47
กระบวนกำรของควำมรูส้ กึ ไวตอ่ ปญั หำหรือสิง่ บกพร่องท่ีขำดหำยไปแลว้ รวบรวมควำมคิดตัง้ เป็น
สมมติฐำนข้นึ และทำกำรทดสอบสมมตฐิ ำนและรำยงำนผลท่ีไดร้ บั จำกกำรค้นพบ
แอนเดอร์สัน (Anderson 1959, p.7) ได้ให้ควำมหมำยวำ่ ควำมคดิ สรำ้ งสรรค์หมำยถงึ กำรคดิ
แก้ปัญหำอยำ่ งลึกซง้ึ ของบคุ คล โดยคดิ นอกเหนือจำกปกติ เป็นกำรผสมผสำนจำกหลำยแงม่ ุมจน
กลำยเป็นควำมคิดใหม่ ไดผ้ ลลัพธ์ทดี่ ขี ้ึนและถูกต้อง
ออสบอรน์ (Osbom, 1957, p.23) ไดใ้ ห้ควำมหมำขว่ำควำมคิดสรำ้ งสรรค์ หมำยถึงจินตนำกำร
ประยกุ ต์คอื เปน็ จนิ ตนำกำรท่ีมนษุ ย์สรำ้ งข้นึ เพ่ือแก้ปัญหำยุ่งยำกทม่ี นุษย์ประสบอย่มู ิใชเ่ ปน็ จนิ ตนำกำรที่
ฟงุ้ ซำ่ นเลื่อนลอยโดขทวั่ ไปควำมคิดจินตนำกำรจงึ เป็นลกั ษณะสำคัญของควำมคิดสรำ้ งสรรค์ในกำรนำไปสู่
ผลผลิตทีแ่ ปลกใหมแ่ ละเปน็ ประโยชน์
จำกข้อควำมข้ำงต้นที่กลำ่ วมำ ควำมคดิ สร้ำงสรรค์จงึ เปน็ ควำมคดิ ที่แปลกใหม่ แตกต่ำงไป
จำกเดมิ ในด้ำนสังคมศกึ ษำ ซึง่ วัดใน 4 ดำ้ น คอื 1) ดำ้ นควำมคดิ ริเริม่ 2) ด้ำนควำมคิดคล่องแคลว่ 3) ต้ำน
ควำมคิดยดื หยุ่น และ 4) ดำ้ นควำมคิดละเอียดลออ โดยมีควำมหมำยดงั นี้
ดำ้ นควำมคิดริเร่ิม หมำยถึง ควำมสำมำรถในกำรสร้ำงส่งิ ใหม่ที่แปลกแตกต่ำงไปจำกเดมิ
ตัวอยำ่ งเช่นนักเรยี นสำมำรถคดิ ประดิษฐ์ สร้ำงสรรคช์ ิน้ งำนทีแ่ ปลกใหม่แตกต่ำงไปจำกท่ีมีอยู่เดิมได้ มี
ควำมสวยงำม เหมำะสมกบั เนอื้ หำในบทเรยี น
ดำ้ นควำมคดิ คล่องแคลว่ หมำยถงึ ควำมสำมำรถในกำรคิดได้เร็วในเวลำที่กำหนดตัวอย่ำงเชน่
นักเรยี นสำมำรถคิดคน้ ประดิษฐ์ สรำ้ งสรรคช์ ิน้ งำนได้ มีควำมหลำกหลำย ในเวลำที่ครผู ู้สอนกำหนดให้
ดำ้ นควำมคิดยดื หยุน่ หมำยถึง ควำมสำมำรถในกำรคิดดดั แปลงสง่ิ ต่ำง ๆ ให้เกิดควำม
หลำกหลำยตัวอย่ำงเชน นกั เรยี นสำมำรถดดั แปลงชน้ิ งำนท่มี อี ยเู่ ดิมได้ และมีควำมเหมำะสมกับเนื้อหำใน
บทเรียน
ดำ้ นควำมคดิ ละเอยี ดลออ หมำยถงึ ควำมสำมำรถในกำรอธิบำยส่งิ ตำ่ ง ๆ ได้อยำ่ งชัดเจน
ตวั อยำ่ งเช่น นักเรยี นสำมำรถคดิ สรำ้ งสรรค์ชน้ิ งำน ให้เหมำะสมสอดคลอ้ งกับเนื้อหำในบทเรยี น
2. ทฤษฎที เี่ กย่ี วขอ้ งกบั ควำมคดิ สรำ้ งสรรค์
เดวิส (Davis) (กรมวิชำกำร . 2534 : 6-7) ไดร้ วบรวมควำมคิดเกีย่ วกบั ควำมคดิ สรำ้ งสรรค์ของ
นักจิตวิทยำที่ไดก้ ล่ำวถงึ ทฤษฎขี องควำมคิดสรำ้ งสรรค์ โดยแบง่ เปน็ กลุ่มใหญ่ๆ ได้ 4 กลมุ่ คอื ทฤษฎที ่ี
เกยี่ วข้องกบั ควำมคิดตรำ้ งสรรค์ มีดังต่อไปนี้
1. ทฤษฎีควำมดีดสร้ำงสรรค์เชิงวเิ ครำะห์ นกั จิตวทิ ยำทำงจิตวเิ ครำะหห์ ลำยท่ำน เชน่ Freud
48
และKris ได้เสนอแนวควำมคิดเก่ยี วกบั กำรเกิดควำมคิดสร้ำงสรรคว์ ำ่ ควำมคิดสร้ำงสรรคเ์ ป็นผลมำจำก
ควำมขดั แย้งภำยในจติ ใดส้ ำนึกระหว่ำงแรงขบั ทำงเพศ (Libido) กับควำมรู้สกึ ผิดชอบทำงสงั คม (Social
conscience) ส่วน Kubie และ Rugg ซึ่งเป็นนกั จิตวเิ ครำะหแ์ นวใหม่กลำ่ ววำ่ ควำมคิดสร้ำงสรรคน์ ้นั
เกิดขึน้ ระหว่ำงกำรรู้สตกิ ับจิตใต้สำนกึ ซึ่งอยู่ระหวำ่ งกำรรสู้ ติกับจติ ใต้สำนึกซง่ึ อยใู่ นขอบเขตของจติ ส่วนที่
เรยี กวำ่ จติ กอ่ น
2. ทฤษฎีควำมคิดสรำ้ งสรรค์เชงิ พฤติกรรม นกั จิตวิทยำกล่มุ นี้มแี นวควำมคดิ เกี่ยวกับ เรื่อง
ควำมคดิ สรำ้ งสรรค์ ว่ำเปน็ พฤติกรรมที่เกดิ จำกกำรเรียนรู้โคยเนน้ ที่ควำมสำคัญของกำรเสรมิ แรงกำร
ตอบสนองท่ถี ูกตอ้ งกบั สิ่งเร้ำเฉพำะ หรือสถำนกำรณ์นอกจำกน้ียงั ได้เน้นควำมสัมพันธ์ทำงปัญญำ คือ กำร
โยงควำมสมั พนั ธ์จำกส่ิงเรำ้ หน่ึงไปยงั สง่ิ ตำ่ ง ๆ ทำใหเ้ กิดควำมคิดใหม่หรือสิ่งใหมเ่ กิดขึน้
3. ทฤษฎคี วำมคิดสร้ำงสรรค์เชงิ มนุษย์นิยม นกั จติ วทิ ยำในกลุ่มน้มี แี นวควำมคดิ วำ่ ควำมคิด
สร้ำงสรรค์เปน็ สง่ิ ท่มี นษุ ยน์ ิติดตัวมำแตก่ ำเนิด ผทู้ ี่สำมำรถนำควำมคิดสร้ำงสรรคอ์ อกมำใชไ้ ดค้ ือ ผทู้ ่ีมี
สัจจะแหง่ ตน คือ รจู้ ักตนเอง พอในตนเอง และใช้ตนเองเตม็ ตำมศักยภำพของตน มนุษย์จะสำมำรถเสดง
ควำมคิดสร้ำงสรรค์ของตน ออกมำได้อย่ำงเตม็ ทนี่ ั้นขนึ้ อยกู่ ับกำรสรำ้ งสภำวะ หรือบรรยำกำศท่ี
เออื้ อำนวย
4. ทฤษฎี AUTA ทฤษฎีสตุ ท้ำยนี้เปน็ รูปแบบของกำรพัฒนำควำมคดิ สร้ำงสรรค์ให้เกิดขน้ึ ใน
ตวั บุคคลโดยมแี นวคดิ ว่ำ ควำมคิดสร้ำงสรรค์นัน้ มีอยู่ในมนุษย์ทกุ คนและสำมำรถพฒั นำให้สงู ขน้ึ ได้ กำร
พัฒนำควำมคดิ ตำมรูปแบบ AUTA ประกอบดว้ ย
4.1 กำรตระหนัก (Awarence) คือ ตระหนักถงึ ควำมสำคัญของควำมคิดสร้ำงสรรค์ ทม่ี ีต่อ
ตนเอง สังคมท้งั ในปัจจบุ นั และอนำคต และตระหนกั ถงึ ควำมคิดสร้ำงสรรค์ท่ีมีอยู่ในตนเองด้วย
4.2 ควำมเข้ำใจ (Understanding) คือ มคี วำมรูค้ วำมเข้ำใจอยำ่ งลกึ ซึ้งในเร่ืองรำวต่ำง ๆ
ทเ่ี กี่ยวข้องกบั ควำมคดิ สร้ำงสรรค์
4.3 เทคนคิ วธิ ี (Techniques) คือ กำรร้เู ทคนิควิธกี ำร ในกำรพฒั นำควำมคิดสรำ้ งสรรค์ทง้ั
ทีเ่ ปน็ เทคนิคส่วนบุคคล และเทคนิคที่เป็นมำศรฐำน
4.4 กำรคระหนกั ในควำมจริงของส่ือตำ่ ง (Actualization) คอื กำรรู้จักหรอื ตระหนักใน
ตนเอง พอใจในตนเอง และ พยำยำมใชต้ นเองอยำ่ งเต็มศักยภำพ รวมทัง้ กำรเปิดกวำ้ งรับประสบกำรณ์ต่ำง
ๆ โดยมกี ำรปรบั ตัวได้อย่ำงเหมำะสม กำรตระหนักถึงเพื่อนมนษุ ยด์ ้วยกันกำรผลติ ผลงำนดว้ ยคนเองและ
กำรมีควำมคิดที่ยดื หยุ่นเขำ้ กับทุกรปู แบบของชีวิต
49
3. องคป์ ระกอบของควำมคดิ สรำ้ งสรรค์
นักวิชำกำรหลำยท่ำนสรุปองคป์ ระกอบของควำมคิดสร้ำงสรรคด์ งั นี้
กลิ ฟอร์ด (Guilford, 1950 อ้ำงถงึ ในอุยณีย์ อนุรุทธ์วงศ์, 2535, น.164-165) ควำมคิด
สร้ำงสรรค์แบ่งเปน็ 4 องคป์ ระกอบ ได้แก่
1. ควำมไวตอ่ ปัญหำ ( Sensitivity to Problems) กำรมองเหน็ ปัญหำ รับรู้ว่ำปญั หำอยู่
ตรงไหน
2. ควำมคิดคล่องตวั (Fluency) ควำมคดิ ที่ไหลหลั่งออกมำอย่ำงคล่องแคลว่ มีลกั ษณะดงั นี้
2.1 ควำมคล่องแคล่วทำงภำยำ สำมำรถพูด เขยี น ได้อย่ำงตน่ื ไหล ไม่ตดิ ขัด
2.2 ควำมคลอ่ งแคล่วในกำรเช่อื มโขงควำมสมั พนั ธเ์ ห็นควำมหมำยของสิ่งต่ำง ๆ อย่ำง
รวดเร็ว
2.3 ควำมคล่องแคลว่ ในกำรแสดงควำมคดิ เหน็ ควำมรสู้ กึ ได้อย่ำงรัดกุมชดั เจนตรงประเด็น
2.4 ควำมคล่องแคลว่ ในกำรสร้ำงควำมคิดสำมำรถมคี วำมคิดตอบโจทยท์ ีม่ ีอย่ไู ดอ้ ย่ำงดี มี
ควำมคดิ ใหมไ่ ด้ทนั ควัน
3. ควำมคดิ ยืดหย่นุ (Flexibility) เปน็ ควำมสำมำรถทีจ่ ะคิดไดอ้ ย่ำงหลำก หลำยได้อย่ำง
ทนั ทที ันใด
4. ควำมคดิ แปลกใหม่ (Originality) เปน็ ควำมแตกตำ่ งจำกธรรมดำ
ทอรแ์ รนซ์ (Torrance อำ้ งถงึ ในอษุ ณยี ์ อนรุ ุทธว์ งศ,์ 2555, น.165-166) ควำมคดิ สร้ำงสรรค์
แบง่ เป็น 4 องคป์ ระกอบ ได้แก่
1. ควำมคิดคล่องแคลว่ (Fluency) เปน็ ควำมสำมำรถในกำรคิดตอบสนองสงิ่ เรำ้ ใหไ้ ดม้ ำก
ทส่ี ดุ เทำ่ ทจี่ ะมำกได้ หรอื ควำมสำมำรถคิดหำคำตอบท่ีเด่นชดั และตรงประเดน็ มำกท่ีสุดซ่งึ จะนับปริมำณ
ควำมคิดที่ไมน่ ้ำกนั ในเรื่องเดียวกัน
2. ควำมคดิ ยืดหยุ่น (Flexibility) เปน็ ควำมสำมำรถในกำรปรับสภำพของควำมคิดใน
