The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การเปรียบเทียบทักษะการเขียนภาพเหมือนจริงด้วยสีน้ำโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติของเดวีส์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ภูวนาท สีราชเลา, 2024-02-06 10:39:51

การเปรียบเทียบทักษะการเขียนภาพเหมือนจริงด้วยสีน้ำโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติของเดวีส์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3

การเปรียบเทียบทักษะการเขียนภาพเหมือนจริงด้วยสีน้ำโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติของเดวีส์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3

การเปรียบเทียบทักษะการเขียนภาพเหมือนจริงด้วยสีน้ำ โดยใช้การจัดการเรียนรู้ แบบลงมือปฏิบัติของเดวีส์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 นายภูวนาท สีราชเลา รหัสประจำตัวนักศึกษา 62100103131 วิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาทัศนศิลป์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี


การเปรียบเทียบทักษะการเขียนภาพเหมือนจริงด้วยสีน้ำ โดยใช้การจัดการเรียนรู้ แบบลงมือปฏิบัติของเดวีส์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 นายภูวนาท สีราชเลา รหัสประจำตัวนักศึกษา 62100103131 วิจัยในชั้นเรียนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตร ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาทัศนศิลป์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี


หัวข้อวิจัยในชั้นเรียน การเปรียบเทียบทักษะการเขียนภาพเหมือนจริงด้วยสีน้ำ โดยใช้การจัดการเรียนรู้ แบบลงมือปฏิบัติของเดวีส์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ผู้วิจัย นายภูวนาท สีราชเลา สาขาวิชา ทัศนศิลป์ อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์พศิน เวียงแก้ว ครูพี่เลี้ยง นายวัชรพงศ์ สิทธิมาตย์ อาจารย์ประจำหลักสูตรครุศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาทัศนศิลป์ คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราช ภัฏอุดรธานีอนุมัติให้นับวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรครุศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาทัศนศิลป์ .................................................................. หัวหน้าสาขาวิชา (.................................................................) วันที่...........เดือน....................พ.ศ.............. คณะกรรมการผู้ประเมินรายงานวิจัยในชั้นเรียน ................................................................................. ประธานคณะกรรมการ (อาจารย์พศิน เวียงแก้ว) ................................................................................. กรรมการ (อาจารย์รตบงกช อิฐไธสง) ................................................................................. กรรมการ (นายวัชรพงศ์ สิทธิมาตย์) ................................................................................. กรรมการ (นายทองทวี ปัชชาดี)


ก หัวข้อวิจัยในชั้นเรียน การเปรียบเทียบทักษะการเขียนภาพเหมือนจริงด้วยสีน้ำ โดยใช้การจัดการเรียนรู้ แบบลงมือปฏิบัติของเดวีส์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ผู้วิจัย นายภูวนาท สีราชเลา อาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์พศิน เวียงแก้ว อาจารย์ที่ปรึกษาร่วม อาจารย์รตบงกช อิฐไธสง ปีการศึกษา 2566 บทคัดย่อ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ เพื่อเปรียบเทียบทักษะการเขียนภาพเหมือนจริงด้วยสีน้ำ โดยใช้ การจัดการเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติของเดวีส์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เพื่อเปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาทัศนศิลป์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบลง มือปฏิบัติของเดวีส์ ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน กลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/13 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียน สตรีราชินูทิศ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี เขต 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา อุดรธานี เขต 1 จำนวน 43 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้วิชาทัศนศิลป์ และ แบบทดสอบอัตนัย วิชาทัศนศิลป์ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการ ทดสอบค่าที่แบบไม่อิสระ สรุปผลการใช้แผนได้ดังนี้ 1. ผลการเปรียบเทียบทักษะการเขียนภาพเหมือนจริงด้วยสีน้ำ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบลง มือปฏิบัติของเดวีส์คิดเป็นร้อยละ 90.23 และมีผลสัมฤทธิ์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ .05 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาทัศนศิลป์ ของนักเรียนที่เรียนโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้ การจัดการเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติของเดวีส์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05


ข กิตติกรรมประกาศ การเปรียบเทียบทักษะการเขียนภาพเหมือนจริงด้วยสีน้ำ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบลงมือ ปฏิบัติของเดวีส์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสตรีราชินูทิศ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ครั้งนี้ สำเร็จลุล่วงได้อย่างสมบูรณ์ ด้วยความกรุณาและความช่วยเหลืออย่างดีจากอาจารย์พศิน เวียงแก้ว และอาจารย์รตบงกช อิฐไธสง อาจารย์นิเทศก์ ที่กรุณาให้คำปรึกษา แนะนำ และตรวจแก้ไขข้อบกพร่อง ต่าง ๆ อย่างละเอียดจนสมบูรณ์ ตลอดจนให้ข้อคิด ข้อแนะนำที่เป็นประโยชน์ อีกทั้งยังดูแล ให้กำลังใจแก่ ผู้วิจัยด้วยความเอาใจใส่อย่างดีเสมอมา ผู้วิจัยรู้สึกซาบซึ้งในความกรุณาและขอกราบขอบพระคุณเป็น อย่างสูงมา ณ โอกาสนี้ ขอกราบขอบพระคุณ คุณครูทองทวี ปัชชาดีคุณครูวัชรพงศ์ สิทธิมาตย์ที่ตรวจสอบเครื่องมือที่ ใช้ในการวิจัยและให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยช์และมีคุณค่าต่อการทำวิจัยในครั้งนี้อย่างดียิ่ง ขอขอบพระคุณคณะผู้บริหารและคณะครู โรงเรียนสตรีราชินูทิศ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการเก็บรวบรวมข้อมูล เเละการทดลองใช้เครื่องมือวิจัย รวบถึงนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/13 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนสตรีราชินูทิศ ที่ให้ความร่วมมือในการ ศึกษาวิจัย ขอขอบคุณผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่าน ที่คอยดูแลและให้การสนับสนุนในการทำวิจัยในครั้งนี้ ทั้งให้ความช่วยเหลือในด้านทุนทรัพย์ ข้อเสนอแนะด้านต่าง ๆ ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้และมีส่วนช่วยการ ศึกษาวิจัยครั้งนี้ลุล่วงไปด้วยดี ภูวนาท สีราชเลา


ค สารบัญ เรื่อง หน้า บทคัดย่อ……………………………………………………………………………………….………………………………….. ก กิตติกรรมประกาศ............................................................................................................................ ข สารบัญ.............................................................................................................................................. ค สารบัญตาราง.................................................................................................................................... จ สารบัญรูปภาพ................................................................................................................................... ฉ บทที่ 1 บทนำ..................................................................................................................................... 1 ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา……………………………………………………………………………… 1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย………………………………………………………………………………………………….. 3 สมมติฐานของการวิจัย……………………………………………………………………………………………………… 3 ขอบเขตของการวิจัย………………………………………………………………………………………………………… 3 นิยามศัพท์เฉพาะ………………………………………………………………………………………………..…………… 4 ประโยชน์ที่จะได้รับ………………………………………………………………………………………………….……… 5 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง……………………………………………….……………………………….. 6 หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3……………………………………………………………………………………………………………… 8 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับแบบลงมือปฏิบัติของเดวีส์………………………………………………………..……..… 10 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการเขียนภาพเหมือน…………………………………………………………………………. 14 เอกสารที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับสีน้ำ………………………………………………….……………………..……………….. 19 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง……………………………………………………………….………………………………..…………. 30 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย……………………………………………………………………………………………………… 34 กลุ่มเป้าหมาย…………………………………………………………………………………………………………………… 34 รูปแบบในการทดลอง………………………………………………………………………………………………………… 34 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย…………………………………………………………………………………………………….. 35 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล……………………………………………………………………………………………. 38


ง สารบัญ (ต่อ) เรื่อง หน้า บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล…………………………………………………………………..………………..………. 40 1. ลำดับขั้นตอนการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล………………………………………..………………….. 40 2. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล…………………………………………………………………………..…………………….. 40 บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ…………………………………………………………..….………….. 47 วัตถุประสงค์ของการวิจัย………………………………………………………………………….….………………….. 47 สมมติฐานการวิจัย………………………………………………………………………………………………….………. 47 วิธีดำเนินการวิจัย……………………………………………………………………………………………….…………… 47 สรุปผลการวิจัย………………………………………………………………………………………………………………. 48 การอภิปรายผล………………………………………………………………………………………………………………. 49 ข้อเสนอแนะ…………………………………………………………………………………………………………………… 50 บรรณานุกรม………………………………………………………………………………………………………………….…… ช ภาคผนวก ภาคผนวก ก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ภาคผนวก ข เครื่องมือที่ใช้วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ภาคผนวก ค เครื่องมือที่ใช้วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ภาคผนวก ง ภาพการจัดกิจกรรมการสอน


จ สารบัญตาราง เรื่อง หน้า ตารางที่ 1 การแสดงประสิทธิภาพกระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้……………………………………… 41 ตารางที่ 2 แสดงผลรวมคะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และร้อยละของคะแนนก่อนเรียน และหลังเรียน วิชาทัศนศิลป์……………………………………………………………………………………………….. 43 ตารางที่ 3 ตารางคะแนนเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบที่แบบไม่อิสระและระดับนัยสำคัญ ทางสถิติ……………………………………………………………………………………………………………………………. 45


บทที่ 1 บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ศิลปะเป็นวิชาที่มีความสำคัญต่อผู้เรียนที่มุ่งพัฒนาให้เป็นคนที่สมบูรณ์ มีความสมดุลและ ร่างกายจิตใจ และสติปัญญา อารมณ์สังคม และมุ่งเน้นให้ผู้เรียนเกิดความคิดสร้างสรรค์ การพัฒนา กระบวนการรับรู้ทางศิลปะ การเห็นภาพรวม การสังเกต รายละเอียดสามารถค้นพบศักยภาพของตนเอง อันเป็นพื้นฐานในการศึกษาต่อหรือประกอบอาชีพได้ ด้วยการมีความรับผิดชอบ มีระเบียบวินัย สามารถ ทำงานร่วมกันได้อย่างมีความสุข การเรียนรู้ศิลปะ มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความรู้ความเข้าใจ การคิดที่เป็น เหตุเป็นผลถึงวิธีการทางศิลปะ ความเป็นมาของรูปแบบภูมิปัญญาท้องถิ่น และรากฐานทางวัฒนธรรม ค้นหาว่าผลงานศิลปะสื่อความหมายกับตนเอง ค้นหาศักยภาพ ความมั่นใจส่วนตัว ฝึกการรับรู้ การสังเกต ที่ละเอียดอ่อนอันนำไปสู่ความรัก เห็นคุณค่าและเกิดความซาบซึ้งในคุณค่าของศิลปะและสิ่งรอบตัว พัฒนาเจตคติ สมาธิ รสนิยมส่วนตัว มีทักษะกระบวนการ วิธีการแสดงออก การคิดสร้างสรรค์ ส่งเสริมให้ ผู้เรียนตระหนักถึงบทบาทของศิลปกรรมในสังคม ในบริบทของการสะท้อนวัฒนธรรมทั้งของตนเองและ วัฒนธรรมอื่นพิจารณาว่าผู้คนในวัฒนธรรมของตนมีปฏิกิริยาตอบสนองต่องานศิลปะ ช่วยให้มีมุมมองและ เข้าใจ โลกทัศน์กว้างไกล ช่วยเสริมความรู้ ความเข้าใจมโนทัศน์ด้านอื่น ๆ สะท้อนให้เห็นมุมมองของชีวิต สภาพเศรษฐกิจ สังคม การเมือง การปกครอง และความเชื่อความศรัทธาทางศาสนา ด้วยลักษณะ ธรรมชาติของกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ การเรียนรู้เทคนิค วิธีการทำงาน ตลอดจนเปิดโอกาสให้ แสดงออกอย่างอิสระ ทำให้ผู้เรียนได้รับการส่งเสริม สนับสนุนให้คิดริเริ่มสร้างสรรค์ ดัดแปลงจินตนาการ มีสุนทรียภาพ และเห็นคุณค่าของศิลปะ วัฒนธรรมไทยและสากล (กรมวิชาการ, 2553, หน้า 1-2) กิจกรรมการเรียนรู้ในกลุ่มสาระศิลปะ (ทัศนศิลป์) เป็นวิชาที่ประกอบด้วยภาคทฤษฎีและ ภาคปฏิบัติที่ช่วยพัฒนาให้ผู้เรียนมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีจินตนาการทางศิลปะ ชื่นชมความงามมี สุนทรียภาพ ความมีคุณคำซึ่งมีผลต่อคุณภาพชีวิตมนุษย์ กิจกรรมศิลปะช่วยพัฒนาผู้เรียนทั้งทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ สังคม ตลอดจนการนำไปสู่การพัฒนาสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความ เชื่อมั่นในตัวเอง อันเป็นพื้นฐานในการประกอบอาชีพได้ โดยมีกระบวนการอย่างสร้างสรรค์อย่าง หลากหลายการเรียนรู้จะเกิดขึ้นโดยสมบูรณ์ได้ต้องขึ้นอยู่กับการจัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมสอดคล้องกับ


2 ความถนัด ความแตกต่างของผู้เรียนฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการเผชิญสถานการณ์และการ ประยุกต์ใช้เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาให้ผู้เรียนเรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้ทำได้ คิด เป็น ทำเป็น รักการอ่านและ เกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง ผสมผสานระหว่างสาระความรู้ต่าง ๆ อย่างสมดุล รวมทั้งปลูกฝังคุณธรรม คำนิยม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ในทุกวิชา ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อม สื่อการสอน ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ ทั้ง 8 กลุ่มสาระวิชาโดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิชาศิลปะ (ทัศนศิลป์) เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงออกอย่างอิสระ มีความรู้ความเข้าใจองค์ประกอบศิลปะ ทัศนธาตุ สร้างและนำเสนอผลงานทัศนศิลป์จากจินตนาการ โดยสามารถใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสม รวมทั้งสามารถใช้ เทคนิค วิธีการของศิลปินในการสร้างงานได้อย่างมีประสิทธิภาพวิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์คุณค่างาน ทัศนศิลป์ เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างทัศศิลป์ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมเห็นคุณค่างานศิลปะที่เป็น มรดกทางวัฒนธม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทยและสากล ชื่นชม ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551: 182) การวาดภาพเหมือนจริง ในวิชาจิตรกรรมระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เป็นการศึกษาการวาด ภาพเหมือนจริงโดยลอกเลียนแบบธรรมชาติ หรือสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น การวาดเส้นจึงเป็นพื้นฐานของ ทัศนศิลป์และการออกแบบมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งเพราะการวาดเส้น ทำให้เข้าใจเรื่องของรูปทรง โครงสร้าง สัดส่วน ระยะ แสงเงา ที่จะนำมาประยุกต์ใช้ในการสร้างงานศิลปะโดยการสร้างภาพ 2 มิติ และ 3 มิติ โดยสังเกตรูปลักษณะทางทัศนธาตุของวัสดุสิ่งของที่สนใจ ฝึกปฏิบัติการจัดองค์ประกอบศิลปะ และเขียนภาพด้วยวัสดุต่าง ๆ ถ่ายทอดสิ่งที่มองเห็นออกมาเป็นภาพตามความจริง แสดงสัดส่วนรูปทรง ลงน้ำหนักแสง เงา ด้วยการวาดเส้นดินสอดำ ดินสอสี และชอล์กได้ (ฝนสั่งฟ้า พาเขียว, 2561, หน้า 15) จากการจัดการเรียนการสอนในโรงเรียนสตรีราชินูทิศ ได้สังเกตและประเมินใบงาน พบว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ขาดทักษะการเรียนรู้วิชาทัศนศิลป์ เรื่องการเขียนภาพรูปแบบเหมือนจริง มี ข้อบกพร่องในเรื่องของการร่างภาพ โครงสร้าง รูปร่างรูปทรง และแสงเงาที่ผิดเพี้ยนไป รวมถึงทักษะของ การใช้สีน้ำ ที่นักเรียนใช้ในทางที่ผิด และไม่รู้จักคุณสมบัติของสีน้ำ ทำให้ผลที่ออกมาได้ไม่ดี จึงสรุปได้ว่า นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ขาดความชำนาญการวาดภาพและการใช้สีน้ำในการวาดภาพเหมือน ผู้วิจัย จึงได้หาวิธีการสอนที่น่าสนใจมาพัฒนาทักษะความสามารถในการวาดภาพเหมือน โดยใช้วิธีการสอนแบบ ลงมือปฏิบัติของเดวีส์ ซึ่งมี 5 ขั้นตอน ได้แก่ 1) ขั้นสาธิตทักษะหรือการกระทำ 2) ขั้นสาธิตและให้ผู้เรียน ปฏิบัติทักษะย่อย 3) ขั้นให้ผู้เรียนปฏิบัติทักษะย่อย 4) ขั้นให้เทคนิควิธีการ 5) ขั้นให้ผู้เรียนเชื่อมโยงทักษะ ย่อยเป็นทักษะที่สมบูรณ์ มาใช้ในการจัดการเรียนรู้และพัฒนาการวาดภาพเหมือนด้วยสีน้ำของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ต่อไป


