4746 VII โมอาย
4846 โมอาย(Moai) คือ รูปปั้นหินแกะสลักซึ่งมีรูปร่างคล้ายมนุษย์ และส่วนศีรษะมีขนาดใหญ่เด่นชัด หลายคนเข้าใจว่ารูปปั้นหินแหะสลักมีแต่ หัว จริง ๆ แล้วโมอายมีส่วนช่วงลำตัวด้วยเช่นกัน แต่ส่วนใหญ่ลำตัวของโม อายนั้นถูกดินกลบทับอยู่ ทำให้มีแต่ส่วนช่วงหัวที่โผล่ออกมาจากพื้นดิน รูป สลักนี้ที่จริงสร้างขึ้นเพื่อประดับอาฮู (Ahu) อันเป็นศาลเทพเจ้าที่ ตั้งอยู่ตามแถบชายฝั่งมหาสมุทร จากการค้นพบรูปปั้นที่แกะสลักไปบางส่วนยังไม่เสร็จสมบูรณ์ทำ ให้มีการสันนิษฐานขึ้นมาว่าเหมืองหินแห่งนี้ได้ถูกทิ้งร้างไปอย่างกระทันหัน นอกจากนั้นในการค้นพบโมอายเกือบทั้งหมดอยู่ในสภาพล้มนอน ซึ่งเชื่อว่า ชาวพื้นเมืองบนเกาะเป็นผู้ทำให้มันล้ม ความหมายและวัตถุประสงค์ของการสร้าง \ \
4946 โมอายนั้นยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนออกมา และมีการสันนิษฐานกันไป ต่าง ๆ นานา และข้อสันนิษฐานที่แพร่หลายมากที่สุดข้อหนึ่ง คือรูปปั้นโม อายถูกแกะสลักโดยพวกโพลิเนเชียน (Polynesian) ซึ่งอาศัยอยู่บนเกาะนี้ เมื่อกว่า 1,000 ปี โดยเชื่อว่าพวกโพลิเนเชียนสร้างโมอายขึ้นเพื่อเป็นตัวแทนถึงบรรพ บุรุษผู้ล่วงลับ หรืออาจจะเป็นผู้ซึ่งมีความสำคัญหรืออาจจะเป็นสัญลักษณ์ แสดงสถานะของครอบครัว โมอายถูกแกะสลักมาจากหินปูนแข็งที่ประกอบไปด้วยเถ้าลาวาจาก ภูเขาไฟที่อัดตัวกันเป็นก้อน โดยหินนี้สามารถหาได้จากยอดภูเขาไฟเตี้ย ๆ ที่ มีชื่อว่าราโนรารากู (Rano Raraku) ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเกาะ และรูป สลักบางรูปจะมีผมจุกขนาดใหญ่สีแดงอยู่บนหัว ซึ่งผมจุกสีแดงถูกแกะจาก หินสโกเรียสีแดง (scoria) จุกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดนั้นมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2.4 เมตร สูง 1.8 เมตร หนัก 11.5 ตัน แต่จุกส่วนใหญ่จะมีขนาดเล็กกว่านี้ ซึ่งหินสโกเรียสีแดงสามารถหาได้จากเหมืองที่ปูนาเปา ซึ่งเป็นยอดภูเขาไฟ เตี้ย ๆ ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะ
5046 ภายในเหมืองหินที่ราโนรารากูมีการพบอุปกรณ์แกะสลักที่เรียกกัน ว่าโตกิ (Toki) ทิ้งอยู่ คำว่าโตกินั้นเป็นภาษาราปานุย (Rapa Nui) ซึ่งเป็น ภาษาท้องถิ่นของชาวโพลินีเซียนที่ใช้เรียกเครื่องมือประเภทผึ่งถากไม้หรือ ขวาน โตกิทำจากหินบะซอลต์ซึ่งเป็นหินภูเขาไฟ ลักษณะเป็นก้อนสีคล้ำ ๆ อยู่ในหินปูนแข็ง ซึ่งมีเนื้ออ่อนกว่า ที่เหมืองหินมีรูปสลักถูกแกะค้างทิ้งไว้อยู่ 394 รูป และมีการ แกะสลักไปมากน้อยต่างกัน บางรูปก็เพิ่งจะขึ้นโครงหน้า บางรูปก็ใกล้เสร็จ แล้วเหลือเพียงตอกให้รูปสลักหลุดจากหนาผาเท่านั้น บางรูปก็นอนหงายอยู่ บางรูปก็ตะแคงข้างหลบลึกเข้าไปในซอกหน้าผา บางรูปก็เหลือเพียงแค่ขน ย้าย โดยมีหินก้อนกลม ๆ คอยรับน้ำหนักไว้ 50
5146 นักวิชาการได้สันนิษฐานว่า ในปี ค.ศ. 380 ได้เริ่มมีการสลักหินบะ ซอลต์เป็นรูปสลักคนนั่งคุกเข่า ต่อมาในปี ค.ศ. 1100 ได้มีการสลักหินเป็นรูป สลักโมอาย จากหินภูเขาไฟราโน รารากูที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเกาะ โดยมีลักษณะครึ่งลำตัว ลำตัวส่วนบนเหมือนผู้ชาย มีหน้าตาคลับคล้ายคลับ คลาเหมือนกันหมด คิ้วโหนกเป็นสัน ดวงตาของรูปสลักหินได้ใช้วัสดุอื่นฝังลง ไป ช่วงปลายจมูกเชิดขึ้นรับกับปากที่แบะและยื่นออกมา มีคางเหลี่ยม ติ่งหูมี ลักษณะยาว แขนแนบชิดกับลำตัว มีความสูงประมาณ 6-30 ฟุต น้ำหนัก ประมาณ 50 ตัน ตัน
5246 ชนิดของโมอายตามสถานที่ต่าง ๆ ในปี ค.ศ. 1960 ศาสตราจารย์วิลเลียม มัลลอย กับพวกชาวเกาะ ได้ทดลองยกรูปสลักหนัก 16 ตัน จำนวน 7 รูปขึ้นตั้งที่ Ahu Akivi ที่อยู่ทาง ทิศตะวันตกของเกาะ จากการทดลองช่วยทำให้เห็นได้ว่ารูปสลักหินขนาดที่ ใหญ่ที่สุดสามารถยกตั้งขึ้นมาได้อย่างไร โมอายนั้นจะถูกเรียกตามอาฮูที่โมอายตั้งอยู่ ซึ่งอาฮูมีอยู่หลายแห่ง ทั่วทั้งเกาะ ไม่ว่าจะเป็น Ahu Tahai อาฮูที่อยู่ใกล้เมืองมากที่สุด Ahu Tahai
