The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

What's on Easter Island?
ใช้อ่านเพื่อการศึกษาเท่านั้น

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ^Tassaporn^, 2023-11-08 03:22:15

What's on Easter Island?

What's on Easter Island?
ใช้อ่านเพื่อการศึกษาเท่านั้น

Keywords: Easter Island

คำนำ หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ เกาะอีสเตอร์ (Easter Island) ได้แต่ง และเรียบเรียงขึ้นมาโดยอ้างอิงจากแหล่งเว็บไซต์ต่าง ๆ เพื่อเผยแพร่ เรื่องราวต่าง ๆ บนเกาะอีสเตอร์แห่งนี้ ความลึกลับที่เป็นปริศนาภายในบนเกาะ โมอายคืออะไร ? ใครเป็น คนสร้างโมอาย ? โมอายเคลื่อนย้ายได้อย่างไร ? การล่มสลายของชาวโพลินี เชียน เรื่องราวเหล่านี้ตั้งแต่อดีตกาลภายในบนเกาะก็ยังคงเป็นปริศนาที่ไม่มี ข้อมูลแน่ชัดจวบจนปัจจุบัน เรียบเรียงโดย Sun pt.


2 46 สารบัญ I เกาะอีสเตอร์ 1-3 II ชาวเกาะอิสเตอร์ 4-7 III การสำรวจเกาะ 8-14 IV การเกิดสงคราม 15-21 V Ceremonial and Living 22-26 VI องค์ประกอบโบราณคดี 27-46 VII โมอาย 47-55 IX การเคลื่อนย้ายโมอาย 56-60 X กองทุนอนุเสาวรีย์ 61-65 XI การอนุรักษ์ 66-78 บรรณานุกรม 79-82


3 46 บทนำ ความลึกลับของเกาะอิสเตอร์นั้น มีหลายคนให้คำตอบไม่ได้ หลาย คนคงสงสัยว่าทำไมชาวเกาะอิสเตอร์ถึงต้องสร้างโมอายขนาดใหญ่ไว้ที่นี่ และ เคลื่อนย้ายรูปปั้นหินขนาดใหญ่นั้นได้อย่างไร ทำไมถึงชาวเกาะถึงสูญหาย ทำไมเกาะนี้ถึงลึกลับและห่างไกลผู้คน นักโบราณคดีหลายคนพยายามหา คำตอบมากมาย ถึงความลึกลับที่แสนน่าพิศวงนี้ แต่เพราะความลึกลับของเกาะนี้ทำให้เป็นที่ดึงดูดให้มีนักท่องเที่ยว และนักโบราณคดี เดินทางไปยังเกาะอีสเตอร์มากมาย ทั้งที่เกาะนี้แทบจะไม่ มีอะไรเลยนอกจากภูเขาหิน ชายหาด และผืนดินอันสุดแสนจะเวิ้งว้างว่าง เปล่า ความว่างเปล่านี้ทั้งชวนหลงไหล สวยงาม น่าค้นหา และน่าพิศวงใน เวลาเดียวกัน ถือเป็นอีกหนึ่งประติมากรรมโบราณที่มีความน่าสนใจ และทุก คนบนโลกก็ยังไม่สามารถหาคำตอบที่แน่ชัดได้


1 46 เกาะอีสเตอร์(Easter Island) Island) I มีภาษาท้องถิ่นว่า ราปา นุย (Rapa Nui) และภาษาสเปนว่า ปัสกวา (Isla de Pascua) โดยนักวิชาการบางคนนั้นเชื่อว่าแต่เดิมเกาะอีสเตอร์มีชื่อพื้นเมืองว่า Te Pito O Te Henua ซึ่งมีความหมายคือ Navel of The World หรือ “สะดือของโลก” ซึ่งเป็นเกาะเล็กๆที่ อยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิค และห่างจากชายฝั่งประเทศชิลีประมาณ 3,600 กิโลเมตร ขนาด ของเกาะนั้นมีพื้นที่เพียง 160 ตารางกิโลเมตร และมีความยาวเพียง 25 กิโลเมตร เกาะอีสเตอร์ เป็นมหาสมุทรกึ่งเขตร้อน จะมีลมอยู่ตลอด ในช่วงฤดูใบไม้ผลิฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วง ช่วง กันยายนถึงพฤษภาคม ลมค้าตะวันออกเฉียงใต้เด่นในฤดูหนาว ช่วงมิถุนายนถึงสิงหาคม พัด มาจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือ จากปีต่อปีและ ฝนจะมีแนวโน้มตกเป็นหลักมากกว่าพายุและ บ่อยครั้งในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน The Original Landscape (ทุ่งหญ้าที่ลาดเอียงเบา ๆ และพื้นที่ป่าเป็นครั้งคราว) เกาะมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมมานานหลาย 100 ปี แต่ก่อนจะปก คลุมไปด้วยพุ่มไม้และทุ่งหญ้ามีป่าบ้างบางพื้นที่ ในพื้นที่ร่มของพันธุ์ไม้พื้นเมืองของเกาะ มีต้น ปาล์มเฉพาะถิ่น ซึ่งตอนนี้สูญพันธุ์ไปแล้ว เช่นปาล์มชิลี , ต้นเดซี่และ hauhauเป็นต้นไม้เล็กๆที่ เปลือกใช้ทำไฟเบอร์ในการทำเชือกและอวนจับปลา 1


2 46 กัปตันเจคอบ รอกเกวีน แต่ต่อมานั้นพวกหูสั้นก็ทนกดขี่ข่มเหงไม่ไหวก็เลย ลุกฮือขึ้นมาโค่นล้มพวกหูยาวได้สำเร็จในปี ค.ศ. 1680ต่อมา มีนักเดินทางสามคนในยุโรปได้มาสัมผัสเกาะ คนแรกนำโดย กัปตันชาวสเปน Gonzalez y Haedo ในปี ค.ศ. 1770 ครั้ง ที่สองคือสี่ปีต่อมา นำโดยกัปตันคุก และคนสุดท้ายคือ Comte de La จากการสำรวจในปี พ.ศ. 2329 The Arrival of Europeans การมาของชาวยุโรป ในปี ค.ศ. 1722 เมื่อ เจคอบ รอกเกวีน และ กัปตันของเรือดัตช์ มาถึงเกาะนี้แล้วได้ให้ชื่อ เกาะนี้ว่า เกาะอีสเตอร์ โดยตั้งให้ตามวันที่พวกเขาเดินทางมาถึง แต่ที่นี่มี สิ่งที่ทำให้นักเดินเรือตะวันตกที่เดินทางมาพบในศตวรรษที่ 18 และต้องทึ่ง นั่นก็คือ “โมอาย” ซึ่ง เป็นหินแกะสลักรูปคนขนาดใหญ่มหึมา โดยพวกเขาได้บันทึกไว้เมื่อปี ค.ศ.1774 ว่า ที่นี่มีการแบ่ง ชนเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ คือกลุ่ม “หูสั้น” กับ “หูยาว” ซึ่งมีลักษณะต่างกันเช่น ผิวขาว ผมแดง รูปร่างสูงใหญ่ และใบหูยาว คนที่มีลักษณะพวกนี้คือ พวกหูยาว ซึ่งมีความฉลาดกว่าพวกผิวคล้ำตัว เล็ก ซึ่งก็คือ พวกหูสั้น โดยพวกหูยาวจะปกครองพวกหูสั้น และสั่งให้สร้างโมอายที่หน้าคล้ายบรรพ บุรุษขนาดมหึมาไว้เต็มชายหาดเพื่อบูชา


