The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ชุดที่ 4 การดำรงชีวิตของพืช

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Anocha Utumsakulrat, 2022-04-23 08:14:38

ชุดที่ 4 การดำรงชีวิตของพืช

ชุดที่ 4 การดำรงชีวิตของพืช

ชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ ตามแนวคิดโยนิโสมนสิการ

หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 4 เรื่อง การดำรงชีวิตของพชื

วชิ าวทิ ยาศาสตร์ 1 ว21101

สอนโดย
นางสาวอโนชา อุทุมสกุลรัตน์

ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครชู ำนาญการพิเศษ

ปกี ารศึกษา 2565

สำหรับนักเรียนชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 1 โรงเรยี นสุวรรณารามวิทยาคม
ชือ่ -สกุล..................................................ชน้ั .........เลขท.่ี .......

สารบญั

บทนำ................................................................................................................................ หน้า

คำช้ีแจงการใชช้ ุดกิจกรรม................................................................................................ ก

แบบประเมนิ ตนเองก่อนเรียน........................................................................................... 1
1
หน่วยการเรยี นรู้เร่ือง การดำรงชวี ิตของพืช .......................................... 1
2
ขั้นพัฒนาปัญญา 9
13
การสบื พนั ธแ์ุ ละการขยายพันธพ์ุ ชื ดอก ........................................................... 18
19
-กิจกรรมที่ 1 การถ่ายเรณูเกิดข้นึ ได้อย่างไร ………………………………… 20
21
-กจิ กรรมที่ 2 เมล็ดงอกไดอ้ ยา่ งไร …….………………………………… 26
27
-กจิ กรรม รว่ ม กนั คดิ 1 ....................................................... 29
32
-กิจกรรม รว่ ม กนั คิด 2 ....................................................... 38
39
-แบบฝกึ หัดทา้ ยบทเรียนเรอื่ งการสืบพนั ธแุ์ ละการขยายพันธุพ์ ชื ดอก.. 39
41
การสังเคราะห์ด้วยแสง ..................................................................................... 41
42
-กจิ กรรมที่ 3 ปจั จัยในการสรา้ งอาหารของพืชมีอะไรบา้ ง ……………… 47

-กิจกรรมที่ 4 การสงั เคราะหด์ ้วยแสงได้ผลผลิตใดอีกบ้าง ………………

การลำเลยี งน้ำ ธาตอุ าหาร และอาหารของพชื ………………………………………...

-กิจกรรมที่ 5 ธาตุอาหารสำคัญตอ่ พืชอยา่ งไร……………………………….

-กิจกรรมท่ี 6 พชื ลำเลยี งนำ้ และธาตอุ าหารอยา่ งไร ………………………..

-กิจกรรม รว่ ม กัน คดิ 2 .......................................................

ขน้ั นำปญั ญาพฒั นาความคดิ

-กจิ กรรม ทำอยา่ งไรใหพ้ ชื มีผลผลติ ตามต้องการ …………………..………

ข้นั นำปญั ญาพัฒนาตนเอง

-กิจกรรม สบื ค้นข่าว ………………………………..…………………………

แบบประเมนิ ตนเองหลังเรียน...........................................................................................

อา้ งองิ ................................................................................................................................

บทนำ

ชุดกิจกรรมท่ีผู้เรียนจะได้ศึกษานี้เรียกว่าชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ตามแนวคิดแบบโยนิโสมนสิการ
หน่วยการเรียนรู้เร่ือง การดำรงชีวิตของพืช เป็นส่ือวิทยาศาสตร์ที่เน้นให้ผู้เรียนมีความสามารถในการคิด
แก้ปัญหาอย่างมีระบบ พบคำตอบของปัญหาหรือสถานการณ์น้ันด้วยตนเอง ส่งผลให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
ด้วยตนเอง ไดค้ ดิ และลงมือปฏิบัตกิ ิจกรรมต่าง ๆ และ เพือ่ ใหเ้ กิดประโยชน์สงู สดุ นกั เรียน

ชดุ กิจกรรมวทิ ยาศาสตร์ตามแนวคิดแบบโยนิโสมนสิการเนื้อหาส่วนใหญ่เน้นการให้นักเรยี นสามารถ
นำไปประยุกต์ใชป้ ระโยชน์ในชีวติ ประจำวันเพื่อให้นักเรียนสามารถเรียนรู้เน้ือหาได้ด้วยตนเองจึงได้เรียบเรียง
เน้ือหาให้กระชับและน่าสนใจและนอกจากน้ียังได้แทรกรปู ภาพและคำถามชวนคิดไว้ตลอดทำให้ไม่เบื่อในการ
อา่ นและทำกจิ กรรม

ผู้จัดทำชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ตามแนวคิดแบบโยนิโสมนสิการหวังเป็นอย่างยิ่งวา่ เอกสารชุดนี้จะมี
ประโยชน์ในการเรียนรู้เนื้อหาตามหลกั สตู ร ผเู้ รียนมีความรแู้ ละความสามารถในการสืบคน้ การจัดระบบสิ่งท่ี
เรยี นรู้ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ เพื่อสรา้ งองค์ความรู้ ได้เป็นอย่างดีสามารถนำความรู้ท่ีได้จากการ
เรียนรไู้ ปปรบั ใช้ในชีวิตประจำวันได้ และเป็นประโยชน์สำหรบั ผู้ท่ีสนใจใชเ้ ป็นแนวทาง ในการจดั กระบวนการ
เรยี นรู้ กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีไดต้ ่อไป

...........................................
( นางสาวอโนชา อุทมุ สกุลรัตน์ )
ผู้จัดทำชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์



คำชีแ้ จงการใช้ชุดกจิ กรรมวทิ ยาศาสตรต์ ามแนวคดิ แบบโยนโิ สมนสกิ าร
เร่ือง การดำรงชวี ติ ของพืช

1. สาระที่ 2 วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ
มาตรฐาน ว 1.2 เขา้ ใจสมบัตขิ องส่งิ มชี วี ติ หน่วยพนื้ ฐานของสิง่ มีชวี ติ การลาเลยี งสารเขา้ และออก

จากเซลล์ความสัมพนั ธข์ องโครงสรา้ งและหน้าท่ขี องระบบตา่ ง ๆ ของสัตวแ์ ละมนุษย์ทีท่ างานสมั พันธก์ ัน
ความสัมพนั ธข์ องโครงสร้างและหน้าที่ของอวยั วะต่าง ๆ ของพชื ท่ที างานสัมพนั ธ์กนั รวมท้งั นำความรู้ไปใช้
ประโยชน์
2. มาตรฐานการเรียนรู้ / ตวั ชวี้ ดั เร่อื งหนว่ ยพนื้ ฐานของส่งิ มีชีวิต ชดุ นี้ ใช้เวลา 21 ชว่ั โมง

มาตรฐานการเรียนรู้ /ตวั ชี้วดั ว 1.2 ม.1/6, ม.1/7, ม.1/8, ม.1/9, ม.1/10, ม.1/11, ม.1/12,
ม.1/13, ม.1/14, ม.1/15, ม.1/16, ม.1/17, ม.1/18

3. วธิ ีเรยี นรู้จากชุดกจิ กรรมน้ีเพอื่ ใหเ้ กดิ ประโยชน์สูงสุดนกั เรยี นควรปฏบิ ัติตามคำช้ีแจง ต่อไปน้ี
ตามลำดับ

1. ชุดกจิ กรรมวิทยาศาสตรส์ องภาษาตามแนวคิดแบบโยนโิ สมนสิการ เร่อื ง หน่วยพ้นื ฐานของ
สง่ิ มีชวี ติ ชดุ นี้ ใชเ้ วลาในการศึกษา 21 ชั่วโมง
2. ใหน้ ักเรียนจัดกลมุ่ ๆ ละประมาณ 6 คน
3. ใหน้ ักเรยี นศกึ ษามาตรฐานการเรียนรู้ / ตัวช้วี ดั ของชดุ การเรียน
4. ให้นกั เรยี นปฏบิ ตั กิ ิจกรรมในชดุ กิจกรรมวิทยาศาสตร์ตามแนวคิดแบบโยนโิ สมนสิการ โดยใช้

รูปแบบการเรียนรแู้ บบโยนิโสมนสิการตามขัน้ ตอนดงั นี้
1. ข้ันพฒั นาปญั ญา
2. ขัน้ นำปัญญาพัฒนาความคดิ
3. ขั้นนำปัญญาพัฒนาตนเอง

4. สาระสำคญั
พืชดอกทกุ ชนดิ สามารถสบื พันธ์ุแบบอาศัยเพศได้ นอกจากน้ันบางชนิดยังพบการสบื พันธแ์ุ บบไม่อาศัย

เพศด้วยการสืบพันธ์ุแบบอาศัยเพศของพืชดอกเกิดขึ้นที่ดอกโดยทั่วไปดอกประกอบด้วย กลีบเล้ียง กลีบดอก
เกสรเพศผู้ และเกสรเพศเมีย ภายในอับเรณูของเกสรเพศผมู้ ีเรณูทำหน้าที่สรา้ งสเปิร์ม ภายในออวุลของเกสร
เพศเมียมีถุงเอ็มบริโอทำหน้าท่ีสร้างเซลลไ์ ข่ ซึง่ ต้องมีการถ่ายเรณู จากอับเรณูไปยังยอดเกสรเพศเมีย นำไปสู่
การปฏิสนธิระหว่างสเปิรม์ กับเซลล์ไข่ และระหวา่ งสเปริ ์มกบั โพลารน์ ิวคลไี อในถงุ เอม็ บริโอ หลังการปฏสิ นธิจะ
ได้ไซโกตและเอนโดสเปิร์ม ไซโกตจะพัฒนาต่อไปเป็นเอ็มบริโอ โดยมีเอนโดสเปิร์มเป็นอาหารสะสมสำหรับ
เลี้ยงเอ็มบริโอ ส่วนออวุลพัฒนาไปเป็นเมล็ด และรังไข่พัฒนาไปเป็นผล ผลและเมล็ดเมื่อเจรญิ เติบโตเต็มที่จะ
กระจายออกจากต้นโดยวิธีการต่าง ๆ เม่ือเมลด็ ไปตกในสภาพแวดลอ้ มท่ีเหมาะสมจะงอกเป็นต้นใหม่ ส่วนการ
สืบพนั ธ์ุแบบไม่อาศัยเพศ เปน็ การสืบพันธท์ุ ่พี ชื ตน้ ใหม่พฒั นาและเจริญเติบโตมาจากเน้ือเย่อื สว่ น ตา่ ง ๆ ของ
พืชต้นเดมิ

มนษุ ย์นำความรู้เรือ่ งการสบื พนั ธ์แุ บบอาศยั เพศและไม่อาศัยเพศของพชื มาใช้ในการขยายพันธพ์ุ ืช ซ่ึง
การเลอื กวิธีการขยายพนั ธพุ์ ชื ควรเลือกใหเ้ หมาะสมกบั ชนิดพืชและความต้องการของมนษุ ย์

*** ขอให้นกั เรยี นทุกคนได้เรียนรู้วทิ ยาศาสตรอ์ ยา่ งมีความสขุ ***



แบบประเมนิ ตนเองก่อนเรียน

คำชี้แจง : ใหน้ กั เรยี นเลือกคำตอบที่ถกู ตอ้ งทีส่ ดุ เพียงคำตอบเดยี ว ใช้เวลา 20 นาที
1. จากภาพ เขียน O ลอ้ มรอบคำว่า “ใช”่ หรือ “ไม่ใช”่ ในแตล่ ะข้อความที่เกย่ี วขอ้ งกับการสืบพันธแุ์ บบอาศัย
เพศของพืชดอก ถ้าไม่ใชใ่ หแ้ ก้ไขให้ถกู ต้อง

ข้อความ ใช่ หรือ ไม่ใช่

ส่วนทเ่ี กีย่ วข้องกับการสรา้ งเซลล์สืบพนั ธ์เุ พศผู้ คือ สว่ น A ใช่ ไม่ใช่

สว่ นที่เกี่ยวขอ้ งกบั การสร้างเซลล์สืบพนั ธุเ์ พศเมีย คือส่วน B ใช่ ไม่ใช่

การปฏสิ นธเิ กดิ ข้นึ ท่สี ว่ น C ใช่ ไม่ใช่

หลงั จากเกดิ การปฏิสนธิ ส่วน D จะพฒั นาไปเป็นเมลด็ ใช่ ไมใ่ ช่

ถา้ ตอ้ งการถา่ ยเรณูใหก้ ับพชื ชนิดนี้ ต้องนำเรณูจากสว่ น A ไปวางบนส่วน B ใช่ ไม่ใช่

2. การสบื พันธุ์แบบอาศยั เพศของพชื ดอกมขี ัน้ ตอนเรยี งตามลำดับอยา่ งไร

ก. การเกดิ เมล็ด การถ่ายเรณู การปฏิสนธิ ข. การถ่ายเรณู การปฏิสนธิ การเกิดเมล็ด

ค. การปฏิสนธิ การถา่ ยเรณู การเกดิ เมล็ด ง. การถ่ายเรณู การเกดิ เมลด็ การปฏสิ นธิ

3. ในการทดลองเพื่อศึกษาการเกิดเมล็ดโดยแบ่งพืชชนิดเดียวกันออกเป็น 4 กลุ่ม แต่ละกลุ่มปลูกห่างกัน

ทดลองโดยเด็ดส่วนประกอบบางส่วนของดอกออกไปแต่บางส่วนยังคงไว้ ดังตาราง จากน้ันปล่อยให้เกิดการ

ผสมพันธ์ุตามธรรมชาติ

กลมุ่ กลบี เลี้ยง กลบี ดอก เกสรเพศผู้ เกสรเพศเมีย

1√ √ × √

2√ √ × ×

3× × √ ×

4× × √ √

เคร่ืองหมาย √ แสดงส่วนประกอบท่ยี งั คงอยู่

เครื่องหมาย × แสดงสว่ นประกอบท่ีถกู เด็ดออกไป

ขอ้ ความใดไมถ่ ูกตอ้ ง

ก. พืชกลมุ่ ท่ี 1 ตดิ ผล เพราะเกดิ การถ่ายเรณูมาจากดอกของพืชกลุ่มอืน่

ข. พืชกลุ่มที่ 2 ไมต่ ิดผล เพราะไม่มกี ลีบดอกดึงดูดแมลงจึงไมม่ กี ารถ่ายเรณู

ค. พืชกลมุ่ ที่ 3 ไมต่ ดิ ผล เพราะไม่มรี งั ไข่ จึงไม่เกดิ การปฏสิ นธิ

ง. กล่มุ ท่ี 4 ติดผล เพราะเกิดการถา่ ยเรณูได้จากอับเรณใู นดอกเดียวกัน

อ่านขอ้ ความแลว้ ตอบคำถามขอ้ 4-5
บัวหลวงเป็นพืชน้ำท่ีมีประโยชน์หลายอย่าง ทงั้ เพ่ือเป็นไม้ประดบั และเพอ่ื นำสว่ นตา่ ง ๆ มาใช้

ประโยชน์ เชน่ นำไหลและเหง้ามาเป็นอาหาร ใช้ใบในการห่ออาหาร รวมทัง้ ยงั มกี ารนำดบี ัวหรือตน้ อ่อนใน
เมล็ดมาทำเปน็ ส่วนผสมของยาโบราณอกี ด้วย

ดบี วั
ใบเลย้ี ง

4. จากภาพ ข้อใดกล่าวถูกตอ้ ง

ก. ดีบวั เป็นสว่ นหน่งึ ของเอม็ บรโิ อ ข. ดบี ัวเปลย่ี นแปลงมาจากผนังออวุล

ค. ดบี ัวเป็นแหล่งอาหารขณะเมล็ดงอก

ง. ดบี วั เป็นส่วนทจี่ ะงอกออกมาจากเมลด็ เปน็ อบั ดบั แรก

5. จากภาพ เขยี น O ลอ้ มรอบคำวา่ “ใช่” หรอื “ไม่ใช่” ในแต่ละข้อความท่เี กี่ยวข้องกบั บัวหลวง ถ้าไม่ใชใ่ ห้

แก้ไขใหถ้ กู ตอ้ ง

ข้อความ ใช่ หรือ ไม่ใช่
ไหลเป็นส่วนของรากบวั ใช่ ไมใ่ ช่
บัวใชไ้ หลในการสืบพนั ธุแ์ บบไมอ่ าศยั เพศ ใช่ ไมใ่ ช่
เมลด็ บัวสามารถกระจายไปไดโ้ ดยน้ำ ใช่ ไม่ใช่

6. เมลด็ พชื ชนิดหนึ่งสามารถงอกได้ดที ี่อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซยี ส เม่ือนำเมล็ดพืชชนดิ นี้ใสใ่ นหลอดทดลองดัง
ภาพเมลด็ ในหลอดใดมีโอกาสงอกได้

ก. หลอด A และ D ข. หลอด B และ C
ค. หลอด B และ D ง. หลอด C และ E

ข้อความต่อไปนีใ้ ช้ตอบคำถามขอ้ 7 และ 8
“เนือ้ และน้ำมะพร้าว เปน็ อาหารสะสมในเมลด็ ซ่ึงต้นออ่ นของมะพรา้ วจะใชเ้ ป็นแหล่งอาหารในขณะ

