49
6. เอกสารอ้างองิ /เอกสารค้นควา้ เพ่ิมเตมิ
สอ่ื มัลติมีเดยี การพัฒนาเคร่อื งมือสิ่วสลัก รูปแบบไฟล์ mp4
7. เกณฑ์การประเมนิ ผลงาน
ประเด็นการประเมนิ คา่ น้ำหนกั แนวการให้คะแนน
คะแนน
รวมคะแนน
50
ใบงานที่ 2
ชอื่ วชิ า งานขึน้ รปู เบือ้ งตน้ รหสั วิชา 20315-2108 แผนการเรยี นหน่วยท่ี 2
เรื่องหลกั การใชแ้ ละปรบั แต่งอุปกรณบ์ ำรงุ รักษาเคร่อื งมือทีใ่ ช้ปฏิบัติงานขนึ้ รปู เบือ้ งตน้ จำนวน 7 ชม.
ผลงาน/ชิ้นงานสิ่วสลกั ดุนลักษณะต่างๆ ที่ใช้ก่อนการปฏิบตั กิ าร
คำช้ีแจง ให้ผูเ้ รยี นศกึ ษาวเิ คราะห์การใช้ และจัดเก็บบำรงุ รกั ษา เครือ่ งมอื วัสดอุ ุปกรณณ์ท่ใี ช้ปฏบิ ัติงานโดยการ
บูรณาการหลักของปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี งมาใช้ปฏิบัตงิ านตามขนั้ ในหวั ขอ้ ทก่ี ำหนด
หลกั เหตุผลในการสรา้ งชิน้ งานConcept ) หลกั พอประมาณในการสรา้ งชิ้นงาน หลักภูมิคุ้มกันในการสรา้ งชิ้นงาน
เขียนบรรยาย…………………………………….. เขยี นบรรยาย………………………………………….. เขยี นบรรยาย………………………………………..
………………………………………………………… ……………………………………………………………… …………………………………………………………
………………………………………………………… ……………………………………………………………… …………………………………………………………
………………………………………………………… ……………………………………………………………… …………………………………………………………
………………………………………………………… ……………………………………………………………… …………………………………………………………
………………………………………………………… ……………………………………………………………… …………………………………………………………
………………………………………………………… ……………………………………………………………… …………………………………………………………
………………………………………………………… ……………………………………………………………… …………………………………………………………
……………………………………………………… ………………………………………………………………
ความรทู้ ่ีใชส้ รา้ งชิน้ งาน คุณธรรมทใี่ ช้ในการปฏิบตั ิงาน
เขียนบรรยาย…………………………………………………………………………….. เขยี นบรรยาย……………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………..…… …………………………………………………………………………………………..……
……………………………………………………………………………………………….. ………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………..…… …………………………………………………………………………………………..……
……………………………………………………………………………………………….… …………………………………………………………………………………………….…
………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………..…… …………………………………………………………………………………………..……
ระบุผลการเปลย่ี นแปลงอย่างสมดลุ 4 ด้านอยา่ งไรบ้าง
ดา้ นวตั ถุ ด้านสงั คม ดา้ นส่ิงแวดลอ้ ม ด้านวัฒนธรรม
ลงชอื่ ..............................................ผู้รับการประเมิน ลงชอ่ื ..................................................ผปู้ ระเมนิ
( )( )
51
แบบประเมนิ ผลการใชแ้ ผนการจดั การเรียนรู้
วนั ...................................ท่ี ........................... เดอื น................................ พ.ศ. 2563 เวลา ...........................
รหสั วิชา................................. วิชา ............................................................................ จำนวน ............... ชั่วโมง
ระดับช้นั .............................. สาขางาน ..................................................กลุ่ม..................สปั ดาห์ที่ ..............
หน่วยท่ี ...................... ช่ือหนว่ ย ................................................... ชอ่ื เรือ่ ง ..............................................................
ผลการใช้แผนการสอน
จุดประสงคก์ ารสอน ( ) มากเกินไป ( ) น้อยเกนิ ไป ( ) เหมาะสม
จำนวนช่วั โมง ( ) มากเกนิ ไป ( ) น้อยเกนิ ไป ( ) เหมาะสม
เน้ือหาสาระงาน ( ) สอดคลอ้ งกับจดุ ประสงค์( ) ไม่สอดคลอ้ งกับจดุ ประสงค์
กจิ กรรมการเรยี นการสอน ( ) ปฏิบตั ไิ ดค้ รบทกุ กจิ กรรม ( ) ปฏิบตั ไิ ดไ้ มค่ รบทุกกจิ กรรม
( ) กจิ กรรมเหมาะสมกบั เนื้อหา ( ) กจิ กรรมบางสว่ นไมเ่ หมาะสม
การบูรณาการหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง....................................................................................................
การบรู ณาการคา่ นิยม 12 ประการ............................................................................................................................
การบูรณาการธรรมาภิบาล.........................................................................................................................................
สื่อการสอน/อปุ กรณ์การสอน ( ) เหมาะสม ( ) บางสว่ นไมเ่ หมาะสม
ปัญหา/แนวทางแกไ้ ข..............................................................................................................................................
ผลการเรยี นของนกั เรยี น
ความสนใจ/ตง้ั ใจเรียน ( ) มาก ( ) ปานกลาง ( ) นอ้ ย
การซกั ถาม/ตอบคำถาม ( ) มาก ( ) ปานกลาง ( ) น้อย
การทำกิจกรรมเสร็จตามเวลา ( ) มาก ( ) ปานกลาง ( ) น้อย
การทำแบบทดสอบกอ่ นเรยี นไดค้ ะแนนเฉล่ยี ( ) มาก ( ) ปานกลาง ( ) น้อย
การทำแบบทดสอบหลงั เรียนไดค้ ะแนนเฉลี่ย ( ) มาก ( ) ปานกลาง ( ) น้อย
ปัญหา/แนวทางแกไ้ ข......................................................................................................................
ผลการสอนของครู
เน้อื หาที่สอน ( ) ครบถ้วน ( ) ไมค่ รบถ้วน
เวลาท่ใี ชใ้ นการสอน ( ) มากเกินไป ( ) ตามเวลาทก่ี ำหนด ( ) น้อยเกนิ ไป
ปญั หา/แนวทางแกไ้ ข........................................................................................................................................
ลงช่อื ..................................................... ผูส้ อน ลงชื่อ .......................................................... หัวหน้าสาขางาน
( นายนฏั ฐ์กติ ต์ จุลพรรณ์ ) ( นายวฒุ ชิ ัย วเิ ชยี รศรี )
ลงช่ือ ............................................................ รองผ้อู ำนวยการฝ่ายวิชาการ
( นายธรรมนญู เศวตสทุ ธิสริ กิ ลุ )
52
แบบประเมินพฒั นาการปฏบิ ัตงิ านของนักเรยี น
หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 2 หลกั การใช้และปรับแตง่ อุปกรณ์บำรุงรักษาเครอ่ื งมือทใ่ี ชป้ ฏิบัติงานขนึ้ รูปเบ้ืองต้น
ระดับชั้น ปวช.2
ชือ่ เรื่อง ใช้และปรบั แต่งอุปกรณบ์ ำรงุ รักษาเคร่ืองมือทใ่ี ชป้ ฏิบัติงานขนึ้ รปู เบ้ืองต้น
คำชแ้ี จง
1. ให้นักเรียนบนั ทึกคะแนนท่ไี ด้จากการทำแบบทดสอบก่อนเรียนหลังเรยี นของแต่ละคนลงในช่องคะแนนแบบทดสอบ
2. ประเมินผลคะแนนพฒั นาการในการเรยี นรูโ้ ดยเปรยี บเทยี บเกณฑค์ ะแนนพฒั นาการแล้วทำเครื่องหมาย √ ลงในช่อง
ความหมายของการพฒั นาการเรียนรใู้ ห้ตรงกับความเปน็ จริง
เลขท่ี ช่อื - นามสกุล คะแนนแบบทดสอบ คะแนน พัฒนาการในการเรยี นรู้
นักเรียน กอ่ นเรยี น หลังเรียน พัฒนาการ ดมี าก ดี ปานกลาง ปรับปรงุ
(กอ่ น-หลัง)
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
เกณฑ์คะแนนพัฒนาการ ลงชือ่ ............................................ผปู้ ระเมิน
9-10 = ดมี าก (นายนฏั ฐ์กิตต์ จุลพรรณ)์
7-8 = ดี ........./.........../2564
53
แบบสังเกตการทำงานและประเมนิ ผลพฤติกรรมรายบุคคล
หนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ 2 หลกั การใช้และปรบั แต่งอปุ กรณบ์ ำรุงรักษาเครือ่ งมือท่ีใชป้ ฏบิ ัติงานขึน้ รูปเบอื้ งต้น
ระดบั ชนั้ ปวช.2
ชือ่ เร่ือง ใชแ้ ละปรบั แตง่ อปุ กรณ์บำรุงรักษาเครื่องมอื ท่ีใชป้ ฏบิ ตั งิ านข้นึ รปู เบอ้ื งต้น
พฤติกรรมระดับคะแนน
เลขที่ ชอ่ื -นามสกุล ความต้ังใจและ การมสี ว่ นร่วม การตอบ ยอมรบั และรับ ทำงานเสรจ็
นักเรยี น ปฏิบัติงาน ในการแสดง คำถาม ฟังความ ตามทไ่ี ด้รับ รวม
ความคิดเห็น คดิ เห็นของ มอบหมาย
ผูอ้ ืน่
4 321432 1432 1432 1432 1
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
เกณฑก์ ารให้คะแนน เกณฑก์ ารประเมิน คะแนนเต็ม 20 คะแนน
ระดบั 5 หมายถงึ มพี ฤติกรรมในระดบั ดมี าก คะแนน 17 – 20 หมายถงึ ดีมาก
ระดบั 4 หมายถงึ มีพฤตกิ รรมในระดับ ดี คะแนน 13 – 16 หมายถงึ ดี
ระดบั 3 หมายถึง มพี ฤตกิ รรมในระดับ พอใช้ คะแนน 9 – 12 หมายถึง พอใช้
ระดบั 2 หมายถึง มีพฤตกิ รรมในระดบั ปรบั ปรงุ คะแนน 5 – 8 หมายถงึ ปรับปรุง
ระดับ 1 หมายถึง มีพฤตกิ รรมในระดบั แย่ คะแนน 1 – 4 หมายถงึ แย่
เกณฑ์การผ่าน รอ้ ยละ 60 (9คะแนน)
ลงชอ่ื ............................................ครูผ้สู อน/ผู้ประเมนิ
(นายนัฏฐก์ ิตต์ จลุ พรรณ์)
........./.........../2564
54
แผนการจัดการเรียนรู้ หน่วยที่ 3
หลักสูตร หลักสตู รประกาศนียบัตรวิชาชีพ พทุ ธศักราช 2562 สอนคร้งั ท่ี 4-17
รหัสวชิ า20315-2108 ชอื่ วิชา 20315-2108 ท-ป-น 1-6-3
ชื่อหนว่ ยการเรียนรู้ ฝึกปฏบิ ัตงิ านเรยี นรู้กระบวนการขึน้ รูปเบอื้ งต้นโดยสร้างและใช้โมเดลต้นแบบรปู ทรง
เรขาคณิต
ช่อื เรอ่ื งหลกั การปฏิบตั ิงานข้ึนรูปเบือ้ งตน้ รปู ทรงเรขาคณติ โดยสรา้ งและใช้โมเดลต้นแบบรูปทรงเรขาคณิต
ทฤษฎี 14 ชม. ปฏิบัติ 84 ช.ม.