3 46 ชาวตะวันตกวันตกไม่เชื่อว่า ชาวเกาะอิสเตอร์จะสามารถสร้าง โมอายได้เป็น เพราะพวกเขามา พบในช่วงที่ตกต่ำ และละทิ้งโมอายที่เคยเป็นที่บูชาไป ซึ่งชาวพื้นเมืองที่นี่เป็นกลุ่มย่อย โดยคาดว่าน่าจะ เดินทางมาตั้งรกรากที่เกาะอีสเตอร์มานานนับพันปีได้มีการพโบราณวัตถุเก่าแก่ที่สุดซึ่งมีอายุอยู่ในช่วง ศตวรรษที่ 8-9 และจากหลักฐานทางโบราณคดีพบว่า ผู้ตั้งถิ่นฐานกลุ่มแรก ๆ น่าจะมาพร้อมกับเทคโนโลยีการก่อสร้างด้วยหินที่ก้าวหน้า และน่าจะ เดินทางมายังเกาะแห่งนี้โดยวางแผนไว้มากกว่าจะเป็นข้อสันนิษฐานที่ว่า ชาวเกาะกลุ่มแรกคือ ชาวประมงที่จะบังเอิญถูกกระแสน้ำพัดพามาติดเกาะ “เราคิดไม่ออกจริงๆ ว่า ชาวเกาะที่แทบไม่รู้จักเครื่องมือทุ่นแรงจะยก รูปสลักหินขนาดมหึมาเช่นนี้ได้อย่างไร” นี่เป็นการจดบันทึกของ กัปตันเจมส์ คุก ซึ่งเป็นนักเดินเรือชาวอังกฤษ


4 46 II นักโบราณคดีสมัยใหม่ได้เข้าไปสัมภาษณ์คนเก่าเเก่บน เกาะที่เหลืออยู่บนเกาะ เเละอ่านการจดบันทึกของกัปตัน จาค็อบ รอกเกวีน ชาวดัชต์และชาวยุโรปคนเเรกที่มาถึงเกาะนี้ เเละรวม ของกัปตัน เจมส์ คุก สันนิฐานว่าชนเผ่าเเรกที่มาอยู่เป็นชาว โพลินี เซียน เพราะมีความชำนาญในการสร้างเรือ เเละเดินเรือ เเละยังนำ ทางในทะเลเปิด ต่อมาในปี 1994 พบ DNA พบโครงกระดูกบนเกาะอี สเตอร์ 12 ชิ้น ยืนยันเเล้วว่าเป็นชาวโพลินีเซียน ชาวโพลินีเซียนกลุ่มเเรก มาตั้งถิ่นฐาน ใน ค.ศ. 400 - 700 Bc. ชาวเกาะอิสเตอร์ 4


5 46 ช ่ วงเวลาทางประวัติศาสตร์ ตามตำนานเกาะอีสเตอร์เมื่อประมาน 1,500 ปีที่เเล้ว หัวหน้าชาวโพลินีเซียม ชื่อว่า Hotu Matu’a (พ่อเเม่ผู้ยิ่งใหญ่) ล่องเรือด้วยเรือเเคนูคู่จากเกาะ polynesian พร้อม ครอบครัว อาหาร พืช และสัตว์เขาอาจจะเป็นนักเดินเรือที่มองหาที่อยู่ใหม่ หรือหนีจาก สงคราม เเละมาเจอเกาะอีสเตอร์ที่หาดอนาเคนา ปลายเเผ่นดิน เป็นชื่อเเรกของเกาะบน Rapa Nui


6 46 ชาวเมลาเซียน 5,500 คน เดินทางโดยเรือไปทางทิศตะวันตก ถึงเกาะตาฮิติ และหมู่เกาะมาร์เคซัส ในปี ค.ศ. 300 เรือแคนูได้เดินทางไปถึงเกาะเพื่อไปอยู่ บนเกาะอิสเตอร์ อยู่ในช่วงเวลา ค.ศ. 400 ปี ก็คือ ชาวโพลินีเซียน 6


7 46 การที่ Hotu Matu’a นำเมล็ดพืช และสัตว์ ทำให้รอดตายกับการมีอาหารกินบนเกาะ และพืชที่นำมาด้วย คือ คุมาระ มันเทศ มี 25 สายพันธุ์ ที่มีอยู่ทั่วไปบนเกาะคือ มะระ, ไมก้า, กล้วย, อ้อย, ว่านหางจระเข้ที่มีเหง้าหวานปรุงสุกได้และใบของมันให้สีที่ใช้ในการสัก และปัวขมิ้น ซึ่งเป็นต้นไม้ที่ให้สีย้อม ที่แนะนำคือหม่อนกระดาษ ซึ่งเป็นเปลือกทอทาปา สามารถใช้เป็นแฟชั่น ได้ มาริคุรุ ผลของมันที่ใช้เป็นสบู่ได้เพราะมันประกอบด้วยซาโปนิน มะโกะ หรือเรียกอีกอย่างว่า โอเชียเนียโรสวูด ซึ่งเป็นไม้ที่ใช้สำหรับแกะสลัก และยังมีไม้จันทน์ แต่ปัจจุบันไม่มีแล้วบนเกาะ ยกเว้นพืชที่ปลูกคุมมะระเผือก, ไมก้า และโทอา ประชากรของชาวโพลินีเซียม ในศตวรรษที่ 19 เป็นจุดเริ่มต้นของยุคหายนะของชาวโพลินีเซียมเตอร์และวัฒนธรรม ของพวกเขา ในตอนนั้นเกิดจากการบุกเกาะเพื่อจับคนบนเกาะประมาน 500 คน หนึ่งในนั้นมี หัวหน้า ลูกชาย และคนที่มีความรู้ไปขายเป็นทาสที่เปรูต่อมาเกิดการสู้รบภายในเกาะ และเกิด เป็นโรคระบาด ทำให้เหลือชาวเกาะอิสเตอร์รอดมาเเค่ 110 คนเท่านั้น 7


8 46 III การส ารวจเกาะ ในปีค.ศ. 1957 มี การพิมพ์จำหน่ายหนังสือของ “ธอร์ เฮเยอร์ดาห์ล” เป็หนังสือ เกี่ยวกับการสำรวจของเขา โดย ใช้ชื่อหนังสือเป็นภาษาพื้นเมือง ว่า “อากู-อากู”


9 46 ดานิเก้นกล่าวว่า รูปสลักหินขนาดสูง 30 ฟุต และหนัก 30 ตัน เกิน กำลังของชาวโพลินีเซียนที่จะสามารถสลักขึ้นมาได้ด้วยเครื่องมือแบบง่าย ๆ และหินที่ใช้สลักนั้นก็มีความแข็ง นอกจากนี้ชาวโพลินีเซียนไปแกะสลักหิน จากที่ภูเขาไฟห่างเข้าไปในตัวเกาะ และลากรูปสลักหินขนาดใหญ่ได้อย่างไร ในเมื่อพวกเขาไม่รู้จักการใช้ล้อเลื่อนเลย ดานิเก้นจึงสรุปขึ้นมาว่า ผู้ที่มาสร้างรูปสลักหินขนาดใหญ่นี้ขึ้นมา คือมนุษย์ต่างดาวที่เดินทางมาจากโลกอื่น และแวะลงพักที่เกาะนี้ชั่วคราว ด้วยจุดประสงค์บางอย่าง ก็เลยใช้เวลาว่างแกะสลักหินด้วยเครื่องมือที่คมจน สามารถตัดหินได้เหมือนใช้มีดตัดเนย ต่อมาในปี ค.ศ. 1960 มีการ จัดพิมพ์หนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า “รถทรงของ องค์พระเจ้า” (Chariots of the Gods) เขียนโดย “เอริค ฟอน ดานิเก้น” เป็นนัก ลึกลับศาสตร์ หนังสือรถทงขององค์พระเจ้า เขียนโดยเอริค ฟอน ดานิเก้น


