The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

แนวทางสลัฟ

แนวทางสลัฟ

‫منهج السلف‬

แนวทางสลัฟ

แปลและเรียบเรียง : เอาฟา มุขตารี
พิสูจนอ์ กั ษร : รองศาสตราจารยศ์ ริ นิ นั ท์ ดารงผล

อาจารยศ์ ิรนิ าถ เพ็ชรทองคา

สารบญั

เรอื่ ง หนา้

แนวทางสะละฟีย์โดยชยั คอ์ ลั บานยี ์ 1

เกียรตขิ องการอา้ งองิ สู่แนวทางสลัฟ 5

สะละฟียะฮ์ คอื แนวทางของอิสลาม มใิ ชก่ ารเรียกรอ้ งเชิญชวนสู่การแบ่งพรรคสู่

พวกสู่ความแตกแยกและความเสียหาย 12

ทาไมการตามกรุ อานและฮะดีษจงึ ยงั ไมพ่ อ 40

ปจั จยั ท่ที าใหเ้ ปล่ียนจากการเรยี กวา่ “อะฮล์ ุซซุนนะห์ วลั ญะมาอะฮ์” ไปส่กู าร

เรียกวา่ “สะละฟ่ยี ะฮ์” แทน 45

แนวทางสะละฟีย์ 49

คานา

‫بِ ْسِم اللِه الَّرْْح ِن الَّرِحيِم‬

‫الحمد لله الذي هدانا لهذا وما كنا لنهتدي لولا أن هدانا الله‬

‫والصلاة والسلام على عبده ورسوله نبينا محمد وآله وصحبه‬

นับต้ังแต่การสอนอิสลามตามกุรอานและซุนนะห์ได้อุบัติข้ึนใน
ประเทศไทย ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคาว่า “สลัฟ” หรือ “สะละฟียะฮ์” เป็น
คาที่เพ่ิงเกิดข้ึนเมื่อไม่นานมาน้ี ซ่ึงพ่ีน้องมุสลิมท้ังหลายต่างก็มีความ
เข้าใจท่ีต่างกันออกไปเก่ียวกับคาศัพท์คานี้ บ้างก็เข้าใจว่าเป็นแนวทาง
ใหม่ท่ีเพ่ิงอุบัติขึ้น เป็นกลุ่มที่เกิดข้ึนใหม่ซ่ึงมีแนวทางและหลักความเช่ือ
เฉพาะตวั หรือบางคนเข้าใจคลาดเคลอื่ นวา่ สลัฟ หรือสะละฟียะฮ์ คือคา
ทถ่ี กู อุตรขิ ้นึ ใหม่ โดยไม่มีรอ่ งรอยทางศาสนามากอ่ นหนา้ น้ี

พีน่ ้องบางท่านอาจต้ังคาถามว่า ทาไมเราต้องพาดพิงตวั เองไปหา
แนวทางสลัฟ1ด้วยท้งั ๆ ท่ีไมป่ รากฏคาสงั่ ใช้ใด ๆ ในศาสนา ประกอบกับ
เราต่างใชช้ ือ่ เรยี กแทนพวกเรากันเองว่า “มสุ ลิม” อยู่แลว้ หรอื อาจมบี าง
คนต้ังคาถามว่า เราเข้าใจดีแล้วว่าการเรียกตัวเองว่ามุสลิม
เป็นชื่อท่ีออกจะหละหลวมและสุ่มเส่ียงต่อการปะปนกับแนวทางที่หลง
ผิด ฉะนั้นเราขอเป็นมุสลิมท่ียึดถือกุรอานซ่ึงเป็นทางนาอันดับแรกใน
ศาสนาและซุนนะห์ของท่านรอ่ ซู้ลb เพียงเท่าน้ีก็เพียงพอแล้วที่เราจะ
เป็นมุสลิมท่ีอยู่ในทางนาอันถูกต้องมิใช่หรือ ? และเหตุผลใดที่เราต้องใช้
คาว่า สะละฟียะฮ์ และหลักฐานชิ้นใดทใ่ี ช้ให้เราตอ้ งตามแนวทางสลฟั ?

ข้อคลุมเครือและคาถามเหล่าน้ีมักเกิดข้ึนบ่อยคร้ังเม่ือมีการพูด
ถึงแนวทางสลัฟหรือบุคคลท่ีเรียกตัวเองว่าสะละฟีย์ และความเข้าใจผิด
อ่ืนท่ีมีต่อการพาดพิงสู่แนวทางสลัฟ เช่น สะละฟีย์คือกลุ่มนิยมความ
รุนแรง หรือคือกลุ่มท่ีเป็นรากเหง้าแห่งการก่อการร้าย หนังสือเล่มนี้จึง
รวบรวมบทความจากตาราของนักวิชาการ นักปราชญ์ท่านต่าง ๆ เช่น

1 แนวทางสลฟั หมายถึง การอาศยั ระเบยี บของชาวสลัฟในการกาหนดสิง่ ใดกต็ ามทีเ่ ก่ยี วขอ้ งกบั หลักศรทั ธา
หลักศาสนกจิ และการดาเนินชีวติ ของชาวมสุ ลิม ให้อยใู่ นรอ่ งรอยท่ีอสิ ลามประสงค์
(อามนี ลอนา, หะดีษเศาะฮีฮว์ า่ ดว้ ยระเบยี บ(มนั ฮัจญ์)สะลฟั , หน้า 21)

นักหะดีษผู้ย่ิงใหญ่ในยุคนี้ คือ ท่านชัยค์ มุฮัมมัด นาซิรุดดีน
อัลอัลบานีย์ ท่านชัยค์มุฮัมมัด อาลี ฟัรกูส ตลอดจนนักวิชาการท่าน
อื่น ๆ ท่ีให้คานิยาม และอธิบายถึงแนวทางและความเข้าใจที่ถูกต้อง
เก่ียวกับแนวทางสลัฟ ตลอดจนแนวทางหลัก ๆ ของผู้ท่ียึดถือ
แนวทางสลฟั

ผู้จัดทาหวังว่าหนังสือแปลเล่มน้ีจะยังประโยชน์แก่ทุกท่าน
ท่ีสนใจ และจะไขข้อสงสยั ต่อแนวทางสลฟั ได้พอสมควร และความดีงาม
ใดก็ตามที่อยู่ในหนังสือเล่มนี้ ล้วนมาจากการกาหนดของอัลลอฮ์
ส่วนความผิดพลาดใดก็ตามในหนังสือเล่มนี้ ล้วนมาจากความบกพร่อง
ของผู้จดั ทา

ผู้จดั ทา

กรกฎาคม 1652

ศรทั ธานน้ั เปรียบเสมือนน้า และมันฮจั ญ์เปรยี บเสมือนแก้วน้า
หากศรัทธาไม่ดี กเ็ ปรียบเสมือนนา้ ท่สี กปรกเมื่อนามาใส่ในแก้วก็ทาให้
แกว้ สกปรกและดม่ื ไมไ่ ด้ ถา้ หากมันฮจั ญไ์ มด่ ี เปรียบเสมอื นแกว้ ทส่ี กปรก
เมื่อนาน้าท่ีสะอาดมาใส่ในแกว้ ก็ทาให้น้านั้นสกปรกและด่มื ไมไ่ ด้เช่นกนั

ชัยค์ บักร์ อบู ซยั ด์ v

ไม่ถือเป็นข้อตาหนิใด ๆ ต่อบุคคลท่ีแสดงตัวตนอย่างชัดเจนว่า
ตามแนวทางของชาวสลัฟ ประกาศและอ้างตัวสู่ “แนวทางสลัฟ”
ยิ่งไปกว่าน้ันถือเป็นเรื่องจาเป็นท่ีจะต้องยอมรับสิ่งน้ันจากเขาตามมติ
เอกฉันท์ของนักวิชาการ เพราะจริง ๆ แล้ว “แนวทางสลัฟ” หาใช่อ่ืน
ใดไม่นอกจากสัจธรรม

มัจมัวอ์ ฟะตาวา เลม่ 4 หนา้ 24

1

แนวทางสะละฟยี โ์ ดยชยั คอ์ ลั บานีย2์

สะละฟียะฮ์คือแนวทางไม่ใช่กลุ่มหรือองค์กรเหมือนที่บางคนคิด
ดังน้ันการเรียกว่า สะละฟียะฮ์ หมายถึง การอ้างอิงไปหาแนวทางของ
ชาวสลัฟศอลิห์ทั้งด้านหลักเช่ือมั่น ด้านบทบัญญัติ การปฏิบัติศาสนกิจ
การอบรมและการขัดเกลา

สะละฟียะฮ์ความจริงคือใคร ท่านชัยค์อัลบานีย์ตอบว่า เม่ือเรา
พูดถึงคาว่าสลัฟ หมายถึง กลุ่มคนท่ีประเสรฐิ ที่สดุ ท่ีเกดิ ขึ้นบนผนื แผน่ ดิน
หลังจากยุคของท่านร่อซู้ลและนบี คือนับตั้งแต่บรรดาเศาะฮาบะฮ์ของ
ร่อซู้ลy ในยุคแรก (200 ปีแรก) ตามด้วยยุคตาบีอีนในยุคที่สอง และ
ตามด้วยยุคลูกศิษย์ตาบีอีนในยุคที่สาม บุคคลทั้งสามยุคของอิสลาม
เรียกว่า สลัฟ ดังนั้นเม่ือเราพาดพิงไปหาสลัฟ หมายถึงเราพาดพิงไปหา
ยุคสมัยที่ดีท่ีสุด และจาเป็นต้องพิจารณาดูว่าการพาดพิงนี้ไม่ได้
หมายความว่าจะพาดพิงไปถึงบุคคลหรือกลุ่มที่อาจอยู่บนความผิดพลาด
หรือบนความหลงทาง ทั้งการหลงทางในทุก ๆ เร่ืองหรือเพียงบางเร่ือง
ก็ตาม

ท่านชัยค์อัลบานีย์ v กล่าวในหนังสอื อุศูลดะวะฮ์ อสั สะละฟี
ยะฮ์ ว่า อัลฟิรเกาะฮ์อันนาญียะฮ์ (กลุ่มชนท่ีรอดพ้น) มีสัญลักษณ์ต่าง

2 อมั ร์ อบั ดลุ มนุ อิม ซะลีม, แนวทางสะละฟียโ์ ดยชยั ค์อัลบานยี ์

2

จากกลุ่มอน่ื ๆ ในสมัยนี้ มิใชเ่ ป็นกลุ่มที่มีสัญลกั ษณเ์ พียงการอ้างอิงไปหา
กุรอานและซุนนะห์เท่าน้ัน ซ่ึงการอ้างอิงเช่นน้ีไม่มีกลุ่มไหนเลยที่จะไม่
อ้าง ถึงแม้จะเป็นกลุ่มที่ออกจากแนวทางท่ีรอดพ้น ไม่ว่าจะยุคเก่าหรือ
ยุคใหม่ก็ไม่ได้ประกาศตัดขาดจากการอ้างอิงเช่นนี้ เพราะถ้าหากทา
เช่นน้ันแล้ว (ไม่ยอมรับในกุรอานและฮะดีษ) แน่นอนว่าเขาได้ออกจาก
การเป็นมุสลิมไปแล้ว ด้วยเหตุนี้ทุก ๆ กลุ่มในอิสลามตามท่ีท่านร่อซู้ล
y กล่าวไว้ในฮะดีษที่ผ่านมา ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันนั้นก็คือพวกเขา
จะอ้างองิ กุรอานและซนุ นะห์3

