๔๕
ตวั อยา่ งกิจกรรมเพ่ือปรับทศั นคติ: หน้าตา่ งแห่งโอกาส
เวลา : 30 นาที
วัตถปุ ระสงค์
เพ่อื ใหน้ ักเรียนไดส้ ำรวจความเขา้ ใจของตนเองในเร่ืองการรังแกกัน และร่วมรับฟังความคิดเห็นของ
เพอ่ื นคนอ่ืนๆ นำไปสกู่ ารตระหนกั รูว้ า่ แต่ละบคุ คลมมี ุมมองความคดิ เหน็ ที่แตกต่างกันเกย่ี วกับสถานการณ์การ
รงั แกกนั และการตัดสนิ วา่ สถานการณน์ ้ันเปน็ การรังแกกันหรอื ไมน่ ้ันมผี ลต่อการแสดงออกของตัวเองกบั
เพื่อนๆ ต่อไป
อปุ กรณ์
- ใบเหตุการณต์ ัวอย่าง
เหตกุ ารณต์ วั อย่าง
๑. ทุกครั้งที่ส้มเดินผา่ นแตงโม ส้มจะจ้เี อวแตงโมทกุ ครัง้
๒. นัทบอกเพื่อนๆในห้องวา่ พ่อแม่ของแจนเลกิ กันแล้ว
๓. แนนแอบถ่ายรูปน้ำตอนหลับและเอาไปโพสต์ใน Facebook
๔. ฟ้ากับรุ้งไม่ยอมให้น้ำฝนเล่นด้วย
๕. ตาลไม่คุยกบั แบมมาเปน็ อาทิตย์แล้ว
๖. ฟลุค๊ บอกไผว่ า่ ให้ใชย้ าดับกลน่ิ กายบ้างนะ
๗. เพื่อนในหอ้ งชอบเรียกเกศรนิ ทร์ว่า “กนิ เสลด” แต่เธอไมส่ นใจ
๘. รุน่ พีไ่ มย่ อมให้คนอื่นใชส้ นามฟุตบอล แม้ในช่วงท่ีตนไม่ได้ใชส้ นาม รุน่ พก่ี ็จะเอาลูก
ฟตุ บอลตดิ ตวั ไปด้วย
๙. จอร์ชเลีย้ งไก่อย่ทู ่ีบ้าน เพื่อนๆจึงเรยี กจอรช์ ว่าจอ้ ย
๑๐. มะม่วงยืมเงินโจห้ ลายคร้ังและไมเ่ คยคืนเลย
วธิ กี ารดำเนนิ กิจกรรม
1. จดั ทน่ี ่งั สำหรบั นกั เรยี นท้งั หมดเป็นรปู ตวั U
2. วิทยากรกล่าวทักทายสมาชิก และชี้แจงแนวทางการทำกิจกรรมดังน้ี “ขอให้นักเรียนทุกคนฟัง
ข้อความที่เป็นสถานการณ์ตัวอย่างทีละข้อความ จากน้ันขอให้นักเรียนตัดสินใจโดยไม่ต้องปรึกษากันว่า
สถานการณ์นั้นเป็นการรังแก หรือไม่รังแกกัน” เม่ือวิทยากรอ่านสถานการณ์ตัวอย่างจบในแต่ละข้อ ให้ตาม
ดว้ ยคำสง่ั ต่อไปนท้ี กุ ขอ้
“ขอให้นักเรียนยกมือขึ้น หากคิดว่าข้อความท่ีอ่านเป็นการรังแกกัน” จากนั้นขออาสาสมัครนักเรียน
ประมาณ 2 – 3 คน อธิบายเหตุผลว่า “เพราะอะไรถึงคิดว่าเป็นการรังแกกัน” จากน้ันวิทยากรสรุปประเด็น
สำคัญที่นักเรยี นให้เหตุผลอกี ครงั้
“ขอให้นักเรียนยกมือขึ้น หากเห็นว่าข้อความท่ีอ่านไม่เป็นการรังแกกัน” จากนั้นขออาสาสมัคร
นักเรียนประมาณ 2 – 3 คน อธิบายเหตุผลว่า “เพราะอะไรถึงคิดว่าไม่เป็นการรังแกกัน” จากนั้นวิทยากร
สรปุ ประเดน็ สำคัญท่นี ักเรียนให้เหตุผลอกี ครัง้
วิทยากรกล่าวสรุปโดยเน้นให้นักเรียนเห็นว่าในแต่ละสถานการณ์บางคนอาจคิดว่าเป็นแค่การเล่นกัน
แต่บางคนก็คิดว่าเป็นการรังแกกัน โดยช้ีให้เห็นว่านักเรียนแต่ละคนมีความคิดเห็นแตกต่างกันในเร่ืองการรังแก
กนั และความเขา้ ใจทีแ่ ตกต่างกันน้ีมผี ลต่อการแสดงออกของตัวเอง
๔๖
ตัวอย่างกจิ กรรมทักษะชวี ติ พ้ืนฐานในการปอ้ งกันการรังแกกนั : กิจกรรมเชื่อใจเขาใจเรา
เวลา : 30 นาที
วตั ถปุ ระสงค์
การสอนให้เด็กรู้จักเห็นอกเห็นใจคนอื่นน้ัน ทำให้เด็กเข้าใจอารมณ์และความรู้สึกของผู้อื่น ใน
เหตุการณ์ที่เขาประสบพบเจอ ทำใหม้ ีความคิดและพฤติกรรมเปลี่ยนไป ส่วนหน่ึงทำให้เด็กอยู่ร่วมกับสังคมได้ดี
คิดถึงความรูส้ ึกของคนอน่ื กอ่ นท่ีจะทำอะไร เพื่อฝึกการคิดถึงความรู้สึกของผอู้ ื่นในสถานการณ์ทเ่ี ขาเผชิญ และ
บอกขอ้ ดขี องการเหน็ อกเหน็ ใจผู้อืน่
อปุ กรณ์
๑. ภาพแสดงอารมณ์ความรสู้ ึกในสถานการณ์ต่างๆ
๒. กระดาษฟลิบชารท์ และปากกาเคมี
วธิ ีการดำเนินกจิ กรรม
๑. คุณครชู วนนักเรยี นทำกิจกรรมโดยแบ่งกลุ่มเด็กออกเป็นกลุม่ ละ 5 - 7 คน
๒. คณุ ครใู ห้นกั เรยี นดภู าพ ที่คุณครูเตรียมมาให้
๓. เมื่อดภู าพแล้ว ให้ต้ังคำถามนักเรียนและใหน้ กั เรยี นแตล่ ะกลุ่มระดมความคดิ ในประเด็นคำถาม
ต่อไปนี้
- คนในภาพนน้ั มีความรสู้ กึ อย่างไร
- เรารู้ได้อยา่ งไรว่าเขามีความรู้สกึ นัน้
- เรารสู้ กึ อยา่ งไรกบั คนในภาพ
๔. ใหน้ กั เรียนแตล่ ะกล่มุ นำเสนอภาพและผลการระดมความคดิ ของกลมุ่ ตนเองในกลุ่มใหญ่
๕. คุณครูสรุปกิจกรรม การที่เรามีความเขา้ ใจ หรือความร้สู ึกร่วมกบั คนอนื่ เรียกวา่ ความเหน็ อกเห็นใจ
๖. คณุ ครูถามนักเรียนในกลุ่มใหญ่ในประเดน็ ในชีวิตประจำวันเรามีความเห็นอกเห็นใจใครบา้ ง เรอ่ื ง
อะไร (ขอเปน็ เพ่อื นๆ ในชั้นเรียน)
๗. คณุ ครถู ามนักเรยี นในกลุม่ ใหญ่ในประเดน็ ขอ้ ดีของการเหน็ อกเห็นใจมีอะไรบ้าง
๔๗
รายวชิ า การใชส้ ่ือออนไลน์อย่างสรา้ งสรรคแ์ ละปลอดภัย
ระยะเวลา 1 ช่วั โมง 30 นาที
วตั ถปุ ระสงค์
๑. เพอื่ ให้ผเู้ ข้ารับการอบรมมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับทักษะที่จำเปน็ ในศตวรรษที่ ๒๑ และ
พระราชบัญญตั ิวา่ ด้วยการกระทำความผดิ เกยี่ วกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๖๐
๒. เพ่ือให้ผู้เข้ารับการอบรมมีค่านิยมและทัศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับการใช้สื่อออนไลน์
อยา่ งสรา้ งสรรค์และปลอดภยั
๓. เพอื่ ใหผ้ ้เู ขา้ รับการอบรมสามารถนำความรทู้ ี่ได้รบั ไปประยกุ ตใ์ ช้ในชวี ิตประจำวันและขับเคลื่อน
การดำเนนิ งานส่งเสรมิ ความประพฤตินักเรียนและนักศึกษาได้อย่างมปี ระสิทธภิ าพ
ขอบขา่ ยเน้อื หาวิชา
๑. ทกั ษะท่ีจำเปน็ ในศตวรรษท่ี ๒๑
๑.๑ ทักษะดา้ นการสร้างสรรค์ และนวัตกรรม (Creativity and Innovation)
๑.๒ ทักษะด้านทกั ษะด้านคอมพวิ เตอร์ เทคโนโลยสี ารสนเทศการสือ่ สาร และรู้เท่าทนั สื่อ
(Computing, ICT Literacy, Information, Communications and Media Literacy)
๑.๓. ทกั ษะอาชีพ และทกั ษะการเรียนรู้ (Career and Learning Skills)
๒. พระราชบญั ญัตวิ า่ ดว้ ยการกระทำความผิดเกยี่ วกบั คอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๖๐
กิจกรรมการเรียนรู้
๑. การบรรยาย
๒. การซกั ถามแลกเปลย่ี นความคิด
๓. กจิ กรรมอภปิ รายกลุ่ม
สอื่ การฝึกอบรม
๑. เอกสารประกอบการฝึกอบรม
๒. สือ่ อิเลก็ ทรอนกิ ส์
๓. ใบงาน
๔. ทัศนูปกรณ์
๕. เกม เพลง
การวัดและประเมนิ ผล
๑. การสังเกต
๒. การตอบแบบสอบถาม
๓. การมสี ่วนร่วมกจิ กรรมอภิปรายกลมุ่
๔๘
เนอ้ื หาวชิ ารายวชิ าการใช้ส่ือออนไลน์อย่างสรา้ งสรรคแ์ ละปลอดภยั
ขน้ั ตอนการดำเนินกจิ กรรม
๑. วิทยากรกล่าวทกั ทายสรา้ งความคุ้นเคย
๒. วิทยากรนำเขา้ สเู่ นื้อหาการใชส้ อ่ื ออนไลนอ์ ย่างสรา้ งสรรค์และปลอดภยั โดยให้ชมส่อื วดิ ีโอจาก
YouTube เร่ือง A Day Made of Glass 1 หรือ Clip วดิ โี ออื่นทีว่ ทิ ยากรพิจารณาตามความเหมาะสม
๓. เม่ือดู Clip วิดโี อจบแลว้ สนทนาซกั ถามความรสู้ กึ ว่าได้อะไรจาก Clip วิดโี อนี้ เช่น
๓.๑ การใชช้ วี ิตยุคใหม่ในศตวรรษท่ี ๒๑
๓.๒ โลกอนาคตกับเทคโนโลยี
ฯลฯ
๔. วิทยากรซกั ถามเกี่ยวกับทกั ษะทจ่ี ำเปน็ ในศตวรรษที่ ๒๑ มีความจำเป็นในชวี ติ ประจำวนั อยา่ งไร
๕. วิทยากรแบ่งกลุ่ม ๆ ละ 10 คน โดยให้มีประธาน รองประธาน เลขานุการ และผูน้ ำเสนอ จากนั้น
รว่ มอภปิ รายและระดมสมองภายในกลุ่มตามหัวขอ้ ท่ีไดร้ บั จากใบงานเพ่ือให้ได้ข้อสรปุ
กลมุ่ ที่ ๑-๓ ทกั ษะดา้ นการสรา้ งสรรค์ และนวัตกรรม (Creativity and Innovation)
กลุ่มที่ ๔-๖ ทักษะด้านทักษะด้านคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีสารสนเทศการสื่อสารและ
รู้เท่าทนั สอ่ื (Computing, ICT Literacy, Information, Communications and Media Literacy)
กลมุ่ ท่ี ๗-๘ ทักษะอาชีพ และทกั ษะการเรียนรู้ (Career and Learning Skills)
๖. วิทยากรให้แต่ละกลุ่มส่งตัวแทนนำเสนอหน้าชั้นเรียน กลุ่มละ 5 นาที เม่ือครบทุกกลุ่มแล้ว
วิทยากรสรปุ ประเดน็ สาระสำคญั ให้แก่ผเู้ ข้าอบรม
๗. วทิ ยากรให้ผเู้ ขา้ รับการอบรมทำแบบทดสอบเกีย่ วกับพระราชบญั ญัตวิ า่ ดว้ ยการกระทำความผิด
เกยี่ วกับคอมพวิ เตอร์ (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2560
๘. วทิ ยากรเฉลยแบบทดสอบพร้อมทั้งสรุปสาระสำคญั เรอ่ื งการใชก้ ารใชส้ อื่ ออนไลน์อยา่ งสร้างสรรค์
และปลอดภัยในการดำเนินชวี ติ ประจำวัน รว่ มกันกับผเู้ ข้ารับการอบรม
๙. วิทยากรเปดิ โอกาสให้ผูเ้ ข้ารบั การอบรมซักถาม
๔๙
ใบงาน
ทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ ๒๑
คำช้ีแจง ใหก้ ลุ่มของท่านรว่ มอภปิ รายและระดมสมองในประเดน็ ต่อไปนี้
กลมุ่ ท่ี ๑-๓ ทักษะด้านการสร้างสรรค์ และนวัตกรรม (Creativity and Innovation)
กลุ่มที่ ๔-๖ ทกั ษะด้านทักษะดา้ นคอมพวิ เตอร์ เทคโนโลยีสารสนเทศการสื่อสาร
และรเู้ ทา่ ทันสื่อ (Computing, ICT Literacy, Information, Communications and Media Literacy)
กลุม่ ที่ ๗-๘ ทกั ษะอาชีพ และทักษะการเรยี นรู้ (Career and Learning Skills)
๕๐
แบบทดสอบ
เพอื่ ความเข้าใจเกีย่ วพระราชบัญญตั ิวา่ ด้วยการกระทำผดิ เกย่ี วกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๖๐
คำชแี้ จง ใหก้ าเครื่องหมาย หน้าข้อทถ่ี ูก และกาเครอ่ื งหมาย หน้าข้อทีผ่ ิด
............. 1. การฝากร้านใน Facebook, IG ถือเปน็ สแปม ปรบั 100,000 บาท
............. 2. สง่ SMS โฆษณา โดยไมร่ บั ความยนิ ยอม ให้ผู้รับสามารถปฏิเสธข้อมลู น้ันได้ ไม่เช่นนนั้ ถือเป็น
สแปม ปรับ 200,000 บาท
............. 3. ส่ง Email ขายของ ถือเป็นสแปม ปรับ 200,000 บาท
............. 4. กด Like ผดิ พ.ร.บ.คอมพ์ฯ ยกเวน้ การกดไลค์ เปน็ เรื่องเกยี่ วกบั สถาบนั เสี่ยงเข้าขา่ ย
ความผดิ มาตรา 112 หรือมคี วามผิดร่วม
............. 5. กด Share ถือเปน็ การเผยแพร่ หากข้อมูลที่แชร์มผี ลกระทบต่อผู้อืน่ อาจเข้าข่ายความผิดตาม
พ.ร.บ.คอมพ์ฯ โดยเฉพาะทีก่ ระทบต่อบุคคลท่ี 3
............. 6. พบข้อมลู ผดิ กฎหมายอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ของเรา แต่ไมใ่ ชส่ ่ิงทเ่ี จ้าของคอมพวิ เตอร์กระทำเอง
สามารถแจ้งไปยังหน่วยงานท่ีรบั ผิดชอบได้ หากแจง้ แล้วลบขอ้ มูลออกเจา้ ของกจ็ ะไม่มี
ความผิดตามกฎหมาย เชน่ ความเหน็ ในเว็บไซตต์ ่าง ๆ รวมไปถงึ เฟซบุ๊ก ที่ใหแ้ สดงความคดิ เห็น
หากพบวา่ การแสดงความเห็นผดิ กฎหมาย เมื่อแจง้ ไปทห่ี น่วยงานทรี่ บั ผิดชอบเพื่อลบได้ทนั ที
เจ้าของระบบเว็บไซต์จะไม่มีความผดิ
.............. 7. สำหรับ แอดมินเพจ ทีเ่ ปดิ ให้มีการแสดงความเห็น เมอื่ พบขอ้ ความท่ีผดิ พ.ร.บ.คอมพ์ฯ
เม่ือลบออกจากพื้นทท่ี ่ีตนดูแลแล้ว อยา่ งไรก็ไม่พ้นผิด
............. 8. ไมโ่ พสต์สิง่ ลามกอนาจาร ที่ทำให้เกิดการเผยแพรส่ ูป่ ระชาชนได้
............. 9. การโพสเกี่ยวกบั เดก็ เยาวชน ไมต่ อ้ งปิดบังใบหนา้
........... 10. การใหข้ ้อมูลเก่ียวกบั ผเู้ สยี ชีวติ ต้องไมท่ ำให้เกิดความเสือ่ มเสยี เชอ่ื เสียง หรอื ถกู ดหู มิน่ เกลียดชัง
ญาติสามารถฟอ้ งรอ้ งได้ตามกฎหมาย
........... 11. การโพสต์ด่าวา่ ผอู้ ่นื มีกฎหมายอาญาอย่แู ลว้ ไม่มขี ้อมลู จรงิ หรอื ถูกตัดต่อ ผู้ถกู กลา่ วหา
เอาผิดผ้โู พสตไ์ ด้ และมโี ทษจำคุกไมเ่ กิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 200,000 บาท
..............12. ไมท่ ำการละเมิดลิขสิทธ์ิผู้ใด ไม่ว่าข้อความ เพลง รปู ภาพ หรอื วดิ ีโอ
..............13. ส่งรูปภาพแชร์ของผอู้ ่นื เชน่ สวัสดี อวยพร ถือเป็นความผิด
๕๑
เฉลยแบบทดสอบ
เพื่อความเข้าใจเกยี่ วพระราชบัญญัติวา่ ดว้ ยการกระทำผิดเกยี่ วกบั คอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๖๐
...... ....... 1. การฝากร้านใน Facebook, IG ถอื เป็นสแปม ปรับ 100,000 บาท
ทถ่ี กู การฝากรา้ นใน Facebook, IG ถอื เป็นสแปม ปรบั 200,000 บาท
....... ...... 2. สง่ SMS โฆษณา โดยไมร่ ับความยินยอม ให้ผู้รับสามารถปฏิเสธขอ้ มูลน้ันได้ ไมเ่ ช่นนัน้ ถือเป็น
สแปม ปรับ 200,000 บาท
....... ...... 3. ส่ง Email ขายของ ถือเปน็ สแปม ปรับ 200,000 บาท
..... ........ 4. กด Like ผิด พ.ร.บ.คอมพ์ฯ ยกเว้นการกดไลค์ เป็นเรอื่ งเกยี่ วกับสถาบนั เสยี่ งเขา้ ขา่ ย
ความผิดมาตรา 112 หรือมีความผดิ ร่วมที่ถกู กด Like ไดไ้ ม่ผดิ พ.ร.บ.คอมพ์ฯ ยกเวน้