งอก แต่มะพรา้ วบางผลมเี นือ้ และน้ำแตกต่างจากมะพร้าวท่ัวไปโดยมีเนื้อฟู หนานุม่ มนี ้ำข้นเหนียว เรียกว่า
มะพร้าวกะทิ ทำใหต้ ้นออ่ นของมะพรา้ วกะทไิ มส่ ามารถใชเ้ นือ้ ของมะพรา้ วกะทิเปน็ แหลง่ อาหารสำหรบั การ
เจริญเตบิ โตได้ ในธรรมชาติจงึ ไม่มตี ้นมะพรา้ วทเี่ จรญิ จากเมลด็ ของมะพรา้ วกะทิ”

7. น้ำและเน้ือของมะพรา้ ว คือสว่ นประกอบใดของเมล็ด

ก. เอ็มบริโอ ข. รากแรกเกดิ ค. เอนโดสเปริ ์ม ง. เปลอื กหมุ้ เมล็ด
ค. เพาะเมล็ด ง. เพาะเลีย้ งเนื้อเยอ่ื
8. ถา้ ต้องการขยายพันธ์ุมะพรา้ วกะทิ ควรใชว้ ธิ ีใด

ก. ปักชำ ข. ตอนกง่ิ

ภาพตอ่ ไปนใ้ี ช้ตอบคำถามข้อ 9 – 10

9. จากภาพ และขอ้ มลู ต่อไปน้ี ขอ้ ใดถกู ตอ้ ง

1. สง่ิ ทพ่ี ืชใชใ้ นการสังเคราะห์ดว้ ยแสง คือ A และ D

2. ผลผลิตทไ่ี ดจ้ ากการสังเคราะหด์ ว้ ยแสง คือ B และ C

3. พืชลำเลยี ง C ผา่ นไซเลม็

4. พชื ลำเลยี ง D ผา่ นโฟลเอ็ม

ก. ข้อ 1 และ 2 ข. ข้อ 1 และ 3 ค. ข้อ 2 และ 3 ง. ข้อ 3 และ 4

10. A B C D คืออะไร ตามลำดบั
ก. น้ำตาล น้ำ แก๊สออกซเิ จน แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์
ข. แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ แกส๊ ออกซิเจน น้ำ น้ำตาล
ค. แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ แกส๊ ออกซเิ จน น้ำตาล น้ำ
ง. แกส๊ ออกซิเจน น้ำตาล แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ น้ำ

ใช้สถานการณ์ต่อไปน้ี ตอบคำถามข้อ 11-12
นักเรียนคนหนงึ่ ทดลองวางต้นพืชท่ีปลูกในกระถางไว้ในท่ีมืด 2 วัน จากนั้นนำกระดาษทึบเจาะรูปดาว

ไปปดิ ทับกบั ด้านบนและด้านลา่ งของใบ โดยให้ชอ่ งท่เี จาะเปน้ รปู ดาวอยดุ่ ้านบนของใบ ดังภาพ นำต้นพชื ไปวาง
กลางแดด 3 ชั่วโมง จากนน้ั เดด็ ใบพชื มาสกัดคลอโรฟลี ลอ์ อกแลว้ ทดสอบแป้งดว้ ยสารละลายไปโอดีน

11. หลงั การทดสอบแป้งด้วยสารละลายไอโอดนี ส่วนใดบ้างทสี่ ีของสารละลายไอโอดีนเปลีย่ นจากสนี ้ำตาลเป็น
สีน้ำเงนิ เขม้

ก. สว่ น A และ B ข. สว่ น A และ C ค. ส่วน B และ C ง. สว่ น B และ D
12. จดุ ประสงคข์ องการทดลองนคี้ อื ข้อใด

ก. แป้ง เกดิ ขน้ึ ในระหวา่ งการสังเคราะหด์ ว้ ยแสง
ข. คลอโรฟลิ ลแ์ ละแสง จำเปน็ ต่อการสังเคราะหด์ ้วยแสง
ค. แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ จำเปน็ ต่อการสังเคราะห์ดว้ ยแสง
ง. ไอโอดีน ใชท้ ดสอบแป้งในกระบวนการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง
ใชส้ ถานการณ์ในการทดลองของโจเซฟ พรสิ ตล์ ยี ์ (Joseph Priestley) ตอบคำถามขอ้ 13

13. เขยี น O ล้อมรอบคำวา่ “ใช่” หรือ “ไมใ่ ช่” ในแตล่ ะข้อความทเี่ กีย่ วขอ้ งกับสถานการณใ์ นภาพ ถ้าไม่ใช่ให้

แกไ้ ขให้ถกู ต้อง

ข้อความ ใช่ หรือ ไม่ใช่

เหตทุ ่หี นูในภาพ b ตายเพราะในครอบแกว้ ไมม่ ีแก๊สออกซเิ จน ใช่ ไมใ่ ช่

เหตุที่หนใู นภาพ d ไม่ตายเพราะในครอบแกว้ มแี ก๊สออกซิเจน ใช่ ไมใ่ ช่

ภาพ c และ d มีการสังเคราะห์ด้วยแสงเกดิ ขนึ้ ใช่ ไม่ใช่

14. เพราะเหตุใด เมื่อปลกู พชื ในกระถางและเจรญิ เติบโตไปไดร้ ะยะหนง่ึ จึงควรเปลย่ี นดินในกระถาง

ก. เพราะรากพชื ดดู น้ำไมไ่ ด้ ข. เพราะดแู ลรักษาพชื ยากขนึ้

ค. เพราะต้นพืชมีทรงไม่สวยงาม ง. เพราะดินเดิมมีธาตอุ าหารนอ้ ยลง

ใช้ภาพและข้อมูลต่อไปนี้ตอบคำถามข้อ 15

ชาวสวนขยายพันธชุ์ ะอมโดยใช้มดี ควั่นสว่ น A รอบกิง่ ของชะอมออกยาวประมาณ 2 นิ้ว จากนั้นนำต้มุ

ตอนมาห้มุ ส่วนที่ควนั่ ออก ไมน่ านเปลือกตน้ ชะอมเหนือส่วนทค่ี ว่ันออกมีรากงอกออกมา

15. สว่ น A มเี นื้อเยือ่ ลำเลียงชนดิ ใด และการควน่ั ส่วน A ออก สง่ ผลอย่างไรต่อก่งิ ทข่ี ยายพันธุ์ดว้ ยวธิ ีน้ี
ก. สว่ น A มไี ซเลม และการควนั่ ส่วน A ออกส่งผลใหต้ ้นชะอมลำเลียงน้ำจากรากขึน้ สู่ใบของกิง่ นีไ้ มไ่ ด้
ข. ส่วน A มโี ฟลเอม็ และการคว่ันสว่ น A ออกสง่ ผลให้ต้นชะอมลำเลยี งน้ำจากใบไปสรู่ ากของตน้ นไ้ี มไ่ ด้
ค. สว่ น A มไี ซเล็ม และการคว่ันส่วน A ออกส่งผลให้ต้นชะอมลำเลียงอาหารจากสว่ นล่างรอยควั่นไปสู่ใบ

ของกิ่งนี้ไมไ่ ด้
ง. สว่ น A มีโฟลเอ็ม และการควัน่ ส่วน A ออกสง่ ผลใหต้ น้ ชะอมลำเลียงอาหารจากใบของก่ิงนี้ไปสู่สว่ นลา่ ง

รอยควัน่ ไมไ่ ด้

คะแนนเตม็ 15 คะแนน
ได้ ........... คะแนน

หน่วยที่ 4 การดำรงชวี ิตของพืช

เวลา 21 ชว่ั โมง

ขั้นพฒั นาปญั ญา กิจกรรม ฝึ กอ่าน : ฝึ กคิด

1. การสบื พนั ธ์แุ ละการขยายพันธ์ุพชื ดอก

พชื ดอกทุกชนดิ สามารถสืบพนั ธุ์แบบอาศัยเพศได้ นอกจากน้ันบางชนิดยังพบการสืบพันธ์ุแบบไมอ่ าศัย
เพศด้วยการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศของพืชดอกเกิดข้ึนที่ดอกโดยทั่วไปดอกประกอบด้วย กลีบเล้ียง กลีบดอก
เกสรเพศผู้ และเกสรเพศเมีย ภายในอับเรณูของเกสรเพศผูม้ ีเรณูทำหน้าที่สร้างสเปิร์ม ภายในออวุลของเกสร
เพศเมียมีถุงเอ็มบริโอทำหน้าท่ีสร้างเซลลไ์ ข่ ซ่ึงต้องมีการถ่ายเรณู จากอับเรณูไปยังยอดเกสรเพศเมีย นำไปสู่
การปฏิสนธิระหว่างสเปิรม์ กบั เซลล์ไข่ และระหวา่ งสเปริ ์มกับโพลารน์ ิวคลีไอในถงุ เอม็ บริโอ หลงั การปฏสิ นธจิ ะ
ได้ไซโกตและเอนโดสเปิร์ม ไซโกตจะพัฒนาต่อไปเป็นเอ็มบริโอ โดยมีเอนโดสเปิร์มเป็นอาหารสะสมสำหรับ
เลี้ยงเอ็มบริโอ ส่วนออวุลพัฒนาไปเป็นเมล็ด และรังไข่พัฒนาไปเป็นผล ผลและเมล็ดเม่ือเจรญิ เติบโตเต็มท่ีจะ
กระจายออกจากต้นโดยวิธกี ารต่าง ๆ เมื่อเมล็ดไปตกในสภาพแวดล้อมทเี่ หมาะสมจะงอกเป็นต้นใหม่ สว่ นการ
สืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ เป็นการสืบพันธุ์ที่พืชต้นใหม่พัฒนาและเจริญเติบโตมาจากเน้ือเย่ือส่วนต่าง ๆ ของ
พชื ตน้ เดิม

มนุษย์นำความรเู้ รอื่ งการสบื พนั ธุ์แบบอาศัยเพศและไมอ่ าศัยเพศของพืชมาใช้ในการขยายพนั ธพุ์ ืช ซึ่ง
การเลอื กวิธกี ารขยายพนั ธ์ุพืชควรเลือกให้เหมาะสมกบั ชนดิ พชื และความตอ้ งการของมนุษย์

ทบทวนความรู้ก่อนเรยี น 1

จากรูปโครงสรา้ งของดอก เขยี นชอ่ื และหนา้ ท่ขี องส่วนประกอบของดอก

1

ส่วนใดของดอกทีเ่ กีย่ วข้องโดยตรงกบั การสืบพนั ธุ์แบบอาศยั เพศของพืชดอก

เพราะเหตใุ ด

………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………

………………………………………………………………………………………………………………

การสบื พันธ์แุ บบอาศยั เพศของพชื มขี ้ันตอนอยา่ งไร
…………………………………………………………………………………………………………………..………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………..………………………………………
การถ่ายเรณูเกิดข้นึ ไดอ้ ยา่ งไร มสี ง่ิ ใดบา้ งทช่ี ว่ ยในการถา่ ยเรณู
…………………………………………………………………………………………………………………..………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………..………………………………………

การสบื พนั ธุแ์ บบอาศัยเพศของพชื จะเกิดขึ้นท่ดี อก สว่ นของดอกทท่ี ำหนา้ ที่สรา้ งเซลล์สืบพนั ธเ์ุ พศผู้

คือ เรณู ซึง่ อยู่ในอับเรณูของเกสรเพศผู้ และสว่ นท่ีสร้างเซลล์สบื พนั ธ์ุเพศเมยี คอื ถุงเอม็ บริโอ ซ่ึงอยใู่ นออวลุ

ของเกสรเพศเมีย การสืบพนั ธุ์แบบอาศยั เพศตอ้ งมีการผสมกนั ของเซลลส์ ืบพนั ธ์ุเพศผู้และเซลลส์ ืบพนั ธเ์ุ พศเมีย
จึงต้องมีการเคลือ่ นยา้ ยเรณจู ากอับเรณไู ปยังยอดเกสรเพศเมยี เรณจู ากอบั เรณจู ะไปตกบนยอดเกสรเพศเมยี ได้
อย่างไรนนั้ จะได้ทราบจากการทำกิจกรรมที่ 1

กิจกรรมท่ี 1 การถ่ายเรณเู กิดขนึ้ ไดอ้ ย่างไร

จดุ ประสงค์ : สังเกต รวบรวมข้อมลู และอธบิ ายวิธกี ารถา่ ยเรณขู องพืชดอก
วัสดุและอปุ กรณ์

รายการ ปริมาณ/กลุ่ม

1. ดอกบัวหลวง 2 - 3 ดอก
2. ดอกกลว้ ยไม้ 2 - 3 ดอก
3. ดอกชบา 2 - 3 ดอก
4. ดอกแกว้ 2 - 3 ดอก
5. ดอกมะละกอ
6. แว่นขยาย 3 ดอก
7. ใบมดี โกน 2-3 อัน
2-3 อนั

วิธีการทดลอง (ชมวีดิทศั น์เกี่ยวกับการถา่ ยเรณูของพชื ดอก ของ สสวท.)
1. สังเกตรูปร่างลักษณะ สี กลิน่ และเปรยี บเทียบตำแหนง่ ของเกสรเพศผ้แู ละเกสรเพศเมยี ของดอกพชื
แต่ละชนดิ วาดภาพและบรรยายสิ่งที่สงั เกตได้

2

2. ร่วมกันอภปิ รายเกยี่ วกับลักษณะของดอกทชี่ ่วยให้เกดิ การถ่ายเรณู และคาดคะเนเกย่ี วกับปัจจยั

ภายนอกท่ชี ว่ ยใหเ้ กิดการถ่ายละอองเรณูและคาดคะเนเกี่ยวกับปจั จัยภายนอกทช่ี ว่ ยให้เกดิ การถา่ ย

ละอองเรณูของดอกทศ่ี กึ ษา พรอ้ มทง้ั บอกเหตุผล

3. รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับวิธกี ารเกิดการถา่ ยเรณูของพชื ดอก

4. นำขอ้ มลู การถ่ายเรณูของพืชดอกท่ไี ด้จากการรวบรวมเปรียบเทยี บท่ไี ดจ้ ากการอภิปรายบนั ทึกผล

ผลการทำกิจกรรม

ตาราง บันทกึ ผลการสังเกตรูปร่างลกั ษณะ สี กล่ิน และตำแหน่งของเกสรเพศผูแ้ ละเกสรเพศเมยี ของดอกพชื

ชอ่ื พืช รูปรา่ งลกั ษณะ กลบี เลีย้ ง กลีบดอก เกสรเพศผู้ เกสรเพศเมยี กลน่ิ

แก้ว ดอกเปน็ ช่อดอกมี สีเขยี ว กลีบดอก เกสรเพศผู้มี 10 อัน เกสรเพศเมีย1 อัน มี

ขนาดเลก็ ดอกตมู ขนาดเล็ก สขี าว สั้น 5 อันยาว 5 อัน ก้านเกสรเพศเมีย กล่ิน

รปู ทรงรี ยาว 5-6 กลบี เรียงอยู่รอบเกสร สีเขียว ยอดเกสร

ประมาณ 1.5 cm เพ ศเมีย ความสูง เพศเมียพองออก

ดอกบานมีกลบี ข อ ง อั บ เร ณู ข อ ง เป็น ตุ่ม สีเหลือง

ดอกแยกจากกนั เกสรเพศผู้อันยาว เ ข้ ม ท่ี ย อ ด มี

อยู่ในระดับเดียวกับ ของเหลวเหนยี ว

ยอดเกสรเพศเมยี

บวั หลวง ดอกเด่ียวมีก้าน ดอกบัวมีกลีบรวมมีจำ เกสรเพศผู้มจี ำ นวน รังไข่มีจำนวนมาก มี

ดอกยาว ดอกตมู มี นวนมาก กลีบช้ันนอกมี มากมี 2 แบบ แบบ ฝั งตั ว อ ยู่ ใน ฐาน กล่ิน

ข น าด ให ญ่ ป ร ะ สีเขียว ช้ันถัดเข้าไปด้าน ท่ี1 มีลักษณะคล้าย ดอกนนู ทม่ี ีลกั ษณะ

มาณ 1 กำมือ เมื่อ ใน มี สี ข า ว ห รื อ ช ม พู กลีบรวมแต่มีขนาด รูปถ้วยโผล่เฉพาะ

ดอกบานจะเห็น (ข้ึนอยู่กับดอกที่สังเกต) เล็กกว่าท่ี ปลายมี ส่วน

เก ส รเพ ศ ผู้ แ ล ะ กลบี ดอกขนาดใหญ่ รยางค์สีขาวแบบท่ี ยอดเกสรเพศเมีย

เกสรเพศ 2เรียงตัวถัดเข้าไป ออกมาก้านเกสร

เมยี ชัดเจน จากแบบแรกมีก้าน เพ ศเมี ยสั้น ยอ ด

เกสรเพศผู้สั้นมีอับ เกสรเพศเมียคล้าย

เรณู สี เห ลือ งยาว จาน ขน าดเล็ก มี

ป ร ะ ม า ณ 1 ของเหลวเหนียว

เซนติเมตรท่ีปลายมี รงั ไขเ่ ป็นรปู ทรงรี

ร ย า ง ค์ สี ข า ว

ตำแหนง่ ของอับเรณู

อยู่บริเวณก่ึงกลาง

ของฐานดอกนูน

กล้วยไม้ ดอกเปน็ ช่อ ดอก กลีบเลยี้ ง กลบี ดอกมี เกสรเพศผูแ้ ละเกสรเกสรเพศเมียเชื่อมตดิ ไม่มี

ตมู มสี เี ขียวรูปร่าง มี 3 กลีบ 3 กลีบแยก กนั เปน็ โครงสรา้ งเรยี กว่า เสา้ เกสร กลน่ิ