ที่ท่านชัยค์ (อัลบานีย์) v กล่าวว่า กลุ่มต่าง ๆ ท่ีกล่าวใน
ฮะดีษที่อ้างว่ายึดกิตาบุลลอฮ์และซุนนะห์ ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มญะมียะฮ์
เคาะวาริจ มัวอ์ตะซิละฮ์ ชีอะรอฟิเฎาะฮ์ หรือกลุ่มอื่น ๆ (ท่ีหลงไปจาก
ซุนนะห์) ล้วนแต่อ้างว่าตามกิตาบุลลอฮ์และซุนนะห์ แต่ถ้าหาก
ตรวจสอบและพิสูจน์โดยละเอียดจะพบว่าทุกกลุ่มท่ีกล่าวมาค้านกับ
รากฐานแห่งการเปน็ ชาวซุนนะห์ และสวนทางกับอลั ญะมาอะฮท์ ท่ี า่ นนบี
แนะนาประชาชาติให้ปฏิบัติตาม เช่น นักวิชาการฟิกฮ์ นักวิชาการฮะดีษ
และเศาะฮาบะฮ์ของท่านร่อซู้ลy และผู้ท่ีเจริญรอยตามด้วยความดี
จนถึงวันกิยามะฮ์ พวกเขาคือชนหมู่มากในสังคม คือทางของผู้ศรัทธา
และคือผ้ปู ฏบิ ตั ติ ามความจรงิ จากกุรอานและซุนนะห์

3 เล่มเดิม, หนา้ 13

3

ท่านชัยค์คุลอิสลาม อิบนิตัยมียะฮ์v กล่าวว่า ผู้ท่ีเชิดชู หรือ
อ้างอิงพาดพิงไปหาแนวทางสลัฟไม่ควรถูกตาหนิ ย่ิงไปกว่าน้ัน
จาเป็นต้องตอบรับแนวทางสลัฟด้วยการเห็นพ้องต้องกันของนักปราชญ์
เพราะแนวทางสลฟั เทา่ น้ันทเี่ ปน็ สัจธรรม4

คร้ังหน่ึงท่านชัยค์อัลบานีย์v ถูกถามว่า ทาไมเราต้องเรียกคา
ว่าสะละฟียะฮ์หรือคือการเชิญชวนสู่พรรคพวกหรือสู่แนวทางหนึ่งใช่
หรอื ไม่ หรือคือการตง้ั กล่มุ ใหมใ่ นอิสลาม

ท่านตอบว่า คาว่าสลัฟเป็นคาที่ทราบกันดีตามความหมายทาง
ภาษาและตามความหมายทางศาสนา และสิ่งท่ีทาให้เราตระหนกั คือการ
คน้ หาความหมายด้านศาสนา มีฮะดีษเศาะฮีห์จากท่านนบีy กล่าวแก่
ท่านหญิงฟาฏิมะฮ์sก่อนท่ีท่านจะเสียชีวิตว่า “เธอจงยาเกรงอัลลอฮ์
และจงอดทน และฉันคือสลัฟท่ดี ที สี่ ดุ สาหรับเธอ”

แต่ก็ยังมีผู้ที่อวดรู้ท่ีต่อต้านการเรียกช่ือสะละฟีย์โดยอ้างว่าไม่มี
หลักฐานในเรื่องนี้ เช่นกล่าวว่า ไม่อนุญาตให้มุสลิมเรียกตัวเองว่า
สะละฟีย์ ซ่ึงเหมือนเขากาลังจะบอกว่าไม่อนุญาตให้มุสลิมกล่าวว่า
เราตามแนวทางสลฟั ศอลหิ ใ์ นเรือ่ งอะกดี ะฮ์ อิบาดะฮ์และมารยาท !!

4 เล่มเดมิ , หนา้ 16

4

ไม่ต้องสงสัยว่าการปฏิเสธเช่นนี้ หมายถึง การประกาศตัดขาด
จากการเป็นอิสลามที่ถูกต้องท่ีมีชาวสลัฟศอลิห์เป็นต้นแบบ และมีท่าน
ร่อซู้ลy เป็นหัวหน้าพวกเขา เช่นฮะดีษของท่านร่อซู้ล กล่าวว่า
“มนุษย์ท่ีดีท่ีสุด คือประชาชาติของฉัน หลังจากนั้นคือผู้ท่ีมาหลังจาก
พวกเขา หลงั จากน้นั คือผู้ทีม่ าหลังจากพวกเขา”5

5 เลม่ เดมิ , หนา้ 17

5

เกยี รตขิ องการอา้ งอิงสแู่ นวทางสลัฟ6

ต ามท่ีก ล่าวม าชี้ชัด ว่ าบุคค ลท่ีอยู่ ถั ด มาจ าก ช่ว งเวล า
ประวตั ศิ าสตร์ หมายถึง ผ้อู าศัยอยู่ในชว่ งศตวรรษอันประเสรฐิ ทม่ี รี ะบใุ น
คาพดู ทา่ นร่อซู้ลy ว่า

‫ َُثّ اَلّ ِذي َن يَلُونَُه ْم‬،‫ َُثّ اَلّ ِذي َن يَلُونَُه ْم‬،‫َخْيُر الَنّا ِس قَْرِن‬

ความว่า : คนท่ีประเสริฐท่ีสุด คือ คนในศตวรรษของฉัน ถัดมา
คอื ศตวรรษตอ่ จากน้ัน และถดั มาก็คือศตวรรษตอ่ จากนน้ั 7

หมายถึง ช่วงเวลาของชาวสลัฟศอลิห์และผู้ท่ียึดถือแนวทางของ
พวกท่านในเรื่องหลักความเช่ือและภาคปฏิบัติ พวกเขาคือ “สะละฟีย์”
และถูกเรียกด้วยช่ือน้ีเน่ืองจากเขาตามแนวทางชาวสลัฟศอลิห์ และ
สามารถเรียกช่ืออื่นได้อีกว่า “ซุนนีจากชาวอะลุซซุนนะห์วัลญะมาอะฮ์”
เน่ืองจากยึดมั่นต่อซุนนะห์ (ท่านร่อซู้ล) และออกห่างจากบิดอะฮ์ หรือ
อาจจะเรียกว่า “อะซะรีย์” หมายถึง นักวิชาการฮะดีษเพราะพวกท่าน

6 ชยั ค์ มุฮมั มดั อาลี ฟรั กสู , เกยี รติของการอ้างองิ สู่แนวทางสลฟั , หน้า 108
7 บุคอรยี ,์ เศาะฮีห์บุคอรีย์ หมายเลข : 2652; มสุ ลมิ , เศาะฮีหม์ สุ ลมิ หมายเลข : 2533

6

จดจ่ออยู่กับฮะดีษของท่านนบีท้ังสายรายงานและตัวบทฮะดีษ และ
นามาปฏิบัติตาม และพวกท่านดาเนินตามแนวทางของท่านร่อซู้ลy
ทั้งภาพลักษณ์ภายนอกและภายในและสละเวลาศึกษากิจวัติของ
เศาะฮาบะฮ์a ทั้งเพ่ือความเข้าใจ และการนาไปใช้เป็นหลักฐาน
เชน่ เดยี วกับชือ่ ว่า “ฆอรีบ” เพราะพวกเขายนื หยัดตามแนวทางท่ถี กู ต้อง
ในขณะท่ผี ู้คนสร้างความเสยี หาย ท่านร่อซ้ลู กลา่ วว่า

ََِِ‫ فَُطُوََ لِْلَُُر‬،‫إِ َّن الِإ ْسلاََم بََدأَ َغِريبًا َو َسيَعُوُد َغِريبًا كما بدأ‬

ความว่า : แท้จริงอิสลามเริ่มต้นอย่างคนแปลกหน้า และจะ
กลับมาอย่างคนแปลกหน้าดังเริ่มต้น สรวงสวรรค์จงประสพแด่เหล่าคน
แปลกหน้าทั้งหลาย

‫ من الُرَِ؟ قال الذي يصلحون إذا فسد الناس‬،‫ يا رسول الله‬:‫قيل‬

เศาะฮาบะฮ์ถามท่านร่อซู้ลว่า ใครกันครับคือ ฆุรอบาอ์ ทา่ นตอบ
วา่ : คือผทู้ ่ียนื หยัดอยใู่ นศาสนาในยามทผ่ี ู้คนสร้างความเสียหาย8

8 อะหม์ ัด, มุสนัดอมิ ามอะหม์ ัด หมายเลข : 16690

7

อกี ฮะดษี ทา่ นกลา่ วว่า

.‫أََُن ٌس َصاِِلُوَن ِف أََُن ِس َسْوٍِ َكثِيٍر َم ْن يَ ْع ِصيِه ْم أَ ْكثَُر َِِمّ ْن يُُِطيعُُه ْم‬

คนดีในหมู่คนชั่วจานวนมาก จะมีคนฝ่าฝืนพวกเขามากกว่าคน
เชื่อฟังพวกเขา9

พวกเขาอดทนและยืนหยัดอยู่ในศาสนาเพราะเขาได้รับการ
เรียกว่า “กลุ่มชนท่ีรอดพ้น” ตามเป้าหมายของคาพูดของท่านร่อซู้ลว่า
“ส่ิงทีเ่ ราและสหายของเราดารงอยู่ในวนั นี้”10

และการเรียกว่า “สะละฟียะฮ์” ไม่ได้ขัดกับช่ืออ่ืนเช่นเรียกว่า
“อะฮ์ลุซซุนนะห์วัลญะมาอะฮ์” หรือ “อัลฟิรเกาะฮ์อันนาญียะฮ์” หรือ
“อันศอริซซุนนะห์” เพราะชื่อเหล่านี้มคี วามหมายเดียวกนั เพียงตา่ งกันท่ี
ชอื่ คือหมายถึงการยดึ ม่นั ในกิตาบุลลอฮ์และซุนนะห์ตามความเข้าใจของ
ชาวสลฟั

9 อะหม์ ดั , มุสนดั อิมามอะห์มดั หมายเลข : 6650
10 อัลบานยี ,์ ซลิ ซิละฮเ์ ศาะฮีฮะห์ เลม่ 1 หนา้ 203

8

ท่านฮาฟิส อิบนิ เราะยับv กล่าวว่า : ฟิตนะฮ์ท่ีสร้างความ
คลุมเครือและพวกนิยมอารมณ์ท่ีหลงทาง เป็นเหตุให้มุสลิมเกิดความ

แตกแยกและกลายเป็นกลุ่มเป็นพวก ต่างตัดสินอีกฝ่ายว่าเป็นกาฟิรและ

กลายเป็นศัตรูกัน แยกเป็นพวกเป็นเหล่าทั้งที่ก่อนหน้าน้ีเคยเป็นพ่ีน้อง

กัน หัวใจพวกเขารักท่านร่อซู้ลเช่นเดียวกัน ดังนั้นกลุ่มต่าง ๆ เหล่าน้ีมี

เพียงกลุ่มเดียวเท่าน้ันที่รอดพ้น ซ่ึงพวกเขาได้รับการกล่าวถึงในฮะดีษ

ของท่านร่อซู้ลว่า

‫َخ َذَُْم‬ ‫َلعليَىُضُّذَرلُِه ْمَك َم ْن‬ ‫ْم‬،‫أََْعملَُرىاللاِهِلََوِقُه‬ ‫طَائَِفةٌ ِم ْن أَُّمِت ظَا ِهِري َن‬ ‫تََزا ُل‬ ‫َل‬
َ‫ َحَّت ََيِْت‬،‫أو َخالََف ُه ْم‬

ความว่า : ยังคงมีประชาชาติของฉันกลุ่มหน่ึง ซึ่งเป็นผู้ที่ยืนหยัด
อยู่กับสัจธรรม บุคคลท่ีทอดทิ้ง (ต่อต้าน) และขัดแย้งกับพวกเขา
ไม่สามารถทาอันตรายพวกเขาได้ จนกว่าพระบัญชาของอัลลอฮ์
(วนั กยิ ามะฮ์) จะมาถึง และพวกเขายังคงยนื หยัดในเรอื่ งดงั กล่าว11

11 มสุ ลิม, เศาะฮีห์มุสลมิ หมายเลข : 1920

9

และพวกเขาเปน็ คนแปลกหน้าในชว่ งเวลาสุดท้าย (ก่อนกิยามะฮ์)
ซ่ึงกลา่ วไว้ในฮะดีษหลาย ๆ บทว่า