การกดไลค์ เปน็ เรื่องเก่ียวกับสถาบนั เสีย่ งเข้าข่ายความผดิ มาตรา 112 หรือมคี วามผิดร่วม
...... ...... 5. กด Share ถอื เปน็ การเผยแพร่ หากข้อมลู ทแี่ ชรม์ ผี ลกระทบตอ่ ผู้อน่ื อาจเข้าขา่ ยความผดิ ตาม
พ.ร.บ.คอมพ์ฯ โดยเฉพาะทีก่ ระทบต่อบุคคลที่ 3
....... ..... 6. พบขอ้ มูลผดิ กฎหมายอยูใ่ นระบบคอมพวิ เตอร์ของเรา แต่ไมใ่ ช่ส่ิงทเี่ จ้าของคอมพิวเตอร์กระทำ
เอง สามารถแจง้ ไปยงั หน่วยงานทรี่ ับผิดชอบได้ หากแจง้ แล้วลบข้อมูลออกเจ้าของก็จะไม่มี
ความผดิ ตามกฎหมาย เชน่ ความเหน็ ในเว็บไซต์ตา่ ง ๆ รวมไปถึงเฟซบุ๊ก ทใ่ี หแ้ สดงความ
คดิ เห็น หากพบว่าการแสดงความเห็นผดิ กฎหมาย เม่ือแจง้ ไปทห่ี น่วยงานทร่ี ับผิดชอบเพ่ือลบ
ได้ทันที เจา้ ของระบบเวบ็ ไซตจ์ ะไม่มีความผิด
....... ...... 7. สำหรบั แอดมินเพจ ท่เี ปดิ ให้มกี ารแสดงความเห็น เมื่อพบข้อความทีผ่ ดิ พ.ร.บ.คอมพฯ์
เม่ือลบออกจากพื้นทที่ ตี่ นดูแลแลว้ อยา่ งไรกไ็ ม่พ้นผิดท่ีถกู สำหรบั แอดมินเพจ ทเี่ ปิดใหม้ ี
การแสดงความเหน็ เมื่อพบข้อความท่ีผิด พ.ร.บ.คอมพฯ์ เม่ือลบออกจากพื้นที่ท่ีตนดแู ลแลว้
จะถอื เป็นผู้พ้นผิด
......... .... 8. ไม่โพสต์ส่ิงลามกอนาจาร ทีท่ ำใหเ้ กิดการเผยแพร่สู่ประชาชนได้
........ ..... 9. การโพสเก่ียวกับเด็ก เยาวชน ไมต่ ้องปดิ บังใบหน้าทถี่ ูก การโพสเกีย่ วกบั เด็ก เยาวชน
ต้องปิดบังใบหนา้ ยกเวน้ เมื่อเปน็ การเชดิ ชู ชืน่ ชมอยา่ งให้เกียรติ
...... ..... 10. การใหข้ อ้ มูลเกี่ยวกับผู้เสียชวี ิต ต้องไม่ทำให้เกิดความเสื่อมเสียเชอื่ เสยี ง หรือถูกดหู มน่ิ
เกลียดชัง ญาตสิ ามารถฟ้องร้องไดต้ ามกฎหมาย
............ 11. การโพสต์ด่าว่าผอู้ นื่ มีกฎหมายอาญาอยู่แล้ว ไม่มีข้อมูลจริง หรือถูกตัดตอ่ ผู้ถกู กลา่ วหา
เอาผิดผโู้ พสต์ได้ และมโี ทษจำคุกไมเ่ กิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 200,000 บาท
....... .......12. ไม่ทำการละเมดิ ลขิ สทิ ธิ์ผู้ใด ไมว่ ่าข้อความ เพลง รูปภาพ หรือวดิ โี อ
........ ......13. ส่งรูปภาพแชร์ของผอู้ ่ืน เชน่ สวสั ดี อวยพร ถอื เปน็ ความผดิ ท่ถี ูก สง่ รูปภาพแชร์ของผู้อื่น
เชน่ สวัสดี อวยพร ไม่ผดิ ถ้าไม่เอาภาพไปใชใ้ นเชิงพาณิชย์หารายได้
๕๒
เน้อื หาสาระสำหรบั ใช้ในการจัดการฝึกอบรม (อยา่ งละเอยี ด)
ทกั ษะทีจ่ ำเป็นในศตวรรษที่ ๒๑
พฤติกรรมการบริโภคและดำเนินชีวิตของประชาชนคนไทยที่มีการปลูกฝังถ่ายทอดการเรยี นร้มู าตัง้ แต่
อดีตจากยุคเกษตรกรรม มีผลผลิตเป็น พืชผัก ผลไม้ กระบวนการผลิตใช้แรงงานคนและสัตว์ การดำรงชีวิต
มีความร่วมมือช่วยเหลือกัน ทักษะที่ใช้และถูกปลูกฝังถ่ายทอดกันมา คือ ทักษะอาชีพเป็นหลักสำคัญ ต่อมา
เม่ือเข้าสู่ยุคสังคมอุตสาหกรรม ผลผลิตถึงแม้นยังคงเป็นพืชผัก ผลไม้ แต่มีการใช้เทคโนโลยีเข้ามาใช้ใน
กระบวนการผลติ ตามแบบชาวตะวนั ตก วิถชี ีวิตของคนไทยเร่ิมเปลี่ยนไป ทักษะการเรียนรู้ถูกปลูกฝังใหค้ ิดตาม
ทำตามกระบวนการของการใช้เทคโนโลยีที่มีผู้อื่นคิดและพัฒนามาให้ใช้ ซึ่งเป็นทักษะในแนวทางของโรงงาน
อุตสาหกรรม จึงเห็นได้ชัดว่าคนไทยเร่ิมขาดความคิดสร้างสรรค์เป็นอย่างมาก ต่อมาเข้ายุคโลกาภิวัตน์
เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทต่อวิถีการดำเนินชีวิตมากข้ึน การคิดผลิตนวัตกรรมเป็นไปแบบแข่งขันกันในกลุ่ม
ประเทศที่พัฒนาแล้ว แย่งความได้เปรียบในเวทีการแข่งขันทางเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้ประเทศที่ไม่ส่งเสริม
การคิดผลิตนวัตกรรมมวี ิถกี ารดำรงชีวิตเปล่ยี นแปลงอยา่ งรนุ แรง เกดิ การไลต่ ามการใชเ้ ทคโนโลยใี หม่ ๆ โดยไม่
คำนึงถึงความพอเหมาะกับลักษณะของการใช้งาน ความเป็นทาสทางความคิด และสูญเสียความสมดุลทาง
เศรษฐกิจ จึงเกิดช่องว่างมากข้ึนกลายเป็นผู้บริโภคซ้ือ และใช้ตามกระแสของโลกแห่งความชวนเช่ือ ทักษะ
การดำเนินชีวิตจึงเปล่ียนไปจากเดิมอยา่ งมาก มีการพึ่งพาและเดนิ ตามเทคโนโลยี จากผู้อื่นคิดให้ใช้ ข้อน่าคิดก็
คอื ทักษะทลี่ ดหายไปอย่างมากก็คือความคิดสร้างสรรค์ และการผลิตนวัตกรรมขน้ึ มาใช้ และนำไปแลกเปลี่ยน
กันในเวทีการแข่งขันในโลกเศรษฐกิจลดลงอย่างเห็นได้ชัด สำหรับการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ศตวรรษท่ี 21 ซ่ึงเป็น
ยุคผลผลิตนิยม จะเป็นยุคแข่งขันกนั คิดนวัตกรรมท่ีตอบสนองใช้ในชีวิตประจำวัน และชีวิตการทำงานทุกกลุ่ม
อาชีพ ซึ่งถือเป็นเจ้าความคิดและผู้นำการสร้างผลผลิต สู่เวทีการค้าและแข่งขันเวทีเศรษฐกิจโลก ถ้าพลเมือง
ของประเทศใดเป็นเพียงผบู้ ริโภคซื้อเพียงอย่างเดียว ไม่เป็นผู้คิดและสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ผลท่ีเกิดข้ึนตามมา
จะเป็นอย่างไร ทาสความคิด และทาสทางเศรษฐกิจ จะเกิดข้ึนกับพลเมืองหรือไม่ แล้วประเด็นเหล่านี้จะถูก
นำไปปรบั บทบาทของผู้ท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั การจดั การศึกษากนั อย่างไร ท่ีจะสง่ ผลต่อพฤติกรรม
ของคนไทยจากการเป็นผู้บริโภคนิยมมาเป็นผูค้ ิดผลิตนวัตกรรม ในการเข้าสู่ยุคผลผลิตนิยม การสร้าง
ทกั ษะการคิดเชิงสร้างสรรค์ ประดิษฐ์สร้างสรรค์นวตั กรรมขึ้นใช้พัฒนาคุณภาพชีวิตอยา่ งพอเพียงเหมาะสมกับ
ลักษณะการใชง้ านในการเข้าส่ศู ตวรรษท่ี 21
ปรากฏการท่ีมีบทบาทต่อการเปล่ียนแปลงทักษะการดำเนินชีวิตในโลกศตวรรษที่ 21 (Global
Megatrends, 2009; Canton, 2006; ยอร์ซ ฟรีดแมน, 2011; ;วจิ ารณ์ พานิช, 2555) ใน 7 เรื่อง ซึ่งทุก
คนต้องตระหนักท่จี ะนำไปสู่เหตผุ ลและประเดน็ การการปรับเปลยี่ นบทบาทครู วิธีการเรียนของนกั เรยี น การจัด
หลักสตู รสถานศกึ ษาและพฒั นาแหลง่ เรียนรู้ และบทบาทชองชุมชน ท้องถนิ่ มดี งั น้ี
1. โลกเทคโนโลยี (Technologicalization) ในชีวิตความเป็นอยู่ประจำวัน และชีวิตการทำงาน
คนจะใช้และพึ่งพาเทคโนโลยีเป็นหลัก โดยเฉพาะเทคโนโลยีข่าวสารและการคมนาคม (Information and
communication technology) ดังนั้นทักษะด้านเทคโนโลยีจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมากและหลีกเล่ยี งไม่ได้
ในศตวรรษท่ี 21 ซึ่งต้องพัฒนาทักษะสำหรับเทคโนโลยีกับคน 2 กลุ่ม คือ กลุ่มคนกลุ่มท่ี 1 ใช้เทคโนโลยี
ในการทำงาน และดำเนินชีวิตประจำวันอย่างรู้เท่าทัน กลุ่มคนกลุ่มที่ 2 ทำงานให้บริการและคิดพัฒนา
ผลิตภัณฑ์ ตลอดจนสร้างนวัตกรรมที่ตอบสนองความต้องการใช้งานอย่างเหมาะสมต่อคุณภาพชีวิตในสภาพ
จริง ซึ่งในกลุ่มที่ 2 คนไทยยังต้องสร้างและพัฒนาทักษะความคิดเชิงสร้างสรรค์และพัฒนานวัตกรรมของคน
ไทยขน้ึ ใชเ้ อง และนำไปแลกเปล่ียนการใช้งานในเวทีเศรษฐกจิ โลก
๕๓
2. โลกเศรษฐกิจและการค้า (Commercialization & Economy) เป็นผลสืบเน่ืองมาจาก
ความเป็นโลกเทคโนโลยีท่ีมีการคิดพัฒนานวัตกรรมข้ึนใช้งานในการดำเนินชีวิตประจำวันและชีวิตการทำงาน
ของทุกอาชีพ มีการพัฒนาเทคนิคการเรียนรูท้ ักษะการใช้งาน เกิดการสร้างกลยุทธ์การขาย จนเกดิ การแข่งขัน
ในเวทีเศรษฐกิจโลก ในเมื่อผลิตภัณฑ์ที่เป็นเทคโนโลยีใหม่ ๆ มีความเกี่ยวข้องและจำเป็นต่อชีวิตความเป็นอยู่
ทุกคนจึงพยายามเรียนรู้ทักษะการใช้งานเพื่อแข่งขันในด้านประสิทธิภาพการทำงาน ความเกี่ยวข้องกับ
สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่เน้นการขายเป็นหลัก จึงมีความจำเป็นต้องพัฒนาทักษะทางการค้าท่ีมีจิต
วิญญาณของผู้ประกอบการ (Entrepreneurial spirit) ของการค้าในรูปแบบใหม่ ๆ ที่เน้นเทคโนโลยี
เนน้ ผลผลิตในเชงิ นวตั กรรมท่ีตอ้ งอาศยั เทคนิคและความชำนาญใหม่ ๆ มากขนึ้
3. โลกาภิวัตน์กับเครือข่าย (Globalization and Network) สืบเนื่องจากสภาพแวดล้อม
ทางเศรษฐกิจท่ีเน้นการขายเป็นหลัก การส่ือสาร ส่ือความหมาย และการเลือกเครือข่าย วิธีการสื่อสารต้องมี
ความถูกต้อง รวดเร็ว ไม่จำกัดสถานท่ี ซึ่งความเป็นโลกาภิวัตน์จะถูกนำมาเป็นตัวช่วยได้อย่างรวดเร็ว ทุก ท่ี
ทุกเวลาดึงโลกกวา้ งให้แคบเล็กลงมา ถือเป็นอิทธิพลที่ทำให้คนในศตวรรษที่ 21 ต้องสร้างทักษะการเรียนรู้ได้
มากมายหลายช่องทาง โดยเฉพาะเรื่องเครือข่ายท่ีจับมือในกลุ่มเดียวกัน ที่ต้องสร้างความร่วมมือกันทำงาน
แลกเปล่ียนความรู้ในเชิงพัฒนาคุณภาพชีวิต และการทำงาน ปรากฏการณ์ที่เกดิ ข้ึนในโลกศตวรรษท่ี 21 ก็คือ
การพ่ึงพากันในระดับโลกจะมีมากขึ้นในเรื่องการดำเนินชีวิตและแก้ไขปัญหาของโลก การเป็นพลเมืองของโลก
ดจิ ิทัล และการเป็นประชาธิปไตย ความตอ้ งการผ้ปู ระกอบการทีม่ ีความคดิ สร้างสรรค์ในการทำงานคิดงานใหม่
ขึ้นมา และความสัมพันธ์ระห่างบุคคลแบบออนไลน์ ซึ่งในโลกเทคโนโลยีเครือข่าย และธุรกิจต้องการ
ผ้ปู ระกอบการทเี่ ปน็ ผูส้ รา้ งสรรค์มากข้นึ
4. สิ่งแวดล้อมและพลังงาน (Environmentalization and Energy) เป็นผลจากในศตวรรษ
ที่ผา่ นมาโลกได้พฒั นาการใชเ้ ทคโนโลยที ่ีนำเอาทรัพยากรมาใช้โดยไมค่ ำนึงถึงการสูญเสยี สภาพความสมดลุ ของ
สภาพแวดล้อม ปัญหาจากสภาพแวดล้อมจึงเกิดข้ึนมากมายหลายเหตุการณ์ ดังนั้นความใส่ใจที่จะคืนความ
สมดุลทางธรรมชาติ และสภาพแวดล้อมจงึ เกิดข้นึ การเรียนรู้และแก้ปัญหาจะเป็นการชว่ ยเหลอื กัน หรือทำงาน
ร่วมกันมากขึ้น โดยใช้ความเป็นโลกาภิวัตน์กับเครือข่ายกีดกันสำหรับผู้ท่ีไม่ให้ความร่วมมือ และทางตรงข้าม
ผลิตภัณฑ์ท่ีช่วยรักษาสมดุลทางธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมก็จะร่วมมือกันในเชิงธุรกิจการค้า และเชิงการสร้าง
พันธมติ ร
5. ความเปน็ เมอื ง (Urbanization) สบื เน่อื งจากการเข้าถึงขอ้ มูลขา่ วสาร การรเู้ ท่าทนั สือ่ สารสนเทศ
ในความเป็นโลกาภวิ ตั น์ ทำใหล้ ดช่องวา่ งของสังคมชนบทลง การซ้อื ขายสินคา้ ธุรกิจการค้า การใช้เทคโนโลยี
ต่าง ๆ เกิดขนึ้ เหมือนสังคมเมือง สิง่ ทเี่ กิดข้นึ ชัดเจนก็คือ เศรษฐกิจ และชวี สิ มยั ใหม่ท่ียดึ โยงอยู่กับการค้าและ
บรกิ ารทต่ี งั้ อยบู่ นวิถีชวี ติ สมัยใหม่ ที่ต้องอาศยั เทคโนโลยีและนวัตกรรมทแ่ี ขง่ กนั ผลติ นำมาใชใ้ หม่ ๆ กนั มากขึ้น
นำไปสกู่ ารเปน็ Global cities มากขึน้ และชดั เจนขน้ึ
6. คนจะอายุยืนข้ึน (Ageing & Health) ความก้าวหน้าการคิดค้นผลิตภัณฑ์ทางยา การรักษาพยาบาล
รวมถึงเทคโนโลยีทางการแพทย์เฉพาะทาง พัฒนาอย่างไม่มีท่ีส้ินสุด ประกอบกับคนเข้าถึงองค์ความรู้
ความรู้เท่าทัน ส่ือ สารสนเทศในความเป็นโลกาภิวัตน์ทำให้คนดูแลสุขภาพ และป้องกัน รักษาโรคเฉพาะทาง
อย่างแม่นตรง ทำให้คนอายุยืนมากขึ้น เกิดเป็นสังคมของผู้สูงอายุ การดำเนินชีวิต และวิถีชีวิตจะเปล่ียนไป
คนสูงอายุยังมีพลังสมองและทำงานได้อยู่ คนรุ่นใหม่มีน้อยลง จึงเกิดการสร้างสังคมการอยู่ร่วมกันของคน
รุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่า ที่มีคุณภาพชีวิตผสมผสานกันได้อย่างลงตัว ไม่ถูกทอดท้ิงเกิดเป็นกลุ่มปัญหาใหม่จาก
ผู้สงู อายุ
๕๔
7. อยกู่ ับตัวเอง (Individualization) หรือสังคมก้มหน้า เป็นผลสืบเนือ่ งมาจากความเจริญทางด้าน
เทคโนโลยี และความเป็นโลกาภิวัตน์ การสนทนาระหว่างบุคคล หรือกลุ่มคนท่ีรู้จกั กนั จะใชผ้ ่านทางเทคโนโลยี
มากกว่ามาพบหน้ากัน ปฏิสัมพันธ์ซึ่งหน้าลดน้อยลง นักเรียนจะเข้าชั้นเรียนน้อยลงแต่คุยกันผ่านช่องทาง
เทคโนโลยีกันมากข้ึน
ข้อสรุปจากปรากฏการที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 21 คือคนไทยจะต้องเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ เพื่อการ
ก้าวให้ทันผลติ ภัณฑ์ท่ีถูกวางตลาด ใช่หรอื ไม่ หรอื จะมองกา้ วขา้ มเทคโนโลยีใหม่เหล่านั้นไป แล้วพัฒนาตอ่ ยอด
การสรา้ งผลิตภณั ฑ์ใหม่ขนึ้ ใช้เอง คนไทยจะต้องเรียนรแู้ ละซ้อื นวัตกรรมท่ีประเทศที่พฒั นาแล้วคิดค้นให้ใช้ หรือ
จะเป็นผู้คิดพัฒนานวัตกรรมที่สอดคล้องกับบริบทของสังคม ถิ่นฐานของเราเองข้ึนใช้เอง คนไทยเป็นผู้รับรู้