สถำนกำรณต์ ่ำง ๆ ไดเ้ น้นในเรื่องของปรมิ ำณที่เปน็ ประเภทใหญ่ ๆ ของควำมคิดคล่องแคล่ว ดว้ ยกำร
จัดเป็นหมวดหมแู่ ละมหี ลักเกณฑย์ ง่ิ ขึ้น
3. ควำมคดิ ริเรมิ่ (Originality) เปน็ ควำมสำมำรถคดิ แปลกใหม่ แตกต่ำงจำกควำมคดิ
ธรรมดำหรือควำมคิดงำ่ ย ๆ อำจจะเกิดจำกกำรนำเอำควำมรูเ้ ดมิ มำคดิ ดดั แปลงและประยุกต์ใหเ้ กิดเป็นส่ิง
ใหม่ขนึ้
50
4. ควำมคดิ ละเอยี ดลออ (Elaboration) เป็นควำมสำมำรถในกำรมองเห็น ซง่ึ รำยละเอยี ด
ในสิง่ ทค่ี นอ่นื ๆ มองไมเ่ ห็น และ รวมถึงกำรเชื่อมโขงควำมสัมพนั ธส์ ่ิงต่ำง ๆ อยำ่ งมีควำมหมำยไปสู่
ควำมคิดที่คนดำดไม่ถึง
ประพันธส์ ิริ สุเสำรจั (2553, น.187-191) ควำมคดิ สรำ้ งสรรค์แบง่ เป็น 7 องค์ประกอบ ไดแ้ ก่
1. คิดจินตนำกำร เปน็ ควำมคิดในส่ิงท่อี ำจจะยงัไม่ได้เกิดข้ึน อำจเปน็ ไปไดย้ ำกหรือเป็นไปไม่
ไดเ้ ลย แต่อำจเกดิ เป็นจรงิ ขึ้นมำไดห้ รืออย่ำงน้อยก็จะเป็นพน้ื ฐำนของกำรคดิ เริม่ ต้นในควำมคิดเพื่อสร้ำง
ผลงำนตำ่ ง ๆ ขนึ้ มำ ซง่ึ จำเป็นตอ้ งมีควำมคิดแบบอ่ืน ๆมำสำนต่อควำมคดิ จนิ ตนำกำรจงึ จะนำ ไปสกู่ ำรคน้
พบหรอื สรำ้ งสรรค์ผลงำนใหม่ได้
2. คิดคลอ่ งแคล่วหรอื กำรคดิ เรว็ เปน็ กำรคดิ ที่มีปฏกิ ริ ยิ ำตอบสนองตอ่ ส่ิงเร้ำสำมำรถ
สงั เกตเห็นรับรูแ้ ละเข้ำใจในสิ่งตำ่ ง ๆ ได้เร็วทสี่ ุดเป็นกำรหำคำตอบได้มำก ๆ ไดจ้ ำนวนคำมคิดเยอะๆ โดย
ใช้เวลำนอ้ ย
3. คิดกว้ำงหรอื ควำมคิดหลำกหลำย เป็นกำรคิดไดไ้ กล หลำยทิศทำง หลำยแงม่ ุมหลำย
รปู แบบในคำถำมเดียวสำมำรถมคี ำตอบหลำยอยำ่ ง ซึ่งควรเน้นทัง้ ทำงคำ้ นปริมำณ และคณุ ภำพของ
ควำมคดิ จึงจะเปน็ พื้นฐำนในกำรได้ควำมคดิ ดี ๆ มีคุณภำพออกมำ
4. คิดริเร่ิม เป็นควำมสำมำรถในกำรดนั พบสิ่งแปลกๆใหมๆ่ เป็นควำมสำมำรถในกำรคิดท่ตี ำ่ ง
จำกคนอ่ืน ตำ่ งจำกธรรมดำ ตำ่ งจำกทเ่ี คยเป็น เป็นควำมคิดทีไ่ ม่เคยมใี ครคิดมำกอ่ นคนอ่ืนคิดไมถ่ ึง หรอื
อำจปรบั ปรุงเปล่ยี นแปลงให้แตกตำ่ งไปจำกของเดิม บำงท่ีกำรคดิ ง่ำยๆ พ้นื ๆ ทีแ่ ปลกใหม่ กอ็ ำจเปน็
ควำมคิดสรำ้ งสรรค์ท่มี คี ุณคำ่
5. คิดละเอยี ดลออ หมำยถึง กำรฝึกมองเหน็ รำยละเอยี ดของสิ่งต่ำง ๆ เป็นควำมคิดในรำย
ละเอยี ดทีน่ ำมำเพ่มิ เติมเสริมแตง่ ควำมคิดคร้ังแรกให้ได้ควำมหมำยสมบูรณ์ย่ิงขน้ึ ท้ังกำรตอ่ เติมเสรมิ แต่ง
และตัดส่งิ ที่ไม่เหมำะสมไม่ถูกตอ้ งออกไป
6. คิดสังเครำะห์ หมำยถงึ กำรรวม กำรผสมผสำน กำรนำเอำส่งิ เดิม ๆ มำประยุกตแ์ ละมำ
ผสมผสำนให้เกดิ เป็นสิง่ ใหม่ข้ึน
7. กำรคิดในทำงสร้ำงสรรค์ หมำยถงึ กำรติดในทำงทต่ี ี ในทำงที่เปน็ ไปได้ ในทำงทเี่ ป็น
ประโยชน์ ไมท่ ำลำยล้ำง ผลของกำรคิดสรำ้ งสรรค์ไมเ่ พียงตอ้ งเป็นสงิ่ แปลกใหม่เทำ่ นนั้ แต่จะเป็นควำม
คุ้มคำ่ เป็นประไยชน์
สถำบนั สง่ เสรมิ กำรสอนวทิ ยำศำสตร์และเทคโนโลยี สสวท. (2555, น.53-55) ควำมคดิ
51
สร้ำงสรรค์แบง่ เป็น 4 องคป์ ระกอบ ได้แก่
1. ควำมคดิ คล่องแคล่ว (Fluency) หมำยถึง ควำมสำมำรถในกำรคิดตอบสนองต่อสิง่ เรำ้ ให้ได้
มำกท่สี ดุ ท่ำท่ีจะมำกได้ หรอื ควำมสำมำรถคิดหำคำดอบที่เดน่ ชัด และ ตรงประเดน็ มำกทส่ี ดุ ซึ่งจะนับ
ปรมิ ำณควำมคิดท่ีไมซ่ ้ำกันในเร่อื งเดียวกัน คือมองในแง่ของปริมำณของผลงำน
2. ควำมคิดยดึ หย่นุ (Flexibility) หมำยถงึ ควำมสำมำรถในกำรปรบั สภำพของควำมคิดใน
สถำนกำรณต์ ่ำง ๆได้ เน้นั ในเรอ่ื งของปริมำณท่เี ป็นประเภทใหญๆ่ ของควำมคดิ แบบคลอ่ งแคล่วน่ันเอง
เป็นตัวเสรมิ และเพ่ิมคุณภำพของควำมคดิ คลอ่ งแกล่วให้มำกขน้ึ ด้วยกำรจัดหมวดหม่แู ละมหี ลกั เกณฑ์
ยง่ิ ขน้ึ
3. ควำมติดริเริ่ม (Originality) หมำยถึง ควำมสำมำรถคิดแปลกใหม่แตกตำ่ งจำกควำมคิด
ธรรมดำหรือควำมคิดง่ำยๆ ควำมคดิ รเิ ร่มิ อำจเกิดจำกกำรนำเอำควำมรเู้ ดิมมำคิดคัดแปลงและประยุกตใ์ ห้
เกิดสิ่งใหม่ขึน้
4. ควำมคดิ ละเอยี ดลออ (Elaboration) หมำยถึง ควำมสำมำรถในกำรมองเหน็ รำยละเอียด
ในสิ่งทค่ี นอื่นมองไม่เหน็ และยงั รำมถงึ กำรเชอ่ื มโยงสมั พนั ธ์ส่งิ ต่ำง ๆอยำ่ งมคี วำมหมำย
สคุ นธ์ สินธพำนนท์ (2555, น.65-68) กิลฟอรด์ (Guilford, 1967p. 145-151) ควำมคิด
สรำ้ งสรรค์แบง่ เปน็ 4 องค์ประกอบ ไดแ้ ก่
1. ควำมคิดรเิ รม่ิ (Originality) หมำยถึง ควำมคดิ แปลกใหม่ไม่ซำ้ กับควำมคิดของคนอ่ืนและ
แตกต่ำงจำกธรรมดำ อำจเกิดควำมคดิ เดิมทม่ี ีอยแู่ ล้วมำดัดแปลงประยุกต์เป็นส่ิงใหม่ และเป็นควำมคิดท่ี
เปน็ ประ โยชนต์ อ่ ตนเองและสังคม
2. ควำมคดิ คล่องแคลว่ (Fluency) หมำยถึง ควำมคลอ่ งตัวในกำรคิดตอบสนองต่อสงิ่ เร้ำให้ได้
มำกทีส่ ดุ เท่ำท่ีจะทำได้ หรือควำมสำมำรถในกำรคิดหำคำดอบได้รวดเร็วและได้ปริมำณมำกในเวลำทีจ่ ำกัด
โดยเนนั่ ปริมำณของควำมคดิ แล้วนำเอำควำมคิดท้ังหมดมำพจิ ำรณำเปรียบเทียบกันวำ่ ควำมคดิ ใดเปน็
ควำมคิดที่ดีทีส่ ดุ และ ให้ประโยชนค์ ุ้มค่ำมำกท่สี ุด ควำมคิดคล่องแคลว่ แบง่ เปน็ 4 ประเภท
a. ควำมคดิ คล่องแคลว่ ดำ้ นถ้อยคำ (Word Fluency) เปน็ ควำมสำมำรถในกำรใชถ้ ้อยคำ
เปน็ ไปอยำ่ งคล่องแคล่ว
b. ควำมคดิ คล่องแคล่วคำ้ นกำรโขงควำมสมั พันธ์ (Associational Fluency) เป็น
ควำมสำมำรถในกำรคิดหำถ้อยคำท่เี หมือนกนั หรือกลำ้ ยกนั ได้มำกทส่ี ุดเทำ่ ท่ีจะมำกได้ภำยในเวลำท่ี
กำหนด
52
c. ควำมคิดคล่องแคลว่ ดำ้ นกำรแสดงออก (Expressional Fluency) เปน็ ควำมสำมำรถใน
กำรใช้ลีหรือประโยค สำมำรถนำดำมำเรียงกันอยำ่ งรวดเร็ว เพ่อื ให้ได้ประโยคทต่ี ้องกำร
d. ควำมคดิ คล่องแคล่ว (Ideal Fluency) เปน็ ควำมสำมำรถในกำรคดิ สิ่งที่ต้องกำรภำยใน
เวลำกำหนด
3. ควำมคดิ ยดื หยนุ่ (Flexibility) หมำยถึง เป็นควำมสำมำรถของบุคคลในกำรคิดหำคำตอบ
ไดห้ ลำยประเภทหลำยทิศทำงควำมคดิ ยดึ หยนุ่ มีควำมยืดหยุ่นท้ังควำมคิดและกำรกระทำเปน็
ควำมสำมำรถในกำรปรับสภำพของควำมคดิ ในสถำนกำรณ์ต่ำง ๆ ไดค้ วำมคิดยืดหยุ่น แบง่ ออกเปน็ 2
ประเภทได้แก่
a. ควำมคิดยดื หย่นุ ที่เกิดข้ึนทนั ที (Spontaneous Flexibility) เป็นควำมสำมำรถทจี่ ะ
พยำยำมคดิ ใหไ้ ดห้ ลำยอย่ำง อยำ่ งอสิ ระ สำมำรถเกิดไดห้ ลำยประเกท หลำยอยำ่ ง
b. ควำมคิดยดื หยนุ่ ทำงดำ้ นกำรตดั แปลง (Adaptive Flexibility) เป็นควำมสำมำรถใน
กำร
ดัดแปลง ควำมรู้ หรือประสบกำรณ์ให้เกดิ ประโยชน์หลำยๆดำ้ น
4. ควำมคิดละเอียดลออ (Elaboration) หมำยถึง ควำมคิดในรำยละเอียดเพื่อขยำยควำมคิด
หลกั หรือควำมคิดครัง้ แรกให้ได้ควำมหมำขสมบรู ณ์ย่งิ ขนึ้ สำมำรถอธิบำยใหเ้ ห็นภำพชดั เจนหรอื เป็น
แผนงำนทสี่ มบูรณ์ขน้ึ ควำมคิดละเอยี ดลออเปน็ คุณลักษณะจำเปน็ สำหรับกำรสร้ำงผลงำนทม่ี ีควำมแปลก
ใหมใ่ หส้ ำเร็จ
องค์ประกอบของควำมคิดสร้ำงสรรคม์ หี ลำยลักษณะ ลกั ษณะควำมคิดริเริ่ม ควำมคิดคลอ่ งตัว
ควำมคิดยืดหยุ่น และควำมคิดละเอยี ดลออ ซึ่งเปน็ ลักษณะควำมคิดแบบอเนกนัยรวมถึงกำรกล้ำคิดกลำ้
ทำ กล้ำแสดงออกในสง่ิ ที่ตนเองคดิ มคี วำมไวตอ่ ปญั หำ มอี ำรมณ์ขัน ดลอดจนมีควำมมงุ่ ม่ันทจี่ ะกระทำสิ่ง
ต่ำง ๆ ท่มี ีอยใู่ นตนเองและสง่ิ เรำ้ ภำยนอกทเ่ี อ้ือต่อกำรกระทำนนั้