‫الذي يصلحون إذا فسد الناس‬

ความว่า : คือผู้ที่ยืนหยัดอยู่ในศาสนายามที่ผู้คนสร้างความ
เสยี หาย12

‫الذين يصلحون إذا أفسد الناس من السنة‬

ความว่า : ผูท้ ่คี อยฟ้นื ฟซู นุ นะห์ยามที่ผคู้ นต่างบอ่ นทาลาย13

‫الذين يفرون بدينهم من الفتن‬

ความว่า : ผู้ที่แยกตัวออกมาเพราะเกรงว่าฟิตนะฮ์จะเกิดกับ
ศาสนาของพวกเขา14

12 อัตตริ มีซีย์, สนุ นั ติรมีซีย์ หมายเลข : 2630
13 อตั ตริ มีซยี ์, สนุ นั ติรมีซีย์ หมายเลข : 2630
14 อบูนะอีม, อะฮาดษิ สุ ฟิตัน เล่ม 1 หน้า 77

10

‫النزاع من القبائل‬

ความว่า : คนกลุ่มน้อยท่ีอยู่บนสัจธรรมท่ามกลางคนหมู่มากที่
คอยจดั การพวกเขา15

เพราะพวกเขาเป็นคนหมู่น้อยจึงปรากฏคนเช่นนี้ในหมู่พวกเขา
เพยี งหนึ่งถงึ สองคนเทา่ นน้ั หรือบางคร้งั บางเผา่ มีเพียงแคค่ นเดียวเทา่ นั้น
เหมือนกับผู้เข้ารับอิสลามในช่วงแรกของการเชิญชวน และนี่คือ
ความหมายทน่ี กั วิชาการฮะดีษอธิบาย

ท่านยูนุส อิบนิ อุบัยด์ กล่าวว่า “ไม่มีส่ิงที่จะแปลกประหลาดไป
กว่าซนุ นะห์ และสิง่ ที่แปลกกวา่ ซนุ นะห์ คอื ผู้ทีร่ ู้จักซุนนะห์”

ท่านซุฟยาน อัซเซารีกล่าวว่า : พวกท่านหยิบย่ืนสิ่งดี ๆ แก่ชาว
ซุนนะห์เถิด เพราะพวกเขาคอื กลุ่มคนแปลกหน้า (มีจานวนนอ้ ย)

15 อิบนมิ าญะ, สุนนั อบิ นมิ าญะ หมายเลข : 3988

11

ซุนนะห์ ในความหมายของเหล่านักวิชาการ คือ แนวทางที่ท่าน
นบีb และสาวกของท่านดาเนินอยู่ ซ่ึงปลอดจากความคลุมเครือและ
การใช้อารมณ์

หลังจากนั้นคาว่าซุนนะห์ (ตามคานิยามของนักวิชาการฮะดีษยุค
หลงั ) กลายเป็นคาเรียกสง่ิ ทปี่ ลอดจากขอ้ คลุมเครือในเรอื่ งหลักความเชื่อ
โดยเฉพาะประเด็นเร่ืองการศรัทธาต่ออัลลอฮ์ มะลาอิกะฮ์ คัมภีร์ ร่อซู้ล
และโลกหน้า และประเด็นเร่ืองการกาหนดของอัลลอฮ์และความ
ประเสริฐของเศาะฮาบะฮ์ พวกเขา (นักวิชาการ) เขียนหนังสือในหัวข้อ
เหล่านี้และใช้ช่ือว่า ซุนนะห์ การท่ีใช้ชื่อน้ีเพราะว่าเรื่องที่กล่าวมามี
ความสาคญั มากในศาสนา และผูท้ ่คี ้านเรื่องน้จี ะนาไปสคู่ วามพินาศ

12

‫السلفية منه ُج الإسلام ولي َس ْت دعوَة تحُّز ٍب وتفُّرٍق وفساد‬

บทความเร่ือง : สะละฟียะฮ์ คือ แนวทางของอิสลาม มิใช่การ
เรียกร้องเชิญชวนสู่การแบ่งพรรคสู่พวกสู่ความแตกแยกและความ
เสียหาย16

ً‫ والصلاةُ والسلاُم على َم ْن أرسله اللهُ رحمة‬،‫اِلم ُد لله ر ِب العالمين‬
‫ أَّما بعد‬،‫ وعلى آله و َص ْحبِِه وإخوانِه إلى يوم ال ِدين‬،‫للعالمين‬

ตามท่ีมีการวิพากษ์วิจารณ์ในเว็บไซต์ทางการของข้าพเจ้า
(ชัยค์ มุฮัมมัด อาลี ฟัรกูส) การสร้างข้อคลุมเครืออันเป็นเท็จต่อการ
เรียกร้องเชิญชวนสู่แนวทางสลัฟ ว่าเป็นการเชิญชวนสู่การแบ่งพรรค
แบ่งกลุ่ม ที่อยู่นอกแนวทางซุนนะห์และนามาซ่ึงความเสียหาย อันท่ีจริง
การเปลี่ยนแปลงต้องไม่กอ่ ความคลุมเครือ แน่นอนเราเห็นว่าการตอบโต้

16 ชัยค์ มฮุ ัมมัด อาลี ฟรั กูส, สะละฟยี ะฮ์ คอื แนวทางของอิสลาม มิใชก่ ารเรียกรอ้ งเชญิ ชวนสู่การ
แบง่ พรรคสพู่ วกสู่ความแตกแยกและความเสียหาย

13

ขอ้ คลมุ เครอื อันเป็นเทจ็ และความเข้าใจผิดด้วยสจั ธรรมและหลักฐานอัน
ชัดเจนจะเป็นประโยชน์

ตามท่ีอัลลอฮ์ตรัสวา่

ۚ ‫بَ ْل نَْق ِذ ُف َِِْلَِق َعلَى الْبَا ِط ِل فَيَ ْدَمُُهُ فَِإذَا ُهَو َزا ِه ٌق‬
‫َولَ ُك ُم الَْويْلُ َِِمّا تَ ِصُفوَن‬

ความว่า : แต่เราได้ให้ความจริงทาลายความเท็จแล้วเราก็ให้มัน
เสียหายไป แล้วมันก็จะมลายไป และความหายนะจะประสบแก่พวกเจ้า
ในส่งิ ท่ีพวกเจ้า กล่าวเสกสรรปน้ั แต่งตอ่ อัลลอฮ์ [อัลอัมบยิ าอ์ : 28]

ตัวบทวพิ ากษ์

อัสสลามมุอะลัยกุม วะเราะห์ มะตุลลอฮ์ วะบะรอกาตุ
เราส่งจดหมายหาท่านและทราบดีว่าท่านชัยค์ฟัรกูส คือบ่าวคนหน่ึง
ของอัลลอฮแ์ ละเป็นผูย้ าเกรงพระองค์

1. การเรียกกลุ่มที่รอดพ้น (อัลฟิรเกาะฮ์ อัลนาญียะฮ์) ว่า
สะละฟียะฮ์ ถือว่าเป็นการแบ่งพรรคแบ่งพวกหรือไม่ ท่านทราบใช่

14

หรือไม่ว่ากุรอานใช้คาว่าอิสลาม (ในการเรียกมุสลิม – ผู้แปล) ดังที่
พระองคต์ รัสวา่

‫تََوَفِّن ُم ْسلِ ًما َوأَِْلِْقِن َِل َّصاِِلِيَن‬

ความว่า : ขอพระองค์ทรงให้ข้าพระองค์ตายในสภาพเป็นผู้
นอบน้อม (มุสลิม) และทรงให้ข้าพระองค์รวมอยู่ในหมู่คนดีทั้งหลาย
[ยูซฟุ : 202]

2. ยืนยันได้ว่ามสุ ลิมจานวนมากเชื่อวา่ แนวทางสลัฟ หมายถงึ คน
ทไี่ ว้เคราและสวมใส่โต๊บ และสาหรบั ผู้ท่ีโกนเครา หรือผูส้ ืบทอดแนวทาง
ฮานาฟีย์จะได้เข้าสวรรค์หรือไม่ การใช้นามสะละฟียะฮ์ ทาให้เกิดความ
แตกแยก ทา่ นลองพิจารณาดูซิ (ว่าจรงิ หรือไม่ - ผแู้ ปล) อะไรคอื หลกั ฐาน
ชนิ้ สาคัญที่ต้องมีชื่อเรียกสาหรับกลุ่มท่ีรอดพ้น (ว่าสะละฟียะฮ์ - ผู้แปล)
อันที่จริงการเปล่ียนแปลงจะต้องไม่ก่อความวุ่นวาย หมายถึง ความ
คลมุ เครือ ไม่ชัดเจน และหากชยั คฟ์ ัรกูสนั่งอยใู่ นมสั ญิดของท่าน น่ันย่อม
เป็นการดี (สาหรับท่าน ทจ่ี ะตอบข้อซักถาม – ผู้แปล) ไม่มีการช่วยเหลือ

15

เว้นแต่ที่มาจากอัลลอฮ์ และผู้ใดทาการงานหน่ึงเพื่อโอ้อวด อัลลอฮ์จะ
เปดิ โปงในวันกยิ ามะฮ์ และอลั ลอฮต์ รสั วา่

‫َمن يََتِّق َويَ ۡصِ ۡب فَِإ َّن ٱََّّللَ َل يُ ِضي ُع أَ ۡجَر ٱۡل ُم ۡح ِسنِيَن‬

ความว่า : แท้จริงผู้ใดท่ียาเกรงและอดทน แน่นอนอัลลอฮ์จะมิ
ทรงใหร้ างวลั ของบรรดาผู้ทาความดสี ญู หาย [ยซู ฟุ : 90]

เราขอกล่าวว่า : (อัลลอฮ์เป็นผู้ประทานความสาเร็จและการ
มอบหมายมีต่อพระองค์เท่านั้น) สะละฟียะฮ์ ใช้เรียกและสื่อความหมาย
สองลักษณะดังตอ่ ไปน้ี

1. ยุคสมัยหนึ่งทางประวัติศาสตร์โดยเจาะจงผู้มีชีวิตอยู่ในช่วง
สามศตวรรษแรกอนั ประเสรฐิ ตามทีท่ า่ นร่อซูล้ กลา่ วว่า

‫ َُثّ اَلّ ِذي َن يَلُونَُه ْم‬،‫ َُثّ اَلّ ِذي َن يَلُونَُه ْم‬،‫َخْيُر الَنّا ِس قَْرِن‬

16

ความว่า : คนที่ประเสริฐที่สุด คือ คนในศตวรรษของฉัน ถัดมา
คือศตวรรษต่อจากน้นั และถดั มากค็ อื ศตวรรษตอ่ จากนนั้ 17

และนี่คือช่วงเวลาทางประวัติศาสตร์ท่ีไม่อนุญาตให้พาดพิงไปหา
เน่อื งจากส้นิ สุดไปแล้วหลังจากท่ีบรรพชนเหลา่ นัน้ สน้ิ ชวี ติ

2. แนวทางของเศาะฮาบะฮ์ ลูกศิษย์เศาะฮาบะฮ์ และผู้เจริญ
รอยตามพวกเขา โดยการยึดถืออัลกุรอาน ซุนนะห์เหนือสิ่งอ่ืนใด
และปฏิบัติตามสองส่ิงนี้ตามความเข้าใจของชาวสลัฟศอลิห์กล่าวคือ
อัศเศาะฮาบะฮ์อัตตาบีอีน และลูกศิษย์ตาบิอีนในหมู่อีมามแห่งทางนา
และผู้เป็นแสงสว่างแห่งความมืด ซ่ึงประชาชนต่างยืนยันตรงกันถึงการ
เป็นผู้นาและความถูกต้องของพวกเขา และต่างหยิบยกคาพูดของเขามา
อ้างด้วยความพอใจ และการน้อมรับ เช่นผู้นาสานักคิดท้ัง 4 ท่าน และ
นักวิชาการท่านอื่น ๆ เช่น ท่านลัยษ์ อิบนิ ซะอ์ ท่านซุฟยาน อิบนิ
อุยัยนะฮ์ ท่านซุฟยาน อัซเซารีย์ อิบรอฮีม อัลนะเคาะอีย์ อัลบุคอรีย์
มสุ ลิม และ อีมามท่านอื่น ๆ

17 บคุ อรยี ,์ เศาะฮีหบ์ ุคอรีย์ หมายเลข : 2652; มุสลมิ , เศาะฮีหม์ ุสลิม หมายเลข : 2533