ข้อมูลสารสนเทศ เพ่ือสอ่ื สาร ร่วมมือกบั ระดับนานาชาติ หรอื เป็นผู้รเู้ ท่าทันสารสนเทศ ส่อื เทคโนโลยี นำไปใช้
เป็นประเด็นสาระสำคัญสรา้ งความร่วมมือ เพื่อพฒั นานวัตกรรม และสิ่งใหม่ในด้านการผลิตและด้านเศรษฐกิจ
การค้า คนไทยจะเป็นผู้เรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ พร้อมรับการเปล่ียนแปลง ตามทันการเปลี่ยนแปลงสินค้า
ใหม่ ๆ ได้เรื่อยไป หรือเป็นผู้รู้จักตัวเองและพัฒนาเพ่ือเป็นตัวของตัวเอง พร้อมกำหนดการเปล่ียนแปลงและ
ออกแบบสินค้าใหม่สู่ตลาดได้เสมอ ซึ่งหมายความว่าคนไทยจะเป็นผู้ซ้ือ (Consumer) หรือจะเป็นผู้ผลิต
(Producer) นน่ั เอง
การจัดการเรียนการสอน และการปลูกฝังสังคมทางบ้านในปัจจุบันปลูกฝังวัฒนธรรมการรับในตัว
เด็กไทย ในส่ิงเหล่านี้ใช่หรือไม่ คือ เชื่อตามท่ีได้ฟัง ขาดความม่ันใจในตัวเอง ไม่แสวงหาข้อมูลสารสนเทศท่ี
เชื่อถือได้ ขาดความกระตือรือร้น ติดรูปแบบเดิม ๆ เป็นผู้บริโภค ทำอะไรแค่พอผ่าน ไม่อดทน ไม่ชอบทำงาน
หนัก ชอบทำงานคนเดยี ว ไมน่ กึ ถึงสว่ นรวม เอาตัวรอดเก่ง ขาดคณุ ธรรมจริยธรรม ไมส่ นใจสันติวิธี และขาดอัต
ลักษณ์ไทย แล้วการจัดการเรียนการสอน และการปลูกฝังสังคมทางบ้านในยุคศตวรรษที่ 21 จะปลูกฝัง
วัฒนธรรมการสร้างในตัวเด็กไทย ในสิ่งเหล่าน้ีได้อย่างไร คือ รู้จักคิดวิเคราะห์ มีความคิดสร้างสรรค์ มีความ
มั่นใจในตนเอง แสวงหาความรู้ รู้เท่าทันสาระสนเทศในการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง คิดสร้างสรรค์ เรียนรู้
เป็นผู้ประกอบการ และผู้ผลิต มุ่งความเป็นเลิศ อดทน ทำงานหนัก ทำงานได้เป็นทีม รับผิดชอบต่อส่วนรวม
คำนึงถึงสังคม มีคุณธรรม ยึดม่ันในสันติธรรม และมีความเป็นไทย (ไพฑูรย์ สินลารัตน์(2557) ทักษะแห่ง
ศตวรรษท่ี 21 ต้องก้าวใหพ้ ้นกับดกั ของตะวนั ตก)
การเรียนรู้ต้องไม่ใช่สถานการณ์สมมติในห้องเรียน แต่ต้องออกแบบการเรียนรู้ให้ได้เรียนในสภาพท่ี
ใกล้เคียงชีวิตจริงท่ีสุด และควรเป็นบริบทหรือสภาพแวดล้อมในขณะเรียนรู้ เกิดการสั่งสมประสบการณ์ใหม่
เอามาโต้แย้งความเชื่อหรือค่านิยมเดิม ทำให้ละจากความเชื่อเดิมหันมายึดถือความเชื่อ หรือค่านิยมใหม่
ที่เรียกว่ากระบวนทัศน์ใหม่ ทำให้เป็นคนท่ีมีความคิดเชิงกระบวนทัศน์ที่ชัดเจน และเกิดการเรียนรู้
เชิงกระบวนทัศน์ใหม่ได้ ท้ังนี้จำเป็นต้องมีความสามารถในการรับรู้ข้อมูลหลักฐานใหม่ และนำมาสังเคราะห์
เป็นความรู้เชิงกระบวนทัศน์ใหม่ ข้อสำคัญสำหรับคนท่ีจะเรียนรู้ได้ต้องเกิดประเด็นคำถามอยากรู้ก่อนจึงจะ
อยากเรียน ไม่ใช่ครูอยากสอนเพียงฝ่ายเดียวแต่นักเรียนยังไม่มีประเด็นท่ีไม่อยากรู้ ดังน้ันการออกแบบการ
สถานการณ์การเรียนรู้จึงควรใช้บริบทสภาพแวดล้อมที่นักเรียนคุ้นเคยและรู้จัก ซึ่งก็คือสภาพของครอบครัว
ชมุ ชน และทอ้ งถน่ิ ของนักเรยี นนน่ั เอง สิ่งท่ีได้จากคำถามอยากรู้ของนักเรียนจะทำให้ครูเห็นความแตกต่างของ
พนื้ ฐานความรแู้ ละพืน้ ฐานประสบการณเ์ ดิมของนักเรยี นไดเ้ ปน็ รายบุคคล
๕๕
กรอบความคดิ เพ่อื การเรียนรูใ้ นศตวรรษท่ี 21
มีเป้าหมายไปที่ผู้เรยี น เกิดคณุ ลักษณะในศตวรรษท่ี 21 โดยผู้เรียนจะใชค้ วามรใู้ นสาระหลักไปบูรณา
การสั่งสมประสบการณ์กับทักษะ 3 ทักษะ เพ่ือการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21 คือ ทักษะด้านการเรียนรู้และ
นวัตกรรม ทักษะสารสนเทศ ส่ือและเทคโนโลยี และทักษะชีวิตและอาชีพ ซึ่งการจัดการศึกษาจะใช้ระบบ
ส่งเสริมการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ห้าระบบ คือ ระบบมาตรฐานการเรียนรู้ ระบบการประเมินผลทักษะ
การเรียนรู้ ระบบหลักสูตรและวิธีการสอน ระบบการพัฒนางานอาชีพ และระบบแหล่งเรียนรู้และบรรยากาศ
การเรียนรู้
ทักษะแห่งอนาคตใหม่
การปรับเปลี่ยนวิธีการเรียนรู้ของนักเรยี น เพ่ือให้บรรลุผลลัพธ์ท่ีสำคัญและจำเป็นต่อตัวนักเรยี นอย่าง
แทจ้ ริง มุ่งไปท่ีใหน้ ักเรียนสรา้ งองคค์ วามรู้ดว้ ยตนเอง ต้องก้าวข้ามสาระวิชาไปสูก่ ารเรียนรเู้ พ่อื การดำรงชีวิตใน
ศตวรรษท่ี 21 ครูต้องไม่สอนหนังสือไม่นำสาระที่มีในตำรามาบอกบรรยายให้นักเรียนจดจำแล้วนำไปสอบวัด
ความรู้ ครูต้องสอนคนให้เป็นมนุษย์ที่เรียนรู้การใช้ทักษะเพื่อการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21 เป็นผู้ออกแบบ
การเรียนรู้ และอำนวยความสะดวก (facilitate) ในการเรียนรู้ให้นักเรียนเรียนรู้จากการเรียนแบบลงมือทำ
โดยมีประเด็นคำถามอยากรู้เป็นตัวกระตุ้นสร้างแรงบันดาลใจให้อยากเรียน ท่ีจะนำไปสู่การกระตือรือร้นที่จะ
สืบค้น รวบรวมความรู้จากแหล่งต่าง ๆ มาสนับสนุนหรือโต้แย้งข้อสมมติฐานคำตอบที่คุ้นเคย พบเจอจาก
ประสบการณ์เดิมใกล้ตัว สร้างเป็นกระบวนทัศน์ใหม่แทนของเดิม การเรียนรูแบบน้ีเรียกว่า Project-Based
Learning: PBL
ทกั ษะการรสู้ าระเน้ือหา
1. พืน้ ฐานการเรยี นรู้สาระวิชาหลัก
ทักษะการอ่าน (Reading) ทักษะการเขยี น (Writing) และทกั ษะการคำนวณ (Arithmetic) ถือเป็น
ทักษะพื้นฐานท่ีมีความจำเป็นท่ีจะทำให้รู้และเข้าใจในสาระเนื้อหาของ 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ที่แสดงความ
เป็นสาระวิชาหลักของทักษะเพื่อดำรงชีวติ ในศตวรรษที่ 21 ได้แก่ ภาษาแม่และภาษาโลก ศิลปะ คณิตศาสตร์
56
เศรษฐศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และรัฐความเป็นพลเมืองดี ซึ่งหลักสูตรการศึกษา
ขัน้ พืน้ ฐานไดจ้ ดั ทำสาระเนอ้ื หาไดค้ รบคุมทั้ง 8 กลมุ่ สาระการเรียนรแู้ ล้ว
2. ความรู้เชงิ บูรณาการสำหรบั ศตวรรษที่ 21
ถงึ แม้นนักเรยี นจะสอบวัดความรู้ ความสามารถ ได้ตามเกณฑ์การจบหลกั สูตรการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน
ว่าด้วยระเบียบการวัดผลประเมินผลตามหลักสูตรการศึกษาข้ันพื้นฐานได้แล้วก็ตาม คงไม่เพียงพอในโลก
ยคุ ศตวรรษที่ 21 จึงตอ้ งมกี ารสอดแทรกความร้เู ชิงบูรณาการเขา้ ไปในสาระเน้อื หาของ 8 กลมุ่ สาระการเรียนรู้
เพอ่ื ใช้เป็นพน้ื ฐานความร้ทู กั ษะเพอื่ การดำรงชีวติ ในศตวรรษท่ี 21 ดงั นี้
2.1 ความรู้เกี่ยวกับโลก (Global Awareness) เป็นการสร้างความรู้ความเข้าใจและกำหนด
ประเดน็ สำคัญต่อการสร้างความเป็นสังคมโลก การขับเคล่ือนเชิงวัฒนธรรม ศาสนา และวถิ ีชวี ิตท่อี ยู่ร่วมกันได้
อยา่ งเหมาะสมในบริบททางสงั คมทีต่ ่างกันรอบด้าน และสร้างเข้าใจความเปน็ มนุษย์ด้วยกนั ในด้านเช้อื ชาติและ
วัฒนธรรม การใชว้ ัฒนธรรมทางภาษาท่ตี ่างกนั ได้อยา่ งลงตวั
2.2 ความรู้ด้านการเงิน เศรษฐกิจ ธุรกิจและการเป็นผู้ประกอบการ (Financial, Economic,
Business and Entrepreneurial Literacy) เป็นการสร้างความรู้และวิธีการท่ีเหมาะสมสำหรับการสร้าง
ตัวเลือกเชิงเศรษฐศาสตร์ หรือเศรษฐกิจ มีความเข้าใจบทบาทในเชิงเศรษฐศาสตร์ท่ีมีต่อสังคม และใช้ทักษะ
การเปน็ ผปู้ ระกอบการในการยกระดบั และเพ่มิ ประสทิ ธิผลด้านอาชพี
2.3 ความรดู้ ้านการเป็นพลเมือท่ดี ี (Civil Literacy) เป็นการสร้างประสิทธิภาพการมีสว่ นร่วมทาง
สังคม ผ่านวิธีสร้างองค์ความรู้ และความเข้าใจในกระบวนการทางการเมืองการปกครองท่ีถูกต้อง แล ะนำวิถี
แห่งความเป็นประชาธิปไตยไปสู่สังคมในระดับต่างๆ ที่เข้าใจต่อวิถีการปฏิบัติทางสังคมแห่งความเป็นพลเมือง
ทง้ั ระดบั ท้องถน่ิ และสากล
2.4 ความรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) เป็นการสร้างความรู้ความเข้าใจข้อมูลสารสนเทศ
ภาวะสุขภาพอนามัย และนำไปใช้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิต ให้เข้าใจวิธีป้องกันแก้ไข และเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
ท่ีมีต่อภาวะสุขอนามัย ห่างไกลจากภาวะความเส่ียงจากโรคภัยไข้เจ็บ ใช้ประโยชน์ข้อมูลสารสนเทศในการ
เสริมสร้างความเข้มแข็งทางด้านสุขภาพอนามัยได้อย่างเหมาะสมกับบุคคล เฝ้าระวังด้านสุขภาพอนามัย
ส่วนบุคคลและครอบครัวให้เกิดความเข้มแข็ง รู้และเข้าใจในประเด็นสำคัญของการเสริมสร้างสุขภาวะท่ีดี
ระดับชาตแิ ละสากล
2.5 ความรู้ด้านส่ิงแวดล้อม (Environmental Literacy) เปน็ การสร้างภูมิรู้และเข้าใจการอนุรักษ์
และป้องกันสภาพแวดล้อม และมีส่วนร่วมอนุรักษ์และป้องกันสภาพแวดล้อม มีภูมิรู้และเข้าใจผลกระทบจาก
ธรรมชาติที่ส่งผลต่อสังคม สามารถวิเคราะห์ประเด็นสำคัญด้านสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ และกำหนด
วิธีการป้องกันแก้ไข และอนุรักษ์รักษาสภาพแวดล้อม สร้างสังคมโดยรอบให้เกิดความร่วมมือในการอนุรักษ์
และพฒั นาทรัพยากรส่งิ แวดล้อม
๕๗
ทกั ษะเพ่ือการใชช้ ีวติ และทำงานในศตวรรษที่ 21
โลกยุคศตวรรษท่ี 21 มีการเปลี่ยนแปลงท่ีรวดเร็ว พลิกผัน รุนแรง และคาดไม่ถึงต่อการดำรงชีวิต
ดังน้ันคนในยุคศตวรรษท่ี 21 จึงต้องมีทักษะสูงในการเรียนรู้และปรับตัว การสร้างทักษะการเรียนรู้และ
นวัตกรรม จะใช้กระบวนการ Project-Based Learning: PBL โดยเร่ิมจากการนำบริบท สภาพแวดล้อม
เป็นตัวการสร้างแรงกดดันให้นักเรียนตั้งคำถามอยากรู้ ให้มากตามประสบการณ์พ้ืนฐานความรู้ที่สั่งสมมา และ
ตั้งสมมติฐานคำตอบตามพ้ืนฐานความรู้และประสบการณ์ของตนเองท่ีไม่มีคำว่าถูกหรือผิด นำไปสู่ การ
แลกเปลี่ยนประเด็นความคิดเห็นกับกลุ่มเพื่อน เพื่อสรุปหาสมติฐานคำตอบท่ีมีความน่าจะเป็นไปได้มากท่ีสุด
โดยมีการพิสูจน์ยืนยันสมมติฐานคำตอบจากการไปสืบค้น รวบรวมความรู้จากแหล่งอ้างอิงที่เช่ือถือได้
มาสนับสนุนหรือโต้แย้งได้เป็นคำตอบที่เรียกว่าองค์ความรู้ เรียกว่า การเรียนแก่นวิชา ซ่ึงไม่ใช่เป็นการจดจำ
แบบผิวเผิน แต่การรู้แก่นวิชาหรือทฤษฎีความรู้จะสามารถเอาไปเชื่อมโยงกับวิชาอื่น ๆ เกิดแรงบันดาลใจ
อยากพฒั นางาน สร้างผลงานที่เกี่ยวกบั การการพัฒนาคุณภาพชีวิต ท่ีเรียกวา่ ความคิดเชงิ สร้างสรรค์ นำทฤษฎี
ความรู้มาสร้างกระบวนการและวิธีการผลิตสร้างผลงานใหม่ที่เป็นประโยชน์ต่อบุคคล และสังคมท่ีเรียกว่า
พฒั นานวตั กรรม
๕๘
๑. ทกั ษะด้านการสรา้ งสรรค์ และนวตั กรรม (Creativity and Innovation)
ทักษะทางด้านนี้เป็นเรื่องของการนจินตนาการมาสร้างขั้นตอนกระบวนการโดยอ้างอิงจากทฤษฎี ความรู้เพ่ือ
นำไปสู่การค้นพบใหม่เกิดเป็นนวัตกรรมท่ีใช้ตอบสนองความต้องการในการดำรงชีวิตท่ีลงตัว และนำไปสู่การ
เปน็ ผูผ้ ลิตและผู้ประกอบการตอ่ ไป ทักษะด้านนไี้ ด้แก่
1 การคิดอย่างสร้างสรรค์ ที่ใช้เทคนิคสร้างมุมมองอย่างหลากหลาย มีการสร้างมุมมองที่แปลกใหม่
อาจเป็นการปรับปรุงพัฒนาเพียงเล็กน้อย หรือทำใหม่ที่แหวกแนวโดนส้ินเชิง ท่ีเปิดกว้างในความคิดเห็น
ที่ร่วมกันสร้างความเข้าใจ ปรับปรุง วิเคราะห์ และประเมินมุมมอง เพ่ือพัฒนาความเข้าใจเกี่ยวกับความคิด
อยา่ งสร้างสรรค์
2 การทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ ในการพัฒนา ลงมือปฏิบัติ และสื่อสารมุมมองใหม่กับผู้อ่ืน
อยู่เสมอ มีการเปิดใจและตอบสนองมุมมองใหม่ ๆ รับฟังข้อคิดเห็น และร่วมประเมินผลงานจากกลุ่ม
คณะทำงาน เพ่ือนำไปปรับปรุงพัฒนา มีการทำงานด้วยแนวคิดหรือวิธีการใหม่ ๆ และเข้าใจข้อจำกัดของโลก
ในการยอมรับมมุ มองใหม่ และใหม้ องความลม้ เหลวเป็นโอกาสการเรียนรู้
3 การประยุกต์สนู่ วตั กรรม ท่ีมีการลงมือปฏิบัตติ ามความคิดสรา้ งสรรค์ให้ไดผ้ ลสำเรจ็ ทีเ่ ปน็ รปู ธรรม
๕๙
๒. ทกั ษะด้านทกั ษะด้านคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีสารสนเทศการสือ่ สาร และรูเ้ ท่าทันสื่อ (Computing,
ICT Literacy, Information, Communications and Media Literacy)
การรับรู้สิ่งต่าง ๆ ท่ีเกิดข้ึนแล้วตอบสนอง รับส่ิงที่รับรู้มาเป็นกระบวนทัศน์ใหม่ทันที แสดงถึงการขาดทักษะ
การคิดแบบขาดวิจารณญาณ ผลที่เกิดข้ึนก็จะตกอยู่ภายใต้การชวนเช่ือ และไม่สามารถกำหนดตนเองได้
การสรา้ งทกั ษะด้านสารสนเทศ สือ่ และเทคโนโลยี เพอ่ื ใหเ้ กิดการเท่าทันไมต่ กอยู่ภายใต้การถูกชักจูง ชวนเชื่อ
