50
ฎีกาที่ 701/2553 จำเลยท่ี 1 และท่ี 2 สมคบกนั ทำสญั ญากูย้ มื เงินฉบับลงวนั ท่ี 30 กนั ยายน 2541 จำนวน
เงิน 500,000 บาท และฉบับลงวนั ท่ี 30 เมษายน 2542 จำนวนเงิน 200,000 บาท โดยมไิ ดเ้ ปน็ หนี้กนั จริง แล้วดำเนนิ คดแี ละ
บงั คบั คดตี ามคำพพิ ากษาตามยอมในคดแี พ่งหมายเลขแดงท่ี 42/2545 ของศาลช้นั ต้นต่อท่ดี ินโฉนดเลขที่ 47781 พร้อมส่ิง
ปลกู สรา้ งของจำเลยที่ 1 เพ่ือมใิ ห้โจทกซ์ งึ่ เปน็ เจ้าหนต้ี ามคำพพิ ากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1142/2544 ของศาลชัน้ ตน้
บงั คับคดตี อ่ ทรัพยส์ นิ ดงั กล่าวได้ การกระทำของจำเลยทงั้ สองจงึ เป็นการจงใจทำผดิ กฎหมาย อันเปน็ ความผดิ ฐานโกงเจ้าหน้ี
ตาม ป.อ. มาตรา 350 สญั ญากู้ยืมเงนิ ทงั้ 2 ฉบบั และสัญญาประนปี ระนอมยอมความในคดีแพง่ หมายเลขแดงท่ี 42/2545 ของ
ศาลชน้ั ตน้ จึงมีวตั ถปุ ระสงคเ์ ปน็ การต้องห้ามชัดแจง้ โดยกฎหมายและขดั ต่อความสงบเรียบร้อยหรอื ศลี ธรรมอนั ดขี อง
ประชาชน ตกเปน็ โมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 โดยไมต่ อ้ งเพิกถอน
ฎกี าที่ 6554/2554 โจทก์ไมม่ ีพยานมานำสบื ให้เห็นว่าจำเลยกบั พวกร้อู ยกู่ ่อนเกดิ เหตุวา่ ผเู้ สยี หายจะขบั
รถจกั รยานยนตผ์ ่านบรเิ วณทเ่ี กดิ เหตุ และเหตทุ ผ่ี เุ้ สียหายหยุดรถจกั รยานยนต์ เนื่องจากผเู้ สยี หายขับรถจกั รยานยนตล์ ยุ นำ้
ทำใหเ้ ครอ่ื งยนตข์ ดั ขอ้ ง ดังน้ี จำเลยกบั พวกอาจพบผเู้ สียหายโดยบงั เอญิ ก็ได้ ทง้ั ก่อนเกดิ เหตุผเู้ สียหายถกู กลา่ วหาว่ารว่ มกับ
พวกทำร้ายบิดาจำเลย ประกอบกับเมอ่ื จำเลยกบั พวกใชม้ ีดฟนั ผเู้ สยี หายวง่ิ หลบหนแี ล้ว จำเลยกบั พวกยงั วง่ิ ไลต่ ามผเู้ สยี หาย
ไปอกี เชอ่ื วา่ จำเลยกบั พวกใช้มีดฟันผเู้ สียหายเพราะโกรธทผี่ ู้เสียหายรว่ มกับพวกทำร้ายบิดาจำเลย มิใชเ่ ป็นการฟนั ผเู้ สยี หาย
เพ่ือความสะดวกหรอื เพ่ือเอารถจกั รยานยนต์ของผเู้ สยี หายไป เม่ือจำเลยกับพวกไมอ่ าจทำร้ายผ้เู สยี หายไดอ้ กี การทจี่ ำเลยกบั
พวกกลบั ไปเอารถจักรยานยนต์ของผเู้ สียหายไป จึงเป็นเจตนาท่ีเกดิ ขึ้นหลงั จากการทำร้ายผเู้ สียหายขาดตอนไปแล้ว จำเลยกบั
พวกจึงไมม่ ีความผิดฐานชงิ ทรัพย์ แตก่ ารทจ่ี ำเลยกบั พวกเอารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไป ฟงั ไดว้ ่าจำเลยกบั พวกเอาทรพั ย์
ของผูเ้ สียหายไปโดยทจุ รติ อนั เป็นความผิดฐานลักทรพั ย์
ฎกี าท่ี 3723/2554 จำเลยท่ี 1 เรยี กประชุมสมาชกิ คนขับรถจกั รยานยนต์รบั จา้ งในวนิ ของจำเลยท่ี 1 ซง่ึ
ผเู้ สยี หายบางคนไม่ไดเ้ ข้ารว่ มประชุมด้วย โดยจำเลยทั้งสองได้บอกใหส้ มาชิกทราบวา่ จำเลยที่ 1 ขอเกบ็ เงินค่าวินจากสมาชกิ
คนละ 950 บาทตอ่ เดือน หากสมาชกิ คนใดไมย่ อ่ มจ่ายเงินให้ กใ็ ห้สมาชิกคนน้ันกลบั ตา่ งจังหวดั ไป จำเลยทัง้ สองจะยึดเส้ือวนิ
คืนกบั ให้ระวงั ตัวให้ดี คำพูดดังกล่าวมลี ักษณะเป็นการข่มขขู่ นื ใจใหส้ มาชิกทัง้ ที่เข้ารว่ มประชมุ ยอมจา่ ยเงนิ เป็นรายเดอื นเดือน
ละ 950 บาท ให้แก่จำเลยที่ 1 และไมใ่ ห้สมาชกิ บอกเรอื่ งทตี่ ้องจา่ ยเงนิ ใหแ้ กจ่ ำเลยท่ี 1 ให้บคุ คลอน่ื รวมทั้งเจ้าหน้าทขี่ องรัฐ
ทราบดว้ ย โดยการขเู่ ข็ญใหส้ มาชกิ ทราบวา่ หากสมาชิกคนใดไมย่ อมกระทำตามทบ่ี อกสมาชกิ กจ็ ะไดร้ บั ผลรา้ ย คือ จะถูกยึด
เสอ้ื วินทส่ี มาชิกสวมใส่ในการขบั ขี่จกั รยานยนตร์ ับจ้างคืน ซง่ึ หมายความวา่ สมาชิกคนน้ันจะไมส่ ามารถมาจอดรถจักรยานยนต์
ของตนท่ีวินของจำเลยที่ 1 เพอื่ รอใหผ้ โู้ ดยสารวา่ จา้ งอกี ต่อไป อนั เป็นการขเู่ ข็ญสมาชิกวา่ จำเลยท้ังสองจะทำอนั ตรายตอ่
เสรภี าพของบรรดาสมาชิก สว่ นคำวา่ ใหร้ ะวงั ตัวใหด้ นี ั้นคนปกติทั่วไปก็สามารถเข้าใจไดว้ ่าเป็นลกั ษณะคำพดู ขม่ ขูใ่ ห้คนทไ่ี ดร้ ับ
ฟังให้เกิดความกลวั อยู่ในตวั ว่าอาจจะเกดิ อนั ตรายตอ่ ชีวติ หรอื ร่างกายได้ จงึ เป็นกรณจี ำเลยทงั้ สองขู่เข็ญสมาชกิ วา่ จำเลยท้งั
50
51
สองจะทำอันตรายต่อชีวติ หรอื รา่ งกายของบรรดาสมาชิก ซงึ่ ผเู้ สียหายหลายคนยอมจ่ายเงนิ ใหแ้ กจ่ ำเลยท่ี 1 การกระทำของ
จำเลยทั้งสองจงึ ครบองค์ประกอบความผดิ ฐานกรรโชก
ฎกี าท่ี 540/2554 เกดิ เหตุมีโต๊ะสนกุ เกอร์เปิดบริการให้บุคคลท่ัวไปเลน่ ได้และขณะเกดิ เหตุยงั คงเปิดบรกิ ารอยู่
การทจี่ ำเลยท้ังสามเขา้ ไปทำรา้ ยรา่ งกายผเู้ สยี หายท่ี 2 ในบรเิ วณท่บี คุ คลทว่ั ไปยอ่ มจะเขา้ ไปไดน้ ้นั ยอ่ มไม่มคี วามผดิ ฐานบุกรกุ
ตาม ป.อ. มาตรา 364 และ 365
ฎีกาที่ 4938/2554 จำเลยท่ี 1 และที่ 2 กบั พวกนำรถบรรทุกของกลางเข้าไปจอดในบริเวณโรงงานทเ่ี กดิ เหตซุ ง่ึ
ลอ้ มรวั้ สังกะสีในยามวิกาล แล้วจำเลยท่ี 2 ใช้ไฟฉายสอ่ งไปท่มี อเตอร์ท่ตี ิดตงั้ อยบู่ นโครงเหล็กเปน็ การสำรวจทรพั ยท์ ีจ่ ะลกั และ
เพอื่ จะขนทรพั ย์น้ันไปไวบ้ นรถบรรทกุ ของกลางทน่ี ำเข้ามาในบริเวณโรงงานทเ่ี กิดเหตุ แมจ้ ำเลยที่ 2 จะยงั ไม่ได้แตะตอ้ งตวั
ทรัพย์ แตน่ บั ว่าใกลช้ ดิ พร้อมจะเอาทรพั ยไ์ ปไดใ้ นทันทที ันใด การกระทำของจำเลยที่ 1 และท่ี 2 กบั พวก อยู่ในขั้นลงมือกระทำ
ความผิดแล้ว เพียงแตก่ ระทำไปไม่ตลอดเพราะ บ. กบั พวกพบจำเลยที่ 2 กบั พวกกอ่ นทจี่ ำเลยที่ 2 กับพวกจำเลยลกั ทรพั ยไ์ ป
การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จงึ เป็นความผดิ ฐานลกั ทรัพย์แลว้ และเปน็ การกระทำกรรมเดียวกบั ความผดิ ฐานบกุ รกุ
ฎีกาท่ี 735/2555 ความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา 310 วรรคแรก กฎหมายบญั ญัตไิ ว้แต่เพยี งวา่ ผใู้ ดหน่วงเหนย่ี ว
หรือกกั ขงั ผู้อื่น หรอื กระทำด้วยประการใดใหผ้ อู้ ื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย ดงั น้ัน การกระทำความผิดตามบทบัญญตั ิแห่ง
มาตราดังกล่าว ผกู้ ระทำเพยี งแตม่ เี จตนาประสงคต์ อ่ ผลหรือยอ่ มเลง็ เหน็ ผลก็เปน็ ความผิดแลว้ โดยไมต่ อ้ งมีเจตนาพเิ ศษเพื่อ
ประสงคร์ า้ ยต่อผเู้ สียหายแต่อยา่ งใด การที่จำเลยบงั คบั ขม่ ข่ฉู ุดกระชากพาตัวผเู้ สียหายซ่งึ อยกู่ ินฉันสามภี ริยากบั จำเลยขนึ้
รถยนต์แลว้ พาไปพกั ยงั สถานที่ตา่ ง ๆ โดยมพี ฤติการณบ์ ังคบั กกั ขังเพือ่ ไมใ่ หผ้ เู้ สียหายหลบหนี จำเลยยอ่ มรู้อย่แู ลว้ ว่าการ
กระทำของตนย่อมตอ้ งทำใหผ้ เู้ สียหายตอ้ งปราศจากเสรภี าพในร่างกายไมส่ ามารถเดินทางไปทตี่ า่ ง ๆ ไดต้ ามความต้องการของ
ผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยถือวา่ เป็นการกระทำโดยเจตนาตามความหมายของบทบญั ญัติแห่งมาตราดงั กล่าว
ฎีกาท่ี 6476/2554 ขอ้ ความตามหนงั สอื การรับเงนิ ของจำเลยท่อี อกให้แก่ น. ผู้เสียหายระบวุ ่า “ได้รบั เงนิ ค่า
ดำเนินคดีจาก น. เพอื่ ดำเนินคดเี พิกถอนการใหจ้ าก ป. และ ส. จำนวน 560,000 บาท ไว้ครบแล้ว โดยทนายความดำเนนิ คดี
ให้แลว้ เสรจ็ ภายใน 60 วัน นับแตว่ ันทำหนังสอื นี้ บรรดาคา่ ใช้จ่าย ค่าธรรมเนียมต่างๆ ทางโจทก์จะไดร้ ับคืนภายหลงั เสรจ็ คดี
ภายใน 7 วัน จำนวน 3 ใน 4 ส่วนของเงินคา่ ใชจ้ ่ายทง้ั หมดโดยทนายความคดิ ค่าทนายความ 3 เปอรเ์ ซน็ ต์ ของเงินทโี่ จทก์
ไดร้ ับเงินสทุ ธทิ งั้ หมด” ขอ้ ความทง้ั หมดมคี วามหมายวา่ เรียกเปน็ เงนิ ค่าดำเนนิ คดจี ำนวน 560,000 บาท ซง่ึ ผเู้ สยี หายและ ค.
ยืนยนั ว่าจำเลยแจง้ วา่ เงินจำนวน 560,000 บาท เปน็ เงินท่ีตอ้ งวางศาล ตอ่ มาจำเลยยังเรยี กเพิม่ อกี 200,000 บาท อ้างวา่ เป็น
เงินวางศาลเพิม่ เงนิ ท้งั สองจำนวนเหน็ ได้ว่ามเี ปน็ จำนวนมาก จึงน่าเชื่อว่าผเู้ สยี หายหลงเชอ่ื โดยสนิทใจวา่ เปน็ เงินท่ตี ้องนำไป
วางศาล จงึ ยอมจ่ายเงินจำนวนมากให้แกจ่ ำเลยโดยไม่ลงั เลเชน่ น้ี จำเลยเป็นทนายความยอ่ มจะต้องทราบดีวา่ ค่าขน้ึ ศาลตาม ป.
ว.ิ พ. แม้ทุนทรพั ยจ์ ะมากเพียงใดกจ็ ะตอ้ งชำระไมเ่ กิน 200,000 บาท ดังนน้ั ขอ้ ความที่จำเลยเรยี กเงนิ จำนวน 560,000 บาท
51
52
อ้างว่าเป็นเงินวางศาลดงั กลา่ วจงึ เป็นความเทจ็ และปกปดิ ความจริงซึ่งควรบอกใหแ้ จง้ เพราะคา่ ธรรมเนยี มศาลดงั กล่าวมี
จำนวนไม่มากถงึ จำนวนท่ีจำเลยอา้ ง และจำเลยไมเ่ คยนำเงนิ จำนวนใดๆ ไปวางเป็นคา่ ธรรมเนยี มที่ศาลแต่อย่างใด ท้ังขอ้ ความ
ในหนังสอื รบั เงินของจำเลยที่ว่า ทนายความดำเนนิ คดีใหแ้ ลว้ เสรจ็ ภายใน 60 วันนับแตว่ นั ทำหนงั สือนีก้ เ็ ป็นเทจ็ เพราะการ
ดำเนนิ กระบวนพิจารณาคดีจะกำหนดวันแน่นอนตายตัววา่ จะตอ้ งเสร็จส้นิ ภายใน 60 วนั ย่อมไมอ่ าจเปน็ ไปได้และจำเลยมิได้
ดำเนินการใดๆ ทางคดใี หแ้ ก่ผเู้ สียหายตามที่อ้างแต่แรกทัง้ ยงั รบั เงินจากผ้เู สียหายไปแล้วถงึ 810,000 บาท สอ่ แสดงใหเ้ ห็นวา่
จำเลยมีเจตนาทจุ รติ ฉอ้ โกงผู้เสยี หายมาตัง้ แต่ตน้
ฎกี าที่ 9532/2554 โจทกเ์ ปน็ ผู้เข้าทำสัญญาเชา่ ซ้ือรถยนตบ์ รรทุกทง้ั สองคนั จาก บริษัท ร. โดยเป็นผ้ชู ำระเงนิ
ค่ามดั จำและคา่ ประกันภยั แมก้ รรมสทิ ธใิ์ นรถยนตบ์ รรทกุ ทเี่ ช่าซ้ือจะยงั เปน็ ของบริษัท ร. ผู้ใหเ้ ชา่ ซอื้ แตโ่ จทกผ์ เู้ ช่าซือ้ มี
กรรมสทิ ธติ ามสญั ญาทจ่ี ะครอบครองใช้ประโยชนจ์ ากรถยนต์บรรทุกทเี่ ช่าซ้ือ แมโ้ จทกจ์ ะส่งมอบรถยนต์ให้แก่จำเลยยึดถือ
ครอบครองใช้ประโยชนโ์ ดยมเี ง่อื นไขใหจ้ ำเลยผ่อนชำระค่าเช่ารถแทนโจทก์ เปน็ เพยี งขอ้ ตกลงระหวา่ งโจทกก์ บั จำเลย ไมม่ ผี ล
ถงึ หนา้ ทแี่ ละความรับผิดทโ่ี จทกม์ ีตอ่ ผู้ใหเ้ ช่าซื้อ และโจทก์ยงั คงมีหน้าทีต่ อ้ งส่งคืนรถยนตท์ ี่เช่าซื้อในสภำเรียนร้อยแกผ่ ้ใู หเ้ ช่าใน
กรณีท่ีมเี หตตุ ้องคืน ท้งั ยงั ต้องรบั ผิดชดใชร้ าคารถกับค่าเสียหายกรณไี มส่ ามารถติดตามรถคืนมาได้ การทจี่ ำเลยเบียดบงั นำ
รถยนต์บรรทุกท่โี จทกเ์ ชา่ ซอื้ ไปไว้ทอ่ี ืน่ เพ่อื หลบเลีย่ งมิใหผ้ ้ใู ห้เช่าซ้อื ติดตามยึดรถคนื ได้กด็ ี หรือนำไปขายต่อกด็ ี ทำให้โจทก์
เสียหายต้องรบั ผิดชอบตอ่ ผ้ใู หเ้ ชา่ ซือ้ ทางแพง่ แสดงถงึ เจตนาของจำเลยทจี่ ะเบยี ดบงั เอาทรัพยด์ งั กลา่ วเป็นของตนและบคุ คลที่
สามโดยทจุ รติ การกระทำของจำเลยจึงมีความผิดอาญาฐานยกั ยอกตาม ป.อ. มาตรา 352 วรรคแรก
ฎกี าที่ 11865/2554 ขอ้ เทจ็ จรงิ ไดค้ วามว่า ขณะพวกของจำเลยซงึ่ นงั่ ซ้อนทา้ ยรถจักรยานยนตข์ องจำเลยท่กี ำลงั
ขับตามผเู้ สียหายไปถามผู้เสยี หายว่า จะรบี ไปไหน พวกของจำเลยดงั กล่าวเพียงแตม่ ีมีดถอื อยใู่ นมอื และในขณะผเู้ สียหายว่ิง
หนี พวกของจำเลยได้ว่งิ ไลต่ ามผเู้ สยี หายไปจนทัน แล้วกระชากสรอ้ ยคอทองคำทผ่ี เู้ สียหายสวมอยู่ขาดติดมือพวกของจำเลยไป
โดยพวกของจำเลยไม่ไดใ้ ชม้ ดี ท่ีถอื อยจู่ ี้ขเู่ ข็ญ หรือแสดงทา่ ทใี ดๆ ใหเ้ ห็นวา่ เป็นการขู่เข็ญวา่ จะใชม้ ีดทถี่ ืออยูฟ่ ันหรอื แทง
ประทุษรา้ ยหากขดั ขนื ไม่ให้พวกของจำเลยกระชากเอาสรอ้ ยคอทองคำไป พฤตกิ ารณข์ องจำเลยกบั พวกตามท่ไี ดค้ วามดงั กลา่ ว
จงึ ถือไมไ่ ดว้ า่ เป็นการขูเ่ ขญ็ วา่ ในทนั ใดน้นั จะใช้กำลงั ประทุษรา้ ยผเู้ สียหายเพอ่ื ความสะดวกในการลกั ทรพั ย์ การกระทำของ
จำเลยกับพวกไม่เปน็ ความผิดฐานชงิ ทรัพย์แตเ่ ป็นความผิดฐานวิง่ ราวทรพั ย์
โจทกฟ์ อ้ งขอให้ลงโทษจำเลยข้อหาชิงทรพั ย์ ไมไ่ ด้บรรยายฟอ้ งวา่ จำเลยฉกฉวยเอาไปซง่ึ หนา้ และมไิ ดม้ คี ำขอท้ายฟอ้ งใหล้ งโทษ
ฐานวิ่งราวทรพั ย์ แสดงวา่ โจทก์ไมป่ ระสงคจ์ ะใหล้ งโทษฐานวิ่งราวทรัพย์ ศาลลงโทษจำเลยฐานวง่ิ ราวทรพั ยไ์ ม่ได้ คงลงโทษฐาน
ลักทรพั ย์ อันเป็นองคป์ ระกอบหนึง่ ของความผิดฐานชิงทรัพย์เท่าน้ัน
52
53
ฎกี าท่ี 9046/2554 การทจี่ ำเลยพาเดก็ หญงิ ฟ. ไปจากผู้เสยี หาย จำเลยมิไดม้ เี จตนาทจ่ี ะเรยี กรอ้ งเอาทรัพยส์ ิน
จากผเู้ สยี หายและ อ. เพอ่ื เปน็ คา่ ไถ่มาตัง้ แตแ่ รก จำเลยเรียกรอ้ งเอาทองคำเทา่ กบั ทม่ี อบใหผ้ เู้ สียหายไปจำนำ ส่วนเงนิ ท่ี
เรยี กรอ้ งเอาจาก อ. ไดค้ วามว่าเปน็ คา่ ทดี่ ินท่ี อ. จะตอ้ งคนื ให้จำเลย ท้งั ไมไ่ ดค้ วามว่า อ. เป็นญาติหรอื มสี ่วนเก่ยี วขอ้ งกบั
ผ้เู สยี หายหรอื เดก็ หญิง ฟ. ทจ่ี ำเลยจะใช้เป็นเงือ่ นไขในการเรียกรอ้ งเงินจาก อ. จำเลยมเี จตนาทจี่ ะเรียกรอ้ งเอาทองคำและเงนิ
ที่จำเลยเชอื่ วา่ จำเลยควรจะได้ ดงั น้ัน ทองคำและเงินทจ่ี ำเลยเรยี กรอ้ งจากผเู้ สยี หายและ อ. จงึ มใิ ช่คา่ ไถต่ าม ป.อ. มาตรา 1
(13) การกระทำของจำเลยจงึ ไมเ่ ป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 313 (1) (3) วรรคแรก
การทจี่ ำเลยพาเด็กหญงิ ฟ. ไป และไมย่ อมคนื ใหแ้ ก่ผเู้ สยี หาย เปน็ การหน่วงเหนย่ี วเดก็ หญงิ ฟ. เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา
310 วรรคแรก ซงึ่ เป็นสว่ นหนึ่งของความผิดฐานเรยี กคา่ ไถต่ าม ป.อ. มาตรา 313 (3) วรรคแรก ทโ่ี จทก์ฟ้อง ศาลมีอำนาจ
ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 310 วรรคแรก ได้ ตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 192 วรรคทา้ ย
ฎกี าท่ี 738 - 739/2555 ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 299 ตอ้ งเปน็ กรณีชุลมุนตอ่ สกู้ นั ระหว่าง
บคุ คลตงั้ แตส่ ามคนข้นึ ไป และมบี ุคคลได้รบั อนั ตรายสาหสั ซงึ่ หมายถึงกรณีไม่ทราบว่าผใู้ ดหรือบุคคลใดรว่ มกบั ใครทำรา้ ยจน
ไดร้ บั อนั ตรายสาหสั แตจ่ ำเลยที่ 3 ร่วมกบั จำเลยท่ี 1 และที่ 2 กับพวกใช้มีดและเหล็กแป็บฟนั และตผี ้เู สียหายทงั้ สองไดร้ ับ
อันตรายสาหสั จงึ ไม่ใชเ่ ป็นการชลุ มุนตอ่ สตู้ ามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 299
ฎีกาท่ี 7235/2553 กรณีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 299 นน้ั ตอ้ งเปน็ การชลุ มุนตอ่ สู้กนั ระหวา่ งบุคคลต้งั แต่
สามคนขึน้ ไป และมบี ุคคลต้ังแตส่ ามคนขนึ้ ไป และมบี คุ คลไดร้ บั อันตรายสาหสั โดยไมท่ ราบว่าผู้ใดหรือผ้ใู ดรว่ มกบั ใครทำร้ายจน
ไดร้ ับอนั ตรายสาหสั แตห่ ากสามารถรแู้ ละแบ่งฝา่ ยแบง่ พวกกนั ได้ ทัง้ รูว้ ่าผใู้ ดหรอื ฝา่ ยใดเปน็ ผลู้ งมอื ทำรา้ ยยอ่ มลงโทษผนู้ ัน้ กับ
พวกได้ตามเจตนาและผลของการกระทำ เมอื่ ข้อเท็จจรงิ ในคดนี ี้ไดค้ วามว่าจำเลยกับพวกฝา่ ยหนง่ึ และผู้เสียหายกบั พวกฝา่ ย
หน่งึ ววิ าทตอ่ สกู้ นั แลว้ พวกของจำเลยเป็นผู้ใช้มดี ฟันทำรา้ ยผู้เสยี หายจนเปน็ เหตใุ หไ้ ด้รบั อันตรายสาหสั ย่อมมใิ ช่กรณตี าม
ป.อ. มาตรา 299 และเมอ่ื ขอ้ เท็จจรงิ ปรากฏว่าผู้ทใี่ ช้มดี ฟันทำรา้ ยผเู้ สยี หาย คือ น. ซ่ึงเป็นพวกของจำเลยที่เขา้ รว่ มในการ
ทะเลาะววิ าทกับผู้เสียหายดว้ ย จำเลยซง่ึ มเี จตนาทำรา้ ยผเู้ สยี หายยอ่ มต้องรบั ผลอนั เปน็ ธรรมดา ย่อมเกดิ ข้ึนจากการนั้นในฐาน
เป็นตวั การแมม้ ิไดเ้ ป็นผลู้ งมอื ใชม้ ดี ฟันทำร้ายผเู้ สยี หายด้วยตนเองกต็ าม
ฎีกาท่ี 3874/2555 จำเลยทั้งสองซ้ือสลากกินรวบจากผเู้ สยี หายท่ี 1 จำเลยทั้งสองย่อมทราบวา่ เป็นการกระทำ
ซงึ่ เปน็ ความผดิ ตามพระราชบัญญัตกิ ารพนัน พ.ศ. 2484 มาตรา 4 วรรคสอง , 12 (1) และไมก่ ่อให้เกิดหน้ใี นอันทจี่ ะสามารถ
บงั คับกันไดต้ ามกฎหมาย แม้หากเปน็ หนี้ทช่ี อบดว้ ยกฎหมายและลกู หนี้ไมย่ อมชำระหน้ี เจ้าหนี้ยังหาได้มีสทิ ธทิ จ่ี ะทวงถามดว้ ย
การขม่ ขืนใจให้ลกู หนย้ี อมชำระหนโ้ี ดยการใชก้ ำลงั ประทษุ รา้ ยหรือโดยขเู่ ขญ็ ว่าจะทำอนั ตรายตอ่ ชวี ติ ของลกู หนี้ไม่ จึงไมม่ ีเหตุ
ทจี่ ะใหจ้ ำเลยที่ 1 เข้าใจหรอื เช่อื โดยสจุ ริตได้เลยว่าจำเลยที่ 1 มสี ทิ ธทิ ่ีจะบังคบั และข่มขใู่ ห้ผเู้ สยี หายที่ 1 ยอมชำระเงนิ คา่
สลากกนิ รวมใหแ้ ก่จำเลยท่ี 1 ดว้ ยการใชก้ ำลงั ประทษุ รา้ ยและขเู่ ขญ็ ว่าจะทำอันตรายต่อชวี ิตของผ้เู สียหายที่ 1 ได้ เม่อื
53
54
ผู้เสียหายท่ี 1 ไม่ไดย้ อมทจี่ ะใหเ้ งินแกจ่ ำเลยท่ี 1 การกระทำของจำเลยท่ี 1 จงึ เป็นการพยายามกรรโชก
จำเลยท่ี 2 รเู้ หน็ โดยมีเจตนาทจ่ี ะรว่ มกบั จำเลยที่ 1 และพวกไมข่ ่เู ข็ญกบั ใช้กำลงั ประทุษร้ายเพื่อทวงถามเงินคา่ สลากกนิ รวม
จากผเู้ สยี หายที่ 1 มาตงั้ แต่แรก มใิ ช่เปน็ เรอ่ื งที่จำเลยที่ 1 กระทำไปเองเพียงลำพงั ถอื วา่ จำเลยท่ี 2 เปน็ ตวั การรว่ มกบั จำเลยท่ี
1 ในการพยายามกรรโชก และใช้กำลังทำร้ายผเู้ สยี หายทง้ั สองโดยไม่ถงึ กบั เปน็ เหตใุ หเ้ กิดอนั ตรายแกก่ าย ตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา 337 วรรคสอง (1) ประกอบมาตรา 83, 391 ขณะเกิดเหตุ รา้ นเสริมสวยของผู้เสียหายที่ 1 ยังเปดิ
ใหบ้ รกิ ารอยปู่ ระชาชนท่ัวไปรวมท้งั จำเลยทง้ั สองมีความชอบธรรมที่จะเข้าไปได้ ไม่ถือว่าเป็นเคหสถาน การกระทำของจำเลย
ทง้ั สองจงึ ไมเ่ ป็นความผิดฐานบกุ รกุ เคหสถานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 364
ฎกี าที่ 6484-6485/2554 จำเลยที่ 1 เปน็ การท่ไี ด้รบั มอบหมาย จากโจทกท์ ่ี 1 ใหค้ รอบครองเชค็ แทนเพือ่
นำไปเขา้ บัญชีธนาคาร การทจ่ี ำเลยทงั้ สองนำเช็คไปเรยี กเกบ็ เงนิ จากธนาคารแทนทีจ่ ะฝากเข้าบญั ชธี นาคาร แล้วยังเอาเงินที่
เบกิ มาไดแ้ ทนเช็คไปเปน็ ของตนเองยอ่ มผดิ ไปจากทจี่ ำเลยท่ี 1 ไดร้ บั คำสง่ั มอบหมายจากโจทกท์ ่ี 1 เป็นการกระทำทเ่ี บยี ดบัง
ทรัพยข์ องโจทกท์ ี่ 1 เป็นของตนโดยทจุ ริต อันเปน็ ความผดิ ฐานยักยอกทรพั ย์ ไมเ่ ป็นความผดิ ฐานลกั ทรัพย์ดงั ทโี่ จทก์ฟอ้ งขอให้
ลงโทษ แมจ้ ำเลยทั้งสองจะรบั สารภาพวา่ กระทำความผิดฐานลักทรพั ย์ตามฟอ้ งกต็ าม แตก่ รณนี เ้ี ปน็ ปัญหาขอ้ กฎหมายเก่ียวกับ
ความสงบเรยี บร้อยของประชาชน ศาลฎีกามอี ำนาจปรบั บทใหถ้ กู ตอ้ ง และลงโทษตามบททถ่ี ูกต้องได้ ทงั้ นีต้ ามประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม
ฎกี าท่ี 10788/2554 ในขณะเกดิ เหตโุ จทกย์ ังคงประกอบกจิ การโรงแรมและครอบครองทรพั ยส์ นิ ดังกลา่ วโดยยัง
ไมม่ กี ารสง่ มอบการครอบครองให้แกจ่ ำเลยที่ 2 กบั พวก การท่ีจำเลยที่ 2 กบั พวกเข้าไปในโรงแรมทเ่ี กดิ เหตุ แล้วเปลีย่ นกุญแจ
หอ้ งโรงแรมซง่ึ เดมิ เป็นระบบคยี แ์ ทค็ เปน็ กญุ แจทจ่ี ำเลยที่ 2 กบั พวกเตรียมมา โดยไมป่ รากฏวา่ มเี จา้ พนกั งานบงั คบั คดซี ง่ึ มี
อำนาจหน้าทบ่ี ังคบั คดใี ห้เป็นไปตามคำพิพากษารว่ มรบั ร้ดู ว้ ย จึงเปน็ การดำเนนิ การไปเองโดยพลการ พฤตกิ ารณเ์ ปน็ ลักษณะ
ของการกระทำทเี่ กดิ กวา่ เหตหุ ลงั จากนัน้ จำเลยท่ี 2 ยังใหพ้ วกของตนเขา้ ครอบครองหอ้ งพักทมี่ กี ารเปลี่ยนกญุ แจดงั กลา่ ว
แสดงใหเ้ หน็ ว่าจำเลยที่ 2 กบั พวกมเี จตนาทจ่ี ะทำลายทำให้เสือ่ มค่าหรอื ทำให้ไรป้ ระโยชนซ์ ่ึงกญุ แจโรงแรมของโจทกเ์ พอื่ จะเข้า
ครอบครองโรงแรมโดยวธิ กี ารทยี่ งั ไมอ่ าจอ้างได้วา่ เปน็ การกระทำโดยชอบดว้ ยกฎหมาย จึงเปน็ ความผดิ ฐานร่วมกันทำให้เสยี
ทรพั ย์
ฎีกาท่ี 10976/2554 ความผิดฐานวง่ิ ราวทรพั ยเ์ ป็นการลกั ทรัพยโ์ ดยการฉกฉวยเอาซงึ่ หนา้ หมายถึง กริ ิยาทห่ี ยบิ
หรือจับเอาทรพั ย์ไปโดยเรว็ รวมเป็นการกระทำอนั เดียวกบั การเอาไป และขณะทถ่ี กู เอาทรพั ย์ไปผูน้ ั้นรู้สกึ ตวั หรอื เห็นการฉก
ฉวยเอาทรพั ย์นัน้ ไปด้วย การที่จำเลยดงึ เอาโทรศพั ทเ์ คลอื่ นที่จากกระเป๋ากางเกงของเด็กหญงิ บ. แลว้ เดก็ หญงิ บ. รูส้ กึ ถงึ การ
ถูกดงึ จึงใชม้ อื จบั จนถกู มอื ของจำเลย จงึ อยู่ในความหมายของการลกั ทรพั ยโ์ ดยการฉกฉวยเอาซ่งึ หนา้ อนั เปน็ ความผิดฐาน
ว่งิ ราวทรัพย์ตามฟ้องแลว้
54
55
ฎกี าท่ี 1099/2554 จำเลยทำงานเป็นเลขานกุ ารส่วนตวั ของผเู้ สียหายและมีหนา้ ท่ที ำงานเพียงตามที่ผเู้ สียหาย
มอบหมายต้องถอื ว่าใบรับเงินช่วั คราวยังอยู่ในความครอบครองของผเู้ สยี หายและผู้เสยี หายมไิ ดม้ อบการครอบครองให้แก่
จำเลยดงั นน้ั การท่จี ำเลยนำใบรบั เงนิ ชวั่ คราวไปใชป้ ระกอบการขอรบั เบยี้ ประกนั ภัยจาก ด.โดยผเู้ สียหายมไิ ดม้ อบหมายหรือรู้
เหน็ ยอ่ มถอื ไดว้ ่าเป็นการเอาไปจากผูเ้ สียหายโดยทุจริต จำเลยจงึ มีความผิดฐานลักทรัพย์แมโ้ จทก์มิได้นำสบื ใหเ้ ห็นว่าใบรับเงนิ
ชวั่ คราวเล่มทจี่ ำเลยไมน่ ำสง่ ใหแ้ กผ่ ู้เสยี หายเปน็ เลม่ ท่เี ทา่ ใดและเลขท่ีเท่าใดย่อมไม่ใช่ข้อสาระสำคญั เพราะแมห้ ากใบรับเงนิ
ช่ัวคราวอยใู่ นเลม่ ทจี่ ำเลยสง่ มอบใหแ้ กผ่ ู้เสยี หายจำเลยก็ไมพ่ ้นความผิด จำเลยจงึ มคี วามผิดฐานลักทรพั ย์
ฎีกาท่ี 2137/2554 ผเู้ สยี หายใชบ้ า้ นพกั อาศยั สว่ นหนงึ่ เปิดเป็นรา้ นซอ่ มเคร่อื งใชไ้ ฟฟา้ ในเวลาทผี่ เู้ สยี หายเปดิ
บริการซอ่ มเคร่อื งใชไ้ ฟฟ้าอยู่ บรเิ วณดังกลา่ วย่อมเป็นสาธารณสถาน ซงึ่ ประชาชนทั่วไปรวมท้ังจำเลยที่ 1 มีความชอบธรรมที่
จะเขา้ ไปได้ แตเ่ มือ่ ผเู้ สียหายปิดร้านหรอื หมดเวลาใหบ้ ริการในแต่ละวนั แล้ว บรเิ วณดังกล่าวจงึ จะเปน็ เคหสถานท่ใี ชอ้ ยู่อาศัย
ดังนน้ั เม่อื ขณะเกิดเหตผุ ู้เสยี หายยังเปดิ ใหบ้ รกิ ารซอ่ มเคร่อื งใช้ไฟฟ้าอยู่ การทจ่ี ำเลยท่ี 1 เขา้ ไปในร้านดงั กล่าวจึงไม่เปน็
ความผดิ ฐานบุกรกุ เคหสถาน
ฎีกาที่ 4937 - 4938/2556 จำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างผ้เู สยี หายทำงานในตำแหนง่ พนกั งานอาวโุ ส ขณะเกิดเหตุ จำเลยที่
2 มีหน้าทีป่ ระจำลานจอดเครอ่ื งบนิ และปล่อยเครอื่ งบนิ ไมม่ ีหนา้ ทข่ี ายบตั รโดยสารเครอื่ งบิน ผู้เสยี หายมไิ ด้มอบหมายให้
จำเลยที่ 2 มหี นา้ ทรี่ ับและครอบครองเงินคา่ โดยสารเครอ่ื งบนิ ทีไ่ ด้จากลกู คา้ แทนผเู้ สียหาย เช่นเดียวกบั พนกั งานขายบัตร
โดยสารเคร่ืองบินทผี่ เู้ สียหายมอบหมายหน้าทใ่ี หร้ บั และครอบครองเงินคา่ โดยสารเครอื่ งบินแทนลกู ค้าด้วย ดงั นัน้ เมอื่ จำเลยที่
2 รับเงนิ คา่ โดยสารเครือ่ งบนิ ทล่ี กู คา้ ซือ้ การให้บรกิ ารหรือชำระค่ารับจ้างในกจิ การของผ้เู สยี หาย เงนิ คา่ โดยสารเคร่ืองบนิ น้ัน
จึงเปน็ ของผ้เู สยี หาย จำเลยท่ี 2 ต้องนำไปสง่ มอบหรอื ชำระตามวิธกี ารให้ผเู้ สียหาย การทจ่ี ำเลยท่ี 2 เอาเงนิ ค่าโดยสาร
เครอื่ งบินดังกลา่ วไว้เปน็ ของจำเลยที่ 2 เสยี เอง จงึ เปน็ การแย่งกรรมสิทธิ์ไปจากผเู้ สียหาย การกระทำของจำเลยท่ี 2 ในฐานะ
ลูกจ้างของผ้เู สียหาย จงึ เป็นการกระทำฐานลักทรพั ย์ทเี่ ป็นของนายจา้ ง มิใช่ความผิดฐานยกั ยอก
ฎกี าที่ 12888/2556 ขณะผู้เสียหายยืนปสั สาวะอยบู่ รเิ วณพงหญ้าปากทางเข้าสถานีขนส่งจำเลยซ่งึ ผเู้ สียหายไม่
รจู้ กั าก่อนเดนิ เข้ามาหาและลว้ งหยบิ เงนิ สด 200 บาท จากกระเป๋าเสอ้ื ของผเู้ สียหายและชกผู้เสยี หายซงึ่ มีอายุ 70 ปี ทำให้
ได้รับบาดเจบ็ และทรดุ ลงนัง่ กับพืน้ โดยจำเลยมิได้พดู กบั ผเู้ สียหายแล้วหลบหนีไป ลกั ษณะการกระทำของจำเลยเปน็ การ
กระทำการทต่ี อ่ เนอ่ื งกันมใิ ช่การกระทำทขี่ าดตอน คือ การลกั ทรพั ยเ์ งนิ ของผเู้ สยี หายและการทำกับร่างกายผู้เสียหายโดยทำ
รา้ ยร่างกายผเู้ สียหาย เป็นพฤตกิ ารณ์ทบี่ ง่ ช้ถี งึ เจตนาของจำเลยท่ีตอ้ งการทำอนั ตรายแก่กายผเู้ สยี หายเพื่อความสะดวกแกก่ าร
กระทำความผิดและพาเอาทรัยพ์ การกระทำของจำเลยจึงเปน็ ความผิดฐานชงิ ทรพั ย์เป็นเหตใุ หผ้ ้อู ่ืนได้รบั อันตรายแก่กาย
บรเิ วณพงหญ้าปากทางเขา้ สถานีขนส่ง ถึงแมจ้ ะอยภู่ ายในบรเิ วณสถานีขนสง่ แต่บรเิ วณดงั กล่าวเป็นทางเขา้ ออกสถานขี นส่ง
มใิ ช่สถานที่ซึ่งจัดไวใ้ หส้ าธารณะนำรถไปจอดได้ จึงมใิ ช่ทจ่ี อดรถสาธารณะ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335 (9)
55
56
ฎีกาท่ี 7479/2556 แมไ้ ดค้ วามตามทางนำสบื ของโจทกว์ ่า จำเลยขับรถจกั รยานยนตเ์ ขา้ ไปจอดในบรเิ วณบ้าน
ของผูเ้ สยี หายและสอบถามหาผูเ้ สยี หาย เมือ่ ผเู้ สียหายออกจากห้องครัวมา จำเลยสอบถามเร่อื งไก่ของจำเลยทห่ี ายไปและให้
ผเู้ สยี หายดูแลคนงานของผู้เสียหายให้ดี ๆ จนเกดิ การโตเ้ ถยี งกนั ผู้เสียหายไล่ใหจ้ ำเลยออกจากบ้าน จำเลยยงั ไมย่ อมออก
จากนน้ั ประมาณ 3 ถึง 4 นาที จำเลยจงึ เดินไปท่รี ถจักรยานยนต์ของจำเลย ขบั ออกไปจากบา้ นผเู้ สียหาย แตเ่ ม่อื พิจารณา
ลกั ษณะและสภาพทต่ี ้งั บ้านของผู้เสียหาย เป็นบ้านช้ันเดียว มเี สารว้ั ปูนปักรั้วลอ้ มรอบและขงึ ด้วยลวดหนามเว้นชอ่ งทางเข้า
บา้ นไว้ ไมม่ ปี ระตกู นั้ ถนนหน้าบ้านผเู้ สียหายไม่ไดห้ วงกน้ั บคุ คลใดจะเขา้ ออกก็ได้และเปน็ การสะดวกแสดงว่าผเู้ สยี หายมไิ ด้
หวงหา้ มในการทจี่ ำเลยขับรถจกั รยานยนต์เขา้ ไปในบรเิ วณบา้ นของผูเ้ สียหาย และทจ่ี ำเลยเข้าไปสอบถามเก่ยี วกับเรือ่ งไกท่ ่ี
หายไปนัน้ ถอื ไดว้ า่ จำเลยมเี หตอุ ันสมควรทจ่ี ะเข้าไปเพื่อสอบถามผเู้ สียหาย เมอ่ื เกิดมกี ารโตเ้ ถียงกนั และผเู้ สียหายไลจ่ ำเลย
ออกไป แมจ้ ำเลยยงั ไม่ออกไปทนั ที แตห่ ลงั จากนน้ั ไม่นานเพยี งประมาณ 3 ถึง 4 นาที จำเลยกเ็ ดนิ ไปทรี่ ถจักรยานยนต์แลว้ ขับ
ออกไปจากบา้ นจำเลย พฤติการณด์ ังกลา่ วน้นั ยงั ฟงั ไม่ได้ว่าจำเลยไมย่ อมออกไปจากสถานทเี่ ช่นวา่ นน้ั เมื่อผูม้ สี ิทธทิ จี่ ะหา้ มมิได้
เข้าไปได้ไล่ให้ออก อนั จะเปน็ ความผิดฐานบุกรกุ
ฎกี าท่ี 1647/2555 โจทกร์ ่วมลักลอบนำสนิ ค้าไปฝากคนขับรถโดยสารปรบั อากาศของบริษัท ป. จำกัด โดยไม่
ยอมเสยี คา่ ระวางขนส่งตามระเบียบ โจทกร์ ่วมคบคิดกับพนกั งานขบั รถหรอื เด็กประจำรถให้ขนสนิ คา้ ของโจทกร์ ่วมจากอำเภอ
หาดใหญ่ มาสง่ ทสี่ ถานีบรกิ ารน้ำมันบางจาก จงั หวดั สมทุ รสาคร โดยโจทกร์ ว่ มยอมจ่ายเงนิ ใหแ้ กพ่ นกั งานขบั รถหรอื เดก็ ประจำ
รถซ่งึ ถูกกว่าทจ่ี ะจ่ายให้แกบ่ รษิ ทั ป. จำกดั การกระทำดงั กลา่ วเป็นการรว่ มกบั พนกั งานขับรถกระทำการทจุ ริตต่อบริษทั ป.