1046 เมื่อยานอวกาศมารับพวกเขามนุษย์ต่างดาวจึงทิ้งรูปสลักหินที่สลักไว้เล่น ๆ ยามว่างไว้แล้วพากันขึ้นยานกลับสู่ดาวของตน มีหลักฐานสำคัญบางประการที่ดานิเก้น ใช้อ้างถึงการยืนยันเรื่องมนุษย์ต่าง ดาว เป็นหลักฐานที่มาจากตำนานของคนพื้นเมืองภายในเกาะ คือคนพื้นเมืองในเกาะมี ตำนานของมนุษย์ปักษี(Birdman) ชาวเกาะเชื่อว่าบรรพชนในอดีตของพวกเขา สามารถบินได้ในอากาศเหมือนนก แต่เนื่องจากว่าอารยะธรรมของชาวเกาะได้สูญไป เกือบหมด เพราะการทำลายล้างของนักเดินเรือผิวขาว ทำให้ดานิเก้น สรุปเอาว่าบรรพ ชนที่บินได้เหมือนนกของชาวเกาะคือ มนุษย์ต่างดาว Birdman Motifs at Orongo Mata Ngarau, Orongo Painted Slab from Orongo


1146 หลักฐานอีกประการที่ “ดานิเก้น” พบก็คือ ภายในบนเกาะนั้นมี ร่องรอยของถนนสายใหญ่ลาดลงไปตกทะเล ซึ่งแสดงว่าพื้นที่บางส่วนของ เกาะนั้นจมหายลงไปในทะเลด้วย คานิเก้น บอกว่าถนนสายนี้แหละที่มนุษย์ ต่างดาวสร้างขึ้นมาไว้เพื่ออำนวยความสะดวกในการพักอยู่ชั่วคราว กับ แผ่นดินเหนียวจารึกที่มีอักขระที่ไม่มีผู้ใดอ่านออก และคิดว่าน่าจะเป็นฝีมือ ของมนุษย์ต่างดาว เป็นเรื่องที่น่าแปลกใจที่คนสำรวจเกาะอย่างถี่ถ้วน และเขียน หนังสือไว้ก่อนหน้าอย่างธอร์ เฮเยอร์ดาห์ล กลับไม่โต้ตอบหรือออกมาปฏิเสธ แนวคิดของคาดิเก้น ทำให้นักวิชาการหลายคนถึงกับออกมาพูดโต้ตอบแทน อย่าง ดร.คลิฟฟอร์ด วิลสัน นักโบราณคดีใหญ่แห่งมหาวิทยาลัยเซาธ์ แคโรไล นา กล่าวว่าข้ออ้างที่เกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวที่เดินทางมาเยือนบนเกาะอี สเตอร์นั้นสามารถไขปัญหาเหล่านี้ได้ง่าย ๆ ด้วยวิชาโบราณคดีเท่านั้น นอกจากนี้ ในปี ค.ศ. 1976 ยังมีนักวิชาการอีกคนชื่อโรแนลด์ สตอ รี่ ที่ออกมาเขียนโต้แย้งแนวคิดของดานิเก้น และเรียกร้องให้ธอร์ เฮเยอร์ ดาห์ล ออกมาแถลงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความลับของรูปสลักหิน เฮเยอร์ดาห์ล คิดอยู่นานจึงตัดสินใจตกลงเขียนสรุปการสำรวจความลับบนเกาะอีสเตอร์ ออกมาให้ประชาชนรับรู้เฮเยอร์ดาห์ลบอกว่า เท่าที่ไปอาศัยคลุกคลีอยู่กับ ชาวเกาะเป็นเวลานาน 6 เดือนนั้น เขาได้รู้ความลับเบื้องหลังของรูปสลักหิน ว่า อายุของรูปสลักหินเหล่านี้นั้นไม่ได้มีอายุเก่าแก่อย่างที่เข้าใจกัน โดย สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 สมัยคือ


1246 สมัยแรกที่เริ่มแกะสลักหินเป็นหน้าคนนั้น เริ่มขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 300 หรือราวหนึ่งพันเจ็ดร้อยปีเสษมาแล้ว เป็นรูปปั้นสลักหินที่มขนาดไม่ ใหญ่มากนัก สันนิษฐานว่าชาวพื้นเมืองในสมัยนั้นยังไม่มีความรู้ความสามารถ เท่าที่ควร สมัยต่อมาในปี ค.ศ. 1100 รูปปั้นแกะสลักหินเริ่มมีขนาดใหญ่และ มีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น ซึ่งแสดงถึงช่างในสมัยนั้นเริ่มมีความรู้ความสามารถมาก ขึ้น เพราะว่ารูปปั้นแกะสลักหินบางรูปนั้นมีรูปร่างสูงถึง 32 ฟุต หนัก 32 ตัน และในสมัยสุดท้าย การแกะสลักหินนั้นได้เปลี่ยนไปเป็นการ แกะสลักเรื่องราวของมนุษย์ปักษีที่เป็นบรรพชนในอดีตกาลของพวกชนชาว พื้นเมืองในอดีตกาล จนถึงปี ค.ศ. 1680 พวกหูสั้น ได้ตกเป็นเบี้ยล่างสลักรูป เคารพให้แก่พวกหูยาว จากนั้นพวกหูสั้นได้ทำการรัฐประหารพวกหูยาว สำเร็จ และได้เลิกสลักรูปเคารพตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา เฮเยอร์ดาห์ล ได้ถามหัวหน้าชาวเกาะว่าคนโบราณขนรูปสลักหิน จากภูเขากลางเกาะลงมาสู่ชายฝั่งได้อย่างไร หัวหน้าชาวเกาะตอบมาว่า “มัน เดินมาเอง !”


1346 โดยฮเยอร์ดาห์ล เชื่อเหมือนกันว่ารูปสลักหินได้เดินลงมาจากภูเขา แต่ไม่ได้เดินลงมาด้วยตัวเอง แต่เดินลงมาได้ด้วยการใช้แรงชักลากของชาว เกาะโบราณ ฮเยอร์ดาห์ลได้ทดลองดูแล้วก็เห็นว่าไม่จำเป็นต้องใช้คนจำนวน เป็นพันหรือมากมายอย่างที่ดานิเก้นประมาณเอาไว้ แต่ใช้คนแค่ประมาณ 500 คนก็มีจำนวนเหลือเฟือที่จะใช้สำหรับชักลากรูปสลักหินลงมาที่ชายหาด ที่ได้ทำทางลาดรอเอาไว้ก่อนแล้ว โดยใช้อาศัยทางลาดนั้นเข็นรูปสลักหินที่มา จากภูเขา และถนนสายนี้ได้ตอบปัญหาของดานิเก้นที่ว่า มีถนนไว้เพื่ออำนวย ความสะดวกของมนุษย์ต่างดาว แท้จริงแล้วนั้นมีไว้เพื่อเข็นรูปสลักหินเท่านั้น เฮเยอร์ดาห์ลยังบอกอีกว่า ถ้ามนุษย์ต่างดาวเป็นผู้สร้างรูปสลักหิน เอาไว้จริง ๆ ทำไมจึงไม่ทิ้งเครื่องมือที่แสดงถึงความเจริญเอาไว้ เช่น โลหะ หรือพลาสติก ในส่วนของตำนานมนุษย์ปักษีนั้น เฮเยอร์ดาห์ลบอกว่ามันเป็นเรื่อง ของขนบธรรมเนียมดั้งเดิมของชาวเกาะในอดีตที่จะให้คนที่จะเป็นหัวหน้า ชาวเกาะแสดงความสามารถด้วยการไต่ขึ้นไปบนยอดผาริมทะเลแล้วกระโดด ร่อนลงมาลงสู่ที่ต่ำ ระหว่างที่กระโดดร่อนลงมานั้นก็ต้องฉกหยิบไข่ของนก ทะเลที่ทำรังบนชะงอนผาให้ได้ แล้วตกลงสู่น้ำทะเลและดำลงไป ถ้าหากใคร โผล่เหนือน้ำขึ้นมาได้โดยปลอดภัย ก็สมควรที่จะรับไว้เป็นหัวหน้าของชาว เกาะได้