3 วัตถุประสงค์ของการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้ กำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัย ดังนี้ 1. เพื่อเปรียบเทียบทักษะการเขียนภาพเหมือนจริงด้วยสีน้ำ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบลงมือ ปฏิบัติของเดวีส์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาทัศนศิลป์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติของเดวีส์ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน สมมติฐานของการวิจัย 1. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบลง มือปฏิบัติของเดวีส์มีผลสัมฤทธิ์ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 2. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบลง มือปฏิบัติของเดวีส์ มีผลสัมฤทธิ์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน 3. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบลง มือปฏิบัติของเดวีส์ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาทัศนศิลป์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ขอบเขตของการวิจัย 1. กลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/13 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนสตรีราชินูทิศ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี เขต 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 จำนวน 43 คน 2. ตัวแปรที่ศึกษา 2.1 ตัวแปรต้น คือ กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติของเดวีส์


4 2.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ 2.2.1 ทักษะการเขียนภาพรูปแบบเหมือนจริงด้วยสีน้ำ 2.2.2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาทัศนศิลป์ 3. เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย เนื้อหาที่ผู้วิจัยนำมาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในครั้งนี้คือวิชาทัศนศิลป์ เรื่อง การ เขียนภาพเหมือนจริงด้วยสีน้ำ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มีรายละเอียดดังนี้ 3.1 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง สร้างสรรค์งานจุด เวลา 2 ชั่วโมง 3.2 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง สร้างสรรค์งานเส้น เวลา 2 ชั่วโมง 3.3 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง การไล่น้ำหนักสี เวลา 2 ชั่วโมง 3.4 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 เรื่อง หลักการออกแบบ เวลา 2 ชั่วโมง 3.5 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 9 เรื่อง การเขียนภาพเหมือนจริงด้วยสีน้ำ เวลา 2 ชั่วโมง 4. ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย ผู้วิจัยดำเนินการทดลองในปีการศึกษา 2566 วิชาทัศนศิลป์ เรื่อง การเขียนภาพรูปแบบ เหมือนจริงด้วยสีน้ำ ตามแผนการจัดการเรียนรู้ 2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ จำนวน 5 แผน ใช้เวลา 10 ชั่วโมง นิยามศัพท์เฉพาะ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หมายถึง นักเรียนหญิง ที่กำลังศึกษาอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/13 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนสตรีราชินูทิศ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี เขต 1 สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 ทักษะการระบายสี หมายถึง ความสามารถในการใช้สีน้ำในงานทัศนศิลป์ด้วยวิธีการระบายสี 5 รูปแบบ คือ ร่างภาพด้วยดินสอ ระบายสีรองพื้น การระบายสีตามลำดับขั้น เก็นรายละเอียด และระบายสี ภาพเหมือน ซึ่งวัดจากคะแนนในการทำแบบฝึก


5 การจัดการเรียนรู้แบบปฏิบัติของเดวีส์ หมายถึง วิธีสอนที่ให้ประสบการณ์ตรงกับผู้เรียน โดย การลงมือปฏิบัติจริง เป็นการสอนที่มุ่งให้เกิดการผสมผสานระหว่างทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ประโยชน์ที่จะได้รับ 1. นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจในสาระการเรียนรู้ศิลปะมากขึ้น มีพัฒนาการทางด้านทักษะการ วาดภาพเหมือนด้วยสีน้ำเพิ่มขึ้น 2. เป็นแนวทางสำหรับครูผู้สอนในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนในกลุ่มสาระ การเรียนรู้ศิลปะ และกลุ่มสาระอื่น


บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยเพื่อพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอน วิชาทัศนศิลป์ ที่ใช้ แนวความคิดในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบลงมือปฏิบัติของเดวีส์ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ซึ่งผู้วิจัย ได้ศึกษาเอกสารตำรา งานวิจัยและทฤษฎีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย มีรายละเอียดดังนี้ 1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 1.1 หลักการของหลักสูตร 1.2 คุณภาพของผู้เรียน 1.3 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ 2. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับแบบลงมือปฏิบัติของเดวีส์ 2.1 แนวคิดและหลักการเรียนรู้ตามแบบทักษะปฏิบัติของเดวีส์ 2.2 ความหมายทักษะปฏิบัติ 2.3 ประโยชน์ของการเรียนการสอนที่เน้นทักษะปฏิบัติ 3. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการเขียนภาพเหมือน 3.1 ความหมายของศิลปะ 3.2 องค์ประกอบของศิลปะ 3.3 ความหมายของการเขียนภาพเหมือน 3.4 ความสำคัญของการเขียนภาพเหมือน 3.5 ประเภทของภาพเหมือน 4. เอกสารที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับสีน้ำ 4.1 ความหมายของสี 4.2 ความสำคัญของสี 4.3 ชนิดของสร 4.4 แม่สี 4.5 น้ำหนักของสี 4.6 วรรณะสี


7 4.7 การระบายสี 4.8 คุณสมบัติของสี 4.9 อุปกรณ์สีน้ำ 5. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 5.1 งานวิจัยในประเทศ 5.2 งานวิจัยต่างประเทศ


8 1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 1.1 หลักการของหลักสูตร กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะเป็นกลุ่มสาระที่ช่วยพัฒนาให้ผู้เรียนมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มี จินตนาการทางศิลปะ ชื่นชมความงาม มีสุนทรียภาพ ความมีคุณค่า ซึ่งมีผลต่อคุณภาพชีวิตมนุษย์ กิจกรรมทางศิลปะช่วยพัฒนาผู้เรียนทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ สังคม ตลอดจนการนำไปสู่ การพัฒนาสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความเชื่อมั่นในตนเอง อันเป็นพื้นฐานในการศึกษาต่อหรือ ประกอบอาชีพได้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ มุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดความรู้ ความเข้าใจมีทักษะวิธีการทางศิลปะ เกิดความซาบซึ้งในคุณค่าของศิลปะ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนแสดงออกอย่างอิสระในศิลปะแขนงต่าง ๆ ประกอบด้วยสาระสำคัญ คือ ทัศนศิลป์ มีความรู้ความเข้าใจองค์ประกอบศิลป์ ทัศนธาตุ สร้างและนำเสนอผลงานทาง ทัศนศิลป์จากจินตนาการ โดยสามารถใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสม รวมทั้งสามารถใช้เทคนิค วิธีการของศิลปิน ในการสร้างงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ วิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์คุณค่างานทัศนศิลป์เข้าใจ ความสัมพันธ์ ระหว่างทัศนศิลป์ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม เห็นคุณค่างานศิลปะที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ภูมิ ปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทยและสากล ชื่นชม ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ดนตรี มีความรู้ความเข้าใจองค์ประกอบดนตรีแสดงออกทางดนตรีอย่างสร้างสรรค์ วิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์คุณค่าดนตรี ถ่ายทอดความรู้สึก ทางดนตรีอย่างอิสระ ชื่นชมและประยุกต์ใช้ใน ชีวิตประจำวัน เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างดนตรี ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม เห็นคุณค่าดนตรีที่เป็น มรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทย และสากล ร้องเพลงและเล่นดนตรีในรูปแบบต่าง ๆ แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเสียงดนตรี แสดงความรู้สึกที่มีต่อดนตรีในเชิงสุนทรียะ เข้าใจความสัมพันธ์ ระหว่างดนตรีกับประเพณีวัฒนธรรมและเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ นาฏศิลป์ มีความรู้ความเข้าใจองค์ประกอบนาฏศิลป์แสดงออกทางนาฏศิลป์อย่างสร้างสรรค์ ใช้ศัพท์เบื้องต้นทางนาฏศิลป์ วิเคราะห์วิพากษ์ วิจารณ์คุณค่านาฏศิลป์ ถ่ายทอดความรู้สึกความคิด อย่าง อิสระ สร้างสรรค์การเคลื่อนไหวในรูปแบบต่าง ๆ ประยุกต์ใช้นาฏศิลป์ในชีวิตประจำวัน เข้าใจ ความสัมพันธ์ระหว่างนาฏศิลป์กับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม เห็นคุณค่าของนาฏศิลป์ที่เป็นมรดกทาง วัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทยและสากล


9 1.2 คุณภาพของผู้เรียน 1. รู้และเข้าใจเรื่องทัศนธาตุและหลักการออกแบบและเทคนิคที่หลากหลายในการสร้างงาน ทัศนศิลป์ 2 มิติ และ 3 มิติ เพื่อสื่อความหมายและเรื่องราวต่าง ๆ ได้อย่างมีคุณภาพ วิเคราะห์รูปแบบ เนื้อหาและประเมินคุณค่างานทัศนศิลป์ของตนเองและผู้อื่น สามารถเลือกงานทัศนศิลป์โดยใช้เกณฑ์ที่ กําหนดขึ้นอย่างเหมาะสม สามารถออกแบบรูปภาพ สัญลักษณ์ กราฟิก ในการนําเสนอข้อมูลและมี ความรู้ ทักษะที่จําเป็นด้านอาชีพที่เกี่ยวข้องกันกับงานทัศนศิลป์ 2. รู้และเข้าใจการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการของงานทัศนศิลป์ของชาติและท้องถิ่น แต่ละยุค สมัย เห็นคุณค่างานทัศนศิลป์ที่สะท้อนวัฒนธรรมและสามารถเปรียบเทียบงานทัศนศิลป์ ที่มาจากยุคสมัย และ วัฒนธรรมต่าง ๆ 3. รู้และเข้าใจถึงความแตกต่างทางด้านเสียง องค์ประกอบ อารมณ์ ความรู้สึก ของบทเพลง จาก วัฒนธรรมต่าง ๆ มีทักษะในการร้อง บรรเลงเครื่องดนตรี ทั้งเดี่ยวและเป็นวงโดยเน้นเทคนิคการร้อง บรรเลง อย่างมีคุณภาพ มีทักษะในการสร้างสรรค์บทเพลงอย่างง่าย อ่านเขียนโน้ต ในบันไดเสียงที่มี เครื่องหมาย แปลงเสียงเบื้องต้นได้ รู้และเข้าใจถึงปัจจัยที่มีผลต่อรูปแบบของผลงานทางดนตรี องค์ประกอบของผลงานด้าน ดนตรีกับศิลปะแขนงอื่น แสดงความคิดเห็นและบรรยายอารมณ์ความรู้สึกที่ มีต่อบทเพลง สามารถนําเสนอบท เพลงที่ชื่นชอบได้อย่างมีเหตุผล มีทักษะในการประเมินคุณภาพของบท เพลงและการแสดงดนตรี รู้ถึงอาชีพต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับดนตรีและบทบาทของดนตรีในธุรกิจบันเทิง เข้าใจถึงอิทธิพลของดนตรีที่มีต่อบุคคลและสังคม 4. รู้และเข้าใจที่มา ความสัมพันธ์ อิทธิพลและบทบาทของดนตรีแต่ละวัฒนธรรมในยุคสมัยต่าง ๆ วิเคราะห์ปัจจัยที่ทําให้งานดนตรีได้รับการยอมรับ 5. รู้และเข้าใจการใช้นาฏยศัพท์หรือศัพท์ทางการละครในการแปลความและสื่อสาร ผ่านการ แสดง รวมทั้งพัฒนารูปแบบการแสดง สามารถใช้เกณฑ์ง่าย ๆ ในการพิจารณาคุณภาพ การแสดง วิจารณ์ เปรียบเทียบงานนาฏศิลป์ โดยใช้ความรู้เรื่ององค์ประกอบทางนาฏศิลป์ ร่วมจัดการแสดง นําแนวคิดของ การ แสดงไปปรับใช้ในชีวิตประจําวัน 6. รู้และเข้าใจประเภทละครไทยใน แต่ละยุคสมัย ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลง ของ นาฏศิลป์ไทย นาฏศิลป์พื้นบ้าน ละครไทย และละครพื้นบ้าน เปรียบเทียบลักษณะเฉพาะ ของการแสดง นาฏศิลป์จากวัฒนธรรมต่าง ๆ รวมทั้งสามารถออกแบบและสร้างสรรค์อุปกรณ์ เครื่องแต่งกายในการ แสดง นาฏศิลป์และละคร มีความเข้าใจ ความสําคัญ บทบาทของนาฏศิลป์ และละครในชีวิตประจําวัน


10 1.3 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ สาระที่ 1 ทัศนศิลป์ มาตรฐาน ศ 1.1 สร้างสรรค์งานทัศนศิลป์ตามจินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์ วิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์คุณค่างานทัศนศิลป์ ถ่ายทอดความรู้สึก ความคิดต่องานศิลปะอย่างอิสระชื่นชม และ ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจําวัน 1. บรรยายสิ่งแวดล้อมและงานทัศนศิลป์ที่เลือกมาโดยใช้ความรู้เรื่องทัศนธาตุ และหลักการ ออกแบบ 2. ระบุ และบรรยายเทคนิควิธีการของศิลปินในการสร้างงานทัศนศิลป์ 3. วิเคราะห์และบรรยายวิธีการใช้ทัศนธาตุ และหลักการออกแบบในการสร้างงานทัศนศิลป์ ของตนเองให้มีคุณภาพ 4. มีทักษะในการสร้างงานทัศนศิลป์อย่าง น้อย 3 ประเภท 5. มีทักษะในการผสมผสานวัสดุต่าง ๆ ในการสร้างงานทัศนศิลป์โดยใช้หลักการออกแบบ 6. สร้างงานทัศนศิลป์ทั้ง 2 มิติ และ 3 มิติเพื่อถ่ายทอดประสบการณ์และจินตนาการ 7. สร้างสรรค์งานทัศนศิลป์สื่อความหมายเป็นเรื่องราวโดยประยุกต์ใช้ทัศนธาตุและหลักการ ออกแบบ 8. วิเคราะห์และอภิปรายรูปแบบ เนื้อหา และคุณค่าในงานทัศนศิลป์ของตนเองและผู้อื่น หรือ ของศิลปิน 9. สร้างสรรค์งานทัศนศิลป์เพื่อบรรยายเหตุการณ์ต่าง ๆ โดยใช้เทคนิคที่หลากหลาย 10. ระบุอาชีพที่เกี่ยวข้องกับงานทัศนศิลป์และทักษะที่จําเป็นในการประกอบอาชีพนั้น ๆ 11. เลือกงานทัศนศิลป์โดยใช้เกณฑ์ที่กําหนดขึ้นอย่างเหมาะสม และนําไปจัดนิทรรศการ มาตรฐาน ศ 1.2 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างทัศนศิลป์ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม เห็น คุณค่างานทัศนศิลป์ที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทยและสากล 1. ศึกษาและอภิปรายเกี่ยวกับงานทัศนศิลป์ที่สะท้อนคุณค่าของวัฒนธรรม 2. เปรียบเทียบความแตกต่างของงานทัศนศิลป์ในแต่ละยุคสมัยของวัฒนธรรมไทยและสากล 2. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับแบบลงมือปฏิบัติของเดวีส์ 2.1 แนวคิดและหลักการเรียนรู้ตามแบบทักษะปฏิบัติของเดวีส์ ทิศนา แขมมณี (2554, หน้า 246-247) ได้กล่าวถึงรูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติ ของ Davie’ Instructional Model) เป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนาด้านทักษะพิสัย เป็น


11 รูปแบบที่มุ่งช่วยพัฒนาความสามารถของผู้เรียนในด้านการปฏิบัติ การกระทำหรือการแสดงออกต่าง ๆ ซึ่งจำเป็นต้องใช้หลักการ วิธีการที่แตกต่างไปจากการพัฒนาทางด้านจิตพิสัยหรือพุทธพิสัย รูปแบบการ เรียนการสอนทักษะปฏิบัติของเดวีส์เป็นรูปแบบหนึ่งที่สามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาทางด้านการ ปฏิบัติ แนวคิดของรูปแบบ Davies (1971, หน้า 50-56 อ้างถึงใน ทิศนา แขมมณี) ได้นำเสนอ แนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาทักษะปฏิบัติไว้ว่า ทักษะส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วยทักษะย่อย ๆ เหล่านั้นได้ ก่อนแล้วค่อยเชื่อมโยงต่อกันเป็นทักษะใหญ่ จะช่วยให้ผู้เรียนประสบผลสำเร็จได้ดี และรวดเร็วขึ้น วัตถุประสงค์ของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ รูปแบบนี้มุ่งช่วยพัฒนาความสามารถด้านทักษะปฏิบัติของผู้เรียนโดยเฉพาะอย่างยิ่งทักษะ ปฏิบัติที่ประกอบด้วยทักษะย่อยจำนวนมากโดยการฝึกให้ผู้เรียนสามารถทำทักษะย่อย ๆ เหล่านั้นได้ก่อน แล้วค่อยเชื่อมโยงเป็นทักษะใหญ่ จะช่วยให้ผู้เรียนประสบผลสำเร็จได้ดีและรวดเร็วขึ้น ขั้นตอนกระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของเดวีส์ มีขั้นตอนรายละเอียด ดังนี้ ขั้นที่ 1 ขั้นสาธิตทักษะหรือการกระทำ ขั้นนี้เป็นขั้นที่ให้ผู้เรียนได้เห็นทักษะหรือการ กระทำที่ต้องการให้ผู้เรียนทำได้ในภาพรวม โดยการสาธิตให้ผู้เรียนดูทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ ทักษะหรือ การกระทำที่สาธิตให้ผู้เรียนดูนั้น จะต้องเป็นการกระทำในลักษณะที่เป็นธรรมชาติ ไม่ช้าหรือเร็วเกินปกติ ก่อนการสาธิต ครูควรให้คำแนะนำแก่ผู้เรียนในการสังเกต ควรชี้แนะจุดสำคัญที่ควรให้ความสนใจเป็น พิเศษในการสังเกต ขั้นที่ 2 ขั้นสาธิตและให้ผู้เรียนปฏิบัติทักษะย่อย เมื่อผู้เรียนได้เห็นภาพรวมของการ กระทำหรือทักษะทั้งหมดแล้ว ผู้สอนควรจะแตกทักษะทั้งหมดให้เป็นทักษะย่อย ๆ หรือแบ่งสิ่งที่กระทำ ออกเป็นส่วนย่อย ๆ และสาธิตส่วนย่อยแต่ละส่วนให้ผู้เรียนสังเกตและทำตามไปทีละส่วนอย่างช้า ๆ ขั้นที่ 3 ขั้นให้ผู้เรียนปฏิบัติทักษะย่อย ผู้เรียนลงมือปฏิบัติทักษะย่อยโดยไม่มีการสาธิต หรือมีแบบอย่างให้ดู หากติดขัดจุดใด ผู้สอนควรให้คำชี้แนะ และช่วยแก้ไขจนผู้เรียนทำได้ เมื่อได้แล้ว ผู้สอนจึงเริ่มสาธิตทักษะย่อยส่วนต่อไป และให้ผู้เรียนปฏิบัติทักษะย่อยนั้นจนทำได้ ทำเช่นนี้เรื่อยไป จนกระทั่งครบทุกส่วน ขั้นที่ 4 ขั้นให้เทคนิควิธีการ เมื่อผู้เรียนปฏิบัติได้แล้ว ผู้สอนอาจแนะนำเทคนิควิธีการที่ จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถทำงานนั้นได้ดีขึ้น เช่น ทำได้ประณีตสวยงามขึ้นทำได้รวดเร็วขึ้น ทำได้ง่ายขึ้น หรือสิ้นเปลืองน้อยลง เป็นต้น