จำกดั เมือ่ จำเลยที่ 1 ซง่ึ เป็นกรรมการผมู้ อี ำนาจทราบเรอื่ งจึงวางแผนจบั ผดิ พนกั งานขับรถและสงั่ ไม่ใหส้ ง่ สนิ ค้าให้แกโ่ จทก์
รว่ มตามทโ่ี จทกร์ ว่ มนัดแนะกบั พนักงานขับรถไว้ แล้วให้นำสนิ คา้ มาเก็บรักษาไว้ท่ีบ้านของจำเลยที่ 1 เพ่อื เรยี กคา่ ระวางขนส่ง
สนิ คา้ การทจี่ ำเลยที่ 1 ไมย่ อมเจรจาหรือคืนสนิ ค้าในตอนแรกกเ็ พราะรสู้ กึ โกรธและไม่พอใจทโี่ จทกร์ ว่ มกระทำการเช่นนั้น เมื่อ
โจทกร์ ่วมยังไมย่ อมเสยี คา่ ระวางขนส่งสินค้า จำเลยท่ี 1 ในฐานะกรรมการผมู้ อี ำนาจของบริษัท ป. จำกัด ผู้ขนส่งชอบทจ่ี ะยึด
หน่วงเอาของไวก้ ่อนได้ตามทจ่ี ำเป็นเพื่อประกันการใช้เงินคา่ ระวางพาหนะและอปุ กรณ์ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 630 คร้ันเมอื่
โจทกร์ ่วมชำระคา่ ระวางสนิ ค้าแล้ว จำเลยท่ี 1 กส็ ั่งใหค้ นื สินคา้ แกโ่ จทกร์ ว่ ม จากพฤตกิ ารณ์ดงั กล่าวจำเลยที่ 1 มไิ ด้มเี จตนา
ทจุ รติ ทจี่ ะเอาสนิ คา้ ของโจทกร์ ่วมไปเป็นประโยชน์ของตนเองหรอื ผ้อู ่ืนจึงไม่เป็นความผดิ ฐานลกั ทรพั ย์
ฎีกาที่ 10606/2556 อาคารพพิ าทมปี ระตเู ขา้ ออก 3 ทาง วนั เวลาเกดิ เหตุตามฟอ้ ง ขณะทีโ่ จทก์รว่ มและ
ผูเ้ สียหายที่ 2 ลูกจ้างโจทกร์ ่วมอยใู่ นอาคารพพิ าท จำเลยนำโซม่ าคล้องและล็อกประตูบานคหู่ น้า อาคารพพิ าท โจทกร์ ว่ มจึงให้
ผู้เสยี หายที่ 2 วิ่งออกไปทางประตูดา้ น หลงั อาคารและใหจ้ ดทะเบยี นรถคนั ทีจ่ ำเลยขบั มา เห็นว่าการหน่วงเหนีย่ วมีความหมาย
วา่ ไม่ให้ผูถ้ กู กระทำไปจากทีแ่ หง่ หนงึ่ สว่ นการกักขงั หมายความว่าใหผ้ ถู้ ูกกระทำต้องอย่ใู นท่ีแหง่ หนง่ึ เมอื่ ข้อเท็จจริงปรากฏว่า
อาคารพิพาทยงั มีทางเขา้ ออกนอกจากประตดู ้านหน้าอาคารพิพาทอกี 2 ทาง แม้จำเลยนำโซ่และกญุ แจมาคลอ้ ง ประตู
ด้านหนา้ อาคารพพิ าทกต็ าม แต่โจทก์รว่ มและผูเ้ สยี หายที่ 2 ยงั มที างเข้าออกอาคารพพิ าทได้ ดงั เห็นได้จากการทโ่ี จทก์รว่ มให้
56
57
ผเู้ สยี หาย ท่ี 2 วง่ิ ออกไปทางประตูดา้ นหลังอาคารไปจดทะเบียนรถคันทจี่ ำเลยขบั มา เป็นแตเ่ พียงไมส่ ะดวกเทา่ กบั การเข้าออก
ทางประตดู ้านหนา้ อาคารพิพาทเท่านั้น ดงั นี้ การกระทำของจำเลยจงึ ไม่ทำใหโ้ จทกร์ ่วมและผู้เสียหายท่ี 2 ไม่สามารถออกจาก
อาคารพิพาทได้หรือจำตอ้ งอยใู่ นอาคารพิพาทอนั เปน็ การหนว่ งเหนี่ยวกักขงั โจทกร์ ่วมและผเู้ สียหาย ที่ 2 จำเลยจงึ ไม่มคี วามผดิ
ฐานพยายามหนว่ งเหนย่ี วกกั ขงั ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 วรรคแรก ประกอบมาตรา 80
ฎีกาที่ 14258/2555 จำเลยเข้าไปในบรเิ วณศาลาการเปรยี ญวดั หนองบัวอันเปน็ สถานที่ทจี่ ดั ไว้เพื่อให้บรกิ าร
สาธารณะโดยไมไ่ ดร้ บั อนญุ าต แล้วลกั ประตูเหลก็ พับยืด 4 บาน ราคา 20,000 บาท ของวัดหนองบัว ซ่ึงอยู่ในความดูแลของผู้
รกั ษาการแทนเจ้าอาวาสวัดหนองบวั ผเู้ สยี หาย และเกบ็ รกั ษาไว้ในสถานที่ดังกลา่ วไป โดยใชร้ ถจักรยานยนตพ์ ว่ งข้างเปน็
ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผดิ หรอื การพาทรัพยน์ ั้นไป หรือเพือ่ ใหพ้ น้ การจบั กมุ ซง่ึ ความผิดฐานลกั ทรพั ยใ์ นสถานที่
ท่จี ัดไวเ้ พ่ือให้บริการสาธารณะตาม ป.อ. มาตรา 335 (8) นอกจากองค์ประกอบความผิดทว่ี ่าสถานท่ที ลี่ ักทรพั ยต์ ้องเป็น
สถานทที่ จ่ี ดั ไว้เพ่ือใหบ้ ริการสาธารณะแลว้ ผทู้ เ่ี ขา้ ไปลกั ทรพั ย์ตอ้ งเขา้ ในสถานที่ดังกลา่ วโดยไมไ่ ดร้ บั อนญุ าตดว้ ย เมือ่ ไม่ปรากฏ
ขอ้ เทจ็ จรงิ จากการนำสืบของโจทกว์ า่ ในชว่ งเวลาเกิดเหตลุ กั ทรพั ยว์ ดั หนองบัวได้หวงห้ามหรอื ปดิ ก้ันมิใหป้ ระชาชนซ่งึ เข้าไปใน
วัดหนองบวั เข้าไปในบรเิ วณทีเ่ กิดเหตุ การทจี่ ำเลยเขา้ ไปลกั ประตเู หล็กพบั ยืดในบรเิ วณทเ่ี กิดเหตุจึงมใิ ชเ่ ป็นการเข้าไปลกั ทรพั ย์
ในสถานทีท่ ีจ่ ัดไวเ้ พอ่ื ใหบ้ ริการสาธารณะที่ตนได้เข้าไปโดยไม่ไดร้ บั อนญุ าต จำเลยจงึ ไม่มคี วามผิดตาม ป.อ. มาตรา 335 (8) คง
มีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 334
ฎกี าที่ 3711/2557 โจทกฟ์ อ้ งขอให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 393 ฐานดหู มน่ิ ผอู้ นื่ ซึ่งหนา้ ขณะเกิดเหตุ
ผูเ้ สียหายกบั จำเลยอยูห่ ่างไกลกันคนละอำเภอ แต่องค์ประกอบความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา 393 น้ัน ถ้าเป็นการกลา่ วด้วยวาจา
ผกู้ ระทำตอ้ งกล่าวซงึ่ หนา้ ผ้เู สียหาย เพราะบทบัญญัตมิ าตราน้ีมีเจตนารมณ์ปอ้ งกนั เหตรุ า้ ยทอี่ าจเขา้ ถึงตัวกันทนั ทที ี่มกี ารกล่าว
ดงั นัน้ ขอ้ เท็จจรงิ ทโี่ จทก์นำสืบจึงยงั ไม่เขา้ องค์ประกอบความผดิ ฐานดหู ม่นิ ผอู้ ่ืนซ่ึงหนา้
ฎีกาเลขที่ 5586/2556 บาดแผลผเู้ สียหายเกิดจากผเู้ สยี หายกระโดดรถจักรยานยนตล์ ้มลงมาเอง ตอ่ มาหากมกี าร
เอาทรพั ย์ของผู้เสียหายไป ย่อมไมอ่ าจเปน็ ความผดิ ฐานชิงทรัพยแ์ ละปล้นทรพั ย์ได้
ฎกี าที่ 11224/2555 สลากกินแบ่งรฐั บาลทโ่ี จทกร์ ว่ มซื้อและฝากจำเลยที่ 1 ไว้ถกู รางวัลทห่ี น่ึง จำเลยที่ 1 คิดจะ
เบียดบงั เอาสลากไวเ้ สยี เอง จงึ ไดอ้ า้ งต่อโจทก์รว่ มว่าสลากไมถ่ กู รางวลั และทิ้งไปแล้ว จากน้นั ใหจ้ ำเลยที่ 2 บุตรชายรบั สมอา้ ง
ว่าเป็นผซู้ อ้ื สลากไป แลว้ ร่วมมือกนั นำสลากไปขอรบั รางวลั มาเปน็ ของจำเลยทง้ั สองโดยทจุ ริต จำเลยท่ี 1 จงึ มีความผิดฐาน
ยกั ยอกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก จำเลยท่ี 2 มิไดร้ ่วมครอบครองสลากมาแต่แรก แตก่ ารทจ่ี ำเลยที่ 2
รับสมอา้ งว่าเป็นเจา้ ของสลากและรว่ มไปขอรบั เงินรางวัลมา ถอื ไดว้ ่าเป็นการให้ความชว่ ยเหลือแกจ่ ำเลยท่ี 1 ในการยักยอก
สลาก จำเลยที่ 2 จึงมีความผดิ ฐานเปน็ ผสู้ นบั สนุนการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 ประกอบ
มาตรา 86
57
58
ฎีกาที่ 1330/2539 จำเลยที่1 ขอสลากกนิ แบง่ รัฐบาลจากโจทกไ์ ปตรวจกับผลการออกรางวัลสลากกนิ แบง่
รฐั บาลทจ่ี ำเลยท่ี2จดไวแ้ ลว้ ไม่คนื ใหโ้ จทกก์ ลบั นำไปมอบใหธ้ นาคารขอรับเงนิ รางวัลแทนและนำเงินมาเข้าบญั ชเี งินฝากของ
จำเลยที่2และ ท. ซงึ่ เป็นภรยิ าของจำเลยที่2และมารดาจำเลยท่ี1ท่ธี นาคารดังกล่าวอันเป็นการเบยี ดบงั เอาสลากกินแบ่งรฐั บาล
ฉบับพพิ าทและเงินรางวลั ทไี่ ด้รบั มาเปน็ ของตนและของบคุ คลอ่ืนโดยทจุ ริตการกระทำของจำเลยทง้ั สองจงึ เปน็ ความผิดฐาน
ยกั ยอก จำเลยทงั้ สองฉวยโอกาสจากการทเี่ ปน็ บคุ คลในครอบครวั เดยี วกนั และใกลช้ ดิ สนทิ สนมกบั โจทกย์ กั ยอกเอาสลากกิน
แบ่งรฐั บาลฉบบั พพิ าทซงึ่ ถกู รางวลั ที่1เป็นจำนวนเงินถึง6,000,000บาทอันนับได้ว่าเป็นโชคลาภสูงสุดของโจทก์ไปเป็น
ประโยชนส์ ว่ นตนและบคุ คลอนื่ โดยทจุ รติ ด้วยความละโมบโลภมากไม่คำนงึ ถงึ บาปบุญคุณโทษและศลี ธรรมอนั ดอี กี ทง้ั ยงั ขาด
เมตตาธรรมต่อโจทกผ์ ู้ท่คี วรจะไดร้ บั ประโยชน์และความสขุ จากโชคลาภดงั กล่าวจนกระทง่ั ในท่ีสุดโจทก์ถึงแกค่ วามตายเพราะ
ถูกฆา่ ในระหวา่ งพจิ ารณาคดขี องศาลชนั้ ตน้ ตาม พฤตกิ ารณ์แห่งคดจี ึงไมม่ ีเหตุทจ่ี ะลงโทษจำเลยทงั้ สองในสถานเบา
ฎีกาที่ 6825/2538 จำเลยเข้าไปในหอ้ งพกั อาศยั ของผเู้ สยี หายเพ่อื ดูแลอาการเจบ็ ป่วยใหย้ . มารดาผเู้ สียหาย
แลว้ ลักเอาเงินของผ้เู สยี หายไปแตจ่ ำเลยเข้าไปในหอ้ งของผเู้ สยี หายกเ็ นอื่ งจากขณะทจ่ี ำเลยเดินผ่านหอ้ งผู้เสยี หายนนั้ ไดย้ นิ
เสยี งย.ร้องครวญครางด้วยความเจบ็ ปวดจำเลยจงึ เขา้ ไปช่วยเหลอื บบี นวดให้และพูดคุยเรอื่ งต่างๆกบั ย. ประมาณคร่ึงช่วั โมงถือ
ได้วา่ จำเลยเขา้ ไปโดยมเี หตอุ นั สมควรและได้รบั อนญุ าตใหเ้ ข้าไปไดโ้ ดยปรยิ ายแม้ย. จะมิใช่เจา้ ของหอ้ งแต่เป็นมารดาของ
ผเู้ สียหายยอ่ มมอี ำนาจทจี่ ะอนุญาตให้บคุ คลใดเขา้ ไปในห้องได้ตามสมควรการทีจ่ ำเลยพบเหน็ เงินอยูใ่ นลิ้นชักต้เู สอื้ ผ้าจึงถือ
โอกาสเอาไปเสยี จงึ ไมเ่ ปน็ ความผิดฐานลกั ทรัพยใ์ นเคหสถานตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(8)
ฎกี าท่ี 12250/2557 โจทกร์ ่วมกบั จำเลยจดทะเบียนสมรสทีป่ ระเทศออสเตรเลยี และลงทุนทำไรอ่ งนุ่ ต่อมา
จำเลยย้ายกลบั มาอย่ใู นประเทศไทย แตย่ ังไมไ่ ดห้ ยา่ ขาดกบั โจทกร์ ่วม เงินคา่ ชดเชยทร่ี ัฐบาลออสเตรเลยี จา่ ยให้แกโ่ จทกร์ ว่ ม
และจำเลยกรณเี ลกิ ทำไร่องุ่น เปน็ เงินท่ไี ดม้ าในระหว่างสมรสจงึ เป็นสนิ สมรส การทโ่ี จทกร์ ่วมสง่ เงินชดเชยมาให้แกจ่ ำเลย แล้ว
จำเลยนำเงินดงั กล่าวไปซือ้ ทรพั ย์พพิ าท แม้มกี ารจดทะเบียนใสช่ ื่อจำเลยเปน็ ผู้ถอื กรรมสิทธ์ิเพยี งผเู้ ดยี ว ทรัพย์พพิ าทยงั คงเปน็
สินสมรสระหว่างโจทกร์ ว่ มกบั จำเลย ต่อมาโจทกฟ์ ้องหยา่ จำเลยขอแบง่ สนิ สมรสและขอใชอ้ ำนาจปกครองบุตรทศี่ าลเยาวชน
และครอบครวั จงั หวัดขอนแกน่ ขณะคดีดงั กลา่ วอยรู่ ะหวา่ งการพิจารณาของศาลเยาวชนและครอบครวั จังหวัดขอนแกน่ จำเลย
จดทะเบยี นขายฝากทรพั ย์พิพาทไวแ้ ก่พันตำรวจเอก ม. จึงมใิ ชก่ ารทำสญั ญาในลกั ษณะปกติ แมค้ ดยี งั มีขอ้ โตเ้ ถียงกรรมสิทธิ์
และอยู่ในระหวา่ งการพจิ ารณาของศาลเยาวชนและครอบครัวจงั หวัดขอนแกน่ ก็ตาม ถอื ว่าโจทก์ (โจทก์รว่ มในคดนี )ี้ อยใู่ น
ฐานะเจา้ หนีท้ ีม่ อี ำนาจจะฟ้องจำเลยแลว้ จึงเข้าองคป์ ระกอบของความผิดฐานโกงเจ้าหนีต้ าม ป.อ. มาตรา 350 การกระทำ
ของจำเลยจงึ เป็นความผดิ ฐานโกงเจา้ หนี้
ทรพั ยพ์ พิ าทเป็นสินสมรสระหวา่ งโจทกร์ ว่ มกบั จำเลย โจทกร์ ว่ มกบั จำเลยจงึ เป็นเจ้าของรวมใน
ทรัพยพ์ พิ าท การทจี่ ำเลยนำทรัพย์พพิ าทไปจดทะเบยี นขายฝากไวแ้ ก่พันตำรวจเอก ม. โดยโจทกร์ ่วมไมท่ ราบและไมไ่ ด้รบั
อนญุ าตจากโจทก์รว่ มกอ่ น และไมไ่ ถ่ถอนคนื ภายในกำหนดเช่นนี้ การกระทำของจำเลยจงึ เปน็ การเบียดบงั เอาทรัพยพ์ พิ าทไป
58
59
เป็นของตนหรอื บคุ คลท่ีสามโดยทจุ ริต เป็นความผิดฐานยกั ยอกตาม ป.อ. มาตรา 352 วรรคแรก อกี บทหนงึ่ ด้วย การกระทำ
ความผดิ ของจำเลยดงั กล่าว เปน็ การกระทำอันเป็นกรรมเดยี วเปน็ ความผดิ ต่อกฎหมายหลายบท
ฎีกาที่ 268/2536 โจทกร์ ว่ มซอ้ื บ้าน เลขท่ี 308 จากการขายทอดตลาด จำเลยเองกท็ ราบ เมื่อจำเลยอาศัยอยู่
ในบา้ นเลขที่ 308 ก็ถอื วา่ จำเลยเป็นผู้ครอบครองบ้านดงั กลา่ ว การทีจ่ ำเลยบอกโจทกร์ ่วมวา่ บ้านทจี่ ำเลยอาศัยอย่ไู ม่ใช่
บา้ นเลขท่ี 308 แตเ่ ปน็ บ้านเลขที่ 121 ของส. น้ัน เหน็ ไดว้ ่าจำเลยมีเจตนาทจี่ ะไม่ใหโ้ จทกร์ ่วมรอ้ื ถอนบา้ นเลขท่ี 308 เพือ่ ที่
จำเลยจะไดร้ บั ประโยชน์ การกระทำของจำเลยถอื ได้วา่ เปน็ การเบยี ดบงั บา้ นเลขท่ี 308 เปน็ ของตนหรอื ผู้อ่ืนโดยทุจริต จงึ เป็น
ความผิดฐานยักยอก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 โจทกร์ ว่ มจะไปรอ้ื ถอนบา้ นครงั้ แรกวนั ท่ี 28 เมษายน 2527จึง
ถอื ไดว้ า่ จำเลยกระทำความผิดฐานยักยอกตง้ั แตว่ ันนน้ั แต่โจทก์รว่ มเพิ่งมารอ้ งทุกขเ์ มือ่ วนั ที่ 13 สิงหาคม 2530 คดีจึงขาดอายุ
ความ เมอื่ คดขี าดอายคุ วาม สิทธินำคดอี าญามาฟอ้ งยอ่ มระงบั ไปตามประมวลกฎหมายวิธพี ิจารณาความอาญา มาตรา 39(6)
พนกั งานอยั การโจทก์ไมม่ สี ิทธเิ รยี กทรพั ยส์ ินหรอื ราคาแทนโจทกร์ ว่ มตาม มาตรา 43
ฎีกาที่ 6726/2557 จำเลยแย่งโทรศัพทเ์ คลอื่ นทีข่ องผูเ้ สยี หายไปขณะผเู้ สยี หาย กำลงั ใชโ้ ทรศัพทเ์ พอ่ื บังคับ
ชำระหนีท้ ผี่ ู้เสยี หายค้างชำระ เป็นการใช้อำนาจบงั คับชำระหนี้โดยมิชอบด้วยกฎหมาย จึงเปน็ การแสวงหา ประโยชนท์ มี่ ิควรได้
โดยชอบดว้ ยกฎหมายสำหรบั ตนเองเปน็ การ ฉกฉวยเอาทรพั ยข์ องผเู้ สียหายไปซง่ึ หน้าโดยเจตนาทุจรติ เป็น ความผดิ ฐาน
ว่ิงราวทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336 วรรคแรก
ฎกี าที่ 10025/2557 บตั รเตมิ น้ำมันเปน็ ชองผ้เู สียหาย ผเู้ สียหายมอบให้ ช. เพื่อใชเ้ ติมนาํ้ มันรถบรรทุกคันที่ ช.