5346 Ahu Akivi ต่อมา Ahu Akivi เป็นอาฮูที่มีโมอายวางอยู่บนฐาน 7 ตัว ที่ แปลกกว่าบริเวณอื่น ๆ เพราะโมอายทั้ง 7 ตัวหันหน้าออกไปทางทะเล 53
5446 ถัดไป Ahu Tongariki เป็นอาฮูที่มีโมอาย 15 ตัวด้วยกัน Ahu Tongariki Ahu Naunau และสุดท้าย Ahu Naunau มีโมอายวางอยู่บนฐานทั้งหมด 7 ตัว โดย 4 ใน 7 ตัวนี้มีพูคาโอบนหัวประดับด้วย
5546 นอกจากนี้ยังมีโมอายตัวที่ใหญ่ที่สุดที่ยังไม่ตั้งอยู่ที่ราโน รารากูมีความสูงอยู่ที่ 71.93 ฟุต และหนัก 145-165 ตัน ส่วนโมอายตัวใหญ่ที่สุดที่ตั้งขึ้นเรียบร้อยแล้วอยู่ที่ Ahu Te Pito Kura มีความสูงอยู่ที่สูง 32.63 ฟุต อีกด้วยเช่นกัน Ahu Te Pito Kura 55
5646 IX การเคลื่อนย้ายโมอาย
5746 ที่บริเวณใกล้ ๆ กับส่วนด้านบนของเหมือง มีรูลึกลงไปในหินความ ยาวประมาณ 1 เมตรอยู่หลายคู่ แต่ละคู่จะมีช่องเชื่อมถึงกันทุกรูคล้ายกัน กับเอาไว้เป็นที่ร้อยเชือก นอกจากรุคู่เหล่านี้แล้ว ยังมีร่องรอยต่าง ๆ ที่เกิดจากเชือกที่หนาถึง 10 เซนติเมตร เป็น เชือกที่น่าจะถักจากเส้นใยพืชประเภทต้นชบา มีคานไม้ที่สอดอยู่ในช่องหิน น่าจะใช้สำหรับพันเส้นเชือก เหมือนเป็นเสาผูกโยงเชือกที่แกะจากหินที่ยื่น ออกมา เส้นเชือกนี้น่าจะช่วยในการบังคับการคลื่อนย้ายรูปสลักหินลงไปตาม เนินของภูเขาไฟราโนรารากู ที่เนินข้างล่างของภูเขาไฟนั้นมีรูปแกะสลักหิน เหล่าเหล่านี้ตั้งอยู่ถถึง 103 รูป ซึ่งรูปสลักหินส่วนใหญ่ส่วนช่วงลำตัวจะจมล ลงไปในดิน โผล่พ้นออกมาแค่ช่วงส่วนคอไปถึงหัว
5846 ในการเคลื่อนย้ายรูปสลักหินนั้นไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตามย่อมขึ้นอยู่ กับ 2 ปัจจัยคือ แรงงานคนและไม้ซุงจำนวนมาก ซึ่งจากข้อมูลใหม่ ๆ กล่าว ว่าปัจจัยทั้ง 2 อย่างมีกำลังเหลือเฟือในยุคสมัยก่อนในการเคลื่อนย้ายรูปสลัก หิน กล่าวคือนักโบราณคดีขุดค้นพบว่าภายในหมู่บ้านหลายแห่งบนเกาะมี โครงเป็นไม้ซุงอยู่บนฐานหิน ในช่วงปี ค.ศ. 1000-1500 ที่มีการสร้างรูปปั้น แกะสลักหิน และอาฮู ศาสตราจารย์วิลเลียม มัลลอย แห่งมหาวิทยาลัยไวโอมิง ได้เสนอ แนวคิดไว้เมื่อ ปี ค.ศ. 1970 ว่าการเคลื่อนย้ายรูปสลักหินไปสู่ที่หมายนั้น น่าจะใช้วิธีคว่ำหน้ารูปสลักหินลง และมัดรูปสลักหินติดไว้กับเครื่องโล้ หรือ เลื่อนรูปโค้งที่ทำจากซุง และเคลื่อนที่ไปโดยมีเสาอันใหญ่ตั้งขนาบข้างอยู่ 2 ข้าง แต่บันทึกของ ดร.ฟาน ทิลเบิร์ก นั้นแย้งว่ารูปสลักไม่น่าจะใช้วิธีดังกล่าว ที่ ศาสตราจารย์มัลลอยเสนอไว้ได้ ต่อมาศาสตราจารย์ชาลส์ เลิฟ แห่งวิทยาลัยเวสเทิร์นไวโอมิง เสนอ ทฤษฎีว่า รูปสลักหินเหล่านี้ถูกเคลื่อนย้ายมาในสภาพแนวตั้ง และเพื่อพิสูจน์ ทฤษฎีนี้ ศาสตราจารย์ชาลส์ เลิฟจึงได้ลองนำรูปสลักหล่อด้วยคอนกรีตตั้งบน เลื่อนไม้และกลิ้งไปบนท่อนซุง มีอาสาสมัครคอยช่วยกันใช้เชือกลากรูปสลัก วิธีการทดลองนี้ใช้ได้ผลกับรูปสลักจำลองคอนกรีตที่ใช้ แต่ในความเป็นจริง แล้วมีรูปสลักหินเพียงไม่กี่รูปเท่านั้นที่มีฐานข้างล่างใหญ่พอให้เคลื่อนย้ายได้ ด้วยวิธีนี้
5946 ดร.ฟาน ทิลเบิร์ก ได้ศึกษารูปสลักหินจำนวน 47 รูป ที่นอนกระจัก กระจายอยู่ตามทางที่เตรียมไว้จากภูเขาไฟราโนรารากูไปสู่อาฮูที่ริมฝั่งทะเล และเสนอแนวคิดว่าคนโบราณน่าจะเคลื่อนย้ายรูปสลักหินโดยจัดให้วางไปใน แนวนอน อาจจะมีการนำบางอย่างมาห่อหุ้มรูปสลักหินเพื่อป้องกันความ เสียหายและรอยตำหนิก่อนจะบรรทุกขึ้นบนเลื่อนไม้ แล้วกลิ้งรูปสลักหินลง ไปบนท่อนซุงที่มีคานงัดและเชือกคอยช่วย วิธีการเคลื่อนย้ายน่าจะใช้ได้ดีกับ รูปสลักหินที่มีความยาวประมาณ 4-5 เมตร แต่ถ้ารูปสลักหินมีความยาว ประมาณ 10 เมตร อาจจะทำให้เคลื่อนที่ไปได้ไม่ถึงริมฝั่งทะเล และไม่ไกล จากเหมืองเกิน 1.6 กิโลเมตร