17

แต่ไม่ใช่แนวทางพวกอารมณ์นิยมและกลุ่มหลงผิด (ท่ีอยู่ในช่วง
000 ปีแรก) ท่ีถูกกล่าวหาว่าทาการบิดเบือนหรือถูกเรียกด้วยช่ือท่ีไม่ดี
เช่น กลุ่ม เคาะวาริจ ชีอะรอฟิเฎาะฮ์ มัวอ์ตะซิละฮ์ ญะบะรียะฮ์ และ
กลุ่มหลงผิดอื่น ๆ และการใช้ช่ือ (อัสสะละฟียะฮ์) ถือเป็นแนวทางท่ีคง
อยู่ตลอดไปจนถึงกิยามะฮ์ และอนุญาตให้อ้างอิงไปได้หากรักษาซ่ึง
เง่ือนไขและข้อบังคับ ดังน้ัน อัสสะละฟียูน หมายถึง ผู้เดินตามแนวทาง
ของพวกเขา (ชาวสลัฟ) จนกระทั่งพวกเขาเสียชีวิต ไม่ว่าผู้ตามจะเป็น
นักวิชาการฟิกฮ์ นักวิชาการฮะดีษ ตัฟซีรหรือนักวิชาการในสาขาอ่ืน ๆ
ตราบใดท่ีพวกเขาอยู่ในแนวทางของผู้ท่ีมาก่อนหน้าในเรื่องหลักความ
เช่ือที่ถกู ต้องตามกุรอาน ซนุ นะห์ และเอกฉันท์ของประชาชาตใิ นยุคสาม
ศตวรรษแรกและยึดถือคาพูดและการกระทาของพวกเขาที่ชัดเจนตามที่
ท่านนบีกล่าววา่

،‫َخ َذَُْم‬ ‫َم ْن‬ ‫َذلَِلَكيَ ُضُّرُه ْم‬،‫اَعللَلهِىَواُهِْلمَِقَك‬ ‫ظَا ِهِري َن‬ ‫أَُّمِت‬ ‫ِم ْن‬ ٌ‫طَائَِفة‬ ‫تََزا ُل‬ ‫َل‬
‫ََيِْتَ أَْمُر‬ ‫َح َّت‬

ความว่า : ยังคงมีประชาชาติของฉันกลุ่มหนึ่ง ซ่ึงเป็นผู้ที่ยืนหยัด
อยู่กับสจั ธรรม บุคคลท่ีทอดทิ้ง (ต่อตา้ น) พวกเขาไม่สามารถทาอนั ตราย

18

พวกเขาได้ จนกว่าพระบัญชาของอัลลอฮ์ (วันกิยามะฮ์) จะมาถึง
และพวกเขายังคงยนื หยัดในเรอื่ งดังกล่าว18

ตามท่ีกล่าวมาช้ีชัดว่า สะละฟียะฮ์ มิใช่การชี้นาสู่การแบ่งฝ่าย
การแบ่งกลุ่ม ชาติพันธ์ุ หรือการกาเนิดสานักคิดใหม่ท่ีมีผู้นาอยู่ใน
ตาแหน่งท่ีไร้มลทิน หรือยึดเป็นแนวทางโดยมีการเชิญชวนในรูปแบบท่ี
เฉพาะ หรือรักกันและเป็นศัตรูกันเพ่ือแนวทางนี้ แต่สะละฟียะฮ์ คือ
การชี้นา (ผู้คน) ให้ยึดถือคาสั่งของท่านร่อซู้ลของอัลลอฮ์y ท่ีเป็น
แบบอย่างใหก้ ระทาตามท่ีท่านส่ังใช้โดยให้ยดึ ม่ันในกุรอาน ซุนนะห์ และ
มติเอกฉันท์ของประชาชาติ ส่ิงนี้คือพ้ืนฐาน (ของศาสนา) ท่ีไร้มลทิน
ซง่ึ จะไม่เกิดกับแนวทางอื่น และน่ีคือแนวทางท่สี มบรู ณ์แบบและเติมเต็ม
ซึ่งกันและกัน ไม่ใช่เพ่ือการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ทาให้ประชาชาติและความ
เป็นหมคู่ ณะแตกแยก แต่คือ (แนวทาง) ของอิสลามท่ีใสสะอาด แนวทาง
ท่ีเที่ยงตรงอันมีเป้าหมายที่จะนาไปสู่อัลลอฮ์ เน่ืองจากแนวทางน้ี
ท่ีอัลลอฮ์ทรงส่งท่านร่อซู้ลและคัมภีร์ลงมา คือแนวทางท่ีมีสัญลักษณ์ที่
ชัดเจน มรี ากฐานทไ่ี ร้มลทนิ และมบี ้ันปลายที่ปลอดภยั

18 มุสลิม, เศาะฮีหม์ สุ ลมิ หมายเลข : 1920

19

ส่วนแนวทางอื่น ๆ ท่ีเปิดกว้าง ปรากฏว่าประตูทุกบานเป็น
ทางตัน และถูกปิดก้ันนอกจากทางเดียวเท่าน้ัน คือแนวทางที่ไปถึง
พระองค์ อลั ลอฮ์ตรัสวา่

‫َوَأ َّن َهَٰ َذا ِ َٰص ِطي ُم ۡس َت ِقيمٗا فَٱتَِّب ُعو ُه ۖ َو ََلتَتَِّب ُعوا أل ُّس ُب َل فَتَ َف َّر َق ِب ُ ۡك َعن‬
‫َس ِبي ِِ ِلۦ‬
ความว่า : และแท้จริงนี้คือทางของข้าอันเท่ียงตรงพวกเจ้าจง

ปฏิบัติตามมันเถิด และอย่าปฏิบัติตามหลาย ๆ ทาง เพราะมันจะทาให้

พวกเจ้าแยกออกไปจากทางของพระองค์ [อัลอนั อาม: 160]

‫ « َخ َّط لنا رسو ُل الله صََّّل الله عليه وسَ َّّل‬:‫وقال اب ُن مسعو ٍد رضي الله عنه‬
‫ ث َّم‬،‫ « َه َذا َس ِبي ُل اللِه» ث َّم خطَّ خطو ًطا عن يمينه وعن شماله‬:‫خ ًّطا ث َّم قال‬
‫ ﴿ َوَأ َّن‬:‫ُث َّم قَ َرَأ‬ ،‫فَُٱتَِّلِكب ُع َوسُهِبي َوٍَلَلتَِمتَِّْبنَُعاواَشألي َُّطسا ُب ٌن َليَفَدتَ َُفع َّرو َ ِاقلَيِب ِهُ ۡك‬ ‫ُبُم ٌۡلس َتعَ ِقََيّمٗلا‬ ‫ « َه ِذ ِه ُس‬:‫قال‬
﴾‫َعن َس ِبي ِِ ِلۦ‬ ‫َهَٰ َذا ِ َٰص ِطي‬

ความว่า : รายงานจาก อับดุลลอฮ์ อิบนิ มัสอู๊ดzกล่าวว่า
ท่านร่อซูลุลลอฮ์y ได้ขีดเส้นเส้นหนึ่งด้วยมือของท่าน แล้วกล่าวว่า
น้ีคือแนวทางของอัลลอฮ์ อันเท่ียงตรงและท่านได้ขีดเส้นไปทางด้านขวา
และด้านซ้ายของท่าน แล้วกล่าวว่า นี้คือหลาย ๆ ทางซ่ึงไม่มีแนวทางใด
จากหลาย ๆ ทางนั้นนอกจากมชี ัยฏอนเรียกรอ้ งเชิญชวนไปสู่แนวทางน้ัน

20

แล้วท่านก็อ่านอายะฮ์ท่ีว่าและแท้จริงนี้คือทางของข้าอันเที่ยงตรงพวก
เจ้าจงปฏิบัติตามมันเถิด และอย่าปฏิบัติตามหลาย ๆ ทาง เพราะมันจะ
ทาใหพ้ วกเจา้ แยกออกไปจากทางของพระองค์19

หนังสืออรรถาธิบายกุรอาน ตัฟซีร อิบนิ กะซีร ระบุว่า ชายคน
หนึ่งถามท่านอิบนิมัสอู๊ดz วา่ ทางทถ่ี ูกตอ้ งเป็นอย่างไร ท่านตอบว่า
ท่านนบีมุฮัมมัดy ชี้แนะทางตั้งแต่จุดเร่ิมต้นจนไปถึงจุดสิ้นสุดท่ีสรวง
สวรรค์ให้แก่เรา ด้านขวาและด้านซ้ายมีเส้นทางอื่น ๆ นอกเหนือจากนี้
หลายเส้นทาง ที่แห่งน้ันมีผู้คนคอยชักชวนผู้ที่ผ่านไปมา (ให้ออกนอก
เส้นทาง - ผู้แปล) ดังน้ันผู้ใดหลงเข้าไปสู่เส้นทางเหล่าน้ัน จะไปสิ้นสุดท่ี
ไฟนรก ส่วนผู้ใดท่ียึดถือเส้นทางตรง จะไปสิ้นสุดที่สรวงสวรรค์ หลังจาก
นัน้ ทา่ นอิบนมิ ัสอดู๊ อ่านอายะฮ์ขา้ งตน้

ผูม้ ีปัญญาต้องใครค่ รวญวา่ อสิ ลามไมม่ กี ารตั้งพรรคตั้งพวกทค่ี อย
หา้ ห่ันและเชือดเฉือนกนั อัลลอฮต์ รสั ว่า

‫ُك ُّل ِحۡز ِِۢب ِِبَا لََد ۡيِه ۡم فَِر ُحوَن‬

19 อดั ดารมี ,ี สนุ ันดารมี ี หมายเลข : 208; อิบนฮิ ิบบาน, เศาะฮีหอ์ ิบนฮิ บิ บาน
หมายเลข : 6; อะห์มดั , มุสนดั อมิ ามอะห์มัด เลม่ 6 หนา้ 89 หมายเลข : 4142

21

ความว่า : แตล่ ะฝา่ ยต่างก็พอใจในส่ิงทตี่ นเองยดึ ถือ [อลั มมุ นิ นู : 60]

อัลลอฮ์ตาหนิการแบง่ ฝา่ ย การแตกแยกในอายะฮ์ตา่ ง ๆ เช่น

‫أّ َّل ِل‬ ‫ِا َل‬ ‫نَّ َمآَأ ۡم ُر ُ ۡه‬ ‫ََ ۡش ٍٍۚءِا‬ ‫لَّ ۡس َت ِم ْۡنُ ۡم ِف‬ ‫ِش َي ٗعا‬ ‫َوََكنُوا‬ ‫ِديَْنُ ۡم‬ ‫فَ َّرُقوا‬ ‫أََِّّلي َن‬ ‫ِا َّن‬
‫ِب َماََكنُوايَ ۡف َعلُو َن‬ ‫يُنَ ِبل ُُئُم‬ ‫ُث َّم‬

ความว่า : แท้จริงบรรดาผู้ที่แบ่งแยกศาสนาของพวกเขา และ

พวกเขาได้กลายเป็นนิกายต่าง ๆ น้ัน เจ้า (มุฮัมมัด) หาใช่พวกเขาแต่

อย่างใดไม่ แทจ้ รงิ เรื่องราวของพวกเขาน้ัน ยอ่ มไปสู่อัลลอฮ์แลว้ พระองค์

จะทรงแจ้งแกพ่ วกเขาในสงิ่ ท่ีพวกเขากระทากัน [อัลอันอาม: 269]

‫َوَل تَ ُكونُواْ َكٱَلّ ِذي َن تََفَّرقُواْ َوٱٱۡلۡبخَتَيَِٰنَلَُفُوتاْ ِم ِۢن بَ ۡع ِد َما َجآَِ ُه ُم‬

ความว่า : และพวกเจ้าจงอย่าเป็นเช่นบรรดาผู้ที่แตกแยกกัน
และขัดแย้งกันหลังจากท่ีบรรดาหลักฐานอันชัดแจ้งได้มายังพวกเขาแล้ว
[อาละอิมรอน: 206]
แต่อสิ ลามคือพรรคพวกเดยี วกันท่ีไดร้ บั ชัยชนะ อลั ลอฮ์ตรัสวา่

