แผนการจัดการเรียนรแู้ บบฐานสมรรถนะ
หลกั สตู รประกาศนยี บัตรวิชาชพี พทุ ธศกั ราช 2562
ประเภทวิชาประเภทวชิ า ศิลปกรรม
สาขาวิชาสาขาวชิ าชา่ งทองหลวง สาขางานชา่ งทองหลวง
วชิ างานขึ้นรปู เบื้องต้น (Basic Metal Forming)
รหัสวชิ า 20315-2108 (ท-ป-น) 1-6-3
จัดทำโดย
นายนฏั ฐก์ ติ ต์ จลุ พรรณ์
กาญจนาภิเษกวทิ ยาลยั ชา่ งทองหลวง
สำนกั งานคณะกรรมการการอาชวี ศึกษากระทรวงศึกษาธิการ
ก
คำนำ
แผนการจัดการเรียนรู้วิชางานเครื่องถมขันลูกลอย รหัสวิชา 20315-2108 จัดทำขึ้นเพื่อใช้
ประกอบการสอนกับนักเรียนระดับชั้นปวช. สาขาวิชาช่างทองหลวงในภาคเรียนที่2 ปีการศึกษา2564.
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชพี พ.ศ.2562 เพื่อประโยชน์ในการจดั การเรียนการสอนเพ่ือพัฒนาคุณภาพ
ผู้เรยี นทั้งในดา้ นพทุ ธพิ ิสัยทักษะพสิ ยั และจติ พสิ ัย ซง่ึ ประกอบดว้ ยลักษณะรายวชิ า สมรรถนะประจำหน่วย
การเรียนรู้ ตารางวิเคราะห์หลกั สูตร กำหนดการสอน และแผนการจดั การเรียนรู้ บูรณาการหลักปรัชญา
ของเศรษฐกิจพอเพียง คณุ ธรรม จริยธรรม และค่านิยมหลักของคนไทย
แผนการจัดการเรียนรู้ฉบบั นี้ประกอบด้ว สาระสำคญั สมรรถนะประจำหนว่ ยการเรียนรู้ จดุ ประสงค์
การเรียนรู้ สาระการเรยี นรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ สื่อและแหล่งการเรียนรู้ หลักฐานการเรียนรู้ การวัดผล
และประเมินผล บันทึกหลังการจัดการเรียนรู้ ใบความรู้ และใบงาน
ลงชอ่ื
(นายนัฏฐ์กติ ต์ จุลพรรณ์)
ครูประจำวิชา
สารบญั
เร่อื ง หน้า
คำนำ ก
ลกั ษณะรายวิชา 2
จุดประสงค์รายวิชา 2
สมรรถนะรายวชิ า 2
คำอธิบายรายวิชา 2
หน่วยการเรยี นรู้ 3
ตารางวเิ คราะห์หลกั สูตร 4
กำหนดการสอน 5
กรอบการจัดการเรยี นรแู้ บบบูรณาการเป็นเร่อื ง/ช้ินงาน/โครงการ 8
และบรู ณาการหลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง
หนว่ ยท่ี 1 ความหมายและรปู แบบงานโลหะรปู พรรณทีใ่ ชร้ ูปทรงเรขาคณิตเกี่ยวกับงานข้นึ รปู เบื้องตน้ 9
ใบความรูท้ ี่ 1 14
ใบงานที่ 1 28
หน่วยท่ี 2 หลักการใช้และปรับแตง่ อุปกรณ์บำรุงรกั ษาเคร่อื งมือท่ใี ช้ปฏิบตั ิงานขน้ึ รปู เบื้องต้น 31
ใบความรทู้ ่ี 2 38
ใบงานท่ี 2 48
หน่วยที่ 3 ฝึกปฏิบัตงิ านเรียนรกู้ ระบวนการขน้ึ รปู เบ้ืองต้นโดย 54
สรา้ งและใช้โมเดลตนแบบรูปทรงเรขาคณิต
ใบความรู้ท่ี 3 60
ใบงานที่ 3 69
หนว่ ยท่ี 4 ตรวจสอบคณุ ภาพ ประเมินราคา 71
ใบความรูท้ ่ี 4 76
ใบงานที่ 3 84
ทดสอบปลายภาค
2
ลักษณะรายวชิ า
หลกั สูตร หลกั สตู รประกาศนยี บัตรวชิ าชีพ พุทธศักราช 2562
ประเภทวิชา ศิลปกรรม สาขาวิชา ช่างทองหลวง
รหัส 20315-2108 ชื่อวชิ างานขึน้ รปู เบื้องตน้ (Basic Metal Forming)
ทฤษฎี 1 ชว่ั โมง/สัปดาห์ ปฏบิ ตั ิ 6 ช่ัวโมง/สัปดาห์ จำนวน 3 หน่วยกติ
จดุ ประสงค์รายวชิ า เพ่อื ให้
1. มีความรู้ความเข้าใจในการรู้ในการข้นึ รูป
2. มีความเข้าใจหลกั การข้นึ รปู และขั้นตอนการข้ึนรปู
3. มที ักษะการใชว้ สั ดุ อุปกรณ์ งานขึ้นรปู ได้อยา่ งเหมาะสม
4. มคี วามมุ่งมนั่ ปฏบิ ตั ิงานใหเ้ กดิ ผลดี และมคี วามรบั ผดิ ชอบ
สมรรถนะรายวิชา
1. แสดงความรู้ ความเข้าใจกระบวนการเทคนิควธิ กี ารขนึ้ รปู
2. สามารถปฏบิ ัตงิ านขน้ึ รปู รูปทรงเรขาคณิต และเทคนิคการใชเ้ ครือ่ งมือในการข้นึ รปู
คำอธบิ ายรายวชิ า
ศกึ ษา/ศึกษาและปฏิบตั /ิ ปฏิบัตเิ ก่ียวกบั การขนึ้ รูป วสั ดุ อุปกรณ์ เครอื่ งมอื การปรับแตง่
เครอ่ื งมือให้ เหมาะสมการชนิ้ งาน ข้ึนรูปกล่อง สามเหลี่ยม สีเ่ หล่ยี ม หกเหล่ียม ทรงกลม จากแผน่
คล่ี และข้นึ รูปจาก การเคาะจากแผ่น การบํารุงรกั ษาเครื่องมอื ตรวจสอบ ประเมินราคา
3
หน่วยการเรยี นรู้
หนว่ ย หนว่ ยการเรยี นรู้ เวลาเรียน (ชม.)
ท่ี ทฤษฎี ปฏิบัติ รวม
1 ความหมายและรปู แบบงานโลหะรูปพรรณทีใ่ ช้รูปทรงเรขาคณิตเกี่ยวกับงาน 2 12 14
ขนึ้ รูปเบือ้ งตน้
2 หลักการใชแ้ ละปรบั แต่งอุปกรณบ์ ำรงุ รกั ษาเครือ่ งมือท่ใี ช้ปฏิบตั ิงานขึ้นรูป 1 6 7
เบือ้ งต้น
3 ฝกึ ปฏิบัตงิ านเรียนรูก้ ระบวนการขนึ้ รูปเบื้องตน้ โดยสรา้ งและใช้โมเดลตน 14 84 98
แบบรูปทรงเรขาคณิต
4 ตรวจสอบคุณภาพ ประเมนิ ราคา 167
รวม 18 108 126
4
ตารางวเิ คราะหห์ ลกั สตู ร
รหัส 20315-2108 ช่ือวิชางานข้ึนรูปเบ้ืองตน้
ทฤษฎี 1 ชั่วโมง/สปั ดาห์ ปฏิบัติ 6 ช่ัวโมง/สปั ดาห์ จำนวน 3 หน่วยกิต
พทุ ธิพิสยั
พฤติกรรม ความ ู้ร
ความ ้ขาใจ
ชอ่ื หน่วยการเรยี นรู้ การนำไปใ ้ช
การวิเคราะห์
การ ัสงเคราะห์
การประเ ิมนค่า
ทักษะพิ ัสย
ิจตพิสัย
รวม
ลำ ัดบ
จำนวน ั่ชวโมง
1.ความหมายและรูปแบบงานโลหะรปู พรรณที่ใช้ 1 1 1 - - - 10 5 20 2 14
รูปทรงเรขาคณิตเก่ยี วกับงานขึน้ รูปเบอื้ งตน้
2.หลักการใช้และปรบั แตง่ อุปกรณบ์ ำรุงรักษา 1 - 1 1 - - 20 5 25 3 7
เครอ่ื งมือทใ่ี ชป้ ฏิบตั งิ านข้ึนรปู เบือ้ งต้น
3.ฝึกปฏบิ ตั งิ านเรยี นรู้กระบวนการขน้ึ รปู เบอื้ งตน้ โดย 1 1 1 1 1 - 20 5 25 1 98
สร้างและใช้โมเดลตนแบบรูปทรงเรขาคณติ
4.ตรวจสอบคณุ ภาพ ประเมินราคา 1 - 1 1 1 1 10 5 15 4 7
รวม 4 2 4 3 2 1 60 20 126
ลำดบั ความสำคญั 132345
5
กำหนดการสอน
ช่ือหนว่ ยการเรียนร/ู้ สมรรถนะประจำหน่วย เกณฑ์การปฏิบัตงิ าน สปั ดาห์ ช่วั โมง
รายการสอน ที่ ที่
1.ความหมายและรูปแบบ 1.รแู้ ละเขา้ ใจเกยี่ วกบั งาน 1.อธิบายความรู้เก่ยี วกับ 1-2 14
งานโลหะรปู พรรณท่ีใช้ ข้ึนรูปโลหะรูปพรรณ งานข้ึนรปู โลหะรปู พรรณท่ี
รปู ทรงเรขาคณิตเกี่ยวกบั เบ้ืองต้นที่ใชร้ ูปแบบและ ใช้รปู แบบรปู ทรงเรขาคณิต
งานขน้ึ รปู เบอ้ื งตน้ รปู ทรงเรขาคณติ ในงานขน้ึ รูปเบื้องต้น
1.1 ลกั ษณะรูปทรง 2. แสดงความร้เู ก่ียวกับ 2. อธบิ ายความรูเ้ กี่ยวกบั
เรขาคณติ ในงานโลหะ ประเภทและลกั ษณะ ประเภทและลกั ษณะ
รปู พรรณท่เี กยี่ วข้องกบั ลวดลายงานขึ้นรูปเบ้ืองตน้ ลวดลายงานขึน้ รปู เบือ้ งตน้
งานขึ้นรูปเบื้องต้น
3.รู้และเขา้ ใจเก่ยี วกับชนดิ 3. อธิบายความรเู้ ก่ียวกับ
ชนดิ ของโลหะที่ ชนิดของโลหะท่ี
นำมาปฏบิ ตั ิงานข้ึนรปู นำมาปฏิบัตงิ านข้ึนรปู
เบื้องตน้ เบ้อื งตน้
4..มีกิจนิสยั ที่ดีในการ
เรียน
2. หลักการใชแ้ ละ 1.แสดงความรเู้ กี่ยวกบั 1.การเตรียมวสั ดอุ ปุ กรณ์ 3 7
ปรบั แต่งอปุ กรณ์ วัสดุอุปกรณเ์ ครอื่ งมอื ทีใ่ ช้ เคร่ืองมือทใี่ ชป้ ฏิบตั ิงาน
บำรุงรกั ษาเครื่องมือทใ่ี ช้ ในงานขน้ึ รปู เบ้ืองต้น ขน้ึ รปู เบอื้ งตน้ ถูกตอ้ ง
ปฏิบัติงานข้ึนรปู เบอ้ื งต้น 2. ปรับแต่งพฒั นา 2.ทดสอบและใช้เครื่องมอื
2.1 ชนิดของวัสดอุ ุปกรณ์ เครื่องมอื อุปกรณ์ให้ ท่ปี รบั แตง่ พฒั นาขน้ึ ได้
เครอื่ งมอื งานข้นึ รูป เหมาะสมกบั การ อย่างเหมาะสมถูกต้อง
เบือ้ งตน้ ปฏิบตั ิงานขน้ึ รูปเบื้องตน้ 3. จัดเก็บทำความสะอาด
2.2 การปรบั แตง่ 3.มกี จิ นิสัย ทดี่ ีในการเรียน อปุ กรณเ์ ครือ่ งมือเข้าที่
เครอื่ งมอื หเ้ หมาะสมกับ หลงั จากการปฏิบัตงานได้
งานข้นึ รูปเบือ้ งตน้
ถกู ตอ้ ง
เคร่ืองมอื เคร่อื งจักร
ชอ่ื หน่วยการเรียนร้/ู สมรรถนะประจำหนว่ ย เกณฑก์ ารปฏบิ ตั งิ าน 6
รายการสอน
สัปดาห์ ชัว่ โมง
2.3.วธิ จี ัดเกบ็ และ ท่ี ท่ี
บำรุงรักษา
วสั ดอุ ุปกรณเ์ คร่ืองมอื
3.ฝกึ ปฏิบัตงิ านเรยี นรู้ 1. 1. ร้แู ละเขา้ ใจเกยี่ วกบั 1.อธิบายหลกั การ 4-17 98
กระบวนการข้ึนรูป หลกั การกระบวนการ กระบวนการขั้นตอนในการ
เบอื้ งต้นโดยสร้างและใช้ ขน้ั ตอนในการฝึก ฝกึ ปฏิบตั ิงานขน้ึ รูป
โมเดลตนแบบรปู ทรง ปฏบิ ัตงิ านขนึ้ รูปเบอื้ งต้น เบือ้ งตน้ ได้อยา่ งครบถว้ น
เรขาคณติ 2.แสดงความรู้เก่ยี วกับการ และถูกตอ้ ง
สร้างตน้ แบบโมเดลรปู ทรง 2.ปฏบิ ตั ิการสรา้ งชิน้ งาน
เรขาคณิตใช้ในการ ขึ้นรปู โดยประยกุ ตส์ ร้าง
สร้างสรรคช์ น้ิ งานขน้ึ รปู ตน้ แบบโมเดลรปู ทรง
เบ้ืองตน้ เรขาคณิต ใช้ในการขนึ้
3.มกี ิจนสิ ยั ทด่ี ีในการเรียน รูปพรรณ ตามขัน้ ตอน
และกระบวนการของการ
ขน้ึ รูปเบือ้ งต้นได้อย่าง
ครบถว้ นและถกู ตอ้ ง
4.ตรวจสอบคณุ ภาพ 1.แสดงความรเู้ ก่ยี วกับการ 1.อธบิ ายความรู้เก่ียวกับ 17-18 7
ประเมินราคา
ตรวจสอบคุณภาพ ช้ินงาน ตรวจสอบคุณภาพช้นิ งาน
ข้ึนรปู เบ้อื งตน้ ข้ึนรปู เบอื้ งตน้ ในด้าน
2.แสดงความร้เู ก่ยี วกบั การ รูปทรงลวดลาย ไดถ้ กู ต้อง
วเิ คราะห์ ประเมนิ ราคา 2.อธิบายความรเู้ กยี่ วกบั
การวเิ คราะห์ประเมนิ คา่
ชน้ิ งานข้นึ รปู เบ้ืองตน้ ราคาตวั ชนิ้ งาน คำนวน
3.มกี จิ นสิ ยั ที่ดีในการ ตน้ ทุน นำ้ หนักโลหะมีคา่
เรยี น ของช้ินงานสำเรจ็
สอบประเมนิ ปลายภาค
8
กรอบการจดั การเรยี นรแู้ บบบรู ณาการเปน็ เรอื่ ง/ชน้ิ งาน/โครงการ
และบรู ณาการหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง
สมรรถนะด้านความมเี หตผุ ล สมรรถนะดา้ นความ สมรรถนะด้านความมีภมู คิ ุม้ กนั
พอประมาณ
รูจ้ ักหนา้ ท่ขี องตนเอง ใช้วัสดุ – อุปกรณ์ไม่เป็นพษิ กบั สง่ิ แวดลอ้ ม
มกี ารรับผิดชอบในการทำงาน ใช้วัสดุ – อุปกรณ์ ปฏบิ ัติงานข้ึนรปู เบ้ืองตน้ อย่าง
ปฏิบัตงิ านตามขั้นตอนดว้ ยความระมดั ระวงั ประหยดั สาธิตการปฏบิ ตั งิ านทก่ี ่อใหเ้ กดิ อนั ตรายและผดิ พลาดได้
งา่ ย
คำนวณวัสดทุ ่ที ำไม่ใหเ้ หลือเศษทิง้ ขวา้ ง
เงอ่ื นไขดา้ นความรู้และทกั ษะ วิชา งานขนึ้ รูปเบอื้ งตน้ เง่อื นไขดา้ นคณุ ธรรม จริยธรรม
(Basic Metal Forming) ค่านิยม คุณลกั ษณะท่พี ึงประสงค์
มีความร้เู กย่ี วกบั วัสดอุ ุปกรณ์เครื่องมือเครอ่ื งจกั รท่ใี ช้
ในงานเคร่ืองถมขนั ลกู ลอย มคี วามรับผิดชอบ ขยนั อดทน
มคี วามซอ่ื สัตย์ สุจรติ
มีทกั ษะการสรา้ งหรอื พฒั นา เคร่อื งมือ วสั ดุอปุ กรณ์ มีความสามคั คี ชว่ ยเหลือซึ่งกันและกนั
ใหเ้ หมาะทใี่ ช้ ในงานขนึ้ รูปเบอื้ งตน้ มีความอดทน อดกลน้ั
ตรงตอ่ เวลา แตง่ กายถูกต้องตามระเบียบ
ผลกระทบเพอ่ื ความสมดุล พรอ้ มรับการเปลย่ี นแปลง
ด้านสังคม ด้านเศรษฐกิจ ด้านวฒั นธรรม ด้านสิ่งแวดล้อม
การร้จู กั พงึ่ พาตนเองไดไ้ ม่เป็นภาระของ มวี ิธีชวี ติ พอเพียง แบง่ ปนั ช่วยเหลอื นำภูมปิ ัญญาทอ้ งถิ่นประยุกต์ใช้กบั ดำรงชีวติ และประกอบอาชพี ด้วยวถิ ีไทย
เก้ือกูลกัน เทคโนโลยีได้อยา่ งเหมาะสม และคำนงึ ถงึ ส่งิ แวดล้อม
สงั คม
9
แผนการจดั การเรยี นรู้ หนว่ ยท่ี 1
หลกั สูตร หลกั สตู รประกาศนียบตั รวิชาชีพ พุทธศักราช 2562 สอนครั้งที่ 1-2
รหสั วิชา 20315-2108 ชือ่ วิชา งานขึ้นรปู เบอื้ งตน้ ท-ป-น 1-6-3
ชอ่ื หน่วยการเรียนรู้ ความหมายและรปู แบบงานโลหะรปู พรรณท่ใี ชร้ ูปทรงเรขาคณติ เกยี่ วกับงานขนึ้ รปู เบือ้ งต้น
ช่อื เร่ือง ความรู้เกีย่ วกับรูปแบบงานโลหะรปู พรรณท่ีใชร้ ปู ทรงเรขาคณิตเกี่ยวกบั งานขึ้นรูปเบ้อื งต้น
ทฤษฎี 2 ชม. ปฏิบตั ิ 14 ช.ม.
