The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนการจัดการเรียนรู้วิชาชีววิทยาพื้นฐาน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by anansrewunna, 2023-09-14 10:05:49

แผนการสอนวิชาชีววิทยา

แผนการจัดการเรียนรู้วิชาชีววิทยาพื้นฐาน

- ลิพิด ประกอบด้วย C H O ท าหน้าที่ คลังพลังงาน เป็นส่วนประกอบของเซลล์ เป็นตัวท าละลาย สารที่ละลายในไขมัน เป็นส่วนประกอบของฮอร์โมน - กรดนิวคลีอิก ท าหน้าที่เป็นสารพันธุกรรม - วิตามิน ท าหน้าที่ เป็นส่วนประกอบหรือเป็นตัวช่วยเร่งปฏิกิริยา ท าให้การท างานของระบบ เป็นไปอย่างปกติ) 6.2 ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration) 1. ครูอธิบายเกี่ยวกับ อะตอมของธาตุ การเขียนต าแหน่งของสัญลักษณ์นิวเคลียร์แต่ละตัว ให้ถูกต้อง ทั้งต าแหน่งเลขมวล เลขอะตอม และสัญญาลักษณ์ของธาตุ “มีการตั้งค าถาม เวเลนต์อิเล็กตรอน คืออะไร” (แนวค าตอบ : เวเลนซ์อิเล็กตรอน คือ จ านวนอิเล็กตรอนในระดับพลังงานนอกสุดหรือสูงสุด ของแต่ละ ธาตุจะมีอิเล็กตรอนไม่เกิน 8 เวเลนซ์อิเล็กตรอน จะตรงกับเลขที่ของหมู่ ดังนั้น ธาตุที่อยู่หมู่เดียวกันจะมีเวเลนซ์ อิเล็กตรอนเท่ากัน จ านวนระดับพลังงาน จะตรงกับเลขที่ของคาบ ดังนั้น ธาตุในคาบเดียวกันจะมีจ านวนระดับ พลังงานเท่ากัน เช่น 35 Br มีการจัดเรียงอิเล็กตรอนดังนี้ 2 , 8 , 18 , 7 ดังนั้น Br จะอยู่ในหมู่ที่ 7 เพราะมีเวเลนซ์ อิเล็กตรอน 7 และอยู่ในคาบที่ 4 เพราะมีจ านวนระดับพลังงาน 4 จ านวนระดับพลังงานหลักของอิเล็กตรอน ท าให้ ทราบว่าธาตุนั้นอยู่คาบใด ถ้าธาตุมีจ านวนระดับพลังงานของอิเล็กตรอนเท่ากันแสดงว่าธาตุนั้นอยู่ในคาบเดียวกัน เช่น Mg มีเลขอะตอม 12 มีการจัดอิเล็กตรอนในระดับพลังงานดังนี้ 2,8,2 Mg มี 3 ระดับพลังงาน S มีเลข อะตอม 16 มีการจัดอิเล็กตรอนในระดับพลังงานดังนี้ 2, 8, 6 S มี 3 ระดับพลังงาน แสดงว่า Mg และ S อยู่ใน คาบเดียวกัน) 2. ครูอธิบายเกี่ยวกับ ธาตุและสารประกอบ ธาตุที่พืชต้องการ ประกอบด้วย 1.ธาตุประกอบหลัก 96% คือ C,O,H 2.ธาตุจากสารอาหารหลัก 3.6% คือ N, K, Ca, Mg, P, S, Si และธาตุจากสารอาหาร รอง 0.4% Cl, Fe, B, Mn, Mo, Zn, Na, Cu, Ni ส่วนสิ่งมีชีวิตอื่นๆมีธาตุ C,O,H เป็นองค์ประกอบหลัก เช่นเดียวกับพืช ส่วนธาตุอื่น ๆ มีปริมาณที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับชนิดของสิ่งมีชีวิต 3. ครูอธิบายพันธะเคมี ซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันของอะตอมหรือไอออนด้วยแรงยึดเหนี่ยว การ ยึดเหนี่ยวระหว่างอะตอมธาตุ 2 อะตอม โดยการใช้เวเลนซ์อิเล็กตรอนร่วมกันเกิดเป็นพันธะ โคเวเลนต์ ส่วนการให้ และรับอิเล็กตรอนระหว่างอะตอมเป็นการยึดเหนี่ยวระหว่างประจุไฟฟ้าของไอออนบวกและไอออนลบเกิดเป็น พันธะไอออนิก “โดยครูมีการวาดภาพและยกตัวอย่างให้นักเรียนเข้าใจมากขึ้น” 4. ครูเข้าสู่เรื่องของน้ าโดยการถามนักเรียนว่า “น้ ามีความส าคัญต่อสิ่งมีชีวิตอย่างไร และบนโลก ใบนี้มีน้ าอยู่กี่ส่วน” แล้วให้นักเรียนช่วยกันตอบ พร้อมอธิบายเกี่ยวกับโครงสร้างและคุณสมบัติของน้ าในแต่ละส่วน (แนวค าตอบ : น้ าเป็นส่วนส าคัญของสิ่งมีชีวิต ใช้ในกระบวนการเมทาบอลิซึมต่าง ๆ ในร่างกายของสิ่งมีชีวิต เป็น อาหารของสัตว์ เป็นที่อยู่อาศัย รวมถึงเป็นองค์ประกอบส าคัญในกระบวนการสร้างอาหารในพืชอีกเช่นกัน ในโลก นี้ มีน้ าเป็นส่วนประกอบส าคัญประมาณ 75-80% หรือ 3 ใน 4 ส่วนของโลก) 5. ครูมีกิจกรรมให้นักเรียนท าโดยให้นักเรียนแบ่งกลุ่มเป็น 6 กลุ่ม กลุ่มละ 5 คน โดยท ากิจกรรม เรื่องน้ ากับสารที่มีสมบัติไฮโดรฟิลิกและไฮโดรโฟบิก ครูท าการแจกอุปกรณ์แต่ละกลุ่มประกอบด้วย 1. แก้วบรรจุน้ าตาล กลุ่มละ 1 ใบ 2. แก้วบรรจุน้ ามัน กลุ่มละ 1 ใบ 3. แก้วบรรจุน้ า กลุ่มละ 2 ใบ 4. สีน้ ากลุ่มละสี