1. สาระสำคญั
การฝึกปฏิบัติงานขึ้นรูปเบื้องต้นโดยใช้รูปทรงเรขาคณิตนั้น มีหลากลายรูปทรงเช่น รูป
ทรงกระบอก ซึ่งอาจเป็นรูปทรงเครื่องใช้ประเภท ขันน้ำ ถ้ำชา พาน ผอบ หรือจะเป็นรูปทรงของสี่เหลี่ยม หก
เหลี่ยม แปดเหลีย่ ม เช่น ตลบั แป้ง ตลับยาอม หบี หมาก หรือซองพลู เป็นตน้ จึงจำเปน็ ตอ้ งปฏิบตั ติ ามขั้นตอนของ
งานขึน้ รปู ทรงเรขาคณิต โดยการทำโมเดลกระดาษให้เกดิ รูปทรงสามมิติ ประยุกตใ์ ช้ในการทำชิน้ งานขึน้ รปู รวมไป
ถึงเรยี นรขู้ ันตอนการปฏบิ ัตงิ านขนึ้ รปู เบ้อื งตน้ ตามขน้ั ตอน
2. สมรถนะประจำหน่วย
2.1 รูแ้ ละเข้าใจเก่ียวกับหลักการกระบวนการข้ันตอนในการฝึกปฏบิ ัติงานข้นึ รูปเบื้องต้น
2.2 แสดงความรเู้ ก่ียวกบั การสรา้ งตน้ แบบโมเดลรูปทรงเรขาคณิตใช้ในการสร้างสรรค์ช้นิ งานข้ึนรูป
เบื้องต้น
2.3 มีกจิ นิสยั ทดี่ ใี นการเรียน
3. จุดประสงค์การเรียนรู้
3.1 จุดประสงค์ทว่ั ไป
3.1.1. เพ่ือให้ผเู้ รยี นมีความรูแ้ ละความเข้าใจเก่ียวกบั หลักการกระบวนการขัน้ ตอนในการฝกึ
ปฏิบตั ิงานข้ึนรูปเบอื้ งต้น
3.1.2 เพือ่ ใหผ้ ู้เรียนมีความรแู้ ละความเข้าใจเกี่ยวกับการสร้างตน้ แบบโมเดลรูปทรงเรขาคณิตใช้
ในการสรา้ งสรรค์ช้ินงานขน้ึ รปู เบื้องต้น
3.1.3 เพ่ือให้ผู้เรียนมกี จิ นิสัยที่ดี ดา้ นความซือ่ สตั ย์ มวี นิ ัย ใจอาสา
3.2 จุดประสงค์เชงิ พฤติกรรม
3.2.1 อธบิ ายกระบวนการขัน้ ตอนในการฝกึ ปฏิบัติงานข้นึ รปู เบอื้ งต้น
ได้ถกู ต้อง
55
3.2.2.ฝึกปฏบิ ัติงานการสร้างตน้ แบบโมเดลรูปทรงเรขาคณิตใช้ในการสร้างสรรค์ชิน้ งานขึน้ รปู
เบื้องตน้ ไดถ้ ูกตอ้ ง
3.2.3 เข้าเรียนตรงตามเวลา และชว่ ยเกบ็ บำรุงรกั ษาเครื่องมอื หอ้ งเรียนได้ตามขอ้ ตกลง
4. สาระการเรยี นรู้
4.1. ฝึกปฏบิ ตั งิ านการสรา้ งต้นแบบโมเดลรูปทรงเรขาคณติ ใช้ในการสรา้ งสรรค์ชิน้ งานขึ้นรูปเบือ้ งตน้ ตาม
ข้ันตอน
4.2. ข้นั ตอนการฝึกปฏบิ ัติงานชนิ้ งานขึ้นรูปเบอื้ งต้นตามขนั้ ตอน
4.3.การจดั เก็บบำรุงรกั ษา วัสดุอุปกรณ์ เครอ่ื งมอื ทใ่ี ชใ้ นงานขนึ้ รปู เบอื้ งตน้
5. กิจกรรมการเรียนรู้ สัปดาห์ที่ 4-17
5.1 การนำเข้าสูบ่ ทเรียน 30 นาที
1. ครูผู้สอนทำการเช็ครายช่ือนกั เรียนกอ่ นเร่ิมบทเรยี น
2. ครเู กรนิ่ นำภาพงานขนึ้ รปู พรรณทใ่ี ช้ รูปทรงเรขาคณิตให้นกั เรียนดู
3. ครสู อบถามความรู้เก่ยี วกบั กระบวนการสร้างสรรคง์ านในงานขึ้นรูปเบอื้ งต้นท่ใี ช้รูปทรง
เรขาคณิต
4. ครเู กร่ินนำเนื้อหาในใบความรทู้ ่ี 3 ความหมายหลกั การสร้างโมเดลกระดาษเพ่อื ใช้ทำเป็น
ต้นแบบชนิ้ งานในงานข้ึนรูปและขนั ตอนการข้ึนรปู พรรณโลหะเบ้ืองตน้ ทใ่ี ช้รปู ทรงเรขาคณิต
5.2 การเรียนรู้ 98 ช่ัวโมง
1. ครแู จกแบบทดสอบเพอ่ื ประเมนิ พืน้ ความรู้กอ่ นเรียน
2. ครูใหน้ ักเรีนนศึกษาสอ่ื โมดูล การสร้างแบบคล่ีและตน้ แบบโมเดลกระดาษรูปทรงเรขาคณิต
เพอื่ ใช้ในการสร้างสรรคช์ ้ินงานข้ึนรูปพรรณรูปทรงเรขาคณติ เบื้องต้น
3. ครูใหน้ กั เรยี นสรา้ งแบบคลแ่ี ละตน้ แบบโมเดลกระดาษรูปทรงเรขาคณติ คนละ 1 ชนิ้ จาก
การศกึ ษาสือ่ โมดูลการสรา้ งตน้ แบบโมเดลกระดาษ เพื่อใช้อา้ งอิงขนาดสัดส่วนของงานขึ้นรูปพรรณโลหะ
4. ครูให้นักเรียนนำแบบคลี่ของโมเดลกระดาษมาวดั ทาบลงบนแผน่ โลหะ และตัด ดัด ขึน้ รปู
บัดกรปี ระกอบและตกแตง่ ผิว ช้ินงานข้นึ รูปพรรณโลหะรูปทรงเรขาคณิต
5.3 การสรุป
1. นักเรียนได้ชิ้นงานสำเร็จของงานขึ้นรูปพรรณโลหะทรงเรขาคณิตเบื้องต้นจากการศึกษา สื่อ
โมดูล
2. ครูผู้สอนเปิดโอกาสให้นักเรียนซักถามข้อสงสัยเกี่ยวกับกระบวนการปฏิบัตงานขึ้นรูปท่ี
นักเรยี นได้ศกึ ษาส่อื โมดนู ดว้ ยตนเอง
3. ครูตอบคำถามและสรุปเน้ือหางานข้ึนรูปเบอื้ งต้น
56
4. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปเนื้อหาและแนวทางการทำโมเดลแต่ละข้ันตอนในการปฏิบัติการ
งานขนึ้ รปู เบอ้ื งต้น
5.4 การวัดและประเมินผล
1. ประเมนิ ผลงานนักเรยี นจากช้ินงานแบบคลแ่ี ละโมเดลสามมิตริ ูปทรงเรขาคณติ
2. ประเมนิ ผลงานนกั เรยี นจากชน้ิ งานข้ึนรปู พรรณโลหะรปู ทรงเรขาคณิตเบอื้ งต้น
6. ส่อื และแหล่งการเรยี นรู้
ครูผู้สอนได้มีการผลิตและใช้สื่อการเรียนรู้ตามบริบทของรายวิชาและเทคโนโลยีประจำห้องสอนและ
ปฏบิ ัตกิ าร ดังน้ี
6.1. สือ่ โสตทศั น์
1.) 1.) เรียนรูผ้ า่ นระบบออนไ์ ลน์ Google Meet และสง่ งานผ่าน Google Classroom
6.2. โสตทศั น์อปุ กรณ์
1.) กระดานอฉั ริยะพร้อมอปุ กรณ์เชอื่ มต่อระบบเสียง
2.) คอมพวิ เตอร์ควบคมุ
3.) แทปเลต็
6.3. สือ่ สงิ่ พิมพ์
1.) ใบความรู้ วิชางานขึ้นรูปเบื้องตน้
2.) ภาพประกอบ
3.) ใบงาน
6.4 ส่อื บทเรยี นอิเลก็ ทรอนกิ ส์
2.) หนังสอื อิแลค็ ทรอนกิ E – Book บทเรียนสือ่ โมดูล
7. หลักฐานการเรยี นรู้
7.1หลักฐานความรู้
1.) ใบความรู้
2.)บทเรียนโมดูล
3.) ส่ือออนไลน์ในห้องเรียน Google Classroom / Facebook
7.2 หลกั ฐานการปฏิบัติงาน
1.) ใบงาน
2.) ชนิ้ งานทค่ี รูผ้สู อนมอบหมาย
8. การวดั และประเมินผล
8.1 เคร่ืองมือประเมนิ
8.1.1กอ่ นเรยี นรู้
วธิ ีการวดั ผล - ทดสอบอตั นยั และปรนยั ก่อนการเรยี นรู้
57
เครอ่ื งมือวดั - แบบทดสอบอตั นัย และปรนยั ก่อนเรยี นรู้
8.1.2 ระหว่างเรยี นรู้
วิธกี ารวดั ผล - ประเมินพฤตกิ รรมรายบคุ คล
เครอื่ งมอื วดั - แบบประเมนิ พฤตกิ รรมรายบคุ คล
8.1.3 หลังเรยี น
วธิ ีการวดั ผล - ทดสอบหลงั เรยี นรู้
เครือ่ งมือวัด - แบบทดสอบหลงั เรียนรู้
8.2 เกณฑก์ ารประเมิน
8.2.1 เกณฑ์การวดั ผลสัมฤทธิ์จากแบบทดสอบและใบมอบงานมเี กณฑ์ดงั นี้
ร้อยละ 80-100 หมายถงึ ผลการเรียนรู้ดีมาก
ร้อยละ 70-79 หมายถึงผลการเรยี นรดู้ ี
ร้อยละ 60-69 หมายถงึ ผลการเรียนรู้ปานกลาง
รอ้ ยละ 50-59 หมายถงึ ผลการเรยี นร้ผู า่ นเกณฑ์ขน้ั ตำ่
(ควรปรับปรงุ ด้วยการศึกษาทบทวน)
ต่ำกว่าร้อยละ 50 หมายถงึ ผลการเรยี นไมผ่ า่ นเกณฑ์(ตอ้ งปรบั ปรุงและ
เรยี นซอ่ มเสริมควรทดสอบการประเมินจนกวา่
จะผา่ นขน้ั ตำ่ )
8.2.2 เกณฑ์การประเมินพฤตกิ รรมรายบคุ คล
8-10 คะแนน หมายถงึ มีพฤตกิ รรมดี
5-7 คะแนน หมายถึงมพี ฤติกรรมพอใช้
ต่ำกว่า 5 คะแนน หมายถงึ มีพฤตกิ รรมทตี่ ้องปรับปรงุ
8.2.3 เกณฑ์การตดั สนิ
2 คะแนน หมายถึงมีพฤติกรรมในระดบั ปฏบิ ตั สิ มำ่ เสมอ
1 คะแนน หมายถงึ มพี ฤติกรรมในระดับปฏิบัติบางคร้ัง
0 คะแนน หมายถึงมพี ฤติกรรมในระดับไม่ปฏิบัติ
8.2.4 เกณฑก์ ารประเมิน
8-10 คะแนน หมายถงึ มีพฤตกิ รรมดี
5- 7 คะแนน หมายถงึ มีพฤติกรรมพอใช้
ตำ่ กว่า 5 คะแนน หมายถงึ มพี ฤติกรรมท่ีต้องปรับปรุง
58
9. บันทกึ ผลหลังการจดั การเรียนรู้
9.1 ขอ้ สรปุ หลงั การจดั การเรยี นรู้
ดา้ นผูส้ อน
การจดั การเรียนการสอนในรปู แบบ online off line
สอนได้ครบตามหัวข้อทีก่ ำหนดในแผนการจัดการเรียนรู้
สอนได้ไม่ครบตามหวั ข้อท่ีกำหนดในแผนการจัดการเรียนรู้ ยงั ขาดหวั ขอ้ ดงั นี้
แนวทางการแก้ปญั หาการสอนไม่ครบหัวขอ้ ตามแผน
ดา้ นความพรอ้ มและผลการเรียนรู้ของผู้เรียน
จำนวนนักเรยี นทงั้ หมด คน จำนวนนักเรียนทเ่ี ข้าเรียน คน
จำนวนนกั เรยี นทข่ี าดเรียน คน
เกณฑ์ทีแ่ นะนำ คดิ เปน็ รอ้ ยละ ดมี าก(80-100) ดี (70-79) พอใช้ (60-69) ต้องปรับปรงุ (ตำ่ กว่า 60)
1 การตรงต่อเวลา ดีมาก ดี พอใช้ ต้องปรับปรุง
2 การแต่งกาย, การปฏิบัติตามระเบยี บ ดีมาก ดี พอใช้ ต้องปรับปรงุ
3 ความพร้อม, ความตัง้ ใจในการเรยี น ดีมาก ดี พอใช้ ตอ้ งปรับปรุง
4 มคี วามรับผิดชอบงานทีม่ อบหมาย ดีมาก ดี พอใช้ ต้องปรับปรงุ
5 มีความรู้ ความสามารถ ตรงวัตถปุ ระสงค์ ดีมาก ดี พอใช้ ตอ้ งปรับปรงุ
อื่นๆ
9.2 ปัญหา อุปสรรค
9.3 ข้อเสนอแนะและแนวทางแกป้ ัญหา
ลงชอ่ื ผูส้ อน ลงช่อื หวั หน้าสาขางาน
(..............................................) (..............................................)
ลงช่อื
(นายธรรมนญู เศวตสทุ ธิสริ กิ ลุ )
ครู ทาหน้าทใ่ี นตาแหน่ง
รองผูอ้ านวยการฝ่ายวชิ าการ
หมายเหตุ ปัญหา อปุ สรรคและแนวทางแกป้ ัญหา ผสู้ อนนาไปพฒั นา ในรูปแบบของวิจยั ชนั้ เรียน หรอื พฒั นาการจดั การเรียนรูใ้ นครงั้ ต่อไป
59
แบบสังเกตการทำงานและประเมินผลพฤตกิ รรมรายบคุ คล
ชอื่ หนว่ ยการเรยี นรู้ ฝกึ ปฏบิ ตั ิงานเรยี นร้กู ระบวนการขึ้นรูปเบอื้ งตน้ โดยสรา้ งและใช้โมเดลตนแบบรปู ทรง
เรขาคณิต ระดับชนั ปวช.2
ชอื่ เรือ่ งหลกั การปฏบิ ตั ิงานข้ึนรปู เบ้ืองต้นรปู ทรงเรขาคณติ โดยสร้างและใช้โมเดลตนแบบรปู ทรงเรขาคณิต
พฤตกิ รรมระดบั คะแนน
ความ การมีส่วน การตอบ ยอมรับ ทำงาน
ต้ังใจและ รว่ มใน คำถาม และรับฟัง เสรจ็ ตามที่
เลขท่ี ชอ่ื -นามสกลุ ปฏบิ ตั งิ าน การแสดง ความ ไดร้ ับ รวม
นักเรยี น ความ คิดเหน็ มอบหมาย
คดิ เห็น ของผูอ้ ่ืน
4 321432 1432 1432 1432 1
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน เกณฑก์ ารประเมิน คะแนนเตม็ 20 คะแนน
ระดบั 5 หมายถึง มพี ฤติกรรมในระดบั ดีมาก คะแนน 17 – 20 หมายถงึ ดีมาก
ระดับ 4 หมายถงึ มพี ฤติกรรมในระดบั ดี คะแนน 13 – 16 หมายถงึ ดี
ระดับ 3 หมายถึง มพี ฤตกิ รรมในระดบั พอใช้ คะแนน 9 – 12 หมายถงึ พอใช้
ระดบั 2 หมายถงึ มพี ฤติกรรมในระดบั ปรับปรุง คะแนน 5 – 8 หมายถงึ ปรับปรงุ
ระดบั 1 หมายถึง มีพฤตกิ รรมในระดับ แย่ คะแนน 1 – 4 หมายถงึ แย่
เกณฑก์ ารผา่ น ร้อยละ 60 (9คะแนน)
ลงชอ่ื ............................................ครผู ้สู อน/ผปู้ ระเมนิ
(นายนัฏฐ์กิตต์ จุลพรรณ)์
........./.........../2564
60
ใบความรูท้ ี่ 3 หนว่ ยที่ 3
หลกั สตู ร ประกาศนียบัตรวิชาชีพ พทุ ธศักราช 2562 สอนครั้งท่ี 6-17
รหสั วชิ า20315-2108 ชือ่ วชิ า งานขนึ้ รูปเบื้องตน้ ท-ป-น 1-6-3
ชอื่ หน่วยการเรยี นรู้ ฝึกปฏบิ ตั งิ านเรียนรู้กระบวนการขน้ึ รูปเบ้อื งตน้ โดยสรา้ งและใช้โมเดลต้นแบบรูปทรง
เรขาคณิต
ช่อื เรอื่ งหลกั การปฏบิ ัติงานขึ้นรปู เบื้องต้นรปู ทรงเรขาคณติ โดยสร้างและใช้โมเดลต้นแบบรูปทรงเรขาคณิต
ทฤษฎี 14 ชม. ปฏิบัติ 98 ช.ม.
