การพัฒนาการอ่านออกเสียงค าศัพท์ภาษาจีนโดยใช้เกม ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/7 โรงเรียนมัธยมเทศบาล 6 นครอุดรธานี เกศรา สาน้อย งานวิจัยฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ตามหลักสูตรปริญญาครุศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาจีน คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี2566
การพัฒนาการอ่านออกเสียงค าศัพท์ภาษาจีนโดยใช้เกม ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนมัธยมเทศบาล 6 นครอุดรธานี เกศรา สาน้อย งานวิจัยฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ตามหลักสูตรปริญญาครุศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาจีน คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี2566
หัวข้อวิจัยในชั้นเรียน : การพัฒนาการอ่านออกเสียงค าศัพท์ภาษาจีนโดยใช้เกม ส าหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 ผู้วิจัย : นางสาวเกศรา สาน้อย สาขาวิชา : สาขาวิชาการสอนภาษาจีน ครุศาสตร์บัณฑิต อาจารย์ที่ปรึกษา : อาจารย์นรากร จันลาวงศ์ ครูพี่เลี้ยง : คุณครูเบ็ญจมาภรณ์ ลินเดอร์ส อาจารย์ประจ าหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาจีน คณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัย ราชภัฏอุดรธานีอนุมัติให้นับวิจัยในชั้นเรียนฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาจีน .................................................................. หัวหน้าสาขาวิชา (.................................................................) วันที่..........เดือน...................พ.ศ............... คณะกรรมการผู้ประเมินรายงานวิจัยในชั้นเรียน .................................................................................. ประธานคณะกรรมการ (อาจารย์ที่ปรึกษา) .................................................................................. กรรมการ (อาจารย์ประจ าสาขา/หลักสูตร/คณะครุศาสตร์) .................................................................................. กรรมการ (ครูพี่เลี้ยง) .................................................................................. กรรมการ (รองผู้อ านวยการฝ่ายวิชาการ)
ก บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การอ่านออกเสียงค าศัพท์ภาษาจีนของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เกม 2) เพื่อเปรียบเทียบการอ่าน ออกเสียงค าศัพท์ภาษาจีนโดยใช้เกมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียนเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 กลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนมัธยมเทศบาล 6 นครอุดรธานีในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ได้จากการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จ านวน 34 คน เครื่องมือที่ใช้ในการ วิจัยครั้งนี้ มี 2 ชนิด คือ แผนการจัดการเรียนรู้จ านวน 6 แผน 12 ชั่วโมง ข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ 1 ชุด ปรนัย ชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือกจ านวน 20 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานด้วย t-test dependent และ one sample t-test ผลการวิจัยพบว่า 1. นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์การอ่านออกเสียงค าศัพท์ภาษาจีนหลังสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เกม อย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2. นักเรียนมีทักษะการอ่านออกเสียงค าศัพท์ภาษาจีนสูงขึ้นกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยส าคัญที่ระดับ .05 ค าส าคัญ : การออกเสียงค าศัพท์ภาษาจีน แผนการจัดการเรียนรู้เกม
ข กิตติกรรมประกาศ งานวิจัยฉบับนี้ส าเร็จลงได้ด้วยความกรุณาจากอาจารย์หลายท่าน ได้ถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์ และให้ค าปรึกษาด้านวิชาการต่างๆซึ่งผู้วิจัยกราบขอบพระคุณอย่างสูงยิ่งไว้ ณ ที่นี้ด้วยโดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาจารย์นรากร จันลาวงศ์ที่ให้ค าปรึกษาแนะน าแนวทางที่ถูกต้องตลอดจนแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ ด้วยความ ละเอียดถี่ถ้วนและเอาใจใส่ด้วยดีเสมอมา ผู้วิจัยรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่งจึงขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงไว้ ณ โอกาสนี้ ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์อภิวุฒิ สุนันท์ยืนยงอาจารย์คุณครูเบ็ญจมาภรณ์ ลินเดอร์ส คุณครูวาสนา หัสดร นางสาวสุภาดา อภิวัฒนปัญญา นางสาวธนาลักษณ์ พุทธวงศา ผู้ทรงคุณวุฒิในการสอน ที่กรุณาให้ความรู้ให้ค าปรึกษาตรวจแก้ไขและวิจารณ์ผลงานท าให้งานวิจัยมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ขอขอบพระคุณผู้ทรงคุณวุฒิทุกท่านที่ให้ความอนุเคราะห์ในการตรวจสอบเครื่องมือและแบบประเมินต่างๆ รวมทั้งให้ค าแนะน าแก้ไขเครื่องมีใช้ใน การวิจัยให้มีคุณภาพ ขอกราบขอบพระคุณท่านผู้อ านวยการโรงเรียนมัธยมเทศบาล 6 นครอุดรธานีตลอดจนครูที่ให้ความ อนุเคราะห์ในการเก็บข้อมูลและอ านวยความสะดวกในการวิจัยและขอบคุณนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ใช้ในการวิจัยท าให้ วิจัยฉบับนี้ส าเร็จได้ด้วยดี นางสาวเกศรา สาน้อย
ค สารบัญ เรื่อง หน้า บทคัดย่อ ก กิตติกรรมประกาศ ข สารบัญ ค สารบัญตาราง จ บทที่ 1 บทน า 1 ความส าคัญและความเป็นมาของปัญหา 1 วัตถุประสงค์ของการวิจัย 3 สมมุติฐานของการวิจัย 3 ขอบเขตของการวิจัย 3 นิยามศัพท์เฉพาะ 4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 4 บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 5 มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชีวัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 กลุ่มสาระภาษาต่างประเทศ 5 ความส าคัญของการเรียนรู้ค าศัพท์ 10 การอ่านออกเสียง 11 การอ่านภาษาจีน 14 เกม 15 แผนการจัดการเรียนรู้ 17 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 21 กรอบแนวคิดในการวิจัย 24 บทที่ 3 วิธีด าเนินการวิจัย 25 ประชากรกลุ่มตัวอย่าง 25 แบบแผนในการวิจัย 25 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 26 การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 26 ขั้นตอนในการด าเนินการวิจัย 28 การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการวิจัย 28 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 32 สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 32 ล าดับขั้นตอนในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 32 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 33
ง สารบัญ เรื่อง หน้า บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายและข้อเสนอแนะ 34 สรุปผลการวิจัย 34 อภิปรายผล 34 ข้อเสนอแนะ 35 เอกสารอ้างอิง 36 ภาคผนวก 39 ภาคผนวก ก รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ 40 ภาคผนวก ข เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 42 ภาคผนวก ค ตัวอย่างแผนการจัดการเรียนรู้และแบบทดสอบ 47 ภาคผนวก ง การวิเคราะห์คุณภาพเครื่องมือ 59 ประวัติย่อผู้วิจัย 75
จ สารบัญตาราง เรื่อง หน้า ตารางที่ 1 ผลการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียนและคะแนนความก้าวหน้า 33 ตารางที่ 2 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทักษะการอ่านออกเสียงสัทอักษรจีน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยการใช้เกม 33 ตารางที่ 3 ค่าความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนการพัฒนาการอ่านออกเสียง โดยใช้เกม ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 62 ตารางที่ 4 ค่าความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนการพัฒนาการอ่านออกเสียง โดยใช้เกม ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 62 ตารางที่ 5 ค่าความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนการพัฒนาการอ่านออกเสียง โดยใช้เกม ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 63 ตารางที่ 6 ค่าความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนการพัฒนาการอ่านออกเสียง โดยใช้เกม ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 63 ตารางที่ 7 ค่าความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนการพัฒนาการอ่านออกเสียง โดยใช้เกม ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 64 ตารางที่ 8 ค่าความเหมาะสมของแผนการจัดการเรียนการพัฒนาการอ่านออกเสียง โดยใช้เกม ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 6 64 ตารางที่ 9 แสดงการวิเคราะห์ค่า IOC ในการตรวจสอบหาค่าความสอดคล้อง กับเนื้อหาของแบบแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาภาษาจีน 69 ตารางที่ 10 แสดงผลการหาค่าความยากง่าย (p) และค่าอ านาจจ าแนก (r) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนการอ่านออกเสียงสัทอักษรจีน 71 ตารางที่11 ผลการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนกับหลังเรียน และคะแนนความก้าวหน้า 74
บทที่ 1 บทน า ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา ประเทศจีนถือเป็นแหล่งอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ด้วยสภาพภูมิศาสตร์ต่างๆทั้งขนาดของประเทศ จ านวน ประชากร การเมือง การปกครอง วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและเศรษฐกิจที่มีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องใน ขณะนี้จีนได้ก้าวสู่ยุคใหม่อันได้แก่ยุคโลกาภิวัตน์มีค ากล่าวว่าศตวรรษที่ 21 จะเป็นศตวรรษที่จีนมีบทบาทใน ฐานะประเทศมหาอ านาจในทางเศรษฐกิจ การเมือง ตลอดทั้งมหาอ านาจทางทหาร ประเทศจีนได้มีนโยบาย ปฏิรูปเศรษฐกิจและเปิดประเทศในยุคผู้น าใหม่ เช่น การเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) และการลง นามจัดตั้งเขตการค้าเสรีกับประเทศไทย แสดงให้เห็นว่าจีนเป็นประเทศที่มีโอกาสทางธุรกิจสูงเป็นตลาดการค้า ที่ใหญ่อันดับต้นๆและมีแนวโน้มการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องมีการค้าการลงทุนและความ ร่วมมือในด้านต่างๆจ านวนมากกับนานาประเทศทั่วโลก การติดต่อสื่อสารและไปมาหาสู่ระหว่างกันจึงมากขึ้น ตามไปด้วย ดังนั้น สิ่งส าคัญที่จะเข้ามามีบทบาทอย่างมากก็คือภาษาจีนซึ่งขณะนี้ทั่วโลกให้ความส าคัญและ ส่งเสริมให้มีการเรียนการสอนภาษาจีนอย่างแพร่หลาย ทั้งนี้เนื่องจากการเรียนรู้ภาษาจีนนอกจากจะช่วยให้เรา สามารถติดต่อสื่อสารกับชาวจีนได้โดยตรงแล้วยังช่วยให้เรามีความเข้าใจชาวจีนและวัฒนธรรมความเป็นจีน มากยิ่งขึ้นซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการค้าการลงทุนและความร่วมมือระหว่างกัน ดังนั้นภาษาจีนจึงเป็นภาษาที่มี ความส าคัญยิ่งในโลกปัจจุบันและมีแนวโน้มที่จะทวีความส าคัญยิ่งขึ้นในอนาคต (ส านักงานเลขาธิการสภา การศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ, 2559) ภาษาจีนจึงเป็นภาษาต่างประเทศที่มีความส าคัญตามอิทธิพลทาง เศรษฐกิจซึ่งคนทั่วโลกนิยมเรียนรู้เพราะภาษาจีนมิได้สื่อสารกันแต่เพียงภายในประเทศจีนเท่านั้นภาษาจีนยัง ถูกใช้อย่างแพร่หลายในประเทศและเขตเศรษฐกิจส าคัญๆในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ไต้หวัน ฮ่องกง มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย เวียดนาม เป็นต้น และได้เข้ามามีบทบาทต่อตลาดแรงงานของ ไทยในทุกระดับไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของธุรกิจ การท่องเที่ยว หรือการร่วมทุนกับนักธุรกิจชาวจีนที่มีเพิ่มมากขึ้น เรื่อยๆท าให้มีความต้องการบุคลากรที่มีความรู้ในการใช้ภาษาจีนเพิ่มมากขึ้นด้วยนอกจากเศรษฐกิจแล้วรัฐบาล จีนยังมีนโนบายเกี่ยวกับการศึกษาเพื่อเผยแพร่ภาษาและวัฒนธรรมจีนสู่ชาวโลกส าหรับประเทศไทยทาง รัฐบาลจีนได้เข้ามาจัดตั้งสถาบันขงจื้อในถึง 12 แห่ง และมีอาสาสมัครชาวจีนเดินทางเข้ามาท างานกว่า 7,000 คนต่อปี ลักษณะพิเศษประการหนึ่งของสถาบันขงจื้อคือนอกจากจะเป็นองค์กรที่เน้นการเผยแพร่ภาษาและ วัฒนธรรมจีนอย่างเข้มข้นแล้วยังเป็นองค์กรที่ด าเนินงานร่วมกันระหว่างสถาบันการศึกษาของจีนกับ สถาบันการศึกษาท้องถิ่นท าให้ผู้บริหารสถาบันขงจื้อประกอบด้วยคนจากทั้งสองประเทศสถาบันขงจื้อยังมอบ ทุนต่างๆ ให้กับนักศึกษาข้าราชการ ผู้อ านวยการโรงเรียนของประเทศนั้นๆให้ไปศึกษาต่อและเรียนรู้วัฒนธรรม ที่ประเทศจีนอย่างสม่ าเสมอโดยหากพิจารณาตัวเลขในปี พ.ศ. 2553- 2554 จะพบว่าไทยเป็นประเทศที่ส่ง นักศึกษาไปศึกษาต่อในจีนมากที่สุดเป็นอันดับสี่รองจาก เกาหลีใต้ สหรัฐ และญี่ปุ่น (กรพนัช ตั้งเขื่อนขันธ์, 2556)