1. สาระสำคัญ
ปัจจุบันรปู ทรงเครือ่ งใช้ไม่วา่ จะเป็นเครื่องเงินหรือเคร่ืองทองมีการพฒั นารปู แบบใหท้ ้ันสมยั และสะดวกใน
การใช้สอยโดยเฉพาะเครื่องเงินที่นำมาทำเป็นรูปแบบเครื่องใช้ยังเป็นที่นิยมของคนชั้นสูงและบุคคลทั่ว ซ่ึง
เครื่องเงินที่เป็นประเภทเคร่ืองใช้ ยังมีรูปแบบหลากหลาย แต่ยังมีเค้าโครงของรูปแบบดั้งเดมิ ให้เห็นบา้ ง เช่น รูป
ทรงกระบอก ซึ่งอาจเป็นรูปทรงเครื่องใช้ประเภท ขันน้ำ ถ้ำชา พาน ผอบ หรือจะเป็นรูปทรงของสี่เหลี่ยม หก
เหลี่ยม แปดเหล่ียม เช่น ตลับแปง้ ตลับยาอม หีบหมาก หรอื ซองพลู เปน็ ตน้
2. สมรรถนะประจำหน่วย
2.1 รแู้ ละเข้าใจเกีย่ วกับงานขนึ้ รปู โลหะรปู พรรณเบอื้ งตน้ ท่ีใช้รูปแบบและรูปทรงเรขาคณติ
2.2 ร้แู ละเขา้ ใจเก่ียวกับประเภทและลักษณะลวดลายงานขึน้ รปู เบอ้ื งต้น
2.3 แสดงความรู้เก่ยี วกับชนดิ ชนดิ ของโลหะท่ีนำมาปฏบิ ตั ิงานขน้ึ รูปเบือ้ งต้น
2.4 มกี ิจนสิ ยั ท่ีดีในการเรยี น
3. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
3.1 จุดประสงค์ท่ัวไป
3.3.1 เพื่อให้ผู้เรียนมคี วามรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับงานขึ้นรูปโลหะรูปพรรณเบื้องตน้ ที่ใช้รูปแบบ
และรูปทรงเรขาคณิต
3.3.2 เพ่ือให้ผู้เรียนมีความรเู้ ก่ียวกับประเภทและลักษณะลวดลายงานขึน้ รปู เบื้องต้น
3.3.3 เพื่อให้ผูเ้ รียนมีความรูแ้ ละเข้าใจเกี่ยวกับชนิดชนดิ ของโลหะทีน่ ำมาปฏบิ ัติงานขึ้นรูปเบ้อื งต้น
3.3.4 เพ่อื ให้ผ้เู รยี นมกี ิจนสิ ยั ท่ีดีด้านความซ่อื สตั ยม์ วี นิ ยั ใจอาสา
3.2 จุดประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม
3.2.1 บอกลกั ษณะงานข้นึ รปู โลหะรูปพรรณเบอื้ งต้นท่ใี ช้รปู แบบและรูปทรงเรขาคณติ
ได้ถูกต้อง
3.2.2 บอกประเภทและลกั ษณะลวดลายงานขึ้นรปู เบือ้ งต้นได้ถกู ต้อง
3.2.3 บอกชนดิ ชนดิ ของโลหะที่นำมาปฏบิ ัตงิ านขน้ึ รูปเบอ้ื งตน้ ได้ถกู ต้อง
10
3.2.4 แสดงพฤตกิ รรม การจดบนั ทึกเข้าเรียนตรงเวลาถูกต้อง
4. สาระการเรยี นรู้
4.1 ความหมายเกย่ี วกบั งานขึน้ รูปโลหะรปู พรรณเบื้องตน้ ที่ใช้รปู แบบและรปู ทรงเรขาคณิต
4.2 ประเภทและลกั ษณะลวดลายงานขนึ้ รูปเบื้องตน้
4.3 ชนิดชนดิ ของโลหะท่ีนำมาปฏิบัติงานขึน้ รูปเบื้องต้น
5. กจิ กรรมการเรียนรู้
สปั ดาห์ที่ 1
5.1การนำเข้าสู่บทเรียน 30 นาที
1. ครผู สู้ อนแนะนำตัวเองกบั นกั เรยี น และทำความรจู้ ักกบั นักเรียนแต่ละคน
2. ครูผสู้ อนทำการเช็ครายชื่อนักเรยี นกอ่ นเริม่ บทเรยี น
3. ครูเกรน่ิ นำเนอ้ื หางานข้นึ รูปเบอ้ื งตน้
4. ครเู กริ่นนำภาพงานขน้ึ รูปพรรณเคร่อื งใชร้ ปู ทรงตา่ งๆ ใหน้ ักเรียนดู
5. ครูผู้สอนแจ้งจุดประสงคร์ ายวชิ า คำอธิบายรายวชิ า และสมรรถนะรายวิชา รวมถึงการวดั และ
ประเมนิ ผลรายวชิ างานขึน้ รูปเบ้อื งตน้
6. ครูสอบถามความรู้เกี่ยวกบั งานขึ้นรูปเบอื้ งต้น
5.2 การเรียนรู้ 14 ชว่ั โมง
1. ครแู จกแบบทดสอบเพ่อื ประเมินพ้นื ความรู้กอ่ นเรยี น
2. ครอู ธิบายความรู้เกีย่ วกบั งานขนึ้ รูปโลหะรปู พรรณเบ้อื งตน้ ทใ่ี ชร้ ูปแบบและรปู ทรงเรขาคณิต
3. ครูใหผ้ ู้เรยี นดูส่ือวดิ ทิ ัศนล์ กั ษณะรูปทรง ลวดลายงานงานข้นึ รปู
4. ครูผู้สอนอธบิ ายประกอบภาพ และชน้ิ จรงิ งานข้นึ รปู ที่มีรูปทรงเรขาคณติ
5. ครูผสู้ อนอธิบายประกอบภาพ ชนดิ ของโลหะท่ีนำมาปฏิบตั ิงานข้นึ รปู เบ้ืองต้น
6. ครผู ูส้ อนอธิบายประกอบภาพ ประเภทและลกั ษณะรปู ทรง ลวดลาย งานข้ึนรูปเบอ้ื งตน้
7. ครแู บ่งกลุ่มผู้เรียนจำนวนเท่ากนั โดยครมู ตี วั อยา่ งภาพงานข้ึนรปู เบื้องตน้ ประเภทต่างๆ ให้ตวั แทนผู้เรียน
แต่ละกลุ่มออกมาจับสลากเลือกภาพ และให้ผู้เรียนนำภาพกลับไปทีก่ ลุ่มช่วยกนั คิดวิเคราะห์และอธิบาย ความรู้
งานขึน้ รูปพรอ้ มกบั บอกลกั ษณะประเภทของช้ินงานรูปทรงลวดลาย ทกุ กลมุ่ หน้าช้นั เรยี น
8. ครสู รุปเน้ือหาและอธบิ ายความรู้งานข้ึนรปู เบื้องต้น
5.3 ขน้ั สรุป
1. ครผู ู้สอนเปดิ โอกาสให้นกั เรยี นซกั ถามข้อสงสัย
2. ครูตอบคำถามและสรุปเนอื้ หา
3. ครมู อบหมายงานใหผ้ เู้ รียนเตรยี มเครื่องมือและวัสดเุ พื่อเรียนในสปั ดาหต์ อ่ ไป
4. ครูแจกแบบทดสอบเพื่อประเมินความรู้หนว่ ยการเรยี นท่ี 1
11
5.4 การวัดและประเมินผล
1. ประเมนิ ผลนักศกึ ษาจากการทำข้อสอบก่อนเรยี นและหลงั เรยี น
6. สอ่ื และแหลง่ การเรียนรู้
ครูผู้สอนได้มีการผลิตและใช้สื่อการเรียนรู้ตามบริบทของรายวิชาและเทคโนโลยีประจำห้องสอนและ
ปฏิบัตกิ าร ดังนี้
6.1. สอื่ โสตทศั น์
1.) วีดีทศั น์ทที ำในรปู แบบไฟล์ DVD ความเป็นมาและความสำคัญของงานเครอ่ื งถม
2.) เรียนรู้ผ่านระบบออน์ไลน์ ในระบบ e-Library
6.2. โสตทัศนอ์ ปุ กรณ์
1.) กระดานอัฉรยิ ะพร้อมอุปกรณ์เชอ่ื มตอ่ ระบบเสยี ง
2.) คอมพวิ เตอรค์ วบคมุ
3.) แทปเลต็
6.3. ส่อื ส่งิ พมิ พ์
1.) ใบความรู้
2.) ภาพประกอบ
3.) ใบงาน
6.4 ส่อื บทเรียนอเิ ลก็ ทรอนิกส์
1.) หนงั สอื อิแล็คทรอนกิ E – Book
2.) ห้องเรยี นออนไลน์ Google Classroom Google Meet / Facebook
7. หลักฐานการเรยี นรู้
7.1หลกั ฐานความรู้
1.) ใบความรู้
2.) สอ่ื ออนไลนใ์ นห้องเรียน Google Classroom Google Meet / Facebook
7.2 หลกั ฐานการปฏบิ ตั ิงาน
1.) ใบงาน
2.) ชิ้นงานทคี่ รผู สู้ อนมอบหมาย
8. การวัดและประเมินผล
8.1 เครอ่ื งมอื ประเมนิ
8.1.1ก่อนเรียนรู้
วธิ ีการวัดผล - ทดสอบอัตนัย และปรนยั ก่อนการเรยี นรู้
เคร่ืองมอื วดั - แบบทดสอบอัตนัย และปรนยั กอ่ นเรยี นรู้
8.1.2 ระหวา่ งเรียนรู้
12
วธิ กี ารวัดผล - ประเมนิ พฤตกิ รรมรายบุคคล
เครอ่ื งมือวัด - แบบประเมนิ พฤติกรรมรายบคุ คล
8.1.3 หลงั เรียน
วธิ ีการวดั ผล - ทดสอบหลังเรียนรู้
เครอ่ื งมอื วัด - แบบทดสอบหลังเรียนรู้
8.2 เกณฑ์การประเมนิ
8.2.1 เกณฑก์ ารวัดผลสัมฤทธิ์จากแบบทดสอบและใบมอบงานมีเกณฑด์ งั น้ี
ร้อยละ 80-100 หมายถึงผลการเรยี นรดู้ มี าก
รอ้ ยละ 70-79 หมายถึงผลการเรียนรู้ดี
ร้อยละ 60-69 หมายถึงผลการเรยี นรูป้ านกลาง
ร้อยละ 50-59 หมายถงึ ผลการเรยี นรผู้ า่ นเกณฑข์ น้ั ตำ่
(ควรปรบั ปรุงดว้ ยการศึกษาทบทวน)
ต่ำกว่ารอ้ ยละ 50 หมายถงึ ผลการเรยี นไม่ผา่ นเกณฑ์(ต้องปรบั ปรงุ และ
เรียนซอ่ มเสริมควรทดสอบการประเมินจนกว่า
จะผา่ นขนั้ ต่ำ)
8.2.2 เกณฑก์ ารประเมินพฤตกิ รรมรายบคุ คล
8-10 คะแนน หมายถึงมพี ฤติกรรมดี
5-7 คะแนน หมายถงึ มีพฤตกิ รรมพอใช้
ตำ่ กวา่ 5 คะแนน หมายถึงมีพฤตกิ รรมท่ีตอ้ งปรบั ปรงุ
8.2.3 เกณฑก์ ารตัดสิน
2 คะแนน หมายถงึ มพี ฤติกรรมในระดับปฏิบตั ิสม่ำเสมอ
1 คะแนน หมายถึงมพี ฤติกรรมในระดับปฏบิ ัติบางคร้งั
0 คะแนน หมายถงึ มีพฤติกรรมในระดบั ไมป่ ฏบิ ัติ
8.2.4 เกณฑก์ ารประเมิน
8-10 คะแนน หมายถึงมีพฤติกรรมดี
5- 7 คะแนน หมายถึงมีพฤติกรรมพอใช้
ตำ่ กว่า 5 คะแนน หมายถงึ มพี ฤติกรรมทต่ี อ้ งปรับปรุง
13
9. บนั ทกึ ผลหลังการจัดการเรยี นรู้
9.1 ขอ้ สรุปหลงั การจัดการเรยี นรู้
ดา้ นผู้สอน
การจดั การเรยี นการสอนในรูปแบบ online off line
สอนได้ครบตามหัวข้อทก่ี ำหนดในแผนการจัดการเรยี นรู้
สอนได้ไม่ครบตามหวั ขอ้ ท่ีกำหนดในแผนการจดั การเรยี นรู้ ยังขาดหัวข้อ ดังนี้
แนวทางการแกป้ ัญหาการสอนไมค่ รบหัวข้อตามแผน
ด้านความพร้อมและผลการเรียนรู้ของผเู้ รยี น
จำนวนนกั เรียนทั้งหมด คน จำนวนนกั เรียนทเี่ ขา้ เรียน คน
จำนวนนักเรยี นที่ขาดเรียน คน
เกณฑ์ท่แี นะนำ คิดเป็นร้อยละ ดมี าก(80-100) ดี (70-79) พอใช้ (60-69) ตอ้ งปรับปรงุ (ตำ่ กว่า 60)
1 การตรงต่อเวลา ดีมาก ดี พอใช้ ตอ้ งปรบั ปรุง
2 การแต่งกาย, การปฏบิ ัตติ ามระเบียบ ดมี าก ดี พอใช้ ตอ้ งปรบั ปรุง
3 ความพรอ้ ม, ความต้ังใจในการเรยี น ดีมาก ดี พอใช้ ต้องปรับปรงุ
4 มคี วามรบั ผิดชอบงานท่มี อบหมาย ดีมาก ดี พอใช้ ต้องปรบั ปรุง
5 มคี วามรู้ ความสามารถ ตรงวตั ถปุ ระสงค์ ดมี าก ดี พอใช้ ตอ้ งปรับปรงุ
อ่ืนๆ
9.2 ปญั หา อุปสรรค
9.3 ขอ้ เสนอแนะและแนวทางแก้ปัญหา
ลงช่อื ผูส้ อน ลงช่อื หวั หนา้ สาขางาน
(..............................................) (..............................................)
ลงช่อื
(นายธรรมนญู เศวตสทุ ธิสิรกิ ลุ )
ครู ทาหนา้ ทใ่ี นตาแหน่ง
รองผูอ้ านวยการฝ่ายวชิ าการ
หมายเหตุ ปญั หา อปุ สรรคและแนวทางแกป้ ญั หา ผูส้ อนนาไปพฒั นา ในรูปแบบของวิจยั ชนั้ เรียน หรือพฒั นาการจดั การเรียนรูใ้ นครงั้ ตอ่ ไป
14
ใบความรู้ท1ี่ หน่วยที่ 1
หลกั สูตร หลกั สตู รประกาศนยี บตั รวิชาชีพ พทุ ธศักราช 2562 สอนคร้งั ท่ี 1-2
รหสั วชิ า20315-2108 ชอื่ วิชา งานขึน้ รปู เบ้อื งตน้ เวลา 14 ชม.
