The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by pandaping2546, 2021-12-14 10:40:19

E-Book

E-Book

วันสำคัญ


1.เทศกาลปัสคา เทศกาลปัสคา มีในวันที่ 14 เดือนนิสาน (อาบีบ) ซึ่ง

เป็นเดือนแรกของปีปฏิทินของยิว (ตรงกับเดือนมีนาคม/เมษายนใน
ปฏิทินสากล)
เทศกาลปัสคาเป็นงานฉลองที่เต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี ชาวยิวระลึก
ถึงการที่พระเจ้าทรงปลดปล่อยพวกเขาออกจากการเป็นทาสในอียิปต์
ภายใต้การนำของโมเสส ในสมัยพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่ ทุก
ครอบครัวจะฆ่าลูกแกะก่อนวันปัสคาหนึ่งวัน หลายคนเดินทางมาที่พระ
วิหารในกรุงเยรูซาเล็มเพื่อการเฉลิมฉลองนี้ แต่การกินเลี้ยงปัสคานั้น
ตั้งแต่สมัยก่อนจนถึงปัจจุบันก็เป็นงานเลี้ยงแบบครอบครัว อาหารที่รับ
ประทานกันในงานล้วนเป็นสัญลักษณ์ของการเป็นทาสในอียิปต์ และการ
หนีจากอียิปต์ทั้งสิ้น คนในครอบครัวจะเล่าเรื่องที่ทูตสวรรค์ของพระเจ้า
ละเว้นไม่ฆ่าลูกหัวปีในบ้านชาวยิวที่มีเลือดแกะทาไว้หน้าบ้าน แต่ฆ่าลูก
หัวปีของคนอียิปต์ทั้งหมด

ในปัจจุบันคนสะมาเรียเท่านั้นที่ฆ่าลูกแกะบูชาแบบดั้งเดิมในเท
ศกาลปัสคา พวกยิวไมทำเช่นนั้นแล้วตั้งแต่ทหารโรมันทำลายพระวิหาร
ในปี ค.ศ. 70

2. เทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ เทศกาลนี้ฉลองตั้งแต่วันที่ 15 ถึง 21
เดือนนิสาน (อาบีบ ซึ่งตรงกับเดือนมีนาคม/เมษายนในปฏิทินสากล) เป็น
เวลา 7 วัน ตอนที่พวกยิวหนีออกจากอียิปต์ พวกผู้หญิงไม่มีเวลารอให้
ขนมปังฟูขึ้น ดังนั้นขนมปังในงานเลี้ยงปัสคาและมื้ออื่น ๆ ตลอดอาทิตย์
นั้นจะเป็นขนมปังไร้เชื้อทั้งสิ้น คือเป็นขนมปังที่ไม่ใส่ยีสต์ สัปดาห์ต่อจาก
เทศกาลปัสคาจึงถือเป็นเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ

3.เทศกาลถวายผลแรก จัดขึ้นหลังจากวันสะบาโตหนึ่งวันในช่วง
เทศกาลขนมปังไร้เชื้อ (เราไม่รู้วันที่แน่นอนเพราะชาวยิวนับวันตาม
จันทรคติ จึงทำให้วันของเทศกาลนี้เปลี่ยนไปทุกปี) ในวันนี้จะมีการถวาย
ข้าวบาร์เลย์ฟ่อนแรกที่ได้จากการเก็บเกี่ยว จึงถือเป็นเทศกาลถวายผล
แรก

4.เทศกาลเพนเทคอสต์ (ฉลองการเก็บเกี่ยว) บางครั้งเรียกว่าเทศกาล
สัปดาห์ จัดขึ้นหลังจากเทศกาลปัสคาห้าสิบวัน (คำว่า เพนเทคอสต์ มีราก
ศัพท์มาจากคำภาษากรีกที่แปลว่า "ห้าสิบ") ชาวยิวจะถวายขนมปังสอง
ก้อนที่ทำด้วยแป้งข้าวใหม่พร้อมกับเครื่องธัญญบูชาแด่พระเจ้า เป็น
เทศกาลฉลองหลังจากเก็บเกี่ยวข้าวสาลีเสร็จแล้วเพื่อขอบคุณพระเจ้า
สำหรับพื้นแผ่นดินและผลิตผลอันเป็นของประทานมาจากพระองค์ ตาม
ความเชื่อที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 100 ชาวยิวถือว่าวันเพนเทคอสต์
เป็นวันที่พระเจ้าประทานธรรมบัญญัติจากภูเขาซีนาย และในสมัยพระ
คัมภีร์ใหม่ก็ถือว่าวันนี้เป็นวันที่พระเจ้าได้ประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่
บรรดาผู้เชื่อ