คล้ายรองเท้าดอก รูปขอบ จากกนั สว่ นบน สุดเปน็ อับเรณูทม่ี ีฝาปิด ถัดจาก

บานสีม่วงแดง (สี ขนาน กลบี ดอก1 อบั เรณคู อื ยอดเกสรเพศเมยี ทม่ี ลี กั ษณะ

ขน้ึ กับดอกท่ี ปลาย กลีบมี เป็นแอ่ง มีของ เหลวเหนียวอยูใ่ นแอ่งมีรัง

สงั เกต) ขนาดใหญ่ แหลม ลักษณะ ไขเ่ ชื่อมลงมาจาก ยอดเกสรเพศเมีย

3

กลบี แยกจากกนั ด้านหลงั แตกตา่ ง
ชัดเจน
สีขาวดา้ น จากอีก
ชบา ดอกบานมีขนาด
ใหญ่ กลีบดอก หนา้ สมี ว่ ง 2 กลีบ
แยกจากกันมีก้าน
ชูเกสรเพศผแู้ ละ (สขี ้ึนกบั เรยี กว่า
เกสรเพศเมียยนื่
ออกมาจากกลาง ดอกท่ี กลบี ปาก
ดอก เหน็ ชดั เจน
สังเกต) ด้านหลงั
มะละกอ ดอกขนาด
(ดอก เลก็ มรี ปู รา่ ง กลบี ดอก สี
สมบรู ณ์ เปน็ หลอดท่ี
เพศ) ปลายกลีบ ขาวดา้ น

แยกจากกนั หนา้ สมี ว่ ง

(สีขน้ึ กบั

ดอกที่

สงั เกต)

กลีบเล้ียง กลีบดอกมี ก้านเกสรเพศผู้เช่ือม เกสรเพสเมียมี 1 ไมม่ ี

สเี ขียวท่ี ขนาดใหญ่ ติดกันเป็นหลอดห่อ อัน รังไข่และก้าน กล่ิน

ฐานกลีบ สีแดง ขาว หุ้มก้าน เกสรเพ ศ เก สรเพ ศเมียถูก

เช่อื มติด ชมพู ส้ม เมียไว้และ รังไข่ ที่ ก้านเกสรเพศผู้หุ้ม

กนั เป็น (สขี ้ึน อยู่ ปลายมีก้าน เก สร ไว้ ยอดเกสรเพศ

หลอด กบั ดอกท่ี เพศผู้อันเล็กๆ จำ เมี ย อ ยู่ สู ง ข้ึ น ไป

ปลายกลีบ สงั เกต) นวนมากอับเรณูสี จากอับเรณู ยอด

แยกจาก จำนวน 5 เหลอื งเห็นชัดเจน เกสรเพศเมียแยก

กันเปน็ 5 กลบี ทโี่ คน กันเป็น 5 แฉก มี

กลีบทโ่ี คน เชอ่ื มกัน รูป ร่างค่ อ น ข้ า ง

หลอด เลก็ นอ้ ย ก ล ม มี ข น เส้ น

กลบี มรี ิ้ว เลก็ ๆ เมอ่ื ดอกบาน

ประดบั สี จะเห็น เกสรเพ ศ

เขียว เมียชัดเจน

กลีบเลี้ยง กลบี ดอก เกสรเพศผู้จำนวน 5 เกสรเพศเมียมีจำ มี

มขี นาด สีเหลือง อัน อับเรณูติด อยู่ นวน1 อัน รังไข่รูป กลนิ่

เลก็ มาก อมเขียว บนหลอดกลีบดอก ร่างรียาวกา้ นเกสร

5 กลีบ ทโ่ี คนกลบี ระดับความสูงต่ำ เพ ศเมี ยส้ัน ยอ ด

เชอ่ื มติด กว่ายอดเกสรเพศ เกสรเพศแยกเป็น

กันเป็น เมยี 5 แฉกแต่ละแฉก

หลอด จะแตกแขนงเลก็ ๆ

ปลายกลีบ

แยกจาก

กนั 5 กลีบ

รปู รา่ งขอบ

ขนาน

4

ปลาย

แหลมกลีบ

บดิ เล็กนอ้ ย

มะละกอ ดอกขนาดเล็ก มี กลีบเลี้ยง กลบี ดอก เกสรเพศผู้จำนวน 5 ไม่มี มี

(ดอก รูปรา่ งเปน็ หลอดที่ มีขนาด สีเหลอื ง อนั อบั เรณูตดิ อยู่ กลน่ิ

เพศผู้) ปลายกลีบแยก เล็กมาก 5 อมเขยี ว ท่ี บนหลอดกลีบดอก

จากกนั กลบี โคนกลีบ

เช่ือมตดิ

กันเปน็

หลอด

ปลายกลีบ

แยกจาก

กนั 5 กลีบ

รปู ร่างขอบ

ขนาน

ปลาย

แหลม

กลบี บดิ

เล็กน้อย

มะละกอ ดอกขนาดเล็ก มี กลบี เลีย้ ง กลบี ดอกสี ไมม่ ี เกสรเพศเมียมีจำ มี

(ดอก รปู ร่างเปน็ หลอดท่ี มขี นาด เหลืองอม นวน 1 อันรังไข่รูป กล่นิ

เพศ ป ล าย ก ลี บ แ ย ก เลก็ มาก เขียว ที่ ร่างค่อนขา้ งกลม

เมีย) จากกนั 5 กลีบ โคนกลบี ก้านเกสรเพศเมีย

เช่ือม สน้ั ยอดเกสรเพศ

ตดิ กนั เปน็ แยกเป็น 5 แฉก

หลอด แตล่ ะแฉกจะแตก

ปลาย แขนงเล็กๆ

กลีบแยก

จากกนั 5

กลบี รูป

ร่างขอบ

ขนาน

ปลาย

แหลม

กลบี บดิ

เล็กน้อย

5

ผลการอภิปรายเกยี่ วกับสิง่ ท่ีช่วยในการถ่ายเรณขู องพชื ดอกแต่ละชนดิ

พืช สิง่ ทชี่ ว่ ยในการถา่ ยเรณู เหตุผล

สัตว์ เชน่ นก แมลงตา่ ง ๆ ดอกบัวมีขนาดใหญ่ มีสีสัน มีกลิ่น มีอับเรณูอยู่ต่ำกว่ายอด

บัวหลวง เกสรเพศเมียในดอกเดียวกัน ลักษณะเช่นน้ีสามารถใช้สีสัน

และกล่ินดึงดูดสัตว์ให้ช่วยถ่ายเรณูได้ ท้ังสัตว์ที่มีขนาดใหญ่

เชน่ นกและสัตว์ที่มขี นาดเล็ก เช่นแมลงต่าง ๆ

สตั ว์ เชน่ ผึง้ และแมลงอ่ืน ๆ ดอกกล้วยไม้มีลักษณะที่ค่อนข้างจำเพาะ และมีกลีบปากท่ี

กลว้ ยไม้ ปิดส่วนของเส้าเกสรไว้ กลีบเลี้ยงและกลีบดอกมีสีสัน ไม่มี

กลิ่น ลกั ษณะเช่นนีเ้ หมาะกับการถา่ ยเรณูโดนสตั ว์ที่มีขนาด

ใกลเ้ คยี งกบั กลบี ปาก เชน่ ผึง้ และแมลงอ่นื ๆ

สตั ว์ เช่น ผึง้ และแมลงอื่น ๆ ดอกชบามกี ลีบดอกขนาดใหญ่ มีสีสนั ไม่มกี ลิ่น อบั เรณูและ

และลม ยอดเกสรเพศเมียติดอยู่บนหลอดที่ย่ืนออกมาจากส่วนอื่นๆ

ชบา ของดอก และอับเรณูต่ำกว่ายอดเกสรเพศเมีย ลักษณะ
เช่นนี้สามารถใช้สีสันดึงดูดสัตว์ให้ช่วยถ่ายเรณูได้ ส่วนใหญ่

จะเป็นสัตว์ขนาดเล็กต่าง ๆ ที่สามารถเกาะท่ีอับเรณูแล้ว

สามารถเคล่อื นท่ตี ่อไปยังยอดเกสรเพศเมียได้หรืออาจมีการ

ถ่ายเรณขู า้ มไปยงั ดอกทอี่ ยู่ตำแหนง่ ตำ่ กว่าไดโ้ ดยลม

สตั ว์ เช่น ผ้งึ และแมลงอื่น ๆ ดอกแกว้ มีขนาดเลก็ กลบี ดอกสีขาว มกี ล่ิน อบั เรณูอยู่

แก้ว ล้อมรอบยอดเกสรเพศเมีย ลกั ษณะดอกเช่นนี้สามารถใช้

กลนิ่ ดงึ ดูดสัตว์ให้ช่วยถา่ ยเรณไู ด้ โดยเฉพาะสัตว์ท่ีมีขนาด

เลก็ เช่น แมลงต่าง ๆ

สตั ว์ เชน่ ผง้ึ และแมลงอน่ื ๆ ดอกมะละกอเป็นทด่ี อกมีท้ังสมบรู ณเ์ พศและไมส่ มบูรณ์

มะละกอ เพศ จำเปน็ ตอ้ งมสี ่ิงทีช่ ่วยในการถ่ายเรณภู ายในดอก
เดยี วกัน และระหว่างดอก ซ่งึ ดอกมะละกอมีขนาดค่อน

ข้างเล็ก ไม่มีสสี นั แตม่ กี ล่นิ ทช่ี ว่ ยในการดงึ ดูดแมลงทีม่ ี

ขนาดเล็กได้

ผลการรวบรวมขอ้ มลู
..............................................................................................................................................................................

..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................

คำถามทา้ ยกิจกรรม
1. ลกั ษณะตา่ ง ๆ ของดอกมีสว่ นชว่ ยในการถา่ ยเรณูของพชื ดอกหรอื ไม่ อยา่ งไร

คำตอบ ลักษณะต่าง ๆ ของดอกมีส่วนเก่ียวข้องในการถ่ายเรณูของพืชดอก โดยถ้าส่วนของเกสรเพศผู้และ
เกสรเพศเมียอยู่ในระดับเดียวกนั หรือ เกสรเพศผ้สู ูงกว่าเกสรเพศเมีย พชื ชนิดนัน้ กม็ ีโอกาสที่จะถา่ ยเรณไู ด้เอง
แต่ถ้าเกสรเพศผตู้ ำ่ กว่าเกสรเพศเมยี กจ็ ำเปน็ ตอ้ งมสี ่งิ ทีช่ ่วยในการถ่ายเรณูเชน่ ลม สตั ว์

6

2. ปัจจัยภายนอกท่ีชว่ ยในการถ่ายเรณูของพืชดอกมอี ะไรบ้าง
คำตอบ.................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................
3. วิธีการถ่ายเรณจู ากการอภปิ รายเหมือนหรือแตกตา่ งจากข้อมลู ทีไ่ ด้จากการสืบคน้ อยา่ งไร
คำตอบ เหมือนกัน คือ ดอกของพืชแต่ละชนิดมีลักษณะรูปร่างท่ีแตกต่างกัน ซึ่งจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับวิธีการ
ถ่ายเรณูของพืช เชน่ ดอกที่มีกลน่ิ มีสสี นั สดใส จะมีสัตว์ชว่ ยในการถ่ายเรณู แตกต่างกัน คือนอกจากการมีกลีบ
ดอกสสี ันสดใสหรอื มีกลิ่นช่วยในการดึงดูดสัตวใ์ ห้มาชว่ ยถ่ายเรณูแล้ว พืชยังถ่ายเรณูโดยมตี ัวกลางอยา่ งอ่ืนอีก
เช่น ลม น้ำ
4. จากกจิ กรรม สรุปไดว้ ่าอยา่ งไร
คำตอบ.................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................

การถา่ ยละอองเรณู หรอื การถา่ ยละอองเกสร คอื วธิ ีการที่ละอองเกสรตวั ผู้เคล่ือนท่ีไป ตกลงบน

ยอดเกสรตัวเมยี เพอ่ื ใหเ้ กิดการผสมพนั ธ์ในโอกาสตอ่ ไป การถา่ ยละอองเกสรมี 3 แบบ คือ
1. การถ่ายละอองเกสรในดอกเดยี งกนั พืชท่มี ีดอกเป็นดอกสมบูรณเ์ พศ คอื มีเกสรตวั ผู้และตวั เมีย

อยใู่ นดอกเดียวกนั ละอองเกสรตวั ผูส้ ามารถรว่ งหรือ ปลวิ มาตกบนยอดเกสรตัวเมียไดพ้ ชื ทถี่ ่ายละอองเกสรใน
ดอกเดียวกนั ไดแ้ ก่ ถวั่ มะเขอื ฝา้ ยและพชื ท่ีมดี อกสมบรู ณ์เพศอื่น ๆ

2. การถ่ายละอองเกสรข้ามดอกในตน้ เดียวกัน เกดิ กับพชื ท่มี ีดอกไม่สมบรู ณ์ ละอองเกสรตัวผูจ้ ะต้อง
เคล่อื นท่ไี ปตกบนยอดเกสรตวั เมยี ของดอกหน่ึง ในต้นเดียวกนั พืชทีต่ อ้ งถา่ ยละอองเกสรแบบ
น้ี ได้แก่ ฟกั ทอง แตงกวา และพืช ท่มี ีดอกไม่สมบรู ณ์เพศอืน่ ๆ

3. การถ่ายละอองเกสรขา้ งตน้ เกิดกับพืชทีม่ ดี อกตวั ผหู้ รือดอกตวั เมีย อยู่คนละต้น จึงตอ้ งใชใ้ น
การถ่ายละอองเกสรข้ามตน้ พืชทม่ี ีดอกสมบูรณ์เพศ หรอื พชื ที่มีดอกตวั ผู้และดอกตัวเมียอยูใ่ นต้นเดยี วกัน ก็
อาจจะถา่ ยละอองเกสรขา้ มตน้ ได้ โดย อาศัยลมหรือสตั วพ์ าไป

ขั้นท่ี 1 ขัน้ ที่ 2 ขัน้ ท่ี 3

ละอองเรณปู ลวิ ไปตก ละอองเรณงู อกหลอด ละอองเรณูไปผสมกับโอวลุ
บนยอดเกสรตวั เมยี ไปตามเกสรตัวเมีย เกดิ การปฏิสนธิ

ภาพการถ่ายละอองเรณู
ที่มา:http://www.thaigoodview.com/library/sema/sukhothai/chutima_n/plant/sec03p04.html

7

การปฏสิ นธิ คือ เซลลส์ บื พนั ธตุ์ ัวผู้ (ละอองเรณู) ผสมกับเซลล์สบื พันธุ์ตวั เมยี (ไข่ออ่ น) เม่อื เกิดการถ่าย

ละอองรณูละอองเรณตู กลงบนยอดเกสรตัวเมียและ ไดร้ ับอาหารทย่ี อดเกสรตวั เมียงอกหลอดไปตามเกสรตวั
เมีย และเขา้ ไปผสม กับเซลลไ์ ข่ (ไขอ่ อ่ น) ภายในรังไข่
การปฏิสนธิซ้อน

เมื่อละอองเรณูตกลงบนยอดเกสรเพศเมีย ทิวบ์นิวเคลียสของละอองเรณูแต่ละอันจะสร้างหลอด
ละอองเรณูด้วยการงอกหลอดลงไปตามก้านเกสรเพศเมียผ่านทางรูไมโครไพล์ของออวุล ระยะน้ีเจเนอเรทิฟ
นิวเคลียสจะแบบนิวเคลียสแบบไมโทซิสได้ 2 สเปิร์มนิวเคลียส (sperm nucleus) สเปิร์มนิวเคลียสหนึ่งจะ
ผสมกับเซลล์ไข่ได้ไซโกต ส่วนอีกสเปิร์มนิวเคลียสจะเข้าผสมกับเซลล์โพลาร์นิวคลีไอได้ เอนโดสเปิร์ม
(endosperm) เรยี กการผสม 2 คร้ังของสเปริ ์มนวิ เคลียสน้ีว่า การปฏิสนธิซอ้ น (double fertilization)

ภาพการปฏิสนธิซอ้ นของพชื ดอก
ทีม่ า: http://happypa.wikispaces.com/การสบื พนั ธแุ์ ละการเจรญิ เตบิ โตของพชื

การเปล่ียนแปลงของดอกหลังการปฏิสนธิ หลังจากการปฏิสนธิยอดและก้านชูเกสรตัวเมียจะเหี่ยว

ลง กลีบเลี้ยง กลีบดอก เกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียก็จะแห้งแล้วร่วงหลุดไป ส่วนรังไข่และโอวุลจะมีการ
เจริญเติบโตต่อไป โดยรังไข่จะเจริญกลายเป็นผล ส่วนโอวุลจะเจริญไปเป็นเมล็ด ซ่ึงภายในเมล็ดจะเก็บต้น
อ่อนและอาหารสะสมไวภ้ ายในเพ่อื เกิดเป็นตน้ ใหม่ตอ่ ไป

นกั เรยี นทราบหรือไม่ว่าปัจจยั ใดบ้างที่
สง่ ผลต่อการงอกของเมลด็

8

กิจกรรมท่ี 2 เมล็ดงอกไดอ้ ย่างไร
จดุ ประสงค์ :

1. สังเกต รวบรวมข้อมูล และระบสุ ว่ นประกอบและหน้าทข่ี องส่วนประกอบของเมลด็ พชื
2. รวบรวมขอ้ มูล และระบุปจั จยั ในการงอกของเมล็ด
3. อภปิ ราย ลงมือปฏิบัติเพ่อื สังเกตการเปล่ียนแปลงของเมลด็ ขณะงอก
วัสดแุ ละอุปกรณ์