1446 เฮเยอร์ดาห์ลยืนยันอีกอย่างประการอย่างหนักแน่นว่า หินที่ใช้สลัก รูปหน้าคนนั้นไม่ได้แข็งอย่างที่คิด เพราะมันเป็นหินภูเขาไฟที่เกิดจากการทับ ถมของขี้เถ้าจากปล่องภูเขาไฟ ถ้านำหินไปชุบน้ำให้เปียกก็จะสามารถ แกะสลักได้อย่างง่ายดาย เฮเยอร์ดาห์ลเคยขอให้หัวหน้าชาวเกาะสลักหินให้ ตัวเขาเองดู ปรากฏว่าใช้คนเพียง 6 คนแกะสลักหินด้วยขวานโบราณก็เสร็จ ภายในเวลาไม่ถึงเดือนเท่านั้น ทำให้สามารถแก้ต่างแนวคิดของดานิเก้นได้ทุก ข้อแบบหงายหน้า ทั้งในแง่ของ


1546 IV การเก ิ ดสงคราม


1646 การหาข้อเท็จจริงในอดีตของเกาะอีสเตอร์ ทำให้นักวิจัยหลายคนมองว่าเป็นปริศนา ตั้งแต่ 1.ความหมายของอนุสาวรีย์ 2.สาเหตุของการปะทุของสงคราม 3.การล่มสลายทางวัฒนธรรมนับพันปี นอกเหนือจากประเพณีปากเปล่าแล้ว ไม่มีบันทึกทางประวัติศาสตร์ก่อนที่เรือยุโรปลำ แรกจะมาถึง แต่หลักฐานจากหลายแขนง เช่น การขุดกระดูกและอาวุธ การศึกษาซากดึกดำ บรรพ์ และการวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงโวหารในรูปปั้นและภาพสกัดหิน ก่อให้เกิดภาพของเครื่องประดับ สำหรับหัวหน้า นักบวช และสายเลือดของชนชั้นสูง ทำให้เกิดการร่างภาพทางประวัติศาตร์ขึ้นมาคร่าว ๆ ผู้คนที่ตั้งถิ่นฐานบนเกาะพบว่า เกาะแห่งนี้ครอบคลุมด้วยต้นไม้ โดยเฉพาะปาล์ม ทรัพยากรอันมีค่าในการทำเรือแคนู และมี ประโยชน์ในการขนส่งโมอายในที่สุด พวกเขานำพืชและสัตว์มาด้วยเพื่อเป็นอาหาร แม้ว่ามีสัตว์ เพียงน้อยนิดที่รอดชีวิตคือไก่แ ะหนูโพลินีเซียนตัวเล็ก ประเพณีทางศิลปะที่โดดเดี่ยว


1746 ชาวเกาะจำนวนมากจากเผ่าวรรณะล่างได้รับสถานะเป็น ปรมาจารย์ช่างแกะสลัก นักดำน้ำ ช่างพายเรือแคนู หรือสมาชิกของสมาคม ช่างฝีมืออื่นๆ Georgia Lee นักโบราณคดี ใช้เวลาถึง 6 ปีในการบันทึกภาพสกัดหิน ของเกาะ พบว่าสิ่งเหล่านี้น่าทึ่งพอๆ กับโมอาย “The size, scope, beauty of designs and workmanship is extraordinary.” ในบางช่วงของประวัติศาสตร์ของเกาะ เมื่อทั้งศิลปะและ จำนวนประชากรเพิ่มขึ้น ทรัพยากรของเกาะถูกเก็บภาษีมากเกินไป ต้นไม้ ถูกโค่นมากเกินไป “Without trees you’ve got no canoes,” Pakarati กล่าว “Without canoes you’ve got no fish, so I think people were already starving when they were carving these statues. The early moai were thinner, but these last statues have great curved bellies. What you reflect in your idols is an ideal, so when everybody’s hungry, you make them fat, and big.” “There’s nothing like it in Polynesia,” เธอกล่าวถึงศิลปะหินชิ้นนี้


1846 เมื่อทรัพยากรเกาะแห่งนี้ร่อยหรอ Pakarati คาดเดาว่า พวกเขา โยนรูปเคารพลงและเริ่มฆ่ากันเอง ในบางช่วงของประวัติศาสตร์ของเกาะ เมื่อทั้งศิลปะและจำนวนประชากรเพิ่มขึ้น ทรัพยากรของเกาะก็ ร่อยหรอ ต้นไม้ถูกโค่นมากเกินไป “ไม่มีต้นไม้ คุณก็ไม่มีเรือแคนู” ปการตี กล่าว “หากไม่มีเรือแคนู คุณก็จะไม่มีปลา ฉันคิดว่าผู้คนหิวโหยแล้วตอนที่ แกะสลักรูปปั้นเหล่านี้ โมอายยุคแรกนั้นบางกว่า แต่รูปปั้นสุดท้ายเหล่านี้มี ท้องโค้งมหึมา สิ่งที่คุณสะท้อนถึงไอดอลในอุดมคติของคุณ ดังนั้นเมื่อทุกคน หิว คุณทำให้พวกเขาอ้วนและตัวใหญ่” ชาวเกาะอีสเตอร์ใช้ไม้ชนิดนี้ไปเรื่อยโดยไม่ได้คำนึงถึงอนาคต ไม้สำคัญนี้ ก็ค่อยๆ หมดไปจากเกาะ เมื่อไม่มีป่าไม้ผิวดินก็เสื่อมความอุดมสมบูรณ์ การ เพาะปลูกต้นไม้ก็ปลูกไม่ได้ สัตว์ป่าก็ค่อยๆ หมดไปจากการล่าของมนุษย์และ การไร้ถิ่นที่อยู่อาศัย


1946 ที่สำคัญเมื่อไม่เหลือไม้ให้ใช้อีกต่อไป เชื้อเพลิงก็ไม่เหลือ ชาวบ้าน ต้องเปลี่ยนพิธีกรรมในการทำศพ จากการเผาเลยต้องเปลี่ยนมาเป็นการทำ มัมมี่การขาดแคลนไม้ยังทำให้ชาวบ้านไม่มีวัตถุดิบไว้ทำเรือแคนู เมื่อไม่มีเรือ ก็ไม่สามารถออกหาปลาได้ เมื่อแหล่งอาหารบนเกาะร่อยหรอก็นำไปสู่ความ ขัดแย้ง และภาวะขาดแคลนอาหาร จนทำให้จำนวนประชากรลดลงอย่าง รวดเร็ว และอาจ เกิดสภาพที่ “คนต้องกินคน” ด้วยกันเอง นักโบราณคดีบาง คนชี้ไปที่ชั้นดินใต้ผิวดินที่มีหอกออบซิเดียนจำนวนมากซึ่งเป็นสัญลักษณ์การ ทำสงครามกะทันหันของชาวเกาะ เพราะเหตุนี้ นักมานุษยวิทยานิติ วิทยาศาสตร์ของสภาบัน Smithsonian Douglas Owsley ได้ศึกษากระดูก ของคนประมาณ 600 คนจากเกาะนี้ พบร่องรอยของบาดแผลมากมาย เช่น การถูกกระแทกที่ใบหน้าและศีรษะ แต่เพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่อาการบาดเจ็บ รุกรามจนทำให้บุคคลนั้นถึงแก่ชีวิต เนื่องด้วยเหตุผลนี้ "โมอาย" ก็เป็นหลักฐานสำคัญ