1. กระบวนกำรคดิ สร้ำงสรรค์
นกั วิชำกำรหลำยทำ่ นพยำยำมวเิ ครำะห์และสังเครำะห์กระบวนกำรควำมคิดสร้ำงสรรค์ เพอ่ื
ประโยชน์ของกำรพัฒนำควำมคดิ สร้ำงสรรค์ ดงั น้ี
กรำแฮม วำลำส (Graham Wallas, 1926 อำ้ งถึงในอุษณีย์ อนุรุทธว์ งศ์, 2555, น. 161-166)
กระบวนกำรของควำมคิดสรำ้ งสรรคเ์ ป็น 5 ขั้นตอนดังน้ี
1. ขนั้ เร่ิมคดิ (Preparation) คือ ข้ันเร่ิมตน้ เปน็ กำรกอ่ ตวั ของควำมคิดที่เกดิ จำกควำม
53
พยำยำมสำรวจข้อมูล ปญั หำและรวบรวมข้อเทจ็ จริง เรื่องรำวและแนวคิดต่ำง ๆทมี่ ีอย่เู ขำ้ ดว้ ยกัน เพ่อื หำ
ควำมกระจ่ำงในปัญหำในแง่มุมตำ่ ง ๆ
2. ขัน้ ฟมู ฟักควำมคิด (Incubation) คือ ขน้ั หมกมุ่นคร่นุ คิด เป็นกระบวนกำรทเี่ กิดข้ึนภำยใน
ตนเองอย่ำงต่อเนื่อง
3. ขั้นควำมคิดก่อตัว (Intimation) คือ ขน้ั ทผี่ ู้คดิ จะมองเหน็ ควำมสัมพันธข์ องควำมคดิ ใหม่ท่ี
ซ้ำกบั ควำมคิดเก่ำๆ
4. ข้นั ควำมคดิ ปรำกฏ (Illumination) คือ ขัน้ ที่ควำมคิดปรำกฏชดั เจนจำกระดับจิตใต้สำนึก
อย่ำงชัดเจน ไม่คลมุ เครืออกี ต่อไป
5. ขัน้ ตรวจสอบควำมคิด (Verification) คอื ขนั้ กำรขดั เกลำควำมคิดนน้ั ให้หมดจดเพื่อให้
ผู้อ่นื เขำ้ ใจไดง้ ่ำย
เพอร์เกนส์ (Perkins, 1991 อ้ำงถึงในอุษณยี ์ อนุรทุ ธ์วงศ์, 2555,น.161-166)กระบวนกำรของ
ควำมคิดสร้ำงสรรค์เปน็ 5 ขั้นตอนดงั น้ี
1. ขน้ั ของกำรต้ังจุดประสงค์ของควำมคดิ
2. ขนั้ กำรวำงโครงสรำ้ ง
3. ขนั้ กำรพฒั นำรปู แบบทชี่ ัดเจน
4. ขั้นตรวจสอบควำมคิด สิ่งทีข่ ดั แยง้ กับควำมคิด
5. ขั้นสรุปควำมคิด
ทอรแ์ รนซ์ (Torrance, 1962) กระบวนกำร ของควำมคิดสร้ำงสรรค์เปน็ 5 ข้นั ตอนดังนี้
1. ข้ันกำรหำขอ้ เท็จจริง (fact finding)
2. ขั้นกำรคน้ พบปัญหำ (problem finding)
3. ขน้ั กำรค้นหำควำมคิด (idea finding)
4. ข้ันค้นพบแนวทำงแก้ไข (solution finding)
5. ขนั้ กำรยอมรบั แนวทำง (acceptance finding)
โทมสั (Thomas, 2008, P. 69) กระบวนกำรของควำมคิดสรำ้ งสรรคเ์ ปน็ 4 ข้ันตอนดังนี้
1. ขนั้ กำรเตรียมกำร (preparation) เป็นขน้ั ตอนกำรรวบรวมขอ้ มลู กำรวิเครำะห์
และกำรค้นหำแนวทำงแก้ไข
2. ขั้นกำรรเิ ริม่ หรือกำรบ่มเพำะ (incubation) เป็นขัน้ ตอนประมวลควำมคิดเพ่ือไป
54
สกู่ ระบวนกำรปฏิบตั ิ
3. ขัน้ กำรทำให้กระจ่ำง (illumination) เปน็ ข้ันตอนกำรสร้ำงแรงบันดำลใจ
4. ขน้ั กำรพิสูจน์ควำมจรงิ (verification)เปน็ ขน้ั ตอนกำรทดสอบควำมคดิ แนวทำงกำรแกไ้ ข
ปัญหำ เปน็ ควำมเข้ำใจอย่ำงถ่องแท้ ลกึ ซงึ้ เพอื่ ท่ีจะสำมำรถนำไปปฏิบตั ิได้อย่ำงถูกต้องเหมำะสม
ดูบรนิ (DuBrin, 2010, p. 349-351) กระบวนกำรของควำมคิดสรำ้ งสรรค์เป็น 5 ขนั้ ตอน ดงั น้ี
1. ข้ันกำรตระหนักในปัญหำ (opportunity or problem recognition) กำรท่ีบุคคลคน้ หำ
โอกำสใหม่หรือแนวทำงกำรแก้ไขปัญหำด้วยวิธีกำรใหม่
2. ขน้ั กำรทุ่มเท (immersion) กำรทบี่ ุคคลมุ่งมั่นหรอื สนใจตอ่ ปัญหำ และ ทมุ่ เทหรอื จดจ่อ
ต่อสง่ิ น้ันโดยกำรเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ที่เก่ยี วข้องหรือสร้ำงทำงเลือกหรือประเมินทำงเลือก
3. ขั้นกำรบม่ เพำะ (incubation) กำรท่ีบคุ คลรวบรวมข้อมลู สำรสนเทศ แต่ยังไม่นำไปปฏบิ ัติ
จนกว่ำข้อมลู สำรสนเทศจะสมบรู ณห์ รือควำมคดิ ตกผลึกนำไปสแู่ นวทำงปฏบิ ตั ใิ หม่ๆ
4. ขั้นกำรเข้ำใจอยำ่ งถ่องแท้หรอื ลกึ ซ้งึ (insight) กำรท่บี ุคคลพบแนวทำงกำรแก้ไขเพื่อพชิ ิต
ปัญหำของบุคคลเป็นกำรปรำกฏขึ้นชั่วแวบหนึ่งหรอื เกิดขนึ้ ในช่ัวพรบิ ตำโดยไมส่ ำมำรถระบุเวลำได้
5. ข้นั กำรพิสจู นแ์ ละนำไปปฏบิ ัติ (verification and application) กำรท่ีบุคคลทำกำร
ตรวจสอบแนวทำงสร้ำงสรรค์ ตง้ั แตข่ ้นั กำรพิสูจนป์ ระกอบดว้ ย กำรรวบรวมหลกั ฐำนท่ีสนับสนุนควำมคิด
สรำ้ งสรรค์ กำรสรำ้ งควำมมัน่ ใจดว้ ยกำรใช้ตรรกะและกำรทดลองกับแนวควำมคิดใหม่ สำหรับขั้นกำร
นำไปปฏบิ ตั ิต้องกำรควำมใส่ใจตดิ ตำมอย่ำงใกลช้ ิด เพรำะควำมลม้ เหลวของควำมคิดใหม่ๆมีสำเหตจุ ำก
กำรไมจ่ ริงจังกบั กำรปฏิบตั ิ
จำกแนวคิดสรุปได้ว่ำ กระบวนกำรคดิ สรำ้ งสรรค์นน้ั เป็นวธิ ีคดิ อย่ำเปน็ ขั้นเปน็ ตอนเพ่ือนำไปสู่
จุดมุ่งหมำยเร่ิมจำกมีควำมสบั สน วนุ่ วำยหรอื มีปญั หำเกิดขึ้น รวบรวมขอ้ มูล เกดิ ควำมคิดนำไปทดลองใช้
ปรับปรงุ และนำไปใชเ้ ป็นขั้นสุดทำ้ ย
2. กำรพฒั นำควำมคดิ สรำ้ งสรรค์
มนี กั จติ วิทยำและนกั กำรศึกษำเสนอแนวทำงและหลกั กำรพัฒนำควำมคิดสร้ำงสรรค์ไวห้ ลำย
ประกำร ดังนี้
Anderson et al. (1970) ให้ควำมเหน็ วำ่ ทุกคนเกดิ มำพร้อมกบั มศี ักยภำพทำงกำรคดิ
สรำ้ งสรรค์ ซึง่ สำมำรถพัฒนำไดใ้ นทุกระดับอำยุและทุกสำขำถำ้ จดั ประสบกำรณ์ให้เหมำะสม
Torrance (1971) กล่ำววำ่ ควำมคิดสรำ้ งสรรค์เกิดขึ้นได้ทุกเพศ ทุกวัย เชน่ วัยเด็ก วยั ร่นุ วยั
55
ผใู้ หญ่ แม้วำ่ ผลกำรศึกษำจะพบว่ำ เด็กมีควำมคิดสร้ำงสรรค์สงู สุดเมอ่ื อำยุ 4 ปีครง่ึ กต็ ำม แต่ไมไ่ ด้
หมำยควำมว่ำ ควำมคดิ สร้ำงสรรค์จะไมไ่ ด้พัฒนำในชว่ งวัยอืน่ ๆ แต่ควำมคดิ สรำ้ งสรรค์จะค่อย ๆ
พฒั นำข้ึนจนกระท่ังเดก็ เรียนจนถึงชนั้ ประถมปีท่ี 4 และจะลดลงทั้งน้ีขนึ้ อยู่กับส่งิ แวดล้อมตำ่ ง ๆ เช่น
ระเบยี บข้อบงั คับ กฎเกณฑ์ วฒั นธรรม ประเพณีทเ่ี ด็กเรียนรคู้ วบค่กู บั อำยทุ เี่ พ่ิมข้ึนซง่ึ หำกอยู่ใน
สภำพแวดล้อมที่เอ้ืออำนวยควำมคดิ สรำ้ งสรรค์ก็ยังคงพัฒนำตอ่ ไปได้ ทอร์แรนซ์ได้เสนอแนวทำงที่ใช้
พฒั นำควำมคิดสรำ้ งสรรคไ์ ว้ ดงั นี้
1. ลักษณะควำมไม่สมบูรณ์ หรือกำรไม่เปดิ กว้ำง (Incompleteness openness) เป็น
ลกั ษณะพืน้ ฐำนแรกทส่ี ุดในกิจกรรมกระบวนกำรเรียนรู้โดยสง่ เสรมิ ควำมคิดสร้ำงสรรค์ และกำรแกป้ ญั หำ
โดยเป็นสง่ิ ทีไ่ ม่สมบูรณห์ รือไม่เป็นกำรเปดิ กว้ำง นัน้ กส็ ำมำรถนำลกั ษณะดังกลำ่ วมำเปน็ เทคนิควิธีสอนได้
โดยลักษณะดังกล่ำวนั้นจะกอ่ ใหเ้ กิดควำมคิดสรำ้ งสรรค์โดยอำศัยควำมไม่สมบรู ณ์ไปกระตุ้นกำรเรยี นรู้ให้
อยำกเรยี นรู้เพม่ิ ข้ึนเรือ่ ย ๆ โดยปกตริ ูปแบบกำรสอนแบบนี้จะใช้ได้ผลดใี นกำรส่งเสริมให้คดิ อย่ำง
สรำ้ งสรรค์
2. ลกั ษณะกำรสรำ้ งหรือผลติ บำงส่ิงขนึ้ มำ (Producing something) กำรสรำ้ งหรือผลติ ของ
บำงสงิ่ ขน้ึ มำใหเ้ ปน็ ประโยชน์ จะทำใหผ้ ผู้ ลติ เหน็ คุณคำ่ และมีแรงจงู ใจซึง่ วธิ นี ้ีเปน็ วิธีหลักท่ีทอรแ์ รนซ์
นำมำใช้ในกำรพฒั นำควำมคิดสร้ำงสรรค์
3. ลกั ษณะกำรใช้คำถำม (Using pupil question) ควำมอยำกรู้อยำกเห็นท่ีก่อให้เกิด กำร
ถำมคำถำมต่ำง ๆ ดงั นั้นกำรสอนควรเปดิ โอกำสใหผ้ ู้เรยี นไดถ้ ำมคำถำมและผ้สู อนต้องยอมรับวำ่ ทุกครัง้ ท่ี
ถูกถำมผ้สู อนไมไ่ ดต้ อบคำถำมในทันทีทนั ใดทุกครัง้ แตผ่ ้สู อนจะหำวธิ ยี ่ัวยุหรือใช้คำถำมให้ถำมกลับเพ่ือให้
ผเู้ รียนดนั หำคำตอบจำกแหล่งควำมรูต้ ำ่ ง ๆ ด้วยตนเองซึง่ เป็นกำรเรยี นอีกรูปแบบหนึง่ ทผี่ ู้เรยี นจะพอใจ
และเรยี นอย่ำงสร้ำงสรรค์
Bernard (1972) กลำ่ ววำ่ กำรสอนเพ่ือพฒั นำควำมคิดสรำ้ งสรรค์นั้นควรใช้กำรสอนแบบระดม
