โครงการเสนอบณั ฑติ นพิ นธ์
หวั ขอ้ เรอื่ ง ผลการจดั การเรยี นรตู้ ามทฤษฎีการสร้างความรดู้ ้วยตนเองโดยการสรา้ งชิน้ งาน
(Constructionism) รายวิชา ประวัติศาสตร์ไทย เพื่อส่งเสรมิ ความคิดสรา้ งสรรค์ ของนกั เรียน
ชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 2
อาจารย์นเิ ทศ อาจารยศ์ ักดา เซะวเิ ศษ
อาจารย์ทป่ี รกึ ษา รองศาสตราจารย์ ดร.วิทยา วสิ ตู รเรอื งเดช
เสนอโดย นางสาวสุพรรษา อิสระโชติ
รหสั ประจาตวั 6321126035
หลกั สตู ร ครศุ าสตรบัณฑติ
สาขาวชิ า สงั คมศกึ ษา
ปกี ารศกึ ษา 2565
โครงการเสนอบณั ฑติ นพิ นธ์
หวั ขอ้ เรอื่ ง ผลการจดั การเรยี นรตู้ ามทฤษฎีการสร้างความรดู้ ้วยตนเองโดยการสรา้ งชิน้ งาน
(Constructionism) รายวิชา ประวัติศาสตร์ไทย เพื่อส่งเสรมิ ความคิดสรา้ งสรรค์ ของนกั เรียน
ชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 2
อาจารย์นเิ ทศ อาจารยศ์ ักดา เซะวเิ ศษ
อาจารย์ทป่ี รกึ ษา รองศาสตราจารย์ ดร.วิทยา วสิ ตู รเรอื งเดช
เสนอโดย นางสาวสุพรรษา อิสระโชติ
รหสั ประจาตวั 6321126035
หลกั สตู ร ครศุ าสตรบัณฑติ
สาขาวชิ า สงั คมศกึ ษา
ปกี ารศกึ ษา 2565
สารบญั หนา้
ก
สารบญั ข
สารบัญภาพ 1
บทที่ 1 บทนา 1
5
1.1 ความเป็นมาและความสาคญั ของปัญหา 6
1.2 วตั ถปุ ระสงค์ของการวิจัย 6
1.3 สมมติฐานของการวิจัย 7
1.4 ขอบเขตของการวจิ ยั 7
1.5 ประโยชนท์ ี่ไดร้ บั จากการวจิ ยั 9
1.6 นิยามศัพท์เฉพาะ 10
1.7 กรอบแนวคิดในการวจิ ยั 11
บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ยั ทีเ่ กย่ี วขอ้ ง 14
2.1 หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551 21
2.2 การจดั การเรียนรู้ทเี่ น้นผู้เรียนเปน็ สาคัญ 46
2.3 ทฤษฎกี ารสร้างความร้ดู ้วยตนเองโดยการสรา้ งชน้ิ งาน(Constructionism) 63
2.4 ความคิดสรา้ งสรรค์ 67
2.5 งานวิจัยที่เก่ียวข้อง 68
บทท่ี 3 วธิ กี ารดาเนนิ การวจิ ยั 68
3.1 ประชากรและกล่มุ ตวั อย่าง 69
3.2 แบบแผนการวจิ ยั 70
3.3 เคร่ืองมือการทาวิจัย 70
3.4 การเก็บรวบรวมข้อมลู 71
3.5 การวิเคราะหข์ ้อมูล
บรรณานุกรม
สารบญั ภาพ หนา้
ภาพที่
9
1.1 กรอบแนวคิดในการทาวิจยั
1
บทที่ 1
บทนำ
ควำมเปน็ มำและควำมสำคญั ของปญั หำ
กำรเปลย่ี นแปลงสภำพทำงเศรษฐกจิ สังคม ควำมเจรญิ ก้ำวหนำ้ ทำงวทิ ยำกำรและเทคโนโลยี
กำรปรบั เปลย่ี นปฏริ ปู สังคมไปสู่ควำมเป็นสังคมใหม่ ประกอบกับแนวคิดใหม่ในกำรจัดกำรศึกษำขั้นพื้น
ฐำนท่ีมุ่งพฒั นำผูร้ ีขนใหเ้ ป็นคนทีส่ มบูรณ์ มีควำมสมดุลทั้งด้ำนร่ำงกำย จิตใจสติปัญญำ อำรมณ์ และสังคม
สำมำรถพฒั นำตนเอง และร่วมมือกบั ผู้อนื่ ได้อยำ่ งสรำ้ งสรรค์ จึงตอ้ งมีกำรจัดทำหลักสูตรกำรศกึ ษำขนั้
พน้ื ฐำน ซ่ึงประกอบด้วย กลมุ่ สำระท่ีจำเปน็ ต่อกำรพัฒนำคุณภำพชีวติ ของผเู้ รียน (กรมวิชำกำร, 2546) จะ
เหน็ ได้จำกกำรดำเนินชวี ิตของมนษุ ย์ ตั้งแต่สมัยโบรำณจนถึงปัจจุบนั แสดงใหเ้ หน็ ถึงววิ ฒั นำกำรของมนุษย์
ทรี่ ู้จักสรำ้ งสรรค์ตนเองและสงั คมตลอดมำทุกยุคทุกสมยั กำรปรับปรงุ เปลยี่ นแปลงชวี ิตควำมเปน็ อยู่และ
สง่ิ แวดล้อมใหด้ ีขึ้นได้อำศยั ผลผลิตทำงด้ำนควำมคิดสรำ้ งสรรค์ท่ีเกดิ จำกแรงบนั ดำลใจ เกดิ จำกกำรคิด
แก้ปัญหำ และเกิดจำกควำมต้งั ใจท่ีจะปรับปรงุ ชวี ิต และควำมเป็นอยู่ใหผ้ ำสุกข้นึ ผลผลิตทำงดำ้ นควำมคิด
สรำ้ งสรรคต์ ้องอำศยั ทั้งควำมคดิ ฝนั ควำมคดิ จนิ ตนำกำรบวกดว้ ยควำมอุตสำหะ พำกเพียร มำนะ ไมย่ อม
ลม้ เลกิ ควำมคิดงำ่ ย ๆจนกระท่งั สำมำรถคิดไดส้ ำเรจ็ ควำมคดิ สรำ้ งสรรค์จงึ นบั เปน็ ควำมสำมำรถที่สำคัญ
อย่ำงหนง่ึ ของมนษุ ย์ ซ่ึงมคี ุณภำพมำกกว่ำควำมสำมำรถดำ้ นอน่ื ๆ และปจั จัยที่จำเป็นอยำ่ งย่ิงในกำร
ส่งเสรมิ ควำมเจริญก้ำวหนำ้ ของประเทศชำตปิ ระเทศใดก็ตำมท่สี ำมำรถแสวงหำพัฒนำและดงึ เอำ
ศักยภำพเชงิ สรำ้ งสรรค์ของประเทศชำติออกมำใชใ้ ห้เกิดประโยชน์ไดม้ ำกเทำ่ ใดกย็ ง่ิ มีโอกำสพฒั นำและ
เจริญกำ้ วหนำ้ ได้มำกเท่ำนน้ั สอดคล้องกับ จงดี แสงเพชร (2540) ท่ีกล่ำวว่ำประชำกรในสงั คมใดมี
ทรัพยำกรบุคคลท่ีมคี วำมคิดสร้ำงสรรค์สงู และมจี ำนวนมำกกย็ อ่ มเป็นแรงขบั ใหส้ ังคมนัน้ พัฒนำรดุ หน้ำ
อย่ำงรวดเรว็ คนทีม่ ีควำมคดิ สร้ำงสรรคจ์ งึ เปน็ ท่ตี ้องกำรย่งิ ในสงั คมทุกหน่วยงำน
กำรจัดกำรศึกษำจึงจำเป็นต้องมีกำรเปลี่ยนแปลง ผเู้ รียนจำเปน็ ต้องมีทกั ษะกำรเรียนร้เู พิ่มขึ้น
หลำยประกำร อำทิ ทักษะทำงภำยำ ทักษะในกำรแสวงหำควำมร้ดู ว้ ยตนเอง ทักษะในกำรใช้เทคโนโลยี
และสอื่ สำรสำรใช้เทคโนโลยีสำรสนเทศต่ำง ๆ รวมทั้งทักษะในกำรปรบั ตวั ทักษะในกำรแก้ไขปัญหำต่ำง ๆ
อย่ำงมสี ติ มีเหตผุ ล กำรใช้วจิ ำรณญำณในกำรแยกแยะข้อมูลข่ำวสำร เลือกรบั สง่ิ ที่ดงี ำมสิ่งที่เป็น
2
คุณประโยชน์ ผเู้ รียนควรได้รบั กำรพัฒนำให้เป็นผ้ทู ่ีมีควำมรูท้ ันโลกพร้อม ๆ กบั กำรเปน็ พลเมืองดขี อง
สงั คม สำมำรถครองตนอยู่ในควำมดงี ำม ควำมถูกต้อง รอดพ้นจำกอบำยมุข สิ่งเสพติด สง่ิ ยั่วยุไปในทำง
เส่ือม สังคมโลกใบปัจจบุ ันและในอนำดตเป็นสังคมแห่งกำรผสมผสำนทำงวฒั นธรรมต่ำงชำติตำ่ งภำษำ
ผู้เรยี นต้องเรียนรู้ที่จะรกั เพ่อื นมนษุ ย์ เรยี นรู้ทีจ่ ะเขำ้ ใจควำมแตกตำ่ งทำงวัฒนธรรม เรียนร้แู ละเลอื กรบั แต่
สง่ิ ทเี่ หมำะสมและดีงำม เป็นประโยชน์ โดขยงั คงรกั ษำไวซ้ งึ่ คณุ ค่ำแห่งมรดกทำงวัฒนธรรมและภมู ปิ ญั ญำ
ของสังคมไทย วิธที ีด่ ที ่ีสดุ ในกำรพฒั นำเยำวชนให้มีคุณภำพ เป็นพลังที่มีคณุ ค่ำของสังคม ประเทศชำติ
และของโลก คือกำรจดั กำรศึกษำในระบบโรงเรียน
รฐั ธรรมนญู แห่งรำชอำณำจักร ไทย พ.ศ. 2540 พระรำชบัญญัตกิ ำรศึกษำแห่งชำติ พ.ศ. 2542
และที่แกไ้ ขเพ่ิมเตมิ (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2545 รวมท้งั น โยบำยคำ้ นกำรศึกษำของรัฐบำล ต่ำงมีอุดมกำรณ์และ
หลกั กำร กำรจดั กำรศึกษำเพ่ือพัฒนำสังคมไทยให้เปน็ สงั คมแหง่ กำรเรยี นรู้ เพื่อให้คนไทยทง้ั ปวงได้รบั ใอ
กำสเท่ำเทยี มกันทำงกำรศกึ ษำเพ่อื พัฒนำคนได้อย่ำงต่อเน่ืองตลอดชวี ิตอนั เปน็ เงื่อนไขไปสรู่ ะบบเศรษฐกจิ
ฐำนควำมรู้ นอกจำกนี้ กำรจัดกำรศึกษำของชำตยิ ังมเี ปำ้ หมำยในกำรพัฒนำคนไทยทกุ คนให้เปน็ คนดี คน
เก่ง และมคี วำมสขุ ใดยมกี ำรพัฒนำทเี่ หมำะสมกบั ช่วงวัย พฒั นำคนตำมธรรมชำติ และเต็มตำมศักยภำพ
ตรงตำมควำมต้องกำร ทง้ั ในด้ำนสขุ ภำพร่ำงกำย และจิตใจให้มกี ำลังกำยกำลังใจท่สี มบรู ณม์ คี วำมร้แู ละ
ทกั ษะที่จำเปน็ และเพียงพอในกำรดำรงชีวิตและพฒั นำสงั คม มีทักษะกำรเรียนรู้ไใดด้ ้วยตนเอง รกั ทีจ่ ะ
เรยี นรู้ สำมำรถปรบั ตัวได้ มีมนุษยสมั พนั ธ์ท่ีดี มที ักษะทำงสงั คม มีควำมรบั ผิดชอบ มีคุณธรรม มีจิต
สำธำรณะและจติ สำนึกในเกยี รตภิ ูมขิ องควำมเป็นไทย รกั แผ่นดินไทย เป็นสมำชิกท่ีดีของชมุ ชนและสังคม
ในฐำนะพลเมืองไทยและพลโลก อดุ มกำรณ์สำคญั ของกำรจัดกำรศึกษำของชำติ คอื กำรจดั ให้มกี ำรศึกษำ
ตลอดชีวติ และกำรสรำ้ งสงั คมไทยใหเ้ ปน็ สังคมแหง่ กำรเรียนรู้ ให้กำรจัดกำรศึกษำเป็นกำรสร้ำงคุณภำพ
ชวี ิตและสงั คมบูรณำกำรอยำ่ งสมดุลระหวำ่ งปัญญำธรรม คณุ ธรรม และวฒั นธรรม เปน็ กำรศกึ ษำตลอด
ชีวติ เพ่ือคนไหยทงั้ ปวง ม่งุ สรำ้ งพ้ืนฐำนท่ีดตี ั้งแตว่ ยั เด็ก ปลูกฝงั ควำมเปน็ สมำชิกท่ีดีของส่งั คม พฒั นำ
ควำมรู้ ควำมสำมำรถเพ่ือกำรทำงำนท่มี ีคุณภำพ (สำนกั งำนรบั รองมำตรฐำนและประเมนิ คุณภำพ
กำรศกึ ษำ, 2549) กำรศกึ ษำเปน็ กระบวนกำรของกำรพฒั นำคณุ ภำพชีวติ ให้เจรญิ งอกงำม เปน็ กำรพฒั นำ
สังคม พัฒนำประเทศให้เจรญิ ก้ำวหนำ้ อยำ่ งย่ังยนื กำรศึกษำจึงเปรียบเหมือนหัวใจของกำรพฒั นำคุณภำพ
ชวี ติ และกำรพฒั นำประเทศ
อำรี พนั ธม์ ณี (2543) กล่ำวว่ำ ควำมคดิ สรำ้ งสรรคน์ บั เปน็ ควำมสำมำรถทสี่ ำคญั อย่ำงหน่ึงของ
มนษุ ยซ์ ึ่งมีคณุ ภำพมำกกว่ำควำมสำมำรถค้ำนอนื่ ๆ และเปน็ ปจั จยั ท่จี ำเปน็ ย่งิ ในกำรส่งเสริมควำมเจรญิ
3
ก้ำวหน้ำของประเทศชำติ ประเทศใดกต็ ำมท่สี ำมำรถแสวงหำ พัฒนำ และดึงเอำศักยภำพเชิงสรำ้ งสรรค์
ของประเทศชำตอิ อกมำใช้ให้เกิดประไยชน์ ไดม้ ำกเทำ่ ใด ก็ยงิ่ มโี อกำสพฒั นำและเจริญก้ำวหนำ้ ได้มำก
เท่ำนั้น ดังจะเห็นได้จำกบรรดำประเทศพฒั นำทง้ั หลำย เช่นสหรัฐอมรกิ ำ ญี่ปุ่น ยอรมณี เปน็ ตนั ประเทศ
เหลำ่ นี้จดั เป็นประเทศผ้นู ำของโลก ท้งั นี้ เพรำะประเทศดังกลำ่ วมปี ระชำชนท่มี ีควำมคดิ สรำ้ งสรรค์
ประชำชนของเขำกลำ้ คดิ กล้ำใช้จนิ ตนำกำรจนสำมำรถสร้ำงสรรคผ์ ลงำนทีแ่ ปลก ใหม่ เปน็ ประโยชน์
เอื้ออำนวยควำมสะดวกและเหมำะสมกับสภำพกำรณ์ ตัวอย่ำงผลงำนสร้ำงสรรคก์ ็ได้แก่ เครื่องบนิ
เครอื่ งบนิ ไอพน่ ยำนอวกำศพลงั งำนแสงเลเซอร์ ตลอดจนงำนดวำมคดิ เกีย่ วกับทฤษฎี แนวคิดและวิธกี ำร
ตำ่ ง ๆ ทง้ั ในวงกำรแพทย์ ธรุ กิจ กำรศกึ ษำ ซึ่งส่ิงเหล่ำนี้ก็ได้นำมำใชใ้ นกำรพัฒนำประเทศให้เจรญิ กำ้ วหนำ้
ไดเ้ ปน็ อย่ำงตี จนบรรดำประเทศสหรัฐอมริกำ ญป่ี ุ่น และเยอรมณี ต่ำงก็ได้รับกำรยกย่องและขอมรบั ใน
ควำมสำมำรถสรำ้ งสรรค์อันเป็นลักษณะเดน่ ชัดและแสดงควำมสำมำรถทเ่ี หนือกว่ำประเทศอืน่ ดงั เป็นท่ี
ประจกั ษ์ในปัจจบุ นั นี้ ดว้ ยกำรเน้นถึงคุณภำพที่สำคญั ค้ำนควำมคดิ สร้ำงสรรค์ของมนษุ ย์ดังกลำ่ ว จงึ ได้มี
กำรศึกษำกันควำ้ กนั มำก และสำมำรถสรปุ เกี่ยวกบั ควำมเชื่อ แนวคดิ ในเรอื่ งควำมคิดสร้ำงสรรค์ ดังที่ เกล
(Gale, 1961) กลำ่ ววำ่ ควำมคดิ สรำ้ งสรรคเ์ ป็นคณุ ลกั ษณะท่ีมอี ยู่ในตวั คนทุกคน และสำมำรถสง่ เสริม
คุณลักษณะน้ีใหพ้ ัฒนำสูงขนึ้ ได้ ซง่ึ สอดคล้องกับสดอร์ม1963) ท่ีว่ำ ทกุ คนมศี ักยภำพทำงควำมคิด
สรำ้ งสรรค์ แตอ่ ำจแตกต่ำงกันในระดบั ของควำมมำกนอ้ ย และทอแรนซ์ (Torrance อำ้ งถึงใน สมจติ ร
กำเหนดิ ผล, 2546) กล่ำววำ่ ควำมคิดสร้ำงสรรคส์ ำมำรถพัฒนำไดด้ ้วยกำรฝึกฝน กำรฝึกปฏิบัตทิ ถี่ กู วธิ ี และ
ควรสง่ เสรมิ ควำมคิดสร้ำงสรรค์แก่แด็กต้งั แต่เยำว์วัย ซึง่ พัฒนำกำรควำมคิดสร้ำงสรรค์ในวัยเด็กมีกำร
พัฒนำสงู กวำ่ วัยผใู้ หญ่ เดก็ จะมีควำมคล่องตวั กล้ำคิด กลำ้ เสี่ยง และกลำ้ แสดงออกอย่ำงมำก ดว้ ยเหตนุ ้ีจงึ
มคี วำมจำเป็นที่จะต้องพัฒนำให้นักเรยี นมคี วำมคิดสรำ้ งสรรคจ์ ำกกำรได้ฝึกทำกจิ กรรมต่ำง ๆ รวมท้ังกำร
คิดแกป้ ัญหำในรูปแบบต่ำง ๆ ทง้ั ทเี่ ปน็ ปัญหำปัจจุบันและปัญหำอนำคต โดยใหน้ กั เรียนในปจั จบุ ันได้
เรยี นรูท้ ักษะควำมสำมำรถในกำรแกป้ ัญหำอนำกต ซ่งึ จะเปน็ วธิ กี ำรหน่ึงท่ีจะเปน็ กญุ แจสำคัญใหค้ รู
ประสบผลสำเร็จในกำรสอนเพื่อพฒั นำควำมคดิ สร้ำงสรรค์แล้ว ยังเป็นกำรสง่ เสริมให้นกั เรยี นไดฝ้ กึ พนื้ ฐำน
อน่ื ๆ อีกดว้ ย เช่น กำรอ่ำน กำรเขียน กำรทำงำนร่วมกนั เปน็ กลุ่มควำมสำมำรถในกำรคิดวเิ ครำะห์
จนิ ตนำกำร รวมถึง ควำมสำมำรถในกำรส่ือสำรด้วย
จำกควำมสำคัญของควำมคดิ สร้ำงสรรค์ดงั กล่ำว และศำสตรำจำรย์หสหี่ ยวนเช (หลี่หยวน เซ
อำ้ งถึงในชำญณรงค์ พรรงุ่ โรงจน์, 2546) นกั วทิ ยำศำสตร์ชำวได้หวนั ผ้ใู ดร้ บั รำงวลั โนเบลสำขำเคมีในปี
1986 และผดู้ ำรงตำแหนง่ Acadamia Sinica สถำบนั วิจัยชัน้ สูงชำวได้หวัน ไดก้ ล่ำวไว้อย่ำงชดั เจนโดย
4
สรปุ ได้วำ่ จุดอ่อนของสถำนศึกษำแถบเอเชีย คือ กำรขำดควำมคิดสร้ำงสรรค์ เพรำะนักเรยี นถูกสอนเพียง
ให้แก้ปญั หำของข้อสอบ โดยมเี ปำ้ หมำยเพื่อสอบผำ่ นดว้ ยคะแนนสูง ๆ เทำ่ นนั้ น้อยมำกทีถ่ ูกสอนให้คิด
เพ่อื จะเปน็ ผตู้ ดิ ค่ันนวดั กรรมวิทยำศำสตรใ์ บอนำคดในควำมตดิ ของนักเรยี นเอเชีย "ครูคือสรู้ ู้ทกุ อย่ำง" ซง่ึ
เป็นสิง่ อันตรำยย่งิ ในทำงกำรศกึ ษำ เพรำะบนพนื้ ฐำนควำมเชอ่ื น้ีนกั เรยี นจะไมม่ ีควำมกล้ำทจ่ี ะแหวกกฎ
เพอ่ื คิดคนั อะไรใหม่ ๆ ออกมำหรอื แมแ้ ตค่ ดิ สง่ิ ทแี่ ดกต่ำงไปจำกส่ิงท่ีครูสอน รวมทัง้ ไมก่ ลต้ ั้งคำถำม ไม่กล้ำ
โต้แยง้ เป็นต้น กำรแสดงควำมคดิ เห็นทีแ่ ตกต่ำงอำจถูกดีควำมเปน็ กำรโตเ้ ถียง กำรก้ำวร้ำว และไม่มีสมั มำ
กำรวะ ในเมื่อ "ควำมแตกต่ำง" ไม่สำมำรถงอกงำมภำยได้บริบททำงสังคมเช่นน้ี ควำมคดิ สร้ำงสรรคจ์ ึงยำก
ทีจ่ ะเตบิ โตเชน่ กนั สอดคลอ้ งกบั ข้อคน้ พบของผู้วิจยั จำกกำรตรวจผลงำนนักเรียน สำระกำรเรยี นรู้สงั คม
ศกึ ษำ สำสนำและวฒั นธรรม ชน้ั มธั ยมถมศึกษำปีที่ 2 โรงเรยี นธนบรุ วี รเทพีพลำรักษ์ ซ่ึงผู้วิจยั ปฏบิ ัติกำร
สอนตำมท่ีได้รบั มอบหมำยเมื่อตรวจผลงำนนักเรียน พบว่ำ ผลงำนนกั เรียนขำดควำมคิดริเรม่ิ สรำ้ งสรรค์
ขำดควำมประณีตสวยงำม อำจเนอื่ งมำจำกผู้เรยี นไม่อำจจำแนกปญั หำที่แท้จริงจำกปัญหำท่ัวไป มอง
ปญั หำแคบเกนิ ไป ขำกกำรพิจำรณำสภำพแวดล้อมของปญั หำนั้น กำรมองข้ำมส่ิงท่ี ใกล้ตัวหรือสิง่ ที่เดน่ ชัด
ซ่ึงบำงคร้งั ควำมเคยชินกับปัญหำหรอื สถำนกำรณ์ ท่ีคุน้ เคยอำจทำให้มองข้ำมประเดน็ ท่นี ่ำสนใจไปได้
ควำมส้มเหลวในกำรจำแนกเหตุและผล และกฎเกณฑ์ของสงั คม ซ่ึงเปน็ สิ่งกำหนดใหบ้ คุ คลต้องมี
พฤติกรรมอยู่ในกรอบระเบยี บแบบแผน ทำใหม้ ผี ลต่อกำรสกัดก้นั ควำมท้ำทำยต่อกำรคดิ กัน้ และควำม
เปลย่ี นแปลง อันเปน็ คุณลักษณะควำมคดิ สรำ้ งสรรค์ สง่ ผลให้ผลงำนขำดควำมหลำกหลำย ข้อสงั เกด
สำคัญประกำรหนึ่งของวงกำรศกึ ษำ คือกำรจัดกระบวนกำรทำงกำรศึกษำน้นั สนองตอบกวำมปรำรถนำ
ของสังคมได้หรือไมน่ ัน้ ขนึ้ อยู่กบั ควำมสำคัญในกำรทำหน้ที่สร้ำงทักษะพ้ืนฐำนเก่ยี วกับกำรคิด สร้ำงผู้เรยี น
ใหม้ คี วำมคิด มคี วำมรู้ มคี วำมเข้ำใจตนเอง และสงั คมอย่ำงตอ่ เนื่อง จุดประกำยกำรเรียนใหผ้ เู้ รยี นเกดิ
ควำมคดิ ควำมรู้ ควำมเข้ำใจมำกกวำ่ กำรสอนใหน้ ักเรยี นเป็นเหมือนดอกไมท้ ่ีอย่ใู นแจกัน ผ้วู ิจัยคิดวำ่ ควร
มำแนวทำงส่งเสรมิ ควำมคิดสร้ำงสรรค์ใหก้ บั นักเรยี น จงึ สนใจศกึ ษำกำรจดั กำรเรยี นรูด้ ้วยตนเอง โดยกำร
สร้ำงช้นิ งำน (Constructionism) เพอ่ื สง่ เสรมิ ควำมคดิ สรำ้ งสรรค์ และจำกกำรศึกษำงำนวิจัยเกยี่ วกบั กำร
พฒั นำควำมคิดสร้ำงสรรคข์ องนกั เรียนระดับชนั้ มธั ยมศกึ ษำ ผูว้ จิ ยั เลอื กพัฒนำควำมคิดสร้ำงสรรค์
เน่ืองจำกผลกำรประเมนิ ของสำนกั งำนรบั รองมำตรฐำนและประเมินคณุ ภำพกำรศึกษำ (องค์กำรมหำชน)
สมส. มำตรฐำนที่ 4 ผูเ้ รยี นมีควำมสำมำรถในกำรคดิ วิเครำะห์ คิดสงั เครำะห์ มีวจิ ำรณญำณ มคี วำมคิด
สรำ้ งสรรค์ คดิ ไตร่ตรอง คิดแบบองค์รวมทั้งระบบและมีวิสยั ทัศน์ อยใู่ นเกณฑ์ต้องปรบั ปรงุ และเลอื ก
ระดับช้ันมธั ยมศึกษำปีท่ี 2 ซ่ึงเป็นระดับช้ันทสี่ ำมำรถพฒั นำควำมคดิ สรำ้ งสรรค์ใด้ดกี ว่ำระดบั ช้ันอน่ื ๆ
5
สอดคล้องกับ สำวิตรี วงศส์ กุ ัลป์ (2542) ศึกษำกำรพัฒนำกิจกรรมกำรเรยี นกำรสอนวชิ ำกผิดศำสตร์ ที่เนน้
กำรพฒั นำควำมคดิ สร้ำงสรรค์ของนกั เรยี นชั้นประถมศกึ ษำปี ที่ 4 พบว่ำ นักเรียนมีควำมสำมำรถค้ำน
ควำมคดิ สร้ำงสรรค์ทำงคณิตศำสตรส์ ูงข้ึน โดยมีคะแนนเฉลีย่ กอ่ บเรียน 44.27 และหลังเรียน 57.08 และ
เคอร์นส์ (Kearns, 1979) ศกึ ษำเร่ืองผลกระทบของกำรผ่อนคลำย และกำรขนี้ ำจนิ ตนำกำรท่มี ีต่อกำรคิด
และกำรเขยี นแบบสร้ำงสรรค์ของนักเรยี นที่มีพรสวรรค์ในชั้นประถมศึกษำปที ี่ 4. 5 และ 6 ไดแ้ บ่งเปน็ กลุ่ม
หน่งึ ใหน้ ักเรียนใชแ้ บบฝึกหัดช่วยผ่อนคลำยสมอง และชนี้ ำด้วยจินตนำกำร อีกกล่มุ หนึง่ กำหนดให้เรียน
โดยใช้กจิ กรรมนันทนำกำรทำงวชิ ำคณิตศำสตร์ จำกนน้ั ให้ทำแบบทดสอบวัดควำมคดิ สร้ำงสรรค์ของทอ