5.เทศกาลเสียงแตร (ฉลองปีใหม่) โดยปกติในวันแรกของแต่ละเดือน
และแต่ละเทศกาล จะมีการเป่าแตรเป็นสัญญาณ แต่ในวันแรกของเดือน
ที่เจ็ด (เดือนกันยายน/ตุลาคม) จะเป่าแตรฉลองเป็นพิเศษ เป็นวันแห่ง
การพักผ่อนและนมัสการ จะมีการถวายสัตวบูชาเป็นพิเศษ ซึ่งแสดงให้
เห็นว่าเดือนเจ็ดเป็นเดือนที่สำรวมที่สุดของปี หลังจากสมัยที่เคยเป็น
เชลยของบาบิโลน ชาวยิวเปลี่ยนเทศกาลนี้ให้เป็นการฉลองปีใหม่ แต่ยัง
นับเดือนนิสาน (เดือนมีนาคม/เมษายน) เป็นเดือนแรกในปีปฏิทินเหมือน
เดิม จุดประสงค์ของเทศกาลนี้ก็เพื่อจะถวายชนชาติอิสราเอลต่อพระเจ้า
ให้เป็นที่โปรดปรานต่อพระพักตร์พระองค์

6.เทศกาลวันลบมลทิน ในวันที่สิบเดือนที่เจ็ดเป็นวันลบล้างมลทิน
บาป เป็นวันฉลองพิเศษประจำปีที่คนทั้งชาติจะสารภาพบาปของตน และ
ขอให้พระเจ้าอภัยโทษและชำระล้างพวกเขาให้สะอาดอีกครั้ง พวกเขาจะ
อดอาหารตั้งแต่ช่วงดวงอาทิตย์ขึ้นของวันที่เก้าไปจนถึงวันที่สิบ มหา
ปุโรหิตจะใส่เสื้อคลุมพิเศษแล้วจะถวายตัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปสำหรับ
ตนเองและครอบครัวของเขา เขาจะพรหมเลือดวัวบางส่วนลงบนหีบพันธ
สัญญา ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาเดียวตลอดปีที่เขาได้รับอนุญาตให้เข้าไปในอภิ
สุทธิสถานของพลับพลาหรือพระวิหาร ที่ซึ่งเก็บหีบพันธสัญญา เขาจะฆ่า
แพะเพื่อไถ่บาปของประชาชน และจะไล่แพะตัวที่สองออกไปในถิ่น
ทุรกันดาร เพื่อเป็นการแสดงว่าบาปของพวกเขาถูกรับเอาไปแล้ว

7.เทศกาลอยู่เพิง เทศกาลอยู่เพิงมีขึ้นหลังจากเทศกาลลบบาปห้าวัน
คือในวันที่ 15 ของเดือนเจ็ด (เอทานิมหรือทิชรี ซึ่งตรงกับเดือน
กันยายน/ตุลาคม) เทศกาลนี้เฉลิมฉลองจากการเก็บพืชผลจากสวน
(ไม่ใช่จากไร่นา) ซึ่งจะใช้เวลาเจ็ดวัน คือเมื่อชาวไร่เก็บมะกอกเทศและ
องุ่นแล้ว ประชาชนจะใช้กิ่งไม้ทำเพิงสำหรับตัวเอง พวกเขาจะระลึกถึง
เวลาที่ต้องใช้ชีวิตในถิ่นทุรกันดารหลังจากออกจากอียิปต์ และเป็นการ
ขอบคุณพระเจ้าสำหรับผลิตผลที่เกิดขึ้นในแผ่นดินคานาอัน