2 การอ่านถือเป็นสิ่งส าคัญทางภาษาที่มีความส าคัญเป็นพื้นฐานของการศึกษาและเป็นสิ่งจ าเป็นอย่าง มากในการด าเนินชีวิตของคนในยุคปัจจุบันเพราะในขณะนี้วิทยาการและเทคโนโลยีต่างๆได้เปลี่ยนแปลงและ ก้าวหน้ามากขึ้นดังนั้นเราจึงจ าเป็นที่จะต้องมีการอ่านเพื่อการสื่อสารที่ดีและมีประสิทธิภาพสามารถน าความรู้ ที่ได้จากการอ่านไปใช้ในการพูดและการเขียนได้เป็นอย่างดีในต่างประเทศปัจจุบันนี้ได้มีการส่งเสริมทักษะการ อ่านเป็นอย่างมากเพราะถือว่าการเรียนภาษาทุกภาษานั้นพื้นฐานเบื้องต้นคือการออกเสียงถ้าผู้เรียนออกเสียง ไม่ถูกไม่เพียงแต่ท าให้ผู้ฟังไม่เข้าใจยังส่งผลต่อการสื่อสารด้วยการออกเสียงจึงเกี่ยวกับการฟังและการพูด ดังนี้ จึงต้องฝึกการฟังและการพูดให้ถูกต้องและชัดเจนอันดับแรกในการเรียนภาษาจีนนั้นต้องให้ความส าคัญในเรื่อง ของการออกเสียง การอ่านออกเสียงเป็นปัจจัยส าคัญที่จะส่งผลต่ออนาคตของผู้เรียนโดยตรงถ้าครูผู้สอนสอน ทักษะการออกเสียงได้ดี ก็จะส่งผลดีต่อผู้เรียนในอนาคตท าให้มีทักษะที่ดีในการสื่อสาร ShenLi'na Yu Yanhua (2009) เนื่องจากผู้วิจัยเป็นครูสอนที่โรงเรียนมัธยมเทศบาล 6 เป็นโรงเรียนที่จัดตามหลักสูตรแกนกลางขั้น พื้นฐานและวิชาภาษาจีนเป็นวิชาหนึ่งในการจัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียนตามหลักสูตรจากการเรียนการสอน ภาษาจีนพบว่าผู้เรียนมีการอ่านออกเสียงค าศัพท์ไม่ชัดเจน ออกเสียงผิดเพี้ยนจากเสียงต้นฉบับ ผู้เรียนมักจะใช้ วิธีการเขียนค าอ่านเป็นภาษาไทยก ากับไว้ ซึ่งเสียงพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ของภาษาจีนไม่สามารถเทียบเสียง ภาษาไทยได้ทุกค า ท าให้การอ่านออกเสียงค าศัพท์เกิดการผิดเพี้ยนไปได้ ซึ่งเป็นปัญหาในการจัดการเรียนการ สอนภาษาจีนและส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาภาษาจีนต่ า จากการศึกษาแนวคิดและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องพบว่าการให้เด็กมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนการสอน ได้แสดงออกตามความต้องการของร่างกายจะท าให้เด็กมีความสนใจในการเรียนซึ่งจะช่วยให้ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของเด็กดีขึ้นเกมเป็นเครื่องมือที่สร้าง ความสนใจ จูงใจให้เด็กมีความกระตือรือร้นในการเรียน มากขึ้น การเล่นเกมท าให้เด็กมุ่งที่จะท ากิจกรรม จนลืมว่าตนก าลังเรียนอยู่ขณะที่เล่นเกมนั้นตนก็ได้ใช้การอ่าน ไปด้วยซึ่งเกมการอ่านจะช่วยให้นักเรียน อ่านคล่องแคล่ว และเกมจะช่วยสร้างบรรยากาศในการเรียนสามารถ ใช้ประกอบการสอนได้ เยาวพา เตชะคุปต์(2549) ส าหรับการสอน เกมเป็นกิจกรรมหนึ่งที่สามารถสอนแทรก เข้าไปในกิจกรรมการเรียนการสอนท าให้ผู้เรียนสนใจที่จะเรียนเกิดความสนุกสนานไม่เบื่อหน่ายสามารถจูงใจ ให้นักเรียนเรียนรู้ด้วยความสนใจโดยที่ครูไม่ต้องบังคับและนักเรียนก็ได้ความรู้โดยที่ไม่รู้สึกตัว จากผลการวิจัย ของนฤชล สถิรวัฒน์กุล พบว่า นิสิตที่เรียนโดยใช้เกมในการสอนมีทักษะการอ่านภาษาจีนสูงกว่านิสิตที่เรียน โดยใช้การสอนแบบปกติแตกต่างกันอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (นฤชล สถิรวัฒน์กุล,2563) นอกจากนั้นเกมจะช่วยให้นักเรียนมีความเชื่อมั่นในตนเอง รู้จักคิดตัดสินใจด้วยตนเองเกมท าให้เด็กเกิดความ สนุกสนานเร้าความสนใจ(สุกิจ ศรีพรหม, 2544) จากเหตุผลดังที่กล่าวจึงท าให้ผู้วิจัยได้เห็นความส าคัญในการพัฒนาการอ่านออกเสียงค าศัพท์ ภาษาจีนและสนใจที่จะน าเกมมาช่วยในการส่งเสริมการอ่านออกเสียงค าศัพท์ภาษาจีนของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนมัธยมเทศบาล 6 นครอุดรธานีเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นการจัดการเรียน การรู้ภาษาจีนโดยใช้เกมเป็นแนวคิดที่เน้นการถ่ายทอดความรู้ถึงผู้เรียนโดยตรงเน้นที่ให้ผู้เรียนได้เป็นผู้ลงมือ ปฏิบัติ มีความกระตือรือร้น ความสนใจในการเรียน ลดปัญหาการไม่สนใจของผู้เรียน ครูผู้สอนจะมีเวลาให้ ค าแนะน าแก่นักเรียนได้มากยิ่งขึ้นในด้านการใช้เกมช่วยให้ผู้เรียนมีทักษะในการอ่านค าศัพท์ภาษาจีนอย่างมี ประสิทธิภาพเพราะหากผู้เรียนมีความรู้ในเรื่องการอ่านออกเสียงเสียงค าศัพท์ภาษาจีนก็จะสามารถน าไปต่อ ยอดในด้านการศึกษาหรือด้านการประกอบอาชีพ
3 วัตถุประสงค์ของงานวิจัย 1. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การอ่านออกเสียงค าศัพท์ภาษาจีนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ก่อนและ หลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เกม 2. เพื่อเปรียบเทียบการอ่านออกเสียงค าศัพท์ภาษาจีนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียนเทียบกับ เกณฑ์ร้อยละ 70 สมมุติฐานการวิจัย 1. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 5 มีผลสัมฤทธิ์การอ่านออกเสียงค าศัพท์ภาษาจีนหลังสูงกว่าก่อนการจัด กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เกม 2. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 5 มีทักษะการออกเสียงค าศัพท์ภาษาจีนหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกม สูงขึ้นมากกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 ขอบเขตของการวิจัย 1. ประชากรและกลุ่มเป้าหมาย 1.1 ป ระชากร ได้แก่ นักเ รียนชั้นมัธยมศึกษ าปีที่ 5 ภ าคเ รียนที่ 1 ปีกา รศึกษ า 2566 โรงเรียนมัธยมเทศบาล 6 อ าเภอเมืองอุดรธานี ต าบลหมากแข้ง จังหวัดอุดรธานี จ านวน 8 ห้องเรียน มี นักเรียน 199 คน 1.2 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/7 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนมัธยมเทศบาล 6 อ าเภอเมืองอุดรธานี ต าบลหมากแข้ง จังหวัดอุดรธานี จ านวน 34 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม 2. ตัวแปรที่ใช้ในการศึกษา 2.1 ตัวแปรต้น ได้แก่ กิจกรรมการเรียนรู้การอ่านออกเสียงค าศัพท์ภาษาจีนโดยการใช้เกม 2.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ ผลสัมฤทธิ์การอ่านออกเสียงค าศัพท์ภาษาจีนโดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดย ใช้เกม 3. เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย ขอบเขตเนื้อหาวิชาภาษาต่างประเทศตามหลักสูตรแกนกลางพุทธศักราช 2551 จากหนังสือ Standard Course HSK2 ซึ่งเป็นหนังสือที่ใช้จัดการเรียนการสอนแก่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยมี เนื้อหาประกอบไปด้วย บทที่ 6 你怎么不吃了?จ านวน 4 ชั่วโมง บทที่ 7 你家里公司元码?จ านวน 4 ชั่วโมง บทที่ 8 让我想想再告诉你 จ านวน 4 ชั่วโมง
4 นิยามศัพท์เฉพาะ 1. การอ่านออกเสียง หมายถึง วิธีการหรือรูปแบบของค าหรือวลีในภาษาที่ถูกพูดหรือเปล่งเสียงออกมา กระบวนการรู้การถอดรหัสสัญลักษณ์ที่ซับซ้อนเพื่อสร้างหรือเอาความหมายการอ่านเป็นวิธีการได้มาซึ่ง ภาษา การสื่อสารและแบ่งปันสารสนเทศและความคิดเช่นเดียวกับทุกภาษาการอ่านเป็นอันตรกิริยาซับซ้อน ระหว่างข้อความและผู้อ่านซึ่งเกิดขึ้นโดยความรู้ประสบการณ์เจตคติและชุมชนภาษาเดิมของผู้อ่านซึ่ง วัฒนธรรมและสังคมก าหนดกระบวนการการอ่านต้องอาศัยการฝึกฝนการพัฒนาและการขัดเกลาอย่าง ต่อเนื่องนอกเหนือจากนี้การอ่านยังต้องการความคิดสร้างสรรค์และการวิเคราะห์ 2. ค าศัพท์ภาษาจีน หมายถึง กลุ่มเสียง กลุ่มค า เสียงพูดภาษาจีนที่มีความหมายทั้งในการพูดและการเขียน ซึ่งค าศัพท์เป็นองค์ประกอบส าคัญในการสื่อสาร 3. วิธีการสอนโดยใช้เกม หมายถึง เป็นวิธีการที่ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เรื่องต่างๆอย่างสนุกสนานและ ท้าทายความสามารถโดยผู้เรียนเป็นผู้เล่นเองท าให้ได้รับประสบการณ์ตรงเป็นวิธีการที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียน มีส่วนร่วมสูง 4. นักเรียน หมายถึง ผู้ศึกษาเล่าเรียนในโรงเรียนระดับอนุบาล ประถมศึกษา และมัธยมศึกษา ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ได้รับการพัฒนาผลสัมฤทธิ์การอ่านออกเสียงสัทอักษรจีนจากการใช้ กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เกม 2. เป็นแนวทางให้ผู้ที่ต้องการศึกษาการสร้างและพัฒนานวัตกรรมการเรียนรู้ในวิชาภาษาจีนที่น ามาใช้ใน การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาจีน 3. เป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การอ่านสัทอักษรจีนโดยใช้เกมที่มีประสิทธิภาพไปพัฒนาการ อ่านภาษาจีนของนักเรียนในโรงเรียนชั้นเรียนอื่นๆ
5 บทที่2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษาแนวคิดเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องโดยใช้ตามหัวข้อต่อไปนี้ 1. มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศ 2. ความส าคัญของการเรียนรู้ค าศัพท์ 3. การอ่านออกเสียง 4. การอ่านภาษาจีน 5. เกม 6. แผนการจัดการเรียนรู้ 7. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 8. กรอบแนวคิดการวิจัย 1. มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการ เรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ท าไมต้องเรียนภาษาต่างประเทศ ในสังคมโลกปัจจุบันการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศมีความส าคัญและจ าเป็นอย่างยิ่งในชีวิตประจ าวัน เนื่องจากเป็นเครื่องมือส าคัญในการติดต่อสื่อสาร การศึกษา การแสวงหาความรู้การประกอบอาชีพ การสร้าง ความเข้าใจเกี่ยวกับวัฒนธรรมและวิสัยทัศน์ของชุมชนโลกและตระหนักถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมและ มุมมองของสังคมโลกน ามาซึ่งมิตรไมตรีและความร่วมมือกับประเทศต่างๆช่วยพัฒนาผู้เรียนให้มีความเข้าใจ ตนเองและผู้อื่นดีขึ้นเรียนรู้และเข้าใจความแตกต่างของภาษาและวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณีการคิด สังคม เศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง มีเจตคติที่ดีต่อการใช้ภาษาต่างประเทศและใช้ภาษาต่างประเทศเพื่อ การสื่อสารได้รวมทั้งเข้าถึง องค์ความรู้ต่างๆ ได้ง่ายและกว้างขึ้นและมีวิสัยทัศน์ในการด าเนินชีวิต ภาษาต่างประเทศที่เป็นสาระการเรียนรู้พื้นฐาน ซึ่งก าหนดให้เรียนตลอด หลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน คือ ภาษาอังกฤษ ส่วนภาษาต่างประเทศอื่น เช่น ภาษา ฝรั่งเศส เยอรมัน จีน ญี่ปุ่น อาหรับ บาลีและภาษากลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน หรือภาษาอื่นๆ ให้อยู่ในดุลยพินิจของสถานศึกษาที่จะจัดท า รายวิชาและจัดการเรียนรู้ตามความเหมาะสม เรียนรู้อะไรในภาษาต่างประเทศ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ มุ่งหวังให้ผู้เรียนมีเจตคติที่ดีต่อภาษาต่างประเทศ สามารถ ใช้ ภาษาต่างประเทศ สื่อสารในสถานการณ์ต่าง ๆ แสวงหาความรู้ประกอบอาชีพ และศึกษาต่อในระดับ ที่สูงขึ้น รวมทั้งมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องราวและวัฒนธรรมอันหลากหลายของประชาคมโลก และสามารถถ่ายทอด ความคิดและวัฒนธรรมไทยไปยังสังคมโลกได้อย่างสร้างสรรค์ประกอบด้วยสาระส าคัญ ดังนี้ ภาษาเพื่อการสื่อสาร การใช้ภาษาต่างประเทศในการฟัง-พูด-อ่าน-เขียน แลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสาร แสดงความรู้สึกและความคิดเห็น ตีความ น าเสนอข้อมูล ความคิดรวบยอด และความคิดเห็น ในเรื่อง ต่าง ๆ และสร้างความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลอย่างเหมาะสม
6 ภาษาและวัฒนธรรม การใช้ภาษาต่างประเทศตามวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา ความสัมพันธ์ความ เหมือน และความแตกต่างระหว่างภาษาและวัฒนธรรมของเจ้าของภาษากับภาษาและวัฒนธรรมไทย และน าไปใช้อย่างเหมาะสม ภาษากับความสัมพันธ์กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น การใช้ภาษาต่างประเทศในการเชื่อมโยง ความรู้ กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น เป็นพื้นฐานในการพัฒนา แสวงหาความรู้และเปิดโลกทัศน์ของตน ภาษากับความสัมพันธ์กับชุมชนและโลก การใช้ภาษาต่างประเทศในสถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งใน ห้องเรียนและนอกห้องเรียน ชุมชน และสังคมโลก เป็นเครื่องมือพื้นฐานในการศึกษาต่อ ประกอบ อาชีพ และแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับสังคมโลก คุณภาพของผู้เรียนเมื่อจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ปฏิบัติตามค าแนะน าในคู่มือการใช้งานต่างๆ ค าชี้แจง ค าอธิบาย และ ค าบรรยายที่ฟังและอ่าน อ่าน ออกเสียงข้อความ ข่าว ประกาศ โฆษณา บทร้อยกรอง และบทละครสั้นถูกต้องตามหลักการอ่าน อธิบายและเขียนประโยคและข้อความสัมพันธ์กับ สื่อที่ไม่ใช่ความเรียงรูปแบบต่างๆ ที่อ่าน รวมทั้ง ระบุและเขียนสื่อที่ไม่ใช่ความเรียงรูปแบบต่างๆ สัมพันธ์กับประโยคและข้อความที่ฟังหรืออ่าน จับ ใจความส าคัญ วิเคราะห์ความ สรุปความ ตีความ และแสดงความคิดเห็นจากการฟังและอ่านเรื่องที่ เป็นสารคดีและบันเทิงคดีพร้อมทั้งให้เหตุผลและยกตัวอย่างประกอบ สนทนาและเขียนโต้ตอบข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง เรื่องต่างๆ ใกล้ตัว ประสบการณ์สถานการณ์ข่าว/ เหตุการณ์ประเด็นที่อยู่ในความสนใจของสังคม และสื่อสารอย่างต่อเนื่อง และเหมาะสม เลือกและ ใช้ค าขอร้อง ค าชี้แจง ค าอธิบาย และให้ค าแนะน า พูดและเขียน แสดงความต้องการ เสนอและให้ ความช่วยเหลือ ตอบรับและปฏิเสธการให้ความช่วยเหลือ ในสถานการณ์จ าลองหรือสถานการณ์จริง อย่างเหมาะสม พูดและเขียนเพื่อขอและให้ข้อมูล บรรยาย อธิบาย เปรียบเทียบ และแสดงความ คิดเห็นเกี่ยวกับเรื่อง/ประเด็นข่าวเหตุการณ์ที่ฟังและอ่านอย่างเหมาะสม พูดและเขียนบรรยาย ความรู้สึกและแสดงความคิดเห็นของ ตนเองเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ กิจกรรม ประสบการณ์และข่าว เหตุการณ์อย่างมีเหตุผล พูดและเขียนน าเสนอข้อมูลเกี่ยวกับตนเองประสบการณ์ข่าว/เหตุการณ์เรื่อง และประเด็นต่างๆ ตามความสนใจ พูดและเขียนสรุปใจความส าคัญ แก่นสาระที่ได้จากการ วิเคราะห์เรื่อง กิจกรรม ข่าว เหตุการณ์และสถานการณ์ตามความสนใจ พูดและเขียนแสดง ความคิดเห็นเกี่ยวกับกิจกรรม ประสบการณ์และเหตุการณ์ ทั้งในท้องถิ่น สังคม และโลก พร้อมทั้งให้เหตุผลและยกตัวอย่าง ประกอบ เลือกใช้ภาษา น้ าเสียง และกิริยาท่าทางเหมาะกับระดับของบุคคล เวลา โอกาสและสถานที่ตาม มารยาทสังคมและวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา อธิบาย/อภิปรายวิถีชีวิต ความคิด ความเชื่อ และ ที่มาของขนบธรรมเนียมและประเพณีของเจ้าของภาษา เข้าร่วม แนะน า และจัดกิจกรรมทางภาษา และวัฒนธรรมอย่างเหมาะสม อธิบายเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างโครงสร้างประโยค ข้อความ ส านวน ค าพังเพย สุภาษิต และบทกลอนของภาษาต่างประเทศและภาษาไทย วิเคราะห์อภิปราย ความเหมือนและความ แตกต่างระหว่างวิถีชีวิต ความเชื่อ และวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา กับของไทย และน าไปใช้อย่างมี เหตุผล