แรนช์ (Torrance tests of creative thinking) ผลกำรวจิ ัยพบว่ำคะแนนเฉลี่ยของควำมสำมำรถของ
ควำมคดิ สร้ำงสรรค์ของกลมุ่ ตัวอย่ำงท้งั 2 กลุ่ม แตกตำ่ งกนั อย่ำงมนี ยั สำคัญทำงสถติ ิ ควำมแดกต่ำงน้ีมี
ควำมสอดกลอ้ งกันทัง้ ในระดับช้นั ขอบข่ำยควำมสำมำรถ และควำมคดิ ริเร่ิมสร้ำงสรรค์ พอกจำกนี้ ยงั
พบว่ำนกั เรยี นชน้ั ประถมศึกษำปที ี่ไดร้ ับคะแนนเฉถีย่ ในตำ้ นควำมคดิ สรำ้ งสรรค์สูงกวำ่ นักเรียนชน้ั อ่ืน ๆ
นอกจำกนี้ยงั ไม่พบว่ำควำมสัมพันธร์ ะหว่ำงเวลำกับควำมคิดสร้ำงสรรค์น้ันตอ้ งใช้ระยะเวลำเทำ่ ใดนักเรยี น
จึงเกดิ ควำมคิดสรำ้ งสรรค์ ดว้ ยเหตนุ ผ้ี ูว้ ขิ ยั จึงเลือกตำเนินกำรวิจัยในระดับชัน้ ประถมศึกษำปีท่ี 4 บอกจำก
นีผ้ วู้ จิ ยั ได้คำนงึ ถงึ ควำมสมั พันธร์ ะหวำ่ งเวลำกับควำมสำมำรถในกำรเกดิ ควำมคดิ สร้ำงสรรคข์ องนักเรยี น
จึงได้สกึ ษำงำนวิจัยท่เี กย่ี วข้องกับควำมคดิ สร้ำงสรรค์ ดังน้ี งำนวิจัยเพ่อื พัฒนำควำมสำมำรถในกำรใช้
ควำมคิดสร้ำงสรรค์ที่ใช้เวลำนอ้ ยทส่ี ดุ 5 ชั่วโมง โดยจัดกิจกรรมกำรรียรูส้ ัปดำหล์ ะ 2 ช่ัวโมง เปน็ เวลำ 4
สปั ดำห์ และงำนวิจัยเพื่อพัฒนำควำมสำมำรถในกำรใชค้ วำมคิดสรำ้ งสรรค์ที่ใช้เวลำมำกที่สดุ 20 ชวั่ โมง
โดยจัดกจิ กรรมกำรเรยี นรูส้ ปั ดำห์ละ 1 ชวั่ โมงเปน็ เวลำ 20 สัปดำห์ สำหรบั ผู้วิขยั ใช้เวลำ 10 ชั่วโมงโดยจดั
กิจกรรมกำรเรียนรู้สัปดำห์ละ 5 ชว่ั โมง เปน็ เวลำ 2 สัปดำห์
วตั ถปุ ระสงคข์ องกำรวจิ ัย
1. เพ่ือสง่ เสริมควำมคิดสร้ำงสรรคข์ องนกั เรียนช้ันมธั ยมศกึ ษำปีท่ี 2 ในรำยวิชำประวัติศำสตร์
ดว้ ยกำรจัดกำรเรียนรู้ตำมทฤษฎกี ำรสร้ำงควำมร้ดู ว้ ยตนเอง โดยกำรสรำ้ งชิ้นงำน(Constructionism)
2. เพ่ือเปรยี บเทยี บควำมสำมำรถในกำรคดิ สรำ้ งสรรค์ของนักเรียนช้นั มธั ยมศึกษำปีท่ี 2
ระหว่ำงก่อนและหลังกำรจัดกำรเรยี นตำมทฤษฎีกำรสรำ้ งควำมรดู้ ้วยตนเองโดยกำรสร้ำงชิน้ งำน
(Constructionism)
6
สมมตฐิ ำนของกำรวจิ ยั
นักเรยี นชั้นมัธยมศึกษำปีที่ 2 ทีเ่ รยี นวิชำประวัตศิ ำสตร์ ดว้ ยกำรจดั กำรเรยี นตำมทฤษฎีกำรสร้ำง
ควำมรู้ด้วยตนเอง โดยกำรสรำ้ งสรรค์ชนิ้ งำน(Constructionism) มคี วำมคดิ สร้ำงสรรคห์ ลงั เรียนสูงกว่ำ
ก่อนเรียน
ขอบเขตกำรวจิ ัย
ประชำกรและกลุ่มตวั อยำ่ ง
1. ประชำกรที่ใชใ้ นกำรวิจยั ครั้งนี้ ไดแ้ ก่ นักเรยี นระดับช้ันมัธยมศึกษำปที ี่ 2 โรงเรยี น
ธนบุรีวรเทพเทพีพลำรักษ์ จงั หวัดกรงุ เทพมหำนคร จำนวน 3 หอ้ งเรยี น จำนวน 60 คนที่เรยี นในภำคเรยี น
ที่ 1 ปีกำรศึกษำ 2565
2. กล่มุ ตวั อย่ำงที่ใชใ้ นกำรทคลองครั้งน้ี ได้แก่ นักเรยี นระดับชั้นมธั ยมศึกษำปที ี่ 2
โรงเรียนธนบรุ ีวรเทพเทพีพลำรักษ์ จังหวดั กรุงเทพมหำนคร จำนวน 1 ห้องเรยี น จำนวน 15 คน ท่เี รยี นใน
ภำคเรยี นที่ 1 ปีกำรศึกษำ 2565 ซึง่ ได้มำจำกกำรวิธกี ำรส่มุ แบบกลมุ่ (Cluster sampling)
ตวั แปรที่ศกึ ษำ
ตัวแปรอสิ ระ ได้แก่ กำรจัดกำรเรยี นรู้ตำมทฤษฎกี ำรสร้ำงควำมรู้ดว้ ยตนเองโดยกำรสร้ำง
ช้ินงำน (Constructionism)
ตวั แปรตำม ไดแ้ ก่ พัฒนำกำรดำ้ นควำมคิดสร้ำงสรรค์ของนักเรียนช้นั มธั ยมศกึ ษำปีที่ 2 ใน
รำยวชิ ำประวัติศำสตร์
เน้อื หำ
กำรจดั กำรเรียนรูต้ ำมทฤษฎีกำรสร้ำงควำมรู้ด้วยตนเองโดยกำรสร้ำงชนิ้ งำน
(Constructionism) สำหรับนักเรยี นชั้นมัธยมศึกษำปีที่ 2 เนื้อหำท่ีใชใ้ นกำรวิจัยครัง้ นี้ เป็นเน้อื หำเร่ือง
อำณำจักรอยุธยำ ในสำระกำรเรยี นรู้สงั คมศึกษำศำสนำ และวัฒนธรรม ตำมหลกั สตู รแกนกลำงกำรศึกษำ
ขนั้ พน้ื ฐำน พุทธศักรำช2551 กิจกรรมกำรเรยี นกำรสอนตำมทฤษฎกี ำรเรยี นรู้ด้วยตนเอง โดยใหผ้ ้เู รยี น
สร้ำงช้ินงำนท่เี กย่ี วกับอำณำจักรอยุธยำ ไมจ่ ำกัดวสั ดุท่ีใช้ ผู้เรียนสำมำรถออกแบบได้ตำมควำมถนดั และ
ควำมสนใจของตนเอง
7
ระยะเวลำทีศ่ กึ ษำ
ระยะเวลำที่สกึ ษำสัปดำหล์ ะ 1 ช่ัวโมง รวม 4 ช่ัวโมง ภำคเรียนท่ี ปีกำรศึกษำ 2565 โดย
ใช้ชัว่ โมงเรยี นในรำยวชิ ำประวัตศิ ำสตร์
ประโยชนท์ ไ่ี ดร้ บั จำกกำรวจิ ยั
1. นักเรียนได้พฒั นำให้มีควำมคิดสรำ้ งสรรค์ในกำรสรำ้ งสรรค์ผลงำนตลอดจนนำไป
ประยกุ ตใ์ ชใ้ นชีวิตประจำวนั ไดอ้ ย่ำงมปี ระสิทธภิ ำพ
2. ครไู ด้ทรำบผลของกำรทำวิจัยเก่ียวกบั กำรพัฒนำควำมคดิ สรำ้ งสรรค์และนำไปใชใ้ นกลุ่ม
สำระกำรเรียนรู้อ่นื ๆ
3. ผู้บรหิ ำรโรงเรียนไดท้ รำบผลของกำรทำวิจัย เพ่ือพัฒนำคณุ ภำพกำรเรียนกำรสอนด้ำน
ควำมสำมำรถในกำรใชค้ วำมคิดสรำ้ งสรรค์ของนักเรยี นระดับมัธยมศึกษำให้มปี ระสทิ ธิภำพ
นิยำมศัพทเ์ ฉพำะ
ทฤษฎกี ำรสร้ำงควำมรดู้ ว้ ยตนเองโดยกำรสรำ้ งชน้ิ งำน(Constructionism) หมำยถงึ เทคนิคกำร
เรียนกำรสอนท่ีมุ่งให้ผเู้ รียนเป็นผ้สู ร้ำงควำมรูจ้ ำกกำรสรำ้ ง กำรออกแบบ กำรผลติ ผลงำนซึง่ ควำมรู้น้นั เกิด
จำกกำรคิด วำงแผน กำรปฏบิ ตั ิ กำรมปี ฏสิ มั พนั ธ์กับกลุ่มเพื่อน กำรแก้ปัญหำ และกำรสรำ้ งสรรคผ์ ลงำน
จำกกำรเรยี นรู้ของผเู้ รียนเองตลอดกระบวนกำรศึกษำตำมสำระของหลกั สูตรและขอบข่ำยวัตถุประสงค์
รำยวชิ ำทผ่ี ้สู อนได้จดั สภำพแวดลอ้ มทหี่ ลำกหลำยเพอื่ เปน็ เครอื่ งมือในกำรกระตุ้นให้ผเู้ รียนไดส้ รำ้ งควำมรู้
ออกมำเปน็ รูปธรรมโดยใช้ใบควำมรู้ ตำรำเรียน ส่อื ต่ำง ๆ และเทคโนโลยีคอมพิวเตอรเ์ ป็นเครอ่ื งมือในกำร
เรียนรูแ้ ละสรำ้ งควำมรู้ดว้ ยตนเอง
กจิ กรรมสรำ้ งสรรค์ หมำยถึง กจิ กรรมที่ช่วยพฒั นำเดก็ ให้แสดงออกทำงอำรมณ์ควำมรสู้ ึก
ควำมคดิ ริเรมิ่ สร้ำงสรรค์ โดยใช้ศลิ ปะหรือวธิ ีกำรตำ่ ง ๆ เปน็ เครือ่ งมือ เช่น กำรวำดภำพระบำยสี พมิ พภ์ ำพ
ปนั้ ฉกี ตดั ปะ กำรประดิษฐ์คิดคันส่ิงแปลกใหม่ ฯลฯ กำรกระทำเหล่ำนจี้ ะเนน้ั ท่ีกระบวนกำรทำงำน
มำกกว่ำผลงำน (กิติยวดี บญุ ชื่อ 2523 : 39) ในที่นี้ หมำยถึง กจิ กรรมศิลปะทจี่ ัดให้เด็กได้สร้ำงผลงำนที่
เด็กได้ทำตำมควำมคิด จนิ ตนำกำรของตนเอง โดยให้เด็กสร้ำงผลงำนจำกองค์ประกอบของภำพที่ไม่
สมบรู ณ์ ทมี่ ุ่งพัฒนำควำมคดิ สร้ำงสรรค์
8
ควำมคดิ สรำ้ งสรรค์ หมำยถึง ควำมคดิ จินตนำกำรประยุกต์ที่สำมำรถนำไปสสู่ ่งิ ประดิษฐ์คิดคั้น
ใหม่ ๆ ทำงเทคโนโลยี เปน็ ควำมคิดในลักษณะที่คนอนื่ ๆ ดำดไม่ถึงหรอื มองขำ้ มเป็นควำมคิดหลำกหลำย
คดิ ได้กวำ้ งใกล เน้นทง้ั ปริมำณ และคณุ ภำพ อำจเกิดจำกควำมคดิ ผสมผสำนเชอ่ื มโยงระหว่ำงควำมคิดใหม่
ๆ กับประสบกำรณเ์ ดมิ ใหเ้ กิดสงิ่ ใหม่ที่แก้ปญั หำ และเอ้อื อำนวยประโยชน์ตนเองและสังคม (อำรี พันธ์มณี
2537 : 233) ในทนี่ ้ี หมำยถงึ ควำมคิดสรำ้ งสรรค์ดำ้ นรปู ภำพซ่ึงสำมำรถวัดไดโ้ ดยกำรใช้แบบทดสอบ
ควำมคิดสร้ำงสรรค์ของ Jellen and Urban
แบบทดสอบกอ่ น – หลงั เรยี น หมำยถงึ แบบทดสอบควำมสำมำรถในกำรใช้ควำมคดิ สรำ้ งสรรค์
ของผเู้ รยี น เพื่อใชว้ ัดควำมสำมำรถด้ำนควำมคิดสรำ้ งสรรค์มี 4 องค์ประกอบ คอื ควำมคิดรเิ ร่มิ ควำมคิด
คลอ่ งแคล่ว ควำมคดิ ยืดหยนุ่ ควำมคิดละเอยี ดลออ ท่ีผู้วิจัยพัฒนำขึ้นจำนวน 5 ฉบบั
9
กรอบแนวคดิ ในกำรวิจยั
ผลกำรจัดกำรเรยี นรู้ตำมทฤษฎีกำรสร้ำงควำมร้ดู ว้ ยตนเอง โดยกำรสร้ำงช้ินงำน
(Constructionism) รำยวิชำประวัติศำสตรไ์ ทย เพื่อสงเสริมควำมคดิ สร้ำงสรรคข์ องนกั เรียนชน้ั
ประถมศึกษำปที ่ี 2 มวี ัตถุประสงค์เพือ่ สง่ เสริมควำมคิดสร้ำงสรรค์ของนักเรียนชนั้ ประถมศกึ ษำปีท่ี 2 ดว้ ย
กำรจัดกิจกรรมกำรเรยี นตำมทฤษฎีกำรสรำ้ งควำมรู้ดว้ ยตนเอง โดยกำรสรำ้ งชิ้นงำน (Constructionism)
และเปรียบเทียบคะแนนและควำมคิดสรำ้ งสรรค์ก่อนเรียนและหลงั เรียน สำมำรถแสดงเป็นกรอบแนวคิด
กำรวิจยั ได้ ดังน้ี
หลกั สูตรแกนกลำงกำรศึกษำขัน้ พืน้ ฐำน
พทุ ธศกั รำช 2551
ทฤษฎีกำรสรำ้ งควำมรู้ด้วยตนเอง โดยกำร กิจกรรมกำรเรยี นตำมทฤษฎีกำรสรำ้ งควำมรู้
สร้ำงชน้ิ งำน (Constructionism) ด้วยตนเอง โดยกำรสรำ้ งชิ้นงำน
(Constructionism)
ควำมคิดสร้ำงสรรค์ แบบวัดควำมคดิ สรำ้ งสรรค์
- ควำมรพู้ น้ื ฐำนเก่ยี วกบั ควำมคดิ สร้ำงสรรค์
- แนวทำงกำรพฒั นำควำมคิดสรำ้ งสรรค์
งำนวจิ ยั ท่เี ก่ียวข้อง ควำมคิดสรำ้ งสรรค์
- งำนวจิ ัยในประเทศ - ควำมคิดคล่องแคลว่
- งำนวิจยั ตำ่ งประเทศ - ควำมคดิ คล่องตวั
- ควำมคิดยดื หยุ่น
- ควำมคดิ สะเอยี ดลออ
ภำพที่ 1 กรอบแนวคดิ ในกำรวจิ ัย
10
บทที่ 2
เอกสำรและงำนวจิ ัยทเี่ กย่ี วขอ้ ง
ในกำรวิจัยเร่ือง ผลกำรจดั กำรเรยี นรตู้ ำมทฤษฎกี ำรสรำ้ งควำมรดู้ ้วยตนเองโดยกำรสร้ำง
ช้ินงำน(Constructionism) รำยวิชำประวัตศิ ำสตร์ไทยเพอ่ื สง่ เสรมิ ควำมคิดสร้ำงสรรค์ของนักเรยี นช้ัน
มธั ยมศกึ ษำปีท่ี 2 ผู้วิจยั ได้ศึกษำเอกสำร และงำนวิจัยท่เี ก่ียวข้องและได้นำเสนอตำมหัวข้อดงั ต่อไปน้ี
1. หลักสูตรแกนกลำงกำรศกึ ษำขั้นพื้นฐำน พุทธศักรำช 2551
1.1 วสิ ัยทศั น์
1.2 หลักกำร
1.3 จุดหมำย
1.4 สมรรถนะสำคัญของผู้เรยี น
1.5 คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์
1.6 กลุม่ สำระกำรเรียนรูส้ ังคมศึกษำ ศำสนำ และวัฒนธรรม
2. กำรจัดกำรเรยี นรูท้ ่ีเนน้ ผเู้ รยี นเป็นสำคัญ
2.1 ควำมหมำยกำรจดั กำรเรียนรู้ที่เน้นผ้เู รยี นเป็นสำคัญ
2.2 หลักกำรในกำรจัดกำรเรียนรู้ทีเ่ นน้ ผเู้ รยี นเปน็ สำคัญ
2.3 แนวทำงกำรพฒั นำคณุ ภำพกำรเรยี นรู้ท่เี นน้ ผูเ้ รยี นเป็นสำคัญ
2.4 รปู แบบกำรจัดกำรเรยี นรทู้ ี่เน้นผู้เรียนเป็นสำคญั
3. ทฤษฎีกำรสรำ้ งควำมรดู้ ้วยตนเองโดยกำรสรำ้ งช้นิ งำน(Constructionism)
3.1 ควำมหมำยของทฤษฎกี ำรสรำ้ งควำมรู้ดว้ ยตนเองโดยกำรสรำ้ งช้นิ งำน
(Constructionism)
3.2 ประวัติและควำมเป็นมำของทฤษฎีกำรสรำ้ งควำมรดู้ ้วยตนเองโดยกำรสร้ำงชนิ้ งำน
(Constructionism)
3.3 แนวคิดพืน้ ฐำนและหลกั กำรของทฤษฎกี ำรสรำ้ งควำมรูด้ ว้ ยตนเองโดยกำรสร้ำง
ช้ินงำน(Constructionism)
3.4 แนวทำงกำรดำเนินกิจกรรมกำรสอนตำมทฤษฎีกำรสร้ำงควำมรู้ด้วยตนเองโดยกำร
สร้ำงชิน้ งำน(Constructionism)
11
3.5 กำรประเมนิ ผลกำรเรียนรู้ตำมทฤษฎีกำรสรำ้ งควำมรู้ด้วยตนเองโดยกำรสร้ำงชิน้ งำน
(Constructionism)
4. ควำมคิดสร้ำงสรรค์
4.1 ควำมหมำยของควำมคดิ สร้ำงสรรค์
4.2 ทฤษฎที ่ีเกยี่ วข้องกับควำมคิดสร้ำงสรรค์
4.3 องคป์ ระกอบของควำมคิดสร้ำงสรรค์
4.4 กระบวนกำรคดิ สร้ำงสรรค์
4.5 กำรพัฒนำควำมคดิ สร้ำงสรรค์
4.6 กำรวดั ควำมคิดสร้ำงสรรค์
4.7 ประโยชน์ของควำมคิดสร้ำงสรรค์
5. งำนวจิ ัยทีเ่ กย่ี วข้อง
5.1 งำนวิจยั ในประเทศ
5.2 งำนวจิ ัยต่ำงประเทศ
หลกั สตู รแกนกลำงกำรศกึ ษำขั้นพนื้ ฐำน พทุ ธศกั รำช 2551
เพอื่ ใหกำรจัดกำรศึกษำขั้นพ้ืนฐำนสอดคลองกับสภำพควำมเปล่ียนแปลงทำงเศรษฐกจิ สังคม
และควำมเจริญกำ้ วหนำทำงวิทยำกำร เปนกำรสรำงกลยุทธใหมในกำรพัฒนำคุณภำพกำรศึกษำ ใหผูเรียน
มศี กั ยภำพในกำรแขงขนั และร่วมมอื อย่ำงสร้ำงสรรคในสังคมโลกปลกู ฝงใหผูเรยี นมีจิตสำนึกในควำมเป็น
ไทย มีระเบียบวินยั คำนึงถงึ ประโยชนสวนรวม และยึดหม่ันในกำรปกครองระบอบประชำธปิ ไตยอันมีพระ
มหำกษตั ริยทรงเปนประมขุ เปนไปตำมเจตนำรมณตำมมำตรำ 80 ของรฐั ธรรมนญู แหงรำชอำณำจกั รไทย
พทุ ธศักรำช 2550 และพระรำชบัญญตั กิ ำรศึกษำแหงชำติ พทุ ธศักรำช 2542 และที่แกไขเพิ่มเติม (ฉบบั ท่ี
2) พุทธศักรำช 2545
1. วสิ ยั ทัศน์
หลักสูตรแกนกลำงกำรศึกษำข้ันพ้นื ฐำน ม่งุ พฒั นำผู้เรยี นทุกคน ซึ่งเป็นกำลงั ของชำตใิ หเ้ ปน็
มนษุ ย์ท่มี ีควำมสมดลุ ทั้งด้ำนร่ำงกำย ควำมรู้ คุณธรรม มีจิตสำนึกในควำมเปน็ พลเมืองไทยและเปน็ พลโลก
ยดึ มนั่ ในกำรปกครองตำมระบอบประชำธิปไตย อนั มีพระมหำกษัตรยิ ์ทรงเป็นประมขุ มีควำมรแู้ ละทกั ษะ
พื้นฐำน รวมทัง้ เจตคติ ที่จำเปน็ ตอ่ กำรศึกษำต่อ กำรประกอบอำชีพและกำรศกึ ษำตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้น
ผู้เรียนเปนี สำคญั บนพื้นฐำนควำมเชือ่ วำ่ ทุกคนสำมำรถเรียนรูแ้ ละพฒั นำตนเองได้เต็มตำมศักยภำพ
12
2. หลักกำร
หลกั สูตรแกนกลำงกำรศึกษำข้นั พน้ื ฐำน มหี ลกั กำรทีส่ ำคัญ ดงั น้ี
1. เปน็ หลกั สตู รกำรศึกษำเพื่อควำมเป็นเอกภำพของชำติ มจี ุดหมำยและมำตรฐำนกำร
เรยี นรู้เป็นเป้ำหมำยสำหรบั พัฒนำเด็กและเยำวชนให้มีควำมรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรมบนพื้นฐำนของ
ควำมเป็นไทยควบคู่กับควำมเป็นสำกล
2. เป็นหลักสูตรกำรศึกษำเพ่อื ปวงชน ทป่ี ระชำชนทกุ คนมโี อกำสได้รบั กำรศกึ ษำอยำ่ ง
เสมอภำคและมคี ุณภำพ
3. เปน็ หลักสตู รกำรศึกษำท่ีสนองกำรกระจำยอำนำจ ใหส้ ังคมมีสว่ นร่วมในกำรจัด
กำรศึกษำใหส้ อดคล้องกับสภำพและควำมต้องกำรของท้องถิ่น
4. เป็นหลักสตู รกำรศึกษำท่มี ีโครงสรำ้ งยืดหยุ่นท้ังด้ำนสำระกำรเรยี นรู้ เวลำและกำร
จดั กำรเรียนรู้
5. เป็นหลักสตู รกำรศึกษำท่ีเน้นผเู้ รียนเปน็ สำคัญ
6. เปน็ หลกั สตู รกำรศกึ ษำสำหรับกำรศึกษำในระบบ นอกระบบ และตำมอธั ยำศัย
ครอบคลุมทกุ กลุ่มเป้ำหมำย สำมำรถเทยี บโอนผลกำรเรยี นรู้ และประสบกำรณ์
3. จดุ หมำย
หลักสูตรแกนกลำงกำรศึกษำขัน้ พน้ื ฐำน มุงพัฒนำผูเรียนใหเปนคนดี มีปญญำ มีควำมสุข
มีศักยภำพในกำรศึกษำตอ และประกอบอำชีพ จงึ กำหนดเปนจดุ หมำยเพ่ือใหเกดิ กบั ผูเรยี น เมือ่ จบ
กำรศกึ ษำข้ันพ้ืนฐำน ดงั น้ี
1. มีคุณธรรม จรยิ ธรรม และคำนยิ มที่พงึ ประสงค เหน็ คุณคำของตนเอง มวี นิ ยั และปฏิบัตติ น
ตำมหลกั ธรรมของพระพุทธศำสนำ หรอื ศำสนำที่ตนนบั ถอื ยึดหลกั ปรชั ญำของเศรษฐกจิ พอเพยี ง
2. มคี วำมรู ควำมสำมำรถในกำรสื่อสำร กำรคิด กำรแกปญหำ กำรใชเทคโนโลยี และมีทกั ษะ
ชวี ติ
3. มีสุขภำพกำยและสขุ ภำพจติ ท่ดี ี มีสขุ นิสัย และรักกำรออกกำลงั กำย
4. มคี วำมรกั ชำติ มีจติ สำนึกในควำมเปนพลเมืองไทยและพลโลก ยดึ มัน่ ในวถิ ีชวี ติ และกำร
ปกครองตำมระบอบประชำธิปไตยอนั มพี ระมหำกษัตริยทรงเปนประมุข
5. มีจติ สำนึกในกำรอนุรกั ษวัฒนธรรมและภูมิปญญำไทย กำรอนรุ ักษและพัฒนำส่งิ แวดลอมมี
จติ สำธำรณะทมี่ ุงทำประโยชนและสรำงสิ่งทดี่ งี ำมในสงั คม และอยูรวมกันในสงั คมอย่ำงมคี วำมสขุ
13
4. สมรรถนะสำคญั ของผเู้ รยี น
หลกั สตู รแกนกลำงกำรศึกษำข้ันพน้ื ฐำน มุงใหผูเรยี นเกิดสมรรถนะสำคัญ ๕ ประกำร ดังนี้
1. ควำมสำมำรถในกำรสื่อสำร เปนควำมสำมำรถในกำรรบั และสงสำร มีวัฒนธรรมในกำรใช้
ภำษำถำยทอดควำมคิด ควำมรูควำมเขำใจ ควำมรูสึก และทัศนะของตนเองเพ่ือแลกเปลีย่ นขอมูลขำวสำร
และประสบกำรณอันจะเปนประโยชนตอกำรพฒั นำตนเองและสังคม รวมทง้ั กำรเจรจำตอรองเพื่อขจัด
และลดปญหำควำมขดั แยงตำง ๆ กำรเลือกรบั หรือไมรบั ขอมูลขำวสำรดวยหลักเหตผุ ลและควำมถกู ตอง
ตลอดจนกำรเลือกใชวิธีกำรส่ือสำร ท่มี ปี ระสทิ ธภิ ำพโดยคำนึงถึงผลกระทบท่ีมตี อตนเองและสังคม
2. ควำมสำมำรถในกำรคิด เปนควำมสำมำรถในกำรคิดวิเครำะห กำรคิดสงั เครำะห กำรคิด
อย่ำงสร้ำงสรรค กำรคิดอยำงมวี จิ ำรณญำณ และกำรคิดเปนระบบ เพ่ือนำไปสูกำรสรำงองคควำมรูหรอื
สำรสนเทศเพื่อกำรตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมไดอยำงเหมำะสม
3. ควำมสำมำรถในกำรแกปญหำ เปนควำมสำมำรถในกำรแกปญหำและอุปสรรคตำง ๆ ท่ี
เผชิญไดอ้ ยำงถกู ตองเหมำะสมบนพนื้ ฐำนของหลกั เหตุผล คุณธรรมและขอมูลสำรสนเทศ เขำใจควำม
สัมพนั ธและกำรเปลยี่ นแปลงของเหตุกำรณตำง ๆ ในสังคม แสวงหำควำมรู ประยุกตควำมรูมำใชในกำรป
องกันและแกไขปญหำ และมีกำรตัดสนิ ใจทม่ี ีประสิทธิภำพโดยคำนึงถงึ ผลกระทบที่เกิดข้ึนตอตนเอง สงั คม
และสง่ิ แวดลอม
4. ควำมสำมำรถในกำรใชทักษะชวี ิต เปนควำมสำมำรถในกำรนำกระบวนกำรตำง ๆ ไปใชใน
