The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by pandaping2546, 2021-12-14 10:40:19

E-Book

E-Book

Z
O
R
O
A
S
T
E ศาสนา

โซโรอัสเตอร์

R

Z
O
R
ความเป็นมา O
ศาสนาโซโรอัสเตอร์ A
S
เกิดในประเทศเปอร์เซีย หรือประเทศ

อิหร่านในปัจจุบัน เมื่อประมาณ 117 ปี T
ก่อน พ.ศ.หรือ 660 ปีก่อน ค.ศ.โดยคิด

ตามสมัยของโซโรอัสเตอร์ (Zoroaster) E
หรือ ซาราธุสตรา (Zarathustra) ผู้เป็น

ศาสดาของศาสนานี้ R

ผู้ที่นับถือศาสนาโซโรอัสเตอร์ใน

ประเทศอินเดียมีชื่อว่า ปาร์ซี (Parsi)
เพี้ยนมา จากคาว่า เปอร์เซีย ศาสนา Z
โซโรอัสเตอร์นี้มีชื่อเรียกอื่นๆอีก เช่น O
มาซเดอิสม์ (Mazdeism) มากิ R
สม์(magism) ลัทธิบูชาไฟและลัทธิ O
ทวินิยมมีนักปรัชญาและนัก A
ประวัติศาสตร์ชาวกรีก เริ่มให้ความ S
สนใจคำสอนที่ชื่อว่า ซาราธุสตระ (มี T
ความหมายเท่ากับสติปัญญา) E
ประมาณก่อน และหลังคริสตกาลไม่ R
นาน บางครั้งชื่อของ ซาราธุสตระและ
เพลโตหมายถึงสำนักปรัชญา เดียวกัน
ก็มี แต่ต่อมาในสมัยกลางความสนใจ
ก็หมดไป ยกเว้นแต่ชื่อซาราธุสตระซึ่ง
ชาวกรีก ออกเสียงว่าโซโรอัสเตอร์

ศาสนาโซโรอัสเตอร์ได้เผยแพร่ Z
ในประเทศเปอร์เซียมาเป็น O
เวลานาน จนกระทั่งคริสต์ R
ศตวรรษที่18 ศาสนาอิสลามได้ O
เข้าครอบครองอาณาจักรใน A
บริเวณนั้น ผู้นับถือศาสนาอื่นๆ S
รวมทั้งศาสนาโซโรอัสเตอร์ได้ T
ถูกพวกอิสลามขับไล่ ใน E
ประเทศเปอร์เซียจึงไม่มีพวก R
ศาสนานี้เหลืออยู่เลย เพราะ
ต้องอพยพมาอาศัย เดินทางไป
ต้ั งหลักแหล่งที่ประเทศอินเดีย
ปัจจุบันนี้มีผู้นับถือส่วนใหญ่ใน
เมืองบอมเบย์

Z
O
R
O
A
S
T
E เทพเจ้า
R ศาสนาโซโรอัสเตอร์

ศาสนาโซโรอัสเตอร์เป็นศาสนาทวิเทวนิยม เชื่อว่ามี
เทพเจ้า 2 องค์ คือเทพเจ้าแห่งความดีมีนามว่า อหุระ
มาซดะ (Ahura mazda) หรือออร์มุสด์ (Ormuzd)
หรือสเปนตา เมนยุ (Spenta Mainyu) มีคุณลักษณะ
7 ประการ คือ สว่าง ใจดี ถูกต้อง ครอบครอง ศรัทธา
เป็นอยู่ดี และ อมตภาพ มีแสงสว่างเป็นเครื่องหมาย
ทรงสร้างแต่สิ่งดีงาม เช่น ความสวยงาม ความอุดม
สมบูรณ์ ความสุข และความสมหวัง เป็นต้น

Z
O
R
O
A
S
T
E
R

กับอีกองค์หนึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความชั่ว หรือพญามาร มีนามว่า
อหริมัน (Ahriman) หรืออังครา เมนยุ (Angra Mainyu) มี
ความมืดเป็นเครื่องหมาย สร้างแต่สิ่งที่ชั่ว หรือไม่ดีทั้งหลาย เช่น
ความอัปลักษณ์ ความอดอยาก ความทุกข์ และความผิดหวัง

เป็นต้น

เทพทั้ง 2 องค์ได้ต่อสู้กันตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้จึงมีของคู่กัน

ในโลก เช่น ดี-ชั่ว สูง-ต่ำ ดำ-ขาว มืด-สว่าง เป็นต้น โดยสิ่งที่ดี
ทั้งหลายมาจากอหุระ มาซดะ ส่วนสิ่งไม่ดีทั้งหลายก็มาจาก Z
อหริมัน ศาสนาโซโรอัสเตอร์นอกจากจะมีชื่อทวิเทวนิยมแล้ว O
ก็มีชื่ออื่นๆอีก เช่น ศาสนาปาร์ซี เพราะศาสนานี้เกิดใน R
เปอร์เซีย หรือเรียกว่าศาสนาบูชาไฟ เพราะ ศาสนิกชนของ O
ศาสนานี้จะตามไฟตลอดเวลามิให้ดับ เป็นต้น ที่ว่าศาสนาบูชา A
ไฟ ไม่ได้หมายความว่า ศาสนาโซโรอัสเตอร์เห็นว่าไฟ S
ศักดิ์สิทธิ์ เพียงแต่ใช้ไฟเป็นสัญลักษณ์แห่งความสว่าง ความ T
สะอาด ความรู้ และความดีเท่านั้น กล่าวคือมีไฟในที่ใดย่อม E
กำจัดความมืดในที่นั้น มีไฟเผาผลาญสิ่งต่างๆในที่ใด ย่อม R
ทำลายสิ่งสกปรกให้หมดไป เหลืออยู่แต่ความสะอาดในที่นั้น

Z
O
R
O
A
S
T ศาสดา
E ศาสนาโซโรอัสเตอร์
R โซโรอัสเตอร์เกิดในตระกูลสามัญชนในประเทศอิหร่านเมื่อ

ประมาณ 117 ปีก่อน พ.ศ. โซโร- อัสเตอร์เป็นคนเผ่าสปิตามา
เกิดในแคว้นอซาไบจาน (Azarbijan) ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตก
เฉียงเหนือของประเทศอิหร่าน ติดกับประเทศรัสเซีย
บรรดาสาวกของโซโรอัสเตอร์ต่างพากันเชื่อว่าจะมีคนวิเศษผู้ยิ่ง
ใหญ่มาโปรดชาวเปอร์เซียล่วงหน้าก่อนโซโรอัสเตอร์เกิดกว่า
3,000 ปี โดยพระเจ้าผู้เป็นมหาเทพพระนามว่า อหุระ มาซดะ
ทรงส่งผู้นั้นให้มาเกิดในรูปของแสงสว่างเป็นอมตะเข้าสู่ครรภ์
หญิงสาวคนหนึ่ งผู้เป็นมารดาของโซโรอัสเตอร์

เมื่อโซโรอัสเตอร์อายุได้ 30 ปี ก็ได้ออกเดินทางท่องเที่ยว
ไปในหมู่ชาวไร่ชาวนาที่ยากจน โซโร- อัสเตอร์จึงคิดที่จะ
Z ช่วยเหลือคนเหล่านั้นให้พ้นจากความลำบาก ขณะนั่งคิด
O อยู่นั้นก็รู้สึกตัวเสมือนหนึ่ง พระเจ้าอหุระ มาซดะตรัส
R เรียกให้มาเฝ้าอยู่ข้างหน้าพระพักตร์ พระองค์ทรงไต่ถาม
O ปัญหาต่างๆจนพอพระทัย แล้วทรงมอบให้ดำเนินงานใน
A ฐานะตัวแทนของพระองค์เพื่อช่วยเหลือความทุกข์ของ
S คนทั้งหลาย คำสั่งของพระเจ้ามีว่า “ชายผู้นี้เราได้สร้าง
T มาเพื่อเป็นตัวแทนของเรา ชายผู้นี้เท่านั้นที่เอาใจใส่ต่อ
E การบอกกล่าวแนะนำของเรา” ตั้งแต่นั้นมาโซโรอัสเตอร์
R ก็มอบกายถวายชีวิตให้เป็นพลีแด่พระเจ้า ยึดถือหลักมี
ความคิดดี มีการกระทำดี และมีวาจาดี ตำหนิติเตียน
ความสกปรกโสมม การมัวเมา การคดโกง และการหลอก
ลวงทั้งสิ้น โซโรอัสเตอร์กล่าวว่า ผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามคำสอน
อันนี้ ในบั้นปลายชีวิตเขาจะต้องประสบความเดือดร้อน
ลำเค็ญ

