The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หลักภาษาพาทัวร์-ม.3 สมบูรณ์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by supitchanam2545, 2024-03-04 01:36:20

หลักภาษาพาทัวร์-ม.3

หลักภาษาพาทัวร์-ม.3 สมบูรณ์

กลุ่มสาระการเรียนรู้วิชาภาษาไทย ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่๓ หลักภาษาพาทัวร์ หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ภาษาไทย จันทิมา วงษ์ธานี, สุพิชชา ยอดจำ ปา


กลุ่มสาระการเรียนรู้วิชาภาษาไทย ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่๓ หลักภาษาพาทัวร์ หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ภาษาไทย เรียบเรียง : จันทิมา วงษ์ธานี ๖๔๑๑๕๒๔๕๒๐๗ สุพิชชา ยอดจำ ปา ๖๔๑๑๕๒๔๕๒๓๒


หนังสือเรียนหลักภาษาพาทัวร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ เล่มนี้ จัดทำ ขึ้นเพื่อใช้ใน การเรียนรู้รายวิชาพื้นฐาน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ โดยมีเนื้อหาประกอบไปด้วย ๑. โลกกว้าง ต่างภาษา ๒. โครงสร้าง ร่างประโยค ๓. คาเฟลับ ระดับภาษา ๔. เช็กอิน ถิ่นศัพท์ใหม่ ๕. ความลับ ศัพท์อาชีพ และ ๖. ร้อยกรอง คล้องคำ โคลง ทางผู้จัดทำ ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์อาจิยา หลิมกุล ที่ท่านได้ให้การชี้แนะ แนวทางให้ความช่วยเหลือในการจัดทำ และขอขอบพระคุณ ผู้จัดทำ หนังสือรายวิชา ภาษาไทยชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ ทุกเล่มที่ทางผู้จัดได้นำ มาประกอบการจัดทำ หนังสือ หลักภาษาพาทัวร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ ในครั้งนี้จนกระทั่งหนังสือเล่มนี้สำ เร็จลุล่วงไป ด้วยดี อนึ่งทางคณะผู้จัดทำ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือเรียนหลักภาษาพาทัวร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ จะเป็นประโยชน์ต่อการจัดการเรียนรู้ในรายวิชาภาษาไทย อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นไปตามหลักการและบรรลุจุดมุ่งหมายของหลักสูตร หากมีข้อผิดพลาดประการใดทางคณะผู้จัดทำ ขออภัยมา ณ ที่นี้ หากมีข้อเสนอแนะ เพื่อการปรับปรุงแก้ไข กรุณาแจ้งทางคณะผู้จัดทำ เพื่อให้การจัดทำ มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น คณะผู้จัดทำ คำ นำ


เรื่อง หน้า บทที่ ๑ โลกกว้าง ต่างภาษา..................................................................๑ ลักษณะของคำ ภาษาต่างประเทศที่ยืมมาใช้ในภาษาไทย......................๒ คำ ยืมที่มาจากภาษาต่างประเทศ........................................................๔ แบบทดสอบ ๑..................................................................................๑๔ บทที่ ๒ โครงสร้าง ร่างประโยค.............................................................๑๕ ประโยคซับซ้อน................................................................................๑๖ ประโยคแสดงเงื่อนไข........................................................................๑๘ แบบทดสอบ ๒..................................................................................๒๒ บทที่ ๓ คาเฟลับ ระดับภาษา................................................................๒๓ การเลือกใช้คำ ให้เหมาะสมกับกาลเทศะและบุคคล.............................๒๔ ระดับภาษาทางการ...........................................................................๒๖ ระดับภาษากึ่งทางการ.......................................................................๒๖ ระดับภาษาไม่เป็นทางการ.................................................................๒๗ แบบทดสอบ ๓..................................................................................๒๘ บทที่ ๔ เช็กอิน ถิ่นศัพท์ใหม่..................................................................๒๙ คำ ทับศัพท์.........................................................................................๓๐ ศัพท์บัญญัติ.......................................................................................๓๒ แบบทดสอบ ๔...................................................................................๓๓ สารบัญ


เรื่อง หน้า บทที่ ๕ ความลับ ศัพท์อาชีพ.................................................................๓๔ ความหมายคำ ศัพท์ทางวิชาการและวิชาชีพ.........................................๓๕ การใช้ภาษากับกลุ่มอาชีพหรือวงการต่าง ๆ........................................๓๕ แบบทดสอบ ๕..................................................................................๓๗ บทที่ ๖ ร้อยกรอง คล้องคำ โคลง............................................................๓๘ ความรู้เกี่ยวกับการแต่งโคลง..............................................................๓๙ การแต่งโคลงสี่สุภาพ..........................................................................๔๑ แบบทดสอบ ๖..................................................................................๔๕ เฉลยแบบทดสอบ..............................................................................๔๖ บรรณานุกรม....................................................................................๕๓ แนวทางการใช้หนังสือเรียน...............................................................๕๔


สาระสำ คัญ ตัวชี้วัด จำ แนกและใช้คำ ภาษาต่าง ประเทศ ที่ใช้ในภาษาไทย (ท ๔.๑ ม.๓/๑) คำ ยืมที่มาจากภาษาต่างประเทศ บทที่ ๑ โลกกว้าง ต่างภาษา แวะตอบ จอดถาม นักเรียนจะรู้ได้อย่างไรว่าคำ ใดเป็นคำ ไทยแท้ และคำ ใดเป็นคำ ยืมที่มาจากต่างประเทศ


๑. ลักษณะของคำ ภาษาต่างประเทศที่ยืมมาใช้ในภาษาไทย ๒ คำ ในภาษาไทยที่เราใช้ในปัจจุบันมีทั้งคำ ไทยแท้และคำ ยืมที่มาจากต่างประเทศ ซึ่งเข้ามาเนื่องจากเรามีการติดต่อสื่อสารกับชาติต่าง ๆ ในด้านใดด้านหนึ่ง จึงรับทั้ง วัฒนธรรมและภาษาของชาตินั้นเข้ามาด้วย การยืมคำ ภาษาต่างประเทศจึงทำ ให้เรามีคำ ใช้จำ นวนมากและหลากหลาย ซึ่งถือเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของภาษา คำ ภาษาต่างประเทศที่ยืมมาใช้ในภาษาไทยมีหลายภาษา เช่น บาลี สันสกฤต เขมร จีน ชวา อังกฤษ ฝรั่งเศส เป็นต้น การภาษาต่างประเทศที่ยืมมาใช้ในภาษาไทยนั้น ไม่ได้รับมาเฉพาะภาษาเท่านั้น แต่ยังรับเอาวัฒนธรรม และเทคโนโลยีหรือวิทยาการใหม่ ๆ ของชาตินั้นเข้ามาด้วย ๑.๑ สาเหตุที่ทำ ให้เกิดการยืมภาษา ๑. ด้านภูมิศาสตร์ การมีอณาเขตติดต่อกัน ทำ ให้รับภาษาชาตินั้น ๆ มาใช้ ๒. ด้านการค้า การติดต่อค้าขายกับต่าง ชาติ ทำ ให้ดกิดการรับ ภาษาชาตินั้น ๆ มาใช้ ๓. ด้านศาสนาและวัฒนธรรม การมีอณาเขตติดต่อกัน ทำ ให้รับภาษาชาตินั้น ๆ มาใช้ ๔. ด้านการศึกษา การไปศึกษาต่างประเทศของ คนไทยแล้วนำ ความรู้มาเผย แพร่ ทำ ให้เกิดคำ ศัพท์ใหม่ ๆ ในวงการต่าง ๆ ๕. ด้านเทคโนโลยี การรับเทคโนโลยีต่าง ๆ มาใช้ ทำ ให้รับคำ ศัพท์ที่ เกี่ยวข้องมาใช้ด้วย


๓ ๑.๒ อิทธิพลของภาษาต่างประเทศที่มีผลต่อภาษาไทย ๑. คำ ไทยเดิมเป็นคำ พยางค์เดียว ทำ ให้คำ ไทยมีหลายพยางค์ ภาษาต่างประเทศที่ไทยรับเข้ามาใช้ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของภาษาไทย ดังนี้ ๒. คำ ไทยแท้ไม่นิยมคำ ควบกล้ำ ทำ ให้คำ ไทยเป็นคำ ควบกล้ำ มากขึ้น ๓. คำ ไทยแท้มีตัวสะกดตรงตาม มาตรา ทำ ให้คำ ไทยมีตัวสะกดหลายตัวที่ไม่ ตรงตามมาตรา ๔. คำ ไทยเดิมมีคำ ใช้ไม่มากนัก และไม่หลากหลาย ทำ ให้คำ ไทยมีคำ ศัพท์ใช้ในภาษา มากขึ้นและหลากหลาย ๕. ภาษาไทยมีโครงสร้างชัดเจน ทำ ให้โครงสร้างภาษาไทยเปลี่ยนไป จากเดิม ๑.๓ วิธีการนำ คำ ภาษาต่างประเทศมาใช้ในภาษาไทย การนำ คำ ภาษาต่างประเทศมาใช้ในภาษาไทย มีวิธีการนำ มาใช้หลายวิธี เช่น ๑. ยืมคำ มาใช้โดยตรง โดยเขียนทับศัพท์ให้ออกเสียงตามรูปแบบที่เขียน และมี ความหมายเหมือนคำ เจ้าของภาษา เช่น ไถง (เขมร) หมายถึง พระอาทิตย์ เซนติเมตร (อังกฤษ) หมายถึง หน่วยวัดความยาว ๒. นำ คำ ภาษาต่างประเทศมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับการออกเสียง การเขียน และลักษณะของภาษาไทย เช่น ๒.๑ เปลี่ยนตัวสะกดให้ผิดไปจากเดิม เพื่อความสะดวกในออกเสียง โดยใช้ตัวสะกดใหม่ แต่ความหมายยังคงเดิม เช่น เผอิล (เขมร) เป็น เผอิญ หมายถึง บังเอิญ, จำ เพาะเป็น พาวนฺด (อังกฤษ) เป็น ปอนด์ หมายถึง มาตราตวงวัดชนิดหนึ่ง ๒.๒ เปลี่ยนรูปและเสียงให้ผิดไปจากเดิม ให้เหมาะกับการออกเสียงในภาษาไทย เช่น กระเบย (เขมร) เป็น กระบือ ฮวงโล้ว (จีน) เป็น อั้งโล่


๔ ๒. คำ ยืมที่มาจากภาษาต่างประเทศ ภาษาบาลีและภาษาสันสกฤต มีวิวัฒนาการมากจากภาษาต้นกำ เนิดเดียวกัน จึงมี ลักษณะที่คล้ายคลึงกัน แม้ภาษาไทยจะไม่ได้มีต้นกำ เนิดเดียวกันกับภาษาบาลีและสันสกฤต แต่มีการรับมาใช้ในภาษาไทยค่อนข้างมาก การรู้ลักษณะของภาษาบาลีและภาษาสันสกฤต จะเป็นประโยชน์แก่การใช้ภาษาไทย ทั้งในด้านการเขียนสะกดคำ และการใช้คำ ให้ถูกต้องตรงกับความหมาย โดยลักษณะที่แตกต่าง กันของภาษาบาลีและภาษาสันสกฤต มีดังนี้ ๒.๓ ตัดคำ ให้มีเสียงสั้นลง เหมาะกับการออกเสียงของคนไทย เช่น แอปพลิเคชัน (อังกฤษ) เป็น แอป ๒.๔ แผลงสระและพยัญชนะให้ผิดไปจากเดิม โดยใช้หลักการแผลงคำ เช่น กีรติ (สันสกฤต) กิตติ (บาลี) ไทยใช้ เกียรติ ๒.๕ เปลี่ยนความหมายไปจากเดิม ให้เข้ากับความหมายของภาษาไทย เช่น ขจี (เขมร) หมายถึง ดิบ อ่อน ไทยใช้ งามสดใส ๓. บัญญัติศัพท์ขึ้นมาใหม่ เป็นการสร้างคำ ศัพท์ขึ้นมาใหม่ให้มีความหมายตรงกับภาษาเดิม ซึ่งเป็นวิธีการที่ไม่ทำ ให้ภาษาไทยวิบัติ การบัญญัติศัพท์ขึ้นมาใช้ส่วนใหญ่จะใช้คำ จากภาษาบาลี สันสกฤตหรือคำ ภาษาไทยมากำ หนดเป็นคำ ใหม่ เช่น Metaverse AI (Arificial Intelligence) VR (Visual reality) e-book (electronic book) Iaptop computer บัญญัติเป็น บัญญัติเป็น บัญญัติเป็น บัญญัติเป็น บัญญัติเป็น จักรวาลนฤมิตร ปัญญาประดิษฐ์ ภาพเสมือนจริง หนังสืออิเลฺ็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์วางตัก คำ ยืมที่มาจากภาษาต่างประเทศในภาษาไทย แต่ละภาษาจะมีที่มาและลักษณะที่ แตกต่างกันออกไป จึงควรเรียนรู้และทำ ความเข้าใจถึงความแตกต่างนี้ ๒.๑ คำ ยืมภาษาบาลีและภาษาสันสกฤต ลักษณะที่แตกต่างกันของภาษาบาลีและภาษาสันสกฤต สระ ภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต ใช้สระ ๘ เสียง คือ อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ เช่น สบาย ญาติ นิสัย ปีติ เขต โทโส ใช้สระ ๑๔ เสียง คือ อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ ไอ เอา ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ เช่น อัศจรรย์ ราษฎร พิสดาร เนรมิตร เมาลี ฤๅษี


