีวิตตัดแต่งพันธุกรรม GMOs ย่อมาจากค าว่า genetically modified organisms หมายถึงสิ่งมีชีวิตที่มีการตัดและต่อยีนด้วยเทคนิคพันธุวิศวกรรม (genetic engineering) ท าให้มีลักษณะพันธุกรรมตามที่ต้องการ มีประโยชน์ อันตรายจากอาหารที่ได้จากสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม (GE foods หรือ GM foods) แม้จะยังไม่มีข้อมูลรายงานชัดเจน แต่ก็ก่อให้เกิดความหวั่นวิตก และเกรงจะเกิดภัยอันตรายแก่มนุษย์ ทัวร์อวสานชีวิต/กรุณพิฆาต ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีบริการให้ผู้ป่วยที่ไม่ปรารถนาจะมีชีวิตอยู่ไปได้จบชีวิตลง อย่างสงบ ด าเนินการโดยมูลนิธิการกุศลแห่งหนึ่ง เป็นการกระท าที่ถูกต้องตามกฎหมาย มีทั้งชาวสวิตและ ชาวต่างชาติเดินทางมาใช้บริการไปแล้วประมาณ 150 ราย กรณีนี้ยังไม่เป็นที่ยอมรับส าหรับประเทศอื่น ๆ ถือเป็นปัญหาชีวจริยธรรมที่ต้องพิจารณากันอย่างรอบคอบ ประโยชน์ของชีววิทยาด้านการเกษตร ด้านการแพทย์
ชีววิทยากับการด ารงชีวิต 1.การเลือกบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น เลือกกินอาหารที่สะอาด และสุกใหม่ๆซึ่งอาจติดโรค พยาธิ ได้ ไม่กินอาหารที่แมลงวันตอมเพราะอาจจะแพร่โรคได้ เลือกอาหารที่ปลอดจากสารพิษต่างๆเป็นต้น 2.การออกก าลังกายช่วยให้สุขภาพแข็งแรง รู้จักเลือกการออกก าลังกายให้เหมาะสมกับเพศและวัยและสภาพ ของร่างกาย 3. การรู้จักระบบต่างๆจองร่างกายช่วยให้การดูแลและรักษาระบบต่างๆของร่างกาย เช่นระบบโครงกระดูก ระบบ ผิวหนัง ระบบหายใจ ระบบย่อยอาหารฯลฯเป็นไปอย่างถูกต้อง อันจะเป็นผลให้สุขภาพของระบบ ต่างๆรวมถึงร่างกายเป็นปกติสุขด้วย การดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมได้แก่ 1.การไม่ตัดไม้ท าไม้ลายป่า เพราะต้นไม้มีความส าคัญต่อสภาพแวดล้อม และเป็นตัวการส าคัญในการผลิต ออกซิเจนให้แก่โลก และลดระดับคาร์บอนไดออกไซด์ให้แก่โลกด้วย 2.การปลูกพืชคลุมดินการปลูกพืชหมุนเวียน การสงวนรักษาน้ าดินแร่ธาตุ และอากาศมีผลต่อการ พัฒนาสิ่งแวดล้อมของโลกให้ยั่งยืนทั้งสิ้น 3.การเข้าใจสมดุลของ พืชสัตว์ จุลินทรีย์ในฐานะผู้ผลิตอาหาร ผู้ย่อยสลายสารอันจะก่อให้เกิดวัฎจักรต่างๆ ของสารในระบบนิเวศ ซึ่งน าไปสู่ความสมดุลของสารในธรรมชาติได้ดียิ่งขึ้นฯลฯ
การพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อการกินดีอยู่ดีของมนุษย์ 1.การผลิตสารต่างที่เป็นอาหารและช่วยในการรักษาโรค เช่น การผลิตฮอร์โมนอินซูลินจากยีสต์ เพื่อรักษาโรคเบาหวานในคน การผลิตกรดอะมิโนจ าเป็นโดยแบคทีเรียการผลิตสาหร่ายสไปรูไลนา ซึ่งมีโปรตีนสูงการถนอมอาหารโดยวิธีการต่างๆเป็นต้น 2.การพัฒนาทางด้านพันธุวิศวกรรม( genetic engineering )มาใช้ในการตัดต่อสารพันธุ์กรรม เพื่อใช้ในการพัฒนาพันธุ์กรรมพืช พันธุ์สัตว์ที่ให้ผลตอบแทนหรือมีคุณภาพดีมากยิ่งขึ้น เพื่อความเป็นอยู่ของมนุษย์ที่ดีขึ้น แต่ก็ยังต้องมีการศึกษาถึงผลดีและผลเสียกันต่อไป 3.การพัฒนาเทคนิคทางด้าน DNA เพื่อน ามาใช้ในการตรวจหาสายสัมพันธ์ของพ่อแม่ลูกนอก จากนี้ยังใช้ในการสืบสวนสอบสวนทางคดีของแพทย์และต ารวจได้เป็นอย่างดี 4.การศึกษาทางด้านพืชสมุนไพรสามารถน ามาผลิตเป็นยาแผนโบราณใช้ในการรักษาโรคต่างๆ ได้เป็นอย่างดีนับเป็นภูมิปัญญาไทยที่น่าภาคภูมิใจ 5.การศึกษาทางด้านเทคโนโลยีการเจริญพันธุ์ เช่น การผสมเทียมในหลอดแก้ว แล้วถ่ายฝากตัวอ่อน (In Vitro Fertilization-Embryo Transfr ) การน าเซลล์สืบพันธุ์ไปใส่ที่ท่อน้ าไข่หรือที่เรียกว่า กิ๊ฟ ( GFT หรือ Gamete Intrafallopian Transfer ) การท าอิ๊กซี่ ( ICSI หรือ Intracytoplasmic Sperm Injection ) รวมไปถึงการท าโคลนนิ่ง( Cloning ) ด้วยสิ่งต่างๆเหล่านี้ช่วยให้คนมีบุตรยากมีบุตรได้ทั้งสิ้น