กำรดำเนนิ ชีวติ ประจำวัน กำรเรยี นรูดวยตนเอง กำรเรียนรูอยำงตอเนือ่ ง กำรทำงำน และกำรอยูรวมกันใน
สงั คมดวยกำรสรำงเสริมควำมสมั พันธอนั ดีระหวำงบุคคล กำรจัดกำรปญหำและควำมขัดแยงตำง ๆอยำง
เหมำะสม กำรปรบั ตวั ใหทันกบั กำรเปลีย่ นแปลงของสงั คมและสภำพแวดลอม และกำรรูจักหลีกเลี่ยง
พฤติกรรมไมพงึ ประสงคท่สี ่งผลกระทบตอตนเองและผูอื่น
5. ควำมสำมำรถในกำรใชเทคโนโลยี เปนควำมสำมำรถในกำรเลือก และใช เทคโนโลยี
ด้ำนตำง ๆ และมที ักษะกระบวนกำรทำงเทคโนโลยี เพ่ือกำรพฒั นำตนเองและสงั คม ในดำนกำรเรียนรู กำร
สื่อสำรกำรทำงำน กำรแกปญหำอย่ำงสรำงสรรค ถูกตอง เหมำะสม และมีคุณธรรม
6. คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์
หลกั สตู รแกนกลำงกำรศึกษำขน้ั พ้ืนฐำน มุงพัฒนำผูเรียนใหมีคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค เพือ่ ให
สำมำรถอยูรวมกบั ผูอ่ืนในสงั คมไดอยำงมีควำมสขุ ในฐำนะเปนพลเมอื งไทยและพลโลก ดังนี้
14
1. รักชำติ ศำสน กษตั ริย
2. ซอ่ื สัตยสุจริต
3. มวี นิ ยั
4. ใฝเรียนรู
5. อยูอยำงพอเพยี ง
6. มุงม่ันในกำรทำงำน
7. รักควำมเปนไทย
8. มีจิตสำธำรณะ
นอกจำกนี้ สถำนศึกษำสำมำรถกำหนดคุณลกั ษณะอันพึงประสงคเพ่ิมเติมใหสอดคลอง
ตำมบริบทและจดุ เนนของตนเอง
7. กลมุ่ สำระกำรเรยี นรสู้ งั คมศกึ ษำ ศำสนำ และวฒั นธรรม
สำระท่ี 4 ประวัตศิ ำสตร์
มำตรฐำน ส 4.1 เขำ้ ใจควำมหมำย ควำมสำคัญของเวลำและยุคสมยั ทำงประวัติศำสตร์
สำมำรถใช้วธิ ีกำรทำงประวตั ิศำสตรม์ ำวเิ ครำะหเ์ หตุกำรณ์ต่ำง ๆ อยำ่ งเป็นระบบ
มำตรฐำน ส 4.2 เขำ้ ใจพฒั นำกำรของมนุษยชำตจิ ำกอดีตจนถึงปจั จุบัน ในด้ำนควำมสมั พนั ธ์
และกำรเปลี่ยนแปลงของเหตุกำรณ์อย่ำงต่อเนอ่ื ง ตระหนักถึงควำมสำคัญและสำมำรถวเิ ครำะห์ผลกระทบ
ทเี่ กิดข้นึ
มำตรฐำน ส 4.3 เขำ้ ใจควำมเปน็ มำของชำติไทย วัฒนธรรม ภูมปิ ัญญำไทย มีควำมรัก ควำม
ภูมิใจและธำรงควำมเป็นไทย
กำรจดั กำรเรียนรทู้ เี่ นน้ ผู้เรียนเปน็ สำคญั
กำรพัฒนำคุณภำพกำรจัดกำรเรยี นรใู้ นสถำนศึกษำเปน็ หน่งึ ในภำรกิจหลักทส่ี ำคัญของกำร
บรหิ ำรงำนวชิ ำกำร ซ่ึงมีนกั กำรศกึ ษำหลำยท่ำนได้ใหค้ วำมหมำยของกำรเรยี นกำรสอนไว้ ดงั นี้
1. ควำมหมำยกำรจดั กำรเรยี นรทู้ ่เี นน้ ผเู้ รยี นเปน็ สำคญั
มนี กั วิชำกำรและนกั กำรศึกษหลำยท่ำนำไดใ้ ห้ควำมหมำยของกำรจัดกำรเรียนร้ทู เี่ น้นผเู้ รียน
เปน็ สำคญั ไวแ้ ตกต่ำงกัน ดังน้ี
ประเวศ วะสี (2556, หนำ้ 33) ให้ควำมหมำยกำรเรียนร้ทู ่ียดึ ผู้เรยี นสำคัญท่ีสุด
15
ไวว้ ำ่ กำรเรียนรทู้ ่ียึดผู้เรียนสำคัญที่สุด หมำยถงึ กำรเรยี นรใู้ นสถำนกำรณจ์ ริงซึง่ สถำนกำรณจ์ ริงของแต่
ละคนไม่เหมือนกนั จึงต้องเอำผ้เู รยี นแตล่ ะคนเปน็ ตวั ต้งั ผู้สอนตอ้ งเลือกจดั ใหผ้ ูเ้ รยี นได้เรยี นรจู้ ำก
ประสบกำรณ์กิจกรรมและกำรทำงำนอันนำไปส่กู ำรพฒั นำผ้เู รยี นครบทุกด้ำน ท้ังทำงกำย ทำงจิตใจหรือ
ทางอารมณ์ ทางสังคม และทางสติปญั ญาซ่งึ รวมถงึ พัฒนาการทางจติ วญิ ญาณดว้ ย (spiritual
development)
สุชรี ำ เลศิ มณีรตั น์ (2557, หนำ้ 40) ได้ใหค้ วำมหมำยโดยสรุปว่ำเป็นกำรจัดกำร
เรียนกำรสอนท่ีม่งุ เน้นให้ผู้เรยี นมสี ว่ นรว่ มในกระบวนกำรเรียนรมู้ ำกที่สุดมุ่งประโยชน์สูงสุดแก่ผ้เู รยี น
สนองควำมแตกตำ่ งระหวำ่ งบุคคล ผู้เรียนเกิดกำรเรยี นรอู้ ย่ำงแทจ้ ริง เรยี นรู้อย่ำงมีควำมสุขได้พฒั นำเตม็
ศกั ยภำพ มีทักษะกำรแสวงหำควำมร้คู วำมสำมำรถนำไปประยกุ ตใ์ ช้ในชวี ติ ประจำวนั ได้
คำพอ แสงจนั โท (2558, หน้ำ 40) ไดก้ ลำ่ วว่ำ กำรจดั กำรเรียนรู้โดยเน้นผู้เรยี น
เปน็ สำคญั เปน็ กระบวนทศั น์ในกำรจดั กำรเรยี นรดู้ ว้ ยวธิ กี ำรท่ีหลำกหลำยเหมำะสมกบั ผูเ้ รียน ใหผ้ เู้ รยี น
เกิดกำรเรยี นรจู้ ำกกำรปฏิบตั ิของตนเองไดอ้ ย่ำงมีควำมสขุ สำมำรถนำควำมรู้ทีไ่ ด้ในชวี ิตประจำวนั โดยใช้
ทกั ษะกำรจดั กำรที่มปี ระสิทธิภำพทั้งของครผู สู้ อน และผ้เู รียนโดย คำนึงถงึ องคป์ ระกอบทสี่ ำคญั ในกำรจดั
กิจกรรม
ชัยวัฒน์ สทุ ธริ ตั น์ (2558, หนำ้ 18) ไดใ้ ห้ควำมหมำยของกำรจดั กำรเรียนกำร
สอนทีเ่ นน้ ผเู้ รียนเป็นสำคัญ คือ เป็นกำรจดั ประสบกำรณก์ ำรเรยี นรู้ท่ีมงุ่ พัฒนำ“คน” “ชวี ิต” ให้เกดิ
ประสบกำรณ์เรียนรเู้ ต็มควำมสำมำรถ สอดคล้องกบั ควำมถนดั ควำมสนใจ และควำมต้องกำรของผูเ้ รยี น
ผู้เรยี นมีอสิ รภำพในกำรสร้ำงองค์ควำมรู้ด้วยตนเอง เรียนร้ไู ด้อยำ่ งมคี วำมสุขโดยได้ใช้กระบวนกำรคิด
ปฏบิ ัติจริง มสี ่วนร่วมอยำ่ งต่นื ตวั ทั้งทำงกำย สติปญั ญำ อำรมณ์ และสงั คม และผ้เู รยี นมีบทบำทใน
กจิ กรรมกำรเรยี นมำกกว่ำผสู้ อน
สนธิ สถำพร (2558, หนำ้ 122) ได้ใหค้ วำมหมำยโดยสรปุ ไว้วำ่ กำรจดั กำรเรยี น
กำรสอนทเ่ี นน้ ผู้เรียนเป็นสำคัญ คอื กระบวนกำรจัดกำรเรียนรูท้ ่ีให้ควำมสำคัญกับผู้เรียน เนน้ ให้ผูเ้ รยี นได้
มีส่วนร่วมในกำรคดิ รเิ รมิ่ สรำ้ งสรรค์ จัดกำรเรยี นรู้และลงมือปฏบิ ัติกิจกรรมต่ำง ๆ ดว้ ยตนเองตำมควำม
ต้องกำรและควำมสนใจ และสำมำรถนำควำมรู้ไปประยุกต์ใชใ้ นชีวิตประจำวันได้
จำกแนวคดิ ของนกั วชิ ำกำรดงั กลำ่ วขำ้ งตน้ จึงสรุปได้ว่ำ กำรจัดกำรเรยี นรู้ทเี่ น้น
ผู้เรยี นเป็นสำคญั หมำยถึง กำรจัดกจิ กรรมกำรเรียนรทู้ ่ใี ห้ผเู้ รียนมปี ฏิสัมพันธแ์ ละมีส่วนร่วมในกำรสร้ำง
องค์ควำมรู้และประยกุ ต์ใชค้ วำมรู้ โดยครูใช้เทคนคิ กระบวนกำรจดั สถำนกำรณก์ ำรเรียนรู้เพ่ือให้กจิ กรรม
16
และสำระกำรเรยี นรตู้ รงกบั ควำมถนดั ควำมสำมำรถควำมสนใจของผเู้ รียน ทำให้ผเู้ รยี นเกิดพัฒนำกำร
ทำงด้ำนร่ำงกำย อำรมณ์ สังคมและสตปิ ญั ญำอย่ำงเตม็ ศักยภำพ
2. หลกั กำรในกำรจดั กำรเรยี นรทู้ เี่ นน้ ผเู้ รยี นเปน็ สำคญั
กำรจัดกำรเรียนรทู้ ่ีเนน้ ผเู้ รยี นเป็นสำคญั มีหลกั กำรพ้นื ฐำนที่นกั วชิ ำกำรได้ใหท้ ัศนะไว้ ดังนี้
คอนสะหวนั ไชยชมพู(2558, หน้ำ 19) กำรจดั กำรเรียนรู้ที่เน้นผเู้ รยี นเปน็ สำคัญเป็น
กำรจดั กำรเรียนร้ตู ำมควำมสำมำรถ ควำมสนใจของนกั เรียน นักเรียนแสวงหำควำมรสู้ ร้ำงควำมรดู้ ว้ ย
ตนเองครูอำนวยควำมสะดวก เตรยี ม จัดส่ือ ใหก้ ำรสนบั สนุนแนะนำให้คำปรกึ ษำ ใหก้ ำลังใจจัดบรรยำกำศ
เอ้อื ต่อกำรเรียน สอนทกุ คนเหมอื นกนั เรยี นเร่ือง เดียวกนั ครนู ำเสนอตวั อยำ่ งผลงำนและสำธติ กำรลงมือ
ทำงำนนักเรยี นไดม้ ีส่วนร่วมใน กิจกรรมกลมุ่ ระดบั ควำมคดิ อภิปรำยแลกเปลย่ี นประสบกำรนกั เรียนมี
อสิ ระในกำร ตดั สินใจ ได้ลงมือปฏิบตั จิ รงิ แก้ปญั หำด้วยตนเอง ให้อสิ ระกบั ผ้เู รยี นในกำรได้คิดสรำ้ งสรรค์
มกี ำรปรบั ปรุงผลงำน นำเสนอผลงำนที่น่ำสนใจ และประเมินผลงำนด้วยกำรประเมินตำมสภำพจรงิ
คำพอ แสงจนั โท (2558, หนำ้ 42) ได้กลำ่ วว่ำ หลักกำรจัด กจิ กรรมกำรเรียนกำรสอน
ทเ่ี น้นผ้เู รียนเปน็ สำคัญ เพื่อพัฒนำผูเ้ รยี นใหเ้ ป็น คนดี คนเกง่ คนมีควำมสขุ โดยใชก้ ระบวนกำรเรียนรู้ จะ
นำไปสกู่ ำรจัดกจิ กรรมกำรเรียนกำรสอนทเ่ี ปิดโอกำสให้ผูเ้ รยี นมโี อกำสเขำ้ ร่วมกจิ กรรมและเป็นผู้ลงมือ
ปฏบิ ัติดว้ ยตนเองอย่ำงมีควำมสขุ โดยครผู ู้สอนต้องลดบทบำทและปรับเปล่ียนกระบวนกำรของตนจำกกำร
เปน็ ผู้บอกควำมรู้ใหแ้ ก่ผู้เรยี นมำเป็นผู้สนับสนุนผชู้ ี้แนะ ท่ีปรึกษำให้ผ้เู รยี นเกิดกำรเรียนมำกทส่ี ดุ ตำม
ศกั ยภำพของแตล่ ะบุคคล จดั ประสบกำรณ์ทกี่ ระตุ้นใหผ้ เู้ รียนใฝ่รู้ ใฝ่เรยี น คน้ พบคำตอบดว้ ยตนเอง โดยมี
ครูและนกั เรียนร่วมกนั บอกแหล่งควำมรู้
ชัยวัฒน์ สุทธริ ตั น์ (2558, หน้ำ 71) ไดเ้ สนอหลักกำรจัดกำรเรียนกำรสอนที่เนน้ ผูเ้ รยี นเป็น
สำคญั ไวด้ ังนี้
1. กำรเรียนเปน็ กระบวนกำรท่ีควรเป็นไปอยำ่ งมชี ีวติ ชวี ำ ดงั นนั้ ผูเ้ รียนจึงควรมีบทบำท
รับผิดชอบต่อกำรเรียนของตนและมีส่วนร่วมในกิจกรรมกำรเรยี นกำรสอน
2. กำรเรยี นรเู้ กิดไดจ้ ำกแหล่งต่ำง ๆ กนั มิใช่จำกแหลง่ ใดแหล่งหน่งึ เพยี งอยำ่ งเดยี ว
ประสบกำรณ์ควำมนึกคดิ ของแต่ละบคุ คลถือว่ำเป็นแหลง่ เรียนรูท้ ี่สำคัญ
3. กำรเรียนรูท้ ดี่ จี ะต้องเป็นกำรเรยี นรู้ท่ีเกดิ จำกควำมเข้ำใจจงึ จะชว่ ยใหผ้ ้เู รียนจดจำและ
สำมำรถไปใช้กำรเรยี นรู้นน้ั ให้เกิดประโยชนไ์ ด้ กำรเรียนร้ทู ่ีผเู้ รียนค้นพบดว้ ยตนเองนั้นมสี ว่ นช่วยใหเ้ กิด
ควำมเข้ำใจทล่ี ึกซึ้งและจดจำไดด้ ี
17
4. กำรเรียนรู้กระบวนกำรเรยี นรู้มีควำมสำคญั หำกผเู้ รยี นเขำ้ ใจและมที ักษะในเรื่องนแี้ ล้วจะ
สำมำรถใชเ้ ป็นเคร่ืองมือในกำรแสวงหำควำมรูแ้ ละคำตอบต่ำง ๆทตี่ นต้องกำรได้
5. กำรเรยี นรทู้ ม่ี ีควำมหมำยแกผ่ ู้เรียน คือ กำรเรยี นรู้ที่สำมำรถนำไปใชใ้ นชวี ติ ประจำวนั ได้
นรรชั ต์ ฝนั เชยี ร (2561, ออนไลน์) กำรจัดกำรเรยี นร้โู ดยเน้นผ้เู รยี นเป็นสำคัญ
(Child Center Learning) คอื รปู แบบกำรจัดกำรเรยี นรรู้ ูปแบบหนงึ่ ที่มุ่งเนน้ ให้ผู้เรียนเกดิ องคค์ วำมรู้ได้
ด้วยตนเอง ผ่ำนสือ่ และวิธกี ำรจดั กำรเรียนรทู้ ห่ี ลำกหลำยตำมควำมสนใจของผ้เู รียน โดยมคี รเู ป็น
ผสู้ นับสนุนและอำนวยควำมสะดวก ซงึ่ ตำ่ งจำกกระบวนกำรจัดกำรเรยี นรูท้ ัว่ ไปท่เี น้นให้เด็กศึกษำหำ
ควำมรูจ้ ำกกำรสอนของครโู ดยตรง แนวกำรจัดกำรเรียนรูร้ ปู แบบนี้เกิดข้ึนจำกควำมเชื่อพืน้ ฐำนทวี่ ่ำ
ผูเ้ รยี นทกุ คนสำมำรถที่จะเรียนรแู้ ละพฒั นำไดต้ ำมของตวั เอง แตแ่ ตกต่ำงทค่ี วำมต้องกำร ควำมสนใจและ
ควำมถนดั รวมไปถึงทักษะต่ำง ๆ ดงั นัน้ กำรจัดกำรศึกษำจึงไมค่ วรท่ีจะเปน็ ไปในแนวทำงเดียว ควรมีควำม
หลำกหลำยและตอบสนองได้กับเด็กทุกกลุ่ม
จำกกำรทนี่ ักวิชำกำรกล่ำวมำข้ำงตน้ สำมำรถ สรปุ ไดว้ ำ่ หลักกำรจดั กำรเรียนร้ทู เ่ี น้น
ผเู้ รียนเปน็ สำคัญเป็นกำรจดั กำรเรยี นรู้ที่ควรคำนึงถึงควำมแตกตำ่ งระหว่ำงบคุ คลตำมควำมสำมำรถ ควำม
ถนัด ควำมสนใจของผ้เู รียน ผ้เู รียนมีกำรเคล่ือนไหวแสดงออกมีปฏสิ มั พันธ์กบั ผอู้ ื่น สำมำรถเรยี นรูอ้ ย่ำงมี
ควำมสุข และได้เรยี นรู้จำกประสบกำรณ์จรงิ โดยครูมีหน้ำทีเ่ ป็นเพยี งผู้ให้กำรสนบั สนุนอำนวยควำม
สะดวกในกำรจดั กำรเรยี นรู้ เพือ่ ใหผ้ ้เู รียนมพี ฒั นำกำรด้ำนรำ่ งกำย อำรมณ์ สงั คม สติปัญญำเตม็ ตำม
ศกั ยภำพ
3. แนวทำงกำรพฒั นำคุณภำพกำรเรยี นรทู้ ่เี นน้ ผเู้ รยี นเปน็ สำคญั
ควำมหมำยของกำรพฒั นำมนี ักกำรศึกษำ/นักวชิ ำกำรหลำยท่ำนได้ให้ควำมหมำยของกำร
พัฒนำไว้หลำยประกำร ดงั น้ี
พะยอม วงศ์สำรศรี (2537) ไดใ้ ห้ควำมหมำยของกำรพัฒนำ หมำยถงึ กำรเรม่ิ สรำ้ ง
ควำมรูค้ วำมคิด และควำมสำมำรถในกำรปฏบิ ัติงำนท่ีไดร้ ับมอบหมำยใหม้ มี ำตรฐำนมีคุณภำพ และเป็นที่
พึงพอใจขององคก์ ร
กิตมิ ำ ปรดี ดี ิลก (2539) ไดใ้ หค้ วำมหมำยของกำรพฒั นำ หมำยถงึ วิธีกำรตำ่ ง ๆ
มำกมำยท่มี งุ่ เนน้ เพิ่มเตมิ ควำมคิด ควำมรู้ ควำมสำมำรถให้แกบ่ ุคคลในองคก์ ร รวมท้ังพฒั นำมมุ มองเจต
คติของบคุ คลทีป่ ฏิบตั ิงำนเพื่อใหเ้ ป็นไปในทำงท่ดี ี ซึ่งจะท ำใหก้ ำรท ำงำนเกดิ ประสทิ ธิภำพ
ยุวัฒน์ วฒุ ิเมธี (2556) ไดใ้ ห้ควำมหมำยของกำรพัฒนำ หมำยถงึ กำรกระทำเพื่อใหเ้ กิดกำร
18
เปล่ยี นแปลง คือ เปล่ียนจำกสภำพหนง่ึ ไปสู่อีกสภำพหน่งึ ทีด่ ีกวำ่
สัญญำ สญั ญำวิวฒั น์ (2556) ได้ให้ควำมหมำยของกำรพัฒนำ หมำยถงึ กำรเปลี่ยนแปลงท่ีมกี ำร
กำหนดทิศทำง (Directed Change) หรือกำรเปลยี่ นแปลงที่ไดว้ ำงแผนไว้ล่วงหนำ้ อย่ำงแนน่ อน (Planed
Change) สรุปได้วำ่ กำรพัฒนำ หมำยถึง กำรเปลี่ยนแปลงวิธกี ำรปฏิบัติหรือกระบวนกำรเดิมใหด้ ีขึน้ และ
เกิดประสิทธิภำพจนเปน็ ท่ีพึงพอใจขององคก์ รควำมหมำยของแนวทำงมนี กั กำรศึกษำและนกั วชิ ำกำร
หลำยท่ำนไดใ้ ห้ควำมหมำยของแนวทำง
ไวห้ ลำยประกำรดังนี้
รำชบณั ฑติ ยสถำน (2542) ได้ให้ควำมหมำยของแนวทำง หมำยถึง ทำงปฏบิ ัตทิ วี่ ำงไวเ้ ป็นแนว
Good (1973) ได้ให้ควำมหมำยของแนวทำง หมำยถงึ แบบอยำ่ งของสิง่ หน่งึ สงิ่ ใดเพ่ือใช้เป็น
แนวทำงในกำรทำซ้ำ เป็นแบบอย่ำงเพ่อื กำรเลียนแบบ เป็นหลักกำรหรือแนวคดิ และเป็นชดุ ของปจั จัยหรือ
เป็นตวั แปรที่มีควำมหมำยสมั พนั ธร์ ะหวำ่ งกนั และกัน
สรปุ ไดว้ ่ำ แนวทำง หมำยถึง วธิ ีปฏิบตั ิทว่ี ำงไวเ้ พ่ือยดึ เปน็ แบบอยำ่ งไว้ถือปฏบิ ัตติ ำม
สำหรับกำรวจิ ยั ในครง้ั นี้ สรปุ ได้ว่ำ กำรพัฒนำแนวทำงกำรจดั กำรเรยี นร้ทู ี่เนน้ ผูเ้ รยี นเปน็ สำคญั ของครู
หมำยถงึ กำรเปลี่ยนแปลงกระบวนกำรหรอื วิธีกำรจดั กำรเรยี นกำรสอนท่ีเน้นผู้เรยี นเป็นสำคัญของครจู ำก
เดิมใหด้ ขี น้ึ แลว้ ยดึ เปน็ แบบอย่ำงไว้ถือปฏบิ ตั ติ อ่ ไป ซ่งึ กระบวนกำรดงั กลำ่ วประกอบดว้ ย กำรวำงแผนกำร
จัดกำรเรยี นรู้ กำรจัดกำรเรียนรู้ และกำรวดั และประเมินผลกำรเรียนรู้
4. รปู แบบกำรจดั กำรเรยี นรทู้ ่ีเนน้ ผเู้ รยี นเปน็ สำคญั
รูปแบบในกำรจัดกำรเรียนรู้ที่เนน้ ผู้เรยี นเป็นสำคญั น้ันมีวธิ กี ำรจัดกำรเรียนร้ดู ว้ ยกนั หลำย
รูปแบบ ซึ่งแตล่ ะรูปแบบจะเหมำะสมกับผ้เู รียนในแตล่ ะระดับชั้น และระดบั ควำมสำมำรถในกำรรบั รู้ ซ่งึ
แต่ละรูปแบบจะมนี ักวิชำกำร ไดใ้ ห้ควำมหมำยไว้ ดงั น้ี
กองส่งเสรมิ วิชำกำรและงำนทะเบียน มหำวทิ ยำลัยนรำธิวำสรำชนครนิ ทร์ (2555, หน้ำ 11) ได้
กล่ำวถงึ รปู แบบกำรจัดกำรเรียนร้ทู เ่ี นน้ ผ้เู รยี นเปน็ สำคัญ โดยกำรสอนแบบใช้ปญั หำเปน็ หลกั (Problem
Base Learning) เปน็ กำรจัดกำรเรยี นกำรสอนโดยให้ผเู้ รยี นระบุปญั หำทีต่ ้องกำรเรียนรู้ ผู้เรยี นจะคิด
วิเครำะหป์ ัญหำ ตัง้ สมมติฐำน อันเป็นทม่ี ำของปัญหำและหำทำงทดสอบสมมติฐำนที่ตั้งไว้ ผู้เรียนจะต้องมี
ควำมรู้พน้ื ฐำนท่จี ะเรียนรเู้ นอื้ หำต่ำง ๆ มำก่อน เพอื่ จะสำมำรถเรยี นรูเ้ นื้อหำใหม่ โดยกระบวนกำรใช้
ปัญหำเปน็ หลักได้ หำกพ้นื ฐำนควำมรูเ้ ดิมของผู้เรียนไมเ่ พียงพอ จะต้องค้นคว้ำหำควำมรูเ้ พ่ิมเติมด้วย
19
ตนเองในกำรดำเนินกำรสอนผู้สอนจะต้องนำปัญหำท่ีเปน็ ควำมจริงมำเขยี นเป็นกรณีศึกษำหรอื
สถำนกำรณ์ให้ผเู้ รยี น โดยผู้เรียนจะต้องดำเนนิ กำรข้ันตอนตอ่ ไปน้ี
1. ทำควำมเขำ้ กบั ศัพทบ์ ำงคำหรอื แนวคดิ บำงอย่ำงในสถำนกำรณ์นน้ั ๆ
2. ระบุประเดน็ ปญั หำจำกสถำนกำรณ์
3. วิเครำะหป์ ระเดน็ ปัญหำ
4. ตงั้ สมมตฐิ ำนเก่ียวกับปัญหำนัน้ ๆ
5. ทดสอบสมมติฐำนและจัดลำดบั ควำมสัมพนั ธ์
6. กำหนดวตั ถปุ ระสงค์กำรเรียนรู้
7. รวบรวมข้อมูลข่ำวสำรและควำมรู้จำกแหล่งต่ำง ๆ ดว้ ยตนเอง
8. สังเครำะห์ข้อมลู ใหม่ให้พร้อมท้ังทดสอบ
9. สรุปผลกำรเรียนร้แู ละหลกั กำรท่ีไดจ้ ำกกำรศึกษำปญั หำ
ชยั ยนต์ เพำพำน (2556, หน้ำ 1-8) ได้เสนอรูปแบบกำรจัดกำรเรียนรทู้ ี่เน้นผู้เรยี นเปน็ สำคญั
ดงั น้ี
1. กำรเรยี นรจู้ ำกกรณีปัญหำ (Problem-based Learning : PBL) เป็นกำรเรียนร้ทู ่ีให้ผู้เรียน
เกดิ ทักษะกำรคิดวิเครำะห์ และคดิ แก้ปัญหำ เป็นกำรเรยี นรจู้ ำกกำรทำงำนท่ีต้องอำศัยควำมเข้ำใจ และ
กำรแกป้ ัญหำเปน็ หลัก มีลักษณะสำคญั คือ ผู้เรยี นเปน็ ศูนยก์ ลำงกำรเรียนรโู้ ดยใช้ปญั หำเปน็ ตวั กระตุ้นให้
เกดิ กำรเรียนรู้ ผู้เรียนแสวงหำข้อมูลใหมๆ่ ด้วยตนเอง ครเู ป็นผใู้ ห้คำแนะนำ อำนวยควำมสะดวก
ประเมินผลกำรเรยี นรู้โดยประเมินจำกสถำนกำรณ์จรงิ และกำรลงมอื ปฏิบตั ิ
2. กำรเรียนรเู้ ป็นรำยบุคคล (Individual Study) ใช้วธิ ีในกำรเรยี นรูแ้ ตกตำ่ งกัน เน่ืองจำก
ผู้เรียนมีควำมสำมำรถ ควำมสนใจเรียนรูท้ ่แี ตกตำ่ งกนั จึงจำเปน็ ทจี่ ะต้องมเี ทคนิควธิ ีกำรต่ำง ๆ เพ่ือชว่ ยใน