๕ พยัญชนะ ภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต ใช้พยัญชนะ ๓๓ เสียง เช่น โอกาส รังสี ยักข์ สีล ดาวดึงส์ ใช้พยัญชนะ ๓๕ เสียง พยัญชนะที่ภาษา สันสกฤตใช้เพิ่มจากพยัญชนะบาลี คือ ศ ษ เช่น อวกาศ รัศมี ยักษ์ ศีล ตรัยตรึงศ์ พยัญชนะ ควบกล้ำ ไม่นิยมใช้พยัญชนะควบกล้ำ เช่น ปชา ปฐม เปต อิตถี กิริยา ปัญญา นิยมใช้พยัญชนะควบกล้ำ เช่น ประชา ประถม เปรต สตรี กริยา ปรัชญา พยัญชนะ ฑ, ฬ ภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต นิยมใช้ ฬ เช่น กีฬา จุฬา โอฬาร ครุฬ ปีฬา เวฬุริยะ นิยมใช้ ฑ เช่น กรีฑา จุฑา โอฑาร ครุฑ ปีฑา ไพฑูรย์ คำ ที่ใช้ รร ภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต คำ ที่มาจากภาษาบาลีไม่ใช้ รร (ร หัน) เช่น ภริยา อัจฉริยะ กัมม์ บัลลังก์ ดัชนี คำ ที่มาจากภาษาสันสกฤตใช้ รร (ร หัน) เช่น ภรรยา อัศจรรย์ กรรม บรรยงก์ ดรรชนี ภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต คำ ที่มาจากภาษาบาลีมีหลักเกณฑ์การสะกดคำ แน่นอนกว่าคำ ที่มาจากภาษาสันสกฤต พยัญชนะภาษาบาลีและภาษาสันสกฤต วรรค/แถว แถวที่ ๑ แถวที่ ๒ แถวที่ ๓ แถวที่ ๔ แถวที่ ๕ วรรคกะ วรรคจะ วรรคฏะ เศษวรรค ย ร ล ว (ศ ษ) ส ห ฬ (นฤคหิต) วรรคตะ วรรคปะ ก จ ฏ ต ป ข ฉ ฐ ถ ผ ค ช ฑ ท พ ฆ ฌ ฒ ธ ภ ง ญ ณ น ม พยัญชนะบาลีมี ๓๓ ตัว พยัญชนะสันสกฤตมี ๓๕ ตัว ใช้พ้องกัน ๓๓ ตัว พยัญชนะ สันสกฤตที่เพิ่มจากพยัญชนะบาลี คือ ศ ษ


๖ คำ ไทยเดิม คำ ภาษาบาลีสันสกฤต คำ ที่ไทยใช้ เยี่ยว ขี้ ปสฺสาวะ (ป.) อุจฺจาระ (ป., ส.) ปัสสาวะ อุจจาระ คำ ภาษาบาลีและภาษาสันสกฤตที่นำ มาใช้ในภาษาไทย นำ มาใช้ในลักษณะต่าง ๆ ดังนี้ ๑. ใช้เป็นคำ ทั่วไป คำ ยืมภาษาบาลีสันสกฤตส่วนใหญ่เป็นคำ ที่ใช้พูดจากันในชีวิตประจำ วัน เช่น พืช สัตว์ พุทรา ศุกร์ เสาร์ เพชร อากาศ ฤดู พิษ ปฏิทิน ๒. ใช้เป็นคำ สุภาพ ใช้แทนคำ ไทยซึ่งเป็นคำ ไม่สุภาพ หรือคำ หยาบ เช่น วิธีการนำ คำ ภาษาบาลีและภาษาสันสกฤตมาใช้ในภาษาไทย ๓. ใช้เป็นคำ ราชาศัพท์ คำ ยืมภาษาบาลีสันสกฤตจำ นวนมากที่ไทยนำ มาใช้เป็นคำ ราชาศัพท์โดยเฉพาะใช้ประกอบหลังคำ ว่า พระ พระราช เช่น ประสูติ (เกิด) สวรรคต (ตาย) พระวักกะ (ไต) พระราชโอรส (ลูกชายของพระมหากษัตริย์) ๔. ใช้เป็นคำ ศัพท์ในวรรณคดี โดยเฉพาะคำ พ้องความหมาย เช่น ดอกไม้ บุปผา บุษบา มาลี กุสุม ช้าง หัสดี หัสดินทร์ กุญชร คช หัตถี คชินทร์ คชาธาร กรินทร์ ไอยรา ๕. ใช้เป็นคำ ทางการ คำ ยืมภาษาบาลีสันสกฤตบางคำ นิยมใช้ในงานการเขียนทาง วิชาการ หนังสือราชการ หรือเมื่อต้องการความเป็นทางการ เช่น คำ ไม่เป็นทางการ คำ เป็นทางการ วัว หัว โค ศีรษะ ป่าช้า สุสาน ๖. ใช้สร้างศัพท์บัญญัติ การบัญญัติศัพท์ในภาษาไทยนิยมบัญญัติโดยใช้คำ ยืมภาษาบาลี หรือภาษาสันสกฤตเพื่อหลักเลี่ยงคำ ทับศัพท์ภาษาอังกฤษโดยตรง เช่น ไวยากรณ์ ใช้เป็นคัพท์บัญญัติแทนคำ ว่า Grammar พาหะ ใช้เป็นคัพท์บัญญัติแทนคำ ว่า Carrier


๗ ลักษณะคำ ภาษาเขมรที่นำ มาใช้ในภาษาไทย ๒.๒ คำ ยืมภาษาเขมร ประเทศกัมพูชา (เขมร) มีพรมแดนติดกับประเทศไทย และมีความสัมพันธ์กันมากเป็น เวลายาวนาน ในภาษาไทยมีการยืมคำ ภาษาเขมรมาใช้ โดยใช้วิธีการทับศัพท์ เปลี่ยนเสียง เปลี่ยนความหมาย รวมถึงมีคนไทยเชื้อสายกัมพูชาในภาคตะวันออกเฉียงเหนือบางจังหวัดใช้ ภาษาเขมรในชีวิตประจำ วัน ๑. ใช้ตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา มักใช้พยัญชนะ จ ญ ด น ร ล ส สะกด เช่น คำ ภาษาเขมรมีลักษณะสำ คัญ ดังนี้ แม่กด ใช้ ด จ ส สะกด เช่น กำ จัด กรวด สงัด เผด็จ ดุจ เสร็จ ตรัส แม่กน ใช้ น ญ ร ล สะกด เช่น ฉัน เวียน เพ็ญ ลาญ จาร ควร ดล ถกล ๒. พยัญชนะต้นมักเป็นคำ ควบกล้ำ เช่น กรอง โปรด ขลัง ตรา ปราบ กราบ ครบ เพลิง ขลา ผลู เสด็จ เสวย โตนด จมูก ตลบ ไพร ๓. นิยมเติมคำ หน้าหรืออุปสรรคลงหน้าคำ กริยาหรือคำ วิเศษณ์เพื่อให้ความหมาย ของคำ เปลี่ยนไปบ้าง เช่น บัง นำ หน้าคำ ที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะวรรค ก และเศษวรรค เช่น เกิด เป็น บังเกิด คม เป็น บังคม บัน นำ หน้าคำ ที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะวรรค ต และเศษวรรค เช่น ดล เป็น บันดล ดาล เป็น บันดาล บํ นำ หน้าคำ ที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะวรรค ป เช่น บวง เป็น บำ บวง บัด เป็น บำ บัด ป ผ นำ หน้าคำ เช่น ราบ เป็น ปราบ ราญ เป็น ผลาญ


๘ วิธีนำ คำ ภาษาเขมรมาใช้ในภาษาไทย ๑. เลือกคำ ที่ออกเสียงได้สะดวก คือ เลือกคำ ที่ออกเสียงได้สอดคล้องกับภาษาไทย โดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงรูปและเสียงของคำ เช่น ฉบับ เขนย ทูน แข ผกา โดย ปรุง โชมด อวย การยืมคำ ภาษาเขมรมาใช้ในภาษาไทย มีวิธีการยืมดังนี้ ๔. ใช้คำ เติมกลางลงในคำ นาม คำ กริยา หรือคำ วิเศษณ์ เพื่อให้ความหมายใกล้เคียง หรือเปลี่ยนไป -ํน เติมกลางคำ เช่น -ำ เติมกลางคำ เช่น -ํห เติมกลางคำ เช่น น เติมกลางคำ เช่น บ เติมกลางคำ เช่น ม เติมกลางคำ เช่น เกิด เป็น กำ เนิด ติ เป็น ตำ หนิ ขลัง เป็น กำ ลัง เปรอ เป็น บำ เรอ ฉัน เป็น จังหัน เกย เป็น เขนย รำ เป็น ระบำ เดิน เป็น ทเมิน ๒. เปลี่ยนแปลงเสียงสระหรือพยัญชนะ คำ ภาษเขมรคำ ใดที่ออกเสียงไม่สะดวกก็ เปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมกับเสียงในภาษาไทย เช่น เขมรเขียน เขมรอ่าน ไทยใช้ นาง เดิร สราล เนียง เดอ ซอม-เรียล นาง เดิน สำ ราญ นอกจากนี้ตัวสะกดยังมีการดัดแปลงให้เหมาะสมกับคำ ไทย เช่น เขมรใช้ ไทยใช้ โปรส ถนล แขฺล โปรด ถนน เขน เขมรใช้ ไทยใช้ เลฺมีส ขนุร รมาส ละเมิด ขนุน ระมาด


๙ ๓. เปลี่ยนแปลงความหมาย คำ ภาษาเขมรบางคำ ที่ไทยยืมมาไม่ได้ใช้ตามความหมาย เดิม มีการเปลี่ยนแปลงความหมายใหม่ เพื่อความเหมาะสมในภาษาไทย เช่น คำ เขมร ความหมายเขมร ความหมายไทย บำ เพ็ญ วังเวง ปฺรุง ทำ ให้เต็มที่ หลง (ทาง) เตรียมการ ทำ ความดี เปลี่ยว ตกแต่ง ๔. กำ หนดความหมายขึ้นใหม่ เมื่อการบัญญัติศัพท์ใหม่ขึ้นใช้มีการนำ คำ ภาษาเขมรมา ใช้ โดยกำ หนดความหมายขึ้นใหม่แต่ยังใกล้เคียงกับความหมายเดิม เช่น คำ ความหมายเดิม ความหมายไทย ตระกอง ตำ รวจ หอบ ผู้ตรวจ กอด, เกี่ยวพัน เจ้าหน้าทีี่ของรัฐที่ ทำ หน้าที่ตรวจตรา รักษาความสงบ ๕. แผลงอักษรให้มีรูปร่างต่าง ๆ โดยแผลงทั้งพยัญชนะ สระ ตัวสะกด และให้อ่าน ออกเสียงอย่างไทย เช่น แผลง กัญ กัณ กัน เป็น กระ เช่น กัญจก เป็น กระจก กัณฏึง เป็น กระดึง กันโทง เป็น กระทง แผลง จัง เป็น ตะ เช่น จังกูด เป็น ตะกูด จังเกียง เป็น ตะเกียง แผลง ตฺร เป็น ตระ เช่น ตฺรกาล เป็น ตระกาล (ตระการ) ตฺรกูล เป็น ตระกูล แผลง กัน เป็น ตะ เช่น กันไตร เป็น ตะไกร แผลง ผฺ เป็น ประ เช่น ผฺการ เป็น ประการ ผฺสาน เป็น ประสาน


๑๐ ๒.๓ คำ ยืมภาษาจีน ส่วนใหญ่ภาษาจีนที่ไทยนำ มาใช้มักจะเป็นชื่ออาหาร รองลงไปก็เป็นชื่อที่ใช้ในการค้า ชื่อคน ภาษาจีนจัดเป็นภาษาคำ โดดเช่นเดียวกับภาษาไทย คำ ส่วนมากมักเป็นพยางค์เดียว การเรียงลำ ดับในประโยคมักขึ้นต้นด้วยประธาน ตามด้วยกริยาและกรรม มีลักษณนาม มีเสียงวรรณยุกต์ คำ คำ เดียวมีหลายความหมาย และมีการใช้คำ ซ้ำ เหมือนกัน ต่างกันแต่วิธี ขยายคำ หรือข้อความ เพราะภาษาไทยให้คำ ขยายอยู่หลังคำ ที่ถูกขยาย แต่ภาษาจีนให้คำ ขยายอยู่หน้าคำ ที่ถูกขยาย การใช้คำ ภาษาจีนในภาษาไทย จีนใช้ภาษาหลายภาษา แต่ที่ปะปนในภาษาไทยมาก ที่สุดคือ ภาษาจีนแต้จิ๋ว ซึ่งเป็นภาษาถิ่นของคนจีนแถบซัวเถา คำ ที่รับมาใช้ส่วนใหญ่เกี่ยว กับอาหารการกิน คำ ที่ใช้ในวงการค้าและธุรกิจ และคำ ที่ใช้ในชีวิตประจำ วัน สาเหตุที่ภาษาจีนเข้ามาปะปนในภาษาไทยคือ เชื้อสายและการค้าขาย เพราะมีคนจีน เข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยเป็นจำ นวนมาก มีความผูกพันกันในด้านการแต่งงาน การค้าขาย จึงรับภาษาจีนมาไว้ใช้ในภาษาไทยจำ นวนมาก ตัวอย่างคำ ยืมภาษาจีน ใช้เป็นคำ เรียกชื่อผักผลไม้ กุยช่าย เก๊กฮวย ฉำ ฉา ตั้งโอ๋ หนำ เลี๊ยบ ก๋วยเตี๋ยว บะช่อ พะโล้ ก๋ง เจ๊ เตี่ย ซ้อ ม่วย ซิ่ม โกว อี๊ ม้า อึ้ม แปะ เก๊ะ กอเอี๊ยะ เข่ง ตั๋ว โผ ตังเก เกี๊ยะ เอี๊ยม ใช้เป็นคำ กริยา กงเต๊ก เซียมซี งิ้ว เต๋า ขงจื๊ิอ จ๋อ (นั่ง) เจี๊ยะ (กิน) ชีช้ำ (อาภััพ) โละ (ทิ้งเสีย) ใช้เป็นคำ เรียกชื่ออาหาร ใช้เป็นคำ เรียกชื่อเครือญาติ ใช้เป็นคำ เรียกชื่อเครื่องใช้ ใช้กับประเพณีและวัฒนธรรม