1. การรู้เท่าทันสารสนเทศ (Information Literacy) การับรู้คำบอกเล่าจากเพื่อน ผู้อื่น รวมถึง
ครูผู้สอน หรือแม้นแต่สมมติฐานคำตอบท่ีหารือกันในกลุ่มอภิปราย เป็นเพียงความคิดเห็นที่รอการพิสูจน์
ยืนยันคำตอบท่ีเป็นจริงจากสารสนเทศท่ีได้จากการสืบค้น รวมรวมจากแหล่งอ้างอิงที่เชื่อถือได้มาผ่าน
กระบวนการคิดแบบขาดวิจารณญาณ สนับสนุน หรือโต้แย้งพิสูจน์ความเป็นจริงสร้างเป็นความรู้ และองค์
ความรู้ที่ได้จากการเรียนรู้ ซึ่งต้องใช้ทักษะในการเข้าถึงแหล่งความรู้ได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง มีทักษะ
การประเมินความนา่ เชื่อถือของข้อมูลสารสนเทศ และทกั ษะในการใช้อยา่ งสร้างสรรค์
2. การรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) การรับสารจากสื่อ และสื่อสารออกไปในยุค media คนใน
ศตวรรษที่ 21 จะต้องมีความสามารถใช้เคร่ืองมือผลิตสื่อ และส่ือสารออกไป หรือแม้แต่การรับเข้ามาในรูป
วิดีโอ (video) ออดิโอ (audio) พอดคาส์ท (podcast) เว็บไซด์ (website) และอ่ืน ๆ อีกมากมาย แต่การรับรู้
จากแหล่งส่ือเหล่าน้ันถ้าขาดการเท่าทัน ขาดการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ก็จะตกอยู่ภายใต้การถูกชักจูง
ชวนเช่ือได้เช่นกัน จึงต้องสร้างทักษะการวิเคราะห์ส่ือให้เท่าทันวัตถุประสงค์ของตัวส่ือ และผลิตสื่อนั้นอย่างไร
มีการตรวจสอบแหล่งอ้างอิงที่เช่ือถือได้ และเท่าทันต่อการมีอิทธิพลต่อความเช่ือและพฤติกรรมอย่างไร และ
มีข้อขัดแย้งต่อจริยธรรมและกฎหมายที่เก่ียวข้องหรือไม่ อย่างไร ในเร่ืองการสร้างผลิตภัณฑ์ส่ือ ต้องมีความ
เทา่ ทันต่อการเลอื กใช้เคร่ืองมือทีพ่ อเพียงพอเหมาะกับวัตถุประสงคก์ ารใชง้ าน และเหมาะสมกับสภาพแวดลอ้ ม
ความแตกตา่ ง หลากหลายดา้ นวฒั นธรรม
3. การรู้ทันเทคโนโลยี (ICT: Information, Communication and Technology Literacy) ในโลก
ยุคศตวรรษท่ี 21 เป็นโลกเทคโนโลยีที่มีการแข่งขันกันผลิต และนำมาสู่การสร้าง กลยุทธ์การขายสู่
กลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการความทันสมัยอยู่ตลอดเวลา ซึ่งถ้าขาดความเท่าทันการใช้เทคโนโลยีจะกลายเป็นผู้ซื้อ
แต่ไม่อยากจะเรียนรู้การเป็นผู้ผลิต เพ่ือนำไปใช้งานท่ีพอเพียงเหมาะสมกับงาน การถูกชักจูง ชวนเชื่อ ให้เป็น
ผู้ซ้ือก็จะง่ายข้ึน ผลการสูญเสียงบประมาณ และการขาดดุลทางเศรษฐกิจจะตามมา ดังน้ันทักษะความเท่าทัน
ด้านเทคโนโลยีจึงเป็นทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 ทำให้คนรู้จักผลิตใช้และนำไปแลกเปล่ียนใช้ในเวที
๖๐
การค้า เกิดการสร้างงานสร้างรายได้ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีเพ่ือการเรียนรู้ให้เกิดการสืบค้น รวมรวมความรู้
พิสูจน์สมมติฐานคำตอบในการใช้ทักษะการคิดแบบมีวิจารณญาณ มากกว่าท่ีจะใช้เพื่อการบันเทิง ในแบบ
สังคมก้มหน้า จึงควรใช้เทคโนโลยีเพื่อการวิจัย จัดระบบ ประเมิน และส่ือสารสารสนเทศ ใช้สื่อสารเชื่อมโยง
เครือข่าย และ Social network อย่างถูกต้องเหมาะสม เพื่อการเข้าถึง การจัดการ การผสมผสาน ประเมิน
และสร้างสารสนเทศ เพื่อทำหน้าท่ีในเศรษฐกิจฐานความรู้ ท้ังน้ีต้องคำนึงถึงการปฏิบัติตามคุณธรรมและ
กฎหมายที่เกย่ี วขอ้ งกบั การเขา้ ถึงและใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ
๓. ทกั ษะอาชีพ และทักษะการเรยี นรู้ (Career and Learning Skills)
การเรยี นรู้ท่ีจะปรบั ตวั ได้อยา่ งดีในสภาวะการเปลยี่ นแปลง หรือมีภัยคุกคามได้อย่างชาญฉลาดถือเป็น
เรื่อสำคัญในการดำรงชีวิตที่มีทักษะชีวิตในโลกศตวรรษท่ี 21 และการคิดสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อตอบสนอง
การดำรงชีวิตเฉพาะบริบท สภาพแวดล้อมทต่ี ่างกันไป นำไปสู่การเผยแพรเ่ ทคนิควิธกี ารใช้และพัฒนาทกั ษะใช้
เกิดเป็นกลยุทธ์การขายเกิดผู้ประกอบการในงานอาชีพต่าง ๆ ซ่ึงเป็นทักษะงานอาชีพท่ีต้องมีการส่งเสริมให้มี
เท่าทันในยุกต์การเปล่ียนแปลงของโลกศตวรรษที่ 21 ทักษะชีวิตและทักษะงานอาชีพจึงควรมีการพัฒนาสิ่ง
ต่อไปนี้
1. ความยดื หย่นุ และความสามารถในการปรับตัว (Flexibility and Adaptability) เปน็ ทักษะเพ่ือการ
เรยี นรู้ การทำงานและการเปน็ พลเมืองในศตวรรษท่ี 21 ซ่ึงต้องทำเพือ่ การบรรลุเปา้ หมายแบบมีหลกั การ และ
ไม่เลื่อนลอยภายใต้การเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็ว และไม่คาดคิด ท้ังมีข้อจำกัดด้านทรพั ยากร เวลา และการมี
คู่แข่ง โดยใช้วิกฤตให้เป็นโอกาส ในด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง เป็นการปรับตัวให้เข้ากับบทบาท
ที่แตกต่างไป งานท่ีมีกำหนดการที่เปล่ียนไป และบริบทที่เปลี่ยนไป ในด้านความยืดหยุ่น เป็นการนำเอา
ผลลัพธ์ที่เกิดข้ึนมาใช้ประโยชน์อย่างได้ผล มีการจัดการเชิงบวกต่อคำชม คำตำหนิ และความผิดพลาด สามา
ถนำความเห็นและความเช่ือท่ีแตกต่างหลากหลายทั้งของคณะทำงาน หรือข้ามวัฒนธรรมคณะทำงาน มาทำ
ความเข้าใจ ต่อรอง สร้างดุลยภาพ และทำให้งานลุล่วง ดังนั้นความยืดหยุ่นจึงทำเพ่ือการบบลุผลงานไม่ใช่
เพอ่ื ให้ทกุ คนสบายใจ
๖๑
2. การริเร่ิมสร้างสรรค์และกำกับดูแลตนเองได้ (Initiative and Self-Direction) เป็นทักษะท่ีสำคัญ
มากในการทำงานและดำรงชีวิตในโลกศตวรรษที่ 21 ท่ีต้องมีการกำหนดเป้าหมายโดยมีเกณฑ์ความสำเร็จ
ทีเ่ ป็นรูปธรรม และนามธรรม มีความสมดลุ ระหวา่ งเปา้ หมายระยะสั้นท่ีเปน็ เชิงยุทธวิธี และเป้าหมายระยะยาว
ที่เป็นเชิงยุทธศาสตร์ มีการคำนวณประสิทธิภาพการใช้เวลากับการจัดการภาระงาน การทำงานต้องทำงาน
สำเร็จได้ด้วยตนเอง โดยกำหนดตัวงาน ติดตามผลงาน และลำดับความสำคัญของงานได้เอง นอกจากน้ัน
การทำงานยังต้องฝึกทักษะการเป็นผู้เรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ท่ีมีการมองเห็นโอกาสเรียนรู้ส่ิงใหม่ ๆ เพื่อขยาย
ความเชี่ยวชาญในงานของตนเอง มีการริเริ่มการพัฒนาทักษะไปสู่ระดับอาชีพ แสดงความเอาใจใส่จริงจัง
ต่อการเรยี นรู้ และทบทวนประสบการณใ์ นอดีต เพอ่ื คดิ หาทางพัฒนาในอนาคต
3. ทักษะสังคมและสังคมข้ามวัฒนธรรม (Social and Cross-Cultural Skills) เป็นทักษะทำให้คน
ในศตวรรษท่ี 21 สามารถทำงานและดำรงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมและผู้คนที่มีความแตกต่างหลากหลายได้
อย่างไม่แปลกแยก ทำให้งานสำเร็จ การพัฒนาทักษะนี้จะทำให้ เกิดปฏิสัมพันธ์กับผู้อ่ืนอย่างเกิดผลดีในเร่ือง
กาลเทศะ เกิดการทำงานในทีมท่ีแตกต่างหลากหลายอย่างได้ผลดี ที่มีการเคารพความแตกต่างทางวัฒนธรรม
ตอบสนองความเห็นและคุณค่าท่ีแตกต่างอย่างใจกว้าง เพื่อยกระดับความแตกต่างทางสังคมและวัฒนธรรม
สกู่ ารสร้างแนวความคิด วิธที ำงานใหม่ สคู่ ณุ ภาพของผลงาน
4. การเป็นผู้สร้างผลงานหรือผลผลิตและความรับผิดชอบเชื่อถือได้ (Productivity and
Accountability) เป็นการกำหนดขั้นตอนวิธีการทำงานในการสร้างชิ้นงาน ผลงาน หรือผลิตภัณฑ์ อย่างมี
หลักการตามทฤษฎีความรู้ท่ีต้องมีทักษะความชำนาญการ ซึ่งเป็นเรื่องของการจัดการโครงการ ที่มีการกำหนด
เป้าหมายและวิธีการบรรลุเป้าหมายภายใต้ขอ้ จำกัดที่มีอยู่ โดยการกำหนดลำดบั ความสำคัญ วางแผน และการ
จัดการ ผลิตภัณฑ์ และผลงาน ท่ีได้จาการผลิตต้องมีคุณภาพเพ่ือแสดงถึงทักษะการทำงานอย่างเป็นระบบ
จากผู้ที่มีความเชี่ยวชาญการผลิต นำไปใช้ประโยชน์แก่บุคคล ชุมชนได้อย่างไม่มีผลกระทบทางลบ แต่ถ้ามี
จะต้องออกมายอมรับข้อบกพร่องอย่างไมป่ ิดบัง อันนำไปส่กู ารปรบั แกไ้ ข หรือยกเลกิ เพื่อแสดงจริยธรรมที่เป็น
บรรทดั ฐานทางสังคม
5. ภาวะผู้นำและความรับผิดชอบ (Leadership and Responsibility) ในศตวรรษที่ 21 มีความ
ต้องการภาวะผู้นำและความรับผิดชอบแบบกระจายบทบาท จากการรับผิดชอบต่อตนเอง รับผิดชอบ
การทำงานแบบประสานสอดคล้องเป็นคณะทำงาน และรับผิดชอบแบบสร้างเครือข่ายร่วมมือแบบพันธมิตร
การทำงาน เพ่ือไปสู่เป้าหมายของผลงานร่วมกัน ซ่ึงต้องพัฒนาทักษะมนุษยสัมพันธ์ และทักษะการแก้ปัญหา
ในการชักนำผู้อื่นให้เห็นเป้าหมายร่วมกัน และทำให้ผู้อ่ืนเกิดพลังในการทำงานให้บรรลุผลสำเร็จร่วมกัน
เกิดแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นใช้ศักยภาพหรือความสามารถสูงสุด โดยการทำตัวอย่างท่ีไม่ถือผลประโยชน์ของ
ตนเองเปน็ ทีต่ ั้ง และไม่ใช้อำนาจโดยขาดจริยธรรมและคุณธรรม ถอื ประโยชน์ส่วนรวมเปน็ ท่ตี งั้
๖๒
รายวชิ า การแกไ้ ขปญั หาความขัดแยง้ อย่างสนั ติวิธี
ระยะเวลา ๒ ช่ัวโมง
วัตถุประสงค์
๑. เพอื่ ให้ผูเ้ ขา้ รบั การฝึกการอบรมมคี วามรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกบั ปญั หาความขัดแยง้
๒. เพื่อให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมมีทักษะในการวิเคราะห์ปัญหาความขัดแย้งและสามารถกำหนด
แนวทางแกป้ ัญหาความขัดแยง้ อยา่ งสนั ตวิ ธิ ไี ด้
๓. เพ่ือให้ผู้เข้ารับการฝกึ อบรมสามารถเลือกใช้แนวทางในการแก้ปญั หาความขัดแยง้ ได้อย่างสันตวิ ิธี
ขอบข่ายเน้ือหาวิชา
๑. ความหมายความขัดแยง้
๒. ประเภทของความขัดแย้ง
๓. ขอ้ ดี ขอ้ เสียของความขัดแย้ง
๔. การจัดการความขัดแยง้
๕. การจดั การความขัดแย้งโดยแนวทางสันตวิ ธิ ี
๖. แนวทางแกป้ ญั หาความขัดแย้ง
กิจกรรมการเรยี นรู้
๑. การบรรยาย
๒. การระดมสมอง
๓. กิจกรรมอภิปรายกลมุ่
สอ่ื การฝึกอบรม
๑. เอกสารประกอบการฝึกอบรม
๒. สื่ออิเลก็ ทรอนิกส์
๓. ใบงาน
๔. ทศั นูปกรณ์
๕. เกม เพลง
การวัดและประเมินผล
๑. การสงั เกต
๒. การตอบคำถาม
๓. การอภิปรายกลมุ่
๖๓
เนือ้ หารายวชิ า การแกไ้ ขปญั หาความขดั แย้งอย่างสนั ติวิธี
กจิ กรรมท่ี ๑ เด็กไทยหวั ใจรักสันติ เวลาท่ใี ช้ ๖๐ นาที
๑. วิทยากรนำเสนอพระบรมราโชบายด้านการศึกษาสู่การปฎิบัติ ของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทร
รามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวและให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมอ่านพร้อมกันและให้ดู
พระบรมราโชบายข้อที่ ๒ และ ๔ ซึ่งแสดงถึงความห่วงใยท่ีเก่ียวกับความขัดแย้งของเยาวชนในชาติ แล้วให้
นักเรียนยนื ตรงถวายความเคารพและเปิดเพลงสรรเสรญิ พระบารมี
๒. วิทยากรแบง่ กลุ่มเป็น ๕ กลุ่ม ๆ ละ ๑๒ - ๑๔ คน
๓. เปดิ คลปิ ตัวอย่างความขัดแย้งและให้ผเู้ ขา้ รับการฝึกอบรมได้รว่ มกนั อภปิ รายสิ่งที่เกิดขึ้นในคลปิ
๔. วิทยากรอธิบายความหมายและประเภทของความขัดแย้ง
๕. แจกใบงานท่ี ๑ เรอ่ื ง ร้จู กั เข้าใจ เขา้ ถึงความขัดแยง้
๖. ผู้แทนกลุ่มรว่ มกันนำเสนอตามใบงาน
๗. แจกใบงานที่ ๒ เรื่อง ทุกเรื่องจดั การได้ ให้กลุ่มเดิม
๘. ผู้แทนกลุม่ ร่วมกนั นำเสนอตามใบงาน
๙. เปิดเพลงปรองดอง ๑ เทย่ี ว และให้ผ้เู ขา้ ร่วมกิจกรรมร้องพร้อมกนั อีก ๑ เท่ียว
๑๐. วิทยากรสรุปความหมายการจัดการความขัดแย้ง การจัดการความขัดแย้งโดยแนวทางสันติวิธี
และแนวทางแก้ปัญหาความขดั แย้ง
สอ่ื /อปุ กรณ์/เครอื่ งมอื
๑.พระบรมราโชบายด้านการศึกษาของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดศี รสี ินทรมหาวชิราลงกรณ
พระวชิรเกล้าเจา้ อยู่หวั
๒. ใบความรูว้ ชิ า เดก็ ไทยหัวใจรกั สันติ
๓. ใบงานที่ ๑ เร่ือง ร้จู ัก เขา้ ใจ เข้าถึงความขดั แยง้
๔. ใบงานท่ี ๒ เร่ือง ทุกเรื่องจดั การได้
๕. ไฟลเ์ พลงปรองดอง พร้อมเน้ือเพลง
๖๔
๖. คลิปเร่อื งสัน้ เก่ียวกบั ความขัดแยง้ ๒ – ๓ เร่ือง
๗. อุปกรณค์ อมพิวเตอร์ โปรเจคเตอร์
๘. กระดาษฟลปิ ชารท์ ปากกาเคมี
กจิ กรรมการเรยี นรู้
๑. การบรรยาย
๒. การอภิปรายกลมุ่
๓. กรณตี ัวอยา่ ง
๔. การรอ้ งเพลง
สอ่ื การฝึกอบรม
๑. เอกสารประกอบการฝกึ อบรม
๒. คลิปวดี ีโอ
๓. ใบความรู้/ใบกิจกรรม
๔. Power point
การวดั และประเมนิ ผล
๑. การสังเกต
๒. การตอบคำถาม
๓. การอภปิ รายกลุม่
๖๕
เนอื้ หากิจกรรมการเรยี นรู้ วชิ า เด็กไทยหวั ใจรักสนั ติ