ขบั เท่านนั้ เป็นการมอบใหย้ ึดถือชัว่ คราว เพอ่ื ใชเ้ ตมิ นำ้ มนั กรรมสทิ ธ์ิและสิทธคิ รอบครองบัตรยังอยกู่ บั ผเู้ สยี หาย ผู้ใดเอาไป
ยอ่ มถอื ไดว้ า่ เปน็ การเอาไปจากผเู้ สียหาย การท่ีจำเลยนำบตั รนไี้ ปใช้เตมิ น้ำมันในเวลากลางคืนและสามารถใชไ้ ด้แสดงว่าจำเลย
ย่อมรรู้ หสั บัตร ส่วนจำเลยรู้ไดอ้ ย่างไรสมคบกับ ซ. หรอื ไม่ ไม่เปน็ สาระสำคญั เพราะไมท่ ำใหจ้ ำเลยพ้นจากความผดิ ได้
เนื่องจากจำเลยเอาบัตรไปจากการครอบครองของผู้เสยี หาย ช่วงเวลาหนงึ่ อย่างน้อยคือช่วงเวลาที่เอาไปใช้นัน่ เอง จำเลยจึงมี
ความผดิ ฐานลักทรพั ยท์ ่เี ป็นของนายจ้างในเวลากลางคืนและฐานเอาไปเสียซ่ึงเอกสารของผู้อน่ื ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 335 (1) (11) และมาตรา 188
ฎีกาท่ี 1423/2557 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 145 วรรคหน่งึ บัญญตั ิว่า “ไม้ยืนตน้ เปน็ สว่ นควบกบั ทดี่ ินทไี่ ม้น้นั
ขึ้นอย”ู่ และมาตรา ๑๔๔ วรรคสอง บญั ญตั วิ า่ “เจ้าของทรพั ยย์ ่อมมีกรรมสทิ ธ์ิในส่วนควบของทรพั ยน์ ั้น” ดงั นนั้ เจ้าของท่ดี ิน
พิพาท ยอ่ มมกี รรมสทิ ธใ์ิ นตน้ ยางพาราซงึ่ เป็นไม้ยืนต้นทปี่ ลกู ในที่ดินพพิ าท
ตามคำฟ้องเป็นเร่ืองท่ีผเู้ สียหายปลกู ตน้ ยางพาราในทด่ี ินพพิ าท จงึ ต้องบงั คบั ตาม
บทบญั ญัติแหง่ มาตรา 1310 วรรคหนง่ึ ประกอบมาตรา 1314 วรรคหนง่ึ ซ่ึงบัญญตั ไิ ว้เช่นเดยี วกับบทบญั ญตั ิมาตรา 145
59
60
วรรคหนึง่ ประกอบมาตรา 144 วรรคสองกล่าวคอื ตน้ ยางพาราทีป่ ลกู ในทด่ี ินพพิ าท ตกเป็นของเจ้าของทีด่ นิ พิพาท มใิ ช่
เจ้าของตน้ ยางพารา สว่ นเจา้ ของท่ีดิน จะตอ้ งใชค้ า่ แห่งท่ดี นิ ที่เพม่ิ ข้ึนแกเ่ จ้าของตน้ ยางพาราหรือไม่นนั้ เป็นเรื่อง ทตี่ อ้ งไป
เรียกรอ้ งกันในทางแพง่ อีกสว่ นหนึ่งตา่ งหาก เม่ือขอ้ เทจ็ จรงิ ฟัง เป็นยุติว่า จำเลยทง้ั สองเขา้ ใจโดยสจุ ริตว่าที่ดินพพิ าทเปน็ ของ
ตน กรณจี ึงเป็นเรือ่ งทจี่ ำเลยทั้งสองสำคัญผดิ ในข้อเทจ็ จรงิ ซง่ึ หากฟงั ไดว้ ่า จำเลยทง้ั สองเปน็ เจา้ ของท่ดี นิ พพิ าทจรงิ จำเลยท้งั
สองกย็ อ่ มมสี ทิ ธิทจ่ี ะทำให้เสียหาย หรอื ทำลายต้นยางพาราซง่ึ ตกเปน็ กรรมสทิ ธิข์ องตนแลว้ ได้โดยไม่เป็นความผิดฐานทำให้เสีย
ทรพั ยต์ าม ป.อ. มาตรา 358 แมจ้ ำเลยทงั้ สองรู้วา่ ผ้เู สียหายเปน็ ผปู้ ลกู ต้นยางพาราและปรากฏภายหลงั ว่าจำเลยท้งั สองมใิ ช่
เจา้ ของ ทดี่ ินพพิ าท จำเลยทงั้ สองกไ็ มม่ ดี วามผิด ทง้ั นี้ตาม ป.อ. มาตรา 62
ฎีกาท่ี 4046/2536 ศาลช้นั ตน้ วนิ จิ ฉัยวา่ จำเลยหลอกลวงเอาเอกสารสทิ ธขิ องโจทกไ์ ปจากภริยาโจทกโ์ ดยทจุ ริต
แต่จำเลยไมม่ คี วามผิดฐานฉ้อโกงตาม ป.อ.มาตรา 341 เพราะการเอาไปไม่ใช่การถอนหรือทำลายเอกสารสิทธิ โจทกฝ์ ่ายเดยี ว
อุทธรณ์ว่าการกระทำของจำเลยเปน็ ความผดิ ตามท่โี จทกฟ์ อ้ ง ศาลอุทธรณ์วนิ จิ ฉยั เฉพาะขอ้ กฎหมายวา่ การกระทำของจำเลย
เป็นความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา 341การท่ีจำเลยฎกี าว่าจำเลยไม่ได้หลอกลวงเอาเอกสารสทิ ธิของโจทก์ จงึ เป็นขอ้ ท่มี ไิ ดย้ กขึ้นวา่
กลา่ วกันมาแลว้ ในศาลอทุ ธรณ์ ศาลฎีกาไม่วนิ จิ ฉัยให้
คดมี ีปญั หาเฉพาะข้อกฎหมาย ในการวินจิ ฉยั ปัญหาข้อกฎหมายดงั กลา่ ว ศาลฎีกาจะตอ้ งฟงั ข้อเทจ็ จรงิ ตามท่ีศาลล่างทง้ั สอง
วินิจฉยั มาแลว้ จากพยานหลกั ฐานในสำนวน
เอกสารสัญญาแมเ้ ปน็ เพียงกระดาษแผน่ เดยี วก็ถอื ว่าเป็นทรพั ยจ์ ำเลยหลอกลวงเอาเอกสาร
สญั ญาดงั กลา่ วไปจากภรยิ าโจทก์โดยทจุ ริต จงึ เป็นความผิดฐานฉ้อโกงตาม ป.อ. มาตรา 341
ฎกี าที่ 15793/2556 จำเลยทงั้ สองเปน็ ลกู จ้างของโจทกร์ ่วมมหี น้าท่นี ำเศษเหล็กไปสง่ แก่ลกู คา้ ของโจทกร์ ว่ มตาม
คำสั่งของโจทก์ร่วมจำเลยทั้งสองจงึ มสี ทิ ธิ์เพยี งยดึ ถือดแู ลไวแ้ ทนนายจา้ งชว่ งเวลาในขณะปฏบิ ัตหิ นา้ ท่เี ท่าน้ัน สทิ ธิครอบครอง
ยงั อยูท่ ีโ่ จทกร์ ว่ ม การที่จำเลยทงั้ สองเอาเศษเหลก็ ไปขาย จงึ เป็นความผิดฐานลกั ทรพั ย์นายจ้างใช่ความผดิ ฐานยกั ยอกไมศ่ าล
ฎีกามอี ำนาจปรบั บทลงโทษทัง้ สองใหถ้ กู ต้องไดไ้ ม่ถือเป็นการเพม่ิ เติมโทษจำเลยทั้งสอง
ฎีกาที่ 1698/2535 สภาพการเปน็ เจา้ หนี้ลูกหนรี้ ะหว่างผ้ถู กู ละเมดิ และผู้ต้องรบั ผดิ จากมลู ละเมิด เกดิ ขึ้นทนั ทีท่ี
มกี ารทำละเมดิ ข้นึ คำพพิ ากษาของศาลในคดแี พง่ ทบ่ี งั คับใหม้ กี ารชดใชค้ ่าสินไหมทดแทนแกก่ นั มไิ ดเ้ ปน็ การกอ่ ใหเ้ กดิ หน้ี แต่
เป็นการบงั คับตามความรบั ผิดแหง่ หนท้ี ่ไี ดม้ ตี อ่ กนั ถอื ได้ว่า จำเลยเป็นลกู หน้ีโจทก์นบั แตข่ ณะท่ลี กู จา้ งกระทำละเมดิ ในทางการ
ท่ีจ้างทำให้โจทกเ์ สยี หายแล้วและประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 ก็มไิ ด้ถือเอาคำพิพากษาของศาลใหร้ บั ผิดในทางแพง่ มา
เปน็ องค์ประกอบความผดิ ในทางอาญา เพยี งแตจ่ ำเลยร้วู ่าโจทกซ์ ่งึ เป็นเจ้าหนจ้ี ะใชส้ ทิ ธิเรยี กรอ้ งทางศาลแลว้ ไดย้ า้ ยไปเสีย
ซอ่ นเรน้ หรอื โอนไปใหแ้ ก่ผ้อู ่นื ซ่งึ ทรัพย์ใดแกล้งให้ตนเองเปน็ หนจี้ ำนวนใดอนั ไม่เป็นความจรงิ เพื่อมใิ หโ้ จทกไ์ ด้รบั ชำระหนีก้ ็
เป็นความผิดแลว้
60
61
ฎีกาที่ 2073/2556 พฤติการณท์ ่ีจำเลยลักเอาเงนิ ทีอ่ ยใู่ นลน้ิ ชักจำนวน 1,200 บาท ของผูเ้ สียหายที่ 1 ไป เมอ่ื
ผูเ้ สยี หายท่ี1 ทราบเรื่อง จำเลยจึงคืนเงินจำนวนดงั กลา่ วใหแ้ ก่ผูเ้ สียหายท่ี 1 ถอื ไดว้ ่าการลกั ทรพั ย์สำเรจ็ ลงแล้ว แต่ขณะที่
จำเลยกำลงั จะขับรถหลบหนี ผเู้ สยี หายท่ี 2 เข้าดงึ ทา้ ยรถจกั รยานยนตข์ องจำเลยไว้เพอ่ื ไม่ใหจ้ ำเลยหลบหนี จำเลยจงึ ใช้หมวก
นริ ภัยเหวย่ี งไปทีผ่ เู้ สยี หายที่ 2 แตผ่ ู้เสียหายท่ี 2 หลบทนั จำเลยจึงขบั รถจักรยานยนตอ์ อกไปอยา่ งรวดเรว็ ทำใหผ้ ู้เสียหายที่ 2
เสียหลกั ลม้ ลงเป็นเหตใุ ห้ไดร้ บั บาดเจบ็ ไมถ่ งึ กบั เป็นอันตรายแกก่ ายน้นั เปน็ การกระทำทต่ี ่อเน่ืองยังไม่ขาดตอนจากการกระทำ
ความผิดฐานลกั ทรพั ย์ ถือได้วา่ จำเลยใชก้ ำลงั ประทษุ รา้ ยเพื่อใหพ้ ้นจากการจับกุม การกระทำของจำเลยจึงเปน็ ความผิดฐานชิง
ทรพั ยโ์ ดยใช้ยานพาหนะเพือ่ ใหพ้ ้นจากการจบั กุมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคแรก ประกอบมาตรา 340 ตรี
ฎีกาท่ี 950/2556 แม้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนขายที่ดินพรอ้ มสงิ่ ปลกู สร้างให้แกจ่ ำเลยท่ี 2 หลงั จากที่ศาล
ชน้ั ต้นมีคำพพิ ากษาใหจ้ ำเลยที่ 1 ชำระหน้ีใหแ้ กโ่ จทก์ โดยจำเลยท่ี 1 ไม่มที รพั ยส์ ินอ่ืนใดและจำเลยที่ 2 รอู้ ยู่แล้วว่าจำเลยท่ี 1
เปน็ หนโี้ จทก์ แตข่ ้อเทจ็ จริงปรากฏสารบญั จดทะเบยี นในสำเนาโฉนดท่ีดนิ เอกสารหมาย จ.5 ว่า จำเลยที่ 1 ไถถ่ อนจำนองจาก
ธนาคาร ก. กอ่ นแล้วจงึ จดทะเบียนโอนขายใหแ้ กจ่ ำเลยที่ 2 ต่อจากนน้ั จำเลยที่ 2 จดทะเบียนจำนองแก่ธนาคาร อ. โดย
กระทำขึ้นในวันเดยี วกันทงั้ หมด และขอ้ เท็จจรงิ ยังไดค้ วามจากคำเบกิ ความของจำเลยทง้ั สองวา่ เหตุทจ่ี ำเลยท่ี 1 จดทะเบยี น
โอนขายทด่ี ินใหแ้ กจ่ ำเลยท่ี 2 เนอื่ งจากจำเลยท่ี 1 นำทดี่ ินไปจดทะเบยี นจำนองไวแ้ กธ่ นาคาร ก. ต่อมาจำเลยท่ี 1 ชำระหนี้ไม่
ตรงตามกำหนด ธนาคารจะฟ้องดำเนินคดี จงึ ทำการปรบั ปรงุ โครงสรา้ งหนี้ แตจ่ ำเลยท่ี 1 ผดิ สญั ญาอกี และไมม่ เี งนิ ชำระหน้ี
จำเลยท่ี 1 จงึ ใหจ้ ำเลยท่ี 2 ชำระหนีแ้ ทน โดยโอนขายทีด่ ินให้แก่จำเลยที่ 2 เพอ่ื ใหจ้ ำเลยท่ี 2 นำไปเป็นหลักประกันในการ
ก้ยู ืมเงนิ จากธนาคาร อ. แลว้ นำเงนิ ไปชำระหนไ้ี ถถ่ อนจำนองให้แก่ธนาคาร ก. ส่วนเงินท่เี หลอื จำเลยท่ี 2 นำไปปลูกสรา้ งบ้าน
บนทีด่ นิ ดังกลา่ ว ซ่ึงจำเลยท่ี 1 และหลานก็พักอาศัยอยู่ในบา้ นทีจ่ ำเลยท่ี 2 ปลกู สร้างขึ้นดว้ ย โดยที่จำเลยท่ี 2 มภี าระตอ้ งผ่อน
ชำระเงนิ ต้นและดอกเบยี้ ให้แก่ธนาคาร อ. แมข้ อ้ เทจ็ จริงไมป่ รากฏว่าจำเลยท่ี 1 มีหนคี้ า้ งชำระอยกู่ บั ธนาคาร ก. จำนวนเทา่ ใด
แต่การที่จำเลยที่ 1 เปน็ หนจี้ ำนองและขายทดี่ ินทจ่ี ำนองเพอ่ื นำเงนิ ไปชำระหน้ไี ถถ่ อนจำนองกเ็ ปน็ การขายเพอื่ ชำระหนขี้ องตน
ตามปกติ และเปน็ กรณที จี่ ำเลยท่ี 1 จะต้องกระทำเพ่อื มิให้ถกู ธนาคาร ก. เจา้ หนผ้ี ูร้ บั จำนองบังคบั จำนองเอาแก่ทดี่ ินและสิง่
ปลูกสร้างของจำเลยที่ 1 อนั มีลกั ษณะเปน็ การขายเพ่อื ปลดเปล้อื งภาระหนี้จำนองของตน พยานหลักฐานที่โจทกน์ ำสบื มายังไม่
อาจถอื ไดว้ ่า จำเลยที่ 1 ขายท่ดี ินไปโดยเจตนาทจ่ี ะไมใ่ หโ้ จทก์ซง่ึ เปน็ เจา้ หน้ีตามคำพิพากษาได้รบั ชำระหน้แี ต่อย่างใด การ
กระทำของจำเลยทั้งสองจึงไมเ่ ปน็ ความผิดฐานโกงเจ้าหนีต้ ามฟอ้ ง
ฎกี าที่ 2728/2557 โจทกบ์ รรยายฟอ้ งวา่ จำเลยท่ี 1 อ้างวา่ เป็นตัวแทนของบริษทั ด. ซึ่งเปน็ เจา้ ของทีด่ นิ 3
แปลง ทำสัญญานายหน้ากบั โจทกก์ บั พวกเพือ่ ให้โจทกก์ บั พวกทำหน้าท่ีช้ีชอ่ งตดิ ตอ่ หาผซู้ อื้ ทด่ี นิ ดงั กลา่ ว ต่อมาโจทกก์ บั พวก
ติดตอ่ จำเลยท่ี 2 วา่ จะซือ้ ทีด่ ิน แตย่ งั ไม่มกี ารนดั จดทะเบยี นโอน จำเลยทงั้ สองรว่ มกนั ไมแ่ จ้งใหโ้ จทก์ทราบถึงการจดทะเบียน
โอนทีด่ นิ ทง้ั 3 แปลง และจำเลยท่ี 2 ใหบ้ ริษัท จ. ซึ่งมี ธ. เปน็ ตวั แทนเปน็ ผูซ้ ื้อทีด่ นิ โจทกก์ บั พวกมสี ิทธิไดร้ บั คา่ นายหน้าตาม
สญั ญาเปน็ เงนิ 5,560,000บาท แต่จา่ ยคา่ นายหนา้ ใหโ้ จทก์เพียง 250,000 บาท การใหบ้ ริษัท จ. โดย ธ. เป็นผูซ้ อื้ ท่ดี นิ ทงั้ สาม
61
62
แปลง เพอ่ื ให้ตนไดร้ บั ค่านายหนา้ ทงั้ หมดหรอื บางสว่ น อันเปน็ การแสดงตนเปน็ คนอืน่ และการตดิ ต่อทำสัญญากบั โจทกแ์ ละ
พวกใหม้ ีการซอื้ ขายที่ดนิ ของจำเลยทง้ั สอง กเ็ ป็นการแสดงขอ้ ความอนั เป็นเทจ็ ตอ่ ประชาชน การกระทำของจำเลยทัง้ สองเป็น
การร่วมกนั หลอกลวงโจทก์ดว้ ยการแสดงขอ้ ความอันเป็นเทจ็ ปกปิดข้อความจรงิ อันควรบอกใหแ้ จง้ และโดยการหลอกลวงได้
ไปซึ่งเงนิ คา่ นายหนา้ ของโจทก์ ดังนี้ หากจะฟังว่าจำเลยท้งั สองหลอกลวงโจทก์ตามฟอ้ งจรงิ การหลอกลวงเช่นนน้ั กม็ ไิ ดท้ ำให้
จำเลยท้ังสองไดเ้ งินไปจากโจทกซ์ ึ่งอ้างวา่ ถกู หลอกลวงแต่อยา่ งใด เงนิ ท่ีโจทกฟ์ อ้ งวา่ จำเลยท้งั สองไดไ้ ปนนั้ เปน็ เพยี งเงินคา่
นายหน้าซง่ึ โจทก์ถอื วา่ ตนมีสทิ ธจิ ะได้ และจำเลยท่ี 1 ไม่ชำระใหเ้ ท่าน้นั เป็นเรอื่ งทโ่ี จทกจ์ ะตอ้ งวา่ กล่าวกันในทางแพง่ ทง้ั
ขอ้ เท็จจรงิ ตามฟอ้ งไมป่ รากฏว่าจำเลยทง้ั สองแสดงตนเปน็ บคุ คลอน่ื หรอื ฉอ้ โกงประชาชนแตอ่ ย่างใด การกระทำของจำเลยทัง้
สองจงึ ไม่ครบองคป์ ระกอบความผดิ ตามฟอ้ งโจทกแ์ ละไมม่ มี ลู เปน็ ความผดิ
ฎกี าที่ 13398/2557 โจทกร์ ่วมและจำเลยมขี ้อตกลงกนั วา่ หากลกู ค้าตอ่ รองราคาตา่ งหเู พชรพพิ าทจำเลยจะตอ้ ง
โทรศัพทส์ อบถามโจทกร์ ่วมกอ่ นวา่ สามารถขายในราคาดังกลา่ วได้หรอื ไม่ ขอ้ ตกลงนี้มผี ลทำใหจ้ ำเลยไมม่ ีอสิ ระในการกำหนด
ราคาขายได้จริง นติ ิกรรมระหว่างโจทกร์ ว่ มและจำเลยจงึ มิใชเ่ ป็นการซ้อื ขายเสรจ็ เด็ดขาด แต่เปน็ การทโ่ี จทก์ร่วมมอบตา่ งหู
เพชรของกลางแก่จำเลยใหไ้ ปขายแทนโจทกร์ ่วม ความสัมพนั ธ์ระหว่างโจทกร์ ว่ มและจำเลยเป็นเร่ืองตัวแทน โดยจำเลยเปน็
ตวั แทนขายต่างหูเพชรของกลางใหแ้ กล่ กู ค้าแทนโจทก์รว่ มผเู้ ป็นตัวการ เม่อื จำเลยครอบครองตา่ งหเู พชรของกลางของโจทก์
ร่วมแลว้ นำไปจำนำไว้แกบ่ ุคคลอน่ื จึงเปน็ การแสวงหาประโยชน์ท่ีมิควรได้โดยชอบ การกระทำของจำเลยเป็นการเบียดบงั ตา่ ง
หูเพชรของกลางของโจทก์ร่วมโดยเจตนาทุจรติ เป็นความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา ๓๕๒ วรรคแรก
ฎีกาที่ 4380/2557 จำเลยเปน็ หนโี้ จทกต์ ามหนงั สอื รบั สภาพหน้ีและทราบดวี า่ โจทกจ์ ะใชส้ ทิ ธทิ างศาล จำเลย
กลับโอนขายทีด่ นิ พรอ้ มบา้ นซึง่ เป็นทรพั ยส์ ินทเ่ี ป็นอย่างเดยี วให้ ฉ. โดยโจทกไ์ ม่ทราบเร่ือง แสดงวา่ จำเลยโอนขายท่ีดินพรอ้ ม
บา้ นโดยเจตนา เพ่ือไมใ่ หโ้ จทกไ์ ด้รบั ชำระหนที้ ั้งหมดหรือแตบ่ างสว่ น การกระทำของจำเลยจงึ เป็นความผดิ ฐาน โกงเจ้าหนี้
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350
ฎีกาท่ี 3953/2526 รถยนต์ท่ีผเู้ สยี หายเช่าซื้อจากบรษิ ทั อ. น้ัน จำเลยมสี ว่ นได้เสียอย่ดู ว้ ย โดยเป็นผูค้ ำ้ ประกนั
ในการเชา่ ซ้อื และกรรมสทิ ธ์ิในรถยนตย์ ังเปน็ ของผใู้ หเ้ ชา่ ซ้ืออยกู่ ารครอบครองรถยนตข์ องจำเลยจึงไม่ใชเ่ ป็นการครอบครอง
ทรพั ย์ซงึ่ เป็นของผูเ้ สยี หายหรอื ซง่ึ ผเู้ สียหายเปน็ เจ้าของรวมอยดู่ ว้ ย การทจ่ี ำเลยนำรถยนตท์ เ่ี ชา่ ซื้อไปมอบคืนให้แก่บริษทั อ.
โดยผู้เสยี หายมไิ ดร้ ู้เหน็ ยนิ ยอมด้วยจงึ ไมใ่ ชเ่ ป็นการเบยี ดบังเอาทรพั ย์นน้ั ไว้โดยทจุ ริต ไมเ่ ปน็ ความผิดฐานยักยอก
ฎีกาที่ 1199/2553 ถอ้ ยคำทจี่ ำเลยกล่าวกบั ผเู้ สยี หายว่า "หากผู้เสียหายไม่ยอมชำระหน้ีให้ ผูเ้ สียหายกบั บตุ ร
ภรรยาจะเดอื ดร้อนเพราะอายยุ งั นอ้ ย" นน้ั ไม่ใช่เป็นการใชส้ ิทธิโดยชอบธรรมท่ีเจ้าหนอี้ าจพงึ ฟอ้ งลกู หนใ้ี หช้ ำระหนีไ้ ดต้ าม
กฎหมายแตอ่ ยา่ งใด แต่เป็นถอ้ ยคำทสี่ ามญั ชนโดยทัว่ ไปย่อมทราบและตคี วามได้วา่ เป็นคำพดู ข่มขวู่ ่าหากไมช่ ำระหน้ใี หแ้ ลว้
ผเู้ สยี หายกบั ครอบครัวอาจถูกทำรา้ ยให้ได้รบั ความเดือดรอ้ นและเป็นอนั ตรายไดถ้ อ้ ยคำดงั กลา่ วถอื ได้วา่ เปน็ การขเู่ ขญ็
62
63
ผู้เสียหายใหต้ อ้ งยนิ ยอมชำระหนีใ้ หแ้ ก่กลมุ่ จำเลยทง้ั ห้าตามท่ีเรยี กร้อง
กรณีท่มี กี ารพดู โทรศพั ท์ข่เู ขญ็ ผเู้ สยี หาย จนผเู้ สยี หายกลวั กระท่งั ยอมนัดหมายใหน้ ำหลกั ฐานมาให้ดูและเตรียมเงนิ ไปให้
บางส่วน แมผ้ ูเ้ สียหายแวะปรึกษาหรอื แจ้งความต่อเจ้าพนกั งานตำรวจใหท้ ราบถงึ เหตุรา้ ยทจี่ ะเกดิ ขน้ึ แก่ตนและครอบครวั ก็
เปน็ การแจง้ เพื่อขอความคุ้มครองจากพนกั งานเจ้าหน้าท่ตี ามทป่ี ระชาชนพงึ กระทำกันตามปกติภายหลังจากทผ่ี เู้ สยี หายยอม
ตามที่จำเลยข่มขู่ไปแล้ว กรณไี มใ่ ชผ่ ู้เสยี หายไมเ่ กดิ ความกลวั และไมย่ อมทำตามการขู่เขญ็ ของจำเลยทงั้ ห้า ฉะนนั้ การกระทำ
ของจำเลยทง้ั ห้าจงึ เปน็ ความผิดฐานรว่ มกนั กรรโชกสำเรจ็ แล้ว ไม่ใชอ่ ยู่ในขน้ั พยายาม
ฎีกาท่ี 13089/2558 ความผดิ ฐานยักยอก ตาม ป.อ. มาตรา 352 นัน้ ทรัพยอ์ นั เปน็ วัตถุแห่งการกระทำท่ี
ผูก้ ระทำความผิดครอบครองอยจู่ ะต้องเป็นวัตถทุ ่ีมรี ูปร่างหรอื จับตอ้ งสมั ผสั ได้ แต่หุน้ ตามฟอ้ งเป็นเพียงสงิ่ ทแี่ สดงใหเ้ ห็นถึงสทิ ธิ
และหน้าทห่ี รอื สว่ นไดเ้ สียของโจทก์ร่วมทง้ั สองทมี่ ีอยู่ในบริษทั จำเลยที่ 1 จงึ ไม่ใช่ทรพั ย์ทจี่ ะเบยี ดบงั ยักยอกได้ ท้งั ปรากฏวา่
การกระทำของจำเลยทงั้ สามเปน็ เพยี งการยืน่ คำขอจดทะเบยี นแกไ้ ขบัญชีรายชอ่ื ผู้ถอื หุน้ ต่อนายทะเบียนเท่านั้น ยงั หามผี ลเปน็
การเปล่ียนแปลงกรรมสิทธ์ิในหุ้นของโจทกร์ ว่ มทงั้ สองไม่ การกระทำของจำเลยทงั้ สามตามฟ้องจงึ ไมเ่ ป็นความผิดฐานยกั ยอก
ฎกี าที่ 12685/2558 การขเู่ ขญ็ วา่ จะเปดิ เผยความลบั ซ่ึงเป็นองคป์ ระกอบความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา 338
หมายความว่า การขเู่ ข็ญว่าจะเปดิ เผยเหตกุ ารณข์ อ้ เทจ็ จรงิ ที่ไม่ประจกั ษ์แกบ่ ุคคลทัว่ ไป และเป็นข้อเทจ็ จรงิ ทีเ่ จ้าของความลบั
ประสงคจ์ ะปกปดิ ไม่ใหบ้ ุคคลอนื่ รู้ ดังนี้ ความลบั จึงไมจ่ ำเปน็ ต้องเปน็ การกระทำทช่ี อบด้วยกฎหมาย หรือไมช่ อบดว้ ยกฎหมาย
หรอื ผดิ ศีลธรรมอันดีของประชาชน หากเปน็ เหตุการณท์ ีเ่ กิดขน้ึ จริงและเจา้ ของขอ้ เทจ็ จรงิ ประสงคจ์ ะปกปิดไม่ให้บคุ คลอน่ื รกู้ ็
ถือว่าเปน็ ความลับแล้ว เมือ่ ฎีกาของจำเลยยอมรบั ขอ้ เทจ็ จรงิ ว่าจำเลยมีภริยาอยู่แล้ว แตจ่ ำเลยกับผเู้ สยี หายสมัครใจมี
ความสัมพันธฉ์ ันชสู้ าวกนั มาประมาณ 1 ปี ข้อเทจ็ จริงทจ่ี ำเลยกบั ผูเ้ สียหายมคี วามสมั พนั ธ์ฉนั ชู้สาวกันจึงเปน็ ข้อเทจ็ จริงที่
เกดิ ขน้ึ จริง เมอื่ เปน็ การกระทำทผ่ี ิดศีลธรรมอนั ดีของประชาชน แสดงวา่ ผ้เู สยี หายประสงคจ์ ะปกปดิ ไม่ใหบ้ คุ คลอ่ืนโดยเฉพาะ
ภรยิ าจำเลยรเู้ รอื่ งดังกล่าว เรื่องนัน้ จงึ เป็นความลบั ของผเู้ สียหาย การทจ่ี ำเลยขู่เขญ็ ผู้เสียหายวา่ หากผเู้ สียหายไม่นำเงินจำนวน
20,000 บาท มาใหจ้ ำเลย จำเลยจะนำเรอ่ื งความสัมพนั ธ์ฉนั ชู้สาวระหวา่ งจำเลยซงึ่ มคี รอบครวั แล้วกบั ผเู้ สียหายไปเปิดเผยตอ่
บคุ คลอ่นื จงึ เปน็ การขเู่ ขญ็ วา่ จะเปดิ เผยความลบั ของผูเ้ สียหาย ครบองค์ประกอบความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา 338
ฎีกาท่ี 6437/2556 การทจ่ี ำเลยทา้ ทา้ นบกั้นน้ำในล้าห้วย เพอื่ ตอ้ งการกกั เกบ็ นำ้ เอาไวใ้ ชใ้ นชว่ งฤดแู ล้ง เปน็
การกระท้าทห่ี ่างไกลเกินความประสงค์ของเร่ืองท้าใหเ้ สียทรพั ย์ เนื่องจากจ้าเลยมิไดม้ ีเจตนากระท้าเพอ่ื ให้ทรพั ยส์ นิ ของโจทก์
เสยี หาย และมิได้มเี จตนากระทา้ เพ่ือใหเ้ กดิ อทุ กภัย อนั เป็นเหตุใหเ้ กิดอันตรายแกโ่ จทกห์ รือบุคคลอน่ื ความผิดตามประมวล
กฎหมายอาญามาตรา 228 จะตอ้ งมเี จตนาใหเ้ กดิ อทุ กภัยโดยตรง จะถือเอาการเลง็ เห็นผลของการกระทา้ ตามประมวล
กฎหมายอาญามาตรา 59 วรรคสองมาใช้ไมไ่ ด้ การกระท้าของจา้ เลยไมเ่ ปน็ ความผิดทัง้ ฐานกระท้าเพ่ือให้เกิดอทุ กภัย และฐาน
ท้าใหเ้ สยี ทรัพย์
63
64
ฎกี าที่ 811/2558 จำเลยท่ี 1 เปน็ ภริยาจำเลยท่ี 2 ซอ้ื บา้ นมลี กั ษณะเปน็ หอ้ งแถวไมแ้ ละใชผ้ นังอาคารไมท้ ้ัง
สองดา้ นร่วมกันกบั บ้านสองหลงั ของโจทก์ร่วม การท่จี ำเลยทั้งสองวา่ จา้ ง ช. ร้อื ผนงั อาคารไม้ทงั้ สองดา้ นโดยพลการ เปน็ การ
ร่วมกนั เขา้ ไปในบา้ นท้งั สองหลงั ซงึ่ เป็นอสงั หาริมทรพั ย์ของโจทกร์ ่วมเพอื่ ถือการครอบครองอสงั หาริมทรัพย์นน้ั แต่บางสว่ น
หรอื เขา้ ไปกระทำการใด ๆ อนั เป็นการรบกวนการครอบครองอสงั หารมิ ทรัพยข์ องโจทกร์ ว่ มโดยปกตสิ ุข เปน็ ความผดิ ตาม ป.อ.