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง การศึกษาชีววิทยาและวิธีการทางวิทยาศาสตร์รายวิชา ชีววิทยาพื้นฐาน รหัสวิชา ว31242 เวลา 3 ชั่วโมง หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 ชื่อหน่วยการเรียนรู้/บท การศึกษาชีววิทยา รวม 9 ชั่วโมง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่4 ภาคเรียนที่1 บูรณาการ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง อาเซียน STEM PLC สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน มาตรฐานสากล ข้ามกลุ่มสาระ 1. ผลการเรียนรู้ - อธิบาย และสรุปสมบัติที่ส าคัญของสิ่งมีชีวิต และความสัมพันธ์ของการจัดระบบในสิ่งมีชีวิต ที่ท าให้สิ่งมีชีวิตด ารงชีวิตอยู่ได้ - อภิปราย และบอกความส าคัญของการระบุปัญหา ความสัมพันธ์ระหว่างปัญหา สมมติฐาน วิธีการ ตรวจสอบสมมติฐาน รวมทั้งออกแบบการทดลองเพื่อตรวจสอบสมมติฐาน 2. สาระส าคัญ/ความคิดรวบยอด การจัดระบบในสิ่งมีชีวิตเริ่มจากหน่วยเล็กไปหน่วยใหญ่ ได้แก่ เซลล์ เนื้อเยื่อ อวัยวะ ระบบอวัยวะ และสิ่งมีชีวิต ตามล าดับ วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการค้นหาค าตอบเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต เริ่มจากการตั้งปัญหาหรือค าถาม ตั้งสมมติฐาน ตรวจสอบสมมติฐาน เก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลและสรุปผล 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1) ด้านความรู้ (K) สามารถสรุปโครงสร้างทางชีววิทยา และอธิบายวิธีการทางวิทยาศาสตร์ได้ 2) ด้านกระบวนการ (P) สามารถยกตัวอย่างประโยชน์ของการศึกษาชีววิทยาได้ 3) ด้านเจตคติ (A) มีความมุ่งมั่นในการท างานกลุ่ม 4. บูรณาการ บูรณาการด้านอาเซียน : ใช้ค าศัพท์ภาษาอังกฤษในการสอน บูรณาการด้าน PLC : การแลกเปลี่ยนความคิดและการท างานเป็นกลุ่ม บูรณาการด้าน STEM : การให้นักเรียนออกแบบการทดลอง โดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ 5. สาระการเรียนรู้ การศึกษาชีววิทยาของนักวิทยาศาสตร์ เป็นกระบวนการค้นคว้าหาความจริงของปรากฏการณ์ ในธรรมชาติอย่างมีระเบียบแบบแผนตามขั้นตอนของ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific process) ซึ่งประกอบด้วย 1. ก าหนดปัญหา (Statement of the problem) ปัญหาเกิดขึ้นจากการเป็นคนช่างสังเกตช่างคิด มีความอยากรู้อยากเห็นและใจกว้าง เช่น นักจุลชีววิทยาชาวอังกฤษชื่อ อเล็กซานเดอร์ เฟลมมิง สังเกตว่าแบคทีเรียในจานเพาะเชื้อไม่เจริญ ถ้ามีเพนิซิเลียม (Penicilium sp.) เจริญอยู่ด้วย และยังพบว่ารา
ชนิดนี้สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียได้ เขาจึงเกิดความสงสัยและตั้งปัญหาว่าเหตุใดจึงเป็น เช่นนั้น จะคิดได้ว่าปัญหาเกิดขึ้นได้เสมอ แต่การตั้งปัญหาให้ชัดเจนสัมพันธ์กับข้อเท็จจริงและความรู้เดิม ของผู้ตั้งปัญหานั้น ไม่ใช่สิ่งที่ท าได้ง่ายเสมอไป ไอร์สไตน์ถือว่า "การตั้งปัญหานั้นส าคัญกว่าการแก้ปัญหา" ก็เพราะว่าเมื่อก าหนดปัญหาได้ชัดเจนและสัมพันธ์กับข้อเท็จจริงและความรู้เดิม ผู้ตั้งปัญหาย่อมมองเห็นลู่ทาง ที่จะค้นหาค าตอบได้เพราะฉะนั้นจึงถือว่า"การตั้งปัญหาเป็นความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริง" 2. ตั้งสมมติฐาน (Formulation of hypothesis) ค าอธิบาย หรือการคาดคะเนค าตอบที่เกี่ยวข้อง กับข้อเท็จจริง เรียกว่า สมมติฐาน สมมติฐานเกิดขึ้นหลังจากได้ก าหนดปัญหาชัดเจนแล้วในการตั้งสมมติฐาน มักใช้ประโยค "ถ้า..ดังนั้น.." ส่วนที่ขึ้นต้นด้วย"ถ้า"จะระบุข้อความที่เป็นเหตุหรือเป็นค าตอบที่เป็นไปได้ส าหรับ ส่วนหลังที่ขึ้นต้นด้วย "ดังนั้น" จะระบุข้อความที่แนะวิธีตรวจสอบสมมติฐาน ถ้าสมมติฐานมีแต่เพียงส่วนแรกที่ เป็นค าตอบที่น่าเป็นไปได้ก็จะไม่เห็นแนวทางว่าจะตรวจสอบสมมติฐานด้วยวิธีใด 3. การตรวจสอบสมมติฐาน (Test hypothesis) ในทางวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่จะมีวิธีทดลอง โดยออกแบบการทดลองที่มีการก าหนดและควบคุมตัวแปรที่เกี่ยวข้องกับการทดลองซึ่งตัวแปร แบ่งออกเป็น 3 ชนิดคือ 1.