รายการ ปริมาณ/กลุ่ม
1. เมลด็ ถั่วแดง 10 - 15 เมลด็
2. เมลด็ ข้าวโพด 10 - 15 เมล็ด
3. ใบมดี โกน เท่าจำนวนคนในกล่มุ
4. แวน่ ขยาย
5. นำ้ 2 - 3 อนั

วธิ กี ารทดลอง ตอนที่ 1
1. สังเกตลักษณะภายนอก และภายในของเมล็ดถั่วแดงและเมล็ดข้าวโพดโดยใช้ใบมีดโกนผ่าเมล็ดตาม
ยาวบันทกึ ผลโดยการวาดส่วนประกอบของเมลด็

2. สืบค้นข้อมูลเก่ียวกับส่วนประกอบและหน้าที่ของแต่ละส่วนประกอบของเมล็ดถ่ัวแดงและเมล็ดข้าว
โพดเปรียบเทียบส่วนประกอบของเมล็ดกับภาพวาดในเพิ่มเติมหรือแก้ไขภาพที่วาดไว้ให้ถกู ต้อง และ

ระบสุ ว่ นประกอบของเมล็ด

ผลการทำกจิ กรรม ตอนท่ี 1
ตาราง ผลการสังเกตลักษณะภายนอก และภายในของเมล็ดถว่ั แดงและเมล็ดข้าวโพด

เมลด็ พชื ลกั ษณะภายนอก ลกั ษณะภายใน

ถั่วแดง

ขา้ วโพด

9

ตาราง ผลการสืบค้นและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับส่วนประกอบและหน้าที่ของแต่ละส่วนประกอบของเมล็ดถ่ัว
แดงและเมลด็ ข้าวโพด

เมล็ดพชื ส่วนประกอบ หนา้ ทข่ี องส่วนประกอบ
ถัว่ แดง เปลอื กหมุ้ เมล็ด หอ่ หุ้มส่วนประกอบอนื่ ๆ ของเมลด็
เอ็มบรโิ อ
ข้าวโพด ประกอบดว้ ย - จะเจริญเตบิ โตต่อไปเป็นรากแก้ว
- รากแรกเกิด (radicle) - จะเจริญเติบโตเป็นต่อไปลำต้น
- ต้นอ่อน (caulicle) - เป็นแหลง่ อาหารของต้นอ่อนในขณะงอก
- ใบเล้ยี ง (cotyledon) หอ่ หุ้มส่วนประกอบอน่ื ๆ ของเมล็ด
เปลือกหุม้ เมลด็
เอม็ บรโิ อ - จะเจรญิ เตบิ โตต่อไปเป็นรากแกว้
ประกอบดว้ ย - จะเจริญเตบิ โตต่อไปเปน็ ลำต้น
- รากแรกเกดิ (radicle) - สรา้ งเอนไซมม์ าชว่ ยดงึ อาหารจากเอนโดสเปริ ม์ มาใช้
- ต้นออ่ น (caulicle) ขณะงอก
- ใบเลีย้ ง (cotyledon) เป็นแหล่งอาหารของต้นอ่อนในขณะงอก

เอนโดสเปริ ม์

คำถามทา้ ยกจิ กรรม ตอนที่ 1

1. 1.เมล็ดถ่ัวแดงและเมลด็ ข้าวโพดมสี ่วนประกอบเหมอื นหรือแตกต่างกนั อย่างไร
แนวคำตอบ เมล็ดถ่ัวแดงและเมล็ดข้าวโพดมีเปลือกหุ้มเมล็ด และเอม็ บริโอ เหมือนกัน แต่เมล็ดข้าว

โพดมเี อนโดสเปริ ์ม ซึง่ เมล็ดถ่วั แดงไมม่ ี
2. ส่วนประกอบตา่ ง ๆ ของเมล็ดมหี นา้ ท่ีอย่างไร

แนวคำตอบ

- เปลอื กหุ้มเมล็ดเป็นสว่ นทอ่ี ยชู่ ้ันนอกสุดทำหน้าท่ีห่อหุ้มสว่ นประกอบอ่นื ๆ ของเมล็ด
- เอ็มบริโอจะประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ รากแรกเกิด จะเจริญเตบิ โตเป็นรากแก้ว ต้นออ่ น จะเจริญ

เปน็ ลำตน้ และ ใบเลย้ี ง ทำหนา้ ท่เี ปน็ แหล่งอาหารใหแ้ ก่ต้นอ่อนขณะงอก
- เอนโดสเปิรม์ มีหนา้ ทสี่ ะสมอาหารสำหรบั ต้นอ่อนท่กี ำลังงอก
3. จากกจิ กรรมตอนท่ี 1 สรปุ ได้วา่ อย่างไร

.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................

.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
วธิ กี ารทดลอง ตอนที่ 2

1. รวบรวมปัจจัยในการงอกของเมล็ด ออกแบบวิธีการเพาะเมล็ดและตารางบันทึกผลการเปลี่ยนแปลง
ของเมลด็ แตล่ ะชนิดกำลังงอก

10

2. เพาะเมลด็ ถว่ั แดงและเมล็ดข้าวโพดตามวิธีท่ีออกแบบสังเกตการเปลี่ยนแปลงของเมล็ดตั้งแต่เริ่มเพาะ
จนตน้ ถ่วั แดงและต้นข้าวโพดมใี บแทแ้ ทงออกจากเมลด็ บันทึกผล

ผลการทำกจิ กรรม ตอนท่ี 2
ตารางบันทึกผลเพ่ือบนั ทึกการเปลี่ยนแปลงของเมล็ดถ่ัวแดงในแต่ละวัน

วนั ที่ ภาพวาด/ภาพถา่ ย การเปลย่ี นแปลง

เมลด็ ยังไมม่ ีการเปลย่ี นแปลง
1

2 เมล็ดขยายขนาดขึ้น มรี ากสีขาวแทงออกจากเมล็ดแทงฝังลงในทราย

เมล็ดขยายขนาดข้นึ เปลือกหุ้มเมล็ดแตก รากเจริญเติบโตยาวขน้ึ
3 และมรี ากแขนง

รากเจริญเตบิ โตยาวขน้ึ เมล็ดดนั ทรายขน้ึ ไปด้านบน เร่มิ เห็นใบเล้ยี งสี
4 เขยี ว

รากเจริญเติบโตยาวขน้ึ มาก เมล็ดโผล่ขนึ้ เหนอื ทราย เหน็ ลำต้นโค้งงอ
5 เปลอื กหมุ้ เมลด็ หลดุ ออก ใบเลี้ยง 2 ใบ เห็นใบแท้

ลำต้นเจรญิ เติบโตสงู ข้ึน และมีลำต้นส่วนเหนือใบเลีย้ ง ใบเลยี้ งแยก
6 จากกัน 2 ใบ มีใบแท้ 2 ใบ

ลำต้นเจรญิ เติบโตสูงขึน้ ใบเลย้ี งเล็กลง ใบแท้ 2 ใบ กางออก เริม่ มใี บ
7 แทค้ ทู่ ่ี 2

11

ตารางบันทกึ ผลเพ่อื บนั ทกึ การเปล่ยี นแปลงของเมลด็ ข้าวโพดในแต่ละวัน

วันที่ ภาพวาด/ภาพถ่าย การเปล่ียนแปลง

เมล็ดยงั ไมม่ ีการเปลี่ยนแปลง
1

2 เมลด็ ขยายขนาดข้ึน มีรากสีขาวแทงออกจากเมล็ดแทงฝงั ลงใน
ทราย

เมลด็ ขยายขนาดขึน้ เปลือกหุม้ เมล็ดแตก รากเจริญเตบิ โตยาวข้ึน
3 และมรี ากแขนง

รากเจริญเตบิ โตยาวขน้ึ เมลด็ ดันทรายขนึ้ ไปด้านบน เริม่ เหน็ ใบ
4 เล้ยี งสเี ขียว

รากเจริญเติบโตยาวขน้ึ มาก เมลด็ โผลข่ นึ้ เหนอื ทราย เห็นลำตน้
5 โคง้ งอ เปลือกหมุ้ เมล็ดหลุดออก ใบเลยี้ ง 2 ใบ เห็นใบแท้

ลำต้นเจริญเติบโตสูงขนึ้ และมลี ำต้นส่วนเหนอื ใบเลย้ี ง ใบเลยี้ ง
6 แยกจากกนั 2 ใบ มีใบแท้ 2 ใบ

ลำต้นเจริญเติบโตสงู ขนึ้ ใบเลย้ี งเลก็ ลง ใบแท้2 ใบ กางออก เรมิ่
7 มีใบแท้คทู่ ่ี 2

12

คำถามทา้ ยกิจกรรม ตอนที่ 2
1.ปจั จยั ในการงอกของเมลด็ มอี ะไรบา้ ง และปัจจัยเหล่านนั้ มีส่วนชว่ ยในการงอก อย่างไร

แนวคำตอบ ปัจจยั ในการงอกของเมลด็ ได้แก่
- น้ำหรอื ความชน้ื ชว่ ยใหเ้ มล็ดหยดุ การพกั ตัวและพองขยายขนาดขึน้ เปลือกหมุ้ เมล็ดอ่อนตวั ลงทำ
ให้รากแรกเกดิ งอกแทงออกจากเมล็ดได้
- แกส๊ ออกซเิ จน เมลด็ ใช้แก๊สออกซิเจนในกระบวนการสร้างพลงั งานในการงอก
- อุณหภมู ิ อุณหภูมทิ ่ีเหมาะสมจะส่งผลตอ่ กระบวนการทำงานภายในเซลลข์ องเมล็ด

2. วิธกี ารเพาะเมลด็ ของนกั เรยี น จัดให้มีปจั จยั ใดบ้างทช่ี ว่ ยในการงอก เพราะเหตใุ ด
...................................................................................................................................................น...ัก..เ.ร..ีย...น..ท...ร..า..บ...ห..ร. ือไมว่ า่ พืชลำเลียงน
...................................................................................................................................................…...…...…...…...…...…...…...…...…..…………………………
3. การเปลย่ี นแปลงขณะงอกของเมลด็ ถั่วแดงและเมล็ดข้าวโพดเหมือนหรอื แตกตา่ งกนั อยา่ งไ…ร………………………………………………

แนวคำตอบ การเปลี่ยนแปลงขณะงอกของเมล็ดถ่ัวแดงและเมล็ดข้าวโพดแตกต่างกัน โดยขณะที่
เมล็ดข้าวโพดงอก รากแรกเกิดแทงออกจากเมลด็ ในเวลาไลเ่ ล่ยี กันกบั ตน้ อ่อน เมื่อใบแท้ใบแรกเจริญโผล่ขน้ึ พ้น
ดิน เมล็ดจะเหี่ยวและลีบไป ส่วนการงอกของเมลด็ ถ่ัวแดงรากแรกเกดิ จะงอกออกจากเมล็ดก่อนจากนนั้ ตน้ ออ่ น
จะเจริญเติบโตและโผลอ่ อกจากเมลด็ ต้นอ่อนจะงอตัวดึงใบเลยี้ งและยอดอ่อนออกจากเปลือกหุม้ เมล็ด เมื่อต้น
ออ่ นสว่ นใต้ใบเล้ยี งต้ังตรง ต้นอ่อนเหนือใบเล้ียงยืดตวั ใบเล้ียงจะกางออกทำให้เหน็ ใบแทแ้ ละยอดอ่อน

4. จากกจิ กรรมตอนท่ี 2 สรปุ ไดว้ า่ อย่างไร
.............................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................

5. จากกิจกรรมท้งั 2 ตอน สรปุ ไดว้ า่ อย่างไร
แนวคำตอบ เมล็ดจะงอกได้ต้องอยู่ในสภาพท่ีมีน้ำหรือความช้ืน มีแก๊สออกซิเจน และมีอุณหภูมิที่

เหมาะสม ในขณะงอกเมล็ดจะมีการเปล่ยี นแปลง ซึ่งเมล็ดพืชทีม่ ีสว่ นประกอบแตกต่างกัน เมอ่ื มกี ารงอกก็จะมี
การเปล่ยี นแปลงทแี่ ตกตา่ งกัน

ร่วม กนั คดิ 1

จากรูปโครงสรา้ งของเมลด็ เขยี นชื่อและหนา้ ทขี่ องส่วนประกอบลักษณะภายนอก และภายในของเมลด็ ถั่ว
แดงและเมลด็ ขา้ วโพด

เมล็ดถั่วแดง
ลกั ษณะภายนอก

13

ลักษณะภายใน

เมลด็ ข้าวโพด
ลักษณะภายนอก

ลักษณะภายใน

โครงสร้างของเมล็ด

เมลด็ มีสว่ นประกอบดังน้ี
1. เปลือกหุ้มเมล็ด เป็นส่วนที่อยู่นอกสุดทำหน้าท่ีป้องกันอันตรายให้แก่เมล็ด ท่ีด้านเว้าของเมล็ดจะมีรอย
แผลเป็น ซึ่งเป็นส่วนที่เคยติดกับรังไข่ และมีรูไมโครไพล์อยู่บริเวณน้ี ซึ่งรากแรกเกิดจะงอกออกทางรูไมโคร
ไพล์นี้

14

2. เนื้อเมล็ด เป็นสว่ นท่สี ะสมอาหารไวเ้ ลย้ี งตน้ ออ่ น

พืชใบเล้ียงคู่ เนื้อเมลด็ คือ ใบเล้ียง เชน่ พืชตระกลู ถวั่
พชื ใบเลีย้ งเดี่ยว เน้ือเมลด็ คอื เอนโดสเปิร์ม เชน่ ข้าวโพด ขา้ ว มะพรา้ ว

3. ตน้ ออ่ น ประกอบดว้ ย
1) ยอดแรกเกดิ จะเจรญิ ไปเปน็ ใบ

2) ใบเล้ียง ทำหน้าที่สะสมอาหาร ถ้าใบเล้ียงคู่จะมีใบหนาเพราะมีอาหารสะสมแต่ใบเล้ียงเด่ียวจะมีใบบาง
เพราะไม่มีอาหารจะสะสม แต่อาหารสะสม ของใบเลีย้ งเดยี่ วจะพบในเอนโดสเปิร์มทอี่ ยใู่ นเมลด็
3) ส่วนของตน้ ออ่ นที่อยูเ่ หนอื ใบเลย้ี ง จะเจรญิ เปน็ ลำต้นสว่ นบน ใบ และ ดอก

4) สว่ นของต้นออ่ นทอี่ ย่ใู ต้ใบเลีย้ ง จะเจริญเปน็ ลำตน้ ส่วนกลาง
5) รากแรกเกิด จะเป็นส่วนแรกที่งอกผ่านเมล็ดออกทางรไู มโครไพลอ์ อกมา กอ่ นแลว้ เจริญไปเป็นรากแกว้

รปู แสดงเมล็ดถั่วผา่ ซีก รปู แสดงเมล็ดขา้ วโพด

ลกั ษณะการงอกของเมล็ด
1. การงอกท่ีชูใบเลี้ยงขึ้นมาเหนือดิน (Epigeal germination)รากอ่อนงอกโผล่พ้นเมล็ดออกทางรูไมโคร

โพล์(micropyle) เจริญสู่พื้นดินจากน้ัน ไฮโปคอติล(hypocotyl) จะงอกและเจริญยึดยาวตามอย่างรวดเร็ว ดึง
ส่วนของใบเลีย้ ง (cotyldon) กับ เอปคิ อตลิ (epicotyl) ขนึ้ มาเหนอื ดิน เช่น การงอกของพชื ในเลีย้ งคู่ตา่ ง ๆ

รากแรกเกดิ → ต้นอ่อนทีอ่ ยใู่ ตใ้ บเลย้ี ง → ใบเลี้ยง → ยอดแรกเกิด

ภาพการงอกแบบEpigeal germination ของถว่ั เขยี ว 15

2. การงอกที่ฝงั ใบเล้ียงไวใ้ ตด้ นิ (Hypogeal germination) พบใน พืชใบเล้ยี งเดี่ยวพืชพวกนี้มไี ฮโปคอติล
(hypocotyl) ส้นั เจริญชา้ ส่วนเอปคิ อติล (epicotyl) และยอดอ่อน (plumule) เจริญยืดยาวไดอ้ ย่างรวดเร็ว
เช่น เมล็ดขา้ ว ข้าวโพด หญ้าฯลฯ การพกั ตัวของเมล็ด(Dormancy) หมายถึง สภาพท่ีเอมบริโอในเมลด็
สามารถคงสภาพและมีชีวิตอยู่ไดโ้ ดยไม่เกดิ การงอก

รากแรกเกดิ → ตน้ อ่อนที่อยเู่ หนอื ใบเลยี้ ง → ยอดแรกเกิด

ภาพการงอกแบบ Hypogeal germination ของเมลด็ ข้าวโพด

การสบื พันธุ์แบบไมอ่ าศยั เพศ

1. การปักชำ เป็นการขยายพันธุ์พชื โดยการตัดสว่ นของพืชออกจากต้นเดิมมาปักลงในดินหรอื ทราย ทีมี
ความชนื้ สมควร แล้วรดน้ำทกุ วนั จนเกดิ รากแตก ออกมาปริมาณมากและแข็งแรงจึงนำไปปลูกลง
ในดนิ

2. การตอนกิ่ง คือ การทำให้กิ่งหรือต้นพืชเกิดรากขณะติดอยู่กับต้นแม่ จะทำให้ได้ต้นพืชใหม่ ท่ีมี
ลักษณะทางสายพนั ธ์ุ เหมอื นกับตน้ แม่