๑๑ ๒.๔ คำ ยืมภาษาชวา-มลายู ภาษาชวา ปัจจุบันเรียกว่าภาษาอินโดนีเซีย เป็นภาษาตระกูลคำ ติดต่อ ตระกูลเดียว กับภาษามลายู ภาษาชวาที่ไทยยืมมาใช้ส่วนมากเป็นภาษาเขียน ซึ่งรับมาจากวรรณคดีเรื่อง ดาหลังและอิเหนาเป็นส่วนใหญ่ ถ้อยคำ ภาษาเหล่านี้ใช้สื่อสารในวรรณคดี และในบทร้อย กรองต่าง ๆ มากกว่าคำ ที่นำ มาใช้สื่อสารในชีวิตประจำ วัน ภาษามลายูหรือภาษามาเลย์ ปัจจุบันเรียกว่า ภาษามาเลเซีย เป็นภาษาคำ ติดต่อ อยู่ในตระกูลภาษาชวา-มลายู คำ ส่วนใหญ่จะมีสองพยางค์และสามพยางค์ เข้ามาปะปนใน ภาษาไทยเพราะมีเขตแดนติดต่อกัน จึงติดต่อสัมพันธ์กันทั้งทางด้านการค้าขาย ศาสนา วัฒนธรรม มาเป็นเวลานาน โดยเฉพาะจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ ยะลา สงขลา ปัตตานี นราธิวาส และสตูล ยังคงใช้ภาษามลายูสื่อสารในชีวิตประจำ วันอยู่เป็นจำ นวนมา ตัวอย่างคำ ยืมภาษาชวา-มลายู ใช้เป็นคำ เรียกพืช กระดังงา น้อยหน่า มังคุด ทุเรียน โลมา กะปะ กะพง กุเรา อุรังอุตัง โนรี บุหรง เบตง ภูเก็ต มัสยิด กุดัง กริช กำ ยาน ปาเต๊ะ กอและ สลัก กรรไกร กระชัง ซ่าโบะ ใช้เป็นคำ กริยา ตุนาหงัน บ้าบ๋า อังกะลุง รองเง็ง ตะเป๊ะ พันตู (ต่อสู้) ใช้เป็นคำ เรียกชื่อสัตว์ ใช้เป็นคำ เรียกชื่อสถานที่ ใช้เป็นคำ เรียกชื่อสิ่งของ ใช้กับศิลปวัฒนธรรม


๑๒ ๒.๕ คำ ยืมภาษาอังกฤษ ภาษาอังกฤษเป็นภาษาในตระกูลอินโด-ยุโรเปียน มีวิภัตติปัจจัย เช่นเดียวกับภาษา บาลี-สันสกฤต ภาษาอังกฤษได้รับความนิยมใช้เป็นภาษาเพื่อการสื่อสารมากที่สุด มีประเทศ ต่าง ๆ ยอมรับภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ ภาษาอังกฤษจึงกลาย เป็นภาษาสากลของ ชาวโลก คนไทยได้ศึกษาภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองมาเป็นเวลานาน จนภาษาอังกฤษเข้า มามีอิทธิพลต่อชีวิตของคนไทยมากขึ้น ทั้งในด้านการพูดและการเขียนสื่อสารในชีวิตประจำ วัน โดยเฉพาะในปัจจุบันคนไทยศึกษาความรู้และวิทยาการต่าง ๆ จากตำ ราภาษาอังกฤษ และสนใจเรียนรู้ภาษาอังกฤษกันมากขึ้น คำ ยืมจากภาษาอังกฤษจึงหลั่งไหลเข้ามาในภาษา ไทยมากขึ้นทุกขณะทั้งในวงการศึกษา ธุรกิจ การเมือง การบันเทิง เป็นต้น วิธีนำ คำ ภาษาอังกฤษมาใช้ในภาษาไทย ๑. ใช้ภาษาอังกฤษโดยตรงไม่เปลี่ยนรูปและเสียง เช่น คำ ที่ยืมมาจากภาษาอังกฤษมีการปรับเสียงและการเขียนให้เข้ากับภาษาไทย ดังนี้ ๒. เปลี่ยนเสียงและคำ เพื่อความสะดวกในการออกเสียง เพราะเสียงบางเสียงในภาษา อังกฤษไม่มีใช้ในภาษาไทย เช่น ๓. ลากเข้าความ เป็นการเปลี่ยนแปลงเสียงของคำ ภาษาอังกฤษ เพื่อลากเข้าหาคำ ไทย ที่คุ้นหูหรือแปลความหมายได้ด้วย เช่น ๔. บัญญัติศัพท์ใหม่ เช่น ๕. ตักคำ ให้สั้นลง เพื่อให้สะดวกในการออกเสียง เช่น term เทอม benzene เบนซีน show โชว์ jam แยม view วิว coffee กาแฟ cinema ภาพยนต์ volunteer อาสาสมัคร football l บอล battery แบต


๑๓ ๖. ความหมายของคำ เปลี่ยนไป อาจมีความหมายกว้างออก แคบเข้า หรือเปลี่ยน ความหมายก็ได้ เช่น คำ ความหมายเดิม ความหมายใหม่ fit free เหมาะ, พร้อม, สุขภาพดี อิสระ, ไม่ต้องเสียเงิน คับ, ขนาดพอดีตัว สะดวก, ได้เปล่า ตัวอย่างคำ ยืมภาษาอังกฤษ ใช้เป็นคำ ศัพท์วิชาการ คาร์บอนไดออกไซด์ กลูโคส สปีซีส์ แคลอรี ไอศกรีม สลัด แซนด์วิช ช็อกโกแลต เค้ก โซดา ไวน์ เบียร์ วิสกี้ พลัม แอปเปิล สตรอว์เบอร์รี เชอร์รี พรุน อะโวคาโด ไมโครโฟน โน้ตบุ็ก สกรู คอมพิวเตอร์ โซฟา เลนส์ ใช้เป็นคำ กริยา วอลเลย์บอล ฟุตบอล เทนนิส กอล์ฟ กีต้าร์ เปียโน ไวโอลิน แฟร์ ปั๊ม เคลียร์ สตาร์ต มูฟออน ใช้เป็นคำ เรียกชื่ออาหาร ใช้เป็นคำ เรียกชื่อผลไม้ ใช้เป็นคำ เรียกชื่อเครื่องใช้ ใช้กับดนตรีและกีฬา


๑๔ แบบทดสอบ ๑ คำ ชี้แจง ให้นักเรียนนำ คำ ในกรอบสี่เหลี่ยม ไปเติมลงในช่องว่างให้ตรงกับภาษาที่กำ หนดให้ ศาสนา ตำ นาน อัคคี ฤๅษี อำ นาจ บุคคล เขนย ปาเต๊ะ โกดัง นิพพาน ดำ เนิน ตำ รวจ ตรวจ ศักดิ์ศรี ปักษา ภรรยา ภริยา วิญญาณ เสด็จ ปัญญา แช็ต อั้งโล่ เค้ก ซ่าหริ่ม โชว์ เชอร์รี พลัม ทุเรียน รองเง็ง กำ ราบ อะโวคาโด ซิ่ม ซ๊อ เบอร์รี อังกะลุง ภาษาบาลี สันสกฤต ภาษาเขมร ภาษาจีน ภาษาชวา ภาษาอังกฤษ


ประโยคที่ซับซ้อนแตกต่างจากประโยคธรรมดาอย่างไร สาระสำ คัญ ตัวชี้วัด วิเคราะห์โครงสร้างประโยคซับซ้อน (ท ๔.๑ ม.๓/๒) ประโยคซับซ้อน ประโยคแสดงเงื่อนไข บทที่๒ โครงสร้าง ร่างประโยค แวะตอบ จอดถาม


๑. ประโยคซับซ้อน ๑๖ ประโยคซับซ้อน เป็นการนำ รูปประโยค ทั้งประโยคความเดียว ความรวม และความ ซ้อนมาขยายความให้มีความชัดเจน โดยการวางคำ ขยายนั้น จะอยู่ด้านหลังข้อความที่ ต้องการขยาย แต่จะต้องไม่เรียงคำ ขยายเพื่อไม่ให้เกิดความกำ กวมมากเกินไปเพราะอาจ ทำ ให้ใจความของประโยคมีความคลาดเคลื่อนได้ เพื่อที่จะสื่อได้ชัดเจนและถูกต้องถึงต้อง ให้คำ ยายอยู่ใกล้คำ ที่จะขยาย เพราะหากวางคำ ขยายผิด ประโยคก็จะเปลี่ยนไปทันที ลักษณะของประโยคซับซ้อน ๑. ประโยคสามัญที่มีความซับซ้อนที่ภาคประธานหรือภาคแสดง เช่น การส่งเสริมการศึกษาของเยาวชนในประเทศ คือแนวทางในการพัฒนาประเทศ ความซับซ้อนของประโยคนี้อยู่ที่ภาคประธานซึ่งมีส่วนชยายเป็นกลุ่มคำ คือ ของเยาวชนในประเทศ ขยาย การส่งเสริมการศึกษา ทรัพยากรมนุษย์เป็นปัจจัยที่สำ คัญที่สุดต่อการพัฒนาประเทศ ความซับซ้อนของประโยคนี้อยู่ที่ภาคประธานซึ่งมีส่วนชยายเป็นกลุ่มคำ คือ ต่อ การพัฒนาประเทศ ขยาย เป็นปัจจัยที่สำ คัญที่สุด เพราะแนนออกกำ ลังกายทุกวัน รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และพัก ผ่อนอย่างเพียงพอ จึงมีร่างกายแข็งแรงและรูปร่างสมส่วน ประโยคนี้ประกอบด้วยประโยครวม ๒ ประโยค ดังนี้ ประโยครวมที่ ๑ แนนออกกำ ลังกายทุกวัน รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และพักผ่อนอย่างพอเพียง ๒. ประโยคความรวมที่มีคำ เชื่อมหลายคำ เชื่อมประโยคย่อยหลายประโยคให้เป็น ประโยคเดียวกัน เช่น ประโยครวมที่ ๒ (แนน) มีร่างกายแข็งแรงและมีรูปร่างสมส่วน มีคำ ว่า เพราะ...จึง เชื่อมประโยครวมทั้ง ๒ ประโยค และประโยครวมแต่ละประโยค ประกอบด้วยประโยคสามัญ ดังนี้ ประโยครวมที่ ๑ แนนออกกำ ลังกายทุกวัน รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และพักผ่อนอย่างพอเพียง ประกอบด้วย


๑๗ ประโยคสามัญที่ ๑ แนนออกกำ ลังกายทุกวัน ประโยคสามัญที่ ๒ (แนน) รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ประโยคสามัญที่ ๓ (แนน) พักผ่อนอย่างเพียงพอ มีคำ ว่า และ เชื่อมประโยคสามัญทั้ง ๓ ประโยค ๓. ประโยคซ้อนที่มีประโยคย่อย (อนุประโยค) หลายประโยคซ้อนกันอยู่ เช่น ราคาน้ำ มันที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อราคาสินค้าอุปโภค บริโภคอื่น ๆ ให้สูงขึ้นตามไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ประโยคนี้ประกอบด้วยประโยคซ้อนที่มีประโยคหลัก (มุขยประโยค) และ ประโยคย่อย (อนุประโยค) ดังนี้ ประโยคหลัก ราคาน้ำ มันส่งผลต่อราคาสินค้าอุปโภคบริโภคอื่น ๆ ประโยคย่อยที่ ๑ ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขยาย ราคาน้ำ มัน ประโยคย่อยที่ ๒ ให้สูงขึ้นตามไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ขยาย ราคาสินค้า อุปโภคบริโภคอื่น ๆ ๔. ประโยคที่มีทั้งประโยคช้อนและประโยครวมซ้อนกันอยู่ เช่น เธอจะไปเที่ยวภูเขาที่มีวิวป่าไม้เขียวขจี หรือจะไปเที่ยวทะเลที่มีน้ำ ใส จนเห็นปลาแหวกว่ายไปมา ประโยคนี้เป็นประโยครวมที่มีประโยคซ้อน ๒ ประโยครวมกัน ดังนี้ ประโยคซ้อนที่ ๑ เธอจะไปเที่ยวภูเขาที่มีวิวป่าไม้เขียวขจี ประโยคซ้อนที่ ๒ (เธอ) จะไปเที่ยวทะเลที่มีน้ำ ใสจนเห็นปลาแหวกว่ายไปมา มีคำ ว่า หรือ เชื่อมประโยคซ้อนทั้ง ๒ ประโยค และประโยคซ้อนแต่ละประโยคมีประโยคหลักและประโยคย่อย ดังนี้ ประโยคซ้อนที่ ๑ เธอจะไปเที่ยวภูเขาที่มีวิวป่าไม้เขียวขจี ประกอบด้วย - เธอจะไปเที่ยวภูเขา เป็นประโยคหลัก - ที่มีวิวป่าไม้เขียวขจี เป็นประโยคย่อย ขยายนาม ภูเขา ในประโยคหลัก ประโยคซ้อนที่ ๒ (เธอ) จะไปเที่ยวทะเลที่มีน้ำ ใสจนเห็นปลาแหวกว่ายไปมา ประกอบด้วย - (เธอ) จะไปเที่ยวทะเล เป็นประโยคหลัก - ที่มีน้ำ ใสจนเห็นปลาแหวกว่ายไปมา เป็นประโยคย่อย ขยายนาม ทะเล ใน ประโยคหลัก และประโยคย่อยนี้ยังมีประโยคย่อยอีกชั้นหนึ่งคือ จนเห็นปลาแหวกว่ายไป มา ขยายวิเศษณ์ น้ำ ใส