‫أََلٓ إِ َّن ِحۡز َب ٱََّّلِل ُه ُم ٱۡل ُم ۡفلِ ُحوَن‬

22

ความว่า : แท้จริงพรรคของอัลลอฮ์นั้น พวกเขาเป็นผู้ประสบ
ความสาเรจ็ [อลั มุญาดาละฮ์: 22]

ผูท้ ่ีได้รับความสาเรจ็ คอื ผู้ทอี่ ัลลอฮ์ให้วาจาของเขาถูกต้องในหมู่
มนุษย์ท้ังหลาย และบันทึกฐานะอันดีงามแก่เขาในจารึกท่ีรวบรวมการ
งานของผู้ท่ีมีคุณธรรม (เหนือช้ันฟ้าทั้งเจ็ด - ผู้แปล) ดังนั้นพวกเขา
ดาเนินตามทางนาซึ่งท่านร่อซู้ลท้ิงไว้ให้แก่เราให้เดินบนเส้นทางนี้ซ่ึงจะ
นาพาไปสู่โลกหน้า เป็นทางอันชัดเจนที่ไม่คดเคี้ยวหรือบิดเบือนใด ๆ
ทา่ นรอ่ ซู้ลn กลา่ ววา่
‫قَْد تََرْكتُ ُك ْم َعلَى البَْي َضاِِ لَْيلَُها َكنَ َهاِرها َل يَِزي ُغ َعْن َها بَْع ِدي إََِّل َهالِ ٌك‬

ความว่า : แนน่ อน ฉันได้ทิ้งไว้แก่พวกท่าน (ศาสนาน้ี) ในหนทาง
ท่ีขาว (สว่าง) กลางคืนของทางน้ันชัดเจนเสมือนกลางวัน จะไม่มีผู้ใด
เบ่ยี งเบนออกจากทางนั้นนอกจากผู้ทปี่ ระสบความหายนะ20

อัลลอฮ์ l เรียกผู้คนยุคแรกในกุรอานโดยใช้คาว่ามุสลิมีน
เพราะการใช้นามน้ีสอดคล้องกับสิ่งที่พวกเขาดาเนินอยู่ น่ันก็คือการยึด
มน่ั ในอิสลามอนั บริสุทธิท์ ง้ั เรอ่ื งหลักความเช่ือ (อากดี ะฮ์) และหลักปฏิบัติ

20 อบิ นิมาญะฮ์, สุนนั อบิ นิมาญะฮ์ หมายเลข : 43; อัลบานยี ,์ ซลิ ซลิ ะฮเ์ ศาะฮีฮะฮ์
หมายเลข : 937

23

(ชารอี ะฮ์) จงึ ไม่มีความจาเปน็ ต้องกาหนดชือ่ เรียกเฉพาะ เวน้ เสียแต่เรียก
พวกเขาด้วยกับชื่อน้ี (มุสลิม) เพ่ือจาแนกพวกเขาออกจากผู้ปฏิเสธ
(กาฟิร) และผูท้ ี่หลงทางทอ่ี ย่ใู นสมยั ของพวกเขา

แต่หลังจากนั้นในหมู่พวกเขามีผู้คิดค้นอุตริกรรมใหม่ขึ้นใน
อิสลามท่ีไม่เคยเกิดขึ้นในสมัยก่อน ทาให้ผู้คนต่างเดินตามทางที่หลงผิด
และแตกแยกจากทางแห่งสัจธรรมที่เท่ียงตรง จึงเป็นการบังคับและมี
ความจาเป็นต้องกาหนดช่ือเรียกเพื่อให้สอดคล้องกับลักษณะที่ท่าน
นบีy ได้ให้แก่กลุ่มชนที่รอดพ้นตามที่ท่านกล่าวว่า “แบบท่ีเราและ
สาวกของเราดาเนินอยู่”21และจาแนกออกจากแนวทางของกลุ่มอารมณ์
นิยม และพวกอุตริกรรม เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการแยกกลุ่มท่ีได้รับ
ทางนาออกจากกลุ่มหลงผดิ

ดังความหมายของอายะฮ์ทีอ่ ลั ลอฮ์ตรัสว่า

‫ُهَو َََسَّٰى ُك ُم ٱۡل ُم ۡسلِ ِميَن ِمن قَ ۡب ُل‬

ความวา่ : พระองคท์ รงเรียกชอื่ พวกเจ้าวา่ มุสลมิ ีนในคัมภีร์ก่อนๆ
[อลั ฮัจญ์ : 78]

21 อตั ตริ มซี ยี ์, สุนันติรมซี ยี ์ หมายเลข : 2641

24

กล่าวคือ อิสลามยุคท่ีอัลลอฮ์บัญญัติให้แก่บ่าว เป็นอิสลามที่
ปลอดภัยจากเรื่องชิริกและอุตริกรรม ปราศจากประเด็นที่คิดค้นขึ้นมา
ใหม่และเรื่องต้องห้ามในด้านหลักความเช่ือและแนวทาง คืออิสลามของ
ผู้ท่ียึดถือแนวทางสลัฟพาดพิงไปถึง และเป็นอิสลามที่เหล่าสะละฟีย์
ท้ังหลายยึดม่ันในเร่ืองหลักความเช่ือ บทบัญญัติ และวางรากฐานการ
เชิญชวนของพวกเขาบนแนวทางนี้ ท่านอิบนิ ตัยมียะฮ์v กล่าวว่า
ไม่เป็นการถูกตาหนิสาหรับผู้ที่เปิดเผยแนวทางสลัฟหรือพาดพิงตัวไปหา
(แนวทางสลัฟ - ผู้แปล) แต่นับว่าเป็นเร่ืองจาเป็นต้องยอมรับแนวทางน้ี
ด้วยการเห็นพ้อง (ของนักวิชาการ) เพราะแนวทางสลัฟมีแต่สัจธรรม
เทา่ นนั้ 22

คาว่า “สะละฟียะฮ์” มีชื่อเรียกอื่นที่เป็นท่ีทราบกันโดย
แพร่หลายโดยบ่งช้ีถึงความหมายเดียวกันเป็นชื่อท่ีต่างเห็นพ้องต้องกัน
มีความหมายไปในทางเดียวกันและไม่ขัดแย้งกัน เช่น “อัสฮาบุลฮะดีษ
วัลอะซัร” “อะฮ์ลุซซุนนะห์” สาเหตุท่ีเรียกช่ือนี้เน่ืองจากพวกเขา
ขะมักเขม้นอยู่กับการรับใช้ฮะดีษของท่านศาสนทูตy และคาพูดของ
สาวกท่านศาสนทูตy โดยพวกเขาแบ่งชนิดของฮะดีษเป็นชนิดท่ี

22 อิบนิตัยมยี ะฮ,์ มจั มวั อ์ฟะตาวา เลม่ 4 หน้า 91

25

เช่ือถือได้และชนิดท่ีมีความบกพร่องพร้อมทั้งทาความเข้าใจความหมาย
ของฮะดีษ เรียนรู้ข้อตัดสินที่ได้รับจากฮะดีษและนามาปฏิบัติตาม
ใจความของฮะดีษและอาศยั ฮะดษี เป็นหลักฐาน

และมีชื่อเรยี กอีกชื่อหนึ่งว่า “อัลฟิรเกาะ อัลนาญียะฮ์” (กลุ่มชน

แห่งทางรอด) เนอื่ งจากทา่ นรอ่ ซู้ลy กลา่ วว่า
‫ َوتَْفَِت ُق‬،ً‫ِمَلّة‬ ‫إِ ْح َدى َو َسْبعِيَن‬
‫أَُّمِت َعلَى‬ ‫َوا ِح َدةً فقيل‬ ً‫ِف الَنّاِر إََِّل ِمَلّة‬ ‫بثََِلَنا إٍِثسَراوئيَسْبَلعِ ايفَْنتََِرمقَُلّواةً ُكعُللَّهىا‬ ‫إِ َّن‬
‫ ما‬:‫له‬
‫ َما أَََن َعلَْيِه اليَ ْوَم َوأَ ْص َحاِب‬:‫الواحدة ؟ قال‬

ความว่า : แท้จริงกลุ่มชนชาวบนีอิสรออีลแตกแยกออกเป็น 72
กลุ่ม ประชาชาติของเราแตกแยกเป็น 70 กลุ่ม ทุกกลุ่มพานักอยู่ในนรก
นอกจากกลมุ่ เดียวเท่านั้น เศาะฮาบะฮ์ถามท่านว่า กลมุ่ ชนน้ันคือพวกใด
กัน ท่านตอบว่า (คือกลุ่มที่) ตามส่ิงท่ีเราและสาวกของเราดาเนินอยู่ ณ
วนั น2้ี 3

หรือสามารถเรียกได้ว่า “อัฏฏออิฟะฮ์ อัลมันซูเราะฮ์” เพราะ
ทา่ นรอ่ ซู้ลy กลา่ วในฮะดีษของท่านไวว้ ่า

23 อัลฮากิม, มสุ ตัดรอ็ ก หมายเลข : 444

26

‫َم ْن‬ ‫َّتظَاََِهيِِْريتََنأَْمَعُرلَ اىللهِاَِلَوُِهقْمَلَك َيذَلِ ُضَُّكرُه ْم‬ ‫طَائَِفةٌ ِم ْن أَُّمِت‬ ‫تََزا ُل‬ ‫َل‬
‫َخ َذَُْم َح‬

ความว่า : ยังคงมีประชาชาติของฉันกลุ่มหนึ่ง เป็นผู้ท่ียืนหยัดอยู่

กับสัจธรรม บคุ คลท่ที อดทง้ิ (ต่อตา้ น) และขดั แย้งกบั พวกเขา ไม่สามารถ

ทาอันตรายพวกเขาได้ จนกว่าพระบัญชาของอัลลอฮ์ (วันกิยามะฮ์)

จะมาถึง และพวกเขายงั คงยนื หยดั ในเรอ่ื งดังกล่าว24

และมีช่ือเรียกอีกว่า “อะฮ์ลุซซุนนะห์ วัลญะมาอะฮ์”เพราะท่าน
รอ่ ซลู้ y กลา่ วว่า

‫يَُد اللِه َم َع الجََما َعِة‬

ความว่า : พระหัตถข์ องพระองคอ์ ยู่กบั ญะมาอะฮ์25

และท่านร่อซู้ลกลา่ วว่า

24 มุสลมิ , เศาะฮหี ม์ ุสลิม หมายเลข : 1920
25 อัตติรมซี ีย์, สุนนั ตริ มซี ยี ์ หมายเลข : 2166

27

ً‫فَِإَنّهُ َم ْن فَاَرَق الجََما َعةَ ِشْبًرا فََما َت إََِّل َما َت ِميتَةً َجا ِهلَِيّة‬

ความว่า : ผู้ใดก็ตามแยกตัวออกจากญะมาอะฮ์ (ตีตัวออกจาก
ผู้นาหรือเป็นศัตรูกับพวกเขา) เพียงคืบเดียว เขาได้ตายในสภาพชาว
ญาฮิลียะฮ์ (ในสภาพท่ีฝ่าฝืนเหมือนชาวญาฮิลียะฮ์ที่ไร้ผู้นาท่ีต้องเชื่อ
ฟงั )26

และคาพูดของทา่ นศาสนทูตy ทวี่ า่

ُ‫ُكُلَّها ِف الَنّاِر إََِّل َوا ِح َدةً َوِه َي الجََما َعة‬

ความว่า : ท้ังหมดลงนรกเว้นแต่พวกเดียวเท่าน้ัน คือ
อัลญะมาอะฮ์27

อัลญะมาอะฮ์ หมายถึง การสอดคล้องกับสัจธรรมตามมาตรฐาน
ท่ีมีอยู่ในญะมาอะฮ์ยุคแรก คือ ญะมาอะฮ์ของเศาะฮาบะฮ์a และ
มาตรฐานของนักวิชาการด้านศาสนาในทุกยุคทุกสมัย และทุก ๆ คนที่
คัดค้านพวกเขา ก็นับว่าพวกเขาเป็นผู้ที่แหวกออกจากแนวทาง เป็นผู้ท่ี