โดยท าการทดลอง ให้นักเรียนน าน้ าตาลใส่ลงไปในแก้วบรรจุน้ าใบที่1พร้อมทั้งสังเกต และบันทึกลักษณะของน้ าตาลที่อยู่ในน้ า ส่วนแก้วน้ าใบที่2ใส่สีกับน้ ามันลงไป สังเกตและบันทึกผลลักษณะของ น้ ามันที่อยู่ในน้ า 6. ครูตั้งค าถาม “น้ าตาลและน้ ามันจัดอยู่ในสารที่มีคุณสมบัติใด” (แนวค าตอบ : น ามีคุณสมบัติเป็นสารที่มีคุณสมบัติที่มีขั้ว ส่วนน้ ามัน เป็นสารที่มีคุณสมบัติไม่มีขั้ว) 6.3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) 1. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายและสรุปผลการทดลอง โดยสามารถสรุปไปในทางเดียวกัน ดังนี้ “แก้วน้ าใบที่1 ที่ใส่น้ าตาลลงไปน้ าเกิดการละลายน้ าได้ดีจัดเป็นสารที่มีขั้วมีสมบัติไฮโดรฟิลิก (hydrophilic)” “แก้วน้ าใบที่ 2 ที่ใส่น้ ามันลงไปในน้ า โดยน้ ามันเกิดการลอยตัวมาอยู่ในบริเวณผิวน้ าจัดได้ว่าเป็น สารที่ไม่มีขั้วละลายน้ าได้น้อยจัดเป็นสารที่มีสมบัติไฮโดรโฟบิก (hydrophobic)” 2. ครูอธิบายเพิ่มเติมจะสังเกตได้ว่าปริมาณน้ ามันที่ใส่ลงไปในน้ าเมื่อใส่ลงไปในปริมาณมากก็จะ เห็นการแยกชั้นได้อย่างชัดเจน ส่วนน้ าตาลเมื่อใส่ลงไปในปริมาณมากอาจจะละลายได้ช้ากว่าปกติ 6.4 ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) 1. ครูอธิบายเพิ่มเติมนอกจากจะสามารถน าน้ าตาลมาทดลองได้แล้วสารที่มีคุณสมบัติเดียวกัน เช่น โซเดียมคลอไรด์ (เกลือแกง) ก็สามารถน ามาทดลองได้เช่นเดียวกัน และนอกจากน้ ามันก็สามารถน าสารที่มี คุณสมบัติเดียวกัน เช่น ขี้ผึ้ง มาท าการทดลองได้ 2. ครูมีการเชื่อมโยงความรู้เกี่ยวกับสารประกอบคาร์บอนในสิ่งมีชีวิตพร้อมทั้งให้นักเรียนอ่าน หนังสือทบทวนความรู้ 6.5 ขั้นประเมิน (Evaluation) 1. ประเมินจากการแบบทดสอบก่อนเรียน 7. สื่อการเรียนรู้/ แหล่งเรียนรู้ 1. ชุดกิจกรรม เรื่อง น้ ากับน้ ามัน 2. แบบทดสอบก่อนเรียน 8. การวัดและการประเมิน วัตถุประสงค์การเรียนรู้ วิธีวัดผล เครื่องมือวัดผล เกณฑ์การวัด 1. สามารถอธิบายความหมาย ของอะตอม ธาตุ สารประกอบ รวมถึงสมบัติของน้ าได้ -อธิบายอะตอม ธาตุ สารประกอบ และ สมบัติของน้ าได้ -แบบทดสอบก่อนเรียน -นักเรียนร้อยละ 80 ของทั้งหมดสามารถ ท าแบบทดสอบได้


2. สามารถยกตัวอย่างธาตุ ชนิดต่าง ๆ ที่มีความส าคัญต่อ ร่างกายสิ่งมีชีวิต และสามารถจ าแนกน้ ากับสาร ที่มีสมบัติไฮโดรฟิลิกและ ไฮโดรโฟบิก -การท ากิจกรรม เรื่อง น้ ากับน้ ามัน -กิจกรรม เรื่อง น้ ากับ น้ ามัน -นักเรียนร้อยละ 80 สามารถท ากิจกรรม และตอบค าถามได้ 3. มีความใฝ่เรียนรู้ในการเรียน -การสรุปผลการท า กิจกรรม เรื่อง น้ ากับ น้ ามัน -ผลการท ากิจกรรม เรื่อง น้ ากับน้ ามัน -นักเรียนร้อยละ 80 สามารถสรุปผลการ ท ากิจกรรมได้ แบบสังเกตพฤติกรรมรายบุคคล ค าชี้แจง ประเมินโดยสังเกตพฤติกรรมนักเรียนในระหว่างการท ากิจกรรม ที่ ชื่อ – สกุล รายการประเมิน/คะแนน ระดับ คุณภาพ นักเรียนมีความใฝ่เรียนรู้ในการเรียน นักเรียนมีความกระตือรือร้นในการ แสวงหาความรู้ นักเรียนสามารถด าเนินงานบรรลุ ผลส าเร็จตามความคาดหมาย นักเรียนสามารถถามค าถามในประเด็นที่ สงสัย นักเรียนสามารถร่วมกันแสดงความ คิดเห็น 1 2 3 4 5


6789 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 นักเรียนมีความใฝ่เรียนรู้ในการเรียน นักเรียนมีความกระตือรือร้นในการ แสวงหาความรู้ นักเรียนสามารถด าเนินงานบรรลุ ผลส าเร็จตามความคาดหมาย นักเรียนสามารถถามค าถามในประเด็นที่ สงสัย นักเรียนสามารถร่วมกันแสดงความ คิดเห็น 21 22 23 24 25 26 27


28 29 30 31 32 33 34 35 36 37 38


เกณฑ์การให้คะแนน คะแนน ระดับคุณภาพ 20 - 25 ดีมาก 15 - 19 ดี 10 – 14 พอใช้ 0 – 9 ปรับปรุง รายการประเมิน ระดับคุณภาพ ระดับ 4 ระดับ 3 ระดับ 2 ระดับ 1 1. นักเรียนมีความใฝ่ เรียนรู้ในการเรียน นักเรียนมีความใฝ่ เรียนรู้ในการเรียน อย่างสม่ าเสมอ นักเรียนมีความใฝ่ เรียนรู้ในการเรียน ในบางครั้ง นักเรียนมีความใฝ่ เรียนรู้ในการเรียน เป็นครั้งคราว นักเรียนไม่มีความใฝ่ เรียนรู้ในการเรียน 2. นักเรียนมีความ กระตือรือร้นในการ แสวงหาความรู้ นักเรียนมีความ กระตือรือร้นในการ แสวงหาความรู้ สม่ าเสมอ นักเรียนมีความ กระตือรือร้นในการ แสวงหาความรู้ บางครั้ง นักเรียนมีความ กระตือรือร้นในการ แสวงหาความรู้ครั้ง คราว นักเรียนไม่มีความ กระตือรือร้นในการ แสวงหาความรู้ 3. นักเรียนสามารถ ด าเนินงานบรรลุผล ส าเร็จตามความ คาดหมาย นักเรียนสามารถ ด าเนินงานบรรลุผล ส าเร็จตามความ คาดหมายสม่ าเสมอ นักเรียนสามารถ ด าเนินงานบรรลุผล ส าเร็จตามความ คาดหมายบางครั้ง นักเรียนสามารถ ด าเนินงานบรรลุผล ส าเร็จตามความ คาดหมายครั้งคราว นักเรียนไม่สามารถ ด าเนินงานบรรลุผล ส าเร็จตามความ คาดหมาย 4. นักเรียนสามารถถาม ค าถามในประเด็นที่ สงสัย นักเรียนสามารถ ถามค าถามใน ประเด็นที่สงสัย สม่ าเสมอ นักเรียนสามารถ ถามค าถามใน ประเด็นที่สงสัย บางครั้ง นักเรียนสามารถ ถามค าถามใน ประเด็นที่สงสัยครั้ง คราว นักเรียนไม่สามารถ ถามค าถามใน ประเด็นที่สงสัย 5. นักเรียนสามารถ ร่วมกันแสดงความ คิดเห็น นักเรียนสามารถ ร่วมกันแสดงความ คิดเห็นสม่ าเสมอ นักเรียนสามารถ ร่วมกันแสดงความ คิดเห็นบางครั้ง นักเรียนสามารถ ร่วมกันแสดงความ คิดเห็นครั้งคราว นักเรียนไม่สามารถ ร่วมแสดงความ คิดเห็น