ชอื่ เรื่อง ความรเู้ ก่ียวกบั รปู แบบงานโลหะรปู พรรณที่ใช้รปู ทรงเรขาคณติ เกย่ี วกับงานขน้ึ รูปเบือ้ งตน้
1. จดุ ประสงค์การเรียนรู้
1.1 จดุ ประสงคท์ ่วั ไป
1.1.1 เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้และความเขา้ ใจเกี่ยวกับงานขึ้นรปู โลหะรูปพรรณเบื้องต้นที่ใช้รูปแบบ
และรูปทรงเรขาคณิต
1.1.2 เพื่อให้ผเู้ รยี นมคี วามรู้เกี่ยวกับประเภทและลกั ษณะลวดลายงานขึ้นรูปเบ้อื งตน้
1.13 เพื่อให้ผู้เรียนมีความรูแ้ ละเข้าใจเกี่ยวกบั ชนิดชนิดของโลหะทีน่ ำมาปฏิบัติงานขึน้ รูปเบือ้ งตน้
1.1.4 เพ่อื ใหผ้ ้เู รยี นมีกจิ นิสยั ท่ีดดี า้ นความซอื่ สัตย์มีวนิ ัยใจอาสา
1.2 จดุ ประสงค์เชิงพฤติกรรม
1.2.1 บอกลกั ษณะงานขน้ึ รปู โลหะรปู พรรณเบ้อื งตน้ ท่ีใชร้ ปู แบบและรปู ทรงเรขาคณิต
ได้ถูกตอ้ ง
1.2.2 บอกประเภทและลกั ษณะลวดลายงานขึน้ รปู เบ้อื งต้นได้ถูกตอ้ ง
1.2.3 บอกชนดิ ชนิดของโลหะท่ีนำมาปฏบิ ัติงานขน้ึ รปู เบอื้ งต้นได้ถูกต้อง
1.2.4 แสดงพฤติกรรม การจดบนั ทกึ เข้าเรียนตรงเวลาถูกตอ้ ง
2. สมรรถนะ
2.1 รแู้ ละเข้าใจเกีย่ วกบั งานขึ้นรูปโลหะรูปพรรณเบอื้ งต้นทใี่ ช้รปู แบบและรปู ทรงเรขาคณติ
2.2 รแู้ ละเข้าใจเก่ียวกบั ประเภทและลักษณะลวดลายงานขึน้ รปู เบื้องตน้
2.3 แสดงความรเู้ กยี่ วกบั ชนดิ ชนิดของโลหะท่นี ำมาปฏบิ ตั ิงานข้ึนรปู เบ้ืองต้น
2.4 มกี ิจนสิ ัยท่ีดใี นการเรียน
3. เนื้อหาสาระ
การขนึ้ รูปโลหะ (Metal Forming) เปน็ กระบวนการผลิตประเภทหนึง่ ทเ่ี ปลย่ี นรูปร่างของโลหะในขณะท่ี
อยู่ในสภาวะของแข็ง ให้กลายเป็นชิน้ งานที่มรี ูปแบบตามความต้องการ โดยใช้แม่พิมพ์หรือเครื่องมือเฉพาะ (Die
หรือ Forming Tool) ชิ้นงานจะถูกเปลี่ยนรูปร่างโดยไม่มีการเพิ่มหรือหายไปของเนื้อโลหะ กล่าวได้ง่ายๆว่า
กระบวนการขน้ึ รูปโลหะชนิดใดก็ตาม
15
กรรมวิธีการขึ้นรูป (Forming) หรือกระบวนการขึ้นรูปโลหะ (Metal Forming Process) หมายถึง
กระบวนการผลิตประเภทหนึ่งที่เปลี่ยนรูปร่างของวัตถุดิบ (Raw Material) ให้เป็น ผลิตภัณฑ์ (Product) หรือ
ชิน้ งานท่ีมรี ูปรา่ งตามต้องการ โดยใช้แมพ่ มิ พห์ รือเคร่ืองมือเฉพาะ (Die หรือ Forming Tool) ในการข้ึนรูปขณะที่
วตั ถุดบิ อยูใ่ นสภาวะของแขง็
โดยไม่มีการเสียเศษ และไม่มี การเปลี่ยนแปลงองคป์ ระกอบภายในของวัสดุนั้น ๆ จึงเรียกกระบวนการนี้ว่า งาน
ข้ึนรปู โลหะ(Metal Forming Process) หรืองานเปลี่ยนรูปโลหะในช่วงการเปลีย่ นรปู ถาวร (Metal Deformation
Process หรือDeformation Process
ประเภทของกระบวนการขน้ึ รูปโลหะ
กระบวนการขึน้ รปู โลหะแบ่งเป็น 2 ประเภท โดยพิจารณาจากวัสดุเรม่ิ ตน้ ถา้ วสั ดเุ ร่มิ ตน้ เป็นโลหะแผน่ จะเปน็
กลุ่มกระบวนการขึ้นรปู โลหะแผ่น (Sheet Metal Forming Process) และถ้าวัสดเุ ริ่มต้นมีลกั ษณะเปน็ ก้อน (Bulk
MetalForming Process) จะเปน็ กระบวนการข้นึ รปู โลหะกอ้ น
กระบวนการข้นึ รูปโลหะแผน่ (Sheet Metal Forming Process) เชน่ กระบวนการตดั เฉือน (Blanking
Process) กระบวนการพบั ข้นึ รูป (Bending Process) และกระบวนการลากข้นึ รปู ลกึ (Deep Drawing Process)
กระบวนการพับขึน้ รูป (Bending Process)
เป็นประบวนการขึน้ รปู โลหะด้วยการพับโลหะขึ้นจากแกนเสน้ ตรงหนึ่งๆจนโลหะมลี ักษณะโค้งงอ
ซ่งึ ทำใหโ้ ลหะมกี ารแปรรปู ไปอยา่ งถาวร
การตขี ึน้ รูปเปน็ กระบวนการผลิตที่เก่ยี วข้องกับการขนึ้ รปู โลหะโดยใชแ้ รงอดั เฉพาะที่ ผู้ตดั สินจะถูกส่งด้วย
ค้อน (มักจะเป็นค้อนพลังงาน ) หรือตายการตีขึ้นรูปมักจำแนกตามอณุ หภูมิที่ทำ: การตีขึ้นรูปเย็น (ประเภทของ
การทำงานเย็น ) การตีแบบอุน่ หรอื การตีรอ้ น (ประเภทของการทำงานท่รี ้อน ) สำหรับหลงั สองโลหะจะรอ้ นมักจะ
อยู่ในปลอมชิ้นส่วนปลอมแปลงสามารถชั่งน้ำหนักได้ตั้งแต่น้อยกว่าหนึ่งกิโลกรั มจนถึงหลายร้อยเมตริกตัน[1]
[2]การตีขึ้นรูปทำได้โดยช่างเหล็กมานับพันปี ผลิตภัณฑ์แบบดั้งเดิมเป็นเครื่องครัว , ฮาร์ดแวร์ , เครื่องมือมือ ,
อาวธุ ขอบ , ฉงิ่ และเครื่องประดบั นับตง้ั แต่การปฏิวตั ิอุตสาหกรรมช้ินสว่ นปลอมถูกนำมาใช้กนั อย่างแพร่หลายใน
กลไกและเคร่ืองใดก็ตามท่ีเปน็ สว่ นประกอบต้องสูงความแข็งแรง ; การตขี ้นึ รปู ดังกล่าวมักต้องการการประมวลผล
เพิ่มเติม (เช่น การตัดเฉือน ) เพื่อให้ได้ชิ้นส่วนท่ีเกือบเสร็จแลว้ ทุกวันนี้ การตีขึ้นรูปเปน็ อตุ สาหกรรมที่สำคญั ทว่ั
โลก [3]
รูปร่างเรขาคณิต หรือ รูปทรงเรขาคณิต คือสารสนเทศเชิงเรขาคณิตที่คงเหลืออยู่หลังจากตัดข้อมูล
ตำแหน่ง ขนาด การจัดวาง และการสะท้อน ออกจากการพรรณนาของวตั ถุทางเรขาคณิตแล้ว [1] หมายความว่า
ไม่ว่าจะย้ายตำแหน่งรูปร่าง ขยายหรือย่อรูปร่าง หมุนรูปร่าง หรือสะท้อนรูปร่างในกระจก รูปร่างก็ยังคงเดิม
เหมือนต้นฉบับ คือไม่เปลี่ยนไปเป็นรูปร่างอื่น ทั้งนี้คำว่า รูปร่าง หรือ รูป ใช้เรียกวัตถุทีไ่ ม่เกินสองมิติ ส่วนคำวา่
รูปทรง หรือ ทรง ใชเ้ รียกวัตถตุ ้ังแต่สามมิติขึ้นไป
16
วัตถุต่าง ๆ ที่มีรูปร่างเหมือนกัน เราจะกล่าวว่าวัตถุเหล่านั้นคล้ายกัน (similar) และถ้าวัตถุเหล่านั้นมีขนาด
เดียวกันด้วย เราจะกลา่ วว่าวตั ถเุ หล่านั้นสมภาคกนั หรือเท่ากันทุกประการ (congruent)
รูปร่างเรขาคณิตสองมิติหลายรูป สามารถนิยามขึ้นได้จากเซตของจุด (point) หรือจุดยอด (vertex) กับเส้นตรง
(line) ทเี่ ชื่อมโยงจุดเหลา่ นัน้ อย่างตอ่ เน่อื งเปน็ ลูกโซ่ปิด ตลอดจนจุดทอ่ี ยูภ่ ายในรูปร่างทเี่ ปน็ ผลลัพธ์ รปู ร่างเชน่ น้ัน
เรียกว่ารูปหลายเหลีย่ ม (polygon) เชน่ รูปสามเหลย่ี ม รปู สเ่ี หลยี่ ม รปู ห้าเหลยี่ ม ฯลฯ รปู รา่ งนอกเหนือจากน้อี าจ
มีขอบเขตเป็นเสน้ โคง้ เชน่ รูปวงกลมหรอื รปู วงรี เป็นต้น
ในทางเดียวกัน รูปทรงเรขาคณิตสามมิติหลายรูป สามารถนิยามข้ึนได้จากเซตของจดุ ยอด เส้นตรงที่เชือ่ มโยงจดุ
ยอดเหลา่ นนั้ และหน้า (face) ทปี่ ดิ ลอ้ มโดยเส้นตรงเหลา่ นั้น ตลอดจนจุดที่อยู่ภายในรูปทรงที่เปน็ ผลลัพธ์ รูปทรง
เช่นนั้นเรียกว่าทรงหลายหน้า (polyhedron) เช่น ทรงลูกบาศก์ ทรงพีระมิด ทรงสี่หน้าปรกติ ฯลฯ รูปทรง
นอกเหนือจากนอ้ี าจมีขอบเขตเป็นผวิ โค้ง เชน่ ทรงกลมหรือทรงรี เปน็ ต้น
รูปทรงในมิตทิ สี่ ูงกวา่ นี้ เกดิ จากการคำนวณทางทฤษฎี ไมส่ ามารถสร้างวัตถุข้นึ ได้ในโลกความจริง แต่แสดงให้เห็น
ได้ผา่ นการฉาย (projection) ใหเ้ ป็นภาพสองมติ ิ
รูปรา่ งหนึ่ง ๆ จะเรยี กวา่ เปน็ คอนเวกซ์พอลโิ ทป (convex polytope) ถา้ ทกุ จดุ บนส่วนของเส้นตรงที่ลากผ่านจุด
สองจุดใด ๆ ภายในรปู ร่าง เป็นส่วนหนงึ่ ของรูปรา่ งนนั้
ลวดลายท่ใี ชใ้ นงานขึน้ รูป
ลวดลายที่ใช้ในงานขึ้นรูปเป็นรูปแบบทางทัศนศิลป์ประเภทหนึ่ง ประกอบด้วยเส้นเป็นสำคัญตอ่ เนื่องกันไป มีท้ัง
ลายแบบธรรมชาติ และลายแบบประดษิ ฐ์ โดยลายเคร่ืองถมมี 9 แบบ คอื
1.ลายกนกเปลว มีลกั ษณะลวดลาย เลียนแบบธรรมชาตจิ ากเปลวไฟ
2.ลายใบเทศ มลี ักษณะเป็นชอ่ มกี า้ น กาบ ดอก ใบ สามารถนำมาตอ่ ลายอ่นื ได้
17
3.ลายประจำยาม มลี กั ษณะเป็นรูปสีเ่ หล่ียมดา้ นเท่า ภายในแบ่งเปน็ ดอกส่ีกลบี มเี กสรอย่ตู รงกลาง
4.ลายพมุ่ ข้าวบณิ ฑ์ มีลกั ษณะเปน็ ทรงพ่มุ คล้ายหยดน้ำ
5.ลายกระจงั มลี ักษณะเป็นรูปสามเหล่ยี มหนา้ จ่ัว ใชต้ ามขอบริมฐานของช้นิ งาน
6.ลายก้านขด เป็นการนำลายตา่ งๆ มาเขียนลายต่อเน่อื งกนั เป็นเถา
7.ลายบัวคว่ำบวั หงาย มีลกั ษณะเป็นรูปกลีบบวั นิยมใช้ประกอบฐานของรปู พรรณ
18
8.ลายเม็ดบวั มีลักษณะหลายแบบ ไดแ้ ก่ กลม รี มกั ใชต้ ่อเน่ืองเป็นเสน้
9.ภาพประกอบลาย มลี กั ษณะเปน็ ภาพแบบต่างๆ นำมาใช้ประกอบลาย
โดยการวางลาย รูปแบบของลาย การนำลายมาประกอบขนาดและจำนวนลายให้ได้รูปแบบสวยงาม
เหมาะกับรปู ทรงภาชนะ ซึ่งลายมีความเก่ียวข้องกับ ประเภทของภาชนะ เช่น ลายใบเทศ ลายกระจงั ตาออ้ ย และ
ลายบวั ควำ่ ปรากฏในของใช้ในครวั เรือนมากกว่าภาชนะประเภทอ่ืน ลายกนกเปลวพบมากในเคร่อื งประดับ และ
ลายเครือเถาพบมากในของใช้ทั่วไป ลายกับรูปแบบของเครื่องถมเป็นศิลปะประดิษฐ์ที่เกี่ยวข้องกันมาแต่อดีต
เครอื่ งถมทกุ ชิ้นจะมลี ายเปน็ สิง่ ตกแต่ง อาทิ ลายกนกเปลว ตกแตง่ บนขัน เชีย่ นหมาก ถาดผลไม้ ชดุ ชา กาแฟ ลาย
ใบเทศ ตกแต่งบนขัน ซองบุหร่ี กลอ่ งเครื่องประดับ ลายประจำยาม ตกแต่งบน พานรอง ถาด กระเปา๋ ลายพุ่มขา้ ว
บิณฑ์ ตกแต่งบนตลับแป้ง กระเป๋า ลายกระจัง ตกแต่งบนพานรอง ขันน้ำ ฝาครอบแก้ว ลายก้านขด ตกแต่งบน
กำไล กิ๊ฟ กระเป๋า เข็มหนีบเนคไท ลายบัวคว่ำบัวหงายตกแต่งบน พานรอง โถกรวดน้ำ ถาด ขันน้ำ ลายเม็ดบัว
ตกแต่งบนตลับแป้ง ขนั น้ำ ฝาครอบแกว้ เขม็ กลดั และภาพประกอบลาย ตกแต่งบนขนั ถาด กระเปา๋ เข็มกลัด ที่
เขยี่ บุหรี่
19
ชนิดโลหะในงานขนึ้ รูป
โลหะคืออะไร จากหนังสือพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 พิมพ์ครั้งที่ 1 | พุทธศักราช
2546 หนา้ 1046 ได้ใหค้ วามหมายไว้ว่า โลห - โลหะ (โลหะ-) น. ธาตุทถี่ ลงุ จากแร่แลว้
เช่น เหล็ก ทองแดง ทองคํา ; (วิทยา ) ธาตซึ่งมีสมบัติสําคัญ คือเป็นตัวนําไฟฟ้าและความร้อนได้ดี มีขีด เหลอม
เหลวสูง ขัดให้เป็นเงาได้ ตีแผ่เป็นแผ่นหรือดึงให้เป็นเส้นลวดได้ เมื่อนาํ มาเคาะมีเสียงดงั กงั วาน เมื่อ อยู่ในสภาพ
ไอออนจะเป็นไอออนบวก โลหะเจือ น. โลหะที่เกิดจากการผสมโลหะต่างชนิดกัน เช่น นาก ทองบรอนซ์, โลหะ
ผสม กว็ า่ . โลหะผสม น. โลหะเจอื
จากวกิ พิ เี ดีย สารานกุ รมเสรี ไดใ้ หค้ วามหมายของคําวา่ โลหะดงั น้ี
โลหะ คอื วัสดุทป่ี ระกอบด้วยธาตโลหะท่ีมอี เิ ลก็ ตรอนอิสระอยมู่ ากมาย นน้ั คืออเิ ลก็ ตรอน เหลา่ น้ีไม่ได้เป็นของ
อะตอมใดอะตอมหนึง่ โดยเฉพาะ ทาํ ให้มนั มคี ณุ สมบตั ิพเิ ศษหลายประการ เช่น
- เป็นตัวนำไฟฟ้าและความรอ้ นได้ดีมาก
- ไมย่ อมใหแ้ สงผา่ น
- ผิวของโลหะท่ีขดั เรยี บจะเป็นมนั วาว
โลหะมีความแข็งแรงพอสมควรและสามารถแปรรูปได้ จึงถูกใช้งานในด้านโครงสร้างอย่าง กว้างขวาง ได้แก่
เหล็ก ทอง เงนิ ทองแดง ตะกั่ว สังกะสี ปรอท อะลมู ิเนียม แมกนเี ซียม โลหะบางชนิด สามารถหลอมรวมกับโลหะ
ชนิดอื่นหรือ อโลหะ ชนิดอื่น ได้ เช่น เหล็กกล้า มีส่วนผสมของ เหล็ก กับ คาร์บอน ทองเหลือง มีส่วนผสมของ
สงั กะสีกับทองแดง
ในทางวิทยาศาสตร์เราแบง่ วตั ถุธาตุออกเปน็ องค์ประกอบได้ 2 ประเภท คอื
อินทรียวัตถุ หมายถึง วัตถุทีไ่ ดจ้ ากสงิ่ มชี วี ิต หรือผลผลติ ของสิง่ มชี วี ติ สามารถแบ่งออกเป็น 3 กล่มุ ดังนี้
1. อนิ ทรยี วตั ถุทไ่ี ดจ้ ากพืช เช่น ผ้าฝ้าย ปอ ไม้ ฯลฯ
2. อนิ ทรียวัตถุท่ีได้จากสัตว์ เช่น ผา้ ไหม กระดูก งา หนงั สัตว์ ฯลฯ
3. อินทรียวัตถุท่ไี ดจ้ ากการสงั เคราะห์ เช่นพลาสตกิ หนังเทยี ม ฯลฯ
อนนิ ทรยี วตั ถุ หมายถึง วตั ถุทไ่ี ด้จากสิ่งท่ไี มม่ ีชวี ิต ได้แก่ หนิ ดิน แร่ต่าง ๆ โลหะ ดินเหนยี ว แก้ว ปูนขาว ฯลฯ
แบ่งออกเป็น 2 กลมุ่ คอื โลหะ กับ อโลหะ
1. โลหะ (metal ) คือ ของแข็งซึง่ ประกอบจากอนุภาคผลึกซึ่งมีการเรียงตัวกันอยา่ งมี ระเบียบ มีคุณสมบัติ
โดยทั่วไปของโลหะบริสุทธิ์ ดังนี้ มีค่าความหนาแน่นสูง มีจุดหลอมเหลวสูงเป็นตัวนํา ความร้อนและไฟฟ้าได้ดี