7 ค้นคว้า สืบค้น บันทึก สรุป และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อมูลที่เกี่ยวข้อง กับกลุ่มสาระการเรียนรู้ อื่นจากแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ และน าเสนอด้วยการพูดและการเขียน ใช้ภาษาสื่อสารในสถานการณ์จริง/สถานการณ์จ าลองที่เกิดขึ้นในห้องเรียน สถานศึกษา ชุมชนและ สังคม ใช้ภาษาต่างประเทศในการสืบค้น ค้นคว้า รวบรวม วิเคราะห์และสรุปความรู้ข้อมูลต่าง ๆ จากสื่อ และแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ ในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพ เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข้อมูล ข่าวสารของโรงเรียน ชุมชน และท้องถิ่น ประเทศชาติเป็นภาษาต่างประเทศ มีทักษะการใช้ภาษาต่างประเทศ (เน้นการฟัง-พูด-อ่าน-เขียน) สื่อสาร ตามหัวเรื่องเกี่ยวกับตนเอง ครอบครัว โรงเรียน สิ่งแวดล้อม อาหาร เครื่องดื่ม ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เวลาว่างและ นันทนาการ สุขภาพและสวัสดิการ การซื้อ-ขาย ลมฟ้าอากาศ การศึกษาและอาชีพ การเดินทาง ท่องเที่ยว การบริการ สถานที่ ภาษา และ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีภายในวงค าศัพท์ประมาณ ๓,๖๐๐-๓,๗๕๐ ค า (ค าศัพท์ที่มีระดับการใช้แตกต่างกัน) ใช้ประโยคผสมและประโยคซับซ้อนสื่อความหมายตามบริบทต่าง ๆ ในการสนทนา ทั้งที่เป็นทางการ และไม่เป็นทางการ สมรรถนะส าคัญของผู้เรียน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียน ให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้ซึ่งการ พัฒนาผู้เรียนให้บรรลุ มาตรฐานการเรียนรู้ที่ก าหนดนั้น จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะส าคัญ 5 ประการ ดังนี้ 1. ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถใน การรับและส่งสาร มีวัฒนธรรมในการใช้ภาษา ถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยน ข้อมูลข่าวสาร และ ประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนา ตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจาต่อรองเพื่อขจัดและลด ปัญหา ความขัดแย้งต่างๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลัก เหตุผล และความถูกต้อง ตลอดจน การเลือกใช้วิธีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพโดยค านึงถึงผลกระทบที่มีต่อตนเองและสังคม 2. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์การคิดสังเคราะห์การคิดอย่าง สร้างสรรค์การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อน าไปสู่ การสร้างองค์ความรู้หรือสารสนเทศ เพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเอง และสังคมได้อย่างเหมาะสม 3. ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถใน การแก้ปัญหาและอุปสรรคต่างๆ ที่เผชิญได้ อย่างถูกต้องเหมาะสม บนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจ ความสัมพันธ์และ การเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่างๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกันและแก้ไข ปัญหา และมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดยค านึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น ต่อตนเอง สังคมและสิ่งแวดล้อม 4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถ ในการน ากระบวนการต่างๆ ไปใช้ในการ ด าเนินชีวิตประจ าวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การท างาน และ การอยู่ร่วมกันในสังคม ด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่าง บุคคล การจัดการปัญหาและความขัดแย้งต่างๆ อย่างเหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม และการรู้จักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึง ประสงค์ที่ส่งผลกระทบต่อ ตนเองและผู้อื่น
8 5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเป็นความสามารถในการเลือกและใช้เทคโนโลยีด้านต่างๆ และ มีทักษะกระบวนการ ทางเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม ในด้านการเรียนรู้การสื่อสาร การท างาน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ถูกต้องเหมาะสม และมีคุณธรรม คุณลักษณะอันพึงประสงค์ส าคัญของผู้เรียน ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) มุ่งพัฒนา ผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุขในฐานะเป็น พลเมืองไทยและพลโลก ดังนี้ 1. รักชาติศาสน์กษัตริย์ 2. ชื่อสัตย์สุจริต 3. มีวินัย 4. ใฝ่เรียนรู้ 5. อยู่อย่างพอเพียง 6. มุ่งมั่นในการท างาน 7. รักความเป็นไทย 8. มีจิตสาธารณะ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศมุ่งหวังให้ผู้เรียนมีเจตคติที่ดีต่อภาษาต่างประเทศสามารถใช้ ภาษาต่างประเทศ สื่อสารในสถานการณ์ต่างๆแสวงหาความรู้ประกอบอาชีพและศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น รวมทั้งมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องราวและวัฒนธรรมอันหลากหลายของประชาคมโลกและสามารถถ่ายทอด ความคิดและวัฒนธรรมไทยไปยังสังคมโลกได้อย่างสร้างสรรค์ประกอบด้วยสาระส าคัญ ดังนี้ สาระที่ 1 ภาษาเพื่อการสื่อสาร สาระที่ 2 ภาษาและวัฒนธรรม สาระที่ 3 ภาษากับความสัมพันธ์กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น สาระที่ 4 ภาษากับความสัมพันธ์กับชุมชนและโลก ในการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้มุ่งศึกษาในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสาระการอ่านโดยมีมาตรฐานการเรียนรู้ดังนี้ มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ต 1.1 เข้าใจและตีความเรื่องที่ฟังและอ่านจากสื่อประเภทต่างๆและแสดงความคิดเห็นอย่างมี เหตุผล มาตรฐาน ต 1.2 มีทักษะการสื่อสารทางภาษาในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร แสดงความรู้สึกและความ คิดเห็นอย่างมีประสิทธิภาพ มาตรฐาน ต 1.3 น าเสนอข้อมูลข่าวสาร ความคิดรวบยอด และความคิดเห็นในเรื่องต่างๆโดยการพูดและ การเขียน
9 มาตรฐาน ต 2.1 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างภาษากับวัฒนธรรมของเจ้าของภาษาและน าไปใช้ได้อย่าง เหมาะสมกับกาลเทศะ มาตรฐาน ต 2.2 เข้าใจเหมือนและความแตกต่างระหว่างภาษาและวัฒนธรรมของเจ้าของภาษากับภาษา และวัฒนธรรมไทย และน ามาใช้อย่างถูกต้องและเหมาะสม มาตรฐาน ต 3.1 ใช้ภาษาต่างประเทศในการเชื่อมโยงความรู้กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่นและเป็นพื้นฐานใน การพัฒนา แสวงหาความรู้ และเปิดโลกทัศน์ของตน มาตรฐาน ต 4.1 ใช้ภาษาต่างประเทศในสถานการณ์ต่างๆทั้งในสถานศึกษา ชุมชน และสังคม มาตรฐาน ต 4.2 ใช้ภาษาต่างประเทศเป็นเครื่องมือพื้นฐานในการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพและการ แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับสังคมโลก ตัวชี้วัด ต 1.1 ม.5/1 ปฏิบัติตามค าแนะน าในคู่มือการใช้งานต่างๆ ค าชี้แจง ค าอธิบายและค าบรรยายที่ฟังและอ่าน ต 1.1 ม.5/2 อ่านออกเสียงข้อความ ข่าว ประกาศ โฆษณา บทร้อยกรอง และบทละครสั้น(Skit) ถูกต้องตาม หลักการอ่าน ต 1.1 ม.5/3 อธิบายและเขียนประโยคและข้อความให้สัมพันธ์กับสื่อที่ไม่ใช่ความเรียงรูปแบบต่างๆที่อ่าน รวมทั้งระบุและเขียนสื่อที่ไม่ใช่ความเรียงรูปแบบต่างๆให้สัมพันธ์กับประโยคและข้อความที่ฟังหรืออ่าน ต 1.1 ม.5/4 จับใจความส าคัญ วิเคราะห์ความ สรุปความ ตีความและแสดงความคิดเห็นจากการฟังและอ่าน เรื่องที่เป็นสารคดีและบันเทิงคดีพร้อมทั้งให้เหตุผลและยกตัวอย่างประกอบ ต 1.2 ม.5/1 สนทนาและเขียนโต้ตอบข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง เรื่องต่างๆใกล้ตัว ประสบการณ์สถานการณ์ข่าว เหตุการณ์ประเด็นที่อยู่ในความสนใจของสังคมและสื่อสารอย่างต่อเนื่องและเหมาะสม ต 1.2 ม.5/2 เลือกและใช้ค าขอร้อง ให้ค าแนะน า ค าชี้แจง ค าอธิบายอย่างคล่องแคล่ว ต 1.2 ม.5/3 พูดและเขียนแสดงความต้องการเสนอตอบรับและปฏิเสธการให้ความช่วยเหลือในสถานการณ์ จ าลองหรือสถานการณ์จริงอย่างเหมาะสม ต 1.2 ม.5/4 พูดและเขียนเพื่อขอและให้ข้อมูล บรรยาย อธิบาย เปรียบเทียบ และ แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ เรื่อง ประเด็น/ข่าว/เหตุการณ์ที่ฟังและอ่าน อย่างเหมาะสม ต 1.2 ม.5/5 พูดและเขียนบรรยายความรู้สึกและแสดงความคิดเห็นของตนเอง เกี่ยวกับเรื่องต่างๆกิจกรรม ประสบการณ์และข่าวเหตุการณ์อย่างมีเหตุผล ต 1.3 ม.5/1 พูดและเขียนน าเสนอข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง ประสบการณ์ข่าวเหตุการณ์เรื่องและประเด็นต่างๆ ที่อยู่ในความสนใจของสังคม ต 1.3 ม.5/2 พูดและเขียนสรุปใจความส าคัญ แก่นสาระที่ได้จากการวิเคราะห์เรื่อง กิจกรรม ข่าว เหตุการณ์ และสถานการณ์ตามความสนใจ ต 1.3 ม.5/3 พูดและเขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกิจกรรม ประสบการณ์และเหตุการณ์ทั้งในท้องถิ่น สังคม และโลก พร้อมทั้งให้เหตุผลและยกตัวอย่างประกอบ
10 ต 2.1 ม.5/1 เลือกใช้ภาษา น้ าเสียง และกิริยา ท่าทางเหมาะกับระดับของบุคคลโอกาสและสถานที่ตาม มารยาท สังคมและวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา ต 2.1 ม.5/2 อธิบาย/อภิปรายวิถีชีวิต ความคิด ความเชื่อ และที่มาของขนบธรรมเนียมและประเพณีของ เจ้าของภาษา ต 2.1 ม.5/3 เข้าร่วม แนะน า และจัดกิจกรรมทางภาษาและวัฒนธรรมอย่างเหมาะสม ต 2.2 ม.5/1 อธิบาย/เปรียบเทียบความแตกต่าง ระหว่างโครงสร้างประโยค ข้อความ ส านวน ค าพังเพย สุภาษิต และบทกลอนของภาษาต่างประเทศและภาษาไทย ต 2.2 ม.5/2 วิเคราะห์อภิปรายความเหมือนและความแตกต่างระหว่างวิถีชีวิต ความเชื่อ และวัฒนธรรมของ เจ้าของภาษากับของไทยและน าไปใช้อย่างมีเหตุผล ต 3.1 ม.5/1 ค้นคว้า/สืบค้น บันทึก สรุป และ แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มสาระการ เรียนรู้อื่นจากแหล่งการเรียนรู้ต่างๆและน าเสนอด้วยการพูดและการเขียน ต 4.1 ม.5/1ใช้ภาษาสื่อสารในสถานการณ์จริง/สถานการณ์จ าลอง ที่เกิดขึ้นในห้องเรียน สถานศึกษา ต 4.2 ม.5/1 ใช้ภาษาสื่อสารในสถานการณ์จริง/สถานการณ์จ าลอง ที่เกิดขึ้นในห้องเรียน สถานศึกษา ชุมชน สังคม (กระทรวงศึกษาธิการ, 2544) 2. ความส าคัญของการเรียนรู้ค าศัพท์ ค าศัพท์คือ กลุ่มเสียง กลุ่มค า เสียงพูดที่มีความหมายทั้งในการพูดและการเขียนซึ่งค าศัพท์เป็น องค์ประกอบหนึ่งที่ส าคัญของภาษาทุกภาษาเพราะเป็นสิ่งที่มนุษย์ใช้เพื่อสื่อความหมายถึงความรู้สึกนึกคิด ความต้องการหรือความรู้ต่างๆในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารการมีความรู้และความสามารถในการใช้ค าศัพท์ ของบุคคลๆหนึ่งถือเป็นปัจจัยหลักที่จะบ่งบอกว่าบุคคลผู้นั้นสามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงใด ค าศัพท์จึงเป็นสิ่งส าคัญที่ทุกคนต้องเรียนรู้และเพิ่มพูนอยู่เสมอเพื่อให้ประสบความส าเร็จในการสื่อสารใน สถานการณ์ต่างๆ (Burns & Lowe. 1966) ประเภทของค าศัพท์ ในการสอนค าศัพท์ผู้สอนควรค านึงถึงระดับการเรียนรู้ของผู้เรียนว่าอยู่ในระดับใด จะต้องใช้ค าศัพท์ ประเภทไหน และมากน้อยเพียงใด (นิธิดา อดิภัทรนันท์, 2541) ดังนั้นการแบ่งประเภทค าศัพท์ตามระดับของ ผู้เรียนสามารถแบ่งได้2 ประเภทคือ 1. ค าศัพท์ที่ผู้เรียนในระดับนั้นๆได้พบเห็นบ่อยๆทั้งในการฟัง พูด อ่าน และเขียน (Active Vocabulary) นอกจากครูจะสอนให้รู้จักความหมายแล้ว จะต้องสอนให้นักเรียนสามารถใช้ค า ประโยค ได้ทั้ง ในการพูดและการเขียน ซึ่งถือว่าเป็นทักษะขั้นการน าไปใช้ 2. ค าศัพท์ที่ผู้เรียนในระดับชั้นนั้นๆไม่ค่อยพบเห็นหรือนานๆจะปรากฏครั้งหนึ่งในการฟังและการอ่าน การสอนค าศัพท์ที่ผู้เรียนไม่ค่อยพบเห็นบ่อย ครูเพียงสอนแต่ให้รู้ความหมายที่ใช้ในประโยคก็เพียงพอ เน้นให้ นักเรียนทั้งฟังและอ่านได้เข้าใจ โดยไม่เน้นให้นักเรียนเอาค าศัพท์นั้นมาใช้ในการพูดและเขียน
11 นอกจากนี้ยังได้มีการแบ่งประเภทของค าศัพท์ตามโอกาสที่ใช้หรือพบในแต่ละทักษะทางภาษา โดย แบ่งออกได้เป็น 4 ประเภท (นันทิยา แสงสิน, 2527) ดังนี้ 1. ค าศัพท์เพื่อการฟัง เป็นค าศัพท์ที่ใช้มากในเด็กเล็ก เพราะไม่เคยเรียนรู้ภาษามาก่อน เป็นค าศัพท์ที่ ค่อนข้างง่าย และการเรียนรู้เกิดจากการฟังก่อน 2. ค าศัพท์เพื่อการพูด เป็นค าศัพท์ที่ใช้ในภาษาพูด ซึ่งต้องสัมพันธ์กับการฟัง ค าศัพท์ที่ใช้ในการพูด นั้นต้องสามารถใช้สื่อความหมายได้โดยค าศัพท์เพื่อการพูดจ าแนกออกได้เป็น 3 ชนิด ได้แก่ ค าศัพท์ที่ใช้ ภายในบ้านหรือระหว่างเพื่อนฝูง ค าศัพท์ที่ใช้ในการเรียนหรือการท างาน และค าศัพท์ที่ใช้ในการติดต่อราชการ หรือใช้ในชีวิตประจ าวัน 3. ค าศัพท์เพื่อการอ่าน เป็นค าศัพท์ที่ใช้ในการอ่านและเป็นปัญหามากส าหรับเด็กที่เรียนภาษา คือ ต้องรู้ความหมายเพื่อที่จะน าไปตีความเนื้อหา และข้อความที่อ่านได้ 4. ค าศัพท์เพื่อการเขียน เป็นค าศัพท์ที่ใช้ในการเขียน ซึ่งถือว่าเป็นทักษะที่สูงและยาก เป็นค าศัพท์ที่ผู้เรียน จะต้องได้รับการสอนที่ถูกต้องและเป็นทางการ อิสรา สาระงาม (2529) สรุปได้ว่าการแบ่งค าศัพท์ออกเป็นประเภทตามลักษณะการใช้และตามโอกาสดังที่กล่าวมานี้มีผล ส าคัญต่อการจัดการเรียนการสอนเป็นอย่างยิ่ง ผู้สอนจะต้องช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ค าศัพท์ที่จ าเป็นส าหรับการ ใช้ในโอกาสและสถานการณ์ต่างๆได้อย่างถูกต้องและเหมะสมโดยการช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ค าศัพท์นั้นๆโดยมี พฤติกรรมด้านการออกเสียงและสะกดค าได้ด้านการบอกความหมายของค าศัพท์ได้และด้านการน าค าศัพท์ไป ใช้ในการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียนได้อย่างถูกต้อง 3. การอ่านออกเสียง ความหมายของการอ่านออกเสียง นลินีบ าเรอราช (2545) ได้ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องและสรุปไว้ว่าการอ่านออกเสียงเป็นการอ่านที่ ต้องเปล่งเสียงตามถ้อยค าที่ปรากฏในข้อความที่ก าลังอ่านเป็นการอ่านที่ผู้อ่านสื่อความเข้าใจไปยังผู้ฟังใน ลักษณะการอ่านหนังสือให้คนอื่นฟังเช่นการอ่านข่าวการอ่านกล่าวรายงานการอ่านบทละครวิทยุ ฯลฯ การ อ่านออกเสียงต้องค านึงถึงการท าเสียงให้น่าฟังการเว้นวรรคตอนที่ถูกต้องการออกเสียงค าได้อย่างถูกต้อง ชัดเจนการใช้น้ าเสียงได้เหมาะสมกับบรรยากาศและบริบทของเรื่องการจะอ่านออกเสียงให้น่าฟังนั้นต้องมีการ ฝึกฝนอ่านอย่างจริงจังจึงจะอ่านได้ดีการอ่านออกเสียงเป็นการอ่านเพื่อผู้อื่นมากกว่าการอ่านเพื่อตนเอง บัณฑิต ฉัตรวิโรจน์(2549) ได้ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องและสรุปไว้ว่าการอ่านออกเสียงคือการอ่านให้ มีเสียงดังเป็นการอ่านเพื่อส่งสารเช่นอ่านให้ผู้อื่นฟังอ่านเพื่อฝึกการอ่านออกเสียงอ่านข่าวทางสถานี วิทยุกระจายเสียงเป็นต้นเมื่ออ่านออกเสียงต้องค านึงอยู่เสมอว่าถ้าอ่านให้ผู้อื่นฟังก็ต้องค านึงถึงผู้ฟังด้วยเช่น เมื่อเป็นการอ่านในห้องเรียนผู้ฟังคือครูและเพื่อนๆเป็นการอ่านเพื่อความรู้ต้องการความชัดเจนและถูกต้อง มากที่สุดโดยมีองค์ประกอบที่ส าคัญหลายประการเช่นวรรณยุกต์และการเว้นวรรคตอนหากเมื่อมีการอ่านออก เสียงวรรณยุกต์และเว้นวรรคตอนผิดแล้วนั้นความหมายก็จะผิดเพี้ยนไปเช่นกัน สรุปได้ว่าการอ่านออกเสียงหมายถึงการเปล่งเสียงตามถ้อยค าที่ปรากฏในข้อความที่ก าลังอ่านเพื่อ สื่อความเข้าใจไปยังผู้ฟังเพื่อให้ผู้ฟังได้รับทราบเรื่องราวได้อย่างถูกต้องโดยผู้อ่านจะต้องท าเสียงให้น่าฟังเว้น วรรคตอนให้ถูกต้องออกเสียงค าและวรรณยุกต์ได้อย่างชัดเจนเหมาะสมกับบรรยากาศและบริบทของเรื่อง