แบบประเมินการท ากิจกรรมในชั้นเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง น้ ากับน้ ามัน สมาชิกกลุ่ม………………………………… ห้อง…………………………………… 1………………………………………………………………………... 2.……………………………………………………………………….. 3………………………………………………………………………….4.……………………………………………………………………...... 5………………………………………………………………………… 6................................................................................... ค าชี้แจง : ให้ท าเครื่องหมาย ในช่องว่างที่ก าหนดให้ รายการประเมิน พฤติกรรมบ่งชี้ รวม 5 4 3 2 1 1. มีการวางแผนการท างาน 2. มีความพร้อมในการน าเสนอ 3. ความน่าสนใจในการน าเสนอ 4. มีความคิดสร้างสรรค์ 5. ประโยชน์และความถูกต้องของเนื้อหา เกณฑ์การประเมิน 4 3 2 1 ดี ปานกลาง พอใช้ ปรับปรุง ลงชื่อ…………….…………...................ผู้ประเมิน ( )


รายการประเมิน ระดับคุณภาพ ระดับ 4 ระดับ 3 ระดับ 2 ระดับ 1 1. มีการวางแผนการ ท างาน นักเรียนมีการ วางแผนในการ ท างานกลุ่มอย่าง สม่ าเสมอ นักเรียนมีการ วางแผนในการ ท างานกลุ่มใน บางครั้ง นักเรียนมีการ วางแผนในการ ท างานกลุ่มเป็นครั้ง คราว นักเรียนไม่มีการ วางแผนในการ ท างานกลุ่ม 2. มีความพร้อมในการ น าเสนอ นักเรียนมีความ พร้อมในการ น าเสนอความรู้ สม่ าเสมอ นักเรียนมีความ พร้อมในการ น าเสนอความรู้ บางครั้ง นักเรียนมีความ พร้อมในการ น าเสนอความรู้ครั้ง คราว นักเรียนไม่มีความ พร้อมในการ น าเสนอความรู้ นักเรียนไม่สามารถ ด าเนินงานบรรลุผล ส าเร็จตามความ คาดหมาย นักเรียนสามารถ น าเสนอได้น่าสนใจ ดีมาก นักเรียนสามารถ น าเสนอได้ค่อนข้าง น่าสนใจ นักเรียนสามารถ น าเสนอได้แต่ยังไม่ ค่อยน่าสนใจ นักเรียนไม่สามารถ น าเสนอให้เพื่อน ร่วมชั้นเรียนสนใจได้ 4. มีความคิดสร้างสรรค์ นักเรียนมีความคิด สร้างสรรค์ดีมาก นักเรียนค่อนข้างมี ความคิดสร้างสรรค์ ดี นักเรียนยังมี ความคิดสร้างสรรค์ ไม่มากเท่าที่ควร นักเรียนไม่มี ความคิดสร้างสรรค์ ในการน าเสนอ 5. ประโยชน์และความ ถูกต้องของเนื้อหา เนื้อหามีความ ถูกต้อง มีประโยชน์ ต่อชีวิตประจ าวัน และทันสมัย เนื้อหามีความ ถูกต้อง มีประโยชน์ ต่อชีวิตประจ าวัน แต่ไม่ทันสมัย เนื้อหามีความ ถูกต้องแต่ไม่ สมบูรณ์ 100% มีประโยชน์ต่อ ชีวิตประจ าวัน แต่ไม่ทันสมัย เนื้อหาไม่ถูกต้อง


บันทึกหลังการสอน หน่วยการเรียนรู้ที่.......................เรื่อง............................................................................................................... วันที่...............................เดือน...............................................................พ.ศ....................................................... ผลการสอน ปัญหา / อุปสรรค ข้อเสนอแนะ/แนวทางแก้ปัญหา ลงชื่อ............................................ครูผู้สอน (................................................)


ชื่อ.....................................................................................................................ชั้น..........................เลขที่........... แบบทดสอบก่อนเรียน เรื่อง เคมีที่เป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต ค าชี้แจง ให้นักเรียนท าเครื่องหมาย √ หน้าข้อที่ถูกต้องและท าเครื่องหมาย × หน้าข้อที่ผิด …………1.ตัวเลขแสดงจ านวนโปรตอนในอะตอม เรียกว่า เลขมวล ส่วนผลรวมของจ านวนโปรตอนกับนิวตรอน เรียกว่า เลขอะตอม …………2. อิเล็กตรอนที่อยู่ในระดับพลังงานชั้นนอกสุดเคลื่อนที่รอบนิวเคลียส เรียกว่า เวเลนซ์อิเล็กตรอน …………3. โปรตอนและนิวตรอนมีประจุฟ้าบวก ส่วนอิเล็กตรอนมีประจุไฟฟ้าลบ …………4. ธาตุที่เป็นองค์ประกอบหลักของพืช ประกอบด้วย ธาตุคาร์บอน ออกซิเจน ไฮโดรเจน …………5.พันธะเคมีที่มีการให้และรับอิเล็กตรอนระหว่างอะตอมหรือไอออนยึดเหนี่ยวกันด้วยแรงดึงดูด ระหว่างประจุไฟฟ้าที่ต่างกัน การยึดเหนี่ยวนี้เป็นพันธะโคเวเลนต์ …………6.โมเลกุลของน้ าเป็นโมเลกุลที่ไม่มีขั้ว ............7.ธาตุแต่ละชนิดมีสมบัติเฉพาะตัวและมีสมบัติทางกายภาพบางประการเหมือนกันและบางประการ ต่างกัน ซึ่งสามารถน ามาจัดกลุ่มธาตุเป็นโลหะ อโลหะ และกึ่งโลหะ …………8.ปฏิกิริยาเคมีเป็นกระบวนการที่ท าให้สารเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีแล้วมีสารใหม่เกิดขึ้น …………9.การเกิดปฏิกิริยาเคมีอาจสังเกตได้จากการเปลี่ยนแปลงของสีหรือกลิ่นที่ต่างไปจากสารเดิม การมี ฟองแก๊ส หรือตะกอนเกิดขึ้น หรือมีการเพิ่มหรือลดอุณหภูมิ ………..10.การหลอมเหลวของน้ าแข็งหรือการระเหยกลายเป็นไปน้ าจัดเป็นปฏิกิริยาเคมี


เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียน เรื่อง เคมีที่เป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต ค าชี้แจง ให้นักเรียนท าเครื่องหมาย √ หน้าข้อที่ถูกต้องและท าเครื่องหมาย × หน้าข้อที่ผิด √ 1.ตัวเลขแสดงจ านวนโปรตอนในอะตอม เรียกว่า เลขมวล ส่วนผลรวมของจ านวนโปรตอนกับนิวตรอน เรียกว่า เลขอะตอม √ 2. อิเล็กตรอนที่อยู่ในระดับพลังงานชั้นนอกสุดเคลื่อนที่รอบนิวเคลียส เรียกว่า เวเลนซ์อิเล็กตรอน × 3. โปรตอนและนิวตรอนมีประจุฟ้าบวก ส่วนอิเล็กตรอนมีประจุไฟฟ้าลบ √ 4. ธาตุที่เป็นองค์ประกอบหลักของพืช ประกอบด้วย ธาตุคาร์บอน ออกซิเจน ไฮโดรเจน √ 5.พันธะเคมีที่มีการให้และรับอิเล็กตรอนระหว่างอะตอมหรือไอออนยึดเหนี่ยวกันด้วยแรงดึงดูด ระหว่างประจุไฟฟ้าที่ต่างกัน การยึดเหนี่ยวนี้เป็นพันธะโคเวเลนต์ × 6.โมเลกุลของน้ าเป็นโมเลกุลที่ไม่มีขั้ว √ 7.ธาตุแต่ละชนิดมีสมบัติเฉพาะตัวและมีสมบัติทางกายภาพบางประการเหมือนกันและบางประการ ต่างกัน ซึ่งสามารถน ามาจัดกลุ่มธาตุเป็นโลหะ อโลหะ และกึ่งโลหะ √ 8.ปฏิกิริยาเคมีเป็นกระบวนการที่ท าให้สารเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมีแล้วมีสารใหม่เกิดขึ้น √ 9.การเกิดปฏิกิริยาเคมีอาจสังเกตได้จากการเปลี่ยนแปลงของสีหรือกลิ่นที่ต่างไปจากสารเดิม การมี ฟองแก๊ส หรือตะกอนเกิดขึ้น หรือมีการเพิ่มหรือลดอุณหภูมิ √ 10.การหลอมเหลวของน้ าแข็งหรือการระเหยกลายเป็นไปน้ าจัดเป็นปฏิกิริยาเคมี


กิจกรรม เรื่อง น้ ากับน้ ามัน สมาชิก ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. จุดประสงค์ ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. วัสดุ-อุปกรณ์ ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. วิธีการทดลอง ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................. ................ ผลการทดลอง สรุปผลการทดลอง


............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. .................................................


แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 เรื่อง สารประกอบคาร์บอนในสิ่งมีชีวิต(คาร์โบไฮเดรตและโปรตีน) รายวิชา ชีววิทยาพื้นฐาน รหัสวิชา ว 30141 เวลา 3 ชั่วโมง หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ชื่อหน่วยการเรียนรู้/บท เคมีที่เป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต รวม 19 ชั่วโมง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่4 ภาคเรียนที่1 บูรณาการ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง อาเซียน STEM PLC สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน มาตรฐานสากล ข้ามกลุ่มสาระ 1. ผลการเรียนรู้ - สืบค้นข้อมูล อธิบายโครงสร้างของคาร์โบไฮเดรต ระบุกลุ่มของคาร์โบไฮเดรต รวมทั้งความส าคัญ ของ คาร์โบไฮเดรตที่มีต่อสิ่งมีชีวิต - สืบค้นข้อมูล อธิบายโครงสร้างของโปรตีน และความส าคัญของโปรตีนที่มีต่อสิ่งมีชีวิต 2. สาระส าคัญ/ความคิดรวบยอด คาร์โบไฮเดรตประกอบด้วย ธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจน แบ่งตามขนาดโมเลกุลออกได้เป็น 3 กลุ่ม คือ มอโนแซ็กคาไรด์ไดแซ็กคาไรด์ และพอลิแซ็กคาไรด์ โปรตีนมีกรดอะมิโนเป็นหน่วยย่อย ประกอบด้วย ธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจน ออกซิเจน และไนโตรเจน บางชนิดอาจมีธาตุฟอสฟอรัส เหล็ก และก ามะถัน เป็นองค์ประกอบ 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1) ด้านความรู้ (K) สามารถสืบค้นข้อมูล อธิบายโครงสร้างของคาร์โบไฮเดรต โปรตีนและความส าคัญที่มี ต่อสิ่งมีชีวิต 2) ด้านกระบวนการ (P) สามารถจ าแนกชนิดของคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนได้ 3) ด้านเจตคติ (A) มีความใฝ่เรียนรู้ในการเรียน 4. บูรณาการ บูรณาการด้านPLC : การท างานร่วมกันเป็นกลุ่ม และมีนักเรียนเป็นศูนย์กลาง 5. สาระการเรียนรู้ คาร์โบไฮเดรตเป็นสารประกอบจ าพวกน้ าตาลและโพลิเมอร์ของน้ าตาล เรียกอีกชื่อว่า แซ็กคาไรด์ (saccharide) ประกอบไปด้วยธาตุคาร์บอน ไฮโดรเจนและออกซิเจน สูตรทั่วไป (CH2O)n มีอัตราส่วน H: O คือ 2:1 เป็นสารชีวโมเลกุลที่พบมากที่สุดในธรรมชาติ เป็นแหล่งพลังงานที่ส าคัญแบ่งออกเป็น 3 ชนิด 1. โมโนแซ็กคาไรด์(monosaccharide) เป็นน้ าตาลโมเลกุลเดี่ยว มีสูตรเป็น (CH2O)n n คือ จ านวนคาร์บอนอะตอม น้ าตาลที่พบในธรรมชาติมีค่า n เริ่มต้นที่ 3 น้ าตาลโมเลกุลเดี่ยวจะมีรสหวาน ผลึกสีขาว ละลายน้ าได้ดีแบ่งออกเป็น 2 ชนิดตามต าแหน่งของหมู่คาร์บอนิล (carbonyl group) C=O •ถ้าหมู่คาร์บอนิลอยู่ปลายสุดเป็นน้ าตาลอัลโดส (aldose) •ถ้าหมู่คาร์บอนิลอญุ่ต าแหน่งอื่นเป็นน้ าตาลคีโตส (ketose)


