รวมบทบรรณาธิการแยกข้อ สมยั 65-72
อาญา
โดยกล่มุ เนตฯิ 4 ขา หลกั -ฎีกามาแชร์กนั สงวนลิขสิทธิ์
1
สารจากผจู้ ัดทำ
เนื่องจากผจู้ ัดทำพบวา่ บทบรรณาธกิ ารมคี วามสำคัญเปน็ อยา่ งยิ่งในการศึกษาตัวอย่างการใช้กฎหมายเพือ่ ใช้เตรยี มตวั
สอบทุกสนามสอบ อีกทงั้ ยงั พบวา่ มีหลกั ทนี่ า่ สนใจซง่ึ ไดอ้ ธบิ ายในคำพพิ ากษาฎกี าเพือ่ ขยายความให้มคี วามเขา้ ใจในประเดน็
นนั้ ๆมากยิ่งข้ึน ซงึ่ บทบรรณาธกิ ารในแตล่ ะสมัยทปี่ รากฏในคำบรรยายเนติมจี ำนวนมากและยงั มิไดม้ กี ารแยกตามกล่มุ วชิ า อาจ
ทำใหเ้ วลาทอ่ี ่านเกิดความสบั สน เน้อื หาผสมปนเปกันไป
ผจู้ ดั ทำตระหนกั ถงึ ปญั หาดงั กลา่ ว ทง้ั ยงั พบวา่ หากไดม้ กี ารจดั เรียงแยกเป็นรายขอ้ ตามกลมุ่ วิชา จะทำใหเ้ กดิ ความ
สะดวกและประโยชน์หลายด้าน ที่สำคัญคอื สามารถทำให้การจำและทำความเข้าใจเป็นระบบและระเบยี บมากข้ึน นอกจากนี้
ยงั สามารถตรวจสอบไดง้ า่ ยว่าประเด็นใดท่ีเคยไดอ้ อกสอบไปแลว้ กอ็ าจจะช่วยของผู้อ่านลดภาระในการเตรยี มตัวสอบไดไ้ ม่
มากกน็ อ้ ย จงึ ไดจ้ ดั ทำรวมคำพพิ ากษาจากบทบรรณาธิการสมัย 65-72 น้ขี ึ้นมาโดยการรวบรวมจาก search engine ทำให้
บางฎกี าไดม้ าจากการสรปุ ตามแฟนเพจกฎหมายตา่ งๆ หรอื ถ้าฎีกาไหนหาไมพ่ บ ผจู้ ดั ทำกพ็ ิมข้นึ มาเอง ทัง้ นอ้ี าจจะมีตกหลน่ ได้
อนง่ึ สำหรบั ฎกี าทซ่ี ้ำกันในแตล่ ะสมยั ผ้จู ัดทำไดล้ งไวเ้ พียง 1 ครง้ั เท่านนั้ เพื่อไม่เป็นการซำ้ ซอ้ นกัน
เนือ่ งจากบทบรรณาธิการจะมเี ฉพาะคำพิพากษาฎกี าทเี่ กี่ยวกบั เนือ้ หาตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ ไม่
ปรากฏคำพิพากษาฎกี าตามกฎหมายพเิ ศษเช่น ทรัพยส์ นิ ทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ ดงั น้นั ผจู้ ัดทำใครข่ อใหผ้ อู้ ่าน
ทำการศกึ ษาคน้ ควา้ เพ่มิ เตมิ ดว้ ยตนเอง
ผู้จดั ทำมีความประสงคจ์ ะใหร้ วมบทบรรณาธิการนีเ้ ป็นวทิ ยาทานแกท่ กุ ทา่ นเพ่ือ เตรียมตัวสอบทกุ สนาม ไม่ประสงค์
จะทำเพ่อื การค้าหรอื แสวงหากำไร ดงั นัน้ จงึ ใคร่ขอความรว่ มมอื ทุกท่านไม่นำไปจำหนา่ ยต่อ หากใครนำไปทำการค้าหรอื
แสวงหาประโยชนท์ ่ตี นมคิ วรได้โดยชอบ กข็ อใหผ้ ลรา้ ยนน้ั จงถงึ ตัวทา่ นโดยเรว็
นอกจากนผ้ี ูจ้ ดั ทำยงั ไดจ้ ัดทำกลมุ่ วชิ าแพง่ และพาณชิ ย์ดว้ ย และผจู้ ดั ทำจะดำเนนิ การจัดทำรวมบทบรรณาธิการของ
ภาค 2 สมยั 65-71 ดว้ ย และยังมีเอกสารสรปุ ประเดน็ ขาตา่ งๆดว้ ย ขอให้ทา่ นผอู้ ่านไดโ้ ปรดตดิ ตามตอ่ ไป
สุดทา้ ยน้ี หากมีขอ้ ผดิ พลาด เนือ้ หาตกหล่นประการใด ผู้จดั ทำตอ้ งขออภัยมา ณ โอกาสนด้ี ว้ ย ทงั้ นผ้ี ้อู า่ นสามารถเขา้
รว่ มเป็นสมาชกิ กลมุ่ ทางเฟสบคุ๊ ชอ่ื “เนติฯ 4 ขา หลกั -ฎกี า มาแชร์กนั ” เพ่อื เสนอแนะ ตชิ ม แลกเปลยี่ นข่าวสาร ความรู้ ฯลฯ
กนั ได้นะคะ ยนิ ดีต้อนรบั ทุกท่านและขอให้ทุกท่านประสบความสำเรจ็ ในการสอบทกุ ๆสนามคะ่
เบญญาดา ปาร์ก
ผ้จู ดั ทำ และผดู้ แู ลกลมุ่
1
2
ขอ้ 1 (ม.1-58 และ ม.107-208)
ฎกี าที่ 5445/2552 แมเ้ หตจุ ะเกิดที่นอกราชอาณาจักรแต่เหน็ ไดว้ า่ จำเลยมเี จตนาประสงคต์ ่อผลหรอื ย่อมจะ
เลง็ เหน็ ไดว้ า่ ผลน้นั จะเกดิ ขน้ึ ในราชอาณาจกั ร เพราะเรอื ทรี่ บั ช่วงนำ้ มนั จะตอ้ งนำน้ำมันของกลางไปจำหน่ายให้แกเ่ รอื ทที่ ำการ
ประมงในทะเลอาณาเขตซง่ึ อยู่ในเขตราชอาณาจกั รไทย กรณีต้องด้วย ป.อ. มาตรา 5 วรรคสอง ซ่ึงบัญญัตวิ ่า การพยายาม
กระทำการใดซงึ่ กฎหมายบัญญตั เิ ปน็ ความผดิ แม้การกระทำน้นั จะได้กระทำนอกราชอาณาจกั ร ถา้ หากการกระทำนั้นจะได้
กระทำตลอดไปจนถงึ ขนั้ ความผิดสำเร็จผลจะเกิดข้นึ ในราชอาณาจกั รให้ถือวา่ การพยายามกระทำความผดิ ได้กระทำใน
ราชอาณาจักร และการพยายามกระทำความผดิ ตาม พ.ร.บ.ศลุ กากร พ.ศ.2469 มาตรา 27 กฎหมายบญั ญตั ิว่าเป็นความผดิ ซงึ่
ถอื เสมอื นเป็นความผิดสำเรจ็ โดยมโี ทษเช่นเดียวกบั ความผดิ สำเรจ็ จำเลยจึงมีความผดิ ตาม พ.ร.บ.ศลุ กากร พ.ศ.2469
ฎีกาท่ี 5973/2537 จำเลยที่ 1 เปน็ เจา้ พนกั งานตำรวจมอี ำนาจหนา้ ทส่ี ืบสวนสอบสวนความผิดอาญา เมื่อได้
พบและกล่าวหาวา่ โจทกร์ ว่ มและนายสเุ ธยี รมีไมแ้ ปรรปู ไวใ้ นครอบครองโดยไมไ่ ด้รบั อนุญาตอันมิใช่การแกลง้ กลา่ วหา การที่
จำเลยที่ 1 ไมจ่ ับกมุ แตก่ ลบั ขู่เขญ็ เรียกเงินแล้วละเว้นไม่จบั กมุ โจทกร์ ว่ มและนายสเุ ธียร จงึ ไมใ่ ชค่ วามผิดตามประมวลกฎหมาย
อาญา มาตรา 148 แตเ่ ปน็ ความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 เนื่องจากโจทก์มไิ ด้ฟอ้ ง ขอใหล้ งโทษจำเลยทัง้
สองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 อนั เป็นบทเฉพาะมาด้วย ก็ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 อัน
เปน็ บททัว่ ไปและเปน็ บทที่โจทกฟ์ อ้ งมาได้ สำหรบั จำเลยท่ี 2 มใิ ชเ่ จา้ พนักงานแตร่ ่วมกระทำผิดฐานนด้ี ้วย จงึ มคี วามผดิ ตาม
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ประกอบมาตรา 86
ฎีกาท่ี 8611/2553 จำเลยร้วู า่ มิได้มกี ารกระทำผิดในข้อหาลักทรพั ย์เกดิ ข้นึ แต่กลับไปแจ้งความแก่พนกั งาน
สอบสวนว่าได้มกี ารกระทำผดิ ในข้อหาลักทรัพย์อนั เป็นเทจ็ เพอ่ื ให้พนกั งานสอบสวนเช่ือวา่ ไดม้ คี วามผิดข้อหาลักทรพั ยเ์ กดิ ขน้ึ
เพื่อใหโ้ จทก์ร่วมได้รบั โทษ การกระทำของจำเลยจงึ เปน็ ความผิดฐานแจง้ ข้อความอนั เป็นเทจ็ ตาม ป.อ. มาตรา 137 มาตรา
174 วรรคสอง ประกอบมาตรา 173 จำเลยยังมเี จตนาแจ้งความเพอื่ ให้พนกั งานสอบสวนดำเนนิ คดแี ก่โจทกร์ ่วมอันเปน็ การใส่
ความโจทกร์ ่วมตอ่ บุคคลท่ีสามเพอื่ ให้โจทกร์ ว่ มถกู ดูหมิ่น เกลียดชังและเสียช่ือเสยี ง การกระทำของจำเลยจึงเป็นการหมน่ิ
ประมาทโจทกร์ ่วมอกี ด้วย
ฎีกาที่ 3096/2552 จำเลยทงั้ สองไปตดิ ตอ่ กบั ดาบตำรวจ ช. เพอื่ ขอใหช้ ่วยเหลือ พ. กบั พวก โดยเปลยี่ นขอ้ หา
จากเดิมขอ้ หาร่วมกนั มีแมทแอมเฟตามีนไวใ้ นครอบครองเพอ่ื จำหนา่ ยและจำหนา่ ยเปน็ ขอ้ หารว่ มกนั มเี มทแอมเฟตามนี ไว้ใน
ครอบครองโดยไม่ไดร้ บั อนญุ าต โดยเสนอใหเ้ งิน 70,000 บาท ย่อมเป็นการกระทำทีม่ งุ่ ประสงค์ขอให้ทรพั ยส์ นิ เพอื่ จงู ใจใหด้ าบ
ตำรวจ ช. ไปดำเนินการใหผ้ ู้บงั คบั บญั ชากระทำการอนั มชิ อบด้วยหนา้ ท่ี เมอ่ื พนั ตำรวจตรี ต. ผู้บงั คับบญั ชาของดาบตำรวจ ช.
ทราบความประสงค์ของจำเลยทง้ั สองจากดาบตำรวจ ช. และวางแผนจบั กุมโดยตอบตกลงและนดั หมายให้นำเงินมอบให้ และ
2
3
จบั กมุ ไดพ้ ร้อมเงินของกลาง จงึ ถือไดว้ ่าจำเลยทั้งสองไดข้ อให้ทรพั ย์สินแกด่ าบตำรวจ ช. และพันตำรวจตรี ต. เพอ่ื จงู ใจให้
กระทำการอันมิชอบด้วยหนา้ ทอ่ี ันเป็นความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา 144
ฎีกาท่ี 661/2554 จำเลยเรียกและรบั เงนิ จากผู้เสียหายทัง้ สองเพื่อเปน็ การตอบแทนในการทจี่ ะจงู ใจเจ้า
พนกั งานในตำแหนง่ พนักงานอยั การ โดยวิธอี ันทจุ ริตผิดกฎหมาย เพื่อให้กระทำการในหนา้ ทโี่ ดยการชว่ ยเหลือในทางคดใี หส้ ั่ง
ไมฟ่ ้องคดีแกบ่ คุ คลทถี่ กู ดำเนินคดีอาญา แมพ้ นกั งานอัยการจะมิไดเ้ ป็นเจา้ ของสำนวนในคดีน้ันและจำเลยยงั มิไดใ้ ห้เงนิ กต็ าม ก็
ถือว่าพนกั งานอยั การนัน้ เป็นเจ้าพนักงานทจ่ี ำเลยจะจงู ใจใหก้ ระทำการในหน้าทีอ่ ันเป็นคุณแก่บุคคลท่จี ำเลยจะใหช้ ว่ ยเหลอื
แลว้ การกระทำของจำเลยครบองคป์ ระกอบแหง่ ความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา 143 แลว้ และเปน็ ความผดิ ต่อรฐั โดยตรง โจทก์
รว่ มท้งั สองจงึ ไมใ่ ชผ่ ู้เสยี หายตามกฎหมายไม่อาจเข้ารว่ มเปน็ โจทกไ์ ด้
ฎกี าท่ี 205/2554 จำเลยเปน็ เจ้าพนักงาน ตำแหนง่ พนกั งานคมุ ประพฤติ และเป็นตัวแทนรว่ มรบั ทราบและทำ
นติ ิกรรมจดทะเบียนภาระจำนองทีด่ ินพร้อมกับมหี น้าทรี่ วบรวมทรพั ยส์ ินในสว่ นทีผ่ เู้ ยาวจ์ ะไดร้ บั มา ดำเนินการกำกบั การ
ปกครองตามคำสง่ั ศาลในคดีหมายเลขแดงท่ี 382/2541 ของศาลเยาวชนและ ครอบครวั กลาง การทจ่ี ำเลยรบั เงนิ ค่าตอบแทน
ในสว่ นของผเู้ ยาวใ์ นคดดี ังกล่าวและไดเ้ บยี ดบงั เอาไปใช้ ประโยชนส์ ่วนตวั โดยมิได้ดำเนินการนำเงนิ จำนวนดงั กลา่ วไปฝาก
ธนาคารในนามของผเู้ ยาว์ เปน็ การไม่ ปฏิบตั ิตนในฐานะผกู้ ำกบั การใชอ้ ำนาจปกครองในสว่ นท่เี ป็นทรพั ย์สนิ ของผเู้ ยาวต์ าม
คำส่ังศาล การกระทำ ของจำเลยเปน็ ความผดิ ฐานเปน็ เจา้ พนักงานมหี น้าทจ่ี ัดการหรือรักษาทรพั ย์ใด เบยี ดบังทรัพย์นนั้ เป็น
ของ ตนโดยทจุ รติ การกระทำของจำเลยดังกล่าวข้างต้นเปน็ ความผดิ ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๗ สำเรจ็ ไปแล้ว
แม้ต่อมาจำเลยจะเปิดบญั ชีเงนิ ฝากประเภทออมทรพั ย์ให้แก่ผู้เยาว์ กไ็ มอ่ าจทำใหก้ ารกระทำ ทเ่ี ปน็ ความผดิ อาญาสำเรจ็ ไปแลว้
กลับกลายเปน็ ไมม่ คี วามผิดไปได้
ฎกี าที่ 7441/2555 จำเลยที่ 1 ดำรงตำแหนง่ ประธานกรรมการบรหิ ารองคก์ ารบรหิ ารสว่ นตำบล ย. จงึ มีอำนาจ
เพยี งอนมุ ตั ิฎีกาตามที่ ส. หัวหน้าสว่ นการคลงั เสนอเท่านัน้ สว่ นการจา่ ยเงนิ เปน็ หน้าที่ของหน่วยงานเป็นผู้ดำเนินการ การท่ี
จำเลยที่ 1 ศ. และ ส. ซ่งึ เปน็ กรรมการรับสง่ เงนิ ไปเบกิ ถอนและรบั เงินจากธนาคารมาเพื่อเบกิ จา่ ยเงนิ ให้แกร่ าษฎรผรู้ บั จา้ ง
ก่อสรา้ งถนนแล้ว จำเลยที่ 1 ยนื ยนั ขอรบั เงนิ ไปจ่ายใหแ้ ก่ราษฎรผูร้ บั จา้ งเอง จงึ เปน็ การกระทำนอกเหนืออำนาจหน้าทีข่ อง
จำเลยที่ 1เม่อื จำเลยที่ 1 รบั เงนิ ไปแลว้ เบยี ดบังเอาไปโดยทจุ ริต ถือไมไ่ ด้ว่าเป็นการกระทำความผิดในฐานะเปน็ เจา้ พนกั งานผมู้ ี
หน้าทจี่ ดั การหรอื รักษาเงินตาม ป.อ. มาตรา 147 คงเป็นความผดิ ฐานยกั ยอกตาม ป.อ. มาตรา 352
ฎกี าท่ี 2171/2554 เมื่อขอ้ เท็จจรงิ ฟังเปน็ ยตุ แิ ลว้ ว่า อาวุธปืนของกลางทไ่ี ม่มเี ครอ่ื งหมายทะเบียนประจำอาวุธ
ปนื ของเจา้ พนักงานประทบั ไว้ จึงเปน็ ทรพั ย์สินท่ีกฎหมายบญั ญตั ิไวว้ า่ ผู้ใดทำหรือมไี วเ้ ป็นความผดิ ที่ ป.อ. มาตรา 32 บญั ญัติ
ใหร้ บิ เสียท้ังส้นิ ไมว่ ่าเป็นของผกู้ ระทำความผดิ และมีผถู้ ูกลงโทษตามคำพพิ ากษาหรอื ไม่ ดังนนั้ แมศ้ าลชั้นต้นสงั่ จำหน่ายคดี
3
4
เฉพาะจำเลยท่ี 1 ผถู้ ูกฟอ้ งว่ากระทำความผิดเกี่ยวกบั อาวุธปนื กระบอกนเ้ี นื่องจากจำเลยที่ 1 ถงึ แกค่ วามตายแล้วกต็ าม ก็ต้อง
อยู่ในบงั คับแหง่ ป.อ. มาตรา 32 ที่ศาลจะตอ้ งสั่งใหร้ ิบเสียทงั้ สน้ิ (ประชุมใหญ่ครงั้ ท่ี 2/2554)
ฎีกาที่ 11720/2554 วนั เกิดเหตุ ผูต้ ายไดไ้ ปรว่ มงานเลย้ี งขึน้ บา้ นใหม่ของ ส. แม้ ส. เบกิ ความว่า เชิญผูต้ ายไป
รว่ มงานในฐานะผตู้ ายเปน็ หวั หนา้ สถานีตำรวจเพื่อใหช้ ว่ ยดแู ลความเรียบรอ้ ย กเ็ ปน็ การเชญิ ไปร่วมงานใน ฐานะส่วนตวั ไมใ่ ช่
ผู้ตายไปปฏิบตั หิ นา้ ทร่ี ักษาความสงบภายในงานตามอำนาจหน้าที่ของเจ้าพนกั งานตำรวจ ส่วนที่ ส. อ้างวา่ เพอื่ ให้ช่วยดแู ล
ความเรียบร้อยนั้น ส. เพียงตอ้ งการให้ผู้รว่ มงาน เกรงใจผู้ตาย ซง่ึ มตี ำแหน่ง เป็นหวั หนา้ สถานีตำรวจ ไม่ให้ก่อความเดอื ดรอ้ ย
เท่านัน้ การกระทำของจำเลยท่ยี ิงผตู้ าย จงึ ไม่ใช่การฆา่ เจ้าพนกั งาน ซง่ึ กระทำการตามหนา้ ท่ี
ฎกี าที่ 2030/2554 ตาม ป.อ. มาตรา 1 (5) อาวุธ หมายความรวมถงึ สง่ิ ซง่ึ ไม่เปน็ อาวธุ โดยสภาพแตซ่ ่ึงได้ใช้หรอื
เจตนาจะใช้ประทุษรา้ ยร่างกายถงึ อนั ตรายสาหสั อยา่ งอาวธุ ผ้ถู กู กลา่ วหานำกระปอ๋ งสเปรยพ์ ริกไทยเข้าไปในบรเิ วณศาลชน้ั ตน้
สำหรับสเปรยพ์ รกิ ไทยไดค้ วามว่า ผลิตข้ึนโดยมวี ตั ถุประสงคใ์ นการใช้ฉีดพ่นเพ่ือยับยงั้ บคุ คลหรือสตั วร์ า้ ยมิใหเ้ ข้าใกลห้ รือทำ
อันตรายผู้อ่นื ผทู้ ถ่ี ูกฉีดพน่ สารในกระป๋องสเปรยใ์ สจ่ ะมอี าการสำลกั จาม ระคายเคืองหรอื แสบตา หลังจากนัน้ ไมน่ านก็สามารถ
หายเป็นปกตไิ ด้ เห็นไดว้ ่าการผลิตสเปรยพ์ รกิ ไทยดังกล่าว มไิ ด้ผลิตขน้ึ เพื่อทำรา้ ยผ้ใู ด จงึ ไม่เป็นอาวธุ โดยสภาพทงั้ ไมอ่ าจใช้
ประทุษรา้ ยร่างกายถึงอันตรายสาหสั อยา่ งอาวุธ สเปรยพ์ ริกไทยจงึ ไมเ่ ป็นอาวุธตามความหมายของบทกฎหมายข้างตน้ ดว้ ย
เชน่ กัน การทผี่ ู้ถกู กล่าวหาเขา้ ไปในบรเิ วณศาลชั้นต้นเปน็ การปฏบิ ตั หิ น้าท่ีตามทผ่ี ูอ้ ำนวยการสำนักงานประจำศาลชน้ั ต้นขอ
ความรว่ มมือไปยังผู้กำกบั การสถานตี ำรวจภธู รอำเภอเมืองกาญจนบรุ ี การที่ผูถ้ ูกกล่าวหานำกระป๋องสเปรยพ์ ริกไทยเข้าไปใน
บรเิ วณศาลชน้ั ต้น จึงไมเ่ ปน็ การประพฤตติ นไมเ่ รียบรอ้ ยในบรเิ วณศาล
ฎกี าท่ี 8016/2556 จำเลยกลา่ วถ้อยคำวา่ "ตำรวจแม่ง...ใช้ไม่ได"้ เพราะรสู้ กึ วา่ เจา้ พนักงานตำรวจไมใ่ ห้
ความสำคัญตอ่ คำชี้แจงของตน ทำใหจ้ ำเลยรู้สึกวา่ ไม่ได้รบั ความเป็นธรรม จงึ กลา่ วตำหนกิ ารปฏิบัติหนา้ ท่ขี องเจา้ พนักงาน
ตำรวจ อนั เปน็ เพยี งคำกล่าวทีไ่ มส่ ุภาพและไม่สมควรเท่าน้ัน แต่ไม่ถงึ ขัน้ มงุ่ หมายทจี่ ะด่า ดถู ูกเหยียบหยามหรอื สบประมาทเจา้
พนักงานตำรวจแตอ่ ย่างใด จึงไมเ่ ป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 136
ฎกี าที่ 5053/2555 จำเลยที่ 1 มาขอไม่ให้ผเู้ สียหายยนื่ ซองสอบราคาโดยจำเลยท่ี 2 กอ็ ยใู่ นบริเวณนั้น แต่
ผเู้ สยี หายคงยนื ยนั จะย่ืนซองสอบราคา จากนน้ั จำเลยท่ี 1 เดนิ มาพดู กับผ้เู สียหายว่า "ไอ้นอ้ ยมงึ แนห่ รอื " และตบหนา้ ผเู้ สียหาย
ท่บี รเิ วณเบ้าตาขวาเปน็ เหตใุ หผ้ เู้ สียหายตกจากเก้าอีล้ ม้ ลงทพ่ี นื้ แลว้ จำเลยท่ี 2 กบั พวกเข้าสมทบกบั จำเลยที่ 1 รุมทำร้าย
ผเู้ สียหาย โดยระหวา่ งน้ันจำเลยท่ี 1 พดู ในเชงิ ขม่ ขูผ่ เู้ สยี หายวา่ "ไอน้ อ้ ยมึงเกง่ จรงิ มงึ ยืน่ เลย" พฤตกิ ารณแ์ หง่ คดีบง่ ชี้โดยแจ้งชดั
วา่ จำเลยท่ี 2 ร่วมกบั พวกรมุ ทำรา้ ยผเู้ สยี หายเพอ่ื เป็นการขม่ ขูม่ ใิ ห้ผเู้ สียหายย่ืนซองสอบราคาจา้ งเหมางานทจี่ ำเลยท่ี 1 ซงึ่ เปน็
พ่ีชายต่างบดิ าของจำเลยท่ี 2 ขอไม่ใหผ้ ู้เสียหายยื่นในวนั เกดิ เหตุ ดงั น้ี จำเลยที่ 2 จึงมคี วามผิดตาม ป.อ. มาตรา 295, 309
วรรคแรก ประกอบมาตรา 83 แมจ้ ำเลยที่ 2 ไม่ได้ยืน่ ซองสอบราคาในวนั เกิดเหตุตามท่จี ำเลยที่ 2 อ้างกต็ าม แต่การทจ่ี ำเลยท่ี
4
5
2 ร่วมใช้กำลงั ประทุษรา้ ยต่อผเู้ สียหายเพ่อื ใหจ้ ำยอมไมเ่ ขา้ รว่ มในการเสนอราคาตามประกาศสอบราคาจา้ งเหมาในเหตคุ ดนี จ้ี น
ผูเ้ สยี หายตอ้ งเขา้ รบั การรักษาพยาบาลจากแพทยท์ โ่ี รงพยาบาลและไมก่ ลา้ ยน่ื ซองสอบราคาภายในกำหนด ถือได้ว่าเปน็ การ
กระทำท่เี ปน็ ความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าดว้ ยความผดิ เกีย่ วกบั การเสนอราคาตอ่ หน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 มาตรา 6 อีกฐานหนึง่
ด้วย
ฎีกาท่ี 14460/2556 ส. นำเงนิ ทจี่ ำเลยมสี ่วนเป็นเจา้ ของอยดู่ ว้ ยไปให้ ท.กยู้ มื หลงั จาก ส. ถงึ แก่ความตาย
จำเลยไดร้ บั มอบหมายให้ดแู ลกจิ การรา้ นของ ส. รวมทง้ั ตู้นริ ภัยและสง่ิ ของต่าง ๆ ภายในตนู้ ริ ภัย แมจ้ ำเลยนำหนังสอื สญั ญา
กยู้ ืมเงินระหวา่ ง ส. กบั ท. ซงึ่ อยูใ่ นต้นู ริ ภยั ไป ไมว่ ่าเอกสารนัน้ เปน็ ต้นฉบบั หรือสำเนากถ็ อื ไม่ได้วา่ จำเลยเอาไปเสยี ซงึ่ เอกสาร
ของผอู้ ่ืนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา188 เพราะจำเลยมกี รรมสทิ ธริ์ ่วมกบั ส. และเป็นผู้ครอบครองเอกสารดงั กลา่ ว
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188 บญั ญตั ิว่า “ผ้ใู ดทำใหเ้ สยี หาย ทำลาย ซอ่ นเร้นเอาไปเสีย หรือทำใหส้ ูญหายหรอื ไร้
ประโยชน์ซง่ึ พินัยกรรมหรอื เอกสารใดของผอู้ นื่ ในประการทน่ี ่าจะเกิดความเสียหายแกผ่ อู้ ืน่ หรือประชาชน ต้องระวางโทษ...”
การทจ่ี ะเปน็ ความผิดตามบทบัญญัตดิ งั กล่าวตอ้ งไดค้ วามว่าเปน็ การเอาไปซง่ึ เอกสารของผอู้ ่นื แตเ่ ม่ือข้อเท็จจรงิ ไดค้ วามว่า
จำเลยมีส่วนเป็นเจา้ ของเอกสารดงั กล่าวด้วย การทจ่ี ำเลยเอาเอกสารไปจงึ ไมเ่ ป็นความผติ ตามมาตราดงั กล่าว โดยไม่ตอ้ งคำนึง
วา่ ผ้อู น่ื หรอื กองมรดกมสี ว่ นเป็นเจ้าของเอกสารดังกล่าวดว้ ยหรอื ไม่
ฎีกาท่ี 7125/2557 จำเลยใหบ้ คุ คลหนงึ่ ทำปา้ ยทมี่ ีข้อความวา่ “ทองเหลอื งหล่อนี้ ไมใ่ ชพ่ ุทธเจา้ แน่ ไมต่ ้อง
กราบมัน” ตดิ ทฐี่ านองคพ์ ระพทุ ธรูปกบั จำเลยใช้เทา้ เหยียบฐานของพระพทุ ธรปู และใชม้ อื ตบทบี่ รเิ วณพระพกั ตร์ของ
พระพุทธรปู นั้น เป็นการกระทำทไี่ มส่ มควร ไม่เคารพต่อพระพทุ ธรูปอนั เป็นท่ีเคารพในทางศาสนาพุทธ อันเป็นการเหยยี ด
หยามศาสนา จำเลยจงึ มคี วามผดิ ตาม ป.อ. มาตรา 206
ฎกี าท่ี 3309/2541 คืนเกิดเหตจุ ำเลยที่ 2 ถงึ ที่ 4 ซง่ึ เปน็ เจ้าพนักงานรว่ มกันใช้จำเลยที่ 1 ซง่ึ มิใชเ่ จา้ พนกั งาน
ตำรวจใหแ้ สดงตนเป็นเจ้าพนกั งานตำรวจ เพอ่ื เปน็ เครอ่ื งมอื ให้ไปเรียกเกบ็ เงินจากบรรดาคนขับรถยนตบ์ รรทกุ ท่ีแลน่ ผ่านไปมา
ไมเ่ ลอื กว่าคนขับรถน้นั จะได้กระทำความผิดต่อกฎหมายหรอื ไม่ โดยจำเลยที่ 1เข้าไปพูดกบั คนขับรถว่า "ตามธรรมเนียม"
คนขบั รถนั้นแม้มิได้ กระทำความผิดก็ตอ้ งจำใจจา่ ยเงินใหจ้ ำเลยที่ 1 ด้วยความ เกรงกลัวตอ่ อำนาจในการเปน็ เจา้ พนักงาน
ตำรวจ การกระทำของ จำเลยท่ี 2 ถงึ ท่ี 4 ดังกลา่ วเป็นการรว่ มกันใชอ้ ำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบขม่ ขืนใจเพอื่ ใหค้ นขบั รถยนต์
บรรทกุ มอบเงนิ ให้แก่จำเลยที่ 1 ซ่ึงเป็นพวกของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 อนั เป็นความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148
แลว้ และหากรถยนตบ์ รรทุกคนั ใดมกี ารกระทำทเ่ี ป็นความผดิ ตอ่ กฎหมายถา้ จำเลยท่ี 1 เรียกเอาเงนิ จากคนขบั รถได้แลว้ จำเลย
ท่ี 2ถงึ ที่ 4 กจ็ ะไม่ทำการจบั กมุ การกระทำของจำเลยท่ี 2 ถึง ที่ 4 ดงั กลา่ วยอ่ มเป็นการร่วมกันเรียกและรับเงนิ จากคนขบั
รถยนต์บรรทกุ สำหรบั ตนเองโดยมิชอบเพอ่ื ไมก่ ระทำการในตำแหน่งคอื ไมจ่ บั กมุ ตามหนา้ ที่ อนั เปน็ ความผดิ ตามประมวล
กฎหมายอาญามาตรา 149 แต่คืนเกดิ เหตมุ กี ารเรยี กเกบ็ เงนิ หลายครง้ั หลายหนจากบรรดาคนขับรถหลาย ๆ คนดังนี้ เมื่อโจทก์
5
6
รวมการกระทำเหล่าน้ีไวใ้ นฟ้องขอ้ เดียวกันโดยถอื เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท คือผิดทั้งประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา 148และ 149 จึงตอ้ งบงั คบั ใหเ้ ป็นไปตามคำขอของโจทก์ ซงึ่ แต่ละบทมาตรามีโทษเท่ากัน และเม่ือผดิ
ตามบทเฉพาะเชน่ นี้แล้วก็ไมจ่ ำตอ้ งปรบั บทความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157อันเปน็ บททว่ั ไปอีก
ฎกี าท่ี 1524/2551 จำเลยเปน็ เจา้ พนกั งานตำรวจมหี น้าทสี่ บื สวนจบั กมุ ผูก้ ระทำความผิดอาญา ไดพ้ บเหน็ ส.
กับพวกเล่นการพนนั ชนไกอ่ นั เปน็ ความผดิ อาญา จำเลยมหี นา้ ทีต่ ้องทำการจบั กมุ ผู้กระทำความผิด แตก่ ลับไมท่ ำการจบั กุมและ
เรยี กรบั เงนิ จำนวน 1,500 บาท จาก ส. เพ่อื จะไมจ่ บั กมุ ตามหนา้ ท่ี การกระทำของจำเลยจงึ เป็นความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา
149
ฎีกาท่ี 1749/2545 พฤตกิ ารณท์ ี่จำเลยจบั กมุ ผเู้ สยี หายในข้อหาลกั ทรพั ยข์ อง ส. แล้วใหผ้ ้เู สียหายลงลายมือช่ือ
ในบนั ทึกการจบั กุม จากน้ันนำผเู้ สยี หายไปควบคุมไว้ทส่ี ถานีตำรวจประมาณ30 นาที จงึ เรยี กร้องเอาเงินจากผเู้ สยี หายเพอื่
แลกเปลี่ยนกบั การปลอ่ ยตัวไมด่ ำเนินคดโี ดยนำผู้เสยี หายออกมาโทรศัพทห์ า ก. ภรยิ าผู้เสยี หาย ต่อมาเมื่อจำเลยไดร้ ับเงนิ
3,000 บาท จากผเู้ สยี หายแลว้ จงึ ปลอ่ ยผเู้ สียหายไปน้ัน เปน็ กรณีไม่กระทำการในตำแหน่งโดยมิชอบด้วยหน้าท่ี จำเลยมี
ความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 149
เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149ซง่ึ เปน็ บทเฉพาะแลว้ ย่อมไมม่ คี วามผดิ ตาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ซ่ึงเป็นบททวั่ ไปอกี แม้ว่าการกระทำของจำเลยจะเข้าหลกั เกณฑอ์ ันเปน็ องค์ประกอบ
ความผิดตามมาตรา 157 ดว้ ยก็ตาม
ฎกี าที่ 14177/2557 จำเลยเรียกเงนิ จาก น. กบั ส. โดยแอบอ้างว่าจะนำเงินไปใหพ้ นักงานอัยการเจ้าของสำนวน
ทำความเหน็ ไมค่ ัดคา้ นการขอปลอ่ ยตวั ช่วั คราวของ น. โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นคณุ แก่ น. ซงึ่ เป็นจำเลยในคดีอาญา
แม้จำเลยจะยงั ไม่ไดร้ บั เงินหรือนำเงินไปใหอ้ ยั การเจ้าของสำนวนตามทีจ่ งู ใจก็ตาม การกระทำของจำเลยย่อมเปน็ ความผดิ ตาม
ป.อ. มาตรา 143
ฎีกาที่ 4915/2537 จำเลยเปน็ ผู้ตอ้ งหาถกู คุมขงั อยทู่ หี่ ้องขงั ของสถานตี ำรวจเวลา 8 นาฬิกา นายดาบตำรวจส.
เสมยี นคดี แจง้ ความประสงคต์ อ่ นายดาบตำรวจก. ซึ่งปฏบิ ัตหิ นา้ ท่ีสบิ เวรว่าไดร้ ับคำสง่ั จากพนักงานสอบสวนใหม้ าพิมพ์
ลายน้วิ มอื ของจำเลย นายดาบตำรวจก. ไขกุญแจหอ้ งขงั เปดิ ประตเู พือ่ ใส่กญุ แจมือจำเลยกอ่ นนำจำเลย ออกจากห้องขงั แต่
จำเลยวิ่งสวนทางออกมาวงิ่ หลบหนลี งไป ทางบันได สบิ ตำรวจตรีฉ. ซ่ึงยนื อยู่ตรงทีพ่ กั บันไดประสบเหตุดังกล่าวจึงเขา้ สกัดจับ
จำเลยไว้ได้ การทจ่ี ำเลยซง่ึ ถูกควบคุมตวั ไว้ ในหอ้ งขังสถานตี ำรวจอันเป็นการควบคมุ ทเ่ี จา้ พนกั งานตำรวจ จดั กำหนดขอบเขต
เอาไว้ ออกจากขอบเขตดงั กลา่ วโดยผมู้ ีอำนาจ ควบคมุ จำเลยยงั มไิ ดอ้ นญุ าตในลกั ษณะของการวิ่งหลบหนี ออกมาพ้นเขต
ควบคุมแลว้ ไมว่ า่ เจา้ พนกั งานตำรวจจะติดตามจับกมุ จำเลยไดห้ รือไมก่ ต็ าม การกระทำของจำเลยย่อมเปน็ การหลบหนี ไปใน
6
7
ระหว่างที่ถูกคมุ ขงั ของเจา้ พนักงานผู้มอี ำนาจสบื สวนคดอี าญา เป็นความผดิ สำเรจ็ แลว้ ไม่จำเป็นต้องหลบหนใี หพ้ ้นออกไปจาก
ตัวอาคารของสถานตี ำรวจจึงจะถอื ว่าการหลบหนสี ำเรจ็
ฎีกาที่ 8413/2556 จำเลยมตี ำแหนง่ เปน็ เสมยี นตรามหี น้าท่รี บั เงนิ และออกใบเสร็จรบั เงิน เมอ่ื ใบเสรจ็ รับเงินท่ี
จำเลยออกไปมีข้อความหรอื จำนวนเงินผดิ พลาด จำเลยย่อมมีอำนาจหนา้ ทแี่ กไ้ ขให้ถูกต้อง การแก้ไขดงั กล่าวมใิ ชก่ ารกระทำ
ในขณะจำเลยหมดอำนาจทจ่ี ะแกไ้ ข จำเลยจงึ มีความผดิ ฐานเปน็ เจ้าพนักงานทำเอกสารอันเปน็ เทจ็ แตก่ ารทำเอกสารอนั เปน็
เท็จดงั กลา่ วเพอ่ื ใหส้ มเหตผุ ลในการยักยอกทรัพยถ์ อื ได้ว่าเปน็ การกระทำโดยมเี จตนาเดียวคอื เป็นเจ้าพนักงานยกั ยอกทรพั ย์ จงึ
เป็นกรรมเดยี วกบั ความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานยกั ยอกทรพั ย์
ฎกี าท่ี 10452/2557 การทจ่ี ำเลยที่ 2 และที่ 3 ไดล้ งลายมือชือ่ ร่วมกันในชอ่ งผมู้ อบอำนาจโดยไม่ได้ประทบั ตรา
สำคญั ของจำเลยที่ 1 ซงึ่ ไม่ไดเ้ ป็นไปตามทม่ี กี ารจดทะเบียนต่อสำนกั งานทะเบยี นหนุ้ สว่ นบรษิ ทั กรุงเทพมหานครเกยี่ วกบั เรอื่ ง
จำนวนหรือช่อื กรรมการซง่ึ ลงลายมอื ชือ่ ผูกพนั บรษิ ทั เป็นเพยี งการไมป่ ฏบิ ัติตามข้อบงั คบั ทรี่ ะบุไว้ในหนังสือรบั รองดังกล่าว
เทา่ นนั้ และจะมผี ลตอ่ รูปคดหี รอื ไมเ่ พยี งใดเป็นเรอ่ื งที่ศาลในคดดี ังกล่าวจะพจิ ารณาวินิจฉยั หนงั สือมอบอำนาจดงั กลา่ วจงึ
ไมใ่ ชพ่ ยานหลักฐานอันเปน็ เทจ็ เพราะเหตจุ ำเลยท่ี 2 และท่ี 3 ลงลายมอื ชอื่ โดยไมม่ ีอำนาจและไมไ่ ดป้ ระทับตราสำคญั ของ
จำเลยท่ี 1 การสง่ หนงั สอื มอบอำนาจดังกล่าวเป็นพยานหลกั ฐานตอ่ ศาลจงึ ไม่เปน็ ความผดิ ฐานรว่ มกนั นำสืบหรือแสดง
พยานหลกั ฐานอนั เปน็ เทจ็ ในการพจิ ารณาคดี
ฎกี าที่ 1670/2522 ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 189 นนั้ เจา้ พนักงานผ้ตู ิดตามจับกุมผ้กู ระทำ
ผดิ หาจำต้องแกผ่ ใู้ หท้ ี่พำนักซอ่ นเรน้ ทราบว่าผ้กู ระทำความผิดหรอื ผ้ตู อ้ งหาวา่ กระทำความผิดได้กระทำความผิดฐานใด
เพยี งแต่แจง้ ให้ทราบวา่ บุคคลท่ตี นใหท้ ี่พำนักซอ่ นเร้นเป็นผกู้ ระทำผดิ ก็พอแล้ว สว่ นจะเป็นความผิดฐานใดน้ันเป็นขอ้ เทจ็ จริงท่ี
โจทกจ์ ะต้องกล่าวในฟ้องและนำสบื
ฎีกาท่ี 2448/2521 เจ้าพนักงานตำรวจไดเ้ ขา้ ทำการจบั กมุ พวกลักลอบเล่นการพนนั ไฮโลวโ์ ดยไมไ่ ด้รบั อนุญาต
อันเปน็ การปฏบิ ัติการตามหนา้ ท่โี ดยชอบดว้ ยกฎหมาย จำเลยรอ้ งบอกพวกทเี่ ล่นการพนนั ดงั กล่าวว่า "ตำรวจมา ตำรวจมา"
พวกที่เล่นการพนนั บางคนหลบหนกี ารจับกมุ ของเจ้าพนกั งานไปได้ พฤตกิ ารณ์ของจำเลยทรี่ ้องบอกพวกที่เลน่ การพนนั ดังกล่าว
ก็ด้วยมีเจตนาทจ่ี ะให้ผเู้ ลน่ การพนันร้ตู วั เพ่ือจะหลบหนไี ป การกระทำของจำเลยจงึ เขา้ ลกั ษณะของการช่วยด้วยประการใดๆ
แก่ผูก้ ระทำความผดิ เพือ่ ไมใ่ หถ้ กู จบั กุมดงั บญั ญัตไิ ว้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 189
ฎกี าที่ 10298/2555 ตามภาพถ่ายหมาย จ.4 ปรากฏรอ่ งรอยการเกล่ยี ดินกบั ขี้เถา้ กลบคราบเลอื ดของผตู้ ายท่ี
บริเวณใตถ้ นุ บ้านของจำเลยอยา่ งชัดเจน เห็นไดว้ ่าจำเลยกระทำเช่นนนั้ เพอื่ ปดิ บงั และอำพรางการกระทำความผดิ ของตน การ
ทีจ่ ำเลยลากศพผ้ตู ายไปไว้ท่ีถนนสาธารณะหน้าบ้านห่างออกไปประมาณ 30 เมตร แม้บริเวณน้นั ไมอ่ าจปิดบงั การตายได้กเ็ ป็น
7
8
การกระทำเพื่อปิดบังเหตุแห่งการตายและเพือ่ อำพรางการกระทำความผดิ ของตนดว้ ย การกระทำของจำเลยจงึ เป็นความผิด
ฐานเคลือ่ นย้ายศพเพื่อปดิ บังเหตุแห่งการตายและเพอ่ื อำพรางคดี จำเลยมคี วามผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 199
ฎีกาท่ี 6013/2546 จำเลยรบั ราชการครู ตำแหน่งอาจารย์ 2 มหี นา้ ทสี่ อนหนังสอื และได้รบั มอบหมายจาก ส.