12 ขั้นที่ 5 ขั้นให้ผู้เรียนเชื่อมโยงทักษะย่อย ๆ เป็นทักษะที่สมบูรณ์ เมื่อผู้เรียนสามารถ ปฏิบัติแต่ละส่วนได้แล้ว จึงให้ผู้เรียนปฏิบัติทักษะย่อย ๆ ต่อเนื่องกันตั้งแต่ต้นจนจบ และฝึกปฏิบัติหลาย ๆ ครั้งจนกระทั่งสามารถปฏิบัติทักษะที่สมบูรณ์ได้อย่างที่ชำนาญ ทิศนา แขมมณี (2554, หน้า 247) ผู้เรียนสามารถปฏิบัติทักษะได้อย่างดี มีประสิทธิภาพ อนงค์ ทิวะสิงห์ (2554, หน้า 54) ได้กล่าวสรุปว่า รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติ ของเดวีส์ เป็นการเรียนการสอนที่มุ่งให้ผู้เรียนได้ลงมือทำงานด้วยตนเอง โดยมุ่งเน้นการฝึกวิธีการทำงาน อย่างสม่ำเสมอ มีขั้นตอนการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง เป็นลำดับขั้นตอนที่ถูกต้อง ทั้งการทำงานเป็น รายบุคคล การทำงานเป็นรายกลุ่ม ซึ่งจะทำให้สามารถทำงานให้บรรลุเป้าหมาย เพื่อให้ผู้เรียนมี คุณลักษณะที่ดีในการทำงาน คือ ให้ผู้เรียนปฏิบัติทักษะย่อย ๆ ต่อเนื่องกันตั้งแต่ต้นจนจบ และฝึกปฏิบัติ หลาย ๆ ครั้งจนกระทั่งสามารถปฏิบัติทักษะที่สมบูรณ์ได้อย่างชำนาญ มีการปรับปรุงและพัฒนาการ ทำงานอยู่เสมอ มีนิสัยที่ดีในการทำงานและสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข วรีวรรณ โขนงนุช (2550, หน้า 31) ได้กล่าวสรุปว่า รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติ ของเดวีส์ เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นทักษะการปฏิบัติงานที่ครูผู้สอนจะต้องแบ่งเนื้อหาของหน่วยใหญ่ ออกเป็นเนื้อหาย่อยให้ละเอียดและมีจำนวนเนื้อหาย่อยให้มากที่สุด เพื่อให้ผู้เรียนฝึกทักษะย่อยเหล่านั้น ให้ได้ดีจนเกิดความชำนาญ ในระหว่างขั้นตอนการฝึกทักษะย่อยแต่ละส่วนนั้น ครูจะเป็นผู้สาธิตการ ปฏิบัติงานนั้นก่อนที่จะให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติ แล้วปล่อยให้ฝึกปฏิบัติด้วยตนเองโดยไม่มีการสาธิตให้ดูเป็น ตัวอย่าง เมื่อผู้สอนเห็นว่านักเรียนปฏิบัติได้เล้วจึงสอนเทคนิควิธีการช่วยให้การปฏิบัติงานได้รวดเร็วและมี คุณภาพดีขึ้น เมื่อนักเรียนฝึกปฏิบัติย่อยต่าง ๆ ที่เป็นองค์ประกอบย่อยของงานทั้งหมดแล้ว จึงนำ ประสบการณ์ย่อยเหล้านั้นมาสู่การปฏิบัติงานเต็มรูปแบบ จากการศึกษาแนวคิดและหลักการเรียนรู้ตามแบบทักษะปฏิบัติของเดวีส์สรุปได้ว่า ทักษะ ปฏิบัติของเดวีส์เป็นทักษะที่สร้างขั้นตอนให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติ เพิ่มความรู้ ความเข้าใจมากขึ้น เพื่อ พัฒนาทักษะฝึกให้ผู้เรียนปฏิบัติให้เกิดความชำนาญ โดยเรียงเนื้อหาจากง่ายไปหายาก มีรูปแบบ หลากหลายเร้าความสนใจของผู้เรียน และผู้สอนกำหนดเนื้อหาออกเป็นหน่วยใหญ่ก่อน จากนั้นแบ่ง ออกเป็นเนื้อหาย่อยให้ละเอียดมากที่สุด เพื่อให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะย่อยเหล่านั้นจนเกิดเป็นความชำนาญ มากที่สุด 2.2 ความหมายทักษะปฏิบัติ กรมวิชาการ (2545, หน้า 36) ได้ให้ความหมายทักษะปฏิบัติ หมายถึง เป็นการลงมือ ทำงานด้วยตนเอง โดยมุ่งเน้นการฝึกวิธีการทำงานอย่างสม่ำเสมอ มีขั้นตอนการปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่อง


13 เป็นลำดับขั้นตอนที่ถูกต้อง ทั้งการทำงานเป็นรายบุคคล การทำงานเป็นรายกลุ่ม ซึ่งจะทำให้สามารถ ทำงานให้บรรลุตามเป้าหมาย สุชาติ ศิริสุขไพบูลย์ (2526 : 9) ได้กล่าวว่า ทักษะปฏิบัติ (Skill) หมายถึง ความสามารถ ความชำนาญกล้ามเนื้อของบุคคล ซึ่งเรียกกันว่าทักษะปฏิบัติ หรือทักษะทางกล้ามเนื้อ การเกิดทักษะทาง กล้ามเนื้อหรือทักษะปฏิบัติจึงเป็นลักษณะของพฤติกรรมที่เป็นผลผลิตจากเรียนรู้รูปแบบหนึ่ง เช่น การ ตะไบ สกัด เลื่อย การใช้เครื่องมือจักรกล การเชื่อมโลหะ การซ่อมเครื่องยนต์ ฯลฯ ล้วนแต่เป็น พฤติกรรมของกล้ามเนื้อที่แสดงออกในลักษณะของความถูกต้องความคล่องแคล้ว ความเชี่ยวชาญและ ชำนาญที่ต้องอาศัยการฝึกหัดที่เหมาะสม นวลจิตต์ เชาวกีรติพงศ์ (2535 : 50) ได้ให้ความหมายของทักษะปฏิบัติ หมายถึง การ เรียนรู้ที่เกี่ยวกับการทำงานของกล้ามเนื้อ โดยที่งานดังกล่าวต้องมีความซับซ้อนจะต้องอาศัย ความสามารถในการบริหารเบื้องต้นของกล้ามเนื้อหลาย ๆ ส่วน การทำงานดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้จากการ สั่งงานของสมองจะต้องมีการปฏิบัติสัมพันธ์ของการตอบสนองกับความรู้สึกที่ป้อนเข้าไปหารทำงานนี้ สามารถพัฒนาได้ด้วยการฝึกฝน จะเกิดความชำนาญ และความคงทน อภิชาติ อนุกูลเวช (2551 : 64) ได้ให้ความหมายของทักษะปฏิบัติ คือ ความสามารถ ความชำนาญของกล้ามเนื้อ ที่กระทำออกมาอย่างถูกต้อง คล่องแคล้วและรวดเร็ว ที่ต้องอาศัยการฝึกหัด อย่างเหมาะสม จึงจะทำให้เกิดความชำนาญในการปฏิบัติงาน จากความหมายของทักษะปฏิบัติที่นักการศึกษาหลายท่านได้นิยามเอาไว้พอสรุปได้ว่า ทักษะปฏิบัติ เป็นพฤติกรรมการใช้อวัยวะเคลื่อนไหวของร่างกาย ในการปฏิบัติกิจกรรมหรืองานทั้งปวง ซึ่งทักษะปฏิบัติเกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างพุทธิพิสัยกับสิ่งเร้าภายนอก ตั้งแต่ขั้นการเรียนรู้ การพร้อม ปฏิบัติ การตอบสนองตามผู้ปฏิบัตินำ การปฏิบัติและการตอบสนองที่ซับซ้อน การปฏิบัตินั้นจะพิจารณา วิธีปฏิบัติงาน ผลการปฏิบัติงานและพฤติกรรมของผู้ปฏิบัติ 2.3 ประโยชน์ของการเรียนการสอนที่เน้นทักษะปฏิบัติ กรมวิชาการ (2545, หน้า 36) การจัดการเรียนรู้ที่เน้นทักษะปฏิบัติ เป็นการทำให้ครูได้ ช่วยสนับสนุนให้ผู้เรียนเกิดศักยภาพ และมีประสบการณ์ในกระบวนการต่าง ๆ และทักษะปฏิบัติอันจะมี ผลต่อการปลูกฝังคุณลักษณะอันพึงประสงค์ 6 ประการ 1. เป็นผู้ทำงานโดยนึกถึงความจำเป็น ประโยชน์ และคุณค่าของงานที่มีต่อส่วนรวม ก่อนลงมือกระทำ 2. เป็นผู้มีจิตใจกว้าง ยอมรับฟังความคิดเห็นที่หลากหลาย ไม่ยึดติดความคิดเดียว


14 3. เป็นผู้ที่ตัดสินใจเลือกแนวทางปฏิบัติอย่างใช้เหตุผล ไม่มีความลำเอียง 4. เป็นผู้คิดวางแผนล่วงหน้าก่อนลงมือทำงานทุกครั้ง 5. เป็นผู้คอยติดตามผลงาน ตรวจสอบ และปรับปรุงให้ดีขึ้นกว่าเดิมอยู่เสมอ 6. เป็นผู้มีความพอใจในการทำงาน และปฏิบัติงานทุกครั้งด้วยความเอาใจใส่อย่าง สม่ำเสมอ จึงสรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้ที่เน้นทักษะปฏิบัติ ช่วยให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการและ ประสบการณ์ต่าง ๆ 3. เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการเขียนภาพเหมือน 3.1 ความหมายของศิลปะ ศิลป์ พีระศรี อ้างถึงใน เอกชัย สุนทรพงศ์ (2529, หน้า 6) กล่าวว่า ศิลปะ คือ งานอันเป็น ความพากเพียรของมนุษย์ ซึ่งต้องใช้ความพยายามด้วยมือและด้วยความคิด ชะลูด นิ่มเสมอ (2539, หน้า 326) กล่าวว่า ศิลปะ คือ การแสดงออกของปฏิกิริยาที่ศิลปีน มีต่อธรรมชาติ หรือของความรู้สึกนึกคิดของศิลปินเอง ลีรัตน์ เลือดน้ำชล (2541. หน้า 3) กล่าวว่า ศิลปะ เป็นผลงานจากการแสดงออกของ อารมณ์ ปัญญา และทัศนคติ รวมทั้งทักษะความชำนาญของมนุษย์ ราชบัณฑิตยสถาน (2541, หน้า 26) กล่าวว่า ศิลปะ คือ ผลแห่งพลังความคิดสร้างสรรค์ ของมนุษย์ที่แสดงออกมาในรูปลักษณ์ต่าง ๆ ให้ปรากฎซึ่งสุนทรียกาพ ความประทับใจ หรือความสะเทือน อารมณ์ ตามอัจฉริยภาพ พุทธิปัญญา รสนิยมและทักษะของแต่ละคน เพื่อความพอใจ ความรื่นรมย์ หรือ เพื่อสนองตอบขนบธรรมเนียม จรีตประเพณี หรือความเชื่อในลัทธิศาสนา จึงสรุปได้ว่า ศิลปะ คือ สิ่งที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อแสดงออกซึ่งอารมณ์ ความรู้สึก ความคิด ภูมิปัญญา และประสบการณ์ รวมทั้งทักษะความชำนาญของมนุษย์ 3.2 องค์ประกอบของศิลปะ ชะลูด นิ่มเสมอ (2539, หน้า 18-21) กล่าวว่า ศิลปะ มีองค์ประกอบที่สำคัญอยู่ 2 ส่วน ได้แก่ รูปทรง และเนื้อหา ดังนี้ 1. รูปทรง คือ องค์ประกอบทางรูปธรรมซึ่งมนุษย์สร้างขึ้น เป็นโครงสร้างทางวัตถุที่ มองเห็นได้ ประกอบด้วยทัศนธาตุ ซึ่งได้แก่ เส้น น้ำหนักอ่อนเท่ ที่ว่าง สี และลักษณะพื้นผิว 2. เนื้อหา คือ องค์ประกอบที่เป็นนามธรรม คือแนวความคิดและสิ่งที่ศิลปินต้องการ จะสื่อออกมาในผลงานองค์ประกอบพื้นฐานของศิลปะ ที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตา มีดังนี้


15 1. จุด (point) คือองค์ประกอบที่มีขนาคเล็กที่สุด เป็นจุดกำเนิดของเส้น 2. เส้น (Iine) เป็นองค์ประกอบพื้นฐานที่มีความยาวเป็นลักษณะเฉพาะ 3. พื้นผิว (texture) คือองค์ประกอบพื้นฐานที่มีผลต่อความรู้สึกอันมาจากการ สัมผัส 4. น้ำหนักอ่อน - แก่ (tone) ใช้แสดงความแตกต่างของรูปทรงทั้งหมดในภาพที่มี มิติ 5. รูปร่าง (shape) คือองค์ประกอบที่มีลักษณะต่าง ๆ ที่อาศัยการลากจาก จุดเริ่มต้นไปตามทิศทางที่ต้องการแล้วกลับไปบรรจบที่จุดเริ่มต้นเดิมอีกครั้ง โดยมี 2 มิติ คือ ความกว้าง และความยาว 6. รูปทรง (form) คือสิ่งที่มีความแน่นทึบ เป็น 3 มิติ 7. พื้นที่ว่าง (space) คือส่วนที่เป็นพื้นที่ที่ไม่มีองค์ประกอบใดอยู่ หรือหมายถึง ส่วนพื้นหลังของภาพ 8. ขนาดและสัดส่วน (sizc and proportion) ขนาด คือลักษณะของรูปร่างหรือ รูปทรงที่ถูกกำหนดขึ้นให้เห็นได้ถึงความใหญ่ เล็ก เบา หนัก สูง และสั้น เป็นต้น สัดส่วน คืออัตราส่วนของ สิ่งต่าง ๆ ที่มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน สามารถสร้างดุลยภาพให้กับงานศิลปะได้ 9. สี (colour) สรุปได้ว่า ในงานศิลปะ มีองค์ประกอบพื้นฐานหลายประการด้วยกัน ได้แก่ จุด เส้น พื้นผิว น้ำหนักอ่อน-แก่ รูปร่าง รูปทรง พื้นที่ว่าง ขนาดและสัดส่วน สี และเนื้อหาหรือความหมายของผลงาน ซึ่ง จะทำให้งานศิลปะนั้นมีความสมบูรณ์และงดงาม 3.3 ความหมายของการเขียนภาพเหมือน ฝนสั่งฟ้า พาเขียว (2561, หน้า 30) ได้ให้ความหมายไว้ว่า การวาดภาพแบบเหมือนจริง หรือ การเขียนภาพแบบเหมือนจริง (Realism) หมายถึง การเขียนภาพตามที่ตามองเห็นให้เหมือนแบบ เหมือนของจริง หรือเหมือนธรรมชาติ ทั้งรูปทรง สีสันและแสงเงา เช่น การเขียนภาพของจริงของภาพหุ่น นิ่ง ภาพทิวทัศน์ ภาพคนเหมือน เป็นต้น การเขียนภาพมี 2 ลักษณะ คือ 1. การวาดเส้น (Drawing) หมายถึง การใช้วัสดุสำเร็จรูปที่มีปลายค่อนข้างแหลม เช่น ดินสอดำ เกรยอง ปากกา เป็นต้น สร้างสรรค์ให้เกิดลายเส้นหรือภาพแรเงา โดยเน้นความงามของ เส้นและแสงเงาเป็นสำคัญ