หลังจากนั้น โซโรอัสเตอร์ก็มีโอกาส

เข้าสู่ราชสำนักเปอร์เซีย ได้เข้าเฝ้า
กษัตริย์วิสตาสปา (Vistaspa) ได้ Z
เทศนาถวายกษัตริย์ และบุคคลใน O
ราชสำนัก คนทั้งหลายต่างก็พากัน R
เปลี่ยนจากความนับถือเดิม คือการ O
นับถือธรรมชาติที่ทรงอำนาจ มาเป็น
นับถือพระเจ้าอหุระ มาซดะ และคำ
สอนของโซโรอัสเตอร์
ระยะการประกาศศาสนาของโซโร
อัสเตอร์ในตอนหลัง คือตั้งแต่อายุ
57 ปี มีลักษณะรุนแรงไปข้างการใช้
ศาสนาเป็นเครื่องมือทางการเมือง
เพื่อแสวงหาราชอำนาจให้แก่
กษัตริย์เปอร์เซียในดินแดนใกล้
เคียง ปรากฏว่ากษัตริย์เปอร์เซียผู้
อุปถัมภ์ศาสนาโซโรอัสเตอร์ต้องทำ
สงครามกับเผ่าตุเรเนียนอย่างหนัก

ครั้งหนึ่งเปอร์เซียต้องใช้ทหารถึงแสนคนเข้าตีเผ่าตุเรเนียน และ
ประเทศใกล้เคียงที่ปฏิเสธไม่ยอมรับนับถือศาสนาของโซโรอัส
เตอร์ และได้ชัยชนะ
โซโรอัสเตอร์สิ้นชีพเมื่ออายุ 80 ปี ถูกฆ่าพร้อมสาวกเป็นอันมาก
ขณะทำพิธีในเทวสถานเพื่อขอพรชัยชนะแก่ประชาชนระหว่าง
สงครามที่พวกตุเรเนียนบุกโจมตีอาณาจักรเปอร์เซีย






ZOROASTER

คัมภีร์ในศาสนา

Z คัมภีร์ของศาสนาโซโรอัสเตอร์
O คือ คัมภีร์อเวสตะ คาว่า อเวส
R ตะ แปลว่า ความรู้ ตรงกับคาว่า
O เวทะ ในศาสนาฮินดู
A
S
T
E
R

แบ่งออกเป็น 5 หมวดใหญ่


1) ยัสนะ (Yasna) เป็นส่วนที่ว่าด้วยพิธีกรรม Z
บวงสรวงต่อพระเจ้า แต่งเป็นคาถา คล้ายเพลงสวด O
ในคัมภีร์พระเวท R
2) วิสเปอรัท (Visperad) เป็นส่วนว่าด้วยบทสวด O
อ้อนวอนและบูชาพระเจ้า มีบทย่อยอีก 21 บท ว่า A
ด้วยศาสตร์ต่างๆ เช่น ดาราศาสตร์ เกษตรศาสตร์ S
เป็นต้น T
3) เวทิทัท (Vedidad) เป็นบทสวดในการขับไล่ E
ภูตผีปีศาจและมีเรื่องเกี่ยวกับ จักรวาล R
ประวัติศาสตร์ และคาสอนเรื่องนรกสวรรค์
4) ยัสถส์ (Yasths) แต่งเป็นคาถาว่าด้วยเรื่องราว
ศาสนาโซโรอัสเตอร์ มีการ พรรณนาความดีของผู้
สร้างศาสนานี้ ถือว่าเป็นส่วนที่สาคัญที่สุด พวก
นักพรตได้นามาใช้เป็น คัมภีร์หลักในการประกอบ
พิธีกรรม
5) โขรทา-อเวสตะ (Khorada Avesta) เป็นคู่มือ
บทสวดอย่างย่อสาหรับ ศาสนิกของศาสนาโซโรอัส
เตอร์4

Z ตามประวัติกล่าวว่า คัมภีร์ของศาสนาโซโรอัสเตอร์เกิด

O ขึ้นคร้ังแรกเมื่อพระราชา วิศตาสปา ยอมรับนับถือศาสนาโซโร
R อัสเตอร์ ทรงสั่งให้ฆ่าวัวจำนวน 12,000 ตัว เพื่อเอาหนัง มา Z
O ตากให้แห้งจดบันทึกคำสอนของท่านศาสดาและใช้ทองคำทำ O
A เป็นเชือกผูกร้อยไว้ R
S ในสมัยต่อมาคัมภีร์อวเสตะถูกรวบรวมขึ้นหลายสมัยอย่างต่อ O
T เนื่องและมาเสร็จ เรียบร้อยในสมัยกษัตริย์ราชวงศ์สาสาเนีย A
E แห่งอิหร่าน เขียนขึ้นเป็นภาษาปาห์ลาวี (Pahlavi) หลังจาก S
R ศาสดาโซโรอัสเตอร์สิ้นชีพไปแล้วประมาณ 500 ปีเศษ พระ T
เจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช แห่งอาณาจักรมาซาโดเนียได้ยก E
ทัพมาครอบครองอาณาจักรเปอร์เซียได้ทั้งหมด พระองค์สั่งให้
ทำลายคัมภร์อเวสตะและบันทึกคำสอนของศาสดาโซโรอัส
เตอร์ทั้งหมดและนาคาสอนของ ศาสนากรีกเข้ามาแทน
อย่างไรก็ตาม ประชาชนชาวเปอร์เซียส่วนใหญ่ยังคงยึดมั่นใน
ศาสนาโซโรอัสเตอร์ อยู่โดยยังคงทาพิธีบูชาไฟและให้ไฟใน
วิหารติดลุกตลอดเวลาไม่เคยดับ พวกเขาได้สร้างและ ประกาศ
คำสอนขึ้นมาใหม่สืบต่อมาจนกระทั่งกองทัพอาหรับที่นับถือ
ศาสนาอิสลามยกมา ครอบครองอาณาจักรได้ และบังคับให้
ชาวเปอร์เซียยอมรับนับถือศาสนาอิสลาม หลังจากนั้นคัมภีร์
และคำสอนของศาสดาโซโรอัสเตอร์ก็เลือนหายสาบสูญไปจาก
อาณาจักรเปอร์เซียตั้งแต่ น้ั นมา

Z
O
R
O
A
S
T
E
R

หลักคำสอน
ศาสนาโซโรอัสเตอร์

Z คำสอนเรื่องความเชื่อ

O
R 1) ห้ามการอดอาหารและการบาเพ็ญพรหมจรรย์ยกเว้นใน Z
O ฐานะเป็นส่วน หนึ่งของพิธีกรรมทาให้เกิดความบริสุทธิ์ เพราะ O
A การอดอาหารเป็นการทรมานตนให้เดือดร้อน และการบำเพ็ญ R
S พรหมจรรย์เป็นการทาให้มนุษย์ไม่มีการสืบทอดเชื้อสาย มนุษย์ O
T ควรมีคู่ และ ควรมีบุตร A
E 2) ความเชื่อเรื่องความตาย เมื่อมีคนตายจะไม่ยอมเผาศพ S
R เพราะเชื่อว่า ศพนั้นเป็นสิ่งสกปรก การเผาจะทำให้ไฟซึ่งพวก T
เขาบูชาต้องสกปรก ห้ามนำศพไปทิ้งแม่น้ำ เพราะจะทำให้น้ำ E
สกปรก ห้ามนำศพไปฝังเพราะจะทำให้ดินสกปรก การทำพิธีศพ
จึงนำไป วางไว้บนหอคอยสูง ปล่อยให้นกแร้งมาจิกกินเป็น
อาหาร หอนี้เรียกว่า หอคอยแห่งความสงบ ความเชื่อดังกล่าวมี
สาเหตุมาจากศาสนาโซโรอัสเตอร์เคารพบูชาไฟ น้ำ ดิน ว่าเป็น
ธรรมชาติ ที่ให้คุณประโยชน์ ส่วนศพเป็นสิ่งสกปรกจึงไม่ควรเผา
ทิ้งแม่น้ำและฝัง เพราะจะทำให้สิ่งที่พวกเขาเคารพบูชาน้ั นเกิด
ความสกปรกไปด้วย
3) ความเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตาย หลังจากตายแล้ววิญญาณ
ของมนุษย์จะต้องข้ามสะพานที่เรียกว่า สะพานแห่งการแก้แค้น
นำวิญญาณที่ดีไปสู่สวรรค์และนำ วิญญาณที่ชั่วร้ายไปลงนรก
วิญญาณจะต้องเดินทางไปรับคำพิพากษา โดยวิญญาณจะ
ปรากฏต่อ หน้าพระเจ้าเพื่อตัดสิน หากเป็นวิญญาณของผู้ทำดี
จะได้ไปสวรรค์ได้พบพระเจ้า หากเป็น วิญญาณของคนชั่วจะถูก
นำไปรับกรรมในนรกหรืออาณาจักรของมาร

Z คำสอนเรื่องเทพและมาร
O
R ศาสนาโซโรอัสเตอร์มีความเชื่อว่า อหุระ มาซดะ (หรือ ออร์มูสด์) มี
พระนาม มากมายตามคุณลักษณะ เช่น พระผู้สร้างโลก ผู้ประจักษ์
O แจ้งทุกประการ พระบิดาแห่งความ ยุติธรรม เป็นต้น พระองค์เป็น
ผู้ทรงความดีและความสุข ปางนี้มีชื่อว่า สเปนตา ไมนยู (Spenta
A Mainyu) ส่วนมารร้ายซึ่งถือว่าเป็นอีกปางหนึ่งของพระเจ้ามีชื่อ
ว่าอังคราเมนยู (Angra Mainyu) หรือ หริมัน (Ahriman) มาร
S ร้ายนี้คือตัวแทนของความชั่วร้ายในโลกนั่นเอง ผู้ที่จะปราบมาร
ร้ายนี้ได้ก็คือ เทพอหุระ มาซดะ โดยการอ้อนวอนบริกรรมพระนาม