มกั จะทาํ ปฏกิ ิริยากบั ความเป็นกรด - ด่าง และเกลอื แตม่ ีความคงทนตอ่ แสง สวา่ งความร้อนได้ดแี ละยงั สามารถทํา
ใหเ้ ป็นโลหะผสมไดโ้ ดยการเติมธาตุอนื่ ๆลงไป
2. อโลหะ ( non - metal) ที่สําคัญได้แก่ อิฐ หินเครื่องปั้นดินเผา รูปปั้นแกะสลัก ภาชนะดินเผาลูกปัดสี
ฯลฯ โดยมีคุณสมบัติตรงข้ามกับโลหะจากที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นจะเห็นได้ว่าโลหะนั้นมีคุณสมบัติและลักษณะ
พิเศษเฉพาะของโลหะโดยตรง ซึ่งมนุษยไ์ ด้เรยี น รู้และเข้าใจในคุณสมบัติของ โลหะ จึงนําเอาโลหะแต่ละชนดิ มา
20
ประยุกต์เป็นเครื่องมือเครื่องใช้ เพื่ออํานวยความพะดวกในการดาํ รงชวี ิต ประจําวันและยังนำมาประดับกายเพื่อ
ความสวยงาม เช่น เคร่อื งประดบั ทเี่ ปน็ สำริด เครือเงิน เคร่ืองทอง เคร่ืองทองเหลอื ง และทองแดง
ความเป็นมาของงานโลหะ
ยงั ไมม่ ีหลกั ฐานเปน็ ที่แน่ชัดว่ามนุษย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ หรอื มนุษย์ยคุ หนิ ในสมัยก่อน พบโลหะได้
อย่างไร แต่มีข้อสันนิษฐานว่ามนษุ ย์อาจค้นพบโลหะโดยการสังเกตจากธรรมชาตริ อบกายดว้ ย ความบังเอิญ จาก
การท่ีมนษุ ย์ได้ออกไปล่าสตั ว์ และพักแรม กลางปา่ มนษุ ยใ์ นยคุ หินใช้เครอื่ งมอื เคร่อื งใช้ อาวธุ และเครอื งประดับที่
ทําด้วยหนิ ดินเผา กระดูก ไม้ เปลือกหอย เขาสัตว์ วสั ดุธรรมชาติต่างๆ มาเปน็ เวลานานนับหมื่นปีก่อนที่จะรู้จัก
โลหะ โลหะชนิดแรกๆ ที่มนุษย์รู้จักเป็นโลหะที่พบได้ในสภาพเป็นโลหะ ตามธรรมชาติ (native metal) ซึ่งมีอยู่
ไมก่ ่ีชนดิ ทส่ี าํ คัญไดแ้ ก่ ทองคํา เงนิ ทองแดง ฯลฯ การท่ีชมุ ชนใด จะใช้โลหะชนิดใดขนึ้ อยู่กับทรพั ยากรธรรมชาติ
ที่มีอยู่ในบรเิ วณน้ัน ทองแดงเป็นโลหะท่ีพบมากและพบ บอ่ ยในชุมชนโบราณสมัยก่อนประวตั ิศาสตร์หลายแห่งทั่ว
โลก เนื่องจากทองแดงเกิดขึ้นตามธรรมชาติ กระจัดกระจายทั่วไปในแทบทุกภูมิภาค ในขณะที่ทองคําและเงิน
เกิดขึ้นอย่างจํากัดในบางนภูมิภาคเท่านั้น หลักฐานทางโบราณคดีแสดงให้เห็นว่ามนุษย์เริ่มรู้จักใช้ทองแดงเมื่อ
ประมาณ 8,000- 9,000 ปมี าแล้ว แหล่งโบราณคดียคุ หินใหมห่ ลายแหง่ ในเอเชียตะวนั ออกกลางเช่น ตุรกี อะนาโต
เลีย และเมโสโปเตเมียพบ เครื่องมือเล็กๆ และเครื่องประดับทําด้วยโลหะทองแดงที่พบตามธรรมชาติ โดย
ระยะแรกนำทองแดงมาตี หรอื กะเทาะหรอื ฝนจนมรี ูปรา่ งท่ีตอ้ งการ ต่อมาจงึ นําเอาทองแดงมาเผาให้อ่อนตัวแล้วตี
ขึ้นรูปเป็น เครื่องมือเครื่องใช้และเครื่องประดับ นับเป็นโลหะชนิดแรกที่มนุษย์นํามาใช้งาน นักโบราณคดีเรียก
ช่วงเวลาที่มนุษย์ใชป้ ระโยชน์จากโลหะทองแดงว่า ยุคทองแดง (Chalcolithit Age) ซึ่งปรากฏหลักฐานใน แหล่ง
โบราณคดีหลายแห่งในเอเชียตะวันออกกลางและยุโรป ซึ่งมีการค้นพบและใช้ทองแดงต่อเน่ืองกนั เป็นเวลานาน
นับพันปี ก่อนที่จะรู้จักผลิตโลหะผสม ของทองแดงกับดีบุกที่เรียกกันว่า สําริด แต่ในประเทศ ไทยไม่ปรากฏ
หลักฐานท่ีแสดงให้เห็นจุดเริ่มตน้ และห้วงเวลาของการใช้ทองแดง พบแต่เพยี งหลักฐานการ ใช้สําริดเมื่อประมาณ
5,000 ปีมาแลว้ การค้นพบทองแดงธรรมชาตใิ นยุคหิน คงเกิดจากเหตบุ งั เอญิ ทองแดงธรรมชาติคงถูกนํา้ พัดพามา
จากตน้ กําเนิดมาตามแม่น้ำสาธาร หรืออาจพบทองแดงธรรมชาติ ปะปนอยกู่ ับแรท่ องแดงและก้อนหนิ ตามแนวเชิง
เขา ลักษณะและสีสันของทองแดงเปน็ สีแดงแวววาวสะดดุ ตาปะปนอยู่กับแรท่ องแดงทมี่ ีสีสวยงาม โดยเฉพาะอยา่ ง
ยิง่ เมื่อทองแดงสมั ผสั กับอากาศและสารประกอบ ต่างๆ ในสงิ่ แวดล้อม จะเกิดสนิมของทองแดงซึ่งมีสีต่างๆ เช่น สี
แดง เขียว ฟ้า น้ำเงิน แตกต่างจากก้อน กรวด ก้อนหินทั่วๆไป จึงเป็นจุดดึงดูดความสนใจมนุษย์ยุค นั้น ใน
ระยะแรกคงเกบ็ มาใชง้ านอย่างอ่นื เชน่ ทําเครื่องประดับ การขุดค้นทางโบราณคดใี นอานาโตเลียพบจร้ี ทาํ ด้วยแร่
ทองแดงสีเขียว (มาลาไคต์) ในชัน้ ดินทก่ี ําหนดอายปุ ระมาณ 10,000 ปมี าแลว้ และพบลูกปัดทาํ ด้วยแร่ทองแดงสี
เขียว (มาลาไคต์)และแร่ทองแดงสีน้ำเงิน(อซูไรต์) จากแหล่งโบราณคดีในตุรกีที่กำหนดอายุ 8,750-9,250 ปี
มาแล้วภายหลัง จึงค้นพบว่า เมื่อนำทองแดงธรรมชาติมาทุบ หรือฝน หรือกะเทาะจะได้ผโลหะที่มีความมันวาว
สามารถตีให้แบนแผ่เป็นแผ่น ทําเป็นรูปร่างที่ไม่ซบั ซ้อนได้ แต่มีช้อจํากัดที่ทองแดงธรรมชาติที่ผ่านการตีจะแขง็
21
และเปราะกว่าทองแดงธรรมชาติที่ไม่ผา่ นการตี จึงไม่สามารถตีเป็นวัตถุที่มีรูปทรงสามมติ ิที่ต้องการได้ วัตถุที่ทํา
ด้วยทองแดงในยุคแรกๆ ที่พบในเอเชียตะวันออกกลาง จึงเป็นลูกปัด เข็มหมุด อุปกรณ์ปลายแหลม คล้ายเข็ม
ขนาดใหญ่ ตอ่ มามนษุ ยพ์ บวา่ เมื่อเผาทองแดงท่ผี า่ นการตขี ึน้ รปู แลว้ และให้ร้อนประมาณ 450 องศาเซลเซยี ส แลว้
ทิ้งให้เย็นตัวอย่างช้าๆ จะช่วยให้ทองแดงนั้นอ่อนตัว และเปราะน้อยลงจนสามารถติให้แบนหรือรีดได้โดยไม่
แตกหกั จงึ มีการทําเครอื่ งมือเครือ่ งใช้และเครื่องประดับท่มี ีขนาดใหญ่ขนึ้ และมี รปู ทรงซบั ซอ้ นขนึ้ ได้ แต่เน่ืองจาก
ทองแดงธรรมชาติพบน้อยมากไม่เพียงพอตอ่ การใชง้ านเปน็ จํานวนมาก ประกอบกับกระบวนการผลิตค่อนข้างยาก
ตอ้ งอาศยั ความชาํ นาญเฉพาะด้านและใชเ้ วลายาวนานในการ ผลติ โดยจะต้องนําทองแดงมาตีขึน้ รูปขณะเย็นหรือ
ร้อน ทองแดงจึงมใี ชเ้ ฉพาะชนช้ันปกครองหรอื ผู้มอี ํานาจในแตล่ ะชมุ ชน ในระยะต่อมา มกี ารคน้ พบวธิ แี ยกทองแดง
ออกจากแรท่ องแดง โดยใช้ความร้อนสูง ซึง่ เรียกว่าวิธถี ลุง (Smelting) เน่อื งจากในแหลง่ ที่มีทองแดงธรรมชาติจะ
พบแร่ทองแดงปะปนอยู่ด้วยเสมอ มนุษย์ยุคทองแดงคงพบเห็นคุ้นเคยกับแร่ทองแดงที่มีลักษณะเป็นก้อนหินสี
แปลกๆ แล้วระหว่างที่ค้นหา ทองแดงธรรมชาติและคงเก็บมาสะสมไว้ แต่ยังไม่ทราบว่าจะนํามาใช้ประโยชน์
อย่างไร คาดว่าในระยะ ตอ่ มา คงค้นพบโดยบังเอิญว่าเมอ่ื นําแร่ทองแดงเหล่าน้ันมาวางรอบกองไฟ หรือ เผาด้วย
ความร้อนสูงจะได้ โลหะหลอมเหลว ที่เมื่อเย็นตัวแล้วจะกลายเป็นโลหะทองแดงเหมือนทองแดงธรรมชาติ ที่
สามารถขึ้นรปู โดยการตีทําเป็นเครือ่ งมอื เคร่อื งใช้ และเครอื่ งประดับ นักโบราณคดขี ุดพบตะกรัน หรอื ข้แี ร่ ที่เกิด
จาก การถลุงทองแดงจากแหล่งโบราณคดีในอะนาโตเลีย ซึ่งกําหนดอายุประมาณ 8,000 ปีมาแล้ว ทองแดง
บริสุทธิ์ เป็นโลหะที่อ่อนจึงมีข้อจํากดั ในการใช้งาน ไม่สามารถใช้ทำเครื่องมือเครื่องใช้ที่ต้องการความแข็ง และ
ความคมได้ นอกจากนี้ยังไม่ทนทานต่อสภาพแวดล้อม เกิดสนิมได้ง่าย ต่อมามีการค้นพบโลหะที่แข็ง ขึ้น และ
ทนทานตอ่ สภาพแวดลอ้ มไดด้ ีข้ึน
หลักฐานจากโบราณคดีหลายแหง่ ในเอเชยี ตะวันออกกลางทกี่ ําหนดอายุประมาณ 5,000 - 6,000 ปี มาแล้ว
พบวัตถุทท่ี าํ จากทองแดง ทม่ี ีอาร์ซีนิคปะปนอยู่เล็กนอ้ ยไม่เกนิ 2% จากการศึกษาอย่างละเอยี ด นักวจิ ยั หลายคนมี
ความเห็นตรงกนั ว่า น่าจะเปน็ การนําแรท่ องแดงท่มี ีอาร์ซีนิคผสมอยู่มาเผาให้ หลอมเหลว โดยไม่ได้แยกอาซีนิคอ
อก ทําให้ไดโ้ ลหะผสมของทองแดงกับอาร์ชีนิค เรียกวา่ ทองแดงอาร์ซนี คิ (arsenical copper) จัดเป็นโลหะผสม
ตามธรรมชาติ ยังมใิ ชโ่ ลหะผสมที่แท้จริง โลหะดังกลา่ วมสี ีทอง สวยงามและแข็ง สามารถใช้ทาํ อาวุธและเคร่ืองใช้ท่ี
ทนทานได้ดีกว่าทองแดง โลหะที่ผลิตจากแร่ทองแดงที่ มีอาร์ซีนิคผสมอยู่จึงเป็นที่นิยมมากในยุคนั้น โดยที่ช่าง
โลหะเหล่านั้นคงยังไมเ่ ข้าใจเหตุผลที่แท้จรงิ ว่าอาร์ซี นิคเป็นต้นเหตใุ ห้เกดิ คุณสมบัติดงั กล่าว แต่คงเข้าใจว่าหาก
ต้องการโลหะที่มคี ุณสมบตั ิ เชน่ น้ีตอ้ งเลอื กแร่ ทองแดงชนดิ นี้ โลหะผสมตามธรรมชาติอีกชนิดหน่งึ คือ ทองเหลือง
(brass) ซึ่งเป็นโลหะผสมของทองแดง กับสังกะสี มีสีคล้ายทอง เนื่องจากบางภมู ภิ าค แร่ทองแดงซัลไฟด์ เกิดข้นึ
ร่วมกบั เหล็กซัลไฟด์ ตะกว่ั ซลั ไฟด์ และสงั กะสีซัลไฟด์ ผลการวิเคราะหโ์ ลหะผสมของทองแดงท่ขี ุดคน้ พบในช้ันดิน
ที่กําหนด อายุ 4,000 – 4,200 ปีมาแล้ว พบโลหะผสมของทองแดงที่มีสังกะสีปะปนอยู่เล็กน้อย เป็นโลหะผสม
ตาม ธรรมชาติ ที่เกิดจากการใช้แร่ทองแดง ที่มีสังกะสีเจือปน สองพันปีต่อมาจึงพบสําริดที่มีสังกะสีผสมอยู่
เลก็ นอ้ ย แสดงว่าได้มีการใช้แร่ทองแดงท่ีมีสงั กะสีผสมอยู่ มาหล่อหลอมกับแร่ดีบกุ ในขณะเดยี วกนั กพ็ บ สําริดท่ีมี
นิกเกิลผสมอยดู่ ้วยเล็กน้อย แสดงวา่ มีการใช้แร่ทองแดงอกี ชนิดหนึ่ง ที่มีนิกเกิลและสงั กะสเี จือปน ในสมยั หลังๆ มี
22
การใชแ้ ร่ชนดิ น้ีในการผลิตโลหะผสมสีขาวท่เี รยี กว่า ทองเหลอื งสขี าว ลักษณะคล้าย ทองเหลอื งทม่ี ีสังกะสีปริมาณ
สูง มีความแข็งแกร่ง และสามารถดึงหรือรีดได้ดี โลหะชนิดนี้ จีน ผลิตเป็นสินค้าออกส่งไปขายยุโรปเพื่อทําซ้อม
ส้อม มดี และอุปกรณ์บนโตะ๊ อาหาร จนกระท่งั เมอื่ 800 ปีมาแลว้ ชา่ งโลหะชาวจนี สามารถผลติ ทองเหลืองที่เกิด
จากการผสมทองแดงกับสงั กะสี ในอัตราสว่ นคงท่ี 10- 40% เปน็ โลหะผสมของทองแดงกับสงั กะสีแท้จริง แสดงว่า
ชา่ งโลหะเพ่งิ คน้ พบวิธีแยกสังกะสอี อกมาจาก แร่สังกะสแี ลว้ นํามาใช้ในลักษณะ สังกะสีบรสิ ุทธิ์หรือนํามาผสมกับ
ทองแดง การขุดคน้ ทางโบราณคดแี สดง หลักฐานการใชส้ ังกะสมี ากมาย เชน่ การใช้เงินตราท่ีทําจากสงั กะสีในสมัย
ราชวงศ์หมิง (ค.ศ.1368 - 1644) ก้อนโลหะสังกะสีจึงเป็นสินค้าออกของจีนที่ส่งไปขายในยุโรปในสมัย
คริสต์ศตวรรษที่ 15 – 16
คุณสมบตั ิของโลหะ
จากท่ไี ดก้ ลา่ วไวแ้ ล้ว ในหัวข้อที่ผ่านมา โลหะคือธาตทุ ี่ได้จากการถลงุ แร่ ซึ่งมีคุณสมบัติสําคัญ เป็นตัวนํา
ไฟฟ้า และความร้อนที่ดี มีจุดหลอมเหลวสูง เมื่อขัดผิวจะเป็นเงา ตีแผ่หรือดึงเป็นลวดได้และ เคาะจะมีเสียงดัง
กงั วานโลหะส่วนมากจะอยใู่ นสถานะท่เี ปน็ ของแขง็ ในอณุ หภมู ิ ธรรมดา (ยกเว้นปรอท) เมื่อโลหะได้รับความร้อนถงึ
จุด หลอมเหลว จะกลายเป็นของเหลวและถ้าร้อนถึงจุดเดือดจะระเหย กลายเป็นไอ โลหะต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นตาม
ธรรมชาติน้ันมมี ากมายหลายชนิด แตล่ ะชนิดก็มีคณุ สมบัตแิ ละ ลักษณะทีแ่ ตกต่างกันออกไป ประโยชน์ท่จี ะได้จาก
โลหะเหล่านี้ ก็ย่อมแตกต่างกันออกไปด้วย นอกจากนัน้ ภายหลังยุคโลหะก็มกี ารนําเอาโลหะต่างชนิดมาผสมกนั
เพื่อให้เกิดคุณลักษณะพเิ ศษเนือ่ งจากใน ระยะแรกๆน้ันใช้โลหะเนื้อบรสิ ุทธ์ิ โดยไม่ผ่านการคัดแยกเอาสิง่ เจือปน
ออก มนษุ ย์จะเอาแร่บรสิ ุทธ์ิ ดังกลา่ วมาทุบให้เปน็ รูปร่างขณะท่ีแรเ่ ยน็ เพราะเปน็ วธิ ีทงี่ า่ ย มาเป็นอาวุธ เครื่องใช้
ตา่ ง ๆ ตอ่ มามนษุ ย์เร่มิ เรียนรกู้ ารทําโลหะให้เปน็ รปู รา่ งต่าง ๆ โดยทุบโลหะขณะทีโ่ ลหะยังรอ้ น แต่ความรู้ในการ
ทาํ โลหะเปน็ รูปทรงตา่ ง ๆ มจี ํากัด และผลจากการใช้งานนนั้ โลหะแตกหัก ชํารดุ งา่ ย ตอ่ มามนุษย์เริ่มเรียนรู้ที่จะ
นํา โลหะต่างชนิดกันมารวมหรือผสมกันทําให้เกิดความแข็ง และความเหนียวขึ้น ฉะนั้นจึงทําให้เกิดโลหะ ๒
ลกั ษณะ คือ
1. โลหะแท้ ( บริสุทธิ์ ) ทเ่ี กิดจากธรรมชาติ
2. โลหะผสม
23
1. โลหะแท้ ( บริสทุ ธ์ิ ) ทเ่ี กดิ จากธรรมชาติ
โลหะแทท้ เี่ กิดธรรมชาติน้นั มีกาํ เนิดแตกตา่ งกันตามลกั ษณะธรณวี ทิ ยามีหลายประเภท เชน่ เกิดจาก