สมอง (Brainstorming) ซ่ึงเป็นวธิ กี ำรท่สี มำชกิ ในกล่มุ จะถูกกระตุ้นเร่งเร้ำให้ เสนอแนวควำมคิดของ
ตนเองออกมำในเร่ืองใดเรื่องหน่งึ หรอื ใช้วิธสี อนเปน็ ทีมที่มีสว่ นทำใหผ้ เู้ รยี นเกดิ ควำมคิดสรำ้ งสรรค์ และ
ผู้สอนควรตระหนักถงึ ควำมแตกต่ำงของผู้เรยี นแต่ละคน
Mccandless and Evans (1978) เสนอแนะว่ำ ควำมคดิ สร้ำงสรรค์สำมำรถพฒั นำได้และ
สนับสนุนแนวคดิ ของ เพียเจต์ (Piaget) ท่วี ่ำกำรพฒั นำควำมคิดสร้ำงสรรค์เป็นเป้ำหมำยของกำรศึกษำซ่ึง
ควรจะตอ้ งสนับสนุนให้เกิดขึ้นในกำรเรียนกำรสอนเพรำะสำมำรถสง่ เสริมให้มกี ำรพฒั นำได้ทง้ั ทำงตรง
56
และทำงอ้อม ในทำงตรง คือ กำรสอนกำรฝึกฝน กำรอบรม และกำรเรียนรูใ้ นทำงอ้อม คือ กำรสรำ้ ง
บรรยำกำศและกำรจดั ส่งิ แวดลอ้ มเพ่ือส่งเสรมิ ควำมเป็นอสิ ระในกำรเรยี นรู้ ซึ่งสอดคล้องกบั แนวคิดของ
อำรี พนั ธ์มณี (2543) ท่ีกล่ำวว่ำ ควำมคดิ สร้ำงสรรคไ์ มส่ ำมำรถบงั คับให้เกิดขนึ้ ได้ แต่สำมำรถสง่ เสริมให้
เกดิ ขึ้นได้
De Cecco (1998) ได้อธิบำยวำ่ ผู้สอนสำมำรถท่จี ะสง่ เสรมิ ควำมคดิ ยืดหยนุ่ ควำมคล่องแคลว่
ในกำรคดิ และควำมคดิ รเิ ริ่มในกำรแก้ปัญหำตำ่ ง ๆ ของผูเ้ รียนไดโ้ ดยเสนอแนะแนวทำงในกำรจดั กำรเรยี น
กำรสอนไว้ 3 วธิ ี คือ
1. กำรไมบ่ อกวิธีกำรแก้ปัญหำท่ีจะให้ผู้เรียนแก้ ควำมคดิ สร้ำงสรรคจ์ ะเกดิ ขึ้นได้ใน
สถำนกำรณซ์ ่ึงผูส้ อนเตรยี มปัญหำไว้แตไ่ ม่บอกวิธีกำรแก้ปัญหำแกผ่ ู้เรียน และจำกสถำนกำรณ์ดงั กล่ำวจึง
นำไปสูส่ ถำนกำรณ์ที่ไมบ่ อกท้ังปญั หำและวธิ กี ำรแกป้ ัญหำแก่ผ้เู รียน ถำ้ ผูเ้ รียนรู้สถำนกำรณข์ องปัญหำ
นอ้ ยเท่ำไร ผูเ้ รียนจะสำมำรถคดิ สรำ้ งสรรค์ได้มำกข้ึนเท่ำน้ัน
2. ส่งเสรมิ ใหผ้ ู้เรยี นได้มีกำรพัฒนำทักษะกำรแก้ปัญหำ โดยวธิ กี ำรระดมพลงั สมองกำร
ตงั้ สมมตฐิ ำนและกำรทดสอบสมมตฐิ ำน
3. กำรใหร้ ำงวลั เมือ่ ผู้เรยี นสำมำรถทำกจิ กรรมสร้ำงสรรค์ได้
ดลิ ก ดิลกำนนท์ (2534) ใหข้ ้อเสนอแนะผู้สอนในกำรพฒั นำควำมสำมำรถในกำรคดิ สรำ้ งสรรค์
แกผ่ ู้เรียน ดังนี้
1. ใหผ้ ้เู รยี นมีโอกำสเรียนร้ดู ว้ ยควำมคิดริเริ่มของตนเอง ซึง่ จะเป็นกำรกระตนุ้ ใหผ้ เู้ รียน
อยำกเป็นผู้คน้ พบและอยำกทดลอง
2. กำรจัดบรรยำกำศในกำรเรียนร้แู บบเสรี โดยให้ผูเ้ รียนมีอสิ ระในกำรคดิ และกำรแสดงออก
มอี ิสระในกำรศึกษำคนั คว้ำในกรอบของควำมสนใจและควำมสำมำรถของคนนั้น ๆดังน้นั ผู้สอนตอ้ งไม่
กระทำตัวเป็นเผด็จกำรทำงควำมคดิ
3. สนบั สนนุ ให้ผเู้ รียนเรยี นรู้เพ่ิมมำกขึ้น โดยกำรให้ข้อมลู ข่ำวสำรที่ช่วยกระตนุ้ ให้ผู้เรยี นเกิด
ควำมสนใจที่จะเรยี นรเู้ พม่ิ ขึน้ ดว้ ยตนเอง
4. สง่ เสรมิ กระบวนกำรในกำรคิดสรำ้ งสรรค์ โดยยว่ั ยุให้ผเู้ รียนคดิ หำควำมสมั พนั ธร์ ะหว่ำง
ขอ้ มูลในรปู แบบที่แปลกใหม่จำกเดมิ ส่งเสริมกำรคิดจนิ ตนำกำร ส่งเสรมิ ให้คิดวิธีแก้ปญั หำที่แปลกใหม่
ตลอดจนส่งเสรมิ ใหผ้ ้เู รียนมีควำมกล้ำเส่ียงทำงสตปิ ัญญำ
5. ไม่เข้มงวดกับผลหรอื คำตอบหรือขอ้ สรปุ ท่ไี ดจ้ ำกกำรคันพบของผู้เรียนจนเกินไปผู้สอนต้อง
57
ไมใ่ หค้ วำมสำคญั ของควำมคลำดเคล่ือนเกินไปนัก ต้องยอมรบั ว่ำควำมคลำดเคลื่อนและควำมผดิ พลำดน้นั
เป็นเรอ่ื งปกติท่เี กิดขนึ้ ได้
6. สนับสนุนให้ผูเ้ รียนมีควำมยืดหยนุ่ ทำงสติปัญญำส่งเสริมโดยใหผ้ เู้ รยี นคิดหำวธิ หี ำคำตอบ
หรอื แกป้ ัญหำหลำย ๆ วธิ ดี ้วยกำรพยำยำมคดิ หำควำมหมำยใหมก่ ำรใช้ประสบกำรณ์เดมิ ในบริบทใหม่
และไมย่ ึดมน่ั กับประสบกำรณ์เดิมเพียงดำ้ นเดียว
7. สนบั สนุนให้ผูเ้ รยี นรู้จักประเมินผลสมั ฤทธ์ิและควำมกำ้ วหน้ำด้วยตนเอง เพื่อส่งเสริมให้
ผู้เรยี นเกดิ ควำมกระตือรอื ร้น มคี วำมรบั ผิดชอบ และรู้จกั ประเมนิ ตนเองโดยพยำยำมหลกี เลีย่ งกำรใช้
เกณฑ์มำตรฐำน
8. สง่ เสริมใหผ้ ้เู รียนเป็นผทู้ ่ีไวตอ่ กำรรบั รูใ้ นสิง่ เร้ำท้ังในดำ้ นควำมรสู้ ึกของบคุ คลและปัญหำ
ด้ำนสังคม
9. ส่งเสริมใหผ้ ู้เรียนได้ตอบคำถำมประเภทปลำยเปดิ ทมี่ ีควำมหมำย และไม่มีคำตอบเป็นจริง
ท่แี น่นอนตำยตวั คำถำมประเภทนีจ้ ะสนับสนุนให้นกั เรียนรู้จักคนั ควำ้ หำข้อมลู เพม่ิ ขึ้น
10. สนับสนุนเปดิ โอกำสใหผ้ ู้เรียนเปน็ ผู้จดั เตรยี มวัสดุอุปกรณ์ และเครอื่ งมือในกำรแกป้ ญั หำ
ด้วยตนเอง ซ่งึ จะเปน็ กำรเปิดโอกำสใหผ้ ู้เรียนได้เข้ำใจกระบนกำรโดยตลอด
11. ฝึกใหผ้ ู้เรยี นตอ่ สู้กับควำมลัมเหลวและควำมดบั ข้องใจ ผ้ทู ่ีมีควำมคดิ สร้ำงสรรค์ต้องมี
ควำมสำมำรถทีจ่ ะอย่ใู นสถำนกำรณท์ ี่คลมุ เครือและสำมำรถจัดกำรกับสถำนกำรณ์เหลำ่ นัน้ ได้อยำ่ ง
เหมำะสม
12. ฝึกใหผ้ เู้ รยี นพจิ ำรณำปัญหำในภำพรวมมำกกวำ่ ทีจ่ ะพจิ ำรณำปัญหำยอ่ ย โดยให้ผู้เรียน
รู้จกั บูรณำกำร และเข้ำใจปญั หำเหลำ่ นัน้
อำรี พนั ธ์มณี (2540) ไดด้ ำเนินกำรศึกษำคันควำ้ และเสนอรูปแบบกำรเรยี นที่สง่ เสริมกำร
พัฒนำควำมคิดสร้ำงสรรคต์ ำมแนวคิดของโรเจอร์ส (Rogers) ทอรแ์ รนซ์ (Torrance) และบลอนด์และ
คลอสม์ ำเรอร์ (Blond and Cosemarer) ไว้ ดงั น้ี
หลกั ในกำรสง่ เสริมควำมคดิ สรำ้ งสรรคข์ องโรเจอร์
1. ควำมรสู้ กึ ปลอดภยั ทำงจติ สำมำรถสรำ้ งได้ดว้ ยกระบวนกำรที่สมั พันธก์ นั 3 อย่ำง ดงั นี้
1.1 ยอมรับในคุณคำ่ ของแต่ละบคุ คลอย่ำงไม่มเี ง่อื นไข ผู้สอนหรอื บุคคลทเี่ กีย่ วข้องกบั
ผูเ้ รียนต้องยอมรับและเช่ือมนั่ ในควำมสำมำรถของผ้เู รยี น ทำใหผ้ ู้เรยี นเกดิ ควำมรสู้ กึ มนั่ คงปลอดภัย
สำมำรถดนั พบสง่ิ ตำ่ ง ๆ ที่มคี ุณค่ำและสรำ้ งควำมสำเร็จให้แกต่ นเองโดยไม่มใี ครมำกระตุ้น
58
1.2 สร้ำงบรรยำกำศท่ีไมม่ ีกำรวดั และประเมินผล จะเป็นกำรส่งเสรมิ ใหผ้ ู้เรียนเกิด
ควำมอสิ ระ เป็นตวั ของตวั เอง และกลำ้ แสดงออกท้ังควำมคิดและกำรกระทำอย่ำงสรำ้ งสรรค์
1.3 ควำมเข้ำใจ เปน็ สง่ิ สำคัญสำหรับกำรสร้ำงควำมรูส้ กึ ปลอดภยั
2. ควำมเปน็ อิสระทำงจิต เม่ือผู้สอนและบุคคลอืน่ ๆ ทเี่ กี่ยวขอ้ งกบั ผเู้ รียนยอมรับในกำร
แสดงออกอย่ำงอสิ ระของผูเ้ รียนในแต่ละคน กำรยอมรับเป็นกำรใหอ้ ิสรภำพในกำรคิดแกท่ ุกคนเป็นกำร
สง่ เสริมกำรแสดงออก ซ่ึงเปน็ ส่วนหนึง่ ของควำมคดิ สร้ำงสรรค์
หลกั ในกำรสง่ เสรมิ ควำมคดิ สรำ้ งสรรคข์ องทอร์แรนซ์
1. กำรส่งเสริมให้ผเู้ รยี นถำมและใหค้ วำมสนใจตอ่ คำถำมท่ีแปลก ๆ ของผู้เรยี น โดยเน้นว่ำ
ผู้สอนไม่ควรมุ่งที่คำตอบทีถ่ ูกเพยี งอย่ำงเดยี ว แต่ควรกระตุ้นให้ผู้เรียนวิเครำะห์ ดันหำเพอ่ื พิสูจน์ด้วยกำร
เดำ โดยใช้กำรสงั เกตและประสบกำรณ์ของผ้เู รียน
2. กำรต้ังใจฟงั และเอำใจใสต่ ่อควำมคิดแปลก ๆ ของผ้เู รยี นด้วยใจเปน็ กลำงเมื่อผ้เู รียนแสดง
ควำมคดิ เหน็ ในเร่ืองใด แม้จะเปน็ ควำมคดิ ท่ยี ังไม่เคยได้ยินมำก่อน ผู้สอนกย็ ังไม่ควรตัดสนิ และลิดรอน
ควำมคดิ นน้ั แต่ควรรับฟังไว้
3. กำรกระตือรือร้นต่อคำถำมแปลก ๆ ของผู้เรียน ดว้ ยกำรตอบคำถำมท่ีแปลกของผู้เรียน
อยำ่ งมชี วี ิตชวี ำ หรือช้แี นะให้ผเู้ รียนหำคำตอบจำกแหลง่ ต่ำง ๆ ดว้ ยตนเอง