กำรจดั กำรเรยี นในกล่มุ ใหญ่สำมำรถตอบสนองผู้เรยี นแต่ละคนทแี่ ตกตำ่ งกันได้ เชน่ เทคนิคกำรใช้
Concept Mapping มหี ลกั กำรให้ตรวจสอบควำมคดิ ของผูเ้ รยี นว่ำคดิ อะไร เข้ำใจสงิ่ ท่ีเรียนอยำ่ งไรแลว้
แสดงออกโดยนำมโนทัศน์ ในเนื้อหำสำระทไ่ี ดเ้ รยี นรู้มำจัดระบบ จดั ลำดับและเช่อื มโยงควำมสมั พันธ์แต่
ละมโนทศั น์ที่มคี วำมเก่ียวข้องเข้ำด้วยกนั ทำใหเ้ กิดเปน็ กรอบแผนผงั มโนทศั น์ขึ้น เทคนคิ Learning
Contracts คือสญั ญำท่ีผเู้ รยี นกบั ผ้สู อนรว่ มกนั กำหนดเพอ่ื ใชเ้ ปน็ หลกั ยดึ ในกำรเรยี นว่ำจะเรยี นอะไร
อยำ่ งไร เวลำใด และใช้เกณฑ์อะไรในกำรประเมิน และเทคนิค Know-Want-Learned ใช้เชอ่ื มโยงควำมรู้
20
เดิมกบั ควำมรใู้ หม่ ผสมผสำนกับกำรใช้ Mappingควำมรเู้ ดิม เทคนิคกำรรำ่ ยงำนหน้ำชนั้ ทีใ่ ห้ผูเ้ รยี นไป
ศกึ ษำคน้ ควำ้ ด้วยตนเองมำนำเสนอหนำ้ ชน้ั ซงึ่ อำจมีกิจกรรมทดสอบผู้ฟงั ดว้ ย
3. กำรสอนแบบแสวงหำควำมรู้ด้วยตนเอง (Self –Study) กำรเรียนรูแ้ บบนี้ ให้ผู้เรียนศกึ ษำ
และแสวงหำควำมรู้ดว้ ยตนเอง สำมำรถจัดกำรเรียนร้เู ป็นรำยบคุ คล และกำรใชก้ ระบวนกำรกลุ่ม มดี ้วยกัน
หลำยวธิ ี ไดแ้ ก่
3.1 กำรจัดกำรเรียนกำรสอนแบบสืบคน้ (Inquiry Instruction) คอื กระบวนกำรเรียนรู้ท่ี
เน้นกำรพัฒนำควำมสำมำรถในกำรแกป้ ัญหำด้วยวิธกี ำรฝึกใหผ้ ู้เรียนรูจ้ ักศึกษำหำควำมรู้โดยผูส้ อนตง้ั
คำถำมกระตนุ้ ใหผ้ ูเ้ รียนใช้กระบวนกำรทำงควำมคดิ หำเหตุผลจนค้นพบควำมรู้หรือแนวทำงในกำรแกไ้ ข
ปญั หำทถี่ ูกตอ้ งดว้ ยตนเอง
สรปุ เปน็ หลักเกณฑ์หรือวิธีกำรในกำรแก้ปญั หำและสำมำรถนำไปประยกุ ต์ใชป้ ระโยชนใ์ นกำรควบคมุ
ปรับปรุงเปลย่ี นแปลงหรือสร้ำงสรรคส์ ่งิ แวดลอ้ มในสภำพกำรณ์ต่ำง ๆ ได้อยำ่ งกว้ำงขวำง
3.2 กำรเรียนแบบค้นพบ (Discovery Learning) เปน็ กระบวนกำรเรียนรู้ทีเ่ นน้ ให้ผเู้ รียน
ค้นหำคำตอบ หรือควำมรู้ด้วยตนเองโดยผู้สอนจะเป็นผ้สู รำ้ งสถำนกำรณ์ในลกั ษณะทผ่ี ู้เรียนจะเผชิญกบั
ปัญหำ ซง่ึ ในกำรแกป้ ัญหำนัน้ ผ้เู รยี นจะใชก้ ระบวนกำรท่ีตรงกับธรรมชำตขิ องวชิ ำหรือปัญหำนัน้ เชน่
ผเู้ รียนจะศกึ ษำปัญหำ ทำงชวี วิทยำกจ็ ะใช้วิธเี ดยี วกับนักชีววทิ ยำ หรอื ผู้เรียนจะศกึ ษำปญั หำ
ประวตั ศิ ำสตรก์ ็จะใช้วิธีกำร เช่นเดียวกบั นกั ประวตั ศิ ำสตรศ์ ึกษำ ดังนั้น จงึ เปน็ วธิ จี ดั กำรเรียนกำรสอนท่ี
เนน้ กระบวนกำรเหมำะสำหรับวชิ ำวิทยำศำสตร์ คณิตศำสตร์ แต่กส็ ำมำรถใช้กบั วิชำอ่ืน ๆ ได้ ในกำร
แก้ปัญหำนนั้ ผู้เรยี นจะตอ้ งนำข้อมูลมำทำกำรวเิ ครำะห์ สังเครำะห์ และสรปุ เพ่ือใหไ้ ด้ข้อค้นพบใหมห่ รือ
เกดิ ควำมคิดรวบยอดในเรื่องนัน้
3.3 กำรเรียนแบบแก้ปญั หำ (Problem Solving) กระบวนกำรท่ีผู้สอนเน้นให้
ผเู้ รยี นคดิ แก้ปญั หำอย่ำงเปน็ กระบวนกระบวนกำร มขี ั้นตอน มเี หตุผลดว้ ยตนเอง โดยเรม่ิ ต้นมกี ำรกำหนด
ปัญหำ วำงแผนปญั หำ ต้งั สมมติฐำนเก็บรวบรวมข้อมลู พสิ ูจน์ข้อมลู วิเครำะห์ข้อมูลและสรุปผล
3.4 กำรเรียนรเู้ ชงิ ประสบประสบกำรณ์ (Experiential Learning) คอื กระบวนกำรสรำ้ ง
ควำมรู้ ทักษะ และเจตคติด้วยกำรนำเอำประสบกำรณ์เดมิ ของผู้เรยี นมำบูรณำกำรเพอ่ื สร้ำงกำรเรียนรู้ใหม่
ๆ ขึ้น
4. กำรเรียนรูแ้ บบสรรคนิยม (Constructivism) เปน็ กำรเรียนรทู้ ีม่ ีควำมเชื่อว่ำ ผเู้ รียนเปน็
21
ผู้สรำ้ งควำมรูโ้ ดยกำรอำศยั ประสบกำรณ์แหง่ ชีวติ ที่ได้รบั เพอ่ื ค้นหำควำมจริง มรี ำกฐำนมำจำกทฤษฎี
จติ วิทยำและปรัชญำกำรศึกษำท่หี ลำกหลำย ซ่ึงนักทฤษฎีสรรคนินมได้ประยุกตท์ ฤษฎจี ิตวทิ ยำและ
ปรัชญำกำรศึกษำดังกล่ำวในรูปแบบและมุมมองใหม่ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ 1. กลมุ่ ท่ีเนน้
กระบวนกำรรู้คิดในตัวบคุ คล เป็นกลุ่มทเี่ นน้ กำรเรียนร้ขู องมนุษย์เป็นรำยบุคคล โดยมคี วำมเชื่อว่ำมนษุ ย์
แต่ละคนรูว้ ิธเี รยี นและรู้วธิ ีคดิ เพื่อสรำ้ งองค์ควำมรูด้ ้วยตนเอง และ 2. กลุม่ ท่เี น้นกำรสร้ำงควำมรโู้ ดย
อำศัยปฏิสัมพันธท์ ำงสงั คม เป็นกลมุ่ ทเ่ี นน้ ว่ำ ควำมรู้ คือ ผลผลติ ทำงสังคม โยมีข้อตกลงเบอื้ งต้นคือ ควำมรู้
ต้องสมั พันธก์ บั ชุมชน และปจั จัยทำงวัฒนธรรมสังคม ประวัติศำสตรม์ ีผลต่อกำรเรยี นรู้ ครจู งึ ตอ้ งมบี ทบำท
เป็นผอู้ ำนวยควำมสะดวกในกำรเรียนร้ทู ฤษฎสี รรคนยิ ม ไม่ใช้วิธีกำรสอนแต่จะใช้กำรตคี วำมทฤษฎีแล้วจงึ
นำไปใช้ในกำรจัดกำรเรียนกำรสอน มวี ิธีกำรจดั กำรเรียนรู้ โดยกำรกระต้นุ ให้ผ้เู รยี นเกิดสรำ้ งควำมรดู้ ว้ ย
ตนเอง ใช้ทักษะกำรแก้ปัญหำ กำรเชอื่ มโยงควำมคดิ ควำมรใู้ หมก่ ับควำมรู้เกำ่ ผู้สอนเป็นผู้แนะนำ อำนวย
ควำมสะดวก จดั สภำพแวดลอ้ มกำรเรยี นรใู้ นสภำพทีเ่ ปน็ จรงิ
5. กำรเรยี นรู้จำกกำรทำงำน (Work-based Learning) เป็นกำรจัดกำรเรยี นรูท้ ่ีส่งเสริม
ผเู้ รียนใหเ้ กิดพฒั นำกำรทุกด้ำน ไมว่ ำ่ จะเปน็ กำรเรียนรู้เนือ้ หำสำระ กำรฝึกปฏิบัตจิ ริง ฝึกฝนทักษะทำง
สงั คม ทักษะชีวิต ทกั ษะวิชำชีพ กำรพัฒนำทักษะกำรคิดขนั้ สงู โดยสถำนศึกษำต้องรว่ มมือกับชมุ ชน
รบั ผิดชอบกำรจดั กำรเรยี นรรู้ ว่ มกัน เรม่ิ ต้ังแตก่ ำรกำหนดวัตถุประสงค์ กำรกำหนดเน้ือหำกิจกรรม และ
วธิ ีกำรประเมินผลจำกกำรทนี่ ักวิชำกำรได้กล่ำวถงึ รูปแบบกำรจดั กำรเรยี นรู้ทีเ่ นน้ ผู้เรยี นเปน็ สำคญั นั้นมี
รูปแบบในกำรจดั กำรเรยี นรไู้ ด้หลำกหลำย โดยสำมำรถจดั ให้ผู้เรยี นไดด้ ้วยกำร แสวงหำควำมรูด้ ว้ ยตนเอง
กำรเรยี นรูท้ ี่เนน้ ทักษะดำ้ นกระบวนกำรคิด ส่งเสริมกำรมสี ว่ นร่วมให้ผู้เรยี นได้เรยี นดว้ ยกำรแก้ปญั หำ กำร
แสดงบทบำทสมมติ กำรสอนแบบโครงงำน ซ่ึงครูสำมำรถใชว้ ธิ กี ำรต่ำง ๆ ทีเ่ หมำะสมกับควำมถนดั ควำม
สนใจควำมสำมำรถ และควำมพรอ้ มของผู้เรียน โดยให้คำนงึ ถงึ ควำมแตกต่ำงระหวำ่ งบุคคล
ทฤษฎกี ำรสร้ำงควำมรดู้ ว้ ยตนเองโดยกำรสร้ำงชน้ิ งำน(Constructionism)
1. ควำมหมำยของทฤษฎกี ำรสรำ้ งควำมรดู้ ว้ ยตนเองโดยกำรสรำ้ งชน้ิ งำน(Constructionism)
ทฤษฎี Constructionism เปน็ ทฤษฎีกำรเรียนรู้ทไ่ี ด้ถกู นำมำประยุกตใ์ ชใ้ นกำรจดั กำรศึกษำใน
ยคุ ปัจจบุ ันท่ีให้ควำมสำคัญในเรอื่ งของกำรนำเอำเทคโนโลยีสำรสนเทศมำประยกุ ตใ์ ช้ในกำรจัดกำรเรียนรู้
ของนักเรยี นได้เป็นอยำ่ งดี ซึ่งนักกำรศึกษำไว้ใหน้ ิยำมควำมหมำยของทฤษฎี Constructionism ไว้
ดังตอ่ ไปนี้
22
Seymour Papert (อำ้ งอิงใน สุซิน เพ็ชรกั ษ์, 2544. หน้ำ 16-17) ไดใ้ หน้ ิยำมไวว้ ำ่ ทฤษฎี
Constructionism หมำยถงึ ผ้เู รียนเป็นผ้สู รำ้ งควำมรู้ข้นึ ด้วยตนเองและต้องลงมอื สร้ำงสงิ่ ใดส่ิงหนึ่งข้นึ มำ
เพื่อที่สมั ผสั ได้ มผี ลทำใหเ้ กิดกำรใช้ควำมคิด มคี วำมกระดีอรีอร้น มีควำมรบั ผิดชอบต่อกำรเรยี นรอู้ ย่ำง
จริงจัง และรูว้ ำ่ ตนเองรเู้ พยี งพอเพียงใด รวมทง้ั สำมำรถใช้ส่งิ ทีส่ รำ้ งขน้ึ มำเป็นกำรสรำ้ งสรรค์ควำมคิด
ใหมๆ่ ตอ่ ไปไม่มีท่ีส้ินสุด
สชุ นิ เพช็ รักษ์ (2514) ได้ให้นิยำมไว้วำ่ ทฤษฎีกำรเรยี นรู้เพื่อสร้ำงสรรค์ด้วยปัญญำ
(Constructionism)เป็นทฤษฎีทีผ่ เู้ รียนเปน็ ฝ่ำยสรำ้ งควำมรู้ขึ้นด้วยตนเอง มิใช่ไดม้ ำจำกครูและ ในกำร
สรำ้ งควำมรนู้ ้ันผเู้ รียนจะต้องลงมือสร้ำงสง่ิ ใดสง่ิ หนึ่งขน้ึ มำ โดยอำศัยส่ือและเทคโนโลยซี ึ่งกำรสรำ้ งสง่ิ ที่จับ
ตอ้ งได้ หรือสมำรถมองเหน็ ใด้จะมผี ลทำใหผ้ เู้ รียนต้องใชค้ วำมคิด มีควำมกระตือรือร้น มคี วำมรับผิดชอบ
ตอ่ กำรเรยี นรู้ของตนเองอย่ำงจรงิ จงั
บปุ ผชำติ ทัพหกิ รณ์ (2546) ได้ให้นิยำมไวว้ ่ำ ทฤษฎีกำรเรยี นร้เู พอ่ื สรำ้ งสรรค์ดว้ ยปญั ญำ
(Constructionism) เป็นกำรเรียนร้ทู ีต่ ้องอำศัยวัสดุ สือ่ เทคโนโลยี บรรยำกำศและสภำพแวดล้อมในกำร
เวียนรหู้ รือบริบททำงสงั คมที่ดี ซ่ึงทำใหม้ ีกำรสร้ำงควำมรนู้ ้นั โดยบรรยำกำศและสภำพแวดล้อมต้องมี
ควำมหลำกหลำย (Diversity) มที ำงเลอื ก (Choice)และมีควำมเป็นกนั เอง (Congeniality)
พำรณ อิศรเสนำ ณ อยธุ ยำ (2548) ได้ให้นิยำมไวว้ ำ่ แนวคิดกำรเรยี นรู้เพื่อสร้ำงสรรคด์ ้วย
ปัญญำ(Constructionism) เปน็ แนวคดิ ทฤษฎที ่ีมุ่งเน้นกำรเรียนรู้จำกกำรปฏิบัติ โดยผเู้ รียนจะเรียนรไู้ ด้ดี
นัน้ เกดิ จำกกำรนำเรือ่ งที่เด็กชอบมำใหเ้ ด็กทำ (Construct) โดยบรู ณำกำรวิชำกำรและเรอื่ งที่ควรเรยี นรู้
ตำ่ ง ๆ เขำ้ ไปซ่ึงใช้หลกั กำรเรียนร้ใู นลกั ษณะ Learner Centered Learning.Technology Integrated
for Life Long Learning.
จำกกำรใหน้ ิยำมของนักกำรศึกษำทั้งหลำยสำมำรถสรุปไดว้ ่ำ ทฤษฎีConstructionism เป็น
ทฤษฎีเรียนรูท้ ี่เชือ่ ว่ำผ้เู รียนเปน็ ผู้สร้ำงควำมรูข้ ้ึนด้วยตนเองผ่ำนกำรสรำ้ งสรรค์ขึน้ งำน (Loaming by
Doing) ในสภำพแวดล้อมของกำรเรียนรู้ท่ีหลำกหลำยและเหมำะสมกบั ตวั ผูเ้ รียนโดยครูผ้สู อนจะมหี น้ำที่
คอยให้ควำมสะดวกและสร้ำงบรรยำกำศในกำรเรียนรทู้ ด่ี ี ตลอดจนผู้เรยี นสำมำรถใช้ส่ือและเทคโนโลยใี น
กำรสรำ้ งสรรคผ์ ลงำนออกมำเป็นรปู ธรรมจงึ เกิดกำรเรียนรู้
2. ประวตั แิ ละควำมเปน็ มำของทฤษฎกี ำรสร้ำงควำมรดู้ ว้ ยตนเองโดยกำรสรำ้ งชนิ้ งำน
(Constructionism)
ทฤษฎกี ำรเรยี นรู้เพื่อสร้ำงสรรค์ด้วยปญั ญำเปน็ ทฤษฎีทำงกำรศกึ ษำที่พัฒนำขน้ึ โดย
23
Professor Seymour Paper: เป็นทฤษฎกี ำรเรียนรูท้ ีเ่ น้นผ้เู รียนเป็นผสู้ ร้ำงสรรค์ควำมรดู้ ้วยตนเองจำก
กำรสรำ้ งโครงงำน หรือขึ้นงำนออกมำเปน็ รปู ธรรม โดยทฤษฎีนม้ี พี ืน้ ฐำนจำก 3 ประกำร ดังนี้ (สำนกั งำน
คณะกรรมกำรกำรศกึ ษำแห่งชำติ, 2542)
1. ประสบกำรณจ์ ำกกำรทำงำนร่วมกับ Piaget นกั จติ วิทยำกำรเรยี นรแู้ ละนกั จติ วทิ ยำ
พฒั นำกำรทำใหเ้ กิดควำมคิดและกำรยอมรบั ว่ำ เด็กทุกคนสำมำรถสร้ำงควำมรู้ควำมเข้ำใจในเรือ่ งตำ่ ง ๆ
ไดด้ ้วยตนเอง โดยไมต่ ้องมีหลักสูตร
2. ประสบกำรณจ์ ำกกำรดำรงตำแหนง่ อำจำรยท์ ่ี MIT (Massachusetts Institute of
Technology) ทำให้มีโอกำสได้สัมผสั กับคอมพวิ เตอรแ์ ละเกิดควำมตระหนกั ว่ำ คอมพิวเตอร์เปน็ เคร่ืองมือ
ทม่ี ีพลังอยำ่ งย่ิง ทำให้ผูเ้ ขียนสำมำรถสรำ้ งควำมรู้ไดด้ ้วยตนเอง เป็นพลงั ท่ีจะสง่ เสรมิ ให้ผเู้ รียนสำมำรถข้ำ
ใจคณติ ศำสตรไ์ ด้ เปรยี บเสมือนกบั กำรเรียนภำษำต่ำงประเทศภำษำใดภำษำหน่งึ โดยกำรไปอย่รู ว่ มกบั คน
ท่ใี ห้ภำษำน้ันในชวี ิตประจำวันจำกประสบกำรณ์ดังกลำ่ วส่งผลให้มีกำรคดิ ค้นและพฒั นำโปรแกรม
คอมพวิ เตอรส์ ำหรบั นำมำใช้ตำมกรอบควำมคิดน้ี
3. จำกประสบกำรณ์เก่ยี วกับพัฒนำกำรของเด็ก และศักยภำพของเครื่องมือ ทำให้พบว่ำใน
กำรจัดกำรศึกษำนน้ั ไม่ได้นำธรรมชำตขิ องกำรเรียนรขู้ องผ้เู รียนมำใช้ใหเ้ กิดประโยชนแ์ ต่มุ่งเน้นไปที่กำร
สอน กำรกำหนดรำยวิชำ มเี วลำเรยี นท่แี น่นอน มีกำรสอบ มีครูท่ีมีควำมเชีย่ วชำญเฉพำะเรื่องผลกั ดนั มำ
ใหค้ วำมร้แู ก่เด็กนอกจำกนนั้ Professor Seymour Papert ยังชี้ใหเ้ หน็ ว่ำดว้ ยศักยภำพของเทคโนโลยี
กำรศกึ ษำรปู แบบต่ำง ๆ ท่ที ันสมยั และเป็นรูปธรมใหม่ที่น่ำจะเอื้อให้อำนำจในกำรเรยี นรตู้ กไปอยูก่ ับตัว
ผู้เรยี นเอง ไม่ได้ตกอยู่กบั ผ้สู อนแตเ่ พียงฝ่ำยเดยี ว และเทคโนโลยกี ำรศึกษำจะส่งผลทำให้เกิดกำร
เปลยี่ นแปลงควำมร้ทู ั้งกับตวั ผู้สอนและตวั ผเู้ รียนได้อย่ำงต่อเน่ืองในส่วนตัวผสู้ อนควรเปล่ียนแปลง
ควำมคิดใน 3 ดำ้ น คือ
1. เปลีย่ นจำกกำรมุ่งถ่ำยทอดควำมรู้ทสี่ ะสมไว้ เปน็ กำรให้อิสระแกผ่ ูเ้ รยี นที่จะเลือกทำใน
สิ่งทต่ี นเองสนใจเพ่ือให้ผเู้ รยี นไดใ้ ช้ส่ิงท่ีทำเป็นเปำ้ ซ้อมกระบวนกำรเรยี นรขู้ องตนเองทำไปคดิ ไป
2. เปลี่ยนจำกกำรเป็นผู้ถำ่ ยทอดมำเปน็ ผรู้ ว่ มเรยี น
3. เปลยี่ นจำกกำรเป็นผู้ควบคมุ มำเปน็ ตันแบบของกำรเป็นผ้เู รยี นที่แขง็ ขนั ให้แก่เด็กใน
ส่วนของผ้เู รยี น ผูเ้ รียนต้องเปล่ยี นกรอบควำมคิด (Mindset) จำกกำรเปน็ ผู้รับกำรถ่ำยทอดจำกผ้สู อน หรือ
บคุ คลอนื่ มำเป็นผ้สู ำรวจ ค้นคว้ำ ทดลองเพ่ือสร้ำงควำมรู้หำประสบกำรณด์ ้วยตนเอง
3. แนวคดิ พน้ื ฐำนและหลกั กำรของทฤษฎีกำรสรำ้ งควำมรดู้ ว้ ยตนเองโดยกำรสรำ้ งชนิ้ งำน
24
(Constructionism)
แนวคดิ พ้ืนฐำนของทฤษฎี Constructionism เป็นแนวคดิ ใหมแ่ ละวิธีกำรเรียนแบบใหม่ที่
สอดคล้องกับกำรเปลีย่ นแปลงด้ำนทม่ี ำของควำมรู้ในโถกปัจจบุ นั และอนำคต ควำมรู้มำกมำยและมำจำก
หลำยแห่งซึง่ แตกตำ่ งจำกอดีต Constructionism เป็นทฤษฎกี ำรศึกษำ (Theory of Education)
พฒั นำขน้ึ โดย Professor Seymour Papert แหง่ Massachusetts Institute of Technology (MIT) มี
พน้ื ฐำนมำจำกทฤษฎีควำมรู้ (Theory of Knowledge) ของ Jean Piaget (1896-1980) ซ่ึง Papert ได้
ร่วมงำนกบั Piaget ในช่วงทศวรรษ 1950 ได้รบั อิทธพิ ลอย่ำงมำกในเรอ่ื งกำรเรียนรขู้ องเดก็ Piaget และ
Papert เช่ือว่ำควำมรู้เกิดจำกกำรสร้ำงข้นึ ดว้ ยตัวผู้เรียน กำรศึกษำจึงประกอบดว้ ยกำรจดั โอกำสให้กบั
ผเู้ รียนได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมสรำ้ งสรรค์ กำรเรยี นรทู้ ่ดี ีไม่ไดม้ ำจำกกำรหำวธิ ีกำรท่ีดีกว่ำให้ครูในกำรสอน
แตม่ ำจำกกำรใหโ้ อกำสท่ีดีกวำ่ แก่ผเู้ รียนในกำรสรำ้ งซ่ึง Papert เรยี กว่ำ Constructionism
ทฤษฎี Constructionism ยดึ หลกั กำรทีว่ ำ่ กำรเรยี นท่ที ำให้มีพลังทำงควำมคดิ มำกท่ีสุดเกิดเม่ือ
ผู้เรยี นมีส่วนรว่ มในกำรสร้ำงสงิ่ ที่มีควำมหมำยต่อตนเอง สรำ้ งส่ิงทผ่ี ูเ้ รียนชอบและสนใจ ไม่มใี ครบงกำร
หรือกำหนดไดว้ ่ำสิ่งใดคือสงิ่ ที่มีควำมหมำยของอีกคนหน่งึ ดงั นัน้ กำรมที ำงเลอื กว่ำทำอะไรไดม้ ำกน้อย
เทำ่ ใด ผู้เรยี นกเ็ ต็มใจท่ีมสี ่วนร่วมและทำงำนนน้ั ๆ และกำรที่ผู้เรียนตำมำรถเชื่อมโยงส่งิ ที่ลงมอื ทำได้
เท่ำใด ผ้เู รียนกส็ ำมำรถเชือ่ มโยงควำมรู้ใหม่กบั ควำมรูเ้ ดิมได้มำกเทำ่ น้ัน นบั เปน็ กำรดดู ซึมควำมรู้
(Assimilation of Knowledge) และย่งิ ไปกวำ่ นนั้ คือกำรทบี่ คุ คลน้ันสำมำรถเช่อื มโยงควำมร้เู ขำ้ ด้วยกัน
ด้วยควำมเอำใจใส่ ทำใหเ้ กิดประสบกำรณ์ในกำรเรียนรู้ทล่ี กึ ซ้ึงมีควำมหมำยและยั่งยืน
Constructionism จึงเกี่ยวข้องกบั กำรสร้ำง 2 อย่ำง คือ เมอ่ื ผเู้ รียนสรำ้ งบำงส่ิงเท่ำกบั กำรสร้ำง
ควำมรู้ด้วยควำมร้ใู หม่นีน้ ำไปสร้ำงส่ิงตำ่ ง ๆ ทมี่ คี วำมชบั ซ้อนมำกขึน้ ไปอีก เกิดควำมรู้เพ่ิมมำกข้ึนดว้ ยและ
เป็นวงจรเสริมพลงั ภำยในตนเอง ในวชิ ำคณิตศำสตร์ส่วนใหญผ่ ู้เรียนไดร้ ับกำรสำธติ เทคนิควิธีกำร
แกป้ ัญหำ หรือแสดงรปู แบบวิธที ำในกำรพิสูจนท์ ำงคณิตศำสตร์ต่อจำกน้ันก็ทำกำรบ้ำนซึ่งกำหนดโดย
ผู้สอน วธิ ีกำรทก่ี ลำ่ วเป็นกำรสอนไม่ใชก่ ำรสร้ำง
Papert และคณะ ในปี ค.ศ.1970อกแบบสรำ้ งโปรแกรมคอมพิวเตอรเ์ ป็นสัญลักษณเ์ พื่อให้
ผูเ้ รียนใชค้ ณิตศำสตร์ในกำรสรำ้ งรูปภำพ ภำพเคล่ือนไหว ดนตรี เกมและสถำนกำรณ์จำลองดว้ ย
คอมพวิ เตอร์ ผู้เรียนเป็นฝำ่ ยเริม่ คดิ เริ่มทำ และคน้ หำควำมรู้น้ันซึง่ ก่อให้เกิดควำมเพลิดเพลนิ โดยทผ่ี เู้ รียน
เป็นผู้ควบคมุ สถำนกำรณ์Constructionism เปน็ กำรเรียนรดู้ ว้ ยกำรลงมอื ทำเองจึงทำใหผ้ ู้เรยี นรูจ้ ริง
เพรำะเห็นผลจำกกำรทำไปเรียนไป จึงเป็นวิธกี ำรสอนท่สี ง่ ผลต่อพฤติกรรมกำรเรยี นรู้ กระบวนกำรเรียนรู้
25
เร่ิมจำกคดิ ถงึ สง่ิ ที่อยำกทำหรืออยำกสรำ้ งขึ้นก่อนแลว้ คำสงั่ ทกี่ ่อให้เกิดสง่ิ น้นั จงึ ตำมมำ โดยพยำยำมใช้