8.เทศกาลฉลองพระวิหาร หรือ เทศกาลคันประทีป เทศกาลนี้รำลึกถึง
การชำระและถวายพระวิหารในปี 165 ก่อนคริสต์ศักราช ที่มียูดาสแมค
คาบีเป็นผู้นำ เพราะอันทิโกอัสเอฟินาเนสแห่งซีเรียได้ทำให้พระวิหารเป็น
มลทินในปี 168 ก่อนคริสต์ศักราช โดยการนำหมูเข้าไปถวายเป็นสัตว
บูชาแก่พระซุสในพระวิหาร งานฉลองนี้ยังเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าเทศกาลคัน
ประทีป เนื่องจากมีการจุดคันประทีปที่บ้านและธรรมศาลาทุกคืน ทุกวันนี้
ชาวยิวก็ยังฉลองเทศกาลนี้อยู่โดยเรียกว่าเทศกาล "ฮานุคคาห์"

9.เทศกาลปูริม เป็นเทศกาลระลึกถึงการที่เอสเธอร์และโมรเดคัยได้
ช่วยชาวอิสราเอลที่อยู่ในเปอร์เซีย ให้พ้นจากการถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ใน
สมัยพระราชาอาหะสุเอรัส คำว่า "ปูริม" เป็นคำพหูพจน์ของคำว่า "เปอร์"
หมายถึงสลาก เพราะการทอดสลากเป็นวิธีที่ฮามานใช้เลือกวันล้างผลาญ
ชาวยิวเทศกาลนี้ฉลองกันในวันที่ 14 - 15 ของเดือนสิบสอง หรือ อาดาร์
(ตรงกับเดือนกุมภาพันธ์/มีนาคม)

10.เทศกาลปีเสียงเขาสัตว์ (ปีที่ 50) ธรรมบัญญัติระบุว่าในทุกห้าสิบ
ปี (ปีที่ถัดจากปีสะบาโตที่เจ็ด) ทั้งที่ดินและทรัพย์สมบัติ (ยกเว้นบ้าน
เรือน) ต้องคืนให้กับเจ้าของที่ดินดังเดิม ปล่อยทาสชาวอิสราเอลให้เป็น
อิสระ ยกเลิกหนี้สินทั้งหมด และให้แผ่นดินได้พัก แต่เท่าที่ทราบชาว
อิสราเอลไม่เคยรักษากฏของปีเสียงเขาสัตว์ ซึ่งเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้พวก
เขาต้องตกเป็นทาสในบาบิโลน 70 ปี

ศาสนาคริสต์

ความเป็นมศาสนาคริสต์

เกิดขึ้นบริเวณดินแดนเลแวนต์ ซึ่งปัจจุบันคือประเทศ
อิสราเอลและปาเลสไตน์ ในช่วงกลางคริสศตวรรษที่ 1 ศาสนา
คริสต์ได้เริ่มเผยแผ่ครั้งแรกจากกรุงเยรูซาเลม ตลอดจนดิน
แดนตะวันออกกลางในช่วงคริสศตวรรษที่ 4 ศาสนาคริสต์ได้รับ
เลือกให้เป็นศาสนาประจำชาติโดยราชวงศ์อาร์เมเนียในปี ค.ศ.
301 จอร์เจียในปี ค.ศ.319 อาณาจักรอักซุมในปี ค.ศ.325
และจักรวรรดิโรมันในปี ค.ศ.380

ต่อมาได้เกิดศาสนเภทขึ้นหลายครั้งในคริสตจักร เริ่มจาก
สังคายนาเอเฟซัสในปี ค.ศ.431 ที่นำไปสู่ศาสนเภทเนสตอเรียน
จนก่อให้เกิดคริสตจักรแห่งทิศตะวันออก ต่อมาในปี ค.ศ. 451
เกิดสังคายนาแคลซีดันทำให้คริสตจักรแตกแยกอีกครั้งเป็น
ฝ่ายออเรียนทัลออร์ทอดอกซ์และฝ่ายแคลซีโดเนียน ต่อมาเกิดม
หาศาสนเภทในปี ค.ศ. 1054 ทำให้ฝ่ายแคลซีโดเนียนแตกออก
เป็นคริสตจักรโรมันคาทอลิกและคริสตจักรอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์
และการปฏิรูปศาสนาฝ่ายโปรเตสแตนต์ได้ก่อให้เกิดคริสตจักร
ใหม่ ๆ ขึ้นอีกหลายคณะ