2046 “โมอาย” เองก็เป็นหลักฐานสำคัญของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เบื้องต้นมันถูกสร้างขึ้นด้วยความเคารพ การที่มันถูกสร้างให้ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ อาจแสดงถึงภาวะความยากลำบากของคนบนเกาะ ที่ไม่มีแหล่ง ทรัพยากรธรรมชาติ พวกเขา ภาวนาให้เทพเจ้าพอใจและดลบันดาลให้พวก เขามีความเป็นอยู่ที่ดี ไม่แร้นแค้นอย่างที่เป็นอยู่ จึงสร้างรูปสลักถวายให้ใหญ่ ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ แต่ยิ่งทำให้มันใหญ่โตแค่ไหนก็ไม่ได้ช่วยให้พวกเขามีความ เป็นอยู่ที่ดีขึ้น พวกมันจึงถูกชาวบ้านละทิ้งหรือล้มทำลายด้วยความโกรธแค้น โดยพวกเขาอาจไม่ได้คำนึงเลยว่า ความยากลำบากของพวกเขาเกิดขึ้นมา จากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติเยอะมากจนเกินไป ไม่รักษาแถมยังทำลาย จน พวกเขาลืมไปแล้วหรือว่า แทนที่พวกเขาจะนำเวลาไปสร้างโมอายมาถวาย เทพเจ้า เปลี่ยนมาเป็นช่วยกันอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติที่พวกเขามีอยู่ เพื่อ ช่วยเพิ่มพูนทรัพยากรป่าไม้ของพวกเขา ให้ดีกว่าเดิมยิ่งขึ้นไป


2146 ทั้งนี้ การมาถึงของชาวตะวันตกก็มีส่วนทำให้ประชากรในเกาะยิ่ง ยากลำบากแย่ยิ่งขึ้นไปอีก การสำรวจโดยสเปนในปี 1770 พบประชากรราว 3,000 คน และก่อนหน้าที่ เจมส์ คุก เดินทางมาถึงในปี 1774 ก็น่าจะเกิด สงครามภายในครั้งใหญ่ โดยเขาบันทึกว่ามีประชากรเหลือเพียงชายราว 600-700 คน และผู้หญิงเพียง 30 คน ซึ่งตอนนั้นชาวบ้านก็เลิกนับถือรูปปั้น ยักษ์ไปแล้ว หลังจากนั้นประชากรบนเกาะเริ่มฟื้นตัวขึ้นมา โดยในปี 1862 มี ประชากรบนเกาะราว 3,000 คน แต่การบุกเกาะเพื่อจับตัวชาวบ้านไปขาย เป็นทาสและการมาถึงของโรคฝีดาษ ก็ทำให้จำนวนประชากรบนเกาะลดลง เหลือเพียง 111 คน เมื่อปี 1877


2246 21 V Ceremonial and Living Centers 22


2346 หัวใจของพิธีการจะมีศูนย์กลาง คือแท่นบูชาหินใหญ่หรืออาฮู ซึ่งได้อุทิศให้กับบรรพ บุรุษ ที่ใช้บ่อยครั้งที่ Ahu โมอายที่เป็นตัวแทนของบรรพบุรุษ การประชุมหรือพิธีกรรม เช่น เป็น พิธีปฐมนิเทศ ชุมนุม และงานเลี้ยงใหญ่เพื่อแจกจ่ายพืชผลและอาหาร มักจะถูกจัดขึ้นต่อหน้า อาฮูและที่ด้านหน้าของรูปปั้น ระหว่างงานศพพิธีกรรม ศพจะถูกห่อด้วยผ้าตะปะที่ถูกสวมอาฮู จนกระทั่งมันสลายตัวเมื่อกระดูกถูกล้างและฝังอย่างระมัดระวังภายในโครงสร้าง Ahu ในโพรง หิน (avanga) บ้านของขุนนางที่ตั้งอยู่ใกล้อาฮูซึ่งส่วนใหญ่อยู่บริเวณฝั่งใน


2446 ซึ่งประเพณีที่ชนเผ่าใการประมงน้ำลึก แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงจากใต้ ท้องทะเลลึก การตกปลาบริเวณชายฝั่งที่มีหลายวิธี พบว่ามีใช้ตะขอเกี่ยวปลาเป็นหลักใน การตกปลาแถวชายฝั่งในที่น้ำตื้นและบนชายฝั่งทางใต้ใช้แหในการจับปลา 24


2546 The Evolution of theCulture Culture วิวัฒนาการของวัฒนธรรม ประมาณ 300 ปีก่อน สร้างศูนย์พิธีสำคัญครั้งแรกบนเกาะ คือ ศูนย์กลางที่ตาไฮ และวินาปู มีอายุประมาณ ค.ศ. 700 เช่นเดียวกับโมอายส่วนใหญ่บนเกาะ รูปปั้นบนอาฮูเหล่านี้ถูกแกะสลักที่ เหมืองราโนราราคุ จากผผู้เชี่ยวชาญการแกะสลัก tangata เมารี อังกา โมอาย มาเอ ซึ่งหยิบหินบะซอลหรือสิ่ว (โทกิ)มาทำเป็นหลัก เพื่อให้รายละเอียดของรูปปั้นเกือบทั้งหมด ถูกแกะสลักด้วยหินที่ยังคงอยู่ในเหมืองหินและได้มีการนำออกมาทำโมอาย 25


2646 pukao ถูกแกะสลักจากสกอเรียสีแดงของภูเขาไฟปูนาเปามีน้ำหนักากถึง 10 ตัน เป็น ตัวแทนของชาวเกาะ ย้อมผมด้วยดินแดง และมัดบนหัว ได้ติดรูปปั้นบางส่วนไว้ด้วยดวงตาเป็นสัมผัส สุดท้าย ที่ได้จากปะการังสีขาวกับสกอเรียสีแดงหรือสีดำ การออกรูปปั้นมีการพัฒนามากขึ้น และรูป ปั้นมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งขนาดของรูปปั้นแสดงถึงพลังของชนเผ่านั้นๆ ระหว่างช่วงในศตวรรษที่ 11 – 17 กำลังคนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้ทรัพยากรธรรมชาติของพวกเขาไม่เพียงพอต่อการดำรง อยู่อีกต่อไประบบเศรษฐกิจ Paro ที่ Ahu Te Pito te Kura ซึ่งสูงประมาณ 10 เมตร และหนักประมาณ 80 ตัน รูปปั้น ที่ใหญ่ที่สุดที่เหลืออยู่ในเหมืองหินมาตรการใกล้กับ 22 เมตรและน้ำหนักประมาณ 250 ตัน หลังจาก ที่เป็นยืนอยู่บนอาฮูของพวกเขา บางรูปปั้นได้รับ topknot (pukao) บนหัวของพวกเขา


2746 Gonzalo Figueroa G.-H. อธิบายถึงองค์ประกอบทางโบราณคดีที่สําคัญที่สุดของ เกาะอีสเตอร์ ที่ได้รับการดัดแปลงจาก คู่มือภาคสนามโบราณคดี, ราปานุย อุทยานแห่งชาติ, และเผยแพร่โดย CONAF กระทรวงเกษตร สาธารณรัฐชิลี ข้อมูลถูกจัดทําและแก้ไขโดย เจ้าหน้าที่วิชาการของสถาบันศึกษาเกาะอีสเตอร์ (Instituto de Estudios Isla de Pascua) ของมหาวิทยาลัยชิลี ภาพประกอบโดย R. Forster M. ข้อความและภาพวาดถูกพิมพ์ใหม่ โดยได้รับอนุญาตจาก CONAF VI องค์ประกอบโบราณคดี 27