ภาพที่ 1 โครงสร้างทางเคมีของน ้าตาลโมเลกุลเดี่ยว •น้ าตาลโมเลกุลเดี่ยวที่ส าคัญได้แก่ 1.1. น้ าตาลเพนโทส (pentose sugar) มีคาร์บอน 5 อะตอมมี2 ชนิด คือ ภาพที่ 2 โครงสร้างของน ้าตาลไรโบส - น้ าตาลไรโบส (ribose sugar) มีสูตรเป็น C5H10O5 เป็นส่วนประกอบส าคัญในโมเลกุล RNA ซึ่งมีความส าคัญในการสังเคราะห์ไรโบโซมและโปรตีน ภาพที่ 3 โครงสร้างของน ้าตาลดีออกซีไรโบส -น้ าตาลดีออกซีไรโบส (deoxyribose sugar) มีสูตรเป็น C5H10O4 โดยมีการดึงเอาออกซิเจน ออกจาคาร์บอนต าแหน่งที่ 2 ของน้ าตาลไรโบส มีความส าคัญเนื่องจากเป็นส่วนประกอบของ DNA ซึ่งเป็นส่วนประกอบส าคัญของโครโมโซม


1.2. น้ าตาลเฮกโซส (hexose sugar) มีคาร์บอน 6 อะตอมที่ส าคัญมี3 ชนิดคือ -น้ าตาลกลูโคส (glucose sugar) มีสูตรเป็น C6H12O6 มีความส าคัญมากที่สุดเนื่องจาก เป็นศูนย์กลางคาร์โบไฮเดรตที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย กลูโคสมีคุณสมบัติในการรีดิวซ์สารละลายเบเนดิกส์จะได้ ตะกอนสีแดงอิฐ มีชื่อทางการค้าว่า น้ าตาลเด็กซ์โทรส -น้ าตาลฟรักโทส (fructose) เป็นมอนอแซ็กคาไรด์ที่ละลายได้ดีมากในน้ า มีรสหวาน พบได้ ในผลไม้สุกทั่วไป จึงเรียกว่า น้ าตาลผลไม้(fruit sugar) มีสูตรเป็น C6H12O6 เหมือนกับกลูโคสจึงเป็น ไอโซเมอร์กับกลูโคส มีชื่อทางการค้าว่า ลีวูโลส -น้ าตาลกาแลกโทส (galactose) มีโครงสร้างคล้ายกลูโคส ในธรรมชาติมักไม่พบน้ าตาล กาแลกโทส 2. โอลิโกแซ็กคาไรด์(Oligosaccharide) เกิดจากมอนอแซ็กคาไรด์ตั้งแต่ 2-10 โมเลกุลมีจับรวมกันด้วยพันธะไกลโคซฺดิก (glycosidic bound) ที่ส าคัญ คือ -ไดแซ็กคาไรด์(disaccharide) เป็นน้ าตาลที่ประกอบด้วยมอนอแซ็กคาไรด์2 โมเลกุลเชื่อมต่อกัน ด้วยพันธะไกลโคซิดิก (glycosidic bound) ได้แก่ -น้ าตาลมอสโทส (maltose) หรือเรียกว่า มอลต์ซูการ์ประกอบด้วยกลูโคส 2 โมเลกุล เชื่อมต่อด้วยพันธะ 1-4 ไกลโคซิดิก มีคุณสมบัติเป็นน้ าตาลรีดิวซ์มักไม่พบในธรรมชาติแต่จะได้จากการสลาย แป้งจากน้ าย่อยอะไมเลส ที่พบในธรรมชาติจะพบในข้าวบาร์เลย์ข้าวมอลต์หรือเมล็ดข้าวที่ก าลังงอก -น้ าตาลซูโคส (sucrose) เป็นน้ าตาลที่ได้จากอ้อยและบีทที่รู้จักดีคือ น้ าตาลทราย ซูโคส ประกอบด้วยกลูโคสและฟรักโทสอย่างละ 1 โมเลกุลต่อกันด้วยพันธะ1-2 ไกลโคซิดิกไม่มีคุณสมบัติเป็นน้ าตาล รีดิวซ์ - น้ าตาลแลกโทส (lactose) พบได้ในน้ านม จึงเรียกว่า น้ าตาลนม ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ประกอบไปด้วยกลูโคสและกาแลกโทสอย่างละ 1 โมเลกุลต่อกันด้วยพันธะ 1-4 ไกลโคซิดิก มีคุณสมบัติเป็น น้ าตาลรีดิวซ์แบคทีเรียสามารถเปลี่ยน น้ าตาลแลกโทสให้เป็นกรดแลกทิกท าให้นมมีรสเปรี้ยว 3 โพลิแซ็กคาไรด์(polysaccharide) เป็นน้ าตาลโมเลกุลใหญ่ประกอบไปด้วย มอนอแซ็กคาไรด์ หลายๆโมเลกุลต่อด้วย พันธะไกลโคซิดิก สูตรทั่วไปคือ (C6H10O5 )n บางครั้งเรียกว่า ไกลแคนส์(glycans) ที่ส าคัญได้แก่ 3.1 แป้ง (starch) เป็นพอลิแซ็กคาไรด์สะสมอยู่ในพืช เช่น หัวเผือก เมล็ดข้าว แบ่งได้2 ชนิด - อะไมโลส (amylose) มีแป้งอยู่ประมาณ 10-25% ประกอบด้วยกลูโคสหลายพันหน่วย ต่อกันด้วยพันธะ 1-4 ไกลโคซิดิก อะไมโลสเป็นผงสีขาว ไม่มีรสหวาน ท าปฏิกิริยากับไอโอดีนจะให้สีน้ าเงินเข้ม น้ าย่อยอะไมโลส คือ อะไมเลส (amylase) ย่อยให้เป็นเด็กซ์ทริน มอสโทสและกลูโคส - อะไมโลเพกติน (amylopectin) ประกอบด้วยกลูโคสต่อกันด้วยพันธะ 1-4 ไกลโคซิดิก ท าปฏิกิริยากับไอโอดีนได้สีม่วงแดง พบในเมล็ดพืชที่มีผิวลื่น เช่น ข้าวโพด ข้าวเจ้า 3.2 ไกลโคเจน (glycogen) เป็นพอลิแซ็กคาไรด์สะสมอยู่ในกล้ามเนื้อลายและตับสัตว์ เป็นพลังงานที่ส าคัญของมนุษย์ โครงสร้างของไกลโคเจนคล้ายกับโครงสร้างของอะไมโลเพกติน เมื่อท าปฏิกิริยากับไอโอดีนจะได้สีม่วงแดง กลูโคสที่เหลือใช้ร่างกายจะเปลี่ยนเป็นไกลโคเจนโดยกระบวนการ ไกลโคเจนนิซิส (glycogenesis) และเมื่อร่ างก ายข าดแคลนพลังง านก็จะน ากลูโคสที่เก็บสะสม