3. การทาบกิ่ง คือ การนำต้นพืช 2 ต้นเป็นต้นเดียวกัน โดยส่วนของต้นตอท่ีนำมาทาบก่ิง จะทำหน้าที่
เปน็ ระบบรากอาหารใหก้ บั ต้นพันธ์ดุ ี

4. การติดตา คือ การเชื่อมประสานส่วนของต้นพืชเข้าด้วยกนั เพอ่ื ให้เจรญิ เป็นพืชต้น เดียวกัน โดยการ
นำแผน่ ตาจากกงิ่ พนั ธุ์ดี ไปติดบนต้นตอ

5. การเสียบยอด การเช่ือมประสานเนื้อเยื่อของต้นพืช 2 ต้นเข้าด้วยกัน เพื่อให้เจริญเติบโต เป็นต้น

เดียวกัน

เทคโนโลยชี ีวภาพทเี่ กยี่ วข้องกับพืช

1.การขยายพันธ์ุและการปรบั ปรงุ พนั ธพ์ุ ชื
เทคโนโลยีการปรับปรงุ พันธุ์พืช หมายถึง การเปลี่ยนแปลงหรอื ปรับปรุงพันธุกรรมของพืช เพื่อให้ได้

พันธุ์ใหม่ท่ีดีกว่าเดิมในแง่ของผลผลิต ความต้านทานโรคและแมลง อายุเก็บเกีย่ ว การเจริญเติบโต รูปทรงของ
ต้น ซ่ึงอาจทำไดห้ ลายวิธคี อื

1.1 การผสมพันธแ์ุ ละการคัดเลอื กพันธ์ุ เป็นการผสมเกสรให้พืชแทนการปล่อยให้พืช ผสมเกสรเอง
ตามธรรมชาติ โดยคัดเลือกพันธ์ุพืชที่ต้องการ แล้วนำเกสรตัวผู้และตัวเมียมาผสมกันเพ่ือให้ได้ลักษณะของ
ลูกผสมที่ดีขนึ้

16

1.2 การเพาะเล้ียงเน้ือเยื่อ เป็นวิธีการคัดเลือกพันธ์ุวิธีหน่ึงท่ีนิยมใช้กับพืชท่ีมีปัญหาเร่ืองการ
ขยายพนั ธ์ุหรอื พืชที่มปี ญั หาเรอื่ งโรคทีต่ ิดมากับกงิ่ พนั ธุ์ เชน่ กลว้ ยไม้ ขงิ แครอท หลิวมนั ฝร่ัง ข้าว มะพรา้ ว ถั่ว
มะเขือเทศ มะม่วง เป็นต้น จุดประสงค์หลักของการเพาะเล้ียงเน้ือเย่ือ คือ เพ่ือให้ได้พืชที่มีความทนทานต่อ
สภาพแวดล้อมทีก่ ำหนด และพัฒนาลกั ษณะพันธใ์ุ หด้ ีขึน้ เช่น มภี ูมคิ มุ้ กนั โรค

การนำส่วนใดส่วนหนึ่งของพืชมาเล้ียงในอาหารวิทยาศาสตร์ท่ี
ปลอดเชื้อจุลินทรีย์ และอยใู่ นสภาวะท่ีเหมาะสม

ขัน้ ตอนการเพาะเลี้ยงเนื้อเยอ่ื พืช
1) นำชิ้นสว่ นพชื ที่ตอ้ งการมาล้างนำ้ ให้สะอาด
2) ตกแตง่ ชิน้ สว่ นพืช ตดั สว่ นทีไ่ มต่ อ้ งการออก
3) นำช้ินส่วนพืชจุ่มในแอลกอฮอล์ 95 % เพือ่ ลดแรงตงึ ผวิ บรเิ วณนอกชิ้นสว่ นพชื
4) นำช้ินสว่ นพืชมาเขยา่ ในสารฆ่าเชอ้ื จุลินทรยี ท์ ่เี ตรียมไวน้ าน 10 – 15 นาที
5) ใช้ปากคบี คีบชิ้นสว่ นพืช ล้างในนำ้ กลัน่ ทน่ี ่ึงฆา่ เช้ือ 3 ครง้ั
6) ตัดชิ้นสว่ นพชื ตามขนาดที่ตอ้ งการแล้ววางบนอาหารสงั เคราะห์
7) ลงรายละเอียด เชน่ ชนดิ พชื วนั เดือนปี หรอื รหสั ในการทำการฆ่าเช้อื ที่ตดิ มากบั ผิวพชื

และการนำไปเลี้ยงบนอาหารทำในตู้ถ่ายเนอ้ื เยอื่ โดยตลอด

ภาพแสดงขนั้ ตอนการเพาะเลย้ี งเนื้อเยื่อพืช

1.3 พนั ธุวิศวกรรม กระบวนการเปลี่ยนแปลงสารพันธุกรรมดว้ ยการตดั ตอ่ ยีน และ เปลย่ี นยีนใน
เซลล์ เพื่อให้ได้สิ่งมีชวี ิตใหมท่ ม่ี ีสมบัติตามท่ตี อ้ งการ

ขอ้ ดีของพนั ธวุ ิศวกรรม
ใชเ้ วลานอ้ ยกว่าวิธกี ารปรับปรงุ พนั ธ์ุตามธรรมชาติหรือวธิ กี ารด้งั เดมิ ผลิตผลท่ีไดจ้ ะมีคุณสมบัติตรง
ตามความตอ้ งการมากกว่า เนือ่ งจากใช้ยีนท่มี ีคุณสมบตั ทิ ่ีต้องการโดยตรงไมม่ ีข้อจำกัดของแหล่งยีนทจ่ี ะนำมา
ตัดตอ่ อาจเป็นยนี ทไ่ี ดม้ าจากการสงั เคราะห์ข้นึ หรืออาจไม่เก่ยี วข้องกบั สายพันธเุ์ ดิมเลยกไ็ ด้

มารจู้ กั GMOs กันเถอะ

GMO ยอ่ มาจาก Genetically Modified Organis (หากมีs ขา้ งทา้ ยแสดงว่ามีหลายชนิด)
คอื ส่ิงมีชวี ิตที่ได้มีการเปล่ียนแปลงสารพนั ธุกรรม โดยอาศัยเทคนคิ ทางพนั ธุวศิ วกรรม

17

2. การเพมิ่ ผลผลติ ของพชื
2.1 การรกั ษาสภาพของดินให้คงสภาพที่ดีอยู่เสมอ
2.1.1 การปลูกพืชหมนุ เวียนการปลูกพชื หมนุ เวยี น คือ การปลกู พืชต่างชนิดกนั บนพน้ื ท่ี

เดียวกัน หมนุ เวยี นไป เพ่ือให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์ ลดการระบาดของศตั รพู ืชและช่วยให้ได้ผลผลิตมากข้นึ
2.1.2 การปลกู พชื แซมการปลูกพืชแซม คอื การปลกู พืชที่มรี ากตื้นสลับกับพชื ที่มีรากหย่งั ลึก

ลงบนพ้นื ที่ปลกู พชื แซมนม้ี กั มีขนาดเลก็ โดยปลกู แซมอยรู่ ะหว่างแถว เชน่ ปลูกสบั ปะรดแซมอยรู่ ะหวา่ งแถว
ของยางพารารกั ษาความช่มุ ชื้นและบรรเทาความร้อนในดนิ

2.1.3 การปลูกพืชตามแนวระดบั หรอื แบบขนั้ บันได การปลูกพชื ตามแนวระดบั หรือแบบ
ขน้ั บนั ได คือ การปลกู พืชในลักษณะนีเ้ ป็นการปลูกพืชในลกั ษณะขวางความลาดเอียงของพนื้ ท่ี ทำใหช้ ว่ ย
ป้องกันการกัดเซาะพงั ทลายของดิน

ร่วม กนั คดิ 2

1. การเพาะเมลด็ เหมอื นหรือแตกตา่ งจากการขยายพันธว์ุ ธิ ีอืน่ ๆ อยา่ งไร
แนวคำตอบ การเพาะเมล็ดเป็นการขยายพันธ์ุพืชท่ีเก่ียวกับการสืบพันธ์ุแบบอาศัยเพศของพืช ส่วน

วธิ กี ารอื่น ๆ เช่น การตดิ ตา ตอนกิง่ เพาะเล้ียงเนื้อเย่อื เป็นการนำความรเู้ ร่อื งการสืบพันธ์แุ บบไมอ่ าศัยเพศของ
พืชมาใช้

2. การปักชำและการตอนกิ่ง แตกตา่ งจากการทาบกิง่ การตอ่ กิ่ง และการติดตาอย่างไร
แนวคำตอบ การปักชำและการตอนก่ิงเป็นการทำให้เนื้อเยื่อลำเลียงของกิ่งขาดออกจากกันแล้ว

เน้อื เยือ่ สว่ นนั้นจะสร้างรากขนึ้ มาใหม่ ทำใหไ้ ดพ้ ชื ต้นใหม่เพิ่มขึน้ จากเดิม ซงึ่ แตกต่างจากการทาบกง่ิ การต่อก่ิง
และการตดิ ตา ท่ีเป็นการทำให้เนอื้ เย่อื ของพชื ต้นตอและกิ่งทาบ ตา หรอื ยอดที่นำมาเสียบประสานตดิ กนั ซ่ึงทำ
ให้พืชที่ต้องการเพิ่มจำนวนเจริญเติบโตอยู่บนพืชต้นอ่ืน สำหรับการทาบก่ิงเมื่อเน้ือเยื่อส่วนที่ทาบประสาน
ติดกันดีแล้วสามารถตดั ก่งิ ใตร้ อยทาบมาปลูกได้

3. เพราะเหตุใด จึงนิยมขยายพันธุส์ บั ปะรดโดยการปักชำหนอ่ หรือจุก
แนวคำตอบ เพราะสับปะรดเปน็ พืชที่มเี มลด็ นอ้ ย เมลด็ งอกยาก และเจริญเติบโตจากเมล็ดช้าจึงไม่

เหมาะสำหรบั การเพาะเมล็ด และเป็นพชื ทเี่ นอ้ื ไม้ออ่ น มใี บซอ้ นกันแนน่ อยู่บนลำตน้ ยากตอ่ การขยายพนั ธุ์โดย
การตดิ ตา ต่อกิง่ ทาบกิ่ง ตอนกิ่ง ซ่งึ จากลกั ษณะของตน้ สบั ปะรดจะเห็นว่าหน่อหรอื จุกนน้ั เปน็ สว่ นของตาท่ี
สามารถแตกเปน็ ต้นใหม่ได้ การนำหน่อหรือจกุ มาปกั ชำทำให้ไดต้ น้ ใหม่ทเี่ จรญิ เติบโตได้เรว็ และเป็นวิธที ม่ี ี
ประสิทธิภาพ ทำได้ง่ายและต้นท่ีไดจ้ ะไมก่ ลายพนั ธุ์

4. เพราะเหตุใดการเพาะเลีย้ งเนอื้ เยอ่ื จึงไดร้ ับความนยิ มเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
.............................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................

18

5. จงเขยี นผงั มโนทัศน์ การสรปุ องค์ความรู้ในบทเรยี นการสบื พนั ธแุ์ ละการขยายพนั ธุข์ องพืชดอก

แบบฝึ กหดั ทา้ ยบทเรยี น

1. พืชดอกมีการสบื พันธ์ุแบบใดบา้ ง แต่ละแบบมวี ิธีอย่างไร
แนวคำตอบ พชื ดอกทุกชนิดมีการสบื พนั ธุแ์ บบอาศัยเพศ และบางชนิดพบวา่ มกี ารสบื พนั ธ์แุ บบไม่

อาศยั เพศได้ดว้ ย การสืบพนั ธุแ์ บบอาศยั เพศเกิดขนึ้ ท่ีดอก มีการปฏิสนธิของเซลล์สืบพนั ธ์เุ พศผแู้ ละเซลล์
สืบพันธเุ์ พศเมีย ส่วนการสืบพันธ์แุ บบไมอ่ าศัยเพศไม่มีการปฏสิ นธิ โดยพชื ต้นใหม่จะเกิดจากการพฒั นาและ

เจริญเติบโตของเนอ้ื เยือ่ จากสว่ นตา่ ง ๆ ของพชื ต้นเดมิ
2. การขยายพันธุ์พืชมวี ิธกี าร และประโยชน์อย่างไร

แนวคำตอบ การขยายพนั ธพุ์ ชื มีหลายวิธี เชน่ เพาะเมล็ด ปกั ชำ ตดิ ตา ตอนกงิ่ ตอ่ กงิ่ ทาบก่ิง

เพาะเลยี้ งเนอ้ื เยอ่ื ซ่ึงแตล่ ะวธิ ีมีวิธีการที่แตกตา่ งกัน การขยายพนั ธุ์พชื มีประโยชนใ์ นการเพ่มิ จำนวนพืชใหไ้ ด้
ลักษณะและจำนวนท่ีตอ้ งการ

3. เพราะเหตุใด เกษตรกรบางพน้ื ท่ีจงึ เลีย้ งผึ้งไวใ้ นสวนผลไม้
.............................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................

.............................................................................................................................................................................
4. การฉดี สารกำจดั ศัตรูพืชในพืน้ ที่การเกษตรสง่ ผลกระทบตอ่ การสืบพนั ธ์ขุ องพืชดอกหรือไม่ อย่างไร

แนวคำตอบ สง่ ผลกระทบต่อการสบื พนั ธข์ุ องพชื ดอก เนอ่ื งจากสารกำจดั ศตั รพู ืชสามารถทำลายแมลง
ทีเ่ ปน็ พาหะของการถ่ายเรณดู ้วย จงึ ทำให้ทำให้พืชมีโอกาสในการถ่ายเรณแู ละการปฏสิ นธินอ้ ยลง สง่ ผลให้
ผลผลิตน้อยลงไปด้วย

19

5.หลอดเรณูมีความสำคญั อย่างไร
.............................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................
6. ไซโกตและเอ็มบริโอเกิดได้อย่างไร และเจรญิ อยใู่ นสว่ นใด ตามลำดับ
.............................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................................
7.ดอก ผล และเมล็ดของพืชเกี่ยวขอ้ งกนั หรอื ไม่ อยา่ งไร

แนวคำตอบ ดอก ผล และเมล็ดของพชื มีความเกี่ยวข้องกัน เพราะดอกมสี ่วนประกอบที่ทำหนา้ ท่ี
สร้างเซลลส์ ืบพนั ธุ ์ของพชื หลงั จากเกดิ การปฏิสนธขิ ้ึนในดอก รังไข่จะพฒั นาไปเปน็ ผล และออวุลในรงั ไข่จะ
พฒั นาไปเปน็ เมลด็ จึงสงั เกตไดว้ า่ บางส่วนของดอกของพชื จะกลายเป็นสว่ นของผล

2. การสังเคราะหด์ ้วยแสง

หลังจากงอกออกจากเมล็ด
แลว้ พชื ใช้อาหารจากแหล่งใด
ในการเจรญิ เติบโต

ทบทวนความรู้ก่อนเรยี น 2

เขยี นเครอ่ื งหมาย  หน้าคำตอบท่ีถูกต้อง

พืชต้องการนำ้ อากาศ และแสงในการดำรงชวี ติ และการเจรญิ เตบิ โต
รากมหี น้าทด่ี ูดอาหารจากดนิ แลว้ สง่ ไปยังส่วนตา่ ง ๆ ของพืช
ใบมหี นา้ ทส่ี ร้างอาหาร
คลอโรฟิลล์เป็นออรแ์ กเนลลท์ มี่ ีหนา้ ท่ีสรา้ งอาหารของพืช
แปง้ เป็นอาหารสะสมทพ่ี ชื สร้างขนึ้
การทดสอบแป้งสามารถทำได้โดยใช้สารละลายไอโอดนี

20

กจิ กรรมท่ี 3 ปจั จัยในการสรา้ งอาหารของพชื มีอะไรบ้าง

จดุ ประสงค์ : ทดลอง สังเกต และระบุปัจจัยในการสร้างอาหารของพืช

อปุ กรณ์

รายการ ปรมิ าณ/กลุ่ม

1. ตน้ ผักบุ้ง 1 กระถาง

2. ใบชบาดา่ ง 1 ใบ

3. ชุดตะเกียงแอลกอฮอล์ 1 ชุด

4. หลอดหยด 1 อัน

5. บีกเกอรข์ นาด 250 cm3 1 ใบ

6. หลอดทดลองขนาดใหญ่ 1 หลอด

7. ทจ่ี บั หลอดทดลอง 1 อัน

8. ท่ีวางหลอดทดลอง 1 อัน

9. ปากคีบ 1 อัน

10. จานเพาะเชือ้ 1 ใบ

11. กระดาษทบึ แสงสดี ำ (ขนาดขึ้นอยกู่ ับขนาดใบผกั บงุ้ ) 1 แผน่

12. กระปอ๋ งทราย 1 ใบ

13. ไมข้ ดี ไฟ 1 กลัก

14. สารละลายไอโอดนี -

15. เอทานอล ประมาณ 20 cm3

16. นำ้ เปลา่ -

วธิ ีการทดลอง ตอนท่ี 1
1. เพาะเมลด็ ผกั บุง้ ในกระถาง ให้ผักบงุ้ สูงประมาณ 20 cm จากน้ันนำตน้ ผักบุ้งไปไว้ ในที่มืดกอ่ น 2 วัน
2. นำกระดาษทบึ แสงสีดำมาหมุ้ ใบผกั บุง้ ทง้ั ใบ จำนวน 1 ใบ
3. นำกระถางต้นผักบงุ้ ไปวางกลางแดด 3 ชวั่ โมง