ก่อนคริสตกาล

ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดศาสนาหนึ่ง เป็น
ศาสนาประเภทเอกเทวนิยม ซึ่งนับถือพระยาห์เวห์เป็นพระเจ้า
พระองค์เดียว คำว่า "พระคริสต์" มาจากภาษากรีกว่า "คริส
ตอส" แปลว่า ผู้ได้รับเจิม (ให้เป็นตัวแทนของพระเจ้า) ศาสนา
คริสต์เป็นศาสนาที่เน้นการมอบความรักที่บริสุทธิ์ให้พระเจ้าและ
ให้มนุษย์ด้วยกัน เพราะหลักการของศาสนาคริสต์ถือว่ามนุษย์ทุก
คนเป็นบุตรของพระเจ้า

ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่พัฒนาหรือปฏิรูปมาจากศาสนายู
ดาห์ ซึ่งมีประวัติศาสตร์มาตั้งแต่ประมาณ 2,000 ปี ก่อน
คริสตกาล ชนเผ่าหนึ่งเป็นบรรพบุรุษของชาวยิว ตั้งถิ่นฐานอยู่ ณ
ดินแดนเมโสโปเตเมีย มีหัวหน้าเผ่าชื่อ "อับราฮัม" (อับราฮัม เป็น
ศาสดาของศาสนายูดาห์) ได้อ้างตนว่า ได้รับโองการจากพระเจ้า
ให้อพยพชนเผ่าไปอยู่ในดินแดนที่เรียกว่า แผ่นดินคานาอัน
(บริเวณประเทศอิสราเอลในปัจจุบัน) โดยอับราฮัมกล่าวว่า
พระเจ้ากำหนดและสัญญาให้ชนเผ่านี้เป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่ต่อไป
การที่พระเจ้าสัญญาจึงก่อให้เกิดพันธสัญญาระหว่างพระเจ้ากับ
ชนชาวยิว ดังนั้นในเวลาต่อมาจึงเรียกคัมภีร์ของศาสนายูดาห์
และศาสนาคริสต์ว่า "พันธสัญญา"

ต่อมาดินแดนคานาอัน ประสบความแห้งแล้งอย่างรุนแรง
ชาวยิวจึงอพยพกลับไปอยู่ในดินแดนของประเทศอียิปต์ และ
กลายเป็นทาสของอียิปต์ ชาวยิวทนความลำบากของสภาพทาสไม่
ได้ จึงคิดอพยพกลับไปดินแดนคานาอัน การเดินทางครั้งนี้
พระเจ้าทรงมีโองการให้ชาวยิวคนหนึ่งชื่อ "โมเสส" เป็นหัวหน้า
ระหว่างเดินทางเต็มไปด้วยความลำบาก และต้องรอนแรมกลาง
ทะเลทรายหลายปี และชาวอียิปต์ได้ส่งทหารติดตามกวาดล้าง
โดยคิดว่าชาวยิวจะก่อกบฏ เมื่อไล่ติดตามมาถึงทะเลแดง ด้วย
เดชแห่งอำนาจของพระเจ้า โมเสสได้แยกน้ำออกจากกันทำให้
ชาวยิวหนีรอดมาได้ เหตุการณ์สำคัญนี้

ต่อมาได้กลายเป็นเหตุการณ์สำคัญ
ในงานฉลองประจำปีเรียกว่า งานฉลอง
ปัสคา นอกจากนี้ พระเจ้าได้ประทาน
บัญญัติ 10 ประการแก่โมเสส เพื่อให้
ชาวยิวนำไปยึดถือปฏิบัติบัญญัติ 10
ประการนี้ ถือเป็นหลักสำคัญของศาสนา
ยูดาห์ และต่อมาถือเป็นหลักสำคัญของ
ศาสนาคริสต์ด้วย โมเสสได้รับการ
ยกย่องให้เป็นศาสดาของศาสนายูดาห์