26 บุคอรยี ,์ เศาะฮหี ์บุคอรีย์ หมายเลข : 7054; มุสลมิ , เศาะฮหี ์มสุ ลิม หมายเลข : 1849
27 อบูดาวดู , สนุ นั อบูดาวดู หมายเลข : 4597; อลั ฮากมิ , มสุ ตัดรอ็ ก หมายเลข : 443

28

แยกตัวออกมาถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีจานวนมากก็ตาม ท่านอิบนิมัสอู๊ด
a กล่าวว่า หมู่มากของผู้คนจะแยกตัวออกจากญะมาอะฮ์ และ
ญะมาอะฮ์คือบุคคลที่ตรงกับสัจธรรม ถึงแม้จะมีท่านเพียงคนเดียวก็
ตาม28

และท่านนบีy บอกคุณลักษณะของกลุ่ม “อัลฟิรเกาะ
อันนาญียะฮ์” โดยระบุว่า คือกลุ่มที่อยู่ตามส่ิงที่เราและสาวกของเรา
ดาเนินอยู่29 การระบุลักษณะเช่นนี้ได้รวมถึงตัวท่านร่อซู้ลy และ
บรรดาสาวกของทา่ นในความหมายน้ีด้วย อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้
เจาะจงพวกท่านเหล่าน้ันเพียงเท่านั้น หากแต่รวมถึงทุก ๆ คนที่มี
ลักษณะเช่นเดียวกับลักษณะของกลุ่ม “อัลฟิรเกาะ อันนาญียะฮ์”
จนกระทงั่ ถงึ วนั กยิ ามะฮ์

ท่านชัยค์คุลอิสลาม อิบนิ ตัยมียะฮ์v กล่าวถึงการระบุ
ลักษณะ “อัลฟิรเกาะฮ์ อันนาญียะฮ์” ว่า และด้วยสิ่งน้ีเป็นที่ประจักษ์
ชัดว่า กลุ่มที่สมควรจะเป็นกลุ่มที่รอดพ้นมากท่ีสุด คือ อะฮ์ลุลฮะดีษ
วัซซุนนะห์ (นักวิชาการฮะดีษ) ซึ่งพวกเขาไม่มีผู้นาท่ีคอยให้การปกป้อง
และช่วยเหลือใด ๆ เลยนอกจากท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์y เท่าน้ัน

28 อบิ นิอะซากริ , ตารีคดิมชิ ก์ เลม่ 49 หนา้ 286
29 อัตติรมีซยี ์, สุนนั ติรมีซีย์ หมายเลข : 2641

29

คือกลุ่มผู้รู้แจ้งถึงวจนะและสภาวะของท่านศาสนทูตมากท่ีสุด และมี
ฐานะย่ิงใหญ่ที่สุดในการแยกแยะฮะดีษที่ถูกตอ้ งและไม่ถูกต้อง และผู้นา
ของพวกเขาคือนักวิชาการ และนักปราชญ์ผู้รอบรู้ในความหมายของ
วจนะศาสนทูต และปฏิบตั ิตามอย่างจริงใจ รักใคร่และคอยช่วยเหลือผู้ที่
รักวจนะของท่าน และเป็นศัตรูต่อผู้ที่เป็นศัตรูต่อวจนะของท่าน ซ่ึงท่ี
พวกเขารายงานและสืบทอดคาพูดท่ีมีการรวบรวมไว้โดยอ้างอิงจาก
กุรอาน และวิทยปัญญา (ฮะดีษ) และพวกเขาจะไม่ให้ค่าคาพูดหน่ึงหรือ
ทาให้มันเป็นพื้นฐานของศาสนา หรือจะไม่รวบรวมคาพูดของพวกเขา
หากว่าคาพูดนั้นไม่ได้มีการยืนยันจากส่ิงท่ีท่านศาสนทูตนามา และจัดให้
ส่ิงที่ท่านศาสนทูตนามา คือ กุรอาน และซุนนะห์เป็นพื้นฐานหลักท่ีพวก
เขายึดมนั่

จึงไม่ถูกตาหนิหากจะเรียกว่า สะละฟียะฮ์ หรืออะฮ์ลุซซุนนะห์
วัลญะมาอะฮ์ หรืออะฮ์ลุลฮะดีษ หรืออัลฟิรเกาะฮ์ อัลนาญียะฮ์ หรือ
อัฏฏออิฟะฮ์ อัลมันซูเราะฮ์ เพราะล้วนแต่เป็นชื่อที่มีรากฐานมาจาก
ศาสนา ที่เหล่าผู้นาของชาวสลัฟใช้เรียกตามแต่เหตุการณ์ต่าง ๆ เช่น
เม่ือต้องเผชิญหน้ากับพวกตรรกะนิยมและนักปรัชญา หรือเมื่อพบกับ
เหล่าศูฟีย์ กลุ่มนิยม กุบูร ฏอรีกัตสายต่าง ๆ และกลุ่มนิยมความงมงาย
ต่าง ๆ หรือจะใช้เรียกโดยความหมายท่ีสมบูรณ์แบบเม่ือพบกับพวก

30

อุตรกิ รรม เช่น กลุ่มญะมียะฮ์ ชอี ะฮ์รอฟิเฎาะ มัวอต์ ะซิละฮ์ เคาะวาริจ
มุรญอิ ะฮ์ และกล่มุ อ่นื ๆ

ด้วยเหตุนี้เม่ือท่านอีมามมาลิกv ถูกถามว่า ใครคือชาวซุน
นะห์ ท่านตอบว่า ชาวซุนนะห์ คือ กลมุ่ ที่ไม่มีฉายานาม เชน่ ไมใ่ ชก่ ลุ่มญะ
มียะฮ์ หรือกอดรียะฮ์ หรือรอฟิเฎาะ30 ท่านหมายถึง ชาวซุนนะห์คือผู้ท่ี
ยึดอยู่บนพ้ืนฐานท่ีท่านร่อซู้ลy และสาวกของท่านดาเนินอยู่ และยึด
มน่ั ต่อคาสั่งของท่านโดยไม่ได้พาดพิงไปหาบุคคลใดหรอื กลุ่มใด ถึงตรงนี้
เราพอทราบได้ว่าสาเหตุการเรียก (สะละฟียะฮ์) เกิดขึ้นหลังจากเกิด
ความวุ่นวายของการแตกกลุ่มต่าง ๆ ทางศาสนา เพ่ือท่ีจะจาแนก
ระหวา่ ง สัจธรรมและผู้ที่หลงทาง

ทา่ นอิบนิซีรนี v กล่าวข้อความสาทับถึงความหมายของเรื่องนี้
ไว้ว่า : แต่ก่อนพวกเขาไม่เคยสอบถามถึงที่มาที่ไปของสายรายงานฮะดีษ
แต่หลังจากเกิดฟิตนะฮ์ขึ้นพวกเขากล่าวว่า : พวกท่านจงบอกบุคคลที่
ท่านรายงานจากพวกเขาแก่เราด้วย เมื่อพิจารณาว่าเป็นชาวซุนนะห์ ก็
จะรบั ฮะดีษจากเขา แต่เมื่อพิจารณาแล้วว่าเป็นชาวบดิ อะฮ์ จะไม่ยอมรับ
คาพูดของเขา31ประเด็นนี้คือเรื่องที่นักวิชาการเรียกร้องเพื่อให้ตัวของ

30 อิบนิ อบั ดิลบิร, อัลอินตกิ ออ์ ฟี ฟะดออลิ ิซซะลาซะ อัลอะอมิ มะติลฟุเกาะฮาอ์ หมายเลข : 35
31 มุสลมิ , เศาะฮหี ม์ ุสลิม เลม่ 1 หนา้ 8

31

พวกเขาปลอดภัย (จากผู้รู้ท่ีมีแนวทางหลงผิด - ผู้แปล) เพ่ือให้คงไว้ซ่ึง
รากฐานและกฎเกณฑ์ท่ีสาคัญต่อแนวทางสลัฟและหลักเช่ือมั่นตาม
กุรอานเท่าน้ัน ดังนั้นการพาดพิงไปหาแนวทางสลัฟศอลิห์มีไว้เพื่อ
หา่ งไกลจากบดิ อะฮ์ และทางเดนิ ของผหู้ ลงทาง

ท่านเอาซาอีย์v กล่าวว่า ท่านจงอดทนยึดตามแนวทาง
ซุนนะห์ หยุดตรงจุดท่ีกลุ่มชนหยุดกัน จงกล่าวแบบเดียวกับท่ีพวกเขา
กล่าว จงระงับเหมือนกับที่พวกเขาทา และเดินตามทางของสลัฟศอลิห์
แ ล ะ ท่ า น จ ะ ไ ด้ รั บ ค ว า ม ส ะ ด ว ก ส บ า ย เ ห มื อ น ท่ี พ ว ก เ ข า ไ ด้ รั บ ค ว า ม
สะดวกสบาย

สะละฟียะฮ์เมื่อต่อกรกับกลุ่มอุตริกรรมและกลุ่มคล่ังในแนวทาง
และความแตกแยก พวกเขาจะเข้มงวดในเร่ืองสัจธรรมและดาเนินบน
ซุนนะห์ พื้นฟูแนวทางของท่านศาสนทูตท่ีถูกหลงลืม คือ การศรัทธาว่า
(คาสอน) อิสลามท้ังหมดคือสัจธรรมไม่มีความเท็จ เป็นเรื่องจริงไม่โกหก
เป็นเรื่องจริงจังไม่ใช่เรื่องล้อเล่น คือแก่นแท้ไม่ใช่เพียงเปลือกนอก
มากไปกว่านั้นคือข้อตัดสินศาสนา แนวทางที่ถูกต้องและเรื่องมารยาท
ล้วนมีที่มาจากอิสลาม ซึ่งมีความสาคัญเท่าเทียมกันไม่ว่าจะเร่ืองพื้นฐาน

32

หลักหรือภาพลักษณ์ภายนอก เช่น การใส่เสื้อผ้าอยู่เหนือตาตุ่ม การไว้
เครา การถูไม้ซวิ ากและเร่ืองอน่ื ๆ ทั้งหมดล้วนมาจากศาสนา อัลลอฮ์ส่ัง
ใช้ให้เรามีลักษณะของอิสลามในทุก ๆ เร่ืองและให้ออกห่างจากแนวทาง
ชัยฏอนในทุก ๆ เรื่อง อลั ลอฮต์ รัสวา่

‫َََٰٓيَُيَّها ٱَلّ ِذي َن َِاَمنُٱلواَّْشۡٱيۡدَُٰطَُۚخِنلُوإاَِْنّهُِۥفلَٱلُك ِۡمس ۡلَِعم ُدَكوآَفُّّمةبِيَوَنل تََتّبِعُواْ ُخُطََُٰو ِت‬

ความว่า : บรรดาผู้ศรัทธาทั้งหลาย! จงเข้าอยู่ในความสันติ โดย
ท่ัวท้ังหมด และจงอย่าทาตามบรรดาก้าวเดินของชัยฏอน แท้จริงมันคือ
ศัตรูทีช่ ัดแจ้งของพวกเจ้า [อลั บะเกาะเราะฮ์ : 208]

และอลั ลอฮ์ตาหนบิ นอี ิสรออีลที่พวกเขาเลอื กทาเฉพาะบางคาสงั่ เท่าน้ัน

‫أَفَتُ ۡؤِمنُوَن بِبَ ۡع ِض ٱۡل ِكَٰتَ ِب َوتَ ۡكُفُروَن بِبَ ۡعض‬

ความว่า : พวกเจ้าจะศรัทธาแต่เพียงบางส่วนของคัมภีร์และ
ปฏเิ สธอกี บางส่วนกระนัน้ หรือ ? [อัลบะเกาะเราะฮ์ : 85]

33

การตัดสินแบบ “เจาะจงรายบุคคล” ว่า (บุคคลนน้ั ) ลงนรกหรือ
ไม่ได้เข้าสวรรค์เพราะเขาละท้ิงแนวทางที่ชัดเจนของอิสลามไม่ใช่
อะกีดะฮ์ของอะฮ์ลุซซุนนะห์ เนื่องจากการตัดสินรายตัวเป็นเร่ืองเฉพาะ
ส่วนพระองค์เท่านั้น บุคคลอ่ืนไม่มีอานาจก้าวก่ายได้ เพียงแต่อัลลอฮ์
อธิบายว่าผู้มีสิทธิได้รับสวรรค์ คือ คนท่ีอิบาดะฮ์ต่อพระองค์เท่าน้ัน
(ไม่กระทาชิริก) และปฏิบัติตามท่านนบีy และพระองค์ทรงตาหนิ
คาพูดของชาวคัมภีรว์ า่