1. จุดประสงค์การเรยี นรู้
1.1 จุดประสงคท์ ัว่ ไป
1.1.1 เพื่อใหผ้ ู้เรียนมีความรู้และความเข้าใจเกย่ี วกบั หลักการกระบวนการข้นั ตอนในการฝกึ
ปฏิบัตงิ านขน้ึ รปู เบื้องต้น
1.1.2 เพือ่ ให้ผู้เรยี นมีความรู้และความเขา้ ใจเกย่ี วกับการสรา้ งตน้ แบบโมเดลรูปทรงเรขาคณติ ใช้
ในการสร้างสรรคช์ น้ิ งานขึน้ รปู เบ้ืองต้น
1.1.3 เพ่อื ให้ผ้เู รยี นมกี ิจนสิ ัยที่ดี ดา้ นความซื่อสตั ย์ มีวนิ ัย ใจอาสา
1.2 จดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม
3.2.1 อธิบายกระบวนการขั้นตอนในการฝึกปฏิบัติงานขนึ้ รูปเบอ้ื งต้น
ได้ถกู ต้อง
3.2.2.ฝึกปฏิบตั ิงานการสร้างต้นแบบโมเดลรปู ทรงเรขาคณิตใชใ้ นการสร้างสรรค์ชนิ้ งานขึน้ รูป
เบ้อื งตน้ ไดถ้ ูกต้อง
3.2.3 เขา้ เรียนตรงตามเวลา และช่วยเก็บ บำรุงรักษาเครื่องมอื ห้องเรยี นไดต้ ามขอ้ ตกลง
2. สมรรถนะ
2.1 ร้แู ละเขา้ ใจเก่ยี วกบั หลกั การกระบวนการข้ันตอนในการฝกึ ปฏบิ ัติงานข้ึนรปู เบอื้ งต้น
2.2 แสดงความรูเ้ กีย่ วกับการสรา้ งตน้ แบบโมเดลรูปทรงเรขาคณิตใช้ในการสร้างสรรค์ชิ้นงานขึน้ รปู
เบื้องต้น
2.3 มีกิจนสิ ัยท่ดี ีในการเรยี น
61
3. เนอื้ หาสาระ
แบบจำลอง (Model) ไว้ 4 ความหมาย คอื
1. เป็นแบบอยา่ งของส่งิ ใดสิ่งหนึ่งเพอื่ เป็นแนวทางในการสร้างหรอื ทำซำ้
2. เปน็ ตวั อยา่ งสำหรบั การเลียนแบบ เช่น ตัวอย่างในการออกเสยี งภาษาต่างประเทศเพ่อื ให้ผูเ้ รยี นได้
เลยี นแบบ
3. เป็นแผนภาพหรอื ภาพ 3 มติ ิ ทเ่ี ป็นตัวแทนของสงิ่ ใดส่ิงหน่งึ หรือหลักการ หรือแนวคิด
4. เป็นชุดของปัจจัยหรอื องค์ประกอบ หรอื ตัวแปรทีม่ ีความสมั พันธซ์ ่ึงกันและกนั รวมตัวเป็นตวั ประกอบและ
เป็นสัญลักษณ์ทางระบบสงั คม อาจเขียนเป็นสตู รทางคณติ ศาสตร์หรอื บรรยายดว้ ยภาษาก็ได้
Tosi and Carroll (1982: 163) กล่าวว่า แบบจำลองเป็นนามธรรมของของจรงิ หรือภาพจำลองของ
สภาพการณ์อยา่ งใดอย่างหนึง่ ซ่ึงอาจจะมตี งั้ แตแ่ บบจำลองอย่างงา่ ยไปจนถึงแบบจำลองท่มี คี วามซับซ้อนมากๆ มี
ท้ังแบบจำลองเชิงกายภาพ (Physical Model) เช่น แบบจำลองหอสมุด แบบจำลองเครือ่ งบนิ ขับไล่เอฟ-16 เปน็
ต้น และแบบจำลองเชิงคุณลักษณะ (Qualitative Model) ทใี่ ช้อธบิ ายสภาพการณ์หรือปรากฏการณ์ดว้ ยภาษา
หรือสญั ลักษณ์ตา่ ง ๆ
Bardo and Hartman (1982: 70-71) กล่าววา่ แบบจำลองเปน็ สง่ิ ทไี่ ดร้ ับการพัฒนาข้นึ เพอื่ บรรยาย
คุณลักษณะที่สำคัญของปรากฏการณอ์ ยา่ งใดอย่างหนึ่ง เพือ่ ให้งา่ ยตอ่ การทำความเข้าใจ แบบจำลองจงึ มิใชก่ าร
บรรยายหรืออธบิ ายปรากฏการณ์อย่างละเอยี ดทุกแง่ทกุ มมุ เพราะการกระทำเช่นน้ันจะทำให้แบบจำลองนนั้ ดอ้ ย
ลงไป สว่ นการทีจ่ ะระบวุ า่ แบบจำลองใดๆจะต้องประกอบดว้ ยรายละเอยี ดมากนอ้ ยเพยี งใดจงึ จะเหมาะสมและ
แบบจำลองนนั้ ๆ ควรมอี งคป์ ระกอบอะไรบ้าง ไมไ่ ดม้ ีการกำหนดตายตัว ท้ังนข้ี น้ึ อยกู่ ับปรากฏการณแ์ ต่ละอยา่ ง
และวัตถปุ ระสงค์ของผสู้ รา้ งแบบจำลองนั้นวา่ ต้องการจะอธิบายปรากฏการณ์นัน้ ๆ อย่างไร
สวัสดิ์ สคุ นธรงั สี (2520: 206) กล่าวว่า แบบจำลองหมายถึงตวั แทนท่ีสร้างขนึ้ เพือ่ อธิบายพฤตกิ รรม หรือ
ลักษณะบางประการของสิ่งทีเ่ ปน็ จริงอย่างหน่ึง
จากการศึกษาความเหน็ ของนกั วชิ าการดงั กลา่ วข้างตน้ สรปุ ว่า แบบจำลอง หมายถงึ สิง่ ท่ไี ด้รบั การพัฒนาขน้ึ
เพื่ออธบิ ายหรอื แสดงให้เหน็ ถงึ องค์ประกอบสำคัญๆของเรือ่ งใดเรอ่ื งหนง่ึ ใหเ้ ขา้ ใจได้ง่ายขน้ึ สามารถทำความเข้าใจ
การทำงานของระบบจรงิ ไดง้ ่ายกวา่ การศกึ ษาจากระบบจริงโดยตรง เพอื่ เป็นแนวทางในการดำเนนิ การอยา่ งใด
อย่างหน่งึ ตอ่ ไป
การเขียนภาพแผน่ คล่ี ค าว่าคล่ี ก็คือ กางออกให้แบน เชน่ เรากางเรือกระดาษ หรอื หมวกกระดาษท่ีนกั เรียนหัด
พบั ออกเปน็ แผ่นกระดาษแบน ๆ หรอื ถา้ เราคลีก่ ลอ่ งกระดาษรปู สี่เหลีย่ มออกเปน็ แผ่น กเ็ รยี กว่า แผ่นคล่ี งานชา่ ง
อุตสาหกรรมท่ีเก่ยี วกบั แผ่นคลี่มากกวา่ งานช่างอืน่ ๆ ได้แก่งานโลหะแผ่น การท า กระป๋ องน า้ รางน ้า กาน า้
กรวย ทอ่ ควัน ท่อความเย็นเครอ่ื งปรบั อากาศ งานตัวถงั รถยนต์ เครือ่ งบนิ ฯลฯ ก่อนจะประกอบโลหะแผ่นใหเ้ ป็น
รปู ทรงของสง่ิ ท่ีกลา่ วมาขา้ งตน้ จะตอ้ งสร้างแบบ (pattern) ตดั โลหะแผน่ ให้ไดข้ นาดตามรูปแบบ แล้วประกอบ
62
โลหะแผ่นเหล่านั น้ เป็นรปู ทรงท่ี ตอ้ งการได้ เราเรยี กแบบแผน่ คลว่ี า่ pattern development หรือ
Development and Intersections ค าว่า development เกย่ี วกับการสรา้ งเลเอ้าท์(คล่ีผิว) ของรปู ทรง ค าว่า
Intersections เก่ยี วกบั ต าแหนง่ ของเส้นตา่ ง ๆ ท่ีตัดกัน หรือประกอบกนั ขึ ้นเปน็ รูปทรงท่ีตอ้ งการ กลา่ วคือ แผน่
คลี่กค็ อื การออกแบบและเขยี นแบบคล่รี ปู (pattern) ลงวสั ดแุ ผน่ เช่น โลหะแผ่น กระดาษ ผ้า หนัง เพื่อน าไปม้วน
พบั งอ ฯลฯ และท าเป็นรปู ทรงท่ีตอ้ งการเช่น รปู กรวย กลอ่ ง ผลติ ภัณฑ์ เปน็ ตน้ การเขยี นแผ่นคล่ีจะไม่เขยี นเส้น
บอกขนาดก ากบั เหมือนการเขียนแบบอนื่ และต้องก าหนด ขนาดให้มีสว่ นเผ่อื ส าหรบั ขอบเพ่อื พบั ซอ้ น เขา้ ขอบ
ลวดไวด้ ว้ ยเสมอ 2 การเขียนแบบแผ่นคลี่โดยวธิ ีเสน้ ขนาน วตั ถทุ ม่ี รี ูปทรงเป็นทรงกระบอก รปู ปรซิ มึ ประกอบขึ น้
เปน็ รปู รา่ งดว้ ยเส้นตรงขนานกนั เป็น หลกั ใหญ่ ฉะนั น้ เมื่อคลี่ออกกย็ ังคงหลกั การเดิม คอื ใช้เสน้ ตรงขนาน
1. ภาพคลร่ี ูปทรงกระบอก มีวธิ ีการเขยี นดงั นี้
1.1 เขียนรูปด้านหน้าและรปู ดา้ นบน ของรปู ทรงกระบอกที่ต้องการกอ่ นแล้วแบ่ง รปู ด้านบนออกเปน็ ส่วนเทา่ ๆ
กนั ในท่ีนี ้แบง่ ออกเป็น 12 สว่ น มีเลข 1-12 ก ากบั
1.2 เน่อื งจากความกว้าง (ความสงู ) ของแผ่นคลี่จะกวา้ งเทา่ กบั ความสงู ของรปู ด้านหน้าของทรงกระบอกนั น้ ฉะนั
น้ ให้ลากเสน้ ตรงจากขอบบนและขอบลา่ งของรปู ดา้ นหน้า ออกไปทางขวาหรือทางซา้ ยของรูปดา้ นหนา้ แลว้ ก
าหนดท่ตี ั ง้ ของรูปแผน่ คล่วี ่าจะใหอ้ ยู่ ณ ที่ใดใน กระดาษเขยี นแบบ
1.3 ลากเสน้ ในแนวด่ิง(เส้นตั ง้ ฉาก) ตดั เสน้ ขนานที่ตอ่ จากความสูงของด้านหน้านี ้ หน่ึงเสน้ และใส่เลข 1 ก ากบั
ไว้
1.4 กางวงเวยี นหรอื ดไิ วเดอร์ เพ่อื ตั ง้ ระยะจากเลข 1 ไป 2 ไป 3 ฯลฯ ตามทแี่ บง่ ไว้ ในรูปด้านบน และถ่ายระยะ
ลงบนเส้นคขู่ นานท่สี รา้ งไว้บนข้อ 2 โดยเร่ิมจากเส้นที่ 1 ทส่ี รา้ งไวใ้ น ข้อ 3
1.5 เมื่อถ่ายระยะจนได้ถึงเลข 12 แล้วให้เพิม่ ถึงเลข 1 เพราะต้องมี 12 ช่อง และ ใหม้ ีสว่ นยน่ื ออกอีกประมาณ 6
มม. ส าหรบั เปน็ รอยตอ่ หรือเพิม่ เพ่อื พับเปน็ ขอเก่ียวเปน็ ตะเขบ็
1.6 ในกรณีท่ีรูปทรงกระบอกนี ม้ ีฝาหรือมกี น้ ก็ต้องสร้างฝาและกน้ ไวด้ ว้ ย โดย เขียนวงกลมทมี่ ขี นาดโตกว่าเส้น
ศนู ย์กลางของรปู ทรงกระบอกเลก็ นอ้ ย ใหม้ ีสว่ นเผอ่ื ส าหรบั เปน็ รอยตอ่ หรือครอบฝาหรอื ก้นดว้ ย
63
2. ภาพคลีข่ องรูปปริซมึ มีวิธกี ารเขยี นดงั นี ้
2.1เขียนรูปดา้ นหนา้ และรปู ด้านบนของรูปปรซิ มึ
2.2 ลากเส้นคู่ขนานจากความสงู ของรปู ด้านหน้าออกไปทางขวามือหรือซา้ ยมือ
เพือ่ ก าหนดท่ีตั ้งของรูปแผน่ คลี่(ในที่นี ้ลากไปทางดา้ นขวามือ)
2.3 ลากเส้นในแนวด่ิงตดั เสน้ คขู่ นานทตี่ อ่ ออกไปจากด้านหน้านั ้น และก ากับเลข
1 ไว้ทีเ่ ส้นนี ้
2.4 ตั ง้ ดิไวเดอร์เพอ่ื ถ่ายขนาด 1-2 , 2-3, 3-4 และ 4-1 จากรปู ด้านบนลงบนรปู
แผ่นคล่ี เร่มิ ตน้ จากเสน้ ในแนวดิ่งเลข 1 ในข้อ 3 และให้มีส่วนยืน่ ออกไปประมาณ 6 มม. เพื่อเป็น
แนวต่อเชน่ กนั
2.5 สร้างสว่ นที่เป็นฝาและเป็นก้น โดยหน้ากวา้ งมขี นาดเท่ากับ 2-3 หรอื 1-4 แต่
ใหอ้ ยใู่ นต าแหนง่ ของ 2-3 ความลกึ ของฝานี เ้ ท่ากับขนาดจาก 1-2 หรือ 3-4 ในรูปด้านหน้า และให้
เผอื่ รอยตะเขบ็ หรือรอยต่อไวโ้ ดยรอบสามด้าน(ดา้ นละ 6 มม.)