มาตรา 362 และเปน็ การเข้าไปในอสงั หารมิ ทรัพยข์ องโจทกร์ ว่ มโดยไม่มเี หตอุ นั สมควร ตามมาตรา 364 อกี บทหนง่ึ เมือ่ จำเลย
ทั้งสองรว่ มกระทำผิดด้วยกนั ตงั้ แตส่ องคนข้นึ ไป การกระทำของจำเลยทง้ั สองในความผิดฐานบุกรกุ จงึ เป็นความผดิ ตาม ป.อ.
มาตรา 365 (2) ประกอบมาตรา 362 และมาตรา 364 ท้งั ยงั เป็นการทำให้เสยี หาย ทำลาย ทำใหเ้ สอ่ื มค่าหรอื ทำให้ไร้
ประโยชน์ซง่ึ ผนังอาคารไมท้ ้ังสองด้านของโจทกร์ ่วมซึ่งเป็นเจา้ ของรวมอยดู่ ้วยอันเป็นความผดิ ฐานทำใหเ้ สยี ทรพั ย์ตาม ป.อ.
มาตรา 358 อีกบทหนง่ึ
ฎกี าที่ 7680/2553 จำเลยทำบนั ทกึ ข้อตกลงโอนสทิ ธเิ รยี กร้องคา่ สินค้าทจี่ ำเลยทง้ั สองมตี อ่ ลกู ค้ารวม 23 ราย
ใหแ้ ก่โจทก์ภายหลงั จากนั้นจำเลยกลบั ใช้สทิ ธิเรยี กร้องให้ลกู ค้าบางรายชำระค่าสินคา้ แก่จำเลย แตส่ ทิ ธิเรยี กร้องดังกล่าวมิใช่
วัตถมุ รี ูปร่างทส่ี ามารถเคล่ือนท่ไี ดอ้ ันอาจจะมีการเอาไปได้ตามความหมายของคำวา่ ทรัพย์ ในความผิดทางอาญาฐานลกั ทรัพย์
ทั้งการทีจ่ ำเลยทงั้ สองไปขอรบั เงนิ หรือเช็คค่าสนิ ค้าจากลูกคา้ นั้น กไ็ ม่ได้เปน็ การกระทำแทนโจทก์ เงินและเช็คดังกล่าวจงึ ยัง
มิใชท่ รพั ย์ของโจทก์ การกระทำของจำเลยท้ังสองจงึ ไมม่ มี ลู ความผิดทางอาญาฐานลกั ทรพั ย์ แต่เปน็ เพยี งการไมป่ ฏิบัติตาม
ขอ้ ตกลงอันเปน็ การผดิ สญั ญาทางแพง่ เท่านั้น
ฎกี าท่ี 6551/2558 จำเลยกับพวกผลกั ประตบู ้านผเู้ สยี หายแลว้ จำเลยกับนาย ส. เขา้ ไปคน้ บา้ นผู้เสียหายโดย
จำเลยแสดงตอ่ ผเู้ สียหายว่า นาย ส. กับพวกอีก 3 คนเปน็ เจา้ พนักงานตำรวจนครบาลบางมดจรงิ พฤติการณแ์ ห่งคดที จี่ ำเลย
กับพวกไปเคาะประตูบ้านเรียกผู้เสยี หายใหเ้ ปดิ ประตแู ละเขา้ ไปค้นบา้ นผู้เสยี หายในเวลาวกิ าลแมจ้ ำเลยกระทำเพือ่ ค้นหา
ทรัพยส์ ินของจำเลยและจำเลยกบั ผเู้ สียหายรจู้ ักกนั มากอ่ นแต่ไม่ปรากฏวา่ จำเลยกบั พวกมสี ทิ ธิตามกฎหมายหรอื เหตอุ นั สมควร
ทีจ่ ะเขา้ ไปค้นแต่อย่างใดจึงเปน็ การเขา้ ไปในเคหสถานของผอู้ น่ื โดยไม่มีเหตุอนั สมควรและการท่จี ำเลยผลกั ประตูบ้านที่
ผูเ้ สียหายเปิดแงม้ เข้าไปโดยแสดงแกผ่ ้เู สยี หายวา่ นาย ส. กบั พวกอีก 3 คนซึ่งยนื อยู่หนา้ ประตบู ้านเปน็ เจา้ พนักงานตำรวจและ
ผเู้ สียหายมไิ ด้ขดั ขืนหรอื หา้ มปรามมใิ ห้จำเลยกบั นาย ส. เขา้ ไปก็ถือไมไ่ ดว้ ่าผู้เสียหายยินยอมใหจ้ ำเลยกบั พวกเขา้ ไป การ
กระทำของจำเลยกับพวกจงึ เปน็ ความผิดฐานรว่ มกนั เขา้ ไปในเคหะสถานของผอู้ ่นื โดยไมม่ เี หตุอนั สมควรโดยรว่ มกันกระทำ
ความผดิ ต้งั แต่ 2 คนข้ึนไปในเวลากลางคนื
ผู้เสียหายกบั จำเลยรจู้ ักกนั มากอ่ นและผเู้ สียหายรู้ว่าจำเลยมไิ ด้เปน็ เจา้ พนกั งาน วันเกดิ เหตจุ ำเลย
มไิ ด้แสดงตนเปน็ เจ้าพนกั งานเพยี งแต่อ้างวา่ พวกของจำเลยเปน็ เจา้ พนกั งาน การกระทำของจำเลยไม่เปน็ ความผิดฐานรว่ มกัน
แสดงตนเปน็ เจ้าพนกั งานและกระทำการเปน็ เจ้าพนกั งานตาม ป.อ. มาตรา 145 วรรคแรก แตก่ ารกระทำของจำเลยเปน็
ความผดิ ฐานเปน็ ผสู้ นบั สนนุ การกระทำความผิดฐานรว่ มกนั แสดงตนเป็นเจ้าพนกั งานและกระทำการเปน็ เจ้าพนกั งาน
64
65
คดีนศี้ าลพพิ ากษาวา่ จำเลยมีความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา 145 วรรคแรก ประกอบมาตรา 86, มาตรา 365(2)(3) ประกอบมาตรา
364 และมาตรา 83 การกระทำของจำเลยเปน็ ความผดิ หลายกรรมตา่ งกนั ตามมาตรา 90
ฎีกาที่ 6046/2559 ได้ความจากโจทก์ว่า จำเลยท่ี 1 เป็นพโี่ จทก์ โจทก์มสี ามเี ปน็ คนสัญชาติองั กฤษ ช่อื นายปี
เตอร์ จดทะเบียนสมรสตามกฎหมายไทยมบี ุตรดว้ ยกนั 1 คน นายปีเตอรม์ อี าชีพเป็นแพทย์ ระหว่างอยู่กนิ ร่วมกันโจทกแ์ ละ
นายปเี ตอรไ์ ด้ทำมาหากินซื้อท่ดี นิ ไว้หลายแปลง ตอ่ มานายปเี ตอร์ถึงแก่ความตาย โจทกม์ สี ามใี หม่ช่อื นาย ธ. และร่วมกนั ทำ
ธรุ กิจสร้างหอพกั และคอนโดมิเนยี มใหเ้ ช่า จากน้นั ในปี 2551 นาย ธ. ถึงแก่ความตาย โจทกช์ ักชวนจำเลยทั้งสองซึ่งอยทู่ ่ี
ประเทศสวสิ เซอร์แลนด์ มาอยูด่ ้วยโดยจำเลยทง้ั สองตดั สินใจจะอพยพมาอยทู่ ป่ี ระเทศไทยและทำธุรกจิ โฮมสเตย์ให้
นักทอ่ งเท่ียวต่างชาตมิ าพกั อาศัย โจทกแ์ ละจำเลยท้ังสองตกลงกันว่าโจทกเ์ ปน็ ผู้ลงทุนท่ดี นิ ส่วนจำเลยทง้ั สองลงทนุ คา่ ใชจ้ ่าย
ในการก่อสร้างจำนวน 11 ล้านบาท รายได้แบ่งคนละครง่ึ หลังจากกอ่ สรา้ งโฮมสเตยแ์ ละบา้ นหลังใหม่บนท่ดี นิ ของโจทกเ์ สรจ็
จำเลยทั้งสองพกั อาศัยในบา้ นหลงั ใหม่ ส่วนโจทกพ์ ักอาศัยอยใู่ นหอพกั คอนโดมเิ นียมซงึ่ อย่ตู ดิ กัน ข้อเทจ็ จรงิ จงึ รบั ฟังไดว้ ่า
จำเลยทั้งสองรว่ มกบั โจทกเ์ ปน็ เจา้ ของและครอบครองดูแลทรพั ยส์ ินไดแ้ ก่ หอพกั คอนโดมเิ นยี ม บ้านเช่า และโฮมสเตยอ์ นั เป็น
อสังหารมิ ทรพั ยท์ ั้งหมดเพื่อแสวงหาประโยชนร์ ว่ มกนั ดังน้ันพฤตกิ ารณ์ทีจ่ ำเลยทั้งสองร่วมกันพากลมุ่ ชายฉกรรจจ์ ำนวน 5 คน
พรอ้ มอาวุธ บงั คบั ข่มขืนใจให้โจทก์จำต้องออกจากหอพกั คอนโดมเิ นยี มดังกลา่ วไปและจำเลยทง้ั สองรว่ มกันเข้าครอบครองทำ
ประโยชนใ์ นหอพักคอนโดมเิ นียมดงั กลา่ วแต่เพยี งผูเ้ ดยี ว ย่อมเป็นเหตใุ หโ้ จทก์ไมส่ ามารถครอบครองใชป้ ระโยชน์ใน
คอนโดมเิ นียมดงั กล่าวและไดร้ ับผลประโยชน์ในลกั ษณะที่เปน็ ทรพั ยส์ ินจากคอนโดมิเนียมน้ันอีกได้ พฤตกิ ารณข์ องจำเลยท้งั
สองหากเปน็ ดังทีโ่ จทกบ์ รรยายมาในคำฟอ้ ง ยอ่ มเป็นการเบยี ดบงั เอาทรพั ยท์ ่ีโจทกเ์ ปน็ เจ้าของรวมอยู่ด้วยเปน็ ของตนเองโดย
ทจุ ริต อนั เป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 352 วรรคแรก
ฎกี าท่ี 3142/2557 แมจ้ ำเลยและผเู้ สียหายเป็นเจ้าของรวมในสวนยางพาราท่ีเกดิ เหตุ แต่ก่อนเกิดเหตจุ ำเลย
ยอมใหผ้ ูเ้ สียหายครอบครองและไดป้ ระโยชน์เพียงผเู้ ดียว การท่ีจำเลยจา้ ง ส. เข้าไปกรีดยางพาราจะเอาน้ำยางพาราไปเพียงผู้
เดยี ว จึงเป็นการแสวงหาประโยชน์ทีม่ คิ วรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรบั ตนเอง ย่อมเปน็ การทจุ ริตแลว้ เมอ่ื นำ้ ยางพาราท่ี
กรีดยงั อยใู่ นถว้ ยรองนำ้ ยางยงั ไมไ่ ด้ถูกนำไป เปน็ เพยี งพยายามกระทำความผิดฐานลกั ทรัพย์
โจทกฟ์ ้องว่าจำเลยกระทำการลักทรพั ยเ์ อง แตข่ ้อเท็จจรงิ ทปี่ รากฏในการพจิ ารณาฟังไดว้ า่ จำเลยเป็นผจู้ า้ งวานใชใ้ หผ้ ู้อนื่
กระทำความผิด ซ่ึงเปน็ การแตกต่างในขอ้ สาระสำคญั ศาลไมอ่ าจลงโทษฐานผู้ใช้ตามข้อเทจ็ จรงิ ทไ่ี ดค้ วามไดต้ าม ป.วิ.อ.
มาตรา 192 วรรคสอง คงลงโทษได้ในฐานผู้สนบั สนุน
การทจ่ี ำเลยเขา้ ใจวา่ มีอำนาจทำไดโ้ ดยสจุ ริตและ ส. กก็ ระทำโดยเปิดเผย เป็นการอา้ งความไมร่ ขู้ อ้
กฎหมายของจำเลยในเร่ืองนี้ ซง่ึ ใชแ้ กต้ ัวให้พน้ จากความรับผิดทางอาญาไม่ได้ตาม ป.อ. มาตรา 64
65
66
ฎีกาท่ี 1239/2517 ความผิดฐานมวี ตั ถุระเบิดสำหรบั ใชเ้ ฉพาะแตใ่ นการสงครามตามพระราชบัญญัตอิ าวธุ ปนื ฯ
นนั้ เมื่อโจทก์บรรยายฟอ้ งวา่ จำเลยบังอาจมลี ูกระเบิดขว้างชนิดสงั หารแบบ 88 บ. 61 จำนวน 1 ลกู อนั เป็นลกู ระเบดิ สำหรบั
ใช้เฉพาะแต่ในการสงคราม กเ็ ป็นฟอ้ งทคี่ รบถว้ นองค์ประกอบความผดิ ตามพระราชบัญญตั ิอาวุธปนื ฯ (ฉบบั ที่ 3) พ.ศ. 2501
มาตรา 3, 5 และกฎกระทรวง ฉบับท่ี 7 (พ.ศ. 2501) (12) แลว้ ไมจ่ ำตอ้ งบรรยายวา่ เป็นลกู ระเบิดทใ่ี ช้ขวา้ งและระเบดิ ได้
ความผดิ ฐานบุกรกุ เมอื่ ศาลพพิ ากษาว่าจำเลยมคี วามผดิ ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 แลว้ ก็ไมจ่ ำต้องยกมาตรา
362 และ 364 ข้ึนปรบั บทลงโทษอกี
ฎีกาท่ี 2185/2532 ทรัพยท์ โ่ี จทก์ฟ้องวา่ จำเลยลกั ไปเปน็ ทรัพย์ทพ่ี สี่ าวจำเลยและสามขี องพีส่ าวจำเลยเปน็
เจ้าของร่วมกัน มใิ ชท่ รพั ย์ของพสี่ าวจำเลยเพยี งผู้เดียว หากจำเลยลักทรพั ย์ดังกล่าวไปจรงิ ตามฟอ้ ง จำเลยกม็ ิไดก้ ระทำตอ่
พี่สาวจำเลยแต่เพียงผเู้ ดยี ว แต่กระทำต่อสามขี องพ่สี าวจำเลยซง่ึ มิใชพ่ ่หี รือนอ้ งร่วมบิดามารดาเดยี วกบั จำเลยดว้ ย การกระทำ
ของจำเลยจึงมิใชค่ วามผดิ อันยอมความไดต้ าม ป.อ. มาตรา 71วรรคสอง
ฎีกาที่ 10369/2559 จำเลยขายสินคา้ ของผ้เู สียหายได้รบั เงินค่าสนิ ค้ามา แทนทจ่ี ำเลยจะรวบรวมนำสง่ เงินไป
ฝากธนาคาร แต่จำเลยนำเงนิ นนั้ ไปเป็นของจำเลยแล้วใชว้ ิธีการเปลีย่ นแปลงรายการสนิ ค้าในระบบคอมพิวเตอรเ์ พ่ือใหย้ อด
สนิ ค้าในระบบคอมพิวเตอร์ตรงกบั จำนวนเงินทผ่ี ู้เสยี หายควรได้รับมาจากการจำหนา่ ย อันเป็นวธิ ีการทผ่ี เู้ สียหายจะไมท่ ราบว่า
จำเลยไมไ่ ดน้ ำส่งเงนิ เข้าบัญชธี นาคารของผู้เสียหาย ตอ่ เม่อื ตรวจสอบสตอ๊ กสนิ ค้าแล้วจงึ จะทราบว่าจำนวนสินค้าไมต่ รงกบั
จำนวนเงินทมี่ กี ารจำหน่าย ดงั นี้ เงนิ ทจี่ ำเลยรบั มาจากลกู คา้ ซง่ึ ไดจ้ ากการจำหนา่ ยสนิ คา้ เป็นการรบั เงินไวใ้ นระหวา่ งการปฏบิ ตั ิ
หนา้ ท่ใี นฐานะของลกู จ้างของผเู้ สียหาย เพียงแตใ่ ห้จำเลยยดึ ถือไวช้ ั่วคราวอำนาจในการครอบครองควบคมุ ดูแลทรัพยส์ นิ ยงั
เปน็ ของนายจ้างผู้เสียหายไม่ไดส้ ง่ มอบการครอบครองให้แกจ่ ำเลย เม่อื จำเลยเอาเงินของผเู้ สยี หายไป จงึ เป็นการเอาเงินไปโดย
เจตนาทจุ รติ เปน็ ความผดิ ฐานลักทรพั ยข์ องผ้เู สียหายทเ่ี ป็นนายจ้างตาม ป.อ. มาตรา 335(11) วรรคแรก มิใช่ความผดิ ฐาน
ยักยอก
ฎกี าที่ 675/2556 โจทกร์ ว่ มมอบอปุ กรณ์การแพทยท์ ้ัง 5 รายการให้จำเลยไว้ในฐานะตัวแทนของโจทก์รว่ มจงึ
มีหน้าที่ต้องนำอุปกรณ์การแพทย์ทีย่ มื ไปน้ันมาคืนให้แกโ่ จทกร์ ่วม การท่ีจำเลยไม่นำอปุ กรณก์ ารแพทยด์ งั กลา่ วมาคนื โดยได้
ความว่า จำเลยนำไปมอบใหแ้ กโ่ รงพยาบาลปัตตานีเพอื่ ใหค้ ณะกรรมการของโรงพยาบาลรับมอบเคร่ืองวัดความดนั โลหติ จาก
จำเลย ซ่งึ จำเลยจะได้รบั ผลประโยชนเ์ ป็นคา่ ตอบแทนในการขายสนิ ค้าดงั กลา่ วจงึ แสดงให้เหน็ เจตนาของจำเลยวา่ จะไมค่ ืน
ทรัพย์ตามฟ้องทจ่ี ำเลยครอบครองแทนโจทก์ร่วมใหแ้ ก่โจทกร์ ่วมอนั เป็นการเบยี ดบังเอาทรพั ย์ดงั กล่าวเป็นของบคุ คลทส่ี าม
โดยจำเลยไดร้ บั ประโยชนท์ ี่มิควรได้โดยชอบดว้ ยกฎหมายอนั เปน็ การกระทำโดยทจุ รติ และเปน็ ความผิดสำเรจ็ แลว้ แมจ้ ำเลยจะ
อา้ งว่าปัจจบุ นั ทรัพยด์ งั กลา่ วยังอย่ทู ี่โรงพยาบาลปัตตานโี ดยมหี นังสอื ของผอู้ ำนวยการโรงพยาบาลปตั ตานี ฉบบั ลงวันท่ี 27
66
67
ตุลาคม 2552 เอกสารหมาย ล. 6 อา้ งส่งเป็นพยานต่อศาลและทางโรงพยาบาลประสงคจ์ ะคนื สินคา้ ให้แก่โจทก์รว่ มกไ็ มท่ ำให้
จำเลยพน้ ผิดแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยจงึ เปน็ ความผดิ ฐานยกั ยอกตามทโี่ จทกฟ์ ้อง
ฎกี าท่ี 481/2549 ลักกระแสไฟฟ้า โจทกฟ์ ้องวา่ จำเลยกบั จำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 699/2542 ของ
ศาลชั้นตน้ ไดร้ ่วมกันลักเอากระแสไฟฟ้า คดิ เปน็ มลู ค่า 2,847 บาท ของการไฟฟา้ ส่วนภมู ภิ าค อำเภอสังขะ ผู้เสียหายไปใช้
ประโยชน์โดยทจุ รติ โดยจำเลยกบั พวกร่วมกันแก้ไขดดั แปลงมเิ ตอร์ไฟฟา้ ทตี่ ดิ ตง้ั ในบ้านของจำเลยกบั พวกไม่ใหห้ มุน ทำให้
ตัวเลขวดั การใชก้ ระแสไฟฟา้ ชำรดุ เสยี หายไมเ่ คล่ือนท่ี แลว้ จำเลยกับพวกได้ใช้ไฟฟ้าโดยไมเ่ สียค่าไฟฟ้าใหแ้ กผ่ เู้ สียหาย เหตเุ กิด
ที่ตำบลเทพรักษา อำเภอสังขะ จงั หวดั สรุ ินทร์ ต่อมาวนั ที่ 16 กรกฎาคม 2547 เจา้ พนักงานจบั จำเลยได้ ขอใหล้ งโทษจำเลย
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 335 จำเลยฎกี า ศาลชั้นตน้ มีคำส่งั ไมร่ บั ฎกี า จำเลยยื่นคำรอ้ งอทุ ธรณ์คำสง่ั ตอ่ ศาล
ฎีกา ศาลฎีกามีคำสง่ั ใหร้ ับฎกี าของจำเลยเฉพาะในปญั หาขอ้ กฎหมาย ศาลฎีกาวินิจฉยั วา่ “ปัญหาขอ้ กฎหมายตามฎีกาของ
จำเลยมีวา่ การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานรว่ มกันลกั ทรัพยห์ รอื เปน็ ความผดิ ฐานร่วมกันทำใหเ้ สยี ทรพั ย์ เห็นวา่ โจทก์
บรรยายฟ้องสรปุ ความว่า จำเลยกับพวกลกั เอากระแสไฟฟ้าไปใช้ ด้วยการทำให้มิเตอร์ไฟฟ้าไมห่ มุน เพอ่ื ใหต้ ัวเลขวดั การใช้
ไฟฟา้ ไม่เคล่อื นท่ี ซึ่งก็ตรงกบั ขอ้ เทจ็ จรงิ ตามทปี่ รากฏในรายงานการสืบเสาะและพินจิ พฤติการณ์ดังกล่าวยอ่ มแสดงวา่ จำเลย
กระทำโดยมจี ุดมุง่ หมายเพอ่ื เอากระแสไฟฟา้ ของผู้เสียหายไปใช้โดยไม่เสียค่าไฟฟ้าเป็นสำคญั การกระทำของจำเลยจึงเป็น
ความผดิ ฐานรว่ มกันลกั ทรัพยด์ งั ที่ศาลอทุ ธรณ์ภาค 3 มีคำวินจิ ฉยั และตรงตามคำบรรยายฟ้องและคำขอให้ลงโทษของโจทก์
แล้ว กรณีจึงไมจ่ ำตอ้ งพจิ ารณาตอ่ ไปว่าการกระทำของจำเลยจะเปน็ ความผดิ ฐานรว่ มกนั ทำใหเ้ สียทรัพย์หรือไม่ ฎีกาของจำเลย
ฟงั ไม่ขึ้น อยา่ งไรกด็ ี ศาลฎกี าเหน็ ตอ่ ไปว่า แม้การกระทำของจำเลยไมส่ มควรรอการลงโทษให้ เพราะเปน็ การลกั ทรพั ย์อนั เปน็
สิ่งทอี่ ำนวยความสะดวกขน้ั มูลฐานแกป่ ระชาชน แต่ตามรายงานการสบื เสาะและพนิ จิ ได้ความว่ามกี ารชดใช้ค่าเสยี หายจน
ผู้เสยี หายพอใจและไม่ติดใจดำเนินคดแี กจ่ ำเลยแลว้ จึงสมควรลงโทษจำเลยสถานเบากว่าที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 กำหนด”
พิพากษาแกเ้ ป็นวา่ ใหว้ างโทษจำคุก 1 ปี เมอื่ ลดโทษใหก้ ่งึ หนึง่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แลว้ คงจำคุก 6 เดือน