ชาวยิวได้ตั้งอาณาจักรคานาอัน ต่อมาอาณาจักรนี้ได้ตกเป็น
เมืองขึ้นของอาณาจักรบาบิโลน และเป็นเมืองขึ้นของจักรวรรดิ
โรมันตามลำดับ ชาวยิวยังคงได้รับการกดขี่ข่มเหงจากจักรวรรดิ
โรมัน เราจะเห็นว่า ประวัติศาสตร์ของชาวยิว เป็นประวัติศาสตร์
แห่งความทุกข์ยากอย่างแสนสาหัส ชาวยิวจึงมีความเชื่อในคำ
ทำนายของศาสดาพยากรณ์ว่า วันหนึ่งพระเจ้าจะส่งคนลงมาช่วย
เพื่อปลดเปลื้องความทุกข์ยากทั้งหมดของชาวยิว หรือช่วยไถ่บาป
ให้กับชาวยิว เรียกบุคคลนี้ว่า "พระเมสสิยาห์" (Messiah) คำ
ว่า เมสสิยาห์ เป็นภาษาฮีบรู ตรงกับคำว่า คริสต์ (Christ) หรือ
ไครสต์ ในภาษากรีก ซึ่งแปลว่า ผู้ได้รับเลือก ให้เป็นตัวแทนของ
พระเจ้า ความเชื่อดังกล่าวทำให้ชาวยิวมีความหวังในชีวิตเมื่อ
พระเยซูประสูติ ชาวยิวจำนวนหนึ่งจึงมีความเชื่อว่า พระเยซู คือ
พระเมสสิยาห์ (Jesus Christ = จีซัส หรือ เยซู ผู้ได้รับเลือกให้
เป็นตัวแทนของพระเจ้า)

คริสตกาล

พระเยซูเป็นชาวยิว คริสต์ศาสนาถือโดยสมมติว่าวันประสูติ
ของพระองค์คือวันที่ 25 ธันวาคม ค.ศ. 1 (ซึ่งถือเอาวันประสูติ
เป็นปีที่ 1 แห่งคริสต์ศักราช ซึ่งตรงกับพุทธศักราช 543) ณ หมู่
บ้านเบธเลเฮม แคว้นยูดาห์ ในดินแดนปาเลสไตน์ (ประเทศ
อิสราเอลในปัจจุบัน) มารดาชื่อมารีย์ ชาวคริสต์เชื่อว่านางตั้ง
ครรภ์โดยเดชแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ทั้งที่เป็นหญิงพรหมจารี มี
บิดาเลี้ยงชื่อโยเซฟ สมัยนั้นกษัตริย์ผู้ครองเมืองคือพระเจ้าเฮโร
ดมหาราช เมื่อได้ยินคำพยากรณ์ว่าจะมีผู้มีบุญมาเกิดจึงคิดกำจัด
โยเซฟและมารีย์จึงหนีไปอยู่อียิปต์เป็นการชั่วคราว

เมื่อเรื่องราวสงบแล้วก็อพยพกลับถิ่นฐานเดิม พระเยซูเติบโต
ขึ้นที่หมู่บ้านเล็ก ๆ ในเมืองนาซาเรธ แคว้นกาลิลี เมื่อวัยเยาว์พระ
เยซูเป็นผู้สนใจในเรื่องศาสนธรรมและเป็นผู้มีความเฉลียวฉลาด
เป็นอย่างยิ่ง เมื่อมีอายุครบ 30 ปี ได้ท่องเทียวไปในดินแดน
ปาเลสไตน์ ณ ริมแม่น้ำจอร์แดน ทรงพบกับยอห์นผู้ให้บัพติศมา
หลังที่ได้รับบัพติศมาแล้ว ได้เสด็จไปถิ่นกันดารเพียงพระองค์
เดียว ทรงถือศีลอดโดยงดเว้นพระกระยาหารเป็นเวลา 40 วัน
จากนั้นพระองค์ก็เริ่มสอนประชาชนให้ทราบถึงความรอดของ
มนุษย์ ซึ่งเป็นของประทานจากพระเจ้า พระองค์มีอัครสาวกที่
สำคัญ 12 คน (เนื่องจากวงศ์วานอิสราเอลมี 12 เผ่า) เรียกว่า
อัครทูต สาวกคนแรกที่เป็นกำลังสำคัญในการเผยแพร่ศาสนาคือ
ซีโมนเปโตร นักบุญอีกท่านหนึ่งที่มีบทบาทในการเผยแพร่ศาสนา
คริสต์คือเปาโลอัครทูต ซึ่งกลับใจจากผู้เบียดเบียนคริสตชน มา
เป็นผู้เผยแพร่ศาสนาคริสต์มาตั้งแต่ปีแรก ๆ ที่พระเยซู
สิ้นพระชนม์