แมกมา เกิดจากน้ํารอ้ น เกดิ จากการสะสม เกิดจากนํา้ ใต้ดิน เกดิ จากแหล่งแร่จากการผพุ ัง แหล่งแร่เหล่านี้จะเกิด
แทรกหรือตกผลกึ อย่ใู นหนิ ชนิดตา่ งๆ เช่น หินอัคนี หนิ ชั้น หินดินดาน หินปนู โลหะ ที่เกิดจากธรรมชาตเิ หลา่ นี้ได้
นาํ มาใชง้ านในรปู แบบท่ีหลากหลายตามแต่ความตอ้ งการทจ่ี ะใช้ แตใ่ นท่ีนีเ้ รา จะมารจู้ กั ถึงประโยชน์ และที่มาของ
โลหะทเี่ รานยิ มนาํ มาใช้ในงานโลหะรูปพรรณ ได้แก่
1.1 โลหะทองคาํ
1.2 โลหะเงนิ
1.3 โลหะทองคาํ ขาว กอ้ นแรท่ องคำ
1.4 โลหะทองแดง
1.5 ดีบกุ และกลุ่มผสมดีบุก
1.6 อลมู ินมั
1.1 โลหะทองคาํ มชี ือ่ ภาษา องั กฤษ ว่า : gold เปน็ ธาตุเคมีทมี่ หี มายเลขอะตอม 79 และสญั ลกั ษณค์ อื Au (มา
จากภาษาละติน ว่า aurum ) ทองคาํ เปน็ ธาตุโลหะทรานซิชัน สเี หลอื งทอง มัน วาวเนอี อ่อนนมุ่ สามารถยึดและตี
เป็นแผ่นได้ ไมท่ าํ ปฏิกริ ิยากับสารเคมี สามารถทําเป็นโลหะผสมไดห้ ลาย ชนิด เชน่ ทองแดงหรือเงนิ
การเกิดของแร่ทองคํา
สรุปจากเอกสารของกรมทรัพยากรธรณี ได้มีการแบ่งการเกิดของแร่ทองคำออกเป็น 2 แบบ
ตามลักษณะท่ีพบในธรรมชาตไิ ดด้ งั นี้
- แบบปฐมภูมิ คือ กระบวนการทางธรณีวิทยา มีการผสมทางธรรมชาติจากน้ำแร่ ร้อน
ผสมผสานกบั สารละลายพวก ซลิ ิก้า ทําให้เกดิ การสะสมตวั ของแร่ทองคําในหนิ ต่างๆ เช่น หนิ อคั นี หนิ ช้นั และหิน
แปร มกี ารพบการฝงั ตวั ของแรท่ องคาํ ในหิน หรือสายแรท่ ่ีแทรกอยใู่ นหิน ซึง่ จะมองไมเ่ หน็ ด้วยตา เปล่า
- แบบทุติยภูมหิ รือลานแร่ คือ การที่หินที่มีแรท่ องคําแบบปฐมภมู ไิ ด้มีการสกึ กรอ่ น และถูกน้ำ
พดั พาไปสะสมตวั ในที่แหง่ ใหม่ เชน่ ตามเชงิ เขา ลาํ ห้วย หรือในตะกอนกรวดทรายในลําน้ำ
24
คณุ สมบตั ิของทองคาํ
มีความแวววาวอยูเ่ สมอ ทองคาํ ไมท่ ําปฏกิ ริ ิยากับออกซิเจนดังนัน้ เมื่อสมั ผสั ถูกอากาศสี ของ
ทองจะไม่หมองและไม่เกิดสนิม มีความอ่อนตัว ทองคําเป็นโลหะที่มีความอ่อนตัวมากที่สุด เป็นตัวนํา ไฟฟ้าที่ดี
ทองคาํ เป็นโลหะชนิดหน่งึ ท่ีสามารถนาํ ไฟฟ้า สะทอ้ นความรอ้ นได้ดี ทองคํามจี ดุ หลอมเหลว 1,064 และ จุดเดือด
2,970 องศาเซลเซียส เป็นโลหะที่มีคา่ ทม่ี คี วามเหนียว (Ductility) และ ความสามารถในการขึ้นรปู (Malleability)
คือจะยืดขยาย (Extend) เมื่อถกู ตี หรอื รดี ในทกุ ทศิ ทาง โดยไม่เกดิ การปรแิ ตกไดส้ งู สุดทองคําบริสุทธิ์ไม่ไวต่อการ
เกดิ ปฏกิ ิริยาเคมี จึง ทนตอ่ การผกุ รอ่ น และไม่เกิด สนมิ เมอื่ สัมผัสอากาศ แตท่ ําปฏิกิริยากับสารเคมบี างชนดิ เช่น
คลอรนี ฟลูออรีน หรอื นาํ ประสานทอง
ทองคําได้รับความนิยมอยา่ งสูงสุดในวงการเครื่องประดับทองคํา เพราะเป็นโลหะที่มีค่า ชนิดเดียวที่มีคุณสมบัติ
พนื้ ฐาน ๔ ประการ ซ่งึ ทําใหโ้ ลหะทองคํามีความโดดเดน่ และเปน็ ทีต่ ้องการเหนอื บรรดาโลหะมคี า่ ทุกชนิดในโลก
คอื
1. งดงามมันวาว (Lustre) สสี ันท่สี วยงามตามธรรมชาติผสานกับความมันวาวก่อให้เกดิ ความ
งามอนั เป็นอมตะ ทองคาํ สามารถเปล่ยี นเฉดสที องโดยการนําทองคําไปผสมกับโลหะมีค่าอ่ืนๆ ชว่ ยเพิม่ ความงดงาม
ใหแ้ ก่ทองคําได้อกี ทางหนึ่ง
2. คงทน (durable) ทองคาํ ไมข่ ้ึนสนิม ไม่หมอง และไม่ผกุ ร่อน แมว้ ่ากาลเวลาจะผ่าน ไปกี่ ก็
ตาม
3. หายาก (rarity) ทองเป็นแร่ที่หายาก กว่าจะได้ทองคํามาหนึ่งออนซ์ (31.167 gram) ต้อง
ถลุงกอ้ นแร่ทีม่ ีทองคําอยู่เป็นจํานวนหลายตนั และต้องขุดเหมอื งลึกลงไปหลายสิบเมตร จงึ ทํา ให้มีค่าใช้จ่ายที่สูง
เป็นเหตุให้ทองคํามีราคาแพงตามต้นทุนในการผลติ
4. นํากลับไปใช้ได้ (reuseable) ทองคําเหมาะสมที่สุดต่อการนํามาทําเป็น เครื่องประดับ
เพราะมีความเหนียวและอ่อนนิ่มสามารถนํามาทําขึ้นรูปได้ง่าย อีกทั้งยังสามารถนํากลับมาใช่ ใหม่โดยการทําให้
บรสิ ุทธ์ิ (purified) ดว้ ยการหลอมไดอ้ กี โดยนบั ครัง้ ไมถ่ ้วน
1.2 โลหะเงิน มชี ่ือภาษา อังกฤษ ว่า : Silver เป็นธาตทุ ม่ี ีหมายเลขอะตอม 47 และ สัญลักษณ์คือ
Ag ( เป็นตัวย่อมาจากคําในภาษาละตินว่า Argentum ) เงินเป็นโลหะทรานซิชันสีขาวเงิน มี สมบัติการนําความ
ร้อนและไฟฟ้าได้ดีมาก ในธรรมชาติอาจอยู่รวมในแร่อื่นๆ หรืออยู่อิสระทั่วไป แต่มักจะ มีปริมาณไม่มากนัก
โดยเฉพาะเงนิ มกั จะอยู่ในออกซไิ ดซโ์ ซนของแหลง่ แรใ่ หญๆ่ มักจะเกดิ อยู่ ๓ แบบ คือ
1. เกดิ ในลกั ษณะบริสทุ ธติ์ ามธรรมชาติ
2. รวมกันกบั ซลั ไฟด์ และรวมกบั โคบอลตแ์ ละนิกเกลิ
3. รวมอยู่กบั ยูเรนไิ นต์
25
เงินบริสุทธิ์นั้นเป็นสีขาว มีลักษณะอ่อนมาก นําไปใช้ ประโยชน์หลายอย่างในสมัยโบราณ
นํามาผสมกับทองแดง เพื่อให้แข็งโดยมีส่วนผสมของเงิน 92.5% ทองแดง7.5% เราเรียกเงินผสมนี้ ว่าเงินสเตอร์
ลิงค์ ใช้ทําเหรียญกษาปณ์สําหรับใช้สอยของประเทศต่าง ๆ ในด้านศิลปกรรม และ เอตสาหกรรมนั้น ใช้ทํา
เครอ่ื งใช้ตา่ งๆ ท่ีเก่ียวกับชวี ิตประจําวนั เช่น ขัน หีบบหุ รี พานต่างๆ มีด ช้อนสอ้ ม ส่วนทางด้านอุตสาหกรรมทาง
เคมีนั้นใช้ทําน้ำยาเคลือบฟิล์มถ่ายรูป น้ำยาล้างรูป กระดาษอัดรูป ทําแบริ่ง ตลอดจนการทําอุตสาหกรรมไฟฟ้า
เพราะเงินเปน็ ตวั นําไฟฟ้าท่ีดีที่สดุ แหล่งกาํ เนิดในประเทศไทยพบปน อยูก่ ับแร่ตะก่ัว ที่จงั หวดั กาญจนบุรี และใน
แหล่งแร่ตะก่ัวเกอื บทุกแห่ง
1.5 โลหะทองแดง (Copper) มีสัญลักษณ์ทางเคมี cu มีเลขเชิงอะตอม ที่ 29 มีค่าจุด หลอมเหลวด
1,083 องศาเซลเซียส มีความสามารถที่จะถูกดึงเป็นเส้นได้ มีค่าความสามารถในการนําไฟฟ้า และความร้อนสงู
โดยสภาวะปกตทิ องแดงสามารถทนต่อการเกดิ สนมิ ได้ดีแรท่ องแดงทพี่ บตามธรรมชาตมิ ีมากมายหลายชนิด ซ่ึงที่มี
ความสําคัญในการผลิตโลหะทองแดงส่วนมากจะเป็นแร่ประเภทซัลไฟด์ มีสอง ชนิดคือ แร่ทองแดง คาลโคไซด์
(chalcocite) (Cu2s) มี Cu ประมาณ 79.8 และแร่ทองแดงคาลโคโพโรต์ (chalcopyrite) Cu Fes2) มี Cu
ประมาณ 34.5% นอกจายแร่ซัลไฟดแ์ ลว้ ยงั มแี ร่ทองแดงออกไซด์ C2o) แต่ปรมิ าณที่พบมนี ้อย แรท่ องแดงอีกชนิด
หนึ่งที่เป็นแร่ทองแดงคาร์บอเนต Cuco3 (OH2) เรียกกันทั่ว ๆ ไปว่า Malachite มีสีเขียวสวยงามมาก สําหรับ
ประเทศไทยนั้นแร่ทองแดงพบที่จังหวดั เลย หนองคาย ขอนแก่น นครราชสีมา ตาก อุตรดิตถ์ แพร่ น่าน ลําปาง
ลาํ พูน เพชรบูรณ์ ลพบุรี ฉะเชงิ เทรา และกาญจนบรุ ี
สมบัติและประโยชนข์ องทองแดง
- โลหะทองแดงท่ีมีความบริสุทธิ์ 99.95 ข้นึ ไป จะมปี ระสทิ ธิภาพในการนําไฟฟ้า ได้ดีมาก จึง
ถกู นํามาใชม้ ากในอตุ สาหกรรมการผลติ อปุ กรณไ์ ฟฟา้ และอเิ ลก็ ทรอนิกส์
- ใชโ้ ลหะทองแดงทาํ ท่อในอปุ กรณ์ต้เู ยน็ และเครื่องปรบั อากาศ
- ใช้ทาํ อุปกรณ์เก่ียวกบั รถยนต์ อาวธุ เหรียญกษาปณ์ และดวงตราตา่ งๆ
- ใช้เป็นส่วนประกอบในโลหะหลายชนิด เช่น โลหะผสมระหว่างทองแดงกับนิกเกิล มี ความ
เหนยี ว ทนตอ่ การกัดกรอ่ นได้ดี โดยเฉพาะในน้ำทะเลจงึ ใช้ทําทอ่ ในระบบกล่ัน อุปกรณ์ภายในเรือ
26
ทองแดง มีมากหลายชนิด สิ่งหรือคล้ายทองเหลืองแก่ (คาลโคไพไรต์) เป็นแร่ทองแดง ปนเหล็ก ปน
กำมะถัน สีทองเหลืองแก่เกือบดำ แต่สําหรับประเทศไทยมักจะเป็นสีสนิมเสมอ สีเขียวปนน้ำเงิน เขียวปนม่วง
ลักษณะแร่ เป็นลูกกลมเกาะกันคล้ายพวงองุน่ มักจะพบในสายของ แร่ควอร์ตซ์ และหินขา้ งๆ ควอร์ตพวกใดออ
ไรต์ ซึ่งเปน็ หินอัคนี แรท่ องแดงนัน้ มหี ลายชนิด เชน่ คาลโคไพไทด์ คาลโคไพไพต์ คาลโคไซต์ อะซูไรต์ ซงึ่ อะซูไรต์
นั้น เราพบมากในเขตจันทึก (ปัจจุบันคือ อําเภอสีคิ้ว) จังหวัดนครราชสีมา อุตรดิตถ์ นาน ลําปาง ตาก ทองแดง
นํามาใช้ในงานโลหะรูปพรรณ โดยการนาํ มาถลงุ แล้วรีดเปน็ แผ่นบางๆ มีความหนาตามท่ีต้องการ หรือชักเป็นเส้น
ลวดหลายๆ ขนาดด้วยกัน ทางด้านอุตสาหกรรมนําไปทาํ สายไฟฟา้ เพราะเป็นสื่อนำกระแสไฟฟา้ ที่ดีรองจากเงนิ
นาํ ไปผสมกันดบี ุก หรอื สงั กะสีและตะกัว่ กจ็ ะเป็นทองเหลอื ง ทมี่ ีเปอร์เซ็นต์แตกต่างกัน
27
แบบทดสอบก่อนเรยี น-หลังเรียน หนว่ ยที่ 1
หลกั สตู ร หลักสูตรประกาศนียบตั รวชิ าชพี พทุ ธศักราช 2562 สอนคร้ังท่ี 1-2
รหสั วิชา20315-2005 ชอ่ื วิชา งานขนึ้ รปู เบ้ืองต้น เวลา 14 ชม.
ช่ือหน่วยการเรยี นรู้ ความหมายและรปู แบบงานโลหะรปู พรรณทใ่ี ช้รปู ทรงเรขาคณิตเกีย่ วกับงานขน้ึ รปู เบือ้ งตน้
ชอ่ื เรือ่ ง ความรู้เก่ียวกบั รูปแบบงานโลหะรปู พรรณทีใ่ ช้รูปทรงเรขาคณิตเก่ยี วกบั งานขน้ึ รปู เบ้ืองตน้
คำช้ีแจง ให้นกั ศกึ ษาทำข้อสอบโดยใชเ้ วลาในการทำข้อสอบ 20 นาที
1. โลหะไดท้ ี่เหมาะกับการฝกึ งานข้ึนรูปเบอ้ื งต้น ( 3 คะแนน)
............................................................................................................................. .............................................
..........................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .............................................
2. รูปทรงเรขาคณติ เปน็ อยา่ งไร และมีความสำคัญอย่างไรมคี วามสำคัญอยา่ งไรใรงานข้นึ รูป
( 3 คะแนน)
............................................................................................................................. .............................................
............................................................................................................................. .............................................
..........................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .............................................
............................................................................................................................. .............................................
..........................................................................................................................................................................
3. ประเภทของกระบวนการข้นึ รูปโลหะแบง่ ได้กปี่ ระเภท แล้วแต่ละประเภทมคี วามแตกต่าง กนั อยา่ งไร
จงอธบิ ายโดยละเอียด( 4 คะแนน)
............................................................................................................................. .............................................
..........................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .............................................
.............................................................................................................................. ............................................
..........................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .............................................
28
ใบงานท่ี1 หน่วยท่ี 1
หลกั สูตร หลกั สตู รประกาศนียบตั รวิชาชีพ พทุ ธศักราช 2562 สอนครงั้ ท่ี 1-2
รหัสวชิ า20315-2108 ช่ือวชิ า งานข้นึ รปู เบื้องต้น เวลา 14 ชม.