ในรูปของไกลโคเจนออกมาใช้โดยไกลโคเจนจะถูกไฮโดรไลซ์จนได้เป็นกลูโคส ด้วยกระบวนการ ไกลโคเจโนไลซิส (glycogenolysis) 3.3 เซลลูโลส (cellulose) พบในผนังเซลล์ของพืช เซลลูโลสจึงเป็นสารอินทรีย์ที่มีมากที่สุด ในโลก เซลลูโลสประกอบไปด้วยกลูโคสเรียงตัวเป็นโซ่ยาวประมาณ 3000 หน่วยต่อกันด้วยพันธะ 1-4 ไกลโคซิดิก คนเราไม่สามารถย่อยเซลลูโลสได้จึงไม่สามารถใช้เป็นแหล่งพลังงานได้แต่ช่วยเพิ่มปริมาณกาก อาหาร ช่วยในการขับถ่าย ในสัตว์เคี้ยวเอื้องจะมีแบคทีเรียที่สามารถสร้างน้ าย่อยเซลลูเลสที่สามารถย่อย เซลลูโลสได้เป็นกลูโคส 3.4 ไคทิน (chitin) ประกอบด้วยอนุพันธ์ของกลูโคส คือ กลูโคซามีน ต่อกันด้วยพันธะ β 1-4 ไกลโคซิดิก (beta 1-4 glycosidic bound) ไคทินเป็นส่วนประกอบของผนังเซลล์ของรา กระดองปูเปลือกกุ้ง แมลง ไคทินไม่ละลายน้ าและไม่สามารถย่อยสลายด้วยน้ าย่อยของร่างกาย 3.5 เพกทิน (pectin) ประกอบด้วยอนุพันธ์ของกาแลกโทส ชื่อ เมทิลกาแลกทูโนเรต พบในผนัง เซลล์พืช เปลือกผลไม้ต่างๆ เช่น ส้ม มะนาว 6. กิจกรรมการเรียนรู้ 6.1 ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement) 1. ครูทบทวนความรู้เดิมเกี่ยวพันธะเคมี เพื่อน ามาเชื่อมโยงความรู้เกี่ยวกับสารประกอบคาร์บอน ในสิ่งมีชีวิตที่มีพันธะเคมีมาเกี่ยวข้องโดยอะตอมของคาร์บอนมีการเชื่อมกับพันธะโคเวเลนต์ อาจเกิดเป็น พันธะเดี่ยว พันธะคู่ และพันธะสาม (แนวค าตอบ : พันธะโคเวเลนต์(Covalent bond) มาจากค าว่า co + valence electron ซึ่งหมายถึง พันธะที่เกิดจากการใช้เวเลนซ์อิเล็กตรอนร่วมกัน ดังเช่น ในกรณีของไฮโดรเจน ดังนั้นลักษณะที่ส าคัญของพันธะโคเวเลนต์ก็คือการที่อะตอมใช้เวเลนต์อิเล็กตรอนร่วมกันเป็นคู่ ๆ -สารประกอบที่อะตอมแต่ละคู่ยึดเหนี่ยวกันด้วยพันธะโคเวเลนต์ เรียกว่าสารโคเวเลนต์ -โมเลกุลของสารที่อะตอมแต่ละคู่ยึดเหนี่ยวกันด้วยพันธะโคเวเลนต์เรียกว่าโมเลกุลโคเวเลนต์ การเกิดพันธะโคเวเลนต์เนื่องจาก พันธะโคเวเลนต์เกิดจากการใช้เวเลนต์อิเล็กตรอนร่วมกัน ซึ่งอาจจะใช้ร่วมกัน เพียง 1 คู่ หรือมากกว่า 1 คู่ก็ได้ - อิเล็กตรอนคู่ที่อะตอมทั้งสองใช้ร่วมกันเรียกว่า “อิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะ” - อะตอมที่ใช้อิเล็กตรอนร่วมกันเรียกว่าอะตอมคู่ร่วมพันธะ -ถ้าอะตอมคู่ร่วมพันธะใช้อิเล็กตรอนร่วมกัน 1 คู่จะเกิดเป็นพันธะโคเวเลนต์ที่เรียกว่าพันธะเดี่ยว เช่น ในโมเลกุลของไฮโดรเจน -ถ้าอะตอมคู่ร่วมพันธะใช้อิเล็กตรอนร่วมกัน 2 คู่จะเกิดเป็นพันธะโคเวเลนต์ที่เรียกว่าพันธะคู่ เช่น ในโมเลกุลของออกซิเจน -ถ้าอะตอมคู่ร่วมพันธะใช้อิเล็กตรอนร่วมกัน 3 คู่จะเกิดเป็นพันธะโคเวเลนต์ที่เรียกว่าพันธะสาม เช่น ในโมเลกุลของไฮโดรเจน) 2. ครูกระตุ้นความสนใจ โดยใช้ค าถามว่า อาหารที่นักเรียนรับประทานเมื่อเช้านี้ คืออะไร มีส่วนผสมหรือส่วนประกอบใดในอาหารบ้าง และนักเรียนคิดว่าอาหารเมื่อเช้า มีประโยชน์ต่อร่างกายหรือไม่ (แนวค าตอบ : นักเรียนบอกชื่ออาหารที่ทานเป็นอาหารเช้า แล้วให้นักเรียนในห้องช่วยกันแยกสารอาหาร เช่น เด็กหญิงไก่ ทานโจ๊กหมูสับ เพิ่มไข่ลวกเป็นอาหารเช้า ส่วนประกอบของโจ๊ก ดังนี้ - คาร์โบไฮเดรต : ข้าว