64
การหลอมแผร่ ดี
การหลอม การหลอมโลหะเงนิ ด้วยความรอ้ นจากเปลวไฟทำให้ละลายด้วยความรอ้ น โลหะเงินเปน็ ธาตุ
ลำดับที่ 47ในตารางธาตุ มจี ุดหลอมเหลวอยู่ท่ี 961 C การหลอมโดยใช้เปลวไฟโดยท่วั ไป จะใชแ้ ก๊สหงุ ตม้ เป็นเชือ่
เพลงิ ร่วมกับแก๊สออ็ กซิเจน เมอื่ โลหะเงินเริ่มละลายเปน็ ของเหลวเปลวไฟท่มี อี อ็ กซิเจนมากเกนิ พอในทีน่ จี้ ะเรยี กว่า
OXIDIZING FLAME อ็อกซเิ จนทร่ี ้อนในเปลวไฟ จะละลายลงไปในโลหะเงินทห่ี ลอมเหลว เม่ือหยุดใหเ้ ปลวไฟแก่
เงินท่หี ลอมเหลว ออ็ กซิเจนที่ละลายในเงินหลอมเหลวจะเเยกตวั ออกมา ซ่งึ จะเกิดการประทุของแก๊สท่ีแยกตัว
ออกมา การประทุจะทำให้เงินเม็ดเลก็ ๆกระเดน็ หลุดออกมา และผวิ หนา้ ทเ่ี ย็นตัวลงจะไม่เรียบ จะเกดิ เป็นปลอ่ ง
เลก็ ๆคล้ายปล่องภเู ขาไฟที่ผิวหน้ากอ้ นโลหะเงิน การแกไ้ ขคอื การค่อยๆลดอ็อกซเิ จนในส่วนผสมที่เผาไหมก้ บั แก๊ส
หุงต้ม จะทำให้อ็อกซิเจนท่ีละลายอยู่ในเงินหลอมเหลวคอ่ ยๆแยกตวั ออกมา ซ่ึงเปลวไฟทมี่ อี ็อกซิเจนมากเกนิ พอจะ
มีเปลวสฟี า้ หรอื น้ำเงิน เมอ่ื ปรับลดอ็อกซเิ จน เปลวไฟจะเปลี่ยนจากสนี ้ำเงินมาเป็นเปลวสีเหลอื ง ซงึ่ เปลวสีเหลือง
ในจดุ ที่ใกลเ้ ปลวสฟี า้ จะเหมาะสมแกก่ ารหลอมเพ่ือเทโลหะเงนิ สู่รางเท การเทแทง่ โลหะเงิน รางท่ใี ช้เป็นแบบเท
นั้นจะตอ้ งให้ความรอ้ นประมาณ400-500’C เพ่ือทีโ่ ลหะเงินเหลวจะได้ไม่ถ่ายเทความร้อนให้แกร่ างเทเร็วเกนิ ไป
การถ่ายเทความรอ้ นเรว็ เกนิ ไปจะทำใหผ้ วิ หนา้ แท่งเงนิ ทเี่ ทไมเ่ รียบ และหลังจากเทแลว้ จะตอ้ งใช้เปลวไฟคลุม
ผิวหนา้ เงินที่เทเอาไวจ้ นกวา่ จะแขง็ ตัวเพือ่ ป้องกนั การเยน็ เร็วเกนิ ไป จนทำทำให้ผวิ หนา้ ไมเ่ รยี บ(ยน่ )
สรุป นำโลหะใสในเบ้าหลอม ใชค้ วามรอ้ นจากชดุ เป่าไฟหลอมละลายโลหะเงินจากของแข็งเปน็ ของเหลว
และเทลงในรางเทโลหะ ใหเ้ ปน็ แทง่ โลหะแบบพมิ พ์ขนาดที่ต้องการ
การรีดโลหะ นำแทง่ เงนิ หรอื โลหะทผ่ี ่านการหลอมและเทแลว้ ตีแผด่ ว้ ยค้อน หรือใสเ่ ข้าเครอ่ื งรีดโลหะเงนิ
เพือ่ บีบเคน้ โลหะให้บางเปน็ แผ่นเงิน เมอื่ ลกู รีดทำงานลูกรดี จะบบี เค้นใหแ้ ท่งเงินค่อยๆบางลงจนเปน็ แผ่น
65
การขึน้ รปู
ในขนั้ ของการขนึ้ รปู นนั้ มีหลายวธิ ี ข้นึ อยูก่ ับสิง่ ของทจ่ี ะทํา
1. การหล่อ ต้องทําหนุ่ ขนึ้ ก่อนแล้วถอดพิมพ์ เทเนื้อเงนิ ทีห่ ลอมละลายลงพิมพ์ แม่พมิ พ์ จะบังคับใหเ้ ปน็
รปู ทตี่ ้องการ เช่นพระพุทธรูป
2. การทุบ ใช้ฆ้อนขนาดต่าง ๆ ทุบแท่งเงินท่หี ลอมแลว้ ให้เปน็ รปู ทต่ี อ้ งการ เชน่ เหรยี ญ ขัน ถาด บางทีขน้ึ
รปู เป็นสว่ น ๆ แล้วนํามาประกอบกันอกี ที เช่น พาน คนโท
3. การตัดต่อ รีดเงินใหเ้ ปน็ แผ่นแบน ตดั เปน็ ชน้ิ แล้วบัดกรีตอ่ เป็นรปู ท่ตี อ้ งการ เช่น กล่อง หีบ กรอบรูป
4. การสาน รีดเงินเป็นแผน่ บางแลว้ ตดั เป็นเสน้ แบบตอกไมไ้ ผ่ แล้วนํามาสานเปน็ รูปทรง ตา่ ง ๆ เช่น ตลับ
จอก กระบุง เสื้อ
การสลักลวดลาย
การสลกั ลวดลายบนงานโลหะนน้ั จำแนกไดเ้ ปน็ สองลักษณะงานดว้ ยกนั คอื
1) การสลักลวดลายลงไปบนตัวช้นิ งานหรอื ตัวภาชนะโดยตรง เชน่ ลวดลายบนพานตา่ ง ๆ โต๊ะ หรือ โตกกลม
ขนั น้ากระโถน คนโท หบี กล่องต่างๆ ทมี่ ีรปู ทรงสามมิติ คือมีความกวา้ ง ความยาว ความสูง เปน็ งานลอยตัว และ
2) ลวดลายประดับช้นิ งาน หมายถึง การสลัก บนวสั ดุแผ่นเรียบแล้วจงึ น้าไป ประกอบเปน็ ทรง หรือประดบั ตกแต่ง
เป็นสว่ นประกอบกบั งานอืน่ เช่น ลวดลายนมตาลปัตรพัดยศ ฉัตรโลหะ เปน็ ตน้ ซ่งึ ท้ังสองอยา่ งนัน้ จะมกี รรมวธิ ี
การสรา้ งที่ตา่ งกันตรงการขนึ้ รูปเทา่ นนั้ ส่วนการ สร้างลวดลาย (สลักดุน) จะเหมอื นกัน ซง่ึ มีกระบวนการและ
ขน้ั ตอนปฏิบตั ิ พอท่ีจะสรปุ ไดด้ งั นี้
- หลังจากได้ออกแบบลวดลายสลกั เรียบร้อยแลว้ ก็นำแบบไปทาบและวัดบน แผ่นโลหะและตัดแบ่งมาตาม
ขนาดของแบบ - เตรยี มวัสดอุ ุปกรณต์ ่างๆ รวมท้งั เครอ่ื งมอื ทจ่ี าเป็นในการทางานสลักดุนท้า การเคี่ยวชันเทลงใน
ภาชนะ (กรณสี รา้ งงานในตัวชนิ้ งาน) หรือกระบะติดโลหะ ติดแบบลายดว้ ยกาว - เมอื่ กาวแห้งกล็ งมือสลกั ลายเสน้
การประกอบบัดกรชี นิ้ งาน
การแลน่ ประสานเปน็ คําภาษาไทยที่แปลความหมายมาจากคําภาษาองั กฤษว่า Brazing ในเชงิ วิชาการจะ
เรยี กการตอ่ โลหะแบบ Brazingว่า “การแล่น ประสาน” หรอื “การบดั กรแี ข็ง” ในขณะท่คี ําวา่ Soldering ในเชิง
วชิ าการจะเรียกวา่ การบัดกรีอ่อน” หรอื “การบัดกรี" โดยในการใชง้ านปจั จบุ ัน การ Brazing จะส่ือความกันด้วย
คําทับศัพท์วา่ “บราซซ่งิ ” หรือ “เบรซซง่ิ ”
กล่าวโดยย่อ การ Brazing คือการต่อโลหะวิธหี นึง่ โดยการให้ความรอ้ นแกร่ อยตอ่ จนกระทั่งถึงอุณหภูมิที่
สามารถทําให้โลหะเดิมหลอมละลาย โดยทั่วไปจะมี ระดับอุณหภูมิสูงกว่า 450°C แต่ไม่ถึงระดับอุณหภูมิ
หลอมเหลวของโลหะชิ้นงาน เมื่อให้ความร้อนแก่รอยต่อจนกระทั่งถึงระดับอุณหภูมิที่สามารถทําให้โลหะ เดิม
หลอมละลายแลว้ ก็จะป้อนโลหะเดมิ หรือลวดใหเ้ ข้าไปประสานกับรอยต่อและปลอ่ ยให้เยน็ ตัวลง กจ็ ะได้รอยต่อที่
ประสานกันอย่างสมบูรณ์
66
กระบวนการด์อโลหะด้วยวิธี Brazing นี้ ดูเหมือนง่ายและไม่ซับซ้อน แต่ความจริงในทางปฏิบัติ จะมี
รายละเอียดปลีกย่อยพอสมควรท่ีผู้ใช้จะต้องพิจารณาและ ตระหนักถึงเสมอในขณะที่ปฏิบัติงาน ขั้นตอนในการ
ปฏิบัติทจ่ี ะกล่าวตอ่ ไปน้ี เป็นขนั้ ตอนพื้นฐานท่ีสาํ คัญในการปฏิบัติงานแบบ Brazing การละเลยข้อปฏิบัตินี้ ส่งผล
ตอ่ ความล้มเหลวในการปฏบิ ัตงิ านและทำให้ได้รอยตอ่ ท่ไี ร้ซ่ึงคณุ ภาพในท่ีสุด
ขั้นตอนท่ี 1 ทําความสะอาดช้นิ งานให้ดที ่สี ุด
อยา่ ลืมว่าปฏิกิริยาคาปัลลารี จะได้ผลดที ี่สุดเม่อื ผิวชิน้ งานมีความสะอาด ถา้ บนผิวชิ้นงานมีคราบน้ํามัน
สนิม จารบี สะเก็ดผิวงาน หรือฝุ่น คณุ ตอ้ งทาํ ความ สะอาดส่งิ สกปรกพวกนี้ออกใหห้ มดจด เพราะส่งิ สกปรกพวกน้ี
จะขดั ขวางการไหลด้วของโลหะเดมิ บนผิวชิ้นงาน
การทําาความสะอาดชิ้นงานบางทีก็เป็นเรื่องยุ่งยาก และควรจะหาความสะอาดอย่างถูกขันตอนด้วย
ตัวอย่าง เชน่ หากคุณตอ้ งการลา่ งผวิ ชิ้นงานด้วยวธิ กี ารจุ่ม น้ำยาเคมี กอ่ นอ่นื คุณตอ้ งล้างคราบน้ำมนั หรอื จารบีบน
ผิวงานกอ่ นทจี่ ะนําไปจุ่มน้ำยาเคมี เพราะน้ำยาเคมพี วกน้จี ะใช้ไม่ไดผ้ ลหากผิวงานเปื้อนคราบน้ำมัน คุณสามารถใช้
วธิ ีการลา่ งรว่ มกันได้ ซง่ึ วธิ ีการจุ่มงานในสารชะล่างที่เหมาะสม ใช้วิธีการลา้ งสารดว้ ยไอระเหย หรอื การจุ่มในถังน้ำ
หรืออัลคาไลน์ ในกรณีที่ผิวชิ้นงานมีสนิมหรือคราบอ๊อกไซด์ คุณสามารถทําความสะอาดได้ทั้งวิธีทางเชิงกล เช่น
การใช้กระดาษทรายหรือแปรงลวด และการทำความสะอาดด้วยวิธีทางเคมี เช่นการจุ่มกรด แต่ต้องเป็นกรดท่ี
เท่ากันไดก้ บั โลหะนน้ั และตอ้ งตรวจสอบว่าไม่มีสารละลายตกค้างอยู่ในซอกอับรูเลก็ ๆ หรือตามซอกชนิ้ งาน ซึ่งจะ
เปน็ สาเหตุ ให้ขดั ขวางการไหลผิวตัวหรือการเปียกผิวของโลหะเตมิ ได้
ชิ้นงานท่ีผา่ นการใชง้ านมาแลว้ หรือการแผ่นประสานเพือ่ การซอ่ มปำรงุ ชนิ้ งานประเภทน้ีมักจะสกปรก
เนื่องจากผ่านการใช้งานมาแล้ว การทําความสะอาดจะ ต้องใช้วิธีที่มากกว่าปกติ โดยอาจจะใช้การเจียรผิว การ
ตะไบหรือการยิงทรายช่วย ต่อด้วยการจุ่มน้ำยาทาความสะอาด หลังจากทําความสะอาดแล้ว พึงระลึก เสมอว่า
การใชม้ ือเปลา่ หยิบจบั ชน้ิ งาน โดยเฉพาะมอื ท่สี กปรก อาจจะทาํ ใหค้ ราบไขมันท่ีมอื ไปทำให้ชิ้นงานสกปรกอกี
ขน้ั ตอนท่ี 2 แน่ใจว่าประกอบงาน โดยมรี ะยะรอยตอ่ ท่เี หมาะสม
การแล่นประสาน ตอ้ งอาศยั ปฏิกิรยิ าคาปลิ ลารี เพ่อื ที่จะให้น้ำโลหะเดิมทีห่ ลอมเลว วิง่ หรือถูกดดู เขา้ ไปใน
รอยต่ออย่างท่ัวถึงและสม่ำเสมอ ดังนั้น ในระหวา่ งการแล่นประสานคุณต้องรกั ษาระยะห่างระหว่างผิวชิน้ งานทงั้
สองชิ้นให้ได้ระยะที่ถูกต้องเสมอเพือ่ ให้ปฏิกิริยาคาปิลลารีมีประสิทธิภาพดีที่สุดระยะห่างที่เหมาะ สมควรจะใช้
ประมาณ 0.038 มม. แตร่ ะยะท่ัวๆ ไปคอื ประมาณ 0.025 - 0.127 มม.