๑๘ การสื่อสารในชีวิตประจำ วันนอกจากจะใช้ประโยคที่มีความซับซ้อนแล้ว บางครั้งยัง ต้องสื่อสารด้วยใจความที่เป็นเงื่อนไขและผลที่ตามมา เรียกว่า ประโยคแสดงเงื่อนไข ๒. ประโยคแสดงเงื่อนไข ประโยคแสดงเงื่อนไข คือ ประโยคที่ประกอบด้วยประโยคสามัญตั้งแต่ ๒ ประโยค ขึ้นไปเชื่อมกันด้วยคำ เชื่อมและมีใจความเป็นเงื่อนไขต่อกัน คือ ประโยคหนึ่งเป็นตัเงื่อนไข อีกประโยคหนึ่งเป็นผลที่ตามมา เช่น เราจะมีความรู้ก็ต่อเมื่อเราตั้งใจอ่านหนังสือ เราตั้งใจอ่านหนังสือ : เงื่อนไข เราจะมีความรู้ : ผลที่ตามมา ก็ต่อเมื่อ เป็นคำ เชื่อม หากเธอออกกำ ลังกายเป็นประจำ ร่างกายเธอก็จะแข็งแรง เธอออกกำ ลังกายเป็นประจำ : เงื่อนไข ร่างกายเธอจะแข็งแรง : ผลที่ตามมา หาก...ก็ เป็นคำ เชื่อม ธิดาจะมอบเงินช่วยเหลือเฉพาะองค์กรการกุศลที่ทำ งานเกี่ยวกับเด็กและสตรี องค์กรการกุศลที่ทำ งานเกี่ยวกับเด็กและสตรี : เงื่อนไข ธิดาจะมอบเงินช่วยเหลือ : ผลที่ตามมา เฉพาะ...ที่ เป็นคำ เชื่อ ถ้าเธอมาเร็วกว่านี้ เราคงได้พบกัน เธอมาเร็วกว่านี้ : เงื่อนไข เราคงได้พบกัน : ผลที่ตามมา ถ้า เป็นคำ เชื่อม จากประโยคเงื่อนไขข้างต้นจะเห็นได้ว่ามีการใช้คำ เชื่อมเป็นตัวเชื่อมประโยค คือ ก็ ต่อเมื่อ หาก...ก็ เฉพาะ...ที่ ถ้า นอกจากนี้ยังมีคำ เชื่อมที่ใช้เชื่อมประโยคเงื่อนไขอื่น ๆ อีก ได้แก่ ถ้า...ก็ หากว่า ในกรณีที่ แม้ แม้...ว่า ต่อเมื่อ ทั้งนี้ต้อง ฯลฯ นอกจากนี้ประโยคแสดงเงื่อนไขอาจจะมีลักษณะคล้ายประโยครวมและประโยค ซ้อนบางจำ พวก เช่น


๑๙ ถ้าทุกคนยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น ปัญหาความขัดแย้งก็จะไม่เกิดขึ้น ทุกคนยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น : เงื่อนไข ปัญหาความขัดแย้งจะไม่เกิดขึ้น : ผลที่ตามมา ถ้า...ก็ เป็นคำ เชื่อม หากเราต้องเดินทางไกล เราควรตรวจสอบสภาพรถก่อนเดินทาง เราควรตรวจสอบสภาพรถก่อนเดินทาง : เงื่อนไข เราต้องเดินทางไกล : ผลที่ตามมา หาก เป็นคำ เชื่อม ในกรณีที่การทำ งานของเครื่องจักรกลผิดพลาด ผู้เกี่ยวข้องควรรีบมาตรวจสอบ การทำ งานของเครื่องจักรกลผิดพลาด : เงื่อนไข ผู้เกี่ยวข้องควรรีบมาตรวจสอบ : ผลที่ตามมา ในกรณีที่ เป็นคำ เชื่อม ประโยคข้างต้นจัดเป็นประโยครวมที่มีเนื้อความคล้อยตามกัน โดยมีคำ เชื่อม ถ้า...ก็ หาก ในกรณีที่ แม้...ก็ แม้เขาพึ่งจะจบใหม่ ผู้บริหารก็ไว้ใจให้เขาทำ งานเหมือนคนอื่น เขาพึ่งจะจบใหม่ : เงื่อนไข ผู้บริหารไว้ใจให้เขาทำ งานเหมือนคนอื่น : ผลที่ตามมา แม้...ก็ เป็นคำ เชื่อม ประโยคแสดงเงื่อนไขที่มีลักษณะคล้ายประโยครวม คนที่มาร่วมงานส่วนมากเป็นบุคคลที่เจ้าภาพรักใคร่สนิทสนม เจ้าภาพรักใครสนิทสนม : เงื่อนไข คนที่มาร่วมงานส่วนมากเป็นบุคคล : ผลที่ตามมา ประโยคแสดงเงื่อนไขที่มีลักษณะคล้ายประโยคซ้อน ประโยคซ้อนนี้มีประโยคย่อย เจ้ากาพรักใคร่สนิทสนม เป็นประโยคเงื่อนไขที่ขยาย บุคคล ในประโยคหลัก ผลที่ตามมาคือ คนที่มาร่วมงานส่วนมากเป็นบุคคล มี ที่ เป็นคำ เชื่อมระหว่างประโยคหลักกับประโยคย่อย


๒๐ ทางร้านจะส่งสินค้าให้ลูกค้าต่อเมื่อลูกค้าโอนเงินชำ ระสินค้าแล้ว ลูกค้าโอนเงินชำ ระสินค้าแล้ว : เงื่อนไข ทางร้านจะส่งสินค้าให้ลูกค้า : ผลที่ตามมา ประโยคซ้อนนี้มีประโยคย่อย ลูกค้าโอนเงินชำ ระสินค้าแล้ว เป็นประโยคเงื่อนไขที่ ขยายกริยา ส่งสินค้า ในประโยคหลัก ผลที่ตามมาคือ ทางร้านจะส่งสินค้าให้ลูกค้า มี ต่อ เมื่อ เป็นคำ เชื่อมระหว่างประโยคหลักกับประโยคย่อย กรุงเทพมทานครจะลดจำ นวนขยะได้ทั้งนี้ประชาชนทุกคนต้องหันมาแยกขยะ ประชาชนทุกคนต้องหันมาแยกขยะ : เงื่อนไข กรุงเทพมทานครจะลดจำ นวนขยะได้ : ผลที่ตามมา ประโยคซ้อนนี้มีประโยคย่อย ประชาชนทุกคนต้องหันมาแยกขยะ เป็นประโยค เงื่อนไขที่ขยาย ลดจำ นวนขยะ ในประโยศหลัก ผลที่ตามมาคือ กรุงเทพมหานครจะลด จำ นวนขยะได้ มี ทั้งนี้ เป็นคำ เชื่อมระหว่างประโยคหลักกับประโยคย่อย นอกจากประโยคแสดงเงื่อนไขในลักษณะต่าง ๆ ดังที่กล่าวมาแล้ว บางครั้งในการ สื่อสารอาจต้องเพิ่มส่วนขยายส่วนใดส่วนหนึ่งของประโยคแสดงเงื่อนไขเพื่อให้ผู้รับสาร เกิดความเข้าใจมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะทำ ให้ประโยคแสดงเงื่อนไขมีความซับซ้อนได้ ประโยคแสดงเงื่อนไขซับซ้อน ประโยคแสดงเงื่อนไขซับซ้อน คือ ประโยคเงื่อนไขที่ประกอบด้วยประโยคที่เป็น เงื่อนไขหรือผลที่ตามมามากกว่าหนึ่งประโยค เงื่อนไขมากกว่า ๑ ประโยค ถ้าเรามีจิตใจที่กล้าหาญและเข้มแข็งอดทน เราก็จะสามารถผ่านพ้นอุปสรรค ต่าง ๆ ไปได้ เรามีจิตใจที่กล้าหาญ : เงื่อนไขที่ ๑ เรามีจิตใจที่เข้มแข็งอดทน : เงื่อนไขที่ ๒ เราจะสามารถผ่านพ้นอุปสรรคต่าง ๆ ไปได้ : ผลที่ตามมา ถ้า...ก็ เป็นคำ เชื่อม


๒๑ ผลที่ตามามากกว่า ๑ ประโยค ถ้าเราพยายามปกปิดความชั่วที่ทำ ไว้ ความชั่วนั้นก็จะปรากฎขึ้นและนำ ความ เดือดร้อนมาให้สักวันหนึ่ง เราพยายามปกปิดความชั่วที่ทำ ไว้ : เงื่อนไข ความชั่วนั้นจะปรากฎขึ้น : ผลที่ตามมาที่ ๑ (ความชั่วนั้น) นำ ความเดือดร้อนมาให้สักวันหนึ่ง : ผลที่ตามมาที่ ๒ ถ้า...ก็ เป็นคำ เชื่อม เขาจะยอมให้ปากคำ แก่ตำ รวจก็ต่อเมื่อทนายความและญาติของเขามา ทนายความของเขามา : เงื่อนไขที่ ๑ ญาติของเขามา : เงื่อนไขที่ ๒ เขาจะยอมให้ปากคำ : ผลที่ตามมา ก็ต่อเมื่อ เป็นคำ เชื่อม หากเธอยังทำ นิสัยไม่ดีแล้วยังไม่ยอมไปโรงเรียนเธอก็จะเรียนไม่จบและกลาย เป็นคนไม่มีอนาคต เธอยังทำ นิสัยไม่ดี : เงื่อนไขที่ ๑ (เธอ) ยังไม่ยอมไปโรงเรียน : เงื่อนไขที่ ๒ เธอจะเรียนไม่จบ : ผลที่ตามมาที่ ๑ (เธอ) กลายเป็นคนไม่มีอนาคต : ผลที่ตามมาที่ ๒ หาก...ก็ เป็นคำ เชื่อม