อาจารยใ์ หญ่ใหท้ ำหนา้ ทหี่ วั หน้าเจ้าหนา้ ท่พี สั ดุของโรงเรยี น ต่อมาในวันเวลาและสถานทเ่ี กิดเหตตุ ามฟ้อง เครื่องพมิ พ์ดดี
ภาษาไทยซง่ึ เป็นทรัพยส์ นิ ของโรงเรียนและอย่ใู นความดแู ลรกั ษาของจำเลยได้สญู หายไป
ข้อเท็จจรงิ รบั ฟังไดว้ า่ จำเลยเป็นผ้ขู ายเครอื่ งพิมพ์ดีดดงั กล่าวไปขายให้แก่ห้างทองซอื เชง้
ขอนแก่น ในราคา 2,500 บาท สว่ นท่จี ำเลยฎีกาวา่ จำเลยมตี ำแหนง่ อาจารย์ 2 ซึ่งเป็นตำแหนง่ ครผู สู้ อน คำส่งั ของนายสมศักด์ิ
ที่มอบหมายการงานให้แก่จำเลยไม่ใชค่ ำสงั่ แต่งต้ังจากต้นสังกัดของจำเลย ไม่ทำใหจ้ ำเลยเปน็ เจ้าพนักงานผมู้ หี น้าท่ีรกั ษาทรพั ย์
ตามทีโ่ จทก์ฟ้อนนั้ เหน็ ว่า แมจ้ ำเลยมีตำแหน่งอาจารย์ ทำหน้าทีส่ อนหนังสือ แต่จำเลยกไ็ ดร้ บั คำสง่ั มอบหมายจากนายสมศักด์ิ
ซึ่งเปน็ อาจารย์ใหญ่ ให้ทำหนา้ ท่ีหวั หน้าเจา้ หน้าท่ีพสั ดุของโรงเรียน ซึ่งอาจารยใ์ หญม่ ีอำนาจมอบหมายได้ จำเลยจงึ มฐี านะเป็น
เจ้าพนกั งานผมู้ หี นา้ ที่จัดการหรือรักษาพัสดุของโรงเรยี นอันเป็นการปฏิบตั หิ นา้ ทร่ี าชการตามท่ีไดร้ บั มอบหมายจากผมู้ ีอำนาจ
บังคับบญั ชา เม่ือจำเลยเบยี ดบงั โดยนำเครอ่ื งพมิ พ์ดีดอนั เปน็ ทรพั ยส์ ินทจ่ี ำเลยมหี นา้ ทจ่ี ดั การหรือรกั ษาไปขายโดนทจุ รติ
จำเลยจึงมีความผิดตามฟอ้ ง (ป.อ. มาตรา 147)
ฎกี าที่ 8209/2559 พฤติการณข์ องจำเลยท่ีเพียงแตแ่ สดงตวั วา่ เปน็ เจ้าพนกั งานตำรวจและสอบถามวา่ เสพยา
เสพติดหรอื ไมแ่ ล้วขอตรวจค้นตัวผเู้ สียหายทงั้ สองก่อนทจ่ี ะลว้ งเอากระเปา๋ สตางค์ของผู้เสยี หายท่ี 1 เอาบุหรี่ของผเู้ สยี หายที่ 2
ไปและบอกวา่ จะพาไปตรวจปัสสาวะ หากไมพ่ บสารเสพติดกจ็ ะปลอ่ ยตัวไปน้นั ไมป่ รากฏวา่ มกี ารใชก้ ำลงั ประทุษรา้ ยหรอื ขู่
เข็ญวา่ ในทันใดนั้นจะใชก้ ำลงั ประทุษรา้ ยแต่อยา่ งใด จงึ ไมเ่ ป็นความผิดฐานรว่ มกันชงิ ทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา 339 คดคี งฟังได้
เพยี งวา่ จำเลยรว่ มกับพวกทยี่ งั หลบหนีกระทำความผดิ ฐานลักทรพั ยต์ าม ป.อ. มาตรา 335 (1) (6) (7) วรรคสอง ซงึ่ ความผดิ
ฐานนเ้ี ป็นองค์ประกอบอยา่ งหน่งึ ของความผดิ ฐานชงิ ทรพั ยท์ ่ีศาลฎีกามีอำนาจลงโทษให้ถกู ตอ้ งไดเ้ พราะความผิดฐานนมี้ ีโทษ
เบากวา่ ความผิดฐานชิงทรพั ย์ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย และมาตรา 215 ประกอบมาตรา 225
ฎกี าท่ี 2292/2560 ขณะเกิดเหตกุ รงุ เทพมหานครมนี โยบายใหท้ ำการสำรวจผคู้ า้ ในจุดผ่อนผนั ใหท้ ำการคา้ ซงึ่
จำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งเจ้าหนา้ ทปี่ กครอง 3 ฝา่ ยเทศกจิ สำนักงานเขตได้รบั คำสงั่ จากหวั หน้างานใหเ้ ปน็ หัวหนา้ ชุด
ปฏบิ ตั ิการรบั ผดิ ชอบพื้นที่ตลาดดงั กลา่ วใหท้ ำการสำรวจ จำเลยท่ี 1 ไดท้ ำการสำรวจและจดั ทำบญั ชผี คู้ ้าเสนอต่อ
ผ้บู ังคบั บญั ชา จึงเปน็ การปฏิบตั งิ านในหนา้ ทเี่ ป็นเจ้าพนกั งานตามพระราชบญั ญัตริ ะเบียบบริหารราชการกรงุ เทพมหานคร
เมื่อจำเลยท่ี 1 เรียกรบั ทรพั ยส์ นิ สำหรบั ตนเองและผอู้ ื่นเพ่ือเสนอชื่อผูจ้ ่ายเงินใหไ้ ด้รบั บตั รประจำตวั ผคู้ ้า จำเลยท่ี 1 จงึ มี
ความผิดฐานเป็นเจา้ พนกั งานเรียกและรับทรัพยส์ นิ โดยมิชอบเพือ่ กระทำการหรอื ไมก่ ระทำการอย่างใดในตำแหนง่ ตาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149
8
9
ฎกี าท่ี 3014/2560 จำเลยรู้ว่ามไิ ดม้ กี ารกระทำความผิดเกิดข้ึน แจ้งข้อความแกพ่ นกั งานสอบสวนหรอื เจา้
พนักงานผมู้ ีอำนาจสืบสวนคดอี าญาวา่ ได้มกี ารกระทำความผดิ เพอ่ื จะแกล้งใหโ้ จทกต์ อ้ งรบั โทษ ตาม ป.อ. มาตรา 174 วรรค
สอง ประกอบ มาตรา 173 เมอ่ื การกระทำของจำเลยเป็นความผิด ป.อ. มาตรา 174 วรรคสอง ประกอบมาตรา 173 อนั เป็น
บทเฉพาะแลว้ ก็ย่อมไมจ่ ำตอ้ งปรับบทความผิดตามมาตรา 137 อนั เป็นบทความผดิ ตามมาตรา 172 ด้วย ปัญหาดงั กลา่ วมาน้ี
เป็นปญั หาข้อกฎหมายทเี่ กยี่ วกบั ความสงบเรยี บร้อย แม้ไมม่ คี ูค่ วามฝา่ ยใดฎกี าศาลฎีกามีอำนาจยกขนึ้ วนิ จิ ฉยั ได้เอง ตาม ปวอิ .
มาตรา 225 ประกอบมาตรา 195 วรรคสอง
ฎกี าท่ี 981/2561 จำเลยกระทำความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกย่ี วกับความผิดอาญาต่อเจ้าพนกั งาน
ซงึ่ เป็นพนักงานสอบสวนโดยรู้ว่ามิไดม้ ีการกระทำความผิดเกดิ ข้นึ อนั เป็นความผิดตามมาตรา 173 เมอ่ื การกระทำความผิดของ
จำเลยเปน็ ความผดิ ตามมาตรา 173 อนั เปน็ บทบัญญัติเฉพาะแลว้ ไมจ่ ำต้องปรบั บทมาตรา 137 อันเปน็ บทวา่ ดว้ ยการแจง้
ข้อความอนั เปน็ เท็จแกเ่ จ้าพนักงานท่วั ๆ ไปอีก และเม่อื ไมเ่ กิดมีความผดิ อาญาฐานลกั ทรพั ยเ์ กิดขนึ้ ในคดนี จี้ ึงไมเ่ ปน็ ความผิด
ตามมาตรา 172
ฎีกาที่ 2470/2559 จำเลยที่ 1 และท่ี 2 ตกลงจะขายทีด่ ินให้แก่โจทก์โดยนำโฉนดทีด่ นิ มอบใหแ้ กโ่ จทก์และจด
ทะเบยี นโอนกรรมสทิ ธิใ์ นที่ดนิ เมือ่ มกี ารชำระราคาครบถว้ นแล้ว ดงั น้ัน การที่จำเลยที่ 1 รู้อยูแ่ ล้ววา่ โฉนดทีด่ นิ ของจำเลยที่ 1
อยูก่ บั โจทก์ แตก่ ลบั ไปแจง้ ความต่อเจา้ พนักงานตำรวจว่าโฉนดทด่ี นิ สูญหายแลว้ ไปยน่ื คำขอออกใบแทนโฉนดที่ดินกรณีสูญ
หายและใหถ้ อ้ ยคำต่อเจ้าพนกั งานท่ดี ินเพอ่ื บนั ทึกลงในคำขอใบแทนโฉนดทด่ี ินว่าโฉนดที่ดนิ ของโจทก์สญู หาย การกระทำของ
จำเลยที่ 1 จงึ เปน็ ความผิดฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนกั งานและฐานแจง้ ใหเ้ จา้ พนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จตามฟอ้ ง
ฎกี าท่ี 1524/2551 จำเลยเปน็ เจ้าพนกั งานตำรวจมหี นา้ ทส่ี บื สวนจับกมุ ผกู้ ระทำความผิดอาญา ไดพ้ บเหน็ ส.
กบั พวกเลน่ การพนันชนไก่อนั เปน็ ความผดิ อาญา จำเลยมหี นา้ ที่ต้องทำการจบั กุมผกู้ ระทำความผดิ แตก่ ลบั ไมท่ ำการจบั กุมและ
เรยี กรับเงินจำนวน 1,500 บาท จาก ส. เพอื่ จะไมจ่ ับกมุ ตามหน้าท่ี การกระทำของจำเลยจงึ เปน็ ความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา
149
ฎกี าที่ 6430/2560 พฤตกิ ารณ์ของจำเลยกบั พวกทำให้โจทกเ์ ข้าใจว่าจำเลยกบั พวกรว่ มกนั เบียดบงั เอาเงนิ
ผลผลติ ปาลม์ น้ำมันไปเป็นของตนโดยทจุ ริต การท่ีโจทกฟ์ อ้ งวา่ จำเลยกบั พวกรว่ มกนั ยกั ยอกเงนิ ผลผลิตปาลม์ นำ้ มันจึงเปน็ การ
ใชส้ ทิ ธิทางศาลกล่าวหาจำเลยไปตามข้อเทจ็ จรงิ ทเ่ี กดิ ข้ึนจรงิ หาใชเ่ อาความอันเปน็ เทจ็ แลว้ มาแกล้งกล่าวหาจำเลยไม่ การท่ี
จำเลยมาฟอ้ งโจทกห์ าวา่ โจทกเ์ อาความอันเป็นเท็จฟอ้ งจำเลยเปน็ คดีอาญา ทง้ั ทรี่ ู้แล้วว่าเร่ืองทจี่ ำเลยนำมาฟอ้ งโจทกเ์ ปน็ ความ
เทจ็ แมศ้ าลจะยกฟ้องของจำเลยในชั้นไตส่ วนมลู ฟอ้ งกต็ าม การกระทำของจำเลยกเ็ ปน็ ความผิดฐานฟ้องเทจ็ ตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา 175
9
10
ฎกี าท่ี 6114/2560 ศาลาทรงไทยกลางนำ้ สร้างจากงบประมาณของเทศบาลตำบล ป. แม้ไมม่ เี ลขทะเบยี น
ครภุ ณั ฑห์ รอื เป็นพัสดทุ ่ีไมม่ ีทะเบียนคุม การดำเนินการใดๆ กบั ศาลาทรงไทยดงั กล่าวต้องปฏบิ ตั ติ ามระเบยี บ
กระทรวงมหาดไทยวา่ ดว้ ยการพสั ดุของหนว่ ยการบรหิ ารราชการส่วนท้องถิน่ พ.ศ.2535 ทก่ี ำหนดไวเ้ ปน็ การเฉพาะว่าเปน็
อำนาจสง่ั การของจำเลยที่ 1 ในฐานะนายกเทศมนตรตี ำบล ป. ผู้เปน็ หัวหน้าฝ่ายบรหิ ารของหน่วยการบรหิ ารราชการสว่ น
ท้องถนิ่ การตรวจสอบและจำหนา่ ยพสั ดุของจำเลยที่ 1 ภายใตร้ ะเบียบกระทรวงมหาดไทยฉบบั ดงั กลา่ วจึงเป็นการปฏบิ ตั ิ
ราชการในฐานะเจ้าพนกั งานผมู้ ีหนา้ ทจ่ี ดั การ หรอื รักษาทรพั ยใ์ ดๆ ตาม ป.อ. จำเลยท่ี 1 จำหน่ายศาลาทรงไทยกลางนำ้ ของ
เทศบาลใหแ้ กเ่ อกชนในลกั ษณะท่ีฝา่ ฝืนตอ่ ระเบยี บดงั กล่าว อกี ทั้งไมน่ ำเงนิ ทขี่ ายได้สง่ เป็นรายได้เทศบาลในทันที จนกระท่งั ถกู
เจา้ หนา้ ที่เทศบาลทักทว้ ง ทวงถาม และถกู ตรวจสอบโดยกรรมการป้องกันและปราบปรามการทจุ รติ แห่งชาตปิ ระจำจังหวัด จงึ
ให้จำเลยท่ี 2 ซงึ่ เป็นเลขานกุ ารนำเงนิ มาคนื ในภายหลงั การกระทำของจำเลยที่ 1 จงึ เปน็ ความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา 147 และ
มาตรา 151 ซ่ึงเปน็ บทเฉพาะของบททวั่ ไปตามมาตรา 157 ยอ่ มไม่จำต้องปรบั บทความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา 157 ซง่ึ เปน็ บท
ท่วั ไปอกี
จำเลยท่ี 2 เป็นเลขานุการนายกเทศมนตรีของจำเลยที่ 1 ไมม่ ีสว่ นเกี่ยวข้องในการติดตอ่
ขายศาลาทรงไทยกลางนำ้ ของจำเลยท่ี 1 การทจ่ี ำเลยที่ 2 เข้ารว่ มประชมุ วาระอนมุ ัตริ ้อื ถอนศาลาทรงไทยกลางนำ้ กเ็ ปน็ เวลา
ในภายหลังจากจำเลยท่ี 1 ติดตอ่ ขายศาลาทรงไทยดงั กลา่ วไปแลว้ ทงั้ การทจ่ี ำเลยท่ี 2 รบั ฝากเงนิ ค่าขายศาลาดงั กลา่ วไว้จากผู้
ซอ้ื แทนจำเลยท่ี 1 ซงึ่ ไม่อยู่ทส่ี ำนกั งาน เปน็ การกระทำตามคำส่ังของ จำเลยท่ี 1 ผบู้ ังคับบัญชา ยงั ฟงั ไมไ่ ด้วา่ จำเลยที่ 2
กระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรอื ใหค้ วามสะดวกในการทีจ่ ำเลยที่ 1 กระทำความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา 147
และ 151 กอ่ นหรอื ขณะกระทำความผดิ จำเลยท่ี 2 ย่อมมิใช่เปน็ ผสู้ นับสนนุ การกระทำความผดิ ของจำเลยที่ 1
ฎกี าที่ 7264/2561 จำเลยเคยไดร้ บั โทษจำคกุ 3 ปี 3 เดอื น และปรบั 200,000 บาท ในความผิดฐานมียาเสพ
ตดิ ใหโ้ ทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) ไวใ้ นครอบครองเพอื่ จำหน่าย และจำเลยพน้ โทษจำคกุ เม่ือวนั ที่ 5 ธนั วาคม 2559 คดี
ดงั กล่าวเกิดเหตุเม่ือวันท่ี 6 กนั ยายน 2556 ซงึ่ เปน็ เวลาภายหลงั เกิดเหตคุ ดีน้ี (คดีนี้เหตุเกดิ ระหว่างวนั ท่ี 25 มิถุนายน 2548
ถงึ วันที่ 19 กรกฎาคม 2548) จำเลยฎีกาว่าคดนี เ้ี ป็นการกระทำความผดิ ครง้ั แรกของจำเลย จงึ ถอื ว่าขณะกระทำความผดิ คดนี ี้
จำเลยไม่เคยไดร้ บั โทษจำคกุ มากอ่ นยอ่ มอยู่ในเงอ่ื นไขท่จี ะรอการลงโทษจำคุกให้แกจ่ ำเลยได้
เห็นวา่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 (ทีแ่ กไ้ ขใหม)่ ทบี่ ัญญัติวา่ ถา้ ปรากฏว่าผู้นน้ั
(1) ไมเ่ คยไดร้ ับโทษจำคกุ มากอ่ น… ฯลฯ… ศาลจะรอการลงโทษผูน้ ้ันไว้กไ็ ด้นัน้ หมายถงึ ว่า จำเลยไมไ่ ดร้ บั โทษจำคกุ มากอ่ นคดี
ทีศ่ าลกำลงั จะพิพากษา ซง่ึ ตามมาตรา 56 (ทแี่ กไ้ ขใหม)่ มไิ ด้ระบวุ ่าคดที จ่ี ำเลยไดร้ ับโทษจำคุกมากอ่ นน้ัน ตอ้ งเปน็ การกระทำ
ความผิดมาก่อนคดเี ร่ืองหลงั จงึ ไมอ่ าจแปลกฎหมายดังที่จำเลยอ้างได้ เมอ่ื จำเลยเคยไดร้ บั โทษจำคกุ มากอ่ นและเปน็ โทษใน
ความผดิ ฐานมียาเสพตดิ ให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามนี ) ไว้ในครอบครองเพ่ือจำหน่าย ซึ่งเป็นโทษจำคกุ เกนิ กว่าหกเดือน
10
11
และมิใชค่ วามผดิ ท่ีไดก้ ระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ จึงไมอ่ ยใู่ นหลักเกณฑต์ ามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56
(ท่ีแก้ไขใหม่) ทจี่ ะรอการลงโทษจำคกุ ใหแ้ กจ่ ำเลยได้ (จากเวบ็ dekamai.com)
ฎกี าท่ี 7503/2561 สำหรับจำเลยที่ 1 ซงึ่ พ้นโทษในคดกี ่อนเมอ่ื วนั ท่ี 15 ธันวาคม 2554 นบั ถงึ วนั กระทำ
ความผิดคดนี ี้แม้จะเกินกว่า 5 ปกี ็ตาม แตเ่ มือ่ มากระทำความผิดคดนี ซี้ ึง่ ไม่ใชค่ วามผิดที่ได้กระทำโดยประมาท หรอื ความผดิ ลหุ
โทษ จึงไมอ่ ยู่ในเง่อื นไขตาม ป.อ. มาตรา 56 ทจี่ ะรอการกำหนดโทษใหไ้ ด้ ส่วนจำเลยที่ 2 ซง่ึ พน้ โทษในคดีก่อนเมื่อวนั ที่ 9
กันยายน 2556 และกลบั มากระทำความผิดในคดีนอ้ี กี เม่ือวนั ท่ี 28 มนี าคม 2560 จงึ ยงั พ้นโทษมาไมเ่ กิน 5 ปี ทง้ั ความผิดใน
คดีก่อนคอื คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 837/2552 ของศาลจงั หวดั นางรอง และความผดิ คดนี ต้ี า่ งกไ็ ม่ใช่ความผิดทไี่ ดก้ ระทำโดย
ประมาทหรือความผิดลหุโทษ โดยโทษจำคุกในคดกี ่อนมกี ำหนด 5 ปี 3 เดือน ซึ่งเป็นโทษจำคกุ เกนิ กวา่ 6 เดอื น กรณีของ
จำเลยที่ 2 จงึ ไมอ่ ยู่ในหลกั เกณฑท์ ีจ่ ะรอการกำหนดโทษใหไ้ ดเ้ ช่นเดยี วกนั
ฎกี าที่ 6815/2561 พ.ร.ฎ. พระราชทานอภยั โทษ พ.ศ.2554 มีผลเพียงใหจ้ ำเลยไดร้ บั ลดโทษหรอื ปล่อยกอ่ น
กำหนดเท่าน้นั หามผี ลเปน็ การลบล้างหรอื ทำใหจ้ ำเลยพน้ ความผิดหรือถือวา่ จำเลยไมเ่ คยไดร้ บั โทษจำคกุ ในคดนี ัน้ มากอ่ นไม่
เมอื่ คดีก่อนนนั้ ถึงทส่ี ดุ ตามคำพพิ ากษาศาลจงั หวดั สมทุ รปราการทพี่ พิ ากษาลงโทษจำเลยฐานปลน้ ทรพั ย์ จำคกุ 6 ปี 8 เดอื น
อนั ไม่เปน็ โทษสำหรบั ความผิดทีไ่ ดก้ ระทำโดยประมาทหรอื ความผดิ ลหโุ ทษ และเป็นโทษจำคกุ เกนิ หกเดือน ดงั น้ัน แมจ้ ำเลย
ไดร้ บั การปล่อยกอ่ นกำหนดเทา่ ใดกต็ ามก็ถอื ว่าจำเลยเคยรบั โทษจำคุกมากอ่ นและเป็นโทษจำคกุ เกินหกเดือนอนั ไม่เข้าเงอื่ นไข
ท่ีอาจรอการลงโทษจำคกุ แกจ่ ำเลยตาม ป.อ. มาตรา 56 (1) และ (2) ได้
11
12
ข้อ 2-3 (ม.59-108)
ฎกี าที่ 81/2554 หลงั จากผูต้ ายใช้ขวดสรุ าตศี ีรษะจำเลย ผู้ตายกบั จำเลยยังได้รับประทานอาหารดว้ ยกัน
และจำเลยกลบั ไปบ้านแล้ว ตอ่ มานานถงึ 2 ชั่วโมงเศษ จำเลยจงึ มาทบี่ ้านเกดิ เหตแุ ละใชม้ ีดโต้ฟนั ผูต้ ายขณะทผี่ ตู้ ายกบั ข.
นอนหลบั กันแลว้ เหตุการณท์ ผี่ ตู้ ายใช้ขวดสุราตีศีรษะจำเลยได้ขาดตอนตั้งแต่นง่ั รบั ประทานอาหารด้วยกัน จำเลยจงึ มิได้
กระทำความผดิ ในขณะท่ีบนั ดาลโทสะอยู่ แตก่ ระทำความผดิ ในภายหลงั เปน็ เวลานานถอื ไดว้ า่ เหตบุ นั ดาลโทสะขาดตอนแล้ว
และการทีจ่ ำเลยกลบั บ้านนงั่ คดิ แค้นอยู่ทบี่ า้ นตั้ง 2 ชว่ั โมง จงึ ไปทำร้ายตายในขณะกำลังนอนหลับในยามวกิ าลและเวลาดึกสงัด
โดยใชม้ ีดโตข้ นาดใหญเ่ ลอื กฟันผตู้ ายทศ่ี รี ษะ ใบหน้าและลำคอหลายครงั้ ซง่ึ เปน็ อวัยวะสำคัญ หากถูกฟันอยา่ งแรงเพยี งคร้ัง
เดยี วก็ถงึ แกค่ วามตายแลว้ แม้จำเลยมิไดเ้ ตรยี มมีดมา แต่จำเลยกเ็ ตรียมไฟฉายมาค้นหาอาวุธ ซงึ่ จำเลยทราบดีอยู่แลว้ วา่ ท่ีบ้าน
เกดิ เหตุมมี ีดโต้ใช้เปน็ อาวุธทำร้ายผู้ตายได้และใช้ไฟฉายส่องหาทำร้ายผตู้ ายได้ไม่ผดิ ตวั พฤติการณช์ ชี้ ัดว่าจำเลยมเี จตนาฆ่า
ผตู้ ายโดยไตร่ตรองไวก้ อ่ น
ฎีกาท่ี 3238/2554 จำเลยท่ี 1 กบั พวกได้เขา้ รว่ มต่อสู้ชกตอ่ ยกับผเู้ สยี หายด้วย จงึ ถือได้วา่ จำเลยที่ 1 เปน็ ผูก้ อ่
เหตขุ ้นึ กอ่ น ทั้งยงั ไดส้ มัครใจเข้าทะเลาะววิ าทต่อสกู้ บั ผู้เสยี หาย อันเป็นการสมคั รใจเขา้ ทำรา้ ยร่างกายซง่ึ กันและกนั มใิ ชเ่ ปน็
ภยนั ตรายซ่ึงเกิดจากการประทุษรา้ ยอันละเมดิ ตอ่ กฎหมาย เพราะการป้องกันโดยชอบจะมไี ด้กต็ อ่ เม่ือเป็นการปอ้ งกนั ตนเอง
หรอื ผอู้ ืน่ ให้พน้ ภยนั ตราย ซงึ่ เกิดจากการประทุษรา้ ยอันละเมดิ ต่อกฎหมายโดยท่ีตนเองและผอู้ ่ืนไมไ่ ดส้ มคั รใจเขา้ ร่วมตอ่ สู้ทำ
รา้ ยกับอกี ฝา่ ย… การทจี่ ำเลยที่ 1ใช้อาวุธปืนพกลูกซองเป็นอาวธุ ทมี่ ีอานุภาพรา้ ยแรงสามารถทำอันตรายชวี ติ คนไดเ้ ลง็ ยิงไปยงั
ด้านหลงั ของผเู้ สยี หาย ยอ่ มสอ่ เจนาใหเ้ ห็นวา่ จำเลยมเี จตนาฆ่าผู้เสียหาย แตก่ ระสุนปืนพลาดไปถูกทีไ่ มส่ ำคัญ ผเู้ สียหายจึงไม่
ถงึ แก่ความตาย จำเลยท่ี 1 ย่อมมีความผิดฐานพยายามฆา่ ผู้อื่น
ฎีกาท่ี 1826/2530 ผู้ตายลากจำเลยเขา้ ไปในป่าขา้ งทางเพ่อื จะข่มขนื และขวู่ ่าจะฆา่ จำเลยจึงใชม้ ดี แทงผ้ตู ายที
1 แล้วทงั้ จำเลยและผ้ตู ายตา่ งวิง่ ออกมาจากทเี่ กดิ เหตหุ า่ งประมาณ 100 เมตร แลว้ จงึ เกดิ ปลกุ ปลำ้ กัน โดยผตู้ ายพยายามแย่ง
มีดจากจำเลยเพื่อทำรา้ ยจำเลยจำเลยจงึ แทงผู้ตายอกี หลายที เช่นน้ถี ือว่าภยันตรายยงั ไมห่ มดไปการทจ่ี ำเลยซง่ึ เปน็ หญงิ และอยู่
ในภาวะเช่นน้นั ใชม้ ดี แทงผู้ตายจงึ เปน็ การปอ้ งกันพอสมควรแกเ่ หตุ
ฎีกาท่ี 5817/2545 การที่ชาวบ้านไปขว้างปาบา้ นบิดาจำเลย เปน็ ภยนั ตรายซ่งึ เกดิ จากการประทุษรา้ ยอนั
ละเมิดต่อกฎหมาย จำเลยย่อมมสี ิทธิกระทำการเพอ่ื ปอ้ งกันทรัพยส์ ินของบิดาจำเลยได้ แตภ่ ยนั ตรายทีเ่ กิดจากการขวา้ งปา
บ้านยังไม่รา้ ยแรงถึงขนาดทีต่ อ้ งใช้อาวธุ ปนื ยิงทำร้ายร่างกายผทู้ ่ขี วา้ งปา การกระทำของจำเลยจงึ เป็นการกระทำโดยเจตนา
ปอ้ งกันทรัพยส์ ินทเ่ี กินสมควรแกเ่ หตตุ ามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 69 จำเลยมคี วามผิดฐานทำรา้ ยร่างกายโจทกร์ ่วมจน
เป็นเหตุให้ไดร้ บั อันตรายสาหสั โดยป้องกันเกนิ สมควรแก่เหตุ มิใชเ่ ป็นความผดิ ฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตใุ หผ้ ู้อื่นไดร้ ับ
อันตรายสาหัส
12
13
บิดาจำเลยถูกชาวบ้านใชก้ ้อนอฐิ และทอ่ นไม้ขว้างปาบ้านเพอ่ื ขับไลโ่ ดยหลงเชื่อวา่ บิดาจำเลยเปน็ ผปี อบมาเปน็ เวลา 2 คนื แล้ว
คืนเกิดเหตเุ ปน็ คนื ท่ีสามกถ็ กู ขว้างปาอกี ตงั้ แตเ่ วลา 23 นาฬกิ า จนถึง 1 นาฬิกา จำเลยจงึ ใชอ้ าวธุ ปนื ยงิ เพอ่ื ขดั ขวางห้ามปราม
นับวา่ จำเลยได้ใชค้ วามอดทนอดกลั้นจนถึงทส่ี ดุ แล้ว สมควรให้โอกาสจำเลยได้กลบั ตนเปน็ พลเมอื งดโี ดยรอการลงโทษจำคุกให้
จำเลย
ฎีกาท่ี 8345/2544 กอ่ นเกิดเหตขุ ณะอยูใ่ นงานเลย้ี งทบ่ี า้ น ป. ผู้ตายกบั จำเลยมีเหตุทะเลาะจะทำรา้ ยกนั เร่ือง
เล่นการพนันไฮโลว์ แตม่ ีคนห้ามไว้และใหจ้ ำเลยกลับบ้าน จำเลยจงึ ขับรถจักรยานยนต์ออกจากบ้าน ป. เพ่อื กลบั บ้านตอ่ มา
ผตู้ ายไดอ้ อกตามไป ซง่ึ แสดงวา่ ผตู้ ายตามไปหาเรอื่ งจำเลยจนเกดิ เหตเุ ปน็ คดนี ี้ การทผ่ี ูต้ ายตามไปทันจำเลยระหว่างทางพร้อม
กับพดู ทำนองว่าตายไปขา้ งหนง่ึ และเข้าไปชกตอ่ ยแล้วชักมดี ออกมาจากขา้ งหลังจะแทงทำรา้ ยจำเลยกอ่ นเชน่ น้ี จำเลยยอ่ มมี
สทิ ธิป้องกนั ตนเองได้ ถงึ แม้จำเลยจะแยง่ มีดจากมือผู้ตายไดแ้ ล้วกม็ ใิ ชว่ ่าภยนั ตรายท่จี ะเกิดแก่ จำเลยจากผตู้ ายไดผ้ ่านพน้ หรือ
สน้ิ สดุ ไปแลว้ เพราะผตู้ ายมรี ูปร่างสงู ใหญแ่ ละกำยำกว่าจำเลยซงึ่ ขาข้างซา้ ยพิการใส่ขาเทยี ม โอกาสทผ่ี ูต้ ายจะแยง่ มีดคนื จาก
จำเลยกย็ งั มีอยู่ ซึง่ หากผตู้ ายแยง่ มดี คนื จากจำเลยมาไดก้ น็ ่าเชือ่ ไดว้ ่าผ้ตู ายจะตอ้ งแทงทำร้ายจำเลยไดร้ บั อันตรายถึงแกช่ ีวติ ได้
มฉิ ะนน้ั ผูต้ ายคงไมต่ ามไปหาเรื่องจำเลยอกี สว่ นเหตุการณใ์ นขณะที่แทงน้นั นับได้ว่าเปน็ ช่วงฉกุ ละหกุ ประกอบกับขณะเกิดเหตุ
เป็นเวลากลางคนื จำเลยไม่นา่ จะมโี อกาสเลือกแทงผตู้ ายตรงบริเวณอวยั วะทส่ี ำคัญได้ถนดั ชดั เจน ดงั นี้ แมจ้ ำเลยจะแทงผู้ตาย
ถูกท่ีบรเิ วณราวนมด้านซา้ ยทะลถุ ึงหัวใจอนั เปน็ อวัยวะทส่ี ำคญั เป็นเหตุให้ผตู้ ายถงึ แก่ความตายทโ่ี รงพยาบาลในเวลาต่อมา ก็
เปน็ พฤติการณ์ทฟ่ี ังไดว้ ่าเป็นการกระทำท่ีพอสมควรแกเ่ หตทุ จ่ี ำตอ้ ง กระทำเพ่อื ป้องกันในสถานการณเ์ ชน่ นัน้ การกระทำของ
จำเลยจงึ เป็นการป้องกนั โดยชอบดว้ ยกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68
ฎีกาที่ 9244/2553 จำเลยใชเ้ หล้าสาดใส่หน้าของผเู้ สยี หาย อันเปน็ การใช้กำลงั ทำร้ายผเู้ สยี หายโดยไมถ่ งึ กบั
เป็นเหตใุ หเ้ กดิ อันตรายแกก่ ายหรอื จิตใจเปน็ การกระทำโดยเจตนาต่อผูเ้ สียหาย แต่เมอ่ื เหล้าไปถกู พ. เทา่ กบั ผลของการกระทำ
เกิดแก่ พ. โดยพลาดไป จงึ เปน็ ความผดิ ฐานพยายามใช้กำลงั ทำร้ายผู้เสียหายและใช้กำลงั ทำรา้ ย พ. โดยพลาดไปด้วยซง่ึ เป็น
การกระทำกรรมเดียวเป็นความผดิ ต่อกฎหมายหลายบท
ฎกี าท่ี 2277/2554 จำเลยทั้งสองเข้าไปในบริเวณบ้านผูเ้ สยี หายทง้ั สองและใช้กอ้ นหนิ ขวา้ งผเู้ สียหายทั้งสอง
ก้อนหิน ไมถ่ กู ผเู้ สียหายทงั้ สองแต่เปน็ เหตใุ ห้กระเบอื้ งหลงั คาแตก 2 แผน่ ซ่ึงเป็นความผิดฐานพยายามทำร้ายรา่ งกาย
ผู้เสียหายทงั้ สองและฐานบกุ รกุ เคหสถานต้งั แต่สองคนขึน้ ไปในเวลากลางคืน อันเปน็ การกระทำกรรมเดียวผดิ ต่อกฎหมาย
หลายบท แตส่ ำหรบั ความผดิ ฐานทำใหเ้ สยี ทรพั ย์ ตามคำฟอ้ งของโจทกบ์ รรยายว่า เพยี งก้อนหินทีข่ ว้างไปถูกกระเบอ้ื งหลังคา
แสดงว่าเปน็ เพราะพลาดไปถกู หลังคา มิไดบ้ รรยายฟ้องใหช้ ดั แจง้ ว่าจำเลยทงั้ สองมเี จตนาทำให้เสยี ทรพั ย์ดว้ ย จะถอื เอาเจตนา
ที่จำเลยท่ี 1 และที่ 2 มเี จตนาทำรา้ ยผเู้ สยี หายทงั้ สองเป็นเจตนาทำใหเ้ สยี ทรัพย์โดยพลาดตาม ป.อ. มาตรา 60 ดว้ ยไมไ่ ด้
เพราะเจตนาทำรา้ ยผ้อู ่ืนเปน็ เจตนาคนละประเภทกบั เจตนาทำให้เสยี ทรพั ยอ์ ีกทัง้ กรรมของการกระทำกต็ า่ งกัน จงึ ถือวา่ เปน็
13
14
การกระทำโดยพลาดมิได้ แม้จำเลยที่ 1 และที่ 2 อาจจะกระทำโดยประมาท แต่การทำใหเ้ สียทรพั ยโ์ ดยประมาทไมม่ ีกฎหมาย
บญั ญัตเิ ปน็ ความผดิ อาญา
ฎกี าท่ี 225/2555 จำเลยท่ี 1 และที่ 2 ร่วมกันกระทำความผดิ โดยพูดจาหลอกลวงนำสลากกนิ แบง่ รฐั บาลทม่ี ี
การปลอมแปลงหมายเลขออกขายให้แกผ่ ู้เสยี หาย จำเลยที่ 3 ไมไ่ ดอ้ ยู่ในที่เกิดเหตุ และไมม่ สี ว่ นเกีย่ วข้องในการพูดคยุ ตดิ ต่อ
เจรจากบั ผเู้ สียหาย จงึ ฟังไมไ่ ด้วา่ จำเลยที่ 3 เป็นตัวการทรี่ ่วมกระทำความผดิ ฐานใช้สลากกินแบ่งรัฐบาลซึ่งเป็นเอกสารสทิ ธ์ิ
ปลอม แตก่ ารทจี่ ำเลยที่ 3 เปน็ ผขู้ บั รถยนตพ์ าจำเลยที่ 1 และที่ 2 มายงั บ้านผูเ้ สียหายเพ่ือใหจ้ ำเลยท่ี 1 และที่ 2 ร่วมกนั
หลอกลวงนำสลากกินแบง่ รฐั บาลทีม่ กี ารปลอมหมายเลขวา่ ถูกรางวลั มาขายเพอื่ ประสงคจ์ ะเอาทรพั ยส์ นิ ของผเู้ สยี หาย เป็นการ
ช่วยเหลอื หรอื ให้ความสะดวกแกจ่ ำเลยท่ี 1 ก่อนการกระทำความผดิ จำเลยท่ี 3 จงึ เปน็ ผสู้ นับสนุนจำเลยท่ี 1 ในการกระทำ
ความผิดตอ้ งรบั โทษฐานเปน็ ผูส้ นบั สนนุ ตาม ป.อ. มาตรา 86
ฎีกาท่ี 9413/2552 ป.อ. มาตรา 290 วรรคแรก เปน็ บทบญั ญัตใิ หร้ บั โทษหนกั ขึ้นแตกต่างจากความผิดฐานทำ
ร้ายผอู้ ืน่ จนเป็นเหตใุ หเ้ กิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ หรอื ความผิดฐานทำรา้ ยรา่ งกายจนเป็นเหตใุ ห้ผูถ้ กู กระทำร้ายรับอนั ตราย
สาหสั ตลอดจนความผดิ ฐานใชก้ ำลงั ทำร้ายผู้อ่นื โดยไม่ถงึ กบั เปน็ เหตุใหเ้ กดิ อันตรายแก่กายหรอื จิตใจตามมาตรา 295, 297,
และ 391 ตามลำดบั อนั แสดงใหเ้ หน็ ถึงกฎหมายเจตนาใหผ้ กู้ ระทำต้องรบั โทษตามผลของการกระทำน้ันแตกต่างกนั ไปตาม
ความหนกั เบาของผลทเ่ี กดิ ข้ึน เมอื่ จำเลยท่ี 2 ใช้มดี ดาบไล่ฟนั ผตู้ ายอันเปน็ การทำร้ายผู้ตาย เปน็ เหตุใหผ้ ูต้ ายวงิ่ หลบหนี
กระโดดลงน้ำจนถงึ แก่ความตาย การกระทำของจำเลยท่ี 2 จึงเปน็ การทำร้ายผู้ตายซง่ึ เมอ่ื มใิ ชโ่ ดยเจตนาฆา่ แตเ่ ปน็ เหตทุ ำให้
ผตู้ ายถงึ แกค่ วามตาย จงึ เปน็ ความผิดสำเร็จตามมาตรา 290 วรรคแรกแลว้ มิใช่เปน็ การพยายามกระทำความผดิ
ฎกี าที่ 9794/2552 จำเลยเป็นเจา้ ของสวนผลไมท้ ีเ่ กิดเหตซุ ึ่งมีรัว้ ลวดหนามลอ้ มทั้งสดี่ า้ น ก่อนเกิดเหตจุ ำเลยขงึ
เส้นลวด 1 เสน้ จากทิศเหนือไปยงั ทศิ ใตส้ งู จากพน้ื ดนิ ประมาณ 50 เซนตเิ มตร ขวางก่ึงกลางสวนแล้วปลอ่ ยกระแสไฟฟา้ ขนาด
220 โวลต์ ผ่านเส้นลวดเพอื่ ปอ้ งกันคนรา้ ย โดยมเี จตนาให้กระแสไฟฟ้าทำรา้ ยร่างกายเน่ืองจากเคยมีคนรา้ ยเข้าไปลักผลไม้และ
ทรพั ยส์ นิ อนื่ ตอ่ มาในวนั เวลาเกดิ เหตผุ ู้ตายอายุ 14 ปเี ศษกบั ต. อายุ 15 ปี เขา้ ไปในสวนของจำเลยโดยพังร้วั เข้าไปเพอ่ื จะลัก
กระทอ้ นในสวนแลว้ ผู้ตายเดินไปถกู เสน้ ลวดท่ีจำเลยปลอ่ ยกระแสไฟฟา้ ไว้ เปน็ เหตุให้ถงึ แกค่ วามตายนัน้ เมอ่ื ไมป่ ราฏว่าขณะ
เกิดเหตุผตู้ ายกบั ต. มีอาวธุ ใด ๆ ติดตวั ประกอบกับผลไม้ทเี่ ข้าไปเพ่ือจะลกั น่าจะราคาไม่มากนกั ดงั นี้ หากจำเลยพบเหน็ ผตู้ าย
กับพวกในขณะเกิดเหตจุ ำเลยย่อมสามารถใชว้ ิธอี ืน่ ที่รุนแรงนอ้ ยกว่าการทำรา้ ยรา่ งกายกระทำตอ่ ผตู้ ายเพอ่ื ปอ้ งกันสทิ ธิของตน
ใหบ้ รรลไุ ด้ไม่ยาก การกระทำของจำเลยจงึ เป็นการป้องกนั เกินสมควรแกเ่ หตุ
ฎีกาท่ี 9650/2553 ในคดเี กิดเหตจุ ำเลยรว่ มกบั พวกทำร้ายผตู้ ายโดยใชก้ ำลงั ชกต่อย แมจ้ ำเลยจะไมม่ ีสว่ นรว่ ม
ในการฆ่าผู้ตายซงึ่ เป็นการกระทำทีเ่ กดิ ข้นึ ในภายหลงั แต่จำเลยก็ยงั ต้องรบั ผิดในการกระทำของตน อยา่ งไรก็ตามจากทางนำ
สืบของโจทก์ไม่ไดค้ วามวา่ การทจ่ี ำเลยชกต่อยผูต้ ายเป็นเหตใุ หผ้ ตู้ ายเกิดอันตรายแกก่ ารหรอื จติ ใจอย่างไร ทั้งตามรายงานการ
14
15
ชนั สตู รพลิกศพผตู้ าย กร็ ะบุว่าผตู้ ายมีเพียงบาดแผลลักษณะถูกฟนั และแทงดว้ ยวตั ถขุ องแขง็ มคี มที่บรเิ วณใต้ราวนมข้างซา้ ย 1
แผล กบั ทีด่ ้านขา้ งแขนซา้ ยทอ่ นบนเหนือขอ้ ศอก 1 แผลเทา่ น้นั ไม่ปรากฏวา่ ผู้ตายมบี าดแผลอืน่ ทน่ี ่าเช่ือวา่ เกดิ ขึน้ จากการถกู
จำเลยชกตอ่ ยอีก เช่นนจ้ี ำเลยจงึ มคี วามผดิ เพียงฐานใช้กำลงั ทำรา้ ยผอู้ ืน่ โดยไมถ่ ึงกับเปน็ เหตุให้เกิดอนั ตรายแกก่ ายหรอื จิตใจ
ตาม ป.อ. มาตรา 391 ซงึ่ แมศ้ าลมอี ำนาจลงโทษจำเลยได้ตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 192 วรรคทา้ ย แตก่ ารจะลงโทษจำเลยตามท่ีได้