6046 นอกจากนี้พาเวล พาเวล (Pavel Pavel) นักทดลองชาวเช็ก ได้ตั้ง สมมุติฐานขึ้นมาว่า การเคลื่อนย้ายแท่งหินขนาดใหญ่นี้สามารถทำได้ด้วย เชือกและคนเพียง 17 คน พาเวลเขาก็ได้พิสูจน์ให้เห็น ณ สถานที่จริงว่า สามารถทำได้จริง ๆ โดยการผูกเชือกไว้ตามส่วนหัวและลำตัว จากนั้นก็ได้ให้ คนจำนวน 17 คนสลับกันดึงให้รูปสลักหินโยกไปมาเหมือนเดินได้ไปจนถึงที่ หมายได้อย่างปลอดภัย สลักหินที่ใหญ่ที่สุด ตั้งอยู่บนอาฮูที่บริเวณชายฝั่งทางทิศเหนือ ศาสตราจารย์วิลเลียม มัลลอย แห่งมหาวิทยาลัยไวโอมคาดว่าต้องใช้ช่าง ประมาณ 30 คน ใช้เวลาสลักประมาณ 1 ปี และใช้แรงงานคน 90 คน ใช้ เวลา 2 เดือนในการเคลื่อนย้ายรูปสลักจากในเหมืองไปถึงชายฝั่งมหาสมุทร ซึ่งมีระยะทางเกือบ 6 กิโลเมตร และต้องใช้แรงงานคนประมาณ 90 คน ใช้ เวลาอีกประมาณ 3 เดือนในการตั้งรูปสลักหิน และในส่วนของผมจุก สันนิษฐานว่ากลิ้งออกมาจากเหมืองหินปูนาเปา ซึ่งอยู่ห่างจากชายฝั่งไป 13 กิโลเมต
6146 พันเอกเจมส์ เอ.เกรย์ ผู้ก่อตั้งกองทุนอนุสาวรีย์โลก (เดิมคือ เรียกว่า InternationalFund for Monu ments) มาเยือนเกาะอีสเตอร์ในช่วงต้น ทศวรรษ 1970 เขาเดินทางไปที่นั่นตาม คำเชิญของเอกอัครราชทูตสหรัฐ เอ็ดเวิร์ด คอร์รี่ ที่เขาเคยพบเมื่อไม่นานนี้ในเอธิโอเปียที่ซึ่งเพิ่งจัดตั้ง WMF ขึ้นใหม่ ที่กำลังดำเนินการด้าน แรกคือ โครงการอนุรักษ์หินสกัดโบสถ์คอปติกที่ลาลิเบลา ท่านเอกอัครราชทูต คอร์รี่ เคยเป็นสหรัฐฯ ผู้แทนทางการทูตในเอธิโอเปีย ก่อนย้ายไปชิลีทำให้เขาติดต่อพันเอก และเชิญท่านมาดูอนุสาวรีย์ วิสามัญของเคาน์ X กองทุนอนุเสาวรีย์
6246 ในระหว่างการมาเยือนพันเอกเกรย์ได้เรียนรู้กับนักโบราณคดี ชาวอเมริกันที่ มหาวิทยาลัยไวโอมิง ดร.วิลเลียม มัลลอย ที่เพิ่งเสร็จสิ้นรายงานตามคำร้องขอของ UNESCO ในการอนุรักษ์และบูรณะของเกาะ เขาติดต่อศาสตราจารย์มัลลอย และความ ผูกพันระหว่างทั้งสองคน ประธาน WMF เอช.ปีเตอร์ สเติร์น ได้ ไปเที่ยวที่เกาะในเวลานั้นและมีความสนใจในวัฒนธรรมของมัน เขาเลยได้จัดให้มีการ สนับสนุนจากมูลนิธิราล์ฟ อี. อ็อกเดน จึงสามารถอนุญาตให้หมอมัลลอยทำงานบนเกาะได้ เป็นเวลาหกเดือนของทุกปีภายในระยะเวลาห้าปีโดยเริ่มในปี 2516 สามสาขาวิชาโครงการ ดำเนินการโดย ดร.มัลลอย มีผู้ร่วมงาน คือ กอนซาโล ฟิเกโรอาและนักศึกษาระดับ บัณฑิตศึกษา วิลเลียม ไอเรส และ แพทริค แมคคอย. ตอนหลังยังเป็นคนมอบหมายให้มีการ เริ่มสำรวจเชิงตรรกะของเกาะที่สมบูรณ์ แต่งานนี้ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อ ดร.มัลลอย ล้มป่วย และเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในปี พ.ศ. 2521 ทำให้ไม่มีใครสนับสนุนความรู้และวัฒนธรรมบนเกาะของเรามาก ดร.มัลลอย ยัง เป็นผู้เปลี่ยนศาสนา เขาต้องการสื่อถึงความสนใจและความหลงใหลในวัฒนธรรมของเกาะ ให้กับผู้คนให้ได้มากที่สุด สมาชิกของเขาได้รายงานตอนเดือนเมษายน พ.ศ. 2516 ให้มีการ บูรณะสถานที่ประกอบพิธีใกล้หมู่บ้านและสนามบิน เพื่อผู้ที่มาเยี่ยมชมสามารถชื่นชม วัฒนธรรมได้ ในระหว่างทางการไปเยือนเกาะโคโลเนล ยังสรุปว่าวัฒนธรรมยังต้องการการ เปิดเผยต่อสาธารณะมากขึ้น เขารู้สึกว่าคือหนทางเดียวที่จะทำให้ผู้คนสนใจวัฒนธรรมที่น่า อัศจรรย์นี้ เพื่อให้พวกเขาได้เห็นรูปสลักของมันก่อนใคร เพื่อให้บรรลุสิ่งนี้ เกรย์ และ มัล ลอย เริ่มวางแผนงานนิทรรศการหนึ่งในงานประติมากรรม colos sal ของเกาะอีสเตอร์ใน สหรัฐอเมริกา พวกเขาเลือกหัวหน้าโมอายสำหรับนิทรรศการระดับนานาชาติและช่วยเหลือ โดยกองทัพอากาศสหรัฐ จัดให้ได้บินไปยังสหรัฐอเมริกา ในระหว่างปี พ.ศ. 2511ในวอชิงตัน และSeagram