นอกจากทแ่ี ก้ใหเ้ ปน็ ไปตามคำพพิ ากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 จำเลยรบั โทษมาเกินกำหนดแลว้ จงึ ให้ปล่อยตัวไป (จำเลยกบั พวก
ลกั เอากระแสไฟฟ้าไปใช้ ดว้ ยการทำใหม้ ิเตอรไ์ ฟฟ้าไมห่ มนุ = ลกั กระแสไฟฟา้ และทำให้เสยี ทรัพย์มเิ ตอร)์
ฎีกาที่ 7824/2556 เคหสถานตาม ป.อ. มาตรา 1(4) ใหห้ มายความรวมถงึ บริเวณของทใี่ ช้เปน็ ทอ่ี ยอู่ าศัยน้ัน
ด้วย ฉะนน้ั หลงั คาบ้านย่อมเป็นเคหสถานตามบทบญั ญัติดังกลา่ ว แมผ้ เู้ สียหายทงั้ สองกับจำเลยจะมบี า้ นอยู่ใกลก้ ันแตก่ ห็ าได้
คุ้นเคยหรือสนทิ สนมกันไม่ กรณีจงึ มใิ ช่เป็นเรือ่ งการถือวิสาสะ อีกทงั้ ขณะเกดิ เหตเุ ปน็ เวลากลางคนื จำเลยยอ่ มไมม่ อี ำนาจ
หรือไมม่ สี ทิ ธจิ ะเขา้ ไปในเคหสถานของผู้เสียหายโดยไม่ไดร้ บั อนญุ าตก่อน แมจ้ ำเลยอ้างวา่ เขา้ ไปเพราะตอ้ งการจะเกบ็ ปนื ของ
เล่นให้แกบ่ ุตรชายของตนก็ตาม แตเ่ หตุตามท่ีจำเลยอา้ งมใิ ชก่ รณีจำเป็นเร่งดว่ นถงึ ขนาดวา่ จำเลยจะปนี ขึน้ ไปบนหลงั คาบ้าน
ผอู้ นื่ ในยามวิกาลตามอำเภอใจโดยไมบ่ อกกลา่ วหรอื ขออนญุ าตเจา้ ของบ้านกอ่ นทงั้ เมื่อจำเลยถกู ตำหนทิ ไี่ ม่ขออนญุ าตกลบั
โต้เถยี งและด่าวา่ ผูเ้ สียหายทง้ั สองซง่ึ เป็นเจา้ ของเคหสถานด้วยถอ้ ยคำหยาบคายว่า ไอ้สัตว์ ไอ้ควย ไอ้เหีย้ ไอ้เยด็ แม่ การ
67
68
กระทำของจำเลยจึงเป็นการเขา้ ไปในเคหสถานของผู้อ่ืนโดยไม่มีเหตอุ นั สมควรเป็นความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา 365 (3)
ประกอบมาตรา 364 และเป็นความผิดฐานดูหมน่ิ ซง่ึ หนา้ ตามมาตรา ๓๙๓ อีกกระทงหนง่ึ
ฎกี าท่ี 1698/2535 ความผิดฐานโกงเจา้ หน้ีตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350มไิ ด้ถอื เอาคำพิพากษา
ของศาลใหร้ ับผดิ ในทางแพง่ เปน็ องคป์ ระกอบความผดิ ทางอาญา องค์ประกอบความผดิ ทางอาญาของมาตรานีอ้ ยทู่ ว่ี า่ ผกู้ ระทำ
เพียงแต่รู้วา่ เจา้ หนี้จะใช้สทิ ธิเรียกรอ้ งทางศาลใหช้ ำระหน้ีไดย้ ้ายไปเสีย ซอ่ นเร้นหรอื โอนไปใหแ้ กผ่ อู้ ืน่ ซง่ึ ทรพั ยใ์ ดแกลง้ ให้
ตนเองเปน็ หนจ้ี ำนวนใดอันไมเ่ ปน็ ความจรงิ เพ่อื มใิ ห้เจ้าหน้ีของตนหรอื ของผอู้ นื่ ไดร้ บั ชำระหน้ที งั้ หมดหรอื แตบ่ างสว่ นกเ็ ป็น
ความผิดแล้ว
ฎกี าที่ 74/2555 จำเลยท่ี 2 ร่วมวางแผนกบั จำเลยท่ี 1 และ ส. มาก่อนเกดิ เหตุเพ่อื ทจี่ ะมากระทำความผิด แตข่ ณะที่
จำเลยที่ 1 และ ส. กระทำความผิดเอาทรพั ยข์ องผู้ตายไป จำเลยที่ 2 ขบั รถจกั รยานยนต์แยกทางออกไปก่อน ไมไ่ ดร้ ออยู่ใกล้
กับทเ่ี กดิ เหตุทจี่ ะมเี วลาเพยี งพอทจี่ ะช่วยเหลอื จำเลยท่ี 1 และ ส. ในขณะกระทำความผดิ ได้ จึงไม่ใชเ่ ป็นการแบ่งหน้าทก่ี ันทำ
อนั จะเปน็ ตวั การในการกระทำความผดิ กับจำเลยที่ 1 และ ส. ได้ จำเลยที่ 2 คงมคี วามผดิ ฐานเป็นผสู้ นับสนนุ การกระทำ
ความผดิ ฐานชงิ ทรพั ย์เป็นเหตใุ หผ้ อู้ ่นื ถึงแก่ความตายเท่าน้ัน หาใชร่ ่วมกันเป็นตวั การกระทำความผิดฐานชิงทรพั ย์ด้วยกันตัง้ แต่
สามคนขึน้ ไป อนั จะเป็นความผิดฐานปลน้ ทรัพย์ด้วยไม่
ฎีกาที่ 7894/2559 จำเลยท่ี 1 ร่วมกนั วางแผนประสานงานหาคนมาร่วมปลน้ ทรัพย์โดยมสี ่วนรเู้ หน็ มาตง้ั แต่ต้น
ตลอดจนพาพวกไปดลู าดเลาบ้านผเู้ สยี หายทั้งสองและตามไปรับสว่ นแบง่ ใกลก้ ับทเ่ี กิดเหตุ ซึ่งแมจ้ ำเลยที่ 1 จะไม่ไดเ้ ขา้ ไปร่วม
ปลน้ ทรัพย์โดยตรงแตพ่ ฤตกิ ารณข์ องจำเลยท่ี 1 เปน็ การชว่ ยเหลือหรืออำนวยความสะดวกแก่คนร้ายก่อนการกระทำผดิ เขา้
องค์ประกอบเปน็ ผสู้ นบั สนนุ ตาม ป.อ. มาตรา 86
ฎีกาที่ 7077/2547 จำเลยนำเงินทโ่ี จทกร์ ่วมและจำเลยมกี รรมสทิ ธิ์ร่วมกนั ในฐานะหุน้ ส่วนไปโดยอา้ งวา่ มีสทิ ธิ
ได้รับเงนิ ค่าหุ้นและเงินส่วนแบง่ กำไรจากการลงทุนร่วมกัน เมอ่ื โจทก์รว่ มและจำเลยเป็นหุ้นส่วนกัน เงินทจ่ี ำเลยนำไปดงั กล่าว
จงึ เป็นของผเู้ ป็นหุ้นส่วนร่วมกันจนกว่าจะมกี ารเลิกการเป็นหนุ้ ส่วนและมกี ารชำระบญั ชี ดังนัน้ แม้จำเลยจะมคี วามประสงค์จะ
เลิกเปน็ หุ้นส่วนกบั โจทกร์ ว่ ม แตเ่ ม่อื ยงั ไม่มกี ารตกลงเลิกหนุ้ ทง้ั ยงั ไม่มกี ารชำระบัญชวี า่ เงินสว่ นน้ีจะเปน็ ของโจทกร์ ่วมและ
จำเลยจำนวนเท่าใด จำเลยจงึ ไมม่ ีสทิ ธโิ ดยชอบทจ่ี ะนำเงนิ ทเี่ ปน็ ของหุ้นสว่ นไปใชเ้ ป็นประโยชนแ์ กส่ ่วนตัว เมอื่ จำเลยนำเงิน
จำนวนดงั กล่าวไปแล้วก็หลบหนไี มย่ อมกลบั ไปทำงานอกี จนเกือบหนึ่งปีจงึ ถกู จบั กุม ยอ่ มแสดงได้ว่าจำเลยซึง่ เป็นผ้คู รอบครอง
เงินทีโ่ จทกร์ ่วมเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย ได้เบยี ดบงั เอาเงินจำนวนดังกลา่ วนัน้ ไปเป็นของตนเองโดยทจุ รติ จำเลยจงึ มคี วามผิด
ฐานยกั ยอก
68
69
ฎกี าท่ี 5319/2547 การทผ่ี ้เู สียหายนำสรอ้ ยคอไปจำนำ เจ้าของร้านทองผรู้ บั จำนำไดอ้ อกหลกั ฐานใหผ้ ู้เสยี หาย
ว่า เป็นการ "ขายฝาก" โดยมกี ำหนดไถท่ รัพย์ทขี่ ายฝากคนื ภายใน 1 เดอื น กรรมสทิ ธแ์ิ ละการครอบครองสรอ้ ยคอทร่ี บั จำนำไว้
จงึ ตกอยู่แกเ่ จ้าของร้านทองผ้รู บั จำนำจนกว่าผเู้ สียหายจะไถ่คืน ดงั น้ัน การทจี่ ำเลยนำหลักฐานทเ่ี จา้ ของรา้ นทองออกใหแ้ ก่
ผเู้ สยี หายไปขอไถส่ รอ้ ยคอของผเู้ สยี หายจากผรู้ บั จำนำโดยไม่แสดงออกใหแ้ จง้ ชัดว่าตัว๋ ไถ่ไม่ใช่ของตน เปน็ เหตใุ หผ้ รู้ บั จำนำ
หลงเช่อื ว่าจำเลยเปน็ เจา้ ของทีแ่ ท้จรงิ จงึ ไดส้ ง่ มอบกรรมสทิ ธิ์และการครอบครองสรอ้ ยคอของผเู้ สยี หายใหจ้ ำเลยไป เปน็ การ
กระทำโดยเจตนาทุจริต หลอกลวงผ้อู ืน่ ดว้ ยการแสดงข้อความอนั เปน็ เทจ็ หรือปกปดิ ข้อความจรงิ ซึ่งควรบอกให้แจ้ง และโดย
การหลอกลวงดงั กล่าวน้ันได้ไปซงึ่ ทรพั ยส์ ินของผู้ถกู หลอกลวงหรอื บุคคลทส่ี าม การกระทำของจำเลยจงึ เปน็ ความผิดฐาน
ฉ้อโกงตาม ป.อ. มาตรา 341
ฎีกาที่ 12888/2558 ประธานกรรมการโจทก์ร่วมร้วู ่าจำเลยท่ี 1 โกงเงนิ ของโจทกร์ ว่ มไปต้งั แตว่ นั ท่จี ำเลยที่ 1 ทำ
บนั ทึกคำรบั สารภาพให้ไวเ้ มอ่ื วันท่ี 9 กมุ ภาพันธ์ 2550 แลว้ แต่โจทก์รว่ มฎีกาวา่ ไมร่ เู้ รอื่ งความผิดตง้ั แต่วนั ดังกล่าว เนอ่ื งจาก
ยังไม่ได้ตรวจสอบรายละเอยี ดวา่ จำเลยท่ี 1 โกงเงินโจทก์ร่วมไปเมอ่ื ใด จำนวนเทา่ ใด และโกงอย่างไร แต่เมือ่ โจทกร์ ว่ มมิไดน้ ำ
สบื ใหช้ ดั แจ้งว่าโจทกร์ ว่ มรู้เร่อื งความผดิ ต้ังแตว่ นั ใดท่มี ิใชว่ ันท่ี 9 กุมภาพันธ์ 2550 ทจี่ ำเลยที่ 1 ทำบันทึกคำรบั สารภาพไว้ และ
รเู้ รอื่ งความผดิ กอ่ นไปแจ้งความรอ้ งทุกขไ์ มเ่ กนิ 3 เดือน คดีจงึ ไมป่ รากฏชัดวา่ โจทกร์ ว่ มรู้ตัวผ้กู ระทำผิดและรู้เรอ่ื งความผิด
ต้ังแต่เมือ่ ใดก่อนวนั ที่ 14 กรกฎาคม 2550 อันเป็นวันรอ้ งทกุ ขไ์ มเ่ กนิ 3 เดอื น กรณีไมอ่ าจทราบแนช่ ัดวา่ คดียังไมข่ าดอายุ
ความ หรือไมแ่ นช่ ัดวา่ โจทกร์ ว่ มมสี ิทธฟิ ้องคดีได้หรอื ไม่ จงึ สมควรยกประโยชนใ์ หแ้ กจ่ ำเลยทงั้ สองว่าสำหรับข้อหาฉอ้ โกงนน้ั
คดขี าดอายุความแลว้ โจทกร์ ่วมไม่มสี ิทธิฟ้องคดีขอ้ หาน้ี
ความผิดฐานฉอ้ โกงตามฟอ้ งคดีนบ้ี รรยายว่าจำเลยท้ังสองรบั เงินจากธนาคารตามเชค็ ไปเปน็ ของ
จำเลยทง้ั สองโดยทจุ ริตอันครบองค์ประกอบความผดิ ฐานลักทรพั ย์ เปน็ การบรรยายฟอ้ งรวมการกระทำอืน่ ซ่งึ อาจเป็นความผดิ
ไดอ้ ยู่ในตัวเอง ศาลจะลงโทษจำเลยทง้ั สองในการกระทำผิดอนื่ น้นั ตามท่พี จิ ารณาไดค้ วามก็ได้ ตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 192 วรรค
ท้าย เมอ่ื ศาลอทุ ธรณ์ภาค 5 มไิ ด้พจิ ารณาลงโทษความผดิ ของจำเลยทงั้ สองตามท่ีพิจารณาได้ความ ศาลฎกี าก็มีอำนาจ
พิจารณาตามมาตรานโี้ ดยอาศัย ป.วิ.อ. มาตรา 215 และมาตรา 225 ไดเ้ พราะข้อเทจ็ จรงิ ยุตวิ ่าจำเลยที่ 1 ได้มอบเชค็ ใหจ้ ำเลย
ท่ี 2 ไปขนึ้ เงินท่ธี นาคารจากบัญชเี งนิ ฝากของโจทกร์ ่วม ได้เงนิ ของโจทกร์ ว่ มมาจำนวน 125,616 บาท โดยไมป่ รากฏหลกั ฐาน
วา่ จำเลยที่ 2 มอบเงินดงั กลา่ วใหแ้ ก่จำเลยท่ี 1 และจำเลยที่ 1 มอบเงนิ คืนให้โจทกร์ ว่ มแล้วดังท่จี ำเลยทง้ั สองนำสบื ตอ่ สู้ จำเลย
ท่ี 1 ซ่งึ เปน็ ลูกจา้ งของโจทก์รว่ มจึงมีความผดิ ฐานรว่ มกนั ลกั ทรพั ย์นายจา้ งตาม ป.อ. มาตรา 335 (7) (11) วรรคสอง สว่ น
จำเลยท่ี 2 มไิ ด้เปน็ ลูกจ้างของโจทกร์ ว่ ม ย่อมไม่อาจรว่ มกับจำเลยที่ 1 กระทำความผดิ ฐานลกั ทรพั ย์นายจ้างได้ จำเลยท่ี 2 จงึ
มคี วามผิดตาม ป.อ. มาตรา 335 (7) วรรคแรก ซึง่ มใิ ชค่ วามผิดอันยอมความได้และมีอายคุ วาม 10 ปี คดีโจทกจ์ งึ ยงั ไม่ขาดอายุ
ความ
69
70
ฎกี าท่ี 6116/2560 ผู้เสียหายประกอบกิจการร้านเซเวน่ อเิ ลฟเวน่ จำเลยเป็นพนกั งานของผู้เสยี หายมีหน้าท่ี
ดูแลกจิ การในร้านและนำเงนิ รายไดข้ องรา้ นไปฝากธนาคารโดยเม่ือพนักงานของรา้ นขายสินค้าได้แล้วจะนำเงนิ ท่ไี ดร้ บั จาก
ลูกคา้ ใสซ่ องหยอ่ นลงไปในตนู้ ริ ภยั ของรา้ น ซงึ่ จำเลยเป็นผถู้ อื กญุ แจตนู้ ริ ภยั เพียงคนเดียวและไมม่ ีสทิ ธนิ ำเงนิ รายได้ดังกลา่ วไป
ใชส้ ว่ นตัว เวลาประมาณ 13.00 น. ทกุ วนั จำเลยต้องนำกญุ แจไปไขตู้นิรภัยนำเงนิ รายได้ของรา้ นออกมาแลว้ ไปตรวจนบั ตอ่
หน้า ส. และ ท. เมื่อทราบจำนวนเงนิ รายไดแ้ ล้ว ส. จะเขยี นใบนำฝากเงินและมอบสมดุ บญั ชขี องตนเองใหจ้ ำเลยจากน้นั จำเลย
จะขับรถยนตน์ ำเงินพร้อมสมดุ บญั ชีและใบนำฝากไปฝากเงนิ ท่ธี นาคาร วนั รุ่งขน้ึ จำเลยตอ้ งนำใบรบั ฝากเงินท่มี ตี ราประทับจาก
ธนาคารสง่ คนื ใหแ้ กผ่ ู้เสียหายเพื่อตรวจสอบยอดเงนิ ทน่ี ำไปฝากธนาคารวา่ ครบถว้ นหรอื ไม่ วนั เกิดเหตุ ธ. บตุ รของ ท. ไดร้ ว่ ม
ตรวจนับเงนิ กบั จำเลยแล้วมอบเงนิ จำนวน 300,000 บาทใหจ้ ำเลยนำไปฝากธนาคาร หลงั จากนน้ั จำเลยรว่ มกับพวกเอาเงนิ นัน้
ไป การทจี่ ำเลยใช้กญุ แจไขตูน้ ิรภยั นำเงินรายไดข้ องรา้ นออกมาแลว้ นำไปตรวจนับต่อหน้า ส. และ ท. เปน็ เพยี งการทำงานใน
หนา้ ทด่ี แู ลเงนิ ชวั่ คราวเทา่ น้นั หาใช่เปน็ เร่อื งท่ผี เู้ สียหายได้มอบการครอบครองเงนิ ให้แก่จำเลยโดยเดด็ ขาดไม่ ดงั น้ี ขณะนน้ั
จำเลยจงึ ไมใ่ ชผ่ ู้ครอบครองเงินของผ้เู สียหาย แต่เมอื่ จำเลยเอาเงนิ จำนวน 300,000 บาทของผู้เสยี หายไปหลงั จากทผี่ ู้เสยี หาย
ตรวจสอบแลว้ มอบใหจ้ ำเลยนำไปฝากเข้าบัญชีของผู้เสยี หายทีธ่ นาคาร กรณจี งึ ถอื ไดว้ ่าขณะน้นั ผเู้ สยี หายไดม้ อบเงนิ จำนวน
ดงั กลา่ วใหอ้ ยู่ในความครอบครองของจำเลยแล้ว เพราะจำเลยต้องถือและรกั ษาเงนิ จำนวนนั้นจนกระทงั่ นำไปฝากเข้าบญั ชขี อง
ผู้เสียหายท่ธี นาคารใหเ้ รียบรอ้ ย การที่จำเลยวางแผนใหพ้ วกจำเลยมาแย่งเอาเงินไปในระหว่างเดินทางไปธนาคารจึงเป็น
ความผิดฐานยกั ยอก เมอื่ ความผดิ ฐานดงั กล่าวเป็นความผดิ อันยอมความได้ และผเู้ สยี หายถอนคำร้องทกุ ขแ์ ล้วสิทธินำคดีอาญา
มาฟ้องของโจทกจ์ งึ ระงับไปตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 39(2)
ฎกี าที่ 6811/2559 โจทกฟ์ อ้ งจำเลยที่ 1 ถงึ ท่ี 4 ขอใหเ้ พิกถอนนิตกิ รรมและเรียกกรรมสทิ ธิ์ในทดี่ นิ คนื ตอ่ ศาล
ชั้นต้น ต่อมาศาลชั้นตน้ มคี ำพิพากษาตามยอมใหจ้ ำเลยท่ี 2 ถึงที่ 4 แบง่ แยกและโอนท่ีดินพิพาทแก่โจทก์ การฟ้องเพกิ ถอน
ดงั กลา่ วโจทกต์ ง้ั จำเลยที่ 5 เปน็ ทนายความ ตอ่ มาในระหวา่ งทยี่ ังไมม่ ีการจดทะเบยี นแบง่ แยกและโอนทด่ี ินให้โจทกต์ ามสญั ญา
ซื้อขาย จำเลยที่ 2 ถึงท่ี 4 ได้นำท่ดี ินแปลงดงั กล่าวไปจดทะเบียนใหจ้ ำเลยท่ี 8 เชา่ มกี ำหนดระยะเวลา 30 ปี โดยมจี ำเลยท่ี 5
เปน็ ผดู้ ำเนินการในการจดทะเบียนเช่าดังกลา่ วนน้ั ตามสญั ญาประนปี ระนอมยอมความโจทกย์ ังไม่ไดเ้ ป็นเจา้ ของกรรมสิทธใ์ิ น
ที่ดิน เพยี งแตโ่ จทก์อยู่ในฐานะจดทะเบียนสทิ ธิไดก้ ่อนผอู้ ่ืนเทา่ นน้ั ความผิดฐานยกั ยอกตาม ป.อ. มาตรา 352 จะต้องได้ความ
ในเบื้องต้นเสยี กอ่ นว่า ที่ดนิ พิพาทเป็นของโจทก์ เมอ่ื ทด่ี นิ พพิ าทยงั เป็นของจำเลยท่ี 2 ถงึ ท่ี 4 อยู่ โจทก์ไมอ่ าจอา้ งได้ว่าโจทก์
ถกู ผอู้ น่ื ยกั ยอกทรพั ยไ์ ด้และสิทธิดงั กลา่ วท่ีโจทกม์ ีอยู่ ไม่ใชท่ รพั ยต์ ามความหมายของ ป.อ. มาตรา 352 ซงึ่ หมายถงึ ทรพั ย์ท่มี ี
รูปร่าง จงึ ไม่อาจถูกยกั ยอกได้ เมื่อทางนำสืบของโจทกเ์ องโจทกม์ เิ คยไดม้ อบหมายใหจ้ ำเลยท่ี 5 นำสิทธิเรยี กรอ้ งของโจทกไ์ ป
ดำเนินการใดๆ เป็นเร่อื งทีจ่ ำเลยที่ 5 ไปดำเนินการโดยพลการ เงินทไ่ี ดม้ าจงึ มิใชเ่ งินทจี่ ำเลยท่ี 5 จะต้องสง่ มอบให้แกโ่ จทก์
โจทกม์ แี ต่สทิ ธิทจ่ี ะบังคบั ใหเ้ ป็นไปตามสญั ญาประนีประนอมยอมความเทา่ นั้น
70
71
ฎีกาท่ี 13398/2557 โจทกร์ ่วมและจำเลยมีขอ้ ตกลงกันวา่ หากลูกค้าต่อรองราคาตา่ งหูเพชรพพิ าทจำเลยจะต้อง
โทรศัพทส์ อบถามโจทกร์ ่วมกอ่ นวา่ สามารถขายในราคาดังกลา่ วได้หรือไม่ ขอ้ ตกลงนมี้ ผี ลทำใหจ้ ำเลยไม่มีอสิ ระในการกำหนด
ราคาขายได้จรงิ นิติกรรมระหว่างโจทกร์ ่วมและจำเลยจงึ มิใชเ่ ปน็ การซื้อขายเสรจ็ เด็ดขาด แตเ่ ป็นการทโ่ี จทกร์ ่วมมอบตา่ งหู
เพชรของกลางแก่จำเลยใหไ้ ปขายแทนโจทกร์ ่วม ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งโจทกร์ ว่ มและจำเลยเป็นเรื่องตัวแทน โดยจำเลยเป็น