ชือ่ หนว่ ยการเรียนรู้ ความหมายและรปู แบบงานโลหะรูปพรรณท่ีใช้รปู ทรงเรขาคณติ เก่ยี วกบั งานขน้ึ รูปเบอ้ื งต้น
ชอื่ เรอ่ื ง ความร้เู กีย่ วกับรปู แบบงานโลหะรปู พรรณท่ีใช้รปู ทรงเรขาคณิตเก่ียวกับงานข้นึ รปู เบอื้ งตน้
1. จุดประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม
1.1 บอกลักษณะงานข้ึนรูปโลหะรูปพรรณเบอ้ื งต้นที่ใชร้ ูปแบบและรปู ทรงเรขาคณติ
ได้ถูกต้อง
1.2 บอกประเภทและลักษณะลวดลายงานข้นึ รปู เบอ้ื งตน้ ได้ถูกต้อง
1.3 บอกชนดิ ชนิดของโลหะทีน่ ำมาปฏบิ ัติงานข้นึ รปู เบอ้ื งต้นไดถ้ กู ตอ้ ง
1.4 แสดงพฤตกิ รรม การจดบนั ทึกเขา้ เรียนตรงเวลาถกู ตอ้ ง
2. สมรรถนะ
2.1 รแู้ ละเข้าใจเกยี่ วกบั งานขนึ้ รูปโลหะรูปพรรณเบอ้ื งต้นท่ใี ชร้ ูปแบบและรูปทรงเรขาคณติ
2.2 รู้และเขา้ ใจเกี่ยวกับประเภทและลักษณะลวดลายงานขึ้นรปู เบือ้ งตน้
2.3 แสดงความรู้เก่ยี วกบั ชนิดชนดิ ของโลหะท่นี ำมาปฏบิ ตั งิ านขนึ้ รูปเบ้อื งตน้
2.4 มกี จิ นิสยั ทด่ี ีในการเรยี น
3. เครือ่ งมือ วสั ดุ และอุปกรณ์
3.1 คอมพิวเตอร์
3.2 แทปเล็ต
3.3 Smartphone
4. การมอบหมายงาน
ใหน้ กั เรยี นสรุปเนือ้ หาความสำคัญของเร่อื งอยา่ งครบถ้วน จาก สอ่ื และใบความรู้ท1่ี และทำแบบทดสอบ
พรอ้ มนำเสนอในรปู แบบรายงานนำเสนอในรปู แบบเพาว์เวอร์พอยต์
5. การประเมินผล
แบบทอสอบกอ่ นเรยี นและหลังเรยี น
6. เอกสารอ้างอิง/เอกสารค้นคว้าเพิ่มเตมิ
เอกสารหนงั สืออิแลค็ ทรอนิก E – Book
7. เกณฑก์ ารประเมินผลงาน 29
ประเด็นการประเมนิ ค่านำ้ หนัก แนวการใหค้ ะแนน
คะแนน
รวมคะแนน
30
แบบประเมนิ พัฒนาการปฏบิ ตั ิงานของนักเรียน
หน่วยการเรยี นรู้ที่ 1 ความหมายและรปู แบบงานโลหะรูปพรรณทีใ่ ช้รปู ทรงเรขาคณิตเกีย่ วกบั งานขึน้ รปู เบือ้ งตน้
ระดบั ชัน้ ปวช.2
ชอื่ เรอื่ ง ความรู้เกย่ี วกบั รปู แบบงานโลหะรปู พรรณท่ใี ชร้ ปู ทรงเรขาคณติ เกยี่ วกบั งานขน้ึ รปู เบ้อื งต้น
คำชี้แจง
1. ใหน้ กั เรียนบันทึกคะแนนท่ีไดจ้ ากการทำแบบทดสอบก่อนเรยี นหลงั เรยี นของแตล่ ะคนลงในชอ่ งคะแนน
แบบทดสอบ
2. ประเมินผลคะแนนพัฒนาการในการเรยี นรโู้ ดยเปรยี บเทยี บเกณฑค์ ะแนนพัฒนาการแล้วทำเคร่ืองหมาย √ ลง
ในชอ่ ง ความหมายของการพัฒนาการเรียนรใู้ ห้ตรงกบั ความเป็นจรงิ
เลขที่ ชื่อ - นามสกลุ คะแนนแบบทดสอบ คะแนน พัฒนาการในการเรียนรู้
นกั เรยี น ก่อนเรยี น หลังเรียน พัฒนาการ ดีมาก ดี ปานกลาง ปรบั ปรงุ
(ก่อน-หลัง)
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
เกณฑ์คะแนนพัฒนาการ ลงช่ือ............................................ผู้ประเมิน
9-10 = ดีมาก (นายนฏั ฐก์ ิตต์ จุลพรรณ)์
7-8 = ดี ........./.........../2564
31
แบบสังเกตการทำงานและประเมนิ ผลพฤติกรรมรายบุคคล
หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 1 ความหมายและรูปแบบงานโลหะรปู พรรณที่ใชร้ ปู ทรงเรขาคณิตเกีย่ วกับงานขึ้นรปู เบ้ืองตน้
ระดับชั้น ปวส.1/1
ช่อื เร่อื ง ความรู้เกยี่ วกับรูปแบบงานโลหะรปู พรรณทใี่ ช้รปู ทรงเรขาคณิตเกีย่ วกบั งานขึ้นรูปเบ้ืองต้น
พฤตกิ รรมระดบั คะแนน
เลขท่ี ชอ่ื -นามสกุล ความ การมสี ว่ น การตอบ ยอมรับ ทำงาน
นกั เรยี น ตงั้ ใจและ รว่ มใน คำถาม และรบั ฟัง เสรจ็ ตามท่ี รวม
ปฏบิ ัตงิ าน การแสดง ความ ได้รบั
ความ คดิ เหน็ มอบหมาย
คิดเห็น ของผ้อู ื่น
4 321432 1432 1432 1432 1
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
เกณฑ์การใหค้ ะแนน เกณฑ์การประเมิน คะแนนเตม็ 20 คะแนน
ระดบั 5 หมายถึง มีพฤตกิ รรมในระดับ ดีมาก คะแนน 17 – 20 หมายถงึ ดีมาก
ระดบั 4 หมายถงึ มพี ฤตกิ รรมในระดบั ดี คะแนน 13 – 16 หมายถงึ ดี
ระดบั 3 หมายถึง มพี ฤติกรรมในระดับ พอใช้ คะแนน 9 – 12 หมายถึง พอใช้
ระดบั 2 หมายถงึ มพี ฤตกิ รรมในระดบั ปรบั ปรุง คะแนน 5 – 8 หมายถงึ ปรบั ปรุง
ระดบั 1 หมายถงึ มีพฤตกิ รรมในระดับ แย่ คะแนน 1 – 4 หมายถึง แย่
เกณฑก์ ารผ่าน ร้อยละ 60 (9คะแนน)
ลงชอื่ ............................................ครผู ูส้ อน/ผปู้ ระเมิน
(นายนฏั ฐ์กติ ต์ จุลพรรณ์)
........./.........../2564
31
แผนการจดั การเรยี นรูน้ ำหลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งบูรณาการการจดั การเรียนการสอน
วิชา งานขึน้ รูปเบ้ืองตน้ รหัสวิชา 20315-2108
หน่วยท่ี 2 เร่อื ง การใชแ้ ละปรบั แตง่ อุปกรณ์บำรงุ รกั ษาเครือ่ งมอื ทใ่ี ชป้ ฏบิ ตั งิ านขึ้นรปู เบือ้ งตน้
พอประมาณ
1. ใชว้ ัสดุ – อุปกรณ์ งานขนึ้ รปู เบื้องต้น
อยา่ งประหยดั
2. คำนวณวสั ดุที่ทำไม่ใหเ้ หลือเศษทงิ้ ขว้าง
มเี หตุผล มภี ูมคิ ุ้มกนั
3. รจู้ กั หน้าทขี่ องตนเอง 6 ใช้วัสดุ – อุปกรณ์ไมเ่ ปน็ พษิ กับ
4. มีการรับผดิ ชอบในการทำงาน สงิ่ แวดลอ้ ม
5. ปฏบิ ัติงานตามข้นั ตอนดว้ ยความ
7 สาธิตการปฏิบตั งิ านท่ีก่อให้เกดิ
ระมัดระวัง อนั ตรายและผิดพลาดไดง้ ่าย
เงื่อนไขความรู้ / ทกั ษะ เงือ่ นไขคุณธรรม
- มคี วามรู้เกย่ี วกบั วสั ดุอุปกรณ์เครอื่ งมอื เครอื่ งจกั รท่ี - มคี วามรบั ผิดชอบ ขยนั อดทน
ใชใ้ นงานขึน้ รูปเบ้อื งตน้
- มที กั ษะการสร้างหรอื พฒั นา เคร่อื งมือ วสั ดอุ ุปกรณ์ - มีความซ่อื สัตย์ สุจริต
ให้เหมาะท่ีใช้ ในงานเคร่อื งถมขนั ลูกลอย
- มคี วามสามคั คี ช่วยเหลอื ซงึ่ กันและกัน
- มคี วามอดทน อดกลัน้
- ตรงต่อเวลา แตง่ กายถกู ต้องตามระเบยี บ
นำไปสู่
32
เศรษฐกิจ สังคม สิง่ แวดลอ้ ม วฒั นธรรม
1. การร้จู กั พ่ึงพา
1. มวี ิธีชีวติ พอเพียง 1. ดำรงชีวติ และ 1. นำภูมิปญั ญา
ตนเองไดไ้ ม่เปน็
ภาระของสังคม แบ่งปนั ประกอบอาชีพ ท้องถนิ่
2. คิดหรอื ทำสง่ิ ใดก็
ตามส่ิงนั้น ช่วยเหลอื ด้วยวถิ ีไทยและ ประยกุ ตใ์ ช้กับ
จะตอ้ งมคี วาม
ม่นั คงและยั่งยืน เกื้อกลู กนั คำนึงถึง เทคโนโลยีได้
3. ลดรายจ่ายของ
ตนเองและ 2. ผ้เู รยี นเกดิ กลุ่ม สง่ิ แวดลอ้ ม อยา่ งเหมาะสม
ครอบครวั ได้
4. การบรหิ าร เพ่ือนชว่ ยเพื่อน 2. เห็นคุณค่าของ 2. ดำรงชวี ติ และสืบ
กระบวนการ
กล่มุ สามารถ ในการเรยี น สง่ิ แวดล้อมและ สานวัฒนธรรม
จดั การได้อย่าง
ประหยดั และได้ 3. เกิดกลุ่มผู้เรียนท่ี ชว่ ยอนุรกั ษฟ์ นื้ ฟู ไทย
ประโยชน์
5. สรา้ งงานสรา้ ง เป็นต้นแบบ สิ่งแวดลอ้ ม 3. มแี บบแผนและ
รายไดด้ ว้ ย
ตนเอง ภาวะผูน้ ำใน 3. ห้องเรยี นมคี วาม วฒั นธรรมการ
สถานศึกษา เป็นระเบียบ ดำรงชีวติ ด้วยวถิ ี
4. เกดิ สงั คมทม่ี ีการ เรียบรอ้ ย พอเพยี ง
ส่อื สารพดู จา 4. กจิ กรรม 4. เกิดวฒั นธรรม
สภุ าพเรียบร้อย โครงการชว่ ย การใชภ้ าษาที่
ก่อใหเ้ กิดความ สภุ าพใน
สะอาดเป็น สถานศกึ ษา
ระเบียบ เชน่ การ
เรียบร้อยของ ทักทาย การใช้
อาคารสถานท่ี ภาษาในการ
ผเู้ รียนมีบุคลิกภาพท่ีดีมี แสดงไมตรีจิต
มารยาทใน ต่างๆ
เกิดวฒั นธรรมรักการอ่าน
และการส่ือสารเชิง
สรา้ งสรรค์ในสถานศึกษา
สมดุล / ม่ันคง / ยัง่ ยนื
33
แผนการจัดการเรยี นรู้ หน่วยท่ี 2
หลักสตู ร หลกั สูตรประกาศนียบตั รวชิ าชีพ พทุ ธศักราช 2562 สอนครัง้ ที่ 3
รหัสวิชา20315-2108 ช่อื วิชา งานขน้ึ รปู เบ้อื งตน้ ท-ป-น 1-6-3
ชอ่ื หนว่ ยการเรยี นรู้ หลกั การใชแ้ ละปรับแต่งอุปกรณบ์ ำรุงรักษาเครื่องมอื ทีใ่ ช้ปฏบิ ตั งิ านขึน้ รปู เบอื้ งต้น
ชอ่ื เร่อื ง ใช้และปรบั แตง่ อปุ กรณบ์ ำรุงรักษาเคร่อื งมอื ทีใ่ ชป้ ฏิบัติงานข้ึนรปู เบื้องตน้
ทฤษฎี 1 ชม. ปฏบิ ัติ 7 ช.ม.
สาระสำคญั
วัสดุ อุปกรณ์ เคร่อื งมอื ถือเปน็ สิง่ สำคญั สำหรบั การสรา้ งสรรค์ช้ินงานขึ้นรปู เบอ้ื งตน้ อกี ทั้งการเลือกใชแ้ ละการ
ปรบั แต่งอปุ กรณ์ใหเ้ หมาะสมกับงาน เรียนร้ถู ึงหลักการใช้ การเก็บรักษา และข้อควรระวงั ในการปฏบิ ตั งิ าน
2 สมรรถนะประจำหน่วย
1. แสดงความร้เู กยี่ วกับวัสดอุ ปุ กรณเ์ คร่อื งมอื ท่ีใชใ้ นงานข้นึ รูปเบอ้ื งต้น
2. ปรบั แต่งพฒั นา เคร่อื งมือ อปุ กรณ์ให้เหมาะสมกบั การปฏบิ ัตงิ านขึน้ รปู เบอ้ื งต้น
3.ถอดบทเรียนการจัดกจิ กรรมตามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง
4. มกี ิจนิสัย ทดี่ ีในการเรยี น
3. จุดประสงค์การเรยี นรูป้ ระจำหนว่ ย
3.1 จดุ ประสงค์ท่ัวไป
1. เพือ่ ให้ผู้เรยี นมคี วามรูแ้ ละความเข้าใจเก่ียวกบั วัสดุอุปกรณ์เครอื่ งมือทใ่ี ชใ้ นงานขึน้ รปู เบ้อื งตน้
2. เพ่ือให้ผู้เรยี นสามารถปรับแต่งพัฒนา เคร่ืองมือ อุปกรณ์ใหเ้ หมาะสมกับการปฏบิ ตั งิ านขึ้นรูปเบอ้ื งต้น
3. เพอื่ ให้ผเู้ รยี นนำหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งมาบูรณาการจัดกิจกรรม
หลกั การหลกั การใช้และปรับแตง่ อปุ กรณ์บำรุงรักษาเคร่อื งมือทใี่ ชป้ ฏบิ ัตงิ านขน้ึ รูปเบื้องตน้
4.เพือ่ ให้ผู้เรียนมีกจิ นิสยั ที่ดี ดา้ นการเรยี น ความซื่อสตั ย์ มวี นิ ัย ใจอาสา
3.2 จุดประสงค์เชิงพฤตกิ รรม
1. บอกชนดิ ของวัสดุอุปกรณเ์ คร่อื งมอื ไดถ้ ูกต้อง
2. อธิบายวธิ กี ารใช้วัสดุอุปกรณ์เคร่อื งมือ ได้ถูกตอ้ ง
3. อธบิ ายวิธีการจดั เกบ็ บำรุงรกั ษาใชว้ สั ดุอุปกรณ์เคร่ืองมอื ได้ถกู ตอ้ ง
4. สามมารถปรบั แตง่ พฒั นา เครอ่ื งมือ อปุ กรณ์ให้เหมาะสมกบั การปฏิบตั ิงานขนึ้ รูปถกู ต้อง
5. ถอดบทเรียนการจดั กจิ กรรมตามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งได้ถูกตอ้ ง
34
4. สาระการเรียนรู้
4.1 ชนดิ ของวสั ดุอปุ กรณ์เครอื่ งมอื
4.2 วธิ กี ารใช้วัสดอุ ุปกรณ์เคร่ืองมอื
4.3 วธิ กี ารจัดเกบ็ บำรุงรกั ษาใชว้ ัสดอุ ุปกรณเ์ ครื่องมือ
4.4 ปรบั แตง่ พฒั นา เครื่องมอื อปุ กรณ์ให้เหมาะสมกบั การปฏบิ ัตงิ านขึน้ รูป
5. กิจกรรมการเรยี นรู้
5.1 ข้ันนำเข้าสู่บทเรียน 30 นาที
1. ครผู ้สู อนทำการเชค็ รายชอื่ นักเรยี นก่อนเริ่มบทเรยี น (รับผดิ ชอบ)
2. หัวหน้าชัน้ นำผ้เู รยี นยืนพนมมอื ไหว้กลา่ วทกั ทายสวสั ดีครผู ู้สอน และขานช่อื เพอื่ ยนื ยันการเขา้ เรียน
ตามเวลาทีก่ ำหนดด้วยคำพดู สุภาพ (ความรบั ผดิ ชอบ/สภุ าพ)
3. นำเข้าส่บู ทเรยี นด้วยเทคนิควธิ ีการ เช่น (เล่านทิ าน เล่าเรื่อง/ทายปัญหา /สอบถาม /เกมส์ สะทอ้ น
หลกั ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพียงโยงกับหัวข้อเน้อื หาท่จี ะสอน)
4. ผเู้ รียนฟังด้วยความต้ังใจและจดบนั ทึก (มีวนิ ยั )
5. ครูเกริน่ นำภาพงานขึ้นรูปทรงเรขาคณิต วัสดุ อปุ กรณ์ เครอ่ื งมอื ใหน้ ักเรยี นดู (สนใจใฝร่ ้)ู
6. ครูสอบถามความรู้เกี่ยวกบั วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมอื ที่ใช้ในงานข้นึ รปู เบ้อื งต้น(สนใจใฝ่ร้)ู
5.2 ขนั้ การเรียนรู้ 14 ชั่วโมง
1. ครแู จกแบบทดสอบเพ่ือประเมินพ้นื ความรู้ก่อนเรยี น (ซ่อื สัตย์)
2. ครอู ธิบายประกอบส่ือใบความรู้ที่ 2 ชนดิ วัสดุ อปุ กรณ์ ทใ่ี ช้ในงานข้ึนรปู เบื้องตน้ (ความรู้)
3. ครใู หผ้ ู้เรยี นดูส่อื วดิ ที ัศน์ ความรวู้ ิธีการปรบั แต่งอปุ กรณ์ ท่ใี ช้ในงานขน้ึ รปู เบ้อื งต้น(สนใจใฝร่ ู้)
4. ครูผู้สอนอธบิ ายพรอ้ มสาธิตวิธีใช้ การปรับแตง่ และเก็บบำรงุ รกั ษา เครอ่ื งมอื อปุ กรณ์ งานขน้ึ รูปเบอ้ื งต้น(ความร)ู้
5. ครผู ูส้ อนแนะนำให้ผ้เู รยี นปรับแต่งเครือ่ งมอื งานข้ึนรปู เบื้องต้น พร้อมกับทดสอบเครือ่ งมือท่ีพฒั นา (สนใจใฝร่ ู้)
6. ครูบรรยายสรปุ เนอ้ื หาชนดิ และวธิ ีการใช้เก็บบำรงุ รักษาเครือ่ งมอื ด้วยส่อื Power point (ความรู้)
7. ครูแจกใบงานที่ 2 ถอดบทเรียนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงให้สมาชิกร่วมกันถอดบทเรียน
และสง่ ตวั แทนนำเสนอสรปุ หน้าช้ันเรยี น ( ความรับผดิ ชอบ )
5.3 ขั้นสรปุ
1. ครูตรวจแบบทดสอบ และตรวจเครอื่ งมือสว่ิ สลกั ทพ่ี ฒั นา (ซือ่ สัตย)์
5.4 การวัดและประเมนิ ผล
1. ครูตรวจแบบทดสอบก่อนเรยี นและหลงั เรียน และตรวจเคร่อื งมอื ส่ิวทีม่ กี ารปรับแตง่ (ซื่อสตั ย)์
2. ครูผูส้ อนเปิดโอกาสให้นกั เรียนซกั ถามขอ้ สงสยั และตอบคำถาม (สนใจใฝร่ )ู้
3. ครูตอบคำถามและสรปุ เน้อื หา (ซือ่ สตั ย)์
4. ครมู อบหมายงานใหผ้ ้เู รยี นเตรียมเครอ่ื งมอื และวัสดเุ พอ่ื เรยี นในสปั ดาห์ตอ่ ไป (ความรับผิดชอบ )
35
5.ใหผ้ เู้ รียนรว่ มกนั ทำความสะอาดและจดั หอ้ งเรียนให้อยูใ่ นสภาพพร้อมใช้งาน (สามคั ค/ี จติ อาสา)
6. สือ่ และแหล่งการเรียนรู้
ครูผู้สอนได้มีการผลิตและใช้สื่อการเรียนรู้ตามบริบทของรายวิชาและเทคโนโลยีประจำห้องสอนและ
ปฏิบตั กิ าร ดงั น้ี
6.1. สอื่ โสตทศั น์
1.) เรยี นรูผ้ า่ นระบบออนไ์ ลน์ Google Meet และส่งงานผ่าน Google Classroom
6.2. โสตทศั น์อุปกรณ์
1.) กระดานอัฉริยะพรอ้ มอุปกรณเ์ ช่อื มตอ่ ระบบเสียง
2.) คอมพิวเตอร์ควบคมุ
3.) แทปเลต็
6.3. ส่ือสง่ิ พมิ พ์
1.) ใบความรู้ วชิ างานเครอ่ื งถมกำไลโป่ง
2.) ภาพประกอบ
3.) ใบงาน
6.4 ส่ือบทเรยี นอเิ ล็กทรอนิกส์
1.) หนังสอื อิแล็คทรอนกิ E – Book
7. หลกั ฐานการเรยี นรู้
7.1หลกั ฐานความรู้
1.) ใบความรู้
2.) สือ่ มัลตมิ ีเดีย กระบวนการข้ันตอนการปรับแตง่ เคร่อื งมอื งานข้ึนรูปเบอื้ งตน้
7.2 หลักฐานการปฏิบัตงิ าน
1.) ใบงาน
2.) ชน้ิ งานที่ครผู ู้สอนมอบหมาย
8. การวัดและประเมนิ ผล
8.1 เครอื่ งมอื ประเมนิ
8.1.1ก่อนเรยี นรู้
วธิ กี ารวัดผล - ทดสอบอตั นยั และปรนยั ก่อนการเรียนรู้
เครอื่ งมือวดั - แบบทดสอบอตั นัย และปรนัย กอ่ นเรยี นรู้
8.1.2 ระหว่างเรียนรู้
วิธกี ารวดั ผล - ประเมินพฤตกิ รรมรายบุคคล
เครื่องมือวัด - แบบประเมนิ พฤตกิ รรมรายบุคคล
36
8.1.3 หลังเรียน
วิธีการวัดผล - ทดสอบหลังเรยี นรู้
เครื่องมือวัด - แบบทดสอบหลงั เรยี นรู้
8.2 เกณฑก์ ารประเมนิ
8.2.1 เกณฑก์ ารวดั ผลสมั ฤทธ์จิ ากแบบทดสอบและใบมอบงานมเี กณฑ์ดงั นี้
ร้อยละ 80-100 หมายถึงผลการเรยี นรูด้ มี าก
ร้อยละ 70-79 หมายถึงผลการเรยี นร้ดู ี
รอ้ ยละ 60-69 หมายถึงผลการเรยี นรปู้ านกลาง
ร้อยละ 50-59 หมายถงึ ผลการเรียนรผู้ ่านเกณฑข์ น้ั ต่ำ
(ควรปรบั ปรงุ ดว้ ยการศึกษาทบทวน)
ต่ำกว่าร้อยละ 50 หมายถงึ ผลการเรียนไม่ผ่านเกณฑ(์ ตอ้ งปรบั ปรุงและ
เรยี นซอ่ มเสริมควรทดสอบการประเมินจนกวา่
จะผ่านข้นั ต่ำ)
8.2.2 เกณฑก์ ารประเมินพฤติกรรมรายบุคคล
8-10 คะแนน หมายถงึ มีพฤตกิ รรมดี
5-7 คะแนน หมายถึงมีพฤติกรรมพอใช้
ต่ำกวา่ 5 คะแนน หมายถึงมพี ฤตกิ รรมทต่ี ้องปรบั ปรงุ
8.2.3 เกณฑก์ ารตัดสิน
2 คะแนน หมายถงึ มีพฤติกรรมในระดบั ปฏิบตั สิ ม่ำเสมอ
1 คะแนน หมายถงึ มพี ฤตกิ รรมในระดบั ปฏบิ ัตบิ างครง้ั
0 คะแนน หมายถงึ มพี ฤตกิ รรมในระดับไมป่ ฏิบตั ิ
8.2.4 เกณฑก์ ารประเมนิ
8-10 คะแนน หมายถึงมพี ฤตกิ รรมดี
5- 7 คะแนน หมายถึงมพี ฤติกรรมพอใช้
ต่ำกวา่ 5 คะแนน หมายถึงมีพฤติกรรมท่ีต้องปรับปรงุ
37
9. บันทกึ ผลหลังการจดั การเรียนรู้
9.1 ข้อสรุปหลังการจดั การเรยี นรู้
ดา้ นผสู้ อน
การจดั การเรียนการสอนในรูปแบบ online off line
สอนได้ครบตามหัวขอ้ ท่ีกำหนดในแผนการจดั การเรียนรู้
สอนได้ไม่ครบตามหัวขอ้ ที่กำหนดในแผนการจัดการเรียนรู้ ยังขาดหวั ข้อ ดงั นี้
แนวทางการแกป้ ัญหาการสอนไมค่ รบหวั ขอ้ ตามแผน
ด้านความพรอ้ มและผลการเรียนรูข้ องผ้เู รียน
จำนวนนกั เรียนทง้ั หมด คน จำนวนนักเรยี นที่เขา้ เรยี น คน
จำนวนนกั เรียนทขี่ าดเรยี น คน
เกณฑ์ท่แี นะนำ คดิ เปน็ รอ้ ยละ ดมี าก(80-100) ดี (70-79) พอใช้ (60-69) ต้องปรับปรงุ (ตำ่ กว่า 60)
1 การตรงตอ่ เวลา ดมี าก ดี พอใช้ ตอ้ งปรบั ปรุง
2 การแตง่ กาย, การปฏบิ ตั ติ ามระเบียบ ดมี าก ดี พอใช้ ตอ้ งปรบั ปรุง
3 ความพร้อม, ความต้ังใจในการเรยี น ดีมาก ดี พอใช้ ต้องปรับปรงุ
4 มคี วามรับผิดชอบงานทีม่ อบหมาย ดมี าก ดี พอใช้ ต้องปรบั ปรุง
5 มคี วามรู้ ความสามารถ ตรงวตั ถุประสงค์ ดีมาก ดี พอใช้ ตอ้ งปรับปรงุ
อน่ื ๆ
9.2 ปญั หา อปุ สรรค
9.3 ข้อเสนอแนะและแนวทางแกป้ ัญหา
ลงชอ่ื ผูส้ อน ลงช่อื หวั หนา้ สาขางาน
(..............................................) (..............................................)