16 2. การระบายสี (Painting) หมายถึง การใช้สีชนิดต่าง ๆ ระบายลงบนระนาบ รองรับ ด้วยวัสดุที่เป็นตัวกลางในการถ่ายทอด เช่น พู่กัน แปรง เกรียง เป็นต้น สร้างสรรค์ให้เกิดเป็นภาพ ระบายสี โดยเน้นความงาม ความกลมกลืนของสีสันและแสงเงาเป็นสำคัญ สรุปได้ว่า การเขียนภาพเหมือนต้องเขียนตามที่ตามองเห็น ทั้งรูปทรงและสีสัน 3.4 ความสำคัญของการเขียนภาพเหมือน กุลสตรี (2554, หน้า 140) กล่าวว่า การวาดภาพคนเหมือน(Portrait) เป็นการถ่ายทอด รูปแบบของบุคคล ซึ่งอาจเป็นภาพวาด ระบายสี (painting) หรือการวาดเส้น (Drawing) ลงบนระนาบ สองมิติแสดง สัดส่วน โครงสร้าง กล้ามเนื้อแสงเงา ของบุคคลที่เป็นแบบได้อย่างสมจริง โดยเน้นใบหน้า ของแบบให้เหมือนจริงมากที่สุดโดยอาจจะแสดงเพียงครึ่งตัวหรือเต็มตัวก็ได้ รวมถึงการแสดงออกทาง กิริยาท่าทางต่าง ๆ ของแบบ หรือตามที่จิตรกรเห็นสมควร จิตรกรผู้มีความชำนาญในการวาดภาพคน เหมือน อาจใช้เวลาเพียงไม่กีนาที โดยจับเอาลักษณะเด่น ๆ บนใบหน้าแล้วลงน้ำหนักด้วยสี หรือดินสอดำ เพียงหยาบ ๆ ก็สามารถถ่ายทอดความเหมือนจริงของแบบนั้นได้ จิตรกร ผู้วาดภาพเหมือนต้องเป็นผู้ สังเกตและมีความละเอียดในการจดจำลักษณะของส่วนต่าง ๆ บนใบหน้าให้ถูกต้องตามความเป็นจริง นอกจากจะจับลักษณะพิเศษในบุคลิกภาพของบุคคล ผู้ที่เป็นแบบได้แล้ว จิตรกรต้องรู้ถึงลักษณะของ โครงสร้างทางกายวิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงสร้างของหัวกะโหลก ทั้งหมด ทั้งส่วนด้านหน้า ด้านข้าง และด้านหลัง การถ่ายทอดภาพคนเหมือน จิตรกรผู้วาดสามารถทำได้2 ลักษณะ อย่างแรกคือถ่ายทอด โดยดูจากแบบจริง ซึ่งใช้คนจริงมาเป็นแบบในการวาด เพื่อเลียนแบบใบหน้าบุคคลนั้นให้เหมือนจริงมาก ที่สุด อาจมีการจัดแสงผาขึ้นใหม่หรือจะใช้แสงตามธรรมชาติที่เป็นจริงก็ได้ ในการวาดภาพคนลักษณะนี้ เรียกว่าการเขียนภาพสด ซึ่งจิตรกรสามารถแสดงอารมณ์ความคิด ความรู้สึก ด้วยสี น้ำหนัก แสง เผา และบรรยากาศภายในภาพตามที่จิตรกรผู้วาดเห็นสมควร ซึ่งเป็นการวาดภาพคนเหมือนในเชิงวิจิตรศิลป์ โดยถ่ายทอดอารมณ์ของแบบนั้นลงไปด้วย ตามความเหมาะสม แบบที่สองเป็นการถ่ายทอดรูปแบบคน เหมือนจากภาพถ่าย ซึ่งเป็นวิธีการคัดลอกจากภาพถ่าย สามารถทำได้หลายวิธีคือ วิธีแรกใช้การตีเส้น ตารางขยาย ซึ่งจะสามารถขยายจากแบบที่เล็กให้เป็นแบบที่ใหญ่ได้ วิธีต่อมาคือใช้เครื่องขยายภาพโดยนำ แบบที่เป็นภาพถ่าย มาเข้าเครื่องขยายภาพ ซึ่งสามารถปรับขยายภาพให้เล็กใหญ่ได้ตามที่ต้องการ ซึ่งจะ สะดวกและรวดเร็วกว่าวิธีแรก คงชลัช ลิ้มตระกูล (2555, หน้า 33-34) กล่าวว่า ภาพเหมือน เป็นรูปแบบที่มีวิวัฒนาการ มาอย่างยาวนานที่สุดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากทางโลกตะวันตกก่อนตั้งแต่สมัยยุค


17 กรีก-เรอเนสซองซ์ และเริ่มเข้ามาสู่ประเทศไทยอย่าง ชัดเจนในช่วงรัชกาลที่ 5 จนกระทั่งวางรากฐานการ สอนในช่วงยุคสมัยที่ศิลป์ พีระศรี เข้ามาทำงานในประเทศไทย ศิลปะภาพเหมือนบุคคลรูปแบบเหมือน จริงเป็นแนวทางการแสดงออกที่สามารถทำให้ผู้ดูผลงานเห็นสัจธรรมของธรรมชาติตามความเป็นจริงได้ มากที่สุด เป็นแนวทางการแสดงออกที่มีความสมบูรณ์พร้อมทางการมองเห็นด้วยตา ไม่ว่าจะเป็น เส้นรอบ นอก สี แสงเงา รูปทรงตามธรรมชาติ กายวิภาคของมนุษย์ ทัศนียวิทยา พื้นผิว บรรยากาศของทุกสิ่งที่ มองเห็น การวาดภาพในแนวทางเหมือนจริงต้องอาศัยจิตรกรที่มีทักษะฝีมือสูง มีความซื่อสัตย์ต่อสิ่งที่ มองเห็น มีความแม่นยำในการมองแล้วถ่ายทอดออกมาด้วยเทคนิควิธีการที่ถูกต้อง มีความอดทนในการ เก็บรายละเอียด มีความละเอียดอ่อนต่ออารมณ์ความรู้สึกของสิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติ ในลัทธิเรียลลิสม์มี แนวความคิดว่า สิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติมีความงามที่สมบูรณ์อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องปรุงแต่งให้เกินความเป็น จริง ในปัจจุบันศิลปะแบบเหมือนจริงพัฒนาไปอย่างก้าวใกลไปสู่ลัทธิอภิมหาสัจนิยมและโฟโต้เรียลลิสม์ ซึ่งสามารถวาดภาพออกมาได้เหมือนจริงราวกับเป็นรูปถ่าย การวาดภาพเหมือนบุคคลในแนวทางนี้ให้ ความรู้สึกที่ดูมั่นคง ซื่อสัตย์ เรียบร้อย และสูงส่ง สรุปได้ว่า การเขียนภาพเหมือนนั้น มีความสำคัญต่อการถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึก มา ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ที่ได้รับอิทธิพลมาจากทางโลกตะวันตกและเริ่มเข้าสู่ประเทศไทย ในการวาดภาพ คนลักษณะนี้จิตรกรสามารถแสดงอารมณ์ความคิด ความรู้สึก ด้วยสี น้ำหนัก แสง เผา และบรรยากาศ ภายในภาพตามที่จิตรกรผู้วาดเห็นสมควร 3.5 ประเภทของภาพเหมือน คงชลัช ลิ้มตระกูล (2555, หน้า 22-24) กล่าวว่า การเขียนภาพเหมือน มี 4 รูปแบบ ได้แก่ 1. วาดจากบุคคลจริง เป็นวิธีการที่นิยมมาตั้งแต่สมัยโบราณซึ่งยังไม่มีกล้องถ่ายรูป เช่น สมัยกรีก อียิปต์ เป็นอย่างน้อย โดยการให้คนจริง ๆ มาอยู่ต่อหน้าจิตรกร แล้วลงมือวาด การวาดจากคนจริงต้องใช้ทักษะ ฝีมือสูงไม่สามารถเก็บรายละเอียดของทุกอย่างได้ภายในพริบตาเหมือนกล้องถ่ายรูป เพราะแบบอาจมีการ เคลื่อนไหวบ้าง จิตรกรต้องทำงานแข่งกับเวลา 2. วาดจากภาพถ่าย เป็นวิธีการที่นิยมในช่วงคริสต์ศตวรรมที่ 19 ซึ่งเทคโนโลยีสามารถถ่ายภาพสี เหมือนจริงได้แล้ว จิตรกรจะนำภาพที่ถ่ายได้มาเป็นต้นแบบวาดแทนการให้คนจริงมาแบบต่อหน้า วิธีการ นี้จะทำให้จิตรกรที่มีฝีมือดีสามารถสร้างผลงานภาพวาดคนได้สมจริงยิ่งขึ้น เพราะแบบไม่มีการเคลื่อนไหว


18 เปลี่ยนแปลง มีเวลาในการสังเกตุแบบและเก็บรายละเอียดมากขึ้นทำให้ได้ผลงานที่สมบูรณ์ใกล้เคียงความ จริงมากกว่าการวาดจากแบบคนจริง 3. วาดจากความทรงจำ ประการแรก บุคคลผู้นั้นมีตัวตนอยู่ในโลกจริง แต่ไม่ยินออมเป็นแบบให้วาดและ ถ่ายภาพ ตัวเขามาเป็นข้อมูล ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญ บุคคลผู้นั้นอาจเป็น ผู้ก่อการร้าย ผู้ที่มีความรู้สึก บกพร่องทางความงามของตนเองไม่ว่าจะเป็นทางร่างกายและจิตใจจึงไม่ยินดีที่จะให้ใครสร้างภาพเหมือน ของตัวเขา ผู้ที่อยู่ในศาสนาที่มีข้อห้ามการสร้างรูปเหมือนจริงตามธรรมชาติ ผู้ที่ความงมงายเกี่ยวกับคติ ความเชื่อต้องห้ามการสร้างภาพเหมือนและผู้ที่รู้จักกับจิตรกรที่ต้องการจะวาดเขาเป็นส่วนตัวแต่มีใจอคติ ต่อจิตรกรที่ต้องการจะวาดภาพเขา (ซึ่งจิตรกรโดยส่วนใหญ่จะไม่ค่อยอยากเสียเวลาวาคภาพบุคคล ประเภทนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้วถ้าไม่มีความจำเป็นส่วนตัว) หากจะวาดภาพบุคคลประเภทนี้จิตรกรต้อง อาศัยภาพความทรงจำในสมองเมื่อเคยพบเห็นบุคคลประเภทนี้เป็นข้อมูลหลักเพื่อใช้ประกอบการวาด ประการที่สอง บุคคลผู้นั้นอยู่ในโลกจริง แต่มีเหตุผลที่จิตรกรอยากวาดโดยไม่ใช้ แบบ แต่จะใช้ภาพความจำในสมองเป็นข้อมูลในการวาด ซึ่งอาจเป็นการทำเพื่อฝึกฝนฝีมือของตัว จิตรกร เองเพื่อให้เกิดทักษะพิเศษส่วนตัว หรือเพื่อศิลปะการแสดง บุคคลผู้นั้นอาจเป็น ตัวจิตรกรเอง บุคคลทั่วไป บุคคลสำคัญ ฯลฯ 4. วาดจากจินตนาการ (Imagine) การวาดแบบจินตนาการเป็นการวาดภาพเหมือนของบุคคลโดยที่จิตรกรไม่มี ต้นแบบที่แท้จริงของบุคคลที่มีตัวตนอยู่จริงที่ต้องการวาดจะนั้นมาอ้างอิงเลย ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพ รูป ประติมากรรมและตัวบุคคลผู้นั้น เป็นการวาดบุคคลที่จิตรกรไม่เคยพบเห็นด้วยตนเอง การวาดจาก จินตนาการไม่สามารถถ่ายทอดความเป็นจริงของตัวบุคคลที่มีตัวตนจริงได้ถูกต้องทั้งหมดจึงทำให้ผลงานมี ลักษณะของการปรุงแต่งและการสร้างสรรค์ ซึ่งการวาดภาพเหมือนบุคคลจากจินตนาการมีหลายสาเหตุ ได้แก่ ประการแรก การที่บุคคลผู้ที่ต้องการวาดนั้นเคยมีตัวตนอยู่ในโลกจริงแต่อยู่ในยุค ที่เก่าแก่และเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีเทคโนโลยีกล้องถ่ายภาพ หรืออาจอยู่ในยุคสมัยที่มีกล้องถ่ายรูปแล้วก็ได้ แต่ช่วงเวลาที่บุคคลผู้นั้นดำรงชีวิตอยู่ในโลก ไม่ได้มีการสร้างรูปภาพและรูปประติมากรรมของบุคคล นั้น หรืออาจเคยมีการสร้างขึ้นแต่ได้สูญหายไปตามกาลเวลา และเมื่อบุคคลผู้นั้นถึงแก่กรรมจึงหลงเหลือเพียง บันทึกข้อความทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับบุคคลผู้นั้นเป็นหลักฐานเท่านั้นที่พอจะใช้เป็นแหล่งข้อมูล ประกอบการวาด เช่น พระพุทธเจ้า พระเยซู บุคคลในประวัติศาสตร์ บุคคลที่เคยอยู่ร่วมสมัยกับจิตรกร เป็นต้น แต่ก็มีบางกรณีที่จิตรกรบางคนอ้างว่าเคยพบเห็นบุคคลในประวัติศาสตร์จากความฝัน หรือจาก


19 สถานที่ส่วนตัว ซึ่งทำให้เขาสามารถวาดบุคคลในประวัติศาสตร์ผู้นั้นได้ตามความเป็นจริง (ซึ่งเราไม่ สามารถพิสูจน์ได้ในตอนนี้ว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง) ประการที่สอง บุคคลผู้นั้นมีตัวตนอยู่จริง(สำหรับผู้ที่มีความเชื่อทางเรื่องลี้ลับของ ศาสนา)แต่ไม่ปรากฏตัวตนออกมาให้มนุษย์ทั่วไปในโลกเห็นและมนุษย์ทั่วไปไม่สามารถมองเห็นได้แต่กีมี บางคนในโลกอ้างว่าเคยพบเห็นบุคคลประเภทนี้ บุคคลที่กล่าวถึงนี้ไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นผู้วิเศษมีอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ซึ่งมีมากมายหลากหลายตามความเชื่อและหลักคำสอนของแต่ละศาสนาหรือ ลัทธิ ซึ่งมีไม่ซ้ำกัน เลย เช่น เทวดา ผีมาร เทพผู้ครองต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งจิตรกรที่ต้องการวาดภาพ บุคคลวิเศษจำเป็นต้อง ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับศาสนาที่กล่าวถึงบุคคลวิเศษที่ต้องการจะวาดเพื่อใช้เป็นแหล่งข้อมูลประกอบการ วาด แต่ก็มีบางกรณีที่จิตรกรบางคนอ้างว่าเคยพบเห็นบุคคลวิเศษจากความฝัน หรือจากสถานที่ส่วนตัว ซึ่งทำให้เขาสามารถวาดบุคคลวิเศษผู้นั้นได้ตามความเป็นจริง สรุปได้ว่า ประเภทของการวาดภาพเหมือนมี 4 รูปแบบ ทั้งใช้จินตนาการ สร้างสรรค์ขึ้นมา เอง หรือการสังเกตจากแบบ อย่างไรก็ตาม ศิลปินต้องมีการฝึกฝนฝีมือ เพื่อให้สามารถสร้างผลงาน ภาพวาดคนได้สมจริงยิ่งขึ้น 4. เอกสารที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับสีน้ำ 4.1 ความหมายของสี ณรงค์ ทองปาน (2526, หน้า 85) กล่าวว่า สี ในทางทัศนศิลป์ หมายถึง ความเข้มของแสง ที่ส่องไปกระทบวัตถุแล้วสะท้อนเข้าสู่ตาเรา ชะลูด นิ่มเสมอ (2539, หน้า 54-56) กล่าวว่า สี มี 2 ชนิด คือ สีที่เป็นแสง (Spcctrum) และสีที่เป็นวัตถุ (Pigment) ซึ่งได้แก่ สีที่มีอยู่ในวัตถุธรรมชาติทั่วไป สุรพล ขันธศุภ (253 1, หน้า 6) กล่าวว่า สี แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ สีที่เกิดขึ้นเองตาม ธรรมชาติ เช่น สี่ของแสงอาทิตย์ สีของดอกไม้ เป็นต้น และสีที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น สีวิทยาศาสตร์ สีของ แสงไฟฟ้าต่าง ๆ ผดุง พรมมูล และคณะ (2545, หน้า 14) กล่าว่า สี เกิดจากแสงสว่างส่องกระทบวัตถุ สะท้อนเข้าสู่ตามนุษย์ จึงเกิดการเห็นหรือการรับรู้ว่าเป็นสีต่าง ๆ แสงอาทิตย์ในธรรมชาติมี 7 สี ได้แก่ สี ม่วง สีคราม สีน้ำเงิน สีเขียว สีเหลือง สีแสด และสีแดง