๒๒ แบบทดสอบ ๒ ๑. ข้อข้ใดคือคืคำ เชื่อ ชื่ มระหว่าว่งประโยคให้เห้ป็นป็ ประโยครวม ก. แล้วล้แล้วล้ก็ แต่ จึงจึหรือรืข. ที่ ซึ่ง ซึ่ อันอัเพราะ ค. กับกัแก่ แต่ แด่ ต่อต่ง. ช่าช่ง ชาว การความ ๒. ข้อข้ใดคือคืองค์ปค์ระกอบสำ คัญคัของประโยค ก. ภาคขยายประธาน ข. ภาคประธานและภาคแสดง ค. ภาคประธาน ง. ภาคประธาน ภาคขยายประธาน ๓. ข้อข้ใดให้คห้วามหมายของประโยคซับซัซ้อซ้น ได้ถูด้กถูต้อต้งที่สุ ที่ ดสุ ก. ประโยคที่ทำ ที่ ทำหน้าน้ที่เ ที่ หมือมืนนามวลี ข. ประโยคที่มี ที่ กมีารขยายอีกอีขั้น ขั้ หนึ่ง นึ่ ค. ประโยคที่ทำ ที่ ทำหน้าน้ที่ข ที่ ยายคำ นาม ง. ประโยคที่มี ที่ ปมีระโยคหลักลัและอนุปนุระโยค ๔. การศึกศึษาเรื่อ รื่ งประโยคซับซัซ้อซ้นมีปมีระโยชน์อน์ย่าย่งไร ก. ช่วช่ยให้เห้ห็นห็ส่วส่นขยายของภาคประธานและภาคแสดงชัดชัเจน ข. ช่วช่ยในการวิเวิคราะห์ปห์ระโยคได้ถูด้กถูต้อต้ง ค. ช่วช่ยในการพูดพูและเขียขีนให้ไห้ด้ใด้จความชัดชัเจน ง. ถูกถูทุกทุข้อข้ ๕. ประโยครวมที่ซั ที่ บซัซ้อซ้น ไม่ไม่ด้เด้กิดกิจากการรวมของประโยคใด ก. ซ้อซ้น + ซ้อซ้น ข. สามัญมั+ สามัญมั ค. ซ้อซ้น + สามัญมัง. สามัญมั+ ซ้อซ้น ๖. "ฉันฉัเป็นป็เศรษฐีเฐีพราะฉันฉัขยันยัทำ งานทุกทุอย่าย่งด้วด้ยความอดทน" เป็นป็ ประโยคชนิดนิใด ก. ซ้อซ้นที่ซั ที่ บซัซ้อซ้น ข. รวมที่ซั ที่ บซัซ้อซ้น ค. สามัญมัที่ซั ที่ บซัซ้อซ้น ง. วิเวิศษณ์ที่ณ์ซั ที่ บซัซ้อซ้น ๗. ข้อข้ใดกล่าล่วผิดผิ ก.คำ ว่าว่ที่ ซึ่ง ซึ่ อันอัห้าห้มใช้ใช้นประโยครวมที่ซั ที่ บซัซ้อซ้น ข. ประโยครวม เกิดกิจากประโยคสามัญมั ๒ ประโยคขึ้น ขึ้ ไป โดยมีสัมีนสัธานเป็นป็ตัวตัเชื่อ ชื่ ม ค. ประโยคสามัญมัมีภมีาคประธาน และภาคแสดง อย่าย่งละ ๑ ง. "เธอใส่กส่างเกงสีขสีาวขายาวยืนยือยู่หยู่ น้าน้โรงเรียรีน" เป็นป็ ประโยคสามัญมัที่ซั ที่ บซัซ้อซ้น ๘. ข้อข้ใดไม่ใม่ช่ปช่ระโยคความซ้อซ้น ก.คุณคุปู่ฟัปู่ งฟัเพลงไทยเดิมดิมันมัมีลีมีลลีาเนิบนินาบ ข. สรพงษ์เษ์ดินดิทางไปสงขลา เพื่อ พื่ แสดงภาพยนตร์ ค. เขาประสบอุบัอุติบัเติหตุเตุพราะความประมาท ง. วีรวีะกินกิอาหารรสเผ็ดผ็อย่าย่งรวดเร็วร็ ๙. ข้อข้ใดแสดงเจตนาของประโยคต่าต่งจากข้อข้อื่น อื่ ก. การออกกำ ลังลักายทำ ให้ร่ห้าร่งกายแข็งข็แรง เราควรหมั่น มั่ ออกกำ ลังลักายอยู่เยู่สมอ ข. ลูกลูทุกทุคนควรเชื่อ ชื่ ฟังฟับิดบิามารดา เพราะผู้ใผู้หญ่ย่ญ่อย่มผ่าผ่นประสบการณ์มณ์าก่อก่น ค. สภาวะเศรษฐกิจกิเช่นช่นี้ เราน่าน่จะรู้จัรู้กจัใช้ทช้รัพรัยากรอย่าย่งประหยัดยัและคุ้มคุ้ค่าค่ ง. ปัจปัจุบัจุนบัคนที่เ ที่ รียรีนรู้กรู้ารใช้คช้อมพิวพิเตอร์มีร์ โมีอกาสก้าก้วหน้าน้ในการงานอย่าย่งรวดเร็วร็ ๑๐. ข้อข้ใดใช้ปช้ระโยคแสดงเจตนาแตกต่าต่งจากข้อข้อื่น อื่ ก. ปิดปิประตูเตูดี๋ย ดี๋ วนี้ ข.ควรปิดปิประตูนตูะ ค. ช่วช่ยปิดปิประตูด้ตูวด้ย ง. ปิดปิประตูใตูห้หห้น่อน่ยได้ได้หม คำ ชี้แ ชี้ จง : ให้นัห้กนัเรียรีนทำ เครื่อ รื่ งหมาย X คำ ตอบที่ถู ที่ กถูต้อต้งที่สุ ที่ ดสุ


การสื่อสารแต่ละครั้งต้องคำ นึงถึงสิ่งใดบ้าง สาระสำ คัญ ตัวชี้วัด วิเคราะห์ระดับภาษา (ท ๔.๑ ม.๓/๓) ระดับภาษา บทที่๓ คาเฟลับ ระดับภาษา แวะตอบ จอดถาม


๒๔ ๑. การเลือกใช้คำ ให้เหมาะสมกับกาลเทศะและบุคคล การสื่อสารเป็นการติดต่อระหว่างคนในสังคม เพื่อให้เข้าใจจุดประสงค์ของกันและกัน โดยวิธีการต่าง ๆ ในการสื่อสารนั้นจำ เป็นต้องใช้เครื่องมือหลาย ๆ อย่าง ภาษาก็เป็นเครื่อง มืออย่างหนึ่งในการสื่อสาร ซึ่งจะต้องใช้ให้ถูกต้อง กะทัดรัด สละสลวย ตรงตามความ หมาย และเหมาะสมกับเทศะที่ใช้นกาสื่อสารแต่ละครั้งจึงจะทำ ให้กาสื่อสารครั้งนั้นประสบ ความสำ เร็จประสิทธิภาพ ภาษาไทยสะท้อนวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของคนไทยคือการให้ความเคารพผู้อื่น กล่าว คือในการสื่อสารแต่ละครั้งจะต้องคำ นึงถึงความเหมาะสมกับบุคคลและกาลเทศะ ซึ่งคำ บางคำ อาจเหมาะสมที่จะใช้กับเด็ก คำ บางคำ อาจเหมาะสมที่จะใช้กับผู้ใหญ่ ผู้หญิง ผู้ชาย พระสงฆ์ หรือพระมหากษัตริย์ นักเรียนจึงควรมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการเลือกใช้คำ ให้เหมาะสมกับกาลเทศะและบุคคล เพื่อนำ ไปใช้ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ซึ่งมีข้อสังเกต ดังนี้ ๑. ใช้ถ้อยคำ ให้เหมาะสมกับฐานะของบุคคล การพูดกับผู้ที่เรายกย่องนับถือ ต้องเลือกใช้คำ สุภาพที่แสดงถึงการให้เกียรติ ซึ่งในภาษาไทยมีคำ ให้เลือกใช้ที่เหมาะสมกับฐานะของบุคคล เช่น พระสงฆ์ฉันเพลที่วัด นักเรียนรับประทานอาหารกลางวันที่โรงอาหาร คำ ว่า ฉันเพล กับ รับประทานอาหารกลางวัน มีความหมายเดียวกัน แต่ใช้กับ บุคคลที่มีฐานะต่างกัน คือ ฉันเพล ใช้กับพระสงฆ์ รับประทานอาหารกลางวัน ใช้กับบุคคลทั่วไป ๒. ใช้ถ้อยคำ ให้ถูกกาลเทศะและโอกาส การเลือกใช้คำ ต้องเลือกให้ถูกต้องและเหมาะสมกับโอกาส เวลา และสถานที่ เช่น โอกาสที่เป็นทางการกับโอกาสที่ไม่เป็นทางการ (ใช้ในโอกาสที่ไม่เป็นทางการ) นอกจากนี้ในที่สาธารณะและสถานที่สำ คัญต้องใช้คำ พูดที่สุภาพเพื่อแสดงความ เคารพและให้เกียรติต่อสถานที่ ขอเชิญผู้ร่วมประชุมลงความคิดเห็น ขอเชิญท่านสมาชิกผู้เข้าร่วมประชุมร่วมแสดงความคิดเห็น (ใช้ในโอกาสที่เป็นทางการ)


๒๕ ๓. ใช้ถ้อยคำ ให้เหมาะสมกับสมัย ควรพิจารณาว่าคำ ที่ใช้นั้นเป็นที่ยอมรับว่าถูกต้องตามระเบียบในปัจจุบัน ไม่ ควรใช้คำ พ้นสมัย เช่น คำ โบราณทั้งหลาย เพราะอาจทำ ให้ผู้อ่านไม่เข้าใจ อีกประการ หนึ่งคำ ที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ ถ้าไม่จำ เป็นหรือไม่เป็นที่นิยมก็ไม่ควรใช้ ๕. ใช้ถ้อยคำ ให้เหมาะสมกับระดับภาษา ระดับภาษาที่เหมาะสมกับการเขียน ได้แก่ ภาษาระดับทางการ และอาจใช้ภาษา ระดับกึ่งทางการได้บ้างตามสมควร ระดับที่ไม่ควรใช้ ได้แก่ ภาษาปาก ๔. ใช้ถ้อยคำ ให้เหมาะสมกับความยากง่าย คำ ที่เลือกใช้ต้องเป็นคำ ที่สามารถเข้าใจได้ทันที ควรหลีกเลี่ยงคำ แปลหรูหรา เข้าใจยาก ตัวอย่างภาษาเขียนและภาษาปาก นอกจากนี้ควรพิจารณาด้วยว่า ดำ ที่ประกอบอยู่ในประโยคเดียวกันนั้น อยู่ใน ระดับภาษาเดียวกันหรือไม่ เช่น ไม่ทันสมัย เชย อาเจียน อ้วก ภาพยนตร์ หนัง ภาษาเขียน ภาษาปาก ข้าพเจ้ามีลูกอยู่ในความปกครอง ๒ คน (ลูก เป็นภาษาปาก ควรใช้คำ ว่า บุตร แทน) เขาแต่งกายด้วยพัสตราภรณ์ขาดกะรุ่งกะริ่ง (พัสตราภรณ์ มักใช้ในพรรณนาโวหาร ควรใช้คำ ว่า เสื้อผ้า แทน)


๒๖ ๒. ระดับภาษา การใช้ภาษาให้เหมาะสมกับกาลเทศะและบุคคลนั้นเกี่ยวข้องกับระดับภาษา ซึ่ง ระดับภาษาสามารถแบ่งตามสถานการณ์การใช้ภาษาได้เป็น ๓ ระดับ คือ ภาษาระดับ ทางการ ภาษาระดับกึ่งทางการ และภาษาระดับไม่เป็นทางการ ภาษาระดับทางการ คือ ภาษาที่ใช้อย่างเป็นทางการ มีความประณีต ถูกต้องตาม ระเบียบแบบแผนของการใช้ดำ สำ นวน และการเรียบเรียงคำ ในประโยค เช่น การกล่าว ถวายพระพร กล่าวรายงาน กล่าวบวงสรวงสดุดีบรรพบุรุษ กล่าวต้อนรับบุคคลสำ คัญ ประกาศแต่งตั้งตำ แหน่งหรือยศแก่บุคคลสำ คัญ หรือใช้กล่าวในที่ประชุมที่เป็นทางการ เช่น การอภิปราย บรรยายทางวิชาการจดหมายราชการ กล่าวสุนทรพจน์ กล่าวอวยพร ประกาศ หนังสือประเภทวิชาการ หนังสืออ้างอิงรายงานทางราชการ หนังสือราชการ แถลงการณ์ เช่น ๒.๑ ภาษาระดับทางการ ฝุ่นละออง PM ๒.๕ หรือฝุ่นละอองขนาดเล็ก ประกอบด้วยอนุภาคสารเคมี ที่เกิดจากกระบวนการเผาไหม้ของเชื้อเพลิง มีแหล่งกำ เนิดจากไฟป่า การเผาเศษ วัสดุการเกษตรประเภทข้าว ข้าวโพด และอ้อย การคมนาคมขนส่ง โรงงาน อุตสาหกรรม การใช้เชื้อเพลิงในครัวเรือน เป็นต้น และบางจังหวัดที่มีขอบเขตติด ประเทศเพื่อนบ้านอาจได้รับผลกระทบจากหมอกควันข้ามแดน (คู่มือปฏิบัติการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM... ระดับจังหวัดของกรม ควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คพ. ๐๓-๑๓๒) ภาษาระดับกึ่งทางการ คือ ภาษาที่ใช้สนทนาระหว่างบุคคลทั่วไปที่รู้จักกันแต่ไม่คุ้น เคยหรือไม่สนิทสนมกันมากนัก อาจมีฐานะ ตำ แหน่ง หรืออายุต่างกัน เช่น ใช้ในการ ประชุมกลุ่มย่อยการอภิปราย การบรรยายในห้องเรียน การแนะนำ บุคคล การปร่าศรัย ปาฐกถา การเขียนข่าวบทความ จดหมาย ประกาศ โฆษณาขององค์การ บริษัท ห้างร้าน สมาคม เช่น พูดถึงถุงก็คงต้องนึกถึงสิ่งของใกล้ตัวก่อนเลย นั่นคือ ถุงชนิดต่าง ๆ ที่เรา ใช้สอยกันอยู่ทุกวันและไม่มีใครปฏิเสธได้เลยว่าไม่เคยใช้ถุง ทุกครั้งที่เราต้องไปซื้อ ของหรือจ่ายตลาดถุงคือสิ่งสำ คัญที่ทุกร้านค้าจะต้องมี จะซื้อของแห้ง ของสด ของ ร้อน และของเย็น ถุงมีหลายชนิดแล้วแต่จะเลือกใช้ตามความเหมาะสมของสินค้า (ความรู้สารพัน จากพยัญชนะ ก-ฮ ของ ประพีร์พรรณ ภาณวะวัฒน์ และคณะ) ๒.๒ ภาษาระดับกึ่งทางการ