- โปรตีน : หมูสับ และไข่ลวก - วิตามิน : ขิงซอย และต้นหอม เป็นต้น ซึ่งอาหารเช้า เป็นอาหารมื้อส าคัญ เพราะร่างกายจะมีการน าอาหารที่รับประทานเข้าไปใช้ในกระบวนการ ต่าง ๆ ภายในร่างกาย ท าให้ร่างกายสดชื่น และมีพลังที่จะท างาน) 3. ครูน าภาพอาหาร ก๋วยเตี๋ยวหมูผัดซีอิ๊วทะเล ข้าวขาหมู ข้าวมันไก่ โจ๊ก และส้มต าไข่เค็ม มาให้นักเรียนร่วมกันศึกษา พร้อมตั้งค าถามว่าในอาหารแต่ละเมนูนั้นสามารถพบส่วนประกอบของ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และลิพิด หรือไม่ พร้อมทั้งให้นักเรียนช่วยกันบอกว่าอาหารที่น ามาศึกษามีประโยชน์ต่อร่างกายหรือไม่ (แนวค าตอบ : ให้นักเรียนช่วยกันแยกส่วนประกอบของอาหารที่ได้ยกตัวอย่าง ดังนี้ อาหาร โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ลิพิด วิตามิน ก๋วยเตี๋ยวหมู เนื้อหมู, ลูกชิ้น เส้น น้ ามันกระเทียมเจียว ผักต่าง ๆ ข้าวขาหมู เนื้อหมู, ไข่ ข้าวหอมมะลิ หนังหมู ผักเคียง ผัดซีอิ๊วทะเล เนื้อสัตว์ทะเล เส้นใหญ่ น้ ามันที่ใช้ผัด ผักคะน้า ข้าวมันไก่ เนื้อไก่ ข้าวมัน หนังไก่, น้ าหุงข้าวมัน แตงกวา โจ๊ก ไข่ลวก, หมูสับ ข้าว - ผักโรยหน้า, ขิงซอย ส้มต าไข่เค็ม ไข่เค็ม, กุ้งแห้ง น้ าตาล - มะละกอ,มะเขือเทศ 6.2 ขั้นส ารวจและค้นหา (Exploration) 1. ครูท าการสอนพร้อมมีการตั้งค าถามสอดแทรกเนื้อหาโดยสอนผ่านสื่อการสอน Power point เรื่อง คาร์โบไฮเดรตและโปรตีน และมีการยกตัวอย่างของคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนให้นักเรียนเข้าใจมากยิ่งขึ้น 2. ครูให้นักเรียนเปิดหนังสือหน้า 86 โดยครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มท ากิจกรรมที่ 2.1 ลักษณะ ของแป้งข้าวเหนียวและแป้งข้าวเจ้า เพื่อศึกษาสมบัติของแป้งที่มีสัดส่วนของอะไมเลสและอะไมโลเพกติน ที่แตกต่างกัน 3. ครูท าการสาธิตการทดลอง พร้อมทั้งอธิบายลักษณะของแป้งข้าวเหนียวและแป้งข้าวเจ้า หลังจากสาธิตเสร็จครูให้นักเรียนท าการทดลอง โดยการทดลองอยู่ในความดูแลเนื่องจากมีการใช้ความร้อน และครู ก็มีหน้าที่คอยให้ค าปรึกษาหากกลุ่มใดมีข้อสงสัย 4. ครูมีการก าหนดค าถามให้นักเรียนหาค าตอบ 4.1.จากการทดลองแป้งแต่ละชนิดหลังได้รับความร้อนมีลักษณะเหมือนหรือแตกต่างกัน อย่างไร (แนวค าตอบ : แป้งข้าวเหนียว เมื่อได้รับความร้อนจะมีลักษณะขุ่นข้น จับตัวเป็นก่อนค่อนข้างเหนียว ส่วน แป้งข้าวเจ้า เมื่อได้รับความร้อนจะขุ่น ไม่เหนียว) 4.2 นักเรียนคิดว่าอะไรเป็นสาเหตุท าให้ลักษณะของแป้งก่อนและหลังได้รับความร้อนมีความ แตกต่างกัน (แนวค าตอบ : ถ้าสกัดองค์ประกอบอื่นในแป้งออกไปจนเหลือเฉพาะคาร์โบไฮเดรตซึ่งเป็น องค์ประกอบหลักของแป้งจะเรียกส่วนที่เหลือว่า สตาร์ช (starch) สตาร์ชเป็นพอลิแซ็กคาไรด์ที่เก็บสะสมในส่วน ต่าง ๆ ของพืช มีโครงสร้างแบ่งเป็น 2 รูปแบบคือ อะไมโลส (amylose) และอะไมโลเพกทิน (amylopectin) ) 6.3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) 1. ครูและนักเรียนรวมกันอธิบายผลการทดลอง กิจกรรมที่ 2.1 โดยแนวทางการสรุปผลเป็นดังนี้ 1.1 ลักษณะของแป้งที่สังเกตเห็นระหว่างการทดลอง


(แนวค าตอบ : แป้งข้าวเหนียวและแป้งข้าวเจ้า น้ าแป้งก่อนได้รับความร้อน มีลักษณะขุ่น แต่เมื่อได้รับความร้อน แล้วจะมีลักษณะใสขึ้นและหนืด) 1.2 จากการทดลองแป้งแต่ละชนิดหลังได้รับความร้อนมีลักษณะเหมือนหรือแตกต่างกัน อย่างไร (แนวค าตอบ : น้ าแป้งเมื่อได้รับความร้อนจะมีลักษณะแตกต่างกันในแป้งแต่ละชนิด คือแป้งข้าวเหนียว มีลักษณะ นุ่มเหนียวและขุ่นแป้งข้าวเจ้ามีลักษณะแข็งร่วน ไม่เหนียว จับตัวเป็นก้อน) 1.3 นักเรียนคิดว่าอะไรเป็นสาเหตุท าให้ลักษณะของแป้งก่อนและหลังได้รับความร้อน มีความแตกต่างกัน (แนวค าตอบ : สาเหตุที่ท าให้ลักษณะของแป้งก่อนและหลังได้รับความร้อนมีความแตกต่างกัน แป้งแต่ละชนิดที่มี สัดส่วนของปริมาณอะไมโลส และอะไมโลเพกทิน แตกต่างกันท าให้แป้งมีสมบัติต่างกัน) 6.4 ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) 1. ครูท าการขยายความรู้นอกจากแป้งข้าวเหนียวและแป้งข้าวเจ้า ยังมีแป้งที่ท าจากข้าวโพด แป้งมันส าปะหลัง ที่สามารถน าทดลองและใช้ประโยชน์ในการท าอาหารอย่างเช่นอาหารในกลุ่มที่เป็นขนม 2. ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับความส าคัญของโปรตีนที่เป็นที่ต้องการของมนุษย์ 3. ครูให้นักเรียนไปอ่านหนังสือในเรื่องลิพิด และกรดนิวคลีอิก เพื่อท าความเข้าใจ และสั่งการบ้านให้ไปท าแบบฝึกหัดท้ายบทที่2 ข้อที่3 และ 4 6.5 ขั้นประเมิน (Evaluation) 1.ประเมินจากแบบฝึกหัดท้ายบท 2. ประเมินจากใบกิจกรรมการทดลองลักษณะของแป้งข้าวเหนียวและแป้งข้าวเจ้า 3. ประเมินจากแบบสังเกตพฤติกรรมรายบุคคล 7. สื่อการเรียนรู้/ แหล่งเรียนรู้ 1. ชุดกิจกรรม เรื่อง ลักษณะของแป้งข้าวเหนียวและแป้งข้าวเจ้า 2. แบบทดสอบก่อนเรียน 3. Power point เรื่อง คาร์โบไฮเดรตและโปรตีน 8. การวัดและการประเมิน วัตถุประสงค์การเรียนรู้ วิธีวัดผล เครื่องมือวัดผล เกณฑ์การวัด 1. สามารถสืบค้นข้อมูล อธิบาย โครงสร้างของคาร์โบไฮเดรต โปรตีนและความส าคัญของ โปรตีนที่มีต่อสิ่งมีชีวิต -การตอบแบบฝึกหัด ท้ายบท เรื่อง คาร์โบไฮเดรตและ โปรตีน -แบบฝึกหัดท้ายบท เรื่อง คาร์โบไฮเดรตและโปรตีน -นักเรียนร้อยละ 80 ของทั้งหมดสามารถ ท าแบบฝึกหัดได้