ความจากทางพจิ ารณากจ็ ะต้องพิจารณาวา่ คดีขาดอายุความหรอื ไมด่ ว้ ย ซึ่งความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา 391 มอี ตั ราโทษจำคกุ
ไม่เกินหนงึ่ เดือนจงึ มอี ายคุ วามหนง่ึ ปตี าม ป.อ. มาตรา 95 (5) จำเลยกระทำความผดิ เมือ่ วันที่ 21 กมุ ภาพนั ธ์ 2536 โจทก์ฟ้อง
คดีน้เี มอื่ วันที่ 27 กนั ยายน 2544 เปน็ เวลาเกนิ กว่าหนงึ่ ปแี ลว้ คดีจึงขาดอายคุ วาม ไม่อาจลงโทษจำเลยไดต้ าม ป.วิ.อ. มาตรา
185 วรรคหนงึ่
ฎีกาท่ี 191/2549 โจทกบ์ รรยายฟ้องไว้โดยชดั แจ้งว่าเดก็ ชาย ค. เขา้ ไปลักแตงโมในไรข่ องจำเลย และจำเลยได้
ตอ่ และปล่อยกระแสไฟฟา้ จากบ้านพักผ่านร้วั ลวดหนาม เปน็ เหตใุ หเ้ ดก็ ชาย ค. ซง่ึ สมั ผสั รัว้ ลวดหนามถูกกระแสไฟฟ้าดดู จนถงึ
แกค่ วามตาย และจำเลยใหก้ ารรบั สารภาพ ขอ้ เทจ็ จริงจงึ รับฟังเป็นยตุ ิได้ตามคำฟอ้ งของโจทก์ ดังน้ี การทผ่ี ตู้ ายเขา้ ไปลกั
แตงโมในไร่ของจำเลยดงั กลา่ ว ถอื ไดว้ า่ ผ้ตู ายไดก้ ระทำการประทษุ ร้ายอันละเมิดตอ่ กฎหมายต่อทรพั ยข์ องจำเลย จำเลยจงึ มี
สิทธิท่ีจะปอ้ งกนั ทรัพยส์ นิ ของตนเองได้ แต่การทจี่ ำเลยตอ่ และปลอ่ ยกระแสไฟฟ้าซึง่ มแี รงเคล่ือนสงู ถึง 220 โวลท์ ทีส่ ามารถ
ทำให้ดูดคนให้ถึงแกค่ วามตายได้ ทัง้ ท่ีทรัพยท์ ่ีจำเลยมสี ิทธิกระทำการปอ้ งกนั คอื แตงโมมรี าคาไม่สงู มากนกั ย่อมถอื ไดว้ ่าเปน็
การกระทำทเ่ี กินสมควรแกเ่ หตหุ รอื เกนิ กวา่ กรณแี ห่งการจำต้องกระทำตาม ป.อ. มาตรา 69 ซง่ึ ศาลจะลงโทษนอ้ ยกว่าท่ี
กฎหมายกำหนดไวส้ ำหรบั ความผิดน้นั เพียงใดก็ได้ ปญั หานเี้ ป็นปญั หาขอ้ กฎหมายที่เกี่ยวกบั ความสงบเรียบรอ้ ย แมจ้ ำเลยจะ
ใหก้ ารรับสารภาพ และมไิ ดย้ กปญั หาดังกล่าวข้ึนอทุ ธรณฎ์ กี า แตศ่ าลฎีกายกปัญหาดงั กล่าวขน้ึ วินจิ ฉยั เองได้
ฎกี าที่ 6490/2548 แมข้ ณะเกิดเหตผุ ้ตู ายจะเข้าไปในบรเิ วณบ่อปลากดั ของจำเลยเพือ่ ลกั ปลากัด ซ่ึงถ้าจำเลย
พบเหน็ จำเลยยอ่ มมสี ิทธิทำร้ายผตู้ ายพอสมควรแกเ่ หตเุ พื่อป้องกนั ทรัพยส์ ินของตนได้ แต่กระแสไฟฟา้ ทจ่ี ำเลยปลอ่ ยผา่ นเสน้
ลวดทล่ี อ้ มรอบบอ่ ปลากดั ย่อมเปน็ อนั ตรายร้ายแรงโดยสภาพซึ่งสามารถทำให้ผอู้ น่ื ถึงแก่ความตายได้ ส่วนทรัพยส์ นิ ของจำเลย
เป็นเพียงปลากัดมมี ลู ค่าไมม่ ากนกั การปลอ่ ยกระแสไฟฟา้ เข้าเส้นลวดกบั การปอ้ งกันทรพั ยส์ นิ ของจำเลยยอ่ มไมเ่ ป็นสัดส่วนกัน
เม่ือผตู้ ายถูกกระแสไฟฟ้าทจ่ี ำเลยปล่อยผา่ นเสน้ ลวดดังกล่าวดดู ถึงแกค่ วามตาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการปอ้ งกนั สทิ ธิ
ของตนเกนิ สมควรกวา่ เหตตุ าม ป.อ. มาตรา 69
ฎีกาที่ 1923/2519 โรงเกบ็ ของของจำเลยอยู่ในบริเวณสวนของจำเลย มรี ้ัวต้นพรู่ ะหงปลกู เป็นแนวเขต จำเลย
เก็บของอนั มีค่าเช่นเครอื่ งยนตส์ บู น้ำและอปุ กรณอ์ ่ืนๆไว้ ทรพั ย์สนิ ทจี่ ำเลยเกบ็ ไวใ้ นโรงเกบ็ ของเคยถกู คนร้ายลักไปในตำบลที่
เกดิ เหตุมคี นร้ายชุกชุม จำเลยเอาเส้นลวดขงึ ท่ีโรงเกบ็ ของและปล่อยกระแสไฟฟา้ จากบา้ นไว้เพอื่ ปอ้ งกนั คนรา้ ยผตู้ ายกบั พวก
อกี 3 คนบกุ รุกเขา้ ไปทีโ่ รงเก็บของในเวลาวกิ าล โดยเจตนาจะลกั ทรพั ย์ ในมอื ผู้ตายมีเหล็กไขควง 1 อัน แตผ่ ู้ตายไปถกู เสน้ ลวด
ทป่ี ลอ่ ยกระแสไฟฟ้าไว้ถึงแก่ความตายเสียกอ่ น มฉิ ะนั้นผูต้ ายกบั พวกย่อมลกั ทรพั ยข์ องจำเลยไปได้ นบั ไดว้ า่ ภยันตรายทีจ่ ะเกดิ
15
16
แก่ทรัพยส์ ินของจำเลยใกลจ้ ะถงึ แล้ว ถ้าจำเลยไปพบเห็นเขา้ จำเลยยอ่ มมสี ิทธทิ ำร้ายผู้ตายกบั พวกเพอ่ื ป้องกันทรัพยส์ นิ ของ
จำเลยได้ ดงั นน้ั การกระทำของจำเลยจงึ เป็นการป้องกันสทิ ธิของตนโดยชอบดว้ ยกฎหมาย และพอสมควรแก่เหตุ จำเลยจึงไม่
มีความผดิ
ฎกี าท่ี 112/2554 การทจี่ ำเลยโยนโทรศพั ทเ์ คลือ่ นทีข่ องผู้เสียหายลงไปท่ีชานพกั บันได จำเลยย่อมเลง็ เหน็ ได้
ว่าโทรศพั ทเ์ คลือ่ นทข่ี องผเู้ สยี หายอาจจะเกิดความเสียหายได้ เมอื่ ไมป่ รากฏว่าโทรศัพทเ์ คลอื่ นท่ีของผู้เสยี หายไดร้ บั ความ
เสียหาย การกระทำของจำเลยจงึ เป็นความผิดฐานพยายามทำให้เสียทรพั ย์
ฎกี าที่ 4884/2528 การท่ี ส. ผู้ตายไดเ้ ขา้ ไปในบริเวณบ่อปลาของนายจา้ งของจำเลย เพอ่ื จะเก่ียวหญา้ ซึง่
จำเลยไมม่ สี ิทธิทำรา้ ยผ้ตู ายได้เมอ่ื จำเลยขงึ ลวดไว้ ภายในร้ัวลาดหนามทีล่ ้อมรอบบริเวณบอ่ เลยี้ งปลาของนายจา้ งและ ปลอ่ ย
กระแสไฟฟา้ เขา้ ไปตามลวดนน้ั ผู้ตายมาถกู สายไฟฟ้าของจำเลยเขา้ ถึงแกค่ วามตาย ถอื ไม่ไดว้ า่ การกระทำของจำเลยเปน็ การ
ป้องกนั สิทธิของผู้อืน่ โดยชอบดว้ ยกฎหมาย จำเลยย่อมมคี วามผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290
ฎีกาท่ี 1429/2520 จำเลยตกกลา้ ในหลงั บ้านและไดข้ งึ ลวด 2 เสน้ รอบทีต่ กกล้าสูงจากพื้นดนิ ประมาณ 3 นิ้ว
แลว้ ปล่อยกระแสไฟฟา้ ขนาด 220 โวลทจ์ ากบา้ นเข้าไปในเส้นลวดดังกล่าวเพอ่ื ป้องกนั มิใหห้ นูไปกนิ ข้าวกล้าโดยร้อู ยวู่ า่ สาย
ลวดทป่ี ล่อยกระแสไฟฟา้ ไว้นัน้ หากสตั ว์ไปถูกเข้าจะถงึ แกค่ วามตายได้ ทง้ั จำเลยยงั ปกั ปา้ ยหา้ มเขา้ ในเขตทตี่ กกล้าดว้ ยแสดงว่า
จำเลยยอ่ มรูว้ า่ สายลวดทม่ี ีกระแสไฟฟ้าดงั กลา่ วเปน็ อนั ตรายตอ่ คนท่เี ขา้ ไปในเขตท่ตี กกลา้ เชน่ เดยี วกันการทจ่ี ำเลยขึงลวด
กระแสไฟฟา้ เช่นนยี้ ่อมเลง็ เห็นผลของการกระทำนน้ั ได้ว่า อาจมีคน หากบหาปลาตามทงุ่ นาเดินมาถูกลวดทมี่ กี ระแสไฟฟา้
ดงั กล่าวและไดร้ บั อันตรายแก่รา่ งกาย จงึ ถอื ได้ว่าจำเลยมีเจตนาทำร้ายผู้อ่ืนแล้ว เมือ่ ผตู้ ายผ่านไปถกู สายลวดทมี่ กี ระแสไฟฟา้
ถงึ แกค่ วามตายอนั เป็นผลจากการกระทำของจำเลย จำเลยจงึ ตอ้ งมีความผิดฐานทำร้ายผู้อน่ื ถงึ แกค่ วามตายโดยไมม่ เี จตนาฆา่
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290
ฎกี าที่ 32/2510 ผตู้ ายเรยี นหนงั สอื อยทู่ ่ีวดั ละหารซงึ่ จำเลยเป็นครอู ยูท่ งั้ เปน็ เด็กหญงิ และเปน็ หลานของ
จำเลย มบี ้านอยู่ตดิ กบั บา้ นของจำเลย เมอ่ื จำเลยขึงลวดเสน้ เดียวและเล็กไวใ้ นบรเิ วณบา้ นและปล่อยกระแสไฟฟา้ ใหแ้ ลน่ ไป
ตามลวดน้นั เมือ่ เวลาจวนสวา่ งผูต้ ายเข้าไปในเขตรั้วบ้านจำเลยและมาถูกสายไฟฟ้าของจำเลยเขา้ ถงึ แกค่ วามตาย ดงั นี้ จงึ ถอื
ไม่ไดว้ า่ การกระทำของจำเลยดงั กล่าวเปน็ การปอ้ งกนั สิทธิของตนโดยชอบด้วยกฎหมายจำเลยจึงมีความผิดฐานทำให้คนตาย
โดยไม่มเี จตนา
ฎีกาท่ี 1999/2511 การทจ่ี ำเลยใช้เส้นลวดทไี่ มม่ วี ัตถุใดๆ ห่อหมุ้ ขงึ ทางด้านบนของรว้ั ไมโ้ รงภาพยนตข์ องจำเลย
แล้วปล่อยกระแสไฟฟา้ 220 โวลท์ไปตามเส้นลวดนัน้ เพ่ือปอ้ งกนั มิใหค้ นขา้ มร้วั เข้าไปลอบดภู าพยนต์ทางรฝู าโรงภาพยนต์
เปน็ การกระทำทจ่ี ำเลยมไิ ดเ้ จตนาฆ่าแตเ่ จตนาทำรา้ ยผ้อู ื่นจนเปน็ เหตใุ หผ้ ูน้ ้นั ถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา
16
17
มาตรา 290 หาใชว่ า่ จำเลยกระทำโดยประมาทและการกระทำน้ันเปน็ เหตุใหผ้ ้อู ื่นถงึ แก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 291 ไม่
ฎกี าท่ี 74/2555 จำเลยท่ี 2 ร่วมวางแผนกบั จำเลยที่ 1 และ ส. มากอ่ นเกดิ เหตุเพื่อทจี่ ะมากระทำความผิด
แต่ขณะที่จำเลยท่ี 1 และ ส. กระทำความผิดเอาทรัพย์ของผู้ตายไป จำเลยท่ี 2 ขบั รถจกั รยานยนตแ์ ยกทางออกไปก่อน ไมไ่ ด้
รออยใู่ กล้กับทเ่ี กดิ เหตทุ ่จี ะมีเวลาเพยี งพอทจี่ ะชว่ ยเหลอื จำเลยท่ี 1 และ ส. ในขณะกระทำความผดิ ได้ จึงไม่ใชเ่ ป็นการแบ่ง
หน้าทก่ี นั ทำอนั จะเปน็ ตวั การในการกระทำความผิดกบั จำเลยท่ี 1 และ ส. ได้ จำเลยท่ี 2 คงมีความผดิ ฐานเปน็ ผ้สู นบั สนนุ การ
กระทำความผิดฐานชิงทรัพย์เป็นเหตใุ หผ้ อู้ น่ื ถึงแก่ความตายเทา่ นนั้ หาใช่ร่วมกันเปน็ ตวั การกระทำความผดิ ฐานชิงทรัพย์
ดว้ ยกันต้งั แตส่ ามคนข้ึนไป อนั จะเปน็ ความผดิ ฐานปล้นทรพั ย์ด้วยไม่
ฎีกาท่ี 6370/2554 แมข้ ้อเทจ็ จริงฟงั ได้ว่า ณ. ตะโกนบอกใหจ้ ำเลยท่ี 1 หยุด แต่ขณะนน้ั จำเลยท่ี 1 กำลังยิง
ตอ่ ส้กู บั อ. โดยบันดาลโทสะ ประกอบกบั เกดิ เหตชุ ลุ มนุ เนือ่ งจากคนทมี่ าในงานศพวง่ิ แตกตน่ื เชอื่ วา่ จำเลยท่ี 1 คงไม่ไดย้ ิน
เม่อื จำเลยที่ 1 เห็น ณ. ซ่งึ ไม่ได้แตง่ เครื่องแบบ ใช้อาวธุ ปนื ยงิ จำเลยท่ี 1 เชน่ น้ี จำเลยที่ 1 ยอ่ มสำคัญผิดไดว้ า่ ณ. เป็นพวก อ.
และไดช้ ว่ ยเหลอื อ. ยิงตน การทจี่ ำเลยที่ 1 ยงิ ต่อสกู้ ับ ณ. อันเป็นระยะเวลาต่อเนอื่ งใกล้ชิดตดิ พนั กบั การยิง อ. โดยบนั ดาล
โทสะ ยอ่ มถอื ได้วา่ เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะเชน่ กัน แม้จำเลยท่ี 1 ไมไ่ ด้ยกเรือ่ งยงิ ณ. โดยบันดาลโทสะข้ึนตอ่ สู้ ศาล
ฎีกาย่อมหยบิ ยกขึน้ วินจิ ฉยั ได้ เพราะเป็นปญั หาท่ีเกีย่ วกบั ความสงบเรียบรอ้ ยตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบ
มาตรา 225
ฎกี าท่ี 7835/2554 กรณที ีจ่ ะเปน็ การกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะตาม ป.อ. มาตรา 72 ตอ้ งเปน็ เร่ืองที่
ผ้กู ระทำความผิดถูกขม่ เหงอย่างรา้ ยแรงด้วยเหตุอนั ไมเ่ ป็น ธรรม โดยพจิ ารณาเปรียบเทยี บกบั ความรสู้ กึ ของคนธรรมดาหรือ
วิญญชู นทว่ั ไปว่าผู้ที่อยใู่ นภาวะ วิสยั และพฤติการณอ์ ย่างเดยี วกบั จำเลยนั้น ถือไดว้ า่ จำเลยผูก้ ระทำความผิดถูกขม่ เหงอยา่ ง
ร้ายแรงดว้ ยเหตอุ นั ไมเ่ ป็นธรรมหรอื ไม่ หาใชถ่ ือเอาตามความรู้สกึ นกึ คิดของตวั จำเลยผู้กระทำความผดิ เอง ทีจ่ ำเลยฎีกาว่าการ
ที่ผูเ้ สียหายจอดรถจกั รยานยนต์ขวางหน้ารถยนต์ท่จี ำเลยกบั พ. กำลงั พูดคยุ กนั ก็เพอื่ แสดงให้จำเลยเหน็ ว่า พ. มใี จใหผ้ เู้ สยี หาย
เป็นการดูถูกเหยียดหยามและเยย้ หยนั จำเลยต่อหนา้ คนรัก จำเลยจงึ เกดิ อาการโกรธเนื่องจากหงึ หวงเปน็ เหตใุ หท้ ำรา้ ย
ผูเ้ สยี หายนน้ั ยังถือไมไ่ ด้ว่าจำเลยถูกข่มเหงอยา่ งรา้ ยแรงด้วยเหตอุ ันไมเ่ ป็นธรรม การกระทำของจำเลยจงึ ไม่เป็นการกระทำ
ความผดิ โดยบันดาลโทสะ
ฎีกาที่ 169/2504 ผ้ตู ายบุกรุกเข้าไปจะทำร้ายจำเลยจนถึงบา้ น จำเลยจงึ ยิงเอา เพราะถ้าไมย่ งิ ผู้ตายกจ็ ะฟนั
จำเลย เชน่ น้ี การกระทำของจำเลยจงึ เปน็ การปอ้ งกันชีวิตพอสมควรแกเ่ หตุ
17
18
ฎีกาท่ี11834/2554 จำเลยท่ี4 เป็นภรยิ าจำเลยท่ี1 และเป็นพสี่ าวของจำเลยที่3 จำเลยท่ี2 มีความสัมพนั ธ์ทางชู้
สาวกบั จำเลยท่ี3 จำเลยท่ี2 เขียนจดหมายถงึ จำเลยท่ี4 เพื่อขอความช่วยเหลือเรอื่ งจา้ งคนมายงิ ผตู้ าย ส่วนจำเลยที่3 ไดเ้ ตรียม
เงนิ ค่าจา้ งมามอบใหจ้ ำเลยท่ี2 และจำเลยท่ี4 ช่วยพดู เกลี้ยกลอ่ มจำเลยที่1 จนยอมตกลงไปยงิ ผตู้ าย จำเลยท่ี3และท่ี4จึงมี
ความผดิ ฐานเปน็ ผสู้ นบั สนนุ การกระทำความผดิ ของจำเลยท่ี2 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 86
ฎกี าที่ 11224/2555 สลากกนิ แบ่งรัฐบาลทโ่ี จทก์รว่ มซือ้ และฝากจำเลยท่ี1 ไว้ถกู รางวลั ทีห่ นง่ึ จำเลยท่ี1คดิ จะ
เบยี ดบงั เอาสลากไว้เสยี เอง จงึ ได้อ้างต่อโจทก์รว่ มวา่ สลากไม่ถูกรางวลั และทิ้งไปแลว้ จากนัน้ ใหจ้ ำเลยท่ี 2 บตุ รชายรบั สมอา้ ง
วา่ เป็นผซู้ อ้ื สลากไป แล้วร่วมมือกันนำสลากไปขอรับรางวัลมาเปน็ ของจำเลยท้งั สองโดยทุจริต จำเลยท่ี 1 จึงมคี วามผดิ ฐาน
ยกั ยอกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 352 วรรคแรก จำเลยที่ 2 ไม่ไดร้ ว่ มครอบครองสลากมาแตแ่ รก แต่การทจ่ี ำเลยที่2
รับสมอา้ งวา่ เปน็ ผเู้ จ้าของสลากและร่วมไปขอรบั รางวัลมา ถอื ได้ว่าเปน็ การช่วยเหลอื จำเลยที่1 ในการยกั ยอกฉลาก จำเลยที่ 2
จึงมคี วามผดิ ฐานเป็นผสู้ นับสนุนการกระทำความผดิ ตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 352 ประกอบมาตรา 86
ฎกี าที่ 3583/2555 จ. เปน็ ภรรยาโดยชอบดว้ ยกฎหมายของจำเลยซงึ่ จำเลยย่อมมสี ทิ ธติ ามกฎหมายทีจ่ ะกระทำ
การป้องกนั เกียรตยิ ศชือ่ เสยี งของตนโดยมใิ หช้ ายอืน่ มามคี วามสัมพนั ธ์ฉันช้สู าวกบั ภรรยาของตนได้ แต่ขณะเกดิ เหตจุ ำเลยพบ
เห็น จ. นอนหนุนตกั ผูต้ ายและกอดจบู กันเท่าน้นั โดยยงั ไม่มกี ารร่วมประเวณกี ัน และการทผี่ ู้ตายกระทำต่อ จ. ดังกล่าวกเ็ ป็นไป
โดย จ. สมคั รใจยินยอม พฤติการณ์เชน่ นี้ยังถอื ไม่ได้ว่ามภี ยนั ตรายซึง่ เกิดการประทษุ รา้ ยอนั ละเมิดต่อกฎหมาย และเปน็
ภยนั ตรายท่ใี กลจ้ ะถงึ ซงึ่ จำเลยจำต้องกระทำการปอ้ งสิทธิแต่อย่างใด แตก่ ารท่ผี ูต้ ายกบั จ. กอดจบู กนั เชน่ น้ี นับเป็นการ
กระทำท่ขี ่มเหงจิตใจของจำเลยอยา่ งร้ายแรงด้วยเหตอุ ันไมเ่ ป็นธรรม เมือ่ จำเลยเหน็ เหตุการณเ์ ช่นน้ยี อ่ มเหลือวสิ ยั ของจำเลยท่ี
จะอดกล้นั โทสะไว้ได้ จงึ เขา้ ไปชกต่อยผตู้ ายแล้วใช้มดี ปอกผลไมท้ ่ีวางอยใู่ กลต้ ัวแทงผตู้ ายเปน็ เหตใุ หผ้ ตู้ ายถงึ แก่ความตายใน
เวลาต่อมา การกระทำของจำเลยจงึ เป็นการกระทำโดยบนั ดาลโทสะตาม ป.อ. มาตรา 72 ไมใ่ ช่เป็นการปอ้ งกนั โดยชอบด้วย
กฎหมาย
ฎกี าที่ 8347/2554 กอ่ นเกดิ เหตผุ เู้ สยี หายมีเรอื่ งทะเลาะโตเ้ ถียงกบั จำเลยซง่ึ น่งั ด่มื สรุ าอยูท่ ่รี า้ นใกล้ทเี่ กดิ เหตุ
จงึ เชอ่ื วา่ เป็นสาเหตุให้จำเลยไมพ่ อใจผเู้ สียหายเปน็ อย่างมาก ในวนั เกดิ เหตเุ มอ่ื ผู้เสียหายออกจากร้านไปแล้ว ผูเ้ สยี หายรอ้ ง
ตะโกนทา้ ทายจำเลยใหอ้ อกไป จะฟันให้คอขาด จำเลยจงึ รบี วงิ่ ไปหาผเู้ สียหาย ถอื ไดว้ ่าจำเลยสมคั รใจเข้าวิวาทและตอ่ สกู้ ับ
ผ้เู สยี หาย และเป็นการกระทำท่ีจำเลยเขา้ สู้ภยั ทงั้ ทย่ี งั ไมม่ ภี ยนั ตรายมาถงึ ตน จึงเปน็ การกระทำโดยที่ไมม่ กี ฎหมายใหอ้ ำนาจไว้
แมผ้ ้เู สยี หายจะทำรา้ ยจำเลยก่อน ก็เปน็ เหตกุ ารณท์ เ่ี กิดขึน้ ขณะทีจ่ ำเลยกบั ผเู้ สียหายสมัครใจวิวาทกนั ดังนั้น จำเลยจงึ ไมอ่ าจ
ท่ีจะอา้ งสทิ ธปิ อ้ งกนั ได้ตามกฎหมาย และแม้จำเลยมคี วามไมพ่ อใจผเู้ สียหายเป็นอยา่ งมาก แตเ่ ม่ือจำเลยสมัครใจทจี่ ะไปตอ่ สู้
กับผเู้ สยี หายเอง กไ็ มอ่ าจถอื ได้วา่ จำเลยถกู ข่มเหงอย่างรา้ ยแรงด้วยเหตอุ ันไม่เปน็ ธรรม จำเลยจงึ ไม่อาจอา้ งเหตบุ นั ดาลโทสะได้
18
19
เชน่ เดียวกนั การกระทำของจำเลยไมเ่ ปน็ การกระทำเพือ่ ปอ้ งกันโดยชอบดว้ ยกฎหมาย และไมเ่ ป็นการกระทำโดยเหตุบนั ดาล
โทสะ
ฎกี าท่ี 8722/2555 บริเวณทเี่ กดิ เหตอุ ยบู่ นถนนสุทธาวาสไม่ใช่หลงั ซอยโรงถา่ นทมี่ อี าชญากรรมประเภท
ความผดิ เกีย่ วกับยาเสพตดิ พระราชบัญญตั อิ าวุธปืนฯ และความผดิ เกี่ยวกับทรพั ย์เป็นประจำ และจำเลยไม่มที ่าทางเปน็ พริ ุธ
คงเพยี งแตน่ งั่ โทรศพั ท์อยู่ การที่สบิ ตำรวจโท ก. และสบิ ตำรวจตรี พ. อ้างว่าเกดิ ความสงสยั ในตวั จำเลยจึงขอตรวจค้น โดยไมม่ ี
เหตผุ ลสนบั สนนุ ว่าเพราะเหตใุ ด จึงเกดิ ความสงสัยในตัวจำเลย จึงเปน็ ขอ้ สงสยั ที่อยู่บนพน้ื ฐานของความรสู้ กึ เพียงอยา่ งเดียว
ถือไมไ่ ด้วา่ มีเหตอุ นั ควรสงสยั ตามกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 93 ที่จะทำการตรวจคน้
ได้ การตรวจค้นตวั จำเลยจงึ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยซ่ึงถูกกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายยอ่ มมสี ทิ ธิโต้แย้งและตอบโต้
เพ่ือปอ้ งกันสทิ ธิของตนตลอดจนเพกิ เฉยไม่ปฏบิ ัติตามคำส่ังใด ๆ อนั สืบเนอ่ื งจากการปฏิบตั ทิ ี่ไมช่ อบได้ จำเลยจงึ ไมม่ ีความผิด
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 136 ,มาตรา 138 วรรคสอง และมาตรา 367
ฎกี าท่ี 1280/2555 จำเลยท่ี 2 วางแผนกบั พวกหลอกว่าจ้างจำเลยท่ี 1 นำรถยกไปยกรถยนตข์ องผู้เสยี หายไป
สง่ ใหจ้ ำเลยที่ 2 เพือ่ จำเลยท่ี 2 จะยกรถยนตต์ ่อไปยงั จดุ หมาย โดยจำเลยที่ 1ไมท่ ราบวา่ ตนเองเปน็ เครือ่ งมือของ
คนรา้ ย จำเลยท่ี 2 จึงเป็นตัวการในการลักรถยนตโ์ ดยใชจ้ ำเลยท่ี 1 เปน็ เครื่องมอื ในการกระทำความผดิ ของตน จำเลยท่ี 1
จงึ ไมไ่ ดร้ ว่ มกระทำผิด…จำเลยที่ 1 ขบั รถยกยกรถยนตข์ องผเู้ สยี หายขยบั ออกไปจากที่จอดไม่ถึง 1 เมตรโดยสว่ นหนา้ ของ
รถยนตข์ องผเู้ สยี หายถกู ยกขน้ึ ไปเกยบนคานของรถยกและมีโซค่ ลอ้ งรถยนต์ของผเู้ สียหายผกู ยึดติดกับรถยกของจำเลยที่ 1
พรอ้ มทจี่ ะขบั เคลอื่ นพารถยนตข์ องผเู้ สียหายออกไปได้ทนั ที ถือว่าจำเลยท่ี 1 ซง่ึ จำเลยท่ี 2 ใช้เป็นเครื่องมือไดเ้ ขา้ ยึดถือ
ครอบครองรถยนต์ของผเู้ สยี หายโดยสมบรู ณ์พรอ้ มที่จะเอาไปไดแ้ ล้ว จึงถือว่าจำเลยที่ 2 ได้เอาไปซงึ่ รถยนต์ของผเู้ สยี หายอนั
เป็นความผิดฐานลกั ทรพั ยส์ ำเรจ็ แมจ้ ำเลยท่ี 1จะยงั ไมท่ ันขบั รถยกลากจงู รถยนต์ของผเู้ สียหายออกไปก็ตาม หาใชเ่ ปน็ เพียง
พยายามลักทรพั ยไ์ ม่
ฎกี าที่ 2894/2555 การพยายามกระทำความผิดทไ่ี มส่ ามารถจะบรรลผุ ลได้อยา่ งแน่แท้ตาม ป.อ. มาตรา 81
นน้ั ตอ้ งเกิดจากเหตุ 2 ประการ คือ เหตปุ จั จยั ซึง่ ใช้ในการกระทำความผดิ กับเหตุแหง่ วัตถุทมี่ งุ่ หมายกระทำตอ่ สำหรับคดีนี้
เหตปุ จั จัยซึ่งใช้ในการกระทำความผิด คอื อาวธุ ปนื แก๊ปยาวแบบประจปุ ากของกลาง ปัญหาว่าอาวะปืนแก๊ปยางดงั กล่าวเป็น
เหตุใหก้ ารพยายามกระทำความผดิ น้นั ไมส่ ามารถจะบรรลผุ ลได้อยา่ งแนแ่ ท้หรือไม่ ไดค้ วามจากคำใหก้ ารชั้นสอบสวนของพัน
ตำรวจโท ก. เจ้าพนักงานตำรวจประจำวิทยาการเขต 43จงั หวัดนครศรธี รรมราช ผ้ตู รวจพสิ ูจนอ์ าวธุ ปนื ของกลางวา่ อาวุธปืน
ของกลางเป็นอาวธุ ปนื ทีส่ ามารถทำอันตรายแกช่ ีวติ และวัตถไุ ด้ การที่กระสุนปนื ไมล่ ัน่ เมอ่ื สบั นกปนื นน้ั สามารถเกิดข้นึ กบั
อาวุธปนื ของกลางไดห้ ากดินปืนมีความช้นื หรอื เปยี กชนื้ เพราะประกายไฟซึ่งเกดิ จากนกปนื สบั ไปทแ่ี กป๊ ปนื ไมส่ ามารถลกุ ลามไป
ติดเนือ้ ดินปืนในลำกลอ้ งเพอื่ สง่ เมด็ ตะกวั่ ท่ีบรรจุอยู่ออกไปทางปากกระบอกได้ แสดงวา่ ในวันเกดิ เหตหุ ากดนิ ปนื ท่ีบรรจอุ ยใู่ น
19
20
ลำกลอ้ งอาวธุ ปืนของกลางแห้งไม่เปียกชนื้ กระสนุ ปนื กต็ อ้ งลน่ั ส่งเม็ดตะก่ัวทบ่ี รรจุอยู่ในลำกลอ้ งออกมาใส่ใบหน้าผเู้ สียหายเป็น
อันตรายต่อชีวติ ได้ การกระทำของจำเลยจงึ เป็นการลงมือกระทำความผิดไปตลอดแลว้ แตก่ ารกระทำไมบ่ รรลผุ ล อันเปน็ การ
พยายามกระทำความผิดตาม ป.อ.มาตรา 80 หาใชก่ ารกระทำน้นั ไม่สามารถจะบรรลผุ ลได้อย่างแน่แทเ้ พราะอาวธุ ปืนหรือ
เครอื่ งกระสุนปืนของกลางอันเปน็ ปัจจัยซง่ึ ใช้ในการกระทำตามมาตรา 81 แตอ่ ยา่ งใดไม่
ฎกี าที่ 7940/2551 บ้านและบรเิ วณบา้ นของจำเลยถือว่าเป็นเคหสถานทปี่ ระชาชนทว่ั ไปยอ่ มเหน็ วา่ เปน็ ท่ี
ปลอดภยั ไม่ควรถกู บคุ คลอืน่ รกุ ลำ้ เข้ามากระทำการอันไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยไมจ่ ำเปน็ ตอ้ งหลบหนแี ละมสี ทิ ธิทจี่ ะป้องกนั
สิทธขิ องตนเพราะจำเลยเปน็ ผสู้ จุ ริตหาตอ้ งถูกบังคบั ให้ไปเสยี จากเคหสถานของจำเลยซง่ึ มสี ทิ ธิทจ่ี ะอยอู่ าศัยและเคลอ่ื นไหว
โดยอิสระ หากจำเลยจำตอ้ งหนแี ลว้ เสรีภาพของจำเลยกจ็ ะถกู กระทบกระเทือน
ผูต้ ายขับรถเข้ามาในบรเิ วณบ้านของจำเลยเพอื่ จะบงั คบั ผ. ซ่งึ เปน็ บุตรสาวของจำเลยและเคยเปน็ ภริยาของผ้ตู ายใหไ้ ปอยกู่ นิ
ด้วยกนั เชน่ เดิมแล้วเกิดโต้เถียงกันจำเลยพดู จาหา้ มปราม ผตู้ ายไมฟ่ ังและไดล้ งจากรถพร้อมกับถืออาวุธมดี ยาว 12 นวิ้ เดนิ ไป
หาจำเลย จำเลยจงึ วิง่ ขนึ้ ไปบนบา้ นหยบิ เอาอาวธุ ปนื ยาวกึง่ อัตโนมตั ขิ นาด .22 ซ่งึ เปน็ อาวธุ ปืนท่จี ำเลยได้รบั อนญุ าตใหม้ ีและ
ใช้ ทั้งเปน็ อาวุธปืนทปี่ กติใช้ยิงนกหรือสตั ว์ขนาดเลก็ และมแี รงปะทะนอ้ ยลงจากบา้ น เพื่อปรามมใิ หผ้ ตู้ ายทำรา้ ยจำเลยหรอื
ทำลายทรพั ยส์ ินของจำเลยหรอื บงั คบั ให้ ผ. ไปอยู่กับผตู้ าย โดยไม่มีกริยาอาการทีจ่ ะยงิ ทำรา้ ยผ้ตู ายซงึ่ ถูก ผ. โอบกอดไว้ ดังนี้
จะถือวา่ จำเลยมเี จตนาสมัครใจเขา้ ทะเลาะววิ าทกบั ผ้ตู ายหาไดไ้ ม่ หลังจากนั้นสักคร่ผู ู้ตายสะบดั ตวั หลดุ และเดนิ เข้าหาจำเลย
เพื่อทำร้ายจนหา่ งประมาณ 1 วา โดยมอี าวุธมีดยาวเชน่ นนี้ ับวา่ เป็นภยันตรายทใ่ี กลจ้ ะถงึ แลว้ จำเลยยอ่ มมสี ทิ ธจิ ะปอ้ งกัน
เนอ่ื งจากหากปล่อยใหผ้ ู้ตายเขา้ มาใกล้กวา่ น้ัน โอกาสท่ีจะใช้อาวุธปืนยาวยงิ เพอ่ื ป้องกนั ตัวย่อมจะขดั ขอ้ ง การที่จำเลยใช้อาวุธ
ดงั กลา่ วยงิ ไปทีผ่ ูต้ ายไป 1 นัด แต่ผู้ตายยังเดนิ เข้ามาหาจำเลยอีก จำเลยจึงยงิ ผ้ตู ายอกี 2 นดั ติดตอ่ กันผู้ตายจงึ ลม้ ลง นบั ว่า
เป็นการพอสมควรแกเ่ หตใุ นภาวะและวสิ ัยเชน่ นั้น แตห่ ลงั จากผ้ตู ายลม้ ลงนอนหงายจำเลยยงั เดนิ เขา้ ไปยิงผูต้ ายอีก 2 นดั จึง
เปน็ การกระทำเกินสมควรแกเ่ หตุ จำเลยจงึ มีความผิดฐานฆา่ ผ้อู ่นื โดยปอ้ งกนั เกนิ สมควรแกเ่ หตุ
ฎกี าที่ 10584/2555 ผู้ตายจะใชอ้ าวธุ ปนื ยงิ จำเลย จำเลยเข้าไปแย่งอาวธุ ปืน กระสนุ ปนื ถูกผู้ตายทมี่ ือขวาและ
หน้าผาก แพทยผ์ ู้ตรวจศพผู้ตายให้การว่าไมพ่ บเขมา่ ดินปืนทห่ี น้าผากของผู้ตาย รายงานการตรวจพสิ จู นก์ ร็ ะบุตรงกนั วา่ ไปพบ
เขม่าดินปืนทมี่ ือขวา เมื่อผู้ตายใช้มือขวาข้างถนดั ของตนกำดา้ มปนื ไวใ้ นขณะทจ่ี ำเลยเข้ามาแยง่ อาวธุ ปืน หากกระสุนปนื จาก
อาวธุ ปนื ดงั กลา่ วเกดิ ลัน่ ขน้ึ ดงั ทจี่ ำเลยนำสบื จากการเขา้ กอดปลำ้ แย่งอาวธุ ในระยะประชดิ ตัวระหว่างจำเลยกบั ผูต้ าย ยอ่ มต้อง
มีเขมา่ ดินปืนตดิ อยทู่ ่บี รเิ วณมอื ขวาและหนา้ ผากของผตู้ าย เมื่อพจิ ารณารายงานการชันสตู รบาดแผลหรอื สภาพศพระบวุ า่
กระสุนปนื เขา้ ฝ่ามอื ขวาระหว่างนวิ้ กลางกบั นิว้ นางแล้วทะลดุ ้านหลงั มือของผู้ตาย หากมอื ขวาของผู้ตายยงั กำด้ามปืนอยขู่ ณะ
จำเลยเข้าแย่งอาวุธปนื กระสนุ ปนื ทลี่ ่นั ออกจะถกู มือขวาของผู้ตายได้อย่างไร แสดงว่าขณะผู้ตายถกู กระสนุ ปืนท่มี ือขวานน้ั
ผูต้ ายไม่ได้ถืออาวุธปืนดงั กล่าว ฉะนน้ั กระสนุ ปนื จงึ ไมไ่ ดล้ ัน่ ออกไปขณะจำเลยเข้าไปแย่งอาวธุ ปนื จากมือของผู้ตาย หากแตเ่ มอ่ื
จำเลยเข้าแยง่ อาวุธปืนจากมือของผู้ตายไปไดแ้ ล้ว จงึ ใชอ้ าวุธปืนยงิ ผ้ตู ายถูกทม่ี ือขวาและหน้าผาก แมจ้ ะได้ความวา่ ผู้ตายเป็น
20
21
ฝา่ ยเอาอาวธุ ปืนของตนซึง่ พกพาติดตัวข้ึนมายังไม่ได้ลน่ั กระสนุ ปืนใสจ่ ำเลย แตจ่ ำเลยเขา้ แยง่ อาวธุ ปืนดงั กล่าวไปไดเ้ สียกอ่ น
ทั้งไมป่ รากฏวา่ ผู้ตายมีอาวุธอ่ืนใดตดิ ตัวมาอีก และได้ทำร้ายรา่ งกายจำเลยอกี เชน่ น้ี ภยนั ตรายซง่ึ เกิดจากการประทษุ ร้ายอนั
ละเมดิ ตอ่ กฎหมายจากการกระทำของผูต้ ายผา่ นพ้นไปแล้วและไมม่ ีภยันตรายท่ใี กลจ้ ะถงึ ตัว พฤติการณท์ จ่ี ำเลยใชอ้ าวุธปืนที่
แยง่ จากมอื ผตู้ ายมาไดแ้ ล้วจึงยงิ ผู้ตายเชน่ นี้ ถอื ไม่ได้วา่ การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกนั สทิ ธโิ ดยชอบดว้ ยกฎหมาย
ฎกี าที่ 7516/2555 แมจ้ ำเลยมรี า่ งกายพกิ ารที่ขาขวาด้วน จำเลยก็มสี ทิ ธโิ ดยชอบธรรมทีจ่ ะเขา้ ไปเท่ยี วเพื่อหา
ความสุขสำราญในรา้ นอาหารทเี่ กดิ เหตไุ ดเ้ ช่นคนทมี่ รี ่างกายปกตธิ รรมดาทวั่ ไป และโจทกร์ ว่ มไมม่ สี ิทธิใด ๆ ท่จี ะนำเอาเหตุ
ความพิการทางร่างกายของจำเลยมาพูดจาวพิ ากษ์วจิ ารณ์เยาะเยย้ ถากถางหรอื ดหู มืน่ เหยียดหยามเพอ่ื ใหจ้ ำเลยเจบ็ ช้ำนำ้ ใจได้
การที่โจทกร์ ว่ มพูดกบั ม. วา่ “ดูน่นั ซดิ ้วนแล้วยังมาเที่ยวอีก” และ ม. ยงั พดู เป็นเชิงสนับสนุนเห็นดว้ ยวา่ “ถึงพิการแต่ใจรัก”
เป็นการเยย้ หยันสบประมาทตวั จำเลย ทำใหจ้ ำเลยต้องร้สู กึ อบั อายและแค้นเคอื งเป็นอยา่ งมาก การท่ีจำเลยชกั อาวุธปืนออก
มาแลว้ ยงิ ข้ึนฟ้า 2 นัด ก็เพอื่ เตือนใหห้ ยดุ ยั้งการกระทำโดยมชิ อบของโจทกร์ ว่ มและ ม. แตแ่ ทนท่โี จทกร์ ว่ มจะหยุดการกระทำ
ดงั กลา่ วโจทกร์ ่วมกบั วงิ่ เขา้ ไปหาจำเลยในลักษณะเข้าทำรา้ ยจำเลย แมโ้ จทกร์ ว่ มจะไมม่ อี าวุธตดิ ตัว แต่ด้วยการที่จำเลยขา
พิการยอ่ มอยใู่ นฐานะทเี่ สียเปรยี บหากจะปอ้ งกนั ตัวโดยการตอ่ สูก้ บั โจทก์รว่ มดว้ ยมอื เปลา่ การทจี่ ำเลยใชอ้ าวุธปนื ยิงใสโ่ จทก์
รว่ มจึงเป็นการปอ้ งกันสิทธิของตน ใหพ้ น้ อันตรายซ่งึ เกดิ จากการประทษุ ร้ายอันละเมิดตอ่ กฎหมายและเป็นภยนั ตรายทใี่ กลจ้ ะ
ถงึ แตก่ ารท่ีจำเลยยงิ ปนื ใส่บริเวณลำตวั ตนถกู แขนของโจทกร์ ว่ มอาจพลาดไปโดนอวัยวะสำคญั ทำให้ถงึ ตายได้ จึงเปน็ การ
กระทำโดยเจตนาฆ่า ซ่งึ เกนิ กวา่ กรณแี หง่ การจำตอ้ งกระทำเพ่อื ปอ้ งกัน ซง่ึ ศาลจะลงโทษจำเลยนอ้ ยกว่าท่ีกฎหมายกำหนดไว้
สำหรบั ความผดิ นนั้ เพียงใดก็ได้ตาม ป.อ. มาตรา 68 และ 69
ฎีกาท่ี 501/2555 ในวนั เวลาและสถานทเ่ี กิดเหตุตามฟ้องจำเลยใชม้ ีดปลายแหลมของกลางเปน็ อาวธุ แทงนาย
ส. ผู้ตาย มบี าดแผลบรเิ วณหนา้ อกซ้ายขนาดกว้าง 1 ซม. ลกึ 3 ซม. และบริเวณแขนซา้ ยขนาดกวา้ ง 3 ซม. และ 5 ซม.