๒๗ ภาษาระดับไม่เป็นทางการหรือภาษาปาก คือ ภาษาที่ใช้พูดกันในชีวิตประจำ วัน ระหว่างสมาชิกในครอบครัว เพื่อนสนิท บุคคลที่รู้จักคุ้นเคยหรือสนิทสนมกันเป็นการส่วน ตัว ไม่ต้องระมัดระวังความสุภาพหรือความเป็นแบบแผนมากนัก ภาษาระดับไม่เป็น ทางการนอกจากจะใช้ในการพูดจาแล้ว ยังใช้ในการเขียนนวนิยาย เรื่องสั้น ละคร นิทาน ภาษาโฆษณา ภาษาหนังสือพิมพ์ บันเทิงคดี จดหมายส่วนตัว บันทึกส่วนตัว เช่น พอน้ำ มันแพง ของอะไรต่าง ๆ ก็ยกขบวนพากันขึ้นราคาตาม ที่ไม่ขึ้นก็มีแต่เงิน เดือนเรานี่แหละ ปกติเงินก็ใช้แทบไม่พอเดือนชนเดือนอยู่แล้ว พอของแพงทีนี้ก็คง ต้องกินแกลบกันละกระมังพวกเรา (นวพร ดำ เมือง และคณะ)) ๒.๓ ภาษาระดับไม่เป็นทางการ ตัวอย่างการใช้ภาษาระดับต่าง ๆ ภาษาระดับทางการ ภาษาระดับกึ่งทางการ ภาษาระดับไม่เป็นทางการ ผู้ปกครองขับรถจักรยานยนต์ ผู้ปกครองขับมอเตอร์ไซค์ไป ผู้ปกครองขับมอไซค์ไปส่ง ไปส่งบุตรหลานที่โรงเรียน ส่งลูกหลานที่โรงเรียน ลูกหลานที่โรงเรียน สวมหมวกนิรภัยก่อนเข้า สวมหมวกกันน็อกก่อนเข้า ใส่หมวกกันน็อกก่อนเข้า มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัย มหาลัย มารดาคลอดบุตรที่โรงพยาบาล คุณแม่คลอดลูกที่โรงพยาบาล แม่คลอดลูกที่โรงบาล สมชายไปพบทันตแพทย์ สมชายไปพบหมอฟัน สมชายไปหาหมอฟัน ภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ความ ภาพยนตร์เรื่องนี้สนุกมาก หนังเรื่องนี้สนุกมาก สนุกสนานแก่ผู้ชมมาก กระผมเห็นสมควรด้วยกับ ผมเห็นสมควรด้วยกับ ผมเห็นด้วยกับความคิดเห็นนี้ ข้อคิดเห็นนี้ ความคิดเห็นนี้


๒๘ แบบทดสอบ ๓ คำ ชี้แ ชี้ จง : ให้นัห้กนัเรียรีนทำ เติมติคำ ในช่อช่งต่อต่ ไปนี้ในี้ ห้ถูห้กถูต้อต้ง ภาษาระดับทางการ ภาษาระดับกึ่งทางการ ภาษาระดับไม่เป็นทางการ สามโมงเช้า แค่นี้ จำ นวนมาก คุณหมอ น้ำ หนักมาก อยาก , อยากได้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ความ สนุกสนานแก่ผู้ชมมาก กระผมเห็นสมควรด้วยกับ ผมเห็นด้วยกับความคิดเห็นนี้ ข้อคิดเห็นนี้


คำ ทับศัพท์และศัพท์บัญญัติแตกต่างกันอย่างไร สาระสำ คัญ ตัวชี้วัด ใช้คำ ทับศัพท์และศัพท์บัญญัติ (ท ๔.๑ ม.๓/๔) คำ ทับศัพท์ ศัพท์บัญญัติ ๔ บทที่ เช็กอิน ถิ่นศัพท์ใหม่ แวะตอบ จอดถาม


๑. คำ ทับศัพท์ ๓๐ คำ ทับศัพท์ เป็นการยืมคำ จากภาษาหนึ่งมาใช้ในอีกภาษาหนึ่ง โดยการถ่าย เสียงและถอดอักษรสำ หรับการยืมคำ ภาษาต่างประเทศมาใช้ในภาษาไทยนั้น เราจะถ่าย เสียงคำ ศัพท์จากเจ้าของภาษาเดิมแล้วนำ มาปรับใช้ให้เข้ากับลักษณะการออกเสียงของ ภาษาไทย ภาษาไทยยืมคำ ทับศัพท์จากหลายภาษา เช่น ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ภาษา บาลีและภาษาสันสกฤต ภาษาเขมร ภาษาชวา-มลายู ภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน ภาษาญี่ปุ่น แต่ที่นิยมใช้กันมากคือ ภาษาอังกฤษ ซึ่งมีหลักเกณฑ์ในการทับศัพท์ดังนี้ หลักเกณฑ์การทับศัพท์ภาษาอังกฤษ ๑. สระ ให้ถอดเสียงตามพจนนุกรมภาษาอังกฤษ และเทียบกับเสียงสระในภาษาไทย ๒. พยัญชนะ ให้ถอดเป็นพยัญชนะภาษาไทยตามหลักเกณฑ์การเทียบพยัญชนะ ภาษาอังกฤษ ๓. การใช้เครื่องหมายทัณฑฆาต (-์) จะใช้กำ กับพยัญชนะที่ไม่อกเสียงในกาษาไทย หรือคำ หรือพยางค์ที่ตัวสะกดมีพยัญชนะหลายตัวให้ใส่บนพยัญชนะที่ไม่ออกเสียงตัว สุดท้าย เช่น wallpaper วอลล์เพเปอร์ Windows วินโดวส์ ในกรณีที่คำ หรือพยางค์ที่มีพยัญชนะไม่ออกเสียงอยู่หน้าตัวสะกด และมี พยัญชนะหลังอีกให้ตัดพยัญชนะตัวหน้าออก และใส่เครื่องหมายทัณฑมาตกำ กับบน พยัญชนะตัวสุดท้าย world เวิลด์ first เฟิสต์ ๔. การใช้ไม้ไต่คู้ ( -็) จะใช้ในกรณีที่แสดงให้เห็นว่าคำ นั้นแตกต่างจากคำ ไทย และ เพื่อให้ผู้อ่านแยกพยางค์ได้ถูกต้อง เช่น shock ช็อก knock น็อก ๕. การใช้เครื่องหมายวรรณยุกต์ จะไม่นิยมใส่เครื่องหมายวรรณยุกต์ ยกเว้นในกรณี ที่คำ นั้นซ้ำ เสียงกับคำ ไทยทำ ให้เกิดความสับสน อาจต้องใส่วรรณยุกต์ เช่น shirt เชิ้ต coke โค้ก ๖. คำ ที่มีพยัญชนะซ้อนเป็นตัวสะกด ถ้าเป็นคำ ศัพท์ทั่วไปให้ตัดพยัญชนะสะกด ออกตัวหนึ่ง แต่ถ้าเป็นศัพท์วิชาการให้ใส่เครื่องหมายทัณฑมาตไว้ที่ตัวท้าย เช่น handball แฮนด์บอล James Watt เจมส์ วัตต์ ถ้าพยัญชนะซ้อนอยู่กลางศัพท์ ให้ถือว่าพยัญชนะซ้อนตัวแรกเป็นตัวสะกดของ พยางค์หน้า และพยัญชนะซ้อนตัวหลังเป็นพยัญชนะต้นของคำ ต่อไป เช่น broccoli บรอกโคลี collagen คอลลาเจน


๓๑ ๗. ถ้าสระพยางค์หน้าเป็นเสียงสระอะ เมื่อทับศัพท์ให้เปลี่ยนเป็นไม้หันอากาศ และ ซ้อนตัวสะกดของพยางค์หน้าเข้าไปอีกตัวหนึ่ง แต่ถ้าเป็นสระอื่นไม่ต้องซ้อนพยัญชนะ เช่น double ดับเบิล general เจเนอรัล ถ้าเป็นคำ ที่เติมปัจจัย เช่น -er, -ing, -ic, -y การทับศัพท์อาจทำ ให้เสียงผิดไปจาก เดิมให้เติมพยัญชนะตัวสะกดของพยางค์อีกตัวหนึ่ง เพื่อให้คงเค้าคำ เดิม เช่น trainer เทรนเนอร์ searching เชิร์ชชิง ๘. คำ ผสมที่มีเครื่องหมายยัติภังค์ให้เขียนติดกัน ยกเว้นศัพท์วิชาการ เช่น cross-stitch ครอสสติตช์ cobalt-60 โคบอลต์-60 ถ้าคำ ผสมที่เขียนแยกกัน เมื่อเขียนเป็นคำ ไทยให้เขียนติดกัน เช่น hula hoop ฮูลาฮูป home page โฮมเพจ ๙. คำ คุณศัพท์ที่มาจากคำ นาม ถ้ามีความหมายเหมือนคำ นามหรือมีความหมายว่า "เป็นของ"หรือ "เป็นเรื่องของ" หรือ "เกี่ยวข้องกับ" หรือ "เกี่ยวเนื่องจาก" ให้ทับศัพท์ในรูป คำ นาม เช่น focal length ความยาวโฟกัส atomic absorption การดูดกลืนโดยอะตอม ในกรณีที่ทับศัพท์ในรูปคำ นาม แล้วเกิดความหมายกำ กวมหรือคลาดเคลื่อน ให้ทับ ศัพท์ในรูปคำ คุณศัพท์ เช่น sulphuric acid กรดซัลฟิวริก metric system ระบบเมตริก ๑๐. คำ ย่อ ให้เขียนตัวอักษรนั้น ๆ ลงเป็นภาษาไทยโดยไม่ต้องใส่จุดและเว้นช่องไฟ เช่น FAQ เอฟเอคิว F.B.I. เอฟบีไอ ตัวย่อที่อ่านออกเสียงเหมือนคำ คำ หนึ่งให้เขียนตามเสียงที่ออกและไม่ใส่จุด เช่น BIOS ไบออส O-NET โอเน็ต ถ้าเป็นชื่อบุคคลให้ใส่จุด และเว้นช่องไฟระหว่างชื่อกับนามสกุล G.H.D.Cold จี.เอช.ดี. โคลด์ A.D.Smith เอ.ดี. สมิท ตัวอย่าง คำ ทับศัพท์ภาษาอังกฤษ download = ดาวน์โหลด e-book = อีบุ๊ก diese = ดีเซล old rose = โอลด์โรส clinic = คลินิก knot = passport = technic = cable = quota = นอต พาสปอร์ต เทคนิค เคเบิล โควตา


๒. ศัพท์บัญญัติ ๓๒ ศัพท์บัญญัติ เป็นคำ ศัพท์ที่สร้างขึ้นใหม่ให้มีความหมายตรงตามภาษาเดิม โดย รับเอาความคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ มาสร้างคำ ขึ้นใหม่ ทั้งนี้เนื่องจากในปัจจุบันวิทยาการ ต่าง ๆ เจริญก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว มีสิ่งเกิดขึ้นใหม่ จึงมีการสร้างคำ ใหม่เพื่อใช้กับสิ่ง เหล่านั้น ทำ ให้แต่ละสาขาวิชามีคำ ศัพท์เพิ่มขึ้นอยู่เสมอ โดยผู้ที่อยู่ในวงการหรือสาขา วิชานั้นเป็นผู้สร้างคำ หรือบัญญัติขึ้น ขั้นตอนการบัญญัติศัพท์ ๑. เลือกบัญญัติจากคำ ไทยก่อน โดยให้มีความหมายเดิมในภาษาอังกฤษ เช่น light year ปีแสง stand point จุดยืน ๒. หากหาคำ ไทยแท้มาบัญญัติไม่ได้จึงจะเลือกคำ ภาษาบาลีและภาษาสันสกฤตมา แทนแต่ต้องสะดวกในการออกเสียง ถ้าเป็นคำ ที่มีเสียงและความหมายใกล้เคียงกับภาษาเดิม ด้วยก็จะดี เช่น pollution มลพิษ database ฐานข้อมูล ๓. ถ้าไม่สามารถบัญญัติคำ ด้วยวิธีจากข้อ ๑ และข้อ ๒ ได้ต้องใช้คำ ทับศัพท์ไปก่อน จนกว่าจะหาคำ ที่เหมาะสมมาบัญญัติได้ คำ ที่ทับศัพท์แล้วจะต้องมีเสียงตามระบบเสียงของ ภาษาไทย เช่น digital ดิจิทัล clipboard คลิปบอร์ด ตัวอย่าง ศัพท์บัญญัติสาขาวิชาต่าง ๆ ศัพท์วิทยาศาสตร์ แบคทีเรีย การเบี่ยงเบน พลศาสตร์ ระบบนิเวศ ปรสิต, ตัวเบียน ศัพท์วรรณกรรมไทย bacteria deviation dynamics ecosystem parasite ปกิณกคดี บันเทิงคดี ภาพพจน์ โครงเรื่อง อุปมา analects fiction figure of speech plot simile


๓๓ แบบทดสอบ ๔ คำ ชี้แจง : ให้นักเรียนระบุประเภทของคำ ต่อไปนี้ ๑ คำคำคำคำศัศัศัพศัท์ท์ท์บัท์บับัญบัญัญัญัติญัติติติ ๒ คำคำคำคำทัทัทับทัศัศัศัพศัท์ท์ท์ท์ ๑..................................... ๒..................................... ๓..................................... ๔..................................... ๕..................................... ๖..................................... ๗..................................... ๘..................................... ๙..................................... ๑๐................................... ทฤษฎี กิจกรรม มลพิษ วิทยาศาสตร์ ดาวน์โหลด กัมมันตรังสี เคเอฟซี มหาวิทยาลัย เทคนิก เค้ก ๑๑..................................... ๑๒..................................... ๑๓..................................... ๑๔..................................... ๑๕..................................... ๑๖..................................... ๑๗..................................... ๑๘..................................... ๑๙..................................... ๒๐................................... เครือข่าย เรือดำ น้ำ ลูกเสือ โฮมเพจ ฝนกรด พาสปอร์ต โควตา คณิตศาสตร์ สารคดี ระบบประสาท


นักเรียนจะรู้ได้อย่างไรว่าคำ ใดเป็นคำ ไทยแท้ และคำ ใดเป็นคำ ยืมที่มาจากต่างประเทศ สาระสำ คัญ ตัวชี้วัด อธิบายความหมายคำ ศัพท์ ทางวิชาการและวิชาชีพ (ท ๔.๑ ม.๓/๕) คำ ศัพท์ทางวิชาการและวิชาชีพ ๕ บทที่ ความลับ ศัพท์อาชีพ แวะตอบ จอดถาม