6346 20 ปีต่อมา อาคารในนิวยอร์ก เขาได้จัดนิทรรศการขึ้น 25 ปีต่อมา แพทย์จากนิวเจอร์ซีย์ เริ่มสนใจเกาะอีสเตอร์หลังจากเห็นงานนิทรรศการที่ นิวยอร์ค และได้บริจาคมรดกเกือบครึ่งล้านเหรียญให้กับ WMF เพื่อ สนับสนุนงานอนุรักษ์บนเกาะก่อนที่จะเสียชีวิต ก่อนที่ดร.มัลลอย จะเสียชีวิต เคยแนะนำไว้ว่า ไม่ควรสร้างสิ่งต่างในเกาะอีสเตอร์ขึ้นมาทดแทนใหม่แต่ให้ ดำเนินการตามความพินาศของพวกมัน การทำสงครามระหว่างกันเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์เกาะ เพื่อมุ่งเน้นความพยายามในการอนุรักษ์ที่มีอยู่เงื่อนไขอยู่มากตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ด้วยวิธีการโดยมรดกของ วิลลาร์ด และ รูธ ซอม เออร์วิลล์ WMF ได้ให้การสนับสนุนโครงการค้นหา และฝึกอบรมการอนุรักษ์ในพื้นที่ โดยร่วมมือกับสถาบันชิลีและนานาชาติหลายแห่ง ในปี 1986 WMF ได้ ร่วมมือกับ ICCROM และ CONAF สวนสาธารณะชิลีบริการในการสนับสนุน หลักสูตรฝึกอบรมบนเกาะสำหรับเจ้าหน้าที่อุทยาน นำโดย คาร์ลอส เวเบอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการอุทยานนักวิทยาศาสตร์ด้านการอนุรักษ์หิน A. Elena Charola และ Nicholas ในปี 2530 สหวิทยาการ การประชุม ระหว่างประเทศของ nary ได้รับการจัดระเบียบใน Santiago de Chile โดย ร่วมมือกับ ICCROM, CONAF และ DIBAM องค์กรชิลีที่รับผิดชอบ พิพิธภัณฑ์ ก่อตั้งตามลำดับความสำคัญในการอนุรักษ์มรดกของเกาะอีสเตอร์ ตั้งแต่นั้นมา ชาโรลา ได้กำกับกิจกรรมการทำงานร่วมกันของ WMF กับ Centro de Restauración ที่ซันติอาโกเพื่อติดตามเงื่อนไขในถ้ำ Ana Kai Tangata และเพื่อทำการวิจัยที่ไม่ได้ตีพิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์กับกรมอุทยานฯ
6446 เพื่อพัฒนาแผนการจัดการทางโบราณคดีปัจจุบัน WMF กำลัง ร่วมมือกับมูลนิธิเกาะอีสเตอร์ในการเผยแพร่รายงานภาคสนามของ Mulloy ซึ่งยังคงเป็นเอกสารสำคัญสำหรับนักวิจัยบนเกาะทุกคน ในปี พ.ศ. 2531 WMF ได้จัดงานนานาชาติการแข่งขันทางวิทยาศาสตร์สำหรับเอกสาร เกี่ยวกับการอนุรักษ์ปล่องภูเขาไฟตามข้อเสนอแนะของการประชุมปี 2530 นี้ สรุปให้ผู้เชี่ยวชาญด้านหินนานาชาติได้ประชุมกันบนเกาะแสดง ความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาที่ต้องเผชิญกับมรดก จากการประชุมครั้งนี้ ได้มี คำแนะนำว่าแผนแม่บทเป็นการก่อตั้งและดำเนินการมากกว่า 10 ปีที่จะ นำมาซึ่งการอนุรักษ์ที่ละเอียดอ่อนกับปัญหาของเกาะสู่สถานะสมดุลแต่น่า เศร้าที่สี่ปีต่อมามีความคืบหน้าเพียงเล็กน้อยในการตระหนักถึงโครงการนี้ ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากสถานการณ์ที่ซับซ้อนของรัฐบาลชิลีในเกาะอีสเตอร์ เนื่องจากการทับซ้อนกันของกฎหมายกระทรวงต่างๆ ทำให้ทั่วโลกต้อง ผิดหวังกับวัฒนธรรมของเกาะ แต่เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ค่อนข้างจะเบาบางเมื่อเปรียบเทียบต่อภัย คุกคามที่หลีกเลี่ยงอย่างหวุดหวิดไม่กี่ปีที่แล้วว่าเป็นโรงแรมขนาดใหญ่คอม เพล็กซ์ที่อาจสร้างขึ้นบนเกาะอีสเตอร์และบริเวณชายหาด แม้แต่การมาเยือน ของนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ เกาะอีสเตอร์มีไม่มีผู้พิทักษ์ถาวรหรือสิ่งอำนวยความสะดวกที่ จำเป็นสำหรับการเฝ้าติดตามอย่างต่อเนื่องของงานประติมากรรม ปัญหาการ ขาดแคลนของเจ้าหน้าที่อุทยานทำให้ไม่สามารถดูแลกิจกรรมทั้งหมดที่ส่งผล กระทบต่อมรดกทางโบราณคดี
6546 ทั้งๆที่มีคำแนะนำซ้ำโดยผู้เชี่ยวชาญและงานเบื้องต้นรัฐบาลชิลียัง ไม่ได้วางเกาะอีสเตอร์รายการในมรดกโลกซึ่งจะให้ความคุ้มครองและศักดิ์ศรี ต่อไปยังไงก็ต้องระลึกไว้เสมอว่าที่เกาะอีสเตอร์ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่ง เดียวของสมบัติทางวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ราปา ซิบุ๋มได้รับสิทธิค่า เล่าเรียนขั้นพื้นฐานของมนุษย์และตามรัฐธรรมนูญในปี 2508 เท่านั้น จนกระทั่งถึงตอนนั้นเกาะถูกมองว่าเป็นทรัพยากรเพื่อใช้ประโยชน์ในทางใด ทางหนึ่งที่เป็นไปได้
6646 XI XI การอนุรักษ์ 66