ตัวแปรต้นหรือตัวแปรอิสระ 2.ตัวแปรตาม 3.ตัวแปรควบคุม 4. การแปรผลและสรุปผลการทดลอง (Conclusion) หลังจากการทดลองเพื่อตรวจสอบสมมติฐาน ที่ตั้งขึ้น นักวิทยาศาสตร์จะแปลความหมายข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล และลงข้อสรุปภายในขอบเขตของผลการ ทดลองหรือผลการศึกษาที่เป็นจริง หากผลสรุปเหมือนกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ สมมติฐานนั้นก็ตั้งเป็นทฤษฎีได้ 6. กิจกรรมการเรียนรู้ 6.1 ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement) 1. ครูทบทวนเรื่องวิธีการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียน ว่ามีอะไรบ้าง และเป็นอย่างไร (แนวค าตอบ : วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (scientific method) ประกอบด้วย 1. การสังเกต (observation) การสังเกตเป็นทักษะที่ส าคัญอย่างหนึ่งของนักวิทยาศาสตร์ การ สังเกตจะใช้ประสาทสัมผัส เช่น การมองเห็น การได้ยิน การรับรส การดมกลิ่น หรือการสัมผัส สิ่งที่ได้จากการ สังเกตอาจน าไปสู่ความสงสัยอยากรู้ ท าให้ค้นพบปัญหาและการแก้ปัญหาต่อไป 2.การตั้งสมมติฐาน (hypothesis) สมมติฐานเป็นการตอบค าถามที่ได้จากการสังเกตชั่วคราว ค าตอบอาจจะถูกหรือไม่ถูกต้องก็ได้ การตั้งสมมติฐานที่ดีเป็นสิ่งส าคัญ เพราะจะสามารถอธิบายถึงปัญหา ได้อย่างชัดเจนถูกต้อง โดยการแสดงความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลหรือข้อเท็จจริงต่างๆที่เกิดจากการสังเกต 3.การตรวจสอบสมติฐาน (hypothesis testing) ท าได้หลายวิธี เช่น การเฝ้าสังเกต การส ารวจ และการทดลอง เป็นต้น ส่วนใหญ่การตรวจสอบสมมติฐานทางวิทยาศาสตร์มักใช้การทดลอง เพราะสามารถ ควบคุมตัวแปรได้เป็นส่วนใหญ่ จึงท าให้ได้ข้อสรุปที่เชื่อถือซึ่งเรียกว่า การทดลองที่มีการควบคุม 4.การเก็บรวบรวมข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล (data collection and analysis) เมื่อจบ การทดลอง ผู้ท าการทดลองควรน าข้อมูลที่ได้มาท าการวิเคราะห์ว่าข้อมูลของผลการทดลองนั้นมีความอย่างไร มีความสอดคล้องหรือไม่
5.การสรุปผลการทดลอง (conclusion) เป็นการสรุปผลการทดลองหรือข้อมูลที่ได้ทั้งหมดจาก การพิสูจน์ ทดลองจนครบถ้วนตามที่ได้วางแผนและออกแบบไว้ เพื่อสรุปว่าสอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ หรือไม่ เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่ามีโอกาสเป็นความจริงมากที่สุด สมมติฐานนั้นก็จะถูกก าหนดเป็นทฤษฎี ซึ่งสามารถน าไปใช้เป็นหลักเกณฑ์ในการอธิบายปรากฏการณ์นั้นได้อย่างถูกต้อง) 6.2 ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration) 1. ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม เป็นกลุ่มละ 4-5คน ศึกษากิจกรรมที่ 1.9 ถั่วงอกสร้างอาชีพ จากหนังสือ ชีววิทยา 1 หน้า 40-46 โดยให้แต่ละกลุ่ม ศึกษาและออกแบบการทดลอง เพื่อให้ได้ถั่วงอกที่มีลักษณะ ตามความต้องการของตลาดในปัจจุบัน 6.3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) 1. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มออกแบบการทดลอง แล้วน าเสนอผลงานการออกแบบการทดลอง ของตนเองที่แต่ละกลุ่มได้ออกแบบการทดลองให้ต้นถั่วงอกมีลักษณะตามความต้องการของตลาด ในรูปของใบ กิจกรรมที่ 1.9 ถั่วงอกสร้างอาชีพ มีหัวข้อ ดังนี้ - จุดประสงค์ - ปัจจัยที่มีผลต่อการงอกของเมล็ด - ค าถาม/ปัญหา - สมมติฐาน - ตัวแปร การสังเกต การตั้งสมมติฐาน การตรวจสอบสมติฐาน การเก็บรวบรวมข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล การสรุปผลการทดลอง การตั้งปัญหา/ตั้งค าถาม การทดลอง กลุ่มทดลอง กลุ่มควบคุม