T พระองค์จะ ส่องอานุภาพมาเอาชนะมารร้ายนี้ได้ Z
พระเจ้าได้ทรงสร้างเทพเจ้าขึ้นมากเพื่อให้บุคคลบูชาต่อสู่กับความ O
R
E ชั่วหรือมารร้าย เทพเจ้าที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมานั้นมีจำนวน 6 O
องค์ คือ โวหุมัน (ความคิดบริสุทธิ์) อัษวา อิสตาหรืออาษา(ความ

R ยุติธรรม)กษัตรา(อำนาจ)เทพเจ้าเหล่านี้เป็นเทพฝ่ายชายสเปน
ดาร์มัท (ความรัก) โหรวาตาต (อนามัย) และ อเมเรตาต (อมต
ภาพ) เหล่านี้เป็น เทพฝ่ายหญิง

คาสอนเรื่องเทพและมารนี้ เป็นคำสอนที่โดดเด่นมากของศาสนา

Aโซโรอัสเตอร์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่มีใครเข้าใจมาก่อน เป็นความเชื่อใน
เรื่องทวินิยม กล่าวคือ สิ่งที่เป็นความจริง 2 อย่าง เป็นเรื่องของการ

Sต่อสู้กันระหว่างความดีและความชั่ว ซึ่งในที่สุดความดีเป็นฝ่ายชนะ
ดังนั้น อำนาจทุกอย่างของพระเจ้าจึงมีอยู่อย่างจำกัดเพียงชั่วคราว

Tเท่านั้น ในการต่อสู้นี้มนุษย์
จะต้องเลือกเอาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เพราะมนุษย์มีเสรีภาพที่จะเลือก

Eข้าง

Z คำสอนเรื่องความรัก

O
R ศาสนาโซโรอัสเตอร์สอนว่า ความรักระหว่างชายหญิงเป็น Z
O ความรักเบื้องต้น ชีวิต แต่งงานเป็นความบริสุทธิ์ คนที่ O
A แต่งงานเป็นที่รักของพระเจ้ามากกว่าผู้เป็นโสด ผู้มีบุตร R
S ประเสริฐกว่าผู้ไม่มีบุตร ความรักของครอบครัวเป็นหลัก O
T เบื้องต้นของสังคม พระเจ้าทรงเป็น ผู้เชื่อมความรักใน A
E สถาบันทางสังคมและประเทศชาติ S
R T
E

Z คำสอนเรื่องหน้าที่มนุษย์

O
R ศาสนาโซโรอัสเตอร์มีความเชื่อว่า อหุระ มาซดะ ทรงสร้าง Z
O มนุษย์ขึ้นมา แต่พระองค์ก็ให้มนุษย์มีเสรีภาพที่จะเลือกระหว่าง O
A ความดีและความชั่ว ถ้ามนุษย์มาอยู่ฝ่าย พระเจ้า มารร้ายย่อม R
S พ่ายแพ้ไปเอง และในวันนั้นซึ่งเป็นวันตัดสิน ชีวิตแห่งความสุขก็ O
T จะเริ่มต้น เพื่อมนุษยชาติ ในการร่วมมือกับพระเจ้ามนุษย์จะ A
E ต้องชำระจิตใจให้สะอาดปราศจากความชั่ว ทั้งปวง ความจริง S
R เป็นคุณธรรมแรกสุด การบริจาคเป็นคุณธรรมที่รองลงมา T
มนุษย์จะต้องมี ระเบียบวินัยเพื่อให้มีความคิดดี พูดดีและทำดี E
ความคิดดีคือความคิดที่นักบุญคิดและถือว่า ประเสริฐว่าสิ่งอื่น
ใด คำพูดที่ดีคือคาพูดที่มีเหตุผล การกระทำดีคือการกระทาที่ได้
รับการ สรรเสริญจากทุกคนที่มีศีลธรรมประจำใจ มนุษย์อาจ
อ้อนวอนพระเจ้าเพื่อให้ตนมีความสุขได้ แต่ก็ไม่ควรให้ร้ายแก่
ศัตรู
เนื่องจากเทพอหุระ มาซดะ ทรงสร้างไฟ น้ำและโลก มนุษย์จึง
ไม่ควรทำให้ สิ่งเหล่านี้สกปรก การเผาศพทิ้งลงในแม่น้ำหรือฝัง
จึงถูกห้ามไม่ให้กระทำ เมื่อบุคคลตายไป แล้ว วิญญาณของเขา
จะเดินข้ามสะพานแคบๆ ทอดอยู่บนนรก คนดีจะข้ามไปอย่าง
ปลอดภัยไป ยังอาณาจักรของพระเจ้าอันรุ่งเรือง คนชั่วจะพลัด
ตกลงไปสู่อาณาจักรอันมืดทึบของ อังครา เมนยูซึ่งเป็นเทพแห่ง
ความชั่วร้าย เมื่อวันสิ้นโลกจะมีผู้มาช่วยเหลือจะทำให้คนตาย
แล้วฟื้ นคืนชีพขึ้นมา ทำการให้รางวัลคนดีและลงโทษคนชั่ว
และตอนนี้ อหูระ มาซดา จะมีอำนาจแต่เพียงผู้เดียวตลอดไป

Z คำสอนหลักจริยธรรม

O
R ศาสนาโซโรอัสเตอร์มีหลักจริยธรรมที่จะนำไปสู่การอยู่ร่วมกับ Z
O เทพเจ้าทั้งหลาย ซึ่งศาสนิกทุกคนจะต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด O
A 6 ประการ คือ R
S 1) การประพฤติดีทั้งกาย วาจา และใจ O
T 2) ความมีจิตใจบริสุทธิ์สะอาด A
E 3) ความเอื้อเฟื้ อเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้ทุกข์ยาก S
R 4) ความเมตตากรุณาต่อสัตว์ที่ให้คุณประโยชน์แก่มนุษย์ T
5) การทำงานที่มีคุณค่า E
6) การช่วยเหลือผู้ยากจนให้ได้รับการศึกษา
บุคคลที่ปฏิบัติตามหลักจริยธรรมดังกล่าวได้ชื่อว่าเป็นศาสนิก
ที่แท้จริงของศาสนา โซโรอัสเตอร์ ตามวิถีทางของเทพเจ้าผู้
ประเสริฐ

นิกายในศาสนา
โซโรอัสเตอร์
Z
O นิกายที่สาคัญของศาสนาโซโรอัสเตอร์ มี 2

R นิกาย คือ
O 1) นิกายชหันชหิส Z
A นิกายนี้คงถือคัมภีร์ที่ว่าด้วยการที่พระเจ้าแจ้ง O
S เรื่องราวต่างๆ ลงมาทางศาสดา โซโรอัสเตอร์ R
T เป็นสาคัญ ซึ่งคัมภีร์ดังกล่าวเป็นคัมภีร์ที่เกิดขึ้น O
E ใหม่ในสมัยต้นศตวรรษที่ 3 อันได้ มีการแปล A
R คัมภีร์ของศาสนานี้เป็นภาษาปาลวี ซึ่งใช้ใน S
เปอร์เซียสมัยนั้น ชื่อว่า คัมภีร์เมนอกิขรัท T
2) นิกายกัทมิส E
นิกายนี้ยึดมั่นในคัมภีร์ที่ว่าด้วยพิธีกรรมต่างๆ
อันได้แก่ คัมภีร์ ชะยิต- เนชะยิต ซึ่งเกิดขึ้นใน
สมัยเดียวกันกับคัมภีร์เมนอกิขรัท

Z
O
R
O
A
S
T พิธีกรรมสำคัญ
E
R

Z พิธีปฏิญาณตนเข้านับถือศาสนา
O
R
O เด็กชายและเด็กหญิงชาวเปอร์เซียหรือปาร์ซีที่เป็นวัยรุ่นทุกคน

A จะต้องเข้าพิธี ปฏิญาณตนว่านับถือศาสนาโซโรอัสเตอร์ เมื่อ
S อายุครบ 7 ปี (ในประเทศอินเดีย) และอายุ 10 ปี (ในประเทศ Z
T อิหร่าน) เมื่อทำพิธีเสร็จแล้ว จะได้รับเสื้อศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกว่า O
E สเทร (Sadre) และเส้นด้าย (เข็มขัด) ศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกว่า กุสติ R
R (Kusti) ยกเว้นในเวลาอาบน้ำ พวกเขาจะต้อง สวมใส่ทั้งสอง O
อย่างนั้นตลอดชีวิต โดยเฉพาะเข็มขัดจะต้องผูกอย่างน้อย 5
คร้ังต่อวันเพราะ เป็นรูปแบบของการสวดมนต์อ้อนวอน เข้มขัด
ศักดิ์สิทธิ์นี้สร้างมาจากเส้นด้าย 72 เส้นซึ่ง หมายถึงบทสวด
72 บทของคัมภีร์ยัสนะของศาสนาโซโรอัสเตอร์