2846 I. Ahu อาฮูเป็นประเพณีและพิธีฝังศพ ที่ซึ่งบรรพชนได้รับการบูชา พวกเขาเชื่อว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ คุ้มครองโดยทาทู องค์ประกอบที่สําคัญของอาฮูคือ แพลตฟอร์มสี่เหลี่ยมยกระดับคั่นด้วยบล็อกขนาดใหญ่ ที่ทำให้เป็นรูปเป็นร่าง หินที่ใช้ก้อนหินกรวดและดิน ส่วนบนจะแบนราบและถูกปูหรือขึงไว้ จะเกี่ยวข้องกัพ ลาซ่าด้านหน้าอาฮู โดยทั่วไปแล้ว อาฮูจะตั้งอยู่บนชายฝั่ง บางครั้งการสร้างอาฮู เกี่ยวข้องกับดาราศาสตร์ โครงสร้างที่เก่าแก่ที่สุดของสิ่งนี้ ได้ถูกบันทึกลงไปในในศตวรรษที่ 8 โครงสร้างเหล่านี้เป็นศูนย์กลางทางการเมืองของชนเผ่าต่างๆ เปรียบได้เหมือนเป็น มาแร ในภาค กลางและตะวันออกของชาวโพลีนีเซีย อาฮูพัฒนาขึ้นในช่วงเวลามากกว่าพันปี สร้างขึ้นด้วยองค์ประกอบ สุนทรียศาสตร์และความเชื่อ โดยใช้หินเรียงกันปูเป็นรูปร่าง ปีข้าง เมรุและรูปปั้น โดยทั่วไปเราสามารถ จำแนกประเภทของ ahu ได้ 3 อย่าง ได้แก่ ahu moai, semipyramidal ahu และ poepoe ahu ยกเว้น ahu moai อาฮูอีก 2 ประเภทดูเหมือนสร้างเพื่อใช้เป็นการฝังศพ ในช่วง (1680-1868) ส่วนใหญ่ของ ahu moai ถูกเปลี่ยนเป็นหลุมฝังศพขนาดใหญ่


2946 Ahu moai เป็นแง่มุมที่โดดเด่นที่สุดของยุคสถาปัตยกรรมก่อนประวัติศาสตร์ Rapanui คุณสมบัติที่ โดดเด่นคือรูปปั้น megalithic (moai) เพรารูปปั้นพวกนี้แสดงถึงความปาณีตของงานหินในยุคนั้น รูปวาด ต่อไปนี้แสดงถึง AHU ในยุคกลาง (ปี 1100-1680) กับองค์ประกอบที่อาจเชื่อมโยงกับงานหิน A. แพลตฟอร์มกลาง ที่รูปปั้นถูกวางไว้ (บางครั้งวางไว้มากถึง 15 ชิ้น) ผนังด้านหน้าโดยทั่วไป ประกอบด้วยแผ่นสี่เหลี่ยมที่ติดเข้าด้วยกันเป็นอย่างดี บางครั้งประกอบด้วยบล็อกสี่เหลี่ยมของส โกเรียสีแดง B. ปีกขยายออกไปทางด้านข้างของแพลตฟอร์มกลาง บางครั้งอาจอยู่ต่ำกว่าแพลตฟอร์มกลาง มี ทางลาดเอียงที่ปูด้วยหินและถูกกำหนดเขตด้วยด้านหลังและผนังด้านท้าย II.Ahu Moai


3046 C. ด้านหน้าและติดกันของแพลตฟอร์มกลาง เป็นทางลาดเอียงที่ปูด้วยก้อนหินจากทะเล D. หน้าและติดกันของแพลตฟอร์มกลาง เป็นทางลาดเอียงที่ปูด้วยก้อนหินจากทะเล E. พลาซ่าที่ขยายใหญ่ เป็นพื้นที่เปิดโล่ง ทําหน้าที่เป็นสถานที่สำหรับการพิธีการทางศาสนาต่างๆ พื้นที่ ถูกกําหนดโดยการจัดตําแหน่งของหิน เป็นที่รู้จักกันในชื่อ ไปน่า (Paina) พื้นที่เหล่านี้ถูกนํามาใช้ใน พิธีที่ระลึกและอาลัยถึงผู้ที่จากไปอย่างเป็นเกียรติ F. โมอิเป็นรูปปั้นของภูเขาไฟทัฟฟ์ ส่วนใหญ่ถูกแกะสลักในเหมืองหินของภูเขาไฟราโนราราคุPukao, topknots หรือ headdresses ของ red scoria, ถูกแกะสลักในเหมืองของเนินเขา Puna Pau Hill 30


3146 G. Crematoria ตั้งอยู่ด้านหลัง บนพื้นสูง มีโครงสร้างสี่เหลี่ยมที่ใช้การเรียงหินเพื่อแบ่งเขต จะพบเจอ เศษผงเล็กๆและชิ้นส่วนของกระดูกที่ถูกเผา H. ใกล้เคียงและติดกับผนังด้านหลังของบางอาฮู จะเป็นสี่เหลี่ยม ใช้ในการฝังศพทุกประเภท เป็นการ ฝากกระดูกที่ถูกเผาแล้ว ในบางอาฮู โครงกระดูกที่พบใน cists แสดงสัญญาณของการได้รับแสงจาก ดวงอาทิตย์คนที่ใช้ได้คือ หัวหน้า , นักบวช และคนที่มียศสูง I. อ่าวเล็กๆ ที่อยู่ใกล้ Ahu moai มีพื้นที่ปูด้วยหินและผนัง เรียกว่า Canoe ramp หรือทางลาดคานู J. ด้านหน้าของอาฮู ทางฝั่งด้านใน มักจะมีกลุ่ม hare paenga เป็นบ้าน 31


3246 III. Semipyramidal Ahu สงครามระหว่างชนเผ่าครั้งสําคัญเริ่มขึ้นประมาณศตวรรษที่ 17 ส่งผลให้มาอาย ถูกทำลายและ ตั้งใจที่จะโค่นล้ม โมอายที่ถูกทําลายจํานวนมากกลายเป็นกองหินขนาดใหญ่ (Tumuli) ที่คลุมรูปปั้นอย่าง สมบูรณ์แบบ ห้องขนาดใหญ่และ Funeral cists ถูกสร้างขึ้นใต้กองหินขนาดใหญ่พวกนี้ Ahu moai หรือ Tumulit ที่ถูกเปลี่ยนโครงสร้าง ได้รับการเรียกว่า semipyramidal ahu เพราะ เป็นพีระมิดที่ถูกผ่าครึ่งและมีความชันเอียงไปทางด้านหน้าและตั้งฉากผนังด้านหลัง นี้ก็อาฮู เหมือนกัน แต่เป็นเพียง Tumuli หรือแพลตฟอร์มงานศพ ตําแหน่งตามลําดับเวลายังไม่ได้รับการยืนยันที่ แน่ชัด แต่ถูกสร้างขึ้นในช่วงหลัง และถูกนํามาใช้ในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 19