6746 มรดกทางโบราณคดีที่มองเห็นได้ชัดเจนที่สุดของเกาะอีสเตอร์คือ อนุสรณ์สถานอาฮู กับโมอาย โมอายยังหลงเหลืออยู่ในระโนเหมืองราราคุ เหมืองปูเกาหมู่บ้าน โอรงอ้อที่ตกแต่ง อย่างวิจิตรบรรจงบริเวณพิธีและอีกหลายๆที่ โมอายบางส่วนถูกทำลายในช่วงสงครามภายในเกาะ ต่อมาถูกทอดทิ้งเหลือแต่พิธีกรรม หลายปี ในปีพ.ศ 2509 William Malloy เห็นความสำคัญของการอนุรักษ์โมอาย จึงเสนอให้ พัฒนาเกาะเป็นที่โล่ง พิพิธภัณฑ์ได้เริ่มบูรณะของอาฮูและโมอายที่โค้นล้ม ถึงแม้ว่าอาฮูปล่อยทิ้ง ไวหลายปีพื้นที่รอบๆมีการเปลี่ยนแปลง โดยปัจจุบัน รูปปั้นโมอายแห่งเกาะอีสเตอร์ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในมรดกโลก โดย UNESCO และได้การจัดตั้งองค์กรขึ้นมาเพื่อศึกษาเรื่องราวของโมอายอย่างจริงจัง ประกอบกับในปีค.ศ.1888 เกาะอีสเตอร์ได้ถูกผนวกรวมเข้ากับประเทศชิลีและมีการ สร้างสนามบินขึ้น เกาะอีสเตอร์จึงได้กลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของโลกอีกแห่ง หนึ่ง และในช่วงสองสัปดาห์แรกของเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปีจะมีนักท่องเที่ยวเดินทาง มายังเกาะอีสเตอร์กันอย่างมากมาย เพื่อมาร่วมงานเทศกาลทาปาติ(Tapati) ซึ่งเป็นงาน เฉลิมฉลองของเกาะ โดยในงานจะมีทั้งการละเล่น การแสดง อาหาร แข่งกีฬา และดนตรี พื้นเมืองต่างๆ ซึ่งสร้างความประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี เหตุผลที่ได้รับรางวัลให้เป็นมรดกโลกโมอายได้ถูกรับเลือกให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1990 โดยมีเหตุผลดังต่อไปนี้ • เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงหลักฐานของวัฒนธรรมและอารยะธรรมของชาวโพลินีเซียนที่ ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันเป็นตัวแทนซึ่งแสดงผลงานประติมากรรมชิ้นเอกที่ จัดทำขึ้นด้วยการสร้างสรรค์ • เป็นตัวแทนซึ่งแสดงผลงานประติมากรรมชิ้นเอกที่จัดทำขึ้นด้วยการสร้างสรรค์ • เป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของวัฒนธรรมของมนุษย์ ขนบธรรมเนียมประเพณี สถาปัตยกรรม วิธีการก่อสร้าง การตั้งถิ่นฐาน
6846 67 The Unrestored Ahu 68
6946 Ahu ที่ไม่ได้รับการฟื้นฟูบนเกาะอิสเตอร์มีประมาณ 300 อาฮู ครึ่งหนึ่งถือโมอายหนึ่งตัวหรือมากกว่านั้น ขนาดจำนวนและเทคนิคของการ ก่อสร้างของรูปปั้นอาฮูนี้แตกต่างกันอย่างมาก บางคนก็ประดับด้วย ภาพเขียนสกัดหินหรือถูกทาสีอย่างหยาบ Ahu Akahanga ขึ้นชื่อเรื่องความเชื่อมโยงกับตำนาน Hot u Matu'a อาฮู ตั้งอยู่ทางตอนกลางของภาคใต้ชายฝั่งเรียกอีกอย่างว่า แพลตฟอร์มของกษัตริย์และหลุมฝังศพของ Hot u Matu'a อยู่ใกล้ๆ อาฮู แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าขั้นตอนต่าง ๆ ของการก่อสร้าง: มันมีสี่แท่น สิบ สองโมอายที่แตกต่างกันขนาดและแปด pukao ทางลาดขึ้นเรือจากอ่าวที่อยู่ ติดกัน ภายในประเทศจากอะฮู ฐานรากของเรือนเรือและสามารถมองเห็น เตาอบบดินได้อาฮู วินาปู ทางด้านตะวันตกของชายฝั่งทางใต้ รวมสามแยก อ่า วินาปูที่ 1 อะฮูผู้มาเยือนคนแรกจะพบทางด้านขวาของเส้นทางมีความ โดดเด่นในเรื่องของความสวยงามที่ลงตัวกำแพงหินซึ่งมีเทคนิคการก่อสร้าง เทียบได้กับที่ใช้แล้ว ในกำแพงหินที่ Cuzco และ Machu เป็นแผ่นสี่เหลี่ยมแผ่นใหญ่ ยึดไว้เติมส่วนหลักของแท่น อาฮูเดิมมีรูปปั้นหกรูปยืนอยู่บนแท่น แต่ปัจจุบัน ล้มลงด้านข้าง Métraux สังเกตเห็นว่าแต่ก่อนเป็นสีแดง โมอายด้านหลังกำแพง เหมือนถูกฝังลงในดินที่ถูกขุดขึ้นมาโดยเฉพาะสำหรับรูปปั้น Vinapu II ซึ่งอยู่ เหนือ
7046 Vinapu I แก่กว่า ตัวมีสีแดงหัวขาดรูปปั้นที่ Mulloy เป็นคนสร้าง ขึ้นใหม่ ยืนอยู่ในด้านหน้าของอาฮูน่าจะเป็นผู้หญิงร่างเดิมมีสองหัวซึ่งเชื่อ กันว่าทำหน้าที่เป็นปลายด้านหนึ่งของอุปกรณ์ที่ใช้จับท่อนไม้ที่สนับสนุนร่าง ผู้เสียชีวิตซึ่งห่อด้วยผ้าตาปาและทิ้งไว้จนสลายตัว ก็มีได้แนะนำว่าใช้เป็นเสา เครื่องบูชามนุษย์ของอาฮูที่สามซึ่งพบได้ที่ซ้ายของเส้นทางและอาจจะเร็ว ที่สุดหนึ่ง เหลือเพียงกองหิน NSบริเวณโดยรอบถูกรบกวนอย่างมากโดยการ ติดตั้งถังเชื้อเพลิงสนามบิน Ahu Te Peu อยู่ตรงกลางทางทิศตะวันตก มี สองอาฮู ภาคเหนือ อาฮูมีกำแพงด้านหลังเป็นบล็อกขนาดใหญ่ ส่วนหนึ่งของกำแพงนี้พังทลาย ลง เพราะจากการขุดค้นในช่วงการสำรวจทางโบราณคดีของนอร์เวย์ ในปี พ.