A
S
T
E

Z พิธีบูชาไฟศาสนาโซโรอัสเตอร์
O
R ศาสนาโซโรอัสเตอร์ถือว่า ไฟเป็นสัญลักษณ์แห่งเทพเจ้าผู้ทรง
O แสงสว่างยิ่งกว่า แสงสว่างใดๆผู้ทรงประทานความอบอุ่นให้แก่
A มวลมนุษยชาติ เพราะฉะนั้นเมื่อไฟอยู่ที่ใด ย่อมจะเผาผลาญสิ่ง
S สกปรกทั้งหลายให้สูญสิ้นไป เหลือแต่ความสะอาดบริสุทธิ์ ความ
T สว่างไสว ความอบอุ่น ดังนั้น ศาสนิกของศาสนาโซโรอัสเตอร์จึง
E นิยมบูชาไฟ
R



Z
O
R
O
A
S
T
E

Z พิธีนมัสการพระอาทิตย์

O
R เมื่อถึงตอนเย็นในแต่ละวัน ศาสนิกแห่งศาสนาโซโรอัสเตอร์ที่ Z
O ประเทศอินเดีย โดยเฉพาะที่เมืองบอมเบย์ซึ่งเป็นศูนย์กลางของ O
A ศาสนานี้ จะพากันแต่งตัวด้วยผ้าขาวมีสไบ พาดบ่าลอยชายลง R
S ทั้งสองข้างไปชุมนุมพร้อมกันอย่างเป็นระเบียบ ณ ชายหาดแห่ง O
T ทะเล เพื่อประกอบพิธีนมัสการตอนสายัณห์ โดยการโค้งตัวลง A
E บรรจงจุ่มมือทั้งสองในน้ำทะเล แล้ว เอาขึ้นมาแตะที่หน้าผากอ S
R ย่างช้าๆ แล้วจับชายสไบทั้งสองมาแตะหน้าผากอีกคร้ัง ปลด T
สไบมา คาดพุงแล้วหันหน้าไปทางพระอาทิตย์ซึ่งกาลังจะตกลับ E
ขอบฟ้า พร้อมสวดมนต์พร้อมกันเบาๆ

OZ พิธีศพศาสนิกศาส
นาโซโรอัสเตอร์ศาสนิกของศาสนาโซโรอัสเตอร์ จะไม่เผาศพหรือฝังศพ จะไม่
R ทิ้งซากศพลงในน้ำ เพราะศาสนานี้ถือว่าไฟเป็นสัญลักษณ์แห่ง
O พระเจ้า จึงมีความศักดิ์สิทธิ์มาก และดิน น้ำ ก็เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์
เหมือนกัน ถ้าเผาศพจะทาให้ไฟหมดความศักดิ์สิทธิ์และแปด
A เปื้ อนด้วย สิ่งสกปรก ถ้าจะฝังดินก็จะทาให้ดินหมดความ
ศักดิ์สิทธิ์หรือทิ้งซากศพลงในน้ำก็จะทาให้ น้ำสกปรกและหมด
S
T ความศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน ดังน้ั น เมื่อมีคนตาย ก็จะนำศพไปวางไว้

E บนหอคอย สูงซึ่งสร้างไว้เป็นพิเศษเพื่อการทำพิธีศพโดยเฉพาะ
R เรียกว่า หอคอยแห่งความสงบ(The Tower of Silence) ทิ้ง Z
ไว้ให้เป็นอาหารของสัตว์ต่างๆ เช่น นก อีกา อีแร้ง หรือแม้แต่ O
สุนัข เป็นต้น R
O
A
S
T
E

สัญลักษณ์
ของศาสนาโซโรอัสเตอร์
Z
O สัญลักษณ์ของศาสนาโซโรอัสเตอร์ ได้แก่ โคมไฟ ซึ่งมี
R ความหมายถึงแสงสว่าง และความ อบอุ่นอันเป็น
O เครื่องหมายแสดงถึงคุณลักษณะของ พระเจ้าอาหูระ
A มาซดา ผู้ทรงความบริสุทธิ์ผู้ทรง เป็นแสงสว่างยิ่งกว่า
S แสงสว่างอันใด ผู้ประทาน ความอบอุ่นให้แก่มนุษย์ท้ัง
T หลาย ไฟซึ่งให้กำเนิด แสงสว่างย่อมเผาผลาญสิ่ง
E สกปรกให้เหลือแต่ความ บริสุทธิ์ เปรียบเสมือน
R พระเจ้าประทับอยู่ที่ใด ที่นั่น ย่อมมีแต่ความบริสุทธิ์

‎) มีอีกชื่อว่า โฟโรว์แฮร์‫ َفَرَوَهر‬:แฟแรแวแฮร์ (เปอร์เซีย

)‎ เป็นหนึ่งใน‫ (َفِّر کیانی‬‎) หรือ แฟร์เรคียอนี‫(ُفروَهر‬
Z
สัญลักษณ์ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดของศาสนาโซโรอัสเตอร์ O
ศาสนาอิหร่านที่กลุ่มชนอิหร่านส่วนใหญ่เคยนับถือก่อนที่ R
มุสลิมพิชิตจักรวรรดิเปอร์เซียในคริสต์ศตวรรษที่ 7 ซึ่งนำ O
ไปสู่การล่มสลายของจักรวรรดิซาเซเนียนและการอพยพ A
S
ของชาวโซโรอัสเตอร์จำนวนมากไปที่อินเดียทันที เพื่อ T
รักษาอัตลักษณ์ทางศาสนาและหลบหนีจากการ E
เบียดเบียนของมุสลิม

มีการตีความหลายแบบว่าแฟแรแวแฮร์มีความหมายว่า
อะไร และยังไม่มีฉันทามติสากลที่เป็นรูปธรรมเกี่ยวกับ
ความหมายของมัน อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่เชื่อว่าแฟแร
แวแฮร์เป็นรูปสัญลักษณ์ของ ฟราวาชี หรือจิตวิญญาณ
ของแต่ละบุคคลตามความเชื่อในศาสนาโซโรอัสเตอร์
แฟแรแวแฮร์เป็นหนึ่ งในสัญลักษณ์ สมัยก่อนการเข้ามา
ของศาสนาอิสลามที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดของประเทศ
อิหร่าน และชาวอิหร่านในเอเชียตะวันตกและใต้มักใส่เป็น
จี้ แม้จะมีต้นกำเนิดจากความเชื่อทางศาสนา แต่แฟแรแว
แฮร์ได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ทางฆราวาสและวัฒนธรรม
ส่วนใหญ่มักใช้เป็นการรวมอัตลักษณ์ชาตินิยมอิหร่าน

ฐานะปัจจุบันของศาสนา

Z ในปัจจุบัน ศาสนิกของศาสนาโซโรอัสเตอร์ส่วนใหญ่ตั้งถิ่นฐาน
O อยู่ที่เมืองบอมเบย์ ประเทศอินเดีย เรียกว่า ชาวปาร์ซี มี
R ประมาณ 100,000 คน ดังนั้น เมืองบอมเบย์จึงกลาย เป็น
O ศูนย์กลางของศาสนาโซโรอัสเตอร์ในปัจจุบัน แม้ชุมชนของ
A ชาวปาร์ซีในอินเดียจะเป็นชุมชนเล็กๆ แต่มักจะมีฐานะมั่นคง
S และควบคุมเศรษฐกิจในอินเดีย แต่อัตราการเกิดของชาวปาร์
T ซีน้ั นค่อนข้าง จะน้อยเมื่อเทียบกับอัตราการเกิดของประชากร
E ในพื้นที่อื่นๆของอินเดียเพราะชาวปาร์ซีต่อต้าน การ
R เปลี่ยนแปลง พอใจที่จะอนุรักษ์ศาสนาโซโรอัสเตอร์ไว้สาหรับ
ชาวปาร์ซีเท่านั้น ไม่นิยมการเผยแพร่ ให้คนอื่น ดังนั้น ศาสนา
โซโรอัสเตอร์จึงไม่เจริญรุ่งเรือง

ชาวปาร์ซีที่อยู่ในประเทศอิหร่านอีกประมาณ 11,000 คน

เรียกว่า พวกกาบารส์ (Gabars) แปลว่า พวกนอกศาสนา
ซึ่งเป็นคาที่ชาวมุสลิมเรียกชาวปาร์ซี ดังนั้น ศาสนิกของ Z
ศาสนาโซโรอัสเตอร์ใน ประเทศอิหร่านอยู่ในฐานะลาบาก โดย O
เฉพาะสมัยที่อยาโตลาห์ รูโฮลล่าห์ โคไมนี ขับไล่พระเจ้าชาห์ R
แห่ง อิหร่านออกนอกประเทศแล้วขึ้นปกครองบ้านเมืองน้ั น O
ศาสนิกของศาสนาโซโรอัสเตอร์ศาสนาบาไฮ และศาสนาอื่นๆ A
ที่ไม่ใช่ศาสนาอิสลามได้รับความเดือดร้อนมาก เพราะถูกทา S
ลายล้าง นอกจากนี้ ชาวปาร์ซียังอาศัยอยู่ในส่วนอื่นๆของโลก T
อีกด้วย เช่น ดินแดนแถบอเมริกาเหนือ ประชากรที่นับถือ E
ศาสนาโซโรอัสเตอร์ท้ังหมดมีประมาณ 250,000 คน R