20 ธวัชชานนท์ ตาไธสง (2546, หน้า 36) กล่าวว่า สี สำหรับศิลปะหรืองานทัศนศิลปี หมายถึง เนื้อสี หรือรงควัตถุ ซึ่งเป็นสสารที่ได้มาจากอนินทรียวัตถุ หรืออินทรียวัตถุ หรือเกิดจากการสังเคราะห์ ทางเคมี ผ่านการบดเป็นฝุ่นผงเพื่อใช้เป็นสีสำหรับระบายหรือย้อม สมชาย พรหมสุวรรณ (2548, หน้า 49) กล่าวว่า สี มีอยู่ 2 ประเกท คือ สีจากแสง หรือสี ธรรมชาติ ได้แก่ สีที่เกิดจากแสงส่องกระทบวัตถุแล้วสะท้อนเข้าสู่ตาเรา ทำให้มองเห็นวัตถุเป็นสีต่าง ๆ อีกประเภทหนึ่งคือ สีจากเนื้อสี ได้แก่สีที่มนุษย์คิดค้นขึ้นโดยการนำเอาอินทรียสารหรือสารเดมีมาผสมกัน ผ่านกระบวนการขั้นตอนต่าง ๆ ทำให้เกิดสีขึ้น สรุปได้ว่า สี หมายถึง ความเข้มของแสงที่ส่องไปกระทบวัตถุแล้วสะท้อนเข้าสู่ตาเราทำให้ ตาเห็นเป็นสีต่าง ๆ เช่น ขาว ดำ แดง เขียว เป็นต้น สี แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ สีที่เป็นแสง ซึ่งมี 7 สี ได้แก่ สีม่วง สีคราม สีน้ำเงิน สีเขียว สีเหลือง สีแสด และสีแดง และสีที่เป็นวัตถุ คือ สีที่มนุษย์สร้างขึ้น โดยการนำเอาอินทรียสารหรือสารเดมีมาผสมกัน ผ่านกระบวนการขั้นตอนต่าง ๆ ทำให้เกิดสีขึ้น 4.2 ความสำคัญของสี สุรพล ขันธศุภ (2531, หน้า 11) กล่าวว่า สี มีอิทธิพลต่อมวลมนุษย์ในด้านต่าง ๆ อย่าง มากมายทั้งในเรื่องความเป็นอยู่ในสังคม การแต่งกาย อารมณ์ และจิตใจ รวมทั้งสภาพแวดล้อมในด้านอื่น ๆ อีกด้วย โดยเฉพาะในเรื่องของความรู้สึก ชุลีรัตน์ เลือดน้ำชล (2541, หน้า 14) กล่าว่า สี เป็นสิ่งที่ช่วยให้เกิดความสวยงาม สดใส มี ชีวิตชีวา มีอิทธิพลต่อความรู้สึกของมนุษย์เป็นอย่างมาก และสียังสามารถช่วยเพิ่มคุณค่าของภาพได้ คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (2547) กล่าวว่า สี ทำหน้าที่ เป็น องค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้งานศิลปะชิ้นนั้นมีคุณค่าทางสุนทรียะ หน้าที่หลักของสีในงานศิลปะ คือ ให้ความแตกต่างระหว่างรูปกับพื้น หรือรูปทรงกับที่ว่าง ให้ความรู้สึกเคลื่อนไหวด้วยการนำสายตาของ ผู้ดูบริเวณที่สีตัดกั้นจะดึงดูดความสนใจ ให้ความเป็นมิติแก่รูปทรง ให้ความลึกในภาพ และให้อารมณ์ ความรู้สึกได้ด้วยตัวมันเอง ชะลูด นิ่มเสมอ (2539, หน้า 57) กล่าวว่า สี เป็นทัศนธาตุที่สำคัญและมีบทบาทิมากที่สุด ในงานจิตรกรรม สมเกียรติ ตั้งนโม (2536) กล่าวว่า สี ถือว่าเป็นทัศนธาตุที่สำคัญอย่างยิ่งในทุก ๆ สื่อ และ ในทุก ๆ สาขาของงานทางด้านจิตรกรรม


21 ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า สี เป็นองค์ประกอบที่สำคัญอย่างมากในงานศิลปะ สามารถสร้างความ แตกต่างระหว่างรูปกับพื้นที่ว่าง สร้างมิติ สร้างความลึกในภาพ สร้างจังหวะ สร้างความรู้สึกเคลื่อนไหว สร้างความงดงามให้กับภาพ 4.3 ชนิดของสี ทวีเดช จิ๋วบาง (2536, หน้า 6-8) ได้กล่าวถึง ชนิดของสีที่รู้จัก โดยแยกประเภทไว้ ดังนี้ 1. สีน้ำ มีคุณสมบัติโปร่งแสง ระบายก่อนข้างยาก เพราะการระบายต้องฝึกให้มีทักษะ พอสมควร ลักษณะการระบายด้วยสีน้ำ ภาพนั้นจะมีลักษณะขุ่นใสบางสะอาด และนุ่มนวลทำให้มี ความรู้สึกว่าเป็นการระบายสีน้ำ ในการเขียนสีน้ำไม่ควรเขียนสีขาวและสีดำ การใช้สีน้ำถ้าต้องการให้สี อ่อนลง และผสมสีตรงข้ามหรือสีที่เข้มกว่าเป็นการฆ่าสี กระดาษที่ใช้เขียนสีน้ำควรลักษณะผิวหยาบ ขรุขระจะดีกว่ากระดาษผิวเรียบเป็นมัน 2. สีน้ำมัน เป็นสีประเภททึบแสง เกิดจากการผสมของเนื้อสีฝุ่นกับน้ำมัน น้ำหนักอ่อน แก่ หรือผสมสีอื่น ๆ เพื่อให้บังเกิดสีใหม่ เขียนลงบนวัตฤชนิดต่าง ๆ ได้ สามารถเขียนทับลงไปใหม่ได้ แห้ง ช้าเวลาเขียนภาพใช้เวลานาน 3. สีฝุ่น เป็นสีเริ่มแรกของช่างเขียนรู้จักการใช้สีซึ่งได้จากธรรมชาติ พืช ดิน หิน นำมา ทำให้ละเอียดเป็นผงผสมกาวและน้ำ กาวทำมาจากหนังสัตว์ กระดูกสัตว์ และกาวกระดินช่วยทำให้สีเกาะ พื้นแน่น สีฝุ่นเป็นสีทึบแสงเพราะมีเนื้อสีก่อนข้างหนา 4. สีโปสเตอร์ ส่วนผสมของสีโปสเตอร์ใช้น้ำผสมเหมือนสีน้ำและใช้สีขาวผสมเหมือน แบบสีน้ำมัน จึงเขียนได้สองลักษณะภายในขวดสีโปสเตอร์มีสิ่งที่เป็นส่วนผสมของกรีเซอรีรีน ช่วยให้แห้ง ง่าย ดังนั้นเวลาใช้จึงควรปิดขวดให้สนิทเพื่อมิให้แห้งเร็ว 5. สีเทียน เป็นสีผงละเอียดผสมกับไขของสัตว์ (เทียน) อัดเป็นแห่ง มีหลายสีภาพที่ เขียนจึงมีเทียนผสมรวมกับสีจึงมีความเป็นมัน เวลาเขียนสามารถทับกันได้ 6. สีชอล์ก เป็นสีผงละเอียดผสมกับไม้ ทำให้เป็นแท่งเล็ก ๆ กลมและเหลี่ยม มีหลายสี กระดายที่ใช้เขียนสีชอล์กทำขึ้นโดยเฉพาะพื้นผิวกระดาษมักจะหยาบมีหลายสี มีวิธีการเขียนเช่นเดียวกับ สีเทียน 7. สีหมึก มีอยู่หลายชนิดที่เป็นขวดมีทั้งอย่างป้องกันน้ำ และละลายน้ำได้ ที่เป็นแห่งใช้ ฝนกับแท่นหมึกใช้เขียนภาพได้ดีแต่ควรระจังเมื่อระบายสีไปครั้งหนึ่งแล้วจะสนิทกับเนื้อกระดาษ ละลาย หรือทำให้กลมกลืนยาก


22 8. สีอะคริลิค มีลักษณ์ะเด่นคือคงทนต่อสภาพดินฟ้าอากาศ สามารถเก็บได้นานโดยสี ไม่เปลี่ยนแปลง ระบายง่ายเพราะสีอะคริลิคเกาะแน่น แห้งเร็วกว่าสีน้ำมัน มีทั้งทึบแสงและโปร่งแสง สามารถผสมได้ด้วยน้ำหรือน้ำยามีเดียมและวานิช ทวีพงษ์ ลิมาภรณ์วณิชย์ (2544, หน้า 132-146 ) ได้กล่าวถึงสีชนิดต่าง ๆ ไว้ดังนี้ 1. สีไม้ หรือดินสอสี เป็นสื่อแห้ง ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำผสม เป็นสีสำเร็จรูป ผลิตขึ้น โดย แยกเป็นสีต่าง ๆ เนื่องจากไม่สามารถผสมเตรียมไว้จากภายนอกได้เหมือนสีน้ำ สีอะครีลิคหรือสีน้ำมัน 2. สีชอล์ก ทำขึ้นด้วยผงสีแท้ และใช้ระบบอัดแน่นด้วยแรงดันต่ำเพื่อให้เป็นแท่ง ผลิต ขึ้นโดยแยกเป็นสีต่าง ๆ เนื่องจากไม่สามารถผสมเตรียมไว้จากภายนอกได้เช่นเดียวกันกับ 3. สีน้ำมัน เป็นสีที่มักใช้เขียนลงบนผ้าใบ และแผ่นไม้ สามารถระบายทับซ้อนกันได้ขูด ทิ้ง และล้างออกได้ แห้งช้า 4. สีอะครีลิค เป็นสีที่ทำขึ้นจากเรซินในรูปแบบของพลาสติก เป็นสื่อเปียกแห้งเร็ว ยึด เกาะพื้นผิวได้แน่น ใช้งานโดยใช้น้ำผสมเป็นตัวทำละลาย ผดุง พรมมูล และคณะ (2545, หน้า 12) ได้กล่าวถึงสีชนิดต่าง ๆ ไว้ดังนี้ 1. สีไม้ หรือดินสอสี คือสีที่มีคุณสมบัติคล้ายดินสอ ใช้ได้ทั้งการเขียนและระบายสี 2. สีเทียน จะมีเนื้อสีผสมกับไข ลักษณะเป็นแห่งคล้ายชอล์ก เมื่อเขียนแล้วเหมือนมีไข กระดาษเคลือบอยู่ มีปริมาณเนื้อสีอยู่เพียงเล็กน้อย มีคุณสมบัติในการกั้นไม่ให้น้ำซึมผ่าน 3. สีชอล์ก ลักษณะคล้ายสีเทียน แต่มีปริมาณเนื้อสีมากกว่า ภาพที่เขียนด้วยสีชอล์ก จะมีสีสดใสกว่าสีเทียน และมีพื้นผิวขรุขระตามปริมาณของเนื้อสี 4. สีน้ำ มีคุณสมบัติโปร่งใส ใช้น้ำเป็นตัวผสม มีวิธีการเขียนได้หลายวิธี ไม่ควรผสมสี ขาวเพราะจะทำให้สีขุ่น 5. สีโปสเตอร์ เป็นสีทึบแสง เวลาใช้ต้องผสมน้ำ สมภพ จงจิตต์โพธา (2552, หน้า 87-95) ได้กล่าวถึงสีชนิดต่าง ๆ ไว้ดังนี้ 1. สีไม้ หรือดินสอสี เป็นสื่อวัสดุประเภทแห้ง ลักษณะคล้ายแท่งดินสอ แต่ไส้จะเป็นสี บรรจุอยู่ในกล่อง เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังฝึกฝนในการสร้างงานจิตรกรรม 2. สีชอล์ก เป็นสื่อวัสดุประเภทแห้ง มีส่วนผสมของผงสีบดละเอียดกับกาวอารบิก หรือ กาวหนังสัตว์ และนำมาอัดเป็นแห่ง เนื้อสีมีความสด สามารถสร้างสรรค์งานจิตรกรรมคล้ายสีไม้ แต่ ต่างกันตรงที่สีชอล์กสามารถใช้นิ้วถูให้เกิดความกลมกลืน 3. สีน้ำ เป็นสื่อวัสดุประเภทเปียก มีคุณสมบัติโปร่งใส เวลาเขียนต้องใช้น้ำผสมเพื่อให้ สีละลาย


23 4. สีโปสเตอร์ เป็นสื่อวัสดุประเภทเปียก มีคุณสมบัติทึบแสง เป็นสีสังเคราะห์จาก ธรรมชาติและสารเคมี โดยมีส่วนผสมของผงแป้งสังเคราะห์ทางเคมีและกาวหรือยางไม้ บรรจุอยู่ในขวด เวลาระบายสีจะใช้น้ำเป็นตัวทำละลาย สกนธ์ ภู่งามดี (2548, หน้า 38-40) กล่าวว่า สีที่มนุษย์สร้างขึ้น หรือสีวิทยาศาสตร์ ที่ใช้ใน การสร้างงานศิลปะ โดยทั่วไป สามารถจำแนกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆตามคุณลักษณะ คือ สีโปร่งแสง และสีทึบแสง ดังนี้ 1. สีโปร่งแสง เช่น สีฝุ่น สีอะคริลิก สีน้ำ สีไม้ สีหมึก สีเมจิกหรือปากกาเคมี 1.1 สีน้ำ มีทั้งที่เป็นผง และเป็นของเหลวบรรจุในหลอด ต้องใช้น้ำเป็นตัว 1.2 สีฝุ่น มีลักษณะเป็นผงสีที่ละเอียด ผสมกับไข่หรือกาวเหลว และนำมาทำ ละลายทำให้เจือจางด้วยการผสมน้ำ 1.3 สีอะคริลิค เป็นได้ทั้งสีโปร่งแสงและทึบแสง หากผสมน้ำมากก็จะมีลักษณะ โปร่งแสง เมื่อผสมน้ำน้อยก็จะมีลักษณะทึบแสง 1.4 สีไม้ มีลักษณะเป็นแท่งเหมือนดินสอ ใช้ง่าย ผลจากการใช้สีไม้จะเห็นเป็น พื้นผิวของกระดาษ 1.5 สีหมึก มีลักษณะเป็นขวดเล็ก ๆ คุณสมบัติเหมือนสีน้ำ ต่างกันตรงที่ สีหมึก เมื่อระบายเสร็จแล้วจะมีความมันวาว 1.6 สีเมจิกหรือปากกาเคมี มีลักษณะเป็นแห่งเหมือนปากกา เมื่อใช้ขีดหรือระบาย ลงบนกระดาษจะมีความโปร่งใสมองเห็นเนื้อกระดาษ 2. สีทึบแสง เช่น สีโปสเตอร์ สีน้ำมัน สีอะคริลิก และสีชอล์ก 2.1 สีน้ำมัน มีลักษณะเป็นผงหรือเป็นของเหลวบรรจุในหลอด เมื่อต้องการใช้ต้อง ใช้น้ำมันลินสีดหรือน้ำมันสนผสม ภาพจะเกิดความทึบแสงและเป็นพื้นผิวเมื่อมีการระบายทับซ้อน 2.2 สีโปสเตอร์ มีลักษณะเป็นสีที่บรรจุในขวด เนื้อสีมีความขันมากกว่าสีน้ำ มี ลักษณะทึบแสงและผิวเรียบ 2.3 สีชอล์ก เป็นสีฝุ่นผงละเอียดบริสุทธิ์นำมาอัดเป็นแท่ง ปัจจุบัน มีการผสมขี้ผึ้ง หรือกาวยางไม้เข้าไปด้วยแล้วอัดเป็นแท้งในลักษณะของดินสอสี แต่มีเนื้อละเอียดกว่า และแท่งใหญ่กว่า โกศล พิณกุล (2554. หน้า 9-13) ได้กล่าวถึงสีชนิดต่าง ๆ ไว้ดังนี้ 1. สีไม้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ดินสอสี มีลักษณะการใช้เหมือนกับดินสอดำ ไส้ดินสอ มี ลักษณะอ่อน-แข็ง คล้ายกับดินสอดำ เหมาะสำหรับสร้างผลงานขนาดเล็ก ๆ เก็บรายละเอียดได้


24 2. สีชอล์ก หรือสีชอล์กน้ำมัน มีน้ำมันเป็นส่วนผสม ไม่เหมาะสำหรับงานที่รายละเอียด มากเพราะปลายแท่งสีไม่แหลมคมเหมือนกับดินสอ 3. สีเทียน คือสีที่ใช้ยางของ เกรยอง (Crayons) ผสมด้วยเทียนไข มีคุณสมบัติการ ใช้ งานคล้ายสีชอล์ก แต่เวลาระบายสีบนกระดายจะลื่นกว่าสีชอล์ก ไม่เหมาะสำหรับงานที่มีรายละเอียดมาก เพราะปลายแท่งสีไม่แหลมคมเหมือนกับดินสอ 4. สีน้ำ มีคุณสมบัติโปร่งแสง การใช้งานต้องใช้น้ำผสมเป็น ตัวทำละลาย 5. สีโปสเตอร์ มีลักษณะคล้ายสีน้ำ แต่มีความเหนียวและเข้มข้นกว่า คุณสมบัติทึบแสง แต่บางครั้งอาจใช้ระบายให้มีความโปร่งแสงแบบสีน้ำก็ได้ มีทั้งแบบเป็นหลอดและบรรจุขวด 6. สีอะคริลิก เป็นสีที่มีคุณสมบัติคล้ายสีโปสเตอร์และสีน้ำมัน ใช้น้ำเป็นตัวทำละลาย แห้งเร็ว เมื่อแห้งแล้วกันน้ำได้ดีมาก มีทั้งแบบหลอดและบรรจุขวด สามารถระบายสีทับซ้อนกันได้ สรุปได้ว่า สี แบ่งตามคุณลักษณะได้ 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ สีโปร่งแสง และสีทึบแสง สีที่มี คุณสมบัติโปร่งแสง ได้แก่ สีฝุ่น สีอะคริลิก สีน้ำ สีไม้ สีหมึก สีเมจิกหรือปากกาเคมี เป็นต้น สีที่มีคุณสมบัติ สีทึบแสง ได้แก่ สีโปสเตอร์ สีน้ำมัน สีอะคริลิก สีเทียน และสีชอล์ก เป็นต้น สีบางชนิดมีคุณสมบัติที่ก่ำกึ่ง ระหว่างโปร่งแสงและทึบแสง ขึ้นอยู่กับกระบวนการผลิตในแต่ละยุคสมัย สีแต่ละชนิดมีเนื้อสีและ วิธีการใช้งานที่แตกต่างกัน 4.4 แม่สี ณรงค์ ทองปาน (2526, หน้า 86) กล่าวว่า แม่สี คือ สีแท้ มีคุณสมบัติโดยฉพาะ ไม่สามารถ ผสมด้วยสีต่าง ๆ ให้เป็นแม่สีได้แต่ถ้านำแม่สีผสมกันจะเกิดสีใหม่เสมอ แม่สีมี 3 คือ สีแดง สีเขียว สีน้ำเงิน สุรพล ขันธศุภ (2531, หน้า 7-8) กล่าวว่า แม่สี คือสีที่เราไม่อาจผสมขึ้นได้ แต่เมื่อนำแม่ สีมาผสมกันเองแล้ว จะสามารถเกิดเป็นสีอื่น ๆ ได้หลายสี เราจึงเรียกแม่สีว่า สีขั้นที่ 1 ซึ่งมี 3 สี คือ สี เหลือง สีแดง และสีน้ำเงิน เมื่อนำแม่สีมาผสมกัน จะเกิดเป็นสีต่าง ๆ คือ สีแดง ผสมกับ สีน้ำเงิน เป็น สีม่วง สีน้ำเงิน ผสมกับ สีเหลือง เป็น สีเขียว สีเหลือง ผสมกับ สีแดง จะเป็น สีส้ม โดยสีที่เกิดจากการผสมกันของแม่สี คือ สีม่วง สีเขียว สีส้ม นี้ เรียกว่า สีขั้นที่ 2 เมื่อนำแม่สี และสีขั้นที่ 2 มาผสมกัน จะได้สีใหม่ เรียกว่าสีขั้นที่ 3 เสน่ห์ ธนารัตน์สฤยดิ์ (2531, หน้า 1) กล่าวว่า แม่สีหรือสีปฐมภูมิ คือสีหลักที่เป็นแม่สีขั้น พื้นฐาน มี 3 สี ได้แก่ สีแดง สีเหลืองและสีน้ำเงิน