ความจริงแลว้ ในการแลน่ ประสานทุกวันน้ี เพอื่ ให้ได้รอยตอ่ ท่ีแข็งแรงนั้น ก็ไมจ่ ําเป็นต้องใช้ระยะห่างของ
ผิวชิ้นงานที่แม่นยำมากนัก เพราะปฏิกิริยาคาปิลลารี สามารถเป็นไปได้ในช่วงระยะที่กว้างพอควรแต่คุณต้องมี
ระยะเผื่อทีแ่ น่นอน ในการทำงานใน Workshop ทุกวันน้ี สําหรับการแล่นประสานช้ินงานแบบท่อจะใช้ การสวม
แบบ Slip Fit ก็จะพอได้ระยะรอยต่อที่เหมาะสมระหว่างช้ินงานสองชิ้นแล้ว เพียงแต่ต้องระลึกไว้เสมอว่า ความ
แข็งแรงของรอยต่อจะลดลงถ้าระยะห่าง ของรอยต่อมากขึ้น ปฏิกิริยาคาปิลลารีจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ถ้าระยะ
รอยต่อเกินกว่า 0.30 มม. ในกรณีที่คุณทําการแลน่ ประสานโดยวางชิ้นงานประกบกัน คุณสามารถวางชิน้ งานอีก
67
ชิ้นหนึ่งบนชิ้นงานอีกชิ้นหนึ่ง ระยะระหว่างชิ้นงานสองชิ้น ก็เป็นระยะห่างรอยต่อที่เหมาะสมแล้ว เพราะความ
หยาบของผิวโลหะจะทำใหเ้ กิดระยะหา่ งที่เหมาะสมได้เอง ไมจ่ ําเป็นต้องขดั มันหรอื ปัดผิวชิ้นงานใหเ้ งาเน่ืองจากจะ
ทำใหน้ ้ำโลหะเดมิ มกี ารเปยี กผวิ ลดลง
เมื่อคุณจะต้องทำการแล่นประสาน ต้องระลึกเสมอว่า ระยะห่างของผิวชิ้นงานทั้งสองชิ้นน้ัน คิดที่ระยะ
อุณหภูมิแล่นประสาน ไม่ใช่ที่อุณหภูมิห้องปกติ การออกแบบระยะห่างของชิ้นงานต้องคํานึงถึงการขยายตัวของ
โลหะเมอื่ ได้รบั ความร้อนด้วย โดยเฉพาอยา่ งยิง่ การแลน่ ประสานงานท่อท่ีเปน็ โลหะตา่ งชนิดกนั เนือ่ งจากโลหะแต่
ละชนิดจะมีค่าสมั ประสทิ ธกิ์ ารขยายตวั เนอ่ื งจากความร้อนไมเ่ ท่ากัน
ขัน้ ตอนท่ี 3 การใช้บอแรก็ ซ์กับชน้ิ งาน
บอแร็กซ์เปน็ สารประกอบทางเคมที ี่ใช้ทาบริเวณรอยต่อก่อนทําการแลน่ ประสานเพ่ือสร้างชั้นบรรยากาศ
ป้องกันอ๊อกซิเจนบริเวณรอยต่อ เนื่องจากในระหว่างให้ความรอ้ นบนชิน้ งาน ผิวโลหะที่มีความร้อนสูงจะเร่งการ
เกดิ อ๊อกไซด์ ซึ่งเป็นผลจากการท่าปฏิกิริยาทางเคมกี ับออกซเิ จนที่อยู่ในอากาศ ถา้ คุณไม่มีการปอ้ งกนั การเกดิ ออ๊ ก
ไซด์นี้ จะทําใหก้ ารเปียกผวิ และการประสานของโลหะเดมิ กับรอยตอ่ ทัง้ สองขนึ้ เป็นไปได้ยาก
การทาบอแรก็ ซ์บริเวณรอยตอ่ จะปอ้ งกันผิวช้ินงานจากอากาศ ป้องกันการเกดิ อ๊อกไซด์ โดยจะดูดซับและ
ละลายอ๊อกไซด์ท่ีเกิดขึน้ ระหว่างการให้ความร้อน หรือตกค้างมาจากขั้นตอนการทําความสะอาด คุณสามารถทา
บอแร็กซ์ในบริเวณใดก็ได้ทตี่ ้องการ ตราบใดทส่ี ามารถปกคลมุ บริเวณรอยต่อที่จะทําการแลน่ ประสานได้ พอเพียง
ส่วนมาก บอแร็กซ์จะมีลักษณะเป็นผงสีขาว และสตุเป็นน้ำ จึงสามารถทาลงบนชิ้นงานได้ง่ายด้วยปลายไม้ หรอื
ภู่กัน
ขัน้ ตอนท่ี 4 การประกอบชิ้นงานเพอื่ หาการแลน่ ประสาน
เม่ือคณุ เตรียมช้นิ งาน โดยการทาํ ความสะอาดและทาบอแรก็ ซ์แล้ว เม่อื ทาํ การยึดจบั กับ Fixture จะต้อง
มั่นใจว่ารอยต่อนั้นยังคงอยูใ่ นระยะห่าง และทิศทางที่ถูกต้องเมื่อทำการใหค้ วามรอ้ น สามารถอาศัยน้ำหนักของ
ชิน้ งานเองประคองรอยต่อใหค้ งทไี่ ด้ หากชิน้ งานนัน้ มขี นาดและนํา้ หนกั ท่ีเพยี งพอ
คุณสามารถใช้วัสดุหรอื สิง่ ของที่มีน้ำหนักวางทับได้ ตราบไดที่น้ำหนักกดทบั น้นั ไมม่ ากเกนิ ไป หากน้ำหนัก
กดทับมากเกินไปจะทําใหร้ ะยะห่างของรอยตอ่ เปลี่ยนไปได้และจะกดรอยต่อจนกระทั่งนําโลหะหลอมเหลวไหล
ออกจากรอยตอ่ นอกจากนัน้ สิง่ ของท่ีกดทับจะยังเพิม่ ปริมาตรของชน้ิ ส่วนและอาจจะดูดความ ร้อนออกไป ทำให้
ตอ้ งเพ่ิมระยะเวลาในการใหค้ วามร้อนมากข้นึ อกี ด้วย
ขั้นตอนท่ี 5 การประสานรอยตอ่
การแล่นประสานคือการใหค้ วามรอ้ นแก่ช้ินสวนจนกระทง่ั ถงึ อณุ หภมู ิการแล่นประสานและทาให้โลหะ
เดนิ หลอมและไหลตวั เขา้ ไปในรอยต่อ ตอ้ งแนใจว่าใหค้ วามร้อนเพยี งแค่ถงึ อณุ หภูมแิ ลนประสานเท่านนั้ มใิ ช่ให้
อุณหภมู ิสงู จนกระท้ังช้นิ งานหลกั เกิดการหลอมละลาย
68
การให้ความรอ้ นขั้นตอนแรก จะต้องใหค้ วามร้อนอย่างสม่ำเสมอไปท่ัวถ้วนบริเวณรอยต่อ ถ้าคุณทำการ
แล่นประสานช้ินงานที่มีขนาดเล็ก คุณสามารถให้ความร้อนแก่ชิ้นงานทั่งชิ้นจนกระทั่งถึงอุณภูมิการมีการแล่น
ประสานได้ แต่ถ้าเปน็ ช้นิ งานขนาดใหญ่ ให้ทำการให้ความร้อนเฉพาะบรเิ วณทตี่ ้องการเท่าน้ัน แหลง่ ความรอ้ นที่ใช้
อาจจะเป็นด้ามเช่ือมด้วยแก๊ส ที่ใช้แก๊สเชื้อเพลิงต่างๆ เช่น อเซทิลีน ก๊าซหุงต้ม หรือ หัวเบรินเนอร์ ก็ได้ ขอ
เพียงแต่วา่ การให้ความร้อนนั้นจะต้องให้
ความรอ้ นแก่ช้ินงานทั้งสองชิน้ อย่างสม่ำเสมอจนกระทง่ั อณุ หภูมิการแลน่ ประสานพรอ้ มๆ กนั โดยอาศัย
การส่ายหวั เชือ่ มหรอื เปลวไฟไปมาใหท้ ่วั ทั้งรอยต่อ อย่าจี้เปลวไฟไปตรงรอยตอ่ เพียงจุดเดยี ว
พยายามอย่าป้อนลวดเชื่อมผิดจังหวะ สังเกตดูบอแร็กซ์ว่าเมื่อให้ความร้อนจนถึงระดับอุณหภูมิที่
เหมาะสมแลว้ บอแร็กซ์จะเปลี่ยนสภาพเป็นของเหลวแสดงว่าให้ความร้อนถงึ ระดับอุณหภูมทิ ี่หมาะสมกับการป้อน
ลวดเช่อื มแล้ว
ในการป้อนลวดดว้ ยมือ ให้ทาํ การป้อนเมื่อใหค้ วามร้อนถึงระดับอณุ หภมู ทิ ห่ี มาะสมกบั การป้อนลวดเชือ่ ม
แล้ว โดยปอ้ นลวดตรงบริเวณรอยตอ่ และแช่ไว้ ช้ินส่วนทีร่ อ้ นจะทําให้ลวดเชอ่ื มละลายและถูกดดู เข้าไปในรอยตอ่
ด้วยปฏกิ ิรยิ าคาปิลลารี ข้นั ตอนน้ี คณุ อาจจะมีการป้อนบอแร็กซ์เพิม่ เติมได้โดยการทาบอแร็กซ์เพิม่ หรือง่ายทีส่ ดุ
คอื การจุ่มปลายลวดร้อนลงไปในบอแร็กซ์ ในกรณที ี่งานมขี นาดใหญ่บอแรก็ ซ์ที่ทาลงไปกอ่ นหนา้ นอี้ าจจะอ่มิ ตัว
ดว้ ย ออ๊ กไซด์ การเพิม่ บอแรก็ ซ์โดย ใชว้ ิธีจุ่มปลายลวดร้อนลงไปในบอแรก็ ซ์จะชว่ ยเพิม่ ความสามารถในการไหล
ของน้ำโลหะเดิมได้
ขอ้ ท่คี วรพึงระวงั คอื โลหะเดิมจะพยายามไหลเขา้ หาสว่ นท่มี อี ณุ หภมู ิสงู ที่สุด ในรอยต่อทีถ่ ูกให้ความรอ้ น
นัน้ ด้านนอกมกั จะมอี ุณหภมู สิ ูงกว่าในซอกรอยตอ่ ดงั นั้น ต้องป้อนลวดเช่อื มให้ใกล้กับรอยตอ่ ใหม้ ากทส่ี ุด หากคุณ
ป้อนลวดเชอื่ มห่างจากรอยตอ่ ลวดเชื่อมจะหลอมละลายและไหลไม่เป็นทีห่ รือเข้าไปในรอยต่อได้ และการให้ความ
ร้อนทด่ี ี จะต้องใหค้ วามร้อนด้านตรงข้ามกบั รอยต่อท่คี ุณจะทาํ การปอ้ นลวด
ข้นั ตอนที่ 6 การทาํ ความสะอาดหลงั จากการแล่นประสาน
หลังจากปฏิบตั ิการแลน่ ประสานเรียบร้อยแล้ว ตอ้ งทําความสะอาด เนอื่ งจากฟลกั ซจ์ ะทําใหเ้ กดิ การกดั
กร่อน โดยปกติ การทำความสะอาดมีสองขนั้ ตอน ดงั น้ี
- การขจัดบอแรก็ ซ์ทใี่ ช้ไมห่ มด
- การขจัดคราบอ๊อกไซด์ที่เป็นสะเก็ดบนผวิ รอยตอ่ ด้วยวธิ ีการจุ่มน้ำยา
ล่าง
เนื่องจากบอแรก็ ซ์ท่ีใช้สำหรบั งานแล่นประสานสวนใหญ่ทาํ ละลายได้ดว้ ยน้ำกรดกำมะถัน หรือสารสม้ ต้ม
สำหรับในกรณีบอแร็กซ์ที่ใชไ้ ม่หมดแล้วเหลือตกค้างอยบู่ นผวิ รอยต่อ สามารถทําความ สะอาดหรือล้างไดง้ ่าย โดย
การจมุ่ ชน้ิ งานลงในน้ำร้อนประมาณ 50°C ใหจ้ ุ่มชิ้นงานในน้ำรอ้ นขณะท่ีชน้ิ งานกำลังรอ้ น แตต่ ้องแนใ่ จวา่ ก่อนจุ่ม
นำ้ รอ้ นนน้ั โลหะเดมิ ทอ่ี ยใู่ นรอยต่อนนั้ แขง็ ตัวเรยี บร้อยแล้ว สะเกด็ บอแรก็ ซ์ทีแ่ ขง็ ตัวมลี กั ษณะเหมือนผลึกแก้วนัน้
จะแตกและหลดุ ออกจากผวิ ช้ินงาน หากไมห่ มด สามารถใช้ แปรงลวดชว่ ยขัดผวิ รอยต่อในขณะที่ชิ้นงานยังคงอยู่
ในน้ำร้อน
69
ใบงานท่ี 3 หนว่ ยที่ 3
หลักสตู ร ประกาศนียบตั รวชิ าชีพ พทุ ธศักราช 2562 สอนคร้งั ที่ 6-17
รหสั วิชา 20315-2108 ชือ่ วชิ า งานขึ้นรูปเบือ้ งต้น ท-ป-น 1-6-3
ชอ่ื หนว่ ยการเรียนรู้ ฝกึ ปฏบิ ัติงานเรียนรูก้ ระบวนการขน้ึ รูปเบือ้ งตน้ โดยสรา้ งและใชโ้ มเดลตนแบบรปู ทรง
เรขาคณิต
ช่ือเรอ่ื งหลกั การปฏิบตั ิงานขึ้นรปู เบอ้ื งต้นรปู ทรงเรขาคณติ โดยสรา้ งและใชโ้ มเดลตนแบบรปู ทรงเรขาคณิต
1.จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม
1 อธบิ ายกระบวนการข้ันตอนในการฝกึ ปฏิบตั ิงานขึ้นรูปเบอ้ื งต้น
ได้ถูกตอ้ ง
2.ฝึกปฏิบตั งิ านการสร้างต้นแบบโมเดลรูปทรงเรขาคณติ ใช้ในการสรา้ งสรรคช์ ิน้ งานข้นึ รูปเบอ้ื งตน้ ได้
ถูกต้อง
3 เขา้ เรยี นตรงตามเวลา และชว่ ยเก็บ บำรงุ รักษาเครอื่ งมอื หอ้ งเรยี นได้ตามขอ้ ตกลง
2. สมรรถนะ
2.1 ร้แู ละเขา้ ใจเกย่ี วกบั หลกั การกระบวนการขั้นตอนในการฝึกปฏิบตั งิ านขน้ึ รูปเบือ้ งต้น
2.2 แสดงความรเู้ ก่ียวกบั การสร้างต้นแบบโมเดลรปู ทรงเรขาคณิตใช้ในการสรา้ งสรรคช์ น้ิ งานขนึ้ รปู
เบื้องตน้
2.3 มกี จิ นิสัยท่ีดใี นการเรียน
3. เครื่องมือ วสั ดุ และอุปกรณ์
กระดาษ 100 ปอนด์
เครอื่ งมอื เขยี นแบบ
แผน่ โลหะทองแดง
เครอ่ื งมอื ขนึ้ รปู
4. การมอบหมายงาน
ให้นักศึกษาปฏบิ ัติการออกแบบ – เขยี นแบบภาพคล่ีตลับทรงเรขาคณิต บนกระดาษ 100 ปอนด์ คนละ 1
แบบ เพอื่ ใชใ้ นการสร้างสรรค์งานขน้ึ รปู ตลบั โลหะทรงเรขาคณติ จำนวน 1 ชนี้
5. การประเมนิ ผล
1 ประเมินผลพฤติกรรมการปฏบิ ัตงานรายบคุ คล
2.ชิน้ งานข้นึ รปู พรรณและโมเดลกระดาษทรงเรขาคณติ
70
6. เอกสารอ้างอิง/เอกสารคน้ คว้าเพม่ิ เติม
เอกสารหนังสอื การออกแบบเขยี นแบบ รปู พรรณ
7. เกณฑก์ ารประเมนิ ผลงาน
ประเด็นการประเมิน คา่ น้ำหนัก แนวการให้คะแนน
คะแนน
รวมคะแนน
71
แผนการจัดการเรยี นรู้ หนว่ ยท่ี 4
หลักสูตร ประกาศนยี บตั รวิชาชพี พุทธศกั ราช 2562 สอนครัง้ ท่ี 18
รหสั วิชา 20315-2108 ช่ือวิชา งานข้นึ รปู เบ้อื งตน้ ท-ป-น 1-6-3
ชอื่ หน่วยการเรยี นรู้ ตรวจสอบคณุ ภาพ ประเมินราคา ปฏิบตั ิ 7 ช.ม.