‫َوقَالُواْ لَن يَ ۡد ُخ َل ٱلۡجََنّةَ إََِّل َمن َكا َن ُهوًدا أَۡو نَ ََٰصَر َٰٰۗى تِۡل َك أََمانُِيّ ُه ٰۗۡم‬

‫قُ ۡل ُمَه ۡاحتُِسواْنبُۡرٰفَََهلَنَٓهُۥُك ۡأمَ ۡإِجُرنهُۥُكنِعتُنۡمَد ََٰرَبصِِهِدۦقِيَوَنَل َخ۝ۡبَولَ ٌَٰۚىف َمَع ۡلَۡنيِهأَۡمۡسلََوََملَوُۡهجۡمَههَُۥۡيََزِنَُّّللِوَنَوُهَو‬

ความว่า : และพวกเขากล่าวว่า จะไม่มีใครเข้าสวรรค์เลย
นอกจากผู้ที่เป็นยิวหรือเป็นคริสเตียนเท่าน้ัน นั่นคือความเพ้อฝันของ
พวกเขา จงกล่าวเถิด (มูฮัมมัด) ว่า พวกท่านจงนาหลักฐานของพวกท่าน
มา ถ้าพวกท่านเป็นผู้พูดจริง‫۝‬หาใช่เช่นนั้นไม่ ผู้ใดท่ีมอบใบหน้าของ
เขาให้แก่อัลลอฮ์ และขณะเดียวกัน เขาก็เป็นผู้กระทาความดีแล้วไซร้

34

เขาจะได้รับรางวัลของเขา ณ ท่ีพระเจ้าของเขา และไม่มีความกลัวใด ๆ
แก่พวกเขา และทั้งพวกเขากจ็ ะไม่เสยี ใจ [อลั บะเกาะเราะฮ์ : 111-112]

ผู้ท่ียึดแนวทางสลัฟจะไม่ดูแคลนซุนนะห์ของท่านร่อซู้ลในเรื่อง
หนึ่งเร่ืองใด และจะไม่ทาลายบทบัญญัติ และไม่เพิกเฉยต่อข้อตัดสิน
แต่จะปฏิบัติตามเพ่ือรักษาบทบัญญัติในศาสนาทั้งหมดไว้ โดยแสวงหา
ความรู้ ปฏิบัติตาม เชิญชวน โดยมีเจตนาช้ีแจงความจริงและแก้ไข
ข้อผิดพลาด ท่านนบีy กล่าวถึงกลุ่ม อัลฆุรอบาอ์ว่า “คือผู้ท่ียืนหยัด
ในศาสนายามทผ่ี ู้คนสรา้ งความเสยี หาย”32

สะละฟียะฮ์ไม่ใช่การเชิญชวนไปสู่ความแตกแยก แต่คือการเชิญ
ชวนท่ีมีเป้าหมายสู่ความเป็นหน่ึงเดียวของมุสลิมบนรากฐานแห่งการให้
เอกภาพ (เตาฮดี ) อันบรสิ ุทธิ์ (ตอ่ อัลลอฮ์) และปฏบิ ตั ิตามทา่ นร่อซ้ลู y
พร้อมขัดเกลาด้วยมารยาทท่ีดีและคุณลักษณะท่ีได้รับคาชมเชย อีกท้ัง
อธิบายดว้ ยความจริงและหลักฐาน อลั ลอฮต์ รัสวา่

‫َوقُِل ٱِۡلَ ُّق ِمن َّربِ ُك ۡۖم فََمن َشآَِ فَ ۡليُ ۡؤِمن َوَمن َشآَِ فَ ۡليَ ۡكُفر‬

32 อัลบานยี ,์ ซลิ ซิละฮ์ เศาะฮฮี ะฮ์ เล่ม 3 หนา้ 267

35

ความวา่ :และจงกล่าวเถิดมฮุ ัมมัด “สัจธรรมนน้ั มาจากพระผู้เป็น
เจ้าของพวกเจ้า” ดังนั้น ผู้ใดประสงค์ก็จงศรัทธา และผู้ใดประสงค์ก็จง
ปฏิเสธ [อัลกะฮ์ฟฺ : 29]

ผ ล ลั พ ธ์ ท่ี ไ ด้ จ า ก แ น ว ท า ง ส ลั ฟ คื อ ก า ร เ ป็ น ห นึ่ ง เ ดี ย ว ข อ ง
อะฮ์ลุซซุนนะห์ วัลญะมาอะฮ์ โดยการให้ความเป็นหนึ่งแก่อัลลอฮ์และ
ทาตามคาส่ังของท่านนบีและเห็นตรงกันในประเด็นอะกีดะฮ์ (หลักความ
เช่อื ) เปน็ แนวทางเดียวกัน ความเหน็ ไม่ขัดแยง้ กัน แม้ว่าจะอยหู่ ่างไกลกัน
หรือคนละยุคสมัยกนั พร้อมร่วมมือกันในแนวทางของศาสนาแบบพี่น้อง
ที่อยู่ร่วมกนั ด้วยความดแี ละความยาเกรงโดยใช้กฎเกณฑข์ องกุรอานและ
ซุนนะห์

สะละฟยี ะฮ์คือผู้ที่ปฏบิ ตั ิตามทา่ นร่อซู้ลในการอธิบายศาสนาดว้ ย
คาพูดที่เป็นความจริงและเชิญชวนผู้คนสู่ศาสนาแห่งความจริง อัลลอฮ์
ตรสั ว่า

‫َوأَنَۡزلنَآ إِلَۡي َك ٱل ِذ ۡكَر لِتُبَِيَن لِلَنّا ِس َما نُِزَل إِلَۡيِه ۡم‬

ความว่า : และเราได้ให้กุรอานแก่เจ้าเพื่อเจ้าจะได้ช้ีแจง
(ให้กระจ่าง) แก่ มนุษย์ซ่ึงสิ่งที่ได้ถู กประ ทานมาแก่พวกเข า
[อลั นะหล์ ฺ : 44]

36

การท่ีบ้านเรือน มัสญิดปราศจากการเรียน การสอน การเชิญ
ชวนสู่ความดี คือ การละเลยหน้าท่ีอย่างเห็นได้ชัด และเพิกเฉยต่อการ
หยบิ ยน่ื ความดีแก่ผคู้ น อลั ลอฮ์ตรสั ว่า

‫َوإِ ۡذ أَ َخ َذ ٱََّّللُ ِميَٰثَ َق ٱَلّ ِذي َن أُوتُواْ ٱۡل ِكَٰتَ َب لَتُبَيِنَُنّهُۥ لِلَنّا ِس َوَل تَ ۡكتُُمونَهُۥ‬

ความวา่ : และจงราลกึ ถงึ ขณะท่อี ัลลอฮ์ทรงเอาคามนั่ สัญญาจาก
บรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์ว่า แน่นอนย่ิงพวกเจ้าจะต้องแจกแจงคัมภีร์นั้นให้
แจ่มแจ้งแก่ประชาชนทั้งหลาย และพวกเจ้าจะต้องไม่ปิดบังมัน
[อาละอมิ รอน : 187]

สาหรับนักทางานศาสนาจาเป็นต้องเชิญชวนสู่คาปฏิญาณ
ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ์ โดยให้ความรู้ ความชัดเจน และหลักฐานเฉกเช่นท่ี
ทา่ นรอ่ ซลู้ y เชญิ ชวนกลุม่ ชนของท่านสู่ส่งิ นี้ อลั ลอฮ์ตรัสวา่

‫قُ ۡل ََٰه ِذهِۦ َسبِيلِ ٓيَوأَ ُۡسۡدبعََُٰٓحواَْنإِلَٱَىَّّلِلٱَََّّلۚوِلَمآَعألَََََٰ۠نى ِمبَ َنِصيٱۡلَرٍةُمأَََۡش۠نِركَِويَمَنِن ٱَتّبَ َعِ ۖۡن‬

37

ความว่า : จงกล่าวเถิดมุฮัมมัด “น่ีคือแนวทางของฉัน
ฉันเรียกร้องไปสู่อัลลอฮ์อย่างประจักษ์แจ้งทั้งตัวฉันและผู้ปฏิบัติตามฉัน
และมหาบริสุทธิ์แหง่ อัลลอฮ์ ฉนั มไิ ดอ้ ยู่ในหมู่ตงั้ ภาคี” [ยซู ุฟ : 108]

ความรู้ท่ีไร้ความจริงใจ ความรู้ที่ไร้การงานและความยาเกรง

ย่อมไม่มีความประจักษ์แจ้ง และผู้ท่ีมีความประจักษ์แจ้ง เขาคือผู้ท่ีมี

สตปิ ัญญา อ‫ัَك‬ลลِ‫وَٰلَٓئ‬อُْฮ‫์ِبأ‬ต‫ٓهُۥ‬รَۚ‫ٰنََب‬สั‫لََۡسل‬วۡۡ‫่ٱح‬าۡ َْ‫ٱَۡولأَُْقوَٰۡلَٓوئَِلَكفَيََُتهّبِۡمعُ أُوْوَنلُوأا‬ ُ‫ٱَلّ ِذي َنَهيََدٰۡىَستَُهِمُمعُٱَوَّّلَۖۡلن‬

‫ٱَلّ ِذي َن‬

ความว่า : บรรดาผู้ที่สดับฟังคากล่าว แล้วปฏิบัติตามท่ีดีที่สุด
ชนเหล่านี้คือบรรดาผู้ท่ีอัลลอฮ์ทรงชี้แนะแนวทางท่ีถูกต้องแก่พวกเขา
และชนเหล่าน้ีพวกเขาคอื ผูท้ มี่ ีสตปิ ญั ญาใครค่ รวญ [อัซซมุ ัร : 18]

ในการขับเคลื่อนเชิญชวนสู่อิสลามอันบริสุทธิ์ที่ปราศจากเร่ืองท่ี
ทาให้ออกจากศาสนา อุตริกรรม และสิ่งต้องห้ามต่าง ๆ ทาให้การ
พาดพิงไปสู่แนวทางซุนนะห์อัลญะมาอะฮ์หรือสะละฟียะฮ์ นับว่าเป็น
เกียรติอันน่าภูมิใจ และมีหลักความเช่ือที่อยู่ตรงกลางระหว่างหลักความ
เชื่อท่ีสดุ โต่งกับหย่อนยาน โดยเฉพาะเมือ่ การขบั เคล่ือนเช่นน้ีเป็นรูปเป็น

38

ร่างข้ึนด้วยการปฏิบัติท่ีดีตามแบบกุรอานและฮะดีษ เน่ืองจากมันคือ
แนวทางอิสลามในความเป็นหน่ึงเดียว การฟื้นฟู การอบรม และการ
ตาหนิย่อมอยู่กับผู้ที่ค้านหลักความเชื่อของแนวทางสลัฟศอลิห์ไม่ว่าใน
เร่ืองรากฐานใดก็ตาม ด้วยเหตุน้ีการอ้างอิงไปยังแนวทางสลัฟจึงไม่ถือว่า
เป็นอุตริกรรมในความหมายด้านภาษาหรือแม้แต่ในความหมายด้าน
บทบัญญตั ิ แตค่ ือสจั ธรรมท่ีมาจากศาสนาทม่ี นี ยั ยะเฉพาะ

สุดท้ายนี้แนวทางของชาวสลัฟศอลิห์ คือ สิ่งท่ีดีที่สุดของ
ประชาชาตินี้และเป็นกลุ่มคนท่ีปิติยินดีต่อซุนนะห์ของนบีy มากท่ีสุด
และเป็นผรู้ สู้ กึ สานกึ ในความโปรดปรานของอสิ ลาม และการไดร้ ับทางนา
ซึ่งอัลลอฮ์มอบให้พวกเขามากที่สุด โดยพวกเขาปฏิบัติตามคาสั่งใช้
ของอลั ลอฮด์ ว้ ยความยนิ ดีในความเมตตาของพระองค์ อลั ลอฮ์ตรัสว่า