2. สามารถจ าแนกชนิดของ คาร์โบไฮเดรตและโปรตีนได้ -การท าใบกิจกรรม เรื่อง ลักษณะของแป้ง ข้าวเหนียวและแป้ง ข้าวเจ้า -ใบกิจกรรม เรื่อง ลักษณะ ของแป้งข้าวเหนียวและ แป้งข้าวเจ้า -นักเรียนร้อยละ 80 สามารถท ากิจกรรม และตอบค าถามได้ 3. มีความใฝ่เรียนรู้ในการเรียน -การสรุปผลการท า กิจกรรม -ผลการท ากิจกรรม -นักเรียนร้อยละ 80 สามารถสรุปผลการ ท ากิจกรรมได้


แบบประเมินการท ากิจกรรม เรื่อง ลักษณะของแป้งข้าวเหนียวและแป้งข้าวเจ้า หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง สารประกอบคาร์บอนในสิ่งมีชีวิต (คาร์โบไฮเดรตและโปรตีน) สมาชิกกลุ่ม………………………………… ห้อง…………………………………… 1………………………………………………………………………... 2.……………………………………………………………………….. 3………………………………………………………………………….4.……………………………………………………………………...... 5………………………………………………………………………… 6................................................................................... ค าชี้แจง : ให้ท าเครื่องหมาย ในช่องว่างที่ก าหนดให้ รายการประเมิน พฤติกรรมบ่งชี้ รวม 5 4 3 2 1 1. มีการวางแผนการท าการทดลอง 2. มีความร่วมมือในการท าการทดลอง 3. มีความใฝ่เรียนรู้ในการท าการทดลอง เกณฑ์การประเมิน 4 3 2 1 ดี ปานกลาง พอใช้ ปรับปรุง ลงชื่อ…………….…………...................ผู้ประเมิน ( )


บันทึกหลังการสอน หน่วยการเรียนรู้ที่.......................เรื่อง............................................................................................................... วันที่...............................เดือน...............................................................พ.ศ....................................................... ผลการสอน ปัญหา / อุปสรรค ข้อเสนอแนะ/แนวทางแก้ปัญหา ลงชื่อ............................................ครูผู้สอน (................................................)


ใบกิจกรรมการทดลอง ลักษณะของแป้งข้าวเหนียวและแป้งข้าวเจ้า สมาชิก 1............................................................................................................................. .............................................. 2........................................................................................................................................................................... 3............................................................................................................................. .............................................. 4............................................................................................................................. .............................................. 5........................................................................................................................................................................... 6........................................................................................................................................................................... วัสดุ-อุปกรณ์ 1.แป้งข้าวเหนียว แป้งข้าวเจ้า 2.น้ า 25 mL 3.ช้อนตักสาร เบอร์1 4.บีกเกอร์ 5.แท่งแก้วคนสาร 2 อัน 6.กระบวกตวง 50 ml 7.กระติกน้ าร้อน วิธีการท ากิจกรรม 1.น าแป้งปริมาณ 4 ช้อน ใส่ในบีกเกอร์ขนาด 50 ml ผสมน้ า 25 ml คนให้แป้งละลายน้ ากลายเป็นน้ าแป้ง 2.น าน้ าแป้งไปให้ความร้อนจนแป้งสุก โดยคนน้ าแป้งตลอดเวลาที่ให้ความร้อน 3.ใช้แท่งแก้วคนสารจุ่มในน้ าแป้งหลังแป้งสุกในขระที่แป้งยังร้อนอยู่เพื่อสังเกตลักษณะของแป้ง เช่น ความใส ความเหนียว ความหนืด 4.สังเกตการเปลี่ยนแปลง และบันทึกผลการทดลอง


ตารางบันทึกผลการทดลอง ชนิดแป้ง ลักษณะของแป้ง ลักษณะแป้งที่เกาะบนแท่ง ก่อนได้รับความร้อน หลังได้รับความร้อน แก้วหลังได้รับความร้อน 1.แป้งข้าวเหนียว 2.แป้งข้าวเจ้า สรุปผลการทดลอง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ค าถามท้ายกิจกรรม 1.จากการทดลองแป้งแต่ละชนิดหลังได้รับความร้อนมีลักษณะเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร


………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 2.นักเรียนคิดว่าอะไรเป็นสาเหตุท าให้ลักษณะของแป้งก่อนและหลังได้รับความร้อนมีความแตกต่างกัน ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ตารางบันทึกผลการทดลอง สรุปผลการทดลอง แป้งข้าวเหนียวและแป้งข้าวเจ้าจะมีลักษณะที่แตกต่างกันซึ่งน้ าแป้งก่อนได้รับความร้อน มีลักษณะขุ่นแต่เมื่อ ได้รับความร้อนแล้วจะมีลักษณะใสขึ้นและหนืดโดยสัดส่วนของอะไมโลส และอะไมโลเพกทิินในแป้งมีผลต่อ สมบัติของแป้งโดยทั่วไปแป้งที่มีอะไมโลสปริมาณสูงเมื่อ ท าให้สุกจะดูดซับน้ าได้มากและเกิดการพองตัวได้มาก กว่าเดิมหลายเท่า ค าถามท้ายกิจกรรม 1.จากการทดลองแป้งแต่ละชนิดหลังได้รับความร้อนมีลักษณะเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร แนวทางในการตอบ น้ าแป้งเมื่อได้รับความร้อนจะมีลักษณะแตกต่างกันในแป้งแต่ละชนิด คือแป้งข้าว เหนียว มีลักษณะนุ่มเหนียวและขุ่น แป้งข้าวเจ้ามีลักษณะแข็งร่วน ไม่เหนียว จับตัวเป็นก้อน


2.นักเรียนคิดว่าอะไรเป็นสาเหตุท าให้ลักษณะของแป้งก่อนและหลังได้รับความร้อนมีความแตกต่างกัน แนวทางในการตอบ สาเหตุที่ท าให้ลักษณะของแป้งก่อนและหลังได้รับความร้อนมีความแตกต่างกันแป้งแต่ ละชนิดที่มีสัดส่วนของปริมาณอะไมโลส และอะไมโลเพกทิน แตกต่างกันท าให้แป้งมีสมบัติต่างกัน


Click to View FlipBook Version