คำสง่ั ทสี่ อดคลอ้ งกบั เนื้อหำเร่ืองรำวหรอื สง่ิ ท่ีคิดอยำกสร้ำงขนึ้ จำกแนวคดิ ดังกลำ่ วเปน็ กำรกำหนดให้
ผูเ้ รยี นเป็นศูนย์กลำงของกำรเรยี นรู้ ซง่ึ หมำยถึงกำรเปดิ โอกำสให้ผู้เรยี นได้แสวงหำและค้นพบสงิ่ ที่ไม่เคย
มำก่อนดว้ ยผเู้ รยี นเอง เพ่ือให้มีนิสัยเคยชินกบั กำรหำควำมรู้ด้วยตนเองตลอดไป หำกกระบวนกำรศึกษำมี
สว่ นววั มสร้ำงนสิ ัย กำรรู้จักท่ีเรยี นรู้ต่อไปเรื่อย ๆ เกิด "สงั คม เรียนรู้" (Knowledge Society) สังคมใน
อนำคตมีอตั รำกำรรู้หนงั สอื (Literacy Rate) อตั รำกำรรู้คิด (Mental Literacy Rate) อัตรำกำรเรียนรู้
ด้วยตนเองเพ่ิมมำกขึ้นPapert นน้ั ยอมรับกรอบควำมคิดท่ีวำ่ ผเู้ รยี นเป็นผ้สู รำ้ งควำมรดู้ ้วยตนเอง แต่
เพ่ิมเติมตอ่ ไปอีกว่ำในกำรสร้ำงควำมรู้ (ซ่ึงอยู่ในสมอง) นั้นไดผ้ ลดขี ้ึนเม่ือผูเ้ รียนได้ลงมือสรำ้ งส่ิงทเี่ ปน็ จริง
ในโลกภำยนอกเหมือนกับทเ่ี ด็ก ๆ ใช้ของเลน่ สวำ้ งสง่ิ ตำ่ ง ๆ ขึน้ มำนน้ั เอง น้ันคอื กำรสร้ำงส่ิงทปี่ รำกฎให้
เหน็ ได้หรอื นำไปสกู่ ำรแลกเปล่ียนกนั ไดน้ ้นั ทำใหส้ ำมำรถทวนสอบได้วำ่ กำรคดิ ถูกตอ้ งแลว้ มำกนอ้ ย
เพียงใด และสงิ่ ท่สี ร้ำงขน้ึ มำนนั้ กก็ ลำยเปน็ ตัวกระตนุ้ ใหเ้ กดิ กำรปรบั เปล่ยี นควำมคดิ ต่อไปอกี เป็นวงจรท่ี
ตอ่ เนือ่ ง เสรมิ รบั ซึ่งกันและกันไปไม่มีที่สน้ิ สดุ
ดงั นนั้ กำรจัดกำรสง่ เสริมกำรเรยี นรตู้ ำมกรอบแนวคดิ Constructionism จึงควรเปน็ ไปใน
ลักษณะทผี่ เู้ รยี นแตล่ ะคนมโี อกำสลงมอื สร้ำงส่งิ ตำ่ ง ๆ ตำมโครงงำนท่ีตนเองเลอื ก ค่อยๆแก้ปญั หำที่
เกดิ ขึน้ ไปตำมลำดับจนบรรลเุ ปำ้ หมำยท่ีกำหนดเอง นำควำมคิดและผลงำนของตนเองมำวิเครำะห์และ
แลกเปลย่ี นกบั ผู้อ่นื อยำ่ งเปดิ เผยและจรงิ ใจอย่ำงตอ่ เนอื่ ง โดยครูทเี่ ขำ้ ใจกระบวนกำรเรียนรูอ้ ย่ำงดี เอำใจ
ใส่ผเู้ รยี นแตล่ ะคนอย่ำงใกล้ชดิ คอยให้กำรสนบั สนนุ และสำมำรถเรียนรรู้ ่วมกบั ผเู้ รยี นได้
หลักสำคัญของกำรเรยี นรูต้ ำมทฤษฎี Constructionism 3 ประกำรคอื (Piaget, 1972 อ้ำงอิง
ใน ทศิ นำ แขมมณ,ี 2547)
1. เรียนรู้จำกกำรแก้ปัญหำ โดยกำรสำรวจและทดลองด้วยตนเอง กำรเช่ือมโยง
ควำมรใู้ หมเ่ ข้ำกบั สงิ่ ทรี่ มู้ ำก่อนแลว้
2. กำรนำควำมรู้ที่มีอยเู่ ดิมไปใช้เพื่อสร้ำงสิ่งใหม่ๆ ตอ่ ไป ซง่ึ เขำเชอ่ื รำเทคโนโลยี
คอมพวิ เตอร์เปน็ วัสดุอปุ กรณ์ช้ันเย่ยี มทจ่ี ะชว่ ยพฒั นำสติปัญญำของเด็กได้อยำ่ งมำก ซึ่งเทคโนโลยีอยำ่ งอื่น
ๆไมส่ ำมำรถทำได้ดเี ทำ่ ผเู้ รยี นสำมำรถใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครือ่ งมอื (Constructional Tool) ในกำร
สร้ำงสรรค์สงิ่ ต่ำง ๆ เชน่ กำรสร้ำงแบบจำลองของระบบที่เล็กจนมองไม่เหน็ ด้วยตำเปลำ่ หรือใหญ่จนเกิน
กว่ำท่มี องเหน็ ได้ทงั้ หมดในเวลำเดยี วกัน (Simulation and Modeling)
26
3. กำรทำใหส้ ่ิงท่เี ป็นนำมธรรมสำมำรถแสดงออกมำเป็นรปู ธรรม และใช้สิ่งทเ่ี ปน็ รูปธรรม
นั้นสร้ำงควำมเขำ้ ใจทล่ี กึ ซง้ึ เก่ียวกับนำมธรรมตอ่ ไป นอกจำกน้คี อมพวิ เตอรย์ งั สำมำรถใช้เปน็ ส่ือสำหรับ
ชว่ ยปรับเปลี่ยนควำมคิดในกำรจำแนกหรอื ตดั สนิ ส่งิ ต่ำง ๆ ออกเป็น 2 สง่ิ ทแี่ ตกต่ำงกนั อยำ่ งขัดเจน เช่น
ถูกผดิ ดำขำว มำเป็นกำรหำทำงแก้ไขส่ิงท่ีผิดพลำด (Debugging) ใหส้ ำเรจ็ ลลุ ว่ ง รวมทัง้ มบี ทบำทสำคญั
ในแงข่ องกำรบ่มเพำะวฒั นธรรมท่เี นน้ กำรคิดโดยสติปัญญำใหเ้ กิดข้ึนในจติ ใจของผ้เู รยี นอยตู่ ลดดเวลำ แต่
กระบวนกำรทำงำนที่เกดิ ขน้ึ อยำ่ งเปน็ ระบบและสม่ำเสมอน้ีจะชว่ ยให้เด็กสำมำรถพฒั นำกระบวนกำรคิด
และแก้ไขปัญหำได้ดว้ ยตนเองอย่ำงไม่มที ี่สิ้นสดุ
สำระสำคญั ของทฤษฎีกำรเรียนร้เู พือ่ สร้ำงสรรค์ดว้ ยปญั ญำ (Constructionism)
สุชิน เพ็ชรักษ์ (2544., หนำ้ 17-23) ได้ระบุไว้ว่ำ ประกอบดว้ ยส่วนสำคญั 2 สว่ น คอื
1. ผู้เรียน ผ้เู รยี นตำมแนวคดิ ของทฤษฎีกำรเรียนรู้เพ่ือสร้ำงสรรคด์ ้วยปญั ญำ จะต้องได้รบั
โอกำสดังน้ี
1.1 สรำ้ งควำมรูด้ ว้ ยตนเอง โดยวิธกี ำรดังนี้
1.1.1 คิดและสรำ้ งผลงำนจำกควำมคิดของตนเอง เชน่ คิดแล้วเขยี นออกมำเปน็
หนังสือ ก่อทรำยเปน็ รปู ทรงต่ำง ๆ ประกอบชน้ิ สว่ น LEGOเปน็ รปู รถแล้วเขียนโปรแกรมให้รถแลน่ ได้ ฯลฯ
1.1.2 ระหวำ่ งกำรทำงำน อำจต้องปรับควำมคดิ และวธิ ีกำรทำงำนเป็นระยะ ๆ ทำ
ใหผ้ ู้เรยี นประเมนิ ตนเองไดว้ ่ำ ตนเองร้หู รือยงั ไมร่ ู้ รู้พอหรือยัง
1.1.3 ผ้เู รยี นตอ้ งทดสอบสิ่งทสี่ รำ้ งขนึ้ มำเพ่ือดูวำ่ ผลจำกกำรกระทำตำมควำมคดิ
ใหมจ่ ะเหมือนเดิมหรือไม่ ถำ้ ผลทเี่ กิดเปน็ ของใหม่ควำมคิดจะมีกำรเปลยี่ นแปลงเป็นวฏั จกั รหมุนเวียน
เปล่ยี นไประหว่ำงควำมคิดกับกำรแสดงออก
1.2 ตอ้ งเปิดโอกำสให้ผู้เรียนไดพ้ ดู อธิบำยกระบวนกำรคิด กระบวนกำรลงมอื ทำ
กระบวนกำรแก้ไขปญั หำของตนเองอย่เู สมอ กำรเรยี นรู้ตำมแนวทำงของ Constructionism ตอ้ งมีกำรคิด
ทำ และแลกเปลยี่ นควำมซึง่ กนั และกนั อยำ่ งตอ่ เน่ืองตลอดเวลำ ไมใ่ ชอ่ ยู่กับตนเองหรือกับคอมพิวเตอร์
เทำ่ นั้น
2. เครื่องมือ
2.1 โปรแกรม Logo มกี ำรปรับเปลีย่ นมำหลำยเวอรช์ ันที่นยิ มใชใ้ นปจั จุบนั คือ
MicroWorldsLogo ซึง่ มเี ต่ำเป็นสัญลกั ษณ์ของส่งิ ทีเ่ ป็นรูปธรรม ผเู้ รยี นสำมำรถแสดงควำมคิดของตนเอง
ออกมำเป็นรูปธรรมโดยใชเ้ ต่ำ
27
2.2 LEG0-1090 เปน็ เคร่ืองมือท่ีพัฒนำมำจำก LEGO โดยเพิ่มเติมอปุ กรณบ์ ำงอย่ำงเพ่ือให้
ผเู้ รียนสำมำรถสรำ้ งหุ่นยนต์แบบตำ่ ง ๆ ได้ และเยนรสู้ ำระสำคญั ทำงคณิตศำสตรแ์ ละวิทยำศำสตร์ได้อย่ำง
เปน็ รูปธรรม
2.3 Photo/Camera Journalism เป็นกำรใชก้ ล้อง digital เพอ่ื แสดงควำมคิดดว้ ยภำพ
2.4 Electronic Magazine/Newspaper เปน็ กำรรว่ มมือกันสรำ้ งสื่อแสดงควำมคิดและ
ควำมเป็นจริงผำ่ นวำรสำรหรือหนงั สอื พมิ พอ์ ิเลคทรอนิกส์
2.5 E-Commerce (พำณิชย์อเิ ลคทรอนิกส)์ เปน็ กำรถำ่ ยทอดภมู ิปัญญำและผลผลติ ของ
ชมุ ชนผำ่ นระบบอิเลคทรอนิกส์ ซ่งึ จะทำใหเ้ กดิ กำรเรยี นรู้สง่ิ ทีใ่ ช้ประโยชนใ์ นกำรดำรงชีวิตของชมุ ชนได้
อย่ำงกวำ้ งขวำง
ดงั นัน้ หลกั กำรสำคัญในกระบวนกำรส่งเสรมิ กำรเรียนรตู้ ำมทฤษฎกี ำรเรยี นรูเ้ พ่ือสรำ้ งสรรค์
ดว้ ยปญั ญำมดี ังน้ี
1. กำรเชอื่ มโยงสง่ิ ที่รู้แลว้ กบั ส่งิ ที่กำลังเรยี น เช่น เมื่อนักเรียนสำมำรถเดินเป็นวงกลมส่ีเหล่ียม
สำมเหล่ียมได้ สำมำรถนำเอำระบบกำรคิดจำกกำรเดนิ ทำงไปเปน็ ตรรกะของกำรเขียนคำสั่งให้สิง่ ท่ีอยู่ใน
คอมพวิ เตอรเ์ ดินได้อย่ำงทน่ี ักเรยี นตอ้ งกำร
2. กำรให้โอกำสผูเ้ รียนเปน็ ผูร้ ิเร่ิมทำโครงกำรทต่ี นเองสนใจ กำรสนับสนุนอยำ่ งเพยี งพอและ
เหมำะสมจำกครซู ึ่งไดร้ บั กำรฝึกฝนให้มีควำมเข้ำใจกระบวนกำรเรยี นรอู้ ยำ่ งลึกซ้ึง
2. เปิดโอกำสให้มีกำรแลกเปล่ียนควำมคดิ นำเสนอผลกำรวิเครำะหก์ ระบวนกำรเรยี นรู้
อยำ่ งลึกซึ้ง
4. ให้เวลำทำงำนอย่ำงต่อเน่ือง
หลกั สำคัญของกำรเรยี นรตู้ ำมทฤษฎี Constructionism 3 ประกำร ของ Seymour Papert
(อ้ำงองิ ในสชุ นิ เพช็ รักษ์, 2544, หน้ำ 13) ระบุไวด้ งั นี้
1. กำรเรียนรู้จำกกำรแก้ปัญหำดว้ ยวธิ กี ำรสำรวจ ทดลองด้วยตนเอง
2. กำรเชอื่ มโยงสิง่ ใหมเ่ ข้ำกับส่งิ ท่ีรมู้ ำก่อนแล้ว
3. กำรนำส่งิ ใหม่นัน้ ไปใช้ด้วยตนเอง
อยำ่ งไรกต็ ำมกำรคัดเลือกและพัฒนำครใู ห้มีควำมเข้ำใจในวธิ ีคิดของนักเรียนมเี มตตำ เข้ำใจ
กระบวนกำรเรยี นร้ปู รับเปลีย่ นบทบำทจำกกำรถ่ำยทอดควำมรู้ไปเปน็ ผสู้ นับสนุนใหน้ กั เรียนสำรวจ
ทดลอง คน้ คว้ำ เพื่อสรำ้ งควำมรูด้ ว้ ยตนเอง รวมทงั้ เป็นต้นแบบของผู้ทีใ่ ฝ่หำควำมรูอ้ ย่ำงแข็งขนั และ
28
ต่อเน่ือง ซ่ึงเปน็ เร่ืองที่ต้องใชเ้ วลำและควำมต่อเนอ่ื ง วิธกี ำรพฒั นำครทู ี่มปี ระสทิ ธภิ ำพ คือ กำรนำเข้ำไปสู่
กระบวนกำรเรยี นรู้ทแ่ี ทจ้ ริงสร้ำงควำเข้มำใจด้วยตนเองแล้วค่อยนำไปใชก้ ับผเู้ รียนโดยมีผ้ทู ่ีมี
ประสบกำรณ์คอยใหค้ ำปรึกษำแนะนำ เพื่อใหเ้ กดิ ควำมเข้ำใจลึกซ้งึ ขึน้ เปน็ ลำดบั ดังนัน้ บคุ คลทเี่ กยี่ วขอ้ ง
กับกระบวนกำรเรียนรู้จึงมหี ลำยฝำ่ ยตง้ั แต่ครู ผูเ้ รียนผู้ปกครอง องค์กรชมุ ชนแตล่ ะฝ่ำยก็มีบทบำทหน้ำที่
แตกต่ำงกันไป กำรทคี่ รู ผเู้ รยี น ผู้ปกครององค์กรชมุ ชน มโี อกำสทำกิจกรรมตำ่ ง ๆ ร่วมกนั ในลักษณะทผ่ี ู้
มคี วำมรู้ และผู้เรม่ิ เรียน สำมำรถร่วมกันสำรวจ ทดลองได้อยำ่ งใกลัชิด มีโอกำสคน้ พบสิง่ แปลกใหม่อยู่
เสมอ มีกำรอธิบำยกระบวนกำรทำงำนอย่ำงชัดเจน มีกำรแลกเปลย่ี นควำมคดิ และผลงำนซ่งึ กนั และกันอยู่
ตลอดเวลำปรึกษำหำรือกันเม่ือเกิดมขี ้อผดิ พลำดและชว่ ยกันอยำ่ งเปิดเผย จริงใจ และซื่อตรง กำรรวมกล่มุ
กันทำกิจกำรรมตำ่ ง ๆ ขึ้นอยู่กับควำมสนใจ ไม่มีกำรบังคบั หรอื เป็นไปตำมเงื่อนไขของหนว่ ยงำนใด ๆ ผู้ท่ี
มคี วำมรู้ควำมสำมำรถแตกตำ่ งกนั ก็สำมำรถทำงำนร่วมกนั ได้อย่ำงต่อเน่ืองและกำรมีบรรยำกำศกำร
ทำงำนที่เปน็ ประชำธิปไตยก็จะเปน็ พลงั ในกำรพัฒนำสังคมแห่งกำรเรยี นรใู้ ห้เตบิ โตขน้ึ ได้อย่ำงมน่ั คงและ
ยง่ั ยืนฉะนัน้ จดุ มุ่งหมำยทส่ี ำคัญของกำรจดั กำรเรยี นกำรสอนทคี่ วรจะเปน็ ได้แก่
1. กำรใชเ้ หตุผล
2. กำรคิดอยำ่ งมวี จิ ำรณญำณ
3. กำรแก้ปัญหำ
4. กำรดึงประสบกำรณเ์ ดิมและใชค้ วำมรู้
5. กำรคิดยดึ หยุ่นและถ่ำยโยงควำมรู้
6. กำรคิดไตรต่ รอง
7. กำรแลกเปลีย่ นควำมชำนำญเฉพำะดำ้ น
กำรเรยี นรูต้ ำม Constructionism ต้องมสี ง่ิ แวดลอ้ มทสี่ อดคลอ้ งและสนบั สนนุ ต่อ
กระบวนกำรเรียนรู้ ซึ่ง S.HanK.Bhattacharya (อ้ำงอิงใน ศุภมติ ร เพลงศิลป์วฒั นำ, 2546.หนำ้ 8) ได้
กลำ่ วไว้ ได้แก่
1. กำรบอกถงึ ควำมคำดหวงั
2. กำรจัดทำหลกั สตู ร
3. กำรซักถำม
4. กำรแสดงผลงำน
5. กำรมีโครงกำรที่มีกำรพฒั นำควำมคิดอย่ำงต่อเน่ือง
29
6. ผูเ้ รยี นเกดิ กำรแลกเปล่ยี นควำมคดิ กัน
7. กำรเปิดใจรบั ควำมคิดหรือควำมรู้จำกภำยนอก
8. ผูเ้ รียนตอ้ งมีข้อมลู ทเี่ ป็นข้อเทจ็ จรงิ
องค์ประกอบของกำรสร้ำงสรรคด์ ้วยปัญญำ ซง่ึ ชนำธิป พรกุล (2544, หน้ำ 17) ได้กลำ่ วไว้ 5
ประกำร ดังนี้
1. ควำมรู้เดมิ ของผู้เรยี น ผ้เู รยี นทุกคนย่อมมีควำมรตู้ ดิ ตวั มำและควำมรนู้ ้นั มีคณุ ค่ำทจี่ ะ
นำมำใช้เป็นพนื้ ฐำนเช่ือมโยงกบั สงิ่ ท่ศี ึกษำใหม่
2. จดุ มุ่งหมำยของกำรเรยี นรู้ ผเู้ รยี นควรมเี ป้ำหมำยหรอื ควำมตอ้ งกำรเรียนรู้ จงึ จะทำใหม้ ี
ควำมพยำยำมไปสเู่ ปำ้ หมำยนั้น
3. ข้อมลู เฉพำะท่ีเป็นเร่ืองใหม่ ไดแ้ ก่ ขอ้ เท็จจรงิ ประสบกำรณ์ และควำมร้สู ึก
4. ประสบกำรณเ์ พ่ิมเติมทีท่ ำ้ ทำย หรือขยำยควำมคิด เพื่อให้ผเู้ รยี นได้ใชค้ วำมร้เู ดมิ และ
ควำมร้ใู หม่ทำกำรยืนยัน ปฏิเสธ หรอื ขยำยควำมสงิ่ ที่กำลังคิดอยู่
5. กระบวนกำรสรำ้ งควำมเขำ้ ใจหรือกระบวนกำรทำงสติปัญญำ ทีผ่ เู้ รยี นใช้คันหำวิธีนำ
ข้อมูลใหมไ่ ปสมั พันธก์ บั ควำมรูเ้ ดิม โดยที่ผูเ้ รยี นต้องตั้งคำถำมกบั ตัวเอง กำรไตรต์ รอง ได้ทำกำรอภปิ รำย
กับผอู้ ื่น มขี ้อโตแ้ ย้งแลว้ จงึ ลงมอื สรปุ
ทฤษฎี Constructionism ยืดหลักกำรสำคัญท่วี ำ่ กำรเรียนทที่ ำใหม้ ีกำลงั ทำงควำมคดิ มำก
ท่สี ุดเถดิ เมื่อนักเรียนมสี ว่ นรว่ มในกำรสรำ้ งส่งิ ทม่ี คี วำมหมำยตอ่ ตนเอง สรำ้ งส่งิ ท่ีเด็กชอบและสนใจ ไม่มี
ใครทีจ่ ะบงกำรหรือกำหนดได้ว่ำส่ิงใดคอื สง่ิ ท่ีมคี วำมหมำยของอีกคนหนง่ึ ดว้ ยเหตุนีก้ ำรมีทำงเลือก จงึ มี
โอกำสได้เลือกวำ่ จะสร้ำงอะไรไดม้ ำกเทำ่ ใด ผู้เรยี นก็จะเต็มใจมสี ่วนร่วมและทำงำนกนั และกำรท่ีผู้เรยี น
สำมำรถเชอื่ มโยงส่งิ ท่ลี งมืดทำได้เทำ่ ใด ผู้เรยี นก็จะสำมำรถเช่ือมโยงควำมรู้ใหม่ใหเ้ ขำ้ กับควำมรทู้ ีม่ ีอย่เู ดิม
ซ่งึ เรียกว่ำกำรดดู ซึมควำมรู้ (Assimilationof Knowledge) ยง่ิ ไปกวำ่ นก้ี ็คอื กำรทีบ่ คุ คลน้ันสำมำรถ
เช่ือมโยงควำมรูเ้ ข้ำด้วยกันดว้ ยควำมใสใจจะทำให้เกิดประสบกำรณใ์ นกำรเรยี นร้ทู ส่ี ึก มคี วำมหมำยและ
ยำวนำน สว่ นกำรมีควำมหลำกหลำยเนน้ กำรมีควำมหลำกหลำยของทักษะและรูปแบบ บรรยำกำศและ
สภำพแวดลอ้ มในกำรเรยี นร้ทู ่ีดมี ำก หมำยถึงกำรมีบุคคลท่ีมีทกั ษะแตกตำ่ งกันหลำยระดับต้งั แตผ่ ้รู ู้น้อยจน
รู้มำกในบำงครัง้ อำจหมำยควำมถึงกำรมีผูเ้ ขยี นทม่ี ีอำยแุ ตกต่ำงกนั ในช้ันเรยี น สำหรับส่วนประกอบเรื่อง
ควำมเป็นกันเองควรมีควำมเป็นมติ ร ยนิ ดีต้อนรับและเชื้อเชิญผู้เรยี น และท่ีสำคัญควรให้เวลำทพี่ อเพียงใน
กำรทำงำนและให้เวลำสำหรับกำรใช้สมำธิ กำรพูดคุย กำรฝกึ หัด กำรเดินไปมำและกำรได้ดูวำ่ คนอน่ื เขำ
30
ทำอะไร นอกจำกนี้อำจใช้เวลำสำหรับกำรเรม่ิ ตนั ทีอ่ ำจผดิ พลำด ให้เวลำเม่ือเกดิ กำรติดขดั และให้เวลำ
แม้แตก่ ำรน่งั เฉยๆ นอกจำกน้ีควรใหเ้ วลำกับกำรมีสมั พนั ธ์กับบุคคลอื่นทีม่ ีควำมสนใจทำอะไรท่ีคลำ้ ยกัน
ซ่งึ บรยำกำศและสภำพแวดลอ้ มกำรเรียนรู้ดงั กล่ำวแล้วน้ีจะทำใหเ้ กดิ กำชเรยี นรทู้ ่เี กดิ จำกกำรสร้ำงที่เตม็
ไปด้วยควำมอบอุ่นและสนทิ สนมเหมือนคนอยู่ในครอบครวั เดยี วกันทรี่ ักและสนใจซึ่งกันและกัน (พลสัณห์
โพธส์ิ ที อง, 2541, หน้ำ 1-4)
วำรนิ ทร์ รศั มีพรหม (2511) กลำ่ วว่ำ ทฤษฎกี ำรเรยี นร้แู บบสรำ้ งควำมรใู้ หม่โดยผูเ้ รยี นเอง
(Constructionism) จะเปน็ กำรเรียนรทู้ ่ีสังคมสง่ิ แวดล้อมเขำ้ มำมสี ่วนร่วมและควำมรู้จะถกู สร้ำงข้ึนโดย
กำรประนีประนอมระหว่ำงผเู้ รยี นและผสู้ อน ภำษำและวัฒนธรรมจะเป็นปัจจัยทส่ี ำคัญสำหรับผเู้ รยี นท่ีใช้
เปน็ กระบวนกำรคน้ หำควำมรู้ ผู้เรียนจะสร้ำงควำมรู้ใหมด่ ้วยตนเองมำกกวำ่ ทจ่ี ะซึมชำบควำมคดิ ควำม
จรงิ ท่เี ขำ้ มำสู่ตนเอง โดยมีควำมมุ่งหมำยของกำรเรยี นที่ขัดเจนแตแ่ นวทำงทจ่ี ะนำไปสู่ปลำยทำงนน้ั จะ
เปน็ อสิ ระ หรือเปน็ ระบบเปิด (Open System) ซึง่ จะเปดิ โอกำสให้ผเู้ รยี นมีสิทธิทจี่ ะเลือกแนวทำงของ
ตนเองได้
ชยั อนนั ต์ สมุทรวำณิช (2534) กลำ่ ววำ่ ทฤษฎกี ำรเรยี นรูแ้ บบสร้ำงควำมรใู้ หมโ่ ดยผู้เรยี นเอง
(Constructionism) ยึดหลักกำรท่วี ำ่ กำรเรยี นทท่ี ำใหม้ กี ำลงั ทำงควำมคิดมำกท่ีสุดเกิดข้ึนเมอ่ื นักเรียนมี
ส่วนร่วมในกำรสรำ้ งสิ่งทมี่ คี วำมหมำยต่อตนเอง สร้ำงสง่ิ ท่เี ด็กชอบและสนใจไม่มีใครท่ีจะบงกำรหรือ
กำหนดวำ่ ส่ิงใดคือสิง่ ที่มคี วำมหมำยอกี คนหน่งึ ดว้ ยเหตุนีก้ ำรมีทำงเลือกจงึ เปน็ สว่ นประกอบท่สี ำคัญส่วน
หน่งึ ของบรรยำกำศและสภำพแวดล้อมในกำรเรยี นรู้ทดี่ ี
Constructionism ซึง่ มหำวิทยำลัยเทคโนโลยพี ระจอมเกล้ำธนบุรี (2541) ไดก้ ลำ่ วไว้วำ่
Constructionism หรอื ทฤษฎีกำรสรำ้ งองค์ควำมรู้ด้วยตนเอง เปน็ ทฤษฎกี ำรเรียนรู้ทเี่ น้นผู้เรียนเปน็
ผูส้ ร้ำงองค์ควำมรูด้ ว้ ยตนเอง มสี ำระสำคัญทว่ี ำ่ ควำมรู้ไม่ใช่มำจำกกำรสอนของครหู รือผูส้ อนเพยี งอย่ำง
เดียว แตค่ วำมรู้จะเกดิ ขนึ้ และสร้ำงข้ึนโดยผเู้ รียนเกง กำรเรียนรจู้ ะเกิดขึ้นได้ดีกต็ ่อเมื่อผเู้ รยี นได้ลงมือ
กระทำด้วยตนเอง (Leaning by doing) นอกจำกนน้ั มองลึกลงไปถึงกำรพัฒนำกำรของผู้เรียนในกำร
เรยี นรซู้ ่ึงจะมีมำกกว่ำกำรไดล้ งมือปฏิบตั ิส่งใดสิ่งหนง่ึ เท่ำนน้ั แตย่ ังรวมถึงปฏิกิรยิ ำระหว่ำงควำมรใู้ นตัวของ
ผ้เู รยี นเอง ประสบกำรณแ์ ละส่งิ แวดลอ้ มภำยนอก หมำยควำมว่ำ ผู้เรียนจะสำมำรถก็บข้อมูลจำก
ส่ิงแวดลอ้ มภำยนอกและเกบ็ เข้ำไปเปน็ โครงสร้ำงของควำมรภู้ ำยในสมองของตนเอง ขณะเดยี วกันก็
สำมำรถเอำควำมรูภ้ ำยในท่ีตนเองมืออยู่แลว้ แสดงออกมำใหเ้ ข้ำกับสงิ่ แวดล้อมภำยนอกได้ ซ่ึงจะเกดิ เป็น