ศ. 2498-2599 โมอายสี่ตัวถูกโค่นล้มซึ่งเป็นที่ตั้งของหลุม ฝังศพที่มีกระดูกหลายอัน มีทั้งกระโหลกศีรษะ เกินพลาซ่าเป็นเรือที่ใหญ่ ที่สุดของเกาะ โดดเด่นด้วยสองทางเข้า ที่พบรอบๆ Ahu Te Peu เป็นรั้ว สวนและห่างออกไปถ้ำและท่อลาวาหลายแห่งที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัย ถ้ำที่ใกล้ที่สุดกับอาฮู Ana Te Pora มีเตาอบดินใต้ที่ยื่นตรง ทางเข้า Ahu Heki'i ตั้งอยู่ทางชายฝั่งทางเหนือโดย La Perouse Bay มีสอง แพลตฟอร์มมีจุดมุ่งหมายทางดาราศาสตร์รูปที่ใหญ่กว่าซึ่งรองรับรูปปั้นหก รูป มีกำแพงด้านหลังขนาดใหญ่ตั้งไว้ตรงหน้าทางพระอาทิตย์ขึ้นใน ครีษมายัน ตัวที่เล็กกว่าจะเบ้เพื่อเผชิญหน้ากับการเพิ่มขึ้นพระอาทิตย์ใน ครีษมายัน ลานหน้าชานชาลาเล็กๆรูปปั้นและปูเกาดั้งเดิมที่
7146 Ahu Te Pito te Kura ทางทิศเหนือแต่ไกลออกไปทางทิศ ตะวันตก อาฮู Heki'i เป็นรูปปั้นที่ใหญ่ที่สุดที่เคยยืนบนอาฮู สูง 30 เมตร และหนัก 80 ตัน Moai Paro มีขนาดใหญ่มาก โดยมีน้ำหนัก 11.5 ตัน เป็น ตัวสุดท้ายที่โค้นล้ม หลัง พ.ศ. 2381 ใกล้อาฮูนั้นคือ Te Pito 'o te Henua หินกลมอยู่ริมน้ำ เชื่อกันว่า สะดือของแผ่นดิน Hotu เป็นคนนำมา ในช่วงปลายศตวรรษที่ 9 โดย William Thomson ในรายงานของเขาสู่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
7246 Conservation Treatments for Stone การอนุรักษ์หิน การอนุรักษ์มี 2 ประเภท การทำให้การรวมตัวและการทำให้วัสดุแข็งจะทนต่อการกัดเซาะและ ป้องกันการซึมผ่านของน้ำ มีการรวมตัวที่แตกต่างกันมากมายและผลิตภัณฑ์ Hydrophobization ที่พัฒนาขึ้นสำหรับหิน ประเภทต่างๆแลสำหรับปัญหาสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน พวกเขาต้องการห้องปฏิบัติการการทดสอบ เพื่อดูว่าผลิตภัณฑ์ใดมากที่สุดเหมาะสมกับหินนั้นๆ และการทดสอบในแหล่งกำเนิดเพื่อยืนยันว่าผู้ที่ ได้รับเลือกผลิตภัณฑ์จะต้านทานสภาพแวดล้อมของวัตถุ ในช่วงฤดูร้อนปี 2529-2530 ทดสอบกับโมอาย Hanga Kio'e โดยศูนย์อนุรักษ์และฟื้นฟูแห่งชาติ ซานติอาโก
7346 The Restored Ahu ที่ได้รับการฟื้นฟูในปี พ.ศ. 2457-2458 Katherine Routledge เห็นอาฮูรูปปั้น 15 รูป ล้มคว่ำหน้าอยู่ตรงหน้า ในปี 1960 อาฮูเกิดการสียหายจากคลื่นยักษ์ รูปปั้น ก้อนหิน และแผ่นหินขนาด ใหญ่ที่ใช้ในการก่อสร้างของอาฮูถูกคลื่นซัดเกลื่อนไปทั่ว มหาวิทลัยชิลีโดยสถาบันการศึกษาเกาะอิสเตอร์ “IEIPA’’ ได้ฟื้นฟู อาฮูที่เสียหาย จากคลื่นยักษ์ Ahu Akivi เป็นโมอายตัวแรกที่ได้บูรณะหลังที่ Ahu Ature ที่ถูกสร้างใหม่ ตามคำ สั้ง Thor Heyerdahl ในปี พ.ศ. 2499 ได้เริ่มการบูรณะWilliam Mulloy และ Gonzalo Figueroa
7446 ในปี พ.ศ. 2503 7 โมอาย บนอาฮู โครงสร้างเก่าของอาฮู มีการ ลงวันที่ ประมาน 1500 ไว้ข้างหลัง ต้นตำรับโครงสร้างของ อาฮู คือซาก เมรุ และโถงศพ ความน่าสนใจของการบูรณะไม่ใช่แค่ตัวโมอายก็คือ เรื่องของการ ที่มาอยู่บนเกาะนี้ คนบนเกาะมีความรู้เกี่ยวกับการเดินเรือ บางเรือได้จมลง ภายหลังนักดำน้ำได้เจอ Ahu Vai Teka ที่อยู่ใกล้เกาะ การบูรณะในเวลา เดียวกันได้เจอ Ahu Akivi เป็นอาฮูเล็กๆ มีรูปหล่อองค์เดียวไม่ครบ (เศียร ของโมอายคือไม่เคยพบ) The Tahai Complex หมู่บ้าน Hangaroa ให้ตัวอย่างที่ดีที่สุด ของศูนย์พิธี มีสามอาฮู – อาฮู Vai Uri กับห้า moai, Ahu Tahai เหมาะสม กับโมอายและอาฮูโกเตริคุกับโมอายตัวหนึ่งที่อาจเคยเป็นประดับด้วยปูเกา - และบริเวณโดยรอบบ้านเรือ เตาดิน ไก่บ้านสวน วงเวียนอุบลฯ(ใช้ใน พิธีกรรมบางอย่าง) หินบ้านเรือน ท่าเทียบเรือและทางลาดเรือ และถ้ำคอม เพล็กซ์ได้รับการบูรณะ พ.ศ. 2511 ถึง พ.ศ.2513 Mulloy, Figueroa และวิลเลียม ไอเรส ได้ให้มีการขุด และการบูรณะ หินบ้านเรียน ท่าเทียบเรือและทางลาดเรือ ถ้ำ คอมแพล็กซ์ 74