12 องค์ประกอบที่มีผลต่อการอ่านออกเสียง การอ่านจะประสบความส าเร็จได้นั้น ผู้อ่านต้องมีความสามารถในด้านต่างๆหลายด้านนักวิชาการแต่ ละคนเสนอแนะองค์ประกอบที่มีผลต่อการอ่านออกเสียงแตกต่างกัน เช่น Coady (1979) กล่าวว่าการอ่านเป็นการปฏิสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบ 3 ส่วนคือ 1. ความสามารถเชิงมโนทัศน์ (Conceptual Ability) หมายถึงความสามารถทางสติปัญญา โดยทั่วไปที่จะค้นหาสาระส าคัญความคิดและความคิดเห็นจากเรื่องที่อ่านได้ 2. ความรู้เดิม (Background Knowledge) หมายถึงพื้นความรู้ของผู้อ่านที่มีอยู่แล้วผู้อ่านจะอ่าน เรื่องได้เร็วขึ้นและได้ผลดีขึ้นถ้าผู้อ่านมีวัฒนธรรมคล้ายคลึงกับวัฒนธรรมของเจ้าของภาษาที่เขียนการอ่านเรื่อง ที่ผู้อ่านคุ้นเคยและกิจกรรมที่ผู้อ่านปฏิบัติอยู่ในชีวิตประจ าวันจะท าให้ผู้อ่านประสบความส าเร็จในเรื่องที่อ่าน มากขึ้น 3. ยุทธศาสตร์ด้านกระบวนการ (Process Strategies) หมายถึงยุทธวิธีด้านกระบวนการที่เป็น องค์ประกอบย่อยของความสามารถในการอ่านและเป็นหนทางที่จะน าไปสู่ความเข้าใจทักษะทางด้านภาษา ทั่วๆไป ได้แก่ การหาความหมายของสัญลักษณ์ที่เขียนการรวมเสียงและความเข้าใจเข้าด้วยกันและการเข้าใจ ในสิ่งที่อ่าน (บัณฑิต ฉัตรวิโรจน์, 2551) กล่าวว่าการสอนอ่านจะส่งผลให้เกิดความเข้าใจมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับตัวผู้อ่านเองซึ่งจ าเป็นต้องมีองค์ประกอบหลักที่ส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ในการอ่าน ได้แก่ 1) ความรู้ในเชิงค าศัพท์และตัวอักษร 2) ความรู้ในเชิงกระบวนการอ่านและ 3) ความรู้และประสบการณ์เดิมของผู้อ่าน สรุปได้ว่าองค์ประกอบของการอ่านออกเสียงประกอบด้วยความรู้เกี่ยวกับความหมายของค าศัพท์ ประสบการณ์เดิมของผู้อ่านกระบวนการในการอ่านและความสามารถในการตีความ หลักการสอนอ่านออกเสียงโดยทั่วไป การจัดการเรียนการสอนภาษาทุกภาษาไม่ว่าจะเป็นภาษาใดก็ตามต้องอาศัยหลักการแนวคิดทฤษฎีที่ เป็นแนวปฏิบัติที่เคยได้รับการพัฒนาและด าเนินการมาบ้างแล้วเพื่อน าไปประยุกต์ใช้ให้เข้ากับการจัดการเรียน การสอนในสถานศึกษาทุกระดับการสอนภาษาจีนก็เช่นเดียวกันผู้วิจัยจึงได้ศึกษาหลักการสอนอ่านออกเสียง ดังต่อไปนี้ บันลือ พฤกษะวัน (2538) ได้เสนอแนะหลักการสอนอ่านออกเสียงไว้ดังนี้ 1. การอ่านออกเสียงควรเป็นการเน้นการอ่านให้ถูกต้องตลอดจนวรรคตอนในการอ่านเพื่อครูจะได้ ช่วยเหลือและแก้ไขได้ทันที 2. การอ่านออกเสียงมุ่งเน้นการวิเคราะห์สิ่งที่อ่านทั้งการวิเคราะห์ในเชิงภาษาและการวิเคราะห์ ในเชิงเนื้อหา 3. หากเป็นบทอ่านที่เป็นเรื่องราวควรเน้นการฝึกอ่านเพื่อการอ่านได้จะต้องฝึกให้อ่านทีละประโยค เป็นประโยคๆไปเมื่ออ่านจบเรื่องแล้วจะต้องบอกได้ว่าเรื่องที่อ่านเป็นเรื่องอะไรเกี่ยวกับอะไรหากยังบอกถึง เรื่องที่อ่านไม่ได้จะต้องฝึกฟังทีละประโยคแล้วบอกความหมายหรือแสดงท่าทางประกอบประโยคและถ้าอ่าน ผิดใดหนึ่งก็ให้แก้ไขสอนอ่านทีละประโยคด้วยไม่ควรใช้เวลาอ่านมากเกิน 10 นาทีเพราะบทอ่านมักเป็นนิทาน สั้นๆพออ่านตามกันสัก 2 จบควรจะบอกเรื่องได้ผลพลอยได้จากการอ่านแบบนี้ก็คือการพูดเป็นประโยคการ กวาดสายตาเวลาอ่านและการฝึกช่วงความจ าหรือความยาวของประโยคที่อ่านหรืออ่านตามตลอดจนช่วยให้ เด็กขี้อายกล้าที่อ่านตามเพื่อนๆได้ด้วย
13 4. การอ่านออกเสียงควรเน้นการอ่านตามบทบาทสมมติเพราะโดยปกติการอ่านออกเสียงของนักเรียน มักออกเสียงค่าที่อ่านผิดเพี้ยนไปจากเสียงที่ใช้พูดจากันการอ่านตามบทบาทสมมติจะช่วยให้นักเรียนได้ฝึกอ่าน ให้ชัดเจนเหมือนการพูดเป็นการช่วยให้ส าเนียงการอ่านถูกต้องชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อฝึกบ่อยๆหรือสม่ าเสมอและ การอ่านตามบทบาทสมมติเป็นทานไปสู่การแสดงละครได้ดี 5. การอ่านออกเสียงหรือการอ่านฟังเสียงเพื่อการฟังเสียงโดยเฉพาะคือการอ่านตามลักษณะบท ประพันธ์ร้อยกรองมุ่งฟังเสียงไพเราะของการลงจังหวะสัมผัสถ้าฝึกอ่านพร้อมเพรียงกันดีก็จะช่วยให้ได้เสียง อ่านที่ไพเราะยิ่งขึ้น 6. การอ่านออกเสียงเพื่อให้ผู้อื่นฟังแล้วรู้เรื่องที่ต้องการสื่อความหรืออ่านให้ปู่ย่าตายายฟังแบบหนึ่ง และอีกแบบหนึ่งคือการอ่านออกเสียงเพื่อทบทวนเรื่องราวข้ออ้างอิงต่างๆเพื่อให้เข้าใจได้ดียิ่งขึ้นนั่นคือหลังจาก การอ่านในใจแล้วยังมีความไม่ชัดเจนอาจต้องอ่านทวนความจะประโยชน์มากขึ้น บัณฑิต ฉัตรวิโรจน์(2551) กล่าวถึงหลักการอ่านออกเสียงไว้ดังนี้ 1. การอ่านออกเสียงควรให้ดังพอเหมาะกับจ านวนผู้ฟังจุดใดควรเน้นเสียงท าเสียงเสียงแผ่วเบา เสียงอ่อนโยนเสียงเศร้าเสียงธรรมชาติหรือเสียงวัตถุฯลฯ ก็ควรท าเสียงให้เป็นไปในท านองนั้นหรือให้เป็นไป ตามเสียงนิยมที่สมมติกันว่าเป็นเสียงของสิ่งนั้นเพื่อให้ผู้ฟังเกิดอารมณ์คล้อยตามไปกับเรื่องราวในตอนนั้น ๆ 2. ต้องอ่านออกเสียงให้ชัดเจนถูกต้องไม่ช้าหรือเร็วเกินไปไม่ดังหรือค่อยเกินไป 3. ต้องอ่านให้ถูกวรรคตอนรู้จักทอดเสียงให้ตรงกับความหมายของข้อความที่อ่านถ้าเป็นการอ่าน ท านองเสนาะต้องรู้จักเอื้อนเสียงให้ถูกที่ 4. ต้องอ่านให้เหมือนเสียงพูดธรรมดาในตอนด าเนินเรื่องหรือบรรยายความทั่วๆไป 5. ไม่อ่านตกเติมหรือคาดเดาตัวพยัญชนะ 6. ส าเนียงต้องไม่แปร่งหรือเพี้ยนไปตามภาษาถิ่น 7. ต้องอ่านเน้นเสียงให้เหมือนเหตุการณ์ที่เป็นจริงมากที่สุดรู้จักวางจังหวะเสียงไว้ตามระยะ ที่ถูกต้อง 8. การอ่านจริงๆอาจไม่จ าเป็นต้องหยุดตามวรรคตอนที่ปรากฏอยู่ในหนังสือเสมอไปอาจจะหยุด ระหว่างวรรคก็ได้ แต่ต้องให้ได้ความเป็นตอน ๆ ไปเพื่อผ่อนหายใจหรือแบ่งตอนให้ผู้ฟังเข้าใจความดียิ่งขึ้น 9. ขณะอ่านต้องใช้ไหวพริบจับใจความคิดตามและรู้สึกคล้อยตามไปกับเรื่องที่อ่านปะติดปะต่อ เรื่องราวให้รู้เรื่องตลอดเวลาไม่ใช่สักแต่ว่าอ่านหรืออ่านอย่างใจลอยเมื่ออ่านจบยังรู้เรื่องไม่ 10. ต้องกวาดสายตาไปก่อนที่จะอ่านข้อความเพื่อให้การอ่านต้องชะงักไม่ติดต่อกันมีสมาธิไม่ห่วง หน้าพะวงหลังจะเป็นเหตุให้การอ่านตะกุกตะกักไม่ราบรื่นน่าฟัง การสอนอ่านออกเสียงโดยทั่วไป คือการฝึกให้นักเรียนอ่านออกเสียงได้อย่างถูกต้องและคล่องแคล่วควรฝึกฝนไปตามล าดับโดยใช้ กิจกรรมดังนี้ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2558) 1. Basic Steps of Teaching (BST) มีขั้นตอนการฝึกต่อเนื่องกันไปดังนี้ 1.1 ครูอ่านข้อความทั้งหมด 1 ครั้งนักเรียนฟัง 1.2 ครูอ่านทีละประโยคนักเรียนทั้งหมดอ่านตาม 1.3 ครูอ่านทีละประโยค/นักเรียนอ่านตามทีละคน(อาจข้ามขั้นตอนนี้ได้ถ้านักเรียนอ่านได้ดีแล้ว) 1.4 นักเรียนอ่านคนละประโยคให้ต่อเนื่องกันไปจนจบข้อความทั้งหมด 15. นักเรียนฝึกอ่านเอง 1.6 สุ่มนักเรียนอ่าน
14 2. Reading for Fluency Chain Reading) คือกิจกรรมการฝึกให้นักเรียนอ่านประโยคคนละ ประโยคอย่างต่อเนื่องกันไปเหมือนคนอ่านคนเดียวกันโดยครูสุ่มเรียกนักเรียนจากหมายเลขลูกโซ่เช่นครูเรียก Chain number one นักเรียนที่มีหมายเลขลงท้ายด้วย 2, 12, 22, 32, 42 จะเป็นผู้อ่าน ข้อความคนละประโยคต่อเนื่องกันไปหากสะดุดหรือติดขัดที่นักเรียนคนใดถือว่าโซ่ขาดต้องเริ่มต้นที่คนแรกใหม่ หรือเปลี่ยน Chain-Number ใหม่ 3. Reading and Look up คือกิจกรรมการฝึกให้นักเรียนแต่ละคนอ่านข้อความโดยใช้วิธีอ่านแล้ว ประโยคหลังจากนั้นเงยหน้าขึ้นพูดประโยคนั้น ๆ อย่างรวดเร็วคล้ายวิธีอ่านแบบนักข่าว 4. Speed Reading คือกิจกรรมการฝึกให้นักเรียนแต่ละคนอ่านข้อความโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ การอ่านแบบนี้อาจไม่ได้ค านึงถึงความถูกต้องทุกตัวอักษร แต่ต้องอ่านโดยไม่ข้ามค าเป็นการฝึกธรรมชาติใน การอ่านเพื่อความคล่องแคล่ว (Fluency) และเป็นการหลีกเลี่ยงการอ่านแบบสะกดทีละค า 5. Reading for Accuracy คือกิจกรรมการฝึกอ่านที่มุ่งเน้นความถูกต้องชัดเจนในการออกเสียงทั้ง Stress / intonatiory Cluster / Final Sounds ให้ตรงตามหลักเกณฑ์ของการออกเสียง (Pronunciation) โดยอาจน า Speed Reading มาใช้ในการฝึกและเพิ่มความถูกต้องชัดเจนในการออกเสียงสิ่งที่ต้องการจะเป็น ผลให้นักเรียนมีความสามารถในการอ่านได้อย่างถูกต้อง (Accuracy) และคล่องแคล่ว (Fluency) ควบคู่กันไป การอ่านออกเสียงในภาษาจีน ระบบการออกเสียงของแต่ละภาษาแตกต่างกันมากพอสมควรบางเสียงที่ใช้อยู่ในภาษาหนึ่งอาจจะไม่ สามารถหาเสียงที่เหมือนกันพอดีหรือเสียงที่ใกล้เคียงกันมากในอีกภาษาหนึ่งได้ดังนั้นการเรียนรู้การออกเสียง ในภาษาจีนจ าเป็นต้องอาศัยเครื่องหมายก ากับการออกเสียงมาช่วยเพื่อให้การเรียนการสอนภาษาจีนมี ประสิทธิภาพและสะดวกมากขึ้นในปีค.ศ. 1958 ประเทศสาธารณรัฐประประชาชนจีนจึงได้พัฒนาและ ประกาศใช้ระบบการออกเสียงภาษาจีนหรือระบบสัทอักษรที่เรียกว่า 汉语拼音 ระบบการออกเสียงภาษาจีน หรือระบบสัทอักษร โดยดัดแปลงมาจาก International phonetic alphabets ซึ่งเปรียบเสมือนเครื่องมือที่ ใช้ในการเรียนโดยผู้วิจัยจะขอเรียกสั้นๆว่า“พินอิน” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการอ่านภาษาจีนให้ประสบ ความส าเร็จ 4. การอ่านภาษาจีน การอ่านเป็นกระบวนการสื่อความหมายระหว่างผู้เขียนกับผู้อ่านโดยการแปลความจากตัวอักษร หรือ สัญลักษณ์ให้ได้ความหมายถูกต้องชัดเจน การอ่าจึงเป็นเครื่องมือส าคัญในการเรียนภาษาของผู้เรียนทุกระดับ และเป็นทักษะเดียวที่ผู้เรียนจะเป็นเครื่องมือแสวงหาความรู้และจ าเป็นมากในการด ารงชีวิตของคนจึงมีนักวิจัย หลายท่านได้ท าการศึกษาและให้ความหมายของการอ่านไว้ดังนี้ ความหมายของการอ่าน วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2545) อธิบายว่า การอ่านมีหลายความหมายขึ้นอยู่กับผู้สนใจและผู้เกี่ยวข้อง ว่าจะให้ความหมายอย่างไรโดยแบ่งความหมายของการอ่านไว้หลายส่วนดังนี้ 1. ส่วนที่เกี่ยวข้องกับลักษณะของกระบวนการ หมายถึง ล าดับขั้นที่เกี่ยวข้องกับการท าความเข้าใจ ความหมายของกลุ่มค าประโยคข้อความและเรื่องราวของสารที่ผู้อ่านสามารถบอกความหมายได้ 2. ส่วนที่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยาพัฒนาการ หมายถึง การสอนอ่านเพื่อให้เข้าใจหลักจิตวิทยาพัฒนาการ ของเด็กแต่ละวัยจัดสื่อการสอนให้สอดคล้องกับความต้องการและความสนใจของเด็ก
15 3. ส่วนที่เกี่ยวข้องกับภาษาศาสตร์ หมายถึง การสอนอ่านจะต้องเข้าใจเสียงฐานที่เกิดเสียงของ พยัญชนะ วรรณยุกต์เข้าใจหลักภาษาและการใช้ภาษาเพื่อน าหลักการอหล่านั้นมาสอนอ่านและเข้าใจ ความหมายได้ถูกต้อง 4. ส่วนที่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยาการศึกษา หมายถึง การน าหลักจิตวิทยามาใช้ ทางการศึกษาความ พร้อมของการอ่านความสนใจแรงจูงใจการเสริมและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้ เป็นพื้นฐานในการพิจารณาการ จัดกิจกรรมการอ่าน 5. ส่วนที่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยาด้านการจ าและการลืม หมายถึง การที่ผู้อ่านสามารถจดจ าเรื่องและเก็บ ไว้ในสมอง ถ้ามีโอกาสเล่าให้ผู้อื่นฟังก็สามารถเล่าได้ถูกต้องแต่การที่ผู้อ่านจะจ าข้อความที่อ่านได้ก็จะต้อง เข้าใจความหมายของค า รู้หน้าที่อีกทั้งสามารถแยกพยัญชนะสระตัวสะกด และวรรณยุกต์ออกจากกันได้อีก ประการหนึ่งผู้อ่านจะจ าเรื่องได้มากน้อยยังขึ้นอยู่กับความสนใจของผู้อ่านที่มีต่อเรื่องนั้นด้วย สุวัฒน์ วิวัฒนานนท์(2550) ได้ให้ความหมายของการอ่านว่า การอ่านหมายถึง การรับข้อมูลหรือสาร ที่เป็นความรู้ความคิดแล้วเกิดกระบวนการคิดพิจารณาไตร่ตรองใคร่ครวญ จ าแนก แยกแยะจัดหมวดหมู่ใน เรื่องราวหรือสถานการณ์ที่เป็นความรู้ความคิดหรือสารนั้นอย่างมีเหตุผลเพื่อน าไปสู่ข้อสรุปที่เป็นไปได้ในการ แก้ปัญหาด้วยการสื่อสารแสดงออกทางภาษาเป็นลายลักษณ์อักษรโดยอาศัยความสามารถในการคิด จากข้างต้น การอ่านจึงสรุปได้ว่า การอ่านคือกระบวนการที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้และความหมายระหว่าง ผู้เขียนกับผู้อ่านและสามารถตีความโดยอาศัยประสบการณ์เดิมของผู้อ่านเป็นพื้นฐานเพื่อให้การแปล ความหมายชัดเจนขึ้น ความส าคัญของการอ่าน การอ่านเป็นทักษะที่ส าคัญทักษะหนึ่งของชีวิตเพราะการอ่านเป็นเครื่องมือส าคัญปวงนักศึกษาได้ กล่าวถึงความส าคัญของการอ่านไว้ดังนี้ ฉวีวรรณ คูหาภินนท์ (2542) กล่าวว่าอ่านมีความส าคัญต่อชีวิตมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนโตและจนกระทั่ง ถึงวัยชรา การอ่านท าให้รู้ข่าวสารข้อมูลต่างๆทั่วโลกซึ่งปัจจุบันเป็นโลกของข้อมูล ข่าวสารต่างๆทั่วโลกท าให้ ผู้อ่านมีความสุข มีความหวังและมีความอยากรู้อยากเห็น อันเป็นความต้องการของมนุษย์ทุกคน สรุปได้ว่าการอ่านมีประโยชน์ในการพัฒนาตนเอง คือพัฒนาการศึกษา พัฒนาอาชีพ พัฒนาคุณภาพ ชีวิต ท าให้คนทันสมัยทันเหตุการณ์และมีความอยากรู้อยากเห็นการที่จะพัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรือง ก้าวหน้าได้ต้องอาศัยประชาชนที่มีความรู้ความสามารถซึ่งความรู้ต่างๆก็ได้มาจากการอ่านนั่นเอง 5. เกม ความหมายของเกม วิมลรัตน์คงภิรมย์ชื่น (2540) จากหนังสือการพัฒนาการเรียนการสอนภาควิชาหลักสูตรและการสอน ให้ความหมายของเกมประกอบการสอนไว้ว่า เกม หมายถึง กิจกรรมการเล่นที่ให้ความสนุกสนานเพลิดเพลิน ช่วยฝึกทักษะให้นักเรียนเกิดความคิดรวบยอดในสิ่งที่เรียนอาจมีการแข่งขันหรือไม่ก็ได้แต่จะต้องมีกติกาการ เล่นก าหนดไว้และจะต้องมีการประเมินผลความส าเร็จของผู้เล่นด้วย ประภากร โล่ทองค า (2542) ให้ความหมายไว้ว่าเกมคือการเล่นเป็นสถานการณ์ในการสอนอย่างหนึ่ง ที่ก าหนดกติกาการเล่น ก าหนดกระบวนการเล่นเพื่อให้ผู้เล่นได้มีส่วนร่วมทางอารมณ์มีความสนุกสนานและใน ขณะเดียวกันก็จะน าเอาแง่คิดหรือความเห็นจากการเล่นน าไปวิเคราะห์วิจารณ์ในขั้นท าให้เกิดการเรียนรู้ต่อไป การเล่นเกมจะช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาบุคลิกภาพของตนเองช่วยให้ผู้สอนได้ทราบพฤติกรรมของผู้เรียน