ภาพใบท่ีหุ้มด้วยกระดาษทบึ แสงสดี ำ

4. เด็ดใบผักบุ้งท่ไี มไ่ ด้หมุ้ ด้วยกระดาษทบึ แสงสีดำมา 1 ใบ และใบท่ีหมุ้ ด้วยกระดาษทึบแสงสีดำมา 1 ใบ
ทำเครื่องหมายแสดงความแตกต่างใบพืชแตล่ ะใบ สังเกตลักษณะใบผกั บุง้ ท้ัง 2 ใบ
5. ทดสอบการสงั เคราะหด์ ้วยแสงของใบผักบงุ้ ตามขน้ั ตอนต่อไปน้ี

21

5.1 ใส่น้ำ 150 ลูกบาศก์เซนติเมตรในบีกเกอรต์ ้มจนเดือดใส่ใบผักบุ้งลงไปต้ม ต่อไปประมาณ 1 นาที

ในบกี เกอร์จนเดือด ใสใ่ บผกั บงุ้ ลงไปต้ม ต่อไปประมาณ 1 นาที
5.2 คีบผักบุ้งขึ้นจากน้ำเดือดใส่ลงในหลอดทดลองขนาดใหญ่ใบละ 1 หลอดเติมแอลกอฮอล์ลงไปพอ

ท่วมใบแชห่ ลอดทดลองในบกี เกอร์ทม่ี ีน้ำต้มอยู่ตม้ ต่อไปอีกประมาณ 2 นาทีจนกระทั่งสใี บซีดสังเกตสขี อง
แอลกอฮอลใ์ นหลอดทดลองหยบิ ใบผักบงุ้ จากหลอดทดลองจุ่มลงในน้ำเย็น

5.3 แบใบผักบุ้งบนกระจกนาฬิกาแล้วหยดสารละลายไอโอดีนบนใบผักบุ้งแต่ละใบเพ่ือทดสอบแป้ง
สงั เกตและบันทกึ ผล
ผลการทำกิจกรรม ตอนที่ 1

ใบผกั บุง้ ท่หี มุ้ ด้วยกระดาษทึบแสง ใบผกั บงุ้ ทไ่ี มไ่ ด้หมุ้ ดว้ ยกระดาษทึบแสง

ผลการทดสอบดว้ ยสารละลายไอโอดนี

คำถามทา้ ยกจิ กรรม ตอนที่ 1

1. การเปลยี่ นแปลงของสีสารละลายไอโอดีนบนใบผกั บุ้งทงั้ 2 ใบ เหมอื นหรอื แตกต่างกัน อย่างไร

แนวคำตอบ เมื่อหยดสารละลายไอโอดีนบนใบผักบุ้งท่ีไม่ได้หุ้มด้วยกระดาษทึบแสงสีดำ สีของ

สารละลายไอโอดีนเปล่ียนจากสีน้ำตาลเปน็ สีน้ำเงินเข้มถงึ สีดำ ส่วนใบผักบุ้งท่ีหมุ้ ดว้ ยกระดาษทึบแสง

สดี ำ สีของสารละลายไอโอดีนไม่มกี ารเปลย่ี นแปลง

2. การทดลองน้ใี บผกั บงุ้ ใบใดทมี่ ีแป้ง และใบใดไม่มแี ป้ง ทราบได้อย่างไร และเหตุใดจึงเปน็ เชน่ นัน้

แนวคำตอบ ใบผักบุ้งที่ไม่ได้หุ้มด้วยกระดาษทึบแสงมีแป้ง ทราบได้จากการเปลี่ยนสีของสารละลาย

ไอโอดีนเม่ือหยดลงบนใบ ส่วนใบผักบุ้งท่ีหุ้มด้วยกระดาษทึบแสงสีดำไม่มีแป้งเพราะสีของสารลาย

ไอโอดีนบนใบไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง เหตุที่เป็นเช่นน้ีเพราะว่าแสงเป็นสิ่งท่ีทำให้ใบพืชสังเคราะห์

นำ้ ตาลขึ้น จากน้นั น้ำตาลจะเปล่ยี นไปเป็นแปง้ เม่ือไมไ่ ดร้ ับแสงจึงไม่มีการสร้างน้ำตาล

3. เพราะเหตุใด ต้องนำตน้ ผกั บ้งุ ไปไว้ในที่มดื ก่อน 2 วัน

…………………………………………………………………………………………………………………………………….…………

………………………………………………………………………………………………………………………………………….……

4. เพราะเหตใุ ดจึงต้องนำต้นผักบุ้งไปวางกลางแดด

…………………………………………………………………………………………………………………………………….…………

5. จากกจิ กรรมตอนท่ี1 สรปุ ได้ว่าอย่างไร

…………………………………………………………………………………………….…………………………………………………

6. การทดลองน้สี ิ่งใดเป็นตัวแปรต้น ตวั แปรตาม และตัวแปรควบคุม

แนวคำตอบ ตัวแปรต้น คอื ……………………………………………………………………………………….

ตวั แปรตาม คือ ……………………………………………………………………………………….

ตัวแปรควบคมุ คอื ขนาดและอายขุ องใบผกั บ้งุ บริเวณทว่ี างกระถางผกั บุ้ง

22

วิธกี ารทดลอง ตอนที่ 2
1. เดด็ ใบชบาด่างจากต้นท่ีไดร้ ับแสงมาแล้วประมาณ 3 ช่วั โมง สงั เกตุลักษณะของใบชบาดา่ ง
2. ทดสอบการสงั เคราะห์ดว้ ยแสงของใบชบาดา่ งตามขนั้ ตอนตอ่ ไปน้ี

2.1 ต้มใบชบาด่างลงในน้ำเดอื ด ประมาณ 5 นาที เพือ่ ทำให้เซลล์ใบชบาดา่ งตาย
2.2 เมือ่ ครบ 5 นาที สกัดคลอโรฟลิ ออกจากใบชบาด่างดว้ ยแอลกอฮอล์ โดยคีบใบชบาด่างขน้ึ จากนำ้
เดอื ดใส่ลงในหลอดทดลองขนาดใหญ่ เตมิ แอลกอฮอลล์ งไปพอทว่ มใบแชห่ ลอดทดลองในบกี เกอร์ที่มีนำ้ ต้มอยู่
ต้มต่อไปอกี ประมาณ 2 นาทีจนกระทัง่ สใี บซีดสังเกตสีของแอลกอฮอลใ์ นหลอดทดลองหยิบใบชบาดา่ งจาก
หลอดทดลองจ่มุ ลงในนำ้ เย็น พบั ใบชบาดา่ งไปมาเพือ่ ให้เส้นใบหกั
2.3 แบใบชบาด่างบนกระจกนาฬกิ าแลว้ หยดสารละลายไอโอดนี บนใบชบาด่างเพ่อื ทดสอบแปง้ สงั เกต
และบันทกึ ผล

ผลการทำกจิ กรรม ตอนท่ี 2

ใบชบาดา่ งก่อนต้มและก่อนทดสอบ ใบชบาด่างหลังตม้ และทดสอบ
ด้วยสารละลายไอโอดีน ดว้ ยสารละลายไอโอดนี

คำถามทา้ ยกจิ กรรม ตอนท่ี 2
1. เม่ือหยดสารละลายไอโอดนี ลงบนใบชบาดา่ ง เกิดการเปลยี่ นแปลงหรอื ไมอ่ ย่างไร

แนวคำตอบ เมื่อหยดสารละลายไอโอดีนลงบนใบชบาด่าง ส่วนของใบชบาด่างท่ีเคยเป็นสีเขียวจะมี
การเปลย่ี นแปลงสขี องสารละลายไอโอดีนจากสนี ้ำตาลเปน็ สีน้ำเงนิ เข้มถึงสีดำ และตรงส่วนท่ีเคยเปน็ สี

ขาวของใบชบาด่างจะเหน็ สขี องสารละลายไอโอดีนจะไม่มีการเปลีย่ นแปลง
2. การเปลยี่ นแปลงทีเ่ กิดข้นึ เป็นเพราะเหตใุ ด

แนวคำตอบ เพราะใบชบาด่างส่วนท่ีเป็นสีเขียวนี้มีการสังเคราะห์ด้วยแสง จึงมีการสร้างน้ำตาลและ

เปลี่ยนเป็นแป้งดังน้ันเมื่อทดสอบด้วยสารละลายไอโอดีนสีของสารละลายไอโอดีนจึงเปล่ียนเป็นสีน้ำ
เงนิ

3. จากกจิ กรรมตอนท่ี 2 สรุปไดว้ ่าอยา่ งไร
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….

4. สมมติฐานของการทดลองนี้คอื อะไร

……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….

5. นยิ ามเชิงปฏิบัติการของการทดลองคืออะไร
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….

23

วธิ ีการทดลอง ตอนท่ี 3
1. นำต้นชบาไปครอบด้วยกล่องทึบแสง หรอื วางในที่มืดอย่างน้อย 48 ชั่วโมง เพอื่ ไม่ให้มีการสังเคราะห์ด้วย

แสง เมื่อวางต้นชบาในท่ีมืดครบ 48 ชั่วโมง ลือกใบชบาท่ีมีขนาดใกล้เคียงกัน 2 ใบมาทำการทดลอง ใส่

โซดาไฟในถ้วยพลาสติก 20 กรมั นำถ้วยพลาสติกท่ีใส่โซดาไฟใส่ในถงุ พลาสติกใส แล้วใสใ่ บชบา 1 ใบ ใน
ถุงพลาสติกใสผูกปากถุงให้แน่น ใส่ใบชบาอีก 1 ใบ ในถุงพลาสติก เปล่าผูกปากถุงให้แน่น นำต้นชบาไป
วางไวก้ ลางแดดนาน 2-3 ชวั่ โมง เมอ่ื ครบ 3 ชั่วโมงเด็ดใบชบา ทั้ง 2 ใบทำเคร่อื งหมายทีแ่ ตกต่าง สงั เกตใบ
ชบาทง้ั 2 ใบ

ใบชบา ใบชบา
ถุงพลาสตกิ ใส ถุงพลาสตกิ ใส

โซดาไฟ

ภาพแสดงการทดสอบปัจจัยจำเป็นตอ่ การสร้างอาหารของพชื

2. ทดสอบการสังเคราะหด์ ้วยแสงของใบชบาตามขั้นตอนดังน้ี
2.1 ต้มใบชบาลงในน้ำเดอื ด ประมาณ 5 นาที เพอ่ื ทำใหเ้ ซลลใ์ บชบาตาย
2.2 เมื่อครบ 5 นาที สกัดคลอโรฟิลออกจากใบชบาด้วยแอลกอฮอล์ โดยคบี ใบชบาขึ้นจากน้ำเดอื ดใส่

ลงในหลอดทดลองขนาดใหญ่ เตมิ แอลกอฮอลล์ งไปพอท่วมใบแชห่ ลอดทดลองในบีกเกอรท์ ่ีมนี ำ้ ต้มอยู่ต้มตอ่ ไป
อีกประมาณ 2 นาทีจนกระทั่งสีใบซดี สงั เกตสีของแอลกอฮอล์ในหลอดทดลองหยิบใบชบาจากหลอดทดลองจุ่ม
ลงในน้ำเย็นพบั ใบชบาไปมาเพอื่ ใหเ้ ส้นใบหัก

2.3 แบใบชบาบนกระจกนาฬิกาแล้วหยดสารละลายไอโอดีนจนท่ัวใบชบาท้ังสองใบเพ่ือทดสอบแป้ง
สังเกตและบันทกึ ผล

ผลการทำกจิ กรรม ตอนที่ 3

สมมตฐิ านการทดลอง ……………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

นยิ ามเชงิ ปฏิบตั กิ าร ………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ตวั แปรต้น ………………………………………………………………………………….....……………………………………………

ตวั แปรตาม ……………………………………………………………………………………………………..……………………………
ตัวแปรควบคุม ……………………………………………………………………………………………………..……………………………

ใบชบาทอ่ี ยู่ในถุงพลาสตกิ ใสท่ีไมม่ ีโซดาไฟ ใบชบาทีอ่ ยู่ในถุงพลาสตกิ ใสทม่ี ีโซดาไฟ
หลงั ทดสอบด้วยสารละลายไอโอดีน หลังทดสอบด้วยสารละลายไอโอดนี

24

คำถามทา้ ยกิจกรรม ตอนท่ี 3
1. การเปลย่ี นแปลงของสีสารละลายไอโอดีนบนใบชบาทัง้ 2 ใบ เหมอื นหรอื แตกต่างกัน อย่างไร
แนวคำตอบ การเปลี่ยนแปลงของสสี ารละลายไอโอดีนบนใบผักชบาท้ัง 2 ใบ แตกต่างกัน โดยสี
ของสารละลายไอโอดีนท่ีหยดลงบนใบชบาในถุงพลาสติกท่ีไม่มีซาดาไฟเปล่ียนจากสีน้ำตาลเป็นสีน้ำ
เงนิ เข้ม สว่ นสสี ารละลายไอโอดนี ทห่ี ยดลงบนใบชบาท่ีอยู่ในถงุ พลาสติกมีโซดาไฟไมเ่ ปล่ียนแปลง
2. การทดลองน้ใี บชบาใบใดบา้ งทีม่ แี ป้ง ใบชบาใบใดบา้ งทไ่ี มม่ ีแปง้ ทราบไดอ้ ยา่ งไร เหตใุ ดจงึ เปน็ เช่นน้ัน
แนวคำตอบ ใบชบาที่อยู่ในถุงพลาสติกไม่มีซาดาไฟมีแปง้ เพราะสีสารละลายไอโอดีนเปลี่ยนจาก
สีน้ำตาลเป็นสีน้ำเงินเข้ม ส่วนใบชบาที่อยู่ในถุงพลาสติกไม่มีโซดาไฟไม่มีแป้งเพราะสีสารละลาย
ไอโอดีนไมเ่ ปล่ยี นแปลง
3. เพราะเหตใุ ดจึงต้องใส่โซดาไฟในถุงพลาสตกิ
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
4. กจิ กรรมน้ีจัดชุดทดลองเป็นกี่ชดุ อะไรบ้าง
แนวคำตอบ กิจกรรมน้ีจัดชุดทดลองเป็น 2 ชุด ได้แก่ ใบชบาท่ีอยู่ในถุงพลาสติกไม่มีซาดาไฟ
และใบชบาที่อยใู่ นถุงพลาสตกิ มโี ซดาไฟ
5. จากกจิ กรรมตอนท่ี 3 สรปุ ไดว้ า่ อย่างไร
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
6. จากกิจกรรมท้ัง 3 ตอน สรุปได้วา่ อย่างไร
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….

25

กิจกรรมท่ี 4 การสังเคราะห์ดว้ ยแสงไดผ้ ลผลิตใดอีกบ้าง

จดุ ประสงค์ : ทดลอง และระบผุ ลผลิตของการสังเคราะห์ดว้ ยแสง

วัสดอุปกรณ์

รายการ ปริมาณ/กล่มุ

1. สาหร่ายหางกระรอก 1 ชอ่

2. บีกเกอรข์ นาด 1000 cm3 1 ใบ

3. กรวยแกว้ 1 อัน
4. หลอดทดลอง ขนาด 10 cm3
1 หลอด

5. ช้อนเบอร1์ 1 อัน

6. กระปอ๋ งทราย 1 ใบ

7. ธปู 1 กา้ น

8. ไมข้ ดี ไฟ 1 กลกั

9. ผงฟ 1 ชอ้ นเบอร์ 1

10. นำ้ เปลา่ -

วิธีการทดลอง

1. ใส่ต้นสาหร่ายหางกระรอกไว้ในกรวยแก้ว ก้านสั้นแล้วควำ่ ลงในอา่ งแก้วหรือบีกเกอร์ขนาด 2 ลติ ร ซ่ึง

มนี ำ้ และผงฟจู ำนวน 1 ช้อนเบอร์ 1 อยู่ดว้ ยโดย ใหป้ ลายกา้ นกรวยแก้วจมอย่ใู นน้ำ

2. ใส่น้ำจนเต็มหลอดทดลองที่มีขนาดใหญ่กว่าก้านกรวยแก้วเล็กน้อยคว่ำหลอดทดลองครอบก้านกรวย

แก้วดังภาพระวังอย่าให้มีฟองอากาศเกิดข้ึนในหลอดทดลองนำอ่างนี้ไปต้ังไว้กลางแดดประมาณ 3-4

ช่วั โมงสงั เกตและบันทกึ ผลการเปล่ยี นแปลงท่เี กดิ ขน้ึ ในหลอดทดลอง

3. ค่อยๆ ยกหลอดทดลองให้สูงขึ้นเหนือกรวยแก้วแต่ปากหลอดทดลองยังอยู่ใต้ระดับน้ำใช้น้ิวอุดปาก

หลอดทดลองไว้แล้วยกหลอดทดลองข้ึน ขณะเดียวกันรีบแหย่ธูปติดไฟแดงๆ ลงไปในหลอดทดลอง

สังเกตการเปลย่ี นแปลงที่เกิดข้ึน

ภาพข้ันตอนการทดลองเรื่องผลผลิตทีเ่ กดิ จากการสงั เคราะห์ดว้ ยแสง

กิจกรรมนมี้ กี ารใช้ไม้ขีดไฟ และการจุดธูป ควรระวังไม่ให้ปลายธูป
ถกู รา่ งกาย และควรดับให้สนทิ ในกระป๋องทรายกอ่ นท้งิ