ลงชอ่ื
(นายธรรมนญู เศวตสทุ ธิสริ กิ ลุ )
ครู ทาหน้าทใ่ี นตาแหน่ง
รองผูอ้ านวยการฝ่ายวชิ าการ
หมายเหตุ ปญั หา อปุ สรรคและแนวทางแกป้ ญั หา ผสู้ อนนาไปพฒั นา ในรูปแบบของวิจยั ชน้ั เรียน หรือพฒั นาการจดั การเรียนรูใ้ นครงั้ ตอ่ ไป
38
ใบความร้ทู ี2่ หนว่ ยที่ 2
หลักสูตร หลกั สูตรประกาศนยี บตั รวิชาชพี พุทธศักราช 2562 สอนคร้งั ที่ 3
รหัสวชิ า 20315-2108 ชื่อวชิ า งานขนึ้ รูปเบอื้ งต้น เวลา 7 ชม.
ช.ม.
ชื่อหน่วยการเรียนรู้ หลักการใช้และปรับแตง่ อปุ กรณบ์ ำรุงรกั ษาเครอื่ งมอื ที่ใช้ปฏิบตั ิงานขนึ้ รูปเบื้องตน้
ช่อื เร่อื ง ใช้และปรับแต่งอปุ กรณ์บำรุงรกั ษาเคร่อื งมอื ทีใ่ ช้ปฏบิ ตั ิงานข้ึนรูปเบอ้ื งต้น
ทฤษฎี 1 ชม. ปฏิบตั ิ 7
1. จุดประสงค์การเรียนรู้
1.1 จดุ ประสงคท์ ั่วไป
1.1.1 เพ่ือใหผ้ เู้ รยี นมีความรแู้ ละความเข้าใจเกีย่ วกบั วัสดุอปุ กรณเ์ ครื่องมอื ท่ใี ชใ้ นงานขนึ้ รูป
เบือ้ งต้น
1.1.2. เพอ่ื ให้ผเู้ รยี นสามารถปรบั แต่งพัฒนา เครอ่ื งมอื อปุ กรณใ์ ห้เหมาะสมกบั การปฏิบัตงิ านข้นึ
รปู เบอ้ื งตน้
1.1.3. เพ่ือให้ผ้เู รียนนำหลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียงมาบูรณาการจัดกจิ กรรม
หลกั การหลกั การใช้และปรับแตง่ อปุ กรณบ์ ำรงุ รกั ษาเคร่ืองมอื ที่ใช้ปฏบิ ัตงิ านข้นึ รูปเบ้อื งตน้
1.1.4.เพ่อื ให้ผเู้ รยี นมกี ิจนิสยั ท่ีดี ดา้ นการเรียน ความซ่อื สตั ย์ มีวินยั ใจอาสา
1.2 จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
1.2.1 บอกชนิดของวัสดอุ ปุ กรณ์เครื่องมือ ได้ถูกตอ้ ง
1.2. 2 อธบิ ายวธิ กี ารใชว้ สั ดอุ ุปกรณเ์ ครือ่ งมอื ได้ถูกต้อง
1.2.3 อธบิ ายวธิ ีการจดั เก็บบำรงุ รักษาใชว้ ัสดอุ ุปกรณเ์ ครื่องมอื ได้ถกู ต้อง
1.2.4 สามมารถปรบั แต่งพฒั นา เคร่อื งมอื อปุ กรณใ์ ห้เหมาะสมกบั การปฏบิ ัติงานขนึ้ รูปถกู ตอ้ ง
1.2.5 ถอดบทเรียนการจัดกิจกรรมตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งได้ถกู ต้อง
2. สมรรถนะ
1. แสดงความรูเ้ ก่ียวกับวสั ดอุ ปุ กรณ์เครอ่ื งมือท่ีใช้ในงานขึ้นรูปเบ้ืองต้น
2. ปรับแต่งพัฒนา เครอ่ื งมือ อปุ กรณ์ให้เหมาะสมกบั การปฏบิ ตั ิงานข้นึ รปู เบอ้ื งต้น
3. ถอดบทเรยี นการจดั กจิ กรรมตามหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง
4.มกี ิจนิสัย ทด่ี ีในการเรยี น
39
3. เนื้อหาสาระ
หลกั การใชแ้ ละพัฒนาวสั ดอุ ุปกรณ์เครอ่ื งมอื -เคร่ืองจักร ในงานเคร่อื งถมขนั ลูกลอย
วัสดุ อุปกรณ์ เคร่ืองมอื ที่ใชใ้ นการทาํ งานโลหะ นับเป็นปัจจยั สําคญั อยา่ งหนงึ่ รองจาก ทกั ษะใน
การปฏิบตั งิ าน เพราะการทจี่ ะขึน้ รปู สลักลายใหไ้ ด้ความสวยงามน้ัน นอกจากต้องอาศัย ประสบการณแ์ ลว้ ยงั ต้อง
ข้ึนอปุ กรณท์ พ่ี รอ้ ม มสี ภาพดี และสมบรู ณ์ดว้ ย โดยเฉพาะผู้ทีเ่ ริ่มทําการขนึ้ รปู สลกั ลายใหม่ ๆอาจพบปัญหาใน
การเลือกใช้เครอื่ งมือทไี่ มพ่ รอ้ มแลว้ อาจทําใหเ้ กดิ ความทอ้ ในการฝกึ ฝน จึง หมดโอกาสท่ีจะสร้างความชาํ นาญได้
ฉะน้นั การทจี่ ะเรียนรูจ้ กั เครอื่ งมอื และรกั ษาเคร่อื งมอื นั้นเป็น สง่ิ จําเปน็ ในท่นี ี้จะขอแบ่งเคร่ืองมือตามลักษณะการ
ปฏบิ ัตงิ านข้นึ รปู น้ันออกเปน็ ๓ ส่วนใหญ่ ๆ ด้วยกนั คือ
1. เครอ่ื งมือสาํ หรับ วัด ขดี และเขยี นแบบงาน
2. คอ้ นชนดิ ต่างๆ และเหลก็ สําหรบั เคาะข้ึนรปู
3. เครอ่ื งมือสาํ หรับตัดโลหะ
4. เคร่อื งมือสําหรบั ให้ความร้อน
5. เครือ่ งมือสาํ หรับขดั ตกแตง่ ผวิ และทําความสะอาด
6. เครื่องมอื สําหรบั สลัก
7. ชน้ั รองสลกั
1.เครื่องมอื สาํ หรบั วัดขีดและเขยี นแบบงาน
1.1 เหลก็ ขีด ปลายแหลมทาํ ดว้ ยเหล็กกลา้ สาหรบั ทาเครือ่ งมือใช้เขยี นเสน้ บนโลหะ โดย มีรูปร่างและ
ขนาดแตกตา่ งกนั ดา้ มทาด้วยไม้
1.2 เหล็กนาํ ศูนย์ ทําจากเหล็กกลา้ สาหรบั ทาํ เคร่ืองมือเครื่องใช้ทาํ เครอ่ื งหมายหรอื ให้เกิดรอยลงบน
โลหะหรอื เปิดศูนย์กลางเวลาใช้วงเวยี น
1.3 ไม้บรรทดั ทําจากเหลก็ กลา้ ทช่ี ุบแข็ง มีหนว่ ยวัดเป็นน้วิ ในหนงึ่ น้ิวแบ่งเป็น 4,16,32 และ 64 สว่ น
ใช้สําหรบั งานทว่ั ไปควรใช้ชนดิ ทม่ี ีขนาด 16 น้วิ
40
1.4 ฉากเหล็ก ใชเ้ ขยี นเสน้ และตัดใหไ้ ด้จาก มีชนดิ ต่างกนั โดยท่ัวไปมขี นาด 12 นวิ้ เพราะมหี ัวทป่ี รบั ทํา
มุมต่างๆ ไดต้ ลอดจนใชเ้ ขยี นเส้นขนานหรอื ทดสอบมุมต่างๆ ฉากเหล็กขนาด 24 นว้ิ ใชก้ บั งานขนาดใหญ่หรอื จาก
ใชท้ ดสอบมมุ ฉากได้
1.5 วงเวียน ใช้ทําวงกลม ส่วนโค้งหรอื แบง่ สว่ นต่างๆ ให้ มีขนาดตา่ งกนั เชน่ 5 นว้ิ จะสามารถทาํ วงกลม
ได้ 12น้วิ
1.6เขาควาย ใช้วัดเสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลางของทรงกลม มีลักษณะแบบเดยี วกบั วงเวยี น ซ่งึ ใช้ในการเขียนและ
ทดสอบ
2.. ค้อนชนิดต่าง ๆ และเหลก็ สําหรับเคาะขึ้นรูป
2.1 คอ้ นเหล็กและค้อนออ่ น เปน็ เครอ่ื งมอื ท่ีใชม้ ากกับงานโลหะ เชน่ ใช้ตโี ลหะ หรือเครอ่ื งมืออื่น หรอื ใช้
ในการขึน้ รูป
2.2 คอ้ นหวั กลม เปน็ ค้อนที่ใชท้ ั่วๆ ไป ทาํ จากเหล็กกลา้ สาหรับทําเคร่อื งมือขา้ ง หนง่ึ เปน็ รปู ทรงกลม และ
อกี ข้างหน่ึงมีหนา้ เรยี บโค้งเลก็ น้อย ใช้ตเี หล็ก สกัด หรอื เคาะโลหะ มขี นาด แตกตา่ งกันต้งั แต่ 8 - 16 ออนซ์ ซึ่ง
เปน็ ขนาดทใ่ี ช้มากที่สุด
2.3 คอ้ นย้ำ มีด้ามหนึง่ ตดั ปลายแหลม ใช้สําหรบั หมุด ขนาดที่ใช้มากท่สี ุดคอื ต้งั แต่ 4 ถงึ 12 ออนซ์
2.4 ค้อนพิเศษสาํ หรับลบลอย ใช้สําหรับลบลอยมีลกั ษณะคล้ายคอ้ นขน้ึ รปู แต่มี หนา้ ตัดท่ีมนั เงามากกวา่
ใชส้ ําหรับขดั พืน้ โลหะให้มีเงามนั และเรียบทาํ รปู ร่างตา่ งๆ กัน มกั ใชก้ ับทง่ั พิเศษ หรือทงั่ สําหรบั เคาะโลหะ
2.5 คอ้ นพิเศษสําหรับขึน้ รูป มรี ปู ร่างต่างกนั ค้อนข้ึนรูปมหี น้าคอ้ นค่อนขา้ งโคง้ กลม เพ่ือป้องกนั ไมใ่ ห้เกดิ
รอยคอ้ นบนโลหะขณะทใี่ ช้
2.6 คอ้ นสําหรับทาํ รอย เหมือนคอ้ นลบรอยแต่มหี วั ท่เี ลก็ กว่า ใช้สาหรบั ทาํ รอยบน โลหะ
2.7 คอ้ นพิเศษ สาํ หรบั เคร่ืองมอื ทาํ ลวดลาย ใชก้ บั เคร่อื งมือสาํ หรบั ทําลวดลายต่างๆ
2.8 ค้อนออ่ น ใชส้ าํ หรบั ขนึ้ รปู ตดั พบั งอ โลหะทําดว้ ยไม้เนอ้ื แขง็ ตะกัว่ เป็นรปู ร่าง ตา่ งๆกัน หรอื ทําด้วย
เขาสัตวเ์ รยี กว่าคอ้ นเขาควาย บางชนดิ มีแผ่นหนังปิดรอบอาจทําจากหนังหรอื พลาสตกิ
2.9 ปากกางานโลหะ ใช้สําหรับยึดงานหรือเครอ่ื งมอื ใหง้ านสะดวกยง่ิ ขน้ึ มขี นาด ตา่ งกันเวลาใชค้ วรใชแ้ ผน่
ทองแดงครอบปากเสยี เพอ่ื ปอ้ งกันการเกดิ รอย
41
2.10 ปากกาจับงาน ใช้สําหรบั ยดึ ของหลายๆ สิ่งเข้าด้วยกัน เชน่ แบบตวั C แบบสปรงิ
2.11 กุญแจเล่ือน เป็นเครอื่ งมอื ทีใ่ ชม้ าก มีขนาด 5 นวิ้ - 12 นว้ิ เป็นขนาดท่ี เหมาะสมกบั การใชง้ าน
2.12 คีม ใชส้ ําหรับ ตัด ยดึ จับ ขึ้นรปู งาน มขี นาดและชนิดตา่ งกัน เชน่ แบบตัด ดา้ นขา้ งใช้ทั้งจบั ยึดชิน้ งาน
และตัด มขี นาด 5 น้ิว - 4 น้วิ เป็นขนาดทใ่ี ช้มาก และแบบหวั กลมแหลม แบบ หัวแบน
2.13 แบบสําหรบั งอโลหะ ใช้งอโลหะเส้นโดยประกอบดว้ ยแท่งโลหะหรือไม้ มสี ลัก โลหะสาํ หรับใชง้ อโลหะ
ให้เป็นรูปรา่ งตา่ ง ๆ กัน
2.14 คีมสาํ หรบั จบั งาน ใช้จบั งานร้อนๆ หรืองานทอ่ี ยู่ในน้ํากรด นํ้ายาเคมี มรี ูปรา่ ง ต่างกัน
2.15 ทั้งแผร่ ดี เปน็ เหล็กมนี ้าหนกั มาก ใช้สําหรบั รองรบั โลหะเพอ่ื จะตแี ผ่ หรอื รีดโลหะ
ใหย้ ึดและเรยี บ
2.16 เหลก็ แบบชนิดต่างๆ จะมรี ปู แบบที่เข้ากบั ลกั ษณะต่างๆ กนั จะมีหลายลกั ษณะ เชน่ รูปโค้งรปู กลม รปู
สามเหล่ียม รูปกรวย ฯลฯ
2.17 หลุมไมแ้ บบ จะมลี กั ษณะเปน็ ไม้เน้อื แขง็ ขุดเป็นหลุมโค้งเหมือนรูปกระทะมีขนาดต่างๆกันทง้ั เลก็
และใหญ่ กน้ หลุมมีทัง้ ตืน้ และลึก ขึน้ อยกู่ บั การใช้สอย มหี นา้ ท่ีใช้สําหรบั เคาะขึ้นโครง ข้ันแรกของการ ขึน้ รูปให้
เป็นทรงโคง้ ของงานโลหะรปู พรรณ
42
3. เครอ่ื งมือสําหรับตดั โลหะ
3.1 ใบเล่อื ยตดั โลหะ ลกั ษณะคล้ายเมอ่ื ยฉลไุ ม้ แต่มพี ้นื ท่ีกว่า เปลย่ี นใบเลือ่ นใต้
3.2 เลือ่ ยตดั โลหะ โครงด้วเล่อื นปรับความยาวของใบเล่ือยได้ มีมือจบั แบบปืนพก ใบเลือ่ ยขนาด 5 น้ิว
น้ิว และฟนั 5 - เภ๒ ๆ ใน 8 น้วิ ในเล่ือยทําดว้ ยเหล็กกล้าปกติจะกวา้ ง 60 นวิ้ และหนา 0.25 นิว้ เวลาไสใบเลอ่ื ย
ให้ฟนั ขี้ออกจากคา้ ม
3.3 เล่ือยช่างทอง ใช้ฉลโุ ลหะแผน่ บางๆ มขี นาดต่างกนั ตง้ั แต่ 2.5 น้ิว ถงึ 22 นี้ และมขี นาดตา่ งกนั จาก
ละเอียดจนถงึ หยาบมาก (เบอร์ 4/0 ถงึ เบอร์ 34)
3.4 เหลก็ สกัด ทําจากเหล็กกล้ามีรปู รา่ งและขนาดตา่ งกนั ตามงานทีจ่ ะทํา
3.5 กรรไกร ใชต้ ัดโลหะแผ่นท่ีเป็นเสน้ ตระและส่วนโคง้ มีขนาดตา่ งกนั ชนดิ ทใี่ ช้ มากคอื ขนาด 4 น้วิ ถึง
10 นิ้ว นอกจากกรรไกรแล้วยังมเี ครือ่ งตัดโลหะทีต่ ิดกบั โต๊ะทาํ งานซง่ึ มีขนาด ต่างกนั ด้วย
4. เครอื่ งมือสำหรับให้ความร้อน
4.1 ชุดตะเกยี งเปา่ แลน่ ประกอบด้วย
1. ตวั ป๊ัมลม เรียกว่า ตะพาบ
2. ตะเกยี งสำหรบั ใช้นำ้ มันเช้อื เพลิง
ใช้นํา้ มนั เช้อื เพลิงออกเทน 91
3. สายยาง
4. หัวแร้งสาํ หรบั ให้ความรอ้ นมีคณุ สมบัตใิ หค้ วามรอ้ นโลหะ
ท่มี ขี นาดไม่ใหญม่ ากนักเสน้ ผ่าศนู ยก์ ลางไม่เกนิ 5 นิ้ว
4.2 ชุดก๊าซใหค้ วามรอ้ น ประกอบดว้ ย
1. ถังกา๊ ซ (ใชก้ า๊ ซหุงตม้ )
2. ชุดหัวเป่าสาํ หรบั ใหค้ วามรอ้ นพร้อมสายยาง
ใช้สาํ หรบั ให้ความร้อนโลหะท่ีมขี นาด 5-15 นว้ิ
4.3 จุดเตาเผา ใชใ้ ห้ความร้อนโลหะทม่ี ขี นาดใหญ่
43
มากใชก้ ารสมุ ไฟแลว้ เผาแบบโบราณ