25 ชลูด นิ่มเสมอ (2539, หน้า 286) กล่าวว่า แม่สี คือสีขั้นต้นที่ผสมกันให้เป็นสีต่าง ๆ แต่ไม่ มีสีใดที่จะผสมกันให้เป็นแม่สีได้ ซึ่งได้แก่ สีแดง สีเหลือง และสีน้ำเงิน ผดุง พรมมูล และคณะ (2545, หน้า 14) กล่าวว่า แม่สี ในทางศิลปะ หมายถึง สีแท้ที่ไม่ได้ เกิดจากการรวมตัวของสีใด ๆ มี 3 สี คือ สีแดง สีเหลือง และสีน้ำเงิน หากนำแม่สีมาผสมกันจะเกิดสีใหม่ 3 สี ได้แก่ สีแดงผสมสีน้ำเงินเป็นสีม่วง สีเหลืองผสมสีน้ำเงินเป็นสีเขียว และสีเหลืองผสมสีแดงเป็นสีส้ม สุรยุทธ พันธ์เผือก (2554, หน้า 10)แม่สี หมายถึง วัตถุที่มีสีอยู่ในตัว นำมาระบาย ทา ข้อม และผสมได้ เพราะมีเนื้อสีเป็นตัวของมันเอง สามารถนำมาผสมกันได้เป็นสีอื่นอีกมากมาย แต่ไม่มีสีใดผสม กันแล้วเกิดเป็นแม่สีได้ ประกอบด้วย สีแดง สีเหลือง และสีน้ำเงิน สรุปได้ว่า แม่สี คือสีแท้ที่ไม่ได้เกิดจากการรวมตัวของสีใด ๆ แต่เมื่อนำแม่สีมาผสมกัน จะ ทำให้เกิดสีอื่น ๆ ได้อีกมากมาย เม่สีมี 3 สี ได้แก่ สีแดง สีเหลือง และสีน้ำเงิน ในการผสมสีหากนำสีแดง ผสมกับสีเหลือง จะได้สีส้ม สีเหลืองผสมกับสีน้ำเงิน จะได้สีเขียว และสีน้ำเงินผสมกับสีแดง จะได้สีม่วง 4.5 น้ำหนักของสี ณรงค์ ทองปาน (2526, หน้า 87) กล่าวว่า น้ำหนักของสี คือ ความอ่อนแก่ของสี ซึ่ง สามารถทำให้ภาพเกิดความกลมกลืน และนุ่มนวล ธวัชชานนท์ ตาไธสง (2546, หน้า 38) กล่าวว่า น้ำหนักของสี หมายถึง สีซึ่งสัมพันธ์กับ ความเบา - หนัก หรืออ่อน - แก่ หรือความสว่าง - มืด สกนธ์ ภู่งามดี (2548, หน้า 35) กล่าวว่า การสร้างน้ำหนักอ่อน-แก่ด้วยสี จะทำให้เกิดกาพ 3 มิติ ที่มีความตื้น-ลึก และใกล้ - ไกล การใช้สีเพื่อสร้างน้ำหนักสามารถทำได้โดยใช้สีเดียวกันแต่ต่าง น้ำหนักกัน หรือใช้หลายสีก็ได้ ในการสร้างน้ำหนักโดยใช้สีเดียวนั้นจะใช้สีขาวผสมกับเนื้อสี เพื่อให้สีนั้น ๆ มีน้ำหนักอ่อนลง และใช้สีดำผสมกับเนื้อสีเพื่อเพิ่มน้ำหนักให้สีนั้น 1 ส่วนน้ำหนักด้วยสีหลายสีสามารถทำ ได้โดยการเปรียบเทียบน้ำหนักของสีต่าง ๆ ที่ต้องการใช้ รงค์ ประกาสะโนบล (2552, หน้า 42-43) กล่าวว่า น้ำหนักของสีมีความเกี่ยวข้องกับการ ระบายแสงเงาในภาพ สีที่มีน้ำหนัก เช่น สีม่วงสีแดง สีเขียวเข้ม สีน้ำตาล จะเป็นสีที่แสดงความแตกต่าง ระหว่างการระบายสีให้เข้มและอ่อนได้อย่างชัดเจนเมื่อระบายสีนั้นให้เข้มก็จะแสดงถึงความเป็นเงาได้ เมื่อระบายสีนั้นให้อ่อนก็แสดงถึงส่วนที่เป็นแสงในภาพได้ สีที่ไม่มีน้ำหนัก เช่น สีเหลือง สีเขียวอ่อน สีส้ม สีฟ้า เมื่อระบายสีนั้นให้เข้มและอ่อนจะดูคล้ายกัน ไม่แสดงความแตกต่างอย่างชัดเจน การใช้สีที่ไม่มี น้ำหนักระบายพื้นหลังของภาพ จะช่วยเน้นจุดเด่นของภาพซึ่งระบายด้วยสีที่มีน้ำหนักให้โดดเด่นชัดเจน ขึ้น ในขณะที่การใช้สีที่มีน้ำหนักระบายพื้นหลังของภาพ จะช่วยเน้นจุดเด่นของภาพซึ่งระบายด้วยสีที่ไม่มี


26 น้ำหนัก ให้โดดเด่นขึ้นเช่นกัน ดังนั้นการสร้างสรรค์งานศิลปะจึงควรเลือกใช้สีที่มีน้ำหนักและสีที่ไม่มี น้ำหนักให้เหมาะสมกับงาน สมภพ จงจิตต์โพธา (2552, หน้า 62) กล่าวว่า น้ำหนักของสี หรือค่าของสี หมายถึง ความ มืดหรือความสว่างของสี ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า น้ำหนักของสี คือ ความอ่อนแก่ของสี ซึ่งสามารถทำให้ภาพเกิดความ กลมกลืน นุ่มนวล ทำให้เกิดแสง-เงา ระยะ ความตื้น-ลึก และสร้างจุดเด่นให้กับภาพได้การสร้างสรรค์งาน ศิลปะจึงควรเลือกใช้สีที่มีน้ำหนักต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับงาน 4.6 วรรณะสี ณรงค์ ทองปาน (2526, หน้า 87) กล่าวว่า วรรณะของสี แบ่งได้เป็น 2 วรรณะ คือ 1. สีอุ่น (warm tone)คือสีที่กระตุ้นประสาทตาให้เกิดความกระปรี้กระเปร่าและ อบอุ่น ได้แก่ สีแดง สีม่วงแดง สีส้ม สีส้มแดง และสีม่วง 2. สีเย็น (cool tone) คือสีที่ให้ความรู้สึกเย็นตา สงบ ลดความตื่นเต้น ได้แก่ สีน้ำเงิน สีม่วงน้ำเงิน สีเขียว สีเขียวน้ำเงิน และสีเขียวเหลือง ชลูด นิ่มเสมอ (2539, หน้า 61) กล่าวว่า วงสีธรรมชาติ สามารถแบ่งสีได้เป็น 2 กลุ่ม คือ 1. สีวรรณะอุ่น ได้แก่ เหลืองส้ม ส้ม แดงส้ม แดงม่วงแดง และม่วง 2. สีวรรณะเย็น ได้แก่ เหลืองเขียว เขียว น้ำเงินเขียว น้ำเงิน ม่วงน้ำเงิน และม่วงโดยที่ สีม่วงและสีเหลือง เป็นสีที่อยู่ในวีรรณะกลาง ๆ ถ้าอยู่ในกลุ่มของสีอุ่นก็จะอุ่นด้วย ถ้าอยู่ในกลุ่มของสีเย็น ก็จะเย็นด้วย วิโชด มุกคามฉี (2551, หน้า 13) กล่าวว่า สีวรรณะร้อน คือสีที่ให้ความรู้สึกตื่นเต้น ร้อนแรง และอบอุ่น ส่วนสีวรรณะเย็น คือ สีที่ให้ความรู้สึกเย็น นิ่ง สงบ สดชื่น และสบาย จากข้อมูลข้างต้น รูปได้ว่า สี สามารถแบ่งตามการแสดงผลต่ออารมณ์ความรู้สึกได้ เป็น 2 วรรณะ คือ สีวรรณะร้อน และสีวรรณะเย็น โดยสีวรรณะร้อน คือสีที่ให้ความรู้สึก ตื่นเต้น ร้อนแรง และ อบอุ่น เช่น สีแดง สีส้ม สีม่วงแดง สีส้มแดง สีม่วง สีน้ำตาล เป็นต้น สีวรรณะเย็น คือ สีที่ให้ความรู้สึกเย็น นิ่ง สงบ สดชื่น สดใส และสบาย เช่น สีฟ้า สีเขียว สีน้ำเงิน สีม่วงน้ำเงิน สีเขียวน้ำเงิน และสีเขียวเหลือง 4.7 การระบายสี สุรพล ขันธศุภ (2531, หน้า 5) กล่าวว่า การระบายสี คือ การทา ระบายสลัด แต้ม ฯลฯ ด้วยสีชนิดต่าง ๆ


27 ชลูด นิ่มเสมอ (2539, หน้า 60) ได้ให้ข้อเสนอแนะว่า การใช้สีได้เหมาะสมกับภาพเป็นสิ่ง หนึ่งที่ช่วยทำให้ภาพสวยงาม การใช้สีมีอยู่ 2 วิธีใหญ่ ๆ คือ การใช้สีกลมกลืน และการใช้สีตัดกัน ซึ่งขึ้นอยู่ กับจุดมุ่งหมายของศิลปินแต่ละคนในแต่ละงาน ผดุง พรมมูล และคณะ (2545, หน้า 1 1) กล่าวว่า การระบายสี หมายถึง การลงสีภาพ ด้วยการระบาย ฝน โดยใช้พู่กัน หรือวัสดุที่ใช้เขียน ระบายทับไปในภาพให้ทั่วบริเวณ สกนธ์ ภูงามดี (2548, หน้า 79-82) การใช้สี แบ่งออกเป็น 3 ลักษณะหลัก ได้แก่ 1. การใช้สีเหมือนแบบที่มองเห็น คือการใช้สีเหมือนจริง 2. การใช้สีตามหลักการใช้สี ได้แก่ การใช้สีกลมกลืนกัน การใช้สีตรงข้าม การใช้สี สมดุล และการใช้สีเป็นคู่ 3. การใช้สีตามทรรศนะของศิลปิน สกนธ์ ภู่งามดี (2548, หน้า 56-61) ได้กล่าวถึงเทคนิควิธีการระบายสีไว้อย่างหลากหลาย ดังนี้ 1. การระบายสีครั้งเดียวเสร็จ หมายถึง การระบายสีเสร็จทันทีเพียงครั้งเดียวโดยไม่ ระบายช้ำหรือเกลี่ยสีแต่อย่างใด 2. การระบายสีเรียบกลมกลืน หมายถึงการระบายสีเก็บรายละเอียดจนสีกลมกลืน 3. การระบายสี โดยไม่เกลี่ยให้กลมกลืนกัน โดยการจุด หรือขีดสีเป็นเส้น ๆ 4. การระบายสีแสดงลีลารอยพู่กัน หมายถึงการระบายสีที่มีความหนาของเนื้อสี ปรากฏไว้บนผลงานให้เห็นเป็นรอยแปรง 5. การระบายสี โดยลงสีพื้นไว้ก่อน หรือลงสีส่วนรวมไว้ก่อนเพื่อให้ภาพดูกลมกลืน 6. การระบายสีด้วยสีผสมแสดงน้ำหนัก หมายถึง การระบายสีที่เปลี่ยนค่าน้ำหนักของ สีโดยการผสมสีเข้มหรือสีอ่อนลงในสีต่าง ๆ ที่ต้องการ 7. การระบายสีด้วยนิ้วมือ หมายถึง การระบายสีที่ใช้นิ้วมือแทนพู่กันหรืออุปกรณ์อื่น ๆ 8. การระบายสีขอบคม หมายถึง การระบายสีที่เน้นความคมชัดระหว่างเส้นรอบนอก ของรูปกับพื้นหลัง 9. การระบายสีเป็นจุด หมายถึงการใช้สีแต้มเป็นจุด 10. การระบายสีและขูดพื้นภาพ หมายถึงการระบายสีที่พื้นหลังแล้วรอให้สีแห้ง จากนั้นระบายสีทับอีกชั้นแล้วรอให้แห้งเช่นกัน แล้วใช้อุปกรณ์ขูดขีดเป็นร่องรอยหรือเส้น


28 จากข้อมูลดังกล่าว สามารถสรุปได้ว่า การระบายสี คือ การทา ระบาย สลัด แต้ม ฝน ตวัด หรือจุดด้วยสีชนิดต่าง ๆ ลงบนชื้นงาน ซึ่งอาจใช้เทคนิควิธีการที่หลากหลายมาช่วยในการสร้างความ น่าสนใจให้กับภาพ โดยอยู่บนพื้นฐานของหลักการใช้สีซึ่งมีอยู่ 4 วิธีใหญ่ ๆ คือ การใช้สีเหมือนจริง การใช้ สีตามทรรศนะของศิลปิน การใช้สีกลมกลืน และการใช้สีตัดกัน ทั้งนี้ย่อมขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมายของศิลปีน และสิ่งที่ต้องการสื่อความหมาย 4.8 คุณสมบัติของสี โกศล พิณกุล (2545: 6) ให้แนวคิดเกี่ยวกับความหมายของสีน้ำว่า สีน้ำ (Watercolor) หมายถึง การใช้เนื้อสีต่าง ๆ ที่บรรจุมาในหลอด ในตลับหรือลักษณะบรรจุภัณฑ์อื่น ๆ เมื่อจะใช้ต้องมา ละลายด้วยน้ำหรือผสมน้ำนั้นผลที่ได้จากการผสมน้ำนั้นย่อมส่งผลให้ผลงานที่เกิดมีลักษณะเป็นไปตามตัว น้ำกับสี กล่าวคือ ถ้าผสมน้ำมากจะเหลว เนื้อสีมีน้อย เมื่อระบายจะปรากฏสีจางๆ ส่วนมากจะใช้ระบาย บริเวณพื้นหรือแสดงระยะไกล ๆ ของภาพ ส่วนที่ใช้เป็นสว่างหรือสีอ่อน การ สังเกดว่าสีกับน้ำเหลว เพียงใด ให้จุ่มพู่กันลงในสีที่ละลายน้ำแล้ว ยกพู่กันขึ้นให้ปลายพู่กันห้อยดิ่งจะหยดจากขนพู่กันทันทีแสดง ว่าสีเหลวในทางกลับกันจุ่มขนพู่กันลงในสีแล้วยกขึ้นนับ 1-2-3 ติดกัน สียังไม่ไหลหยดลงมาแสดงว่าสีข้น หรือนับ1-2-3 แล้วสีไหลทันทีแสดงว่าข้นปานกลางถือเป็นการทดสอบแบบง่ายๆถ้าผสมน้ำไม่มากสีก็จะ ข้น เหมาะสำหรับระบายแสดงความเข้มข้นของสิ่งต่าง ๆ หรือระบายทับสีอ่อนเพื่อแสดงน้ำหนักของสีหรือ ลำดับสี (Gradation) การผสมสีด้วยน้ำเพื่อให้สีขันนั้นมีทั้งขันมากถึงปานกลาง การนำไประบายก็เป็น ลักษณะเดียวกัน คือ การเน้นสีบนภาพ ซึ่งมีทั้งการเน้นแบบให้สีอยู่ที่เดียวหรือให้ซึมเข้าหาสีอื่น ๆ ที่ เรียกว่า สีแห้งบนสีเปียก อย่างนี้เป็นต้นเมื่อเข้าใจว่าสีน้ำ คือสีที่ละลายด้วยน้ำแล้ว การนำมาสร้างงานนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับการควบคุมน้ำและสี ภาพที่เกิดจะเป็นมิติลึกตื้นเพียงใด ย่อมขึ้นอยู่กับการใช้สีในส่วนนี้เอง การรู้จักควบคุมสีกับน้ำได้ย่อมควบคุมการระบายสีให้เป็นรูปที่ต้องการได้ มีคำกล่าวว่า การรู้จักควบคุมสี น้ำได้จะรู้รักควบคุมตัวเองได้ อารี สุทธิพันธ์ (2535: 3 - 9) ได้กล่าวถึงแนวคิดเกี่ยวกับความเข้าใจเรื่องสีน้ำว่ามนุษย์มี ความคิดสร้างสรรค์ติดตัวมาทุกคน เสมือนเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย เช่น แขน ขา ดังนั้น มนุษย์จึง รู้จักนำ ความคิดสร้างสรรค์ไม่ใช้ถ่ายทอดธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรอบตัวตามคุณค่าและปริมาณที่ตนมีความ ประทับใจและการรับรู้ตามธรรมชาติของมนุษย์เกือบทุกยุคทุกสมัยตลอดมาก จากการลองผิดลองถูก การสังเกต การผจญภัย และการแสวงหา อยากรู้อยากเห็นของ มนุษย์ สั่งสมประกอบเป็นประสบการณ์ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทำให้มนุษย์เลือกอย่างเสรีได้ว่าสื่อ วัสดุ ประเภทไหนจะก่อให้เกิดรูปแบบที่มองเห็นได้น่าดู สอดคล้องกับเหตุการณ์และเรื่องราวได้ดีกว่า กันและ