ตัวแทนขายต่างหูเพชรของกลางใหแ้ กล่ ูกค้าแทนโจทกร์ ่วมผเู้ ป็นตวั การ เมอ่ื จำเลยครอบครองต่างหเู พชรของกลางของโจทก์
รว่ มแล้วนำไปจำนำไวแ้ กบ่ คุ คลอน่ื จงึ เป็นการแสวงหาประโยชน์ท่มี ิควรได้โดยชอบ การกระทำของจำเลยเปน็ การเบยี ดบังต่าง
หูเพชรของกลางของโจทก์รว่ มโดยเจตนาทจุ ริตเป็นความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา ๓๕๒ วรรคแรก
ฎกี าที่ 506/2526 จำเลยได้รบั มอบเครือ่ งเพชรเพื่อจะนำไปขาย จำเลยมีสทิ ธจิ ะขายในราคาเทา่ ใดก็ได้ แตต่ อ้ ง
นำเงินที่ขายไดม้ าชำระใหโ้ จทกต์ ามท่ตี กลงกนั หากขายไม่ไดก้ ต็ อ้ งนำเครอื่ งเพชรมาคนื เมอ่ื จำเลยไมค่ ืนหรือชำระราคาเครอื่ ง
เพชรใหโ้ จทก์กเ็ ปน็ เพียงผดิ สัญญาทต่ี กลงกนั ไว้เท่านน้ั ไมเ่ ปน็ ความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352
ฎกี าท่ี 137/2525 ฟอ้ งว่าจำเลยรบั เสอ่ื จากผู้เสียหายไปขายคิดราคาเป็นเงิน440 บาท เมอ่ื ขายไดแ้ ลว้ จำเลย
จะตอ้ งนำเงิน 440 บาทไปชำระให้แก่ผเู้ สยี หาย จึงเป็นเรอื่ งมอบเส่ือให้จำเลยไปขายโดยประสงคไ์ ด้รบั เงินราคาเสอื่ มใิ ชม่ อบ
ใหจ้ ำเลยเปน็ ตัวแทนไปขายเสอ่ื ของผเู้ สยี หาย จำเลยจงึ มิใชเ่ ปน็ ผูค้ รอบครองเงนิ ที่ขายได้แทนผู้เสยี หาย เมอื่ จำเลยไม่ชำระเงนิ
ค่าเส่ือ จงึ เปน็ เร่ืองผดิ สญั ญาไม่ชำระหน้ีในทางแพง่ ไมผ่ ดิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352
ฎกี าที่ 1311/2518 ส. มอบแหวนและสรอ้ ยให้จำเลยไปขาย ขายราคาเท่าใดไมจ่ ำกดั แต่จำเลยตอ้ งให้เงนิ
18,000 บาทแก่ ส. จำเลยไม่คืนแหวนและวา่ เอาเงนิ ใช้หมดแล้ว ไมเ่ ปน็ ยกั ยอก
ฎกี าที่ 1219/2502 ผู้เสยี หายมอบวทิ ยุใหจ้ ำเลยนำไปขายโดยไมไ่ ดจ้ ำกัดวา่ จะตอ้ งขายราคาเทา่ ใด เปน็ แต่ว่า
จำเลยจะตอ้ งชำระราคาเครอ่ื งวทิ ยุ 2,500 บาทแกผ่ เู้ สยี หาย ดงั นี้แสดงว่า จำเลยจะขายวิทยใุ นราคาเทา่ ใดก็แลว้ แต่จำเลยเงิน
ท่ีขายได้ยอ่ มตกเปน็ ของจำเลย จำเลยมคี วามผกู พนั ทจี่ ะต้องรบั ผิดใชร้ าคาเครื่องวิทยุ 2,500 บาท แกผ่ เู้ สียหายเท่าน้ันมิใชเ่ รอ่ื ง
จำเลยไดร้ ับมอบหมายราคาเคร่ืองวิทยไุ ว้แทนผ้เู สยี หายกรณีไมเ่ ปน็ ความผดิ ฐานยักยอกเงิน
ฎีกาท่ี 3090/2522 ผูเ้ สยี หายมอบเคร่อื งเพชรให้จำเลยไปขาย โดยผู้เสียหายคดิ เอาราคา 32,300 บาท มี
ข้อตกลงกนั วา่ จำเลยจะจ่ายเงนิ ตามราคาของให้เมือ่ ครบ 1 เดือนนบั แต่วันเอาของไปถา้ ขายไม่ไดจ้ ะคนื ของให้ภายใน 1 เดอื น
เช่นกัน โดยไมไ่ ดจ้ ำกัดว่าจำเลยจะตอ้ งขายในราคาเทา่ ใด เช่นนี้เงินที่ขายเครื่องเพชรดงั กล่าวได้จงึ ตกเปน็ ของจำเลย เพยี งแต่
จำเลยมคี วามผกู พนั ว่าจะต้องนำเงนิ 32,300 บาทมาคืนใหแ้ กผ่ ้เู สียหายตามทตี่ กลงกันไวเ้ ท่านั้น กรณีจงึ มใิ ช่จำเลยไดร้ บั
มอบหมายใหร้ ับเคร่ืองเพชรหรอื ราคาเครื่องเพชรไว้แทนผเู้ สยี หาย แต่เป็นกรณีผเู้ สยี หายขายเชอ่ื เครอื่ งเพชรใหจ้ ำเลยไป แม้
71
72
จำเลยไมจ่ ่ายเงนิ แกผ่ เู้ สียหาย และไม่คนื เคร่ืองเพชรก็เปน็ เรอ่ื งผิดสญั ญาทางแพง่ ไมเ่ ป็นความผดิ อาญาฐานยกั ยอกตามท่โี จทก์
ฟ้อง
ฎีกาที่ 7868/2560 บุตรสาวโจทก์ร่วมรกั ใครชอบพอกบั บุตรชายจำเลยจนบตุ รสาวโจทก์ร่วมตั้งครรภ์โจทกร์ ว่ ม
และจำเลยจึงไดจ้ ดั พิธีมงคลสมรสให้แกบ่ ตุ รสาวโจทกร์ ่วมและบุตรชายจำเลยโดยฝา่ ยจำเลยไดม้ อบเงิน สรอ้ ยคอทองคำและ
สรอ้ ยข้อมอื ทองคำโดยอา้ งวา่ มนี ้ำหนกั 9 บาทวนั รุง่ ขน้ึ โจทกร์ ว่ มจงึ นำสรอ้ ยคอทองคำไปตรวจสอบทรี่ า้ นผลการตรวจสอบดา้ น
น้ำหนกั น้อยกว่าทจ่ี ำเลยอา้ งจงึ เกิดการโตเ้ ถยี งกัน จำเลยจงึ หยิบสร้อยคอทองคำซง่ึ วางอยบู่ นโต๊ะของรา้ นทองไป ไมว่ ่าสร้อยคอ
ทองคำและสรอ้ ยขอ้ มอื ทองคำจะเป็นสนิ สอดหรอื ของหม้นั หรอื ไมก่ ็ตาม แตจ่ ำเลยกส็ ง่ มอบใหแ้ ก่ฝ่ายโจทก์ยดึ ถือครอบครอง
แล้ว จำเลยจึงไม่ได้เปน็ เจ้าของกรรมสิทธ์ิ หากจำเลยเหน็ วา่ โจทกไ์ มป่ ฏบิ ัติตามข้อตกลงอย่างไร ก็ชอบที่จะใช้สิทธิเรยี กรอ้ งฟอ้ ง
คดที างแพง่ เพอ่ื เรียกทรัพยค์ นื หามสี ิทธฉิ กฉวยเอามาโดยพละการไม่ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการลกั ทรัพย์โดยฉกฉวยเอา
ซ่ึงหน้าอันเปน็ ความผดิ ฐานว่ิงราวทรัพย์
ฎกี าท่ี 3973/2551 การร้องทกุ ข์ตอ่ พนกั งานสอบสวนของโจทกไ์ มใ่ ชเ่ ป็นการใช้สิทธิเรียกรอ้ งทางศาลใหช้ ำระ
หนี้ แต่เมอื่ ร้องทกุ ขแ์ ล้ว พนกั งานอยั การไดฟ้ ้องจำเลยท่ี 1 และขอใหจ้ ำเลยที่ 1 คืนหรอื ใชเ้ งนิ จำนวน 135,008,163.92 บาท
มาด้วย ท้ังโจทกไ์ ดย้ น่ื คำรอ้ งขอเขา้ รว่ มเปน็ โจทก์ในคดีดงั กล่าวและศาลช้นั ต้นอนุญาต ดงั น้ี จงึ มคี วามหมายโดยนติ ินัยว่าโจทก์
ไดฟ้ อ้ งจำเลยที่ 1 ในคดดี ังกล่าวและมีคำขอใหบ้ งั คบั จำเลยท่ี 1 คนื หรอื ใชเ้ งินจำนวน 135,008,163.92 บาท ดว้ ย เทา่ กบั วา่
โจทก์ไดใ้ ชส้ ทิ ธิเรยี กร้องทางศาลใหจ้ ำเลยท่ี 1 ชำระหน้ีแล้ว
ขณะจำเลยที่ 1 จดทะเบยี นโอนที่ดินใหแ้ กจ่ ำเลยที่ 2 จำเลยทั้งสองไดห้ ยา่ กันแลว้ ทง้ั
จำเลยทั้งสองไดต้ กลงกันวา่ ใหจ้ ำเลยที่ 2 ไปดำเนนิ การโอนทีด่ นิ เปน็ กรรมสทิ ธ์ิของจำเลยที่ 2 แต่เพยี งผเู้ ดยี ว หลงั จากนัน้
จำเลยที่ 2 ยงั นำท่ีดนิ ไปจำนองดว้ ย แสดงวา่ จำเลยทงั้ สองมเี จตนาโอนที่ดินไปเพอื่ มิใหโ้ จทกเ์ จา้ หน้ีของจำเลยท่ี 1 ได้รับชำระ
หน้ปี ระกอบกับคำว่าผอู้ ืน่ ตาม ป.อ. มาตรา 350 หมายถงึ บคุ คลอื่นนอกจากตวั ลูกหนี้ การทจี่ ำเลยท่ี 1 ซ่งึ เปน็ ลกู หนีข้ องโจทก์
โอนท่ีดนิ ให้แกจ่ ำเลยที่ 2 ผ้ซู งึ่ มิไดเ้ ปน็ ลูกหนขี้ องโจทก์จงึ เปน็ การโอนทรัพยส์ ินไปให้แก่ผู้อื่นแลว้ ส่วนต่อมาโจทกส์ ามารถสืบหา
ตดิ ตามทรพั ยส์ ินนำมาบงั คับคดไี ดห้ รอื ไม่ เพียงใด เปน็ อีกเรอ่ื งหนงึ่ ตา่ งหาก จำเลยทง้ั สองจงึ มีความผดิ ฐานโกงเจ้าหน้ตี าม
มาตรา 350
ฎีกาท่ี 4532/2561 การทจ่ี ำเลยท้ังสามกับพวกนำผูต้ ายไปกกั ขงั เพ่อื เรยี กค่าไถ่แล้วพวกของจำเลยได้ฆา่ ผตู้ าย
นน้ั ถอื ไดว้ า่ การตายของผู้ตายเปน็ ผลมาจากการท่จี ำเลยท้งั สามกบั พวกนำผตู้ ายไปเพ่อื เรยี กค่าไถ่ การกระทำของจำเลยทั้งสาม
เปน็ ความผดิ ตาม ป.อ. มาตรา 313 วรรคทา้ ย (ประชุมใหญค่ รงั้ ที่ 9/2561)
ฎกี าที่ 1245/2561 การเปิดคลนิ ิกทันตกรรมของโจทกก์ เ็ พื่อให้บริการแกป่ ระชาชนท่วั ไป ประชาชนรวมทงั้
จำเลยย่อมมคี วามชอบธรรมท่ีจะเขา้ ไปได้ จำเลยเข้าไปในคลนิ กิ ทันตกรรมของโจทก์ในเวลาเปิดทำการแมจ้ ะเปน็ การเขา้ ไป
72
73
และถา่ ยภาพในห้องตรวจรกั ษาคนไขด้ ว้ ยก็เพราะตอ้ งการสอบถามโจทก์ถึงสาเหตุทโี่ จทก์แยง่ ลกู ค้าไปจากคลนิ ิกของจำเลย แต่
เม่ือโจทกใ์ ห้ตามพนกั งานรกั ษาความปลอดภยั มาไล่ใหจ้ ำเลยออกจากคลนิ ิก จำเลยกม็ ไิ ดข้ ดั ขืนรีบเดินกลบั ออกไปทันทที ีเ่ หน็
พนกั งานรกั ษาความปลอดภัย การกระทำของจำเลยยังถือไม่ไดว้ า่ เปน็ การรบกวนการครอบครองอสงั หารมิ ทรพั ยข์ องโจทกโ์ ดย
ปกติสุข ไมเ่ ป็นความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362
ฎีกาที่ 3366/2561 จำเลยขับรถกระบะไปเปลีย่ นยางรถทีร่ ้านผู้เสียหาย โดย บ. ญาติจำเลยไปด้วย ผู้เสียหาย
คิดราคายาง 4 เสน้ เปน็ เงนิ 8,000 บาท จำเลยตกลงเปลีย่ นยางท้ังสี่เสน้ ว. ลูกจ้างประจำรา้ นเปน็ ผเู้ ปลยี่ นใหโ้ ดยใสย่ างรถชดุ
เกา่ ไว้ในกระบะรถ เมอ่ื เปลยี่ นยางรถเสรจ็ ทงั้ สเ่ี สน้ แล้ว ว. ถอยรถกระบะไปจอดท่ีบรเิ วณหนา้ รา้ นโดยตดิ เครอ่ื งยนตไ์ ว้ จากนนั้
ประมาณ 3 นาที จำเลยขับรถกระบะดงั กลา่ วออกจากรา้ น โดยไม่ชำระราคา ขณะตกลงซอื้ ขายยางรถระหว่างจำเลยกับ
ผเู้ สยี หาย จำเลยไมม่ ีเจตนาทจี่ ะใช้กลอบุ ายหลอกลวงใหผ้ เู้ สยี หายส่งมอบยางรถท้ังสเี่ ส้นโดยไม่คิดจะชำระราคามาแต่
ตน้ ดงั นนั้ กรรมสิทธ์ใิ นยางรถทั้งสเี่ สน้ ยอ่ มไปยงั จำเลยซ่ึงเปน็ ผซู้ ื้อตง้ั แตเ่ มอ่ื ได้ทำสัญญาซือ้ ขายและกำหนดเป็นทรพั ยเ์ ฉพาะสง่ิ
แล้วตาม ป.พ.พ.มาตรา 458 และมาตรา 460 วรรคหนง่ึ แมจ้ ำเลยยงั มไิ ด้ชำระราคาแกผ่ ู้เสยี หาย กเ็ ปน็ มลู คดผี ิดสญั ญาในทาง
แพง่ เทา่ นน้ั หามมี ลู ความผดิ ทางอาญาฐานลกั ทรพั ย์ไม่
ฎีกาท่ี 7868/2560 น.บตุ รโจทก์ร่วมรกั ใครช่ อบพอกบั ช. บตุ รชายจำเลยจนฝา่ ยหญงิ ตง้ั ครรภ์ โจทกร์ ว่ มและ
จำเลยได้จัดพธิ ีมงคลสมรสให้แก่ น. และ ช. ทบี่ า้ นของโจทก์ร่วม โดยฝ่ายจำเลยมอบเงินสด 200,000 บาท สรอ้ ยคอทองคำ 5
เส้น สรอ้ ยข้อมอื ทองคำ 4 เส้น ทฝี่ า่ ยจำเลยอ้างว่า มีน้ำหนกั 9 บาท ใหแ้ กฝ่ ่ายโจทกร์ ่วมตอ่ มาวันรงุ่ ขน้ึ ซ่งึ เปน็ วนั เกดิ เหตุ
โจทกร์ ว่ มนำสร้อยคอทองคำและสร้อยข้อมือทองคำดังกล่าว ซึง่ เป็นทรัพย์ตามฟอ้ งไปตรวจสอบพรอ้ มกบั ฝ่ายจำเลยทรี่ า้ นทอง
ผลการตรวจสอบไดน้ ้ำหนกั เพยี ง 8.25 บาท จงึ เกิดการโตเ้ ถยี งกัน ระหว่างนนั้ จำเลยหนบี เอาสรอ้ ยคอทองคำและสร้อยขอ้ มอื
ทองคำ รวม 9 เสน้ ราคา 193,875 บาท ท่ีวางอยบู่ นโตะ๊ ของร้านทองไปสรอ้ ยคอทองคำและสรอ้ ยขอ้ มอื ทองคำอันเป็นทรพั ย์
ตามฟ้องจะเปน็ สินสอดหรอื ของหม้ันหรือไม่ก็ตาม แต่ฝ่ายจำเลยกส็ ่งมอบทรัพย์ดงั กล่าวให้แกฝ่ า่ ยโจทก์ร่วมยึดถอื ครอบครอง
อนั เปน็ การยกให้ในวันพธิ ีมงคลสมรสแลว้ จำเลยจึงไม่ไดเ้ ปน็ เจา้ ของกรรมสิทธทิ์ รพั ยต์ ามฟ้อง ดังนี้ หากจำเลยเห็นว่าฝา่ ยโจทก์
รว่ มไมป่ ฏบิ ตั ิตามขอ้ ตกลงอยา่ งไรจำเลยก็ชอบทีจ่ ะใชส้ ทิ ธเิ รยี กรอ้ งฟ้องคดีทางแพ่งเพื่อเรยี กทรพั ยค์ นื หามีสทิ ธฉิ กฉวยเอา
ทรัพย์มาโดยพลการไม่ การกระทำของจำเลยเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบด้วยกฎหมาย เป็นการแสวงหาประโยชนท์ ม่ี ิควรได้
โดยชอบดว้ ยกฎหมายสำหรบั ตนเอง การกระทำของจำเลยจงึ เป็นการลกั ทรพั ยโ์ ดยฉกฉวยเอาซ่ึงหน้าอนั เปน็ ความผดิ ฐาน
ว่งิ ราวทรัพย์
ฎีกาท่ี 6404/2560 ตามระเบียบการทำสัญญาจ้างทำความสะอาดโรงพยาบาล ช. ผู้รับจ้างจะตอ้ งมหี นงั สือคำ้
ประกันของธนาคารมายืน่ ใหผ้ ู้ว่าจ้างเพ่อื เปน็ การค้ำประกนั ในกรณีทผ่ี ูร้ บั จา้ งกอ่ ใหเ้ กิดความเสียหายใด ๆ หรือต้องชำระค่าปรบั
หรือคา่ ใชจ้ ่ายใดๆ หรือผ้รู บั จา้ งมไิ ดป้ ฏิบตั ติ ามภาระหน้าทใี่ ดๆ ที่กำหนดในสญั ญาจา้ ง หากผรู้ ับจ้างคนใดไมม่ หี นงั สอื ค้ำประกัน
ของธนาคารมาแสดง กไ็ มอ่ าจทำสัญญาจา้ งผรู้ บั จ้างคนดังกลา่ วได้ การทีจ่ ำเลยทง้ั สองประสงคจ์ ะใหร้ ้านของจำเลยทั้งสอง
ได้รับงานจ้างทำความสะอาดโรงพยาบาล ข. จงึ หลอกลวงนำหนังสอื คำ้ ประกันของธนาคาร ก. ทว่ี ่า ธนาคารยอมผกู พนั ตน
โดยไม่มีเงอ่ื นไขที่จะค้ำประกันชนดิ เพกิ ถอนไม่ได้เช่นเดียวกบั ลกู หนชี้ ้ันตน้ ในการชำระเงินให้ตามสิทธเิ รยี กรอ้ งของโรงพยาบาล
ช. ผ้วู า่ จ้าง ในกรณที รี่ ้านของจำเลยทง้ั สองผ้รู บั จ้างกอ่ ใหเ้ กดิ ความเสียหายใดๆ หรอื ต้องชำระคา่ ปรบั หรอื คา่ ใชจ้ ่ายใดๆ หรือ
73
74
รา้ นของจำเลยทั้งสองผรู้ ับจ้างมิได้ปฏบิ ัตติ ามภาระหนี้ใดๆ ท่ีกำหนดในสญั ญาจา้ งมาแสดงต่อความจรงิ แล้วธนาคารมิไดอ้ อก
หนงั สือค้ำประกันดังกลา่ วให้แกจ่ ำเลยทงั้ สอง การหลอกลวงดังกลา่ วเป็นการกระทำเพอ่ื แสวงหาประโยชน์มคิ วรไดโ้ ดยชอบ
ดว้ ยกฎหมายสำหรบั ร้านของจำเลยทง้ั สอง เพราะหากรา้ นของจำเลยทง้ั สองไมม่ หี นงั สอื ค้ำประกนั ของธนาคารผเู้ สียหายไม่
ยอมทำสญั ญาจา้ งทำของจำเลยทัง้ สอง การหลอกลวงดงั กลา่ วจึงเป็นการกระทำโดยทจุ ริต และการหลอกลวงโดยทจุ ริต
ดงั กลา่ วเป็นเหตใุ หผ้ ู้เสียหายหลงเชื่อตกลงทำสญั ญาจา้ งร้านของจำเลยทง้ั สองทำความสะอาดโรงพยาบาล ช. ซง่ึ เปน็ การ
ก่อให้เกิดสทิ ธิแก่จำเลยทงั้ สองในการท่จี ะเข้าไปทำความสะอาดโรงพยาบาล ช. อนั เป็นการหลอกลวงโดยทจุ รติ ให้ผเู้ สยี หายเข้า
สญั ญาจา้ งอนั เปน็ เอกสารสิทธิ เมอื่ การหลอกลวงโดยทจุ รติ เปน็ เหตใุ ห้ผเู้ สยี หายหลงเชอ่ื ตกลงทำสัญญาจ้างรา้ นของจำเลยทง้ั
สองทำความสะอาดกบั โรงพยาบาล ช. โรงพยาบาล ช. จึงให้สิทธจิ ำเลยทงั้ สองเข้ารบั งานอนั เป็นผลใหจ้ ำเลยท้ังสองมีโอกาส
เขา้ ทำความสะอาดโรงพยาบาล ช. และไดท้ รพั ยส์ นิ เปน็ เงินค่าจา้ งจากการทำงาน 108,000 บาท จงึ ถือไดว้ ่าจำเลยท้ังสอง
กระทำความผดิ ฐานรว่ มกันฉอ้ โกงแลว้ แม้ขอ้ เท็จจรงิ จะฟงั ได้วา่ ภายหลังทำสญั ญาจำเลยท้ังสองเข้าทำความสะอาด
โรงพยาบาล ช. จรงิ โรงพยาบาล ช. จงึ ตรวจรบั งานและอนมุ ัตคิ า่ จา้ งงวดแรกใหแ้ กร่ า้ นของำจเลยท้งั สอง 108,000 บาท แต่
การเขา้ ทำงานดังกล่าวก็เนื่องมาจากจำเลยท้ังสองโดยทจุ ริตหลอกลวงผูเ้ สียหายหลงเช่ือทำสญั ญาจา้ งรา้ นของจำเลยท้งั สองทำ
ความสะอาดโรงพบาบาล ช. ดังน้นั การที่จำเลยทงั้ สองเขา้ ทำความสะอาดโรงพยาบาล ช. จรงิ งกไ็ มเ่ ป็นเหตใุ หก้ ารกระทำ
ความผดิ อาญาของจำเลยทัง้ สองทเี่ กิดข้นึ แลว้ กลับกลายไมเ่ ปน็ ความผิด การกระทำของจำเลยทงั้ สองจงึ เป็นความผิดฐาน
ร่วมกนั ฉอ้ โกงตามฟ้องแล้ว
จำเลยทงั้ สองโดยทุจริตหลอกลวงผ้เู สียหายว่า ธนาคาร ก. ไดอ้ อกหนังสอื คำ้ ประกนั ให้รา้ นของ