4.4 แผน่ กระดานทนไฟ อาจทําด้วยแกลบเอ็ด กระดาษอดั แข็ง แท่งถ่าน หรอื เปน็ อฐั เผากไ็ ด้ ใชร้ องรบั โลหะใน
ขณะทก่ี าํ ลงั ให้ความร้อน
4.5 คมี จบั ร้อน และปากกานบั ร้อน จะมีหลายขนาด และมีความยาวมากนอ้ ยไม่เท่ากัน ขน้ึ อยู่กับลักษณะของ
งาน
5.เครือ่ งมือสาํ หรบั จัดตกแต่งผิวและทําความสะอาด
5.1 ตะไบตา่ งๆ ใหส้ าํ หรบั ตะไบเก็บผวิ รปู พรรณให้เรียบไมม่ ีรอยครุขระของค้อน
5.2 กระดาษทรายหยาบและละเอียด ใชข้ ัดผิวรูปพรรณช้อกี ครง้ั เพอ่ื ลบรอยตะใน
44
5.3 ยาดนิ เปน็ สารเคมีชนดิ หนึ่งใช้สําหรบั ขัดผิวโลหะใหเ้ ป็นมันเขา้ โดยใช้ผาขนุ มาส้ินแลว้ นามาบัดผวิ
รปู พรรณ
5.4 กรดกาํ มะถันเจือจาง ใช้ทาํ ความสะอาดรูปพรรณดา้ นในและดา้ นนอก
5.5 แปรงทองเหลือง ใช้แปรงรปู พรรณตามซอกเลก็ ๆ ทอ่ี ปุ กรณ์อน่ื เข้าไปทาํ ความสะอาด
6. เครื่องมอื สําหรับสลกั - ตุน
สําหรบั การทาํ งานสลัก - ตนุ ผเู้ ปน็ ช่างมคี วามจาํ เป็นตอ้ งเลือกใช้สวิ สลักลายเส้นให้เหมาะสม กบั ด้วย
และข้ันตอนการตนบน โดยเลอื กใช้สวิ อีกชดุ หนงึ่ คือ สิวคนจะมปี ากหนาและมน ซ่ึงเป็นคนละชุด กับสว่ สลกั ลาย
เป็นเสน้ และหลงั จากตนพูนแล้วก็ตอ้ งตกแต่งพ้นื ตวั และใช้เครื่องมอื ดนอีกแบบหนึ่ง เพื่อให้ เหมาะสมกบั พน้ื ผิว
ของตวั ลายหรอื ภาพท่ีจะสลกั - คุนสิ่วสลกั - ดนุ ทส่ี ําคัญและจาํ เปน็ มอี ยู่ 19 ตัว ซงึ่ มีลกั ษณะของปากดว้ ที่
แตกตา่ งกนั ตามหนา้ ท่ี ซึ่งพอจะจําแนกลักษณะได้ ดังน้ี
1. สิ่วปากโค้ง มี 3 ขนาด คอื เลก็ กลาง ใหญ่
2. สว่ิ ปากตรง มี 3 ขนาด คือ เลก็ กลาง ใหญ่
3. สวิ่ ปากกลม มี 3 ขนาด คือ เลก็ กลาง ใหญ่
4. สวิ ปากเสเี่ หลี่ยมผนื ผ้า และหน้าเรยี บ มี 3 ขนาด คือ เล็ก กลาง ใหญ่
5. สิวปากนหวั บอก มี 3 ขนาด คือ เลก็ กลาง ใหญ่
6. สว่ิ ปากแหลมเลก็ 1 ตวั
6.1 สิ่วสลัก
มลี ักษณะเปน็ แท่ง ทําดว้ ย เหล็กสปรงิ กลม หรอื เหลี่ยมความยาวประมาณ 3-4 นวิ้ สว่ นปลาย แบนเป็น
เส้นตรง เสน้ โค้ง หรือวงกลม อาจใชต้ ดุ๊ ตู่ มาลบคมหรอื ทาํ ขน้ึ มาเองเพอ่ื ให้ไดข้ นาดต่างๆตาม ต้อง การใช้ในการ
เดินแคน้ ตามแบบลาย
6.2สว่ิ ดนุ
มลี ักษณะเปน็ แทง่ ทาํ ด้วยเหล็กสปริง กลม หรือเหลีย่ มความยาวประมาณ 3-4 นว้ิ สว่ นปลาย ของตัวมี
ลกั ษณะโคง้ มน ใชใ้ นการดนุ ลายจากด้านในเพ่ือใหเ้ กิดความนูนของตวั ลาย
6.3. สว่ิ เกบ็ สนั หรอื สวิ ลบู ตัวลาย
45
มีลกั ษณะเป็นสว่ิ หนา้ ตดั ผวิ เรียบ มีทั้งหน้า ส่ีเหล่ียม วงกลม และครึ่งวงกลมขนาดต่างๆ ใชใ้ น การตกแตง่
สนั ลายให้สวดลายมคี วามคมชดั
6.4 สว่ิ ย้ำพนื้ ทราย
มีลักษณะหน้าส่ิวเป็นลายตารางข้าวหลามตัด มที ง้ั หน้าสี่เหล่ียม วงกลม และครึ่งวงกลมขนาดตา่ งๆ ใช้ใน
การยำ้ พน้ื สว่ นท่ีไม่ใช่ตวั สาย เพอื่ แยกส่วนเปน็ พ้นื กันตัวลาย ใหม้ ีความคมชัดขึน้
6.5 เหลก็ เจาะทรงกลม (ตุ๊ตู่)
มีลกั ษณะเป็นเหลก็ ทรงกลมกลวง ตรงปลายเปน็ รวู งกลม สำหรับใช้เจาะรบู นช้นิ งาน มีหลายขนาด
7.ช้นั รองสลกั
เป็นยางไม้ชนดิ หน่งึ นำมาเคย่ี วผสมกบั น้ำมันมะพรา้ ว ดนิ สอพอง เคี่ยวดว้ ยไฟอ่อนให้เขา้ กนั อตั ตราสว่ น
ขนึ้ อย่กู ับความต้องการของช่าง แบง่ เปน็ 2 ประเภทดงั น้ี
7.1 ชั้นน่มี
คือชน้ั ที่ผสมให้มีความอ่อนตวั เพราะมสี ว่ นผสมของนำ้ มนั มากกวา่ ขันสลัก ใชเ้ พอ่ื รองรบั ในขัน้ ตอน การ
ดุนลาย
7.2 ชันสลัก
46
คือชน้ั ท่ีผสมใหม้ ีลักษณะแข็ง เวลาใชง้ านตอ้ งใชค้ วามรอ้ นละลาย และนำช้นิ งานมาผนึก หรอื กรอกลงไปใน
ตัวงาน ใช้ในการลองรบั ตวั ลาย ในการสลักลาย เพอื่ ใหล้ วดลายไมเ่ สยี รปู ทรง
การดแู ลรักษาเคร่อื งมอื
เครือ่ งมอื ต่างๆ ในการทํางานโลหะรปู พรรณดงั กล่าวนน้ั เป็นเพียงเคร่ืองมอื สว่ นยอ่ ยท่ี พอจะหาไว้ได้
ภายในโรงงาน ส่วนท่เี ป็นเครื่องหนักนนั้ ยงั มอี กี มาก แตเ่ หมาะสําหรบั โรงงานอุตสาหกรรม เชน่ เคร่ืองชกั เสน้ ลวด
เครอ่ื งรีดแผน่ โลหะ เคร่ืองขัดโลหะ ฯลฯ ซึง่ ในท่นี ี้จะไม่กลา่ วถึงเครื่องมอื ต่างๆ นัน้ ตอ้ งระวังรกั ษาใหอ้ ย่ใู นสภาพที่
สมบรู ณ์ อยู่ในสภาพดี เก็บให้ถกู ท่ี และควรมีต้แู ขวนเครื่องมอื ใหเ้ รียบร้อย เคร่ืองมอื ทกุ ช้ินตอ้ งระวงั อยา่ ใหห้ ล่น
เพราะอาจทําให้หกั บ่นิ ได้งา่ ยทีส่ ดุ การใช้เครื่องให้ความร้อน ชา่ งตอ้ งเปน็ ผู้เตรยี มและระวังในการใชใ้ ห้มาก เตาไฟ
ถา้ นำออกใช้แล้วตอ้ งรอให้เยน็ ถงึ เกบ็ เขา้ ทีม่ ฉิ นน้ั จะเกิด อคั คภี ยั ในโรงงานควรมคี ีมเหล็กสําหรบั ไวจ้ ับแผน่ โลหะ
เผาไฟ แช่นำ้ กรด ต้องมผี ู้สาธติ การใชเ้ ครืองมอื อยา่ งถูกต้อง เพ่อื ความปลอดภัยของผฝู้ ึกและตัวของขายเอง
ความปลอดภัยในการใชเ้ คร่อื งมือและการทาํ งาน
ในการปฏบิ ตั งิ านในโรงงาน ความปลอดภัยจากการใชเ้ ครอื่ งมอื ตลอดจนอบุ ัติเหตุเป็นเรอ่ื ง สําคญั อนั ดับแรก
การรักษาความปลอดภยั คือ การปฏิบัตติ ามกฎการใชเ้ ครื่องมอื การทาํ งาน ตอ้ งทําตาม ขั้นตอนใช้ความคดิ มคี วาม
รัดกุมไม่ประมาท งานโลหะรปู พรรณนน้ั ต้องใช้คอ้ นเหล็กทมี่ ีนำ้ หนกั มาก ต้องมีการใชก้ รดกัด และใช้ไฟให้ความ
รอ้ น โลหะแผน่ เวลาดดั จะมคี วามคมควรปอ้ งกนั อุบตุ เิ หตุเพื่อความปลอดภัย ดงั น้ี
1. เวลาปฏิบตั ิงานต้องแตง่ กายใหร้ ัดกุม
2. ตอ้ งระลึกเสมอ การใช้เครือ่ งมอื อาจเกดิ อันตรายได้
3. ศึกษาใหร้ จู้ กั การใชเ้ ครอ่ื งมือต่างๆ หนา้ ที่และประโยชนใ์ ช้สอยของเครือ่ งมอื ให้แมน่ ยำ
4. อย่าจบั โลหะทย่ี งั ร้อน หรอื ขณะนําไปแชน่ ้ำกรดดว้ ยมอื เปล่า
5. เมอ่ื เวลาตัดแผน่ โลหะ อยา่ เอามอื ปัดหรือลบู ควรใช้ตะไบแตง่ ขอบใหเ้ รยี บร้อย เสยี กอ่ นแลว้ ปัดดว้ ย
แปรง
ใหห้ มดผงตะใบ
6. การจบั แผ่นโลหะและเครอ่ื งมอื ต่างๆ ต้องจับให้มัน่ คง อย่าจบั แบบหลวมๆ จะทาํ ใหเ้ กิดอนั ตรายได้
7. อย่าทาํ งานในที่ทม่ี แี สงสวา่ งไม่เพยี งพอ
8. ขณะทาํ งานตอ้ งนึกถึงเพื่อนข้างเคียงเสมอ ต้องคาํ นึงถงึ ความปลอดภยั
9. เม่ือจวนจะหมดเวลาเรยี นต้องเก็บเครื่องมือ อุปกรณ์ตลอดจนวสั ดใุ ห้เรยี บร้อย
10. เมอื่ ทาํ งานเสร็จแล้ว ตอ้ งทําความสะอาดเคร่อื งมอื สาํ รวจดูความบกพร่อง เพื่อซ่อมแซมแกไ้ ข แลว้ เป็น
ตามที่ให้เรยี บรอ้ ย
47
แบบทดสอบก่อนเรียน หน่วยท่ี 2
หลกั สูตร หลักสูตรประกาศนยี บัตรวิชาชีพ พุทธศักราช 2562 สอนครั้งที่ 3
รหสั วิชา 20315-2108 ชื่อวิชา งานขนึ้ รปู เบ้ืองตน้ เวลา 1 ชม.
ชื่อหน่วยการเรียนรู้ หลักการใชแ้ ละปรับแต่งอปุ กรณบ์ ำรุงรกั ษาเครื่องมอื ที่ใช้ปฏิบัตงิ านข้ึนรูปเบื้องตน้
ชือ่ เร่อื ง ใชแ้ ละปรบั แต่งอุปกรณบ์ ำรงุ รักษาเครื่องมือทใี่ ชป้ ฏบิ ตั งิ านขน้ึ รปู เบอ้ื งตน้
คำชแี้ จง ให้นกั ศึกษาทำข้อสอบแบบอตั นยั โดยใช้เวลาในการทำข้อสอบ 20 นาที
1. นักศึกษาคดิ วา่ การปรับแตง่ พฒั นาเครื่องมือส่วิ สลกั ในงานขน้ึ รปู เบ้อื งต้น จะสง่ ผลอย่างไรในการ
ปฏิบตั กิ าร
(3 คะแนน)
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
2. การเก็บรกั ษาเคร่ืองมอื ท่ีใชใ้ นการทำงานขนึ้ รปู ควรจะมีวธิ เี กบ็ รักษาอย่างไร อธิบายโดยละเอยี ด(3
คะแนน)
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
3. ลักษณะเครอ่ื งมอื ขน้ึ รูปชนิดใด ใช้สำหรับขนึ้ รูปทรงตลับหกเหลี่ยม โดยบอกประเภท ลักษณะ รวมไป
ถึงหลกั การใช้งาน (4 คะแนน)
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
48
ใบงานท่ี2 หน่วยท่ี 2
หลกั สตู ร หลกั สูตรประกาศนียบัตรวชิ าชพี พทุ ธศักราช 2562 สอนครัง้ ท่ี 3-4
รหัสวิชา 20315-2108 ชอ่ื วชิ า งานข้ึนรูปเบอื้ งตน้ เวลา 14 ชม.
ชือ่ หน่วยการเรียนรู้ หลกั การใช้และปรบั แตง่ อุปกรณบ์ ำรงุ รกั ษาเครอื่ งมือทีใ่ ชป้ ฏิบตั ิงานขน้ึ รูปเบ้ืองตน้
ชอื่ เร่อื ง ใช้และปรบั แต่งอุปกรณบ์ ำรงุ รกั ษาเครือ่ งมอื ท่ใี ชป้ ฏบิ ตั งิ านข้ึนรปู เบ้ืองต้น
1. จุดประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม
1.1 บอกชนดิ ของวัสดุอปุ กรณ์เครอื่ งมอื ได้ถูกตอ้ ง
1. 2 อธิบายวิธกี ารใช้วสั ดุอปุ กรณ์เครอ่ื งมอื ไดถ้ ูกตอ้ ง
1.3 อธบิ ายวธิ กี ารจัดเก็บบำรุงรกั ษาใช้วัสดอุ ปุ กรณ์เครื่องมอื ไดถ้ กู ต้อง
1.4 สามมารถปรับแตง่ พฒั นา เคร่อื งมือ อปุ กรณ์ให้เหมาะสมกับการปฏิบัติงานขน้ึ รูปถกู ตอ้ ง
1.5 ถอดบทเรียนการจดั กิจกรรมตามหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียงได้ถูกต้อง
2. สมรรถนะ
2.1 แสดงความรู้เกี่ยวกับวสั ดอุ ุปกรณเ์ คร่อื งมอื ทใ่ี ชใ้ นงานขึ้นรปู เบอื้ งตน้
2.2 ปรบั แต่งพัฒนา เครือ่ งมอื อุปกรณ์ใหเ้ หมาะสมกับการปฏบิ ตั งิ านข้ึนรปู เบื้องต้น
2.3 ถอดบทเรียนการจัดกจิ กรรมตามหลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง
2.4 มีกิจนิสยั ทีด่ ีในการเรยี น
3. เครอ่ื งมือ วัสดุ และอุปกรณ์
3.1 ตะปคู อนกรีด
3.2 มอเตอร์หินเจียร
3.3 ตะเกียงเป่าแล่น
4. การมอบหมายงาน
ใหน้ ักเรียนศึกษาเครอื่ งมือวัสดอุ ปุ กรณ์ท่ีใชใ้ นการปฏิบตั ิงานข้ึนรปู เบ้งื ต้นอย่างครบถ้วนจากสื่อและใบ
ความรูท้ ่ี2โดยนักเรียนในชนั้ เรียนรว่ มกนั ถอดบทเรยี นการจัดกิจกรรมตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ
พอเพียง และการพัฒนาเครื่องมอื สิ่วสลักของตนเองในรปู แบบและขนาดทกี่ ำหนดคนละ 1 ชดุ พร้อมกบั
ทำแบบทดสอบ
5. การประเมนิ ผล
แบบทอสอบก่อนเรียนและหลงั เรียน
ใบงานท่ี 2 ถอดบทเรียนการจดั กจิ กรรมตามหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง
ตรวจชนิ้ งานเครื่องมอื ส่ิวสลกั ท่พี ฒั นาคนละ จำนวน 1 ชุด