4. กำรแสดงให้ผ้เู รียนเห็นวำ่ ควำมคดิ ของผู้เรยี นที่ไดม้ ำน้นั มคี ุณค่ำและสำมำรถนำไปใชใ้ ห้
เกดิ ประโยชนไ์ ด้ ตัวอย่ำงเช่น ภำพทผ่ี ้เู รยี นวำดอำจนำไปเป็นบัตรอวยพรปีใหม่ หรอื ส่งควำมสขุ ในเทศกำล
ตำ่ ง ๆ ซ่งึ จะทำใหผ้ เู้ รยี นเกดิ ควำมพงึ พอใจและมกี ำลงั ใจท่ีคดิ สร้ำงสรรค์ต่อไป
5. กำรกระตุ้นและส่งเสริมใหผ้ ู้เรียนเรียนรดู้ ว้ ยตนเอง โดยใหโ้ อกำสและเตรียมกำรใหผ้ ้เู รยี น
ไดเ้ รยี นรู้ด้วยตนเอง ยกย่องผ้เู รยี นท่ีเรียนร้ดู ้วยตนเอง ผสู้ อนควรเปล่ียนบทบำทเป็นผ้ชู ้ีแนะ ลดกำร
อธิบำยและกำรบรรยำยลง และควรเพมิ่ กำรใหน้ ักเรยี นมสี ่วนริเร่ิมกจิ กรรมด้วยตนเองมำกขึ้น
6. เปิดโอกำสใหผ้ ู้เรยี นเรยี นรกู้ ันควำ้ อย่ำงต่อเน่ืองโดยไม่ต้องใช้วิธกี ำรขู่บงั คบั ด้วยคะแนน
หรอื กำรสอบ
7. พงึ ระลึกวำ่ กำรพัฒนำควำมคิดสร้ำงสรรค์ในผูเ้ รียนจะต้องใช้เวลำพัฒนำอยำ่ งค่อยเป็นค่อย
ไป
8. สง่ เสรมิ ใหผ้ เู้ รียนใชจ้ ินตนำกำรของตนเอง และชมเชยเมื่อผู้เรยี นทม่ี ีจินตนำกำรท่ดี ี
หลักในกำรส่งเสริมควำมคดิ สรำ้ งสรรคข์ องบลอนด์ และคลอสม์ ำเรอร์
59
1. สนับสนุนและกระต้นุ กำรแสดงออกทำงควำมคิดหลำย ๆ ด้ำนและทำงอำรมณ์
2. ควรส่งเสริมให้เกดิ สถำนกำรณท์ ีม่ ีกำรสง่ เสริมควำมสำมำรถ อนั นำไปสูค่ วำมคิดสรำ้ งสรรค์
ของผู้เรยี น ไมจ่ ำกัดกำรแสดงออกใหเ้ ปน็ ไปในรูปแบบเดยี วกันตลอด
3. อย่ำพยำยำมหล่อหลอมหรอื กำหนดแบบให้ผเู้ รยี นมคี วำมคดิ และมบี ุคลิกภำพที่เหมือนกัน
หมดทุกคน แตค่ วรสนับสนนุ และส่งเสริมควำมคดิ และวิธีกำรทีแ่ ปลก ๆ ใหม่ ๆ
4. อย่ำเขม้ งวดกวดขัน หรอื ยึดมัน่ อยู่กบั จำรตี ประเพณจี นมำกเกนิ ไป
5. อยำ่ สนับสนนุ หรอื ให้รำงวัลแต่เฉพำะผลงำนทีแ่ พรห่ ลำยเป็นทย่ี อมรับแลว้
มหำวทิ ยำลัยเกษตรศำสตร์ (2541) ไดเ้ สนอกำรใช้วธิ กี ำรระดมสมอง (Brainstorming) เพือ่
พฒั นำควำมคิดสร้ำงสรรค์ โดยสรุปเป็นสำระสำคญั ดงั น้ี
1. ตัดกำรวจิ ำรณอ์ อกไปเพื่อสร้ำงสถำนกำรณ์ท่สี ร้ำงสรรค์
2. ให้อสิ ระในกำรคดิ ยิง่ คิดกวำ้ งไกลเทำ่ ใดกจ็ ะยิ่งดเี พรำะเป็นไปไดว้ ำ่ ควำมคดิ ท่ีดูไรส้ ำระอำจ
นำไปสู่ควำมคิดจนิ ตนำกำรหรอื สร้ำงสรรค์ได้
3. เน้นท่ีปรมิ ำณควำมคดิ เพรำะย่ิงมีควำมคดิ มำกกย็ ิ่งมโี อกำสทจี่ ะพบแนวทำงดี ๆ
4. เนน้ กำรผสมผสำนและปรับปรุงควำมคดิ โดยพจิ ำรณำควำมคิดของตนเองและของเพ่ือน
แล้วประเมนิ ควำมคิดเหลำ่ นน้ั โดยเลอื กเอำควำมคิดท่ดี ที ีส่ ุดซ่งึ เป็นกำรเลือกทีม่ ปี ระสิทธภิ ำพมำกและเป็น
วิธกี ำรสง่ เสริมควำมคิดสรำ้ งสรรค์
Smith (2007) เสนอแนวทำงกำรพัฒนำควำมคดิ สร้ำงสรรค์ ดว้ ยศำสตร์กำรสอน 10 ประกำร
ในกำรสง่ เสรมิ และพัฒนำควำมคดิ สร้ำงสรรค์ของผ้เู รยี น ดงั นี้
1. พัฒนำอัตมโนทศั น์ท่ีดใี ห้กับผู้เรยี น
2. ไม่ยับย้งั กำรมีสว่ นร่วมของผเู้ รยี น
3. อดทนต่อผู้เรียนที่มคี วำมคดิ สรำ้ งสรรค์
4. เป็นตน้ แบบในกำรคิดสรำ้ งสรรค์ คือ ผสู้ อนควรเตรยี มบทเรยี น รูปแบบกำรเรียนหรือคำถำม
ท่ีแปลกใหม่
5. ใชโ้ ครงกำรสหวิทยำกำรเพ่ือบรู ณำกำรควำมรขู้ องผู้เรยี น
6. ใชเ้ ทคโนโลยสี ำรสนเทศเป็นเคร่ืองมือในกำรสอนควำมคดิ สร้ำงสรรค์ โดยใหม้ กี ำรค้นควำ้
หรอื หำวธิ กี ำรแกป้ ญั หำทำงเว็บไซต์
7. สร้ำงบรรยำกำศที่สนกุ สนำนในชั้นเรยี น
60
8. หลกี เลยี่ งกำรแข่งขนั โดยผูส้ อนตอ้ งให้เวลำกบั ผ้เู รยี นในกำรสร้ำงสรรค์ควำมรแู้ ละผลงำน
โดยไมน่ ำคะแนนมำเปน็ เกณฑอ์ ย่ำงเดยี ว
9. ปลูกฝงั ควำมสำเรจ็ ในกำรเรยี นรู้ โดยผสู้ อนต้องชแ้ี จงถงึ ผลงำนตอ้ งเปน็ ตวั ของตวั เอง
อสิ ระทจี่ ะคดิ หำคำตอบดว้ ยวิธขี องตนเอง ซง่ึ จะส่งให้ได้ผลผลิตทมี่ ีคณุ ภำพสูงเปน็ ท่ีน่ำสนใจ ผูเ้ รยี นได้
ประโยชน์ และพอใจกับผลงำนท่ีได้ทุ่มเท ใหไ้ ดช้ ิ้นงำนท่ีมีคุณภำพ ซึ่งมลี ักษณะเฉพำะ ดีกว่ำกำรเลยี นแบบ
ตำมท่ผี สู้ อนกำหนด
10. ส่งเสรมิ ให้ผเู้ รียนคำนึงถงึ ชมุ ชนสงั คม มำกกวำ่ ทำตำมควำมตอ้ งกำรของตนเองและผู้สอน
จำกแนวทำงและหลักกำรในกำรพฒั นำควำมคดิ สร้ำงสรรค์ทก่ี ลำ่ วมำ สำมำรถสรุปไดว้ ่ำกำร
พฒั นำควำมคดิ สรำ้ งสรรค์สำมำรถพฒั นำให้เกิดขึ้นได้อยำ่ งต่อเนือ่ ง และตลอดเวลำ โดยไมจ่ ำกัดเพศ วัย
ซ่งึ กำรส่งเสริมและพฒั นำควำมคดิ สร้ำงสรรคข์ ้ึนอยู่กบั สภำพแวดล้อมกำรเรียนรู้ 5 ดำ้ นได้แก่
1. สภำพแวดล้อมทำงกำยภำพ เปน็ สภำพแวดล้อมทีส่ ่ือใหเ้ ห็นได้อย่ำงชดั เจน เช่น โต๊ะ เก้ำอี้
สภำพภูมทิ ศั น์ ตนั ไม้ ต่ำง ๆ
2. สภำพแวดล้อมทำงจติ ภำพ เป็นสภำพแวดล้อมท่ีมีผลต่อควำมรูส้ ึกนกึ คิด ทผ่ี ู้ออกแบบ
จำเปน็ ต้องอำศยั ควำมละเอยี ดออ่ นในกำรสังเกต และสร้ำงใหเ้ กิดภำยในจติ ใจของผ้เู รียน โดยอำจนำ
ทฤษฎแี รงจูงใจ ทฤษฎีจติ วทิ ยำกำรวำงเง่ือนไขของพำฟลอฟ มำกระตนุ้ ให้ผู้เรียนเกดิ กำรเรียนรูไ้ ดอ้ ยำ่ งมี
ควำมสขุ และเร้ำใจ
3. สภำพแวดลอ้ มทำงชุมชนสังคม เปน็ สภำพแวดลอ้ มที่ส่งเสริมใหผ้ ้เู รยี นได้มีกำรปฏสิ มั พนั ธ์
กำรแลกเปล่ียนเรียนรู้
4. สภำพแวดลอ้ มทำงเทคโนโลยี เปน็ สภำพแวดล้อมทเ่ี ขำ้ มำมีบทบำทต่อกำรเรียนรู้ของ
มนุษยอ์ ยำ่ งมำกในสังคมปัจจุบัน ซงึ่ ได้เขำ้ มำส่งเสริมและพฒั นำกำรศึกษำให้มีประสิทธิภำพยิง่ ขนึ้ โดย
ผู้เรียนสำมำรถใชเ้ ทคโนโลยีท่ีหลำกหลำยในกำรสืบเสำะแสวงหำควำมรู้
5. สภำพแวดล้อมรปู แบบและเทคนิคกำรสอน เป็นสภำพแวดล้อมท่มี ีควำมสัมพนั ธ์อย่ำงเป็น
ระบบทจ่ี ะสอดแทรกให้กำรเรียนรู้มีลกั ษณะทน่ี ่ำสนใจ แปลกใหม่
3. กำรวดั ควำมคดิ สรำ้ งสรรค์
ควำมคิดสร้ำงสรรค์ถงึ แมว้ ่ำจะมีคุณลกั ษณะทเี่ ป็นนำมธรรมแตน่ ักวชิ ำกำรในสำขำนี้พยำยำม
แสวงหำแนวทำงท่ีจะวัดคณุ ลักษณะดงั กลำ่ วนใ้ี ห้ใดเ้ ช่นเดียวกบั กำรวดั นำมธรรมลกั ษณะอน่ื ๆ ของมนษุ ย์
เชน่ สติปญั ญำฯลฯ โดยเหตุผลทีค่ วำมคดิ สรำ้ งสรรคเ์ ป็นนำมธรรมจงึ มวี ธิ ีกำรวดั ที่แตกต่ำงกนั หลำยวิธีแต่
61
ละวิชีมีขอ้ จำกัดข้อดีข้อเสยี แตกต่ำงกนั ไปอำจกล่ำวได้โดยสรปุ ไดว้ ่ำเทำ่ ท่นี ิยมกนั ในปัจจุบนั กำรวดั
ควำมคิดสรำ้ งสรรค์สำมำรถทำได้ 3 วิธีคือกำรสงั เกตพฤติกรรมกำรวดั โดยใช้แบบทดสอบและกำรตรวจ
คณุ ภำพของผลงำนแตล่ ะวธิ มี ีแนวปฏิบตั ิ โดย สังเขปดงั น้ี
กระทรวงศกึ ษำธกิ ำร (2551, น.95) ไดอ้ ธิบำยกำรวัดและกำรประเมนิ ผลไวเ้ ป็นข้อ ๆ ดงั ตอ่ ไปน้ี
1. กำรสงั เกตพฤติกรรมผ้เู รยี นเพอ่ื ประเมนิ ควำมกำ้ วหน้ำทำงควำมคิดสร้ำงสรรค์กระทำได้
2 ลกั ษณะกลำ่ วคอื เป็นแบบทำงกำรและไม่เป็นทำงกำรอำจใชแ้ บบสอบถำมแบบมำตรวดั ประเมนิ ค่ำกำร
สมั ภำษณ์หรือสอบถำมควำมคิดเหน็ จำกครูกำรสังเกตพฤติกรรมผู้เรยี นทัง้ 2 ลักษณะสงั เกตได้จำกควำม
กระตือรอื รน้ ในกำรรว่ มกิจกรรมแตล่ ะกิจกรรมและพฤติกรรมที่ปรำกฏ เชน่ มีควำมมน่ั ใจในกำรแสดงออก
เชน่ กล้ำพูดกล้ำซักถำมมีควำมพยำยำมในกำรคิดแก้ปญั หำควำมอดทนตลอดจนกำรเอำใจใส่ตอ่ กำรปฏบิ ตั ิ
กจิ กรรมยอมรับในส่ิงแปลกๆใหมๆ่ พดู แสดงควำมคิดอย่ำงรวดเร็วสำมำรถปรบั ตวั ได้ดีในบรรยำกำศที่
อสิ ระ เป็นตน้