16 พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2554) ได้ให้ความหมายไว้ว่า เกม หมายถึง การแข่งขัน การเล่น เพื่อความสนุกเป็นลักษณะนามเรียกการแข่งขันซึ่งหมดลงในคราวหนึ่งๆ เกมหรือการเล่น หมายถึง การละเล่น เพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลินหรือการแข่งขันเพื่อการค้นหาความส าเร็จ มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดกาย เล็กน้อยตามความมุ่งหมายในการเล่นผู้เล่นใช้เทคนิคในการเล่นและผู้เล่นได้ฝึกทักษะต่างๆจากการเล่นโดยไม่ รู้ตัว ประเภทและลักษณะของเกมประกอบการสอน สมใจ ทิพย์ชัยเมธา (2525) ได้แบ่งประเภทเกมในการสอนส าหรับนักเรียนตาม เกณฑ์ประโยชน์ที่นักเรียนจะได้รับเป็นส่วนใหญ่ เป็น 3 ประเภท คือ 1. เพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลิน เป็นเกมประเภทหนึ่งซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการเล่นวิธีการ เล่นและสิ่งประกอบเหมือนเกมประเภทอื่น แต่เน้นเพื่อความเพลิดเพลินเป็นส่วนใหญ่ 2. เกมเสริมทักษะการเคลื่อนไหว เป็นเกมซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการเล่น วิธีการเล่นและ สิ่ง ประกอบการเล่นเหมือนเกมประเภทอื่น แต่เน้นด้านการเสริมทักษะในการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อส่วนใหญ่ เพื่อให้เกิดความคล่องแคล่ว ว่องไว และมีกติกาการเล่นง่ายๆเกมเสริมทักษะการเคลื่อนไหวส่วนมากมีดนตรี เพลง ค าคล้องจองและค าถามค าตอบประกอบในวิธีเล่นด้วย 3. เกมเสริมทักษะการเรียนเป็นเกมซึ่งมีจุดมุ่งหมาย จ านวนผู้เล่น มีกติกาการเล่น เล็กน้อย และมีสิ่งประกอบการเล่นเหมือนเกมประเภทอื่น แต่เกมเสริมบทเรียนส่วนมากจะเป็นเกม ในร่ม และมี จุดมุ่งหมายเป็นการแข่งขันเริมการเรียนรู้มากกว่าการบอกก าลังกาย จุดประสงค์ในการใช้เกมในการสอน มีนักวิชาการกล่าวถึงจุดประสงค์ในการใช้เกมในการสอนดังนี้ ทิศนา แขมมณี (2559) กล่าวถึงวัตถุประสงค์ในการเล่นเกมไว้ว่าเกมเป็นวิธีการที่ช่วยให้ผู้เรียนได้ เรียนรู้เรื่องต่างๆอย่างสนุกนานและท้าทายความสามารถโดยผู้เรียนเป็นผู้เล่นเองท าให้รับประสบการณ์ตรง เป็นวิธีการที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมสูงเกมการสอนโดยทั่วๆไปมีวัตถุประสงค์ คือ 1. เพื่อฝึกฝนเทคนิคที่ท่านที่ต้องการ (ใช้ยุทธวิธีการเล่นสนุกและการแข่งขันมาเป็นเครื่องมือในการ ให้ผู้เรียนฝึกฝนทักษะต่างๆ) 2. เพื่อเรียนรู้เนื้อหาสาระจากเกมนั้น (ในกรณีที่เกมนั้นเป็นเกมการศึกษา) 3. เพื่อเรียนรู้ความเป็นจริงของสถานการณ์ต่างๆ(ในกรณีที่เกมนั้นเป็นเกมจ าลองสถานการณ์) วิธีการใช้เกมในการสอน นักวิชาการได้ให้ค าแนะน าวิธีการน าเกมมาใช้ในการสอนซึ่งพอสรุปได้ดังนี้ ทัศนีย์ ศุภเมธี (2533) ให้ข้อเสนอแนะในการใช้เกมประกอบเรียนรู้ไว้ ดังนี้ 1.การเล่น แต่ละเกมแต่ละครั้งครูต้องมีจุดมุ่งหมายชัดเจนว่าต้องการให้นักเรียนได้รับความรู้ อะไร ฝึกทักษะด้านไหน เล่นเกมนนั้นเป็นเกมที่ช่วยเพิ่มพูนความรู้หรือเป็นเกมที่ความรู้มาใช้เกมดังกล่าวช่วย พัฒนาความคิดมากน้อยเพียงใด 2. มีกติกาการเล่นและค าสั่งชัดเจน 3. ใช้เวลาพอสมควรเหมาะสมกับสภาพการเรียนการสอน 4. เลือกเกมที่นักเรียนมีโอกาสร่วมกิจกรรมทั่วถึงกัน 5. เลือกเกมที่เหมาะสมกับวัยและความสามารถของนักเรียน 6. ฝึกให้นักเรียนเคารพในกติกา มีความสามัคคีร่วมมือร่วมใจภายในกลุ่ม
17 7. การจัดผู้เล่นแข่งขันทั้งประเภทรายบุคคลและประเภทกลุ่มต้องให้มีความสามารถ 8. ครูต้องมีความพร้อมคือการเตรียมสื่อที่ใช้ในการเล่นเกม และความคล่องแคล่วในเรื่องกติกา 9. ในการเล่นเกมควรมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องการจัดกลุ่ม 10. เกมที่ครูน ามาใช้ในการสอนนั้น ครูสามารถที่จะคิดขึ้นเองหรือน าเกมอื่นมาใช้แต่ต้อง ตระหนักว่าสิ่งที่น ามาใช้ คือวิธีการเล่นเกม ส าหรับเนื้อหาที่จะน ามาใช้ในการเล่นเกมต้องตรงตามจุดประสงค์ และสอดคล้องกับบทเรียน สรุปได้ว่าเกมนั้นหลายประเภทและแต่ละประเภทจะมีกติกาการเล่นแตกต่างกันไป เกมเป็นวิธีการที่ ช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เรื่องต่างๆอย่างสนุกนาน การเรียนการสอนในห้องเรียนมีความตื่นเต้นแปลกใหม่ ท าให้ ผู้เรียนไม่เกิดความเบื่อหน่ายและมีความกระตือรือร้น 6. แผนการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้เป็นเครื่องมือส าคัญส าหรับผู้สอนในการจัดการเรียนรู้ซึ่งผู้สอนจะต้องมีความรู้ ความสามารถในการจัดท าแผนการจัดการเรียนรู้เพื่อไปสู่เป้าหมายของการจัดการศึกษาของหลักสูตรที่ก าหนด ไว้ ผู้สอนจะต้องหากลยุทธ์และวิธีการในการจัดท าแผนการจัดการเรียนรู้ให้ครบถ้วนตามองค์ประกอบส าคัญว่า จัดท าแผนอย่างไร เพื่อใคร มีเทคนิคและวิธีการอย่างไร ผลที่ได้รับจะเป็นอย่างไร ดังนั้นแผนการจัดการเรียนรู้ จึงเปรียบเสมือนเป้าหมายความส าเร็จที่ผู้สอนคาดหวังไว้ ภพ เลาหไพฑูรย์ (2540) ให้ความหมายของแผนการสอนว่าแผนการสอน หมายถึง ล าดับขั้นตอนและ กิจกรรมทั้งหมดของผู้สอนและผู้เรียน ที่ผู้สอนก าหนดไว้เป็นแนวทางในการจัดสถานการณ์ให้ผู้เรียนเปลี่ยน พฤติกรรมไปตามวัตถุประสงค์ วัฒนาพร ระงับทุกข์ (2542) ให้ความหมายของแผนการสอนว่าแผนการสอน หมายถึง แผนการหรือ โครงการที่จัดท าเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อใช้ในการปฏิบัติการสอนในรายวิชาใดวิชาหนึ่งเป็นการเตรียมการ สอนอย่างมีระบบและเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ครูพัฒนาการจัดการเรียนการสอนไปสู่จุดประสงค์การเรียนรู้ และ จุดหมายของหลักสูตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ นิคม ชมภูหลง (2545) ให้ความหมายของแผนการสอนว่า แผนการสอน หมายถึง แผนการหรือ โครงการที่จัดท าเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อใช้ในการปฏิบัติการสอนในรายวิชาใดวิชาหนึ่งเป็นการเตรียมการ สอนอย่างมีระบบและเป็นเครื่องมือช่วยให้ครูพัฒนาการจัดการเรียนการสอนไปสู่จุดประสงค์และจุดมุ่งหมาย ของหลักสูตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ สถาบันพัฒนาความก้าวหน้า (2545) ได้ให้ความหมายของแผนการจัดการเรียนรู้ว่าเป็น แผนงานหรือ โครงการที่ครูผู้สอนได้เตรียมการจัดการเรียนรู้ไว้ล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อใช้ปฏิบัติการเรียนรู้ใน รายวิชาใดวิชาหนึ่งอย่างเป็นระบบระเบียบโดยใช้เป็นเครื่องมือส าหรับจัดการเรียนรู้เพื่อน าผู้เรียนไปสู่ จุดประสงค์การเรียนรู้และจุดหมายของหลักสูตรอย่างมีประสิทธิภาพ สรุปว่า แผนการสอนคือ การวางแผนการจัดกิจกรรมเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ล่วงหน้าอย่างละเอียด เพื่อเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนซึ่งมีเนื้อหากิจกรรมการเรียนการสอน สื่อการสอน และ วิธีวัดผลประเมินผลที่ชัดเจน
18 ขั้นตอนการจัดการท าแผนการจัดการเรียนรู้ 1. วิเคราะห์ค าอธิบายรายวิชาเพื่อประโยชน์ในการก าหนดหน่วยการเรียนรู้และรายละเอียดของแต่ ละหัวข้อของแผนกการจัดเรียนรู้ 2. วิเคราะห์จุดประสงค์รายวิชาและมาตรฐานรายวิชาเพื่อน ามาเขียนเป็นจุดประสงค์การเรียนรู้โดย ให้ครอบคลุมพฤติกรรมทั้งด้านความรู้ทักษะ/กระบวนการ เจตคติและค่านิยม 3. วิเคราะห์สาระการเรียนรู้โดยเลือกและขยายสาระที่เรียนรู้ให้สอดคล้องกับผู้เรียน ชุมชน และ ท้องถิ่น รวมทั้งวิทยาการและเทคโนโลยีใหม่ๆที่จะเป็นประโยชน์ต่อเรียน 4. วิเคราะห์กระบวนการจัดการเรียนรู้(กิจกรรมการเรียนรู้)โดยเลือกรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่ เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ 5. วิเคราะห์กระบวนการประเมินผลโดยเลือกใช้วิธีการวัดและประเมินผลที่สอดคล้องกับ จุดประสงค์การเรียนรู้ 6. วิเคราะห์แหล่งการเรียนรู้โดยคัดเลือกสื่อการเรียนรู้และแหล่งการเรียนรู้ทั้งในและนอก ห้องเรียนให้เหมาะสมสอดคล้องกับกระบวนการเรียนรู้ องค์ประกอบส าคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ องค์ประกอบส าคัญของแผนการจัดการเรียนรู้อย่างน้อยต้องมีสิ่งต่อไปนี้ 1. สาระส าคัญ 2. จุดประสงค์การเรียนรู้ 3. สาระการเรียนรู้ 4. กิจกรรมการเรียนรู้ 5. สื่อ / อุปกรณ์ / แหล่งการเรียนรู้ 6. การวัดและประเมินผล 7. บันทึกผลหลังการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ดี ลักษณะของแผนการจัดการเรียนรู้ที่ดีควรมีดังนี้ 1. มีความละเอียด ชัดเจน มีหัวข้อและส่วนประกอบต่างๆครอบคลุมตามศาสตร์ของการสอนโดย สามารถตอบค าถามต่อไปนี้ 1) สอนอะไร(หน่วย หัวเรื่อง ความคิดรวบยอดหรือสาระส าคัญ) 2) เพื่อจุดประสงค์อะไร(จุดประสงค์การเรียนรู้ซึ่งควรเขียนเป็นจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม) 3) ด้วยสาระอะไร(เนื้อหา/โครงร่างเนื้อหา) 4) ใช้วิธีการใด(กิจกรรมการเรียนรู้ซึ่งใช้กิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นส าคัญ) 5) ใช้เครื่องมืออะไร(วัสดุอุปกรณ์ สื่อและแหล่งการเรียนรู้) 6) ทราบได้อย่างไรว่าประสบความส าเร็จ(การวัดผลและประเมินผล)
19 2. แผนการจัดการเรียนรู้สามารถน าไปปฏิบัติได้จริง 3. ส่วนประกอบต่างๆของแผนการจัดการเรียนรู้มีความสอดคล้องสัมพันธ์เชื่อมโยงสัมพันธ์กัน เช่น 1) จุดประสงค์การเรียนรู้ครอบคลุมสาระ/เนื้อหาและเป็นจุดที่พัฒนาผู้เรียนในด้านความรู้ ทักษะกระบวนการและเจตคติ 2) กิจกรรมการเรียนรู้ควรสอดคล้องกับจุดประสงค์และเนื้อหา/สาระ 3) วัสดุอุปกรณ์สื่อ และแหล่งการเรียนรู้ควรสอดคล้องสัมพันธ์กับกิจกรรมการเรียนรู้ 4) การวัดผลและประเมินผลควรสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ รูปแบบของแผนการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดการเรียนรู้สามารถเขียนได้ทั้งแบบความเรียงและแบบตารางโดยมีส่วนประกอบ ส าคัญดังนี้ ส่วนที่ 1 ส่วนน า ประกอบด้วยรายละเอียดทั่วไป ได้แก่ ชื่อหลักสูตร ประเภทวิชา สาขาวิชา รหัสวิชา ชื่อวิชา หน่วยกิต จ านวนชั่วโมงต่อสัปดาห์จุดประสงค์รายวิชา มาตรฐานรายวิชา และ ค าอธิบายรายวิชา ส่วนที่ 2 โครงสร้างการจัดการเรียนรู้ประกอบด้วย ตารางวิเคราะห์ค าอธิบายรายวิชา และการก าหนด หน่วยการเรียนรู้และเวลาที่ใช้ ส่วนที่ 3 แผนการจัดการเรียนรู้ประกอบด้วย สาระส าคัญ จุดประสงค์การเรียนรู้สาระการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้สื่อ/อุปกรณ์/แหล่งการเรียนรู้การวัดและประเมินผล และบันทึกผลหลังการจัดการเรียนรู้ ที่ก าหนดดังนี้ ภพ เลาหไพบูลย์(2540) กล่าวว่ารูปแบบของแผนการจัดการเรียนรู้ที่นิยมมี2 รูปแบบ คือ แบบเรียง หัวข้อและแบบกึ่งหัวข้อ ดังนี้ 1. แผนการสอนแบบเรียงหัวข้เป็นแผนการสอนที่เสนอแผนเรียงล าดับหัวข้อที่ก าหนด ดังนี้ 1.1 ชื่อวิชาและระดับขั้น 1.2 ชื่อหน่วย เรื่องที่สอน เวลาที่สอนเป็นคาบหรือชั่วโมง 1.3 หัวข้อเรื่อง 1.4 มโนคติ 1.5 วัตถุประสงค์ 1.6 กิจกรรมการเรียนการสอน 1.7 สื่อการสอน 1.8 ประเมินผล การเขียนแผนการสอนแบบเรียงหัวข้อมีข้อดีคือ เขียนได้ง่าย กะทัดรัด ใช้เวลาในการเขียนไม่นานนัก เหมาะสมส าหรับนักเรียนชั้นระดับมัธยมศึกษาตอนปลายและระดับอุดมศึกษา
20 2. แผนการสอนแบบกึ่งหัวข้อกึ่งตารางเป็นแผนการสอนที่เขียนแบบเรียงหัวข้อส่วนหนึ่งและอีกส่วน หนึ่งคือเขียนเป็นตาราง ส่วนที่เขียนเรียงหัวข้อคือ 1. ชื่อรายวิชาและระดับชั้น 2. ชื่อหน่วย เรื่องที่สอน เวลาที่สอนเป็นคาบหรือชั่วโมง 3. ชื่อหัวเรื่อง 4. มโนคติ 5. วัตถุประสงค์ ส่วนที่เขียนเป็นตาราง คือ 1. เนื้อหา 2. กิจกรรมการสอน 3. สื่อการสอน 4. การประเมินผล แผนการสอนแบบกึ่งหัวข้อกึ่งตารางมีข้อดีที่ก าหนดขั้นตอนการสอนตามเนื้อหาก าหนด กิจกรรม สื่อ การเรียนและการสอน การวัดและการประเมินผลซึ่งมีข้อความชัดเจนรายละเอียดมากกว่าแบบเรียงข้อท าให้ ครูน าแผนการสอนไปใช้สามารถสอนตามแผนได้ง่ายจึงเหมาะที่จะใช้กับแผนการสอนระดับบทเรียนที่ต้องการ ข้อมูลละเอียดในการสอนและเหมาะสมระดับประถมศึกษาหรือระดับมัธยมศึกษาตอนต้น กาญจนา บุญส่ง (2542) กล่าวถึงองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ดังนี้ 1. ส่วนหัวของแผนการสอนซึ่งประกอบด้วย ชื่อกลุ่มวิชา ระดับชั้น ชื่อหน่วย ชื่อ เรื่องและเวลา 2. ความคิดรวบยอด 3. จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม 4. คุณนิสัยที่ต้องการเน้น 5. เนื้อหา 6. กิจกรมการเรียนการสอน 7. สื่อการเรียนการสอน 8. การวัดผลประเมินผล 9. ภาคผนวก สุนันทา สุนทรประเสริฐ และคนอื่นๆ (2545) กล่าวถึงองค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ไว้ว่า องค์ประกอบที่ส าคัญของแผนการสอนควรประกอบด้วยส่วนต่างๆดังนี้ 1. หัวเรื่องของแผนการสอน 2. สาระส าคัญ 3. จุดประสงค์การเรียนรู้ 4. เนื้อหา 5. กิจกรรมการเยนการสอน
21 6. สื่อการเรียนการสอน 7. การวัดประเมินผล 8. ภาคผนวกหรือเอกสารประกอบท้ายแผน 9. ความเห็นของผู้ตรวจ ราชภัฏมหาสารคาม 10. ผลของการใช้แผนหรือผลการสอน รูปแบบของแผนการจัดการเรียนรู้ไม่มีรูปแบบตายตัวขึ้นอยู่กับหน่วยงานหรือสถานศึกษาแต่ละแห่งจะคิด ดัดแปลงตามความเหมาะสมซึ่งลักษณะส่วนใหญ่ของแผนการจัดการเรียนรู้จะคล้ายคลึงกัน สรุปว่า แผนการสอนหรือแผนจัดการเรียนรู้ คือ เครื่องมือส าคัญอย่างหนึ่งส าหรับการจัดการ เรียกการสอนของครูผู้สอนในทุกระดับชั้น เปรียบเสมือนแผนที่น าทางที่ช่วยให้ครูสามารถด าเนินกิจกรรมการ เรียนการสอนให้กับผู้เรียนได้เหมาะสมตรงตามเป้าหมายและมีประสิทธิภาพการจัดท าแผนการสอนนั้น ครูผู้สอนจ าเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของหลักสูตรแกนกลางและหลักสูตรสถานศึกษาอย่างถ่องแท้ เพื่อให้สามารถออกแบบแผนการสอนได้อย่างเหมาะสมและถูกต้องครบถ้วน ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อ การจัดการศึกษาทั้งกับตัวผู้เรียนและตัวครูผู้สอน 7. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง งานวิจัยในประเทศ 1. การอ่านออกเสียง ณรงค์รัตนบุตร (2548) ได้ศึกษาผลของการใช้ผังความคิดในการ พัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจและความคงทนในการเรียนรู้ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยมีความมุ่งหมายเพื่อศึกษา ผลของการใช้ผังความคิดในการพัฒนาทักษะการอ่าน ภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจและความคงทนในการ เรียนรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนนา ค้อวิทยาคม สานักงานเขตพื้นที่การศึกษากาฬสินธุ์เขต 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2547 จานวน 23 คน เครื่องมือที่ใช้ได้แก่แผนการจัดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษและ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านเพื่อความเข้าใจผลการศึกษาพบว่านักเรียนที่เรียนการอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจโดยใช้ผังความคิดมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนเพิ่มขึ้นจากก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญ ทางสถิติที่ระดับ .01 และนักเรียนที่เรียนการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจโดยใช้ผังความคิดมีความคงทน ในการเรียนรู้ ภูเบต ไข่ชัยภูมิ(2550) ได้ท าวิจัยเรื่องการพัฒนาการออกเสียงพยัญชนะท้ายค าภาษาอังกฤษของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้กลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนท่ามะไฟหวาน จ านวน 22 คนผลวิจัยพบว่านักเรียนที่มีปัญหาในการออกเสียงพยัญชนะท้ายค าของภาษาอังกฤษคิดเป็นร้อย ละ 71.29 คือกลุ่มเสียงสอดแทรกและ51.78 คือปัญหาเสียงเสียดแทรกส่วนปัญหาการกระดกลิ้นคิดเป็น 6.39 บุญน า วรรณแก้ว (2551) ได้ท าวิจัยเรื่องการอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษส าหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการออกเสียงภาษาอังกฤษตาม เกณฑ์ประสิทธิภาพ 80/80 เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ด้วยชุดฝึก ทักษะการออกเสียงภาษาอังกฤษ กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ที่ 6 โรงเรียนทุ่งภาคเรียนที่ 1 ปี