วงจรตอ่ ไปเรื่อย ๆ ได้คือ ผู้เรียนจะเรียนร้เู องจำกประสบกำรณ์ สิง่ แวดลอ้ มภำยนอก แล้วนำขอ้ มูลเหลำำ
31
นก้ี ลบั เขำ้ ไปบนั ทึกในสมองผมผสำนกับควำมรู้กำยในท่ีมอี ยู่ แลว้ แสดงควำมรอู้ อกมำสูส่ ิง่ แวดลอ้ ม
ภำยนอกดงั นน้ั ในกำรลงม็อปฏบิ ัตดิ ว้ ยตนเอง (Loaming by doing) จะไดผ้ ลดถี ำ้ หำกว่ำผ้เู รียนเขำ้ ใจ
ในตนเอง มองเห็นควำมสำคญั ในสง่ิ ทเี่ รยี นรู้และสำมำรถเชื่อมโยงควำมรู้ะหวำ่ งควำมรู้ใหมก่ บั ควำมรูท้ ำ
(วำ่ ตนเองได้เรียนรจู้ ะไรบำ้ ง และสร้ำงเป็นองค์ควำมร้ใู หม่ขึน้ มำ ซ่ึงท้ังหมดจะอยภู่ ำยใต้ประสบกำรณ์และ
บรรยำกำศทเี่ อื้ออำนวยต่อกำรเรียนรนู้ ั่นเอง
Seymour Papert (อำ้ งองิ ใน มหำวทิ ยำลยั เทคโนโลยีพระจอมเกลำ้ ธนบุรี, 2541) ได้ให้
ควำมเหน็ ว่ำ ทฤษฎีกำรศึกษำกำรเรยี นรู้ ท่ีมีพนื้ ฐำนอยูบ่ นกระบวนกำรกำรสร้ำง2 กระบวนกำรด้วยกัน สงิ่
แรก คือ ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยกำรสร้ำงควำมรใู้ หม่ขนึ้ ดว้ ยตนเอง ไม่ใช่รบั แตข่ ้อมูลท่ีหลง่ั ไหลเข้ำมำในสมอง
ของผเู้ รียนเท่ำนั้น โดยควำมรูจ้ ะเกิดข้ึนจำกกำรแปลควำมหมำยของประสบกำรณ์ท่ีไดร้ ับ ส่ิงทส่ี อง คือ
กระบวนกำรกำรเรียนรจู้ ะมีประสิทธิภำพมำกทส่ี ุดหำกกระบวนกำรนน้ั มีควำมหมำยกบั ผู้เรยี นคนนนั้ ซ่งึ
กำรเรียนรจู้ ะเกิดขึ้นไดด้ กี ็ต่อเมอ่ื ไดร้ ับประสบกำรณ์ตรงหรือลงมือทำดว้ ยตนเอง (Leaning by doing) ได้
มสี ่วนรว่ มในกำรสร้ำงทีม่ ีควำมหมำยกับตนเอง ทำให้ผ้เู รียนสำมำรถเช่ือมโยงผสมผสำนควำมรูร้ ะหวำ่ ง
ควำมรู้ใหม่กับควำมรู้ที่มอี ยเู่ ดิมและสร้ำงเปน็ องค์ควำมรูใ้ หม่ข้ึนมำ กำรลงมือทำด้วยตนเองโดยกำรไดท้ ำ
ส่ิงทตี่ นเองชอบหรือสนใจ ซึง่ ในขณะท่ีทำสงิ่ ท่ีตนเองสนใจหรอื ชอบกจ็ ะได้ควำมรจู้ ำกระบวนกำรที่ทำไป
พรอ้ ม ๆ กนั
ดังนั้น กำรจัดกระบวนกำรเรียนรตู้ ำมแนวทำงท่เี หมำะสมของเรำเอง เรำจะเกิดควำมใส่ใจกับ
งำนของเรำ เกดิ ควำมสุขในกำรทำงำน เกิดควำมภำคภูมใิ จเมื่อทำสำเรจ็ ในกำรทำสงิ่ ต่ำง ๆทเ่ี รำคดิ เอง แม้
บำงครั้งเม่ือเกิดปัญหำขึ้นเรำกจ็ ะพยำยำมหำวซิ ีกำรแก้ไขปัญหำตำมแนวทำงท่ีเรำถนัดและเป็นแนวทำงที่
เหมำะสมกบั ตวั เรำเองสงั เกตว่ำในขณะท่เี รำสนใจทำสิ่งใดสง่ิ หนง่ึ อยู่อย่ำต้งั ใจเรำจะไมล่ ดละควำม
พยำยำม เรำจะคิดหำวิธีกำรแกไ้ ขปัญหำนั้นจนได้ลักษณะกำรเรยี นรู้อย่ำงมคี วำมสุขนคี้ รูหลำยคนอยำกให้
เกดิ ขนึ้ แต่กระบวนกำรนจี้ ะเกิดขึ้นได้อย่ำงไร และมีวิธีกำรอยำ่ งไร ซง่ึ มหำวิทยำลยั เทคโนโลยีพระจอม
เกล้ำธนบุรี (2541)ได้ระบเุ งื่อนไขไว้ 3 ประกำร คือ
1. ผ้เู รียนไดล้ งมอื ประกอบกิจกรรมดว้ ยตนเอง (ไดส้ ร้ำงงำน) ตำมควำมสนใจตำมควำมชอบ
หรอื ควำมถนัดของแตล่ ะบุคคล
2. ผู้เรยี นไดอ้ ยใู่ นบรรยำกำศและสภำพแวดลอ้ มในกำรเรยี นรทู้ ีด่ ี มีทำงเลือกในกำรเรียนรู้ท่ี
หลำกหลำย (Many Choice) และเหมำะสำหรบั กำรสร้ำงองค์ควำมร้ดู ว้ ยตนเอง อยำ่ งมีควำมสุข
3. มเี คร่ืองมืออุปกรณใ์ นกำรประกอบกิจกรรมกำรเรียนรูท้ เี่ หมำะสม โดยเครื่องมือนัน้
32
จะต้องใช้สร้ำงงำนอย่ำงสอดคล้องกับ 2 ข้อท่ีได้กลำ่ วมำ คือ มีทำงเลือกในกำรเรียนร้ทู ี่หลำกหลำยและ
กำรไดส้ รำ้ งสง่ิ ที่มีควำมหมำยกับตนเองอันจะนำไปสู่กำรสร้ำงองค์ควำมรู้ดว้ ยตนเองอย่ำงไรกต็ ำม กำร
สร้ำงโอกำสใหก้ บั ผเู้ รียนเกิดกำรสรำ้ งสรรคบ์ นพน้ื ฐำนทฤษฎี Constructionism น้ี จำเป็นต้อง
ประกอบดว้ ยแนวคิดกำรสร้ำงส่งิ แวดล้อมในกำรเรียนรู้ (Environment) หรือบรบิ ททำงสงั คมทเ่ี ก่ียวขอ้ ง
กบั กำรสร้ำงควำมรู้ (ชัยอนนั ต์ สมุทรวณชิ , 2541)
ซ่ึงมปี ระเด็นหลัก 3 ประเดน็ คอื
1. ทำงเลือก (Choice) กำรเรยี นรู้จะเกดิ ขึ้นอย่ำงมพี ลงั เมือ่ ผู้เรียนมีสว่ นร่วมในกำรสรำ้ ง
ผลผลิตทม่ี คี วำมหมำยต่อตนเอง คนเพียงหนึง่ คนไม่สำมำรถสัง่ กำร (Dictate) ได้วำ่ อะไรที่จะมีควำมหมำย
สำหรบั คนอนื่ ยิง่ ผู้เรียนมีทำงเลือกในกำรสร้ำงท่จี ะรเิ ริ่มงำนของตนเองมำกเทำ่ ใดเขำก็จะใส่ใจและชอบที่
จะคิดค้นงำนของเขำตอ่ ไปมำกเทำ่ นั้น องคป์ ระกอบทส่ี ำคัญของแต่ละบคุ คลและสิง่ ท่ีเขำสนใจจะทำให้
ประสบกำรณีในกำรเรยี นรู้มีควำมลึกซึง้ มคี วำมหมำยอยู่ได้นำนและก่อใหเ้ กิดกำรเชื่อมโยงควำมรใู้ หม่เขำ้
กบั ควำมรู้เดิมทม่ี ีอยแู่ ลว้ มำกย่งิ ข้นึ ซง่ึ Piaget เรยี กสิ่งนี้วำ่ กำรกลนื กลำยควำมรู้ (Assimilation of
Knowledge)
2. ควำมหลำกหลำย (Diversity) สำมำรถจำแนกได้เป็น
2.1 ควำมหลำกหลำยด้ำนทักษะ (Diversity of Skills) สิ่งแวดลอ้ มในกำรเรียนร้ทู ่ีดี
ประกอบดว้ ย กำรมีผคู้ นท่ีมีทกั ษะแตกตำ่ งในหลำยระดบั เริ่มจำกผทู้ ่ีเริ่มรู้ไปจนถึงผ้เู ชยี่ วชำญมำรว่ มงำน
กัน บำงคร้ังยงั หมำยถงึ กำรมผี ้เู รยี นท่มี อี ำยุแตกตำ่ งกนั มำเรียนในช้ันเดียวกนั ดว้ ยซ่ึงในสภำพท่มี ีควำม
หลำกหลำยนี้ คนทมี่ ีประสบกำรณ์นอ้ ยกว่ำ สำมำรถเรยี นร้ไู ดม้ ำกจำกกำรปฏิสัมพนั ธ์ และวมทำงำนกบั ผูท้ ่ี
มีทกั ษะแตกตำ่ งกนั ออกไป ส่วนผ้เู รียนทีม่ ีประสบกำรณ์มำกกวำ่ กส็ ำมำรถปรุงแตง่ ควำมรแู้ ละทักษะทต่ี นมี
อยู่ เพ่ือไปช่วยเหลอื แลกเปล่ียน หรืออธบิ ำยให้กับผู้อนื่ ได้ ควำมหลำกหลำยในทักษะและควำมสำมำรถน้ี
จะช่วยใหเ้ กดิ กำรสร้ำงจินตนำกำรทส่ี ร้ำงสรรค์กบั ทุกคน มีกำรหยิบยืน่ ควำมคิด ก่อให้เกิดกำรสร้ำงควำมรู้
ใหมท่ นี่ ่ำต่ืนเตน้ และหลำกหลำยได้
2.2 ควำมหลำกหลำยดำ้ นรปู แบบ (Diversity of Styles) ในกำรสร้ำงสง่ิ ใดสงิ่ หน่ึงข้นึ
นน้ั ไม่ได้หมำยควำมว่ำ จะมีคนเพียงคนเดยี วทม่ี ีวิธีกำรทำทถี่ กู ต้องเท่ำน้นั ในระบบกำรทำงำนบำงคนอำจ
ชอบทจี่ ะวำงแผนอย่ำงดีก่อนแล้วจึงลงมือทำตำมแผนนั้นซ่ึงเขำอำจมกี ำรปรับปรุงแผนในระหว่ำงที่ทำ แต่
ก็ไม่ใดน้ มำยควำมว่ำเปน็ เพยี งวิธีกำรทำงำนวิธีเดียวเทำ่ นนั้ คนบำงคนอำจจะชอบทำงำนโดยท่ีไมม่ ี
แผนกำรทำงำนมำก่อน แตต่ อ้ งกำรทจ่ี ะ "ได้ตอบ" (Dialog) เทย่ี วกบั กำรสรำ้ งของเขำ โดยกำรลงมือทำเลย
33
ทนั ที แลว้ หยุดมองส่ิงท่เี ขำสรำ้ งขนึ้ เพ่ือตัดสินใจวำ่ ควรแกไ้ ข ปรับปรงุ หรอื ทำอะไรต่อไป ซ่ึงคนกลุม่ น้ี
เรยี กว่ำ คนทที่ ำงำนโดยไม่ยดึ แบบแผนตำยตัว (Tinkerers) ซ่ึงคนทั้งสองกลมุ่ น้ี ถอื ว่ำมคี วำมสำคัญเทำ่ กนั
และต้องใช้อสิ ระและกำรยอมรบั นับถือในวธิ ีกำรทำงำนของพวกเขำอยำ่ งเทำ่ เทยี มกัน
2.3 ควำมเป็นกลั ยำณมิตร (Congeniality) กำรสร้ำงบรรยำกำศในกำรเรียนรู้ท่ี
สนุกสนำน สบำยและมคี วำมเปน็ มติ รระหวำ่ งครแู ละผู้เรียนน้นั จะทำใหผ้ ู้เรียนรสู้ กึ เป็นอิสระและ
ปรำศจำกควำมกดดันรวมทัง้ ชว่ ยให้กระบวนกำรเรียนร้เู กดิ ขน้ึ ไดเ้ ปน็ อย่ำงดีแนวคดิ ทฤษฎี
Constructionism จึงเรียกได้วำ่ เปน็ ทฤษฎที ีห่ ลำกหลำยบูรณำกำรอยำ่ งทนั สมยั สำมำรถนำมำ
ประยุกต์ใช้กบั กำรเรียนกำรสอนในยคุ ปจั จบุ ันที่มีเทคโนโลยีทำงกำรศึกษำและสื่อดจิ ิทัลร่วมสมัย ตลอดจน
แหล่งเรยี นรู้ทห่ี ลำกหลำยเพ่ือมำกระตุ้นให้ผเู้ รียน
3. แนวทำงกำรดำเนนิ กจิ กรรมกำรสอนตำมทฤษฎกี ำรสร้ำงควำมรดู้ ว้ ยตนเองโดยกำรสรำ้ ง
ชนิ้ งำน (Constructionism)
มหำวิทยำลยั เทคโนโลยพี ระจอมเกลำ้ ธนบุรี (2541) ได้กล่ำวไว้วำ่ วธิ กี ำรสอนตำมแนวทำง
ทฤษฎี Constructionism นั้นเปน็ กำรเรยี นกำรสอนทเ่ี น้นั ให้ผ้เู รียนมีกำรเรยี นรู้จำกกำรสร้ำงสงิ่ ท่ีมี
ควำมหมำยกับตนเอง ดงั นั้นครเู องควรมีหลกั ในกำรสอนเพื่อใหเ้ กดิ กระบวนกำรเรยี นรู้ที่ดแี ผเู้ รยี น โดยมี
ชั้นตอนในกำรถ่ำยทอดควำมรู้ ดังต่อไปน้ี
1. มกี ำรแนะนำตนเอง เป็นกำรสรำ้ งควำมสมั พันธท์ ี่ดรี ะหวำ่ งครูและผู้เรยี น หลงั จำกนัน้
จะมีกำรพูดคยุ เพื่อเชอ่ื มโยงเข้ำสู่เรอื่ งที่จะเรยี น เป็นกำรแนะแนวทำงและบอกเปำ้ หมำยใหผ้ ้เู รียนทรำบ
2. ใหผ้ ู้เรยี นลงมือปฏิบัติกจิ กรรมดว้ ยตนเอง คือ ให้ผู้เรยี นได้รับโอกำสลงมือปฏิบตั ิ
กิจกรรมด้วยตนเอง กำรให้ผู้เรียนลงมอื ปฏบิ ตั นิ ัน้ อำจมีควำมแตกตำ่ งกันบ้ำงในขัน้ ตอนโดยพจิ ำรณำจำก
2.1 พื้นฐำนของผเู้ รยี น ในกรณีท่ีผเู้ รยี นมีพ้นื ฐำนน้อยหรือไมม่ ีพน้ื ฐำนมำก่อนก็ควร
สอนพื้นฐำนท่จี ำเปน็ และพอเพยี งกับผู้เรยี น หลงั จำกน้ันให้ผู้เรยี นได้ลองปฏบิ ตั ดิ ้วยตนเองซักระยะหน่งึ
แล้วจึงคอ่ ยใหผ้ ูเ้ รยี นคิดหัวข้อที่อยำกจะทำ หรอื ถำ้ ผเู้ รยี นมพี ้นื ควำมรู้มำแล้วก็ให้คิดหัวขอ้ ท่ีอยำกจะทำ
และใหล้ งมือปฏบิ ัตเิ ลย
2.2 ลักษณะกลมุ่ แบ่งได้ 2 ลักษณะตำมกลุม่ ทำงำนคือ งำนที่ทำคนเดยี วและงำนท่ีทำ
เปน็ กลมุ่ ในกรณีท่เี ป็นงำนเด่ียวก็ให้ผเู้ รยี นคดิ หวั ชดั ที่จะทำด้วยตนเอง แต่ถำ้ เป็นงำนกล่มุ ครจู ะให้ผเู้ รยี น
แต่ละคนเสนอหวั ข้อทอ่ี ยำกจะทำ เมื่อทุกคนเสนอหมดแล้วครูจะรวมกลุ่มผทู้ สี่ นใจทำในหัวข้อคลำ้ ย " กัน
เป็นกลุ่มเดยี วกนั แลว้ จงึ ให้ปฏิบัตงิ ำนในกำรที่ใหผ้ ู้เรียนคดิ หัวขอ้ ท่ีอยำกทำด้วยตนเองนนั้ เปรยี บเสมอื น
34
กำรใหผ้ ้เู รียนกำหนดเป้ำหมำยทอี่ ยำกจะทำดว้ ยตนเองดงั น้ันผเู้ รยี นจะพยำยำมไปสจู่ ุดมุ่งหมำยนน้ั จน
สำเร็จดว้ ยตนเอง หรอื ในกำรรวมกลุม่ คนทีอ่ ยำกจะทำอะไรคล้ำยๆ กันเขำ้ ดว้ ยกันจะเป็นกำรสร้ำง
ควำมรู้สึกควำมมีสว่ นร่วมของควำมคิดที่ชอบงำนคลำ้ ย ๆ กนั และสร้ำงควำมรู้สึกวำ่ งำนนน้ั เปน็ ส่วนหน่ึง
ของกลมุ่ ที่จะต้องช่วยกันคิดช่วยกันทำและผลักดนั ใหก้ ล่มุ ดำเนินงำนบรรลุเปำ้ หมำยในข้ันตอนกำร
ปฏิบตั งิ ำนนัน้ จะให้ผ้เู รียนลงมอื ปฏิบตั ิกจิ กรรมไปเรอ่ื ย ๆ และจะมกี ำรสอนเนอื้ หำบ้ำงเป็นบำงคร้งั โดย
ครูจะเป็นผู้พิจำรณำเน้ือหำท่ีสอนว่ำควรจะสอนเน้ือหำใด เช่นครอู ำจจะสังเกตเห็นวำ่ กำรสร้ำงงำนของ
ผูเ้ รียนสว่ นใหญ่มักพบปญั หำบำงอยำ่ งคล้ำย ๆ กนั และพจิ ำรณำว่ำบัญหำนัน้ เกิดจำกผ้เู รยี นขำดทักษะ
บำงอยำ่ ง ครกู จ็ ะสอนเน้อื หำนั้นให้แกผ่ ูเ้ รียนสว่ นกำรสอนโดยทั่ว ๆ ไป ครจู ะใชเ้ ทคนคิ กำรสอนแบบ
Interactive Teaching คอื เขำ้ ไปมีปฏิสัมพนั ธ์กบั ผ้เู รยี น เดนิ ไปสังเกตกำรทำงำนของผู้เรยี นแต่ละคนวำ่ มี
ปัญหำใด และพจิ ำรณำวำ่ ปัญหำนัน้ ครูตอ้ งเขำ้ ไปสอนเพรำะเปน็ ปญั หำทอ่ี ำจจะยำกเกินไปสำหรบั ผเู้ รยี น
หรอื ถ้ำผ้เู รียนมีควำมพร้อมที่จะรบั เนื้อหำนัน้ แลว้ ควรก็จะถำ่ ยทอดเนือ้ หำนนั้ ใหก้ บั ผ้เู รยี น ส่วนวธิ กี ำร
ถำ่ ยทอดเน้ือหำจะเป็นกำรถำ่ ยทอดรำยบุคคลดว้ ยเทคนิควิธีกำรทีเ่ หมำะสมกับผ้เู รยี นคนน้นั ๆ (เน่ืองจำก
ผู้เรียนแตล่ ะคนมีควำมแตกต่ำงกันในกำรเรียนร้หู รอื ควำมพรอ้ มดำ้ นทักษะต่ำง ๆ) ดงั นนั้ กำรถ่ำยทอด
เนือ้ หำใหก้ บั ผู้เรยี นแต่ละคนจะมีวธิ ีกำรท่ีไมเ่ หมือนกนั บำงคนแคแ่ นะนำ บำงคนตอ้ งทำใหด้ ู บำงคนต้อง
ช่วยกนั คิดช่วยกนั ทำ ซึ่งเรอ่ื งนีค้ รเู องจะตอ้ งเข้ำไปสัมผสั กบั ผู้เรียนและพิจำรณำด้วยตนเองหลงั จำกที่
ผ้เู รยี นไดล้ งมอื ปฏบิ ตั กิ จิ กรรมไปชักระยะหนง่ึ แล้ว และครไู ดพ้ จิ ำรณำวำ่ ผ้เู รียนได้มีประสบกำรณ์ในกำร
ปฏบิ ตั งิ ำนพอสมควรแลว้ อำจจะนดั พูดคยุ กบั ผเู้ รียนท้ังหมดเพอ่ื แลกเปลีย่ นควำมคิดเห็น หรือเสนอปัญหำ
บำงอยำ่ งทผี่ ูเ้ ว่ยี นพบโดยเปีดโอกำสให้ผู้เรียนแสดงควำมคิดเหน็ อยำ่ งอสิ ระ หรือชักถำมข้อสงสัย หรอื
นำเสนอผลงำนของตนท่ีไดส้ ร้ำงไปแล้ว ในข้ันน้ีครจู ะตอบปัญหำข้อสงสัย แสดงควำมคดิ เห็น หรือ
ยกตวั อยำ่ งปญั หำบำงอยำ่ งท่ีพบให้ผูเ้ รียนช่วยกันแก้ไข แตโ่ ดยรวมแลว้ จะพยำยำมตะล่อมใหผ้ ู้เรยี น
ประจกั ษ์แก่ใจตนเองวำ่ ตนได้เรยี นรู้ส่งิ ใดด้วยตนเองไปแลว้ บ้ำง ส่วนผเู้ รียนจะนำขอ้ มูลที่ได้ไปวเิ ครำะหเ์ อง
หรือรว่ มวิเครำะห์กบั เพื่อน ๆสำหรบั กำรนดั ประชมุ น้ันไม่อำจกำหนดให้ชดั เจนได้วำ่ ควรจะทำตอนไหน แต่
ครเู องจะเปน็ ผู้พจิ ำรณำวำ่ เมื่อใดท่ีควรนดั เพรำะกำรสอนในแต่ละคร้งั นั้นจะมตี วั แปรต่ำง 1 ท่ีแตกตำ่ งกนั
ครผู ู้สอนเทำ่ น้ันจะเปน็ ผทู้ ร่ี ดู้ ีท่ีสุดว่ำเมอื่ ใดควรจะนดั ประชมุ
3. กำหนดระยะเวลำในกำรเสนอผลงำน ในกำรใหผ้ ้เู รียนสร้ำงงำนนนั้ ครคู วรกำหนด
ระยะเวลำในทำงำนให้ผ้เู รยี นทรำบลว่ งหนำ้ พอสมควรจะต้องมีกำรนำเสนอผลงำนเมื่อไหร่เพื่อผเู้ รียนจะ
ไดว้ ำงแผนกำรทำงำนให้เสร็จทันตำมกำหนด
35
4. กำรนำเสนอผลงำน หลงั จำกทผ่ี ูเ้ รียนปฏบิ ัติกจิ กรรมจนสน้ิ สุดแลว้ ครูจะให้ผเู้ รยี น
นำเสนอผลงำนของตนเอง ในขัน้ ตอนนเ้ี ป็นกำรเปิดโอกำสใหผ้ ู้เรียนกล้ำแสดงออกต่อหนำ้ บุคคลอ่นื ๆ
(ภำยในบรยำกำศท่เี ป็นมิตร) ผ้เู รยี นจะนำเสนอควำมคิดและควำมรู้ของเขำออกมำจำกผลงำนทเ่ี ขำเปน็
ผสู้ ร้ำงข้ึนมำเอง ในข้ันตอนนค้ี รจู ะสำมำรถตรวจสอบควำมคดิ ของผเู้ รียนไดแ้ ละสำมำรถวจิ ำรณเ์ ชิง
สรำ้ งสรรคถ์ ึงผลงำนของผู้เรยี น รวมท้ังเปดิ โอกำสให้เพื่อน ๆ สมำชกิ ได้แสดงควำมคิดเหน็ กบั ผลงำนท่ี
นำเสนอได้หลังจำกกำรนำเสนอผลงำนของผเู้ รียนเสร็จสน้ิ แล้วผสู้ อนและผู้เรยี นก็จะมกี ำรพดู คยุ ถงึ
กระบวนกำรเรยี นรู้ทไี่ ด้จำกกำรปฏบิ ัติ ท้งั ในทำงทฤษฎีและทำงปฏบิ ตั ิ นอกจำกน้ันอำจจะมีกำรตอบ
ปญั หำขอ้ อสงสัย หรอื พดู คยุ แสดงควำมคดิ เหน็ ซ่งึ ในตอนน้ีครจู ะพยำยำมสรุปประเดน็ เพ่อื ดึงควำมคิดของ
ผู้เรียนใหป้ ระจกั ษ์แก่ใจตนเองวำ่ ตนได้เรียนรู้สิง่ ใดด้วยตนเองไปแลว้ บ้ำง รวมทัง้ พยำยำมช้แี นะเกีย่ วกบั
กำรนำควำมรู้ท่ีได้ไปประยุกต์ใชใ้ หเ้ ปน็ ประโยชน์ในชีวติ จริงได้
จำกหลักกำรทีว่ ่ำกำรเรียนรตู้ ำมแนวทำงของทฤษฎี Constructionism เป็นกำรเรยี นกำรสอน
ทผ่ี ูเ้ รียนมกี ำรเรียนรจู้ ำกกำรสร้ำงส่งิ ทีม่ คี วำมหมำยกบั ตนเอง ผสู้ อนจะเปิดโอกำสให้ผเู้ รียนไดด้ ำเนิน
กจิ กรรมกำรเรียนด้วยตนเองโดยกำรลงมือปฏบิ ัตหิ รือสรำ้ งงำนทตี่ นเองสนใจในขณะเดยี วกันกเ็ ปดี โดกำส
ใหส้ มั ผัสและแลกเปล่ียนควำมรู้กบั สมำชกิ ในกลุม่ ดังนัน้ กำรสอนลักษณะนี้จะเนน้ กำรสอนโดยใหผ้ ู้เรยี น
เป็นศนู ย์กลำงกำรเรยี นรู้ คอื วิธกี ำรสอนที่ผู้เรียนดำเนนิ กิจกรรมกำรเรยี นรดู้ ว้ ยตนเองเป็นส่วนใหญ่
ผู้เรยี นสำมำรถเลือกสร้ำงงำนหรอื ปฏิบัติในสง่ิ ทม่ี ีควำมหมำยกบั ตนเองหรือที่ตนเองสนใจ แตใ่ น
ขณะเดยี วกันก็มบี ำงชว่ งที่ยึดผู้สอนเป็นศูนย์กลำงดงั เชน่ ตวั อยำ่ งท่ีกลำ่ วมำข้ำงต้น จะเห็นว่ำในช่วงแกนั้น
ผสู้ อนจะมบี ทบำทมำกในกำรสอนพนื้ ฐำนทจี่ ำเปน็ กับผู้เรยี น แต่พอใหน้ ักศึกษำสรำ้ งงำนผู้สอนก็จะลด
บทบำทตัวเองลงเป็นผ้ใู ห้คำแนะนำและชว่ ยเหลอื ผู้เรยี น ดังนัน้ จะเห็นวำ่ วิธีกำรสอนตำมแนวทำงทฤษฎี
Constructionism จะไม่กำหนดลงไปวำ่ จะต้องใหผ้ ู้เรียนเปน็ ศูนยก์ ลำงเพียงอยำ่ งเดียว แต่มกี ำร
ปรบั เปลยี่ นวิธีกำรสอนในแต่ละช่วงใหเ้ หมำะสมอย่ตู ลอดเวลำ คอื เนน้ ผู้เรยี นเปน็ ศนู ยก์ ลำงกำรเรียนรู้
นน่ั เองอย่ำงไรกต็ ำมวธิ ีกำรสอนแตล่ ะอย่ำงอำจเหมำะสมหรือใชไ้ ดผ้ ลดีในสภำพกำรณ์ทแี่ ตกต่ำงกัน ท้งั น้ี
ขนึ้ อยู่กับลักษณะของเนือ้ หำทใ่ี ชส้ อน ลักษณะผู้เรยี น ควำมสำมำรถของผู้สอนและสภำพแวดล้อมในกำร
ดำเนนิ กำรสอนที่มีประสิทธิภำพน้ัน ผู้สอนควรใช้หลำย ๆ วิธผี สมผสำนกัน ทั้งน้จี ะตอ้ งข้นึ อยกู่ ับดลุ ยพนิ จิ
ของผสู้ อนเอง เพรำะผ้สู อนเองจะทรำบดีว่ำเน้ือหำในแตล่ ะชว่ งน้ันควรจะใชเ้ ทคนิค กำรสอนแบบใด ซ่ึง
มหำวิทยำลัยเทคโนโลยีพระจอมเกลำ้ ธนบรุ ี (2541) ได้กลำ่ วถึงองค์ประกอบในกระบวนกำรจดั กำรเรยี น