๑. ความหมายคำ ศัพท์ทางวิชาการและวิชาชีพ ๓๕ ๒. การใช้ภาษากับกลุ่มอาชีพหรือวงการต่าง ๆ ภาษาที่ใช้ในกลุ่มสังคมหรือวงการต่าง ๆ แต่ละอาชีพหรือแต่ละวงการจะมีคำ ที่ใช้เฉพาะหรือเป็นที่เข้าใจกันในกลุ่ม เช่น ลักษณะคำ ศัพท์ทางวิชาการและวิชาชีพ คำ ศัพท์วิชาการและวิชาชีพ หมายถึง คำ ศัพท์ที่ใช้กล่าวถึงหรือใช้อธิบายเรื่อง ราวที่เป็นความรู้ทางวิชาการแขนงต่างๆ มักเป็นคำ ที่ไม่ใช้กันโดยทั่วไป เช่น ศัพท์ วิทยาศาสตร์ ศัพท์ทางธุรกิจสาขาต่างๆ ศัพท์กฏหมาย ฯลฯ ศัพท์วิชาการเป็นคำ ที่ผู้ ศึกษาวิชาการ เข้าใจร่วมกันเป็นอย่างดี ส่วนผู้ที่ไม่ได้ศึกษาอาจไม่เข้าใจ ศัพท์วิชาการ ส่วนมากเป็นคำ ที่รับมาจากภาษาต่างประเทศและนักวิชาการสาขานั้นๆ แปลหรือสร้าง คำ ขึ้นเป็นศัพท์บัญญัติและกำ หนดให้มีความหมายตรงกับคำ ภาษาต่างประเทศเหล่านั้น ๑. ใช้ในทางวาทกรรมวิชาการ ๒. มีทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน ๓. คำ จำ กัดความของศัพท์วิชาการอาจแตกต่างกันตามบริบท ๔. มักเป็นคำ สำ คัญ (Keyword) การติดต่อสื่อสารที่สะดวกสบายในปัจจุบัน ทำ ให้กลุ่มคนที่มีความสนใจในเรื่อง เดียวกัน หรือมีอาชีพเดียวกัน หรืออยู่ในวงสังคมเดียวกันได้สื่อสารแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดกันมากขึ้นจึงทำ ให้เกิดภาษาขึ้นเฉพาะในวงสังคมนั้น ๆ โดยมีความหมายเป็นที่ เข้าใจและยอมรับกันในกลุ่มของตน และขยายวงกว้างออกไปจนเป็นที่ยอมรับของทุก คนในสังคม ภาษาที่เกิดขึ้นในกลุ่มบุคคลต่าง ๆ มีดังนี้ ๑. วงการกีฬา ๒. วงการการเมือง เช่น นัดชิง ค้าแข้ง ทีมลูกหนัง เช่น ร่างรัฐธรรมนูญ ประชุมสภา เสริมทัพ ได้แต้ม นัดอุ่นเครื่อง ประชามติ ฝ่ายด้าน ฝ่ายรัฐบาล เข้ารอบ ปฏิรูป หาเสียง


๓๖ ภาษาที่ใช้ในกลุ่มวิชาการหรือวิชาต่าง ๆ ภาษาที่ใช้ในวิชาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี เช่น อะตอม นิวเคลียส วงโคจร โครโมโซม การแบ่งเซลล์ อัตราเร่ง ชั้นบรรยากาศ ดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์ ชีวมวล ๓. วงการสื่อสารมวลชน ๔. วงการเทคโนโลยี เช่น เหยี่ยวข่าว ทีวีดิจิทัล กองถ่าย เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI หรือ แหล่งข่าว พาดหัว ทีมงาน Artificial Intelligence) อินเทอร์เน็ต เบราว์เซอร์ ซอฟต์แวร์ บล็อกเชน ๕. วงการการศึกษา เช่น หน่วยกิต เกรดเฉลี่ย ตัวชี้วัดคะแนนผลสัมฤทธิ์ ปีการศึกษา แผนการสอน ในแต่ละสาขาวิชาจะมีคำ ศัพท์เฉพาะหรือศัพท์เทคนิคของวิชานั้น ๆ ซึ่งเป็นที่เข้าใจ ของนักวิชาการหรือผู้ที่เรียนสาขาวิชานั้น ๆ เช่น ภาษาที่ใช้ในวิชาภาษาไทย เช่น วรรณศิลป์ วรรณกรรม หลักภาษา ไทย คำ ทับศัพท์ ประโยค อักขรวิธี ศัพท์ บัญญัติ ฉันทลักษณ์ ภาษาที่ใช้ในวิชาคณิตศาสตร์ เช่น สมการ คูณร่วมมาก หารร่วมน้อย เศษส่วน ตรรกยะ อตรรกยะ จำ นวนเต็ม จำ นวนนับ ฟังก์ชัน ภาษาที่ใช้ในวิชาสังคมศึกษาฯ เช่น ระบบการปกครอง เศรษฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ยุคหิน ศาสนพิธี อุปสงค์ อุปทาน ภาษาที่ใช้ในวิชาศิลปะฯ เช่น ประติมากรรม นาฎยกรรม เครื่องสี เครื่องตี นูนต่ำ นูนสูง จิตรกรรม ดุริยางคศิลป์ การกัดกรด วิวตานก ภาษาที่ใช้ในวิชาการงานอาชีพ เช่น เทคโนโลยีชีวภาพ การปลูกผัก งาน ช่าง การเนา การด้น ประดิดประดอย เกษตรแบบยั่งยืน การถนอมอาหาร


๓๗ แบบทดสอบ ๕ ๑. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับศัพท์ทางวิชาการและวิชาชีพ ก. ศัพท์ทางวิชาการและวิชาชีพเป็นศัพท์ที่ใช้ในวิชาชีพแขนงต่าง ๆ ข. ศัพท์ทางวิชาการและวิชาชีพทุกคำ เป็นศัพท์บัญญัติ ค. ศัพท์ทางวิชาการและวิชาชีพส่วนมากเป็นคำ ยืมภาษาต่างประเทศ ง. ศัพท์ทางวิชาการและวิชาชีพทุกคำ บัญญัติโดยราชบัณฑิตยสภา ๒. หน่วยงานใดเกี่ยวข้องกับการบัญญัติศัพท์วิชาการและวิชาชีพมากที่สุด ก. กระทรวงศึกษาธิการ ข. สำ นักนายกรัฐมนตรี ค. สำ นักงานปลัดทบวงมหาวิทยาลัย ง. ราชบัณฑิตยสภา ๓. ศัพท์ทางวิชาการสร้างขึ้นโดยวิธีการใด ก. ทับศัพท์ ข. บัญญัติศัพท์ ค. ทั้งข้อ ก. และ ข. ง. ไม่มีข้อถูก ๔. ข้อใดเป็นศัพท์ทางธุรกิจทุกคำ ก. ผู้ผลิต ผู้บริโภค ผู้ประกอบการ ข. มลพิษ ทุนสำ รอง เงินปันผล ค. ดอกเบี้ย สถิติศาสตร์ พ่อค้าคนกลาง ง. ธนาคาร ลิขสิทธิ์ อีเมล ๕. ข้อใดเป็นศัพท์ทางวิชาการในหมวดหมู่ที่แตกต่างจากข้ออื่น ก. สัญลักษณ์ ข. วรรณคดี ค. วาทยกร ง. สุนทรียะ ๖. ศัพท์ทางเทคโนโลยีในข้อใดสามารถใช้ศัพท์บัญญัติแทนได้ ก. ปัจจุบันเป็นโลกของดิจิทัลที่ไร้พรมแดน ข. โทรศัพท์เธอมีซิมการ์ดแล้วหรือ ค. อินเทอร์เน็ตเป็นเครือข่ายสำ คัญของการสื่อสารในปัจจุบัน ง. แชทรูมสมัยนี้มีมิจฉาชีพอยู่จำ นวนมาก ๗. ศัพท์ทางวิชาการและวิชาชีพในข้อใดสะกดถูกต้องทุกคำ ก. อีเมล โลกาภิวัตน์ ข. ทรัมเป็ต แอลกอฮอล์ ค. กีฏวิทยา บุคลาทิศฐาน ง. แอนติบอดี ลิขสิทธ์ ๘. ข้อความต่อไปนี้มีศัพท์ทางวิชาการกี่คำ "ก๊าซเรือนกระจกที่อยู่ในชั้นบรรยากาศของโลกในปริมาณที่พอเหมาะเป็นสิ่งจำ เป็น เพราะจะช่วยรักษา อุณหภูมิมิให้หนาวเย็นจนสิ่งมีชีวิตอยู่ไม่ได้" ก. ๓ คำ ข. ๔ คำ ค. ๕ คำ ง. ๖ คำ ๙. คำ ว่า “Certificate” เป็นศัพท์ทางวิชาการว่าอะไร ก. คุณวุฒิ ข. มลพิษ ค. กิมิวิทยา ง. ประกาศนียบัตร ๑๐. คำ ว่า “ทวิภาคี ฝูงชน ลิขสิทธิ์ นิติศาสตร์” เป็นคำ ศัพท์ทางวิชาการในหมวดหมู่ใด ก. ศัพท์ทางธุรกิจ ข. ศัพท์ทางดนตรี ค. ศัพท์ทางกฎหมาย ง. ศัพท์ทางวิชาการทั่วไป คำ ชี้แ ชี้ จง : ให้นัห้กนัเรียรีนทำ เครื่อ รื่ งหมาย X คำ ตอบที่ถู ที่ กถูต้อต้งที่สุ ที่ ดสุ


นักเรียนจะรู้ได้อย่างไรว่าคำ ใดเป็นคำ ไทยแท้ และคำ ใดเป็นคำ ยืมที่มาจากต่างประเทศ สาระสำ คัญ ตัวชี้วัด แต่งบทร้อยกรอง (ท ๔.๑ ม.๓/๖) โคลงสี่สุภาพ ๖ บทที่ ร้อยกรอง คล้องคำ โคลง แวะตอบ จอดถาม


๑. ความรู้เกี่ยวกับการแต่งโคลง ๓๙ การแต่งบทร้อยกรองเป็นการเขียนเชิงสร้างสรรค์ที่ต้องมีความรู้เกี่ยวกับ ฉันทลักษณ์หรือรูปแบบของบทร้อยกรองประเภทนั้น ๆ รวมทั้งจะต้องมีศิลปะในการใช้ ถ้อยคำ สำ นวนภาษา และโวหารที่ลึกซึ้งกินใจ โคลง เป็นร้อยกรองรูปแบบหนึ่งที่มีลักษณะบังคับหรือฉันทลักษณ์ช่นเดียวกับ บทร้อยกรองประเภทอื่น แต่จะแตกต่างกันที่จำ นวนคำ จำ นวนวรรค ลักษณะการสัมผัส และการบังคับคำ เอก คำ โท ซึ่งเป็นลักษณะบังคับเฉพาะของบทร้อยกรองประเภทโคลง การแต่งโคลงนั้นเท่าที่ปรากฏหลักฐานพบว่านิยมแต่งกันมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น จวบจนถึงปัจจุบัน ลักษณะบังคับของโคลง โคลงมีลักษณะบังคับที่แตกต่างจากบทร้อยกรองประเกทอื่น ซึ่งมีลักษณะบังคับ ดังนี้ ๑. คณะ คือ การกำ หนดจำ นวนคำ ในวรรค ในบาท ในบทของบทร้อยกรอง สำ หรับ โคลงจะกำ หนดจำ นวนคำ จำ นวนบาทในหนึ่งบทแตกต่างกันไปตามประเภทของโคลง เช่น โคลงสี่สุภาพ บทหนึ่งมี ๔ บาท บาทหนึ่งมี ๒ วรรค วรรคหน้ามี ๕ ดำ วรรคหลังมี ๒ คำ วรรดสุดท้ายของบทมี ๔ ดำ และในท้ายบาทที่ ๑ และ ๓ อาจมีคำ สร้อยได้ ๒ คำ ๒.สัมผัส คือ คำ ที่คล้องจองกันในบทร้อยกรองทุกประเภทชื่งช่วยให้บทร้อยกรองมี ความไพเราะ แบ่งเป็น ๒ ลักษณะ คือ ๒.๑ แบ่งตามตัวอักษร มี ๒ ลักษณะ ได้แก่ ๑) สัมผัสสระ คือ คำ ที่ใช้สระเสียงเดียวกัน สั้นยาวเท่ากัน และมีตัวสะกด มาตราเดียวกัน ๒) สัมผัสพยัญชนะ คือ ดำ ที่มีพยัญชนะต้นเสียงเดียวกัน ถ้าเป็นพยัญชนะควบ กล้ำ ต้องอยู่ในชุดเดียวกัน ๒.๒ แบ่งตามตำ แหน่ง มี ๒ ลักษณะ ได้แก่ ๑) สัมผัสนอก คือ คำ สัมผัสต่างวรรคกัน เป็นการส่งสัมผัสเสียงสระจากคำ ท้าย วรรคไปยังคำ ที่อยู่ในวรรดถัดไป สัมผัสนอกเป็นสัมผัสบังคับ ซึ่งเป็นสัมผัสสระเท่านั้น ๒) สัมผัสใน คือ คำ ที่สัมผัสในวรรคเดียวกัน อาจเป็นสัมผัสสระ สัมผัสพยัญชนะ หรืออย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ สัมผัสในเป็นสัมผัสไม่บังคับจะมีหรือไม่มีก็ได้ ถ้ามีจะเพิ่มความ ไพเราะให้กับโคลง