๑. ความขดั แย้ง
สภาพการณท์ ่ีบุคคลหรือกล่มุ บคุ คลมีความคดิ เหน็ ความเช่ือ ทัศนคติ ความต้องการ เป้าหมาย
ผลประโยชน์ และวธิ ที ำงานแตกต่างกัน ซ่ึงก่อใหเ้ กดิ ผลทั้งทางบวกและทางลบ
๒. ประเภทของความขัดแยง้
๒.๑ ความขัดแย้งภายในตัวบุคคล เป็นความขัดแย้งภายในตัวบุคคล เป็นสภาวะจิตที่บุคคลรับรู้ถึง
ความขัดแย้ง เม่ือเผชิญกับเป้าหมาย ทัศนคติ ความเช่ือ ความต้องการหลายๆอย่างที่แตกต่างกันในเวลา
เดียวกัน เช่นต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งท้ังท่ีชอบท้ังสองอย่างหรือไม่ชอบท้ังสองอย่างแต่ต้องเลือกอย่างใด
อย่างหนง่ึ
๒.๒ ความขัดแย้งระหว่างบุคคล เป็นความขัดแย้งที่เกิดข้ึนระหว่างบุคคล ๒ คน ที่ต้องเข้ามา
เกี่ยวข้องกัน ซึ่งมีทั้งเร่ืองของการอยู่ร่วมกันและเร่ืองส่วนตัว มักจะเกิดจากบุคลิกก้าวร้าวซึ่งจะนำไปสู่
ความขดั แย้งกับผู้อ่ืนได้งา่ ย และสง่ ผลกระทบตอ่ ความขดั แยง้ ภายในกลมุ่
๒.๓ ความขดั แยง้ ระหวา่ งกลุ่ม เปน็ ความขดั แย้งทีเ่ กดิ ข้ึนระหวา่ งกลุ่มบุคคลทั้ง ๒ กลมุ่ ท่มี ีเป้าหมาย
ไม่ตรงกนั แต่ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ทีม่ ีเป้าหมายเดียวกันย่อมเกดิ การแกง่ แย่ง
๓. ขอ้ ดี ข้อเสียของความขดั แยง้
๓.๑ ข้อดี
๑) แลกเปล่ียนความรู้/ความคิดเห็นซึง่ กนั และกัน
๒) การปรบั ปรงุ และพฒั นาให้ดขี ้นึ
๓) การได้ระบายข้อขัดแย้งระหวา่ งบุคคลหรือกล่มุ
๓.๒ ขอ้ เสยี
๑) ทำให้เกดิ ความสับสน สมั พันธภาพระหวา่ งบคุ คลเสื่อมลงไป
๒) ทำให้เกดิ ความเครยี ด บรรยากาศของความจริงใจและความไวว้ างใจจะหมดสน้ิ ไป
๓) ความไมส่ งบสุข เกิดการตอ่ ต้านทง้ั โดยลับและเปดิ เผย
๔) มงุ่ เอาชนะมากกวา่ จะมองผลกระทบ ผู้แพม้ ักจะหลบหนสี ังคม เก็บเน้ือเกบ็ ตวั ผู้ชนะกม็ ักจะ
ตปี กี ร่าเริง
๔. การจัดการความขดั แย้ง แบบสัตว์ ๕ ชนดิ
การดำเนินการเพ่ือลดความขัดแย้งด้วยการใช้วิธีการ อย่างใดอย่างหนึ่ง ให้เหมาะสมกับสภาพของ
ความขัดแย้ง ได้มีการเปรียบเทียบการจัดการกับความขัดแย้ง กับสัตว์ ๕ ชนิด คือ เตา่ ฉลาม หมี ตุ๊กตา หมา
จงิ้ จอก และ นกฮูก ดังน้ี
๔.๑ เต่า : ธรรมชาติของเต่า คือ เม่ือมีภัยจะหดตัวหดหัวอยู่ในกระดอง เมื่อปลอดภัยแล้วจะยืด
ออกมา เต่าจะไมส่ นใจเป้าหมาย และไม่สนใจความสมั พันธ์ของบคุ คล เราเรยี กวิธีการจัดการ ความขดั แย้งนี้ว่า
“การหลกี เลยี่ ง” คือ ท้ังเปา้ หมายความสำเรจ็ ในการทำงานและคนไม่สำคัญ
๔.๒ ฉลาม : ธรรมชาติของฉลามเป็นสัตว์ที่ดุร้ายพละกำลังมาก กินทุกอย่างท่ีขวางหน้า เมื่อต่อสู้
ก็จะเป็นฝ่ายชนะ วิธีนี้จะใช้อำนาจที่เหนือกว่าเข้าบังคับโดยไม่คำนึงถึงเป้าหมายของผู้อ่ืน เพราะถือว่า การชนะ
คือ ความสำเร็จ สว่ นการผ่ายแพ้ น้นั คือ ความออ่ นแอ เรยี กวิธีน้ีว่า “การใช้อำนาจ” คือ เป้าหมายความสำเร็จ
สำคัญคนไม่สำคัญ ไมส่ นใจความร้สู ึกของผู้อ่นื
๔.๓ หมี : หมีมีความเช่ือวา่ ความขัดแย้งน้ันเป็นสิ่งที่ควรหลีกเล่ียง ไม่ควรให้ความขัดแย้งมาทำลาย
ความสัมพันธ์อันดีต่อกัน หมีพร้อมที่จะยกเลิกเป้าหมายของตน ถ้าเป้าหมายนั้นไปทำลายความสัมพันธ์กับ
คนอื่น เรยี กวิธีนวี้ ่า“การปรองดอง” คอื ให้ความสำคญั ในเรือ่ งคน แต่เปา้ หมายเรื่องงานไมส่ ำคัญ
๖๖
๔.๔ หมาจิ้งจอก : หมาจิ้งจอกจะให้ความสำคัญกับเป้าหมายเท่า ๆ กับความสัมพันธ์กับผู้อื่น
ซง่ึ เปน็ ทางสายกลางของการประนีประนอม พรอ้ มที่จะยกเลิกเป้าหมายของตน และเกล่ียกลอ่ มใหค้ นอ่นื ยกเลิก
เป้าหมายของเขาดว้ ย เรียกวธิ ีน้ีวา่ “การประนีประนอม” คือ เปา้ หมายและคนสำคัญปานกลาง
๔.๕ นกฮูก : นกฮูกมีความเช่ือวา่ ความขัดแย้งคอื ปัญหาที่ทุกฝา่ ยตอ้ งรว่ มแก้ไข ทำให้เป้าหมายของ
ตนและผ้อู ื่นสมั ฤทธผ์ิ ล เรยี กวธิ นี ้วี ่า “การแกป้ ัญหารว่ มกัน” คือ ท้ังเป้าหมายและคนสำคัญเท่ากัน
๕. การจดั การความขดั แย้งโดยแนวทางสนั ติวิธี
เป็นการดำเนินการเพ่ือลดความขัดแย้งด้วยการใช้วิธีการต่าง ๆ โดยยึดหลักไม่ใช้กำลังและไม่รุนแรง
สร้างสัมพันธภาพ ไม่มุ่งเอาชนะกันแต่สร้าง ความร่วมมือ ตอบสนองทุกฝ่าย มองทุกคนมีความเป็นมนุษย์
เหมือนกัน เนน้ ทงั้ เหตผุ ลและความรู้สึก
ความขัดแย้งท่ีเกิดขั้น ล้วนแล้วแต่ส่งผลทงั้ ในแง่บวกและแง่ลบ เมื่อเกิดผลในแงล่ บจากความขัดแย้ง
แล้ว วิธีการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจึงเป็นสิ่งท่ีสำคัญ ด้วยแนวความคิดท่ีว่า จะแก้ปัญหาอย่างไร ให้เกิดความเห็น
พ้องต้องกันทั้งสองฝ่าย ให้ท้ังสองฝ่ายได้รับความพึงพอใจหรือมองเห็นถึงประเด็นของปัญหาร่วมกัน การ
แก้ปัญหาความจัดแย้งจำเป็นต้องเป็นต้องเป็นการแก้ไขด้วยความยินยอมพร้อมใจกันของทั้งสองฝ่ายมากกว่าใช้
การบีบบังคับ หรือการปาผลแพ้-ชนะ ซึ่งทำให้เกิดความรุนแรงในการแก้ปัญหา ดังน้ันเราจึงควรแก้ปัญหา
ทเ่ี กดิ ขนึ้ โดยใช้หลักสนั ตวิ ธิ ีในรูปแบบดังนี้
๕.๑ การเจรจาไกล่เกล่ีย
การเจรจาไกล่เกล่ียเป็นวิธีการแก้ปัญหาความขัดแย้งท่ีดีที่สุด โดยจะเร่ิมต้นขึ้นโดยการที่ฝ่าย
ที่สาม (ผู้ไกล่เกลี่ย) กำหนดว่าฝ่ายใดหรือประเด็นใดบ้างที่เป็นสาระของความขัดแย้ง จากน้ัน ฝ่ายท่ีสาม
ก็จะต้องจัดหาสถานที่หรือเวทีที่ให้ท้ังสองฝ่ายได้พบปะพูดคุยเจรจากัน และเป็นท่ียอมรับของทั้งสองฝ่าย
หลังจากน้นั จงึ เข้าสขู่ ้ันตอนการไกลเ่ กลีย่ ซึง่ มขี ้นั ตอน ดังน้ี
๕.๑.๑ การลดภาวะอารมณ์
๕.๑.๒ การทำความเขา้ ใจสถานการณ์ความขัดแย้ง
๕.๑.๓ การวเิ คราะหค์ วามขดั แยง้
๕.๑.๔ การหาทางออกและข้อตกลงร่วมกนั
๕.๒ การเจรจาต่อรอง
เป็นกระบวนการท่ีคู่กรณีความขดั แย้งแกป้ ัญหาด้วยการเจรจาแลกเปลี่ยนผลประโยชนร์ ะหว่างกนั
โดยผเู้ ก่ียวข้องพยายามหาข้อยตุ ิรว่ มกนั การเจรจาต่อรองเป็นวิธกี ารแกป้ ญั หาความขัดแยง้ ทใ่ี ชไ้ ดผ้ ลดี
กบั คู่กรณที ี่มีอำนาจการต่อรองเท่าเทยี มกนั และมีทางเลือกในการแก้ปัญหาหลาย ๆ ทาง
๖๗
๕.๓ การระงับความขดั แย้ง เปน็ แนวทางหน่งึ ในการแก้ปญั หาความขัดแยง้ ทีเ่ กดิ ข้ึน ซึ่งได้แก่
๕.๓.๑ การบงั คบั (Force)
๕.๓.๒ การหลบหนี (Withdrawal)
๕๓.๓ การประนปี ระนอม (Compromise)
๕.๓.๔ การปรองดอง (Reconciliation)
๕.๓.๕ การแกป้ ญั หาหรอื การร่วมมอื กนั (Problem Solving)
การระงับความขัดแย้งท้ัง ๕ วิธีท่ีกล่าวมาข้างต้นนั้น ๕ วิธีแรกเป็นวิธีการระงับความขัดแย้ง
เพียงชั่วคราวหรือระยะสั้นเท่าน้ัน ไม่ยั่งยืนถาวร ท้ังสองฝ่ายยังมีความรู้สึกท่ีไม่ชอบกัน ไม่ลงรอยกันอ ยู่
เพยี งแต่เก็บความรูส้ ึกนน้ั ๆ ไว้
๖. วนิ ัยในการแกป้ ญั หาความขัดแยง้
วินัยท่ีสำคัญท่ีคู่ขัดแย้งทั้งสองฝ่าย ผู้ไกล่เกล่ีย และฝ่ายท่ีสามต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด
ในการแก้ปญั หาความขดั แยง้ คอื
๖.๑ การมคี วามอดทน
๖.๒ ความตั้งใจในการปฏิบัตหิ น้าที่
๖.๓ การยอมรับผลทีเ่ กดิ จากการกระทำของตนเอง
ถ้าคู่ขัดแย้งทั้งสองฝ่าย รวมถึงผู้ไกล่เกล่ียหรือฝ่ายที่สามปฏิบัติตนอย่างมีวินัยดังกล่าวน้ีแล้ว
การแก้ปัญหาความขัดแย้งก็จะดำเนินต่อไปอย่างราบร่ืน มีประสิทธิภาพ และประสบกับความสำเร็จ คือ
ยตุ คิ วามขดั แยง้ ลงได้
๗. แนวทางแก้ปญั หาความขัดแยง้
๗.๑ ปญั หาเกีย่ วกับความจรงิ : ใชข้ ้อมูล การอภปิ รายรว่ มกนั วิธีวทิ ยาศาสตร์ ในการแก้ปัญหา
๗.๒ ปัญหาเกี่ยวกับอารมณ์ : ใช้เทคนิคการจัดการความเครียด การควบคุมอารมณ์ การสร้าง
สัมพันธภ์ าพในการแกป้ ญั หา
๗.๓ ปัญหาเก่ียวกับผลประโยชน์ : ใช้เทคนิคการจัดการทางอารมณ์ ใช้ข้อเท็จจริง การประนีประนอม
หรือตอ่ รอง
๖๘
สรุปความขัดแย้ง เป็นสภาพการณ์ที่บุคคลหรือกลุ่มบุคคลมีความคิดเห็น ความเช่ือ ทัศนคติ
ความต้องการ เป้าหมาย ผลประโยชน์ และวิธีทำงานแตกต่างกัน ซ่ึงก่อให้เกิดผลทั้งทางบวกและทางลบ
นำไปสู่การหาวิธีการจัดการความขัดแย้งโดยแนวทางสันติวิธี เพื่อป้องกันและลดความขัดแย้งท่ีจะ
สง่ ผลกระทบตอ่ ตวั บุคคล สงั คม และประเทศชาติ
๖๙
ใบงานที่ ๑
วชิ า เดก็ ไทยหัวใจรักสนั ติ (เร่ือง รู้จัก เขา้ ใจ เขา้ ถึงความขัดแย้ง)
คำชี้แจง
๑. ใหท้ ุกคนในแตล่ ะกลมุ่ ยกตัวอยา่ ง และวิเคราะหข์ ้อดี ข้อเสียของความขดั แย้งแต่ละประเภท ดงั น้ี
๑.๑ ความขดั แยง้ ภายในตวั บคุ คล
๑.๒ ความขดั แย้งระหวา่ งบคุ คล
๑.๓ ความขดั แย้งระหวา่ งกลุม่
๒. ผูแ้ ทนนำเสนอ
ประเภท ลักษณะ ตวั อย่าง ขอ้ ดี ขอ้ เสยี
ความขัดแย้ง ความขัดแย้ง ความขดั แย้ง
ภายในตัวบคุ คล
ระหว่างบุคคล
ระหว่างกลมุ่
๗๐
ใบงานท่ี ๒
วิชา เดก็ ไทยหวั ใจรกั สันติ (เรอ่ื ง ทกุ เรอื่ งจดั การได้)
คำช้ีแจง
ให้ทุกคนในแต่ละกลุ่มอา่ นใบความร้กู ารจดั การความขดั แย้ง แบบสตั ว์ ๕ ชนิด
๑. สรุปความหมายของการจัดการความขดั แย้ง
๒. นำตัวอย่างของความขัดแย้งในใบงานท่ี ๑ หรือตัวอย่างความขัดแย้งใหม่เสนอวิธีการจัดการ
ความขัดแยง้ และแนวทางแก้ปัญหาความขัดแย้ง
๓. ผู้แทนนำเสนอ
ตวั อย่าง ปัญหาของ วธิ กี ารจดั การ แนวทางแก้ปญั หา
ความขดั แย้งโดยสันติวธิ ี
ความขดั แย้ง ความขดั แย้ง ความขดั แย้งแบบสัตว์
๗๑
กิจกรรมการเรียนรู้ เวลาทีใ่ ช้ ๖๐ นาที
กจิ กรรมท่ี ๒ มองเห็นตัว มองเหน็ ตน หลีกพน้ ความขัดแยง้
รายละเอียดกจิ กรรม
๑. เตรียมความพร้อมการเรียนรู้ดว้ ยกจิ กรรมนันทนาการ เล่นเกม หรือคลิปความขดั แยง้
๒. ทบทวนความหมาย ความขัดแย้ง การจดั การความขดั แยง้ โดยสนั ติวิธี
๓. แบ่งกลุ่มนักเรียนออกเป็นจำนวน ๕ กลุ่ม ๆ ละเท่า ๆ กัน (กรณีผู้อบรมจำนวนมาก ให้แบ่งกลุ่มเป็น
๒ เท่า เช่น ๑๐ กลุ่ม ให้กลุ่มทำกิจกรรม ๒ กลุ่มต่อ ๑ เรื่อง) แจกใบความรู้เรื่องมองเห็นตัวมองเห็นตนหลีกพ้น
ความขัดแย้ง และใบงานการจดั การความขดั แยง้ โดยแนวทางสนั ติวิธี
๔. แต่ละกลุ่มส่งตัวแทนจับสลาก แล้วนำไปร่วมกันคิดแสดงบทบาทสมมติท่ีแสดงถึงวิธีการจัดการ
ความขดั แยง้ กลมุ่ ละ ๑ วิธี
๕. แต่ละกลุ่มสรุปวิธีการจัดการความขัดแย้งและเปรียบเทียบวิธีการจัดการความขัดแย้งกับสัตว์ชนิด
ใด และแสดงบทบาทสมมตติ ามใบงานเรือ่ ง วิธีการจัดการความขัดแยง้ โดยแนวทางสันติวธิ ี
๖. วิทยากรและผู้เข้ารับการฝึกอบรมร่วมกันถอดบทเรียนองค์ความรู้ท่ีได้รับจากการแสดงบทบาท
สมมติ ของแต่ละกลมุ่
๗. วิทยากรและผู้เข้ารับการฝึกอบรมร่วมกันสรุปวิธีการจัดการความขัดแย้ง แบบต่าง ๆ และวิธีการ
จัดการความขดั แย้งโดยสันติวิธีทเี่ หมาะสมท่ีสุด
ส่ือและอุปกรณ์
๑. ใบความรเู้ ร่ืองมองเหน็ ตัว มองเหน็ ตน หลีกพน้ ความขัดแยง้
๒. ใบงานเรอื่ งวธิ ีการจดั การความขดั แย้งโดยสันติวธิ ี
๓. คลิปเร่อื งสัน้ เกี่ยวกับความขดั แยง้ ๒ – ๓ เรอ่ื ง
๔. อปุ กรณค์ อมพวิ เตอร์ โปรเจคเตอร์
กจิ กรรมการเรียนรู้
๑. การบรรยาย
๒. การอภิปรายกลุ่ม
๓. การแสดงบทบาทสมมติ
๗๒
สือ่ การฝกึ อบรม
๑. เอกสารประกอบการฝึกอบรม
๒. คลิปวดี โี อ
๓. ใบความรู้/ใบกิจกรรม
๔. Power point
การวดั และประเมนิ ผล
๑. การสังเกต
๒. การตอบคำถาม
๓. การมีส่วนร่วม
๗๓
เนื้อหากิจกรรมการเรียนรู้
ใบงาน
วิชา มองเห็นตวั มองเหน็ ตน หลีกพ้นความขดั แยง้
คำชีแ้ จง
ให้ทุกคนในแต่ละกลุ่มอ่านใบความรู้ วิชา มองเห็นตัว มองเห็นตน หลีกพ้นความขัดแย้ง ร่วมกัน
อภิปราย ระดมความคิดเห็น และสรปุ ในหวั ขอ้ ต่อไปนี้
๑. สรปุ ความหมายของ วิธีการจัดการความขัดแยง้ และเปรียบเทยี บวธิ ีการจดั การความขัดแย้งกบั สัตว์
๒. สรปุ และวิเคราะห์ความหมายของ การจัดการความขัดแยง้ โดยสนั ติวิธี สรปุ ลงในตาราง และ
พิจารณาวิธีการจัดการความขัดแย้งแต่ละวิธี ถ้าสอดคล้องกับลักษณะของการจัดการความขัดแย้งโดยสันติวิธี
แบบใดใหท้ ำเครื่องหมาย / ลงในชอ่ งทีส่ อดคลอ้ งกนั
๓. สง่ ตวั แทนจับสลาก และรว่ มกนั คดิ เร่อื งเพอ่ื แสดงบทบาทสมมติทแี่ สดงให้เห็นถึงวิธีการ
จัดการความขัดแย้งท่ีจับสลากได้ เช่น ความขัดแย้งระหว่างนักเรยี นกับนักเรียน / ความขัดแย้งในครอบครัว /