กำรสอนไวด้ ังนี้
36
1. บรรยำกำศกำรเรียน กำรสอนกำรเรียนรตู้ ำมแนวทำงของทฤษฎี Constructionism มหี ลกั
สำคัญอยำ่ งหนึ่งก็คือ กำรเปิดโอกำสให้ผ้เู รยี นสมั ผสั และแลกเปลย่ี นควำมรู้กับสมำชกิ ในกลมุ่ บรรยำกำศ
กำรเรยี นกำรสอนทีด่ นี ับเปน็ สิ่งสำคัญในกำรทำให้เกิดกระบวนท่เี อ้อื ต่อกำรเรียนรู้รว่ มกันของผเู้ รียน ซงึ่
ควรจะมีองค์ประกอบ 3 ประกำร คือ มีทำงเลือก มีควำมหลำกหลำย และกำรมีควำมเป็นกนั เอง
1.1 กำรมีทำงเลือก (Choice) คอื เปิดโอกำสให้ผู้เรยี นได้เลือกสร้ำงหรือปฏบิ ัตสิ ง่ิ ท่ี
ตนเองอยำกจะทำหรือสนใจ กำรสรำ้ งงำนหรอื กำรใหผ้ ู้เรียนลงมอื ปฏบิ ตั กิ จิ กรรมอะไรซักอย่ำงหน่ึง ครู
ควรจะใหโ้ อกำสกบั ผูเ้ รียนในกำรได้คิดหรือเร่ิมมองส่งิ ท่เี ขำอยำกจะทำด้วยตัวของเขำเองในบรรยำกำศ
กำรเรียนท่ีผู้เรยี นมที ำงเลือกสร้ำงสิง่ ท่ีตนเองสนใจ ผู้เรียนจะมคี วำมเต็มใจและใส่ใจท่จี ะทำงำนนั้นจน
สำเรจ็ เพรำะเปน็ งำนท่เี ขำคิดขึ้นมำเอง เขำมีควำมรู้สกึ ในควำมเป็นเจ้ำของ รสู้ กึ มีสว่ นร่วมในกำรสรำ้ ง
ขนึ้ มำ และเม่ือผูเ้ รียนคดิ เปำ้ หมำยของกำรสรำ้ งหรือคิดส่ิงท่เี ขำอยำกจะทำไดแ้ ล้ว ก็แสดงว่ำผ้เู รียน
สำมำรถเช่ือมโยงควำมร้จู ำกทฤษฎไี ปสกู่ ำรปฏิบตั ิได้ ซงึ่ นบั ว่ำเป็นจุดเริม่ ตนั ท่ีดี เน่ืองจำกผู้เรียนจะรวู้ ่ำควร
จะสรำ้ งอะไรจำกควำมรู้ทีม่ ีอยแู่ ละเม่ือเขำไดล้ งมือปฏบิ ตั เิ ขำกจ็ ะเรยี นรู้จำกกำรปฏบิ ตั งิ ำนนน้ั อย่ำงไรก็
ตำมในกำรให้สรำ้ งงำนนนั้ ครูดวรจะมหี วั ข้อหรือขอบเขตให้ผเู้ รียนพอ สมควร เพ่อื เปน็ แนวทำงให้ผเู้ รยี นมี
เปำ้ หมำยหรอื แนวทำงเดียวกัน เช่นหลงั จำกท่สี อนทฤษฎีพ้นื ฐำนท่จี ำเปน็ จบแล้ว กใ็ ห้ผเู้ รยี นนำทฤษฎที ี่
เรยี นมำสรำ้ งงำนหรอื ทดลองปฏบิ ัติ โดยมีทำงเลือก (เปีดโอกำส) ใหผ้ เู้ รยี นได้คิดหำวิธกี ำรสรำ้ งหรือ
ทดลองตำมควำมสนใจหรือตำมควำมถนัดดว้ ยตัวของเขำเอง (ภำยใต้เครอ่ื งมือและสภำพแวดลอ้ มที่
กำหนด)
1.2 กำรมคี วำมหลำกหลำย (Diversity) ควำมหลำกหลำยน้ันมคี วำมสำคญั ตอ่
สภำพแวดลอ้ มกำรเรียนรู้ตำมทฤษฎี Constructionism อยูด่ ้วยกนั 2 ประกำร คือควำมหลำกหลำยของ
ทกั ษะ และควำมหลำกหลำยของรปู แบบ
1.2.1 ควำมหลำกหลำยของทักษะ หมำยถงึ กำรท่ผี ้เู รียนมีทักษะที่แดกต่ำงกนั
หลำยระดับจำกผทู้ เ่ี ร่ิมหดั ไปจนถึงผู้ทม่ี ีควำมร้มู ำก หรอื ในบำงคร้ังสิง่ นีจ้ ะหมำยถงึ กลมุ่ คนท่ีมีอำยุ
แตกตำ่ งกนั มำอยู่รวมกันภำยใต้บรรยำกำศกำรเรียนร้เู ดยี วกัน มกี ำรแลกเปลี่ยนหรอื ถำ่ ยทอด
ประสบกำรณ์ซึง่ กันและกนั ในบรรยำกำศและสภำพกำรเรียนรทู้ ีผ่ เู้ รียนมคี วำมหลำกหลำยของทกั ษะและ
ระดบั ควำมสำมำรถจะทำใหเ้ กิดบรรยำกำศกำรเรียนรูร้ ว่ มกัน โดยปกตแิ ลว้ คนแต่ละคนจะมีควำมสำมำรถ
และทกั ษะแตกต่ำงกนั บำงคนอำจจะเก่งในบำงเรื่องแต่ในบำงเรื่องก็ไมถ่ นัดแตใ่ นขณะเดยี วกนั ถำ้ มีคนท่ี
เกง่ ในเร่ืองท่ีคนอื่นไม่ถนัดก็สำมำรถถ่ำยทอดประสบกำรณ์หรอื แลกเปลี่ยนควำมซ่ึงกนั และกันไห้ ดังน้ันคน
37
ทีม่ ปี ระสบกำรณน์ ้อยสำมำรถเรยี นไดจ้ ำกคนที่มีทกั ษะมำกกวำ่ ตนเอง ส่วนผ้ทู ี่ถำ่ ยทอดทักษะจะเพ่มิ พูน
ควำมรู้มำกขนึ้ และเกดิ ควำมภำคภมู ใิ จจำกกำรได้ชว่ ยเหลอื และอธบิ ำยสง่ิ ต่ำง ๆ ใหก้ บั ผูอ้ ื่น นอกจำกนั้นใน
กำรสรำ้ งงำนของแต่ละคนพ่ีไม่เหมือนกนั จะเป็นกำรสร้ำงจนิ ตนำกำรให้กบั คนอน่ื ควำมคิดจะถูกยืมและ
เสรมิ แต่งควำมรู้ให้เจริญงอกงำมข้ึนดว้ ย
2.1.2 ควำมหลำกหลำยของรูปแบบ หมำยถงึ ควำมหลำกหลำยในวิธกี ำรในกำร
สร้ำงงำน เมื่อมีกำรสรำ้ งงำนจะไม่มวี ธิ ีกำรหรอื กระบวนกำรใดท่ีถือว่ำถูกต้องท่ีสุด เพรำะคนแตล่ ะคนมี
ควำมถนดั ในกำรสร้ำงงำนไม่เหมือนกนั กำรทีจ่ ะเอำควำมคดิ ของคนอ่ืนมำตัดสนิ กระบวนกำรในกำรสร้ำง
งำนของอีกคนหนงึ่ นน้ั เป็นวธิ ีกำรทไี่ ม่ถูกต้องนัก เพรำะผ้ทู สี่ รำ้ งเองเท่ำนน้ั จะเปน็ ผู้ท่ีบอกได้วำ่ วธิ กี ำรที่
เหมำะสมสำหรับเขำคือวิธกี ำรใด เช่น บำงคนชอบวำงแผนอย่ำงระมดั ระวงั กอ่ นทจ่ี ะทำงำนจรงิ บำงคร้งั
อำจมีกำรปรบั แผนนั้นบำ้ งในระหว่ำงกำรทำงำนซงึ่ วิธีกำรนี้นบั วำ่ เป็นวธิ กี ำรที่ดวี ธิ กี ำรหน่งึ ของ "นัก
วำงแผน" แตก่ ไ็ ม่ไดน้ บั วำ่ เป็นวธิ ีกำรเดียวทสี่ ำมำรถทำงำนได้ อำจจะมวี ิธีอ่นื อีก เชน่ บำงคนจะชอบทำงำน
โดยไม่มีกำทวำงแผนลว่ งหนำ้ แตจ่ ะใช้วธิ ีกำรพูดคยุ หรือชักถำมคนอื่น ๆ ในขณะทท่ี ำงำนน้ัน จำกน้นั ก็จะ
พิจำรณำว่ำตนเองทำอะไรไปบำ้ งและตัดสนิ ใจว่ำจะทำอะไรตอ่ ไป ซง่ึ เรำจะเรียกผู้ทช่ี อบทำงำนแบบนี้ว่ำผู้
ทำงำนที่ไม่มีแบบแผน (เป็นลักษณะคิดไปทำไป> ซงึ่ รูปแบบกำรทำงำนทง้ั 2 นคี้ วรจะไดร้ บั กำรยอมรบั
และเช่ือถืออยำ่ งเท่ำเทยี มกัน
2.2 กำรมีควำมเป็นกันเอง (Congeniality) หมำยถึง ควำมเป็นกนั เองของสมำชกิ
ทงั้ หมด ได้แก่ ผู้เรียน ครู ควรมคี วำมเปน็ มติ รเปน็ กนั เอง และเชอ้ื เชิญต่อผู้เรยี นใหผ้ เู้ รียนได้คิดหรือสร้ำง
งำนดว้ ยตนเอง ได้แสดงควำมคดิ เหน็ ไดช้ ว่ ยเหลือกัน เกดิ ควำมสำมคั คแี ละมิตรภำพท่ดี ีต่อกนั นอกจำกนนั้
ส่ิงทส่ี ำคญั อย่ำงหน่ึงก็คือ กำรใหเ้ วลำที่พอเพียงในกำรทำงำน เพรำะในกำรเริม่ ตนั ทำงำนนน้ั ผู้เรียนจะต้อง
ใชเ้ วลำมำกพอสมควร อำจจะใชเ้ วลำในกำรคิดพดู คยุ กำรเดินไปดูงำนของคนอื่น ๆแล้วหยบิ ยืมควำมคิดมำ
ใช้ นอกจำกนัน้ ควรจะมีเวลำสำหรับผู้ท่เี รม่ิ ต้นส่ิงท่ีผิดพลำดไป มีเวลำสำหรบั กำรเผชิญดูปสรรดหรอื ส่ิงที่
เป็นปญั หำ หรอื ใหเ้ วลำสำหรับกำรไม่ได้ทำอะไรเลย (พรำะกำลงั ใช้ควำมคิด) บรรยำกำศกำรเรยี นรู้เหลำำ
นี้จะมีท้ังควำมสนกุ สนำนในกำรทำงำน รวมทั้งควำมผดิ หวัง และควำมภำคภมู ิใจในควำมสำเร็จ ซึง่ เปน็
ส่วนหน่งึ ของกำรเรยี นรู้สง่ิ เหลำำน้ีสมำรถนำมำแลกเปล่ียนเป็นประสบกำรณ์กับผู้อื่นได้ ดังน้ัน ควรให้
ผ้เู รยี นได้มีโอกำสได้พบได้พดู คุยและสรำ้ งมนษุ ย์สมั พนั ธ์กับบุลคลอื่นที่มีควำมสนใจ รกั และชอบทำอะไร
คลำ้ ย ๆกันหรอื เผชิญปัญหำบำงอยำ่ งคลำ้ ย " กนั เกิดควำมเข้ำใจ เหน็ อกเห็นใจ ใส่ใจซ่ึงกนั และกนั
38
พยำยำมช่วยกันแก้ปญั หำ บรรยำกำศและสภำพแวดล้อมกำรเรยี นรดู้ ังกลำ่ วทำให้เกิดกำรเรยี นรู้ทมี่ คี วำม
เป็นมติ รเป็นกันเอง ก่อให้เกิดควำมสำมัคครี ว่ มกันและเปน็ อนั หนงึ่ อนั เดียวกนั
3. เคร่ืองมืออปุ กรณ์ หลกั กำรของทฤษฎี Constructionism ซ่งึ เป็นกำรเรยี นกำรสอนท่ี
เน้นให้ผเู้ รียนมกี ำรเรยี นร้จู ำกกำรลงมอื ปฏบิ ัติหรือสรำ้ งสง่ิ ทม่ี ีควำมหมำยกบั ตนเอง ดงั น้ันเคร่อื งมอื ที่ใช้ก็
ควรจะมีลักษณะทเ่ี ออ้ื ต่อกำรท่ีจะให้ผู้เรียนนำมำสร้ำงเป็นขน้ึ งำนท่สี ำเร็จได้และตอบสนองควำมคดิ และ
จนิ ตนำกำรของผู้เรียนได้ หรือถ้ำกลำ่ วอย่ำงง่ำย ๆ กค็ ือ เครือ่ งมือแทบทุกชนดิ ที่สำมำรถให้ผเู้ รยี นสร้ำง
งำนไดห้ รอื สำมำรถลงมือปฏิบัติด้วยตนเองได้นน่ั เอง กิจกรรมต่ำง ๆ ท่ีสำมำรถสร้ำงงำนได้ เช่น กำรปั้นดิน
นำ้ มัน กำรแกะสลกั กำรทอผ้ำ กำรทำอำหำรกำรเขยี นเรอื่ งรำว/แต่งตำรำ งำนหตั ถกรรม กำรเขียน
โปรแกรม กำรวำดรูป กำรสรำ้ งโจทยค์ ำถำมกำรทดลองทำงวทิ ยำศำสตร์ หรือกำรสร้ำงงำนอ่ืน ๆ อีก
มำกมำยนอกจำกน้ีในบำงครงั้ เทคนคิ วิธกี ำรสอนก็อำจเปน็ เครอื่ งมือหนงึ่ ในกำรสนบั สนนุ กระบวนกำร
เรยี นรใู้ ด้ เชน่ กำรสอนแบบสั่งงำนหรอื กำรสอนแบบมอบหมำยงำน เป็นกำรเรยี นทผ่ี ูเ้ รียนไดล้ งมือปฏบิ ตั ิ
ซึ่งอำจจะเป็นงำนเดีย่ วหรืองำนกลุ่มก็ได้แต่ควรจดั บรรยำกำศกำรเรียนใหผ้ เู้ รียนได้เรียนรู้ร่วมกัน อยำ่ งไรก็
ตำมในปจั จุบันเปน็ ที่ทรำบกนั ดวี ำ่ เทคโนโลยีมบี ทบำทมำกโดยเฉพำะเทคโนโลยที ำงคอมพวิ เตอร์ ดงั นัน้
เครื่องมอื ที่ใชใ้ นกำรเรียนกำรสอนสำหรับกำรสวำ้ งคนให้เรียนรเู้ ท่ทนั เทคโนโลยีน้นั มีควำมจำเปน็ มำก
(โดยเฉพำะกำรเรียนกำรสอนในมหำวทิ ยำลยั ) ซึ่งควรจะนำเทคโนโลยีโดยเฉพำะเทคโนโลยที ำง
คอมพวิ เตอร์เข้ำมำใช้ สังเกตจำกเครื่องมือส่วนใหญท่ ่ีทำง MIT นำมำถ่ำยทอดจะเปน็ เครื่องมอื ท่ีผเู้ รยี น
จะตอ้ งเรยี นรู้กำรใช้เทคโนโลยีไปพร้อมกบั กำรสรำ้ งงำนดว้ ย เช่น โปรแกรม Microworld,Robot Desig n
และ Electronic Newspaper เป็นต้น คอมพิวเตอร์น้นั เปน็ เคร่อื งมอื ท่ีดีและงำ่ ยตอ่ กำรเรยี นรู้หลักกำร
ของทฤษฎี Constructionism เนอื่ งจำกเอ้ือตอ่ กำรที่จะให้ผ้เู รียนสรำ้ งงำนทีส่ ำเร็จไดภ้ ำยในโปรแกรม
คอมพิวเตอร์องและยงั ตอบสนองควำมคดิ และจินตนำกำรของผู้เรยี นได้ดี โดยไมต่ ้องใช้ทรพั ยำกรภำยนอก
มำกนกั สำมำรถแสดงใหเ้ ห็นลำดับควำมคดิ ได้ เช่น โปรแกรมMicroworld และนอกจำกนั้นคอมพิวเตอร์
ยังสำมำรถใช้เปน็ เครอื่ งมือในกำรเชอื่ มโยงกับระบบเครอื ข่ำยอนิ เตอร์เน็ตได้อีกด้วย ดังนัน้ ถ้ำผเู้ รียนได้
สร้ำงงำนจำกเคร่ืองมอื ที่เป็นเทคโนโลยี นอกจำกจะเรียนรเู้ น้ือหำท่สี ร้ำงแลว้ ผู้เรียนกจ็ ะเรยี นรูก้ ำรใช้
เทคโนโลยีไปในตัวด้วย เมื่อเรียนรูไ้ ประดบั หน่ึงกจ็ ะเกิดควำมคลอ่ งในเทคโนโลยนี น้ั และก่อให้เกิดควำม
ม่นั ใจท่เี พียงพอสำหรบั กำรนำไปใชใ้ นกำรทำงำนหรือพฒั นำงำนได้อยำ่ งมปี ระสิทธภิ ำพ อยำ่ งไรก็ตำม
แม้วำ่ คอมพิวเตอร์จะเป็นเครื่องมือที่ดแี ละทำให้งำ่ ยต่อกำรเรยี นรู้ แตก่ ำรนำ Constructionism ไปใชใ้ น
39
กำรสอนนนั้ ไม่จำเป็นเสมอไปท่จี ะต้องใช้เทคโนโลยคี อมพวิ เตอรเ์ พยี งอย่ำงเดยี ว ทัง้ น้คี รผู ูส้ อนเองควร
พิจำรณำวำ่ ควรจะใช้เคร่อื งมือใดในกำรสอนให้เหมำะสมกับเน้อื หำและกลมุ่ ผู้เรียนของตนเอง
4. บทบำทและคณุ สมบตั ิท่ีครูควรมีในกำรสอนแบบ Constructionism ครเู องนับว่ำมี
บทบำทสำคญั มำกในกำรท่ีจะควบคมุ กระบวนกำรให้บรรลุตำมเปำ้ หมำยท่กี ำหนดไว้ ซึ่งครูทศี่ ึกษำทฤษฎี
นี้ควรมีควำมเขำ้ ใจในบทบำท คุณสมบัติท่ีครูควรจะมี รวมท้งั ทัศนคติท่ีครูควรเปล่ยี นและส่ิงที่ต้องคำนึงถงึ
4.1 บทบำทของครู ในกำรดำเนนิ กิจกรรมกำรสอน ครูควรจกั บทบำทของตนเองอยำ่ ง
แจม่ แจง้ ครนู ับวำ่ เป็นบุคคลสำคัญที่จะทำให้กำรสอนสำเร็จผล ดังน้ันจงึ ควรรูจ้ กั บทบำทของตนเอง ดงั นี้
คือ
4.1.1 จดั บรรยำกำศกำรเรยี นรู้ใหเ้ หมำะสม โดยควบคุมกระบวนกำรกำรเรยี นรู้
ให้บรรลุเปำ้ หมำยตำมท่ีกำหนดไวแ้ ละคอยอำนวยควำมสะดวกให้ผูเ้ รียนดำเนินงำนไปได้อย่ำงรำบรนื่
4.1.2 แสดงควำมคิดเห็นและให้ข้อมลู ทเี่ ป็นประโยชนแ์ ก่ผเู้ รยี นตำมโอกำส
ทหี่ มำะสม(ต้องคอยสังเกตพฤติกรรมกำรเรยี นรู้ของผู้เรียนและบรรยำกำศกำรเรยี นทีเ่ กิดขนึ้ อยู่
ตลอดเวลำ)
4.1.3 เปดิ โคกำสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ตำมแนวทำงของทฤษฎี Constructionism
โดยเน้นให้ผู้เรียนสร้ำงองค์ควำมรูด้ ้วยตนเอง เปน็ ผ้จู ุดประกำยควำมคดิ และกระตนุ้ ให้ผู้เรียนได้มสี ่วนร่วม
ในกิจกรรมกำรเรยี นโดยท่ัวถึงกนั ตลอดจนรบั ฟังและสนบั สนุนสง่ เสริมให้กำลังใจแก่ผเู้ รยี นทจ่ี ะเรียนรเู้ พื่อ
ประจกั ษ์แก่ใจด้วยตนเอง
4.1.4 ชว่ ยเชือ่ มโยงควำมคิดเหน็ ของผูเ้ รียนและสรปุ ผลกำรเรียนรู้ ตลอดจน
ส่งเสรมิ และนำทำงให้ผเู้ รยี นได้รวู้ ิธีวิเครำะหพ์ ฤติกรรมกำรเรียนรู้ เพอ่ื ผู้เรยี นจะใดน้ ำไปใช้ใหเ้ กิดประโยชน์
ได้
4.2 คุณสมบตั ิที่ครูควรมีในกำรสอนแบบ Constructionism
4.2.1 มีควำมเขำ้ ใจทฤษฎี Constructionism และพรอ้ มท่ีจะเปิดโอกำสให้
ผู้เรยี นไดเ้ รยี นรตู้ ำมแนวทำงของทฤษฎี Constructionism
4.2.2 มีควำมรูใ้ นเนือ้ หำท่ีสอนอยำ่ งดี
4.2.3 มีควำมเข้ำใจมนษุ ย์ มีจิตละเอยี ดพอท่จี ะสำมำรถตรวจสอบควำมคิดของ
ผู้เรียนและดึงควำมคิดของผเู้ รยี นให้แสดงออกมำมำกท่สี ดุ
4.2.4 มกี ำรพฒั นำตนเอง ทำงรำงกำย สตปิ ญั ญำและจติ ใจอยเู่ สมอ ครูควรรูจ้ กั
40
ตนเองและพัฒนำควำมรู้ บุคลกิ ภำพ ของตนใหด้ ีขน้ึ มีใจกวำ้ ง ยอมรบั ฟังควำมคิดเหน็ ของผู้เรียน ไม่ถือวำ่
ควำมคิดตนถูกต้องเสมอ เขำ้ ใจและยอมรับว่ำบุคคลมีควำมแตกต่ำงกันไมด่ ว่ นตัดสินผเู้ รยี นอยำ่ งผิวเผิน
4.2.5 ควรมมี นษุ ย์สัมพนั ธท์ ี่ดกี บั ผู้เรยี น เพรำะกำรมีมนุษยส์ ัมพันธ์ที่ดขี องครจู ะ
ทำใหบ้ รรยำกำศในกำรเรียนกำรสอนเกิดควำมเปน็ กนั เองและมีควำมเป็นมิตรทดี่ ีต่อกัน
4.2.6 ครูควรมที กั ษะในกำรส่อื ควำมหมำยกบั ผู้เรียน ในกำรสอนนั้นครูมักจะมี
กำรส่ือควำมหมำยกบั ผูเ้ รยี นเสมอ จงึ ควรสื่อควำมหมำยให้ขัดเจน ไม่คลุมเครอื รจู้ ักใช้วำทศลิ ปใ์ หเ้ หมำะ
กับกำลเทศะ และเหมำะสมกบั ผเู้ รียนแตล่ ะคน (กำรสอ่ื ควำมหมำยให้กับผู้เรยี นแตล่ ะคนจะไม่เหมือนกัน
เพรำะผเู้ รียนมีกำรรับรูแ้ ละเรียนรู้ไดไ้ ม่เทำ่ กัน)
4.2.7 มีทักษะในกำรใช้วิจำรณญำณตดั สนิ ใจและแก้ไขปัญหำ ทักษะด้ำนน้ีทำให้
ครดู ำเนนิ งำนได้สะดวกรำบร่ืน เน่ืองจำกกำรสอนแบบ Constructionism นัน้ ผู้สอนจะตอ้ งคอยสงั เกต
บรรยำกำศกำรเรียนท่ีเกิดขึน้ อยู่ตลอดเวลำ และจะต้องคอยแก้ไขปัญหำในแตล่ ะชว่ งให้เหมำะสม ดังนนั้
ผสู้ อนจงึ ต้องมีทกั ษะในกำรใชว้ ิจำรณญำณตดั สนิ ใจและแก้ไขปญั หำท่ีดี
4.2.8 มีทักษะในกำรชว่ ยเหลอื ผ้เู รียน บ่อยครง้ั ครูต้องคอยชว่ ยแกป้ ญั หำให้
ผู้เรียนครูจึงควรมคี วำมเปน็ มิตรเปน็ กนั เองกับนักเรยี นเสมอ หำกครไู ม่มีทักษะทำงด้ำนนี้กำรชว่ ยเหลือ
อำจไม่บรรลุผล
จำกทก่ี ลำ่ วมำขำ้ งตน้ นัน้ เป็นคุณสมบตั ิที่ครคู วรมเี พื่อนำมำใชป้ รับปรงุ มนุษยส์ มั พนั ธ์ในกำร
เรียนกำรสอนและกำรดำเนนิ ชวี ิตประจำวนั ให้ดีขึน้ นอกจำกนัน้ สง่ิ ที่สำคัญมำกกค็ ือ ครูควรมพี ื้นฐำนของ
ควำมรักในวิชำชพี ครู พยำยำมเขำ้ ใจผู้เรียนแต่ละคนให้มำก ๆโดยยึดหลักท่ีว่ำคนเรำมีควำมแตกต่ำงกัน
(ไม่นำคนหน่งึ มำเปรยี บเทียบกับอีกคนหนง่ึ ) ครคู วรรจู้ กั เคำรพควำมคดิ ของตนเองและผู้อ่นื (โดยเฉพำะ
ผู้เรียน) และควรรกั ษำสุขภำพรำ่ งกำยและจติ ใจของครเู องให้สมบูรณ์ และแจ่มใสอยู่เสมอ
4.3 ทศั นคตทิ ค่ี รูควรเปลี่ยนและส่ิงท่ีต้องคำนึงถงึ
4.3.1 ในกำรเรยี นกำรสอนตำมทฤษฎี Constructionism ครูควรเปลีย่ นแปลง
ทัศนคติให้เหมำะสม เพ่ือเปิดโอกำสใหผ้ ู้เรยี นมีสว่ นร่วมในกำรเรียนรดู้ ว้ ยตนเองมำกย่ิงขน้ึ ทัศนคติท่ี
ครูดวรเปลีย่ นแปลงไปและสง่ิ ทค่ี รคู วรคำนงึ ถึงมีดงั นี3้ .3.2 ครตู ้องไม่ถือวำ่ ครเู ป็นผ้รู แู้ ต่ผ้เู ดียว ผเู้ รยี นตอ้ ง
เช่อื ตำมที่ครบู อกโดยไม่มเี ง่ือนไข แตค่ รตู ้องตระหนกั วำ่ ตนเองมีควำมรู้ทจี่ ะช่วยเหลือนักเรยี นเทำ่ ทจ่ี ะช่วย
ได้ ดงั นั้นครจู ึงไม่อับอำยผู้เรียนท่ีจะพูดว่ำ "ครกู ็ยังไม่ทรำบ พวกเรำมำช่วยกันหำคำตอบดูชิ" ฯลฯ
4.3.3 ครตู อ้ งพยำยำมชว่ ยให้ผู้เรยี นเกิดกำรเรียนร้ดู ้วยตนเองมำกทส่ี ดุ เท่ำที่จะ
41
มำกไดต้ อ้ งอดทนและปล่อยใหน้ ักเรียนประกอบกิจกรรมด้วยตนเอง อยำ่ ดว่ นไปชิงบอกคำตอบเสียก่อน
ควรช่วยเหลือแนะนำผูเ้ รยี นที่เรยี นข้ำและเรยี นเร็วให้สำมำรถเรียนไปตำมควำมสำมำรถของตนเองด้วย
ตนเองให้มำกที่สดุ
4.3.4 ไม่ควรถือว่ำ "ผู้เรียนที่ดตี อ้ งเงยี บ" แต่ครคู วรจะเปิดโอกำสให้ผเู้ รยี นได้
พดู คยุ กนั ในเน้ือหำ หรอื ไดพ้ ูดคยุ แลกเปลยี่ นควำมคดิ เห็นหรอื ควำมร้กู นั ได้
4.3.5 ครตู อ้ งไมถ่ ือว่ำกำรท่ีผูเ้ รยี นเดนิ ไปเดินมำเพ่ือประกอบกจิ กรรมกำร
เรียนรู้น้นั เปน็ กำรแสดงถึงควำมไม่มรี ะเบียบวินัย แตต่ ้องคิดว่ำกำรเดินไปเดนิ มำเปน็ กระบวนกำรหนง่ึ ท่ี