การมีชุมชนขนาดเล็กและประชากรที่ลดน้อยลงเรื่อยๆนับเป็น
เรื่องที่น่ากังวลสำหรับศาสนา โซโรอัสเตอร์ การแตก
Z กระจัดกระจายของประชากรทำให้เกรงว่าศาสนาอาจจะสูญ
O สลายไปในไม่ช้า ผู้นำของศาสนาโซโรอัสเตอร์ก็ประณามการ
R แต่งงานกับศาสนิกชนของศานาอื่นอย่างรุนแรงซึ่งทำให้มี
O จำนวน ประชาการที่ลดน้อยลงอย่างรุนแรงโดยเฉพาะในชุมชน
A ชาวปาร์ซีในยุโรปและอเมริกาเหนือ สิ่งเหล่านี้เป็น สาเหตุสำคัญ
S ของการนำไปสู่การสูญสิ้นศาสนาโซโรอัสเตอร์
T
E
R

ศาสนายูดาห์

ประวัติความเป็นมา

ศาสนายูดาห์หรือศาสนายิวเป็นศาสนาของชาวยิวหรือฮีบรู ซึ่งสืบเชื้อ
สายมาจากพวกเซมิติกที่แยกมาจากภาคเหนือของทวีปเอเชีย และได้เข้า
มาตั้งถิ่นฐานอยู่ในดินแดนปาเลสไตน์ ต่อมาภายหลังพวกฮีบรูบางพวก
ได้ตกเป็นเชลยและถูกกวาดต้อนไปอยู่ประเทศอียิปต์ แต่ทนการบีบ
บังคับกดขี่ข่มเหงของพวกอียิปต์ไม่ไหว จึงพากันหลบหนีข้ามทะเลแดงไป
รวมตัวกันอยู่ในดินแดนปาเลสไตน์อีกครั้งหนึ่ง บริเวณดินแดนแห่งนี้มี
ชนชาติคานาอันหรือแคนาไนต์อาศัยอยู่พวกคานาอันเรียกพวกที่เข้ามา
ใหม่ว่า “ฮีบรู” โดยที่พวกยิวแสดงตัวว่าเป็นผู้มาดีไม่ใช่มาร้ายพวกคานา
อันจึงไม่รังเกียจ พวกฮีบรูมีหัวหน้าคนหนึ่งซึ่งมีนามเดิมว่า “ ยาโคบ” ซึ่ง
ยาโคบจะเรียกชื่อตนเองในเวลาทำพิธีทางศาสนาว่า “ อิสราเอล” แปล
ว่า “มั่นคงต่อพระเจ้า”

พวกยิวได้สืบเชื้อสายทางศาสนามาจากพวกคานาอันซึ่งนับถือพระ
เป็นเจ้าองค์เดียวคือ
“พระยาห์เวห์” เดิมพวกยิวเคยนับถือพระเป็นเจ้าของพวกคานาอันอีก
องค์หนึ่ง คือ“ พระฮีรา” แต่ไม่นานชาวยิวก็เลิกเคารพคงเหลือเพียง
เคารพพระยาห์เวห์องค์เดียวต่อมาพวกยิวได้กลับเข้าสู่ดินแดน
ปาเลสไตน์ดั้งเดิมแล้วโมเสสการจูงใจให้ชาวยิวนับถือพระยาห์เวห์คงดัง
เดิม และชาวยิวก็นับถือพระยาห์เวห์มาจนกระทั่งทุกวันนี้

โมเสสเป็นศาสดาของศาสนายูดาห์ บิดาชื่อ อัมรัม มารดาชื่อ โจ
เชเบด ทั้งบิดาและมารดาของโมเสสเป็นชนเผ่าเลวีของอิสราเอล
สันนิษฐานว่าโมเสสเกิดในรัชสมัยของฟาโรห์รามเสสที่ 2 ประเทศอียิปต์
ในสมัยนั้นได้มีนโยบายให้ลดจำนวนประชากรของชาวยิวลงจากมีชาวยิว
เพิ่มขึ้นและมีความแข็งแกร่งขึ้นด้วย เมื่อเป็นดังนั้นฟาโรห์รามเสสที่ 2
ทรงเกรงว่าชาวยิวจะร่วมมือกับข้าศึกเพื่อโจมตีพระองค์ จึงมีบัญชาให้
ประหารชีวิตเด็กชายที่เกิดในตระกูลอิสราเอล

บิดาของโมเสสเกรงว่าบุตรของตัวเองจะไม่ปลอดภัย จึงซ่อนบุตรของ
ตัวเองไว้ 3 เดือน ต่อมาเห็นว่าไม่ปลอดภัยแน่ จึงนำบุตรสาริกาลอยแพ
อธิษฐานเสี่ยงบุญไปตามแม่น้ำไนล์ แต่แล้ววันนั้นพระธิดาของฟาโรห์
รามเสสที่ 2 เสด็จลงสรงน้ำ ทอดพระเนตรเห็นตะกร้าที่มีเด็กลอยน้ำมา
จึงนำไปเลี้ยงไว้ในฐานะบุตรบุญธรรม แล้วตั้งชื่อให้ว่า “โมเสส” แปลว่า
“ผู้รอดตายจากน้ำ” พี่สาวของโมเสสชื่อ “มิริอัม” ได้อาศัยเลี้ยงดูโมเสส
แทนพระราชธิดา และมารดาเดิมของโมเสสก็ได้รับบัญชาจากพระราช
ธิดาให้ไปเลี้ยงโมเสสด้วย

โมเสสได้รับการเลี้ยงดูบุตรเจ้าชายในราชกุล โมเสสไม่ทราบว่าตนเอง
เป็นชาวยิว จนกระทั่งวันหนึ่ง มารดาผู้ให้กำเนิดได้บอกความจริงกับ
โมเสสว่าเขาเป็นชาวยิว และจุดนี้เองเป็นระยะที่สำคัญที่สุดในการเตรียม
การของโมเสสเพื่ออพยพชาวยิวออกจากอียิปต์ Moses ศึกษากฎหมาย
โบราณ การฝึกทางด้านการทหาร จนทำให้โมเสสได้ความรู้ด้านการเป็น
ผู้นำคน โมเสสมีความสนิทสนมกันเป็นพิเศษกับเด็กหนุ่มเชื้อสาย
เดียวกัน และเขามักไปเยี่ยมทุกข์สุขของพวกชาวยิว

วันหนึ่ งโมเสสได้เห็นชาวอียิปต์ผู้เป็นหัวหน้ าควบคุมงานก่อสร้าง
กระทำการโหดร้ายทารุณต่อคนงานชาวยิว จึงทำให้เกิดการทะเลาะวิวาท
โมเสกบรรดาโทสะฆ่าผู้ควบคุมนั้นตาย ฟาโรห์รามเสสที่ 2 ส่งโกรธมาก
และได้รับสั่งให้สำเร็จโทษโมเสส แต่โมเสสได้หลบหนีไปอาศัยอยู่กับพ่อ
หลวงชาวยิวนามว่า “เสโธซ์” ในดินแดนมิเดีย ต่อมาก็ได้แต่งงานกับ
บุตรสาวของพ่อหลวงชื่อ“ชิปโปราห์” มีบุตรชาย 2 คน คือ “เคอโสมและ
อีไลเชอร์” เมื่อสิ้นรัชสมัยของฟาโรห์รามเสสที่ 2 แล้ว เนปตาห์ พระ
ราชโอรสได้ทรงครองราชย์แทนเวลานี้เองโมเสสและอารอน ผู้เป็นเพื่อน
จึงเดินทางกลับมาอียิปต์ เมื่อร้องขอต่อฟาโรห์ เนปตาห์ ให้ชาวยิวทั้งมวล
กับสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญา คือปาเลสไตน์ ในระยะแรกฟาโรห์ไม่
อนุญาต ต่อมาจึงเกิดโรคระบาดในอียิปต์อย่างหนัก คัมภีร์ทางฝ่ายยิว
กล่าวว่าเห็นผลมาจากการที่พระเป็นเจ้าทรงลงโทษที่ฟาโรห์ไม่ทรง
อนุญาตให้ชาวยิวกลับสู่ปาเลสไตน์ เมื่อเหตุการณ์ร้ายๆต่างคุกคาม
ประเทศและประชาชน ฟาโรห์เนปตาห์ จึงทรงยอมอนุญาตให้ชาวยิวออก
จากอียิปต์ได้ ขณะที่โมเสสผู้มีอายุ 80 ปี ได้นำชาวยิวออกจากอียิปต์นั้น
ฟาโรห์เนปตาห์ส่งเกิดความระแวงจึงให้ทหารออกติดตามเพื่อสังหารชาว
ยิว แต่เกิดปรากฏการณ์ทำให้ชาวยิวรอดชีวิตมาได้นั้นคือน้ำทะเลแดงได้
แยกให้ทางแก่โมเสสและชาวยิวข้ามฝั่ งไปได้ แต่พอทหารที่จะข้ามไปบ้าน
กลับถูกน้ำท่วมตาย

การเดินทางอพยพครั้งนี้ ทำให้โมเสสได้รับประสบการณ์ต่างๆ และ

กลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในเวลาต่อมา กล่าวคือ ในขณะนั้นมีปัญหาต่างๆ เกิด
ขึ้นมากมาย เช่น การขาดแคลนอาหาร การขาดแคลนน้ำ การทะเลาะ