ตามลำดับ ทะลุอกี ด้านหนง่ึ ของแขน ผ้ตู ายเสียเลือดมากและถึงแกค่ วามตายในเวลาตอ่ มา … แมโ้ จทกจ์ ะไม่มปี ระจกั ษพ์ ยานมา
เบกิ ความยืนยนั ถงึ การกระทำความผิดของจำเลย แตถ่ อ้ ยคำท่ีจำเลยกลา่ วตอ่ นาย ว. และพนั ตำรวจตรี ช. ในเวลาหลงั เกดิ เหตุ
แทบจะทันทซี ่ึงบุคคลทั้งสองได้เบิกความยนื ยันไวส้ อดคลอ้ งกบั ลกั ษณะบาดแผลของผ้ตู ายและจำเลย ทง้ั คำเบิกความของนาย
ม. กเ็ จอื สมกับทางนำสืบของจำเลยท่ีวา่ ถกู ทำร้ายจนแวน่ ตาท่ีสวมอยหู่ ลดุ พยานหลักฐานทโี่ จทก์นำสบื มาฟงั ได้ว่าผูต้ ายใช้ไม้
เทา้ ทถ่ี อื มาตี ทำรา้ ยจำเลยจนจำเลยลม้ ลง จำเลยจึงใชม้ ีดเปน็ อาวุธแทงผ้ตู าย เมื่อพเิ คราะหล์ กั ษณะมีดของกลางแล้ว ศาลฎกี า
เหน็ ว่า มดี ดงั กลา่ วมีขนาดใหญพ่ อทจี่ ะทำอนั ตรายแกช่ วี ิตได้ การที่จำเลยใช้มดี ดังกลา่ วแทงผู้ตายมบี าดแผลถงึ สามแหง่ แสดง
วา่ จำเลยแทงไปหลายครง้ั และลักษณะบาดแผลท่ที ะลแุ ขนไปอีกดา้ นหนง่ึ แสดงให้เห็นว่าเป็นการแทงโดยแรงโดยมงุ่ ประสงค์ตอ่
ชวี ิต ฟงั ไดว้ ่าจำเลยมีเจตนาฆา่ มิใชม่ เี พยี งเจตนาทำรา้ ยรา่ งกายเทา่ นนั้ เมือ่ การกระทำของจำเลยเกิดจากการท่ถี ูกผู้ตายใช้ไม้
เท้าตีทำรา้ ยก่อน ซ่งึ เปน็ ภยันตรายทีล่ ะเมดิ ต่อกฎหมายและใกลจ้ ะถงึ โดยจำเลยมิไดเ้ ป็นผู้กอ่ ให้เกดิ ขน้ึ จำเลยจงึ มีเหตุ
จำตอ้ งกระทำเพอ่ื ป้องกันสทิ ธิของตนให้พน้ ภยันตรายซึง่ เกิดจากการประทษุ รา้ ยอันละเมิดต่อกฎหมาย แตก่ ารท่ีจำเลยใช้
21
22
มดี ของกลางแทงผ้ตู ายไปโดยแรงหลายครงั้ ท้ังๆ ท่ีผตู้ ายมสี ภาพร่างกายพิการเดินไม่สะดวกและมีเพียงได้เทา้ ท่ีใชค้ ำ้ ยนั
ร่างกายเป็นอาวธุ เทา่ นัน้ จงึ เป็นการกระทำเกินกว่ากรณีแห่งการทจ่ี ำต้องกระทำเพอื่ ปอ้ งกนั จำเลยมคี วามผิดตาม ป.อ.
มาตรา 289 ประกอบมาตรา 69
ฎกี าท่ี 2925/2554 จำเลยใชอ้ าวุธมดี แทงผเู้ สียหายที่บรเิ วณซโ่ี ครงซา้ ยและไหลซ่ า้ ยและพยายามใชอ้ าวธุ มีด
ปาดคอโดยเจตนาฆา่ จำเลยกระทำไปตลอดแล้ว แต่การกระทำน้นั ไมบ่ รรลผุ ลใหผ้ ูเ้ สยี หายถงึ แก่ความตาย การทจี่ ำเลยยับย้งั
ไมใ่ ช้อาวธุ มดี แทงทำรา้ ยผเู้ สียหายต่อไปจนถึงแกค่ วามตาย จำเลยก็ยังตอ้ งรบั โทษสำหรับความผิดฐานพยายามฆา่ ผอู้ ่นื ที่ได้
กระทำไปแลว้ สว่ นการท่ีจำเลยชว่ ยนำผเู้ สยี หายไปสง่ โรงพยาบาลและดูแลผเู้ สยี หายในระหวา่ งท่รี กั ษาตัวนนั้ เม่ือการกระทำ
ของจำเลยบรรลผุ ลเปน็ การพยายามฆ่าผู้เสียหาย ซงึ่ กฎหมายบัญญตั เิ ป็นความผิดแล้ว กรณีจงึ มใิ ช่การกระทำความผิดของ
จำเลยยงั ไมบ่ รรลผุ ล ไมเ่ ป็นการกลบั ใจแกไ้ ขไม่ให้การกระทำน้นั บรรลผุ ล ในอนั ทจี่ ะไม่ตอ้ งรบั โทษสำหรบั การพยายามกระทำ
ความผิดนน้ั ตาม ป.อ. มาตรา 82
ฎกี าท่ี 833/2555 มีดทจี่ ำเลยใช้แทงผู้เสียหายมีขนาดยาวประมาณ1 ฟุต ถือเปน็ มดี ทมี่ ีขนาดใหญว่ ิญญชู น
โดยท่ัวไปยอ่ มทราบว่าสามารถทำอันตรายตอ่ ชวี ติ ได้การทจ่ี ำเลยใช้อาวธุ มดี ดงั กลา่ วแทงผเู้ สยี หายทบี่ รเิ วณหน้าท้องซง่ึ มอี วยั วะ
สำคญั อย่ภู ายในจำเลยยอ่ มเลง็ เห็นผลได้ว่าอาจทำใหผ้ เู้ สยี หายถึงแก่ความตายได้จำเลยไม่ไดท้ ะเลาะกับผเู้ สยี หายไมม่ ีเหตุจะฆา่
ก็ตามแตใ่ นสภาวะขณะท่ีแทงนั้นต้องพจิ ารณาจากการกระทำอันเปน็ เคร่ืองชเ้ี จตนาของจำเลยและฟงั ไมไ่ ดว้ ่าจำเลยมีเจตนา
เพียงทำร้าย
ฎกี าท่ี 5721/2555 แมข้ อ้ เทจ็ จรงิ จะฟังไดว้ ่าก่อนเกดิ เหตุผตู้ ายเป็นฝา่ ยหาเรือ่ งดา่ วา่ จำเลยและพูดขบั ไลจ่ ำเลย
โดยจำเลยไม่ได้เป็นฝา่ ยกระทำผิดใดๆต่อผตู้ ายเลยกต็ าม แตเ่ ม่ือมผี นู้ ำตวั จำเลยแยกกลบั ไปสง่ ทบี่ า้ นจำเลยแล้วจำเลยกลบั ย้อน
ไปดักซมุ่ รอตรงเส้นทางท่ีรวู้ า่ ผูต้ ายตอ้ งผา่ นโดยจำเลยนำแชลงติดตัวไปด้วยเมอ่ื ผู้ตายขบั รถจกั รยานยนตผ์ า่ นมาจำเลยกไ็ ด้ใช้
แชลงตีผูต้ าย พฤติการณ์ทจ่ี ำเลยไปดกั ซุ่มรอทงั้ ที่เหตกุ ารณ์ท่ีผูต้ ายด่าวา่ หาเรอื่ งจำเลยผา่ นไปกอ่ นหน้านน้ั แลว้ จงึ มิใชเ่ ปน็ การ
กระทำตอ่ ผตู้ ายโดยบนั ดาลโทสะซง่ึ ต้องเปน็ ระยะเวลาทันทที จ่ี ำเลยถกู ดา่ วา่ การทีจ่ ำเลยกลบั มาถงึ บา้ นแล้วนำแชลงไปดงั ซมุ่ รอ
ผตู้ าย เปน็ การคิดวางแผนเป็นการไตรต่ รองมาก่อนแล้ว ท่ศี าลอทุ ธรณภ์ าค 8 พพิ ากษาวา่ จำเลยมคี วามผิดฐานฆา่ ผ้ตู ายโดย
ไตร่ตรองไว้กอ่ นจึงชอบแลว้
ฎกี าที่ 3617/2555 รูปร่างและลกั ษณะของผเู้ สียหายท่ี1 ย่อมมเี หตผุ ลทำใหจ้ ำเลยเข้าใจวา่ ผเู้ สยี หายท่ี 1 มีอายุ
เกนิ กวา่ สบิ ห้าปแี ต่ยงั ไม่เกนิ สบิ แปดปี ซ่งึ เป็นข้อเท็จจรงิ อนั เป็นองค์ประกอบความผิดตาม ป.อ. มาตรา277 และมาตรา 317
วรรคสามการกระทำของจำเลยจึงเปน็ การกระทำโดยไม่รู้ขอ้ เท็จจรงิ อันเปน็ องคป์ ระกอบความผิดเปน็ การขาดเจตนากระทำ
ความผิดตาม ป.อ.มาตรา 277 วรรคสอง (เดมิ ) และมาตรา 317วรรคสาม และเมือ่ ผ้เู สียหายท่ี 1 ยินยอมใหจ้ ำเลยกระทำ
ชำเราการกระทำของจำเลยจงึ ไม่เปน็ ความผิดฐานขม่ ขืนกระทำชำเราตาม ป.อ.มาตรา 276 (เดมิ )เชน่ กัน สว่ นความผิดฐาน
22
23
พรากเดก็ อายยุ งั ไมเ่ กินสิบห้าปีเสียจากบิดาเพ่อื การอนาจารจำเลยกระทำโดยเขา้ ใจผดิ คิดวา่ ผเู้ สยี หายที่ 1 มอี ายุเกนิ สิบหา้ ปแี ต่
ยงั ไมเ่ กินสิบแปดปจี ำเลยกระทำไปโดยไมร่ ขู้ อ้ เทจ็ จรงิ อันเปน็ องคป์ ระกอบความผดิ ฐานพรากเดก็ อายุยงั ไมเ่ กินสิบห้าปีไปเสีย
จากบดิ ามารดาเพอ่ื การอนาจารตามป.อ. มาตรา 31117 วรรคสามรวมการกระทำความผดิ ฐานพรากผูเ้ ยาว์อายกุ ว่าสบิ ห้าปแี ต่
ยังไมเ่ กนิ สิบแปดปตี าม ป.อ.มาตรา 319 วรรคแรก
ฎีกาที่ 1159/2555 ความผดิ ฐานทำรา้ ยรา่ งกายจนเป็นเหตใุ หผ้ ู้ถกู กระทำได้รบั อนั ตรายสาหสั ตาม ป.อ. มาตรา
297 เป็นเหตทุ ท่ี ำใหผ้ ู้กระทำความผิดฐานทำรา้ ยรา่ งกายตามมาตรา 295 ตอ้ งรับโทษหนกั ขึ้นเพราะผลทเ่ี กิดจากการกระทำ
โดยผู้ทกี่ ระทำไมจ่ ำต้องมีเจตนาตอ่ ผลทท่ี ำให้ตอ้ งรบั โทษหนกั ขึน้ ตวั การที่ร่วมทำร้ายผอู้ นื่ แมจ้ ะไม่มเี จตนาให้ผนู้ น้ั ไดร้ ับ
อันตรายสาหัสหรอื มิได้เปน็ ผลู้ งมอื กระทำใหเ้ กดิ ผลข้ึนกต็ อ้ งรบั ผิดในผลนน้ั ดว้ ย จำเลยท้ังสองมากบั ว. และหลบหนีไปพรอ้ ม
กันกับ ว. แสดงว่าจำเลยทงั้ สองมเี จตนาทำร้ายโจทกร์ ่วมทงั้ สองรว่ มกบั ว. เมื่อผลของการร่วมกันทำรา้ ยของจำเลยทง้ั สองเปน็
เหตุใหโ้ จทกร์ ว่ มที่ 2 ไดร้ ับอันตรายสาหสั จำเลยทงั้ สองกต็ อ้ งรับโทษหนกั ข้นึ จากผลของการรว่ มกันทำรา้ ยทท่ี ำใหโ้ จทกร์ ว่ มท่ี
2 ได้รบั อนั ตรายสาหสั น้ันด้วย
ฎีกาท่ี 14559/2556 จำเลยที่ 1 ชักอาวุธปนื ยงิ ผู้ตายกบั ป. 3 นดั ผู้ตายกบั ป. วงิ่ หนี จากนั้นจำเลยท่ี 2 คว้า
อาวธุ ปนื จากจำเลยท่ี 1 ไลย่ ิงผูต้ ายกบั ป. อกี 3 นดั กระสุนปนื ถกู บา่ และตน้ ขาของผตู้ าย 4 รู แม้ไม่ปรากฏว่ารอยกระสนุ ใด
เกิดจากการยงิ ของจำเลยทงั้ สองแยกตา่ งหากจากกัน แตร่ อยกระสนุ แต่ละรู ถูกอวัยวะสำคญั ของร่างกายอันอาจทำให้ถงึ แก่
ความตายได้ทกุ รอย การกระทำของจำเลยทง้ั สองจงึ เปน็ ความผดิ ฐานฆ่าผอู้ นื่ ตาม ป.อ. มาตรา 288 เมอ่ื เกดิ เหตรุ ถเฉีย่ วกัน
การทที่ งั้ สองฝา่ ยอยใู่ นอาการมึนเมามาตะโกนดา่ กัน แล้วจำเลยทง้ั สองเลยี้ วรถกลับมาหาผู้ตายกบั ป. ซ่งึ จอดรถอยใู่ นทเ่ี กดิ เหตุ
แม้ฝ่ายผู้ตายพดู ด้วยว่าถา้ แน่จรงิ ใหล้ งมา แต่จำเลยทง้ั สองก็ยังนงั่ คร่อมรถจักรยานยนตท์ ่แี ล่นมาจอดหา่ งประมาณ 3-5 เมตร
และไม่มพี ฤตกิ ารณ์อน่ื ใหเ้ ห็นว่า จำเลยทง้ั สองสมัครใจทะเลาะววิ าท การท่ีผตู้ ายกบั ป. เขา้ ไปรุมชกจำเลยทงั้ สองซงึ่ ยงั นงั่
ครอ่ มรถจกั รยานยนตอ์ ยูโ่ ดยไมป่ รากฏว่าจำเลยทั้งสองสมคั รใจเขา้ ต่อสู้กบั ผู้ตาย นับว่าเป็นภยนั ตรายซงึ่ เกดิ จากการ
ประทษุ รา้ ยอนั ละเมดิ ต่อกฎหมาย จำเลยท้งั สองยอ่ มมอี ำนาจกระทำการป้องกันสิทธิของตนได้ แต่การทจ่ี ำเลยท่ี 1 ใช้อาวธุ ปืน
ยงิ ใสผ่ ู้ตายกบั ป. โดยทผี่ ้ตู ายกบั ป. ไม่มอี าวธุ และเพยี งแตช่ กจำเลยทง้ั สอง การกระทำของจำเลยท่ี 1 จงึ เปน็ การปอ้ งกนั เกนิ
สมควรแกเ่ หตุ ป. กบั ผตู้ ายวิ่งหนีแลว้ ภยนั ตรายซง่ึ เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมดิ ตอ่ กฎหมายย่อมสน้ิ สุดลง การทจี่ ำเลยท่ี 2
ควา้ อาวุธปืนจากจำเลยท่ี 1 ไลย่ งิ ผตู้ ายในทันทที ันใดน้นั โดยไมป่ รากฏวา่ จำเลยที่ 1 ไดก้ ระทำการใดอนั เป็นการรว่ มกบั จำเลยท่ี
2 อีก จำเลยท่ี 1 จงึ ไม่มีความผิดฐานรว่ มกบั จำเลยที่ 2 ฆ่าผตู้ าย
ฎกี าท่ี 1750/2514 จำเลยถูกคนร้ายทมี่ สี มคั รพรรคพวกหลายคนแตล่ ะคนมอี าวธุ ปืนครบมอื ใช้ปืนจี้ขบู่ งั คบั ให้
เอาเรือรบั สง่ ขา้ มฟากเพื่อชว่ ยคนร้ายใหพ้ น้ จากการจบั กมุ ดังน้ี เป็นการทจี่ ำเลยกระทำไปเพราะอยใู่ นทบี่ งั คับหรอื ภายใต้
อำนาจซงึ่ ไม่สามารถหลีกเล่ียงขดั ขืนได้ จงึ เปน็ การกระทำความผิดด้วย ความจำเปน็ จำเลยไมต่ อ้ งรบั โทษ
23
24
ฎีกาท่ี 1660/2521 มผี ูน้ ำช้างไปลา่ มไว้ใกลก้ บั สวนของจำเลย โดยจำเลยไมร่ ู้ กลางคืนชา้ งหลดุ จากโซพ่ งั รั้ว
ลวดหนามเขา้ ไปในสวนของจำเลย ซงึ่ มีบ้านพกั ของจำเลยกบั คนงานปลูกอยู่ คนงานได้ยนิ เสียงหกั ขา้ วโพดจงึ บอก
จำเลย จำเลยถอื ปนื เดินไปดกู ับคนงาน จำเลยโผลจ่ ากไร่ขา้ วโพดพบชา้ งอยกู่ ลางไร่ข้าวโพดห่างประมาณ 4 วา โดยไมท่ นั รูต้ ัว
และกำลงั เดินเข้ามาหาจำเลย จำเลยเข้าใจว่าเปน็ ช้างป่าซึ่งมีอยูใ่ นป่าบริเวณไร่ของจำเลย จึงผลกั คนงานใหห้ ลบแล้วเอาปนื ยิง
ชา้ งไป 2 นัดแลว้ ว่ิงหนี ดงั นี้ ถือวา่ การทจี่ ำเลยยงิ ช้างของผเู้ สยี หาย เปน็ การตดั สนิ ใจโดยกะทนั หันดว้ ยความจำเปน็ เพอื่ ให้
พ้นจากภยันตรายทีใ่ กลจ้ ะถงึ ตวั จำเลยกับคนงาน โดยจำเลยไม่สามารถหลกี เลีย่ งให้พน้ โดยวิธีอ่ืนได้ การกระทำของจำเลยไม่
เกินสมควรแก่เหตุ จำเลยจึงไม่ตอ้ งรบั โทษฐานทำใหเ้ สียทรพั ย์
ฎกี าที่ 8046/2542 จำเลยและ บ. สามีอยู่ด้วยกันเพียงสองคนในบ้านพกั จำเลยเป็นหญิงซ่งึ เปน็ เพศทอี่ อ่ นแอ
กวา่ จึงถูก บ.ขม่ เหงเอาไดต้ ลอดเวลา ทง้ั จำเลยเป็นชกู้ บั ผ้ตู ายซ่ึงถือว่าเป็นเรอ่ื งร้ายแรงที่ บ. อาจฆ่าจำเลยเสียไดจ้ รงิ และไม่
ปรากฏวา่ จำเลยมสี าเหตโุ กรธเคอื งกับผตู้ าย เม่อื เจา้ พนกั งานตำรวจพาจำเลยมาถึงทเี่ กิดเหตจุ ำเลยร้องไห้ และเล่าถงึ เหตทุ ่ี บ.
บงั คับให้นัดผ้ตู ายมาพบเพื่อฆ่า หากไมน่ ดั จะฆ่าจำเลย และผูต้ ายทัง้ สองคนให้ฟัง ทงั้ ผตู้ ายยอมทำตามทจี่ ำเลยชกั ชวนโดยไม่
ระแวงสงสัย ชีใ้ ห้เห็นวา่ จำเลยรว่ มฆ่าผู้ตาย เพราะตกอยู่ภายใต้อำนาจของ บ. ซง่ึ ไมส่ ามารถหลีกเลย่ี งหรือขดั ขนื ได้ แต่การที่
จำเลยถึงกบั ยอมร่วมมือกบั บ. ฆ่าผ้ตู าย ถอื ไดว้ ่าไดก้ ระทำไปเกนิ สมควรแกเ่ หตหุ รอื เกินกว่ากรณีแหง่ ความจำเปน็ ซงึ่ ศาลจะ
ลงโทษน้อยกวา่ ท่กี ฎหมายกำหนดไว้ สำหรับความผิดน้ันเพยี งใดกไ็ ดต้ าม ป.อ. มาตรา 67 (1), 69
ฎกี าที่ 9738/2544 การกระทำความผิดด้วยความจำเป็นตาม ป.อ. มาตรา 67 แบ่งออกเปน็ 2 ประการ
ประการแรกเป็นความจำเป็นเพราะอย่ใู นท่ีบงั คบั ซ่งึ การบงั คบั หรือบงการให้ กระทำท่เี ป็นความผิดน้ันมาจากภายนอก ผถู้ ูก
บงั คับมไิ ดค้ ดิ รเิ รมิ่ กระทำการนั้นขนึ้ ดว้ ยใจตนเอง แตเ่ ป็นเพราะไม่มที างทจ่ี ะทำอย่างอ่นื ใด อีกประการหนง่ึ ก็คือเปน็ ความ
จำเปน็ ซึ่งไมม่ ีการบังคบั หรือบงการใหก้ ระทำแต่ มภี ยันตรายทจ่ี ะต้องหลกี เลย่ี งและผ้กู ระทำเลอื กหลีกเลยี่ งภยันตรายโดยวธิ ี
กระทำการอนั เปน็ ความผดิ ดว้ ยความคดิ รเิ รมิ่ ของตน แมอ้ าจทำอยา่ งอนื่ ได้ แตก่ ารกระทำอยา่ งอนื่ นัน้ ก็ยงั ทำความเสยี หายแก่
ผู้อ่ืนอยู่นนั่ เอง ดงั นน้ั การกระทำดว้ ยความจำเป็นตาม ป.อ. มาตรา 67 อนั เป็นมูลเหตุแห่งการยกเวน้ โทษจงึ ไม่ใช่สทิ ธิ แตเ่ ป็น
การกระทำทไี่ ม่ใชก่ ารกระทำโดยผู้กระทำมจี ิตใจเปน็ อสิ ระแต่กระทำโดยถกู ผอู้ ่ืนหรอื เหตกุ ารณอ์ นื่ บังคบั อกี ชน้ั หนึ่ง…
ความผดิ ฐานละเมิดอำนาจศาลเป็นความผดิ ต่อศาล และการลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาลก็เปน็
อำนาจของศาลโดยเฉพาะเม่ือปรากฏวา่ เอกสารท่ีโจทกอ์ า้ งถงึ ในคดสี ูญหายไปจากสำนวนความของศาล ต่อมาผถู้ ูกกลา่ วหาได้
นำเอกสารเหลา่ น้ันมามอบคืนศาลช้นั ตน้ โดยผถู้ ูกกล่าวหาเม่ือได้รับเอกสารดงั กลา่ วคืนมาแลว้ ยังคงเก็บเอกสารดงั กล่าวไวอ้ กี
2 ถงึ 3 วนั โดยไม่นำมาสง่ คนื ศาลและการเกบ็ เอกสารเช่นวา่ นัน้ กม็ ิได้รบั อนญุ าตจากศาล การกระทำของผถู้ กู กล่าวหาหาใช่
เป็นเพราะอยู่ในทบี่ งั คับหรือภายใตอ้ ำนาจซึ่งไมส่ ามารถหลกี เล่ยี งหรือขัดขนื ได้ การกระทำของผกู้ ล่าวหาจงึ มใิ ช่กระทำ
ความผดิ ด้วยความจำเปน็ อนั จะทำใหไ้ มต่ อ้ งรับโทษ
24
25
ฎีกาที่ 6965-6966/2546 จำเลยเป็นลูกจา้ งประจำของกรมการศาสนา เป็นผ้ตู ิดตอ่ กบั ผู้เช่าทด่ี ินวดั ร้าง การทจ่ี ำเลย
นำใบเสรจ็ รบั เงินค่าเช่าทด่ี ินวดั ร้างทจี่ ำเลยทำปลอมข้นึ ไปเกบ็ เงินจากผูเ้ ชา่ ต้องถือวา่ จำเลยรับเงินไวแ้ ทนกรมการศาสนา มใิ ช่
รบั ไวแ้ ทนผเู้ ชา่ เพ่อื นำไปมอบให้กรมการศาสนา เมอ่ื จำเลยนำเงินดังกลา่ วไปใชป้ ระโยชน์ส่วนตวั ย่อมเป็นการยักยอกเงนิ ของ
กรมการศาสนา กรมการศาสนาจึงเป็นผเู้ สียหายมอี ำนาจร้องทุกขใ์ ห้ดำเนนิ คดีแกจ่ ำเลยในความผดิ ฐานยกั ยอกได้ การทจ่ี ำเลย
อ้างถึงการเอาเงินของกรมการศาสนาไปเพราะตอ้ งการนำไปใชร้ กั ษาบดิ ามารดาว่าเป็นการกระทำความผดิ ด้วยความจำเป็นนั้น
เห็นไดว้ ่า กรณมี ิใชจ่ ำเลยอยูใ่ นทบ่ี ังคบั หรือภายได้อำนาจซง่ึ ไม่สามารถหลกี เล่ียงหรอื ขดั ขืนได้ และมิใชก่ รณมี ีภยนั ตรายที่ใกล้
จะถึงแตอ่ ย่างใด การกระทำของจำเลยจงึ หาใช่การกระทำความผิดดว้ ยความจำเป็น อนั จะไดร้ บั การยกเว้นโทษตาม ป.อ.
มาตรา 67 ไม่ ใบเสรจ็ รบั เงนิ คา่ เชา่ เปน็ หลกั ฐานแหง่ การระงบั สทิ ธิของผูใ้ ห้เชา่ ในการเรียกเกบ็ เงินค่าเชา่ จากผู้เช่า จงึ เป็น
เอกสารสิทธิตาม ป.อ. มาตรา 1 (9) มใิ ชเ่ อกสารราชการตามมาตรา 1 (8) เพราะไมใ่ ช่เอกสารซึง่ เจ้าพนักงานได้ทำข้นึ หรอื
รับรองในหน้าท่ี
ฎีกาที่ 8649/2549 แมก้ ารทจี่ ำเลยท่ี 2 ขบั รถจกั รยานยนตพ์ าผเู้ สียหายซง่ึ อายุไม่เกนิ 15 ปี และจำเลยที่ 1 ไป
ยงั พิพิธภัณฑเ์ มืองโบราณบ้านโนนเมอื งเพอื่ ใหจ้ ำเลยท่ี 1 ข่มขนื กระทำชำเราแล้วขบั รถจักรยานยนต์พาผเู้ สยี หายไปสง่ บา้ นจะ
ถอื ไดว้ ่าเป็นการกระทำอนั เปน็ การช่วยเหลือหรอื ให้ความสะดวกในการท่จี ำเลยท่ี 1 กระทำความผดิ ฐานข่มขนื กระทำชำเรา
ผูเ้ สียหายโดยมีอาวุธกอ่ นหรอื ขณะทจี่ ำเลยท่ี 1 กระทำความผิด และจำเลยท่ี 2 กระทำโดยมเี จตนาครบถ้วนตามหลกั เกณฑ์
องค์ประกอบความผิดฐานเปน็ ผสู้ นบั สนนุ ตาม ป.อ. มาตรา 277 วรรคสาม ประกอบมาตรา 86 แล้วกต็ าม แตเ่ มื่อได้ความว่า
จำเลยท่ี 2 กระทำความผดิ ดงั กล่าวดว้ ยความจำเป็นเพราะถูกจำเลยท่ี 1 ใช้อาวธุ มีดลักษณะคล้ายมีดสปาตาร์ ยาวประมาณ 1
ฟตุ จที้ ี่คอของผูเ้ สียหายเลยมาถงึ คอของจำเลยท่ี 2 จนผเู้ สียหายเกดิ ความกลวั ว่าจะถกู ทำรา้ ยจงึ รอ้ งบอกจำเลยท่ี 2 ใหข้ บั
รถจักรยานยนตต์ ่อไปจนถงึ ท่เี กิดเหตุ ซึง่ เปน็ ภยนั ตรายทใี่ กลจ้ ะถงึ และจำเลยที่ 2 ไมอ่ าจหลกี เล่ียงหรอื ขัดขนื ให้พ้นโดยวิธอี ่ืนใด
ได้ อีกทงั้ ไม่ใชภ่ ยันตรายทจี่ ำเลยท่ี 2 เปน็ ผู้กอ่ ขึ้นเพราะความผิดของตน การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเปน็ การกระทำความผดิ
ฐานเปน็ ผูส้ นบั สนนุ จำเลยที่ 1 ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายดว้ ยความจำเปน็ พอสมควรแกเ่ หตตุ าม ป.อ. มาตรา 277 วรรค
สาม ประกอบมาตรา 86 และมาตรา 67 (2) จำเลยที่ 2 จงึ ไมต่ ้องรบั โทษ ปญั หาทวี่ ่าจำเลยที่ 2 กระทำความผิดด้วยความ
จำเป็นน้ัน แมจ้ ำเลยท่ี 2 จะมิได้ยกขึน้ เป็นขอ้ ต่อสู้ แตเ่ มอ่ื คดมี ีเหตทุ ี่จำเลยที่ 2 ไมค่ วรตอ้ งรบั โทษ ศาลฎกี าก็มีอำนาจยกขึ้น
วินิจฉัยได้เองตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 185 ประกอบมาตรา 215 และมาตรา 225
ฎกี าท่ี 7227/2553 คำเบกิ ความและคำใหก้ ารช้นั สอบสวนของจำเลยได้ความวา่ ผูต้ ายชอบเลน่ อาวธุ ปนื
บางครง้ั เอากระสนุ ปนื ออกจากลกู โม่แล้วมาจ่อยงิ ทศี่ ีรษะตนเองหรอื ผูอ้ น่ื เพอ่ื ล้อเล่น ในวนั เกดิ เหตุผ้ตู ายกเ็ อาอาวธุ ปนื มาเลน่
อกี แต่ข้อเท็จจรงิ ไม่ปรากฏว่าขณะที่ผู้ตายเอาอาวธุ ปืนมาจอ่ ทีศ่ รี ษะตนเองแล้วจำเลยเขา้ แยง่ เปน็ เหตุใหป้ ืนลน่ั นน้ั ผตู้ ายจะยิง
ตนเองหรือผตู้ ายเมาสรุ าจนไม่ไดส้ ตแิ ต่อย่างใด ทัง้ ไม่ปรากฏวา่ จำเลยร้หู รอื ไมว่ า่ อาวธุ ปนื ดังกลา่ วบรรจกุ ระสนุ ปืนหรือไม่
ดงั นนั้ การทจี่ ำเลยเข้าแยง่ อาวุธปนื ในสถานการณด์ ังกลา่ วถือวา่ จำเลยกระทำโดยปราศจากความระมัดระวงั ซง่ึ บคุ คลในภาวะ
25
26
เช่นน้ันจกั ต้องมตี ามวสิ ยั และพฤติการณ์ และจำเลยอาจใชค้ วามระมดั ระวังเช่นว่านัน้ ไดแ้ ตห่ าได้ใช้ใหเ้ พียงพอไม่ อนั เป็นการ
กระทำโดยประมาทตาม ป.อ. มาตรา 59 วรรคส่ี….