ความขัดแย้งในโรงเรียน ฯลฯ
๗๔
ใบงานวิธีการจดั การความขดั แยง้
ลักษณะการจัดการ วิธีการจดั การความขัดแย้ง
ความขดั แย้ง
การหลกี เลีย่ ง การปรองดอง การ การใช้อำนาจ การแกป้ ัญหา
โดยแนวทางสนั ติวธิ ี
ประนีประนอม ร่วมกัน
สรปุ วธิ ีการจัดการจดั การความขดั แยง้ โดยสันติวธิ ที ี่เหมาะสม คอื
๗๕
เน้อื หาสาระสำหรบั ใชใ้ นการฝกึ อบรม (อย่างละเอียด)
วนั ท่ี/เวลา หัวขอ้ ฝกึ อบรม กิจกรรมการฝึกอบรม เวลาท่ีใช้ ส่ือ/อุปกรณ์/เคร่ืองมือ
๖๐ นาที
กจิ กรรมท่ี ๑ เด็กไทย ๑.การบรรยาย ๑. พระบรมราโชบายด้านการศึกษา
๖๐ นาที ของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทร
หัวใจรักสันติ ๒.การอภปิ รายกลมุ่ รามาธบิ ดีศรสี นิ ทรมหาวชิราลงกรณ
พระวชิรเกล้าเจา้ อยหู่ วั
๓.กรณีตัวอย่าง ๒. ใบความรูว้ ชิ า เดก็ ไทยหัวใจรักสันติ
๓. ใบงานท่ี ๑ เรือ่ ง รจู้ กั เข้าใจ เขา้ ถงึ
๔.การร้องเพลง ความขดั แย้ง
๔. ใบงานที่ ๒ เรอ่ื ง ทกุ เรื่องจดั การได้
กจิ กรรมท่ี ๒ ๑.การบรรยาย ๕. ไฟลเ์ พลงปรองดอง พร้อมเนอ้ื เพลง
มองเห็นตัว มองเหน็ ๒.การอภปิ รายกลุ่ม ๖. คลปิ เรอื่ งส้นั เกย่ี วกบั ความขัดแย้ง
ตน หลีกพ้นความ ๓.การแสดงบทบาท ๒ – ๓ เรอื่ ง
ขัดแยง้ สมมติ ๗. อุปกรณค์ อมพิวเตอร์ โปรเจคเตอร์
๘. กระดาษฟลิปชาร์ท ปากกาเคมี
๑. ใบความรเู้ ร่ือง มองเหน็ ตวั มองเหน็
ตน หลีกพ้นความขดั แย้ง
๒. ใบงาน
๓. คลปิ เรอ่ื งส้ันเกย่ี วกับความขดั แย้ง
๒ – ๓ เร่ือง
๔. อปุ กรณ์คอมพวิ เตอร์ โปรเจคเตอร์
๗๖
รายวิชา ทักษะชวี ิตในทศวรรษท่ี ๒๑
เรื่อง การทำงานเปน็ ทมี การรว่ มมือกัน และภาวะผนู้ ำ ระยะเวลา ๒ ช่ัวโมง
วัตถปุ ระสงค์
๑. เพ่ือใหผ้ ู้เข้ารบั การฝกึ อบรมมีความรู้ ความเข้าใจเกย่ี วกบั ทักษะชวี ิตในศตวรรษที่ ๒๑
๒. เพ่อื ใหผ้ เู้ ข้ารับการฝกึ อบรมตระหนักและเหน็ ความสำคัญในการพฒั นาตนเองใหม้ ีทกั ษะชีวิตที่
จำเปน็ ในศตวรรษท่ี ๒๑
๓. เพือ่ ให้ผ้เู ข้ารบั การฝกึ อบรมสามารถนำความร้ทู ่ีไดร้ ับไปประยกุ ตใ์ ช้ในชวี ิตประจำวนั ได้อยา่ ง
เหมาะสมกบั ตนเองและมีความสขุ
ขอบข่ายเนือ้ หาวชิ า
๑. ความหมายของทกั ษะชีวติ
๒. ความสำคญั ของทกั ษะชวี ติ
๓. ทักษะชวี ติ ในศตวรรษที่ ๒๑
๔. ทกั ษะชวี ิตที่จำเป็นสำหรับนักเรียน นักศึกษาในศตวรรษที่ ๒๑ เชน่ การทำงานเปน็ ทีม การรว่ มมือ
กัน ภาวะผูน้ ำ การคิดอย่างมีวจิ ารณญาณ ความเขา้ ใจในความแตกตา่ งทางวัฒนธรรม
กิจกรรมการเรยี นรู้
๑. การบรรยาย
๒. การระดมสมอง
๓. กจิ กรรมอภปิ รายกลุ่ม
สื่อการฝึกอบรม
๑. เอกสารประกอบการฝกึ อบรม
๒. สื่ออเิ ลก็ ทรอนิกส์
๓. ใบงาน
๔. ทศั นปู กรณ์
๕. เกม เพลง
การวัดและประเมนิ ผล
๑. การสงั เกต
๒. การตอบคำถาม
๓. การอภปิ รายกลุ่ม
๗๗
เน้อื หารายวิชา การทำงานเป็นทีม การรว่ มมอื และภาวะผูน้ ำ
ขั้นตอนดำเนนิ กิจกรรม
๑. วิทยากรสนทนากับผเู้ ข้ารับการอบรมถงึ การทำงานร่วมกนั ของแต่ละคนว่าทา่ นประทับใจ
ประสบการณ์ใดบ้าง
๒. วิทยากรแบ่งกลมุ่ ผูเ้ ข้ารับการอบรมเปน็ ๘ กลมุ่ กลมุ่ ละเทา่ ๆ กัน
๓. ให้แต่ละกลุม่ เลอื กผทู้ ่จี ะทำหนา้ ท่ปี ระธาน เลขานุการ
๔. วทิ ยากรให้แตล่ ะกลุม่ มารับอุปกณส์ ำหรับทำกิจกรรมตามใบงาน
๕. ผเู้ ข้ารบั การอบรมแตล่ ะกลมุ่ เริม่ ดำเนินกิจกรรมตามใบงาน (กจิ กรรมสรา้ งหอคอย)
๖. เม่อื กจิ กรรมดำเนินการเสรจ็ เรียบรอ้ ยแลว้ ระดมสมอง แสดงความคดิ เห็นเก่ยี วกับ
๖.๑ กลมุ่ ที่ ๑ – ๔ เรือ่ ง การทำงานเป็นระบบทีม คืออะไร
๖.๒ กลุ่มท่ี ๒ – ๕ เรื่อง การทำงานแบบกลมุ่ แตกต่างจากการทำงานแบบทมี อย่างไร
๖.๓ กลมุ่ ที่ ๔ – ๗ เร่ือง องค์ประกอบของทีมมีอะไรบ้าง แตล่ ะองค์ประกอบมีความสำคัญอย่างไร
๖.๔ กล่มุ ที่ ๕ – ๘ เร่อื ง ทมี ควรมีคุณลักษณะทส่ี ำคัญอยา่ งไร
๗. แตล่ ะกลุ่มส่งตวั แทนออกมารายงานต่อทีป่ ระชมุ
๘. วิทยากรรว่ มสรปุ จากการรายงานโดยใชส้ ื่อ Power Point
อุปกรณ์การฝึกอบรม
๑. กระดาษหนงั สือพิมพ์ กลุ่มละ ๒ ฉบบั
๒. ตะเกยี บ กลุ่มละ ๖ คู่
๓. แผน่ กระดานไมอ้ ดั ขนาดกระดาษ A4 กลุ่มละ ๑ แผน่
๔. ด้ายเยบ็ นวม กลุม่ ละ ๑ ใจ
๕. กระดาษกาว กลุ่มละ ๑ ม้วน
๖. หลอดกาแฟ กล่มุ ละ ๑๒ อัน
๗. กาวลาเทกซ์ ขวดเลก็ กลุ่มละ ๑ ขวด
๘. คตั เตอร์ กลมุ่ ละ ๑ ดา้ ม
๙. กรรไกร กลมุ่ ละ ๑ เล่ม
๑๐. Power Point เรอ่ื ง การทำงานเป็นทีมและภาวะผ้นู ำ
๗๘
ใบงานการทำงานเป็นทมี
คำชี้แจง ใหแ้ ตล่ ะทีมสร้างหอคอยจากวสั ดุอุปกรณ์ทว่ี ิทยากรมอบใหโ้ ดยใหห้ อคอยมีคุณสมบตั ดิ งั นี้
๑. มฐี านมัน่ คงแข็งแรง
๒. เปน็ หอคอยท่ีมคี วามสูงทสี่ ุดเท่าท่ีทำได้และสามารถทรงตัวไดด้ ี
๓. ทีมของท่านมีเวลาในการสร้างหอคอย ๓๐ นาทีเทา่ น้ัน
๗๙
ใบกจิ กรรมสำหรบั วทิ ยากร
คำชี้แจง
๑. ให้วทิ ยากรเตรยี มอปุ กรณ์ตอ่ ไปนี้ และแบง่ ออกเป็นกลุ่ม ๆ ละเท่า ๆ กันสำหรบั มอบใหแ้ ตล่ ะ
กลุม่ ไปดำเนินกิจกรรมตามใบงาน
๑.๑ กระดาษหนังสือพิมพ์ กลมุ่ ละ ๒ ฉบบั
๑.๒ ตะเกียบ กลมุ่ ละ ๖ คู่
๑.๓ แผ่นกระดานไมอ้ ัดขนาดกระดาษ A4 กลุ่มละ ๑ แผน่
๑.๔ ดา้ ยเย็บนวม กล่มุ ละ ๑ ใจ
๑.๕ กระดาษกาว กลมุ่ ละ ๑ ม้วน
๑.๖ หลอดกาแฟ กลุ่มละ ๑๒ อัน
๑.๗ กาวลาเทกซ์ ขวดเลก็ กลุ่มละ ๑ ขวด
๑.๘ คัตเตอร์ กล่มุ ละ ๑ ดา้ ม
๑.๙ กรรไกร กลุม่ ละ ๑ เล่ม
๒. มอบอุปกรณใ์ ห้แตล่ ะกลุ่ม แลว้ ให้แต่ละทมี สรา้ งหอคอยจากวัสดุอุปกรณท์ ่วี ิทยากรมอบใหโ้ ดยให้
หอคอยมีคุณสมบัตดิ ังนี้
๒.๑ มีฐานมัน่ คงแข็งแรง
๒.๒ เป็นหอคอยที่มีความสงู ทีส่ ดุ เทา่ ที่ทำได้และสามารถทรงตัวไดด้ ี
๒.๓ ทีมของทา่ นมีเวลาในการสรา้ งหอคอย ๓๐ นาทีเทา่ น้ัน
๓. วิทยากรให้แตล่ ะทีมทดสอบความแขง็ แรงโดยแตล่ ะทีมส่งตวั แทน ๑ คน ไปพัดหอคอยของ
ทมี อนื่ ๑ ทมี โดยใช้กระดาษแขง็ หรือวสั ดุอื่นทีเ่ หมาะสม หากหอคอยล้มแสดงว่าไม่ม่นั คง ไมแ่ ข็งแรง ถ้าหาก
ยังคงสภาพได้ แสดงว่าผา่ นคุณสมบตั ทิ ีต่ ้องการ เม่อื ทดสอบเสร็จแลว้ วิทยากรให้แต่ละกลุ่มระดมสมองดงั นี้
กลุ่มที่ ๑ – ๔ เรื่อง การทำงานเป็นระบบทีม คืออะไร
กลมุ่ ที่ ๒ – ๕ เรอ่ื ง การทำงานแบบกล่มุ แตกต่างจากการทำงานแบบทีมอย่างไร
กลุ่มที่ ๔ – ๗ เรอ่ื ง องค์ประกอบของทีมมีอะไรบ้าง แต่ละองค์ประกอบมคี วามสำคญั อย่างไร
กลมุ่ ที่ ๕ – ๘ เร่อื ง ทีมควรมีคุณลักษณะท่สี ำคญั อยา่ งไร
๘๐
ใบความรูส้ ำหรบั วิทยากร
การทำงานเป็นทมี และภาวะผนู้ ำ
ความหมาย
การทำงานเป็นทีม เป็นการรว่ มกนั ทำงานของสมาชกิ มากกวา่ ๑ คน โดยทส่ี มาชิกทุกคนนน้ั จะต้องมี
เป้าหมายเดยี วกนั ยอมรับความคดิ เหน็ ร่วมกนั มีการวางแผนรว่ มกัน
การทำงานเปน็ ทีมมคี วามสำคัญในทุกองค์กรและเป็นสง่ิ จำเป็นสำหรับการเพ่ิมประสิทธภิ าพและ
ประสิทธผิ ลของการบริหารงาน การทำงานเปน็ ทีมมบี ทบาทสำคญั ที่จะนำไปสู่ความสำเร็จของงานที่ต้องอาศยั
ความรว่ มมือของสมาชิกทุกคนเป็นอยา่ งดี
ความแตกตา่ งระหว่างการทำงานแบบกลุ่มและการทำงานแบบทีม
คำสองคำนดี้ ผู วิ เผนิ แลว้ มีลักษณะคล้ายกัน แต่หากลงรายละเอียดแลว้ สองคำน้ีมลี ักษณะตา่ งกนั
โดยเฉพาะการนิยามความหมายกบั การทำงานในระบบองค์กรท่ีหลายคนอาจไมเ่ ข้าใจอย่างลึกซึง้ และเกดิ การ
ตคี วามไปสู่การปฏบิ ตั ิท่ไี มถ่ ูกต้องนัก นนั่ อาจทำใหไ้ ม่เกดิ ประสิทธภิ าพในการทำงานก็เป็นได้
การทำงานแบบกลุม่ (Group)
ก็คือการทำงานท่ีมีสมาชิกมากกว่า ๑ คน มารวมตัวทำงานร่วมกัน อาจมีการวางระบบการทำงาน
หรือไม่มีก็ได้ แต่มักมีวัตถุประสงค์เดียวกนั และมักไมม่ ีทิศทางชัดเจน โดยทุกคนสามารถขับเคล่ือนงานของตน
ได้อยา่ งอิสระ
การทำงานระบบทมี (Team)
คือการทำงานที่มีสมาชิกมากกว่า ๑ คน มารวมตัวทำงานร่วมกัน แต่หัวใจสำคัญก็คือจะต้องมีการ
กำหนดเป้าหมายร่วมกันอย่างชัดเจน มีการวางแผนงาน ตลอดจนวางระบบการทำงานทดี่ ี ทุกคนรู้ภาระหน้าท่ี
ของตนเอง มีแรงผลักดันร่วมกัน มุ่งมั่นท่ีจะทำภารกิจให้สำเร็จเพ่ือบรรลุเป้าหมาย มีการร่วมมือกัน ช่วยเหลือ
๘๑
กัน ส่งเสริมกัน ตลอดจนมีการประเมินผล แก้ไขปัญหา อุดรอยรั่ว เพื่อทำให้การทำงานผิดพลาดน้อยที่สุด
ทา้ ยทสี่ ุดแล้วทุกคนทำเพือ่ ผลสำเร็จเดียวกันทเ่ี ป็นภาพรวมของทีม
อย่างไรก็ดีการทำงานของสองระบบน้ีก็เป็นส่ิงดีทั้งคู่ เพียงแต่ว่ามีประสิทธิภาพต่างกัน ที่สำคัญ
การทำงานแบบกลุ่มนั้นเป็นพ้ืนฐานเร่ิมต้นท่ีดีของการทำงานระบบทีมด้วย หากองค์กรเข้าใจการทำงานใน
ระบบทีมไดด้ ยี ิ่งข้ึน ก็อาจพัฒนาศกั ยภาพของพนกั งานให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากข้ึนไดเ้ ช่นกนั
นอกจากคำว่า Team กับ Group แล้ว ยังมีภาษาอังกฤษอีก 2 คำท่ีมีลักษณะคล้ายกัน แต่ก็แตกต่าง
กันในรายละเอียดเล็กน้อย อันที่จริงแล้วทุกคำนั้นเกี่ยวโยงกัน และมีความสัมพันธ์ร่วมกันท่ีเป็นประโยชน์ต่อ
การทำงานระบบทมี คำนั้นก็คือ Team Work กบั Teamwork น่ันเอง
ทมี งาน (Team Work)
หมายถึงกลุ่มบุคคลท่ีมีความมุ่งมั่นในการทำงานเป็นระบบทีม คำนี้จะมุ่งเน้นไปยังทรัพยากรบุคคล
มากกว่า ซึ่งน่ีคือฟันเฟืองสำคัญของการทำงานระบบทีมเลยทีเดียว หากทีมงานประกอบไปด้วยบุคลากรท่ีไม่ดี
ระบบทีมก็อาจพังได้เช่นกัน ในทางตรงกันข้ามหากบุคลากรเกิดการรวมตัวเป็นทีมงานท่ีทำงานอย่างมี
ประสิทธิภาพ น่ันย่อมทำให้องค์กรประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง องค์กรในยุคน้ีจึงให้ความสำคัญกับการทำงาน
แบบทีมเป็นอยากมาก และการท่ีจะพัฒนาทีมงานที่ดีได้นั้นจะต้องมีการวางแผนการสร้างทีม (Team
Building) ใหด้ ีและมีประสิทธภิ าพด้วย เพื่อให้การทำงานระบบทมี ยอดเยีย่ มทีส่ ดุ
การทำงานระบบทีม (Teamwork)
หมายถึงการทำงานแบบรว่ มแรงร่วมใจกันในระบบทีม คำน้จี ะมงุ่ เน้นไปยงั ระบบตลอดจนกระบวนการ
ทำงานมากกว่าท่ีจะพูดถึงในส่วนของบุคคล ซึง่ การทำงานระบบทีมนี้นอกจากการรว่ มมือกันแลว้ สิ่งสำคญั ของ
การทำงานระบบทีมก็คือการวางเป้าหมายรว่ มกัน และร่วมแรงเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย อย่างไรการทำงานระบบ
ทีมทด่ี นี นั้ ก็ตอ้ งอาศยั ทมี งานทดี่ ดี ว้ ย ทงั้ สองสง่ิ นี้เก่ยี วเนอื่ งกนั และก่อให้เกิดความสำเรจ็ ได้ในท่ีสุด
องค์ประกอบของทีมงาน (Team Work Structure)
ทมี งานจะเป็นรปู เปน็ ร่างขนึ้ มาได้ควรจะประกอบไปด้วยองคป์ ระกอบต่างๆ เหล่านี้
๑. ผนู้ ำทีม
ผนู้ ำทีมเปรียบเสมือนกัปตันเรอื ท่จี ะคอยควบคมุ ดแู ลใหเ้ รอื ขับเคลื่อนอย่างถูกทศิ ทางและพงุ่ ตรง
ไปสูเ่ ป้าหมายให้ได้ ผู้นำทีมที่ดีนัน้ ต้องไมใ่ ชเ่ พียงผสู้ ัง่ การเพียงอย่างเดยี ว แตต่ ้องรู้จักการบริหารงานและบริหาร
บุคคลซึง่ เปน็ สมาชิกในทีมให้ดีดว้ ย โดยผู้นำทด่ี มี คี ณุ สมบัติสำคัญมากมายดงั นี้
๑.๑ เป็นคนมวี ิสยั ทศั น์ ผู้นำท่ดี ีควรมองกาลไกล มวี สิ ัยทัศน์ สามารถมองไปข้างหน้า เข้าใจทิศทาง
และรู้จักวิธีขับเคล่ือนไปสู่เป้าหมายได้เป็นอย่างดีที่สุด ผู้นำท่ีไม่มีวิสัยทัศน์ก็เหมือนกับกัปตันเรือท่ีไม่รู้ว่าจะ
เดนิ หน้าไปทางไหนเพอ่ื อะไร บางทอี าจทำให้การขบั เคล่อื นองคก์ รเสมือนพายเรือวนอยู่ในอ่างได้
๑.๒ เป็นคนที่มีความคิดริเริ่มที่ดี ผู้นำท่ีดีควรเป็นคนท่ีหมั่นคิดริเร่ิมอะไรใหม่ๆ อยู่เสมอ
หาวิธีการตลอดจนกระบวนการใหม่ๆ พฒั นาตวั เองอยูเ่ สมอ และต้องรูจ้ ักจดุ ประกายอะไรใหม่ๆ ให้กบั ทมี ด้วย
๑.๓ เป็นผู้ท่ีวางแผนได้ดี อุดรูร่ัวได้เก่ง เมื่อผู้นำมีทิศทางการทำงานที่ชัดเจนแล้วย่อมต้องวาง
แผนการทำงานได้ดี รวมถึงแบ่งงาน จัดการหน้าท่ี บริหารการทำงานสมาชิกในทีมให้ดีได้ด้วย เพื่อการทำงาน
ทมี่ ีประสิทธภิ าพมากที่สุด และยามท่ีเกิดรูร่ัว ผู้นำตอ้ งเห็นก่อน และสามารถหาวิธตี ลอดจนแนะนำการแก้ไขได้
รวดเร็วและทนั ทว่ งทีได้ด้วย
๑.๔ เป็นคนที่มีวินัยและความรับผิดชอบ ผู้นำท่ีดีต้องทำงานอย่างมีความรับผิดชอบ มีวินัย และ
ควบคุมการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามที่ได้วางแผนไว้ให้ดีท่ีสุด หากผู้นำขาดความรับผิดชอบแล้ว ไม่ทำงาน
ตามแผนการทำงานระบบทมี กก็ ่อให้เกิดผลเสยี หายได้
๘๒
๑.๕ มีทักษะในการสร้างแรงจูงใจและสร้างความเช่ือม่ันที่ดี ยามเกิดปัญหา หรือองค์กรเคล่ือนที่ช้า
จากอปุ สรรค์ใดๆ ก็ตาม ผู้นำที่ดีควรควบคุมสถานการณ์ได้ ขณะเดยี วกนั ก็ควรสร้างแรงจูงใจส่งเสริมการทำงาน
ระบบทีมให้มีพลังในการก้าวต่อไปได้ รวมถึงสร้างความเช่ือม่ันให้กับทุกคนในทีมได้ เป็นจุดศูนย์รวมของทีม
ทท่ี กุ คนไวใ้ ช้ และพร้อมจะก้าวไปดว้ ยกนั
๑.๖ เป็นนักส่ือสารที่ยอดเยี่ยม และเป็นผู้ฟังท่ีดี การสื่อสารท่ีดีจะทำให้การทำงานระบบทีม
ราบรื่น และทำให้องค์กรก้าวหน้าได้ไว การสื่อสารกับคนในทีมที่ดีน้ันย่อมสร้างความไว้เน้ือเช่ือใจได้ดีด้วย
ขณะเดียวกันผู้น้ำก็ต้องรู้จักการเป็นผู้ฟังที่ดี รับฟังความคิดเห็นของสมาชิกในทีมทุกคนอย่างเท่าเทียม และ
แก้ไขปัญหาไดอ้ ยา่ ง ถกู จุด
๑.๗ เป็นนักคิดวเิ คราะห์ที่ดี และมีทักษะในการตัดสินใจท่ีเฉียบแหลม คุณลักษณะสำคัญอีกอย่าง
ของผู้นำท่ีดีคือการต้องเป็นคนท่ีตัดสินใจได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม กล้าตัดสินใจ ตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว
และรอบคอบ ซึ่งการที่จะทำอย่างนั้นได้นั้นก็ย่อมต้องเป็นผู้ท่ีวิเคราะห์เร่ืองราวต่างๆ ได้ดีด้วย มีทักษะในการ
เสพข้อมลู และประมวลผลอยา่ งละเอยี ดรอบคอบ แตก่ ไ็ ม่เช่ืองช้าจนเกนิ ไป
๒. สมาชกิ ทีม
เม่ือมีผู้นำทด่ี แี ล้ว หากขาดผตู้ ามทดี่ ีการทำงานในระบบทีมน้ันก็ไร้คา่ การทผี่ นู้ ำได้ผตู้ ามทร่ี ว่ มแรง
รว่ มใจทำงานอยา่ งดีนน้ั กท็ ำให้การทำงานมปี ระสทิ ธิภาพ และทำให้องค์กรประสบความสำเร็จในทสี่ ุด สมาชิก
ในทีมทุกคนจึงมีสว่ นสำคัญอยา่ งยิ่งในระบบการทำงานเป็นทมี ซงึ่ คุณลกั ษณะสำคญั มีดังนี้
๒.๑ เป็นคนที่รับผิดชอบในการทำงาน สมาชิกท่ีเป็นผู้ตามท่ีดีหากมีความรับผิดชอบในการทำงาน
ตามหน้าที่และภารกิจที่ได้รับมอบหมายได้เป็นอย่างดีแล้ว น่ันย่อมทำให้แผนท ่วี างไว้มีโอกาส
ประสบความสำเร็จสูงตามไปด้วย และเมื่อสมาชิกไม่มีความรับผิดชอบ งานก็จะเสีย ระบบงานก็จะล่ม องค์กร
กจ็ ะพงั ทลายได้
๒.๒ เคารพกฎและกติการ่วมกัน กฎและกติกาต่างๆ จำเป็นต่อการทำงานในระบบทีมมาก
เพราะทุกคนไม่ได้ทำงานคนเดียว และทุกคนมีลักษณะนิสัยท่ีแตกต่างกัน แต่สิ่งท่ีจะทำให้ทุกคนอยู่ร่วมกันได้
กค็ ือการเคารพและยอมรับปฏิบัติตามในกฎระเบียบเดียวกัน เพื่อให้เกิดปัญหาในการทำงานน้อยที่สุด และทุก
คนอย่ภู ายใต้กรอบทยี่ ตุ ิธรรมกับทกุ ฝ่าย
๒.๓ ใหค้ วามรว่ มมือกันอย่างเตม็ ที่ อยา่ งท่ีกล่าวไปวา่ ระบบการเป็นทมี นน้ั ก็คือการทำงานร่วมกัน
หากไม่เกิดความร่วมมือกันก็ย่อมทำให้การทำงานเกิดปัญหาได้ เมื่อไม่มีความร่วมมือกันระบบการทำงาน
เป็นทมี กจ็ ะพัง ทกุ อยา่ งก็เกดิ ผลเสียตามมา
๒.๔ ยอมรบั ความแตกตา่ ง เปดิ ใจรับความคิดเห็นใหม่ๆ บนโลกนไี้ มม่ ีใครท่ีเหมือนกัน และมีความ
คิดเห็นตรงกันไปเสียทุกเร่ือง การเห็นต่างกันน้ันไม่ใช่สิ่งท่ีผิด แต่สิ่งท่ีควรทำก็คือการยอมรับความคิดเห็น
ท่ีแตกต่างกัน ไม่ใช่ความคิดเห็นฝ่ายหน่ึงต้องถูกเสมอ และอีกฝ่ายต้องผิดเสมอ ตรงกันข้ามความคิดเห็นแต่ละ
ความคดิ เหน็ น้นั ตา่ งก็ดีทุกอย่าง เพียงแต่เหมาะกันคนละสถานการณ์เท่าน้ัน การไม่ยอมรบั ความคิดเห็นของคน
อน่ื นน้ั ก็สรา้ งปญั หาในการทำงานระบบทมี ได้เชน่ กัน
๒.๕ คิดถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน การทำงานระบบทีมคือการยึดถือเอา
ประโยชนส์ ว่ นรวมเป็นหลกั องค์กรควรมาก่อนส่วนตน และยินดีกับความสำเรจ็ ร่วมกนั เพราะความสำเรจ็ ไม่ได้
เป็นของใครคนใดคนหนึ่ง หรือเกิดจากคนใดคนหนง่ึ แตเ่ ป็นความสำเรจ็ ท่ีเกดิ จากการร่วมมือร่วมแรงกนั
๓. ระบบการทำงานและกติกา
สิง่ ทีจ่ ะยึดโยงให้สมาชิกแต่ละคนในแต่ละบทบาททำงานร่วมกันในระบบทมี ได้ก็คอื เรื่องของระบบ
การทำงานแบบทีมและกตกิ าทีท่ กุ คนต้องเคารพรว่ มกันน่นั เอง เพราะนคี่ ือกรอบสำคัญที่จะทำให้ทกุ คนทำงาน
ได้อยา่ งมปี ระสิทธิภาพเชน่ กนั
๘๓
๓.๑ ระบบการทำงานต้องแบ่งหน้าท่ีชัดเจนไม่ทับซ้อน การทำงานท่ีมีประสิทธิภาพนั้นไม่ควรจะ
ทำหน้าท่ีทับซ้อนกัน แต่ละคนควรมีหน้าท่ีชัดเจนของตัวเอง มีภารกิจของตัวเอง เพ่ือให้ทุกคนทำหน้าที่ให้ดี
ท่สี ดุ ในการบรรลเุ ปา้ หมาย
๓.๒ กติกาต้องยุติธรรมกับทุกฝ่าย และเห็นพ้องต้องกัน กติกาในการทำงานทุกฝ่ายควรเห็นพ้อง
ต้องกัน เพื่อยึดถอื และปฏิบัตใิ นกรอบเดียวกนั ท่ีสำคัญกติกาน้ีต้องยุติธรรมสำหรับทุกฝ่าย ไมเ่ อาเปรียบฝ่ายใด
จนเกินไป ไม่เอ้ือประโยชน์ต่อฝ่ายได้จนเกินพอดี หรือไม่เอนเอียงเข้าข้างผู้ที่มีอำนาจอยู่เหนือกว่า ถ้าทุกคนไม่
เคารพกตกิ า หรอื กตกิ าไมเ่ ป็นธรรม การทำงานกจ็ ะเร่ิมแยต่ ั้งแต่เร่ิมตน้
๓.๓ ระบบการทำงานต้องปฏิบัติได้ง่าย ไม่เป็นอุปสรรค์ต่อการทำงาน หลายองค์กรสร้างระบบ
การทำงานที่ดีและยอดเย่ียม แต่กลับยากต่อการทำงานของคนในองค์กร หรือคัดคนมีความสามารถไม่พอมา
ทำงาน ต่อใหร้ ะบบดีเพียงไรก็ส่งผลใหง้ านไม่มีประสทิ ธิภาพได้ ฉะน้นั ระบบการทำงานท่ีดีควรปฎิบัติตามไดง้ า่ ย
ไม่ก่อให้เกดิ ปัญหา ไมท่ ำใหร้ ะบบการทำงานสะดุด หากทำงานไดร้ าบรนื่ ก็ยอ่ มทำใหเ้ กิดความสำเรจ็ ได้งา่ ยขึ้น
๓.๔ สามารถปรับเปล่ียนได้ตามสถานการณ์ท่ีเหมาะสม องค์กรที่ดีควรรู้จักท่ีจะยืดหยุ่นและ
ปรับตัวเองให้ไวตามสถานการณ์ ซึ่งระบบและกติกาต่าง ๆ ก็ควรจะปรับเปล่ียนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ต่าง ๆ
ดว้ ย เพ่ือที่จะทำใหเ้ กดิ การทำงานท่มี ีประสทิ ธิภาพมากทีส่ ดุ
คณุ ลักษณะสำคญั ของทีมและการทำงานระบบทมี
๑. การปฏสิ ัมพนั ธก์ นั ของคนในทมี
การทำงานระบบทีมที่ดีต้องมีการปฏิสัมพันธ์เกี่ยวเน่ืองกัน พูดคุย ปรึกษา ช่วยเหลือ สื่อสาร
การทำงานระหว่างกัน หากการทำงานระบบทีมเป็นแบบทำใครทำมัน ไม่มีการปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน น่ันไม่
เรยี กวา่ การทำงานเป็นทีม และก่อให้เกดิ ผลเสียหายไดง้ า่ ย
๒. มเี ปา้ หมายที่จะบรรลุร่วมกนั
นั่นถือเป็นหัวใจสำคัญของระบบการทำงานเป็นทีมเลยก็วา่ ได้ หากการทำงานในระบบทีมถึงแม้จะ
ดีเพยี งไรก็ตาม หากไม่มีเปา้ หมายชัดเจน กจ็ ะไมม่ ที ิศทางของการทำงานทแี่ นช่ ดั และจะไม่มีการรว่ มแรงร่วมใจ
กันที่มีพลัง ไม่มีแรงผลักดันให้ปฏิบัติภารกิจหน้าท่ีการงานให้สำเร็จ ซึ่งสิ่งน้ีท่ีทำให้การทำงานแบบทีมต่างจาก
การทำงานแบบกลุ่ม
๓. มโี ครงสร้างและระบบการทำงานท่ีชัดเจน
เม่ือเกิดการทำงานแบบทีมแล้วสิ่งที่จะช่วยทำให้การทำงานระบบน้ีมี ประสิทธิภาพย่ิงขึ้นก็คือ
การวางโครงสร้างของการทำงานตลอดจนหน้าท่ีการทำงานของแต่ละคนให้ชัดเจน มีภารกจิ ท่ีเขา้ ใจได้ง่าย และ
ปฏิบัติได้ตามความสามารถ การวางโครงสร้างน้ันอาจหมายถึงการวางตำแหน่งการทำงานด้วย นั่นรวมถึงการ
วางโครงสรา้ งอำนาจ มีระบบหัวหน้าทมี และลกู นอ้ ง เพ่ือการบริหารงานที่มปี ระสิทธิภาพด้วย รวมถึงการเข้าใจ
บทบาทหนา้ ทข่ี องตนเองอย่างดี และเข้าใจบทบาทหนา้ ทขี่ องคนอื่นใหท้ มี ให้ถีถ่ ว้ น
ผู้นำที่นา่ เชือ่ ถอื คือ ผู้นำที่มีวนิ ยั
การทำงานในระบบทมี ทด่ี ีนั้น ควรมีผูน้ ำทด่ี ีและผู้ตามทย่ี อดเย่ียมไปพร้อม ๆ กัน ผู้นำท่ดี ีนน้ั นอกจาก
จะมคี วามสามารถในการทำงานแล้ว ยังตอ้ งเป็นผูท้ ่บี ริหารคนและงานได้เปน็ อย่างดีอีกด้วย
คุณลักษณะสำคัญที่ดีอีกอย่างของการเป็นผู้นำก็คือการเป็นคนท่ีกล้าตัดสินใจ กล้าแสดงความคิดเห็น
และต้องมีความเป็นธรรม ซึ่งหากผู้นำสร้างความน่าเชื่อถือให้ผู้ตามได้ ผู้ตามก็จะเกิดการไว้ใจและให้ความ
รว่ มมือทีด่ ี ในขณะเดยี วกันผ้ตู ามที่ดีนั้นไมใ่ ช่ทำงานดีเพียงอย่างเดียว แตผ่ ู้ตามควรมีวินัยที่ดี ทำงานตามทีไ่ ด้รับ
มอบหมายให้เสร็จทันตามกำหนดเวลา รับผิดชอบงานในหน้าที่ของตัวเองให้ดีท่ีสุด และให้ความช่วยเหลือคน
อื่นได้ด้วย การมีวินัยทีด่ ี ปฏิบตั ิตามแผนที่วางไว้อย่างเคร่งครดั เมื่อทุกคนทำได้มีประสิทธภิ าพก็ย่อมทำให้ทีมมี
ประสิทธภิ าพในทส่ี ุด
๘๔
ประโยชน์ของการพัฒนาทมี
๑. สรา้ งกำลังใจในการทำงานให้กับสมาชกิ ตลอดจนองคก์ ร
เมื่อการทำงานระบบทีมสามารถบรรลุความสำเร็จได้ ย่อมเกิดความภาคภูมิใจกลับมาต่อองค์กร
และสมาชิกทุกคน สิ่งนี้จะช่วยสร้างกำลังใจในการทำงานให้ทำงานได้ดีเพิ่มข้ึนเรื่อยๆ ก่อให้เกิดขวัญและ
กำลังใจในการทำงาน ทำให้การทำงานมปี ระสทิ ธภิ าพอย่างตอ่ เนื่อง และก่อให้เกดิ ผลสำเร็จอยเู่ รื่อยๆ
๒. สร้างความมัน่ คงในอาชพี
เมื่อการทำงานระบบทีมทำให้องค์กรมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น แน่นอนวา่ ย่อมก่อให้เกิดผลสำเร็จ
กับองค์กรไดอ้ ยา่ งงดงาม ผลประกอบการดี องคก์ รมีกำไร และผลประโยชน์จะตอบกลับมาที่พนักงานดว้ ย และ
เมื่อพนักงานทำงานระบบทีมได้ดี องค์กรก็ต้องย่อมอยากรักษาทีมงานไว้ นั่นส่งผลให้เกิดความม่ันคงในการ
ทำงานในระยะยาวไดใ้ นท่ีสุดเช่นกัน
๓. สรา้ งระบบการทำงานทด่ี ี
การทำงานระบบทีมท่ีมีประสิทธิภาพนน้ั เกิดจากการวางแผนและระบบงานที่ดี ซึ่งทำให้การทำงาน
ราบรื่น ก่อให้เกิดปัญหาน้อยท่ีสุด หากการทำงานระบบทีมแข็งแกร่ง การทำงานขององคก์ รในภาพรวมก็จะยิ่ง
สะดวก ไม่ติดขัด ไม่ก่อให้เกิดข้อผิดพลาด หรือหากเกิดข้อผิดพลาดก็จะแก้ไขได้เร็ว ทำให้ระบบการทำงาน
ในองคร์ วมเป็นไปด้วยดแี ละมปี ระสทิ ธิภาพเพ่ิมมากข้ึนเรื่อยๆ
๔. สร้างความสมั พันธ์ทดี่ ขี องการทำงานและสมาชกิ ในทมี
หลักหนึ่งในการทำงานระบบทีมท่ีทุกคนจะต้องยึดถือร่วมกันให้ดีก็คือการสร้างความสัมพันธ์ท่ีดี
ระหว่างกัน ท้ังในระดับบุคคลไปจนถึงระดับแผนกและองค์กร เพราะหากความสัมพนั ธแ์ ย่นั้นย่อมส่งผลกระทบ
โดยตรงต่อการทำงานระบบทีมแน่นอน การเช่ือมสัมพันธ์ท่ีดีจึงเป็นส่ิงจำเป็น และเมื่อทุกคนเชื่อมสัมพันธ์กัน
อย่างสม่ำเสมอแล้วก็ย่อมสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ทำให้องค์กรมีสภาพแวดล้อมในการทำงานและบรรยากาศ
ในการปฏิบัติงานที่ดี องค์กรท่ีมีความสัมพันธ์ที่ดีย่อมมีพลังในการทำงานที่ดี น่ันทำให้องค์กรบรรลุเป้าหมาย
ไดง้ า่ ยข้ึนด้วย
๕. ทำให้องคก์ รและบคุ ลากรเกดิ การพฒั นาตลอดเวลา
องค์กรที่ดีน้ันย่อมไม่หยุดพัฒนา และหากระบบการทำงานท่ีดีทำให้องค์กรสำเร็จแล้ว พนักงาน
ในองค์กรทุกคนย่อมอยากที่จะพัฒนาตัวเองมากขึ้นเร่ือยๆ เพื่อท่ีจะให้บรรลุผลสำเร็จต่อไป น่ันทำให้องค์กร
จะพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ พนักงานทุกคนมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตัวเองให้ดีข้ึนเรื่อยๆ องค์กรก็จะเติบโตไปเรื่อย ๆ
อย่างยอดเยยี่ ม
บทสรุปของการทำงานเปน็ ทีม
การทำงานแบบระบบทีม (Teamwork) ที่ดีได้นัน้ ย่อมเกิดจากทีมงาน (Team Work) ท่ีดี ซงึ่ ทีมงานท่ี
ทำงานระบบทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพย่อมทำให้องค์กรมีประสิทธิผลและเกิดความสำเร็จ บรรลุเป้าหมาย
ท่ีวางไว้ได้ องค์กรท่ีทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพก็ย่อมสร้างผลสำเร็จได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นกัน และ
น่นั ก่อให้เกดิ การพัฒนาองค์กรตลอดจนบุคลากรที่จะก้าวหน้าต่อไปเรอ่ื ยๆ อยา่ งไมม่ ีที่สน้ิ สดุ
๘๕
รายวชิ า ทกั ษะชวี ิตในศตวรรษที่ ๒๑
เรอ่ื ง การคิดอย่างมีวิจารณญาณ, ความแตกต่างทางวัฒนธรรมและกระบวนทศั น์ เวลา ๒ ชั่วโมง
วัตถุประสงค์
๑. เพื่อใหผ้ ู้เข้ารับการฝกึ อบรมมีความรู้ ความเข้าใจเกีย่ วกับทักษะชีวิตในศตวรรษท่ี ๒๑
๒. เพ่อื ให้ผเู้ ขา้ รบั การฝึกอบรมตระหนกั และเห็นความสำคัญในการพัฒนาตนเองให้มีทักษะชวี ติ ท่ี
จำเป็นในศตวรรษท่ี ๒๑