วิวาทกัน เป็นต้น แต่โมเสสแก้ปัญหาต่างๆ ได้ด้วย ความสุขุม จิตใจสงบ

อันเป็นผลจากการสวดมนต์ถึงพระผู้เป็นเจ้าอยู่เสมอ

ระหว่างการเดินทางสู่ปาเลสไตน์ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญใน

ประวัติศาสตร์ ณ ภูเขาซีนาหรือภูเขาโฮเรป คือ โมเสสได้ปลีกตัวจากคณะ

ไปพักสงบอยู่บนยอดเขา ซีนายเป็นเวลา 40 วัน 40 คืนข้อความใน
คัมภีร์ฝ่ายยิวกล่าวว่า “ที่ภูเขาแห่งนี้โมเสสได้รับบัญญัติ 10 ประการจาก
พระยาห์เวห์ผู้เป็นเจ้า” บัญญัติดังกล่าวได้จารึกลงแผ่นหิน 2 แผ่น
โมเสสได้นำแผ่นหินนี้มาประกาศให้ชาวยิวทราบและทำให้ชาวอยู่ทุกคน

ศรัทธา ซึ่งบทบัญญัติ 10 ประการนี้ ก็ได้เป็นหลักทางศีลธรรมและ
จริยธรรมของศาสนิกชนสืบต่อมา หลักคำสอนของโมเสสรวมอยู่ในคัมภีร์
เก่าที่ชาวยิวเรียกว่า “คัมภีร์โทราห์” แปลว่า “กฎหมายหรือข้อควร
ศึกษา” เป็นคัมภีร์ที่ชาวยิวให้ความนับถือและเคารพยิ่ง
โมเสสใช้เวลาในการนำพาชาวยิวสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญาหรือ

ปาเลสไตน์ เป็นระยะเวลานานถึง 40 ปี แต่ก็ยังไม่ถึง ณ ดินแดนแห่งนั้น
พร้อมโอนสิทธิ์ได้ละสังขารไประหว่างเดินทางที่ภูเขาในโป ร่วงอายุได้
120 ปี คำสอนของโมเสสได้กลายเป็นแนวปฏิบัติในชีวิตประจำวันของ
ชาวยิวสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน

คัมภีร์

คัมภีร์ของศาสนายูดาห์มี 3 คัมภีร์ดังนี้
1) คัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมหรือคัมภีร์เก่าเป็นภาษาฮีบรูเนื้อความ

กล่าวถึงการแก้แค้นและการส่องสว่างของพระยาห์เวห์รวมถึงกล่าวว่า
พระยาห์เวห์เป็นผู้พิพากษาโลกตลอดจนมีบทสรรเสริญพระเป็นเจ้าพร้อม
ด้วยสุภาษิตอันเป็นคำสอนเช่นสอนไม่ให้กีดกันความดีจากคนที่ควรค่าแก่
ความดีเป็นต้น

2) คัมภีร์โทราห์ “โทราห์” แปลว่า “พระบัญญัติ” เป็นชุดพระบัญญัติ
โทราห์ที่มีความหมายกว้างมากแบ่งออกเป็น 2 สายคือบทบัญญัติที่เขียน
ไว้เป็นลายลักษณ์อักษรและบทบัญญัติที่ท่องจำกันมาด้วยปากเปล่าเรียก
ว่า “มุขปาฐะ” ซึ่งคัมภีร์โทราห์นี้ยังหมายรวมเอาคัมภีร์ภาคพันธสัญญา
เดิมไว้ด้วย

3) คัมภีร์ทาลมูดเป็นภาษาฮีบรูแปลว่า “การศึกษา” มีการเขียนขึ้น
เมื่อประมาณเนื้ อหาของคัมภีร์เล่าถึงความเป็นมาของศาสนายูดาห์และมี
การแสดงให้เห็นว่า พ.ศ. 463-933 ศาสนายูดาห์เป็นปฏิปักษ์กับพระ
เยซูคริสต์

นิกาย

ศาสนายูดาห์มีนิกายที่สำคัญ 4 นิกายดังนี้
1. นิกายออร์ทอดอกซ์ เป็นพวกหัวเก่ายึดถือคัมภีร์โทราห์ชุดพระ

บัญญัติอัน ได้แก่ คัมภีร์ 5 เล่มแรกของภาคพันธสัญญาเดิมคือปฐมกาล
อพยพเลวีนิติกันดารวิถีและเฉลยธรรมบัญญัตินิกายนี้เคร่งครัดมากถือ
ปฏิบัติตามตัวหนังสือและพวกนี้มีความเชื่อว่าอิสราเอลเป็นมาตุภูมิของตน

2. นิกายปฏิรูป เป็นนิกายที่นับถือในหมู่ปัญญาชนสมัยใหม่ที่มีความ
เห็นว่าคัมภีร์และกฎหมายต่างๆอาจปรับปรุงแก้ไขได้ไม่ใช่ถือกันตามตัว
หนังสือในคัมภีร์จะต้องมีการปรับปรุงแก้ไขให้เข้ากับชีวิตและความเป็นไป
ของสังคมปัจจุบันกฎอันใดที่ไม่เหมาะกับสังคมสมัยใหม่ก็ควรยกเลิก
พิธีกรรมต่างๆควรทำกันอย่างรวบรัดนิกายนี้เชื่อว่าศาสนายูดาห์ต้องเป็น
ศาสนาสากลของโลกไม่เชื่อเรื่องการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์และการ
สร้างประเทศอิสราเอลใหม่

3. นิกายอนุรักษนิยม เป็นนิกายที่ประนีประนอมความคิดระหว่าง 6
นิกายแรกเข้าด้วยกันโดยการถือศาสนายูดาห์เป็นแก่นแท้ของชาวยิวทุก
คนพยายามยึดมั่นในขนบธรรมเนียมและจารีตเก่า ๆ ให้มากและควร
ปรับปรุงส่วนที่ล้าสมัย

4. นิกายบูรณะปฏิสังขรณ์ เป็นนิกายที่แยกมาจากนิกายอนุรักษนิยม
พวกที่นับถือนิกายนี้เป็นคนหัวรุนแรงมากเพราะได้รับอิทธิพลจากลัทธิ
ปรัชญาแบบปฏิบัตินิยมและธรรมชาตินิยมในสหรัฐอเมริกานิกายนี้ถือเรื่อง
เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและแสดงออกตามความเชื่อได้อย่าง
เต็มที่

หลักธรรม

มีหลักธรรมคำสอนที่สำคัญ ของศาสนายูดาห์ สามารถแบ่งประเด็น
สำคัญ ได้ดังต่อไปนี้
1. หลักความเชื่อพื้นฐานของศาสนายูดาห์ ตั้งอยู่บนพื้นฐานดังนี้

1.ระยาห์เวห์เป็นพระเป็นเจ้าสูงสุดเพียงพระองค์เดียวไม่มีพระเป็น
เจ้าองค์อื่นนอกจากพระองค์เป็นผู้สร้างโลกมนุษย์และสรรพสิ่งในเอกภพ
เป็นองค์แห่งความดียุติธรรมความรักและปัญญาทรงควบคุมเอกภพให้
ดำเนินไปตามน้ำพระทัยของพระองค์

2.กฎหมายของพระเป็นเจ้าคือกฎหมายสูงสุดที่แท้จริงแสดงให้
ปรากฏในคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมและคัมภีร์ทาลมุดทุกประการอันว่า
ด้วยการปกครองเศรษฐกิจสังคมและชีวิตประจำวันโดยที่มนุษย์ไม่อาจ
ปฏิเสธกฎหมายสูงสุดได้

3. ระยาห์เวห์ทรงพิจารณาเลือกสรรชนชาติอิสราเอลให้เป็นผู้แทน
พระองค์เพื่อจะได้นำมนุษยชาติไปหาพระองค์ชาวอิสราเอลทุกคนจึงต้อง
มีหน้าที่เป็นพระหรือนักบวชต้องดำรงชีวิตให้อยู่ในความชอบธรรมและ
ความบริสุทธิ์ทุกประการ

4.อกภาพทางประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นถึงพระประสงค์และ
นโยบายของพระเป็นเจ้าในการลงโทษและให้รางวัลแก่มนุษย์ว่าแต่ละ
ครั้งพัฒนาไปสู่สภาวะที่ดีขึ้นเพื่อไปสู่อาณาจักรของพระเป็นเจ้า

5.ศาสดาพยากรณ์เป็นผู้เผยพระวจนะที่แท้จริงของพระเป็นเจ้าคำ
ทำนายของศาสดาพยากรณ์มีความศักดิ์สิทธิ์เป็นการแสดงพระประสงค์
ของพระเป็นเจ้าที่ตักเตือนสั่งสอนมนุษย์ให้รู้สึกผิดและให้โอกาสกลับใจ
ใหม่

6.มื่อมนุษย์ตายพระเป็นเจ้าทรงตัดสินพิพากษาด้วยความยุติธรรม
การลงโทษคนบาปและประทานพรแก่คนดี

7.พระเป็นเจ้าจะเสด็จมาพิพากษาโลกในวันสิ้นโลกจะทำลายล้างบาป
ให้หมดไปแล้วทรงตั้งอาณาจักรบริสุทธิ์ในโลกใหม่