๔๐ ประเภทของโคลง ๓. คำ เอก-คำ โท คำ เอก คือ คำ ที่มีรูปวรรณยุกต์เอกกำ กับอยู่แต่อนุโลมให้ใช้คำ ตายที่ไม่มีรูป วรรณยุกต์ คำ โท คือ คำ ที่มีรูปวรรณยุกต์โทกำ กับอยู่ คำ เอก คำ โท จะคำ นึงถึงรูปวรรณยุกต์ที่กำ กับอยูโดยไม่คำ นึงถึงเสียงและความ หมายแต่อย่างใด ดังนั้นจึงมีบางคำ ที่ต้องเปลี่ยนรูปวรรณยุกต์ เพื่อให้ตรงตามกฎบังคับของ การแต่งโคลง ซึ่งเรียกว่า เอกโทษ เช่น ใช้ ช่อ แทน ฉ้อ เคี่ยว แทน เขี้ยว และโทโทษ เช่น ใช้ ข้าย แทน ค่าย เถ้า แทน เท่า ๔. คำ สร้อย คือ คำ ที่ลงท้ายบาท ท้ายบทเพื่อความไพเราะในการเอื้อนเสียงหรือเพื่อ เพิ่มให้ใจความในโคลงสมบูรณ์ ซึ่งคำ หลังของคำ สร้อยจะต้องเป็นคำ เป็นเท่านั้น เช่น พี่นา แม่เอย ใดฤๅ โคลงแบ่งตามลักษณะ สามารถแบ่งได้เป็น ๕ ประเภท ดังนี้ ๑. โคลงสุภาพ เป็นโคลงที่ใช้คำ สุภาพ กล่าวคือ โดลงที่ใช้ดำ ที่ไม่มีรูปวรรณยุกต์ ใด ๆ กำ กับอยู่ เว้นแต่ว่าคำ นั้น ๆ จะบังคับคำ เอก คำ โท ซึ่งไม่ใช่คำ สุภาพ โคลงสุภาพแบ่ง ออกเป็น ๓ ชนิด ได้แก่ โคลงสองสุภาพ โคลงสามสุภาพ โคลงสี่สุภาพ ๒. โคลงดั้น เป็นโคลงที่มีลักษณะคล้ายโคลงสุภาพ แตกต่างกันที่วรรดสุดท้ายของ โคลง คือ โคลงดั้นลงท้าย ๒ คำ ส่วนโคลงสุภาพจะลงท้าย ๔ ค่ำ และการบังดับคำ เอก คำ โทที่ต่างกัน โคลงดั้นที่พบบ่อยครั้งมี ๓ ชนิด ได้แก่ โคลงสองดั้น โคลงสามดั้น โคลงสี่ดั้น ๓. โคลงลักษณะพิเศษ เป็นโคลงสี่ที่มีลักษณะพิเศษไปจากโคลงสี่ธรรมดา มี ๓ ชนิด ได้แก่ โคลงกระทู้ โคลงตรีพิธพรรณ และโคลงจัตวาทัณฑี ๔. โคลงโบราณ เป็นโคลงที่แปลงมาจากกาพย์ในภาษาบาลี มีลักษณะดล้ายโคลง ดั้นมาลี แต่ไม่บังคับคำ เอก คำ โท บังคับแต่สัมผัสเท่านั้น โคลงโบราณแบ่งออกเป็น ๘ ชนิด โคลงวิชชุมาลี โคลงมหาวิชชุมาลี โคลงจิตรลดา โคลงมหาจิตรลดา โคลงสินธุมาลี โคลง มหาสินธุมาลี โคลงนันทะยายี และโคลงมหานันทะยายี ๕. โคลงกล เป็นโคลงสี่สุภาพหรือโคลงสี่ดั้นที่มีลักษณะบังคับพิเศษเพิ่มไปจตก ปกติ คือมีลักษณะเป็นกล มีระบบกฎเกณฑ์ที่ชับซ้อนขึ้น โคลงกลแบ่งออกเป็น ๒ ชนิด ได้แก่ โคลงกลบทและโคลงกลอักษร


๒. การแต่งโคลงสุภาพ ๔๑ โคลงสุภาพ เป็นโดลงที่กำ หนดลักษณะบังคับ คณะ คำ เอก คำ โท และสัมผัส เฉพาะภายในบทแต่ละบท ซึ่งในการแต่งโคลงสุภาพมีลักษณะควรสังเกต ดังนี้ ๑. การใช้คำ เอก คำ โท และคำ สุภาพ ควรวางให้ตรงตำ แหน่งตามข้อบังคับที่กำ หนดไว้ เช่น จากมามาลิ่วล้ำ ลำ บาง บาง ยี่เรือราพราง พี่พร้อง เรือแผงช่วยพานาง เมียงม่าน มานา บาง บ่รับคำ คล้อง คล่าวน้ำ ตาคลอ (นิราศนรินทร์คำ โคลง ของ นายนรินทร์ธิเบศร์ (อิน)) ใช้คำ ตายแทนคำ เอกได้ เช่น ภูมีเมิล แมกไม้ ใจหวน โหยแฮ เห็นแต่ลิงค่างชวน ท่านแย้ม ลูกกกอกแอบอวล เต้นไต่ ไม้นา บ้างเก็บผลไพล่แก้ม กัดปล้อนปลิดพลาง (ลิลิตตะเลงพ่าย พระนิพนธ์ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส) สามารถทำ คำ เอกให้เป็นคำ โทได้ (คำ โทโทษ) เช่น บางเลนเป็นที่หลุ้ม แหล่งปลา แปลงปลักคลักคงคา ขุ่นข้น ไทยเจ๊กเด็กใหญ่ พาพวกซ่อน ช้อนเอย บุญส่งจงหลีกพ้น ทุกถั้วตัวปลา (โคลงนิราศสุพรรณ ของ สุนทรภู่) โคลงบทนี้ใช้ หลุ้ม แทน ลุ่ม และ ถั้ว แทน ทั่ว สามารถทำ คำ โทให้เป็นคำ เอกได้ (คำ เอกโทษ) เช่น รอนรอนอ่อนอกโอ้ อัศดง เลี้ยวเหลี่ยมพระสุเมรุลง ลับฟ้า มืดคลุ้มพุ่มไผ่พง พี่เปลี่ยว เดียวเอย เสียงพึ่งหึ่งหึ่งหน้า นึกคร้ามหวามถวิล (โคลงนิราศสุพรรณ ของ สุนทรภู่) โคลงบทนี้ใช้ พึ่ง แทน ผึ้ง


๔๒ คำ เอก คำ โท ท้ายวรรดแรกของโคลงสี่สุภาพ สามารถสลับตำ แหน่งกันได้ เช่น ลางนางตักน้ำ ท่า อาบองค์ ขดขมิ้นเหลืองบรรจง ลูบน้ำ หวีเกล้าเอาเทริดทรง ผมปีก ผัดหน้านวนงามล้ำ ยั่วเย้าใจชาย (กาพย์ห่อโดลงนิราศธารทองแดง พระนิพนธ์ เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร) ๒. การสัมผัส ไม่ควรใช้คำ เอก คำ โท เป็นสัมผัสนอก นอกจากจะบังคับไว้ เช่น บุญเพรงเพราะหากต้อง เป็นไทย บุญเพรงเพราะหากต้อง เป็นไทย ควรจักภูมิใจใน แผ่นหล้า ควรจักภูมิใจใน แผ่นหล้า บรรพชนหลั่งเลือดไว้ ไหลทั่ว บรรพชนหลั่งเลือดไหล รินทั่ว อัฐิกองเสียดฟ้า ปกป้องผืนดิน อัฐิกองเสียดฟ้า ปกป้องผืนดิน (นวพร ดำ เมือง และคณะ) (นวพร ดำ เมือง และคณะ) ห้ามใช้คำ สัมผัสซ้ำ เช่น ความรู้เกิดแต่ผู้ รักเรียน ความรู้เกิดแต่ผู้ รักเรียน จงหมั่นตั้งใจเรียน ไขว่คว้า จงหมั่นตั้งใจเพียร ไขว่คว้า ดุจปราชญ์หมั่นเยี่ยมเยียน สัปปุรุษ ดุจปราชญ์หมั่นเยี่ยมเยียน สัปปุรุษ คงแกร่งวิชากล้า มากด้วยปัญญา คงแกร่งวิชากล้า มากด้วยปัญญา (นวพร ดำ เมือง และคณะ) (นวพร ดำ เมือง และคณะ) สัมผัสพยัญชนะยิ่งมากยิ่งดี ส่วนสัมผัสสระให้เป็นไปตามกฎการสัมผัส เช่น แจ้วแจ้วจักจั่นจ้า จับใจ หริ่งหริ่งเรื่อยเรไร ร่ำ ร้อง แช้งแซวส่งเสียงใส ทราบโสต แหนงนิ่งนึกนุชน้อง นิ่มเนื้อนวลนาง (โคลงนิราศสุพรรณ ของ สุนทรภู่) ๓. เสียงวรรณยุกต์ คำ สุภาพท้ายวรรคนิยมใช้เสียงจัตวาหรือเสียงสามัญ ไม่ควรใช้ คำ ตายหรือเสียงวรรณยุกต์อื่น


๔๓ ๔. คำ สร้อย คำ สร้อยจะใช้เติมต่อท้ายบาทหรีอบทของโคลง เมื่อใจความยังไม่ สมบูรณ์หากใจความของโคลงบาทหรือบทนั้นสมบูรณ์แล้ว ก็ไม่จำ เป็นต้องเติมคำ สร้อย ตัวอย่างโคลงที่ไม่มีคำ สร้อย สุบรรณแผลงเดชล้ำ บินบน กางปีกบังสุริยน มืดฟ้า ร่อนลงสู่ไพชยนต์ ปรางค์มาศ เข้านั่งแอบนุชเคล้า แนบเนื้อนวลสมร (กาพย์เห่เรือ พระนิพนธ์ เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร) เกิดเป็นหมอกมืดห้อง เวหา หนเฮย ลมชื่อเวรัมภา พัดคลุ้ม หวนหอบหักฉัตรา คชขาด ลงแฮ แลธุลีกลัดกลุ้ม เกลื่อนเพี้ยงจักรผัน (ลิลิตตะเลงพ่าย พระนิพนธ์ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตซิโนรส) ข้อควรคำ นึงในการใช้คำ สร้อย - ในโคลงบทเดียวกัน ไม่ควรใช้คำ สร้อยเดียวกัน - ใช้ดำ สร้อยให้เข้ากับโคลงบทนั้น ๆ - ไม่ควรใช้ดำ สร้อยที่มีความหมายทั้ง ๒ คำ จะใช้ดำ สร้อยที่คำ แรกเป็นคำ ที่มีความ หมายคำ หลังเป็นคำ เสริม ตัวอย่างโคลงที่มีคำ สร้อย โคลงสี่สุภาพ โคลงสี่สุภาพ เป็นโคลงที่ได้รับความนิยมนำ มาแต่งมากที่สุดในบรรดาบทร้อยกรอง ประเภทโคลง ซึ่งมีลักษณะบังคับและวิธีการแต่งดังนี้ ๑. คณะ บทหนึ่งมี ๔ บาท บาทละ ๒ วรรค บาทที่ ๑, ๒, ๓ มีบาทละ ๗ คำ คือ วรรดหน้ามี ๕ คำ วรรคหลังมี ๒ คำ บาทที่ ๔ มี ๙ คำ คือ วรรคหน้ามี ๕ คำ วรรคหลังมี ๔ คำ รวมเป็น ๓๐ คำ อาจมีคำ สร้อยในบาทที่ หรือบาทที่ ๓ อีกบาทละ ๒ คำ ๒. คำ เอก คำ โท บังคับคำ เอก ๗ แห่ง บังคับคำ โท ๔ แห่ง ๓. สัมผัส ดำ สุดท้ายของวรรคที่ ๒ สัมผัสกับคำ สุดท้ายของวรรคที่ ๓ และคำ สุดท้ายของวรรคที่ ๕ คำ สุดท้ายของวรรคที่ ๔ สัมผัสกับคำ สุดท้ายของวรรคที่ ๗


๔๔ แผนผัง ตัวอย่าง เสียงภาเสียงเล่าอ้าง เสียงย่อมยอยศใคร สองเขือพี่หลับใหล สองพี่คิดเองอ้า อันใด พี่เอย ทั่วหล้า ลืมตื่น ฤาพี่ อย่าได้ถามเผือ (ลิลิตพระลอ) ตัวอย่างการแต่งโคลงสี่สุภาพ กำ หนดซื่อเรื่อง วางโครงเรื่อง เขียนเนื้อความเป็นร้อยแก้ว เขียนเป็นโคลงสี่สุภาพ ประโยชน์จากป่าไม้ มหาศาล คุณค่าเหลือประมาณ กล่าวได้ เป็นแหล่งสรรพาหาร ทุกทั่ว ชีพเฮย สร้างออกซิเจนให้ โลกใช้หายใจ (นวพร คำ เมือง และคณะ) คุณค่าของป่าไม้ ป่าไม้มีประโยชน์มหาศาล เป็นแหล่งผลิตอาหาร และสร้างออกซิเจน ประโยชน์จากป่าไม้มีมหาศาล ไม่อาจกล่าวได้ หมด เป็นทั้งแหล่งผลิต อาหารแก่คนและสัตว์ และเป็นแหล่งผลิตออกซิเจนให้แก่โลกของเรา


Click to View FlipBook Version