26

ผลการทำกจิ กรรม ผลการสงั เกต
ตาราง ผลการสังเกตการเปลีย่ นแปลงในหลอดทดลอง

ชดุ การทดลอง
ชุดการทดลองที่วางกลางแดดจัด
ชดุ การทดลองทวี่ างไว้ในกล่องทึบแสง

ตาราง ผลการสังเกตจากการแหยธ่ ูปทต่ี ิดไฟแตไ่ มม่ ีเปลวไฟลงในหลอดทดลอง

ชดุ การทดลอง ผลการสงั เกต
ชุดการทดลองทว่ี างกลางแดดจดั
ชุดการทดลองทวี่ างไวใ้ นกล่องทึบแสง

คำถามทา้ ยกจิ กรรม
1. เพราะเหตุใดจึงต้องใส่ผงฟใู นบีกเกอร์

……………………………………………………………………………………………………………………………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
2. ชุดทดลองที่วางไว้กลางแดดจัดมีการเปล่ียนแปลงหรอื ไมอ่ ย่างไร
แนวคำตอบ คำตอบข้ึนอยู่กบั ผลการทำกิจกรรมของนักเรยี น เช่น ชดุ ทดลองท่ีวางไว้กลางแดดจดั เกิด
การเปลีย่ นแปลง คอื จะมีฟองแกส๊ ผดุ ขนึ้ ในหลอดทดลอง
3. ชุดทดลองทว่ี างไวใ้ นกลอ่ งทึบมกี ารเปล่ียนแปลงหรอื ไมอ่ ย่างไร
แนวคำตอบ คำตอบข้ึนอยู่กับผลการทำกิจกรรมของนักเรียน เช่น ชุดทดลองที่วางไว้ในกล่องทึบแสงไม่
เกิดฟองแกส๊ ในหลอดทดลอง
4. สาหรา่ ยหางกระรอกในชดุ ทดลองทไ่ี ด้รับแสง มกี ารสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงหรอื ไม่อย่างไร
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….……
………………………………………………………………………………………………………………………………………………….…
5. สง่ิ ที่เกดิ ข้ึนจากการสงั เคราะห์ดว้ ยแสงในกจิ กรรมนี้คืออะไร ทราบไดอ้ ย่างไร
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….……
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
6. จากกจิ กรรม สรปุ ไดว้ ่าอยา่ งไร
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….……
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….……

3. การลำเลียงน้ำ ธาตอุ าหาร และอาหารของพชื

พืชต้องการอากาศ น้ำ แสง และธาตุอาหารในการเจริญเติบโตและการดำรงชีวิต พืชดูดน้ำและธาตุ
อาหารจากดนิ เข้าสู่รากและลำเลียงผา่ นทางไซเล็มไปสู่ลำต้น ใบ และสว่ นอื่น ๆ ของพืช เพ่อื ใช้ในการสังเคราะห์
ด้วยแสงรวมถึงกระบวนการอ่ืน ๆ และมีโฟลเอ็มลำเลียงอาหารท่ีได้จากการสังเคราะห์ด้วยแสงไปสู่ส่วนต่าง ๆ
ของพืช

27

พืชใช้สงิ่ ใดบา้ งในการสงั เคราะหด์ ้วยแสง และได้สิ่งเหล่าน้นั จากแหล่งใด
……………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………..
พืชได้รับน้ำ ธาตุอาหารและอาหารจากการดูดน้ำและธาตุอาหารจากดิน และได้รับอาหารโดยการ
สร้างขึ้นเอง พืชนำน้ำจากดนิ และอาหารที่สร้างข้ึนทีใ่ บไปยังส่วนต่างๆของพืชโดยการลำเลียงผา่ นลำต้น สงั เกต
ไดว้ ่าเมล็ดทเี่ พง่ิ งอกจะมรี ากแรกเกดิ งอกออกมากอ่ น และทีบ่ ริเวณเหนอื ปลายรากมขี นรากจำนวนมาก

3.1 ธาตุอาหารของพชื

ภาพ ดนิ และสว่ นประกอบของดนิ ที่เหมาะสมสำหรบั การปลูกพืช
ทมี่ า : หนงั สือแบบเรียนวทิ ยาศาสตร์ ม.1 เล่ม 1 สสวท

พืชต้องการธาตุอาหารในการเจริญเติบโตและการดำรงชีวิตเพราะธาตุอาหารเป็นองค์ประกอบของ
โครงสรา้ งต่างๆของพืชและยงั เป็นส่วนประกอบของสารทท่ี ำหน้าท่ีในกระบวนการสำคญั เช่นการสังเคราะห์ด้วย
แสงและการหายใจ ในดนิ มีธาตุอาหารหลายชนิดท่ีจำเป็นต่อพืชแต่ดินในแต่ละพื้นที่อาจมีชนิดและปรมิ าณของ
ธาตอุ าหารแตกต่างกนั ขึน้ อยกู่ ับชนดิ ของอนิ ทรยี ว์ ตั ถุและอนนิ ทรียว์ ัตถทุ เ่ี ป็นสว่ นประกอบของดิน

รู้หรือไม่ว่าธาตุอาหารชนิดใดบ้างที่มีความจำเป็นต่อพืชและถ้าดินมีธาตุอาหารไม่เพียงพอต่อความ

ตอ้ งการของพืชควรแก้ไขอยา่ งไร

28

ทบทวนความรู้ก่อนเรยี น 3

เขียน O ล้อมรอบคำที่เป็นส่วนประกอบของดนิ

นำ้ ไสเ้ ดือนดนิ ฮิวมัส อากาศ

เศษขยะ ทราย

ราก เนอ้ื เย่ือหลายชน้ั เน้ือเยื่อชัน้ ทอี่ ยู่นอกสดุ เรยี กว่า เอพิเดอรม์ สิ (Epidermis) ซงึ่ มักประกอบด้วย

เซลล์เพียงชั้นเดียวเอพิเดอร์มิสมีลักษณะพิเศษคือ ผิวด้านนอกท่ีสัมผัสกับดินจะยื่นออกไป เรียกว่า ขนราก
(Root hair) เพ่อื เพิ่มพืน้ ทผ่ี ิวสมั ผสั ของราก ทำให้รากดูดน้ำได้มากขึน้

ขนรากไมใ่ ช่เซลล์ เพราะ
เป็นส่วนของผนังเซลล์ผวิ รากทย่ี ่ืนยาวออกไป

ภาพ เมลด็ ขา้ วโพดทก่ี ำลงั งอกแสดงส่วนขนราก ภาพ แสดงการเพิ่มพน้ื ทผี่ วิ ในการสมั ผสั นำ้ และแร่ธาตุ

ที่มา: สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2548). ท่ีมา: ศรีลักษณ์ ผลวัฒนะ และคณะ. (2545). สื่อการเรียนรู้และ
หนังสือเรียนสาระการเรียนรู้พื้นฐาน ชีวิตกับ สิ่งแวดล้อม ส่ิงมีชีวิตกับ เส ริ ม ส ร้ า ง ทั ก ษ ะ ต า ม ม า ต ร ฐ า น ก า ร เรี ย น รู้ ก ลุ่ ม ส า ร ะ ก า ร เรี ย น รู้
วิทยาศาสตร์ช่วงชน้ั ท่ี 3. : 26
กระบวนการดำรงชีวติ . : 52

กจิ กรรมท่ี 5 ธาตุอาหารสำคัญตอ่ พืชอย่างไร

จดุ ประสงค์ :

1. รวบรวมขอ้ มูล อธบิ ายความสำคัญของธาตุอาหารของพืชทีม่ ีผลตอ่ การเจรญิ เติบโตและการดำรงชวี ิ

ของพชื รวมทง้ั การแกป้ ัญหาการขาดธาตุอาหารของพชื

2. เสนอแนวทางการแกป้ ญั หาการขาดแคลนธาตอุ าหารของพชื

แหลง่ สบื ค้นข้อมมลู

สบื ค้นจากแหล่งเรียนรู้ต่อไปนี้

• หนังสอื เรยี นวิทยาศาสตร์ระดับมัธยมศกึ ษาปีท่ี 1 สสวท.

• หนังสอื ธาตุอาหารพชื ของสำนักพมิ พต์ ่าง ๆ

• หนังสอื หรอื เอกสารทเี่ กย่ี วกบั การวเิ คราะหด์ นิ การจดั การดิน การใช้ปุ๋ยสำหรับการปลกู พชื

29

• เวบ็ ไซตข์ องกรมพัฒนาทดี่ นิ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
• แหลง่ เรยี นรูท้ างการเกษตรและการจัดการดิน เช่น กรมพฒั นาทดี่ ิน สถานพี ฒั นาท่ดี นิ จงั หวดั
วิธกี ารทำกิจกรรม
ใหน้ ักเรียนรวบรวมข้อมูล อธิบายความสำคัญของธาตุอาหารของพืชทีม่ ีผลตอ่ การเจรญิ เติบโตและการ
ดำรงชีวิตของพืช รวมทั้งการแก้ปัญหาการขาดธาตุอาหารของพืช พร้อมเสนอแนวทางการแก้ปัญหาการขาด
แคลนธาตอุ าหารของพืช
ผลการทำกจิ กรรม
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………….………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………….………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………….………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………….………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………….………..
คำถามทา้ ยกจิ กรรม
1. จากงานวิจยั ข้าวโพดขาดธาตุอาหารชนิดใดและส่งผลให้ขา้ วโพดมีลักษณะอาการเป็นอยา่ งไร
แนวคำตอบ จากงานวิจัย ข้าวโพดขาดธาตุไนโตรเจน ทำให้ใบเริ่มเหลืองจากปลายใบแล้วลามเข้าไปใน
แผน่ ใบคลา้ ยตวั วจี ากนน้ั ใบกลายเป็นสนี ้ำตาลและเห่ียวแหง้ สง่ ผลใหผ้ ลผลติ ขา้ วโพดลดลง
2. ขา้ วโพดทป่ี ลูกสลบั กับถ่วั เหลอื งให้ปริมาณผลผลิตเปน็ อยา่ งไร เพราะเหตใุ ดจึงเปน็ เช่นนั้น
แนวคำตอบ ข้าวโพดที่ปลูกสลับกับถ่ัวเหลืองให้ปริมาณผลผลิตเพ่ิมข้ึน เพราะดินมีปริมาณของธาตุ
ไนโตรเจนเพิ่มขน้ึ จากปมรากของถ่ัวเหลอื ง ทำให้ข้าวโพดทีป่ ลูกในปหี ลัง ๆ ไม่มีอาการขาดธาตุไนโตรเจน
ผลผลติ จึงเพิม่ ข้ึน
3. พืชตอ้ งการธาตุอาหารชนิดใดในปริมาณมาก และถ้าขาดธาตอุ าหารเหล่านนั้ จะมผี ลอย่างไรตอ่ พชื
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………….………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………….………..
4. ถา้ พืชขาดธาตุโพแทสเซียมจะมีแนวทางในการแกไ้ ขอยา่ งไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………….………..
5. จากกิจกรรมสรปุ ได้ว่าอย่างไร
แนวคำตอบ ในดนิ มีธาตุอาหารที่พชื ใช้ในการเจริญเติบโต และดำรงชีวิต ธาตุอาหารที่จำเป็นต่อพืชมี 17
ชนิด ถ้าพืชขาดธาตุอาหาร พืชจะแสดงอาการผิดปกติการหาสาเหตุเพ่ือแก้ปัญหาการขาดธาตุอาหารของพืช
ตอ้ งสงั เกตลักษณะอาการ ร่วมกับการวเิ คราะหด์ ิน เพ่อื หาชนดิ และปรมิ าณของธาตอุ าหารทีข่ าดไปในดนิ หรือ

30

มธี าตอุ าหารแต่อยู่ในรูปท่ีพืชนำมาใช้ไม่ไดเ้ พ่ือประเมินระดับความขาดแคลนธาตอุ าหารถ้าพบว่าดินขาดธาตุ
อาหารตอ้ งทำการเพม่ิ ธาตอุ าหารของพืชในดนิ โดยการใสป่ ๋ยุ ทเี่ หมาะสมกับความต้องการของพืช

3.2 การลำเลยี งในพชื

ภาพ ภาพรากสะสมอาหารและลำตน้ มันสำปะหลัง
ที่มา : หนังสอื แบบเรยี นวทิ ยาศาสตร์ ม.1 เลม่ 1 สสวท

มันสำปะหลังเป็นพืชท่ีมีการสะสมแป้งไว้ท่ีรากมนุษย์สามารถนำมันสำปะหลังมาใช้ประโยชน์ไดอ้ ย่าง
หลากหลายทั้งใช้สำหรับการบริโภคและในอุตสาหกรรมแป้งที่เก็บสะสมไวท้ ี่รากน้ีเปลยี่ นแปลงมาจากนำ้ ตาลซ่ึง
เปน็ ผลผลติ แรกของการสงั เคราะห์ดว้ ยแสงซึ่งเกิดทบ่ี ริเวณใดของมันสำปะหลงั

เคยสงสยั หรือไม่ว่ามันสำปะหลงั มีการสังเคราะหด์ ว้ ยแสงทใี่ บแตส่ ่งนำ้ ตาลไปเก็บไว้ทีร่ ากได้อย่างไร

ทบทวนความรู้ก่อนเรยี น 3

1. เขยี นเครื่องหมาย  หนา้ ข้อความที่กล่าวถกู ตอ้ ง
สารจะแพรจ่ ากบรเิ วณที่มีความเข้มขน้ ของสารมากไปยังบรเิ วณท่ีมคี วามเขม้ ข้นของสารน้อยกว่า
การแพรเ่ ขา้ และออกจากเซลล์ของสารเป็นการแพรผ่ ่านเยื่อเลือกผ่าน
ออสโมซิสเป็นการเคลือ่ นทขี่ องน้ำจากบริเวณท่ีมีความเขม้ ขน้ ของสารละลายมากไปยังบริเวณทีม่ ี
ความเข้มข้นของสารละลายน้อย

2. จากภาพ เขยี น O ลอ้ มรอบสว่ นทสี่ ามารถสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงได้ของพืช

31

พืชได้รับน้ำ และธาตุอาหารจากดิน พืชสามารถสร้างอาหารได้เองโดย

กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงซึ่งเกิดข้ึนที่ โครงสร้างที่มีคลอโรฟิลล์ของพืช
สว่ นพืชจะลำเลียงสารเหล่าน้ีไปยังสว่ นตา่ ง ๆ ของพืชได้อยา่ งไร

กจิ กรรมท่ี 6 พชื ลำเลยี งนำ้ และธาตอุ าหารอย่างไร

จุดประสงค์ : สังเกตรวบรวมขอ้ มลู เขยี นแผนภาพทศิ ทางการเคล่อื นทขี่ องน้ำ และบรรยายลกั ษณะและหน้าที่

ของเน้อื เยอ่ื ทอ่ ลำเลียงน้ำ

อปุ กรณ์

รายการ ปริมาณ/กล่มุ

1. ตน้ เทียน 1 ตน้

2. แว่นขยาย 2-3 อัน

3. บีกเกอร์ขนาด 250 cm3 1 ใบ

4. สไลด์ 5-6 แผ่น

5. กระจกปิดสไลด์ 5-6 แผน่

6. กล้องจุลทรรศน์ 1 กล้อง

7. ใบมีดโกน 2 ใบ

8. น้ำสีแดง ประมาณ 150 cm3
10 cm3
9. สารละลายซาฟรานนิ

วิธกี ารทดลอง
1. สงั เกตลกั ษณะภายนอกของราก ลำต้นและใบของพืชทีศ่ กึ ษาดว้ ยแว่นขยาย

2. นำต้นพืชมาล้างรากและวางผึ่งลมไว้ ประมาณ 2 ช่ัวโมง แล้วแช่รากในน้ำสีแดง สังเกตทิศทางในการ
เคล่อื นทขี่ องน้ำสีแดงในตน้ เทียนเป็นเวลา 1 ช่ัวโมง

3. เมื่อครบ 1 ชั่วโมง ตัดลำต้นของพืชท่ีศึกษาท่ีผ่านการแช่น้ำสีตามขวางและตามยาวบางๆ แช่เน้ือเยื่อใน

น้ำเปลา่ จากน้ันย้ายไปแชใ่ นสารละลายซาฟรานนิ เปน็ เวลา 10 วนิ าที
4. นำเน้ือเยือ่ ไปวางบนหยดน้ำบนสไลด์ ปิดดว้ ยกระจกปิดสไลด์ แลว้ สังเกตด้วยกลอ้ งจุลทรรศน์ บนั ทึกผลโดย

การวาดภาพหรอื ถ่ายรูป
ผลการทำกจิ กรรม

ลกั ษณะของต้นเทยี นก่อนแช่น้ำสแี ดง

32

ตาราง ผลการสังเกตรากและลำตน้ ของเทียนหลังแชน่ ้ำสแี ดงดว้ ยแว่นขยาย

สง่ิ ที่สงั เกต ผลการสงั เกตุ

ลกั ษณะของตน้

เนอื้ เยอ่ื รากตดั ตามยาว
เนอ้ื เยื่อรากเทียนตดั ตามขวาง
เนอื้ เยอ่ื ลำตน้ เทยี นตดั ตามยาว
เนอื้ เยอ่ื ลำตน้ เทียนตดั ตามขวาง

การตัดเนอื้ เย่อื พชื ตอ้ งระวังใบมดี โกนบาด และระวงั ไมใ่ ห้สไลด์หรอื กระจกปดิ สไลด์
แตกเน่อื งจากอาจเกิดอันตรายเพราะเศษกระจกบาดได้

33

ตาราง ผลการสงั เกตเน้อื เยือ่ รากและลำตน้ ของต้นเทียนหลงั แชน่ ้ำสดี ้วยกล้องจุลทรรศน์