- วัสดุ/อุปกรณ์ - ตารางบันทึกผลการทดลอง - การสรุปและอภิปรายผลการทดลอง 6.4 ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) 1. ครูและนักเรียน ร่วมกันถาม – ตอบ ข้อสงสัยหลังการน าเสนอใบกิจกรรมที่ 1.9 ถั่วงอกสร้าง อาชีพ ของแต่ละกลุ่ม 6.5 ขั้นประเมิน (Evaluation) 1. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม สรุปองค์ความรู้ที่ได้ลงในสมุด และตอบค าถามจ านวน 2 ข้อ ลงในสมุดวิชา ชีววิทยา 1. ถ้าต้องการเพาะถั่วงอกให้ได้ตรงตามความต้องการของตลาด หรือผู้บริโภค ควรค านึงถึงปัจจัย ใดบ้าง (แนวค าตอบ : 1. ลักษณะของเมล็ด ควรเป็นเมล็ดที่ใหม่ และยังมีชีวิต จะท าให้อัตราการงอกสูง 2. ความชื้น เนื่องจากน้ าเป็นตัวกระตุ้น ท าให้เมล็ดเกิดปฏิกิริยาต่าง ๆ และช่วยในการล าเลียงด้วย 3. ออกซิเจน ขณะงอกจะเป็นช่วงเวลาที่เมล็ดให้ออกซิเจนมาก เพื่อใช้ในการเมทาบอลิซึมของเซลล์ 4. อุณหภูมิ พืชแต่ละชนิดมีอุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการงอกที่แตกต่างกัน 5. แสง พืชแต่ละชนิดมีความต้องการแสงที่ไม่เท่ากันในการเจริญเติบโต) 2. สารอาหารในเมล็ดถั่วที่งอก และถั่วที่ไม่งอกมีความแตกต่างกันอย่างไร พร้อมให้เหตุผล ประกอบ (แนวค าตอบ : ในเมล็ดถั่วที่งอก จะมีสารอาหารที่เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของเมล็ดถั่วมากกว่าเมล็ด ถั่วที่ไม่งอก รวมถึงเมล็ดถั่วที่สามารถงอกได้ จะเป็นเมล็ดถั่วที่มีชีวิต สามารถเจริญเติบโตได้) 7. สื่อการเรียนรู้/ แหล่งเรียนรู้ 1. หนังสือเรียนรายวิชาเพิ่มเติม ชีววิทยา เล่ม 1 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 หน้า 21-37 2. ใบกิจกรรมที่ 1.9 เรื่อง ถั่วงอกสร้างอาชีพ 8. การวัดและการประเมิน วัตถุประสงค์การเรียนรู้ วิธีวัดผล เครื่องมือวัดผล เกณฑ์การวัด 1. สามารถสรุปขอบข่ายของ ทางชีววิทยา และอธิบายวิธีการ ทางวิทยาศาสตร์ได้ -อธิบายการทดลองที่ ออกแบบได้ -การทดลองที่ออกแบบใน แต่ละกลุ่ม -นักเรียนร้อยละ 80 ของทั้งหมดสามารถ ตอบค าถามได้ 2. สามารถยกตัวอย่าง ประโยชน์ของการศึกษา ชีววิทยาได้ -การตอบค าถาม เกี่ยวกับการทดลองใน แต่ละกลุ่ม -ค าถามหรือข้อสงสัย หลังจากน าเสนอ -นักเรียนร้อยละ 80 สามารถตอบค าถาม และน าเสนอปัญหา ของกลุ่มตนเองได้
3. มีความมุ่งมั่นในการท างาน กลุ่ม -การระดมความคิดใน การท าใบกิจกรรมที่ 1.9 เรื่อง ถั่วงอกสร้าง อาชีพ -ใบกิจกรรมที่ 1.9 เรื่อง ถั่วงอกสร้างอาชีพ -นักเรียนร้อยละ 80 มีความช่วยเหลือกัน ภายในกลุ่ม แบบสังเกตพฤติกรรมรายบุคคล ค าชี้แจง ประเมินโดยสังเกตพฤติกรรมนักเรียนในระหว่างการท ากิจกรรม ที่ ชื่อ – สกุล รายการประเมิน/คะแนน ระดับ คุณภาพ นักเรียนมีความมุ่งมั่นในการท างานกลุ่ม นักเรียนมีความกระตือรือร้นในการ แสวงหาความรู้ นักเรียนสามารถด าเนินงานบรรลุ ผลส าเร็จตามความคาดหมาย นักเรียนสามารถถามค าถามในประเด็นที่ สงสัย นักเรียนสามารถร่วมกันแสดงความ คิดเห็น 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17
18 19 20 ชื่อ – สกุล รายการประเมิน/คะแนน ระดับ คุณภาพ นักเรียนมีความมุ่งมั่นในการท างานกลุ่ม นักเรียนมีความกระตือรือร้นในการ แสวงหาความรู้ นักเรียนสามารถด าเนินงานบรรลุ ผลส าเร็จตามความคาดหมาย นักเรียนสามารถถามค าถามในประเด็นที่ สงสัย นักเรียนสามารถร่วมกันแสดงความ คิดเห็น 21 22 23 24 25 26 27 28 29 30 31 32 33 34 35 36 37 38
รายการประเมิน ระดับคุณภาพ ระดับ 4 ระดับ 3 ระดับ 2 ระดับ 1 1. นักเรียนมีความมุ่งมั่น ในการท างานกลุ่ม นักเรียนมีความ มุ่งมั่นในการท างาน กลุ่มอย่างสม่ าเสมอ นักเรียนมีความ มุ่งมั่นในการท างาน กลุ่มในบางครั้ง นักเรียนมีความ มุ่งมั่นในการท างาน กลุ่มเป็นครั้งคราว นักเรียนไม่มีความ มุ่งมั่นในการท างาน กลุ่ม 2. นักเรียนมีความ กระตือรือร้นในการ นักเรียนมีความ กระตือรือร้นในการ นักเรียนมีความ กระตือรือร้นในการ นักเรียนมีความ กระตือรือร้นในการ นักเรียนไม่มีความ กระตือรือร้นในการ