22 การศึกษา 2551 พบว่า หลังจากที่นักเรียนได้เรียนด้วยชุดฝึกทักษะการออกเสียงภาษาอังกฤษส าหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีค่าประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ที่ก าหนดไว้80/80 มีความก้าวหน้าเฉลี่ยของนักเรียน ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนแตกต่างอย่างมีนัยส าคัญที่ 05 ปภัสรา กัลยาสนธิ์(2553) ได้ท้าวิจัยเรื่องแบบฝึกทักษะการอ่านและเขียนค าศัพท์ภาษาอังกฤษด้วย เกมชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่6 โรงเรียนค าขามวิทยา อ าเภอหนองกรุง ศรีส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถามศึกษากาฬสินธุ์เขต 2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2553 จ านวน 14 คน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลการใช้แบบฝึกทักษะการ อ่านและเขียนค าศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยเกม ที่ พัฒนาขึ้นพบว่ามีประสิทธิภาพ 82.67/80.89 นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาอังกฤษหลังเรียนด้วยแบบ ฝึกทักษะด้วยเกมสูงกว่าก่อนเรียน กรรณิกา คงทอง (2557) ได้ท าวิจัยเรื่องการพัฒนาทักษะภาษาจีนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้การสอนแบบกระบวนการ 9 ขั้นและผังกราฟิกโดยกลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4/5 โรงเรียนบรบือวิทยาคาร มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาทักษะภาษาจีนของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้การสอนแบบกระบวนการ 9 ขั้นและผังกราฟิกพบว่านักเรียนมีการพัฒนาทักษะ ภาษาจีนทั้ง 4 ด้านและส่งผลให้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาจีนสูงขึ้น ดาวชเยศ ปัญญาสุรยุธ (2558) ได้ท าวิจัยเรื่องการจัดกิจกรรมการอ่านภาษาจีนประกอบเกมในคาบ กิจกรรมชุมนุมกลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนในวิชาชุมนุมภาษาจีนจ านวน 35 คน โรงเรียนอนุบาลมหาสารคาม มี วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์การอ่านประกอบเกมพบว่าผลการวิจัยมีค่าประสิทธิภาพเท่ากับ 77.65/79.50 ดัชนีประสิทธิผลทักษะการอ่านภาษาจีนโดยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ประกอบเกมมีค่าเท่ากับ 0.7538 คิดเป็นร้อยละ 75.38 นักเรียนมีคะแนนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนและมีความพึงพอใจในการเรียนอยู่ ในระดับมาก 2. เกม ประทีป เสริมส าราญ (2548) ได้ท าวิจัยเรื่องศึกษาการพัฒนาทักษะ ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารโดย ใช้เกม ส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดทุ่งสว่าง จังหวัด นครราชสีโดยกลุ่มตัวอย่างคือมาผล การศึกษาพบว่าการพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารโดยใช้เกมส่งผลให้นักเรียนมีความสนุกสนาน มี ความสุขกับการเรียนและมีพัฒนาการในการเรียนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสารสูงขึ้น น้ าผึ้ง ย่ า (2550) ได้วิจัยผลสัมฤทธิ์และความคงทนในการเรียนรู้การสะกดค าศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้ เกมในการจัดการเรียนรู้ของนักเรียนช่วงชั้นที่1โรงเรียนอนุบาลวัดไตรรัตนารามด าเนินการทดลองโดยใช้เกมใน การจัดการเรียนรู้กับกลุ่มตัวอย่างที่เป็นนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่2 ปีการศึกษา 2549 จ านวน 30 คนโดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อน เรียนและหลังเรียนโดยใช้เกมในการจัดการเรียนรู้พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ในการเรียนรู้หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนโดยมีนัยส าคัญทางสถิติที่ .01 และนักเรียนมี คะแนนความคงทนในการเรียนรู้สะกดค าศัพท์ภาษาอังกฤษได้ในระดับดี พัชรา พลเยี่ยม (2553) ได้ท าวิจัยเรื่องผลการพัฒนาชุดเกมประกอบการเรียนรู้ค าศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคเรียนด้วยช่วยกันส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่1 โรงเรียนบ้านโคกบัว
23 คือกลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านโคกบัวก้อสังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษา มหาสารคามเขต1 โดยใช้แบบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนกับหลังเรียนผลการศึกษาพบว่าหลังจากนักเรียนเรียน ด้วยชุดเกมประกอบการเรียนรู้ค าศัพท์ภาษาอังกฤษโดยใช้การเรียนรู้แบบร่วมมือเทคนิคเรียนด้วยช่วยกัน ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ 0.5 อีกทั้งนักเรียนมีความพึงมีคะแนนผลสัมฤทธิ์หลังเรียนสูงกว่าก่อน เรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ .05 พอใจต่อชุดการเรียนรู้ดังกล่าวในระดับมาก อมรรัตน์ฉัตรดอน (2553) ได้ท าวิจัยเรื่องผลการใช้เกมการสอนค าศัพท์ภาษาอังกฤษที่มีต่อ ผลสัมฤทธิ์และความคงทนในการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนบ้านเหล่าหนาด สังกัด ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษามหาสารคามเขต1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2553จ านวน 10 คน โดยใช้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนกับหลังเรียน พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลัง เรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ .05 และนักเรียนมีความคงทนทางการเรียนหลังเรียนกับ หลังเรียน 14 วันไม่แตกต่างกัน งานวิจัยต่างประเทศ Craig (1991) แห่งมหาวิทยาลัยเซาท์เทอร์มิสซิสซิปปี้ได้ศึกษาผลของการใช้เกม ที่มีต่อทัศนคติต่อ โรงเรียนของเด็กชายผิวด า ระดับ 3 กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชายผิวด าระดับ3 จ านวน 112 คน คัดเลือกจาก โรงเรียนประถมศึกษาในเมืองนิวออร์ลีนส์เป็นนักเรียนที่เรียนอ่อน61 คน เรียนปาน กลาง 51 คน โดยใช้เกม เข้าไปในการสอนวิชาวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์และศิลปะด้านภาษาในกลุ่ม ทดลอง ส่วนนักเรียนที่เป็นกลุ่ม ควบคุมสอนวิธีธรรมดาไม่ได้ใช้เกมเข้าไปประกอบในการสอน ผลการวิจัย ปรากฏว่าถ้าน าเกมมาใช้ในการเรียน การสอนอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ๆ ก็จะส่งผลต่อทัศนคติและ คุณภาพทางการเรียนการสอนในทางบวกได้ Lawrey (2001) ได้ศึกษาผลการใช้แบบฝึกทักษะในรายวิชาภาษาอังกฤษกับนักเรียนระดับ 1 ถึง ระดับ 3 จ านวน 87 คน ผลวิจัยพบว่า นักเรียนที่ได้รับการฝึกโดยใช้แบบฝึกทักษะ มีคะแนนทดสอบหลังการ ท่า แบบฝึกทักษะมากกว่าคะแนนก่อนท าแบบฝึก และนักเรียนทดสอบหลังจากท าแบบฝึกทักษะแล้วได้ถูกต้อง เฉลี่ยร้อยละ 89.8 นั่นคือแบบฝึกทักษะเป็นเครื่องช่วยให้เกิดการเรียนรู้เพิ่มขึ้น Ya'bad and Rommana (2010) ขององค์การสหประชาชาติระหว่างภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2010-2011 ผลการวิจัยพบว่า ครูภาษาอังกฤษส่วนใหญ่เห็นว่าเกมมีอิทธิพลต่อเจตคติของ นักเรียนที่มีต่อการ เรียนรู้ภาษาอังกฤษ และการใช้เกมในชั้นเรียนไม่ใช่เพียงเพื่อช่วยให้สนุกสนานเท่านั้น แต่ยังช่วยให้บรรลุ วัตถุประสงค์ทางการศึกษา เช่น การคิดสร้างสรรค์การคิดอย่างมีวิจารณญาณ การ แก้ปัญหา การแสดง บทบาทสมมติและการท างานร่วมกับผู้อื่นอีกด้วย ผู้วิจัย ได้เสนอแนะเพิ่มเติมว่า การ ใช้เกมไม่ใช่เป็นเพียงสิ่ง เพิ่มพลังและกิจกรรมน าเข้าสู่บทเรียนเท่านั้น แต่เกมยังช่วยเสริมสร้างการเรียนรู้ที่ ยั่งยืน และการน าชีวิตจริง ไปสู่การเรียนรู้อีกด้วย AL-Shaw (2014) ได้ท าการวิจัย เรื่อง การใช้ยุทธศาสตร์เกมเพื่อจูงใจนักเรียน ในการเรียนรู้ค าศัพท์ ใหม่ (Using game strategy for motivation students to learn new English vocabulary) มี วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการใช้เกมเป็นยุทธศาสตร์การเรียนรู้ที่น าไปสู่การเรียนรู้ค าศัพท์ใหม่การแก้ปัญหา
24 ที่น่าสนใจและการยกระดับความตระหนักรู้ของนักเรียนที่จะเรียนให้ได้ผลการเรียนดีที่สุดผลการวิจัยพบว่า การใช้เกมในการฝึกค าศัพท์ช่วยพัฒนาความสามารถในการจดจ าค าศัพท์ใหม่ของนักเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ เกมช่วยให้นักเรียนมีปฏิสัมพันธ์ในกลุ่มและช่วยให้นักเรียนเข้าใจความหมายของค าศัพท์ใหม่ได้อย่างชัดเจน รวมทั้งยุทธศาสตร์เกมยังช่วยเพิ่มความกระตือรือร้นของนักเรียนที่จะเรียนรู้ค าศัพท์ภาษาอังกฤษใหม่ด้วย Darfilal (2015) ใต้ท าการวิจัย เรื่อง ประสิทธิภาพของการใช้เกมทางภาษา ในการสอน ค าศัพท์กรณี นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 (The Effectiveness of Using Language Games in Teaching Vocabulary the Case of Third Year Milldle School Learners) กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นแห่งหนึ่งของประเทศอัลจีเรีย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถามครูภาษาอังกฤษเกี่ยวกับเจตคติต่อการสอนค าศัพท์และการใช้เกมในการสอนค้าศัพท์แบบ สัมภาษณ์นักเรียนเกี่ยวกับความคิดเห็นหลังการเรียนโดยการใช้เกมในห้องเรียนแบบสังเกตนักเรียนก่อน ระหว่างและหลังการเรียนโดยการใช้เกมและแบบทดสอบวัดความสามารถทางด้านค าศัพท์ผลการวิจัยพบว่า การใช้เกมทางภาษาในการสอนค าศัพท์กรณีนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีประสิทธิภาพดีมาก นักเรียน สามารถเรียนค าศัพท์ที่นักเรียนไม่คุ้นเคยได้นักเรียนมีแรงจูงใจในการเรียนและสนใจการเรียนดีมากโดย สามารถสรุปได้ว่าครูควรใช้เกมทางภาษาในการสอนค าศัพท์ให้แก่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จากการศึกษางานวิจัยทั้งในและต่างประเทศเกี่ยวกับการใช้เกมและแบบฝึกดังข้างต้นท าให้ทราบว่า การพัฒนาการอ่านออกเสียงในวิชาภาษาต้องได้รับการฝึกฝนอีกทั้งวิธีการสอนของครูและบทเรียนที่น่าสนใจ ในการท าวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยมุ่งศึกษาและน าแนวทางมาพัฒนาการอ่านออกเสียโดยใช้เกมเพื่อให้นักเรียนสามารถ อ่านออกเสียงได้ถูกต้องและเข้าใจหลักภาษาได้อย่างชัดเจน กรอบแนวคิดในการวิจัย จากการศึกษา เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยได้ก าหนดกรอบแนวคิดในการวิจัยโดยใช้ แนวคิดการเรียนรู้ภาษาจีน โดนใช้เกมดังนี้ ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม การพัฒนาการอ่านออกเสียง ค าศัพท์ภาษาจีนโดยใช้เกม -ผลสัมฤทธิ์การอ่านออกเสียง ค าศัพท์
25 บทที่ 3 วิธีด าเนินการวิจัย การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายคือพัฒนาการอ่านออกเสียงสัทอักษรจีนโดยใช้เกมส าหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนมัธยมเทศบาล 6 นครอุดรธานีอ าเภอเมืองอุดรธานีต าบลหมากแข้ง จังหวัด อุดรธานีผู้วิจัยได้ด าเนินการวิจัยตามล าดับดังนี้ 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 2. แบบแผนในการวิจัย 3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 4. การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 5. ขั้นตอนในการด าเนินการวิจัย 6. การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการวิจัย 1. กลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเป้ าหม าย ได้แก่ นักเ รียนชั้นมัธยมศึกษ าปีที่ 5/7 ภ าคเ รียนที่ 1 ปีก า รศึกษ า 2566 โรงเรียนมัธยมเทศบาล 6 นครอุดรธานีอ าเภอเมืองอุดรธานี ต าบลหมากแข้ง จังหวัดอุดรธานีจ านวน 30 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) มา 1 ห้องเรียน จ านวน 34 คน 2. แบบแผนในการวิจัย การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง โดยใช้แบบแผนการวิจัยแบบทดลองกับกลุ่มเป้าหมายจ านวนหนึ่งกลุ่ม มีการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน (One Group Pretest - Posttest Design) ผู้วิจัยใช้แบบแผนการ ทดลอง โดยมีลักษณะการทดลองดังตาราง สัญลักษณ์ที่ใช้ในแบบแผนการทดลอง E แทน กลุ่มทดลอง T1 แทน การทดสอบก่อนเรียน (Pretest) X แทน การทดลองสอนโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้การอ่านออกเสียงค าศัพท์ภาษาจีนโดยใช้เกมของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 T2 แทน การทดสอบหลังเรียน (Posttest) กลุ่ม Pretest Treatment Posttest E T1 X T2
26 3. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นเครื่องมือที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมี2 ชนิดประกอบด้วย 3.1 แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การอ่านออกเสียงสัทอักษรจีนโดยใช้เกมส าหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ จ านวน 6 แผน 12 ชั่วโมง 3.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์การอ่านออกเสียงสัทอักษรจีนโดยใช้เกมส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 3 เป็นแบบทดสอบแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก 20 ข้อ 4. การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 4.1 แผนการจัดการเรียนรู้ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การเรียนรู้การอ่านภาษาจีนโดยใช้เกมประกอบแบบฝึกส าหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 จ านวน 6 แผน 12 ชั่วโมง ผู้วิจัยได้ด าเนินการสร้างตามขั้นตอนดังนี้ 4.1.1 ศึกษาตัวชี้วัดหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 เกี่ยวกับหลักการ จุดมุ่งหมายโครงสร้างการจัดเวลาเรียนแนวด าเนินการการวัดและประเมินผล (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551) 4.1.2 ศึกษาคู่มือการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ต่างประเทศตามหลักสูตรแกนกลางขั้น พื้นฐานพุทธศักราช 2551 เกี่ยวกับผลการเรียนรู้ที่คาดหวังมาตรฐานการเรียนรู้ช่วงชั้น และค าอธิบายหลักสูตร กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ(กระทรวงศึกษาธิการ, 2551) 4.1.3 ศึกษาวิธีการหลักการทฤษฎีที่และเทคนิคการสอนโดยใช้เกม 4.1.4 เขียนแผนการจัดการเรียนรู้รูปแบบภาษาเพื่อการสื่อสาร 2 w 3 p จ านวน 6 แผน 4.1.5 น าแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การอ่านออกเสียงค าศัพท์ภาษาจีนโดยใช้เกมส าหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จ านวน 6 แผนที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเสนอต่ออาจารย์ที่ปรึกษาให้พิจารณาตรวจสอบ ความถูกต้องแล้วน ามาปรับปรุงความถูกต้องของรูปแบบตามข้อเสนอแนะ 4.1.6 พัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้การเรียนรู้การอ่านออกเสียงค าศัพท์ภาษาจีนโดยใช้เกมส าหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จ านวน 6 แผน 4.1.7 น าแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การอ่านออกเสียงค าศัพท์ภาษาจีนโดยใช้เกมส าหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จ านวน 6 แผนที่ปรับปรุงตามข้อเสนอแนะของอาจารย์ที่ปรึกษาเสนอต่อ ผู้เชี่ยวชาญ 3 ท่านและท าการปรับปรุงแก้ไขตามค าแนะน า 4.1.8 น าแบบประเมินที่ผู้เชี่ยวชาญประเมินมาตรวจให้คะแนน 4.1.9 หาค่าเฉลี่ยของการประเมินความเหมาะสมแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การอ่านออกเสียง ค าศัพท์ภาษาจีนโดยใช้เกม นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 แปลผลใช้ลักษณะมาตราส่วนประมาณค่า ดังนี้ (สมนึก ภุทธิยธนี, 2546) ให้คะแนน +1 เมื่อแน่ใจว่าข้อสอบนั้นวัดตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ให้คะแนน 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าข้อสอบนั้นวัดตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ให้คะแนน -1 เมื่อแน่ใจว่าข้อสอบนั้นไม่ได้วัดตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม
27 จากนั้นวิเคราะห์ข้อมูลหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างค าถามของแบบทดสอบกับจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม โดยใช้สูตร IOC (สมนึก ภุทธิยธนี, 2546) เพื่อหาผลรวมของคะแนนในข้อสอบแต่ละข้อของผู้เชี่ยวชาญ ทั้งหมดแล้วน ามาหาค่าเฉลี่ยและเทียบเกณฑ์ค่าเฉลี่ยของคะแนนความสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้โดย ถือว่าแบบทดสอบที่มีค่า IOC ตั้งแต่ .50 ขึ้นไปมีปรากฏว่าแบบทดสอบวัดความสามารถในการอ่านออกเสียง ค าศัพท์ภาษาจีนมีค่าความตรงเชิงเนื้อหาเหมาะสม IOC ระหว่าง 0.8-1.0 4.1.10 จัดพิมพ์แผนการจัดการเรียนรู้ฉบับจริงเพื่อน าไปใช้กับกลุ่มตัวอย่างต่อไป 4.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์การอ่านออกเสียงค าศัพท์ภาษาจีน การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์การอ่านออกเสียงค าศัพท์ภาษาจีนโดยใช้เกมส าหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 ผู้วิจัยได้ด าเนินการสร้างตามขั้นตอนดังนี้ 4.2.1 ศึกษาตัวชี้วัดหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศมาตรฐานการเรียนรู้ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง 4.2.2 วิเคราะห์ผลการเรียนรู้รายปีสาระการเรียนรู้รายปีกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 4.2.3 ศึกษาแนวการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขึ้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 4.2.4 ศึกษาวิธีเขียนข้อสอบแบบเลือกตอบจากเอกสารต าราเทคนิคการสอนและรูปแบบการเขียน ข้อสอบแบบเลือกตอบศึกษาการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ 4.2.5 วิเคราะห์จุดประสงค์เชิงพฤติกรรมจากผลการเรียนรู้ที่คาดหวังสาระการเรียนรู้และพฤติกรรม ที่ต้องการวัดเพื่อสร้างข้อสอบให้ครอบคลุมเนื้อหาและผลการเรียนรู้ที่คาดหวังและสร้างแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 4.2.6 น าแบบทดสอบที่สร้างเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญชุดเดิมประเมินความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับ จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม (IOC) โดยก าหนดเกณฑ์ให้คะแนนดังนี้ ให้คะแนน +1 เมื่อแน่ใจว่าข้อสอบนั้นวัดตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ให้คะแนน 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าข้อสอบนั้นวัดตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ให้คะแนน -1 เมื่อแน่ใจว่าข้อสอบนั้นไม่ได้วัดตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม 4.2.7 วิเคราะห์ข้อมูลหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างค าถามของแบบทดสอบกับจุดประสงค์เชิง พฤติกรรมโดยใช้สูตร IOC (สมนึก ภุทธิยธนี, 2546) เพื่อหาผลรวมของคะแนนในข้อสอบแต่ละข้อของ ผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดแล้วน ามาหาค่าเฉลี่ยและเทียบเกณฑ์ค่าเฉลี่ยของคะแนนความสอดคล้องกับจุดประสงค์ การเรียนรู้โดยถือว่าแบบทดสอบที่มีค่า IOC ตั้งแต่ .50 ขึ้นไปมีปรากฏว่าแบบทดสอบวัดความสามารถในการ อ่านออกเสียงภาษาจีนมีค่าความตรงเชิงเนื้อหาเหมาะสม IOC ระหว่าง 0.8-1.0 จ านวน 20 ข้อ 4.2.8 น าแบบทดสอบไปทดลอง (try out) กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/7 โรงเรียนมัธยม เทศบาล 6 เพื่อน าคะแนนมาหาค่าที่เคยเรียนวิชาภาษาจีนมาแล้วจ านวน 34 คนเพื่อหาค่าอ านาจจ าแนก 4.2.9 น าแบบทดสอบที่ได้ไปปรับปรุงแก้ไขและน าไปใช้เป็นเครื่องมือต่อไป
28 5. ขั้นตอนในการด าเนินการวิจัย 5.1 การเก็บรวบรวมข้อมูล 5.1.1 ระยะเวลาของการทดลอง การเก็บรวบรวมข้อมูลใช้เวลาสอนติดต่อกันเป็นจ านวน 12 ครั้ง ครั้งละ 50 นาที (1 คาบเรียน) ระยะเวลาในการทดลองคือภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 5.1.2 การเก็บรวบรวมข้อมูล 1) ทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่างด้วยแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 2) ด าเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้การอ่านออกเสียงสัทอักษรจีนโดยใช้เกมส าหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จ านวน 6 แผน 12 ชั่วโมง 3) เมื่อสิ้นสุดการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนท าการ ทดสอบหลังเรียน (Post-test) จ านวน 20 ข้อ กับนักเรียนและตรวจเก็บคะแนน 4) น าข้อมูลที่ได้จากการเก็บรวบรวมไปท าการวิเคราะห์ข้อมูลต่อไป 5.2 การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้ท าการวิเคราะห์ข้อมูลตามขั้นตอน ดังนี้ 5.2.1 วิเคราะห์เปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์การอ่านออกเสียงระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน ของนักเรียนโดยใช้สถิติการทดสอบ (t-test dependent) ด้วยแบบทดสอบการอ่านออกเสียงค าศัพท์ภาษาจีน โดยใช้เกมส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 5.2.2 วิเคราะห์เปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์การอ่านออกเสียงหลังเรียนกับเกณฑ์ร้อยละ70 ของนักเรียนโดยใช้สถิติการทดสอบทีแบบกลุ่มเดียว (t-test one sample test) ด้วยแบบทดสอบการอ่าน ออกเสียงค าศัพท์ภาษาจีนโดยใช้เกมส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 6. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 6.1 สถิติพื้นฐาน 6.1.1 ร้อยละ (Percentage) มีสูตรที่ใช้ค านวณดังนี้(บุญชม ศรีสะอาด, 2545) เมื่อ P แทน ค่าร้อยละ F แทน ความถี่ที่ต้องการแปลงให้เป็นค่าร้อยละ N แทน จ านวนความถี่ทั้งหมด
29 6.1.2 ค่าเฉลี่ย (Mean) มีสูตรที่ใช้ค านวณดังนี้(บุญชม ศรีสะอาด, 2545) ̅ ∑ เมื่อ ̅ แทน ค่าเฉลี่ย ∑ แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมดของกลุ่ม N แทน จ านวนของคะแนนในกลุ่ม 6.1.3 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) มีสูตรที่ใช้ค านวณดังนี้(บุญชม ศรี สะอาด, 2545) √ ∑ ∑ เมื่อ S แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน X แทน คะแนนแต่ละตัว N แทน จ านวนของคะแนนในกลุ่ม ∑ แทน ผลรวมของคะแนน 6.2 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ตรวจสอบหาคุณภาพของเครื่องมือ (บุญชม ศรีสะอาด, 2545) 6.2.1 ทดสอบหาความเที่ยงตรง (Validity) ของแบบวัดทักษะการอ่านภาษาจีนโดยใช้สูตรดัชนีความ สอดคล้อง IOC (Index of Item Objective Congruence) มีสูตรที่ใช้ค านวณดังนี้(บุญชม ศรีสะอาด, 2545) ∑ เมื่อ IOC แทน ดัชนีความสอดคล้องระหว่างจุดประสงค์กับเนื้อหาหรือข้อสอบกับจุดประสงค์ ∑ แทน ผลรวมคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ N แทน จ านวนของผู้เชี่ยวชาญ
30 6.2.2 ค่าความยากง่าย (P) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (ไพศาล วรค า , 2558) เมื่อ P แทน ดัชนีความยาก f แทน จ านวนผู้ตอบถูก n แทน จ านวนผู้สอบ 6.2.3 ค่าอ านาจจ าแนก (r) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (ไพศาล วรค า , 2558 ) เมื่อ r แทน ค่าอ านาจจ าแนกของข้อสอบแต่ละข้อ แทน คะแนนผลรวมของนักเรียนแต่ละคนในกลุ่มสูง แทน คะแนนผลรวมของนักเรียนแต่ละคนในกลุ่มต ่า แทน จ านวนผู้เรียนในกลุ่มสูงและกลุ่มต ่า แทน คะแนนสูงสุด แทน คะแนนต่ าสุด 6.2.4 ค่าความเชื่อมั่น (rtt) ของคูเดอร์-ริชาร์ดสัน ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (ไพศาล วรค า , 2558 ) เมื่อ แทน ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบ k แทน จ านวนข้อของแบบทดสอบ แทน ความแปรปรวนของข้อสอบในแต่ละข้อ แทน ความแปรปรวนของข้อสอบทั้งหมด
31 6.3 สถิติที่ใช้ทดสอบสมมุติฐาน 6.3.1 ทดสอบความแตกต่างของคะแนนค่าเฉลี่ยระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนโดยใช้สถิติ การทดสอบ (t-test dependent) (บุณชม ศรีสะอาด, 2556) ∑ √ ∑ ∑ เมื่อ t แทน ค่าทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ย D แทน ผลรวมของผลต่างของคะแนนหลังเรียนกับคะแนนก่อนเรียน แทน ผลรวมของผลต่างของคะแนนหลังเรียนกับคะแนนก่อนเรียน N 1 แทน จ านวนนักเรียนกลุ่มเป้าหมาย 6.3.2 สถิติที่ใช้ทดสอบความแตกต่างของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนกับเกณฑ์ร้อยละ70 คือการทดสอบทีแบบกลุ่มเดียว (t-test one sample test) (พวงรัตน์ทวีรัตน์, 2543) ̅ √ เมื่อ ̅ แทน ค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง แทน ค่าเฉลี่ยมาตรฐานที่ใช้เป็นเกณฑ์ S แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของกลุ่มตัวอย่าง N แทน จ านวนกลุ่มตัวอย่าง
32 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้เสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ 1. สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 2. ล าดับขั้นตอนในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล 3. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 1. สัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการเก็บรวบรวมข้อมูลกับกลุ่มตัวอย่างเพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน ผู้วิจัยได้ก าหนดสัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ n แทน จ านวนนักเรียน X แทน ค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่าง (Mean) S.D. แทน ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) df แทน ระดับชั้นความเป็นอิสระ (Degree of freedom) ̅ แทน ค่าเฉลี่ยของผลต่างของคะแนนระหว่างการทดสอบหลังเรียนกับการทดสอบก่อนเรียน S.D.D แทน ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐานของผลต่างของคะแนนระหว่างการทดสอบหลังเรียนกับการ ทดสอบก่อนเรียน % แทน ร้อยละ t แทน ค่าสถิติที่ใช้เปรียบเทียบกับค่าวิกฤตจากการแจกแจงแบบที (t-distribution) P แทน ความน่าจะเป็นส าหรับบอกนัยส าคัญทางสถิติ * แทน มีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2. ล าดับขั้นตอนในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้ล าดับขั้นตอนในการเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลได้ดังนี้ ตอนที่ 1 ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การอ่านออกเสียงค าศัพท์ภาษาจีนของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เกม ตอนที่ 2 ผลการเปรียบเทียบการอ่านออกเสียงสัทอักษรจีนโดยใช้เกมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียนเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70
33 3. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ตอนที่ 1 ผลการวิเคราะห์การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การอ่านออกเสียงสัทอักษรจีนของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่5 ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เกม ดังตารางที่ 1 ตารางที่ 1 ผลสัมฤทธิ์ทักษะการอ่านออกเสียงค าศัพท์ภาษาจีนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เกม (n = 34) ผลการ ทดลอง n ̅ S.D. ̅ t Sig.(1- tailed) ก่อนเรียน หลังเรียน 34 6.47 15.76 2.75 1.69 9.29 3.20 -16.49* 0.0000 * มีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จากตารางที่ 1 พบว่าผลเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทักษะการอ่านออกเสียงค าศัพท์ภาษาจีนของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เกม มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 6.47 คะแนน และ 15.76 คะแนน ตามล าดับ และเมื่อเปรียบเทียบระหว่างคะแนนก่อนและหลังเรียน พบว่า นักเรียนมี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้วิชาภาษาจีนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ตอนที่2 ผลการเปรียบเทียบทักษะการอ่านออกเสียงสัทอักษรจีนโดยใช้เกมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 5 หลังเรียนเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 ตารางที่2 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทักษะการอ่านออกเสียงค าศัพท์ภาษาจีนของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 เทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 รายการประเมิน จ านวนนักเรียน คะแนนเต็ม คะแนนรวม คะแนนเฉลี่ย ประสิทธิภาพ คะแนนวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนหลังเรียน 34 20 680 15.76 78.82 จากตารางที่ 2 พบว่าผลการวิเคราะห์ข้อมูลคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาจีนโดยการใช้เกม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 พบว่ามีประสิทธิภาพ 78.82 สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70