7546 ปี พ.ศ. 2533 การบูรณะ Ahu Vai Uri รวมทั้ง ท่าเทียบเรือ และ ทางลาดเรือและหินผนังที่สร้างบ้าน และโครงการนี้ได้ปิดถ้ำบางส่วน เพราะ ไม่รู้ว่าเป็นที่อาศัยหรือทูปาขนาดใหญ่ใช้สำหรับการสังเกตทางดาราศาสตร์ พบหลักฐานที่พวกเขาใช้เป็นที่อยู่อาศัย ไม่ไกลจากคอมเพล็กซ์ ตาไฮเป็นอนุสาวรีย์ขนาดเล็กที่ทำเครื่องหมายหลุมฝังศพของวิลเลียมมัลลอย ซึ่งเสียชีวิตในปี 2521 ในปี พ.ศ. 2515 ที่อ่าว hanga Kio'e ทางเหนือของ Tahai มัล ลอยได้บูรณะ AhuHanga Kio'e เป็นสองอาฮูแรกที่สมบูรณ์แต่มีแค่เศษเสี้ยว ของโมอาย ที่ยืนอยู่บนอาฮูที่สอง ที่หักพังของ Ahu Akapu ซับซ้อนพิธี ไก่ที่ได้รับการฟื้นฟูบ้านตั้งอยู่บนขอบที่ดินของพลาซ่า Ahu Hanga Kio'e อาจจะเป็นหนึ่งในอาฮูโมอายสุดท้ายที่ได้รับสร้างขึ้นบน เกาะ (ประมาณศตวรรษที่ 17) ในปีเดียวกัน มัลลอย ได้บูรณะ Ahu Huri a Urenga ที่อยู่ใกล้กับ หมู่บ้าน Hangaroa ความโดดเด่นของมันคือ มีสี่มือ อาฮู การวางต่ำแหน่งมีความซับซ้อน อยู่ในแนวเดียวกันมีเนินเขาใกล้เคียง สองแห่ง คือ มองกา มาตาเอนโก และ มองกา ทาราไรนา เช่นเดียวกับกับ อาฮูเล็กๆ อีกสองตัวคือ โกเตเป่ยโตทิศตะวันออกและโอ Kava ไปทางทิศ ตะวันตกและแท่นเบ้เผชิญกับฤดูหนาวที่เพิ่มขึ้นดวงอาทิตย์. ในปี พ.ศ. 2519 Mulloy เริ่มบูรณะ “อาฮูโอกะวะ” เป็นโมอายตัว เดียวที่อยู่ใกล้กับ Ahu Huri a Urenga แต่บูรณะไม่สำเร็จ เนื่องจากMolloy ป่วย
7646 แต่สำเร็จในปี พ.ศ. 2520 โดย Figueroa และ Sergio Rapu เป็น คนช่วย เพราะเป็นคนที่ทำงานอใกล้ชิดกับ Mulloy Ahu Tautira ตั้งอยู่ที่ ชายทะเลของหมู่บ้าน ในปี พ.ศ. 2521 โดย Figueroa ด้วยความช่วยเหลือของ Sergio Rapu ที่ทำงานอย่างใกล้ชิดกับ Mulloy ในโครงการอื่นๆAhu Tautira ตั้งอยู่ ที่ชายทะเลของหมู่บ้านหน้าสนามฟุตบอล ในปี 2522-2523 ได้รับการบูรณะโดย RapuCharles Love และ Andrea Seelenfreund โครงสร้างของโมอายที่มีสี่ตัวเหลือเพียงแค่ตัวเดียว ที่อยู่กลางเศษแท่น ของโมอายตัวอื่น เหลือแค่ลำตัว และยืนอยู่ใกล้ๆ กัน ระหว่างปี พ.ศ. 2521 ถึง พ.ศ. 2523 ได้บูรณะ Ahu Naunau at การบูรณะมีความซับซ้อนในการบูรณะ กำแพงริมทะเลของอาฮู มีโมอายที่ สมบูรณ์ห้าตัว สี่ในนั้นมีปูเกา และโมอายที่หักสองอันสร้างขึ้นใหม่ ด้านหลัง ของโมอาย และบางส่วนของศิลาที่ผนังด้านหลังของอาฮูนั้นตกแต่งด้วยภาพ สกัดหิน ตาในปะการังสีขาวกับลูกศิษย์สกอเรียสีแดงถูกพบในระหว่างการ ขุดค้นที่ไซต์นี้(ขณะนี้อยู่ในนิทรรศการที่พิพิธภัณฑ์มานุษยวิทยาบนเกาะ) หลังจากที่ขุดค้นตาแล้ว ก็มีการสร้างแบบจำลองในโมอายทั้งสี่กับปูเกา ต่อมานักโบราณคดีถูกวิจารณ์อย่างมาก ทำให้หยุดการสร้าง แบบจำลอง Ahu Tongariki เป็นอาฮูใหญ่ที่สุด ละยังเป็น 30 รูปปั้น ที่มี ประวัติศาสตร์ยาว 76
7746 The Preservation of Easter Island's Monuments การอนุรักษ์อนุสรณ์สถานของเกาะอีสเตอร์ ในปี 1976 UNESCO อนุสรณ์สถานทาง ประวัติศาสตร์ “แสดงการดำรงชีวิตของคนในอดีตที่อยู่ในเกาะนี้” จึงมีความสำคัญต่อคนรุ่นหลัง "การ อนุรักษ์และปกป้องมรดนี้ไว้ให้กับคนรุ่นหลัง" ทำให้มีความสำคัญมากในประวัติศาสตร์เน้นย้ำไว้ในกฎ บัตรเวนิส ICOMOS ในปี 1964 อนุรักษ์มรดก การอนุรักษ์ เป็นงานที่ซับซ้อนและยากมาก โดยเฉพาะกรอปรูปปั้นและภาพเขียนสกัด NSที่ สวยงามของอนุสรณ์สถาน ถ้าไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์ การเก็บรักษา มี 2 ประเภทในการฟื้นฟูอนุสาวรีย์ ประการแรก อนุสาวรีย์ที่พังไม่ควรให้นักท่องเที่ยวเข้าชม อาจทำให้พังเสียหายเพิ่มขึ้น ประการที่สอง ให้ประวัติและความรู้กับนักท่องเที่ยว คำถามที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับอนุสรณ์สถานเกาะอีสเตอร์ ควรเก็บไว้หรือปล่อยให้อยู่สภาพ 77