เกณฑ์การให้คะแนน คะแนน ระดับคุณภาพ 20 - 25 ดีมาก 15 - 19 ดี 10 – 14 พอใช้ 0 – 9 ปรับปรุง บันทึกหลังการสอน หน่วยการเรียนรู้ที่.......................เรื่อง............................................................................................................... วันที่...............................เดือน...............................................................พ.ศ....................................................... ผลการสอน ปัญหา / อุปสรรค แสวงหาความรู้ แสวงหาความรู้ สม่ าเสมอ แสวงหาความรู้ บางครั้ง แสวงหาความรู้ครั้ง คราว แสวงหาความรู้ 3. นักเรียนสามารถ ด าเนินงานบรรลุผล ส าเร็จตามความ คาดหมาย นักเรียนสามารถ ด าเนินงานบรรลุผล ส าเร็จตามความ คาดหมายสม่ าเสมอ นักเรียนสามารถ ด าเนินงานบรรลุผล ส าเร็จตามความ คาดหมายบางครั้ง นักเรียนสามารถ ด าเนินงานบรรลุผล ส าเร็จตามความ คาดหมายครั้งคราว นักเรียนไม่สามารถ ด าเนินงานบรรลุผล ส าเร็จตามความ คาดหมาย 4. นักเรียนสามารถถาม ค าถามในประเด็นที่ สงสัย นักเรียนสามารถ ถามค าถามใน ประเด็นที่สงสัย สม่ าเสมอ นักเรียนสามารถ ถามค าถามใน ประเด็นที่สงสัย บางครั้ง นักเรียนสามารถ ถามค าถามใน ประเด็นที่สงสัยครั้ง คราว นักเรียนไม่สามารถ ถามค าถามใน ประเด็นที่สงสัย 5. นักเรียนสามารถ ร่วมกันแสดงความ คิดเห็น นักเรียนสามารถ ร่วมกันแสดงความ คิดเห็นสม่ าเสมอ นักเรียนสามารถ ร่วมกันแสดงความ คิดเห็นบางครั้ง นักเรียนสามารถ ร่วมกันแสดงความ คิดเห็นครั้งคราว นักเรียนไม่สามารถ ร่วมแสดงความ คิดเห็น
ข้อเสนอแนะ/แนวทางแก้ปัญหา ลงชื่อ............................................ครูผู้สอน (................................................) กิจกรรมที่ 1.9 ถั่วงอกสร้างอาชีพ สมาชิก
............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. จุดประสงค์ ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ปัจจัยที่มีผลต่อการงอกของเมล็ด ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ................................................................................................................................................................. ............. ค าถาม/ปัญหา ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. สมมติฐาน ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ตัวแปร ตัวแปรต้น.............................................................................................................................. ................ ............................................................................................................................. ................................................. ตัวแปรตาม............................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................................. ตัวแปรควบคุม............................................................................................................................. .......... ...................................................................................................................... ........................................................ ............................................................................................................................. ................................................. วัสดุ-อุปกรณ์ ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ตารางบันทึกผลการทดลอง