วธิ ีการตัด เน้ือเยอ่ื ราก เนื้อเยือ่ ลำตน้

ตดั ตามยาว

ตดั ตามขวาง
แผนภาพแสดงทิศทางการเคลอื่ นท่ขี องน้ำและธาตุอาหารในต้นเทียน

คำถามท้ายกิจกรรม
1. น้ำสีเคลือ่ นทีเ่ ขา้ สูพ่ ชื ทางสว่ นใด และมีทศิ ทางการเคล่อื นท่ีอย่างไร ทราบได้อยา่ งไร

………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. เมื่อสังเกตเนื้อเยื่อรากและลำต้นด้วยกล้องจุลทรรศน์ ลักษณะเนื้อเย่อื ของรากและลำต้นของตน้ เทยี นเปน็
อยา่ งไร
แนวคำตอบ เมือ่ สังเกตดว้ ยกลอ้ งจลุ ทรรศน์ ลกั ษณะเนอื้ เยอ่ื ตัดตามขวางของรากเหน็ กลุ่มเซลลเ์ รยี งชดิ ตดิ กัน
และแยกเปน็ แฉกคลา้ ยรูปดาว เม่ือตัดตามยาวจะเหน็ กลุ่มเซลล์เรียงต่อกันเป็นท่อ ลกั ษณะเนอื้ เยื่อลำต้นของ
ตน้ เทียน เมื่อตัดตามขวางจะเห็นกล่มุ เซลล์ติดสีแดงเรียงเป็นกลมุ่ ๆ รอบลำต้น และเมอื่ ตัดตามยาวสว่ นท่ีติดสี
แดงจะเหน็ เป็นกลุ่มเซลล์เรียงต่อกนั เป็นท่อไปสสู่ ว่ นยอดและแยกไปสใู่ บ

34

3. เพราะเหตุใดกิจกรรมนี้จงึ ใช้ต้นเทยี น
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………

4. จากกิจกรรม สรปุ ได้อยา่ งไร
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….…
……..……………………………………………………………………………………………………………………………………………………

การลำเลียงนำ้ และอาหารของพืช

รับนำ้ ขน้ึ ไปตามไซเลม ใบ
ลำเลยี งอาหารในโฟลเอม
พลังงานแสง
ตา
คารบ์ อนได น้ำตาลที่สร้างจากกระบวนการ
ออกไซด์ สังเคราะห์ดว้ ยแสง
น้ำตาลเคลื่อนลงมายังรากท่กี ำลัง
น้ำและแร่ธาตุ เจริญเติบโตหรือขึ้นไปท่ีตา ซงึ่ กำลงั
จากดิน เจริญเตบิ โต

รากดูดนำ้ และแร่ธาตุ

ภาพ แสดงทศิ ทางการลำเลียงน้ำและอาหาร

ระบบเนอื้ เยื่อท่อลำเลียงประกอบดว้ ย 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ ท่อลำเลียงนำ้ และแรธ่ ำตุ (xylem) กบั ทอ่

ลำเลยี งอำหำร (phloem)

ภาพ แสดงภาคตัดขวางของลำต้นพืชใบเลี้ยงค่แู ละใบเลย้ี งเดีย่ ว

35

ภาพ แสดงภาคตดั ขวางของรากพืชใบเล้ียงคู่และใบเลย้ี งเด่ยี ว

ภาพตัดตามขวางของลำต้น(ซา้ ย) และราก(ขวา)

การทำงานของระบบการลำเลยี งสารของพืช
ระบบลำเลียงของพืชมีหลกั การทำงานอยู่ 2 ประการ คอื

1. ลำเลียงนำ้ และแร่ธาตุผ่านทางท่อลำเลียงน้ำและแรธ่ าตุ (xylem) โดยลำเลยี งจากรากข้ึนไปสู่
ใบ เพ่อื นำนำ้ และแร่ธาตไุ ปใช้ในกระบวนการสงั เคราะห์ด้วยแสง

2. ลำเลียงอาหาร (นำ้ ตาลกลโู คส) ผา่ นทางทอ่ ลำเลยี งอาหาร (phloem) โดยลำเลียงจากใบไปสู่
สว่ นตา่ งๆ ของพชื เพือ่ ใช้ในการสรา้ งพลังงานของพชื

การลำเลียงสารของพืชมีความเก่ียวข้องกับกระบวนการต่างๆ อีกหลายกระบวนการ ซึ่งต้องทำงาน
ประสานกนั เพื่อใหก้ ารลำเลียงสารของพืชเปน็ ไปตามเป้าหมาย

ระบบลำเลียงของพืชเรม่ิ ต้นท่ีราก บรเิ วณขนราก (root hair) ซึ่งมีขนรากมากถงึ 400 เส้นต่อพืน้ ที่ 1
ตารางมิลลิเมตร โดยขนรากจะดูดซมึ นำ้ โดยวิธีการท่ีเรยี กว่า การออสโมซิส (osmosis) และ วธิ ีการแพร่แบบ
อื่นๆ อีกหลายวิธี น้ำที่แพร่เข้ามาในพืชจะเคล่ือนท่ีไปตามท่อลำเลียงน้ำและแร่ธาตุ (xylem) เพ่ือลำเลียง
ต่อไปยังส่วนต่างๆ ของพืช เมื่อน้ำและแร่ธาตุต่างๆ เคล่ือนที่ไปตามท่อลำเลียงน้ำและแร่ธาตุและลำเลียงไป
จนถึงใบ ใบกจ็ ะนำนำ้ และแรธ่ าตนุ ี้ไปใชใ้ นกระบวนการสังเคราะหด์ ว้ ยแสง เมื่อกระบวนการสงั เคราะหด์ ว้ ยแสง
ดำเนินไปเรื่อยๆ จนได้ผลิตภัณฑ์เป็นน้ำตาล น้ำตาลจะถูกลำเลียงผ่านทางท่อลำเลียงอาหาร (phloem) ไป
ตามสว่ นต่างๆ เพ่อื เปน็ อาหารของพชื และลำเลยี งน้ำตาลบางสว่ นไปเก็บสะสมไวท้ ใ่ี บ ราก และลำตน้

36

ถ้ า นั ก เ รี ย น น ำ ถุ ง พ ล า ส ติ ก ม า ค ลุ ม
ใบไม้ในวันท่ีอากาศแจ่มใสเมื่อทิ้งไว้
สั ก ค รู่ จ ะ เ ห็ น ไ อ น้ ำ เ ก า ะ อ ยู่ ภ า ย ใ น
ถุงพลาสติก ไอน้ำเหล่าน้ีมาจากส่วน
ใดของใบ

การคายน้ำของพชื การคายน้ำของพชื มี 2 แบบ คอื
1. การคายน้ำในรูปของไอนำ้ เกดิ ขน้ึ ท่ปี ากใบหรือรใู บ
2. การคายนำ้ ในรูปของหยดน้ำ เกดิ ข้ึนท่ีต่อมบรเิ วณขอบของใบ
การคายน้ำ เป็นกระบวนการแพร่ของน้ำในรูปของไอน้ำออกทางปากใบ ซ่ึงอยู่ระหว่างเซลล์คุม 2 เซลล์

ปากใบจะพบมากท่สี ุดทางด้านทอ้ งใบ คอื ด้านล่างของใบท่ไี ม่ไดร้ บั แสง
การเปิดของปากใบ ปากใบจะเปิดเม่อื เซลลค์ ุมซึ่งคลอโรพลาสต์อยู่ภายในเซลล์ได้รับแสงสว่าง จงึ เกิดการ

สังเคราะห์ด้วยแสงขึ้น ได้น้ำตาลกลูโคสทำให้ความเข้มข้นของสารในเซลล์ข้างเคียง น้ำจากเซลล์ข้างเคียงจึง
ออสโมซสี เขา้ สู่เซลล์คมุ ทำให้เซลลค์ มุ เต่ง ปากใบจึงเปิดกว้าง

กัตเตช่ัน (Guttation) หมายถึง กระบวนการทีพ่ ืชกำจัดน้ำออกมาในรูปของหยดน้ำ
ทางรูเปิดเล็กๆ ตามปลายของเส้นใบ (รูเปิดเล็กๆ น้ีเรียกว่า ไฮดาโธด (Hydathode)
ซึ่งก็คือ Tracheid นั่นเอง) กระบวนการนี้จะเกิดเมื่อในอากาศมีความช้ืนสูง เช่น ใน
ตอนเชา้ ท่มี ีไอนำ้ อ่มิ ตวั หรอื หลงั ฝนตกใหม่ๆ

กลไกท่ีทำให้การเกิดคายน้ำออกเป็นหยดๆ คือ แรงดันราก (Root
pressure) ดันให้นำ้ ออกมา ทางปลายใบ หรือขอบใบของพืชตระกูลหญ้าหรือตระกูล
บอน ฯลฯ

การคายนำ้ ในรปู ของไอน้ำ การคายน้ำในรปู ของหยดน้ำ

ปจั จัยท่มี ีอทิ ธพิ ลต่อการคายน้ำ
1.) แสงสวา่ ง ถ้ามคี วามเขม้ ข้นแสงมาก ปากใบจะเปดิ ได้กว้าง พืชจะคายน้ำได้มาก

2.) อณุ หภมู ิ เปน็ ปจั จัยทือิทธพิ ลควบคู่กับแสงสว่างเสมอ ถ้าอุณหภูมิในบรรยากาศสงู พืชจะคายน้ำได้มาก
และรวดเร็ว

37

3.) ความช้ืนในบรรยากาศ ถ้าบรรยากาศมีความช้นื สูงจะคายน้ำได้น้อย พืชบางชนิดจะกำจัดน้ำออกมาในรูป
ของหยดน้ำ ทางรูเปิดเลก็ ๆ ตามรเู ปดิ ของเส้นใบ เรียกวา่ การคายน้ำเปน็ หยดหรอื กัตเตชัน ( guttation
) และถา้ ในบรรยากาศมี ความช้นื น้อย พชื จะคายนำ้ ไดม้ ากและรวดเรว็

4.) ลม ลมจะพัดพาเอาความช้ืนของพชื ไปที่อื่น เป็นสาเหตใุ ห้พืชสูญเสียน้ำมากข้ึน ในภาวะที่ลมสงบไอนำ้ ที่
ระเหยออกไปจะ คงอยใู นบรรยากาศใกล้ๆ ใบ บรรยากาศจึงมีความชื้นสูงพืชจะคายน้ำไดล้ ดลง แตถ่ ้าลม
พัดแรงมากพชื จะปิดหรือหรแ่ี คบลง มผี ลทำใหก้ ารคายนำ้ ลดลง

5.) ปริมาณน้ำในดิน ถ้าสภาพดนิ ขาดน้ำ หรือปรมิ าณนำ้ ในดินนอ้ ย พืชไม่สามารถนำไปใช้ไดเ้ พยี งพอ ปากใบ
ของพชื จะปิด หรือแคบหร่ลี ง มผี ลทำให้การคายน้ำลดลง

6.) โครงสรา้ งของใบ ตำแหน่ง จำนวน และการกระจายของปากใบ รวมถงึ ความหนาของคิวมิเคิล ( สาร
เคลอื บผวิ ใบ ) ลักษณะเหลา่ นม้ี ผี ลต่อการคายนำ้ ของพชื

ร่วม กนั คดิ 3

1.) ธาตุอาหารมีความสำคัญตอ่ พชื อยา่ งไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

2.) พืชลำเลยี งน้ำ ธาตอุ าหาร และอาหารไปยังสว่ นต่าง ๆ ของพืชไดอ้ ยา่ งไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

3.) ถา้ พืชไม่มีขนรากจะมีผลตอ่ การดูดนำ้ และธาตอุ าหารของพชื หรอื ไม่ อย่างไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

38

คดิ แบบนกั วิทย์

ขนั้ นำปัญญำพฒั นำควำมคิด กิจกรรม ฝึ กทา : ฝึ กสรา้ ง

กิจกรรม ทำอยา่ งไรให้พืชมีผลผลติ ตามต้องการ

จุดประสงค์

สบื คน้ ข้อมลู วเิ คราะห์ และเลอื กใชธ้ าตุอาหารให้เหมาะสมกับความต้องการของพืช

ผลการทำสืบคน้ ข้อมูล

พืช ธาตอุ าหารที่จำเป็น ปรมิ าณทีต่ อ้ งการ ประโยชนข์ องธาตอุ าหาร

ไนโตรเจน มาก ช่วยให้เจรญิ เติบโตเรว็ ลำต้นและใบ
ออ่ นกรอบ

ผกั กาดหอม ฟอสฟอรัส มาก ชว่ ยใหต้ ้นต้ังตวั ไดเ้ รว็ ขนึ้ ในชว่ งแรก
ของการเจริญเติบ โต และมรี สดขี ึน้

โพแทสเซียม มาก ช่วยให้ใบบางกรอบ ไมม่ ีจุดบนใบ ใบ
หอ่ ตัวไดด้ ใี บไมเ่ หีย่ วเฉา

แคลเซยี ม มาก ช่วยใหล้ ำต้นแข็งแรง

ชว่ ยการเจรญิ เติบโตของต้น และใบ

ไนโตรเจน มาก ทำให้สงั เคราะห์ดว้ ยแสงไดด้ ี ชว่ ยใน
การเจรญิ ของดอก และการพัฒนา

ของผล

ฟอสฟอรสั น้อย ชว่ ยในการเจริญเติบโตของราก ชว่ ย
ใหร้ ากดูดนำ้ และธาตอุ าหารไดด้ ี
มะเขือเทศ
ช่วยในการเจรญิ เตบิ โตของผล

โพแทสเซียม มาก เน้อื เยื่อผลเหนียวช่วยเพม่ิ ขนาดผล

ทนทานต่อโรค

เพ่ิมความแขง็ แรงของโครงสรา้ งต้น

แคลเซยี ม มาก รวมท้งั ผลและช่วยให้พืชนำโพแทส

เซียมไปใช้ไดด้ ขี ้นึ

ผลวเิ คราะหส์ ถานการณ์ สาเหตุท่ที ำให้ผกั กาดหอมเจริญเตบิ โตได้ดี แต่มะเขือเทศแสดงอาการผดิ ปกติ
ผักกาดหอม

ผักกำดหอมเป็นพืชที่รับประทำนใบ ซึ่งเจริญเติบโตได้ดี น่ำจะเป็นเพรำะดินที่ใช้ปลูกพืชมี

ไนโตรเจน ในปริมำณที่เหมำะสมต่อกำรเจริญเติบโตของใบ เนื่องจำกไนโตรเจนมีส่วนช่วยในกำร

เจรญิ เตบิ โตของใบพชื ทำใหม้ ีสเี ขยี วและสงั เครำะหด์ ว้ ยแสงไดด้ ี

39

มะเขอื เทศ
มะเขือเทศเป็นพืชที่นิยมรบั ประทำนผล สำเหตุท่ีแสดงอำกำรผิดปกติช่วงออกดอก และกน้ ผลเน่ำ

นำ่ จะเป็นเพรำะดินขำดธำตอุ ำหำรท่ีจำเป็นตอ่ กำรเจริญเติบโตของผล เชน่ แคลเซยี ม โพแทสเซียม ซึง่ ชว่ งท่ี
มดี อกและสรำ้ งผล
ผลการทำกิจกรรม

………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
คำถามท้ายกจิ กรรม
1. เพราะเหตุใด ผักกาดหอมจงึ เจริญเตบิ โตได้ดี แตม่ ะเขือเทศแสดงอาการผดิ ปกติ
แนวคำตอบ การทีผ่ กั กาดหอมเจริญเติบโตได้ดี แต่มะเขือเทศแสดงอาการผิดปกติ นา่ จะเป็นเพราะดนิ ทีใ่ ช้ปลกู
พืชมีธาตุอาหารที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของใบในปริมาณที่พอเหมาะ เช่น โนโตรเจน ทำให้พืชกินใบ
อย่างผักกาดหอมเจริญเติบโตได้ดี แต่พืชที่กินผลอย่างมะเขือเทศแสดงอาการผิดปกติช่วงออกดอก และมีผล
ผิดปกติ น่าจะเป็นเพราะดนิ ขาดธาตุอาหารที่จำเปน็ ต่อการเจริญเตบิ โตของผล
เชน่ แคลเซียม โพแทสเซียม
2. ถ้าต้องการปลกู มะเขือเทศ ใหไ้ ด้ผลผลิตที่ดี ควรปรบั ปรงุ ดินอย่างไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

40

กิจกรรม คิดดี ผลงำนดี มคี วำมสขุ

ขนั้ นำปัญญำพฒั นำตนเอง

ให้นกั เรยี นแต่ละกลุม่ สืบคน้ ขา่ วเกี่ยวกบั เทคโนโลยชี ีวภาพจากแหล่งขา่ วตา่ งๆพรอ้ มระบแุ หลง่ ท่มี าแล้ว
บนั ทกึ ขอ้ มลู

ขอ้ มูลทสี่ บื คน้

แหล่งสบื คน้ ขอ้ มลู ......................................................................................
......................................................................................
............................................... ......................................................................................
............................................... ......................................................................................
............................................... ......................................................................................
............................................... ......................................................................................
............................................... ......................................................................................
............................................... ......................................................................................
............................................... ......................................................................................
............................................... ......................................................................................
......................................................................................
...................................................................................... 41
......................................................................................
......................................................................................
......................................................................................
......................................................................................
......................................................................................
......................................................................................
......................................................................................
......................................................................................
......................................................................................
......................................................................................
......................................................................................
......................................................................................
......................................................................................
......................................................................................


Click to View FlipBook Version