34 บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ในการวิจัยครั้งนี้เป็นการพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงค าศัพท์ภาษาจีนโดยใช้เกมส าหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่เป็นการเรียนรู้โดยใช้เกม มีหัวข้อดังนี้ 1. สรุปผลการวิจัย 2. อภิปรายผล 3. ข้อเสนอแนะ 1. สรุปผลการวิจัย การศึกษาวิจัยครั้งนี้สามารถสรุปได้ดังนี้ 1.1 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาจีนที่เรียนโดยใช้เกมได้คะแนนเฉลี่ย ก่อนเรียนเท่ากับ 6.47 คะแนน คิดเป็นร้อยละเฉลี่ย 32.35 และเมื่อเปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 15.76 คะแนน คิดเป็นร้อยละเฉลี่ย 78.82 คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงขึ้นมากกว่าร้อยละ 70 1.2 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาจีนที่เรียนโดยใช้เกมมีคะแนนเฉลี่ย หลังเรียนสูงกว่าคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน 2. อภิปรายผล จากการวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ที่ส าคัญคือ เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การอ่านออกเสียงค าศัพท์ภาษาจีน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้เกมเพื่อเปรียบเทียบการอ่าน ออกเสียงค าศัพท์ภาษาจีนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียนเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 1. ผลการศึกษาผลสัมฤทธิ์การอ่านออกเสียงสัทอักษรจีนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ผู้วิจัยได้ใช้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ให้นักเรียนทดสอบพบว่าก่อนที่จะให้นักเรียนทดสอบการอ่านออกเสียงค าศัพท์โดย ใช้เกมมีนักเรียนที่ไม่สามารถอ่านออกเสียงค าศัพท์ได้ชัดเจนถูกต้องตามหลักการออกเสียง การไล่เสียง วรรณยุกต์ทุกเสียงยังออกเสียงเพี้ยน ยังขาดความคล่องแคล่วแต่หลังจากได้ทดลองอ่านออกเสียงค าศัพท์โดย ใช้เกม ผู้วิจัยได้ใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ชุดเดิมให้นักเรียนทดสอบพบว่านักเรียนสามารถอ่านออกเสียง ค าศัพท์ได้ชัดเจนถูกต้องตามหลักการอ่านออกเสียง การไล่เสียงวรรณยุกต์ทุกเสียงถูกต้องและมีความ คล่องแคล่วในการประสมค าดีขึ้น จึงท าให้นักเรียนมีผลการเรียนเพิ่มสูงขึ้นกว่าก่อนการทดสอบการอ่านออก เสียงสัทอักษรจีนโดยใช้เกม ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ ดังที่ สิริวรรณ ใจกระแสน (2554) กล่าวไว้ว่า เกม มีส่วนช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดแรงจูงใจพร้อมเรียนรู้ตลอดเวลา เกิดความสนุกสนาน กระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ และเจตคติที่ดีต่อรายวิชาและสอดคล้องกับแนวคิดของ ทิศนา แขมมณี (2554) ที่เสนอแนวคิดไว้ว่าการเรียนรู้ โดยใช้เกมจะช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เรื่องต่างๆอย่างสนุกสนานและท้าทายความสามารถเป็นวิธีการสอนที่เปิด โอกาสให้ผู้เรียนเป็นผู้ลงมือปฏิบัติจนเกิดการสร้างแต่ความรู้ด้วยตนเองด้วยเหตุนี้จึงท าให้กลุ่มทดลองของจะมี ทักษะการผ่านออกเสียงสัทอักษรจีนเพิ่มขึ้นจนน าไปสู่ผลการเรียนที่ดี
35 2. ผลการวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ที่ได้จากการทดสอบการอ่านออกเสียงค าศัพท์ภาษาจีนของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนการฝึกการอ่านออกเสียงสัทอักษรจีนโดยใช้เกม พบว่านักเรียนมีทักษะการอ่านออกเสียงสัทอักษรจีนอยู่ในเกณฑ์ร้อยละ 32.35 ซึ่งเป็นผลการเรียนระดับต่ าแต่ หลังจากการทดสอบการอ่านออกเสียงค าศัพท์โดยใช้เกมผู้วิจัยได้ใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ชุดเดิมพบว่า นักเรียนมีทักษะการอ่านออกเสียงค าศัพท์สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยส าคัญที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตาม สมมติฐานอาจเป็นเพราะวิธีการสอนโดยใช้เกมช่วยให้ผู้เรียนสนุกสนาน เพลิดเพลิน ผู้เรียนไม่เบื่อหน่ายในการ เรียน มีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ นักเรียนเข้าใจเรื่องที่เรียนเป็นอย่างดี ดังที่ อมรรัตน์ฉัตรดอน (2553) กล่าวไว้ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของทัศนา แขมมณี (2554) ที่ได้เสนอแนวคิดไว้ว่าเกมช่วยให้ผู้เรียนได้รับ ความสนุกสนานได้มีส่วนร่วมในการเรียนรู้สูงและเกิดการเรียนรู้ได้ด้วยตนเองท าให้ผู้เรียนสามารถจดจ าสิ่งที่ได้ เรียนรู้อย่างแม่นย าและคงทนยาวนาน 3. ข้อเสนอแนะ ผลการวิจัยในครั้งนี้อาจจะเป็นแนวทางในการวิจัยครั้งต่อไปและเป็นประโยชน์แก่ครูหรือผู้ที่สนใจเพื่อ น าไปใช้ในการปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการสอนเพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน 3.1 ข้อเสนอแนะและในการน าไปใช้ 3.1.1 การพัฒนาการอ่านออกเสียงสัทอักษรจีนส าหรับนักเรียนที่มีพื้นฐานน้อยจะไม่กล้าออกเสียง เท่าที่ควรจึงควรที่จะมีกิจกรรมกระตุ้นด้วยการสร้างก าลังใจและชมเชยเมื่อนักเรียนกล้าที่จะแสดงออก 3.1.2 ในการจัดกิจกรรมการใช้เกมในการสอนนั้นหากมีรางวัลเพื่อเป็นการเสริมแรงจะกระตุ้นความ น่าสนใจในกิจกรรมมากยิ่งขึ้น 3.1.3 ควรสร้างความร่วมมือระหว่างนักเรียนเพื่อให้นักเรียนช่วยเหลือซึ่งกันและในกรณีที่เกิดความ เข้าใจคลาดเคลื่อนอาจก่อให้เกิดความคลาดเคลื่อนในการบันทึกคะแนนได้ 3.2 สนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป 3.2.1 ควรมีการเปรียบเทียบการจัดกิจกรรมโดยใช้เกมเปรียบเทียบกับการจัดกิจกรรมแบบอื่นๆ 3.2.2 ควรน าเกมไปใช้ในการพัฒนาทักษะด้านอื่นๆด้วย เช่นการเขียน การพูด การฟัง เป็นต้น 3.2.3 ควรมีการน าการพัฒนาการอ่านออกเสียงภาษาจีนโดยใช้เกมไปใช้กับระดับชั้นอื่นๆด้วย
36 เอกสารอ้างอิง กรพนัช ตั้งเขื่อนขันธ์. (2556). อ านาจอ่อนของจีนในประเทศไทย. แปลจาก China's Soft Power in Thailand โดย ภาคินนิมมานนรวงศ์. สืบค้นเมื่อวันที่ 15 กุมพาพันธ์2560. กรรณิการ์คงทอง. (2543). การพัฒนาความสามารถในการสื่อสารภาษาจีนด้วยการสอนภาษาเพื่อการ สื่อสารร่วมกับเพลงส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนนาเฉลียงพิทยาคม อ าเภอ หนองไผ่จังหวัดเพชรบูรณ์.(วิทยานิพนธ์ปริญญานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต). มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. กระทรวงศึกษาธิการ.(2544). หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2544. สืบค้นเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม กรุงเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร. ถ่ายเอกสาร. 2566,จากhttp://math.ipst.ac.th/wpcontent/uploads/2015/PDF/Curriculum%202551.pdf กาญจนา บุญส่ง. (2542). หลักการสอน. เพชรบุรี: สถาบันราชภัฏเพชรบุรี. ฉวีวรรณ คูหาภินันท์. 2542. การอ่านและการส่งเสริมการอ่าน (Reading and Reading Promotion). กรุงเทพมหานคร : ศิลปาบรรณาคาร. ณรงค์รัตนบุตร. (2548). ผลการใช้ผังความคิดในการพัฒนาทักษะการอ่านภาษาอังกฤษ เพื่อความเข้าใจ และความคงทนในการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1. วิทยานิพนธ์กศ.ม., มหาวิทยาลัย มหาสารคาม, มหาสารคาม. ดาวชเยศ ปัญญาสุรยุธ. (2558). การพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงภาษาจีนโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ ประกอบเกม ของชุมนุมภาษาจีนโรงเรียนอนุบาลมหาสารคาม. (วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาวิชาการศึกษา และการสอน มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม). ทัศนีย์ศุภเมธี(2533). หลักสูตรและการจัดการประถมศึกษา. กรุงเทพฯ : ม.ป.ท. ทิศนา แขมมณี. (2559). ศาสตร์การสอน. กรุงเทพฯ : ส านักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. นฤชล สถิรวัฒน์กุล. การใช้เกมในการสอนภาษาจีน ส าหรับนิสิตชั้นปีที่ 3 สาขาวิชาการจัดการธุรกิจ การบิน.มหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต. วารสารบัณฑิตวิจัย JOURNAL OF GRADUATE RESEARCH , 4 (พฤษภาคม 2563) นลินีบ าเรอราช. (2545). การสอนอ่าน.ชลบุรี: มหาวิทยาลัยบูรพา. นันทิยา แสงสิน. (2527). การสอนภาษาอังกฤษในระดับมัธยมศึกษา. คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. นิคม ชมพูหลง. (2545).วิธีการและขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตร้องถิ่นและการจัดท าหลักสูตรสถานศึกษา. มหาสารคาม : อภิชาตการพิมพ์. นิธิดา อดิภัทรนันท์. (2541). การสอนค าศัพท์. เอกสารประกอบการสอนกระบวนวิชา 058450. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. บัณฑิต ฉัตรวิโรจน์. (2549).การสอนอ่านภาษาอังกฤษระดับประถมศึกษา. กรุงเทพฯ : พัฒนาศึกษา. บันลือ พฤกษะวัน. (2522). การสอนภาษาไทยระดับประถมศึกษาแนวบูรณาทางการสอน. กรุงเทพฯ : ส านักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช จ ากัด. บุญชม ศรีสะอาด. (2545). การวิจัยเบื้องตน. (พิมพครั้งที่ 7). กรงเทพฯ: สุวีริยาสาสน. ปภัสรา กัลยาสนธิ์(2553). การพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านและเขียนค าศัพท์ภาษาอังกฤษด้วยเกมส าหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่6. วิทยานิพนธ์ค.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม.
37 ประภากร โล่ทองค า และคนอื่นๆ. (2552).กิจกรรมร่วมหลักสูตร. (พิมพ์ครั้งที่ 3), นครราชสีมา: วิทยาลัยครู. พวงรัตน์ทวีรัตน์.(2543). พัชรา พลเยี่ยม. (2553). การพัฒนาชุดประกอบการเรียนรู้ค าศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยใช้การ เรียนรู้แบบ ร่วมมือเทคนิคเรียนด้วยช่วยกันส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านโคกบัวค้อ ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษามหาสารคาม เขต 1 [วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต ไม่ได้ ตีพิมพ์]. มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. ไพศาล วรค า. (2558). การวิจัยทางการศึกษา. (พิมพ์ครั้งที่ 7). มหาสารคาม: ตักสิลาการพิมพ์. ภพ เลาหไพบูลย์. (2540).แนวการสอนวิทยาศาสตร์. (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช. ภูเบต ไขชัยภูมิ. (2550). การพัฒนาทักษะการออกเสียงพยัญชนะทายค าภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปที่ 5 โรงเรียนทามะไฟหวาน อ าเภอแกงครอ จังหวัดชัยภูมิ(วิทยานิพนธปริญญา มหาบัณฑิต). เลย : มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย. เยาวพา เดชะคุปต์. (2549). รายงานการวิจัยการพัฒนารูปแบบพหุปัญญาเพื่อการเรียนรู้ส าหรับการจัด การศึกษาในบริบทสังคมไทย. กรุงเทพฯ : คณะศึกษาศาสตร์ พรสวรรค์. ราชบัณฑิตยสถาน. (2546). พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542. กรุงเทพฯ : นานมีบุ๊คส์พับลิเคชั่น. วัฒนาพร ระงับทุกข์. (2542).การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง. กรุงเทพฯเลิฟแอนด์เลิฟเพลส. วิมลรัตน์คงภิรมย์ชื่น (2540).การศึกษาฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์กลุ่มสร้างเสริมประสบการณ์ ชีวิตของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้เกมกับแผนการฝึกทักษะ. ปริญญานิพนธ์กศ.ม. วิมลรัตน์สุนทรโรจน์. (2545). การพัฒนาการเรียนการสอนภาควิชาหลักสูตรและการสอน.มหาสารคาม : คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. วิมลรัตน์สุนทรโรจน์. (2545). การพัฒนาการเรียนการสอนภาควิชาหลักสูตรและการสอน.มหาสารคาม : คณะศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. สถาบันพัฒนาความก้าวหน้า. ยุทธศาสตร์การปรับวิธีเรียน การเปลี่ยนวิธีสอนเพื่อเตรียมสู่ความก้าวหน้าใน อนาคต.กรุงเทพฯ : สถาบันพัฒนาความก้าวหน้า, 2545. สมใจ ทิพย์ชัยเมธา (2525). การเล่นและเกมส าหรับเด็กปฐมวัย. ในเอกสารประกอบการสอนชุดวิชาการสอน สื่อส าหรับเด็กปฐมวัยศึกษา. เลมที่ 1 หนวยที่ 4: สาขาศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัย สุโขทัยธรรมาธิราช. สมนึก ภัททิยธนี. 2546. การวัดผลการศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 4. กาฬสินธุ์: ประสานการพิมพ์. ส านักงานเลขาธิการสภาการศึกษากระทรวงศึกษาธิการ. (2559). รายงานการวิจัยเพื่อพัฒนาระบบการ จัดการเรียนการสอนภาษาจีนในประเทศไทยระดับมัธยมศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ : บริษัท พริกหวานกราฟฟิค จ ากัด. สุกิจ ศรีพรหม. (2544). เกมกับการเรียนการสอน. วารสารวิชาการ, 4(5). สุวัฒน์วิวัฒนานนท์. (2550). รูปแบบการพัฒนาทักษะการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียนของนักเรียน สื่อ ยี่. ผลการสอนโดยใช้เกมที่มีต่อความสามารถในการพูดภาษาจีนของนักศึกษา.นครสวรรค์: มหาวิทยาลัยราชภัฏ.
38 อมรรัตน์ฉัตรดอน. (2553). การใช้เกมประกอบการสอนค าศัพท์ภาษาอังกฤษที่มีต่อผลสัมฤทธิ์และความ คงทนในการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม). อิสรา สาระงาม. (2529). การสอนภาษาอังกฤษในระดับมัธยมศึกษา. เชียงใหม่: คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. Burns, P. C., & Lowe, A. L. (1966). The Language Arts in Childhood Education. Chicago: Rand McNally. Coady, J. (1979). A psycholinguistic model of ESL readers in reading in a secondlanguage. Rowley Massachusettes: Newbury House. Craige, M.J. (1991, January). “The Effects of Games on the Attitude toward School of Third Grade Black Males,” Dissertation Abstracts International. 51 (7) : 2263. http://aseanwatch.org/2013/06/06/chinas-soft-power-in-thailand/ Lawrey, Elenor Blodwyn Lane. (2001). The effect of four skills and practice time unit on the decording performances of students with specific learning disabilities. Abstract from: Pro Quest File: Dissertation Abtracts International Item: 97-817 A. Shen Li'na & Yu Yanhua. (2009). Research on Initial Consonants in the Teaching of Chinese Phonetics to Foreigners, Journal of Changchun University of Science and Technology, Social Sciences Edition.
39 ภาคผนวก
40 ภาคผนวก ก รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ
41 รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เรื่อง การพัฒนาการอ่านออกเสียงค าศัพท์ ภาษาจีนโดยใช้เกมส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ค าศัพท์ภาษาจีน 1. นายอภิวุฒิ สุนันท์ยืนยง สาขาวิชาภาษาจีน ประจ ามหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2. นางสาวสุภาดา อภิวัฒนปัญญา ครูหมวดภาษาจีน ประจ าโรงเรียนมัธยมเทศบาล 6 3. นางสาวธนาลักษณ์ พุทธวงศา ครูหมวดภาษาจีน ประจ าโรงเรียนมัธยมเทศบาล 6 แผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง ค าศัพท์ภาษาจีน 1. อาจารย์นรากร จันลาวงศ์ อาจารย์ประจ าหลักสูตร ประจ ามหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี 2. นางเบ็ญจมาภรณ์ ลินเดอร์ส ครูหมวดภาษาต่างประเทศ ประจ าโรงเรียนมัธยมเทศบาล 6 3. นางวาสนา หัสดร ครูหมวดภาษาต่างประเทศ ประจ าโรงเรียนมัธยมเทศบาล 6
42 ภาคผนวก ข เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์การอ่านออกเสียงค าศัพท์ภาษาจีนโดยใช้เกม