สรุปผลการทดลอง ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. .................................................
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง เคมีที่เป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต รายวิชา ชีววิทยาพื้นฐาน รหัสวิชา ว 30141 เวลา 2 ชั่วโมง หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ชื่อหน่วยการเรียนรู้/บท เคมีที่เป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต รวม 19 ชั่วโมง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่4 ภาคเรียนที่1 บูรณาการ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง อาเซียน STEM PLC สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน มาตรฐานสากล ข้ามกลุ่มสาระ 1. ผลการเรียนรู้ สืบค้นข้อมูล อธิบายเกี่ยวกับสมบัติของน้ า และบอกความส าคัญของน้ าที่มีต่อสิ่งมีชีวิต และยกตัวอย่าง ธาตุชนิดต่าง ๆ ที่มีความส าคัญ ต่อร่างกายสิ่งมีชีวิต 2. สาระส าคัญ/ความคิดรวบยอด สิ่งมีชีวิตประกอบด้วยธาตุและสารประกอบ ในร่างกายของสิ่งมีชีวิตมีน้ าเป็นองค์ประกอบมากที่สุด น้ าประกอบด้วยธาตุไฮโดรเจนและออกซิเจน มีสมบัติในการเป็นตัวท าละลายที่ดี เก็บความร้อนได้ดีและมีความจุ ความร้อนสูง ซึ่งช่วยรักษาดุลยภาพของเซลล์ได้ ธาตุที่สิ่งมีชีวิตต้องการจะอยู่ในรูปของไอออน ในมนุษย์และสัตว์ ธาตุจะช่วยให้การท างานของระบบ ต่าง ๆ ในร่างกายด าเนินไปตามปกติ นอกจากนี้ในกระดูก ฟันและกล้ามเนื้อจะมีธาตุ เป็นองค์ประกอบด้วย 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1) ด้านความรู้ (K) สามารถอธิบายความหมายของอะตอม ธาตุ สารประกอบ รวมถึงสมบัติของน้ าได้ 2) ด้านกระบวนการ (P) สามารถยกตัวอย่างธาตุชนิดต่าง ๆ ที่มีความส าคัญต่อร่างกายสิ่งมีชีวิต และสามารถจ าแนกน้ ากับสารที่มีสมบัติไฮโดรฟิลิกและไฮโดรโฟบิก 3) ด้านเจตคติ (A) มีความใฝ่เรียนรู้ในการเรียน 4. บูรณาการ บูรณาการด้านอาเซียน : การใช้ภาษาอังกฤษในการเรียนการสอน 5. สาระการเรียนรู้ อะตอม ประกอบด้วย โปรตอน (proton) นิวตรอน (neutron) อยู่ในนิวเคลียส และอิเล็กตรอน (electron) ซึ่งเคลื่อนที่รอบนิวเคลียส ตัวเลขแสดงจ านวนโปรตอนในอะตอม เรียกว่า เลขอะตอม ผลรวมของ จ านวนโปรตอนกับนิวตรอน เรียกว่า เลขมวล โดยโปรตอนมีประจุไฟฟ้าเป็นบวก ขณะที่นิวตรอนไม่มีประจุ อะตอมที่มีจ านวนอิเล็กตรอนเท่ากับจ านวนโปรตอนจะเป็นกลางทางไฟฟ้า ธาตุและสารประกอบ ธาตุที่พืชต้องการ ประกอบด้วย 1. ธาตุประกอบหลัก 96% คือ C,O,H 2.ธาตุจากสารอาหารหลัก 3.6% คือ N, K, Ca, Mg, P, S, Si และธาตุจากสารอาหารรอง 0.4% Cl, Fe, B, Mn, Mo, Zn, Na, Cu, Ni ส่วนสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ มีธาตุ C,O,H เป็นองค์ประกอบหลักเช่นเดียวกับพืช ส่วนธาตุอื่น ๆ มีปริมาณที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับชนิดของสิ่งมีชีวิต
พันธะเคมี ซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันของอะตอมหรือไอออนด้วยแรงยึดเหนี่ยว การยึดเหนี่ยวระหว่าง อะตอมธาตุ 2 อะตอม โดยการใช้เวเลนซ์อิเล็กตรอนร่วมกันเกิดเป็นพันธะโคเวเลนต์ ส่วนการให้และรับอิเล็กตรอน ระหว่างอะตอมเป็นการยึดเหนี่ยวระหว่างประจุไฟฟ้าของไอออนบวกและไอออนลบเกิดเป็นพันธะไอออนิก น้ า เป็นสารประกอบที่พบมากในสิ่งมีชีวิต ร่างกายมนุษย์มีน้ าประมาณ 65% หรือประมาณ 2 ใน 3 ของ น้ าหนักตัว น้ ามีบทบาทส าคัญในการรักษาดุลยภาพของร่างกาย เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย 1. โครงสร้างโมเลกุลของน้ า น้ า 1 โมเลกุล (H2O) ประกอบด้วย ไฮโดรเจน 2 อะตอม และออกซิเจน 1 อะตอม เชื่อมต่อกันด้วย พันธะโควาเลนต์ (Covalent bonds) ซึ่งใช้อิเล็กตรอนร่วมกัน