ช่วยให้กำรเรยี นร้เู ปน็ ไปอย่ำงต่อเนือ่ ง และช่วยทำให้ผ้เู รียนไม่เบื่อหน่ำยตอ่ กำรเรียน
4.3.6 ครตู ้องลดบทบำทตวั เองลง (ทำตัวให้เล็กท่สี ุด) พดู ในสง่ิ ทจ่ี ำเปน็
เลือกสรรคำพูดใหแ้ น่ใจว่ำผู้เรยี นมคี วำมต้องกำรฟังในส่ิงทีค่ รูพูด ก่อนท่ีจะพูดครูจึงควรเร้ำควำมสนใจของ
ผเู้ รยี นเสยี กอ่ น
4.3.7 ขณะท่ผี ้เู รียนประกอบกจิ กรรมครูต้องอยดู่ แู ลเอำใจใสพ่ ัฒนำกำรของ
ผูเ้ รยี นแตล่ ะคน ต้องไม่คดิ ว่ำ เมื่อผู้เรียนสำมำรถเรียนไดเ้ องแลว้ ครูกเ็ อำเวลำทำอยำ่ งอ่ืนได้
4.3.8 ครคู วรมใี จกวำ้ งและซมเชยนกั เรยี นทีท่ ำดีหรอื ประสบควำมสำเร็จแม้
เพียงเลก็ น้อย ไม่ตำหนิหรอื ลงโทษเม่ือผู้เรยี นทำผิดพลำด หรอื ทำไม่ถูกใจครู
4.3.9 ครไู ม่ควรจะเอำตนเองไปยดึ ตดิ กับหลกั สตู รมำกจนเกนิ ไป ไม่ควรจะยดั
เยยี ดเนอื้ หำท่ีไมจ่ ำเป็นให้กบั ผู้เรียน ควรคิดวำ่ กำรใหเ้ นอื้ หำท่จี ำเปน็ แม้จะน้อยอย่ำงก็ยังดกี ว่ำสอนหลำยๆ
อย่ำง แตผ่ เู้ รียนเกดิ กำรเรยี นรู้น้อยมำก หรือนำควำมรู้ท่เี รียนไปประยุกตใ์ ช้ไมไ่ ด้
4.3.10 กำรจัดตำรำงสอนควรจัดให้ยึดหยนุ่ เหมำะสมกับเวลำท่ีใหผ้ เู้ รียนไดล้ ง
มอื ปฏบิ ตั ิกิจกรรม ครตู อ้ งพยำยำมเปิดโอกำสใหผ้ ูเ้ รยี นได้ลงมือปฏบิ ัตกิ ิจกรรมภำยในเวลำท่ีเหมำะม ไม่
มำกหรือน้อยไป
5. บทบำทของผเู้ รยี น ในกำรเรยี นตำมทฤษฎี Constructionism ผู้เรยี นจะมีบทบำทเปน็
ผู้ปฏิบตั ิและสร้ำงควำมรู้ไปพร้อม ๆ กนั ดว้ ยตวั ของเขำเอง (ทำไปและเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กัน)บทบำทที่
คำดหวังจำกผเู้ รยี น คือ
5.1 มีควำมยินดรี ่วมกจิ กรรมทกุ ครัง้ ด้วยควำมสมคั รใจ
5.2 เรียนร้ใู ด้เอง รจู้ ักแสวงหำควำมร้จู ำกแหลง่ ควำมรู้ต่ำง ๆ ท่มี อี ยู่ดว้ ยตนเอง
5.3 ตัดสนิ ปัญหำตำ่ ง ๆ อย่ำงมีเหตุผล
42
5.4 มคี วำมรูส้ กึ และควำมคิดเป็นของตนเอง
5.5 วเิ ครำะห์พฤติกรรมของตนเองและผอู้ ืน่ ได้
5.6 ให้ควำมชว่ ยเหลือกันและกนั ร้จู กั รบั ผดิ ชอบงำนท่ีตนเองทำอยูแ่ ละท่ีไดร้ ับ
5.7 นำสิ่งทีเ่ รียนรไู้ ปประยุกต์ใชป้ ระโยชนใ์ นชีวติ จริงได้
6. กำรประยุกต์ใช้ในกำรเรียนกำรสอน สำหรบั กำรนำทฤษฎี Constructionism มำ
ประยกุ ต์ใช้กับกำรเรียนกำรสอนครสู ำมำรถประยุกตใ์ ชไ้ ด้ง่ำยในวิชำทม่ี กี ำรปฏบิ ัตหิ รือวชิ ำทีต่ อ้ งกำรฝกึ
ทกั ษะ โดยแยกแยะได้ 3 ลักษณะ คือมอบหมำย
a. ประยกุ ตใ์ ชบ้ ำงสว่ น กลำ่ วคอื นำทฤษฎี Constructionism มำประยุกต์ใช้เปน็
ครง้ั ครำว โดยเลือกใหเ้ หมำะสมกบั วตั ถุประสงค์และเน้อื หำ
b. ประยุกตใ์ ช้ในช่วั โมงปฏบิ ตั เิ ต็มเวลำ กลำ่ วคือ นำทฤษฎี Constructionism มำ
ประยกุ ต์ใชใ้ นชว่ั โมงปฏบิ ตั ทิ ้ังหมดของวชิ ำนนั้ โดยครูให้ผู้เรยี นลงมือปฏบิ ตั ิและเชื่อมโยงควำมรู้ให้สัมพันธ์
กบั ทฤษฎที ีเ่ รียน
c. ประยุกต์ใช้ท้ังวชิ ำ กล่ำวคอื นำทฤษฎี Constructionism มำประยุกต์ใชใ้ นกำร
เรียนกำรสอนทั้งวชิ ำ ซ่ึงนับว่ำเปน็ วธิ ีทด่ี ีหำกปฏิบตั ิได้จริง เพรำะกำรเปล่ียนแปลงควำมคิดและทศั นคติ
ของผู้เรยี นนนั้ จะต้องอำศยั ระยะเวลำนำนพอสมควรและจะตอ้ งปฏิบตั ิอย่ำงต่อเน่ืองจึงจะเหน็ ผล
กล่ำวโดยสรปุ หลกั กำรเรียนกำรสอนตำมทฤษฎี Constructionism เป็นกำรเรียนกำรสอนที่
ผู้เรียนเรยี นรู้จำกกำรสรำ้ งงำน ผู้เรียนไดด้ ำเนนิ กิจกรรมกำรเรยี นดว้ ยตนเองโดยกำรลงมือปฏบิ ัติหรือสรำ้ ง
งำนทต่ี นเองสนใจ ในขณะเดียวกันก็เปิดโอกำสใหส้ มั ผัสและแลกเปลีย่ นควำมรูก้ ับสมำชิกในกลมุ่ ผเู้ รียน
จะสรำ้ งองคค์ วำมรู้ขน้ึ ด้วยตนเองจำกกำรปฏิบัตงิ ำนที่มคี วำมหมำยต่อตนเอง ครผู สู้ อนจะตอ้ งสร้ำงใหเ้ กิด
องค์ประกอบครบทง้ั 3 ประกำร คอื
1. ใหผ้ ู้เรียนได้ลงมือประกอบกิจกรรมดว้ ยตนเอง (ไดส้ รำ้ งงำน) ตำมควำมสนใจตำมควำมชอบหรือควำม
ถนัด ของแต่ละบุคคล
2. ใหผ้ เู้ รยี นได้เรยี นรูภ้ ำยใต้บรรยำกำศและสภำพแวดลอ้ มในกำรเรียนร้ทู ่ีดี
3. มีเครอ่ื งมืออุปกรณ์ในกำรประกอบกจิ กรรมกำรเรียนรู้ทเ่ี หมำะสมทั้งน้ี ผวู้ ิจัยจงึ ได้สรุป
หลักกำรจัดกำรเรียนรู้ตำมแนวทฤษฎี Constructionism สำหรับกำรวิจยั ในคร้ังนี้จะหมำยถึง
กระบวนกำรจัดกำรเรียนกำรสอนโดยยึดหลักตำมแนวทฤษฎี Constructionism ประกอบไปด้วย
กระบวนกำร 5 ขั้นตอน ได้แก่
43
1. ขนั้ สร้ำงควำมสนใจ ในข้ันตอนนี้จะเปน็ กำรกระตนุ้ ควำมสนใจของนักเรียนแนะนำ
แนวคิดและเช่อื มต่อแนวคดิ เขำ้ กบั ควำมรเู้ ดิมของนักเรียน ครแู นะนำเครื่องมือท่ีจะใชใ้ นกำรเรียน
กำรสอนด้วยกำรใช้คำถำมเป็นตวั กระตนุ้ ควำมสนใจ สรำ้ งสถำนกำรณ์หรือหยิบยกประเดน็ ที่เปน็
ปัญหำทีน่ ำ่ สนใจใหน้ ักเรียนร่วมกนั อภิปรำยกลุ่มยอ่ ยเพ่อื กระตุ้นควำมสนใจและเพ่อื ให้เกดิ กำร
แบง่ ปนั ควำมคดิ
2. ขนั้ สำรวจ ในขน้ั ตอนน้จี ะเป็นกำรให้นกั เรยี นตรวจสอบแนวคิดผ่ำนกำรสำรวจและกำร
ทำกจิ กรรมตำมคู่มือ นกั เรียนจะสำรวจเครอ่ื งมือที่ครไู ดแ้ นะนำไว้ในชนั้ สรำ้ งควำมสนใจนักเรยี นจะได้
ทดลองใช้เครื่องมอื เพื่อหำคำตอบของคำถำมทพี่ วกเขำไดส้ รำ้ งข้นึ ในขั้นสร้ำงควำมสนใจ ครูจะสังเกตและ
ใชค้ ำถำมเพ่ือใหเ้ กิดแนวทำงในกำรหำคำตอบ หรือใช้คำถำมทจ่ี ะชว่ ยแนะนำเพื่อใหน้ ักเรยี นเกดิ ควำม
เขำ้ ใจได้ด้วยตนเอง
3. ขั้นอธิบำย ในขน้ั ตอนน้จี ะเป็นกำรอธบิ ำยในส่วนท่ีเปน็ เน้ือหำอยำ่ งเป็นทำงกำรซึง่ ปกติ
ตอ้ งอำศยั กำรสอนโดยตรง เชน่ กำรอธิบำยจำกครู กำรใหศ้ ึกษำจำกคมู่ ือหรือจำกกำรค้นคว้ำ นอกเหนอื น้ี
ยังเป็นกำรให้ข้อมูลเสริมเพ่มิ ตมิ ในระหวำ่ งขนั้ สรำ้ งควำมสนใจและขัน้ สำรวจท่ีจะช่วยใหค้ รูได้อธบิ ำย
ควำมคิดที่เปน็ ลักษณะนำมธรรมหรอื อธิบำยคำศัพท์ไดง้ ำ่ ยขนึ้
4. ขน้ั สรำ้ งสรรค์ผลงำน ในขัน้ ตอนน้ีนกั เรียนจะสร้ำงแนวคิดในกำรใช้เครอ่ื งมือไปประยกุ ต์
กับแนวคิดเดิมเพื่อสรำ้ งผลงำนในรูปแบบใหม่ ตวั อย่ำงเชน่ นักเรยี นเลอื กสรำ้ งโครงงำนอย่ำงอสิ ระ โดยกำร
เลือกใชส้ ่งิ ที่พวกเขำไดเ้ รียนรู้ หรือนำสง่ิ ท่ีได้เรยี นรู้มำประยกุ ต์รวมกันเพอ่ื สร้ำงผลงำนเปน็ สิง่ ใหม่ ครูจะ
สงั เกตและใชค้ ำถำมเพื่อชว่ ยให้นกั เรียนสำมำรถดำเนนิ กจิ กรรมไปยังเปำ้ หมำยทวี่ ำงไวไ้ ด้สำเร็จ และควร
ตรวจสอบให้แนใ่ จว่ำนกั เรยี นไดเ้ กดิ กำรเรยี นรู้ตำมเปำ้ หมำยของบทเรียน และนักเรียนเข้ำใจถึงวิธีกำรใช้
เคร่อื งมือไดอ้ ย่ำงครบถ้วนและถูกต้อง
5. ข้นั ประเมิน ในขน้ั ตอนนจ้ี ะชว่ ยใหน้ กั เรยี นได้ประเมนิ ผลงำนที่เสรจ็ สมบรู ณ์อยำ่ งเป็น
ทำงกำร กำรประเมนิ ผลจะแสดงให้เหน็ ถงึ กำรเรียนรู้ทไ่ี ดจ้ ำกกำรใชเ้ คร่ืองมือ สำหรับครูควรทำกำร
ประเมนิ ตลอดกำรทำกจิ กรรม และอำจไปยงั ข้นั อธบิ ำยไดม้ ำกกว่ำหน่งึ คร้ังหำกวำ่ จำเปน็ ขนั้ ตอนนี้ควร
รวมถึงนกั เรยี นประเมินตัวเองด้วยเพอ่ื สะท้อนใหเ้ หน็ วำ่ ตนเองได้เรียนรู้อะไรและอำจมีกำรทดสอบหรอื
วธิ กี ำรประเมินผลอย่ำงอื่นมำประกอบด้วยก็ได้ เช่น หรอื กำรนำเสนอในขั้นตอนสุดทำ้ ยของนักเรยี นเพ่ือ
สะทอ้ นถงึ สง่ิ ท่ีพวกเขำไดเ้ รยี นรู้ควรทำกำรประเมนิ ตลอดกำรทำกิจกรรม และอำจกลบั ไปยังข้ันอธบิ ำยได้
มำกกว่ำหนง่ึ คร้ังหำกว่ำจำเป็น ขัน้ ตอนน้ีควรรวมถึงนักเรียนประเมนิ ตนเองดว้ ยเพ่ือสะทอ้ นใหเ้ ห็นว่ำ
44
ตนเองได้เรยี นรอู้ ะไร และอำจมีกำรทดสอบหรือวธิ ีกำรประเมินผลอยำ่ งอน่ื มำประกอบดว้ ยกไ็ ด้ เช่น กำร
ใชร้ บู รกิ ซึ่งนำไปใชใ้ นกำรประเมนิ ผลงำนของนกั เรยี น หรอื กำรนำเสนอในข้ันตอนสุดท้ำยของนักเรยี นเพ่ือ
สะทอ้ นถึงส่งิ ท่ีพวกเขำไดเ้ รยี นรู้
2.5 กำรประเมนิ ผลกำรเรยี นรตู้ ำมทฤษฎกี ำรสร้ำงควำมรดู้ ว้ ยตนเองโดยกำรสรำ้ งชน้ิ งำน
(Constructionism)
กำรประเมินผลกำรเรยี นรู้ที่จะสอดคลอ้ งกับแนวทำงกำรจัดกำรเรียนรูต้ ำมทฤษฎี
Constructionism น้ัน เป็นกำรวดั และประเมินผลตำมสภำพจรงิ ที่เกิดขึน้ ไปพร้อม ๆ กบั กำรจดั กำรเรยี นรู้
ซึ่ง วรรณำ ชอ่ งดำรำกลุ (อ้ำงอิงใน สำนักพฒั นำนวัตกรรมกำรจดั กำรศกึ ษำ, 2549,หน้ำ 28-30) แสดง
ควำมคดิ เหน็ ไวว้ ำ่ ครูต้องมีควำมเข้ำใจคุณภำพของผูเ้ รยี นตำมหลกั สตู รทเี่ ป็นผลของกำรจดั กำรศกึ ษำ ครู
ตอ้ งมีควำมกระจ่ำงเกีย่ วกับควำมสมั พนั ธร์ ะหวำ่ งศำสตรต์ ำ่ ง ๆทีม่ ีควำมเกย่ี วข้องกบั ชีวติ ของผเู้ รยี น และมี
สว่ นพัฒนำผูเ้ รยี นท้ังด้ำนควำมรู้ ทกั ษะ กระบวนกำรและคณุ ธรรมจริยธรรม ดงั น้นั กำรจดั กำรเรียนกำร
สอนจึงเปน็ กำรบรู ณำกำร โดยมสี ิง่ ทีผ่ ู้เรียนต้องกำรรูเ้ ป็นตัวเชอ่ื มโยงระหว่ำงชวี ิตจรงิ ของผู้เรียนกับศำสตร์
ตำ่ ง ๆ
แม้กำรจัดกำรเรียนรตู้ ำมแนว Constructionism น้ี ผู้เรียนจะมีบทบำทเปน็ ผลู้ งมือเรียนโดย
เรมิ่ จำกควำมต้องกำรของผเู้ รียนเอง ครตู ้องมีบทบำทในกำรชว่ ยพฒั นำทกั ษะ เชน่ กำรอ่ำน กำรคดิ
กระบวนกำร ใหเ้ พ่ิมขน้ึ ถึงขีดศกั ยภำพที่เขำควรจะไปถึง เพ่ือให้สำมำรถคดิ ลงมือทำ และแสดงออกถึง
ควำมรคู้ วำมเข้ำใจ โดยกำรสร้ำงผลงำนผลผลิตของตนให้เปน็ รูปธรรมดังนน้ั ผลงำนของผเู้ รยี นในเรอ่ื ง
หน่งึ ๆ จงึ ไม่เหมือนกันทกุ คน แต่มลี ักษณะรว่ มมือคือ ควำมรู้ ควำมคิด กระบวนกำร และคุณลักษณะหรือ
คณุ ภำพ กำรประเมินโดยกำรใชม้ ิตคิ ุณภำพ จึงชว่ ยให้เกดิ ควำมมั่นใจว่ำ กำรประเมินผลกำรเรียนรนู้ ี้มี
ร่องรอยงำนหรอื ชิน้ งำนหลำกหลำยนน้ั มคี วำมโปร่งใส เช่ือมโยงกับมำตรฐำนกำรเรยี นรู้ทเ่ี ปน็ เปำ้ หมำย
อีกทั้งครูยังสำมำรถสอื่ สำรให้นกั เรียนทรำบ หรอื ต่อลองเกยี่ วกับสง่ิ ทีป่ ระเมินนักเรยี นยงั ใชค้ ณุ ภำพงำน
ผลผลิตทบ่ี รรยำยไว้เปน็ แนวในกำรพัฒนำงำนของตน
โดยวิธีน้กี ำรประเมนิ ผลงำนมิได้มำจำกมมุ มองของครูผสู้ อนเพยี งคนเดยี ว และมิได้ประเมินโดย
กำรทดสอบ แต่ผเู้ รียนประเมินตนเองสะทอ้ นควำมคิดวิธคี ิดของตน รวมท้ังเพอื่ นผู้เรียนและผูป้ กครองก็มี
สว่ นรว่ มในกำรประเมนิ ผลกำรเรียนรไู้ ด้เชน่ กนั ใหเ้ ปน็ ผู้ประเมินโดยใช้เกณฑ์ที่กระจ่ำง โปร่งใส่ จึงเปน็ กำร
พฒั นำควำมเป็นตัวของตัวเอง ขณะเดยี วกันกร็ ับฟังและเคำรพควำมคิดเหน็ ของผอู้ ่ืน เมอ่ื ผปู้ กครองเขำ้ ใจ
บตุ รหลำนของตนย่อมนำไปสู่ควำมภำคภูมิใจและเข้ำไปมสี ่วนร่วมในกำรสง่ เสริมนักเรียนและโรงเรียนกำร
45
ประเมินผลกำรเรยี นรู้ท่ีดำเนินกำรไปพรด้ มๆ กันกบั กำรเรียนกำรสอน จึงชว่ ยให้ครูประเมนิ ไดว้ ำ่ ผ้เู รยี นมี
ศักยภำพหรือคุณภำพเพยี งใดระหวำ่ งเรยี น และครูจะช่วยเอื้ออำนวยโอกำสในกำรเรียนร้อู ย่ำงไรให้
นกั เรียนค่อยๆ พฒั นำขนึ้ ซ่ึงเปน็ กำรประเมินระหว่ำงเรียนแล้วประเมินผลงำนหรือกำรแสดงออกของ
นกั เรียนที่เป็นผลกำรเรยี นรวบยอดจำกกำรเรยี นรู้ หนว่ ยกำรเรยี นนัน้ ในช่วงทำ้ ย กำรท่ีนกั เรียนมสี ว่ นรว่ ม
และเหน็ ควำมสำมำรถของตนและของเพอ่ื นย่อมนำไปสูก่ ำรทำงำนเปน็ ท่ีม โดยใช้ควำมสำมำรถนนั้ ๆ และ
เคำรพใหเ้ กยี รตกิ ันและกนั ตำมวิถปี ระชำธิปไตย
ผลทีไ่ ดร้ บั จำกกำรจัดกำรเรียนรตู้ ำมแนวทฤษฎี Constructionism มหำวิทยำลยั เทคโนโลยี
พระจอมเกลำ้ ธนบุรี (2541) ได้กล่ำวถึงผลกำรจดั กำรเรยี นรวู้ ่ำมีผลดีดงั ต่อไปนี้
1. ผเู้ รียนไดร้ ู้จักและเข้ำใจตนเองดีขึ้นโดยทรำบข้อดีและข้อบกพรอ่ งของตนเอง
2. ผเู้ รยี นรจู้ กั คิดอยำ่ งมรี ะบบมำกขนึ้ เพรำะกำรเรยี นรจู้ ำกกำรทำงำน ทำใหต้ ้องพยำยำมคดิ
พิจำรณำหำคำตอบและวิธกี ำรแก้ปญั หำ ทำให้รู้จักจดั ระบบควำมคิดเพื่อแกป้ ัญหำนัน้
3. ผูเ้ รียนรจู้ กั วิธกี ำรแสวงหำควำมร้ดู ้วยตนเองมำกขึ้น รูว้ ำ่ จะแสวงหำควำมรูต้ ำมแนวทำงท่ี
เหมำะสมกับตนเองได้อยำ่ งไร และร้วู ำ่ คนเปน็ แหล่งควำมรูอ้ ีกแหลง่ หนง่ึ ที่สำคัญ
4. ผูเ้ รยี นรจู้ กั แก้ปัญหำและตัดสนิ ปัญหำอย่ำงมีเหตุผลมำกข้นึ จำกกำรฝึกฝนกำร
วเิ ครำะหป์ ญั หำและข้อมลู ตำ่ ง ๆ ทพี่ บในระหว่ำงกำรลงมือปฏิบัติ อันจะนำไปสูก่ ำรแก้ปัญหำ
5. ผู้เรยี นกลำ้ แสดงออกอย่ำงมเี หตุผลมำกขึ้นเป็นผูพ้ ดู และผูฟ้ งั ท่ดี ี
6. ผู้เรยี นมคี วำมคิดริเรม่ิ สร้ำงสรรค์ จำกกำรทำงำนที่มโี อกำสได้คดิ สร้ำงส่ิงต่ำง ๆ มโี อกำสได้
ลองผิดลองถูก หรือกำรที่ได้พยำยำมแก้ปัญหำด้วยวธิ กี ำรคิดท่หี ลำกหลำยพยำยำมแก้ปัญหำโดยไมต่ ีกรอบ
ควำมคดิ ตนเองมำกเกินไป
7. ทำใหเ้ ป็นคนใจกว้ำง ยอมรับฟงั ควำมคดิ เหน็ ของคนอื่นมำกขน้ึ ไม่ปดิ ใจเช่อื ตนเองอยู่
ฝ่ำยเดยี วและรู้จักกำรเปน็ ผใู้ หโ้ ดยเรยี นรู้วำ่ กำรให้เป็นควำมสขุ อยำ่ งหน่ึง (ผใู้ ห้ยอ่ มเปน็ ทร่ี ัก)
8. รู้จักกำรเคำรพตนเองและผ้อู ่ืน จำกกำรทำงำนรว่ มกนั ในบรรยำกำศที่เป็นกันเองมีควำม
เป็นมติ รทำใหผ้ ู้เรยี นรูจ้ ักเคำรพดนเองและปฏบิ ัติตนด้วยควำมเคำรพตอ่ ผู้อื่น
9. มีระเบียบวินยั ในตนเองมำกขน้ึ รจู้ กั บังคับตนเอง
10. รจู้ ักกำรทำใจเป็นกลำงและเลอื กปฏบิ ัติตนตำมทำงสำยกลำง รำมทั้งมเี ป้ำหมำยชวี ิตและมี
แนวทำงในกำรดำเนนิ ชวี ิตของตนเองทชี่ ัดเจนข้นึ
ส่วน สุชิน เพ็ชรักษ์ (2541, หนำ้ 27) ได้สรุปแนวทำงกำรวัดและประเมินผลกำรเรียนรู้ตำม
46
รปู แบบทฤษฎกี ำรเรียนร้เู พื่อสรำ้ งสรรค์ด้วยปัญญำ (Constructionism) ไว้ดังต่อไปน้ี
1. กำรเนน้ ให้ผูเ้ รียนวเิ ครำะหก์ ระบวนกำรและผลกำรเรียนรขู้ องตนเองจำกสมุดบันทึก
2. กำรประเมนิ จำกแพ้มสะสมงำน กำรสังเกตกำรปฏิบัตงิ ำน กำรใชแ้ บบทดสอบติดตำมผล
หลงั จำกเรยี นหรือกำหนดมำตรฐำนในกำรวัดและประเมนิ ผลร่วมกันระหวำ่ งครูกบั ผ้เู รียน ซ่ึงเปน็ กำร
ประเมินผลอยำ่ งหลำกหลำยและเจำะลึก
ควำมคดิ สรำ้ งสรรค์
1. ควำมหมำยของควำมคิดสรำ้ งสรรค์
นกั สำนักทดสอบทำงกำรศึกษำ (2557, น. 56 กล่ำวไวว้ ำ่ ควำมคดิ สร้ำงสรรค์ หมำยถึง
ควำมสำมำรถในกำรขยำยขอบเขตควำมคดิ ท่ีมีอยู่เดิมสู่ควำมคิดทีแ่ ปลกใหม่ แตกต่ำงไปจำกควำมคิดเดิม
คดิ ได้หลำยทิศทำง หลำยแง่มุม คิดได้กว้ำงไกล มองเห็นควำมสมั พันธข์ องสง่ิ ตำ่ ง ๆ โดยมีสิ่งเรำ้ เปน็
ตัวกระตุน้ ทำให้เกิดควำมคดิ ใหมต่ ่อเน่ืองกนั ไป
กลิ ฟอร์ด (Guilford, 1971, p.470) ไดใ้ ห้ควำมหมำยวำ่ ควำมคดิ สรำ้ งสรรค์หมำยถึงควำมคิด
อเนกนัยซึ่งคิดได้หลำยทิศทำงหลำยตำ้ นหลำยมมุ คดิ ไดก้ วำ้ งไกลและนำไปสู่กำรคิดประดษิ ฐ์สิ่งแปลกใหม่
รวมถึงกำรคิดคน้ พบวธิ กี ำรแก้ปัญหำไดส้ ำเร็จควำมคิดอเนกนัยประกอบดว้ ยควำมคดิ รเิ ริ่มควำมคล่องใน
กำรคดิ ควำมยืดหยุ่นในกำรคิดและควำมคดิ ละเอยี ดลออ
แอนเคอร์สับ (Anderson, 1970, p.90) ได้ใหค้ วำมหมำยว่ำควำมคิดสรำ้ งสรรค์ หมำยถึง
พฤติกรรมของบคุ คลท่แี สดงออกมำซึง่ ควำมคดิ ใหมๆ่ เปน็ กำรกระทำทบ่ี ุคคลเลอื กมำจำกประสบกำรณ์ที่
ผ่ำนมำเพื่อสร้ำงรูปแบบอยำ่ งใหม่ควำมคิดใหม่หรือผลผลติ ใหม่
วอลลำซ และโคแกน (Wallach & Kogan, 1965, p.:34) ไดใ้ หค้ วำมหมำยวำ่ ควำมคิด
สรำ้ งสรรคห์ มำยถงึ ควำมคิดโยงสมั พันธ์ (Association) คอื เมื่อระลกึ ถึงสงิ่ ใดได้กจ็ ะเปน็ สะพำนใหร้ ะลึกถึง
สิง่ อืน่ ได้ต่อไปอยำ่ งสมั พันธก์ ันเปน็ ลูกไซเ่ ช่นเหน็ คำว่ำปำกกำก็นึกถึงกระดำยดนิ สอขวดหมกึ โต๊ะเก้ำอฯี้ ลฯ
ย่ิงคดิ ได้มำกเทำ่ ไรย่ิงแสดงถึงศกั ยภำพควำมคิดสร้ำงสรรค์มำก
เมดนดิ (Mednick, 1962, p.196) ได้ใหค้ วำมหมำยว่ำควำมคดิ สรำ้ งสรรคห์ มำยถงึ
ควำมสำมำรถทีเ่ ชือ่ มโยงสัมพันธอ์ งคป์ ระกอบในแบบใหมำ่ ไดถ้ ้ำสง่ิ ทน่ี ำมำเช่ือมโยงกันน้ันมคี วำมห่ำงไกล
กันมำกเพียงใดกำรเช่ือมโยงสัมพนั ธก์ ม็ ีควำมสร้ำงสรรคม์ ำกขึ้นเพยี งนั้น
ทอแรนซ์ (Torrance, 1962, p.16 ไดใ้ ห้ควำมหมำยว่ำควำมคดิ สรำ้ งสรรค์หมำยถงึ