2. กำรวัดโดยใช้แบบทดสอบกำรวัดดว้ ยวธิ ีนีเ้ ร่มิ ต้นจำกกำรสรำ้ งแบบทดสอบขน้ึ กอ่ น
โดยทวั่ ไปแบบทดสอบจะมลี ักษณะเป็นกำรกำหนดสถำนกำรณท์ ี่แปลกหรือไม่ใชส่ ถำนกำรณต์ ำมปกตแิ ลว้
ใหผ้ เู้ รียนใช้ควำมคิดตำมอิสระตอบจำกสถำนกำรณน์ ้ัน
3. กำรตรวจคณุ ภำพของผลงำนกำรวัดควำมคิดสร้ำงสรรคโ์ ดยกำรพจิ ำรณำคุณค่ำของ
ผลงำนนี้จดั ว่ำเปน็ กำรวัดระดับลกึ กวำ่ กำรใชแ้ บบทสอบกำรวัดโดยวิธนี ้ี โดยให้ผู้รู้เป็นผตู้ รวจคณุ ภำพของ
ผลงำนซงึ่ ผลงำนอำจหมำยถงึ งำนในลักษณะต่ำง ๆ ท่คี รูมอบหมำยใหท้ ำเช่นกำรแต่งกลอนกำรวำดภำพ
กำรประดิษฐ์ชดุ กำรแสดง
แนวคดิ ในกำรประเมนิ ผลงำนควำมคดิ สรำ้ งสรรค์ซ่ึงเป็นท่ยี อมรบั กันมำกจะสอดคล้องกบั
คำอธบิ ำยควำมหมำยของควำมคดิ สร้ำงสรรคก์ ลำ่ วคือเปน็ ควำมคดิ ท่ีแปลกใหม่กำรแก้ปญั หำควำมมี
คณุ ค่ำเปน็ ประโยชน์เช่นควำมแปลกใหม่ในแงข่ องควำมคดิ เปน็ ตน้ คดิ ใหม่ในลักษณะทมี่ กี ำรเปลย่ี นแปลง
แตกต่ำงจำกที่มอี ยเู่ ดิมได้แก่ทฤษฎีควำมคิดสรำ้ งสรรคโ์ ดยกำรประเมินผลงำนของ เบสสเี มอร์และเทรฟ
ฟนิ เกอร์ (Bessemer and Treftinger) เสนอกรอบแนวคดิ และรูปแบบท่เี ป็นเมทริณ์ต์กำรวิเครำะห์
ควำมคิดสรำ้ งสรรคจ์ ำกผลงำนเป็นเกณฑ์ 3 มติ ิ คือ
1. มติ คิ วำมแปลกใหม่ หรือนวภำพ ซ่งึ พิจำรณำจำกกระบวนกำรคดิ ใหม่ กลวิธีใหม่ มโนทัศน์
ใหม่ และกำรมีอิทธพิ ลต่อกำรพฒั นำผลงำนต่อไปในอนำคต
2. มิตติ ำ้ นกำรแกป้ ญั หำ พิจำรณำจำกระตบั กำรแก้ปัญหำว่ำทำไดเ้ พยี งพอหรอื ไม่
62
สมเหตุสมผลตำมวิธีกำรของศำสตร์น้ันหรอื ไม่ สำมำรถใชป้ ระ โชชนไ์ ด้และมีคุณค่ำในแง่ตำ่ ง ๆ
3. มิติดำ้ นควำมละเอยี ดและกำรสังเครำะห์ เป็นกำรพจิ ำรณำจำกระดบั ควำมชำนำญในกำร
ใช้ฝีมอื ในงำนท่ีมคี วำมละเอยี ดและชบั ซอ้ น ซ่งึ ทำให้งำนทีอ่ อกมำดปู ระณตี อ่อนไขน ดึงดูดควำมสนใจและ
มคี วำมสมบรู ณ์ท่สี ดุ
4. ประโยชนข์ องควำมคดิ สรำ้ งสรรค์
นพิ ำดำ เทวกุล (2552, น.108) ได้สรุปประโยชนข์ องควำมคิดสรำ้ งสรรค์ไว้ดังน้ี
1. ทำให้เกิดควำมเปลย่ี นแปลง ทำใหเ้ กดิ แนวทำงใหมๆ่ ในกำรดำเนินชีวิตและหนทำงใหมๆ่
ในกำรแก้ปัญหำชีวติ และกำรทำงำน
2. กอ่ ใหเ้ กิดควำมสนุก เป็นธรรมดำของมนุษย์ทต่ี ้องคน้ หำวิธี กำรใหมๆ่ ขึ้นมำทดแทน
ควำมคิดเกำ่ ๆ ทำใหช้ วี ิตไมจ่ ำเจ
3. พฒั นำสมองของคนให้มีควำมฉลำดเฉยี บคมในกำรคดิ แก้ปญั หำต่ำง ๆเพม่ิ ขน้ึ
4. สรำ้ งควำมเชอื่ มัน่ ควำมน่ำนบั ถอื และควำมพอใจในตวั เองขึ้นมำ
ชยั วัฒน์ สทุ ธิรตั น์ (2553, น.109 ไดส้ รุปประโยชนข์ องควำมคิดสรำ้ งสรรค์ไว้ดงั นค้ี วำมคดิ
สรำ้ งสรรคช์ ว่ ยยกระดับควำมสำมำรถควำมอดทนและควำมคดิ ริเริม่ ของผู้นำใหเ้ พิ่มมำกข้นึ และยังเป็น
กำรพัฒนำควำมสนใจในงำน พัฒนำกำรใชเ้ วลำว่ำงใหเ้ ป็นประโยชน์และพฒั นำชวี ิตใหท้ ันสมยั มำกขึน้
สุคนธ์ สินธพำนนท์ (2555, น.65) ไดส้ รปุ ประโยชน์ของควำมคิดสรำ้ งสรรค์ไวด้ ังน้ี
1. ประโยชนต์ อ่ ตนเอง
1.1 เป็นกำรผ่อนคลำยอำรมณ์ ลดควำมเครยี ด ควำมคับขอ้ งใจ ควำมกำ้ วรำ้ ว เพรำะได้
แสดงออกอยำ่ งอสิ ระท้ังดำ้ นควำมคดิ และกำรปฏบิ ตั ิ
1.2 มคี วำมสนุก ควำมสุข ควำมเพลดิ เพลิน และควำมภูมใิ จในกำรไดค้ ิด ไดท้ ำงำน หรือ
ผลิตขึน้ งำนท่ีแปลกใหม่จำกควำมสำมำรถของตนจนประสบควำมสำเรจ็
1.3 สร้ำงนสิ ัยในกำรทำงำนท่ีดี ผูท้ ีม่ ีควำมคิดสร้ำงสรรคจ์ ะเปน็ ผูท้ ่ีมีควำมพยำยำมไม่
ท้อถอย มคี วำมอุตสำหะ ขวนขวำยในกำรสรำ้ งสรรคต์ นเองและส่ิงแวดล้อมใหอ้ ยู่ในลักษณะทเี่ หมำะสม
2. ประโยชน์ตอ่ สังคม
2.1 ทำให้กำรดำเนนิ ชีวติ ของคนมีควำมสะดวกสบำยมำกขึ้น เพรำะมีผลงำนสรำ้ งสรรค์
ของมนุษย์อยู่ตลอดเวลำ มสี ิง่ ประดิษฐอ์ นั เกดิ จำกควำมคิดสรำ้ งสรรคข์ องมนษุ ย์
63
2.2 มีคุณภำพชีวติ ท่ีดี จำกกำรคน้ พบในดำ้ นวทิ ยำศำสตร์และเทคโนโลยี ทำใหไ้ ดผ้ ลผลติ
ส่งิ ทเี่ ปน็ ประโยชนต์ ่อกำรมีชวี ิตอยู่
2.3 ชว่ ยแก้ปัญหำสงั คม ควำมคดิ สรำ้ งสรรค์เปน็ สว่ นหน่ึงในกำรช่วยแก้ปญั หำโดยกำรผลติ
เคร่อื งมอื อุปกรณเ์ คร่ืองใชต้ ่ำง ๆ เพอื่ แกไ้ ขปญั หำสภำพสังคมท่มี กี ำรเปล่ยี นแปลงอยู่ตลอดเวลำ
2.4 ทำใหส้ ังคมมีควำมเจริญกำ้ วหน้ำในดำ้ นต่ำง ๆเพรำะควำมคดิ สร้ำงสรรค์ของมนษุ ย์จะ
ช่วยใหก้ ำรดำเนินกิจกำรในด้ำนต่ำง ๆ เปน็ ไปในทำงที่เป็นประโยชน์
จำกแนวคิดของนักวิชำกำรเก่ียวกับประโยชนข์ องควำมคิดสรำ้ งสรรคส์ รปุ ไวว้ ำ่ กำรคน้ พบ
ควำมคดิ ทฤษฎี นวตั กรรม เทคโนโลยี ในด้ำนวทิ ยำศำสตร์และเทคโนโลยี ทีเ่ กดิ จำกกำรส่ งเสริมควำมคิด
สร้ำงสรรค์เชิงวิทยำศำสตร์ ทำใหไ้ ด้ผลผลติ สงิ่ ทเี่ ปน็ ประโยชนต์ อ่ กำรมชี ีวิตอยู่ ทำใหเ้ กิดควำมคดิ รเิ ริม่
ควำมเปลีย่ นแปลง เกดิ แนวทำงใหมๆ่ ในกำรดำเนนิ ชีวติ และหนทำงใหมๆ่ กำรแก้ปัญหำชวี ิตและกำร
ทำงำน มคี ุณภำพชวี ติ ทดี่ ี พัฒนำชีวติ ให้ทันสมัยมำกข้ึน พัฒนำกำรใช้เวลำว่ำงให้เป็นประโยชนแ์ ละ ทำให้
สงั คมมีควำมเจรญิ ก้ำวหนำ้ ในดำ้ นต่ำง ๆเพรำะควำมคิดสร้ำงสรรคข์ องมนษุ ย์จะช่วยใหก้ ำรดำเนินกจิ กำร
ในด้ำนตำ่ ง ๆ เป็นไปในทำงท่ีเป็นประโยชน์
งำนวิจยั ทเี่ กยี่ วขอ้ ง
งำนวจิ ยั ในประเทศ
เปรมฤดี จำรมชี ยั (2544) ศกึ ษำกำรเปรยี บเทียบควำมคิดสรำ้ งสรรคแ์ ละผลสัมฤทธิ์ทำงกำร
เรยี นวชิ ำสังคมศึกษำของนกัเรียนชั้น ประถมศึกษำปีท่ี 5 ระหวำ่ งกำรสอนโดยใชก้ จิกรรมกำรเขยี นกบักำร
สอนตำมคู่มือครู ผลกำรวิจยั พบว่ำ ควำมคิดสร้ำงสรรค์ของนกั เรียนชั้นประถมศึกษำปี ท่ี 5 ท่ีสอนโดยใช้
กิจกรรมกำรเขียนกบั กำรสอนตำมคู่มือครู ไม่แตกตำ่ งกัน ผลสัมฤทธ์ิทำงกำรเรยี นวิชำสงัคมศึกษำ หน่วย
กำรเมืองกำรปกครองของนักเรียนช้ันประถมศึกษำปี ท่ี 5 ทส่ี อนโดยใช้กจิ กรรมกำรเขยี นกับกำรสอนตำม
คู่มือครูแตกต่ำงก ันอยำ่ งมีนยั สำคญั ทำง
สถติ ทิ รี่ ะดบั 0.01
วำสนำ บัวงำม (2550) ศึกษำกำรพฒั นำควำมคดิ สร้ำงสรรคข์ องเดก็ ที่มคี วำมบกพรอ่ งทำง
สตปิ ัญญำระดบั เรียนได้ โดยใชก้ จิ กรรมศลิ ปะ พบวำ่ กรณี ศกึ ษำมพี ฒั นำกำรทำงควำมคิดสร้ำงสรรคด์ ้ำนค
วำมคิดริเรม่ิ ควำมคิดคล่อง ควำมคิดยดื หยุ่น และควำมคิดละเอยี ดลออสงู ขึ้นหลังได้รบั กำรสอนด้วย
กิจกรรมศิลปะ กรณศี ึกษำทุกคนใหค้ วำมสนใจรว่ มกิจกรรม มปี ฏิสัมพันธก์ ับเพื่อนและครูมำกขึ้น มีกำร
64
สนทนำโต้ตอบกบั ครู ร่ำเริง สนกุ สนำน มีควำมม่ันใจในตนเองมำกข้ึน และมีควำมคดิ สร้ำงสรรคแ์ ปลกใหม่
ไมซ่ ำ้ ใคร
ฤทธไิ กร ตลุ วรรธนะ (2545) ได้ศึกษำสภำพกำรจดั กำรเรยี นกำรสอนแบบสรรคนิยม
(Constructionism) ในประเทศและต่ำงประเทศ และพฒั นำกลยุทธ์กำรจดั ระบบกำรเรียนกำรสอนแบบ
สรรคนิยมของสถำบนั อคุ มศึกษำของไทย ผลกำรวิจยั พบว่ำ มอี ำจำรย์ผ้สู อนท่ีจดั กำรเรยี นกำรสอนแบบ
สรรคนยิ มในสถำบันอุดมศึกษำ 16 แหง่ อำจำรยส์ ว่ นใหญ่เปน็ ผู้ยอมรบั กำรเปลย่ี นแปลงนักศึกษำมี
ลักษณะชอบทำงำนเปน็ กลุ่ม ผูบ้ ริหำรสว่ นใหญค่ วรส่งเสริมและพัฒนำสักยภำพของอำจำรย์ มีกำรบรหิ ำร
จดั กำรและหลักสูตรท่ีเอ้ือต่อกำรจดั กำรเรยี นกำรสอนแบบสรรคนยิ ม วธิ กี ำรเรียนกำรสอนสว่ นใหญแ่ บบ