29 ยังสามารถสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างมนุษย์ได้ตรงกันด้วย ดังนั้นการรับรู้และการตอบสนองในเชิง ลักษณะรูปแบบที่มองเห็นของมนุษย์ จึงเป็นผลลัพธ์ที่ประกอบด้วยการผสมของมือตา ความคิดสร้างสรรค์ สื่อวัสดุ และความรู้สึกที่สัมพันธ์กันอย่างกลมกลืนเป็นอย่างดี ลักษณะ รูปแบบที่มนุษย์รู้จักถ่ายทอดใน สมัยแรก ๆ ส่วนมากเป็นรูปแบบของการพิมพ์ และการวาดเขียนโดยใช้เส้นเป็นแกนนำ มุ่งสนองความเชื่อ ตามสังคมที่ยอมรับกัน ต่อมารูปแบบเหล่านี้ได้รับการพัฒนาและปรับปรุงให้เหมาะสมสอดคล้องกับ ความก้าวหน้าของวัสดุและหน้าที่ใช้สอยตามที่มนุษย์เห็นว่าจำเป็น ดังนั้น สีน้ำจึงเป็นผลผลิตใหม่สำหรับ สังคมที่ส่งเสริมให้การพิมพ์และการวาดเขียนมีค่ายิ่งขึ้น สีน้ำเป็นวัสดุที่ใช้เป็นสิ่งถ่ายทอดความรู้สึกของมนุษย์ด้วยลักษณะในตัวของมันเองและ ช่วยประกอบให้การวาดเขียนและการพิมพ์มีความสมบูรณ์ ทั้งนี้เพราะเหตุว่า การวาดเขียนก็ดี การ พิมพ์ ก็ดี ย่อมมีขีดจำกัดในลักษณะเฉพาะของมันเอง เช่นช่วยให้รูปแบบการถ่ายทอดนั้นรู้ว่าอะไรเป็นอะไร มุ่ง สนองความเชื่อด้านไหน แต่เมื่อมนุษย์สร้างสรรค์คิดคันสีน้ำมาใช้เป็นสื่อได้ใหม่ สีน้ำจึง มีบทบาทเป็นตัว เสริมสร้างบรรยากาศ ให้รูปแบบที่ถ่ายทอดนั้นๆมีเสน่ห์มากขึ้น จนถึงกับทำให้เกิดความเชื่อว่า การ ถ่ายทอดธรรมชาติให้เป็นรูปแบบโดยปราศจากบรรยากาศนั้นไม่ต่างอะไรกับกระดาษเปื้อนสี หาได้แสดง ความรู้สึกอย่างใดไม่ 4.9 อุปกรณ์สีน้ำ อารี สุทธิพันธ์ (2543: เอกสารประกอบการสอน) กล่าวถึง สื่อ วัสดุ อุปกรณ์ในการระบาย สีน้ำว่า สื่อ วัสดุ หมายถึง สิ่งที่นำมาใช้ระบายสี ซึ่งได้แก่ สี น้ำ กระดาษ สามารถสิ้นเปลืองหมดไป ตรงข้ามกับอุปกรณ์ซึ่งไม่สิ้นเปลือง มีความคงทนถาวรตามคุณสมบัติของอุปกรณ์นั้น ๆ 1. สี มีคุณสมบัติทั่วไปคือ 1) สามารถผสมกับสีอื่นเกิดเป็นใหม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสีแท้ (Hue) 2) สามารถเปล่งกำลังส่องสว่างให้รู้สึกเด่นใกล้ไกลได้ ทั้งโดยตัวของสีเองหรือเสริมด้วยสีอื่น ๆ หรือ ผสมด้วยสีดำหรือสีขาวให้เกิดกำลังส่องสว่าง (Intensity) และจานระบายสีมักเป็นสีขาวเพื่อช่วยให้เห็น การผสมน้ำได้ดีตามที่ต้องการชัดเจนขึ้น 2. จานสำหรับผสมสี (Palatte) เป็นวัสดุที่ทำด้วยเซรามิกหรือพลาสติก มีรูปร่างต่าง ๆ กัน จานที่ทำด้วยเซรามิกจะมีความคงทนถาวรกว่าและสีน้ำไม่สามารถซึมเข้าเนื้อจานได้ จานระบาย สีมักเป็น สีขาว เพื่อช่วยให้เห็นการผสมน้ำได้สีตามที่ต้องการชัดเจน 3. กระดานรองเขียน จำเป็นมาก เนื่องจากเวลากระดาษถูกน้ำจะยึดและไม่มีความแข็งแรง จึงต้องมีกระดาษรองเขียน ขนาด 18" x 24" เพื่อรองกระดาษเวลาระบายสีและหากเป็นกระดาษวาด


30 เขียนที่ไม่หนา จำเป็นต้องขึงกระดาษบนกระดาษรองเขียนด้วยกระดานรองเขียนควรมีหลายๆ แผ่น เพราะจะช่วยป้องกันเวลาไประบายสีนอกชายคา จะได้ไม่ทำลายรูปสีที่ระบายแล้วนั้นโดยใช้สองแผ่นเปิด หน้าเข้าหากัน 4. พู่กันระบายสีน้ำ มีลักษณะต่าง ๆ กัน คือพู่กันกลม พู่กันแบน พู่กันฟิลเนอร์ด พู่กันเล็ก ยาว ขนพู่กันที่อุ้มน้ำได้ดีความเป็นขนสัตว์ พู่กันกลมสำหรับระบายทั่ว ๆ ไปและพู่กันเล็กยาวสำหรับเน้น และตัดเส้น 5. กระดาษวาดเขียน โดยมั่วไปจะมีความหนาเรียกเป็นปอนด์ เช่น 100 ปอนด์ 180 ปอนด์ 200 ปอนด์ 400 ปอนด์ ซึ่งจะแสดงความหนาบางตามลำดับ 400 ปอนด์ ย่อมหนากว่า 100 ปอนด์ กระดาษวาดเขียนโดยปกติจะมีลักษณะหยาบด้านหนึ่งและเรียบอีกด้านหนึ่ง ด้านหยาบใช้สำหรับระบายสี 6. ที่ใส่น้ำระบายสี ควรมีอย่างน้อย 2 ช่อง คือ ช่องหนึ่งสำหรับใส่น้ำล้างพู่กัน อีกช่องหนึ่ง สำหรับใส่น้ำผสมสี น้ำสำหรับผสมสีควรเป็นน้ำสะอาด เพื่อจะได้ไม่ทำให้เปลี่ยนเวลาผสมสี และหาก ต้องการคุมให้แห้งช้าหรือเร็วก็สามารถทำได้โดยการเติมแอลกอฮอล์ในน้ำสำหรับผสมนี้ เมื่อ ต้องการให้ แห้งเร็ว หากต้องการให้แห้งช้าก็เติมกลีเซอรีน เป็นต้น 7. ผ้าเช็ดสี กระดาษเช็ดสี และสื่อวัสดุอื่น ๆ เกลือ น้ำตาล กาว เทป ฯลฯ หากนำไปเขียน นอกสถานที่อาจต้องมีขาหยั่งด้วย สรุปได้ว่า สีน้ำเป็นสื่อวัสดุที่มีองค์ประกอบสำคัญ คือ วัสดุ อุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น กระดาษ สี น้ำ พู่กัน ซึ่งจะขาดเสียมีได้ 5. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 5.1 งานวิจัยในประเทศ ลักขณา โพธิสุทธิ์และคณะ (2555 : บทคัดย่อ) ได้ศึกษาการพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง การวาดภาพระบายสีกลุ่มสาระการเรียนรูศิลปะ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 4 ผลการวิจัย พบว่า ชุดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่อง การวาดภาพระบายสีกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะสำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 83.29/86.24 ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ที่เรียนด้วยชุด กิจกรรมการเรียนรู้หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มุทิตา อังคุระษี (2558 : 113-114) พัฒนาแบบฝึกทักษะเรื่องสีและการระบายสีกลุ่ม


31 สาระการเรียนรู้ศิลปะ สำหรับนักเรียนชันประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนคลองสำโรง ผลการศึกษาพบว่า แบบฝึกทักษะเรื่องสีและการระบายสี กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะสำหรับนักเรียนชันประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนคลองสำโรง มีคุณภาพในระดับดีมาก และมีประสิทธิภาพ 82.91/82.80และผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนของนักเรียน A ที่เรียนโดยการจัดการเรียนรู้ที่ใช้แบบฝึกทักษะเรื่องสีและการระบายสี สูงกว่า นักเรียนที่เรียนโดยการจัดการเรียนรู้ตามปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ชัยวัฒน์ ผดุงพงษ์ (2543: บทคัดย่อ ได้ทำการวิจัยเรื่อง การศึกษาการแสดงออกทางศิลปะ โดยการวาดภาพระบายสีของนักเรียนไทยมุสลิม อายุ 7 ถึง 9 ปี ในโรงเรียนประถมศึกษาสังกัดสำนักงาน คณะกรรมการศึกษาเอกชน จังหวัดชายแดนภาคใต้ ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนไทยมุสลิมสามารถวาดภาพ ระบายสีได้ตามทฤษฎีของวิคเอร์โลเวนเฟลด์ ในขั้นที่ 3 คือด้านวาดภาพได้คล้ายของจริง ดังนี้ 1. ด้านการวาดภาพคน ลักษณะที่นักเรียนไทยมุสลิมแสดงออกได้มากที่สุด คือ การ วาดภาพคนเฉพาะด้านหน้า คิดเป็นร้อยละ 90.47 และแสดงออกน้อยที่สุดคือ วาดภาพส่วนที่เน้นให้เห็น ว่า สำคัญให้มีขนาดใหญ่ สิ่งที่เห็นว่าไม่สำคัญจะวาดขนาดเล็ก คิดเป็นร้อยละ 13.33 2. ด้านการใช้พื้นที่ว่าง ลักษณะที่นักเรียนไทยมุสลิมแสดงออกได้มากที่สุดคือ วาดภาพ ที่มีลักษณะแบบราบแบบ 2 มิติ คิดเป็นร้อยละ 95.23 แสดงออกน้อยที่สุดคือ วาดภาพแบบพับกลางหรือ ที่มองเห็นทะลุภายในคิดเป็นร้อยละ 21.26 3. ด้านการใช้สี ลักษณะที่นักเรียนไทยมุสลิมแสดงออกได้มากที่สุดคือ การระบายสี แบบอิสระคิดเป็นร้อยละ 92.96 และแสดงออกน้อยที่สุดคือ ระบายสี ตกแต่งบนเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย หรือรายละเอียดอื่น ๆ ในภาพ คิดเป็นร้อยละ 21.26 4. ด้านการออกแบบ ลักษณะที่นักเรียนไทยมุสลิมแสดงออกได้มากที่สุด คือ วาดภาพ แสดงออกโดยอดิสระและเป็นตัวของตัวเอง คิดเป็นร้อย 97.46 แสดงออกน้อยที่สุดคือ วาดภาพมีรูปแบบ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของสิ่งต่าง ๆ หรือเครื่องประดับต่าง ๆ เช่น เครื่องใช้ ทรงผม กำไล คิดเป็นร้อยละ 13.65 5.2 งานวิจัยต่างประเทศ เดอเพอร์เตอร์และคราฟานอห์ (อ้อยทิพย์ พลศรี. 2533: 31; อ้างอิงจาก Deporter;&Kavanaug . 1972: 43 - 48 ได้วิจัยเกี่ยวกับ "ขอบข่ายของความเฉียบไวด้านการรับรู้รูปแบบ ของจิตรกรรม" โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 อายุระหว่าง 9 - 14 ปี ส่วนกลุ่มเด็กโตอายุระหว่าง13 - 14 ปี เครื่องมือที่ใช้ในการทดสอบคือภาพถ่ายของจิตรกรรมตะวันตก ขนาด 4" x 6" ปิดรายชื่อของศิลปิน ไม่ให้เด็กเห็น ในการทดลองแต่ละครั้งจะให้ภาพคนละ 1 ชุด ๆ ละ 6 ภาพ 2 ภาพที่มาจากศิลปินคน


32 เดียวกัน ซึ่งใช้เป็นภาพตัวอย่าง ส่วนอีก 4 ภาพนั้นเป็นภาพที่จะให้เด็กเลือก จะมีภาพจิตรกรรมจากศิลปิน เดียวกันภายในชุดตัวอย่าง 1 ภาพผสมอยู่ในกลุ่มให้เลือกนี้แล้ว ผู้วิจัยถามเหตุผลทำไมเลือกภาพนั้น ได้ผล สรุปที่น่าสนใจว่า ในการให้เหตุผลเด็กเล็กจะระบุเนื้อเรื่องเป็นสำคัญ ในขณะที่เด็กโตกว่าจะระบุไปในด้าน รูปแบบหรือสไตล์และวิธีนี้ยืนยันว่าการที่เด็กมีความเฉียบไวสูงมิใช่เพราะเจริญวัยพัฒนาขึ้นเท่านั้น แต่ สาเหตุของการได้รับการสนับสนุนสร้างเสริมประสบการณ์การรับรู้ทาง การเห็นทางศิลปะวัฒนธรรมเป็น สาเหตุสำคัญ พาร์ริเซอร์ (รัซนีกร ไพศาล. 2547: 69; อ้างอิงจาก Pariser. 1979) ศึกษาวิจัยเรื่อง Two Method of Teaching Drawing Skill ทำการศึกษาพฤติกรรมการวาดรูปของเด็ก ว่าการวาดภาพของ เด็กในชั้นประถมศึกษานั้น มีการพัฒนาเช่นไร ทำเช่นไรจึงจะวาดรูปได้คล่องแคล่วและวาดได้อย่างเสรีโดย ใช้วิธีการวาดภาพ 2 วิธี ในการรวบรวมข้อมูล วิธีแรกคือ การวาดภาพวัตถุจริงโดยให้เด็กมองแต่วัตถุที่เป็น แบบอย่างระมัดระวังแล้วค่อยๆ ถ่ายทอดรูปแบบลงบนกระดาษโดยไม่มองที่กระดาษ (Blind Contour) กับวิธีที่สองคือ การวาดแบบลอกเลียน (Copying) โดยใช้รูปสัตว์ ซึ่งเขียนแบบลายเส้นที่ผู้วิจัยวาดตาม ภาพพิมพ์ของศิลปินเยอรมันชื่อ ดือเรอร์ (Curer) ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มทดลองการวาดภาพในลักษณะ รับรู้ถ่ายทอดจากวัตถุจริงนั้น มีลักษณะทั้งการวาดแสดงการถ่ายทอด จากรูปแบบที่เด็กเคยเห็นมาก่อน เช่น วาดรูปกระต่ายคล้ายกระต่ายที่เห็นในหนังสือการ์ตูน ส่วนการวาดภาพของเด็กในกลุ่มทดลองที่ใช้ วิธีการวาดลอกเลียนแบบรูปวาดของดือเรอร์นั้น พบพฤติกรรมที่คล้ายคลึงกัน คือมีทั้งการลอกเส้น รูปแบบตามที่เห็นในรูปตัวอย่าง และรูปวาดที่เด็กบางคนวาดในลักษณะแทรกเสริมประสบการณ์จากการ รับรู้ในชีวิตจริงของเด็กลงรูป เช่น เปลี่ยนแปลงลวดลายในบางส่วนของตัวสัตว์ในลักษณะแสดงออก เฉพาะตัวของเด็ก บางคนเติมสิ่งแวดล้อม เช่น ต้นไม้ หรือทิวทัศน์ประกอบลงในภาพ เบอร์ตัน (ธานินทร์ ศรีภาวินทร์. 2546: 58; อ้างอิงจาก Berton. 1981) ได้วิจัยเรื่องการใช้ เส้น การจัดพื้นที่และความหมายในภาพคนของเด็กอาย 8 - 15 ปี โดยผู้วิจัยได้ศึกษาการใช้เส้นลักษณะ แรงาในการวาดภาพ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ศึกษาคือนักเรียนอายุ 8 - 15 ปี ในบอสตัน โดยให้เด็กวาดภาพคน จากความทรงจำและวาดจากการสังเกตซึ่ง ผู้วิจัยจะสัมภาษณ์เด็กเกี่ยวกับการใช้เส้นและความหมายของ เส้น ผลการวิจัยพบว่า 1. เด็กวาดภาพจากความทรงจำจะใช้เส้นและใช้พื้นที่ว่างได้ไม่ดีเหมือนกับการวาด ภาพจากการสังเกต 2. การวาดภาพจากความทรงจำและการวาดภาพจากการสังเกตสามารถแสดงลักษณะ สามมิติได้เหมือนกัน โดยเฉพาะด้านความหนาหรือความลึก