๓. เพ่ือให้ผเู้ ข้ารับการฝกึ อบรมสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปประยกุ ตใ์ ช้ในชีวติ ประจำวนั ได้อย่าง
เหมาะสมกับตนเองและมีความสขุ
ขอบขา่ ยเนอื้ หาวชิ า
๑. ความหมายของทักษะชวี ติ
๒. ความสำคญั ของทักษะชีวิต
๓. ทกั ษะชีวติ ในศตวรรษที่ ๒๑
๔. ทักษะชวี ิตทจี่ ำเป็นสำหรับนักเรียน นักศึกษาในศตวรรษท่ี ๒๑ เชน่ การทำงานเป็นทมี การร่วมมือกนั
ภาวะผู้นำ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ ความเขา้ ใจในความแตกตา่ งทางวัฒนธรรม
กจิ กรรมการเรียนรู้
๑. การบรรยาย
๒. การระดมสมอง
๓. กิจกรรมอภปิ รายกล่มุ
สอ่ื การฝึกอบรม
๑. เอกสารประกอบการฝึกอบรม
๒. สื่ออเิ ล็กทรอนิกส์
๓. ใบงาน
๔. ทัศนูปกรณ์
๕. เกม เพลง
การวดั และประเมนิ ผล
๑. การสังเกต
๒. การตอบคำถาม
๓. การอภปิ รายกลุม่
๘๖
เน้ือหาวชิ า การคดิ อย่างมีวจิ ารณญาณ, ความแตกต่างทางวัฒนธรรมและกระบวนทัศน์
ขั้นตอนการดำเนินกิจกรรม
๑. วิทยากรรว่ มสนทนากบั ผเู้ ข้ารบั การอบรมเกย่ี วกับเร่อื งวฒั นธรรมของแต่ละท้องถิ่นมีความเหมอื น
หรอื แตกต่างกันอย่างไร
๒. วิทยากรแบ่งกลุม่ ออกเปน็ ๘ กลมุ่ กลมุ่ ละเท่า ๆ กัน
๓. จากน้ันใหต้ ัวแทนกล่มุ ออกมาจับฉลากใบงานการแสดงวฒั นธรรม ดังน้ี
วัฒนธรรมภาคเหนือ ฟ้อนเล็บ จำนวน ๒ กลมุ่
วัฒนธรรมภาคอีสาน เซ้ิงบงั้ ไฟ จำนวน ๒ กลุ่ม
วัฒนธรรมภาคกลาง รำกลองยาว จำนวน ๒ กลุ่ม
วฒั นธรรมภาคใต้ รำรองเง็ง จำนวน ๒ กลุ่ม
๔. ใหเ้ วลาแตล่ ะกลุม่ ไดซ้ ักซ้อมการแสดงเพ่ือนำเสนอต่อท่ีประชุม (๑๕ นาที) เมื่อซักซ้อมเสรจ็ แลว้ ให้
แตล่ ะกลุม่ เตรียมนำเสนอผลงานต่อทีป่ ระชุมแบบแสดงประชันครัง้ ละ ๒ กลุ่มโดยวธิ กี ารจับฉลาก
๕. เม่อื แตล่ ะกลมุ่ แสดงเรยี บร้อยแล้วใหร้ ะดมสมองโดยใช้เหตแุ ละผลในการแสดงความคิดเห็น
เกย่ี วกบั ความแตกต่างทางวัฒนธรรม (วิถชี ีวิต ประเพณีปฏิบตั ิ) ของแตล่ ะภาค ดงั น้ี
๕.๑ วฒั นธรรมในแต่ละภาคมคี วามแตกต่างกันอยา่ งไร
๕.๒ วัฒนธรรมในแตล่ ะภาคมีอิทธิพลของส่ิงใดเข้ามาเก่ียวข้องบา้ ง
๕.๓ วัฒนธรรมดีหรอื ไม่ดีอยา่ งไรแสดงเหตแุ ละผลใหช้ ดั เจน
๕.๔ มีวิธีการอยา่ งไรทีจ่ ะอยใู่ นสงั คมท่มี ีความแตกต่างทางวฒั นธรรมอยา่ งมีความสุข
๖. แต่ละกลมุ่ ส่งตวั แทนออกมานำเสนอผลงานต่อทีป่ ระชุม
๗. วิทยากรสรปุ เพ่มิ เติมเพอ่ื ความสมบูรณ์จากทแี่ ต่ละกลมุ่ รายงาน
กิจกรรมการเรียนรู้
๑. กจิ กรรมกลมุ่
๒. การบรรยาย Power Point
๓. การรายงาน
สือ่ การอบรม
๑. คลิปเสียงดนตรี
๒. ฉลากการแสดง
๓. ฟลิปชารท์
๔. ปากกาเคมี
๕. นกหวดี
๘๗
ใบงานการแสดงวัฒนธรรม
คำช้ีแจง ใหก้ ลุม่ ของท่านออกแบบการแสดงตามช่อื ท่ปี รากฏด้านล่างนเ้ี พ่ือนำมาเสนอต่อทปี่ ระชุมใหเ้ วลา
เตรียมการแสดง ๑๕ นาที โดยมีเกณฑ์การใหค้ ะแนนดังนี้
๑. ทา่ รำสวยงาม ๑๐ คะแนน
๒. การออกแบบเครื่องแตง่ กาย ๑๐ คะแนน
๓. การมีส่วนรว่ ม (แสดงทุกคน) ๑๐ คะแนน
ฟอ้ นเลบ็
๘๘
ใบงานการแสดงวฒั นธรรม
คำชี้แจง ใหก้ ลุม่ ของทา่ นออกแบบการแสดงตามช่อื ทปี่ รากฏดา้ นลา่ งน้เี พ่ือนำมาเสนอต่อทป่ี ระชุมให้เวลา
เตรยี มการแสดง ๑๕ นาที โดยมเี กณฑก์ ารให้คะแนนดงั น้ี
๑. ทา่ รำสวยงาม ๑๐ คะแนน
๒. การออกแบบเคร่ืองแต่งกาย ๑๐ คะแนน
๓. การมสี ่วนรว่ ม(แสดงทุกคน) ๑๐ คะแนน
เซิง้ บัง้ ไฟ
๘๙
ใบงานการแสดงวัฒนธรรม
คำชี้แจง ใหก้ ลมุ่ ของท่านออกแบบการแสดงตามช่ือท่ปี รากฏด้านล่างนี้เพื่อนำมาเสนอต่อท่ปี ระชมุ ใหเ้ วลา
เตรียมการแสดง ๑๕ นาที โดยมเี กณฑ์การให้คะแนนดงั น้ี
๑. ท่ารำสวยงาม ๑๐ คะแนน
๒. การออกแบบเคร่ืองแตง่ กาย ๑๐ คะแนน
๓. การมีส่วนร่วม(แสดงทุกคน) ๑๐ คะแนน
รำกลองยาว
๙๐
ใบงานการแสดงวฒั นธรรม
คำชี้แจง ให้กลุ่มของท่านออกแบบการแสดงตามช่ือที่ปรากฏด้านล่างนี้เพ่ือนำมาเสนอต่อที่ประชุมให้เวลา
เตรยี มการแสดง ๑๕ นาที โดยมเี กณฑ์การใหค้ ะแนนดังน้ี
๑. ทา่ รำสวยงาม ๑๐ คะแนน
๒. การออกแบบเครื่องแต่งกาย ๑๐ คะแนน
๓. การมีสว่ นร่วม (แสดงทุกคน) ๑๐ คะแนน
รองเง็ง
๙๑
ใบงานการแสดงความคิดอยา่ งมวี ิจารณญาณ
คำชี้แจง ใหห้ มู่ของท่านระดมสมองแสดงความคิดเหน็ อยา่ งมีวิจารณญาณ โดยใช้เหตุ และผล ในการแสดง
ความคิดเห็นเกีย่ วกับวัฒนธรรมในภาคต่าง ๆ ดงั นี้
๑. วัฒนธรรมในแตล่ ะภาคมีความแตกต่างกันอย่างไร
๒. วัฒนธรรมในแต่ละภาคมีอิทธพิ ลของสงิ่ ใดเข้ามาเกี่ยวขอ้ งบา้ ง
๓. วฒั นธรรมดีหรอื ไม่ดีอย่างไรแสดงเหตุและผลให้ชดั เจน
๔. การอยู่รว่ มกันในสังคมท่ีมีความแตกต่างทางวฒั นธรรมอยา่ งไร จึงจะมีความสขุ
๙๒
ใบงาน การแสดงความคิดอยา่ งมวี จิ ารณญาณ
คำช้ีแจง ใหห้ ม่ขู องทา่ นระดมสมองแสดงความคดิ เห็นอยา่ งมีวิจารณญาณ โดยใช้เหตุ และผล ในการแสดง
ความคดิ เห็นเก่ียวกบั วฒั นธรรมในภาคต่าง ๆ ดงั นี้
๑. วัฒนธรรมในแตล่ ะภาคมีความแตกต่างกันอย่างไร
ตัวอยา่ งคำตอบ
๑.๑ วัฒนธรรมทางภาษา คนไทยทุกภาคจะมีสำเนียงในการพูดแตกต่างกันออกไป เรียกว่า
“ภาษาถ่ิน” เช่น ภาษาไทยในท้องถ่ินภาคเหนือ จะแตกต่างจาก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้แต่
สามารถสือ่ สารทำความเขา้ ใจกันได้
๑.๒ วัฒนธรรมด้านอาหารการกิน ในแต่ละท้องถิ่นจะมีการปรุงอาหารท่ีมีรสชาติแตกต่างกันไป
ตามรสนิยมของแตล่ ะภาค
๑.๓ วัฒนธรรมด้านการแต่งกาย คนไทยแต่ละภูมิภาคมีแบบแผนในการแต่งกายของตนเองมาช้า
นาน ขณะเดียวกันก็ยงั นิยมแต่งกายตามแบบสากลกนั ด้วย
๑.๔ วัฒนธรรมด้านการแสดงและการละเล่นพื้นเมือง วัฒนธรรมในการแสดงและการละเล่น
พื้นเมอื งในแต่ละภูมภิ าคของไทย จะแตกตา่ งกนั ออกไป
ภาคเหนอื เช่น ฟอ้ นเลบ็ ฟอ้ นเทียน
ภาคกลาง เชน่ เพลงเรือ ลิเก ลำตดั
ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ เชน่ หมอลำ เซิ้ง
ภาคใต้ เช่น รำมโนราห์ หนังตะลงุ รองเง็ง ลิเกฮูลู
๑.๕ ประเพณพี ืน้ เมอื งของแตล่ ะภูมิภาค ไดแ้ ก่
ภาคเหนอื เช่น ประเพณสี ืบชะตา จดั ข้ึนเพ่ือต่ออายุให้แก่ตนเอง
ภาคกลาง เชน่ ประเพณตี ักบาตรนำ้ ผึง้ เปน็ การถวายเภสัชหรือยาแก่พระสงฆ์
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น ประเพณีบุญบ้ังไฟ จดั ขน้ึ เพ่ือขอใหฝ้ นตกตามฤดูกาล
ภาคใต้ เช่น ประเพณสี ารทเดือนสบิ เปน็ การอทุ ิศสว่ นกศุ ลใหแ้ กผ่ ู้ทลี่ ว่ งลับไปแล้ว
๒. วฒั นธรรมในแต่ละภาคมีอิทธิพลของสิง่ ใดเข้ามาเกีย่ วข้องบ้าง
ตัวอย่างคำตอบ
๒.๑ ภูมิปัญญาของแต่ละท้องถิ่นคือ มรดกที่บรรพบุรุษได้สร้างสรรค์ ส่ังสม และสืบทอดกันมา
อย่างต่อเน่ือง เกิดเป็นเร่ืองราว อันทรงคุณค่าท่ีคนในท้องถิ่น ตลอดจนคนในชาติควรเล็งเห็นคุณค่า มีความ
ภาคภูมิใจ ท่จี ะสืบสานให้ย่งั ยนื ตอ่ ไปใน อนาคต
๒.๒ ลักษณะของสภาพภูมิอากาศ และสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน ในแต่ละภาคของไทย
ก่อให้เกดิ วัฒนธรรมความเป็นอยู่ ทห่ี ลากหลาย
๒.๓ ศาสนา เป็นความรับผิดชอบต่อบทบาทหน้าท่ีของตนเองในฐานะของคนไทย และปฏิบัติตน
เปน็ ศาสนกิ ชนท่ีดตี ามหลักคำสอนทางศาสนา โดยกระทำใหเ้ ต็มกำลงั ความสามารถ เพราะถงึ แม้วา่ จะเป็นเพยี ง
จุดเล็ก ๆ แต่ก็ยังดีกว่าการท่ีไม่คิด จะทำอะไร ทั้งนี้ถ้าคนไทยทุกคนรู้จักการสร้างสำนึกให้กับคนเองแล้ว
ประเทศไทยจะไมม่ วี นั สูญเสยี วฒั นธรรมประจำชาตไิ ปอย่างแนน่ อน
๓. วัฒนธรรมดหี รอื ไม่ดีอยา่ งไรแสดงเหตุและผลให้ชดั เจน
ตวั อยา่ งคำตอบ (ข้ึนอยู่กับดุลยพนิ จิ ของวิทยากร)
๙๓
ใบความรู้สำหรบั วิทยากร
เร่ือง ทักษะการคิดอยา่ งมีวจิ ารณญาณ และการแก้ปัญหา (critical thinking& problem solving)
ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ (critical thinking) เป็นทักษะสำคัญสำหรับการเป็นมนุษย์
ในศตวรรษท่ี ๒๑ ประเด็นสำคัญสำหรับครูคือ ต้องแสวงหาวิธกี ารออกแบบการเรียนรู้เพ่ือให้ศิษย์ (ไม่ว่าจะอยู่
ในช่วงอายุใดก็ตาม) พัฒนาทักษะน้ี รวมท้ังครูก็ต้องฝึกฝนทักษะน้ีของตนเองด้วยเว็บไซต์หรือการอบรมที่
ใหบ้ ริการฝกึ ทักษะการสอนการคิดอย่างมีวิจารณญาณมมี ากมาย
การฝึกฝนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ต้องเกิดขึ้นในทุกขณะของปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับศิษย์
โดยเฉพาะอย่างย่ิงในช่วงเวลาท่ีไม่เป็นทางการ การคิดอย่างมีวิจารณญาณต้องไม่ใช่เกิดขึ้นแค่ในชั่วโมงเรียน
หรือในช้ันเรียน แต่ต้องเกิดข้ึนในชีวิตประจำวัน จนเป็นนิสัย เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวจึงจะเรียกว่า มีทักษะการคิด
อย่างมีวิจารณญาณ การเรียนแบบ PBL ที่ครูเก่งด้านการชวนศิษย์ทบทวนไตร่ตรอง(reflection หรือ AAR)
บทเรียน การตั้งคำถามของครูที่ให้เด็กคิดหาคำตอบที่มีได้หลายคำตอบ จะทำให้ศิษย์เกิดทักษะการคิดอย่างมี
วิจารณญาณเพ่ิมพนู ข้นึ เรือ่ ย ๆ การเรยี นทกั ษะนเี้ รยี นโดยการต้ังคำถามมากกวา่ เรยี นโดยการหาคำตอบ
ดังนั้น ในการเรียนทุกขั้นตอน ครูควรชักชวนศิษย์ต้ังคำถาม และคนที่ตั้งคำถามเก่งควรได้รับคำชม
การนำเอาข่าวหรือเรื่องราวในหนังสือพิมพ์มาวิเคราะห์ตั้งคำถามร่วมกันน่าจะเป็นการเรียนหรือฝึกฝนทักษะ
การคิดอย่างมีวิจารณญาณที่ง่ายและสะดวกที่สุด แต่ครูต้องมีทักษะในการเป็นโค้ชหรือผู้อำนวยความสะดวก
ในการเรียนรู้ เคล็ดลับคือ ให้ชวนนักเรียนวางท่าทีไม่เช่ือข่าวนั้น หรืออย่างน้อยก็ไม่เชื่อไปเสียทั้งหมด ชักชวน
กันตงั้ คำถามว่า มีความไม่แมน่ ยำอยู่ตรงไหนบา้ ง หรือมโี อกาสที่จะบดิ เบอื นไปจากความจรงิ ได้อยา่ งไรบ้าง
คนท่ีมีการคิดอย่างมีวิจารณญาณคือ คนที่เข้าใจว่า “ความจริง” มีหลายช้ัน และข้อเท็จจริงกอ็ าจจะมี
“ขอ้ เท็จ” แฝงหรือปนอยู่กับ “ขอ้ จรงิ ” ไดเ้ สมอ นอกจากนั้นยังข้ึนกับการรับรูห้ รอื การตีความของผรู้ ับสารด้วย
โดยท่ีการบิดเบือนไปจากความจริงอาจอยู่ท่ีมุมมองของตัวผู้รับสารก็ได้แน่นอนว่า ความสามารถหรือ
ความลึกซ้ึงของการคิดอย่างมีวิจารณญาณข้ึนอยู่กับพ้ืนความรู้ความเข้าใจเรื่องต่างๆ ของตัวบุคคล และข้ึนอยู่
กับวัยและประสบการณ์ด้วย การฝึกฝนเรื่องนี้จึงต้องคำนึงถึงปัจจัยที่หลากหลายของตัวนักเรียน ทักษะของครู
ในการจัดการเรียนรทู้ กั ษะการคดิ อยา่ งมีวจิ ารณญาณจงึ ถอื ได้ว่าเป็นทักษะขั้นสูง
ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณน้ี สอนไม่ได้ หรือสอนได้น้อยมาก นักเรียนต้องเรียนเอาเองโดยการ
ฝึกฝน ครูจะเป็นโคช้ ของการฝกึ หัดน้ี โค้ชท่เี กง่ จะทำให้การเรียนรู้น้ีสนกุ ตน่ื เต้นเร้าใจ
การออกแบบการเรยี นรทู้ กั ษะการคิดอย่างมีวจิ ารณญาณและการแกป้ ัญหา
การออกแบบการเรยี นรู้ทักษะการคิดอย่างมีวจิ ารณญาณและการแก้ปัญหา ควรมีเป้าหมายและวธิ ีการ ดังน้ี
เป้าหมาย : นักเรียนสามารถใช้เหตผุ ล
- คิดไดอ้ ย่างเปน็ เหตุเป็นผลหลากหลายแบบ ไดแ้ ก่ คิดแบบอปุ นยั (inductive) คิดแบบอนมุ าน
(deductive) เปน็ ต้น แล้วแต่สถานการณ์
เป้าหมาย : นกั เรียนสามารถใชก้ ารคดิ กระบวนระบบ (systems thinking)
- วิเคราะห์ได้วา่ ปัจจยั ย่อยมีปฏสิ มั พันธ์กนั อยา่ งไร จนเกดิ ผลในภาพรวมเปา้ หมาย : นกั เรียนสามารถ
ใช้วจิ ารณญาณและตัดสนิ ใจ
- วิเคราะห์และประเมนิ ข้อมูลหลักฐาน การโตแ้ ย้ง การกลา่ วอ้างและความเชื่อ
- วเิ คราะหเ์ ปรียบเทียบและประเมินความเหน็ หลกั ๆ
- สงั เคราะหแ์ ละเช่ือมโยงระหว่างสารสนเทศกบั ข้อโตแ้ ยง้
- แปลความหมายของสารสนเทศและสรปุ บนฐานของการวเิ คราะห์
- ตีความและทบทวนอย่างจริงจัง (critical reflection) ในด้านการเรียนรู้ และกระบวน
๙๔
เปา้ หมาย : นักเรียนสามารถแก้ปญั หาได้
- ฝกึ แกป้ ัญหาท่ีไม่คุ้นเคยหลากหลายแบบ ท้งั โดยแนวทางทย่ี อมรับกันทั่วไป และแนวทางท่ีแหวกแนว
- ตง้ั คำถามสำคัญท่ีชว่ ยทำความกระจ่างให้แก่มมุ มองตา่ ง ๆเพอ่ื นำไปสู่ทางออกทด่ี ีกวา่ การเรียน
ทกั ษะเหล่าน้ีทำโดย PBL (Project-Based Learning) และตอ้ งเรียนเป็นทมี ไมใ่ ช่เรียนจากครูสอนในช้ันเรยี น