‫ي َٰ ٓٱَُُّيَا ألنَّا ُس قَ ۡد َجآ َء ۡت ُك َّم ۡو ِع َظة ِلمن َّ ِبرل ُ ۡك َو ِش َفآء ِلل َما ِف أل ُّص ُدو ِر َو ُه ٗدى َو َر ۡ َۡة‬
‫ِلللۡ ُم ۡؤِم ِني َن ۝ ُق ۡل ِب َف ۡض ِل أَّّلِل َوِب َر ۡ َۡ ِت ِهۦ فَ ِب َٰذ ِِ َل فَلۡ َي ۡف َر ُحوا ُه َو َخ ۡۡيِلم َّماََ ۡي َم ُعو َن‬

ความว่า : โอ้มนุษย์เอ๋ย ! แท้จริงข้อตักเตือน (กุรอาน) จาก
พระเจ้าของพวกท่าน ได้มายังพวกท่านแล้ว และ (มัน) เป็นการบาบัดสิ่ง

39

ท่มี อี ยู่ในทรวงอก และเป็นการชี้แนะทาง และเปน็ ความเมตตาแก่บรรดา
ผู้ศรัทธา‫ ۝‬จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) “ด้วยความโปรดปรานของอัลลอฮ์
และด้วยความเมตตาของพระองค์ ดังกล่าวน้ันพวกเขาจงดีใจเถิด” ซ่ึง
มันดียิ่งกวา่ สงิ่ ทพ่ี วกเขาสะสมไว้ [ยูนสุ : 67-68]

ท่านอิบนิกอยยิมv กล่าวว่า การปิติยินดีในความรู้ การศรัทธา
และแนวทางของท่านร่อซู้ลคือหลักฐานบ่งถึงการให้ความสาคัญต่อ

เจา้ ของสิ่งดังกลา่ ว ความรักตอ่ สิ่งนน้ั และการให้ค่าสงิ่ นน้ั เหนือตวั เขาเอง
ดังนั้นการยินดีของบ่าวต่อส่ิงท่ีเขาได้รับบ่งถึงระดับความรัก และความ
ปรารถนาต่อส่ิงนั้น ใครท่ีไม่มีความปรารถนาต่อสิ่งหนึ่ง ย่อมไม่ดีใจ

เมื่อได้รับสิ่งน้นั มา และไม่เสียใจเม่ือสูญเสียสิ่งนั้นไป ดงั นั้นความปิติยินดี
เปน็ ลักษณะที่ชถี้ ึงความรกั และความปรารถนาดี

‫يوم‬ ‫إلى‬ ‫وإخوانِه‬ ‫آله وصحبه‬ ‫وعلى‬ ،‫مح َّم ٍد‬ ‫نبيِنا‬ ‫على‬ ُ‫الله‬ ‫و َصَلّى‬
‫تسلي ًما‬ ‫و َسَلّم‬ ،‫ال ِدين‬

40

ทาไมการตามกุรอานและฮะดษี จงึ ยงั ไมพ่ อ33

สาเหตแุ บ่งไดเ้ ปน็ สอง ประเดน็ ดงั นี้
1. เนือ่ งจากเนอื้ หาตวั บทศาสนา
2. เนือ่ งจากกลุ่มต่าง ๆ ท่อี ้างตัววา่ เป็นอิสลาม

สาเหตุแรก เน่ืองจากเราพบคาสั่งจากตัวบทศาสนาให้รับฟังสิ่ง
อ่ืนทีเ่ พิม่ เตมิ จากกรุ อานและฮะดษี เชน่ อัลลอฮ์ตรัสวา่

‫أَ ِطيعُوا الَلّهَ َوأَ ِطيعُوا الَّر ُسوَل َوأُوِل اْۡلَْمِر ِمن ُك ْم‬

ความว่า : จงเชื่อฟังอัลลอฮ์ และเช่ือฟงั ร่อซลู้ เถิด และผู้ปกครอง
ในหมู่พวกเจ้าดว้ ย [อนั นิซาอ์ : 59]

กล่าวคือ หากมีผู้นาท่ีได้รับสัตยาบันจากมุสลิม ก็จาเป็นต้อง
ปฏิบัติตามเช่นเดียวกับการปฏิบัติตามกุรอานและซุนนะห์ แต่ (การเช่ือ
ฟังในกรณีนี้) ผู้นาหรือบุคคลรอบตัวเขาอาจจะเกิดข้อผิดพลาดได้ในบาง
กรณี อย่างไรก็ตามจาเป็นต้องเช่ือฟังพวกเขาเพื่อป้องกันมิให้เกิดความ
เสียหายจากความเห็นท่ีไม่ลงรอยกัน ด้วยเง่ือนไขที่ว่าไม่มีการเชื่อฟัง
มนุษยด์ ้วยกนั ในเร่ืองทฝ่ี ่าฝืนคาสั่งผู้สรา้ ง

33 อัมร์ อบั ดลุ มนุ อมิ ซะลีม, แนวทางสะละฟีย์โดยชัยคอ์ ัลบานีย์, หน้า 19-21

41

และอลั ลอฮ์ตรัสวา่

‫َمَغْيَِصريرًاَسبِي ِل‬ ‫لَهُ ا ََُْد َٰى َويََتّبِ ْع‬ ‫َمَوانُ تَْبَص َلِّيِهَن‬ ‫بَ ْع ِد‬ ‫يُ َاشلْاقُِمِْؤقِمانِلَيّرَنُسنُوََوللِِهِمَمنا‬ ‫َوَمن‬
‫َجَهَنَّم ۖۡ َو َساَِ ْت‬ ‫تَ َوَلّ َٰى‬

ความว่า : และผู้ใดที่ฝ่าฝืนร่อซู้ล หลังจากที่คาแนะนาอันถูกต้อง
ได้ประจักษ์แก่เขาแล้ว และเขายังปฏิบัติตามท่ีมิใช่ทางของบรรดาผู้
ศรัทธา เราก็จะให้เขาหันไปตามท่ีเขาได้หันไป และเราจะให้เขาเข้า
นรกญะฮันนัม และมนั เป็นทก่ี ลับอนั ชัว่ รา้ ย [อนั นิซาอ์ : 115]

เป็นไปไม่ได้ท่ีพระองค์จะกล่าวโดยไร้เป้าหมาย ฉะน้ันไม่มีข้อ
สงสัยใด ๆ การใช้คาว่าแนวทางของผู้ศรัทธา คือ วิทยปัญญาและเป็น
ประโยชน์อันมากมาย กล่าวคือ เป็นการบ่งช้ีให้เห็นถึงความจาเป็นอย่าง
ยิ่งท่ีต้องดาเนินตามกิตาบุลลอฮ์และซุนนะห์ของท่านร่อซู้ลให้สอดคล้อง
กับ (ความเข้าใจ) ท่ีมีอยู่ของมุสลิมยุคแรก ก็คือเศาะฮาบะฮ์ของท่าน
ร่อซู้ลy และลูกศิษย์เศาะฮาบะฮ์ท่ีมีชีวิตอยู่ถัดมาอีกสองยุค เพราะนี่
คือยุคท่ีการเชิญชวนตามแนวทางสลัฟเรียกร้องและเน้นย้าให้เป็นหัวใจ
แหง่ การเชิญชวนและแนวทางในการอบรม

42

การเชิญชวนสู่แนวทางสลัฟ (ท่ีแท้จริง) มีเป้าหมายเพื่อรวม
ประชาชาติ และการเชิญชวนในรูปแบบอ่ืน ๆ นั้นทาให้ประชาชาติ
แตกแยก อลั ลอฮ์kตรสั วา่

‫َوُكونُوا َم َع ال َّصاِدقِيَن‬

และจงอยูร่ ว่ มกบั บรรดาผทู้ ่พี ูดจรงิ [อตั เตาบะฮ์ : 119]
และผู้ใดที่แยกกุรอานและซุนนะห์ไว้ด้านหนึ่ง และความเข้าใจ
ของชาวสลัฟศอลิหไ์ วอ้ กี ด้านหนงึ่ เขาไม่ไดเ้ ปน็ ผูท้ ่สี ัจจรงิ ตลอดไป

สาเหตุข้อท่ีสอง กลุ่มต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในขณะที่พวกเขาไม่ได้
ปฏิบัติตามแนวทางของผู้ศรัทธาตามที่กล่าวไว้ในกุรอานและฮะดีษใน
บางบทท่ียืนยันในเร่ืองน้ี เช่น ฮะดีษที่ว่าด้วยการแตกแยกของ
ประชาชาติออกเป็น 70 กลุ่ม ท้ังหมดอยู่ในนรกเว้นแต่เพียงกลุ่มเดียว
ซงึ่ ท่านร่อซู้ลบอกไว้วา่ ลักษณะของพวกเขา คอื “ผู้ท่ีดาเนินตามทางที่ฉัน
และสาวกของฉันดาเนินอยู่” ซึ่งฮะดีษบทนี้มีความหมายเหมือนกับ
ความหมายของอายะฮ์ท่กี ลา่ วถึงทางของผศู้ รัทธา

ฮะดีษบทถัดมาคือฮะดีษท่ี ท่านร่อซู้ลกล่าวว่า “จาเป็นสาหรับ
พวกท่านต้องยึดแนวทางของฉัน และแนวทางของเคาะลีฟะฮ์อัรรอชิดีน
ผไู้ ดร้ ับทางนาหลังจากฉัน”

43

จากฮะดีษบทนี้กล่าวถึง 1 แนวทาง คือ แนวทางท่านร่อซู้ล และ
แนวทางของเคาะลีฟะฮ์อัรรอชิดีน ดังน้ันจาเป็นท่ีเราต้องกลับไปหา
กุรอาน ซุนนะห์และแนวทางของผู้ศรัทธา และไม่อนุญาตให้พูดว่า
เราสามารถเข้าใจกุรอานและซุนนะห์ได้เองโดยไม่ต้องสนใจมาตรฐาน
ของชาวสลฟั ศอลิห์

และยุคปัจจุบันน้ีจาเป็นต้องอ้างอิง (สู่แนวทาง) โดยการใช้ช่ือท่ี
แยกแยะอย่างละเอียด ยังไม่พอที่จะพูดว่า “เราเป็นมุสลิม” หรือ
“อิสลามคือแนวทางของเรา” เพราะทุก ๆ กลุ่มในปัจจุบัน เช่น
ชีอะฮ์รอฟิเฎาะฮ์ อิบาดียะฮ์ กอดยานียะฮ์ หรือกลุ่มอ่ืน ๆ ก็อ้างช่ือน้ี
และ (คาพูด) อะไรท่ีจะแยกแยะท่านออกจากพวกเขาได้

ถ้าหากเราพูดว่า ฉันเป็นมุสลิมท่ียึดกุรอานและซุนนะห์ เพียง
เท่าน้ียังไม่เพียงพอเช่นกัน เพราะกลุ่มหลงผิดต่าง ๆ เช่น อะชาอิเราะฮ์
มาตุรีดียะฮ์ หรือฮิสบียะฮ์ ต่างอ้างเช่นกันว่าพวกเขาตามกุรอานและ
ซุนนะห์ ฉะน้ันไม่ต้องสงสัยว่าการที่จะจาแนกอย่างชัดเจนคือการพูดว่า
ฉันคือมุสลิมท่ียึดถืออัลกุรอานและซุนนะห์ ตามแนวทางของชาวสลัฟ
ศอลิห์ หรือสามารถเรยี กสนั้ ๆ วา่ “ฉนั คือสะละฟีย”์ น่นั เอง

เราทราบดีว่าพวกเขา (ชาวสลัฟ) เราะฮิมะฮุมุลลอฮ์ ไม่ได้จมอยู่
กับแนวทางใดหรือบุคคลใดโดยเฉพาะ เช่น พวกเขาไม่ได้ฝักใฝ่ในตัว
ทา่ นอบูบักร ท่านอุมัร ท่านอษุ มาน หรือท่านอาลี (เป็นการเฉพาะโดยไม่


Click to View FlipBook Version