7846 เดิม อนุเสาวรีย์ต้องผ่านขั้นตอน ต่อมาเกาะอิสเตอร์ได้รับบการบูรณะก่อนเกิดความเสียหาย เพิ่มขึ้น การบูรณะของ“อาหูทองการิกิ” ต้องบูรณะทั้งแท่นและรูปปั้น เพราะถูกคลื่นซัดซัดเข้ามา การบูรณะคือเป็นการสร้างใหม่ ถึงจะสร้างใหม่ตามแบบของเก่าก็ตาม แต่ในกรณีของอาฮู ความพินาศ ของพวกมันคือช่วงเวลาสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกเขา โมอายโค่นล้มเป็นตัวแทนมากกว่าเพียงแค่ การละทิ้ง วิลเลียม มัลลอย ย้ำอย่างหนักและก่อนซาโล ฟิเกโรอาในคำแนะนำเกี่ยวกับการอนุรักษ์ อนุเสาวรีย์ของยูเนสโก ในปี พ.ศ. 2509 การบูรณะที่ขุดค้นข้อมูลที่อยู่ในซากที่พังจะทำให้สูญหายไป ในขณะที่ อนุสาวรีย์ได้สร้างขึ้นใหม่ ข้อมูลจะเพิ่มขึ้นตามการขุดพบตามแหล่งโบราณคดีและเทคโนโลยีใหม่ 78
7946 บรรณานุกรม Wikipedia contributors. (2021, August 9). เกาะอีสเตอร์. สืบค้นวันที่ 5 August 2021, จาก https://th.m.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B 8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%AA%E0% B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C แมวหง่าว. (2020, May 11). ไขปริศนา รูปปั้นโมอาย เกาะอีสเตอร์ ความ ลึกลับที่ซ่อนอยู่ใต้ผืนดิน. สืบค้นวันที่ 5 August 2021, จาก https://travel.trueid.net/detail/2pVl7M73aEP อดิเทพ พันธ์ทอง. (2020, May 5). ชาวเกาะอีสเตอร์ หายนะที่สร้างเองด้วย การทำลายธรรมชาติ. สืบค้นวันที่ 5 August 2021, จาก https://thepeople.co/easter-island-moai-societal-collapse/ Greelane. (2020, Feb 5). 10 ข้อมูลทางภูมิศาสตร์เกี่ยวกับเกาะอีสเตอร์. สืบค้นวันที่ 5 August 2021, จาก https://www.greelane.com/th/มนุษยศาสตร์/ภูมิศาสตร์/geographyof-easter-island-1434404/ 79
8046 จุชดานิน. (2008, December 8). เที่ยวไขปริศนา “โมอาย” ที่ “เกาะอี สเตอร์.” . สืบค้นวันที่ 5 August 2021, จาก https://mgronline.com/travel/detail/9510000144641 ธนาคารกรุงเทพ. (2019, May 30). โมอาย ความลับแห่งอารยธรรมโบราณ. สืบค้นวันที่ 6 August 2021, จาก https://www.bangkokbanksme.com/en/moai True ปลูกปัญญา. (2012, July 21). ตำนานเรื่องลึกลับโมอาย. สืบค้นวันที่ 6 August 2021, จาก https://www.trueplookpanya.com/blogdiary/26471 Kapook. (2019, November 22). ตามรอยปริศนาอารยธรรมโบราณ “โม อาย” แห่งเกาะอีสเตอร์. สืบค้นวันที่ 6 August 2021, จาก https://travel.kapook.com/view123928.html 80
8146 กาญจนา หงษ์ทอง. (2017, August 23). เกาะอีสเตอร์ รูปปั้นโมอาย แดน ฉงน ชวนสนเท่ห์. สืบค้นวันที่ 9 August 2021, จาก https://thestandard.co/exotic-experiences-easter-island/ Chayot08. (2020, November 8). เกาะอีสเตอร์ (Easter Island). สืบค้นวันที่ 9 August 2021, จาก https://storylog.co/story/5fa80ad4537f7be073f85b22 Sanook. (2013, November 26). ตำนานโมอายแห่งเกาะอีสเตอร์ ( Moai Easter Island ) (คืออะไร หมายถึง ความหมาย) . สืบค้นวันที่ 9 August 2021, จาก https://guru.sanook.com/7753/ เรื่องลึกลับจากทั่วโลก. (2020, October 16). “โมอายแห่งเกาะอีสเตอร์ ( Moai Easter Island ) รูปปั้นลี้ลับมาได้ยังไง.”. สืบค้นวันที่ 9 August 2021, จาก https://www.blockdit.com/posts/5f88b06cc1939d0b6e61e30b 81
8246 No-Face. (2017, July 7). Easter Island & Moai: ปริศนา “โมอาย” แห่ง เกาะอีสเตอร์. สืบค้นวันที่ 10 August 2021, จาก https://lonesomebabe.wordpress.com/2009/08/24/easter-islandmoai/ Bahn, Paul, and Flenley, John. (1992). Easter Island. สืบค้นวันที่ 10 August 2021, จาก https://www.wmf.org/sites/default/files/article/pdfs/Easter%20Isl and_The%20Heritage%20And%20Its%20Conservation.pdf Trachtman, P. (2002, March 1). The Secrets of Easter Island. สืบค้นวันที่ 13 August 2021, จาก https://www.smithsonianmag.com/history/the-secrets-of-easterisland-59989046/ 82
8346