ชอื่ เรือ่ ง การตรวจสอบคุณภาพและประเมนิ คา่
ทฤษฎี 1 ชม.
สาระสำคัญ
เม่ือนกั ศึกษาได้ผลติ ชนิ้ ส่งิ ที่ตอ้ งคำนึงคือปรมิ าณน้ำหนกั ของชิ้นงานทเี่ สรจ็ และแนน่ อนวา่ จดุ ประสงค์หลัก
หรือจุดมุ่งหมายของการผลิตชิ้นงานกค็ ือการ ตรวจสอบคุณภาพและประเมินค่าราคาของชิ้นงานซึ่งจะใช้หลักใน
คำนวนน้ำหนกั ที่ได้และการตรวจสอบและประเมนิ ชิ้นงานได้ดังนี้ 1. ความสมบรู ณ์ของช้ินงาน ในท่ีนหี้ มายถึงรูปทรงที่
เหมาะสมผิวชิ้นงานเรียบเปน็ มันวาว 2. น้ำหนักของชิ้นงาน 3. ต้นทุนหรือนำ้ หนักโลหะมคี ่าที่ใช้ในการผลิตช้นิ งาน
รวมไปถึงค่าวสั ดอุ ุปกรณ์ทีใ่ ช้
2. สมรรถนะและเกณฑ์การปฏบิ ตั ิงานประจำหนว่ ย
2.1 สมรรถนะประจำหนว่ ย
2.1 แสดงความรู้เกย่ี วกับการตรวจสอบคุณภาพ ชน้ิ งานขน้ึ รูปเบอ้ื งตน้
2.2 แสดงความรู้เกย่ี วกบั การวเิ คราะห์ ประเมินราคาชน้ิ งานข้ึนรูปเบือ้ งตน้
2.3 มกี จิ นิสัยทด่ี ใี นการเรยี น
3. จุดประสงค์การเรียนรปู้ ระจำหนว่ ย
3.1 จุดประสงคท์ วั่ ไป
3.1.1. เพ่อื ให้ผู้เรียนมคี วามรู้และความเข้าใจเก่ียวกบั การตรวจสอบคุณภาพ ช้นิ งานขน้ึ รปู เบอ้ื งต้น
3.1.2 เพื่อให้ผู้เรียนมีความร้แู ละความเข้าใจเกี่ยวกับการวิเคราะห์ ประเมินราคาชนิ้ งานขนึ้ รูปเบ้อื งตน้
3.1.4 เพือ่ ใหผ้ ู้เรียนมีกจิ นสิ ยั ทด่ี ี ด้านความซื่อสัตย์ มวี ินัย ใจอาสา
3.2 จุดประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม
3.2.1 อธิบายความรู้เกี่ยวกับตรวจสอบคุณภาพชิ้นงานขึ้นรปู เบื้องตน้ ในด้านรปู ทรงลวดลาย ได้ถูกต้องได้
ถกู ต้อง
3.2.2. อธบิ ายความร้เู กยี่ วกบั การวิเคราะหป์ ระเมินค่าราคาตัวช้ินงาน คำนวนต้นทนุ น้ำหนกั โลหะมคี า่
ของชิน้ งานสำเร็จ ได้ถกู ต้อง
3.2.3 เขา้ เรียนตรงตามเวลา และชว่ ยเก็บ บำรงุ รกั ษาเครอื่ งมอื ห้องเรยี นได้ตามขอ้ ตกลง
72
4. สาระการเรยี นรู้
4.1. ฝกึ การตรวจสอบคุณภาพ และประเมินราคางานข้นึ รูปเบอื้ งต้น
4.2. ฝึกวเิ คราะห์นำ้ หนกั ประเมินค่าตัวชิ้นงานข้ึนรปู เบอ้ื งตน้
5. กจิ กรรมการเรยี นรู้
สัปดาหท์ ี่ 18
5.1การนำเข้าสบู่ ทเรียน 30 นาที
1. ครูผสู้ อนทำการเช็ครายชอ่ื นักเรียนกอ่ นเริ่มบทเรยี น
2. ครูเกริ่นนำตวั อย่างการวิเคราะหป์ ระเมนิ คา่ ตัวชน้ิ งานการตรวจสอบคุณภาพ และประเมินราคางานข้ึน
รูปเบ้อื งต้น
3. ครผู ้สู อนแจ้งจดุ ประสงคร์ ายวชิ า คำอธบิ ายรายวชิ า และสมรรถนะรายวชิ า รวมถึงการวดั และ
ประเมินผลรายวชิ างานข้นึ รปู เบอ้ื งต้น
4. ครสู อบถามความรู้เก่ยี วกับการวิเคราะห์น้ำหนักประเมินค่าตวั ช้นิ งานตรวจสอบคุณภาพ และประเมิน
ราคางานขน้ึ รปู เบ้อื งตน้
5.2 การเรียนรู้ 7 ชวั่ โมง
1. ครูแจกแบบทดสอบเพ่ือประเมนิ พ้ืนความรกู้ อ่ นเรียน
2. ครูอธิบายประกอบสื่อใบความรู้ที่5 การวิเคราะห์ประเมินค่าตัวชิ้นงานการตรวจสอบคุณภาพ และ
ประเมนิ ราคางานขน้ึ รูปเบื้องตน้
3. ครูอธิบายหลักการวิเคราะห์นำ้ หนกั ประเมนิ คา่ ตวั ชิ้นงานการตรวจสอบคณุ ภาพ และประเมินราคางาน
ขนึ้ รปู เบื้องตน้
4. ครแู จกแบบฝกึ การวิเคราะห์นำ้ หนัก ประเมินคา่ ตัวชิ้นงานขนึ้ รูปเบื้องต้น
5 .ครูสรุปเนื้อหาขั้นตอนหลักการวิเคราะห์น้ำหนักประเมินค่าตัวชิ้นงาน การตรวจสอบคุณภาพ และ
ประเมนิ ราคางานขน้ึ รูปเบอื้ งต้น
5.3 ข้นั สรุป
1. ครูผ้สู อนเปิดโอกาสให้นักเรยี นซักถามข้อสงสัย
2. ครูตอบคำถามและสรุปเนอื้ หา
3. ครแู จกแบบทดสอบเพ่อื ประเมินความรู้หน่วยการเรยี นที่ 4
5.4 การวดั และประเมนิ ผล
1. ประเมนิ ผลนักเรยี นจากการทำขอ้ สอบก่อนเรียนและหลงั เรยี น
2. ประเมินผลนักเรียนจากการทำแบบฝึกและนำเสนอคำนวนน้ำหนักและตรวจสอบคุณภาพ ประเมิน
ราคางานขน้ึ รปู เบ้อื งต้น
73
6. ส่ือและแหลง่ การเรียนรู้
ครูผู้สอนได้มีการผลิตและใช้สื่อการเรียนรู้ตามบริบทของรายวิชาและเทคโนโลยีประจำห้องสอนและ
ปฏบิ ัตกิ าร ดังนี้
6.1. ส่อื โสตทัศน์
1.) วีดีทัศน์ทีทำในรูปแบบไฟล์ mp.4 การวิเคราะห์ประเมินค่าตวั ชิ้นงานการตรวจสอบคุณภาพ และ
ประเมนิ ราคางานข้นึ รปู เบือ้ งตน้
2.) เรียนร้ผู า่ นระบบออน์ไลน์ การสืบค้นข้อมูลผ่านอนิ เทอร์เนต็
6.2. โสตทัศน์อปุ กรณ์
1.) กระดานอัฉรยิ ะพร้อมอปุ กรณเ์ ชอ่ื มต่อระบบเสยี ง
2.) คอมพิวเตอร์ควบคุม
3.) แทปเล็ต
6.3. สอ่ื สง่ิ พิมพ์
1.) หนังสือประกอบการเรยี นรู้ การวเิ คราะห์ประเมินคา่ ตวั ชิน้ งาน
2.) ภาพประกอบ
3.) ใบงาน
4.) ใบความรู้
6.4 สื่อบทเรียนอเิ ล็กทรอนิกส์
1.) เครือ่ งคอมพิวเตอร์ทส่ี ามารถเชื่อมตอ่ อนิ เทอร์เน็ตได้
2.) หนงั สอื อิแลค็ ทรอนิก E – Book
3.) ห้องเรยี นออนไลน์ Google Classroom / Facebook
7. หลกั ฐานการเรียนรู้
7.1หลกั ฐานความรู้
1.) ใบความรู้
2.) สอ่ื ออนไลน์ในห้องเรียน Google Classroom / Facebook
7.2 หลักฐานการปฏิบัติงาน
1.) ใบงาน
2.) ชิ้นงานทค่ี รผู สู้ อนมอบหมาย
74
8. การวัดและประเมนิ ผล
8.1 เครื่องมือประเมิน
8.1.1ก่อนเรียนรู้
วิธีการวัดผล - ทดสอบอตั นยั และปรนัย ก่อนการเรียนรู้
เคร่อื งมือวดั - แบบทดสอบอัตนยั และปรนัย กอ่ นเรียนรู้
8.1.2 ระหวา่ งเรียนรู้
วธิ ีการวดั ผล - ประเมนิ พฤติกรรมรายบุคคล
เครื่องมอื วัด - แบบประเมนิ พฤตกิ รรมรายบุคคล
8.1.3 หลังเรยี น
วิธกี ารวัดผล - ทดสอบหลังเรยี นรู้
เครือ่ งมอื วัด - แบบทดสอบหลงั เรียนรู้
8.2 เกณฑ์การประเมิน
8.2.1 เกณฑก์ ารวดั ผลสมั ฤทธจิ์ ากแบบทดสอบและใบมอบงานมีเกณฑ์ดังนี้
รอ้ ยละ 80-100 หมายถงึ ผลการเรียนรู้ดมี าก
รอ้ ยละ 70-79 หมายถงึ ผลการเรียนรูด้ ี
ร้อยละ 60-69 หมายถงึ ผลการเรยี นรปู้ านกลาง
รอ้ ยละ 50-59 หมายถงึ ผลการเรียนร้ผู ่านเกณฑข์ ัน้ ตำ่
(ควรปรับปรุงดว้ ยการศึกษาทบทวน)
ต่ำกว่าร้อยละ 50 หมายถงึ ผลการเรียนไม่ผ่านเกณฑ์(ต้องปรับปรุงและเรียนซ่อมเสริม
ควรทดสอบการประเมินจนกว่าจะผา่ นข้นั ตำ่ )
8.2.2 เกณฑก์ ารประเมนิ พฤตกิ รรมรายบคุ คล
8-10 คะแนน หมายถงึ มีพฤตกิ รรมดี
5-7 คะแนน หมายถงึ มีพฤตกิ รรมพอใช้
ตำ่ กวา่ 5 คะแนน หมายถึงมีพฤติกรรมที่ต้องปรับปรงุ
8.2.3 เกณฑ์การตัดสนิ
2 คะแนน หมายถึงมพี ฤติกรรมในระดบั ปฏบิ ัตสิ ม่ำเสมอ
1 คะแนน หมายถึงมพี ฤตกิ รรมในระดบั ปฏิบัติบางคร้งั
0 คะแนน หมายถงึ มีพฤตกิ รรมในระดับไม่ปฏบิ ตั ิ
8.2.4 เกณฑ์การประเมนิ
8-10 คะแนน หมายถงึ มพี ฤตกิ รรมดี
5- 7 คะแนน หมายถึงมพี ฤติกรรมพอใช้
ต่ำกว่า 5 คะแนน หมายถึงมีพฤติกรรมท่ตี อ้ งปรบั ปรุง
75
9. บนั ทึกผลหลังการจัดการเรียนรู้
9.1 ขอ้ สรปุ หลงั การจดั การเรยี นรู้
ดา้ นผู้สอน
การจดั การเรยี นการสอนในรปู แบบ online off line
สอนได้ครบตามหัวข้อที่กำหนดในแผนการจัดการเรียนรู้
สอนได้ไม่ครบตามหวั ข้อที่กำหนดในแผนการจดั การเรียนรู้ ยังขาดหวั ขอ้ ดงั นี้
แนวทางการแก้ปญั หาการสอนไม่ครบหวั ข้อตามแผน
ด้านความพร้อมและผลการเรยี นรขู้ องผ้เู รียน
จำนวนนักเรยี นทัง้ หมด คน จำนวนนักเรยี นทเ่ี ข้าเรยี น คน
จำนวนนักเรียนทขี่ าดเรียน คน
เกณฑ์ที่แนะนำ คดิ เป็นร้อยละ ดมี าก(80-100) ดี (70-79) พอใช้ (60-69) ตอ้ งปรบั ปรุง (ตำ่ กวา่ 60)
1 การตรงต่อเวลา ดีมาก ดี พอใช้ ต้องปรับปรุง
2 การแต่งกาย, การปฏิบัตติ ามระเบียบ ดมี าก ดี พอใช้ ต้องปรับปรงุ
3 ความพร้อม, ความตงั้ ใจในการเรยี น ดีมาก ดี พอใช้ ต้องปรบั ปรุง
4 มคี วามรบั ผิดชอบงานทม่ี อบหมาย ดมี าก ดี พอใช้ ตอ้ งปรบั ปรงุ
5 มคี วามรู้ ความสามารถ ตรงวัตถปุ ระสงค์ ดมี าก ดี พอใช้ ต้องปรับปรงุ
อ่ืนๆ
9.2 ปัญหา อุปสรรค
9.3 ข้อเสนอแนะและแนวทางแกป้ ญั หา
ลงช่อื ผูส้ อน ลงช่อื หวั หน้าสาขางาน
(..............................................) (..............................................)