3346 ชื่อนี้ได้มาจากรูปร่างของมัน โครงสร้างที่ยาวและมีแขนขาทั้งสองข้างยกขึ้นคล้ายกับเรือ (poepoe) สร้างขึ้นจากหินที่ไม่ได้ถูกตัด แต่เอาหินที่มีรูปร่างเข้ากันได้มาประกอบกัน การตกแต่ง ภายในมักขยายความยาวของโครงสร้าง ส่วนใหญ่อาฮูชนิดนี้สามารถพบได้ในภาคเหนือชายฝั่ง นอกจากนี้ยังมีตัวแปรรูปลิ่มของอาฮูชนิดนี้ซึ่งแกนยาว มักจะตั้งฉากกับชายฝั่ง ใน บางส่วนหินพวกนี้ถูกปกคลุมไปด้วยปะการังหรือก้อนสกอเรีย ถูกแต่งตั้งให้เป็นจุดบ่งชี้ตรงกลาง ของทางลาดที่อยู่ที่จุดสูงสุด หลักฐานทางชาติพันธุ์วิทยาบ่งชี้ว่าอาฮูชนิดนี้ถูกสร้างขึ้นหลังจากการ ค้นพบเกาะของชาวยุโรป IV. Ahu Poepoe 33


3446 การแสดงออกที่โดดเด่นของวัฒนธรรม เป็นลักษณะเฉพาะในโพลีนีเซีย โพลีนีเซียมีประมาณ 1,000 รูปบนเกาะ ส่วนใหญ่มีรูปแบบเดียวกัน และถูกแกะสลักในภูเขาไฟ จากเหมืองหินราโนราราคุ โม อายที่อยู่ใกล้จะมีขนาดใหญ่ แต่ห่างออกไปขนาดจะเล็กลงรูปปั้นราราคุเป็นแบบอย่างโดยโมอายจาก Ahu Ko te Riku (Tahai complex) มีขนาด สูง 5.2 เมตรแสดงให้เห็นถึงช่วงเวลา ในช่วง ค.ศ. 900 มีขนาดเล็ก ยุคแรกมีความผิดปกติจากต้นแบบ ใช้วัสดุอื่นๆในการแกะสลัก (ใช้หินบะซอลต์และสกอเรียสีแดง) และที่จะมีขนาดเล็กและดูเป็นธรรมชาติมาก หัวโค้งมนและการไม่มี กลีบหู แสดงให้เห็นว่ารูปปั้นพวกนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับอาฮู ในช่วงปี ค.ศ. 700 394 โมอายถูกบันทึกว่าค้นพบในเหมืองต่างๆและแถวเนินเขาของภูเขาไฟ ราโน ราราคุ ถูกละทิ้งในขนาดขนส่ง 3 ตัวถูกพบว่าของพวกมันมีหน้าอกที่โดดเด่นซึ่งแสดงให้เห็นว่ามัน เป็นตัวแทนเพศหญิง รูปปั้นที่ใหญ่ที่สุด ยาว 21.6 เมตรและติดอยู่กับหินในเหมืองด้านนอก น้ำหนัก 250-300 ตัน ในบรรดาตัวที่ขนส่งไปยังอาฮู รูปปั้นที่ใหญ่ที่สุดคือ โมไอ พาโร แห่ง Ahu Te Pito te Kura (ในเกาะตอนเหนือ) ความสูง 10 เมตรและหนัก 80 ตัน V. Moai


3546 VI. Pukao บนหัวของรูปปั้นบางตัว (เหมือนกับตัวที่อยู่ที่ Ahu Naunau) จะมีกระบอกที่ทำจากสกอเรียสี แดงที่ถูกนํามาจากเหมืองของ Puna Pau บริเวณใกล้เคียงของ Hangaroa และอาจมีน้ําหนักมากถึง 11 ตัน ความสําคัญของกระบอกพวกนี้ไม่ชัดเจน ผู้เขียนบางคนอ้างว่าพวกมันเป็นรูปร่างของทรงผม หรือ โมลีที่สังเกตชาวยุโรปคนแรกมาถึงเกาะ บางคนบอกว่ามันเป็นหมวก แต่ว่ามีรูปปั้นหลายรูปไม่มี Pukao ทำให้ผู้คนคิดว่าการตกแต่งของรูปทรงกระบอกบนหัวของรูปปั้นอันนี้ เป็นการมาเสริมเติมที่รูปปั้นทีหลัง 35


3646 VII. Ana ด้วยธรรมชาติของภูเขาไฟ บนเกาะจึงมีถ้ำจํานวนมาก ถ้ำถูกเป็นที่อยู่อาศัย บางคนใช้ ถ้ำเป็นสถานที่ฝังศพ โครงกระดูกส่วนใหญ่ที่พบในถ้ำแสดงถึงการเสียชีวิตที่เกิดจากโรคระบาด ในช่วงหลังสงครามเกาะ ถูกดัดแปลงเพิ่มโดยกําแพงหินที่ปิดช่องที่เปิดตามธรรมชาติ ทำให้ ทางเข้ามีลักษณะเป็นอุโมงค์ที่ยาวและแคบ (ไม่แนวตั้งก็แนวนอน) และเชื่อมต่อกับถ้ำภายนอก หินที่ยื่นออกมาและถ้ำขนาดเล็กถูกเรียกว่าคาวา นํามาใช้การประกอบอาชีพชั่วคราวและถูกทิ้งไว้ ถ้ำบางแห่งที่เรียกว่า ana kionga ถูกนํามาใช้ ฝั่งที่พ่ายแพ้ของสงครามเพื่อลี้ภัยหรือปิดกั้น ถูก แต่งตั้งให้เป็นสถานที่ ทาทู (สถานที่ต้องห้าม)


3746 ชาวโพลินีเซียม ใช้เป็นที่อยู่อาศัยคนชั้นสูง Hare Paenga เรียกว่า เรือบ้าน เพราะมีรูปร่าง คล้ายกับเรือคว่ำ แฮแพงก้ามีทรงทรงรี(ทรงไข่)และถูกสร้างขึ้นจากการตัดบล็อกแท่นหินบะซอลต์อย่าง ระมัดระวัง ด้านบนมีพืชที่แทรกอยู่ในโพรงบล็อกเหล่านี้ ทางเข้าแคบและและต่ำ แผ่นคอนกรีตและ คลุมด้วยฟางด้านหน้าเป็นทางเท้าครึ่งวงกลม VIII. Hare Paenga ภายนอกที่ทําด้วย หินโค้งมน (poro) ในแถวขนานกันภายในเรียบ ง่ายมาก และใช้สำหรับการนอนเท่านั้นความยาว 10-15 เมตร กว้าง 1.5-2.5 เมตร บางบ้านอาจยาวถึง 40 เมตร


3846 IX. Common House ส่วนใหญ่ที่พบเป็นบ้านทั่วไป มีรูปร่างเหมือนกับโพร่งกระต่าย มีทางเข้าที่มีขนาดเล็กกว่าใน hare paenga และโครงสร้างอันตราย เสาถูกแทรกลงในดินมีโดยตรง เช่นบ้าน (กระต่าย) และเตา อบดิน (umu pae) หนึ่งหรือหลายเตา (umu pae) เปลือกสวน (manavai) และบ้านไก่หิน (hare moa) ซึ่งมีความซับซ้อนแตกต่างกันเล็กน้อย บอกถึงการใช้งานได้หลากหลายมากขึ้น โครงสร้างรอง มักจะอยู่ห่างจากบ้านไม่เกิน 20 เมตร


3946 มานาวายถูกสร้างด้วยหิน มานาวายคือกำแพงเล็กๆ หรือส่วนหนึ่งของพื้นดินที่ปกคลุมด้วย หิน รอบๆ ต้นไม้ช่วยปกป้องพืชและดินโดยรอบจากแสงแดดโดยตรงและลมเค็มที่มาจากทะเล การใช้ มานาวายทำให้พืชไม่เพียงแต่เป็นอาหารเท่านั้นแต่ยังใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่นด้วย ตัวอย่างเช่น ใช้ mahute เพื่อเตรียมเสื้อผ้า X. Manavai