สรรคนยิ มใหม้ ำกขึ้น โดยเปน็ กำรจัดกิจกรรมในช้นั เรยี น รวมทัง้ กำรกำรจดั สภำพแวดล้อมและสิง่ สนบั สนนุ
เอือ้ ต่อกำรเรียนรู้ของนกั ศกึ ยำ ส่วนในตำ่ งประเทศมกี ำรนำหฤษฎสี รรคนิยมไปใช้อย่ำงกวำ้ งขวำง
ก่อใหเ้ กิดกำรเปลีย่ นแปลงอย่ำงรวดเรว็ ในระบบกำรศึกษำโดยกำรใช้เทคโนโลยี สำหรับกลยุทธก์ ำร
จดั ระบบกำรเรียนกำรสอนแบบสรรดนยิ ม ได้แก่ กำรพัฒนำอำจำรยใ์ หเ้ ข้ำใจและปฏิบตั ติ ำมแนวทฤษฎี
สรรคนยิ ม ปรับเปล่ยี นพฤตกิ รรมกำรสอนจำกผ้สู อนมำเปน็ ผอู้ ำนวยควำมสะดวก พัฒนำนักศึกษำใหร้ ูว้ ิธี
เรียนรู้และแสวงหำควำมรูด้ ว้ ยตนเองผ้บู ริหำรต้องให้ควำมสำคัญมีกำรจดั กำรเรยี นกำรสอนแบบสรรด
นยิ ม และจะต้องเป็นผมู้ ีควำมร้คู วำมเขำ้ ใจในกระบวนกำรเรียนรู้แบบสรรคนยิ ม กำรจัดกจิ กรรมให้
นกั ศึกษำได้เรียนรู้จำกกำรปฏบิ ัติ กำรสนับสนนุ ให้ใช้แหลง่ กำรเรียนรู้และกูมิปญั ญำท้องถนิ่ ส่งเสริมกำรใช้
อปุ กรณ์ สื่อเทคโนโลยีเปน็ เครอ่ื งมือในกำรเรียนรู้ของนักศึกยำ ลดเวลำเรยี นในหอ้ งเรียนใหน้ กั ศึกษำได้
เรยี นรู้จำกแหลง่ กำรเรยี นร้ภู ำขนอกมำกข้ึน ขัดให้เรยี นรู้จำกผู้เช่ยี วชำญในสำขำวชิ ำชพี จดั ให้มีกำร
แลกเปล่ียนเรียนรู้โดยใชว้ ิธีเพ่ือนช่วยเพ่ือน ปรบั กำรประเมนิ ผลใหห้ มำะสมและพฒั นำสภำพแวดล้อมให้
เออ้ื ต่อกำรเรียนรู้ สว่ นผลกำรทคลองใช้กลยทุ ธ์กำรจัดกำรเรยี นกำรสอนแบบสรรคนยิ ม นกั ศึกษำมี
ผลสมั ฤทธ์ทิ ำงกำรเรียน และพฤติกรรมในกำรคดิ วิเครำะห์สรปุ ผลและแก้ปญั หำ อย่ำงมีนยั สำคัญทำงสถิติ
ที่ระดบั .05 ควำมคิดเห็นของนกั ศกึ ษำท่ีมีต่อกำรจัดกำรเรยี นกำรสอนแบบสรรคนยิ มในภำพรวมนักศกึ ษำ
เหน็ วำ่ ค้ำนกำรจดั สภำพกำรเรยี นกำรสอน ดำ้ นวิธีกำรเรียนกำรสอน และค้ำนบทบำทของอำจำรยผ์ สู้ อน
อยใู่ นระดบั มำก
งำนวจิ ยั ตำ่ งประเทศ
ไอเปอร์ (Hooper, 1990) ได้ศึกษำถึงสำเหตทุ ผี่ สู้ อนจำเปน็ ตอ้ งเรียนรบู้ ทบำทของผู้สอนใน
65
กระบวนกำรเรียนรู้ตำมแนวคอนสตรคั ชนั นซิ ึม ไวว้ ำ่ เนอื่ งทำจำกพ้ืนฐำนแนวคิดทีว่ ำ่ ผ้เู รียนสำมำรถสร้ำง
ควำมรู้ควำมเข้ำใจของตนเองข้นึ มำเองได้ และควำมคดิ น้ีไดน้ ำไปสู่กำรจัดกำรศกึ ษำที่เป็นทำงเลือกใหม่
ทำให้เกดิ ควำมกระตือรือร้นในกำรสร้ำงสภำพแวดล้อมกำรเรยี นรทู้ ่ผี เู้ รยี นมที ำงเลือก มีสังเกต ทดลอง
และสนบั สนนุ ให้คิดแปลกใหม่ไดท้ กุ คน ผ้สู อนจงึ ต้องเปลยี่ นบทบำทมำเป็นผชู้ ่วยให้ผเู้ รยี นสร้ำงควำมรูข้ อง
ตนเองขึน้ ด้วยกำรใหส้ ่ือต่ำง ๆ ท่ที ำให้เกิดกำรสำรวจ ทดลองให้วธิ ีกำรคดิ ที่จะนำไปสกู่ ำรทำกจิ กรรม
สำรวจ กนั คว้ำตอ่ เนอ่ื งซ่งึ สำมำรถนำไปสู่กำรเกิดควำมรู้และควำมเขำ้ ใจในระดับที่ลึกซ้ึงย่งิ ขึน้ นอกจำกน้ัน
ผสู้ อบยงั เป็นผู้คอยสงั เกตกำรณ์เรียนรู้ของผเู้ รยี นไปดว้ ย ว่ำไดม้ กี ำรเกิดกระบวนกำรสร้ำงควำมรูด้ ้วย
ตนเองอย่ำงไรบ้ำง นอกจำกนผ้ี ลกำรศึกษำขังค้นพบอีกวำ่ ผูส้ อนอำจต้องมบี ทบำทเปน็ ผู้เรยี นร้ใู นชว่ งหน่งึ
เพอื่ แลกเปล่ยี นเรยี นรู้และสร้ำงควำมเป็นกันเองกบั ผ้เู รยี น รวมทั้งผสู้ อนต้องขดั หำเครือ่ งมือส่อื เทดโนโลยี
ท่จี ะใช้ในกำรเรียนรู้ให้พร้อม จนเกิดควำมเข้ำใจวำ่ จะจดั สถำนกำรณ์อยำ่ งไร ซึ่งถำ้ ผู้สอนรบู้ ทบำทของ
ตนเองและบทบำทชองผ้เู รยี น กจ็ ะสง่ ผลใหก้ ำรเรียนกำรสอนตำมแนวคอนสตรัคชนั นิซมึ เกดิ ควำมสมบรู ณ์
และผเู้ รียนจะสนกุ ในกำรเรยี นรู้
สตำเกอร์ (Stager, G. S.. 2001) ได้ศึกษำถึงกระบวนกำรเรียนรู้ตำมแนวคอนสตรัคชันนิซมึ กับ
ควำมเสี่ยงของผู้เรยี นในกำรใช้เครือ่ งมือสือ่ เทคโนโลยีกำรศึกษำสมัยใหม่ในยคุ สื่อสำร"รู้พรมแด ผล
กำรศกึ ษำปรำกฏว่ำ จำกพืน้ ฐำนของทฤษฎตี อนสตรคั ชันนิซึมนน้ั จำเป็นต้องใชเ้ ทคโนโลยคี อมพวิ เตอร์ใน
กำรศกึ ษำกั้นคว้ำและสร้ำงควำมรู้ ดังน้นั ผสู้ อนจะต้องดูแลเทคโนโลยีคอมพวิ เตอร์ และสอื่ ดิจทิ ัล ทง้ั
กำรศึกษำผ่ำนเครือขำ่ ยอินเทอร์เน็ตและกำรใช้สือ่ ในกำรสร้ำงควำมรู้โดยควรคำนึงถงึ สภำพแวดลอ้ มกำร
เรยี นรู้ทเี่ หมำะสม วยั ของผเู้ รียน และควำมปลอดภัย
ซิมพ์สัน (Simpson, 2000) ได้ศกึ ษำควำมสัมพนั ธข์ องผลสมั ฤทธ์ทิ ำงกำรเรยี น ควำมคิด
สร้ำงสรรค์ ควำมฉลำด แรงจงู ใจ และเพศ ของเด็กปญั ญำเลศิ โดยกลุ่มตัวอยำ่ งทใ่ี ช้เป็น นกั เรียนปญั ญำ
เลิศเกรด 5 กำรวเิ ครำะห์ข้อมลู ใชค้ ่ำสหสัมพนั ธข์ องเพียร์สนั ผลจำกกำรศึกษำพบว่ำ ควำมฉลำดและ
แรงจงู ใจเป็นปัจจยั สำคญั ทส่ี ง่ ผลต่อผลสัมฤทธิ์ทำงกำรเรยี น เพศไม่เปน็ ปัจจัยสำคญั ท่ีส่งผลต่อผลสมั ฤทธ์ิ
ทำงกำรเรยี น และยังพบอีกว่ำควำมคิดสร้ำงสรรคไ์ ม่เป็นปจั จยั สำคญั ท่ีสง่ ผลตอ่ ผลสัมฤทธ์ทิ ำงกำรเรียน
ของเด็กปญั ญำเลิศ
กำรศกึ ษำเอกสำรและงำนวิจัยที่เกยี่ วของในประเทศและตำงประเทศ สรุปไดวำควำมคดิ
66
สร้ำงสรรคก์ ับกำรเล่นที่ใช้จินตนำกำรมีควำมสมั พนั ธ์กับควำมคดิ สรำ้ งสรรค์เชงิ วิทยำศำสตร์ สง่ เสรมิ ให้
ผูเ้ รยี นเกิดกำรเรยี นรู้ควำมกระตือรือร้น สนุกสนำนในกำรทำกิจกรรม ควำมคิดสร้ำงสรรค์ทง้ั ในด้ำน
ควำมคิดริเรม่ิ ควำมเปลย่ี นแปลง แนวทำงใหม่ ๆ ในกำรดำเนนิ ชีวติ และหนทำงใหม่ ๆ ในกำรแก้ปัญหำชวี ติ
67
บทท่ี 3
วธิ ีดำเนนิ กำรวจิ ัย
กำรวจิ ยั น้ี เป็นวจิ ยั เชิงทดลอง โดยมวี ตั ถปุ ระสงคเ์ พื่อ 1) ส่งเสริมควำมคิดสร้ำงสรรค์ของ
นักเรียนช้ันมัธยมศกึ ษำปที ่ี 2 ในรำยวิชำประวัตศิ ำสตร์ ดว้ ยกำรจดั กำรเรยี นรตู้ ำมทฤษฎกี ำรสร้ำงควำมรู้
ดว้ ยตนเองโดยกำรสรำ้ งสรรค์ชิ้นงำน (Constructionism) และ 2) เพื่อเปรียบเทยี บควำมสำมำรถในกำร
คดิ สร้ำงสรรคข์ องนกั เรียนช้ันมัธยมศกึ ษำปที ่ี 2 ระหว่ำงก่อนและหลังกำรจดั กำรเรียนร้ตู ำมทฤษฎีกำร
สร้ำงควำมร้ดู ้วยตนเองโดยกำรสรำ้ งชน้ิ งำน (Constructionism) ผวู้ จิ ัยดำเนินกำรวจิ ยั
ศึกษำขอ้ มูลเบื้องตน้ ตำมทฤษฎีกำรสร้ำงควำมรู้ดว้ ยตนเองโดยกำรสรำ้ งสรรค์ชิ้นงำน
ศกึ ษำควำมคิดสรำ้ งสรรค์
(Constructionism)
พฒั นำแผนกำรจัดกำรเรยี นรู้และเคร่ืองมือวิจัย
เสนอเครอื่ งมือวจิ ยั
ตรวจสอบเครอื่ งมือวจิ ยั
จัดกจิ กรรมกำรเรียนตำมทฤษฎกี ำรสร้ำงควำมร้ดู ้วยตนเองโดยกำรสร้ำงสรรคช์ นิ้ งำน (Constructionism)
ประเมนิ ผล
68
งำนวจิ ยั น้ีมีวิธีดำเนนิ กำรวจิ ัยโดยจำแนกเป็นงำนวิจยั ดงั น้ี
1. ประชำกรและกลุ่มตัวอยำ่ ง
2. เคร่อื งมอื ท่ีใช้ในกำรวิจัย
3. แบบแผนกำรวจิ ัย
4. กำรเก็บรวบรวมข้อมูล
5. สถติ ิทีใ่ ชใ้ นกำรวิเครำะห์ขอ้ มูล
ประชำกรและกลมุ่ ตวั อยำ่ ง
1. ประชำกรท่ีใชใ้ นกำรวิจัยครัง้ น้ี ไดแ้ ก่ นักเรยี นระดบั ชั้นมธั ยมศกึ ษำปที ่ี 2 โรงเรยี น
ธนบุรวี รเทพเทพีพลำรักษ์ จังหวัดกรุงเทพมหำนคร จำนวน 3 ห้องเรยี น จำนวน 60 คนที่เรยี นในภำค
เรยี นที่ 1 ปีกำรศึกษำ 2565
2. กลุม่ ตัวอย่ำงทใ่ี ชใ้ นกำรทดลองครง้ั นี้ ได้แก่ นกั เรยี นระดบั ช้ันมธั ยมศึกษำปีที่ 2/1
โรงเรยี นธนบรุ วี รเทพเทพีพลำรักษ์ จงั หวัดกรงุ เทพมหำนคร จำนวน 1 ห้องเรยี น จำนวน 15 คน ทีเ่ รียน