การทจ่ี ะอา้ งวา่ เป็นการกระทำความผดิ ดว้ ยความจำเปน็ ไดน้ นั้ ตอ้ งเป็นเร่อื งการกระทำผิดโดยเจตนา
แต่คดีนี้จำเลยกระทำความผดิ โดยประมาทจงึ มิใช่เปน็ การกระทำความผดิ ด้วยความจำเปน็
ฎกี าที่ 5729/2556 ความผิดฐานฆ่าผอู้ นื่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 นน้ั จำเลยท่ี 1 ตอ้ งรู้
ข้อเท็จจรงิ อันเป็นองค์ประกอบภายนอก คือ (1) ผู้ใด (2) ฆา่ (3) ผอู้ นื่ กลา่ วคอื รู้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการฆ่า และ
รูด้ ว้ ยว่า วตั ถุแห่งการกระทำคือผอู้ ืน่ นัน้ ยงั มชี วี ติ อยู่ ซึง่ ปญั หาวา่ จำเลยท่ี 1 รหู้ รอื ไมว่ ่าผตู้ ายถงึ แกค่ วามตายแล้วนนั้ โจทก์ไม่ได้
ฎกี า และฎีกาโจทกร์ ับว่าจำเลยท่ี 1 เขา้ ใจวา่ ผตู้ ายถึงแกค่ วามตายแลว้ ทัง้ ข้อเทจ็ จริงยุติตามคำพพิ ากษาศาลล่างวา่ จำเลยท่ี 1
พยายามขม่ ขนื กระทำชำเราผู้ตายโดยใชก้ ำลงั ประทุษร้ายผตู้ ายจนหมดสตแิ ล้วนำไปทง้ิ ท่ีอ่างเกบ็ น้ำโดยเขา้ ใจว่าผตู้ ายถงึ แก่
ความตายแล้ว ดังนนั้ การทจี่ ำเลยที่ 1 มไิ ด้รูข้ ้อเท็จจรงิ อนั เป็นองคป์ ระกอบของความผดิ วา่ ผตู้ ายยังไม่ถงึ แกค่ วามตาย จะถือว่า
จำเลยที่ 1 ประสงค์ต่อผลหรอื ยอ่ มเลง็ เหน็ ผลไม่ได้ การกระทำของจำเลยที่ 1 จงึ ขาดองค์ประกอบความผดิ ตามความใน ป.อ.
มาตรา 59 วรรคสาม
ฎกี าที่ 77/2555 ลูกกระสุนปืนทจ่ี ำเลยยงิ ไมท่ ะลผุ ่านผวิ หนงั ทำอันตรายแกอ่ วยั วะภายในแก่ผู้เสยี หายท่ี 1
เป็นเพราะมีกำลงั อ่อนมิใช่เพยี งแตผ่ ูเ้ สยี หายท่ี 1 ถกู ยิงในแนวเฉยี ง การกระทำของจำเลยยอ่ มไม่สามารถจะบรรลผุ ลให้
ผู้เสยี หายที่ 1 ถึงแกค่ วามตายได้อย่างแนแ่ ท้ จึงเป็นความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา 288 ประกอบมาตรา 81 วรรคแรก
ฎีกาที่ 9711/2557 แม้น้ำกรด จะไม่ใชอ่ าวุธโดยสภาพแต่ก็เปน็ สารเคมชี นดิ กรดเกลอื ซ่ึงมคี ณุ สมบัตกิ ัดกอ่ น
ชนิดรุนแรงทท่ี ำให้เกิดอันตรายแก่ชวี ิต นำ้ กรดทจี่ ำเลยท่ี 1 นำมาสาดใส่โจทก์รว่ มทงั้ 3 นอกจากจะมีความเขม้ ข้นสูงแลว้ ยังมี
ปริมาณมากทำใหโ้ จทก์ร่วมท่ี 1 มบี าดแผลถงึ 20% ของร่างกาย จำเลยท่ี 1 ยอ่ มเลง็ เหน็ ผลไดว้ า่ การกระทำของตนกับพวก
เป็นเหตุใหโ้ จทก์รว่ มท้งั 3 ถงึ แก่ความตายได้ การทจ่ี ำเลยที่ 1 กบั พวกเตรยี มนำ้ กรดมาเพ่อื สาดใสโ่ จทกร์ ว่ มท้งั 3 จึงเปน็ การ
กระทำโดยไตรต่ รองไว้กอ่ น.
จำเลยที่ 1 จงึ มคี วามผิดฐานพยายามฆ่าโจทกร์ ่วมท้งั 3 โดยไตรต่ รองไวก้ ่อน ตามประมวลกฎหมาย
อาญามาตรา 289 (4) ประกอบมาตรา 80 แล้วต้องใช้คา่ เสยี หายใหแ้ ก่โจทกร์ ว่ มทง้ั 3
ฎีกาท่ี 15585/2557 จำเลยใช้อาวธุ ปืนยงิ ผเู้ สยี หายในขณะที่ผเู้ สยี หายกำลังขบั รถยนตเ์ ล้ียวเขา้ สถานบี รกิ าร
นำ้ มนั แม้กอ่ นเกดิ เหตจุ ำเลยทราบว่าผเู้ สียหายมคี วามสมั พันธ์ฉนั ชูส้ าวกับภริยาจำเลยและจำเลยยงั ขุ่นเคอื งผู้เสยี หายกต็ าม
แตจ่ ำเลยหาไดก้ ระทำตอ่ ผูเ้ สยี หายในขณะที่พบเหน็ ผเู้ สยี หายเปน็ ชู้กับภริยาจำเลยหรือในระยะเวลาทตี่ อ่ เนอ่ื งกระช้นั ชดิ กนั ถือ
ไม่ได้วา่ จำเลยยงิ ผ้เู สียหายเพราะเหตบุ ันดาลโทสะในขณะถกู ข่มเหงอยา่ งรา้ ยแรงดว้ ยเหตุอันไม่เปน็ ธรรมตาม ป.อ. มาตรา 72
26
27
ฎกี าที่ 7237/2556 โจทกร์ ว่ มยนื อยบู่ รเิ วณประตรู ถยนต์ของจำเลยเพยี งลำพงั โดยไมป่ รากฏวา่ มีบุคคลอ่นื ใดอยู่
ร่วมกับโจทก์ร่วมด้วย ท้งั ขณะนน้ั จำเลยกล็ อ็ คประตูของรถยนตต์ ู้อยู่ โจทกร์ ว่ มยอ่ มไมส่ ามารถเปิดประตรู ถยนต์ตู้เขา้ ไปทำรา้ ย
จำเลยได้ จึงไม่มีภยนั ตรายทีเ่ กิดจากการประทุษรา้ ยอันละเมดิ ต่อกฎหมายทจ่ี ำเลยจะตอ้ งกระทำเพอ่ื ป้องกัน การท่ีจำเลยใช้
อาวุธปนื ยิงโจทก์รว่ ม จำเลยจึงไมอ่ าจอ้างไดว้ า่ การกระทำของจำเลยเปน็ การปอ้ งกนั โดยชอบดว้ ยกฎหมาย แต่การท่ีโจทก์
ร่วมกบั พวกจอดรถขวางกนั้ ไมใ่ หจ้ ำเลยถอยรถยนตต์ อู้ อกจากท่ีเกดิ เหตโุ ดยจำเลยจะต้องไปรับพนักงานไปสง่ ยงั ทหี่ มายซง่ึ เปน็
ภาระหนา้ ทีใ่ นการประกอบอาชีพของจำเลยและยังไดค้ วามจากจำเลยว่าโจทกร์ ่วมมากระชากประตรู ถยนตต์ ู้และทบุ กระจก
รถยนต์ตอู้ ยา่ งแรงหลายครั้ง อันเป็นการเข้าไปหาจำเลยโดยมีทา่ ทคี ุกคามยอ่ มเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างรา้ ยแรงด้วยเหตุอันไม่
เป็นธรรม การท่จี ำเลยใชอ้ าวุธปืนยิงโจทก์รว่ มในขณะนน้ั การกระทำของจำเลยจงึ เปน็ การกระทำโดยบนั ดาลโทสะ ตาม ป.อ.
มาตรา 72
ฎกี าที่ 11527/2557 กรณที ี่จะเปน็ การสำคญั ผิดในขอ้ เทจ็ จริงอินเป็นองค์ประกอบของ ความผิด ตาม ป.อ.
มาตรา ๖๒ วรรคแรก นน้ั จะตอ้ งเป็นกรณีทม่ี ีพฤตกิ ารณ์หรอื เหตุชกั จูงใจให้จำเลยสำคญั ผิดโดยสจุ ริต มใิ ชเ่ ปน็ เพียงการ
คาดคะเนเอาเองของจำเลยดังทอ่ี ้างนนั้ จำเลยเองก็นำสบื รับวา่ ร้จู ักกบั ผเู้ สยี หายที่ ๑ เพราะเปน็ คนหมบู่ ้านเดยี วกัน พฤตกิ ารณ์
ของจำเลยตามรปู เรอื่ งจงึ ไม่มเี หตผุ ลเพียงพอที่จะยกขนึ้ อา้ งเปน็ ข้อแก้ตวั ว่าจำเลยสำคญั ผิดในข้อเทจ็ จรงิ เก่ยี วกบั อายขุ อง
ผเู้ สยี หายท่ี ๑โดยสจุ ริต ด้งนั้น เมอื่ จำเลยกระทำชำเรา ผเู้ สยี หายที่ ๑ ซึ่งเปน็ เดก็ อายุยงิ ไมเ่ กนิ สิบหา้ ปีและมิใช่ภรยิ าของตน ไม่
ว่าผเู้ สียหายที่ ๑ จะยนิ ยอมหรือไมก่ ต็ าม จำเลยจงึ มคี วามผดิ ตาม ป.อ. มาตรา ๒๗๗ วรรคหน่ึง
ความผิดฐานพรากเดก็ อายยุ งั ไม่เกนิ สิบห้าปีไปเสยี จากบิดามารดา ผูป้ กครอง หรือผ้ดู แู ล
โดยปราศจากเหตอุ ันสมควร ตาม ป.อ. มาตรา ๓๑๗ คือการแยกเด็กออกไปจากอำนาจปกครองดแู ลของบดิ ามารดา
ผ้ปู กครอง หรอื ผูด้ แู ล อันมผี ลทำให้อำนาจปกครองดูแลของบดิ ามารดา ผปู้ กครอง หรอื ผูด้ แู ลเดก็ ถกู รบกวนหรือถกู
กระทบกระเทือน โดยบิดามารดา ผ้ปู กครอง หรือผูด้ ูแลเดก็ ไม,รูเ้ ห็นหรือยินยอมดว้ ย โดยไม,จำกัดวา่ จะกระทำด้วยวธิ ใี ด อนั
เปน็ การล่วงละเมดิ อำนาจปกครองของบดิ ามารดา ผปู้ กครอง หรือผูด้ ูแล แตค่ ำว่า “พราก” ตามพจนานุกรม ฉบบั
ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔ หมายความวา่ ทำให้จากไปพาไปเสยี จาก แยกออกจากกัน หรอื เอาออกจากกนั ดังนน้ั การ
กระทำที่จะเปน็ การพรากจงึ ต้องเป็นมากกว่าการพดู ชักชวน เพราะหากเป็นเพียงการพดู ซักชวน เด็กทถี่ ูกพดู ซกั ชวน อาจ
ตัดสนิ ใจไปหรอื ไม่ไปตามทถี่ กู พดู ซกั ชวนก็ได้ เมือ่ ข้อเทจ็ จรงิ ตาม ทางนำสบื ของโจทก็ไดค้ วามเพยี งว่า ล. โทรศัพท์ไปพูด
ชกั ชวนผูเ้ สียหาย ท่ี ๑ ให้มาหลบั นอนกบั จำเลยทีพ่ มิ พิมานรีสอร์ทเพอ่ื แลกกบั ค่าตอบแทน ซง่ึ ผเู้ สียหายท่ี ๑ ตกลงใจและยอม
เดนิ ทางมาทีพ่ มิ พมิ านรสี อร์ทดว้ ยตนเอง โดยไม่ปรากฏวา่ จำเลยมสี ว่ นรว่ มหรอื รเู้ หน็ กบั ล. ในการพูดซักชวน ผเู้ สยี หายที่ ๑ให้
เดนิ ทางมาทพ่ี ิมพมิ านรสี อรท์ เพอ่ื ใหจ้ ำเลยกระทำชำเรา โดยจำเลยเพียงแต่รอผเู้ สียหายท่ี ๑ อยใู่ นห้อง การกระทำของจำเลย
จึงไม่เป็น ความผิดฐานรว่ มกนั พรากเดก็ อายุยังไมเ่ กินสบิ ห้าปีไปเสยี จากบิดามารดา ผปู้ กครอง หรือผู้ดูแล โดยปราศจากเหตุ
อันสมควร เพอ่ื การอนาจาร
27
28
ฎกี าที่ 5729/2556 ความผดิ ฐานฆา่ ผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 น้นั จำเลยที่ 1 ตอ้ งรู้
ขอ้ เท็จจรงิ อันเปน็ องคป์ ระกอบภายนอก คอื (1) ผู้ใด (2) ฆา่ (3) ผูอ้ น่ื กลา่ วคือ รู้วา่ การกระทำของจำเลยที่ 1 เปน็ การฆ่า และ
รดู้ ้วยว่า วัตถุแห่งการกระทำคอื ผูอ้ ื่นนัน้ ยงั มชี ีวติ อยู่ ซงึ่ ปญั หาว่าจำเลยท่ี 1 รหู้ รือไมว่ า่ ผูต้ ายถึงแกค่ วามตายแลว้ นั้น โจทกไ์ มไ่ ด้
ฎีกา และฎีกาโจทกร์ ับว่าจำเลยที่ 1 เข้าใจวา่ ผู้ตายถงึ แก่ความตายแลว้ ทัง้ ขอ้ เทจ็ จรงิ ยตุ ิตามคำพิพากษาศาลล่างว่าจำเลยที่ 1
พยายามข่มขนื กระทำชำเราผู้ตายโดยใชก้ ำลงั ประทุษรา้ ยผตู้ ายจนหมดสติแล้วนำไปทงิ้ ท่ีอ่างเกบ็ นำ้ โดยเข้าใจวา่ ผูต้ ายถงึ แก่
ความตายแล้ว ดงั นัน้ การที่จำเลยท่ี 1 มไิ ดร้ ้ขู อ้ เทจ็ จรงิ อนั เปน็ องค์ประกอบของความผิดว่าผตู้ ายยงั ไม่ถงึ แก่ความตาย จะถอื วา่
จำเลยที่ 1 ประสงคต์ ่อผลหรอื ยอ่ มเลง็ เห็นผลไมไ่ ด้ การกระทำของจำเลยที่ 1 จงึ ขาดองคป์ ระกอบความผิดตามความใน ป.อ.
มาตรา 59 วรรคสาม
ฎีกาที่ 7144/2545 เมอ่ื ผ้ตู ายได้ตายไปแล้วแตจ่ ำเลยคิดว่าผู้ตายสลบไป จงึ ข่มขนื กระทำชำเราผูต้ าย จำเลยจึง
ไม่มีความผดิ ฐานขม่ ขืนกระทำชำเราผตู้ าย เพราะผตู้ ายได้ถงึ แกค่ วามตายไปกอ่ นแลว้ ไมม่ สี ภาพบุคคล ตามประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิชย์ มาตรา 15
ฎกี าที่ 4091/2554 แม้การเขา้ ไปทำรา้ ยผตู้ ายในตอนแรก จำเลยท่ี 1 จะไม่ไดร้ ่วมรเู้ ห็นหรือสมคบกบั ส. บ. ค.
หรอื จำเลยที่ 2 และจำเลยท่ี 1 เข้าไปเตะผูต้ ายเพียงครั้งเดียว ซึ่งแสดงว่าจำเลยท่ี 1 มเี พยี งเจตนาทำรา้ ยผูต้ ายกต็ าม แต่
เหตกุ ารณท์ ำรา้ ยผ้ตู ายดงั กลา่ วได้ยตุ ลิ งและขาดตอนไปแล้ว การท่ีจำเลยที่ 1 ร่วมกบั พวกลากผูต้ ายซึ่งขณะน้นั ไม่ไดส้ ตไิ ปโยน
ลงแม่นำ้ เปน็ เหตกุ ารณท์ ่เี กิดขนึ้ ใหม่ จำเลยที่ 1 ยอ่ มเล็งเหน็ ผลได้วา่ การนำผูต้ ายซึ่งอยใู่ นสภาพทห่ี มดสติไปโยนทงิ้ นำ้ เช่นนัน้
ย่อมไม่สามารถชว่ ยเหลือตนเองได้และตอ้ งจมนำ้ ตาย จำเลยท่ี 1 จงึ มเี จตนารว่ มกบั พวกฆ่าผู้ตาย
ฎีกาท่ี 4458/2557 ศาลอทุ ธรณ์วินิจฉัยและฟงั ขอ้ เทจ็ จรงิ จากคำเบกิ ความของพยานโจทก์ปาก บ.และ ส. ว่า
พยานไดร้ ับชุดเอกสารการโอนอาวธุ ปนื จากจำเลย จากนน้ั มอบเอกสารดังกลา่ วให้ว. ไปดำเนินการโอนทะเบียนอาวุธปืนต่อไป
ตอ่ มา บ.ทราบเรอื่ งเอกสารการโอนอาวุธปืนดังกลา่ วเป็นเอกสารปลอมจาก ส. บ.ก็สอบถามเรอ่ื งดงั กลา่ วจากจำเลยและขอเงิน
คืน แตจ่ ำเลยก็ไมค่ ืนให้ อกี ทัง้ ว.ได้ให้การตอ่ พนกั งานสอบสวนวา่ ว.เช่อื วา่ เอกสารการโอนอาวุธปนื เปน็ เอกสารจรงิ จงึ แสดง
ใหเ้ ห็นว่า บ.ส.และว.ต่างไมท่ ราบว่าเอกสารการโอนอาวธุ ปนื เปน็ เอกสารปลอม การจะเป็นผใู้ ชใ้ หก้ ระทำความผดิ ตาม ป.อ.
มาตรา 84 ได้ ผถู้ ูกใชจ้ ะตอ้ งรู้วา่ การกระทำตามทีถ่ กู ใช้เปน็ ความผิด แต่เมือ่ บ. ส. และ ว.ไมร่ วู้ ่าเอกสารการโอนอาวธุ ปนื เปน็
เอกสารปลอม จึงไม่ถือว่ามผี ถู้ ูกใช้ใหก้ ระทำความผิด และไม่ใชก่ ารใชใ้ ห้ผูอ้ น่ื กระทำความผดิ บคุ คลดงั กล่าว จงึ เป็นเพยี ง
เครอื่ งมอื ของจำเลยในการกระทำความผิด ถอื ว่าจำเลยเปน็ ผกู้ ระทำความผิดเองโดยออ้ ม จำเลยไมเ่ ป็นผใู้ ชใ้ ห้ผอู้ นื่ กระทำ
ความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา 84
ฎีกาท่ี 2876/2556 พวกของจำเลย 10 คน รมุ ทำร้ายผตู้ าย พวกของจำเลยมอี าวธุ มีดปลายแหลมเป็นอาวุธ
ครั้นเมือ่ ส. จะเข้าไปชว่ ยเหลอื ผูต้ ายในระหวา่ งทพี่ วกของจำเลยใช้มีดแทงผูต้ ายทง้ั สองครง้ั แต่ถูกจำเลยชกต่อยขัดขวางไม่ให้
28
29
ส. เข้าไปช่วยเหลือผตู้ าย การกระทำของจำเลยจึงเป็นการให้ความสะดวกแก่พวกของจำเลยในการทำร้ายผูต้ าย อันเปน็ การ
สนบั สนุนใหผ้ อู้ น่ื กระทำความผดิ .
ฎีกาท่ี 2897-2898/2551 การขบั รถจักรยานยนตพ์ าจำเลยที่ 1 มาสง่ ยังสถานท่ีลกั ทรัพย์ แลว้ นดั หมายกำหนดเวลา
กันว่าจะขับรถจกั รยานยนต์มารบั กลับเม่อื ใดน้นั ถือไดว้ า่ จำเลยที่ 3 และท่ี 5 ไดก้ ระทำการอนั เป็นการชว่ ยเหลอื จำเลยที่ 1
กอ่ นและขณะกระทำความผิด จำเลยที่ 3 และท่ี 5 จึงไมเ่ ปน็ ตวั การรว่ มกบั จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานลกั ทรพั ยแ์ ตเ่ ป็น
ผ้สู นบั สนุนการกระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 86 ซงึ่ ศาลฎกี ามีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยท่ี 3 และที่ 5 ในความผดิ
ดังกลา่ ว ตามทไี่ ดค้ วามตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 192 วรรคสองได้
ฎกี าที่ 6984/2558 จำเลยท้งั สามบกุ รกุ เข้าไปในสถานที่เกบ็ รกั ษาสายไฟฟา้ ทัง้ ยังทำรา้ ยผู้เสยี หายซ่ึง
ครอบครองดูแลสถานทีน่ ัน้ อนั เป็นสว่ นหนึง่ ของการปล้นทรพั ย์ จงึ เปน็ การลงมือกระทำความผดิ ฐานปลน้ ทรพั ยไ์ ม่ใช่แค่เพยี ง
ตระเตรยี มการ แมจ้ ำเลยทงั้ สามจะหลบหนไี ปกอ่ น โดยไมแ่ ตะตอ้ งสายไฟฟา้ กเ็ ปน็ การลงมอื กระทำความผิดแลว้ แต่กระทำไป
ไมต่ ลอด การกระทำของจำเลยทัง้ สามจึงเปน็ การร่วมกันพยายามกระทำความผดิ ฐานปลน้ ทรพั ย์
ฎกี าท่ี 337/ 2559 ผเู้ สียหายเดนิ เข้าไปหาจำเลยพรอ้ มเงอ้ื มอื จะตบจำเลย นบั เป็นภยันตราย ทใ่ี กลจ้ ะถึงและ
ไม่มีทางหลกี เล่ียงได้ แมจ้ ำเลยมอี ายนุ อ้ ยกว่าและรูปร่างใหญก่ ว่าผูเ้ สียหายก็ตาม แตจ่ ำเลยผลกั ผเู้ สยี หายซึง่ อยู่ในระยะประชิด
เพอื่ ปอ้ งกันตัวเพียงครงั้ เดยี วและบงั เอญิ เปน็ เหตใุ หผ้ เู้ สยี หายล้มหายหลงั ลงกบั พน้ื ทำให้กระดกู สนั หลังแตกยบุ ท้ังจำเลยไมไ่ ด้
ตามไปทำร้ายผู้เสยี หายซ้ำอีก การกระทำของจำเลยเปน็ การปอ้ งกันพอสมควรแก่เหตุและไม่เกินกว่ากรณแี หง่ การ จำต้อง
กระทำเพอื่ ป้องกนั จงึ ไมม่ คี วามผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 68
ฎีกาที่ 237/2559 ผู้เสียหายเป็นฝา่ ยก่อเหตขุ ้ึนก่อน โดยเข้าไปลอ็ กแขนของจำเลย ทางดา้ นหลงั แต่จำเลยก็
ไม่ได้ทำรา้ ยผเู้ สียหาย จน ส.พูดทำนองห้ามปรามผูเ้ สียหาย ผูเ้ สียหายจึงปล่อยจำเลย แลว้ ทำเลยเดินไป
ที่รถจักรยานยนต์ ผเู้ สยี หายก็ยังเดนิ ตามไปและพูดทำนองทา้ ทายจำเลย จำเลยก็ไมไ่ ดต้ ่อสูก้ บั ผเู้ สยี หาย เมอ่ื ผเู้ สยี หายชกหนา้
ของจำเลยหนึง่ ครงั้ จำเลยไม่ไดต้ อบโตอ้ กี และจูงรถจกั รยานยนตอ์ อกไปหนา้ บ้าน ขณะจำเลยกำลงั ข้ึนครอ่ มรถจกั รยานยนต์
ผู้เสยี หายเดนิ ตามมาแลว้ ใชข้ วดสุราจะตีท่ศี รี ษะของจำเลย จำเลยยกแขนขวาขึน้ บงั ทำใหข้ วดหล่นแตก ผเู้ สียหายจะชกจำเลย
จำเลยหลบจนรถจักรยานยนตล์ ม้ ลงกบั พืน้ และทับขาของจำเลย ผเู้ สยี หายพยายามเข้าไปชกจำเลยอีก จำเลยจงึ คว้าขวดเบยี ร์
ที่อยใู่ นตะกรา้
หน้ารถจกั รยานยนต์ ตีไปที่ศีรษะดา้ นหลงั ของผู้เสยี หาย ดังนี้ไม่ใชเ่ ร่อื งที่จำเลยสมคั รใจวิวาทกับ
ผู้เสยี หาย และนบั เปน็ ภยนั ตรายทีใ่ กลจ้ ะถึง ทไ่ี มม่ ที างหลกี เลย่ี งได้ อกี ทงั้ จำเลยได้ใชค้ วามอดทนอดกล้นั อยา่ งเตม็ ทีแ่ ล้ว
ประกอบกบั จำเลยใชข้ วดเบยี ร์ซงึ่ หยบิ ฉวยเอาไดท้ ันที จากบรเิ วณตะกรา้ หน้ารถจักรยานยนต์ตที ่ีบริเวณศรี ษะดา้ นหลังของ
ผเู้ สยี หายเพยี งครัง้ เดยี ว โดยไม่ไดต้ ีซ้ำอกี และไมป่ รากฏวา่ ผเู้ สยี หายมบี าดแผลรา้ ยแรงทบี่ รเิ วณดังกลา่ ว แสดงวา่ จำเลยกระทำ
29
30
ไปโดยมเี จตนาเพื่อปอ้ งกันตนเองและกระทำพอสมควรแกเ่ หตุ ทงั้ บาดแผลอ่นื ทผี่ เู้ สยี หายไดร้ บั เชอ่ื วา่ เปน็ ผลโดยตรงสบื เนอ่ื ง
จากการกระทำโดยปอ้ งกันของจำเลย การกระทำของจำเลย
เป็นการปอ้ งกันโดยชอบดว้ ยกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 68
ฎกี าท่ี 9693/2554 เม่อื สายลบั ล่อซือ้ เมทแอมเฟตามนี ได้แลว้ ผู้เสียหายกบั พวกเขา้ ไปจบั กุมจำเลยทงั้ สาม โดย
ใชร้ ถยนต์ 2 คนั คนั หนึ่งขบั ไปขวางหน้ารถยนตท์ จี่ ำเลยท่ี 1 เป็นคนขบั และรถยนตอ์ กี คันหนึ่งทม่ี ผี เู้ สียหายนงั่ มาดว้ ยขบั ไป
ขวางทางด้านหลัง ผเู้ สยี หายลงจากรถยนต์มายนื ด้านหลังรถยนต์ของจำเลยที่ 1 พรอ้ มพูดแสดงตวั เปน็ เจ้าพนกั งานตำรวจเพ่ือ
จบั กมุ ด้วยเสียงดงั จำเลยท่ี 1 ขับรถยนต์ถอยหลงั พุ่งตรงไปทางผเู้ สียหาย ผเู้ สียหายกระโดดหลบ รถยนตท์ จ่ี ำเลยท่ี 1 ขบั ชน
ทางด้านหนา้ ของรถยนต์ พนั ตำรวจโท ฉ. ที่ขวางอยดู่ า้ นหลงั ได้รับความเสยี หายคอ่ นข้างมาก การท่ีจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ถอย
หลงั ดงั กลา่ วย่อมเล็งเห็นผลได้วา่ หากผเู้ สียหายไม่กระโดดหลบรถยนตท์ ีจ่ ำเลยท่ี 1 ขับอาจชนผู้เสยี หายซึง่ ยืนอยทู่ างด้านหลงั
ในระยะหา่ งเพียง 5 เมตร ถึงแก่ความตายได้ การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเปน็ ความผิดฐานพยายามฆา่ ผเู้ สียหายซง่ึ เป็นเจา้
พนักงานกระทำตามหน้าทต่ี าม ป.อ. มาตรา 289 (2)
ฎีกาท่ี 14232/2558 กรณคี วามผิดตาม ป.อ. มาตรา 294 และ 299 น้ันต้องเป็นการชุลมุนตอ่ สูก้ นั ระหว่างบุคคล
ตั้งแต่สามคนขึ้นไปและมบี คุ คลถงึ แก่ความตายและได้รบั อนั ตรายสาหสั โดยไมท่ ราบวา่ ผใู้ ดหรือผูใ้ ดรว่ มกบั ใครกระทำจนถงึ แก่
ความตายหรือจนไดร้ ับอันตรายสาหัส แต่หากสามารถรแู้ ละแบง่ ฝ่ายแบ่งพวกกันได้ ทั้งรู้วา่ ผ้ใู ดหรอื ฝา่ ยใดเปน็ ผลู้ งมือทำร้าย
ย่อมลงโทษผู้นนั้ กับพวกไดต้ ามเจตนาและผลของการกระทำ เมอ่ื ขอ้ เทจ็ จรงิ คดีนไ้ี ด้ความวา่ จำเลยกบั พวกฝ่ายหน่ึงและผตู้ าย
กับผเู้ สียหายฝ่ายหนึง่ วิวาทตอ่ สกู้ ัน แมพ้ ยานโจทกท์ ี่อย่ใู นเหตุการณจ์ ะไมอ่ าจระบุไดแ้ น่ชัดวา่ คนใดในกลุ่มของจำเลยเข้าไปใช้
อาวุธมดี แทงผตู้ ายเป็นเหตุใหผ้ ตู้ ายถงึ แกค่ วามตายและฟนั ผเู้ สยี หายเปน็ เหตุใหผ้ เู้ สยี หายได้รบั อันตรายสาหสั กต็ าม ย่อมมใิ ช่
กรณตี าม ป.อ. มาตรา 294 และ 299 ดังที่ศาลอทุ ธรณ์ภาค 6 วินิจฉยั และเมื่อข้อเทจ็ จริงฟงั ได้วา่ พวกของจำเลยทีเ่ ข้ารว่ มใน
การทะเลาะววิ าทกับผู้ตายและผ้เู สียหายไดใ้ ชม้ ีดแทงผู้ตายและฟันผู้เสยี หาย จำเลยซง่ึ มเี จตนาร่วมกบั พวกกระทำตอ่ ผู้ตายและ
ผูเ้ สียหายย่อมต้องรบั ผลอันเป็นธรรมยอ่ มเกดิ ขนึ้ จากการนั้นในฐานะเปน็ ตวั การ แมม้ ไิ ด้เปน็ ผลู้ งมือแทงผู้ตายและฟนั ผูเ้ สยี หาย
ดว้ ยตนเองกต็ าม
ฎกี าที่ 3161/2559 ขณะทจี่ ำเลยขวา้ งขวดบรรจนุ ำ้ มันที่มีไฟติดอยไู่ ปที่โต๊ะของผู้เสียหายที่ 1 นัน้ ผู้เสยี หายที่ 2
น่งั อยใู่ กลก้ ับผเู้ สยี หายที่ 1 จำเลยย่อมเลง็ เหน็ ผลไดว้ า่ น้ำมันทตี่ ดิ ไฟจะกระเด็นไปถูกผเู้ สียหายที่ 2 ซงึ่ นัง่ อยใู่ กลก้ ับผูเ้ สียหายท่ี
1 ได้ การกระทำของจำเลยจงึ เปน็ การกระทำโดยเจตนาเลง็ เห็นผลตาม ป.อ. มาตรา 59 วรรคสอง หาใชเ่ ป็นการกระทำโดย
พลาดตาม ป.อ. มาตรา 60 ไม่
ฎกี าท่ี 13262/2558 เมอื่ จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายแล้ว จำเลยที่ 2 และท่ี 3 ไปสง่ บ. ทบ่ี า้ นแลว้ ยอ้ นกลับ
ไปยังกระทอ่ มทเ่ี กดิ เหตอุ กี ครงั้ หนงึ่ และรว่ มกบั จำเลยที่ 1 ยกรา่ งของผตู้ ายขึ้นรถกระบะคนั เกิดเหตุ ทง้ั ขณะทีจ่ ำเลยท่ี 1 นำ
30
31
ฟางมาคลมุ รา่ งของผตู้ ายและนำยางในรถยนตม์ าวางทบั แลว้ ตระเตรยี มน้ำมนั เชื้อเพลงิ ข้นึ รถกระบะนั้น จำเลยที่ 2 และที่ 3 ก็
อยู่ในเหตกุ ารณ์ด้วย จำเลยท่ี 2 และที่ 3 ย่อมคาดหมายไดว้ ่าจำเลยที่ 1 จะต้องจุดไฟเผารถกระบะคันเกดิ เหตุและร่างของ
ผตู้ ายเพื่ออำพรางคดี จากนน้ั จำเลยที่ 3 ก็น่งั ไปดว้ ยในรถกระบะทจ่ี ำเลยที่ 1 ขับ โดยมีจำเลยที่ 2 ขบั รถอกี คันหนง่ึ แลน่ ตดิ ตาม
ไปแล้วจำเลยทงั้ สามร่วมกนั จดุ ไปเผารถกระบะคันเกดิ เหตพุ รอ้ มร่างของผตู้ ายซงึ่ อยู่ในรถดังกลา่ ว การท่ีจำเลยท่ี 2 และที่ 3
ร่วมกันจุดไฟเผารถกระบะคนั เกิดเหตุโดยเข้าใจวา่ ผูต้ ายถงึ แกค่ วามตายแลว้ เปน็ การกระทำโดยไมร่ ู้ข้อเทจ็ จริงอนั เป็น
องคป์ ระกอบของความผิด จงึ ไม่มเี จตนาฆ่าผตู้ าย แตก่ ารกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 หาไดใ้ ช้ความระมดั ระวังตรวจดูใหด้ ี
ก่อนวา่ ผตู้ ายถงึ แกค่ วามตายแลว้ หรือไม่ ซึ่งบคุ คลในภาวะเชน่ จำเลยที่ 2 และที่ 3 จกั ต้องมตี ามวสิ ยั และพฤติการณแ์ ต่หาได้ใช้
ใหเ้ พยี งพอ จำเลยที่ 2 และที่ 3 จงึ มคี วามผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุใหผ้ ู้อ่นื ถงึ แก่ความตาย และฐานร่วมกนั วางเพลงิ
เผาทรัพย์ของผู้อื่น
ความผดิ ฐานรว่ มกันซอ่ นเร้น ย้าย หรือทำลายศพเพอื่ ปดิ บงั เหตุแหง่ การตายตาม ป.อ. มาตรา
199 นน้ั การกระทำทจี่ ะเป็นความผิดฐานนี้ ผกู้ ระทำจะตอ้ งซ่อนเรน้ ย้าย หรอื ทำลายศพซง่ึ หมายความถงึ รา่ งกายของคนท่ี
ตายแลว้ แตเ่ มอื่ ขณะทีผ่ ตู้ ายถกู เผาผู้ตายยงั ไมถ่ ึงแกค่ วามตาย ร่างกายของผู้ตายในขณะนัน้ จึงไมใ่ ช่ศพ ยอ่ มไมอ่ าจถือได้ว่า
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันซ่อนเรน้ ย้ายหรือทำลายศพอันเป็นองค์ประกอบความผดิ การกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 จึง
ไม่เปน็ ความผิดตาม ป.อ. มาตรา 199
ฎกี าที่ 90/2531 จำเลยใหพ้ วกมาร้องเรยี ก พ.ให้ออกมาจากบา้ นโดยจำเลยแอบซมุ่ ยงิ อยู่ แมบ้ งั เอญิ ผตู้ ายลกุ ขน้ึ มา
เปิดประตบู า้ นลงบนั ไดเพือ่ จะไปถา่ ยปสั สาวะข้างลา่ ง แลว้ ถูกจำเลยใชอ้ าวธุ ปนื ยงิ โดยสำคญั ผดิ ว่าเป็น พ.กต็ าม การกระทำของ
จำเลยก็เป็นการฆ่าผ้ตู ายโดยไตรต่ รองไวก้ อ่ น.