33 3. การวาดภาพคนที่มีรูปคล้ายกันแต่การแสดงลักษณะสามมิติและแรเงา เด็กโตจะ วาดภาพได้ดีกว่า 4. แนวคิดในการใช้เส้น การใช้พื้นที่ว่าง สัดส่วน แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของแต่ ละคน จากการศึกษาแนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องสามารถสรุปได้ว่า การจัดกิจกรรม การเรียนรู้โดยใช้แบบลงมือปฏิบัติของเดวีส์ สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาทักษะการเขียน ภาพเหมือนได้ ดังนั้นผู้วิจัยจึงนำแนวคิดดังกล่าวมาใช้เป็นแนวทางในการเขียนภาพเหมือน เรื่อง การ เปรียบเทียบทักษะการเขียนภาพเหมือนจริงด้วยสีน้ำ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติของเดวีส์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3


บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. เพื่อเปรียบเทียบทักษะการเขียนภาพเหมือนจริงด้วยสีน้ำ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติของเดวีส์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 2. เพื่อ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาทัศนศิลป์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้การจัดการ เรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติของเดวีส์ ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน ทั้งนี้ ผู้วิจัยได้ดำเนินตามขั้นตอน ดังต่อไปนี้ คือ ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง แบบแผนการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การเก็บรวบรวม ข้อมูล และการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ กลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/13 ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2566 โรงเรียนสตรีราชินูทิศ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี เขต 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษามัธยมศึกษาอุดรธานี เขต 20 ได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) 1 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 43 คน รูปแบบในการทดลอง ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ใช้รูปแบบในการทดลองแบบกลุ่มเดียว (One Group PretestPosttest Design) โดยมีการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน ดังนี้ (พวงรัตน์ ทวีรัตน์, 2540 : 60) T1 X T2 T1 แทน การทดสอบก่อนเรียน (Pretest) X แทน จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบลงมือปฏิบัติของเดวีส์ T2 แทน การทดสอบหลังเรียน


35 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. ประเภทของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้ ประกอบด้วย 1.1 แผนการจัดการเรียนรู้วิชาทัศนศิลป์ เรื่องการเขียนภาพรูปแบบเหมือนจริงด้วยสีน้ำ โดยใช้การจัดการเรียนรู้โดยรูปแบบการเรียนทักษะปฏิบัติของเดวีส์ จำนวน 5 แผน ได้แก่ 1. แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง สร้างสรรค์งานจุด 2. แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง สร้างสรรค์งานเส้น 3. แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง การไล่น้ำหนักสี 4. แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 เรื่อง หลักการออกแบบ 5. แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 9 เรื่อง การเขียนภาพเหมือนจริงด้วยสีน้ำ 1.2 แบบทดสอบวัดวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการเขียนภาพรูปแบบเหมือนจริงด้วยสี น้ำ ทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน แบบอัตนัย จำนวน 1 ชุด 1.3 แบบประเมินทักษะ เรื่องการเขียนภาพรูปแบบเหมือนจริงด้วยสีน้ำ โดยใช้เกณฑ์การ ประเมิน (Rubric Score) จำนวน 1 ฉบับ 2. การสร้างและการหาคุณภาพของเครื่องมือ การสร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย มีรายละเอียด ดังนี้ 2.1 แผนการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้วิชาทัศนศิลป์ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติของเดวีส์มีขั้นตอนการดำเนินการ ดังนี้ 2.1.1 ศึกษาทฤษฎี หลักการ และแนวคิดที่เกี่ยวกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ การจัดการเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติของเดวีส์ 2.1.2 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 หลักสูตร สถานศึกษา คู่มือครู แบบเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ของกระทรวงศึกษาธิการและเอกสารที่เกี่ยวข้อง 2.1.3 วิเคราะห์ 2.1.4 สร้างแผนการจัดการเรียนรู้วิชาทัศนศิลป์ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การ จัดการเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติของเดวีส์เรื่องการเขียนภาพรูปแบบเหมือนจริงด้วยสีน้ำ แผนละ 2 ชั่วโมง ต่อสัปดาห์ จำนวน 5 แผน ใช้เวลา 10 ชั่วโมง ซึ่งมีสาระการเรียนรู้ ดังนี้


36 2.1.4.1 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง สร้างสรรค์งานจุด เวลา 2 ชั่วโมง 2.1.4.2 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง สร้างสรรค์งานเส้น เวลา 2 ชั่วโมง 2.1.4.3 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง การไล่น้ำหนักสี เวลา 2 ชั่วโมง 2.1.4.4 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 เรื่อง หลักการออกแบบ เวลา 2 ชั่วโมง 2.1.4.5 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 9 เรื่อง การเขียนภาพเหมือนจริงด้วยสีน้ำ เวลา 2 ชั่วโมง ซึ่งแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ ประกอบด้วย สาระสำคัญ จุดประสงค์การเรียนรู้(ราย ชั่วโมง) สาระการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ และการวัดและประเมินผล 2.1.5 ปรับปรุงแก้ไขแผนการจัดการเรียนรู้วิชาทัศนศิลป์ ตามข้อเสนอแนะ 2.1.6 นำแผนการจัดการเรียนรู้วิชาทัศนศิลป์ ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรม การเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติของเดวีส์ไปใช้กับกลุ่มเป้าหมาย 2.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาทัศนศิลป์ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาทัศนศิลป์ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เรื่องการ เขียนภาพรูปแบบเหมือนจริงด้วยสีน้ำ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีลักษณะเป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบมี 4 ตัวเลือก และแบบอัตนัยเป็นใบงานวัดทักษะการวาดภาพ ในการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนวิชาทัศนศิลป์ ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างตามลำดับขั้นตอน ดังนี้ 2.2.1 ศึกษาเอกสารหลักสูตร ได้แก่ คู่มือครู คู่มือวัดและประเมินผลวิชาทัศนศิลป์ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 การสร้างตารางวิเคราะห์หลักสูตรเอกสารที่เกี่ยวข้องเทคนิคการเขียนข้อสอบ การสร้างแบบทดสอบแบบปรนัยและอัตนัยชนิดเป็นใบงานวัดทักษะการวาดภาพ 2.2.2 วิเคราะห์เนื้อหา เรื่องการเขียนภาพรูปแบบเหมือนจริงด้วยสีน้ำ เพื่อแบ่งเนื้อหา ออกเป็นเนื้อหาย่อยๆ แล้วเขียนจุดประสงค์การเรียนรู้ 2.2.3 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาทัศนศิลป์ แบบอัตนัยชนิดเป็น ใบงานวัดทักษะการวาดภาพ จำนวน 1 ชุด ให้ครอบคลุมเนื้อหาและจุดประสงค์การเรียนรู้ตามตาราง วิเคราะห์หลักสูตร 2.2.4 นำแบบทดสอบที่สร้างขึ้นเสนอต่อหัวหน้ากลุ่มสาระ เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง เหมาะสม และให้ข้อเสนอแนะในด้านความเหมาะสมของเนื้อหากับจุดประสงค์การเรียนรู้แล้วนำมา ปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะ 2.2.5 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาทัศนศิลป์ ที่ปรับปรุงแล้วไป ทดลองใช้กับกลุ่มเป้าหมายต่อไป


37 3. การเก็บรวบรวมข้อมูล การดำเนินการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยดำเนินการทดลองและเก็บข้อมูลกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 3/13 โรงเรียนสตรีราชินูทิศ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ดำเนินการทดลองและเก็บข้อมูลในแต่ละ ขั้น มีดังนี้ 1. เตรียมนักเรียนก่อนดำเนินการสอน โดยแนะนำวิธีการเรียนโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติของเดวีส์ให้นักเรียนมีความรู้การสร้างข้อตกลงเบื้องต้นเกี่ยวกับ การเรียน ขั้นตอนการเรียน และบทบาทวิธีการปฏิบัติตนในรายวิชาทัศนศิลป์ ใช้เวลา 2 ชั่วโมงในสัปดาห์ แรกก่อนทำการทดลอง 2. ทำการทดสอบก่อนเรียน (Pretest) โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา ทัศนศิลป์ ใช้เวลา 2 ชั่วโมงในสัปดาห์แรกก่อนทำการทดลอง 3. ดำเนินการทดลองจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวิชาทัศนศิลป์ โดยใช้กิจกรรม การ เรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติของเดวีส์ เรื่องการเขียนภาพรูปแบบเหมือนจริงด้วยสีน้ำ กับนักเรียนตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น จำนวน 5 แผน ใช้เวลา 10 ชั่วโมง 4. ทำการทดสอบหลังเรียน (Posttest) หลังจากการทดลองสอนสิ้นสุดลง โดยใช้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาทัศนศิลป์ ฉบับเดียวกันกับที่ใช้ทดสอบก่อนการทดลอง โดยใช้ เวลา 2 ชั่วโมง 5. นำคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและคะแนนจากแบบวัดความสามารถในการแก้โจทย์ ปัญหา โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติ ของเดวีส์ 4. การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้นำคะแนนจากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและจากแบบวัดทักษะการ เขียนภาพรูปแบบเหมือนจริงด้วยสีน้ำ มาวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการทางสถิติ ดังนี้ 1. สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ใช้ในการหาค่าร้อยละ ของทักษะการเขียนภาพรูปแบบเหมือนจริงด้วยสีน้ำและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาทัศนศิลป์ โดยใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปทางสถิติสำหรับวิเคราะห์ข้อมูลทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์ (SPSS for window)


38 2. การทดสอบสมมติฐาน นำคะแนนที่ได้จากการทำแบบทดสอบมาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา ทัศนศิลป์ และทักษะการเขียนภาพรูปแบบเหมือนจริงด้วยสีน้ำ ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนหลังจากที่ ได้รับกิจกรรมการเรียนการสอนวิชาทัศนศิลป์ โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบลง มือปฏิบัติของเดวีส์ โดยใช้การทดสอบที่ไม่อิสระ (Dependent Sample t-test) ด้วยโปรแกรม คอมพิวเตอร์สำเร็จรูปทางสถิติสำหรับวิเคราะห์ข้อมูลทางพฤติกรรมศาสตร์และสังคมศาสตร์ (SPSS for Window) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยนำข้อมูลที่ได้จากการทดลองไปวิเคราะห์ด้วยวิธีการทางสถิติต่าง ๆ ดังนี้ 1. สถิติพื้นฐาน 1.1 คะแนนเฉลี่ยใช้สูตร (ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ, 2536: 59) x̅ = ∑x N x ̅ แทน คะแนนเฉลี่ยของกลุ่ม ∑x แทน ผลรวมของคะแนนทั้งกลุ่ม N แทน จำนวนกลุ่มตัวอย่าง 1.2 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานใช้สูตร ดังนี้ (ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ, 2536 : 79) . √ 2 − () 2 ( − 1) S.D แทน ความเบี่ยงเบนมาตรฐานของคะแนน ∑x แทน จำนวนนักเรียนในกลุ่มตัวอย่าง ∑x 2 แทน ผลรวมของคะแนนทั้งกลุ่ม N แทน ผลรวมของกำลังสองของคะแนนนักเรียนแต่ละคนในกลุ่มตัวอย่าง


39 2. สถิติที่ใช้ในการหาประสิทธิภาพของเครื่องมือ 2.1 การแสดงหลักฐานความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาของแบบทดสอบ (บุญเชิด ภิญโญอนันต พงษ์, 2526 : 89) โดยใช้สูตร IOC ดังนี้ IOC = ∑R N เมื่อ IOC แทน ค่าดัชนีความสอดคล้องของข้อความนั้น ๆ ∑R แทน การรวมของคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ N แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญ 2.2 ค่าความยากง่าย (P) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.3 ค่าอำนาจจำแนก (r) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2.4 ค่าความเชื่อมั่นแบบแบบทดสอบโดยใช้สูตร สัมประสิทธิ์แอลฟ่า (α - Coefficient) ของครอนบาค (Cronbach) (ล้วน สายยศ ; และ อังคณา สายยศ. 2536 :170 - 172) α = N N − 1 (1 − ∑si 2 ∑st 2 ) เมื่อ α แทน ค่าสัมประสิทธ์ของความเชื่อมั่น N แทน จำนวนข้อสอบของแบบทดสอบ ∑si 2 แทน ความแปรปรวนของคะแนนเป็นรายข้อ ∑st 2 แทน ความแปรปรวนของคะแนนของแบบทดสอบ


บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยเรื่อง การเปรียบเทียบทักษะการเขียนภาพเหมือนจริงด้วยสีน้ำ โดยใช้การจัดการเรียนรู้ แบบลงมือปฏิบัติของเดวีส์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ผู้วิจัยนำเสนอผลการวิเคราะห์ตาม วัตถุประสงค์ของการวิจัยดังต่อไปนี้ 1. เพื่อเปรียบเทียบทักษะการเขียนภาพเหมือนจริงด้วยสีน้ำ โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบลงมือ ปฏิบัติของเดวีส์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาทัศนศิลป์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติของเดวีส์ ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน การวิจัยเรื่อง การเปรียบเทียบทักษะการเขียนภาพเหมือนจริงด้วยสีน้ำ โดยใช้การจัดการเรียนรู้ แบบลงมือปฏิบัติของเดวีส์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ผู้วิจัยได้เสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ตามลำดับ ดังนี้ 1. ลำดับขั้นตอนการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 2. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 1. ลำดับขั้นตอนการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้ดำเนินการตามลำดับ ดังนี้ ตอนที่ 1 ผลการเปรียบเทียบทักษะการเขียนภาพเหมือนจริงด้วยสีน้ำ โดยใช้การจัดการเรียนรู้ แบบลงมือปฏิบัติของเดวีส์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ตอนที่ 2 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาทัศนศิลป์ ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบลงมือปฏิบัติของเดวีส์ ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน 2. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่ 1 ผลการเปรียบเทียบทักษะการเขียนภาพเหมือนจริงด้วยสีน้ำ โดยใช้การจัดการเรียนรู้ แบบลงมือปฏิบัติของเดวีส์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3


41 ตารางที่ 1 การแสดงประสิทธิภาพกระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้รูปแบบการเรียน การสอนทักษะปฏิบัติของเดวีส์ วิชาทัศนศิลป์ เรื่องการเขียนภาพเหมือนจริงด้วยสีน้ำ สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 43 คน เลขที่ ก่อน เรียน (20) คะแนนระหว่างเรียน รวม ระหว่าง เรียน (50) หลัง เรียน (20) แผนที่ 1 (10) แผนที่ 2 (10) แผนที่ 3 (10) แผนที่ 4 (10) แผนที่ 5 (10) 1. 15 6 10 6 10 10 42 19 2. 12 10 8 6 10 8 42 18 3. 14 10 10 10 10 10 50 20 4. 15 10 10 10 10 10 50 20 5. 14 10 10 10 10 10 50 20 6. 14 10 10 10 10 10 50 20 7. 13 10 6 6 10 10 42 18 8. 14 6 9 6 6 8 35 15 9. 15 9 10 9 10 10 48 18 10. 14 6 10 6 10 10 42 18 11. 14 6 6 6 6 10 34 16 12. 14 10 10 10 9 10 49 19 13. 14 6 9 6 6 10 37 16 14. 17 10 10 10 10 10 50 20 15. 12 6 6 6 6 8 32 15 16. 16 9 10 10 10 10 49 20 17. 16 10 9 6 9 10 44 19 18. 15 9 8 10 6 8 41 18 19. 13 7 6 6 6 8 33 15 20. 16 10 10 10 10 8 48 18


42 เลขที่ ก่อน เรียน (20) คะแนนระหว่างเรียน รวม ระหว่าง เรียน (50) หลัง เรียน (20) แผนที่ 1 (10) แผนที่ 2 (10) แผนที่ 3 (10) แผนที่ 4 (10) แผนที่ 5 (10) 21. 16 10 10 10 9 10 49 19 22. 16 6 9 6 6 10 37 19 23. 15 10 8 10 10 10 48 16 24. 16 10 6 10 9 10 45 20 25. 14 8 9 6 6 10 39 19 26. 14 9 10 9 6 8 42 16 27. 14 9 6 6 9 10 40 15 28. 16 10 10 8 9 8 45 19 29. 15 10 8 10 10 10 48 17 30. 15 10 6 6 6 10 38 20 31. 14 10 10 6 6 10 42 16 32. 15 9 10 10 9 10 48 19 33. 14 9 9 6 9 10 43 19 34. 14 10 10 6 6 10 42 16 35. 13 6 6 6 6 10 34 16 36. 14 6 6 6 6 10 34 16 37. 14 10 10 10 9 10 49 19 38. 14 9 10 10 10 10 49 20 39. 15 10 10 9 10 10 49 20 40. 14 10 10 10 10 10 50 20 41. 16 10 10 10 10 10 50 20 42. 14 8 10 10 9 8 45 17 43. 14 10 10 10 10 6 46 16 รวม 623 379 380 349 364 408 1,880 776


Click to View FlipBook Version