การขยายตัวอย่างรวดเร็วของศาสนาคริสต์ได้สร้างความหวั่น
ไหวและส่งผลสะเทือนต่อศาสนายิวเป็นอย่างยิ่ง ปุโรหิตผู้ดูแล
วิหารเสียผลประโยชน์ เกรงว่าพระเยซูจะแย่งสาวกของตนไป
เพราะคำสอนของศาสนาคริสต์ เน้นเรื่องจริยธรรมศีลธรรม
มากกว่าพิธีกรรม ซึ่งพิธีกรรมของศาสนายิว ได้แก่ การบูชา
พระเจ้าด้วยเครื่องเผาบูชา เช่น เนื้อวัว แพะ แกะ นกพิราบ
นกเขา ฯลฯ เป็นต้น ในที่สุดผู้ปกครองชาวโรมันก็ทำการตรึงพระ
เยซูที่กางเขน เพราะเกรงว่าชาวยิวที่คัดค้านพระเยซูจะไม่พอใจ
ชาวคริสต์ถือว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นการแสดงความรักจากพระ
เยซู เพราะพระเจ้าทรงรักโลก จึงประทานพระบุตร มาไถ่บาปของ
มนุษย์ด้วยการสละชีวิตพระบุตรของพระองค์เอง พระเยซู
สิ้นพระชนม์ที่เมืองกลโกธา (Golgotha) เมื่อพระชนม์ได้ 33
พรรษา ใช้เวลาในการประกาศศาสนาทั้งสิ้น 3 ปี

หลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูแล้ว ศาสนาคริสต์ได้
กลายเป็นศาสนาประจำชาติของจักรวรรดิโรมัน ในปลายศตวรรษ
ที่ 1 และปลายศตวรรษที่ 4 จากนั้นได้แพร่กระจายเป็นศาสนา
ประจำชาติของหลายประเทศในทวีปยุโรป

คริสตกาล ยุคแรก (ค.ศ.33-325)

ศาสนาคริสต์ช่วงก่อนการสังคายนาที่ไนเชียครั้งที่หนึ่ง (ค.ศ.
325) แบ่งออกได้เป็นสองยุคย่อย คือ สมัยอัครทูตและสมัยก่อน
ไนเซียตามที่ระบุในบทแรกของหนังสือกิจการของอัครทูต คริสต์
ศาสนิกชนยุคแรกเป็นชาวยิวทั้งหมด ไม่ว่าโดยกำเนิดหรือมาเข้า
รีตภายหลัง จึงเรียกกลุ่มนี้ว่าคริสต์ศาสนิกชนชาวยิว การประกาศ
ข่าวดีในสมัยนั้นเป็นแบบมุขปาฐะและใช้ภาษาแอราเมอิก หนังสือ
"กิจการของอัครทูต" และ "จดหมายของนักบุญเปาโลถึงชาวกาลา
เทีย" ระบุว่าในสมัยนั้นกรุงเยรูซาเลมเป็นศูนย์กลางของคริสตชน

โดยมีซีโมนเปโตร ยากอบผู้ชอบ
ธรรม และยอห์นอัครทูต เป็นผู้
ปกครองชุมชนร่วมกัน ต่อมาเปาโลซึ่ง
เคยเป็นปฏิปักษ์กับคริสตชนได้กลับ
ใจมารับเชื่อ และประกาศตนเป็น "อัคร
ทูตมายังพวกต่างชาติ" และมีอิทธิพล
อย่างมากต่อคริสตชนยิ่งกว่าผู้
ปกครองท่านอื่น ๆ ที่ร่วมกันเขียนพันธ
สัญญาใหม่ ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษ
ที่ 1 ศาสนาคริสต์ก็เริ่มแยกตัวออกมา
จากศาสนายูดาห์อย่างชัดเจน อย่างไร
ก็ตามคริสตชนยังคงยอมรับคัมภีร์ทา
นัคของศาสนายูดาห์เป็นพระคัมภีร์
ศักดิ์สิทธิ์ในภาคพันธสัญญาเดิม

ในช่วงที่พันธสัญญาใหม่เพิ่งเข้าสารบบคัมภีร์ไบเบิล พระว
รสารในสารบบ บทจดหมายของเปาโล และบทจดหมายของผู้
ปกครองท่านอื่น ๆ เป็นที่ยอมรับมากและใช้อ่านในระหว่างการ
นมัสการพระเจ้าที่โบสถ์ ในคริสตจักร จดหมายของเปาโลมี
อิทธิพลมากยิ่งกว่าธรรมบัญญัติของโมเสส ถึงขนาดเป็นรากฐาน
ของเทววิทยาศาสนาคริสต์ในเวลาต่อมา อย่างไรก็ตามธรรม
บัญญัติที่สำคัญ เช่น บัญญัติ 10 ประการ บัญญัติเอก คริสตนยุค
แรกมีรายละเอียดความเชื่อและการปฏิบัติหลากหลายมาก ที่ถูก
คริสตชนสมัยหลังกล่าวหาว่าเป็นพวกนอกรีตก็มี