ฎีกาท่ี 7227/2553 คำเบิกความและคำใหก้ ารชน้ั สอบสวนของจำเลยไดค้ วามว่า ผูต้ ายชอบเล่นอาวุธปืน
บางครงั้ เอากระสนุ ปนื ออกจากลกู โม่แล้วมาจ่อยงิ ทีศ่ ีรษะตนเองหรือผู้อนื่ เพอ่ื ลอ้ เลน่ ในวนั เกดิ เหตุผตู้ ายกเ็ อาอาวุธปืนมาเล่น
อกี แตข่ อ้ เทจ็ จรงิ ไมป่ รากฏวา่ ขณะท่ีผตู้ ายเอาอาวุธปืนมาจอ่ ทศี่ ีรษะตนเองแลว้ จำเลยเขา้ แยง่ เป็นเหตุให้ปนื ลั่นน้ัน ผู้ตายจะยิง
ตนเองหรือผ้ตู ายเมาสรุ าจนไม่ไดส้ ตแิ ตอ่ ย่างใด ทงั้ ไมป่ รากฏวา่ จำเลยร้หู รือไม่ว่าอาวุธปืนดงั กลา่ วบรรจุกระสนุ ปืนหรอื ไม่
ดังนั้น การทจ่ี ำเลยเข้าแย่งอาวุธปนื ในสถานการณ์ดังกล่าวถือวา่ จำเลยกระทำโดยปราศจากความระมัดระวังซงึ่ บุคคลในภาวะ
เชน่ นนั้ จักต้องมตี ามวสิ ัยและพฤติการณ์ และจำเลยอาจใช้ความระมดั ระวังเช่นวา่ นนั้ ไดแ้ ตห่ าได้ใชใ้ หเ้ พียงพอไม่ อันเปน็ การ
กระทำโดยประมาทตาม ป.อ. มาตรา 59 วรรคส่ี การที่จะอา้ งวา่ เปน็ การกระทำความผดิ ด้วยความจำเป็นได้นน้ั ตอ้ งเปน็ เรอื่ ง
การกระทำผดิ โดยเจตนา แตค่ ดีนี้จำเลยกระทำความผิดโดยประมาทจงึ มใิ ชเ่ ปน็ การกระทำความผิดดว้ ยความจำเปน็
ฎกี าที่ 895/2553 จำเลยขับรถจกั รยานยนตม์ าทห่ี น้าร้านอาหารทเ่ี กิดเหตุและใชอ้ าวธุ ปนื ยงิ ใสผ่ ้เู สยี หายท่ี 2
ทีอ่ ยู่บรเิ วณหนา้ ร้าน กระสุนปนื ถูกผู้เสยี หายที่ 2 และที่ 3 ซง่ึ ลักษณะบาดแผลของผูเ้ สียหายท่ี 2 ท่ีถกู ยงิ บรเิ วณหวั ไหล่ บง่ ชว้ี ่า
31
32
เป็นการยิงไปยงั สว่ นบนของรา่ งกายซง่ึ จำเลยยอ่ มเลง็ เหน็ ไดว้ า่ กระสนุ ปืนอาจถกู อวยั วะสำคัญของผ้เู สยี หายท่ี 2 ถึงแก่ความ
ตายได้ อนั ถอื เปน็ การกระทำโดยเจตนาฆา่ เมอื่ การกระทำไมบ่ รรลผุ ล จำเลยจงึ มคี วามผิดฐานพยายามฆ่าผเู้ สยี หายท่ี 2 และ
กระสุนปืนยงั พลาดไปถกู ผเู้ สียหายที่ 3 ทบ่ี รเิ วณไหปลารา้ ตอ้ งถอื ว่าจำเลยกระทำโดยเจตนาฆ่าผเู้ สยี หายที่ 3 เชน่ เดียวกนั ตาม
ป.อ มาตรา 60 แต่การกระทำไมบ่ รรลผุ ล จำเลยจึงมีความผดิ ฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายท่ี 3 ด้วย
ฎีกาที่ 2550/2553 ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคนื จำเลยนอนในเปลที่ขนำในนาก้งุ เพอื่ เฝา้ ดแู ลรกั ษาทรพั ย์สิน
ของตน เมอ่ื จำเลยเหน็ รถยนตแ์ ลน่ ผ่านเขา้ มาใกล้ก็ใชส้ ปอทไลทส์ ่องซง่ึ จะทำใหผ้ ูท้ ผ่ี า่ นมาทราบวา่ มผี ้เู ฝา้ ดูแลอยูใ่ นบรเิ วณน้ัน
อันเป็นการกระทำเพ่ือรกั ษาทรพั ย์สินของตน แต่โจทกร์ ่วมกลับขับรถแลน่ เขา้ มาบรเิ วณทีเ่ กิดเหตุซ่งึ มใิ ช่ถนนสาธารณะทใี่ ช้
สัญจรทว่ั ไป แต่เป็นถนนทางเขา้ นากงุ้ ในยามวกิ าลเวลาประมาณ 3 นาฬกิ า แล้วชนรถจักรยานยนต์ของจำเลยซงึ่ จอดอยหู่ น้า
ขนำ ยอ่ มทำให้จำเลยตกใจกลวั และสำคญั ผิดว่าเปน็ ภยนั ตรายท่ีใกลจ้ ะถงึ จากคนร้ายทมี่ งุ่ เขา้ ทำร้ายตน การที่จำเลยใช้อาวุธปนื
ยิงขึ้นฟ้าก่อนและยงิ อีก 1 นดั ในระยะเวลาทใี่ กล้ชดิ ต่อเนอ่ื งกนั ขณะ ช. และโจทก์รว่ มกำลังเปิดประตรู ถออกมา ยอ่ มทำให้
จำเลยเขา้ ใจวา่ ผทู้ ่ีอยูใ่ นรถมอี าวุธหากจำเลยชา้ เพยี งเลก็ นอ้ ย จำเลยกอ็ าจได้รบั อันตรายรา้ ยแรงได้ จึงเป็นการป้องกนั ตนให้พ้น
จากภยนั ตรายทจี่ ำเลยสำคญั ผิดวา่ จะเกดิ ข้ึนแกต่ นและเป็นภยันตรายที่ใกลจ้ ะถงึ อกี ทั้งหลังจากจำเลยยงิ ปนื นัดทส่ี องไปแล้ว
จำเลยก็วิง่ หลบหนไี ปในทนั ทโี ดยมิได้ยิงหรอื ทำร้ายโจทก์รว่ มหรอื ช. ซำ้ อกี ทง้ั ทม่ี ีโอกาสเนอ่ื งจากโจทกร์ ว่ มถกู กระสนุ ปืนไดร้ ับ
บาดเจบ็ และลงมาจากรถแล้ว การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงเปน็ การกระทำพอสมควรแกเ่ หตเุ พื่อให้ตนพ้นจากภยันตรายที่
จำเลยสำคญั ผดิ ว่าจะเกิดข้นึ อนั เป็นการป้องกนั โดยชอบด้วยกฎหมายโดยสำคัญผิดตาม ป.อ. มาตรา 68 ประกอบมาตรา 62
วรรคแรก
ฎีกาที่ 817/2510 จำเลยใชป้ นื ลกู ซองส้นั ยงิ ตรงไปทก่ี ลางวงการพนนั ซงึ่ มผี ู้เสยี หายกบั พวกนงั่ หา่ งกลาง
วงการพนนั นนั้ ประมาณ 1 ศอก โดยจำเลยรู้วา่ ปนื นั้นมอี ำนาจทำใหก้ ระสนุ ปนื แผ่กระจายไปในรัศมีประมาณ 0.50 เมตร
จำเลยย่อมจะรหู้ รอื ควรจะรู้ได้ว่า กระสุนปนื ที่ยงิ ไปนนั้ อาจถกู ผเู้ สียหายหรอื บคุ คลที่อยู่ในรศั มขี องกระสนุ ปนื ทจี่ ำเลยยงิ ได้
ฉะนนั้ เม่ือกระสุนปนื ไปถกู ผู้เสียหาย จำเลยยอ่ มเล็งเห็นผลของการกระทำนัน้ ถอื วา่ จำเลยกระทำโดยเจตนา
จำเลยใช้ปนื ซ่งึ เปน็ อาวุธร้ายแรงกระทำร้ายและกระสุนปืนมอี ำนาจรุนแรงการกระทำจงึ อย่ใู น
ลกั ษณะที่อาจจะทำใหผ้ ู้เสียหายถงึ ตายได้ จำเลยย่อมมคี วามผิดฐานพยายามฆา่
ฎีกาท่ี 7237/2556 โจทกร์ ่วมยนื อยบู่ รเิ วณประตรู ถยนตข์ องจำเลยเพยี งลำพงั โดยไม่ปรากฏวา่ มีบคุ คลอนื่ ใดอยู่
ร่วมกับโจทกร์ ่วมดว้ ย ทง้ั ขณะนน้ั จำเลยกล็ อ็ กประตขู องรถยนต์ต้อู ยู่ โจทกร์ ว่ มยอ่ มไมส่ ามารถเปิดประตรู ถยนต์ตเู้ ขา้ ไปทำรา้ ย
จำเลยได้ จึงไมม่ ีภยันตรายทเ่ี กิดจากการประทษุ ร้ายอนั ละเมิดต่อกฎหมายทจี่ ำเลยจะต้องกระทำเพอื่ ปอ้ งกัน การทจ่ี ำเลยใช้
อาวธุ ปนื ยิงโจทกร์ ่วม จำเลยจึงไมอ่ าจอา้ งได้วา่ การกระทำของจำเลยเปน็ การปอ้ งกันโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่การทโี่ จทก์
รว่ มกับพวกจอดรถขวางก้นั ไม่ใหจ้ ำเลยถอยรถยนต์ตอู้ อกจากท่เี กิดเหตโุ ดยจำเลยจะตอ้ งไปรบั พนักงานไปสง่ ยังทหี่ มายซงึ่ เปน็
32
33
ภาระหน้าท่ีในการประกอบอาชีพของจำเลยและยังได้ความจากจำเลยวา่ โจทกร์ ่วมมากระชากประตรู ถยนตต์ แู้ ละทบุ กระจก
รถยนตต์ ้อู ย่างแรงหลายครั้ง อันเป็นการเขา้ ไปหาจำเลยโดยมที ่าทคี ุกคามย่อมเปน็ การขม่ เหงจำเลยอยา่ งรา้ ยแรงด้วยเหตุอนั ไม่
เปน็ ธรรม การทจี่ ำเลยใช้อาวธุ ปนื ยงิ โจทก์ร่วมในขณะนนั้ การกระทำของจำเลยจงึ เปน็ การกระทำโดยบนั ดาลโทสะ ตาม ป.อ.
มาตรา 72
ฎกี าท่ี 479/2557 จำเลยมิไดเ้ ป็นฝ่ายกอ่ เหตุหาเรื่องก่อนใชอ้ าวธุ ปนื ยงิ ผตู้ ายกบั พวก หลงั จาก ศ. บตุ รชาย
จำเลยถกู พวกผตู้ ายใช้อาวุธปืนยงิ ทีบ่ รเิ วณหน้าท้อง 1 นดั และ ศ. ไดร้ ้องตะโกนใหจ้ ำเลยช่วย ถอื ว่าภยันตรายอันละเมดิ ต่อ
กฎหมายไดเ้ กิดขน้ึ แล้วในขณะนั้น จำเลยยอ่ มมีสทิ ธิท่ีจะใชอ้ าวุธปนื ยิงไปเพ่ือปอ้ งกนั ศ. บุตรชายมิให้ถูกพวกผู้ตายยิงซ้ำให้ถึง
แก่ความตาย แตห่ ลงั จากนั้นพวกของผตู้ ายยังใช้อาวธุ ปืนยงิ ไปทจ่ี ำเลยอกี 1 นัด ดงั นภ้ี ยันตรายทจี่ ำเลยจำตอ้ งป้องกนั ยงั ไม่
หมดสนิ้ ไป จำเลยมสี ทิ ธิใชอ้ าวธุ ปนื ยิงโต้ตอบไปอีกเพ่ือปอ้ งกันตัวไดถ้ งึ แมก้ ระสนุ ปนื ทจ่ี ำเลยยงิ ไปถูกผู้ตายซ่ึงยนื อยบู่ รเิ วณ
ใกล้เคียงกลมุ่ พวกผตู้ าย แต่ก็เป็นการทจี่ ำเลยยงิ โตต้ อบไปตามสถานการณท์ ่เี กดิ ขน้ึ ในขณะนน้ั ในสภาพทม่ี องเห็นกันไม่ชัดไม่
ทราบว่าเปน็ ใคร จำเลยยอ่ มไมอ่ าจเลือกยงิ คนท่ยี ิงจำเลยและ ศ. ได้ และคงใชอ้ าวุธยงิ สวนไปตามทิศทางทม่ี ผี ใู้ ชอ้ าวธุ ปนื ยิงมา
ทจ่ี ำเลย การกระทำของจำเลยเป็นการปอ้ งกนั สทิ ธิของตนและผอู้ ื่นพอสมควรแกเ่ หตุ จำเลยจึงไมม่ คี วามผดิ ฐานฆา่ ผอู้ ่ืนตาม
ป.อ. มาตรา 68
ฎีกาท่ี 4608/2560 จำเลยที่ ๒ เปน็ ผู้วางแผนและมอบเงินใหจ้ ำเลยที่ ๑ ไปเชา่ ซอื้ รถจักรยานยนตจ์ ากโจทกร์ ่วม
โดยไม่มีเจตนาทจี่ ะผูกพันตามสญั ญาเชา่ ซือ้ เพยี งแตอ่ าศัยการหลอกลวงโจทกร์ ่วมวา่ จะปฏบิ ตั ิตามสญั ญาเพ่อื เปน็ ช่องทางให้ได้
รถจักรยานยนตไ์ ป ครั้นไดร้ ถจกั ยานยนต์มาแลว้ จำเลยที่ ๒ นำรถจกั รยานยนต์ไปและใหเ้ งนิ คา่ จ้างแกจ่ ำเลยท่ี ๑ ดงั น้เี ป็นการ
รว่ มกระทำความผิดโดยแบง่ หน้าทีก่ นั ทำตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑ ประกอบมาตรา ๘๓
ฎกี าท่ี 6020/2559 พฤติการณ์ทีจ่ ำเลยที่ 1 ร่วมเดนิ ทางไปกับพวกไปทเี่ กดิ เหตุโดยทราบมาก่อนแลว้ วา่ พวกของ
จำเลยท่ี 1 จะไปทำรา้ ยผเู้ สียหาย และหลงั เกิดเหตกุ ็หลบหนีไปด้วยกัน ย่อมแสดงใหเ้ ห็นวา่ จำเลยที่ 1 มเี จตนาที่จะร่วมทำรา้ ย
ผเู้ สียหายกบั พวกซง่ึ มกี ารคดิ ไตรต่ รองไวก้ ่อนแล้ว จงึ ฟงั ได้วา่ จำเลยที่ 1 มเี จตนาเพียงต้องการทำร้ายผ้เู สยี หายโดยไตร่ตรองไว้
ก่อนเท่านนั้ แตเ่ มอื่ ผลการกระทำของพวกจำเลยที่ 1 ไมท่ ำใหผ้ เู้ สยี หายไดร้ ับบาดเจ็บ แตพ่ ลาดไปถกู ผู้ตายจนเปน็ เหตุใหผ้ ู้ตาย
ถงึ แกค่ วามตาย จำเลยท่ี 1 จงึ ตอ้ งรบั ผลแห่งการกระทำนน้ั จำเลยที่ 1 จึงมคี วามผดิ ฐานร่วมกนั พยายามทำร้ายร่างกายผ้อู นื่
โดยไตร่ตรองไวก้ อ่ น ตาม ป.อ. มาตรา 296 ประกอบมาตรา 80 และฐานทำร้ายผูอ้ ่ืนโดยไตรต่ รองไวก้ ่อนและไมม่ เี จตนาฆา่ แต่
เปน็ เหตใุ หผ้ นู้ ้ันถึงแกค่ วามตายโดยพลาด ตาม ป.อ. มาตรา 290 วรรคสอง ประกอบมาตรา 60 อนั เป็นความผิดหลายอยา่ งซ่งึ
รวมอยใู่ นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและฆ่าผูอ้ ื่นโดยไตรต่ รองไวก้ ่อนโดยพลาดตามทโ่ี จทก์ฟอ้ ง และเปน็
ความผิดไดใ้ นตวั ศาลฎีกาสามารถลงโทษในความผิดดังกล่าวตามที่ไดค้ วามได้ ตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 192 วรรคทา้ ย ประกอบ
มาตรา 215 และ 225
33
34
ฎีกาท่ี 3391/2559 แม้ผตู้ ายเปน็ ฝา่ ยกอ่ เหตุขึ้นกอ่ นแต่เม่อื ไมป่ รากฏพฤติการณอ์ ่ืนใดวา่ ผู้ตายจะเขา้ ทำรา้ ย
จำเลยอกี โดยผตู้ ายว่งิ กลับไปทรี่ ถยนตจ์ อดอยู่และไม่ปรากฏว่าขณะนน้ั ผ้ตู ายมอี าวุธติดตวั ด้วยถือได้วา่ ภยันตรายทเ่ี กดิ จากการ
ประทษุ ร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายได้ผา่ นพ้นไปแลว้ การทจ่ี ำเลยวิ่งไล่ตามผตู้ ายไปในทันทีแล้วใชอ้ าวุธปนื ยิงผู้ตายจงึ ไมอ่ าจอ้าง
ว่าเป็นการป้องกนั สทิ ธิของตนใหพ้ น้ ภยนั ตรายซ่ึงเกิดจากการประทุษรา้ ยอนั ละเมดิ ตอ่ กฎหมายได้แตอ่ ยา่ งไรกด็ ี การกระทำ
ดังกล่าวเป็นการกระทำต่อเนอื่ งกระชัน้ ชิดกบั เหตุการณท์ จี่ ำเลยถูกผ้ตู ายชกต่อยกอ่ น โดยจำเลยมิไดส้ มัครใจทะเลาะวิวาทกับ
ผตู้ าย ถอื ได้วา่ จำเลยถกู ผตู้ ายขม่ เหงอย่างรา้ ยแรงด้วยเหตไุ มเ่ ป็นธรรม การทจ่ี ำเลยใช้อาวุธปนื ยงิ ผู้ตายในขณะน้นั จงึ เปน็ การ
กระทำความผดิ ฐานเจตนาฆ่าผอู้ ่ืนโดยบันดาลโทสะตาม ป.อ. มาตรา 288 ประกอบมาตรา 72
ฎีกาที่ 455/2537 ขณะท่ีจำเลยใช้มดี โต้ของกลางฟนั ผู้ตาย อาวุธปืนได้หลุดไปจากมอื ผตู้ ายแลว้ ภยันตรายที่
จำเลยจำต้องปอ้ งกันผา่ นพน้ ไปแล้วไม่มีภยนั ตรายท่ใี กล้จะถงึ อันจะต้องปอ้ งกนั อกี การกระทำของจำเลยไมเ่ ป็นการปอ้ งกนั แต่
การทผี่ ู้ตายพยายามจะใชอ้ าวธุ ปนื ยงิ ทำร้ายจำเลยกอ่ นจนจำเลยตอ้ งเขา้ แย่งอาวุธปนื กบั ผตู้ ายและฟันผตู้ ายถือไดว้ ่าจำเลยถกู
ข่มเหงอยา่ งรา้ ยแรงด้วยเหตุอนั ไมเ่ ปน็ ธรรมจงึ เปน็ การกระทำโดยบันดาลโทสะ
ฎกี าที่ 1289/2561 จำเลยเปน็ คนร้ายทรี่ ่วมกบั พวกใช้อาวุธปนื ยิงโจทก์รว่ มที่ 1 ถงึ ที่ 3 พฤตกิ ารณท์ จ่ี ำเลยกบั
พวกใชอ้ าวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธรา้ ยแรงยงิ โจทกร์ ่วมที่ 1 ถงึ ที่ 3 ในขณะทนี่ ั่งโดยสารอยบู่ นกระบะดา้ นหลงั รถของโจทกร์ ่วมที่ 4
โดยอยู่ห่างกันเพียง 2 ถงึ 3 เมตรเป็นจำนวน 12 นัด จำเลยกบั พวกย่อมเลง็ เห็นผลไดว้ ่ากระสนุ อาจถูกโจทกร์ ว่ มที่ 1 ถึง 3 ถึง
แกค่ วามตายได้ จำเลยกบั พวกจงึ มีเจตนาฆา่ เมื่อจำเลยกบั พวกลงมอื กระทำความผดิ แลว้ แต่การกระทำไมบ่ รรลผุ ล เน่ืองจาก
โจทกร์ ่วมที่ 1 ถงึ ท่ี 3 ไมถ่ งึ แกค่ วามตายการกระทำของจำเลยจงึ เปน็ ความผิดฐานร่วมกนั พยายามฆ่าและการทจ่ี ำเลยกบั พวก
ใชอ้ าวธุ ปนื ยงิ ดังกล่าวเปน็ เหตุใหก้ ระสุนปนื ถูกรถกระบะของโจทก์รว่ มท่ี 4 ไดร้ ับความเสยี หายหลายแหง่ จำเลยจงึ มคี วามผดิ
ฐานร่วมกันทำให้เสียทรพั ย์ด้วย
ฎีกาท่ี 5332/2560 จำเลยใชถ้ งุ พลาสติกซง่ึ ไมม่ ชี อ่ งอากาศครอบศรี ษะผูต้ าย แลว้ ใช้เทปกาวพันรอบถุงบริเวณ
ลำคอผู้ตายแมจ้ ำเลยจะอ้างวา่ ไม่มเี จตนาฆ่า เพราะถา้ จำเลยมเี จตนาฆ่าผู้ตายจรงิ จำเลยก็คงเอามีดแทงหรือบบี คอผ้ตู ายให้ถงึ
แกค่ วามตายไปแล้ว คงไมต่ อ้ งลำบากหาถงุ พลาสติกมาครอบศรษี ะจำเลยนนั้ เห็นไดว้ า่ แม้จำเลยจะไม่ประสงค์ต่อผลทจี่ ะให้
ผตู้ ายถงึ แกค่ วามตาย คงเพียงแตจ่ ะทรมานผู้ตายเท่านน้ั แตจ่ ำเลยยอ่ มเห็นผลได้ว่าการกระทำดังกล่าวจะทำใหผ้ ้ตู ายขาด
อากาศหายใจและถงึ แก่ความตายได้ จงึ ถอื ไดว้ า่ จำเลยมเี จตนาฆา่ ผู้ตายแล้ว เม่ือการกระทำของจำเลยเป็นเหตใุ หผ้ ตู้ ายถงึ แก่
ความตาย จำเลยจงึ มีความผิดฐานฆา่ ผอู้ น่ื ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288
การทจี่ ำเลยจะอ้างว่าการกระทำความผิดโดยบนั ดาลโทสะได้น้นั ตอ้ งปรากฏขอ้ เทจ็ จริงว่า
จำเลยถูกผตู้ ายข่มเหงอยา่ งร้ายแรงด้วยเหตอุ ันไมเ่ ปน็ ธรรมเสียก่อน และตอ้ งเปน็ การกระทำความผิดในขณะทีถ่ ูกผู้ตายข่มเหง
ดว้ ย ก่อนเกิดเหตจุ ำเลยกบั ผู้ตายมปี ากเสียงทะเลาะกันในขณะท่ีจำเลยขบั รถยนตม์ ากบั ผตู้ าย แม้จำเลยอ้างวา่ ผู้ตายทบุ ตีและ
34
35
ถบี จำเลยจนทำใหร้ ถยนต์เสยี หลักไปชนกบั ขอบทางด่วน แต่สาเหตุที่ผู้ตายกระทำตอ่ จำเลยนนั้ เกิดจากการทจ่ี ำเลยหลอกลวง
ใหผ้ ตู้ ายไปพบเพอื่ ดรู ถยนต์ทจ่ี ำเลยจะนำมาตใี ชห้ นีใ้ ห้แกผ่ ู้ตาย ซึง่ ถอื ว่าจำเลยมสี ว่ นผิดอยู่ดว้ ย ดังนัน้ เม่ือจำเลยใชเ้ ข็มขดั
พลาสตกิ รดั สายไฟมัดมือมัดเท้า ใช้เทปปิดปากผู้ตายและถอดเสอื้ ผา้ ของผตู้ ายออกทงิ้ ไปแลว้ ผู้ตายยอ่ มไมอ่ าจกระทำการอนั
เปน็ การขม่ เหงอยา่ งรา้ ยแรงดว้ ยเหตุอันไม่เป็นธรรมตอ่ ไปได้ การที่จำเลยยงั คงใช้ถงุ พลาสตกิ คลมุ ศรี ษะผ้ตู ายและใช้เทปมัด
ถงุ พลาสตกิ รัดคอผตู้ ายจนแนน่ โดยอา้ งวา่ ยงั คงไดย้ ินเสยี งผตู้ ายด่าทอและขู่จะทำร้ายภรรยาและบุตรของจำเลย จนทำให้
ผตู้ ายขาดอากาศหายใจและถึงแกค่ วามตายในเวลาตอ่ มานน้ั ยอ่ มไมอ่ าจรบั ฟงั ไดว้ า่ จำเลยกระทำความผิดในขณะทถ่ี กู ผูต้ ายขม่
เหงอย่างรา้ ยแรงด้วยเหตุอันไมเ่ ป็นธรรม การกระทำของจำเลยจงึ ไมเ่ ป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ
ฎีกาท่ี 5486/2560 จำเลยเหน็ ผ้ตู ายขณะทมี่ เี พศสัมพนั ธ์กบั ภรยิ าจำเลยจึงเขา้ ไปชกตอ่ ยต่อสกู้ บั ผู้ตาย เม่อื
จำเลยเพลียงพล้ำ ภรยิ าจำเลยและผ้ตู ายรบี สวมใส่กางเกง แล้วภรยิ าจำเลยไปติดเคร่ืองรถจกั รยานยนตแ์ ละเรยี กผู้ตายขน้ึ รถ
ผู้ตายกร็ บี ว่ิงไปน่งั ซอ้ นทา้ ยรถจกั รยานยนตท์ ภี่ รยิ าจำเลยขบั ออกไป ดงั นี้ ภยันตรายท่เี กดิ จากการประทุษรา้ ยอนั ละเมดิ ตอ่
กฎหมายไดผ้ ่านพน้ ไปแลว้ การทจ่ี ำเลยว่ิงตามไปทันทีแลว้ ใช้ไมแ้ ละเสยี มตผี ้ตู าย จงึ ไม่อาจอา้ งว่าเปน็ การป้องกนั สทิ ธิของตนได้
แต่อยา่ งไรกด็ ี การกระทำดงั กลา่ วเปน็ การกระทำต่อเน่ืองกระช้นั ชดิ กบั เหตกุ ารณ์ทจ่ี ำเลยเหน็ ผตู้ ายมเี พศสัมพนั ธก์ บั ภริยา
จำเลย ถือไดว้ า่ จำเลยถูกผู้ตายขม่ เหงอยา่ งรา้ ยแรงดว้ ยเหตอุ ันไม่เปน็ ธรรม การทจี่ ำเลยใช้ไมแ้ ละเสียมตผี ตู้ ายในขณะนั้น จงึ
เปน็ การกระทำความผดิ ฐานฆ่าผอู้ ่นื โดยบนั ดาลโทสะ ตาม ป.อ.มาตรา 288 ประกอบมาตรา 72 หาใชเ่ ป็นการปอ้ งกนั เกิน
สมควรแกเ่ หตไุ ม่
ฎกี าที่ 4895/2561 การกระทำโดยบันดาลโทสะ ตาม ป.อ.มาตรา 72 เปน็ การกระทำที่ผกู้ ระทำความผิดถูก
ข่มเหงอยา่ งร้ายแรงด้วยเหตอุ ันไมเ่ ป็นธรรมจึงกระทำความผิดตอ่ ผขู้ ม่ เหงในขณะนัน้ ส่วนการป้องกนั สทิ ธิโดยชอบดว้ ย
กฎหมายตามมาตรา 68 หรอื การปอ้ งกนั สทิ ธเิ กนิ สมควรแก่เหตตุ ามมาตรา 69 น้ัน เปน็ กรณที ่ผี ู้กระทำจะต้องกระทำเพอื่
ปอ้ งกนั สิทธิของตนเองหรอื ของผูอ้ ืน่ ใหพ้ น้ ภยนั ตรายซ่ึงเกดิ จากการประทุษรา้ ยอนั ละเมดิ ตอ่ กฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้
จะถึง การกระทำอย่างใดอย่างหนึง่ จึงไมอ่ าจเป็นทงั้ การกระทำโดยบนั ดานโทสะและป้องกนั สิทธโิ ดยชอบดว้ ยกฎหมายหรือเปน็
การปอ้ งกันสทิ ธเิ กนิ สมควรแก่เหตุในขณะเดียวกนั ได้ เนื่องจากภยนั ตรายซงึ่ เกดิ จากการประทษุ รา้ ยอันละเมดิ ตอ่ กฎหมายท่ี
ผกู้ ระทำจะกระทำเพอ่ื ปอ้ งกันสทิ ธิไดจ้ ะต้องเปน็ ภยันตรายทใี่ กลจ้ ะถงึ และภยนั ตรายน้นั ยังมิได้ส้ินสุดลง หากภยันตรายน้นั
ผ่านพน้ ไปแล้วผ้กู ระทำกไ็ มอ่ าจอ้างวา่ เป็นการกระทำเพ่อื ปอ้ งกนั สทิ ธิได้ อย่างไรกด็ ี ภยนั ตรายดงั กล่าวแม้จะผา่ นพน้ ไปแล้ว
แต่ก็อาจเป็นการขม่ เหงอยา่ งรา้ ยแรงดว้ ยเหตอุ นั ไมเ่ ปน็ ธรรมได้อยา่ งหนงึ่ หากผูถ้ กู ข่มเหงไดก้ ระทำความผิดตอ่ ผู้ขม่ เหงใน
ขณะน้ัน คอื ในระยะเวลาต่อเนือ่ งที่ตนยังมีโทสะอยู่ ย่อมถือวา่ เป็นการกระทำความผดิ โดยบนั ดาลโทสะ
จำเลยมอี าวุธปนื อยใู่ นมอื ในขณะทผี่ ู้ตายไมม่ ีอาวธุ เป็นพฤติการณท์ ี่เชอื่ ไดว้ ่า ผู้ตายคงไมก่ ลา้ ทำร้ายจำเลยอีกต่อไปแลว้ จึง
ถือไดว้ ่าภยันตรายดงั กล่าวทผ่ี ตู้ ายกอ่ ไดผ้ ่านพน้ ไปแล้ว อย่างไรก็ดี ตามพฤติการณท์ จ่ี ำเลยยงิ ผูต้ ายถงึ 6 นดั แล้วยังบรรจุ
กระสนุ ปนื เพิม่ และยงิ ผูต้ ายอกี ก็ตอ่ เนื่องมาจากกากระทำของผ้ตู ายทก่ี ระทำต่อจำเลย ซง่ึ ถอื ได้วา่ เปน็ การข่มเหงจำเลยอย่าง
35
36
รา้ ยแรงด้วยเหตอุ ันเไมเ่ ป็นธรรม การทจ่ี ำเลยยิงผูต้ ายไปในระยะเวลาต่อเนอื่ งกระช้ันชิดกับการกระทำดงั กลา่ ว การกระทำของ
จำเลยจึงเป็นการกระทำความผดิ โดยบันดาลโทสะ หาใชเ่ ปน็ การกระทำเพ่ือปอ้ งกนั สทิ ธิเกินสมควรแกเ่ หตุด้วยในขณะเดียวกนั
และเปน็ การกระทำกรรมเดยี วผดิ กฎหมายหลายบทไม่ ปัญหานี้เปน็ ปญั หาข้อกฎหมายเกย่ี วกบั ความสงบเรยี บร้อย แมไ้ มม่ ี
ค่คู วามฝา่ ยใดฎีกา ศาลฎกี าก็มีอำนาจยกขน้ึ วินิจฉัยไดต้ าม ป.อ.มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
ฎีกาท่ี 7716/2561 จำเลยใช้อาวธุ ปนื ยิงผเู้ สยี หายท่ี 1 เมือ่ ผู้เสียหายท่ี 1 วง่ิ หลบหนไี ปในบริษทั จำเลยยงั ไล่ยงิ
ไปยงั รถบสั ของผเู้ สียหายท่ี 2 ขณะมีพนกั งานวงิ่ หนีเพอื่ ไปหลบบนรถ กระสุนไม่ถูกผ้ใู ด แตถ่ ูกกระจกมองขา้ งของรถบสั
ผ้เู สียหายที่ 2 ไดร้ ับความเสยี หาย จากการกระทำดังกล่าวแสดงใหเ้ หน็ ว่าจำเลยเลง็ เหน็ ผลแห่งการกระทำของตนวา่ กระสนุ ปืน
อาจถูกผเู้ สียหายที่ 1 ถงึ แกค่ วามตาย เปน็ การกระทำโดยมเี จตนาฆา่ ผู้เสียหายท่ี 1 เมื่อกระสุนปนื ไม่ถูกผเู้ สียหายท่ี 1 แต่ถกู
กระจกมองขา้ งของรถบสั ได้รับความเสยี หายการกระทำของจำเลยจงึ เปน็ ความผิดฐานพยายามฆา่ ผ้เู สยี หายท่ี 1 และทำให้เสีย
ทรัพยผ์ เู้ สียหายที่ 2
ฎีกาที่ 1021/2562 เขียนจดหมายไปดา่ ว่าบุคคลอืน่ ในลกั ษณะดูหมิน่ เหยียดหยามและในวันเกิดเหตยุ งั ไปด่าวา่
ด้วยถอ้ ยคำหยาบคาย โดยไม่ปรากฏว่าหลังจากนัน้ ผเู้ สยี หายได้กระทำการอยา่ งใดอย่างหนง่ึ ต่อจำเลยอกี ก่อนทจ่ี ำเลยจะใชม้ ดี
พรา้ ฟนั ผเู้ สียหาย การกระทำของผเู้ สียหายจงึ ไมเ่ ป็นการขม่ เหงอยา่ งร้ายแรงด้วยเหตอุ นั ไมเ่ ป็นธรรม จงึ ไมอ่ าจอ้างไดว้ ่าจำเลย
ใชม้ ดี พร้าฟนั ผเู้ สียหายโดยบนั ดาลโทสะ ตามมาตรา 72
ฎีกาที่ 3503/2559 ขณะท่ีจำเลยใช้อาวุธปนื ยงิ ผ้ตู าย ผู้ตายไม่ได้มกี ารกระทำที่เปน็ การประทุษรา้ ยอันละเมดิ ตอ่
กฎหมายและเป็นภยนั ตรายทใ่ี กล้จะถงึ แก่จำเลย การที่จำเลยใชอ้ าวุธปืนยงิ ผตู้ ายจงึ ไมเ่ ปน็ การปอ้ งกนั โดยชอบด้วยกฎหมาย
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 ผตู้ ายถูกกระสนุ ปืนทีจ่ ำเลยยิงทช่ี ายโครงทะลปุ อด ตบั และลำไสจ้ นฉีกขาด แพทยต์ ้อง
รักษาอาการบาดเจบ็ ของผูต้ ายด้วยการผา่ ตดั ทนั ที แม้ผู้ตายถงึ แก่ความตายหลงั เกิดเหตเุ ป็นเวลาประมาณ 1 เดอื น เนื่องจาก
ตดิ เช้อื อยา่ งรนุ แรง ยอ่ มถอื ได้วา่ การตายของผตู้ ายเปน็ ผลธรรมดาอันสบื เนอื่ งจากการทจ่ี ำเลยใชอ้ าวธุ ปนื ยงิ ผูต้ ายโดยเจตนาฆ่า
มใิ ช่ถงึ แกค่ วามตาย จากเหตุแทรกแซงหรือเหตอุ ่ืนแตอ่ ยา่ งใด จำเลยมีความผดิ ฐานฆ่าผู้อน่ื โดยเจตนาตามประมวลกฎหมาย
อาญา มาตรา 288
36
37
ขอ้ 4 (ม.209-287)
ฎกี าที่ 10647/2554 จำเลยจุดไฟเผารา้ นของผเู้ สยี หายทำใหเ้ กดิ เพลงิ ลกุ ไหมเ้ ปน็ เหตใุ หโ้ ต๊ะเก้าอ้ี อุปกรณ์
เคลอื บบัตร ไม้ และกระเบอื้ งของร้านเสียหาย รวมราคาทรพั ย์ทถี่ ูกเพลิงไหม้ทง้ั สิ้นประมาณ 15,500 บาท ร้านของผเู้ สยี หาย
ดงั กล่าวมลี ักษณะเป็นเพลงิ ไม้ชัน้ เดยี ว ยกพืน้ สงู เป็นหอ้ งโลง่ ปลูกอยรู่ ิมถนนเหนือคนู ้ำไมม่ ผี ูใ้ ดพักอาศัย รอบๆ ไม่มบี า้ นเรอื น
บคุ คลอนื่ อยู่ ดงั นี้ จงึ ต้องถอื ว่า ร้านของผู้เสยี หายและทรพั ยส์ ินถกู เพลิงไหม้มรี าคาน้อยทงั้ ขณะเกิดเหตุไมม่ บี ุคคลอย่อู าศยั ยอ่ ม
ไม่นา่ จะเป็นอนั ตรายแกบ่ ุคคลอ่นื การกระทำของจำเลยจึงเปน็ ความผิดตาม ป.อ. มาตรา 223 ดงั นน้ั การท่ศี าลชน้ั ตน้ พพิ ากษา
ลงโทษจำเลย ตาม ป.อ. มาตรา 217 ใหจ้ ำคกุ 2 ปี และศาลอทุ ธรณ์ภาค 8 พิพากษายนื โดยไมไ่ ด้แก้ไขจึงเปน็ การไม่ถกู ตอ้ ง
ปัญหาดงั กล่าวเป็นปญั หาข้อกฎหมายทเี่ ก่ยี วกบั ความสงบเรยี บรอ้ ยแมจ้ ำเลยจะมไิ ด้ฎกี า ศาลฎกี าก็มีอำนาจแกไ้ ขปรบั
บทลงโทษจำเลยให้ถูกตอ้ งได้ ประกอบกบั ในชัน้ ฎกี าจำเลยวางเงินชดใช้คา่ เสียหายให้แกผ่ ู้เสยี หาย 15,500 บาท ต่อศาลชั้นตน้