8.ระเมสสิยาห์หรือผู้ไถ่บาปคือบุตรของพระเป็นเจ้าบางทีเรียกบุตร
ของมนุษย์จะเสด็จมาปราบศัตรูของพระเป็นเจ้าและช่วยผู้ที่ซื่อสัตย์ต่อ
พระองค์ให้พ้นจากทุกข์ทรมานจะทรงปกครองโลกด้วยสันติภาพและ
ความรักฉะนั้นจึงให้มนุษย์เตรียมตัวไว้รับพระองค์ด้วยการดำรงชีวิตให้
บริสุทธิ์

9.การถือปฏิบัติตามขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณีดั้งเดิมซึ่งระบุ
ไว้บนพระคัมภีร์เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยควบคุมชีวิตมนุษย์ให้อยู่ในความ
บริสุทธิ์ตามพระประสงค์ของพระเป็นเจ้า

10.ชาวยิวต้องดำรงชีวิตในความบริสุทธิ์ตามหลักปฏิบัติว่าด้วยสิทธิ 5
ประการอัน ได้แก่ สิทธิในการครอบครองชีวิตสิทธิเกี่ยวกับทรัพย์สินสิทธิ
เกี่ยวกับการประกอบอาชีพสิทธิเกี่ยวกับการแต่งกายสิทธิเกี่ยวกับการตั้ง
บ้านที่อยู่อาศัยและสิทธิแห่งบุคคลซึ่งรวมถึงสิทธิในการพักผ่อนและ
เสรีภาพส่วนบุคคลด้วย

2. พระบัญญัติ 10 ประการ พระบัญญัติสูงสุดในศาสนายูดาห์เรียกว่า“
พระบัญญัติ 10 ประการตามพระคัมภีร์กล่าวว่าโมเสสได้ขึ้นไปเฝ้าพระ
ยาห์เวห์บนยอดเขานายพระองค์ทรงจารึกข้อความไว้บนศิลา 2 แผ่นชาว
อิสราเอลข้อความในพระบัญญัตินั้นครอบคลุมไปทั้งด้านศาสนาและทรง
มอบให้โมเสสเพื่อนำไปใช้เป็นกฎหมายปกครองการเมืองเศรษฐกิจสังคม
และวัฒนธรรมเป็นรากฐานของกฎหมายระเบียบข้อบังคับวินัยและศีล
โดยแยกกล่าวเป็นข้อ ๆ ได้ดังนี้

1.จงนมัสการพระเป็นเจ้าองค์เดียวจุดประสงค์ของพระบัญญัติข้อนี้
เพื่อส่งเสริมเอกภาพทางศาสนาในฐานะที่เป็นเงื่อนไขก่อให้เกิดองค์การ
ทางสังคมและความมั่นคงแห่งชาติโดยกำจัดคนพวกนอกศาสนาให้หมด
สิ้นแม้ว่าเป็นญาติสนิทที่สุดของตนก็ตาม

2.อย่าออกพระนามพระเป็นเจ้าโดยไม่สมเหตุจุดประสงค์ของพระ
บัญญัติข้อนี้เพื่อยกระดับมโนคติเกี่ยวกับพระเป็นเจ้าของชาติให้สูงขึ้นแม้
เป็นการทำลายศิลปะก็ตามทั้งนี้เพื่อยกระดับสติปัญญาของชาวยิวให้สูง
ขึ้นไม่ใช่ยึดพิธีรีตองที่เกี่ยวกับไสยศาสตร์และบูชารูปปั้ นต่างๆทำให้
แตกแยกในด้านความเชื่อ

3.จงถือวันพระเป็นเจ้าเป็นวันศักดิ์สิทธิ์จุดประสงค์ของพระบัญญัติข้อ
นี้เพื่อให้มนุษย์ได้พักผ่อนสัปดาห์ละ 6 วันในที่สุดก็ได้กลายเป็นประเพณี
ที่สำคัญที่สุดของโลกความจริงวันหยุดในทำนองนี้มีอยู่ในแทบทุกศาสนา

4. จงนับถือบิดามารดาจุดประสงค์ของพระบัญญัติข้อนี้เพื่อยกย่อง
ครอบครัวโดยเชื่อว่าบิดามารดาเป็นโครงสร้างที่สำคัญของสังคมผิวและ
สำคัญเป็นที่สองรองจากศาสนา

5. อย่าฆ่าคนจุดประสงค์ของพระบัญญัติข้อนี้เพื่อต้องการให้มนุษย์มี
เมตตากรุณาต่อกันทั้งนี้เพราะปรากฏว่ามนุษย์ชอบรบราฆ่าฟันกันมาก
หลักฐานในคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมปรากฏว่ามีเรื่องสู้รบทำสงครามกัน
มาก

6. อย่าผิดประเวณีจุดประสงค์ของพระบัญญัติข้อนี้เพื่อจัดระเบียบ
ความสัมพันธ์ทางเพศระหว่างชายหญิงให้เป็นไปอย่างเหมาะสมดังนั้นจะ
มีความสัมพันธ์ทางเพศกันก่อนแต่งงานไม่ได้

7. อย่าลักทรัพย์จุดประสงค์ของพระบัญญัติข้อนี้เพื่อเน้นเรื่องทรัพย์
สมบัติส่วนตัวซึ่งมีความสัมพันธ์กับศาสนาและครอบครัวโดยเชื่อกันว่า
เป็นพื้นฐาน 3 ประการของสังคมชาวยิวเพราะหากคนมีทรัพย์สมบัติส่วน
ตัวไม่ได้คนจะขาดความกระตือรือร้นในการทำมาหากิน

8.อย่าใส่ความนินทาจุดประสงค์ของพระบัญญัติข้อนี้เพื่อทำให้ชาวยิว
มีความเคร่งครัดในศาสนาด้วยศรัทธาจริงๆไม่ใช่ออกพระนามพระเป็นเจ้า
อย่างพล่อยๆและตามปกติมักใช้คำว่า “อะโดไน” แทนพระนามพระ
ยาห์เวห์

9.อย่าคิดมิชอบจุดประสงค์ของพระบัญญัติข้อนี้เพื่อต้องการให้คนที่
ทำหน้าที่เป็นพยานมีความซื่อสัตย์สุจริตและต้องความเป็นจริงโดยต้อง
สาบานต่อพระเป็นเจ้า

10.อย่ามีความโลภในสิ่งของของผู้อื่นจุดประสงค์ของพระบัญญัติข้อนี้
เพื่อชี้ชัดว่าสังคมชาวยิวจัดผู้หญิงรวมไว้ในเรื่องของทรัพย์สมบัติด้วย
ตามพระบัญญัติข้อนี้หากใครปฏิบัติได้ย่อมจะทำให้ผู้ปฏิบัติสามารถขจัด
ความโลภในทางที่ผิดลงได้มากทีเดียว

3. การสร้างโลกและชีวิต ศาสนายูดาห์สอนว่าพระยาห์เวห์เป็นพระ

เป็นเจ้าสูงสุดเพียงองค์เดียวไม่มีพระเป็นเจ้าอื่นนอกเหนือไปจาก

พระองค์ในคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมกล่าวว่าพระเป็นเจ้าทรงสร้าง

●สรรพสิ่งและสัตว์ในโลกโดยลำดับการสร้างดังนี้
วันที่ 1 ทรงสร้างแสงสว่างเพื่อทำลายความมืด ส่วนสว่างเรียกว่า
“กลางวัน” ส่วนมืดเรียกว่า “กลางคืน”

● วันที่ 2 ทรงสร้างน้ำ อากาศ และสวรรค์
● วันที่ 3 ทรงสร้างแผ่นดินและพืชผลทุกชนิดบนแผ่นดิน
● วันที่ 4 ทรงสร้างดวงอาทิตย์ประจำกลางวัน สร้างพระจันทร์และ

ดวงดาวประจำ

● วันที่ 5 ทรงสร้างสรรพสัตว์
● วันที่ 6 ทรงสร้างมนุษย์ให้เป็นเจ้าของพืชและสัตว์เหล่านั้น
● วันที่ 7 ไม่ทรงสร้างอะไร ถือเป็นวันสะบาโต ซึ่งเป็นวันพักผ่อน หยุด

ทำงาน และวันนมัสการพระเป็นเจ้า

4. ความเชื่อเรื่องดวงวิญญาณ ชาวยิวมีความเชื่อในเรื่องการกลับฟื้ นคืน
มาใหม่ของดวงวิญญาณว่าพระเป็นเจ้าได้ประทานความสุขทุกข์ให้แก่สัตว์
โลกด้วยพระมหากรุณาและเชื่อว่าการกระทำของมนุษย์จะได้รับการ
พิพากษาในวันสุดท้ายแห่งการสิ้นโลกผู้กระทำความดีพระเป็นเจ้าจะทรง
นำไปสู่สวรรค์ส่วนผู้กระทำชั่วจะต้องไต่สะพานลงนรกเมื่อจิตดับดวง
วิญญาณจะวนเวียนอยู่ใกล้ร่างเป็นเวลา 3 วันแล้วจึงไปรับคำพิพากษาว่า
จะไปสวรรค์หรือนรกซึ่งตามความเชื่อของศาสนายูดาห์สวรรค์มี 2 ชั้น
และนรกก็มี 2 ชั้น
พระเป็นเจ้าผู้สร้างโลกเป็นเอกไม่มีรูปร่างมี แต่พระนามมีความบริสุทธิ์
ทรงรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นพระบิดาของสรรพสัตว์มีความยุติธรรมและมี
ความเมตตากรุณามากล้น