4046 XI.โมอา เป็นโครงสร้างของสี่เหลี่ยมผืนผ้า วางแผนด้วยปลายโค้งมน, คู่หนา ผนังของหินที่ไม่ได้ ทํางานด้วยกรวด เติมและรากฐานหนัก แคบ ห้องทํางานมีความยาวของการตกแต่งภายในของ โครงสร้างและมีการเข้าถึงภายนอกผ่านทางเดินขนาดเล็ก โดยทั่วไป พบในที่มีชีวิตและมีความ เกี่ยวข้อง กับโครงสร้างทางการเกษตรของ แม้ว่า พวกเขาได้รับการระบุว่าชาติพันธุ์เป็นบ้านไก่ การศึกษารายละเอียดของพวกเขาบ่งชี้ว่ามีสอง ประเภทของโครงสร้างที่คล้ายกันมาก อาจมี ฟังก์ชันที่แตกต่างกัน ความแตกต่างกันโดยพื้นฐานในแต่ละประเภทและขนาดของห้องภายใน ตาม Patrick McCoy กระต่าย moa เป็นลักษณะโครงสร้างของปลายยุคก่อนประวัติศาสตร์


4146 XII.Umu Pae เป็นอุปกรณ์ทําอาหารของชาวเกาะ การทำคือ ใช้หินร้อนๆในการทำให้อาหารสุก ขุดดินเพื่อ ทำเตาอบ ลึก 60 ซม. ใช้หินของ Umupae ห้าเหลี่ยม, สี่เหลี่ยมผืนผ้าและวงกลมมี 5-7ก้อน หิน สี่เหลี่ยมวางอยู่บนขอบในดิน


4246 บ้านทําด้วยแผ่นหินบะซอลต์ที่ ไม่แสดงสัญญาณของการตัด ใน บางกรณีหินรากฐานเหล่านี้ แทรกอยู่ในพื้นดินเอียงเล็กน้อย ต่อการตกแต่งภายใน และการจัดตําแหน่งศูนย์กลางอื่นเกิดขึ้นจาก หินที่ตั้งค่าในแนวนอนในพื้นดิน และดูเหมือนจะสร้างการปูภายนอก ในช่องว่างขนาดเล็กระหว่างการจัดแนวทั้งสองโพสต์และกรอบโค้ง XIII. Hare Oka


4346 XIV.Houses of Rectangular Plan บ้านของพวกเขามีสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีหิแทรกอยู่บนขอบพื้นดิน ภายนอกมีเล็ก เป็น สี่เหลี่ยมผืนผ้าและประกอบด้วย หินแบน, หินผิดปกติ, พบในด้านหน้า ของโครงสร้างหรือบางครั้งรอบ โครงสร้างทั้งหมด โครงสร้างเป็นวัสดุพืช กระท่อมเหล่านี้ใช้ชั่วคราว และพวกเขามักจะเกี่ยวข้องกับ ลิธิค การทํางานและปากกาขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้น ของหินencampments ตั้งอยู่ ท่ามกลางหุบเหวของ Maunga Terevaka อาจแสวงหาประโยชน์ ของไม้


4446 XV. Houses of Stone Masonry หมู่บ้านพิธีการของ Orongo มีพื้นที่สามเหลี่ยมขนาดเล็กระหว่าง การตกตะกอนของปล่อง ภูเขาไฟ Rano Kau และขอบภายนอก ประกอบด้วยโครงสร้าง 53 แห่งของ ก่ออิฐ, สร้างขึ้นในกลุ่ม ที่อยู่ติดกันและ สร้างคอมเพล็กซ์สถาปัตยกรรมที่ไม่เหมือนใคร ที่มีคุณสมบัติที่น่าสนใจเป็นต้นแบบ ในโครงสร้างอื่น ๆ ของเกาะรูปแบบพื้นฐานของที่อยู่อาศัยเป็นเวลานาน และวงรีแคบโดยมีด้านใน ทางเดินเข้าและการตกแต่งภายในโค้ง บ้านจะมุ่งเน้นไปที่ทั้งสาม เกาะเล็กชื่อที่เกี่ยวข้องกับลัทธิและ ตั้งอยู่ใกล้เชิงหน้าผา พวกเขา ถูกจัดเรียงในครึ่งวงรีที่ผิดปกติ ในชุดของโครงสร้างอย่างต่อเนื่อง ปรับ ให้เข้ากับส่วนบนของลาดดิน ผนังของบ้านหนามาก และถูกสร้างขึ้นจากสองหินแห้ง สกิน - แผ่น หินบะซอลต์เชิงมุมที่ได้รับจากเหมืองในพื้นที่ - และแผ่นดินเติมช่องว่างระหว่างพวกเขา หลังคาเป็น โดม corbeled ที่เกิดขึ้นจากเท้าแขน แผ่นคอนกรีตปกคลุมด้วยดิน เว็บไซต์คือ ที่เกี่ยวข้องกับ ช่วงเวลาล่าสุดของท้องถิ่นยุคก่อนประวัติศาสตร์ การออกเดทที่เร็วที่สุดสอดคล้องกับ 1410 และพิธี สุดท้ายกิจกรรมดูเหมือนจะเกิดขึ้นใน1876.


4546 XVI.Tupa ทูปา หน้าที่ของทูปาเป็นที่อยุ่อาศัยนักบวชใช้ในการสังเกตการณ์ดวงดาว การ สังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ทำให้พวกเขาทำนายการเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำในทะเลในแถบ เส้นศูนย์สูตร ซึ่งนำเต่ามาที่เกาะ (อาหารศักดิ์สิทธิ์และหนึ่งที่ถูกกำหนดไว้สำหรับพระราชา) และปี จันทรคติ เวลาสำหรับการเพาะปลูก การเก็บเกี่ยว และเทศกาลทางศาสนา และการมาถึงของนก และปลาอพยพเป็นทรัพยากรอาหารที่สำคัญ ทูปาเป็นหอคอยหินกลมที่มีแผนผังวงรีหรือวงกลมที่ มีหลังคาเรียบ ภายในห้องที่มีหลังคาโค้งเชื่อมต่อกับภายนอกผ่านทางเดินแคบและตรง กว้างของ ห้องแตกต่างกันไปตั้งแต่สองถึง 4 เมตรที่ระดับพื้นดิน และภายในห้องสูง 3 เมตร ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 30 แห่ง ส่วนใหญ่อยู่ตามชายฝั่ง


4646 Pipi Horeko เป็นสถานที่สำคัญที่สร้างจากหินในรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่กองเล็กๆ ไปจนถึง หอคอยทรงกลมอันวิจิตรงดงามในรูปแบบของกรวยที่ถูกตัดทอน ซึ่งมีความสูงสูงสุด 2 เมตรและความ กว้างฐานสูงสุด 1.8 เมตร ข้างในเต็มไปด้วยเศษหิน แหล่งข่าวบางแห่งรายงานว่าสิ่งปลูกสร้างเหล่านี้บางส่วนมีธงหรือเครื่องหมายแสดงความ แตกต่างที่ส่วนบนเพื่อระบุหน้าที่ของสิ่งปลูกสร้าง บางแห่งใช้เพื่อทำเครื่องหมายพื้นที่ Tapu หรือ ครอบครัวและทรัพย์สินของชนเผ่า ขณะที่ชาวประมงใช้เพื่อระบุจุดตกปลา XVII. Pipi Horeko 46


Click to View FlipBook Version