ถอื ได้วา่ เป็นการบรรเทาผลรา้ ยทเี่ กดิ ข้นึ จงึ เหน็ ควรกำหนดโทษให้เหมาะสมด้วย จำเลยมีความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา 223
ฎีกาท่ี 1422/2554 จำเลยที่ 1 เปิดดเู อกสารภายในซองเอกสาร ไดเ้ ห็นใบรบั รองเงนิ ฝากแลว้ จงึ ใสซ่ องปดิ
ผนกึ และเขียนชุดใบนำส่งเอกสาร แมใ้ บรรั องเงินฝากจะเป็นภาษาองั กฤษ แต่มขี อ้ ความเก่ยี วกับบญั ชเี งินฝากท่ีเป็นถ้อยคำ
ในทางธุรกจิ ของธนาคารพาณิชย์มีตวั เลขบัญชขี องจำเลยที่ 2 มจี ำนวนเงนิ ระบุวา่ 600 ลา้ นดอลลาร์สหรัฐ มีชอื่ ของจำเลยที่
2 จำเลยท่ี 1 ซง่ึ ทำงานกับธนาคารโจทกร์ ่วมมาเปน็ เวลานานถงึ 15 ปี เชอื่ ว่าสามารถเข้าใจไดว้ า่ ใบรับรองเงินฝากดังกลา่ ว
เป็นใบรบั รองเงนิ ฝากของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 1 รูจ้ กั กบั จำเลยท่ี 2 มาก่อน โดยวสิ ัยของผ้ทู ่ีทำงานกับธนาคารมานานย่อม
ทราบว่า จำเลยท่ี 2 ไมน่ า่ จะมีเงินฝากธนาคารโจทกร์ ่วมมาถึง 600 ลา้ นดอลลารส์ หรัฐ ขอ้ เทจ็ จรงิ รับฟงั ไดว้ ่าจำเลยท่ี 1 ทราบ
วา่ ใบรบั รองเงนิ ฝากของจำเลยที่ 2 เป็นเอกสารปลอม
ใบรบั รองเงนิ ฝากมีขอ้ ความว่าจำเลยที่ 2 มเี งินฝากในธนาคารโจทกร์ ว่ มมกี ำหนดจา่ ยคืน
สามารถเปลีย่ นมือได้ แบง่ แยกและซื้อขายได้ จึงเปน็ เอกสารท่ีแสดงใหผ้ ูอ้ น่ื เชื่อวา่ จำเลยท่ี 2 มีเงนิ ฝากตามจำนวนในเอกสาร
ฝากไวก้ บั โจทกร์ ว่ มและสามารถรบั เงนิ ฝากคนื จากโจทกร์ ว่ ม สามารถเปลี่ยนมอื แบง่ แยกและซอื้ ขายได้ดว้ ย จงึ เป็นเอกสารท่ี
กอ่ ให้เกิดสทิ ธดิ งั กล่าวแกจ่ ำเลยที่ 2 ใบรบั รองเงินฝากดงั กลา่ วจงึ เปน็ เอกสารสทิ ธิ
การทจ่ี ำเลยที่ 1 ทราบดวี ่าใบรบั รองเงนิ ฝากเป็นเอกสารสทิ ธิปลอมแลว้ จำเลยท่ี 1 ซ่งึ เป็น
พนักงานของโจทกร์ ่วมจดั สง่ เอกสารสทิ ธิปลอมดังกลา่ วไปตา่ งประเทศ โดยผ่านแผนกไปรษณยี ภัณฑใ์ นธุรกจิ ของโจทกร์ ่วม
ดว้ ยการปิดผนกึ ซองเขียนชุดใบนำสง่ เอกสารการของธนาคารโจทก์ และใบนำสง่ ไปรษณยี ม์ อบใหแ้ กพ่ นักงานโจทก์รว่ มผมู้ ี
หนา้ ทีจ่ ัดสง่ เอกสารตามวธิ ีการจัดส่งเอกสารในธุรกจิ โจทกร์ ว่ มครบถ้วนแล้ว จงึ เป็นการลงมอื ใช้หรอื อา้ งเอกสารทเ่ี กดิ จาก
กระทำความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิ แม้เอกสารสทิ ธปิ ลอมจะปิดผนึกอยใู่ นซองและพนกั งานผู้จัดสง่ เอกสารของโจทกร์ ่วม
ตรวจเห็นพริ ุธจนพบว่าเอกสารสิทธิท่จี ัดส่งเป็นเอกสารสทิ ธปิ ลอมกอ่ นทเี่ อกสารจะสง่ ถึงผรู้ ับในต่างประเทศ กเ็ ป็นการใชห้ รือ
37
38
อา้ งเอกสารสทิ ธิปลอมเปน็ ความผดิ สำเร็จ โดยไม่ตอ้ งรอผลของการใชห้ รืออา้ งว่าผรู้ บั หรอื ผู้ถกู อ้างจะได้รบั เอกสารสทิ ธปิ ลอมที่
จัดส่งไป เพราะจำเลยที่ 1ไดใ้ ช้หรืออา้ งเอกสาร การกระทำของจำเลยท่ี 1 ดงั กลา่ วถือได้วา่ กระทำไปในประการที่นา่ จะเกิด
ความเสยี หายแกโ่ จทก์ร่วม ผู้อื่นหรอื ประชาชนตาม ป.อ. มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 แลว้ จำเลยท่ี 1 จงึ มี
ความผดิ ฐานรว่ มกนั ใช้เอกสารสทิ ธปิ ลอม
ฎกี าที่ 3279/2554 จำเลยกบั พวกมิได้มเี จตนาทจี่ ะประกอบกจิ การบรษิ ทั อ. ในอาคารท่เี กดิ เหตอุ ย่างแทจ้ รงิ
การนำช่ือของบริษัททเ่ี ป็นสำนกั งานทนายความไปตดิ ตงั้ ไว้ทอ่ี าคารด้านหน้าโดยตอ่ มามกี ารเช่าอาคารสว่ นกลางและด้านหลัง
เพ่ือเลน่ การพนันไพ่บาการาจงึ มเี หตผุ ลท่ีเชือ่ ไดว้ า่ เป็นเพียงการบงั หน้าเพอื่ ใหเ้ จ้าพนกั งานตำรวจเกรงกลวั แลไม่กลา้ เขา้ ไปคน้
พฤติการณ์ในการกระทำของจำเลยกบั พวกจึงเป็นการรวมกลุม่ กนั เพ่ือจดั ใหม้ กี ารเล่นการพนันไพบ่ าการาในอาคารทเ่ี กดิ เหตุ
โดยนำชอ่ื บรษิ ทั ซ่ึงเป็นสำนกั งานทนายความและชมรมมาบงั หนา้ เพอ่ื จดั ให้มีการเลน่ การพนันมาแตต่ ้นยอ่ มเรียกไดว้ า่ จำเลยกบั
พวกเป็นสมาชิกของคณะบคุ คลซงึ่ ปกปดิ วิธดี ำเนนิ การและมคี วามม่งุ หมายเพอ่ื การอนั มิชอบดว้ ยกฎหมายอนั เปน็ การกระทำ
ความผดิ ฐานเป็นอ้ังย่ี
ฎกี าท่ี 1126/2505 ทำสัญญากู้เงนิ กันไว้โดยถูกตอ้ งตามกฎหมาย แตไ่ มไ่ ด้ลงนามพยานในสัญญา ต่อมาผใู้ หก้ จู้ งึ
ใหผ้ อู้ ืน่ ลงนามเป็นพยานในท้ายสญั ญาโดยผู้กมู้ ไิ ดร้ ู้เห็นดว้ ย แลว้ ผูใ้ ห้ก้นู ำสญั ญาน้นั มาฟอ้ งต่อศาลดง่ั นี้ ผู้ใหก้ หู้ ามผี ิดฐานปลอม
เอกสารไม่
ฎกี าที่ 1895/2546 การปลอมเอกสารไมจ่ ำต้องมเี อกสารทีแ่ ทจ้ รงิ อยู่กอ่ น และไม่ต้องทำให้เหมอื นของจรงิ ก็
เปน็ เอกสารปลอมได้ จำเลยที่ 2 กบั พวกหลอกลวง ต. ว่า จำเลยที่ 2 คอื ย. เจ้าของรถยนตบ์ รรทกุ มคี วามประสงคจ์ ะขาย
รถยนต์คนั ดงั กล่าว ต. ตกลงรบั ซือ้ ไว้และทำสญั ญาซ้อื ขายรถยนต์กัน โดยพวกของจำเลยที่ 2 ลงลายมือช่ือ ย. ในช่องผขู้ ายใน
สญั ญาดงั กล่าว มอบให้ ต. ยดึ ถอื ไว้ การกระทำของจำเลยท่ี 2 กบั พวกมเี จตนาทุจริตเพ่ือให้ไดเ้ งนิ จาก ต. และไม่ให้ ต. ใช้
สญั ญาซอื้ ขายรถยนต์น้นั เป็นหลักฐานฟ้องร้องเรียกเงนิ คนื ทำให้ ต. ไดร้ บั ความเสียหาย จำเลยที่ 2 กบั พวก จึงมีความผิดฐาน
รว่ มกันปลอมหนังสือสญั ญาซอื้ ขายรถยนต์อันเป็นเอกสารสทิ ธิ เมอื่ จำเลยที่ 2 กบั พวกไดม้ อบหนงั สอื สญั ญาซ้ือขายรถยนต์นั้น
ให้ ต. ยึดถอื ไว้ จำเลยท่ี 2 กบั พวกจงึ มคี วามผิดฐานรว่ มกนั ใชเ้ อกสารสทิ ธิปลอมอกี กระทงหนงึ่ รวมท้ังมีความผิดฐานฉ้อโกง
ด้วย
ฎีกาท่ี 4953/2554 จำเลยท่ี 1 ท่ี 2 และท่ี 6 ไมอ่ าจทำใหแ้ ผนการทส่ี มคบกันเพอ่ื ฉ้อโกงนายวฒั นาสำเร็จได้ตอ้ ง
มผี ู้ร่วมขบวนการดำเนนิ การตามแผนการทำทเ่ี ป็นเลน่ การพนัน เมือ่ นายวัฒนาหลงกลเดนิ ทางไปยงั ทน่ี ดั พบพร้อมเงินสดทีน่ ำ
ติดตัวไป ก็จะถกู หลอกล่อใหน้ ายวฒั นาเข้าร่วมเลน่ พนันจึงจะสามารถเอาเงนิ ของนายวัฒนาไปได้ อันมลี ักษณะเป็นการแบง่
หน้าท่ีกนั ทำ พยานหลกั ฐานทโี่ จทกน์ ำสบื ดงั กล่าวมาลว้ นสอดคล้องต้องกันมเี หตุมผี ลฟังไดว้ ่า โดยปราศจากข้อสงสัยว่าตามวนั
เวลาและสถานทเี่ กิดเหตุตามฟอ้ ง จำเลยท่ี 1 ท่ี 2 และที่ 6 รว่ มกบั พวกอีก 8 คน คบคิดรว่ มประชุมปรึกษาหารือกันที่โรงแรมท่ี
38
39
เกดิ เหตเุ พอ่ื ทำการฉ้อโกงทรพั ยข์ องนายวัฒนาจรงิ และเห็นวา่ ความผิดฐานซอ่ งโจรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 210
น้ัน ผู้กระทำตอ้ งมจี ำนวนต้งั แตห่ ้าคนข้ึนไปสมคบกันเพอ่ื กระทำความผดิ โดยร่วมคบคดิ กันหรอื แสดงออกซ่ึงความตกลงจะ
รว่ มกนั กระทำความผดิ อย่างใดอยา่ งหนง่ึ ตามท่บี ญั ญัติไวใ้ นภาค 2 แหง่ ประมวลกฎหมายอาญาและความผดิ นนั้ มีกำหนดโทษ
จำคกุ อย่างสงู ตั้งแตห่ นึ่งปีข้ึนไป คดีนเ้ี มื่อข้อเทจ็ จรงิ ฟงั ไดว้ า่ ในวันเวลาตามฟ้อง จำเลยท่ี 1 ที่ 2 และที่ 6 ร่วมกบั พวกซงึ่ มี
จำนวนรวมกันแล้วเกนิ กว่า 5 คน คบคดิ ร่วมประชมุ ปรกึ ษาหารือที่โรงแรมทเ่ี กิดเหตกุ นั เพอื่ ฉอ้ โกงทรพั ย์ของนายวัฒนา เมอ่ื
ความผิดฐานฉ้อโกงเป็นความผดิ ท่บี ญั ญตั ไิ วใ้ นภาค 2 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และมีกำหนดโทษจำคุกอยา่ งสูงตง้ั แต่หนง่ึ ปี
ขนึ้ ไป การกระทำของจำเลยที่ 1 ท่ี 2 และท่ี 6 กค็ รบองคป์ ระกอบความผิด จงึ มีความผิดฐานซอ่ งโจรตามประมวลกฎหมาย
อาญา มาตรา 210 วรรคแรก
การท่ศี าลลา่ งทั้งสองให้ยกฟอ้ งจำเลยท่ี 3 ถงึ ท่ี 5 และที่ 7 ถึงที่ 10 ใหย้ กประโยชน์ แห่ง
ความสงสัยใหจ้ ำเลยดงั กลา่ วก็เป็นดลุ พินจิ ในการรบั ฟงั พยานหลักฐานท่เี กีย่ วกับจำเลยแตล่ ะคนของศาลลา่ งทั้งสองวา่
พยานหลกั ฐานของโจทกพ์ อฟงั ลงโทษไดห้ รือไม่เท่านัน้ ไม่เกย่ี วกบั จำเลยที่ 1 ท่ี 2 และที่ 6 และไม่ผกู พันศาลฎีกาตอ้ งฟงั
ขอ้ เทจ็ จรงิ เกย่ี วกับจำเลยท่ี 1 ที่ 2 และท่ี 6 ตามศาลล่างทงั้ สอง การกระทำของจำเลยที่ 1 ท่ี 2 และท่ี 6 จงึ ไมข่ าด
องคป์ ระกอบความผิดเพราะมบี ุคคลไมค่ รบต้งั แตห่ ้าคนขน้ึ ไปดงั ท่ีศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัย
ฎีกาท่ี 10941/2555 การทำปลอมขนึ้ ซ่ึงเงินตรา ไม่วา่ จะเปน็ การปลอมขน้ึ เพอ่ื ใหเ้ ปน็ เหรยี ญกระษาปณ์หรือ
ธนบัตรหรือสง่ิ อนื่ ใดซง่ึ รัฐบาลออกใช้หรอื ใหอ้ ำนาจใหอ้ อกใช้ หากส่งิ ทท่ี ำขึน้ มลี กั ษณะอยา่ งเดียวกบั เงนิ ตราทรี่ ัฐบาลออกใช้
หรอื ให้อำนาจให้ออกใช้พอทีจ่ ะลวงตาใหเ้ ห็นว่าเปน็ เงนิ ตรา ก็ถือได้วา่ เป็นการทำปลอมข้นึ โดยไมจ่ ำตอ้ งถงึ กบั ตอ้ งพจิ ารณาดู
หรือจับต้องเสียก่อนจึงจะรวู้ า่ เป็นของปลอม สำหรบั ธนบัตรปลอมของกลางเห็นไดช้ ัดว่าทำข้นึ โดยมีรูปรา่ งลักษณะ ขนาด
สีสนั ลวดลายและตวั อกั ษรบนธนบัตรเหมอื นกับธนบตั รฉบบั ละ 1000 บาท ท่แี ท้จริงทุกประการ แมส้ สี นั ความคมชดั และ
กระดาษแตกต่างจากของจรงิ ไปบ้างก็เป็นเร่ืองธรรมดา เพราะในการทำปลอมตามปกติยอ่ มตอ้ งมีความแตกต่างจากของจรงิ ไม่
มากกน็ ้อย จะให้เหมอื นของจริงไปเสยี ทกุ อยา่ งย่อมไม่ได้และวัสดทุ ่ใี ชย้ ่อมตอ้ งดอ้ ยคุณภาพกว่าของจรงิ หากแต่รปู ลักษณะ
ภายนอกกเ็ พยี งพอต่อการลวงตาให้เห็นวา่ เป็นเงนิ ตราแล้ว จงึ เป็นการทำปลอมข้ึนซ่งึ เงินตราเพ่อื ใหเ้ ป็นธนบตั รซ่งึ รัฐบาลไทย
ออกใชห้ รอื ให้อำนาจให้ออกใช้ หาใช่มเี จตนาเพยี งทำบตั รใหม้ ีลกั ษณะและขนาดคล้ายคลงึ กบั เงนิ ตรา อันเปน็ ความผดิ ตาม
ป.อ. มาตรา 249 วรรคแรก เทา่ นั้นไม่ จำเลยจงึ มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 240
ฎีกาที่ 2828/2551 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 249 มิไดบ้ ญั ญตั ิไวด้ ้วยวา่ การทำบัตรใหม้ ลี ักษณะและ
ขนาดคลา้ ยคลึงกบั เงินตรา ต้องกระทำเพอื่ ให้ผอู้ นื่ เชื่อวา่ เปน็ ธนบัตรท่แี ทจ้ รงิ แต่คำวา่ คลา้ ยคลึง แสดงวา่ เกอื บเหมอื นหรอื ไม่
ตอ้ งเหมือนทเี ดียว เพียงแตม่ ลี ักษณะสีสันรปู รา่ งและขนาดคล้ายเงินตราที่แทจ้ รงิ กเ็ ป็นความผิดตามมาตราน้ี แต่สำเนาธนบัตร
39
40
ทจ่ี ำเลยทำขึ้นวา่ เกดิ จากการถา่ ยสำเนาธนบัตรฉบบั ละ 1,000 บาท ของจรงิ ลงในกระดาษธรรมดา สสี ันในส่วนสำเนาธนบตั ร
เปน็ สขี าว มไิ ดม้ ีสสี ันเหมอื นธนบตั รฉบบั จรงิ แมว้ ่าขนาดของกระดาษจะเท่าของจริง เมือ่ วญิ ญชู นท่ัวไปดแู ล้วย่อมทราบไดท้ นั ที
วา่ ไม่ใชธ่ นบัตรทแ่ี ทจ้ รงิ ยอ่ มถือไมไ่ ดว้ ่าจำเลยทำบตั รใหม้ ลี กั ษณะและขนาดคลา้ ยคลงึ กบั เงินตรา
ฎกี าท่ี 631/2557 ป.อ. มาตรา 264 วรรคหนึง่ บญั ญตั ิว่า “ผใู้ ดทำเอกสารปลอมข้ึนทง้ั ฉบบั หรือแตส่ ่วนหนงึ่
ส่วนใด “เติม หรอื ตัดทอนขอ้ ความ หรอื แกไ้ ขดว้ ยประการใด ๆ” ในเอกสารท่ีแทจ้ รงิ หรอื “ประทบั ตราปลอม หรอื ลงลายมอื
ชื่อปลอม” ในเอกสาร โดยประการทีน่ า่ จะเกดิ ความเสยี หายแก่ผู้อืน่ หรอื ประชาชน ถ้าไดก้ ระทำเพื่อใหผ้ หู้ นง่ึ ผ้ใู ดหลงเชอ่ื ว่า
เป็นเอกสารทแ่ี ทจ้ รงิ ผนู้ ั้นกระทำความผิดฐานปลอมเอกสาร ต้องระวางโทษจำคุกไมเ่ กินสามปี หรือปรบั ไม่เกินหกพนั บาท
หรือทง้ั จำทั้งปรบั ตามบทบญั ญตั ดิ งั กลา่ วเหน็ ไดว้ ่า ผูท้ ำเอกสารปลอมสามารถทำเอกสารปลอมขนึ้ ทงั้ ฉบบั ได้ จำเลยปลอม
บิลเงนิ สด โดยนำแบบพมิ พ์บลิ เงินสดมาเขยี นกรอกขอ้ ความมีสาระสำคัญวา่ บลิ เงนิ สดฉบบั ดงั กล่าวออกโดยรา้ น ย. เลขท่ี
44/4 ถนนจกั รวรรดิ เขตสมั พนั ธวงศ์ กรุงเทพมหานคร เลม่ ที่ 009 เลขท่ี 057 เมอ่ื วน้ ที่ 18 มกราคม 2551 ไดร้ บั เงินจาก
บริษ้ท ป. เป็นคา่ ผ้าพืน้ สีขาว จำนวน 90 เมตร จำนวนเงิน 3,600 บาท และค่าผ้าพ้ืนสดี ำ จำนวน 90 เมตร จำนวนเงนิ 3,600
บาท รวมจำนวนเงนิ 7,200 บาท แล้วจำเลยลงลายมือซอื่ ผรู้ บั เงินปลอมในบิลเงินสดดง้ กลา่ ว แม้จะไมม่ ีตน้ ฉบับอันแทจ้ ริงของ
บิลเงินสดกเ็ ท่ากบั เป็นการปลอมขนึ้ ทง้ั ฉบบั เพอื่ ใหเ้ หน็ วา่ เปน็ เอกสารท่ีไดท้ ำมาจากตน้ ฉบบั ท่แี ท้จรงิ การปลอมเอกสารตาม
กฎหมายหาใช่จำเป็น จะตอ้ งปลอมจากเอกสารที่มอี ยูแ่ ท้จรงิ เสมอไปไม่ การกระทำของจำเลย กเ็ ป็นการปลอมเอกสารสิทธิ
ตาม ป.อ. มาตรา 265 แลว้
ฎีกาที่ 305/2508 เมือ่ ปรากฏวา่ สัญญากู้เงินซงึ่ เป็นเอกสารสิทธนิ ั้นมเี รอื่ งทีแ่ ทจ้ รงิ รวมกนั อยู่ 2 เรื่อง คอื มี
หนงั สือสญั ญากเู้ งนิ 1 มบี ันทกึ การชำระหนเี้ งนิ กรู้ ายนบี้ างสว่ น 1 แตจ่ ำเลยไดล้ บบนั ทกึ ดงั กล่าวออกเสียเอกสารสทิ ธนิ ัน้ ก็จะมี
หนงั สือสญั ญาอันเปน็ เอกสารที่แท้จริงเหลอื อยเู่ พียงเรอ่ื งเดยี ว การที่จำเลยลบบันทึกน้นั ออกกเ็ พอ่ื ใหโ้ จทก์หรอื ศาลหลงเช่ือวา่
เอกสารสิทธิมหี นังสอื สญั ญากเู้ งินเพยี งเรอ่ื งเดียวซงึ่ แสดงว่าไม่เคยผอ่ นชำระหนก้ี ันเลยการกระทำเช่นนเ้ี ป็นการตดั ทอนหรอื
แกไ้ ขด้วยประการใดๆ ในเอกสารที่แทจ้ รงิ เปน็ ผิดฐานปลอมเอกสารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264
ฎีกาท่ี 9550/2558 จำเลยทำเอกสารเก่ยี วกับค่าทำงาน คา่ เช่ารถ กบั การนำรถยนต์มาใชใ้ นงานโครงการตามท่ี
จำเลยมหี นา้ ที่ ไมต่ รงต่อความจรงิ โดยใช้หวั กระดาษเอกสารทมี่ ีชื่อบรษิ ัทในไซตง์ านเพื่อใหส้ มจริง การกระทำของจำเลยกไ็ ม่
เปน็ ความผิดฐานปลอมเอกสาร เพราะเอกสารนนั้ เป็นเอกสารของจำเลยทำขึน้ เองไม่ใช่เอกสารของคนอืน่
ฎกี าท่ี 12137/2558 ความผิดฐานปลอมเอกสารต้องเป็นการกระทำตอ่ เอกสารอนั เปน็ ผลให้เอกสารน้นั ผิดแผก
แตกต่างไป ดว้ ยเจตนาใหผ้ หู้ นง่ึ ผใู้ ดหลงเชื่อว่าเอกสารนน้ั เปน็ เอกสารทีแ่ ท้จรงิ แมส้ ำเนาบตั รประจำตัวประชาชนจะเปน็
เอกสารราชการ แต่ข้อเทจ็ จรงิ ได้ความวา่ มเี พียงการปลอมลายมอื ช่ือของโจทกร์ ว่ มลงในสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนท่ี
แท้จรงิ ของโจทกร์ ว่ ม โดยไมม่ ีการเตมิ หรือตดั ทอนข้อความ หรอื แกไ้ ขสำเนาบตั รประจำตวั ประชาชนให้แตกต่างไปจากสำเนา
40
41
บตั รประจำตวั ประชาชนน้แี ต่อย่างใด สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนดังกล่าวยงั คงเปน็ เอกสารท่แี ทจ้ รงิ การปลอมลายมอื ชอ่ื
โจทกร์ ว่ มลงในสำเนาบตั รประจำตวั ประชาชนจงึ เป็นเพยี งการปลอมเอกสารตาม ป.อ. มาตรา 264 วรรคแรก เท่านนั้ เมอื่
จำเลยใชส้ ำเนาบัตรประจำตวั ประชาชนของโจทกร์ ว่ มดงั กลา่ ว จึงไมเ่ ป็นความผดิ ฐานใช้เอกสารราชการปลอม คงมีความผดิ
ฐานใชเ้ อกสารปลอมตาม ป.อ. มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 วรรคแรก
ฎีกา 15446/2555 การทจี่ ำเลยที่ 1 ได้นำแผน่ ป้ายทะเบียนรถยนตป์ ลอมของกลางปดิ ทบั แผน่ ป้ายทะเบยี น
รถยนตท์ แี่ ทจ้ รงิ ท่ีดา้ นหนา้ และดา้ นทา้ ยของรถเพอ่ื ใชร้ ถยนต์เดินทางไปทเี่ มอื งพทั ยา ปอ้ งกันมใิ หผ้ ้ทู พ่ี บเห็นทราบหมายเลข
ทะเบยี นรถยนตท์ ่แี ทจ้ รงิ หากเกดิ อบุ ตั เิ หตุในระหวา่ งการเดนิ ทาง ดงั นี้ จงึ เปน็ การใชแ้ ผ่นปา้ ยทะเบยี นรถยนตป์ ลอมอยา่ งเป็น
เอกสารราชการทแ่ี ทจ้ รงิ เพอ่ื ใหผ้ ู้อนื่ หลงเชื่อว่ารถยนต์หมายเลขทะเบียน วต 2914 กรงุ เทพมหานคร เป็นรถยนต์หมายเลข
ทะเบยี น สม 2794 กรุงเทพมหานคร ตามแผ่นปา้ ยทะเบยี นรถยนตท์ ่ีมกี ารทำปลอมขนึ้ และจากขอ้ เทจ็ จรงิ ตามที่พจิ ารณาได้
ความว่า ท่ีเกิดเหตุซง่ึ เจ้าพนักงานตำรวจพบการกระทำความผิดของจำเลยท่ี 1 เป็นสถานทีเ่ ปิดเผยในทางเดนิ รถสาธารณะ แม้
จำเลยท่ี 1 ยงั ไมไ่ ด้ใช้รถยนตเ์ ดินทางเคลื่อนทจี่ ากจุดเกดิ เหตทุ ่มี ีการลงมือกระทำความผิดดงั กล่าว ก็เปน็ ความผิดสำเรจ็ ฐานใช้
เอกสารราชการปลอม จำเลยท่ี 1 จึงมคี วามผิดตาม ป.อ. มาตรา 268 ประกอบมาตรา 265
ฎีกาที่ 12137/2558 ความผดิ ฐานปลอมเอกสารต้องเปน็ การกระทำต่อเอกสารอนั เป็นผลให้เอกสารนัน้ ผิดแผก
แตกต่างไป ดว้ ยเจตนาใหผ้ ้หู นงึ่ ผใู้ ดหลงเชอื่ วา่ เอกสารน้นั เปน็ เอกสารทแี่ ทจ้ รงิ แมส้ ำเนาบตั รประจำตวั ประชาชนจะเป็น
เอกสารราชการ แต่ข้อเทจ็ จริงไดค้ วามว่ามเี พียงการปลอมลายมอื ชื่อของโจทกร์ ว่ มลงในสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนที่
แท้จรงิ ของโจทกร์ ่วม โดยไม่มกี ารเตมิ หรือตัดทอนขอ้ ความ หรอื แก้ไขสำเนาบัตรประจำตวั ประชาชนใหแ้ ตกตา่ งไปจากสำเนา
บตั รประจำตวั ประชาชนนแ้ี ต่อยา่ งใด สำเนาบัตรประจำตวั ประชาชนดังกล่าวยงั คงเปน็ เอกสารท่ีแทจ้ ริง การปลอมลายมือช่ือ
โจทกร์ ่วมลงในสำเนาบัตรประจำตวั ประชาชนจึงเป็นเพียงการปลอมเอกสารตาม ป.อ. มาตรา 264 วรรคแรก เทา่ น้นั เม่ือ
จำเลยใชส้ ำเนาบัตรประจำตวั ประชาชนของโจทกร์ ่วมดังกลา่ ว จงึ ไมเ่ ป็นความผิดฐานใช้เอกสารราชการปลอม คงมีความผดิ
ฐานใช้เอกสารปลอมตาม ป.อ. มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 วรรคแรก
ฎีกาท่ี 4311/2557 ขอ้ เท็จจรงิ รบั ฟังได้ว่าจำเลยท่ี 1 ถงึ ที่ 3 รว่ มกันพมิ พป์ ลอมหนังสือแตง่ ตั้งตวั แทนจำหน่าย
อุปกรณก์ นั ระเบิด แบรนด์ บารเ์ ทค และพมิ พ์ข้อความระบเุ งอ่ื นไขในการสงั่ ซอ้ื ราคาขายและส่วนลด เงือ่ นไขในการชำระเงิน
การสง่ เสรมิ การขาย และเงอ่ื นไขทท่ี ำใหต้ ัวแทนจำหน่ายสิ้นสุดลง แลว้ ลงลายมือชอื่ ปลอมของนาย อ. ผจู้ ัดการฝา่ ยผลติ ภัณฑ์
พรอ้ มทงั้ ประทบั ตราบริษทั ลงในหนังสอื แต่งตง้ั ตัวแทนดงั กล่าวในเคร่อื งคอมพวิ เตอร์ จากข้อเทจ็ จริงดงั กลา่ วปญั หามีวา่ เป็น
ความผิดฐานปลอมเอกสารหรือไม่
ศาลฎีกาพจิ ารณาแล้วเหน็ ว่า ป.อ. มาตรา 1(7) ได้นยิ ามความหมายของคำว่า เอกสาร
หมายความว่า กระดาษหรอื วตั ถุอืน่ ใดซ่ึงทำใหป้ รากฏความหมายด้วยตัวอกั ษร ตัวเลข ผงั หรือแผนแบบอยา่ งอน่ื จะเปน็ โดยวธิ ี
41
42
พมิ พ์ ถ่ายภาพหรือวธิ ีอืน่ อันเปน็ หลักฐานแหง่ ความหมายนนั้ ดังนี้ การทีจ่ ำเลยท่ี 1 ถงึ ท่ี 3 ร่วมกันพมิ พ์หนงั สอื แตง่ ตัง้ ตัวแทน
จำหน่ายอปุ กรณก์ ันระเบิด แบรนด์ บารเ์ ทค พรอ้ มรายละเอยี ดดงั กลา่ วข้างต้นลงในเครอ่ื งคอมพิวเตอร์ ถอื เป็นการใชเ้ ครือ่ ง
คอมพวิ เตอรซ์ ่งึ เป็นวตั ถอุ ่นื ใดทำใหป้ รากฏความหมายซงึ่ สามารถอ่านหรือเหน็ ความหมายไดโ้ ดยบุคคลทพ่ี ิมพ์ตวั อักษรนนั้ แลว้
เกบ็ ไว้ในเครอื่ งคอมพิวเตอร์ดงั กล่าวเพอื่ เปน็ หลกั ฐานซึ่งจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 สามารถนำไปใชไ้ ดเ้ มือ่ ตอ้ งการจะใช้ จึงเปน็ เอกสาร
ตามความหมายของบทบญั ญตั ิดงั กล่าวแลว้ แตอ่ ย่างไรก็ตามประมวยลกฎหมายอาญา มาตรา 1(9) ได้นยิ ามความหมายของคำ
วา่ เอกสารสทิ ธิ หมายความวา่ เอกสารทเี่ ป็นหลกั ฐานแหง่ การกอ่ เปลีย่ นแปลง โอน สงวนหรอื ระงบั ซงึ่ สิทธิ เม่อื หนงั สอื แต่งตั้ง
ตวั แทนจำหน่ายอุปกรณ์กันระเบดิ แบรนด์ บาร์เทค ปลอม มีข้อความว่าผูเ้ สยี หายตกลงใหจ้ ำเลยท่ี 1 เป็นตัวแทนในการ
จำหนา่ ยอปุ กรณก์ ันระเบิด แบรนด์ บารเ์ ทค พร้อมระบุเงื่อนไขในการส่ังซอื้ ราคาขาย และส่วนลด เงื่อนไขในการชำระเงิน
การสง่ เสรมิ การขายและเงอ่ื นไขท่ที ำให้ตัวแทนจำหน่ายสิน้ สดุ ลง ดงั นี้ หนังสอื ดงั กลา่ วจึงเป็นเพียงเอกสารทผี่ เู้ สยี หายมอบ
อำนาจใหจ้ ำเลยท่ี 1 มอี ำนาจทำนิตกิ รรมแทนผ้เู สียหายเท่าน้ัน ไม่เปน็ เอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกอ่ ตงั้ สทิ ธิ จึงไมใ่ ช่เปน็
เอกสารสิทธติ าม ป.อ. มาตรา 1(9) จำเลยที่ 3 จงึ ไมม่ คี วามผดิ ตาม ป.อ. มาตรา 265 คงมีความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา 264
เทา่ นั้น
คดีนี้ ศาลฎกี าพพิ ากษาว่าจำเลยที่ 1 ถงึ ที่ 3 มีความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา 264, 268 วรรค
แรก ประกอบมาตรา 264 ประกอบมาตรา 83 จำเลยที่ 1 ถงึ ที่ 3 เป็นผปู้ ลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมนั้นเอง จงึ ใหล้ งโทษ
ฐานใช้เอกสารปลอมเพยี งกระทงเดียวตาม ป.อ. มาตรา 268 วรรคสอง
ฎกี าที่ 6019/2560 ขณะทีจ่ ำเลยเดนิ มาซอ้ื ส้ม ผ้ตู ายเพยี งแตพ่ ูดวา่ "ทำไมซ้ือส้มเทา่ นีต้ งั มเี ยอะ" แลว้ จำเลยกับ
ผตู้ ายต่ายพดู เสยี ดสีทา้ ทายกนั จนเปน็ เหตุใหจ้ ำเลยใช้อาวธุ ปืนยงิ ผู้ตาย แมผ้ ตู้ ายเปน็ ฝ่ายพูดกับจำเลยก่อนจนเปน็ เหตใุ ห้
จำเลยไมพ่ อใจ แลว้ มีการพดู จาเสยี ดสแี ละทา้ ทายกัน แตถ่ อ้ ยคำของผตู้ ายมลี ักษณะเปน็ เพียงการหยอกล้อจำเลย ยงั ถือไมไ่ ดว้ า่
การกระทำของผู้ตายเปน็ การข่มเหงจำเลยอยา่ งรา้ ยแรงด้วยเหตุอันไมเ่ ป็นธรรม
ฎีกาที่ 7583/2560 แมจ้ ำเลยจะมิได้พูดจาข่มขหู่ รือขเู่ ขญ็ วา่ ในทนั ใดน้นั จะใช้กำลังประทษุ ร้าย แตพ่ ฤติการณ์
ของจำเลยทเ่ี ดนิ เขา้ ไปในห้องพกั อนั เปน็ เคหสถานของผเู้ สยี หายเวลาวกิ าล แลว้ เปิดเสอ้ื ใหด้ ูพร้อมทำทา่ คล้ายกบั จะชักอาวธุ
ลักษณะเปน็ มีดปลายแหลมจนทำให้ ภ. ร้สู ึกตกใจกลวั เกรงว่าจะถกู ทำร้ายและไมล่ า้ ขัดขนื จากน้นั จำเลยหยบิ คอมพวิ เตอร์
โนต๊ บ๊คุ ไปจงึ เป็นการท่ีจำเลยแสดงอาการขู่เขญ็ ภ. แลว้ ว่าในทันใดน้นั จะใช้กำลงั ประทุษรา้ ยในขณะเดียวกนั กับลักทรัพย์หรอื
ใกล้ชดิ กบั การลกั ทรพั ย์ หรอื ใกลช้ ดิ กบั การลกั ทรพั ย์ตอ่ เนอ่ื งเป็นเหตุการณ์เดียวกัน ขณะเกิดเหตุ อ. ไปทหี่ อ้ งพกั ของเพอื่ นซ่ึง
อยูใ่ กลเ้ คียงหรือเยอ้ื งกบั หอ้ งพักที่ อ. กับ ภ. เช่าอยู่ แม้ อ. ไมไ่ ดส้ ่งมอบการครอบครองหรอื ฝากคอมพวิ เตอรโ์ น๊ตบุ๊คไว้กบั ภ.