พิธีกรรม

พิธีกรรมที่สำคัญของศาสนายูดาห์มีดังต่อไปนี้
1. วันสะบาโต เป็นวันที่เจ็ดของสัปดาห์คือวันเสาร์ถือเป็นวันบริสุทธิ์

เป็นวันที่ศาสนิกชนชาวยิวทั้งหมดต้องละเว้นการทำงานทุกชนิดเพื่อบูชา
พระเป็นเจ้าตามที่ปรากฏอยู่ในพระบัญญัติประการที่ 3 ในสมัยแรก ๆ
แห่งประวัติศาสตร์ของพวกยิวเรื่องนี้ไม่ค่อยถือกันเคร่งครัดนัก แต่หลัง
จากพวกยิวต้องอพยพเร่ร่อนแล้วจึงได้ปฏิบัติกันอย่างเคร่งครัดมากขึ้น
พวกยิวเชื่อกันว่าวันสะบาโตเริ่มตั้งแต่วันศุกร์ถึงค่ำวันเสาร์

2. พิธีปัสคา พิธีนี้เกิดขึ้นในสมัยของโมเสสในคืนที่โมเสสจะพาพวก
ชาวยิวอพยพออกจากอียิปต์พระเป็นเจ้าทรงสั่งให้พวกยิวฆ่าแกะทำเป็น
อาหารรับประทานกับขนมปังที่ไม่มีเชื้อและรับประทานให้หมดในวันเดียว
จากนั้นให้ทุบหม้อไหเครื่องครัวทั้งหมดเอาเลือดแกะป้ายไว้ที่หน้าประตู
เพราะในเวลากลางคืนพระเป็นเจ้าจะทรงส่งทูตมรณะมาฆ่าทุกคนที่ไม่ใช่
ยิวถ้าประตูบ้านของใครมีเลือดแกะทาอยู่ทูตมรณะก็จะข้ามไปจึงเรียกว่า
“ปัสกา” หรือ “ปัสคา” แปลว่า “ข้ามไป” ในปัจจุบันนี้ชาวยิวทำโดยการ
วางกระดูกขาแกะไว้บนแผ่นเซเดอร์พร้อมกับไข่หนึ่ งฟอง

3.พิธีเซเดอร์ พิธีนี้ถือเป็นพิธีพื้นเมืองที่สำคัญที่สุดของศาสนายูดาห์
กระทำ ในคืนแรกและคืนที่สองของพิธีปัสกาประกอบด้วยการนับวันที่
พวกยิวอพยพออกจากอียิปต์การเลี้ยงฉลองในงานรื่นเริงเริ่มด้วย“ คิด
ดูซ” อันเป็นการให้พรแบบธรรมดาสามัญการกินหญ้าขมและขนมปังที่
มิได้ใส่เชื้อให้ฟูการสวดมนต์และดื่มเหล้าองุ่นเป็นระยะ ๆ รวม 4 แก้ว
อาหารมื้อสุดท้ายของพระเยซูคริสต์และสาวกก็คืออาหารในพิธีนี้

4. วันชำระบาป เรียกว่า “ ยอมคัปปร์” ซึ่งถือเป็นวันศักดิ์สิทธิ์ที่สุดใน
รอบปีของชาวยิวชาวยิวทุกคนนอกจากเด็กและผู้ป่วยแล้วต้องอดอาหาร
และน้ำอย่างเด็ดขาดในวันนี้นับตั้งแต่ตอนค้าของวันที่ 9 จนถึงตอนค่ำ
ของวันที่ 10 แห่งเดือนดิซซีในวันนี้ต้องหยุดงานทุกชนิดเพื่อใช้เวลา
ตลอดทั้งวันในการเคารพบูชาพระเป็นเจ้าที่โบสถ์มีการจัดการบรรยาย
เรื่องโบสถ์โบราณในเมืองเยรูซาเล็มในตอนสิ้นสุดของวันชำระบาปก็มีการ
เป่าเขาแกะอันเป็นนิมิตหมายแห่งการปลดเปลื้องตนให้พ้นจากบาปและ
การกลับคืนดีกับพระเป็นเจ้า

นอกจากพิธีทั้ง 4 ดังกล่าวแล้วยังมีพิธีอื่น ๆ อีกมากมายเช่นพิธีฉลองพืช
ผลในฤดูเก็บเกี่ยวมีการออกพระนามของพระเป็นเจ้าโดยอ้อนวอนให้ทรง
ช่วยและเชื่อว่าความสุขจะเกิดแก่ผู้กล่าวคำลุแก่โทษเท่านั้นพระเป็นเจ้า
ทรงยอมเปิดประตูให้แก่ผู้ลุแก่โทษเสมอยิ่งผู้กล่าวแก่โทษในเวลาใกล้ตาย
ก็จะยิ่งประเสริฐกว่าเวลาอื่น

ศาสนาคริสต์

ศาสนาคริสต์

เกิดขึ้นบริเวณดินแดนเลแวนต์ ซึ่งปัจจุบันคือประเทศ
อิสราเอลและปาเลสไตน์ ในช่วงกลางคริสศตวรรษที่ 1 ศาสนา
คริสต์ได้เริ่มเผยแผ่ครั้งแรกจากกรุงเยรูซาเลม ตลอดจนดิน
แดนตะวันออกกลางในช่วงคริสศตวรรษที่ 4 ศาสนาคริสต์ได้รับ
เลือกให้เป็นศาสนาประจำชาติโดยราชวงศ์อาร์เมเนียในปี ค.ศ.
301 จอร์เจียในปี ค.ศ.319 อาณาจักรอักซุมในปี ค.ศ.325
และจักรวรรดิโรมันในปี ค.ศ.380

ต่อมาได้เกิดศาสนเภทขึ้นหลายครั้งในคริสตจักร เริ่มจาก
สังคายนาเอเฟซัสในปี ค.ศ.431 ที่นำไปสู่ศาสนเภทเนสตอเรียน
จนก่อให้เกิดคริสตจักรแห่งทิศตะวันออก ต่อมาในปี ค.ศ. 451
เกิดสังคายนาแคลซีดันทำให้คริสตจักรแตกแยกอีกครั้งเป็น
ฝ่ายออเรียนทัลออร์ทอดอกซ์และฝ่ายแคลซีโดเนียน ต่อมาเกิดม
หาศาสนเภทในปี ค.ศ. 1054 ทำให้ฝ่ายแคลซีโดเนียนแตกออก
เป็นคริสตจักรโรมันคาทอลิกและคริสตจักรอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์
และการปฏิรูปศาสนาฝ่ายโปรเตสแตนต์ได้ก่อให้เกิดคริสตจักร
ใหม่ ๆ ขึ้นอีกหลายคณะ

ศาสนาคริสต์

ก่อนคริสตกาล

ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดศาสนาหนึ่ง เป็น
ศาสนาประเภทเอกเทวนิยม ซึ่งนับถือพระยาห์เวห์เป็นพระเจ้า
พระองค์เดียว คำว่า "พระคริสต์" มาจากภาษากรีกว่า "คริส
ตอส" แปลว่า ผู้ได้รับเจิม (ให้เป็นตัวแทนของพระเจ้า) ศาสนา
คริสต์เป็นศาสนาที่เน้นการมอบความรักที่บริสุทธิ์ให้พระเจ้าและ
ให้มนุษย์ด้วยกัน เพราะหลักการของศาสนาคริสต์ถือว่ามนุษย์ทุก
คนเป็นบุตรของพระเจ้า

ศาสนาคริสต์

ก่อนคริสตกาล

ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่พัฒนาหรือปฏิรูปมาจากศาสนายู
ดาห์ ซึ่งมีประวัติศาสตร์มาตั้งแต่ประมาณ 2,000 ปี ก่อน
คริสตกาล ชนเผ่าหนึ่งเป็นบรรพบุรุษของชาวยิว ตั้งถิ่นฐานอยู่ ณ
ดินแดนเมโสโปเตเมีย มีหัวหน้าเผ่าชื่อ "อับราฮัม" (อับราฮัม เป็น
ศาสดาของศาสนายูดาห์) ได้อ้างตนว่า ได้รับโองการจากพระเจ้า
ให้อพยพชนเผ่าไปอยู่ในดินแดนที่เรียกว่า แผ่นดินคานาอัน
(บริเวณประเทศอิสราเอลในปัจจุบัน) โดยอับราฮัมกล่าวว่า
พระเจ้ากำหนดและสัญญาให้ชนเผ่านี้เป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่ต่อไป
การที่พระเจ้าสัญญาจึงก่อให้เกิดพันธสัญญาระหว่างพระเจ้ากับ
ชนชาวยิว ดังนั้นในเวลาต่อมาจึงเรียกคัมภีร์ของศาสนายูดาห์
และศาสนาคริสต์ว่า "พันธสัญญา"


Click to View FlipBook Version