ลงชอ่ื
(นายธรรมนญู เศวตสทุ ธิสริ ิกลุ )
ครู ทาหนา้ ทใ่ี นตาแหน่ง
หมายเหตุ ปญั หา อปุ สรรคและแนวทางแกป้ ัญหา ผสู้ อนรนอางไผปูอ้ พาฒั นวนยากใานรรฝูป่าแยบวบชิ ขาอกงาวรจิ ยั ชนั้ เรยี น หรือพฒั นาการจดั การเรยี นรูใ้ นครงั้ ตอ่ ไป
76
ใบความรูท้ 5่ี หนว่ ยที่ 4
หลักสตู ร ประกาศนียบตั รวชิ าชพี พทุ ธศักราช 2562 สอนครงั้ ท่ี 18
รหสั วชิ า 20315-2108 ชื่อวิชา งานขนึ้ รูปเบอื้ งตน้ ท-ป-น 1-6-3
ช่อื หนว่ ยการเรียนรู้ คำนวนนำ้ หนกั และตรวจสอบคุณภาพ ประเมนิ ราคา ปฏิบัติ 7 ช.ม.
ชอื่ เร่อื ง การคำนวนน้ำหนักตรวจสอบคุณภาพและประเมินค่า
ทฤษฎี 1 ชม.
1. จดุ ประสงค์การเรียนรู้
1.1 จดุ ประสงคท์ ัว่ ไป
1.1.1 เพอื่ ใหผ้ ้เู รยี นมีความรู้และความเขา้ ใจเกี่ยวกบั การตรวจสอบคุณภาพ ชน้ิ งานขน้ึ รูป
เบือ้ งต้น
1.1.2 เพื่อให้ผู้เรยี นมีความร้แู ละความเข้าใจเกยี่ วกบั การวิเคราะห์ ประเมินราคาชน้ิ งานขนึ้ รูปเบื้องตน้
1.1.3 เพือ่ ใหผ้ ู้เรยี นมกี ิจนสิ ัยท่ีดี ด้านความซอ่ื สตั ย์ มีวนิ ัย ใจอาสา
1.2 จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม
1.2.1 อธบิ ายความรูเ้ ก่ียวกับตรวจสอบคุณภาพชิ้นงานขึน้ รูปเบ้อื งต้นในดา้ นรปู ทรงลวดลาย ได้
ถูกต้องไดถ้ กู ตอ้ ง
1.2.2. อธบิ ายความรเู้ กี่ยวกบั การวิเคราะห์ประเมินค่าราคาตัวช้ินงาน คำนวนตน้ ทนุ นำ้ หนกั
โลหะมีคา่ ของชิน้ งานสำเร็จ ได้ถกู ตอ้ ง
1.2.3 เข้าเรียนตรงตามเวลา และชว่ ยเกบ็ บำรงุ รักษาเครอื่ งมือ ห้องเรยี นไดต้ ามข้อตกลง
2. สมรรถนะ
2.1 แสดงความรเู้ ก่ียวกับการตรวจสอบคณุ ภาพ ชิน้ งานขึน้ รูปเบ้ืองต้น
2.2 แสดงความรู้เกี่ยวกับการวิเคราะห์ ประเมินราคาช้นิ งานข้นึ รปู เบื้องตน้
2.3 มีกจิ นิสยั ท่ดี ใี นการเรยี น
3. เนอ้ื หาสาระ
ตรวจสอบคณุ ภาพและประเมนิ คา่
โดยปกติทว่ั ไปในตลาด สินค้าทมี่ ีคุณภาพดกี ว่ายอ่ มมีราคาที่สงู มากกว่าสินค้าด้อยคณุ ภาพ ราคาท่ถี ูก
กำหนดขน้ึ จงึ มคี า่ ขึ้นอยู่กับคณุ ภาพของสนิ ค้า ซง่ึ ในสมยั ก่อนคุณภาพของสินค้านนั้ ค่อนขา้ งมีความแตกต่างและ
หลากหลาย บางชนดิ ถกู นำมาวางจำหนา่ ยโดยทเี่ ป็นสนิ คา้ ท่ีมีคุณภาพไม่ได้มาตรฐานหรือมคี ุณภาพไมเ่ หมาะสมกบั
ราคา รฐั บาลจงึ ได้แกป้ ัญหาดังกลา่ วด้วยการกำหนดมาตรฐานคุณภาพสนิ ค้า เพ่อื ใช้สำหรบั ควบคุมคณุ ลักษณะของ
สนิ คา้ ทงั้ ทางกายภาพและทางเคมี ได้แก่ ความเป็นกรด น้ำหนัก ขนาด และสี เปน็ ตน้ โดยในปัจจุบันแนวทางหนงึ่
77
ของการควบคมุ ผลิตภณั ฑ์หรอื สินค้าบางชนดิ จะใช้วิธกี ารกำหนดคุณภาพดว้ ยมาตรฐานผลิตภณั ฑ์อุตสาหกรรม
(ม.อ.ก.)
ความหมายของการควบคุมคณุ ภาพ (definition of quality control)“การควบคุมคุณภาพ” ถูกสร้าง
ข้นึ มาจากคำสองคำ ได้แก่ คำว่า การควบคมุ ทใี่ นภาษาอังกฤษหมายถึง “control” และ คำว่า คณุ ภาพ ทีใ่ น
ภาษาอังกฤษหมายถึง “quality” จงึ รวมกนั ไดเ้ ป็น Quality Control หรอื Q.C.
Quality Assurance (QA) กบั Quality Control (QC)
QC (Quality Control) หมายถงึ การควบคุมคุณภาพสนิ คา้ ให้เปน็ ไปตามคุณสมบัตทิ ี่กำหนดไว้ และสามารถสร้าง
ความพึงพอใจให้กับลูกคา้ สงู สุด ดว้ ยกระบวนการ Inspection คอื กระบวนการการตรวจสอบตำหนิและ
จุดบกพรอ่ งของผลติ ภัณฑ์ เพอ่ื ที่จะทำการส่งกลบั ไปแก้ไขหรือคดั ทง้ิ จากนนั้ จงึ ทำการบันทกึ และเก็บสถิตขิ อง
ลกั ษณะรวมท้งั จำนวนผลิตภณั ฑต์ ่างๆที่เกดิ การบกพรอ่ ง สำหรับนำไปวิเคราะห์สาเหตุปัญหาต่างๆท่เี กิดขึน้ แล้ว
จึงทำการแก้ไขปรับปรงุ เพอื่ ให้ผู้ผลิตสามารถทำการผลิตสินคา้ ท่มี ีคุณภาพใกลเ้ คยี งกบั คุณสมบัติที่ตั้งไวม้ ากทส่ี ุด
ต่อไป
QA (Quality Assurance) หมายถึง กระบวนการตรวจสอบและควบคุมคุณภาพของสนิ คา้ ด้วยการวเิ คราะห์หา
สาเหตุขอ้ บกพร่องและความผิดพลาดของผลติ ภณั ฑจ์ ากเอกสาร work instructions โดยใชแ้ นวคิด “Do it right
the first time.” มาเป็นหลักในการผลิตสนิ ค้า ซึ่งจะเป็นกระบวนการทแ่ี ตกต่างจาก QC เน่ืองจากเป็นการ
ตรวจสอบกระบวนการผลิตตงั้ แตเ่ ริม่ ตน้ จากเอกสาร แทนการคดั แยกของเสยี ออกจากของดีในข้ันตอนสดุ ทา้ ย ที่
เป็นการเพมิ่ ต้นทุนและเสียเวลาโดยใชเ่ หตุจะเหน็ ได้ว่าท้ังกระบวนการ การตรวจสอบและการควบคุมคณุ ภาพ
(QC) และ การประกนั คณุ ภาพ (QA) นั้นตา่ งเป็นกระบวนการตรวจสอบเพ่อื ทำการป้องกัน (Prevention) การเกิด
ความผดิ พลาดที่สามารถสง่ ผลต่อคุณภาพของสนิ ค้าและบรกิ ารในทกุ ด้าน โดยท่ี QC จะให้ความสนใจใน
กระบวนการผลิตสินค้าและบรกิ าร ส่วน QA จะสนใจวงจรคุณภาพ (Quality Loop) เปน็ หลกั
การควบคุม (control) หมายถงึ การบังคบั ใหก้ จิ กรรมต่างๆ สามารถดำเนินการได้ตามกระบวนการที่
วางไว้ เพอ่ื ให้บรรลเุ ปา้ หมายการผลิตทม่ี คี ุณภาพและมปี ระสิทธิภาพสงู สดุ คณุ ภาพ (quality) หมายถึง ผลติ ภัณฑ์
ทีถ่ กู ผลิตใหม้ ีความเหมาะสมกับการใช้งาน (fineness for use) มีการออกแบบท่ดี ี (quality of design) และมี
การผลติ ทไี่ ดม้ าตรฐาน โดยลักษณะของผลิตภณั ฑ์ทไ่ี ด้ตอ้ งมคี วามมนั่ คงคงทน มรี ปู รา่ งสวยงาม สามารถใชไ้ ดด้ ี
และไม่เปน็ อันตรายตอ่ ผูใ้ ชง้ าน
คณุ ลักษณะของผลติ ภัณฑ์ทีม่ คี ุณภาพสามารถปฏิบตั งิ านได้ (performance) คอื ผลิตภณั ฑ์มีความสามารถในการ
ใชง้ านไดต้ ามหน้าทีท่ ีไ่ ด้ถูกกำหนดไว้
- มคี วามสวยงาม (aesthetics) คือ สินค้าสามารถดึงดดู ใจลูกคา้ ได้ในทกุ ๆด้าน ได้แก่ กลน่ิ รสชาติ
รูปรา่ ง ผวิ สมั ผัส สีสัน เป็นตน้
- มีคณุ สมบัตพิ ิเศษ (special features) คอื ผลิตภัณฑค์ วรมคี วามโดดเด่นรวมทงั้ มีคุณสมบัตพิ เิ ศษ
แตกต่างจากสนิ ค้าชนิดอืน่ ๆ
78
- มคี วามสอดคล้อง (conformance) คือ ราคาและคุณภาพของผลติ ภณั ฑม์ ีความเหมาะสมกัน
- มคี วามปลอดภัย (safety) คือ มีความเสย่ี งอนั ตรายในการใชผ้ ลติ ภณั ฑ์ตอ่ ผูใ้ ช้งานนอ้ ยท่ีสุด
- สามารถเช่ือถือได้ (reliability) คือ ผลิตภณั ฑค์ วรใช้งานไดอ้ ย่างสม่ำเสมอ
- ความคงทน (durability) คือ ระยะเวลาหรอื อายุการใชง้ านผลติ ภัณฑ์ที่ยาวนานในระดบั หนงึ่
- คุณค่าทร่ี บั รู้ (perceived quality) คอื ผลิตภณั ฑ์มภี าพลกั ษณท์ ี่ดี และสามารถสรา้ งความ
ประทบั ใจ แก่ผู้บริโภคได้
- มบี รกิ ารหลงั การขาย (service after sale) คือ ธุรกจิ มบี รกิ ารหลงั การขายทีด่ แี ละตอ่ เนอื่ งแก่
ผบู้ รโิ ภค ในการคงคุณสมบัตแิ ละการทำงานของผลติ ภัณฑ์ให้มคี วามสมบรู ณแ์ ละมคี ณุ ภาพ รวมไป
ถงึ มกี ารรบั ฟงั ความคดิ เห็นของผบู้ ริโภคท่มี ตี อ่ ผลิตภัณฑ์
ถึงแม้วา่ คณุ ภาพท่ีดีของผลิตภณั ฑ์จะเป็นสง่ิ ท่ีจำเปน็ ท้ังต่อผผู้ ลิตและผู้บริโภค แต่เนื่องจากวตั ถปุ ระสงค์ของผู้ผลติ
ในการดำเนินธรุ กจิ มคี วามแตกต่างกับวัตถุประสงค์การใช้ผลติ ภัณฑข์ องผบู้ รโิ ภค ในสายตาของผู้ผลิตและผ้ใู ช้งาน
ผลิตภัณฑ์จงึ มมี มุ มองเกี่ยวกบั คณุ ภาพของสนิ คา้ แตกต่างกัน ซึง่ ทัศนะของผผู้ ลติ กบั ลูกค้าสำหรบั ด้านคุณภาพของ
ผลิตภัณฑส์ ามารถสรปุ ได้ ดงั นี้
ความหมายของคณุ ภาพทด่ี ีสำหรับลกู ค้า
- ผลิตภัณฑ์มีความสามารถในการใช้งานตาม คุณสมบัตทิ ่ีระบไุ ว้ได้อย่างดี
- ผลิตภัณฑ์ทไี่ ดม้ ามีคุณภาพและราคาท่ีเหมาะสม คุ้มคา่ ต่อการบริโภคของลูกค้า
- ผลติ ภัณฑไ์ มม่ ีอันตรายท้งั ตอ่ ท้งั ผูใ้ ช้และตอ่ สิ่งแวดล้อม รวมทั้งผใู้ ช้สามารถใช้งานผลิตภัณฑ์ไดต้ ามที่
ต้องการ
- ผลติ ภัณฑ์มีบรกิ ารหลังการขายจากผู้ผลิต สำหรบั อำนวยความสะดวกแกล่ ูกค้า รวมทง้ั สำหรับรักษา
สภาพสนิ คา้ ให้สมบรู ณต์ ลอดชว่ งระยะเวลาในการใช้งาน
- ผลติ ภัณฑส์ ามารถสร้างความประทับใจ รวมไปถึงความภาคภมู ิใจต่อผู้ใช้ผลิตภณั ฑไ์ ด้
ความหมายของคุณภาพทดี่ สี ำหรบั ผู้ผลิต
- มีกระบวนการการผลติ ที่ถกู ตอ้ ง ต้งั แต่ขนั้ แรกจนถึงส้ินสดุ การผลิต
- มีกระบวนการการผลติ ท่ใี ช้แนวคดิ zero defects คอื การผลิตทไ่ี ม่เกิดของเสยี ขึ้น หรือมรี ะดบั การ
เกดิ ของเสยี ไม่เกินเกณฑม์ าตรฐาน
- มีกระบวนการการผลิตทีไ่ ม่เบี่ยงเบนจากมาตรฐานทีก่ ำหนดไว้ และสามารถทำการผลติ ไดอ้ ยา่ ง
ถูกต้องตามตวั แปรทต่ี อ้ งการ
- มีความเหมาะสมในดา้ นระดบั ต้นทุนการผลิต ทำให้ลกู ค้าสามารถซ้ือสนิ ค้าได้ในราคาทเ่ี หมาะสม
และยอมรบั ได้
79
การควบคุมคุณภาพ (quality control)
เมอื่ “การควบคุม” และ “คุณภาพ” ถกู นำมารวมกนั จะได้คำว่า การควบคุมคณุ ภาพ (quality control) ท่ีเปน็
การจดั กจิ กรรมต่างๆ ไดแ้ ก่ การคัดเลือกวตั ถุดิบ กระบวนการออกแบบ กระบวนการผลิต หรือการตรวจสอบและ