จงึ เปน็ กรณีที่ อ. ให้ ภ. ชว่ ยดแู ลคอมพวิ เตอร์โน๊ตบ๊คุ ชว่ั คราวเฉพาะเหตหุ รอื ชัว่ ระยะเวลาท่ี อ. ไปห้องพกั ของเพอ่ื น ถือว่า
คอมพิวเตอรโ์ น๊ตบ๊คุ ยังอยใู่ นความครอบครองของ อ. เม่ือจำเลยชิงทรพั ยด์ งั กล่าวไป อ. เป็นผเู้ สียหาย มใิ ช่ ภ. เปน็ ผเู้ สยี หาย
ตามฟอ้ ง
42
43
ฎีกาที่ 4278-4279/2561 จำเลยที่ 1 ถกู จบั กุมตวั ได้ทันทที บ่ี า้ นเกิดเหตขุ ณะพวกของผกู้ ระทำความผิดท่กี ำลังใช้
สว่านไฟฟ้าเจาะถงั นำ้ ยาแอรป์ ระกอบวัตถรุ ะเบิดอยู่หลบหนไี ปได้ นอกจากน้ีจำเลยท่ี 1 ได้ใหถ้ อ้ ยคำตอ่ รอ้ ยตำรวจโท ภ. วา่
จำเลยท่ี 1 ได้รบั มอบหมายให้คอยดูความเคลอื่ นไหวของเจา้ หนา้ ท่ีในหมบู่ า้ น วันเกดิ เหตจุ ำเลยท่ี 1 ไปรับคน 3 คนมาทเี่ กดิ
เหตุจำเลยท่ี 1 เคยได้รบั ฟงั การบรรยายประวตั ศิ าสตรเ์ ก่ียวกบั รฐั ปตั ตานี จำเลยท่ี 1 เชือ่ และคลอ้ ยตามอกี ทงั้ จำเลยที่ 1 ไดท้ ำ
พธิ ซี เู ปาะ(สาบาน) มาแลว้ ด้วย พฤติการณข์ องจำเลยที่ 1 ดงั กลา่ วมีนำ้ หนักใหร้ บั ฟงั ได้วา่ เขา้ รว่ มอยใู่ นกระบวนการผกู้ ่อความ
ไมส่ งบโดยแบ่งหนา้ ทกี่ นั ทำ จำเลยท่ี 1 จึงเปน็ ตัวการกระทำความผิด มใิ ชเ่ ปน็ เพียงการกระทำอนั เป็นการช่วยเหลอื หรอื ให้
ความสะดวกในการทผี่ ู้อน่ื กระทำความผิดก่อนหรอื ขณะกระทำความผิดอันเป็นเพียงผสู้ นบั สนุนเทา่ นั้น
ขณะเจ้าพนักงานตำรวจเข้าจับกมุ จำเลยที่ 1 และท่ี 2 ทบ่ี ้านเกิดเหตุพวกของจำเลยท่ี 1 และที่ 2 ทก่ี ำลงั ทำประกอบวตั ถุ
ระเบดิ หลบหนไี ปไดร้ วม 5 คน การกระทำของจำเลยท่ี 1 กบั พวกเป็นการปกปดิ วธิ ดี ำเนินการและมีความมุ่งหมายเพ่อื แบ่งแยก
ดินแดนราชอาณาจักรไทยเป็นความผิดฐานก่อการรา้ ยอันมชิ อบด้วยกฎหมายจงึ มคี วามผิดฐานเป็นอ้งั ย่ที ง้ั การสมคบกนั กระทำ
ความผิดฐานเป็นผู้กอ่ การรา้ ยนนั้ เป็นความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญาตามทบ่ี ญั ญตั ิไว้ในภาค 2 และมกี ำหนดโทษจำคกุ
อยา่ งสงู ตง้ั แต่ 1 ปีขึน้ ไป จงึ มีความผิดฐานเปน็ ซอ่ งโจรอกี ครง้ั หนง่ึ ดว้ ย
การทจ่ี ำเลยท่ี 1 และที่ 2 ร่วมกบั พวกทำหรือประกอบวตั ถุระเบิดเปน็ การสะสมกำลงั พล
หรืออาวธุ เพอ่ื นำไปใช้ก่อเหตกุ อ่ ความไมส่ งบตามแผนของกลุม่ ก่อความไมส่ งบแบ่งแยกดินแดนราชอาณาจกั รไทยอันเปน็
ความผิดฐานก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 135/2 น้นั ถือไดว้ ่าเป็นการกระทำอันเปน็ ความผดิ กรรมหนง่ึ ทงั้
ขณะเม่ือจำเลยท่ี 1 และท่ี 2 เขา้ ร่วมเปน็ สมาชิกของกระบวนการกอ่ การรา้ ยทม่ี ีความมงุ่ หมายเพื่อแบง่ แยกดินแดน
ราชอาณาจักรไทย อันเปน็ การกระทำเพอื่ การอันมชิ อบด้วยกฎหมายนัน้ ย่อมเป็นความผิดสำเรจ็ ฐานเปน็ องั้ ยีต่ ามมาตรา 209
แล้วทนั ทีนับแตเ่ ข้ารว่ มเป็นสมาชกิ ของกระบวนการดงั กลา่ ว ส่วนความผดิ ฐานเปน็ ซอ่ งโจรนน้ั เมื่อจำเลยที่ 1 และท่ี 2 สมคบ
กับพวกทห่ี ลบหนอี ีก 5 คน เพอ่ื กระทำความผดิ เก่ยี วกบั การกอ่ การรา้ ยซงึ่ เป็นความผิดตามมาตรา 135/2 อนั เป็นความผิด
อยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ ตามทบ่ี ญั ญัติไว้ในภาค 2 แห่งประมวลกฎหมายอาญาและมกี ำหนดโทษจำคุกอยา่ งสูง ต้ังแต่ 1 ปขี นึ้ ไป ย่อม
เป็นความผดิ สำเรจ็ ฐานเป็นซ่องโจรตามมาตรา 210 ต่างหากอีกกรรมหน่ึง เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 กระทำแตล่ ะฐานความผิด
ตา่ งกรรมตา่ งวาระกนั สามารถแยกเปน็ ความผดิ สำเรจ็ แตล่ ะกรรมได้ มิใชก่ ระทำตอ่ เนือ่ งเชื่อมโยงในคราวเดยี วกัน จงึ เป็น
ความผดิ หลายกรรมตา่ งกัน
ฎีกาท่ี 8407/2561 การทจี่ ำเลยที่ 1 นำหนงั สือสญั ญากยู้ มื เงนิ ทปี่ ลอมลายมอื ช่อื ของผเู้ สยี หาย ใช้หรอื อา้ งใน
การฟอ้ งคดีต่อศาลช้นั ตน้ อันเป็นความผิดฐานใช้หรืออา้ งเอกสารสทิ ธปิ ลอม กับการทจี่ ำเลยท่ี 1 นำหนงั สอื สญั ญากเู้ งนิ ฉบับ
ดงั กลา่ วนำสบื หรอื แสดงพยานหลกั ฐานอนั เปน็ เท็จในการพจิ ารณาคดีอันเปน็ เทจ็ และฐานนำสบื หรอื แสดงพยานหลกั ฐานอัน
เป็นเท็จในการพจิ ารณาคดี แมก้ ารกระทำของจำเลยท่ี 1 ตามขัน้ ตอนต่างๆ ดงั กล่าวเปน็ การกระทำคนละวันกัน แตเ่ ป็นการ
กระทำท่ีตอ่ เนื่องเช่ือมโยงกนั โดยมเี จตนาเดยี วกนั คอื เพอ่ื ทจ่ี ะให้ศาลพิพากษาใหผ้ ้เู สยี หายชำระเงนิ กใู้ ห้แกจ่ ำเลยท่ี 1 จงึ เปน็
การกระทำกรรมเดยี วเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทตอ้ งลงโทษในความผดิ ฐานใช้เอกสารสทิ ธิปลอมซงึ่ เปน็ กฎหมายบทท่มี ี
โทษหนกั ทสี่ ุดตาม ป.อ. มาตรา 90 เพียงกระทงเดียว
43
44
ข้อ 5 - 6 (ม.288-389)
ฎีกาที่ 3935/2553 จำเลยมีเจตนาทจุ ริตทจ่ี ะเอาสรุ าต่างประเทศของผู้เสียหายไปตง้ั แต่ต้น การทจ่ี ำเลยเอาสรุ า
ตา่ งประเทศใสใ่ นลังน้ำปลาแลว้ นำไปชำระเงินกบั พนกั งานแคชเชยี ร์ของผเู้ สยี หายเท่ากบั ราคาน้ำปลา เปน็ เพียงกลอบุ ายของ
จำเลยเพ่ือเอาสรุ าต่างประเทศของผเู้ สียหายไปโดยทจุ รติ เทา่ นนั้ โดยพนกั งานแคชเชียรซ์ ง่ึ เป็นตัวแทนของผเู้ สียหายมิไดม้ ี
เจตนาสง่ มอบการครอบครองสรุ าตา่ งประเทศใหแ้ กจ่ ำเลย การกระทำของจำเลยจงึ เปน็ ความผิดฐานลกั ทรัพย์ หาใช่เปน็
ความผิดฐานฉอ้ โกงไม่
ฎีกาที่ 9603/2553 โจทกร์ ว่ มซอื้ รถยนตต์ จู้ ากจำเลยในราคา 310,000 บาท จำเลยรบั ชำระราคาแล้ว 200,000
บาท สว่ นท่เี หลือจะชำระใหใ้ นวันที่ 3 พฤศจิกายน 2540 สญั ญาซื้อขายดงั กล่าวไม่มเี งอ่ื นไขเกีย่ วกับการโอนกรรมสิทธใ์ิ น
รถยนตต์ ู้ จงึ เป็นสญั ญาซอ้ื ขายเสรจ็ เดด็ ขาด กรรมสทิ ธิ์ในรถยนตต์ ูย้ ่อมโอนใหแ้ กโ่ จทก์ร่วมตง้ั แต่ขณะเมือ่ ได้ทำสัญญาซื้อขาย
กันตามป.พ.พ. มาตรา 453 และ 458 แม้จะได้ความว่าโจทก์รว่ มยังค้างชำระคา่ รถยนตต์ ู้อยกู่ ็ตาม หากโจทกร์ ่วมเพกิ เฉยไม่
ยอมชำระหน้ดี งั กลา่ ว ถือว่าโจทก์ร่วมผิดสัญญา จำเลยชอบทีจ่ ะใชส้ ทิ ธฟิ ้องคดีทางแพ่งเพือ่ ขอใหโ้ จทกร์ ่วมชำระหน้ีใหค้ รบถว้ น
จำเลยหามสี ทิ ธิทจ่ี ะตดิ ตามเอารถยนตต์ ู้คนั ที่ขายไปนัน้ คืนมาโดยพลการได้ไม่
การทจี่ ำเลยบอกกบั ท. ซงึ่ เป็นเพียงคนขบั รถยนต์ตู้ซึง่ เป็นลกู จา้ งโจทกร์ ว่ มว่าจะมาเอา
รถยนต์ตไู้ ป ท. มใิ ช่เจ้าของกรรมสทิ ธ์ิในรถยนตต์ แู้ ละมใิ ชผ่ ทู้ ม่ี ีอำนาจใหค้ วามยนิ ยอมใหจ้ ำเลยกระทำ การเชน่ นั้น จึงเปน็
การบอกกล่าวใหร้ บั ทราบเท่านัน้ และ ท. มิไดม้ อบกุญแจรถยนตต์ ูเ้ พื่อใหจ้ ำเลยนำรถยนต์ตู้ไปจากทจี่ อดรถแต่ประการใด
ดังนัน้ การทจี่ ำเลยขบั รถยนตต์ ู้ไปจากทจ่ี อดรถ จงึ เปน็ การเอารถยนต์ตูซ้ งึ่ เป็นกรรมสทิ ธ์ขิ องโจทกร์ ่วมไปโดยไมม่ อี ำนาจ แม้
จำเลยจะอา้ งวา่ สบื เน่อื งมาจากโจทกร์ ว่ มไมย่ อมชำระหนท้ี ี่คา้ งก็ตาม แต่ก็เปน็ การใชอ้ ำนาจบังคบั ชำระหนโี้ ดยมิชอบดว้ ย
กฎหมาย และโจทกร์ ว่ มคา้ งชำระราคารถยนต์เพยี งประมาณ 20,000 บาท แตจ่ ำเลยจะใหโ้ จทก์รว่ มชำระเงินแก่จำเลยถึง
100,000 บาท ดังนนั้ การทจี่ ำเลยเอารถยนต์ตไู้ ปจากโจทกร์ ว่ มเพอื่ เรียกรอ้ งให้โจทก์รว่ มชำระหนี้นน้ั ศาลฎีกาโดยมตทิ ปี่ ระชุม
ใหญ่ เหน็ วา่ เป็นการแสวงหาประโยชน์ท่มี ิควรได้โดยชอบดว้ ยกฎหมายสำหรบั ตนเอง การกระทำของจำเลยจึงเป็นการเอา
ทรัพยข์ องโจทก์ร่วมไปโดยทจุ รติ จงึ เปน็ ความผิดฐานลักทรพั ย์
ฎีกาท่ี 11052/2553 ความแตกต่างระหว่างความผดิ ฐานชิงทรัพยก์ บั ความผดิ ฐานกรรโชกทรพั ย์ตามบทบัญญัติ
ของกฎหมายมิได้อยทู่ จี่ ำนวนทรัพยส์ ินทผี่ ู้กระทำผดิ ไดไ้ ปวา่ จะเป็นทัง้ หมดหรอื แต่เพียงบางสว่ น เพราะไมว่ า่ คนร้ายจะได้
ทรัพยส์ นิ ไปเพยี งใด การกระทำความผดิ กเ็ กดิ ข้นึ แล้วเชน่ กัน แตข่ ้อสาระสำคัญอยทู่ ่วี ่าความผิดฐานชิงทรพั ยต์ อ้ งมีฐานเดมิ จาก
ความผิดฐานลกั ทรพั ย์ตาม ป.อ. มาตรา 334 โดยคนรา้ ยใชก้ ำลงั ประทษุ รา้ ยเจ้าของหรอื มีครอบครองทรัพย์น้ัน หรอื ขู่เข็ญวา่
ในทนั ใดน้นั จะใชก้ ำลงั ประทุษร้าย เพอื่ ให้ยน่ื ให้ซึ่งทรพั ยน์ น้ั ตามความใน ป.อ. มาตรา 339 (2) โดยการลกั ทรพั ยก์ ับการใช้
กำลงั ประทษุ รา้ ยตอ้ งไม่ขาดตอน หรอื เปน็ การลักทรพั ย์ทีต่ อ้ งขู่เขญ็ ใหป้ รากฏวา่ ในทนั ทที ันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย
44
45
ต่อเนอื่ งกนั ไป เม่อื ขอ้ เทจ็ จรงิ ได้ความจากคำเบิกความของผเู้ สียหายวา่ ถูกจำเลยตบหนา้ ทนั ทที เ่ี ปิดประตหู อ้ งเม่ือ ช. ตามเขา้
ไปปิดประตหู อ้ ง จำเลยกล็ ้วงมีดพับออกมาจที้ ่แี กม้ ผ้เู สียหายขูข่ อเงนิ ไปซอื้ สรุ า พฤตกิ ารณข์ องจำเลยเชน่ น้ันบง่ ชไี้ ปในทำนองว่า
หากผเู้ สียหายขัดขนื ไมใ่ ห้เงนิ กจ็ ะถูกประทษุ รา้ ยต่อเนอื่ งไปในทันใดนนั้ แสดงให้เหน็ วา่ มุ่งหมายมาทำร้ายและขเู่ ข็ญผเู้ สยี หาย
โดยประสงค์ต่อทรพั ยม์ าแตแ่ รก ไม่ใชเ่ ปน็ การขม่ ขนื ใจใหผ้ เู้ สยี หายยอมใหเ้ งนิ บางสว่ นโดยใช้กำลงั ประทุษร้ายตามทจ่ี ำเลยฎกี า
ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 339 วรรคสอง ประกอบมาตรา 83 จงึ ชอบแล้ว
ฎกี าท่ี 868/2554 การขู่เข็ญวา่ ในทนั ใดน้นั จะใช้กำลังประทุษรา้ ยอนั เปน็ องค์ประกอบความผิดฐานปล้นทรัพย์
นน้ั อาจขู่ตรง ๆ หรือใชถ้ อ้ ยคำ ทำกิรยิ า หรอื ทำประการใดให้เข้าใจไดเ้ ช่นนน้ั เป็นการแสดงใหผ้ ถู้ ูกขู่เขญ็ เขา้ ใจวา่ จะรบั ภยั
จากการกระทำของผู้ขู่เข็ญการทจี่ ำเลยกบั พวกบงั คบั เอาโทรศัพทเ์ คลอ่ื นทีข่ องผู้เสียหาย โดย ม. พวกของจำเลยทำทา่ ทาง
เหมอื นจะชักอาวธุ ออกมาโดยล้วงเขา้ ไปในเสือ้ บรเิ วณเอว แม้มิไดใ้ ช้กำลังประทษุ ร้าย มิได้ใชอ้ าวุธมาขูบ่ งั คบั หรอื พูดว่าจะใช้
กำลงั ประทุษร้ายกต็ าม แต่กิรยิ าทา่ ทีของ ม. ดงั กล่าว เปน็ พฤติการณท์ ถี่ ือไดว้ า่ เป็นการขู่เข็ญวา่ ในทนั ใดนั้นจะใชก้ ำลัง
ประทษุ ร้าย ทำใหผ้ ู้เสยี หายเกิดความกลัวว่าจำเลยกบั พวกจะใชก้ ำลังประทุษรา้ ยจงึ ต้องจำยอมให้โทรศพั ทเ์ คล่อื นทแ่ี ก่จำเลย
กบั พวกไป การกระทำของจำเลยกบั พวกครบองค์ประกอบความผดิ ฐานปลน้ ทรพั ยแ์ ลว้
ฎีกาที่ 3973/2551 ขณะจำเลยท่ี 1 จดทะเบยี นโอนทดี่ นิ ใหแ้ กจ่ ำเลยที่ 2 จำเลยท้งั สองไดห้ ย่ากนั แลว้ ท้งั
จำเลยทงั้ สองไดต้ กลงกันวา่ ใหจ้ ำเลยที่ 2 ไปดำเนนิ การโอนที่ดนิ เปน็ กรรมสิทธิข์ องจำเลยที่ 2 แต่เพยี งผเู้ ดียว หลงั จากนั้น
จำเลยท่ี 2 ยังนำท่ดี ินไปจำนองดว้ ย แสดงวา่ จำเลยทงั้ สองมเี จตนาโอนท่ีดนิ ไปเพอ่ื มิใหโ้ จทก์เจ้าหน้ขี องจำเลยท่ี 1 ได้รับชำระ
หนีป้ ระกอบกบั คำว่าผอู้ ่นื ตาม ป.อ. มาตรา 350 หมายถงึ บคุ คลอ่นื นอกจากตัวลูกหน้ี การทจ่ี ำเลยที่ 1 ซ่งึ เปน็ ลูกหนขี้ องโจทก์
โอนทีด่ ินให้แกจ่ ำเลยท่ี 2 ผซู้ งึ่ มไิ ด้เป็นลูกหนขี้ องโจทกจ์ งึ เปน็ การโอนทรัพยส์ ินไปใหแ้ ก่ผ้อู น่ื แลว้ สว่ นต่อมาโจทกส์ ามารถสบื หา
ตดิ ตามทรพั ยส์ นิ นำมาบงั คบั คดีได้หรอื ไม่ เพยี งใด เปน็ อีกเรอ่ื งหนงึ่ ต่างหาก จำเลยทงั้ สองจงึ มีความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตาม
มาตรา 350
ฎีกาท่ี 8207/2553 โจทกร์ ว่ มกบั จำเลยตกลงยกบ้านทเ่ี กิดเหตุใหแ้ ก่บุตร และใหบ้ ตุ รอย่ใู นอำนาจปกครองของ
โจทกร์ ่วม อกี ทง้ั ยงั ไดม้ กี ารย้ายชื่อจำเลยออกจากบ้านเกดิ เหตุไปแล้วภายหลังจากจดทะเบียนหยา่ 8 วนั ยอ่ มแสดงวา่ บ้านท่ี
เกดิ เหตุเป็นบา้ นทโี่ จทกร์ ่วมกบั บุตรพักอาศัยอยูด่ ว้ ยกันภายหลงั จากที่โจทกร์ ่วมกับจำเลยหยา่ ขาดจากกันแล้ว จำเลยไมม่ สี ทิ ธิ
ใด ๆ ท่ีจะมาพักอาศัยอยใู่ นบา้ นเกิดเหตอุ กี มิฉะนนั้ การหย่าและขอ้ ตกลงเรอ่ื งจดทะเบยี นหย่าระหว่างโจทก์ร่วมกบั จำเลยจะไม่
มีผลแต่ประการใด เม่อื จำเลยไมม่ สี ทิ ธพิ ักอาศัยอยใู่ นบา้ นเกดิ เหตุ การกระทำของจำเลยท่ีเข้าไปในบ้านเกดิ เหตุชว่ งเวลาดกึ
ประมาณเท่ยี งคืนถึงหนึ่งนาฬิกาเช่นน้ี ถือไดว้ ่าเปน็ การเขา้ ไปในเคหสถานซึง่ อยูใ่ นความครอบครองของผอู้ นื่ โดยไมม่ เี หตอุ ัน
สมควร
45
46
ฎกี าที่ 8919/2552 การดูหม่ินผู้อื่น หมายถงึ การดูถกู เหยยี ดหยาม สบประมาท หรอื ทำใหอ้ บั อายการวนิ ิจฉัย
ว่าการกลา่ ววาจาอย่างไร เป็นการดหู ม่นิ ผอู้ ่นื หรอื ไม่ จงึ ต้องพิจารณาว่าถ้อยคำที่กล่าวเปน็ การดถู ูกเหยยี ดหยามสบประมาทผทู้ ี่
ถูกกล่าว หรอื เป็นการทำใหผ้ ทู้ ถ่ี ูกกล่าวอบั อายหรือไม่ หากเป็นเชน่ นั้นก็ถอื ไดว้ ่าเปน็ การดหู ม่ินแลว้ เมื่อตามพจนานกุ รมฉบบั
ราชบณั ฑิตยสถานใหค้ วามหมายวา่ "ตอแหล" ว่า เปน็ คำดา่ คนที่พดู เทจ็ ซงึ่ มคี วามหมายในทางเส่ือมเสีย การที่จำเลยกลา่ ว
ถ้อยคำดังกลา่ วตอ่ ผเู้ สยี หาย จึงเปน็ การพูดดา่ ผู้เสียหายเปน็ การดถู ูกเหยยี ดหยามและสบประมาทผู้เสยี หายวา่ เปน็ คนพดู เท็จ
จงึ เป็นการดหู มน่ิ ผเู้ สยี หายอนั เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 393
ฎกี าท่ี 7264/2543 โจทก์ (ลูกจา้ ง) ขบั รถยนต์ของโจทกล์ งจากอาคารจอดรถของจำเลย (นายจา้ ง) แลว้ แสดง
บตั รจอดรถทม่ี ตี ราประทบั วา่ บรกิ ารแผนกจดั เลย้ี ง 14 ตอ่ น. พนักงานรกั ษาความปลอดภัยซง่ึ ทำหนา้ ที่เกบ็ คา่ บริการจอดรถ
โจทกจ์ ึงไมเ่ สยี ค่าจอดรถแกจ่ ำเลย โจทกท์ ราบดวี ่าจำเลยซึ่งเปน็ นายจา้ งมขี อ้ หา้ มมใิ ห้พนกั งานนำรถขนึ้ ไปจอดบนอาคารจอด
รถ และโจทก์ทราบอย่แู ล้ววา่ วันเกิดเหตุมกี ารนำรถขน้ึ ไปจอดโดยไม่มสี ทิ ธแิ ละไม่ได้รบั การยกเว้น และโจทกค์ วรจะแจ้งความ
จริงดงั กลา่ วให้ น. ทราบขณะยน่ื บัตรจอดรถน้ัน เปน็ กรณที ี่โจทก์แสดงบัตรจอดรถทมี่ ีตราประทับวา่ บริการแผนกจัดเลีย้ ง 14
ต่อ น. เพอ่ื จอดรถโดยไม่ตอ้ งเสียค่าจอดรถเท่านนั้ โจทก์ได้รบั ผลเพียงการบริการจอดรถจากจำเลย โจทก์หาได้ไปซงึ่ ทรพั ยส์ นิ
จากจำเลยไม่ การกระทำของโจทก์จงึ ไม่เปน็ ความผดิ อาญาฐานฉอ้ โกงและมไิ ด้เป็นการจงใจทำใหจ้ ำเลยได้รบั ความเสยี หาย
ฎีกาที่ 3667/2542 จำเลยท้ังสองรว่ มกนั นำ ธ. มาสมคั รเป็นสมาชิกสมาคมฌาปนกิจสงเคราะหโ์ จทก์ร่วม โดย
แจง้ แกโ่ จทกร์ ่วมวา่ ธ. คอื บ. บิดาจำเลยท่ี 1 เปน็ ผมู้ สี ุขภาพแข็งแรงเปน็ เหตใุ หโ้ จทกร์ ่วมหลงเช่อื จึงรบั บ. เป็นสมาชกิ ความ
จริงแล้วขณะนัน้ บ. ปว่ ยเป็นโรคมะเรง็ ในลำไส้ ไม่สามารถเดินไปไหนมาไหนได้ การหลอกลวงมีผลเพียงใหโ้ จทกร์ ่วมรบั บ. เขา้
เป็นสมาชกิ เทา่ นั้น หาไดท้ ำใหจ้ ำเลยทง้ั สองได้ทรัพยส์ ินไปจากโจทก์รว่ มไม่ แมต้ ่อมาโจทก์รว่ มจะจ่ายเงนิ สงเคราะห์ใหจ้ ำเลยท่ี
1 ไปจำนวน 92,000 บาท แตก่ เ็ นื่องจาก บ. ถึงแกก่ รรมหาใช่เนือ่ งจากจำเลยทงั้ สองหลอกลวงไมก่ ารกระทำของจำเลยทัง้ สอง
ไม่เปน็ ความผิดฐานฉอ้ โกง
ฎกี าที่ 1733/2516 การทจี่ ำเลยหลอกลวงใหผ้ เู้ สียหายรบั จ้างทำการขนส่งให้จำเลยแลว้ ไม่ชำระค่าขนสง่ ทตี่ กลง
ไว้วา่ จะชำระใหน้ ั้น จำเลยได้รบั ผลเพียงการขนส่งจากผู้เสียหายไมไ่ ด้ไปซ่งึ ทรพั ยส์ ินจากผเู้ สียหาย การกระทำของจำเลยไม่เป็น
ความผิดฐานฉ้อโกง
ฎกี าที่10314/2553 จำเลยขายรถยนตข์ องกลางใหแ้ ก่ผเู้ สียหายโดยส่งมอบการครอบครองพร้อมใบแทนคมู่ อื จด
ทะเบยี นกับลงลายมอื ชือ่ ในแบบคำขอโอนและรบั โอนกบั หนงั สือมอบอำนาจให้แกผ่ ู้เสยี หาย โดยที่สญั ญาจะซื้อขายไม่ได้
กำหนดเงอื่ นไขการโอนกรรมสิทธ์ิไว้ การซือ้ ขายรถยนต์ของกลางจึงเสร็จเดด็ ขาดและกรรมสทิ ธโิ์ อนขณะทำสญั ญาตาม ป.พ.พ.
46
47
มาตรา 453 และมาตรา 458 การชำระราคาไม่ครบถว้ นกรณนี ไี้ ม่เป็นเหตุใหก้ รรมสทิ ธย์ิ งั ไม่ไดโ้ อนแกผ่ เู้ สยี หาย ผเู้ สยี หายจึงได้
กรรมสทิ ธน์ิ บั แตว่ ันทำสญั ญา เมอื่ สญั ญาซ้อื ขายไมก่ ำหนดเวลาชำระราคาไว้ ผเู้ สียหายจงึ ไมต่ กเปน็ ผู้ผดิ นัดชำระราคา
การทจี่ ำเลยเอารถยนตข์ องกลางไปจงึ ไมม่ ีเหตทุ จ่ี ะอ้างไดต้ ามกฎหมายและทจี่ ำเลย
โทรศัพทน์ ัดหมายให้ผเู้ สยี หายนำรถยนต์ของกลางไปห้างทเ่ี กดิ เหตุ โดยจำเลยอา้ งต่อพนกั งานรักษาความปลอดภยั ว่าบัตรจอด
รถหายแล้วใช้บัตรจอดรถท่อี า้ งวา่ หายนำรถยนตข์ องกลางไปจากความครอบครองของผู้เสียหาย แสดงวา่ ได้มีการวางแผนลัก
ทรพั ยร์ ถยนต์ของผเู้ สียหายไว้ลว่ งหนา้ เป็นขน้ั ตอน การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานลกั ทรพั ย์
ฎกี าที่ 1785/2554 จำเลยลักเอารถจักรยานยนต์ไปจาก ส. ซึ่งลกั มาจากผู้เสียหาย แม้ ส. มใิ ช่เจา้ ของกรรมสทิ ธิ์
แต่ ส. ก็เปน็ ผู้ยดึ ถอื ไวโ้ ดยเจตนาจะยึดถือเพอ่ื ตน จึงเปน็ ผคู้ รอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1367 เพยี งแต่ ส. ซึง่ ไมม่ ีสทิ ธจิ ะ
ยดึ ถอื ไว้อาจถูกผ้เู สยี หายซ่ึงเป็นเจา้ ของตดิ ตามเอาคนื ได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 จำเลยย่อมไม่มสี ทิ ธิดีไปกว่า ส. เมอ่ื จำเลย
ลักเอาไปจาก ส. จำเลยจงึ มคี วามผดิ ฐานลกั รถจกั รยานยนต์ที่อยูใ่ นความครอบครองของ ส. เพราะความผิดฐานลักทรัพย์
นอกจากกฎหมายคุ้มครองกรรมสทิ ธ์ิแล้วยังคมุ้ ครองถึงสิทธคิ รอบครองด้วย
ฎีกาท่ี 8396/2552 การกระทำความผิดฐานรับของโจร ผกู้ ระทำไมจ่ ำต้องรบั ทรพั ย์ของกลางไวใ้ นความ
ครอบครองของตนเอง เพยี งแตช่ ่วยซอ่ นเรน้ ช่วยจำหนา่ ย ช่วยพาเอาไปเสยี ซื้อ รบั จำนำ หรอื รบั ไว้ดว้ ยประการใดซงึ่ ทรพั ย์อนั
ไดม้ าโดยการกระทำความผดิ การที่จำเลยขบั รถจกั รยานยนต์ให้ อ. น่งั ซ้อนท้าย บรรทุกโทรทัศนข์ องกลางจะไปที่อำเภอดอนสกั
โดยร้อู ยวู่ ่าเปน็ โทรทัศน์ท่ี อ. ลกั มา ก็เป็นการช่วยพาเอาไปเสียอันเปน็ องคป์ ระกอบของความผิดฐานรบั ของโจรแล้ว
ฎกี าที่ 3463/2554 การที่จำเลยไปนง่ั ครอ่ มบนรถจกั ยานยนต์ของผู้เสยี หาย เปน็ การลงมอื กระทำความผิดฐานลัก
ทรพั ยแ์ ลว้ แม้จำเลยจะสตารท์ เครอ่ื งดว้ ยเท้าไมต่ ดิ และตอ่ สายตรงไม่สำเรจ็ แต่จำเลยไดพ้ ารถเคล่ือนท่ไี ปจากทจี่ อด
ไว้ 5 ถึง 10 เมตร เปน็ การพาทรพั ยเ์ คลอื่ นทีไ่ ปได้แลว้ การกระทำของจำเลยเปน็ ความผดิ สำเรจ็ ฐานลกั ทรพั ย์
ฎกี าท่ี10558/2553 การที่โจทก์ยนิ ยอมใหจ้ ำเลยที่ 1 มสี ทิ ธนิ ำเงินฝากประจำของโจทกม์ าชำระหนีต้ ามสัญญากู้
เบกิ เงินเกนิ บญั ชไี ด้ เป็นการกู้ยืมเงนิ โดยมเี งนิ ฝากประจำเปน็ หลกั ประกัน เมอื่ โจทก์แจง้ ใหจ้ ำเลยที่ 1 นำเงินฝากประจำมาหกั
กลบลบหนแี้ ลว้ แตจ่ ำเลยท่ี 1 ไมป่ ฏบิ ตั ิตามยงั คงคิดดอกเบี้ยจากโจทก์ตอ่ ไปอีก โดยจำเลยที่ 1 อ้างวา่ โจทกย์ งั มิได้นำหนงั สือ
รับรองสินเชอ่ื มาคนื ให้จำเลยที่ 1 เชน่ นี้ หากโจทกเ์ หน็ วา่ จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาไมป่ ฏบิ ัตติ ามข้อตกลง โจทก์ชอบทจี่ ะดำเนินคดี
จำเลยที่ 1 เปน็ คดีแพง่ เงนิ ฝากของโจทกท์ ่ีฝากไวก้ บั จำเลยที่ 1 ยอ่ มตกเปน็ กรรมสทิ ธิ์ของจำเลยที่ 1 ตัง้ แต่ทมี่ กี ารฝากเงนิ
จำเลยท่ี 1 คงมหี น้าทคี่ ืนเงินให้ครบจำนวนเทา่ นน้ั ตาม ป.พ.พ. มาตรา 672 จงึ มใิ ช่เป็นการทโี่ จทกม์ อบหมายใหจ้ ำเลย
ที่ 1 จัดการทรัพยส์ นิ ของตน การกระทำของจำเลยทงั้ สองไม่เปน็ ความผดิ ฐานยกั ยอก
47
48
ฎกี าท่ี 680/2554 เงนิ ทห่ี มบู่ ้านอาสาพฒั นาและปอ้ งกันตนเองนำฝากไวท้ ี่ธนาคารย่อมเปน็ กรรมสทิ ธิ์ของ
ธนาคารผ้รู บั ฝาก ธนาคารมหี น้าที่ต้องคืนเงินดงั กลา่ วใหแ้ ก่เจา้ ของบญั ชีตามเงอ่ื นไขทีต่ กลงกันให้ครบถ้วน จำเลยทงั้ สามไม่ได้
รับมอบการครอบครองและไมม่ อี ำนาจหนา้ ทใ่ี นการดแู ลเงินดงั กล่าว ดังนั้น เมอ่ื จำเลยทง้ั สามรว่ มกันทำเอกสารเทจ็ นำไปขอ
เปลย่ี นแปลงผ้มู อี ำนาจลงนามและเงอ่ื นไขในการสง่ั จา่ ยเพ่อื เบิกถอนเงนิ จากบญั ชีเงนิ ฝากของหมบู่ ้านแลว้ ถอนเงินออกจาก
บญั ชีดังกลา่ วโดยไม่มีอำนาจ จงึ เป็นการเอาเงนิ จากบญั ชีเงนิ ฝากของหมบู่ ้านซึง่ เปน็ กรรมสิทธข์ิ องธนาคารไปโดยทจุ ริต การ
กระทำของจำเลยทั้งสามจงึ เปน็ ความผิดฐานลกั ทรัพยข์ องธนาคาร หาใช่เปน็ ความผิดฐานยกั ยอกไม่ เพราะการครอบครองเงนิ
มไิ ด้อยู่กบั จำเลยท้งั สามในขณะทจ่ี ำเลยทง้ั สามกระทำความผดิ
ฎีกาท่ี 9270/2554 องคป์ ระกอบความผดิ ฐานทำให้เสยี ทรัพยน์ ั้นต้องกระทำตอ่ ทรพั ยข์ องผู้อืน่ หรอื ผอู้ ื่นเปน็
เจ้าของรวมอยดู่ ว้ ย คำว่า “ ทรพั ยข์ องผอู้ ื่น” หมายความรวมถงึ บุคคลที่ได้รับมอบหมายโดยตรงจากเจา้ ของทรพั ย์ให้เปน็ ผู้
ครอบครองดแู ลรกั ษาทรัพย์นัน้ เมอ่ื ขอ้ เทจ็ จรงิ ได้ความว่ารถยนต์กระบะคันดงั กลา่ วเปน็ ของบดิ าผ้เู สยี หายที่ 1 และเปน็ รถยนต์
ท่ีใชใ้ นครอบครัวของผู้เสียหายที่ 1 ดงั นนั้ แมผ้ ูเ้ สยี หายที่ 1 ซง่ึ เป็นบุตรของเจา้ ของรถยนตก์ ระบะสามารถใชร้ ถยนต์คันดงั กลา่ ว
ไดท้ ุกเวลากต็ าม แตก่ เ็ ปน็ เพียงสิทธิใช้รถยนต์กระบะในฐานะบตุ รเทา่ น้ัน ไม่ปรากฏว่าบดิ าของผเู้ สียหายท่ี 1 ซง่ึ เป็นเจา้ ของ
รถยนตก์ ระบะไดม้ อบหมายโดยตรงใหผ้ เู้ สียหายท่ี 1 เป็นผ้คู รอบครองดูแลรักษาทรพั ย์ดงั กลา่ วโดยอาศัยสิทธิของเจ้าของทรพั ย์
ผู้เสยี หายที่ 1 จงึ ไม่ใชผ่ ู้เสียหาย และเมอ่ื ปรากฏวา่ บดิ าของผ้เู สยี หายที่ 1 ซึ่งเปน็ ผู้เสียหายทแี่ ทจ้ รงิ ไม่ไดแ้ จ้งความรอ้ งทกุ ข์ตอ่
พนกั งานสอบสวนไว้ พนกั งานสอบสวนจงึ ไม่มีอำนาจสอบสวนในความผดิ ฐานทำให้เสียทรพั ย์ซง่ึ เปน็ ความผิดอนั ยอมความได้
และพนักงานอัยการไม่มีสทิ ธิฟ้องในขอ้ หาฐานทำใหเ้ สยี ทรพั ยไ์ ด้
ฎกี าท่ี 7890/2554 ผเู้ สียหายไมร่ จู้ ักจำเลยกบั พวก การที่พวกจำเลยขับรถแซงและปาดหนา้ รถจกั รยานยนต์
ของผูเ้ สยี หายเพ่อื ใหห้ ยุดรถทันทแี ละตะคอกด่าพร้อมกับพดู วา่ มีอะไรสง่ มาใหห้ มด โดยจำเลยกับพวกแสดงสหี น้าขึงขงั แม้พวก
จำเลยจะไม่ไดพ้ ดู วา่ หากไม่สง่ สงิ่ ของใหจ้ ะทำร้ายผเู้ สียหาย แต่พฤตกิ ารณ์ดงั กล่าวเป็นการคกุ คามผูเ้ สียหายให้กลัววา่ จะถกู ทำ
รา้ ยหากไมส่ ่งทรพั ยส์ ินใหจ้ งึ เปน็ การข่เู ขญ็ ผเู้ สยี หายท้ังกิริยาและวาจาโดยมีความหมายวา่ ถ้าผู้เสยี หายไมใ่ หส้ ิง่ ของใดแลว้
ผู้เสยี หายจะถูกทำร้าย จนผเู้ สยี หายกลวั ตอ้ งรีบส่งกระเปา๋ สะพายใหจ้ ำเลย หาใชเ่ รือ่ งทีผ่ เู้ สียหายกลัวไปเองไม่ การกระทำ
ดงั กล่าวจงึ เปน็ การขเู่ ข็ญวา่ ในทนั ใดนั้นจะใชก้ ำลังประทษุ ร้ายเพื่อให้ยนื่ ใหซ้ ง่ึ ทรพั ยอ์ ันเป็นความผดิ ฐานชิงทรัพย์ มใิ ชค่ วามผดิ
ฐานกรรโชกทรพั ย์ เมอื่ ขณะเกิดเหตุจำเลยยงั คงนง่ั อยบู่ นรถจักรยานยนตค์ ันเดียวกบั พวกและแม้จำเลยไมไ่ ด้พูดกับผู้เสยี หาย
แต่เมอ่ื ผเู้ สยี หายย่ืนทรพั ย์ใหจ้ ำเลยกร็ บั ไว้แลว้ ก็ขบั รถจกั รยานยนตห์ นไี ปดว้ ยกันทนั ที ถือเปน็ การแบง่ หนา้ ทีก่ ันทำอนั เปน็ การ
ร่วมกนั กระทำความผิด
48
49
ฎีกาที่ 7445/2554 การทจี่ ำเลยให้ ม. เชา่ ชว่ งโดยไมไ่ ดร้ บั ความยินยอมจากผ้ใู หเ้ ชา่ ผ้เู ชา่ ช่วงจงึ มฐี านะเปน็
เพียงบริวารของผเู้ ช่า แต่ผลของการเปน็ บริวารของผเู้ ช่าจะมีกเ็ พียงการไม่มีอำนาจพเิ ศษทจี่ ะอ้าง อาศยั ในทเ่ี ชา่ ต่อผใู้ หเ้ ชา่
เท่านน้ั หาได้กระทบความสมั พันธอ์ ันเปน็ บคุ คลสทิ ธริ ะหว่างจำเลยผ้ใู หเ้ ชา่ ชว่ งกบั ผู้ เสยี หายซ่งึ ไดร้ บั อนญุ าตจากจำเลยใหเ้ ขา้
ครอบครองอาคารพิพาทไม่ เม่อื จำเลยจะกลบั เข้าครอบครองอาคารพิพาทผเู้ สยี หายกไ็ ดโ้ ตแ้ ยง้ สิทธิการเช่า ท่ีมตี ่อจำเลยแล้ว
กรณีเปน็ เรื่องที่จำเลยทราบแลว้ วา่ ผูเ้ สยี หายไมย่ ินยอมมอบอาคารพิพาทให้แก่จำเลย โดยอ้างสญั ญาทม่ี ีตอ่ จำเลย จำเลยทั้งทรี่ ู้
ว่าผเู้ สียหายยังครอบครองอาคารและโต้แยง้ จำเลยในเรอ่ื งความระงบั ของสัญญาเชา่ ได้เปลี่ยนกุญแจ ทำใหผ้ เู้ สยี หายเข้า
ครอบครองอาคารไม่ได้ การกระทำของจำเลยจงึ เปน็ ความผดิ ฐานบกุ รกุ
ฎีกาที่ 7819/2552 โจทกท์ ี่ 1 ฝากเงนิ ไวก้ บั ธนาคารจำเลยที่ 1 เงนิ จำนวนดงั กลา่ วจงึ ตกเปน็ กรรมสทิ ธแิ์ ละอยู่
ในความครอบครองของจำเลยท่ี 1 จำเลยท่ี 1 ซง่ึ เป็นผรู้ ับฝากย่อมมสี ิทธิทจี่ ะบรหิ ารจัดการเงินฝากนั้นประการใดกไ็ ด้ คงมี
หน้าท่เี พียงต้องคนื เงนิ ฝากตามจำนวนทโี่ จทก์ทงั้ สองซง่ึ เป็นลกู ค้านำเข้าฝากไว้เทา่ น้นั โดยไม่จำต้องสง่ คืนเปน็ เงนิ จำนวนอนั
เดยี วกบั ทฝ่ี ากไว้ การทจี่ ำเลยท่ี 1 เบิกถอนเงินออกจากบัญชเี งินฝากของโจทก์ท่ี 1 จึงมิใชเ่ ปน็ การเอาทรพั ยข์ องโจทกท์ งั้ สองไป
ไมค่ รบองคป์ ระกอบความผดิ ฐานลกั ทรัพย์
ฎีกาท่ี 1307/2554 ในขณะเกดิ เหตบุ ริษัท ว. จำกดั และจำเลยท่ี 3 และท่ี 4 เปน็ ผคู้ รอบครองสนิ คา้ ปุ๋ยเคมไี ว้
แทนบริษัท ท. จำกดั (มหาชน) ดงั นี้ เม่ือเกดิ เหตุบริษัท ท. จำกัด (มหาชน) จึงเปน็ ผเู้ สียหายด้วย และสำหรับจำเลยที่ 3 และท่ี
4 นนั้ เปน็ ลกู จ้างของบริษทั ว. จำกัด มหี น้าท่คี วบคุมหรือบรรทกุ สินค้าดังกลา่ วไปสง่ ทส่ี ถานสี นิ ค้าของผเู้ สยี หาย การ
ครอบครองของจำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นการครอบครองแทนไว้ชัว่ คราวชวั่ ขณะหนึ่งเท่านัน้ อำนาจการครอบครองสนิ คา้ ท่ี
แทจ้ รงิ ยังอยกู่ บั ผ้เู สียหายเมื่อจำเลยท่ี 3 และท่ี 4 รว่ มกบั พวกเอาทรพั ยส์ นิ ดงั กลา่ วไปโดยทจุ รติ จึงเป็นการกระทำความผดิ ฐาน
ลกั ทรพั ย์
ฎกี าท่ี 624/2553 การกระทำทจี่ ะครบองค์ประกอบความผิดฐานลกั ทรพั ยต์ าม ป.อ. มาตรา 334 น้นั จะต้อง
เป็นการเอาทรพั ย์ของผอู้ ่ืนหรือทผ่ี ้อู น่ื เป็นเจ้าของรวมอยดู่ ว้ ยไปโดยทุจรติ แตก่ รณีตามฟ้องของโจทก์ทง้ั สองในคดีน้ี ปรากฏว่า
เงินจำนวนทจี่ ำเลยทงั้ สองเบิกถอนไปนัน้ เปน็ เงนิ ทอี่ ย่ใู นบัญชเี งินฝากของโจทกท์ ่ี 1 ท่ีฝากไวก้ บั จำเลยท้งั สองเงินจำนวน
ดงั กล่าวจงึ ตกเปน็ กรรมสทิ ธ์แิ ละอยู่ในความครอบครองของจำเลยทั้งสอง จำเลยทัง้ สองซง่ึ เป็นผรู้ บั ฝากยอ่ มมสี ทิ ธิทจ่ี ะบริหาร
จดั การเงนิ ฝากจำนวนดังกล่าวนน้ั ประการใดกไ็ ด้ จำเลยทงั้ สองคงมหี น้าทีเ่ พียงต้องคืนเงนิ ฝากตามจำนวนทโ่ี จทก์ทง้ั สองซงึ่ เป็น
ลูกค้านำเขา้ ฝากไว้เท่านน้ั โดยจำเลยทง้ั สองไมจ่ ำตอ้ งสง่ คนื เป็นเงนิ จำนวนอนั เดียวกบั ท่ีฝากไว้ ดงั นั้น การที่จำเลยทั้งสองเบกิ
ถอนเงนิ ออกจากบัญชเี งนิ ฝากของโจทกท์ ่ี 1 จงึ มิใชเ่ ปน็ การเอาทรพั ย์ของโจทกท์ ง้ั สองไป การกระทำของจำเลยท้ังสองจงึ ไม่
ครบองคป์ ระกอบความผดิ ฐานลกั ทรพั ย์
49