การเบียดเบียนคริสต์ศาสนิกชนในจักรวรรดิโรมัน ในสามร้อย
ปีแรกของศาสนาคริสต์ยุคแรกนับเป็นสมัยของการเบียดเบียน
โดยน้ำมือของทางการโรมัน คริสต์ศาสนิกชนถูกทำร้ายโดยเจ้า
หน้าที่ท้องถิ่นเป็นช่วง ๆ นอกจากนั้นในบางครั้งก็ยังมีการ
เบียดเบียนไปทั่วทั้งจักรวรรดิโดยคำสั่งโดยตรงจากรัฐบาลกลาง
ในกรุงโรม

การถูกทำร้ายที่เกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับมรณสักขี (martyr)
และมีผลต่อประวัติศาสตร์ของคริสต์ศาสนาและเทววิทยา
คริสเตียนในด้านการวิวัฒนาการของความศรัทธาในศาสนา

นอกจากนั้นแล้วการเบียดเบียนยังมีผลให้เกิดลัทธิบูชานักบุญ
ซึ่งกลับทำให้การเผยแพร่คริสต์ศาสนาเป็นไปอย่างรวดเร็วขึ้น

เหตุผลในการเบียดเบียน

โดยทั่วไปแล้วจักรวรรดิโรมันมีความอดทนต่อการปฏิบัติของ

ศาสนาต่าง ๆ นโยบายของรัฐบาลมักจะเป็นนโยบายของการรวม

ตัว - เทพในท้องถิ่นของดินแดนที่โรมันพิชิตก็มักจะได้รับการรวม

เข้ามาเป็นส่วนหนึ่ งของเทพเจ้าโรมันและมักจะได้รับชื่อโรมันด้วย

แม้แต่ศาสนายูดาห์ที่นับถือพระเจ้าองค์เดียวก็เป็นที่ยอมรับโดย

โรมัน

สำหรับโรมันแล้วศาสนาเป็นสิ่งสำคัญของกิจการของชุมชนที่

เป็นการส่งเสริมความเป็นอันหนึ่ งอันเดียวกันและความจงรัก
ภักดีต่อรัฐ - ทัศนคติของชาวโรมันต่อศาสนาเรียกว่า “ความ
ศรัทธา” (pietas) ซิเซโรเขียนว่าถ้าสังคมขาด “ความศรัทธา”
จะเป็นสังคมที่ขาดความยุติธรรมและความเป็นอันหนึ่ งอัน

เดียวกัน

ตามความเห็นของไซมอน ดิกซัน - นักเขียนชาวโรมันสมัยต้นมี
ความเห็นว่าคริสต์ศาสนาไม่ใช่ “ความศรัทธา” แต่เป็น “ความ
เชื่องมงาย” (superstitio) พลินีผู้เยาว์ (Pliny the
Younger) ผู้เป็นข้าหลวงโรมันกล่าวถึงคริสต์ศาสนาในปี ค.ศ.
110 ว่าเป็นลัทธิที่เป็น “ความเชื่ออันงมงายอันใหญ่หลวง” นัก
ประวัติศาสตร์แทซิทัสเรียกคริสต์ศาสนาว่า “ความเชื่อที่เป็น
อันตราย”

นักประวัติศาสตร์ซูโทเนียสเรียกคริสต์ศาสนาว่าเป็น “กลุ่ม
ชนที่สร้างความหมายใหม่ให้แก่ความเชื่องมงายอันเป็นอันตราย”
ในการใช้คำว่า “ความเชื่องมงาย” เป็นการให้ความหมายว่าเป็น
สิ่งที่แปลกและแตกต่างจากความเชื่อที่เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป ซึ่ง
เป็นความหมายในทางลบ ความเชื่อทางศาสนาจะเป็นสิ่งที่เป็นที่
ยอมรับว่าถูกต้องก็ต่อเมื่อเป็นความเชื่อที่มีมาแต่โบราณและเข้า
กับขนบประเพณีที่ปฏิบัติกัน คำสอนใหม่มักจะเห็นกันว่าเป็นสิ่งที่
ไม่น่าไว้วางใจ