ทดสอบผลผลิต เพอ่ื สร้างคุณภาพและป้องกนั การเกิดตำหนแิ กผ่ ลติ ภัณฑ์
โดยสรปุ แล้วการควบคุมคุณภาพจงึ หมายถงึ กิจกรรมหรอื กระบวนการตา่ งๆ ทีเ่ กิดขึ้นเพอ่ื ให้ผผู้ ลิตสามารถทำการ
ผลิตสินคา้ ออกมาไดอ้ ยา่ งมคี ุณภาพและเหมาะสมกบั ราคา มีความเรียบรอ้ ย ประณตี สวยงาม และสามารถนำไปใช้
งานไดอ้ ย่างดี
การประมาณราคา (Cost Estimate) ความหมายของการประมาณราคาการประมาณราคา หมายถึง
การคำนวณหาปริมาณวสั ดุ คา่ แรงและคา่ ดำเนนิ การท่ีราคาใกลเ้ คยี งกบั คา่ ใชจ้ ่ายจริงมากท่ีสุด ในการแยกรายการ
วัสดุ ค่าแรง คา่ ใชจ้ า่ ยเคร่อื งมอื เครอื่ งจกั ร และคา่ ใช้จา่ ยอน่ื ที่เกย่ี วขอ้ งกับงานโดยมผี ลกบั ตวั แปรตามในดา้ น
ระยะเวลาของการทำงาน ดงั นนั้ การประมาณราคาจึงไม่ใช่ราคาทีแ่ ท้จริง แตอ่ าจใกลเ้ คียงกับราคาจริง ซ่ึงไมค่ วร
จะผดิ พลาดไปจากราคาท่แี ท้จริงเกินกว่า 10 %
การประมาณ หมายถึง การวิเคราะห์ การใหค้ วามเห็น การพยากรณ์ หรือการคาดหมายล่วงหนา้ ดังน้นั การ
ประมาณตน้ ทุนจึงเปน็ การวิเคราะห์ หรือการให้ความเหน็ เกย่ี วกบั คา่ ใชจ้ า่ ยทค่ี าดว่าจะเกิดขึ้นในกระบวนการ
ทำงานหรอื กระบวนการผลิต ซง่ึ อาจเป็นการทำผลติ ภัณฑ์ การจัดทำโครงการ หรอื การผลิตงานบรกิ าร
การประมาณ (คำนาม) หมายถงึ การประเมินค่าแบบให้ออกมาในรูปของค่าใชจ้ ่าย หรือให้เปน็ จำนวนหรือเปน็
มูลค่า
การประมาณ (กริยา) หมายถงึ ประเมินคา่ กำหนดค่า หรอื ตีราคา
การประมาณราคา เปน็ งานทเี่ ป็นทงั้ ศาสตรแ์ ละศลิ ปะ ผู้ประมาณราคาตอ้ งมีความรู้ทางวชิ าการ ความรู้
ทางด้านการผลิต หรือการผลิตชน้ื งานท่ีเกีย่ วกบั งานทีท่ ำการประมาณราคา ความรทู้ างดา้ นวัสดุ และมาตรฐาน
ของวสั ดแุ ต่ละประเภท ความรู้ทางด้านสถติ ิ ฯลฯ
ดังนน้ั การประมาณการทสี่ มเหตุสมผลทีส่ ุด ผู้ประมาณราคาจึงตอ้ งมรี ะบบเกบ็ ขอ้ มูลเกี่ยวกบั การทำงานและ
ราคาท่ีทันสมัย และทราบถงึ ปญั หาและอปุ สรรคที่อาจบงั เกิดข้นึ เพื่อคิดเปน็ คา่ ใช้จ่ายรวมอยใู่ นงาน
ขนั้ ตอนการประเมนิ ราคา
การประมาณราคา (Cost Estimate) ความหมายของการประมาณราคาการประมาณราคา หมายถงึ การ
คำนวณหาปรมิ าณวสั ดุ คา่ แรงและค่าดำเนินการทรี่ าคาใกลเ้ คียงกบั คา่ ใช้จ่ายจริงมากที่สุด ในการแยกรายการ
วสั ดุ ค่าแรง คา่ ใช้จ่ายเครอื่ งมอื เคร่ืองจักร และค่าใช้จา่ ยอน่ื ท่ีเกย่ี วข้องกับงานโดยมีผลกบั ตวั แปรตามในดา้ น
ระยะเวลาของการทำงาน
องคป์ ระกอบของราคา ประกอบดว้ ย
80
1. วสั ดุ
2. วัสดธุ รรมชาติ
3. แหล่งวัสดุ
4. วัสดุจากการผลติ
5. แรงงานในการผลิต
6. เครอ่ื งจกั รในการผลิต
7. แรงงานในการลำเลยี ง
8. ค่าขนส่ง
9. ความสญู เสีย
ค่าแรง
1. แรงงานคน
2. เครอื่ งมือ
3. เคร่อื งจกั ร
คา่ ใชจ้ ่ายอ่ืน ๆ (Factor F)
1. คา่ ดำเนนิ การ
2. กำไร
3. ภาษีฯลฯ
เวลา
ขอ้ มูลท่มี ีผลกบั การประมาณราคา
1. ตำแหน่งสถานทกี่ อ่ สร้าง การคมนาคมเข้าออก
2. ลักษณะภูมปิ ระเทศ ลกั ษณะดนิ ในสว่ นงานก่อสร้าง
3. ลักษณะสภาพภูมอิ ากาศ ฤดูกาล เวลา
4. ขอ้ กำหนดของค่าจ้างแรงงาน ข้อบังตับแรงงานทอ้ งถน่ิ การหาแรงงานในทอ้ งถน่ิ
5. วันหยดุ งานในช่วงเทศกาลต่างๆ
6. ราคาวสั ดุท้องถิน่ ใกล้เคียง
7. การจดั หาแหลง่ เงินทุน พร้อมกบั ด้านเงินทุนหมนุ เวยี น
สถานการณท์ างด้านเศรษฐกิจและการเมอื ง
81
แบบทดสอบก่อนเรียน-หลงั เรยี น หนว่ ยท่ี 5
หลกั สูตร หลกั สูตรประกาศนียบัตรวชิ าชีพ พุทธศักราช 2562 สอนครงั้ ที่ 18
รหัสวชิ า 20315-2108 ช่ือวชิ า งานขึ้นรูปเบ้ืองตน้ ท-ป-น 1-6-3
ช่ือหนว่ ยการเรยี นรู้ คำนวนนำ้ หนักและตรวจสอบคุณภาพ ประเมนิ ราคา ปฏบิ ตั ิ 7 ช.ม.
ช่อื เร่อื ง การคำนวนนำ้ หนกั ตรวจสอบคุณภาพและประเมินคา่
ทฤษฎี 1 ชม.
คำชแี้ จง ให้นักศกึ ษาทำขอ้ สอบโดยใช้เวลาในการทำขอ้ สอบ 20 นาที
1. นักศกึ ษาคดิ ว่าการประเมนิ ราคาของงานข้ึนรูปเบือ้ งตน้ มีความจำเป็นอย่างไรกบั ชิน้ งาน (3คะแนน)
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
2. หลักของการประเมินราคาชิ้นงานขนึ้ รปู เบอ้ื งต้นนนั้ จะตอ้ งวเิ คราะหเ์ รอ่ื งใดบา้ ง โดยใหน้ กั ศกึ ษาเขียน
อธิบายโดยละเอยี ด(4คะแนน)
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
3. การตรวจสอบคุณภาพทำไปเพ่ืออะไร และมปี ระโยชนอ์ ย่างไรต่อระบบอุตสาหกรรมเครือ่ งโลหะ
รปู พรรณ (3คะแนน)
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
.................................................................................................................................................................
82
แบบประเมนิ พฒั นาการปฏบิ ัตงิ านของนกั เรียน
หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 5 คำนวนน้ำหนักและตรวจสอบคุณภาพ ประเมินราคาระดบั ชั้น ปวช.2
ชื่อเรื่อง การคำนวนน้ำหนักตรวจสอบคุณภาพและประเมินค่า
คำชีแ้ จง
1. ให้นกั เรยี นบนั ทกึ คะแนนทีไ่ ด้จากการทำแบบทดสอบกอ่ นเรียนหลงั เรียนของแต่ละคนลงในช่องคะแนน
แบบทดสอบ
2. ประเมินผลคะแนนพัฒนาการในการเรยี นรโู้ ดยเปรียบเทยี บเกณฑค์ ะแนนพัฒนาการแลว้ ทำเครอ่ื งหมาย
√ ลงในช่อง ความหมายของการพฒั นาการเรียนรใู้ ห้ตรงกบั ความเปน็ จริง
เลขท่ี ชอ่ื - นามสกลุ คะแนนแบบทดสอบ คะแนน พฒั นาการในการเรียนรู้
นักเรยี น ก่อนเรียน หลงั เรียน พัฒนาการ ดมี าก ดี ปานกลาง ปรบั ปรงุ
(กอ่ น-หลงั )
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
เกณฑ์คะแนนพฒั นาการ ลงชือ่ ............................................ผู้ประเมนิ
9-10 = ดีมาก (นายนัฏฐ์กิตต์ จุลพรรณ)์
7-8 = ดี ........./.........../2564
83
แบบสงั เกตการทำงานและประเมนิ ผลพฤติกรรมรายบุคคล
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 5 คำนวนน้ำหนกั และตรวจสอบคุณภาพ ประเมนิ ราคาระดบั ชัน้ ปวช.2
ชอ่ื เรอ่ื ง การคำนวนนำ้ หนักตรวจสอบคุณภาพและประเมินค่า
พฤตกิ รรมระดบั คะแนน
เลขท่ี ชอ่ื -นามสกุล ความตง้ั ใจ การมสี ่วน การตอบ ยอมรบั และ ทำงานเสร็จ
นักเรียน และ ร่วมในการ คำถาม รับฟงั ความ ตามท่ไี ด้รบั รวม
ปฏิบตั งิ าน แสดงความ คดิ เห็นของ มอบหมาย
คดิ เหน็ ผูอ้ ่ืน
3 2 1 3 2 1 32 1 32 1 321
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
เกณฑ์การให้คะแนน เกณฑ์การประเมิน คะแนนเตม็ 15 คะแนน
ระดบั 3 หมายถงึ มพี ฤตกิ รรมในระดับ ดี คะแนน 13 – 15 หมายถงึ ดี
ระดบั 2 หมายถงึ มีพฤติกรรมในระดับ ปานกลาง คะแนน 9 – 12 หมายถงึ ปานกลาง
ระดบั 1 หมายถึง มีพฤตกิ รรมในระดบั ปรบั ปรุง คะแนน 5 – 8 หมายถงึ ปรบั ปรงุ
เกณฑก์ ารผ่าน ร้อยละ 60 (9คะแนน)
ลงช่อื ............................................ครูผูส้ อน/ผปู้ ระเมิน
(นายนฏั ฐก์ ติ ต์ จลุ พรรณ)์
........./.........../2564
84
ใบงานที่ 3 หน่วยที่ 4
หลักสูตร ประกาศนียบัตรวิชาชีพ พทุ ธศักราช 2562 สอนครง้ั ท่ี 18
รหัสวิชา 20315-2108 ช่ือวิชา งานขนึ้ รปู เบื้องต้น ท-ป-น 1-6-3
ช่ือหนว่ ยการเรยี นรู้ คำนวนนำ้ หนักและตรวจสอบคณุ ภาพ ประเมินราคา
ชอื่ เรอื่ ง การคำนวนน้ำหนักตรวจสอบคุณภาพและประเมนิ ค่า
ทฤษฎี 1 ชม. ปฏบิ ัติ 7 ช.ม.
1. จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม
1.1 อธิบายความร้เู กีย่ วกบั ตรวจสอบคุณภาพชิ้นงานขน้ึ รูปเบ้อื งตน้ ในด้านรปู ทรงลวดลาย ได้ถกู ต้องได้
ถูกตอ้ ง
1.2. อธบิ ายความรูเ้ กี่ยวกบั การวเิ คราะหป์ ระเมนิ คา่ ราคาตวั ชนิ้ งาน คำนวนต้นทุน นำ้ หนกั โลหะมีคา่ ของ
ชิน้ งานสำเร็จ ไดถ้ กู ต้อง
1.3 เข้าเรยี นตรงตามเวลา และช่วยเก็บ บำรงุ รกั ษาเครื่องมือ ห้องเรยี นไดต้ ามข้อตกลง
2. สมรรถนะ
2.1 แสดงความรเู้ กีย่ วกบั การตรวจสอบคณุ ภาพ ชิ้นงานขึ้นรปู เบ้ืองต้น
2.2 แสดงความรเู้ ก่ียวกับการวเิ คราะห์ ประเมนิ ราคาช้ินงานข้ึนรปู เบอ้ื งต้น
2.3 มกี จิ นิสัยทีด่ ีในการเรียน
3. เครื่องมอื วัสดุ และอปุ กรณ์
3.1 คอมพวิ เตอร์
3.2 แทปเล็ต
3.3 Smartphone
4. การมอบหมายงาน
ให้นกั ศึกษาคดิ ออกแบบการวเิ คราะห์ ประเมินค่าช้ินงานของตนเอง โดยออกแบบเป็นตารางพรอ้ มกำหนดคะแนน
และหัวข้อการประเมนิ คา่ ชน้ิ งานตามใบความรู้ท่ี5 และนำเสนอช้ินงานของตนเอง โดยการนำเสนอหน้าช้นั เรยี น
5. การประเมินผล
แบบทดสอบกอ่ นเรียนและหลังเรียน
6. เอกสารอ้างอิง/เอกสารค้นคว้าเพิ่มเตมิ
เอกสารหนงั สอื อิแลค็ ทรอนกิ E – Book ในโปรแกรมระบบ e-Library
85