โดยที่อะตอมทั้งสามตัวเชื่อมต่อกัน เป็นมุม 105° โดยมีออกซิเจนเป็นขั้วลบ และไฮโดรเจนเป็นขั้วบวก ดังภาพที่ 1 ภาพที่ 1 โมเลกุลน้ า น้ าแต่ละโมเลกุลเชื่อมต่อกันด้วยพันธะไฮโดรเจน (Hydrogen-bonds) เรียงตัวต่อกันเป็นโครงสร้าง จัตุรมุข (Tetrahedral) ท าให้น้ าต้องใช้ที่ว่างมากขึ้นเมื่อเปลี่ยนสถานะเป็นน้ าแข็ง ดังนั้นเมื่อน้ าเปลี่ยนสถานะ เป็นของแข็งจะมีความหนาแน่นน้อยลง เมื่อเพิ่มความร้อนให้กับน้ าแข็งพันธะไฮโดรเจนจะถูกท าลาย ท าให้น้ าแข็งละลายเป็นของเหลว และเมื่อโครงสร้างผลึกยุบตัวลงน้ าในสถานะของเหลวจึงใช้เนื้อที่น้อยกว่า ของแข็ง นี่คือสาเหตุว่าท าไมน้ าแข็งจึงมีความหนาแน่นต่ ากว่าน้ า ดังภาพที่ 2
ภาพที่ 2 ภาพแสดงความหนาแน่นของน้ า ตัวอย่างที่แสดงพันธะไฮโดรเจนที่เห็นได้ชัดคือ แรงตรึงผิวของน้ า (Surface tension) เราจะเห็นว่า หยดน้ าบนพื้นหรือบนใบบัวมีรูปร่างเป็นทรงกลมคล้ายเลนส์นูน หรือเวลาที่เติมน้ าเต็มแก้ว ผิวน้ าจะพูนโค้งสูง เหนือปากแก้วเล็กน้อย หากปราศจากแรงตรึงผิวซึ่งเกิดจากพันธะไฮโดรเจนแล้ว ผิวน้ าจะเต็มเรียบเสมอ ปากแก้วพอดี แรงตรึงผิวเป็นคุณสมบัติพิเศษของน้ า ซึ่งมีมากกว่าของเหลวชนิดอื่น ยกเว้นปรอท (Mercury) ซึ่งเป็นธาตุชนิดเดียวที่เป็นของเหลว แรงตรึงผิวท าให้น้ าเกาะรวมตัวกันและไหลชอนไชไปได้ทุกหนแห่ง แม้แต่รูโหว่และรอยแตกของหิน ด้วยเหตุนี้น้ าจึงเป็นตัวปฏิวัติรูปโฉมของพื้นผิวโลก 2. น้ ากับสารที่มีสมบัติไอโดรฟิลิกและไอโดรโฟบิก สารที่มีสมบัติละลายน้ าได้ดีเรียกว่า ไฮโดรฟิลิก (hydrophilic) ซึ่งหมายถึง ชอบน้ า และเรียกสารที่มี สมบัติไม่ละลายน้ าว่า ไฮโดรโฟบิก (hydrophobic) ซึ่งหมายถึงไม่ชอบน้ า ทั้งนี้เป็นเพราะสารเหล่านี้ไม่สามารถ แตกตัวให้ไอออนได้เหมือนโซเดียมคลอไรด์หรือเป็นโมเลกุลที่ไม่มีขั้วจึงไม่สามารถยึดติดกับโมเลกุลของน้ าได้ สมบัติในตัวท าละลายที่ดีของน้ า ท าให้น้ าเป็นตัวล าเลียงและน าสารต่าง ๆ มาเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ได้ตามต้องการ 3.น้ ากับความเป็นกรด-เบส กรด (Acid) หมายถึง สสารที่ปล่อยประจุไฮโดรเนียม (H3O + ) ให้กับสารละลาย ตัวอย่าง เช่น เมื่อผสม น้ ากับกรดเกลือจะเกิดประจุไฮโดรเนียมและประจุคลอไรด์ตามสูตร H2O + HCl -> (H3O + ) + Clท าให้เกิด สารละลายที่เป็นกรด ได้แก่กรดก ามะถัน (H2SO4 ) น้ าส้มสายชู (CH3COOH) เบส (Base) หมายถึง สสารที่ปล่อยประจุไฮดรอกไซด์ (OH- ) ให้กับสารละลาย ตัวอย่าง เช่น เมื่อโซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) แตกตัว จะให้ประจุไฮดรอกไซด์ตามสูตร NaCL -> Na+ + OH- เมื่อโลหะไฮดรอกไซด์ละลายน้ าจะปล่อยประจุไฮดรอกไซด์ออกมาเรียกว่า "ด่าง" (Alkali) สสารที่เป็น เบส ได้แก่ ปูนซีเมนต์ (CaO) และ แอมโมเนีย (NH3 )
กรด เบส รสเปรี้ยว รสขม เปลี่ยนกระดาษลิตมัสสีน้ าเงิน เป็นสีแดง เปลี่ยนกระดาษแดงสีน้ าเงิน เป็นสีน้ าเงิน ให้โปรตอนขณะที่ท าปฏิกิริยา รับโปรตอนขณะที่ท าปฏิกิริยา ท าปฏิกิริยากับโลหะ เกิดแก๊ส ไฮโดรเจน ท าให้เกิดไฮดรอกไซด์ และประจุของโลหะ ซึ่งไม่ ละลายน้ า ตารางที่ 1 คุณสมบัติของ กรด และ ด่าง ในการวัดความเป็น กรด – เบส ในสารละลาย เราใช้ค าว่า pH เป็นตัวบ่งชี้ ตัว p ย่อมาจาค าว่า power ซึ่งมีความหมายในเชิงยกก าลัง ส่วน H หมายถึง ความเข้มของประจุไฮโดรเจน pH ซึ่งมีค่า เป็นตัวเลข 0 – 14 สารประกอบที่มีค่า pH 5 มีประจุไฮโดรเจนมากกว่าสารประกอบที่มีค่า pH 6 ถึง 10 เท่า น้ าบริสุทธิ์มีค่าเป็นกลางอยู่ที่ pH 7 หมายถึง น้ า 1 ลิตร ที่อุณหภูมิ 25°C มีประจุไฮโดรเจน และประจุไฮดรอกไซด์ อยู่จ านวนเท่ากันคือ 1 x 10–7 โมล ค่า pH ต่ า แสดงว่า สารประกอบมีความเป็นกรดสูง เช่น น้ ามะนาวมี pH 2.3 ค่า pH สูง แสดงว่า สารประกอบมีความเป็นเบสสูง เช่น น้ ายาท าความสะอาดพื้นมี pH 13 สิ่งมีชีวิตในน้ าส่วนมากอาศัยอยู่ในน้ าที่มีค่า pH 6.5 – 9 โดยปกติน้ าฝนตามธรรมชาติมีความเป็นกรด เล็กน้อย เนื่องจากการละลายแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศ แต่ทว่าในเขตอุตสาหกรรมที่มีการปล่อยแก๊ส เสียออกมา จะท าให้เกิดสภาวะฝนกรด น้ าฝนที่สะสมอยู่ในแหล่งน้ าท าให้ค่า pH ต่ าลง เมื่อ pH ต่ ากว่า 5.5 ปลาจะตายหมด เมื่อ pH ต่ ากว่า 4 สิ่งมีชีวิตในน้ าจะไม่สามารถทนทานได้ เลย การศึกษาความเป็นกรด – เบสของน้ า จึงมีความส าคัญมากต่อการประมงและการเกษตร ภาพที่ 3 ค่า pH ของของเหลวแต่ละชนิด 4.น้ ากับการดูดซับพลังงานความร้อน
น้ ามีความจุความร้อน (Heat capacity) น้ ามีความร้อนจ าเพาะ 4.184 จูล/กรัม/องศาเซลเซียส ซึ่งหมายถึงการที่จะท าให้น้ า 1 กรัม มีอุณหภูมิสูงขึ้น 1°C จะต้องใช้พลังงาน 4.184 จูล ถ้าต้องการให้น้ าจ านวน 1 กิโลกรัม มีอุณหภูมิสูงขึ้น 1°C จะต้องใช้พลังงาน 4,184 จูล ดังนั้นการที่จะท าให้อุณหภูมิของน้ าทะเลสูงขึ้นได้ จะต้องอาศัยพลังงานมหาศาลจากดวงอาทิตย์ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ท าให้ในตอนกลางวันอุณหภูมิของน้ าทะเลต่ ากว่า อุณหภูมิของอากาศ และหลักฐานของการคงอยู่ของความจุความร้อนของน้ าก็คือ ในตอนกลางคืนน้ าทะเล มีอุณหภูมิสูงกว่าอุณหภูมิอากาศ เนื่องจากการดูดกลืนพลังงานจากดวงอาทิตย์ในเวลากลางวัน ความจุความร้อน ของน้ าทะเลท าให้สภาพภูมิอากาศของแต่ละภูมิภาคแตกต่างกัน พื้นที่ห่างไกลจากทะเล เช่น บริเวณใจกลางทวีป อุณหภูมิกลางวันกลางคืนแตกต่างกันมาก ส่วนพื้นที่ชายฝั่งและหมู่เกาะกลางมหาสมุทร มีอุณหภูมิกลางวัน กลางคืนแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย 5.น้ ากับแรงโคฮีชันและแรงแอดฮีชัน การซึมตามรูเล็กเป็นปรากฏการณ์ที่ของเหลวถูกยกสูงขึ้นในหลอดทดลองขนาดเล็กที่เรียกว่า หลอดแคปิลลารี่ โดยผิวหน้าของของเหลวจะมีลักษณะโค้งนูน หรือเว้า เกิดจากแรง 2 ชนิด คือ 1. แรงโคฮีชั่น (cohesion force) เป็นแรงดึงดูดระหว่างโมเลกุลของสารชนิดเดียวกัน 2. แรงแอดฮีชั่น (adhesion force) เป็นแรงดึงดูดระหว่างโมเลกุลของสารต่างชนิดกัน โดยปกติแรงลัพธ์ของแรงทั้งสองชนิดของของเหลวในภาชนะจะมีทิศตั้งฉากกันเมื่อของเหลวอยู่ในสมดุล แต่ถ้าแรงโคฮีชั่นมีค่ามากกว่าแรงแอดฮีชั่น มุมระหว่าง เส้นสัมผัสกับผนังภาชนะจะมีขนาดเกินกว่า 900 ผิวของเหลวจะโค้งนูน เช่น ปรอทซึ่งเป็นของเหลวที่ไม่เกาะติดภาชนะ ถ้าแรงโคฮีชั่นมีค่าน้อยกว่าแรงแอดฮีชั่น มุมระหว่างเส้นสัมผัสกับผนังภาชนะจะมีขนาดน้อยกว่า 900 ผิวของเหลวจะโค้งเว้า เช่น น้ า 6. กิจกรรมการเรียนรู้ 6.1 ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement) 1. ครูแจกแบบทดสอบก่อนเรียนให้นักเรียนท าเพื่อให้ทราบถึงความเข้าใจเกี่ยวกับเคมีพื้นฐาน ของสิ่งมีชีวิต 2. ครูน าเข้าสู่บทเรียนโดยการให้นักเรียนสังเกตและเปรียบเทียบโครงสร้างแต่ละระดับของพืช และสัตว์ตั้งแต่ในระดับ อะตอม จนถึง ระดับสิ่งมีชีวิต โดยครูอธิบายเพิ่มเติมสอดแทรกความรู้ 3.ครูตั้งถามว่าเคมีมีความเกี่ยวข้องกับวิชาชีววิทยาอย่างไร โดยให้นักเรียนช่วยกันตอบ (แนวค าตอบ : เคมีเป็นสารตั้งต้นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตเกือบทุกชนิด โดยแบ่งเป็นสารอินทรีย์ และสารอนินทรีย์ สารอนินทรีย์ ได้แก่ - น้ า รักษาดุลยภาพของสิ่งมีชีวิต ได้เพราะท าหน้าที่ ตัวท าละลาย ล าเลียงสาร ช่วยในการ เกิดปฏิกิริยาเคมี รักษาสมดุลของอุณหภูมิ รักษาสมดุลของกรดเบส - แร่ธาตุ โดยท าหน้าที่ เป็นส่วนประกอบของโครงสร้าง ของเอนไซม์หรือตัวช่วยเร่งปฏิกิริยา เป็นส่วนประกอบของสารอินทรีย์ สารอินทรีย์ ได้แก่ - คาร์โบไฮเดรต ประกอบด้วย C H O ท าหน้าที่ให้พลังงาน - โปรตีนประกอบด้วย C H O N ท าหน้าที่เป็นโครงสร้างของเซลล์ เป็นเอนไซม์ สร้างเนื้อเยื่อ ให้ พลังงาน