ในภำคเรยี นที่ 1 ปกี ำรศึกยำ 2565 ซ่งึ ไดม้ ำจำกกำรวิธกี ำรสุม่ แบบกลมุ่ (Cluster sampling)
แบบแผนกำรวจิ ยั
กำรวจิ ยั นี้ เป็นกำรวิจยั เชิงทดลอง ใชก้ ำรวจิ ยั แบบ One Group Pretest – Posttest Design
(ธำนนิ ทร์ ศิลปจ์ ำรุ, 2552, น.172) ไปดูออริจนิ ลั
ทดสอบก่อนเรียน ทดลอง ทดสอบหลังเรยี น
T1 X T2
T1 แทน กำรสอบวัดควำมคิดสร้ำงสรรคก์ อ่ นเรยี น (pretest)
X แทน กิจกรรมกำรเรยี นรู้ตำมทฤษฎกี ำรสรำ้ งควำมรดู้ ้วยตนเอง โดยกำรสร้ำงสรรค์ช้ินงำน
(Constructionism)
T2 แทน กำรสอบวัดควำมคิดสร้ำงสรรคห์ ลังเรียน (posttest)
69
เครอ่ื งมอื ทใี่ ช้ในกำรวจิ ัย
ผวู้ ิจัยได้กำหนดเคร่ืองมือในกำรวจิ ัยดังน้ี
1. แผนกำรจัดกำรเรยี นรู้ จำนวน 3 หนว่ ยกำรเรยี นรู้ ใชเ้ วลำ 20 ช่วั โมง ซ่ึงเน้ือหำ
ประกอบดว้ ยหลกั ฐำนทำงประวัติศำสตร์กำรสถำปนำอำณำจักรอยธุ ยำและกำรเมอื งกำรปกครองสมัย
อยุธยำและสังคมแลเศรษฐกิจสมยั อยุธยำซึง่ แสดงใหเ้ หน็ ทักษะทำงดำ้ นควำมคดิ สรำ้ งสรรค์ภำยใน
แผนกำรจดั กำรเรียนรูป้ ระกอบด้วย 1) สำระสำคัญ 2) จุดประสงค์กำรเรียนรู้ 3) สำระกำรเรยี นรู้ 4)
กิจกรรมกำรเรียนรู้ 5) สือ่ และแหล่งกำรเรยี นรู้ และ 1) กำรวัดและประเมินผล กจิ กรรมกำรจดั กำรเรยี นรู้
มุ่งเน้นให้นักเรยี นมคี วำมสำมำรถในกำรพัฒนำควำมคิดสรำ้ งสรรค์ ประกอบดว้ ย 4 ดำ้ น คอื 1) ควำมคิด
ริเร่ิม 2) ควำมคดิ คล่องแคล่ว 3) ควำมคดิ ยืดหยนุ่ และ 4) ควำมคิดละเอียดลออโดยมีขั้นตอนกำรจดั
กจิ กรรมตำมทฤษฎกี ำรสร้ำงควำมรูด้ ้วยตนเอง โดยกำรสร้ำงช้ินงำน (Constructionism)
2. แบบวัดควำมคิดสรำ้ งสรรค์ เพื่อพฒั นำควำมคิดสรำ้ งสรรค์ ของนักเรียนชน้ั มัธยมศึกษำปีท่ี
2 ภำคเรยี นที่ 1 ปกี ำรศกึ ษำ 2565 โรงเรียนธนบรุ วี รเทพีพลำรักษ์ เปน็ แบบอตั นัย จำนวน 4 ขอ้
1. กำหนดจดุ ประสงค์ในกำรสร้ำงแบบวัดควำมคดิ สรำ้ งสรรค์
2. ศกึ ษำเอกสำรที่เกย่ี วกบั กำรสร้ำงแบบวดั ควำมคดิ สร้ำงสรรค์
3. ศึกษำเน้ือหำเกย่ี วกับหลักฐำนทำงประวตั ศิ ำสตร์ กำรสถำปนำอำณำจกั รอยุธยำและ
กำรเมืองกำรปกครองสมยั อยุธยำและสังคมและเศรษฐกิจสมยั อยธุ ยำทสี่ อดคลอ้ งกับจดุ ประสงคเ์ พื่อนำมำ
เป็นเนอื้ หำในกำรจัดทำแบบวัดควำมคดิ สรำ้ งสรรค์
4. สร้ำงแบบวัดควำมคดิ สรำ้ งสรรค์ แบบอตั นัย จำนวน 4 ข้อ ซึง่ สอดคล้องกับระดับควำม
คิดสร้ำงสรรค์ใน 4 ดำ้ น คือ คือ 1) ควำมคิดริเริม่ 2) ควำมคิดคล่องแคลว่ 3) ควำมคิดยดื หยุ่น และ 4)
ควำมคิดละเอยี ดลออ โดยใหผ้ เู้ ช่ียวชำญตรวจสอบควำมสอดคล้องตำมจุดประสงค์กำรเรียนรู้ ดำเนนิ กำร
ปรับปรุงแก้ไข ตำมคำแนะนำของผเู้ ชี่ยวชำญ
5. นำแบบวดั ควำมคิดสร้ำงสรรคท์ ีส่ ร้ำงขึ้นเสนอผู้เช่ยี วชำญ เพอ่ื ตรวจสอบคำ่ ดัชนคี วำม
สอดคล้อง โดยมเี กณฑ์ ดังนี้
คะแนนเปน็ +1 มีควำมเห็นว่ำ แน่ใจวำ่ แบบวดั ควำมคิดสรำ้ งสรรค์มคี วำมสอดคล้องกับ
จดุ ประสงค์
คะแนนเปน็ 0 มีควำมเห็นวำ่ ไมแ่ นใ่ จว่ำแบบวัดควำมคดิ สร้ำงสรรคม์ ีควำมสอดคล้องกบั
จดุ ประสงค์
70
คะแนนเป็น -1 มีควำมเห็นวำ่ แบบวัดควำมคิดสรำ้ งสรรค์ ไมม่ ีควำมสอดคล้องกบั จุดประสงค์
นำผลกำรพจิ ำรณำลงควำมเห็นของผู้เชยี่ วชำญหำคำ่ ดชั นคี วำมสอดคลอ้ ง และนำค่ำ IOC ของ
แบบวดั ควำมคิดสรำ้ งสรรค์มำคัดเลอื ก โดยได้ข้อคำถำมทมี่ ีคำ่ IOC ตงั้ แต่ 0.80 ข้นึ ไป (Bloom, 1971) ซ่ึง
ถือไดว้ ่ำแบบวดั ควำมคิดสร้ำงสรรค์มคี วำมเที่ยงตรงเชงิ เนื้อหำ
กำรเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู
ผู้วิจยั ได้ดำเนนิ กำรจดั กำรเรียนตำมทฤษฎกี ำรสร้ำงควำมรู้ด้วยตนเอง โดยกำรสรำ้ งสรรค์
ช้นิ งำน(Constructionism) รำยวิชำประวัติศำสตรไ์ ทย เพือ่ ส่งเสริมควำมคิดสร้ำงสรรค์ ของนกั เรียนช้นั
มธั ยมศึกษำปีที่ 2 ทเี่ ปน็ กลมุ่ ตวั อย่ำงจำนวน 15 คน โดยผวู้ จิ ัยดำเนนิ กำรทดลองและเก็บรวบรวมข้อมลู
ดว้ ยตนเองในภำคเรียนท่ี 1 ปีกำรศึกษำ 2565
1. ทดสอบก่อนเรยี น โดยใช้แบบวดั ควำมคดิ สร้ำงสรรค์ จำนวน 4ข้อ ทีผ่ ู้วจิ ยั ได้สร้ำงขึ้นและ
บนั ทึกผลเปน็ คะแนนเก็บไว้
2. ดำเนินกำรจัดกจิ กรรมกำรเรียนรู้ตำมทฤษฎีกำรสรำ้ งควำมร้ดู ว้ ยตนเองโดยกำรสรำ้ งสรรค์
ช้ินงำน (Constructionism)
3. ทดสอบหลังเรียน โดยใช้แบบวัดควำมคดิ สรำ้ งสรรคฉ์ บบั เดิม บันทกึ คะแนน เปรยี บเทยี บ
กับกำรทดสอบก่อนเรียน
4. สังเกตพฤติกรรมกำรเรียนร้ขู องนกเั รยี นในแตล่ ะชั่วโมงบนั ทกึ ข้อมลู ไว้
5. นำข้อมูลทเี่ ก็บรวบรวมได้มำวิเครำะห์ทำงสถิติ
กำรวิเครำะหข์ อ้ มูล
กำรวจิ ยั นี้ ผู้วจิ ัยวิเครำะหข์ อ้ มลู โดยใช้โปรแกรมสำเรจ็ รปู ดงั นี้
เปรียบเทียบควำมสำมำรถในกำรคดิ สร้ำงสรรค์ ก่อนและหลงั เรียนของนักเรียนหลงั ได้รับ
กำรจัดกำรเรียนตำมทฤษฎกี ำรสรำ้ งควำมรู้ด้วยตนเองโดยกำรสร้ำงช้ินงำน (Constructionism) สำหรับ
นกั เรียนชั้นมธั ยมศึกษำปที ่ี 2 โดยใช้สถติ ิ t-test แบบ Dependent samples (ชศู รี วงศร์ ัตนะ และ
องอำจ นัยพัฒน์, 2551, หน้ำ 43)
71
บรรณำนกุ รม
กระทรวงศึกษำธิกำร. (2551). หลักสตู รแกนกลำงกำรศึกษำข้ันพน้ื ฐำน พทุ ธศกั รำช 2551.
กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภำลำดพรำ้ ว.
นโยบำยและแผนกำรศึกษำ ศำสนำ และวฒั นธรรม, สำนัก. สำนกั งำนปลดั กระทรวงศึกษำธกิ ำร.
(2553). พระรำชบญั ญตั กิ ำรศกึ ษำแหง่ ชำติ พ.ศ. 2542แกไ้ ขเพ่มิ เตมิ ฉบบั ท่ี 2 พ.ศ.2545
และ ฉบบั ท่ี 3 พ.ศ.2553.กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พค์ ุรสุ ภำ.
วำรสำรศลิ ปำกรศกึ ษำศำสตรว์ จิ ยั , 7(1), 190.
ทวีศักด์ิ จนิ ดำนุรกั ษ.(์ 2559).กำรพัฒนำและประเมนิ ควำมคดิ สร้ำงสรรค์ในสถำนศกึ ษำ. วำรสำร
ศกึ ษำศำสตรม์ หำวิทยำลยั สโุ ขทยั ธรรมำธริ ำช. 27(1),105-110.
ประสำร มำลำกลุ ณ อยธุ ยำ. (2537). ควำมคดิ สรำ้ งสรรค:์ พรสวรรคท์ พ่ี ัฒนำได.้ กรงุ เทพมหำนคร :
คณะครุศำสตร์ จุฬำลงกรณ์มหำวทิ ยำลัย.
พรพหสั ถิน่ รตั น์. (2558). ผลกำรจัดกิจกรรมกำรเรียนรสู้ ำระทัศนศลิ ป์เร่ืองกำรออกแบบรปู ภำพ
สัญลักษณ์และงำนกรำฟฟิกของนกเั รยี นช้ันมธั ยมศกึ ษำปที ่1ี โดยใช้รปู แบบกำรสอนซนิ เนค
ตคิ ส์. วำรสำรศกึ ษำศำสตร์ มหำวิทยำลัยขอนแก่น. 38(2), 83.
ไพฑรู ย์ พงศะบุตร .(2551) .้คม่ ือกำรอบรมมัคคเุ ทศก.์ กรงุ เทพมหำนคร : ศูนยก์ ำรศึกษำต่อเน่ือง
แหง่ จฬุ ำลงกรณ์มหำวิทยำลัย.
วลิ ำสีนี อนิ ทจันทร์. (2559). กำรพฒั นำส่ือสงั คมตำมแนวคิดออต้ำโมเดลเพ่ือสรำ้ งเสริมทักษะควำมคิด
สร้ำงสรรคข์ องนักศึกษำระดับปรญิ ญำตรี. วำรสำรมหำวทิ ยำลยั รำชภฏั ลำปำง. 5(1), 79.
ศศิมำ สขุ สว่ำง. (2561). SCAMER เครอื่ งมือ. เทคนคิ ควำมคิดสรำ้ งสรรคแ์ ละพฒั นำนวตั กรรม.
สืบคน้ เม่ือวันท่ี 3 ตลุ ำคม 2561. จำกhttps://www.sasimasuk.com//16667925scampe.-
อภิชำติ เนินพรพม. (2559). กำรพฒั นำรปู แบบกระบวนกำรเรยี นกำรสอนเพ่ือเสรมิ สรำ้ งควำมสำมำรถ
ทำงกำรคดิ สรำ้ งสรรคส์ ำหรบั ผเู้ รยี นระดบั ประกำศนยี บตั รวชิ ำชพี ประเภทวิชำชำ่ ง
อตุ สำหกรรม.