การไม่ยอมรับคริสต์ศาสนาของโรมันจึงมาจากทัศนคติที่ว่า
เป็นความเชื่อที่เป็นอันตรายต่อสังคมโรมัน
สภาสังคายนาสากล

ในศาสนาคริสต์ สภาสังคายนาสากล คือการประชุมบรรดามุข
นายกและนักเทววิทยาศาสนาคริสต์จากคริสตจักรทั่วโลก เพื่อ
สังคายนาหรือหาข้อตกลงร่วมกันในเรื่องหลักความเชื่อและการ
ปฏิบัติที่ขัดแย้งกันอยู่ในขณะนั้น

คริสตกาลต้นสมัยกลาง (ค.ศ.500-780)

โรมันคาทอลิกเป็นคริสตจักรเดียวที่รอดจากการล่มสลายของ
จักรวรรดิโรมันตะวันตกโดยไม่ได้รับความกระทบกระเทือนจาก
ผลสะท้อนของความเสื่อมโทรมของโรมันเท่าใดนัก และกลายมา
เป็นปัจจัยเดียวที่เป็นศูนย์กลางของอิทธิพลทางวัฒนธรรมของ
ยุโรปตะวันตกที่คงยังรักษาระบบการศึกษาของลาตินบางอย่าง
ไว้, รักษาวัฒนธรรมด้านศิลปะและวรรณกรรม และ รักษาระบบ
การปกครองจากศูนย์กลางโดยการใช้ระบบเครือบิชอปที่ตั้งอยู่
ทั่วไปในยุโรปผู้ได้รับแต่งตั้งและดำรงตำแหน่งติดต่อกันมา ดิน
แดนอื่น ๆ ในยุโรปตกไปอยู่ภายใต้การปกครองของดยุกและเคา
นต์ของรัฐย่อย ๆ ความเจริญของชุมชนในตัวเมืองเป็นจุดเริ่มต้น
ของกลางสมัยกลาง

การเผยแผ่คริสต์ศาสนาในกลุ่มชนเจอร์มานิกเริ่มขึ้นในคริสต์
ศตวรรษที่ 4 โดยชาวกอทที่เข้ามารับนับถือคริสต์ศาสนา และการ
เผยแพร่ก็ดำเนินต่อไปจนตลอดสมัยกลางตอนต้น ระหว่างคริสต์
ศตวรรษที่ 6 ถึง 7 ผู้นำในการเผยแพร่ศาสนานำโดยคณะธรรม
ทูตฮีเบอร์โน-สกอตติช แต่ในคริสต์ศตวรรษที่ 8 และ 9 ก็มา
แทนที่ด้วยคณะธรรมทูตแองโกล-แซกซัน โดยมีชาวแองโกล-
แซกซันคนสำคัญ ๆ เช่นอัลคิวอินที่มามีบทบาทสำคัญในยุคฟื้ นฟู
ศิลปวิทยาคาโรแล็งเชียง เมื่อมาถึงปี ค.ศ. 1000 แม้แต่ไอซ์
แลนด์ก็กลายเป็นคริสเตียน เหลืออยู่ก็แต่เพียงดินแดนที่ห่างไกล
ในยุโรปที่รวมทั้งบริเวณ(สแกนดิเนเวีย, บริเวณทะเลบอลติก
และ ดินแดนฟินโน-อูกริค) เท่านั้นที่ยังไม่ยอมรับคริสต์ศาสนามา
จนถึงกลางสมัยกลาง

คริสตกาลปลายสมัยกลาง
(ค.ศ.800–1299)

สงครามครูเสด (ค.ศ.1012–1299)
สงครามไม้กางเขน เดิมมาจากคำว่า "ครอส" (Cross) และ

ชาวคริสต์อ้างว่าเดิมทีดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เยรูซาเล็ม
(Jerusalem) นั้น เป็นของชาวคริสต์ แต่ถูกชาวมุสลิมรุกราน
แย่งชิงไป ฝ่ายคริสต์จึงมีการประกาศความชอบธรรมในการทำ

สงคราม รวมทั้งการยกหนี้สินให้กับคนที่เข้าร่วมสงคราม ผู้นำ

ศาสนายังประกาศอีกว่า ผู้ใดที่ร่วมรบจะได้ขึ้นสวรรค์


Click to View FlipBook Version