จำเลยทง้ั สอง แต่ความจริงแลว้ ธนาคารมิได้ออกหนงั สอื ค้ำประกันดังกลา่ วให้แกร่ า้ นของจำเลยทง้ั สอง โดยการหลอกลวง
ดังกล่าวเปน็ เหตใุ หผ้ ู้เสียหายหลงเช่อื ตกลงทำสญั ญาจ้างร้านของจำเลยทง้ั สองใหท้ ำความสะอาดอาคารโรงพยาบาล ช. หาก
จำเลยทั้งสองไม่มหี นงั สอื ค้ำประกนั จากะนาคาร ผเู้ สียหายจะไมเ่ ข้าทำสญั ญาจ้างกบั จำเลยท้ังสอง กรณจี งึ ถอื ไดว้ ่านติ กิ รรม
สัญญาจา้ งระหวา่ งผเู้ สียหายกบั จำเลยทงั้ สองเกิดจากกลฉ้อฉลถึงขนาด สญั ญาจา้ งดงั กลา่ วจงึ เปน็ โมฆะตาม ป.พ.พ.มาตรา 159
วรรคหนง่ึ และวรรคสอง เม่ือผเู้ สยี าหายบอกเลิกสญั ญาอนั เปน็ การบอกล้างโมฆยี ะกรรม ทำใหส้ ญั ญาจ้างตกเป็นโมฆะตั้งแต่
วนั ทำสญั ญา ผ้เู สียหายและจำเลยทงั้ สองจงึ ตอ้ งกลับคนื สูฐ่ านะเดมิ ตาม ป.พ.พ.มาตรา 176 วรรคหนง่ึ แมก้ ารทจี่ ะให้จำเลยทง้ั
สองคนื เงินคา่ จ้างทำความสะอาดแกผ่ เู้ สยี หายไม่เป็นการพน้ วิสัย แตก่ ารงานทจ่ี ำเลยทงั้ สองทำใหผ้ ้เู สยี หายไปแลว้ ซง่ึ เป็น
ประโยชนแ์ กผ่ ู้เสยี หาย และผเู้ สยี หายยอมรับเอาการงานของจำเลยทง้ั สองแลว้ ตามหนงั สอื ขออนุมัตเิ บิกจา่ ยเงนิ ผู้เสียหายก็
ตอ้ งกลบั คนื ไปยังฐานะเดิมดว้ ยเช่นกัน ตาม ป.พ.พ.มาตรา 176 วรรคหนง่ึ เมอื่ การทจี่ ะให้การงานทท่ี ำไปแล้วกลบั คืนยงั ฐานะ
เดมิ เป็นการพน้ วสิ ยั ผเู้ สียหายจงึ ต้องใช้ค่าเสยี หายทส่ี มควรแกห่ น้าทีก่ ารงานใหแ้ ก่จำเลยทงั้ สอง โดยถือวา่ คา่ จา้ งตามฟอ้ งที่
จำเลยทั้งสองไดร้ บั ไปแลว้ เปน็ ค่าเสียหายจำนวนนัน้ ผ้เู สยี หายจึงไมม่ สี ิทธิเรียกร้องเอาเงนิ ดังกลา่ วคืนจากจำเลยท้ังสองอีก
ฎีกาท่ี 8644/2561 พฤติการณท์ ่จี ำเลยขอยมื รถจกั รยานยนตข์ องผเู้ สียหายไปจาก ช. ซึง่ เปน็ ผ้มู สี ิทธิครอบครอง
ตามสัญญาเชา่ ซ้อื นนั้ การที่ ช. อนุญาตใหจ้ ำเลยขบั รถจักรยานยนต์ไปสง่ ส. จึงเป็นการสง่ มอบการครอบครองรถจักรยานยนต์
ให้จำเลยชั่วคราว ซึ่งจำเลยที่ 1 มหี นา้ ทต่ี อ้ งนำรถจักรยานยนตท์ ีข่ อยืมไป มาคนื ช. เม่อื จำเลยนำรถจกั รยานยนตข์ อง
ผู้เสียหายไปจำนำแกบ่ คุ คลภายนอก จึงเป็นการเบยี ดบงั เอาทรพั ย์ของผเู้ สียหายเป็นของบคุ คลอ่ืนโดยทจุ ริตขณะทจ่ี ำเลย
ครอบครองทรพั ย์น้ันอนั เปน็ ความผิดฐานยกั ยอกทรพั ย์ ตาม ป.อ. มาตรา 352 วรรคแรก การกระของจำเลยไม่ใชค่ วามผิดฐาน
74
75
ลกั ทรพั ย์ ทีโ่ จทก์ฎกี าวา่ ได้ความจาก ส. วา่ จำเลยบอกวา่ หลงั จากจำเลยไดร้ ถจักรยานยนต์แลว้ นำไปขายทันที การขอยมื รถ
จึงเป็นอบุ ายท่ีจะไดร้ ถจักรยานยนต์ไปนั้นกเ็ ป็นเพียงการคาดคะเนของโจทก์ถึงเจตนารมณ์ของจำเลยซง่ึ ไมอ่ าจนำมารบั ฟงั เป็น
ผลร้ายว่าจำเลยมเี จตนาเอารถจกั รยานยนตข์ องผเู้ สียหายไปต้ังแต่ต้น
ฎีกาท่ี 8905/2561 ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตาม ป.อ. มาตรา 350 นนั้ เจา้ หน้ีตอ้ งใชห้ รือจะใชส้ ทิ ธิเรียกรอ้ งทาง
ศาลใหล้ กู หนช้ี ำระหน้ีแลว้ และลกู หนีร้ ูว้ า่ เจา้ หนไ้ี ด้ใช้หรือจะใช้สิทธดิ ังกล่าวแล้วยังโอนทรพั ย์สินใหผ้ ู้อ่นื โดยมมี ลู เหตจุ ูงใจเพอื่
ไม่ใหเ้ จา้ หนีไ้ ดร้ บั ชำระหน้ีท้งั หมดหรือแตบ่ างสว่ น
โจทกไ์ ปรอ้ งทุกขด์ ำเนินคดีแกจ่ ำเลยข้อหาฉ้อโกง ก่อนวนั ทจ่ี ำเลยโอนท่ีดินใหแ้ กบ่ ุตรทง้ั สอง
ของจำเลย การรอ้ งทกุ ขต์ ่อพนกั งานสอบสวนของโจทกย์ อ่ มนำไปสู่การยนื่ ฟอ้ งคดอี าญาของพนักงานอยั การ ซงึ่ รวมถงึ การเรียก
ทรัพยส์ ินหรือราคาท่ีโจทกต์ ้องสูญเสียไปเนื่องจากการกระทำความผิดแทนโจทกด์ ้วยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 43 อีกทงั้ เมอื่ พนกั งาน
อยั การย่นื ฟอ้ งคดี โจทกจ์ ะยนื่ คำร้องขอเข้ารว่ มเปน็ โจทกก์ บั พนักงานอัยการตาม ป.ว.ิ อ. มาตรา 30 หรอื ไม่กไ็ ด้ ดังนน้ั โดยการ
รอ้ งทกุ ขข์ องโจทก์ไมว่ า่ ต่อมาโจทก์จะย่นื คำรอ้ งขอเข้าร่วมเปน็ โจทก์หรอื ไม่ ก็มผี ลเปน็ การเรยี กรอ้ งทรพั ย์สินหรอื ราคาท่ีโจทก์
สญู เสยี ไปจากการกระทำความผดิ คนื โดยพนักงานอยั การดำเนินการ แทนแล้ว โจทก์ไมจ่ ำต้องทวงถามหรือฟ้องคดีแพง่ เพื่อ
บังคบั ชำระหนี้อกี การรอ้ งทกุ ขข์ องโจทกจ์ งึ เป็นกรณที โ่ี จทกจ์ ะใชส้ ทิ ธเิ รียกร้องทางศาลใหจ้ ำเลยชำระหนี้แล้ว เมื่อจำเลยมี
เจตนาทจุ ริตยกั ยอกเงินโจทก์ และโจทก์ได้รอ้ งทุกข์ตอ่ พนกั งานสอบสวนใหด้ ำเนนิ คดีแก่จำเลยแลว้ จำเลยจงึ รู้แลว้ วา่ โจทก์จะ
ใช้สทิ ธเิ รยี กร้องทางศาลใหช้ ำระหนี้ การท่ีจำเลยโอนทด่ี ินใหแ้ กบ่ ุตรทง้ั สองของจำเลยจึงเปน็ ไปเพอื่ มใิ หโ้ จทก์ได้รบั ชำระหน้ี
การกระทำของจำเลยจึงเปน็ ความผดิ ฐานโกงเจา้ หน้ี
ฎกี าท่ี 3692/2561 จำเลยใช้อาวุธปนื จี้ผเู้ สียหายพรอ้ มพดู ขม่ ขผู่ ู้เสียหายใหส้ ง่ เงนิ ใหจ้ นผูเ้ สยี หายยอมสง่ เงิน
ให้แกจ่ ำเลย การกระทำของจำเลยย่อมเป็นการชิงทรัพย์โดยมอี าวุธ อันมลี ักษณะดังทบี่ ัญญัติไวใ้ นอนุมาตรา (7) แหง่ ประมวล
กฎหมายอาญามาตรา 335 จงึ เป็นความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 ววรคสอง การทจ่ี ำเลยเป็นผมู้ ีและใช้
อาวธุ ปนื ในการกระทำความผิด จำเลยจงึ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 ววรคสองประกอบด้วยมาตรา
340 ตรี
ฎกี าที่ 7054/2561 เมอ่ื วันท่ี 11 มถิ ุนายน 2557 จำเลยท่ี 1 หลอกลวงโจทก์ด้วยการปลอมโฉนดที่ดินของ
จำเลยท่ี 2 วา่ เป็นของตนและนำสำเนาโฉนดทดี่ ินมาวางเปน็ ประกนั หนี้ โจทกห์ ลงเช่ือจงึ ใหจ้ ำเลยท่ี 1 กเู้ งนิ โดยทำสญั ญาก้เู งิน
และมอบเงนิ 140,000 บาท ใหแ้ กจ่ ำเลยท่ี 1 ถอื ไดว้ ่าจำเลยท่ี 1 กระทำความผดิ ฐานฉ้อโกงสำเรจ็ ในวันดังกลา่ วแลว้ แม้ต่อมา
ในวนั ท่ี 28 สงิ หาคม 2558 จำเลยท้ังสองรว่ มกนั หลอกลวงโจทก์อกี ว่า จำเลยที่ 2 เปน็ เจา้ ของท่ดี ินและขอใชโ้ ฉนดท่ดี นิ
ดังกล่าวเป็นหลกั ประกันในการชำระหนต้ี ่อไป โดยจำเลยท่ี 2 ทำสญั ญาคำ้ ประกันเงินก้ไู ว้ให้แกโ่ จทกด์ ว้ ย โจทกจ์ ึงหลงเชอื่
ยอมรบั หลกั ประกันดงั กล่าวและขยายระยะเวลาชำระหนเี้ งนิ กใู้ หแ้ ก่จำเลยที่ 1 กเ็ ปน็ การกระทำทเี่ กดิ ข้ึนใหมห่ ลังจากทจี่ ำเลย
75
76
ท่ี 1 กระทำความผิดฐานฉอ้ โกงเมือ่ วันที่ 11 มถิ นุ ายน 2557 สำเรจ็ ไปแลว้ เมอ่ื ไม่ปรากฏว่าในการหลอกลวงครงั้ หลงั จำเลยท้งั
สองไดร้ บั ทรัพยส์ ินจากโจทกเ์ พม่ิ เติมนอกเหนือจากเงินกู้ 140,000 บาท ทไ่ี ดร้ บั ไปแลว้ แม้ว่าโจทก์จะทำสญั ญากเู้ งินฉบบั ใหม่
กับจำเลยที่ 1 แต่ก็เป็นเพยี งขยายระยะเวลาชำระหนเี้ งินกูใ้ ห้แก่จำเลยที่ 1 เท่าน้นั หาได้ทำใหโ้ จทกเ์ สอื่ มเสียสทิ ธใิ นสัญญากู้
เงนิ ฉบบั เดมิ แตอ่ ยา่ งใดไม่ ท้ังปรากฏว่าโจทก์ไดน้ ำสญั ญากเู้ งนิ ดงั กลา่ วไปฟอ้ งคดแี พง่ และศาลชั้นตน้ พิพากษาใหจ้ ำเลยทง้ั สอง
ชำระหนเี้ งินกู้แก่โจทกแ์ ลว้ การกระทำของจำเลยทงั้ สองในวนั ที่ 28 สงิ หาคม 2558 จงึ มิไดม้ ผี ลใหโ้ จทก์หรือทำให้โจทกท์ ำ
ถอน หรือทำลายเอกสารสทิ ธอิ ันจะเป็นความผดิ ฐานฉอ้ โกงตามฟ้อง
ฎีกาที่ 10278/2555 การที่จำเลยลากศพผ้ตู ายไปไวท้ ีถ่ นนสาธารณะหน้าบา้ นห่างออกไปประมาณ 30 เมตร แมบ้ รเิ วณ
นัน้ ไมอ่ าจปิดบังการตายได้ กเ็ ปน็ การกระทำเพอ่ื ปดิ บังเหตแุ หง่ การตายและเพอ่ื อำพรางการกระทำความผิดของตนดว้ ย ประกอบกับ
จำเลยให้การรับสารภาพในความผดิ ฐานนี้มาตงั้ แตต่ น้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานเคลอ่ื นย้ายศพเพอ่ื ปิดบงั เหตแุ ห่งการ
ตายและเพ่อื อำพรางคดี จำเลยมคี วามผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 199 ประมวลกฎหมายวิธพี ิจารณาความอาญา มาตรา
150 ทวิ วรรคสอง (**ปจั จุบนั ให้ดมู าตรา 366/3 ประกอบด้วย**)
ฎีกาที่ 1302/2562 การทจี่ ำเลยท่ี 1 ซง่ึ เปน็ ลกู หน้ตี ามคำพพิ ากษายกั ย้ายหรือโอนหนุ้ ของตนโดยจดทะเบียน
เปลี่ยนแปลงผถู้ ือหนุ้ ในบรษิ ทั จำกัดใหแ้ กผ่ อู้ นื่ ทำให้โจทกไ์ มอ่ าจบงั คับชำระหนี้จากจำเลยท่ี 1 ได้ โจทก์ตอ้ งฟอ้ งจำเลยที่ 1
และบรษิ ทั ช.ใหเ้ ป็นบคุ คลลม้ ละลาย จงึ เหน็ ได้วา่ จำเลยที่ 1 โอนหุ้นของตนเพอื่ มิให้โจทกซ์ ึ่งเป็นเจ้าหนีไ้ ด้รับชำระหน้ี การ
กระทำของจำเลยท่ี 1 จงึ เป็นความผิดฐานโกงเจา้ หนี้ ตาม ปอ.มาตรา 350
ฎีกาท่ี 1513/2562 จำเลยเดนิ เข้ามาทางดา้ นหลงั ผเู้ สยี หายซงึ่ เปน็ หญงิ และถามว่ามเี งินเท่าไหร่ แน่นอนว่า
ประสงคต์ อ่ ทรพั ยแ์ ลว้ จากนน้ั จำเลยกป็ ระชดิ ตวั ผู้เสยี หาย ทำท่าจะล้วงอาวุธจากขอบกางเกงด้านหลงั ทา่ นจำหลกั ไว้วา่ ถา้ เป็น
ข้อเทจ็ จรงิ อย่างน้ี เขากจ็ ะสบื ฐานวา่ เปน็ ความผิดฐานชงิ ทรพั ยห์ รอื ไม่ ชิงทรัพยก์ ็คอื การลกั ทรัพยโ์ ดยใช้กำลงั ประทุษรา้ ย หรอื
โดยขู่เขญ็ วา่ ในทันใดน้นั จะใชก้ ำลงั ประทุษรา้ ย เร่อื งนยี้ งั ไมไ่ ดใ้ ช้กำลงั ประทุษร้ายเหตุการณช์ ่วงนี้ แต่คำว่าในทนั ใดนน้ั จะใช้
กำลงั ประทษุ ร้ายแนวคำพพิ ากษาศาลฎกี าบอกว่าอาจจะพเิ คราะหจ์ ากพฤติการณ์ของการกระทำกไ็ ด้ คือไมจ่ ำเป็นตอ้ งขวู่ ่า
ไมใ่ ห้เงนิ แล้วเดียวจะยงิ ก็ได้ คือดูจากพฤติการณก์ ไ็ ด้ไม่จำเปน็ ต้องพดู ออกมา แตฎ่ กี านีจ้ ำเลยเขา้ ประชันชิดตัวผ้เู สียหายและ
ล้วงอาวุธ ฎีกาบอกวา่ การกระทำของจำเลยเปน็ การขม่ ขผู่ เู้ สยี หาย จำเลยเป็นชายฉกรรจ์รา่ งกายกำยำตัวสงู กว่าผเู้ สียหายมาก
ผ้เู สยี หายเป็นหญิง ศาลฎีกาบอกว่าอย่างนีต้ อ้ งเกดิ ความเกรงกลวั จำเลยและพฤติการณข์ องจำเลยถอื ได้วา่ เปน็ การขู่เข็ญ
ผู้เสียหายวา่ ในทนั ใดนั้นจะใชก้ ำลังประทษุ ร้าย ผเู้ สียหายกส็ ง่ เงินให้จำเลยเพราะกลวั เนอื่ งจากถูกจำเลยขูเ่ ขญ็ วา่ ในทนั ใดนั้นจะ
ใชก้ ำลังประทุษร้าย แนน่ อนวา่ เปน็ ความผดิ ฐานชิงทรพั ย์ แต่ความละเอียดยงั มอี ีก ซง่ึ ข้อเทจ็ จรงิ นศี้ าลฎกี าวนิ ิจฉยั ว่าผดิ มาตรา
339 (2) วรรคสาม การชิงทรัพยเ์ ป็นเหตุให้ผู้อน่ื ไดร้ ับอนั ตรายแกก่ ายหรอื จิตใจ อนั นเี้ ปน็ ฎกี าย่อ แตต่ อ่ มามนั มีการทำรา้ ย
ร่างกายเกดิ ขึ้นด้วย ฝา่ ยจำเลยข่รี ถจกั รยานยนตม์ าดว้ ย มาตรา 340 ตรี (เปน็ เหตุฉกรรจท์ น่ี ักศกึ ษาจะตอ้ งตอบดว้ ยจงึ จะได้
คะแนนดี)
76
77
เร่อื งนเี้ หตกุ ารณ์มอี ยู่ชว่ งหนง่ึ ต่อมาปรากฏวา่ ตวั จำเลยกไ็ ปกระทำอนาจารตามขอ้ เทจ็ จริงก็
คอื สัง่ ให้ถอดกางเกงแลว้ ไปจบั ของสงวนของเขา ผเู้ สยี หายกลัวจะถกู ขม่ ขืนกเ็ ลยถอดสรอ้ ยคอทองคำให้จำเลยไปเอง ซึง่ ช่วงน้ี
จำเลยยังไมไ่ ด้ขูอ่ ะไร ผเู้ สียหายกลวั ไปเอง จำเลยกร็ ับสรอ้ ยคอทองคำไป ช่วงแรกเปน็ ชว่ งเงนิ สดชงิ ทรพั ย์ ส่วนชว่ งสร้อยคอ
ทองคำปรากฏขอ้ เทจ็ จรงิ วา่ ผู้เสยี หายกลัวกเ็ ลยใหส้ ร้อยคอทองคำไปเอง จำไวว้ ่าในช่วงหลงั เมอื่ ไมป่ รากฏวา่ จำเลยขูเ่ ขญ็ หรอื ใช้
กำลังประทษุ ร้ายผ้เู สียหายเพอ่ื ประสงคต์ อ่ สรอ้ ยคอทองคำ หากแต่ผเู้ สยี หายคิดเองว่าถา้ จำเลยไดส้ รอ้ ยคอทองคำแล้วจะปล่อย
เก่ียวกบั สรอ้ ยคอทองคำศาลฎกี าบอกว่าเปน็ ความผดิ ฐานลกั ทรพั ย์ การทจ่ี ำเลยรบั เอาสรอ้ ยคอทองคำจากผู้เสียหายไปเปน็
เจตนาทจุ ริตทเ่ี กิดขึ้นภายหลงั การกระทำของจำเลยจงึ ไมใ่ ชเ่ ปน็ ความผิดฐานชงิ ทรัพย์ แต่เป็นความผิดฐานลกั ทรพั ย์ (จากเพจ
โคตรฎกี า)
ฎกี าท่ี 683/2562 เรื่องน้จี ำเลยท้ังส่วี างแผน เรยี กเอาเงินจากผูเ้ สยี หาย โดยจำเลยท่ี 1ขับรถแซงรถผเู้ สียหาย
แลว้ ชะลอความเรว็ รถยนต์ จนผเู้ สยี หายต้องแซงรถจำเลยที่ 1 จากน้ันใหจ้ ำเลยที่ 3 , 4 ขบั รถไลห่ ลงั รถยนต์ผ้เู สียหาย จน
ผเู้ สยี หายต้องหกั รถเขา้ ชอ่ งดา้ นซ้ายแลว้ จำเลยกข็ บั จร้ี ถยนตผ์ ู้เสียหายจนเกิดการเฉย่ี วชน แล้วจำเลยท่ี 2 เรยี กเงินจาก
ผู้เสยี หาย ปญั หากค็ อื ว่า การท่ีจำเลยที่ 2 เรยี กเอาเงนิ จากผเู้ สียหายจะเปน็ ความผดิ ฐานกรรโชกหรอื ไม่ ศาลฎีกาบอกว่าการที่
พวกจำเลยเรียกเอาเงินจากผเู้ สียหาย คำวา่ เรียกเอาเงนิ มิใช่เป็นคำพดู ท่ีขเู่ ขญ็ หรอื ขม่ ขวู่ า่ จะทำอนั ตรายตอ่ ชวี ิต รา่ งกาย
ชื่อเสยี งหรอื ทรัพยส์ นิ ผู้เสียหาย ทงั้ ไม่ใชก่ ารประทุษร้าย ภายหลงั สบื ทราบวา่ พวกจำเลยเป็นแกง๊ ใช้วิธีเรยี กเอาเงินแบบนี้ ศาล
ฎกี าบอกวา่ เพยี งบอกวา่ เรียกเอาเงนิ จากผเู้ สียหาย ยังขาดองค์ประกอบความผดิ ฐานกรรโชกทรพั ย์ เพราะขาดหลกั เกณฑ์ท่วี า่
โดยใชก้ ำลังประทุษรา้ ย หรอื ขู่เขญ็ ว่าจะทำอันตรายตอ่ ชีวิต รา่ งกาย ชื่อเสียงหรือทรพั ยส์ นิ ผ้เู สยี หายก็ไมม่ ี ถา้ อา่ นฎกี า ตอบ
ตามฎกี าว่าไมผ่ ิดกรรโชกจบ แล้วฐานอ่นื อย่าลืมดู เรอื่ งน้ศี าลฎกี าบอกวา่ จำเลยทัง้ หมดมีความผดิ ฐานรว่ มกันทำใหเ้ สียทรัพย์
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 (จากเพจ โคตรฎกี า)
ฎกี าท่ี 8767/2561 คำวา่ “พา” หมายความวา่ นำไปหรือพาไป ส่วนคำวา่ “พราก” หมายความวา่ การพาไปหรอื
แยกเดก็ ออกไปจากอำนาจปกครองดูแลทำใหอ้ ำนาจปกครองดูแลของบดิ ามารดาเดก็ ถูกรบกวนหรอื กระทบกระเทอื น โดยบิดา
มารดาเด็กไมร่ ้เู ห็นยินยอมอนั เป็นการมุ่งหมายเพอื่ ยึดครองอำนาจปกครองของบดิ ามารดาผปู้ กครองหรือผู้ดแู ลที่มตี อ่ เดก็ มใิ ห้
ผูใ้ ดล่วงละเมดิ ดว้ ยการพาไปหรอื แยกเด็กออกจากความปกครองดูแลโดยไมจ่ ำกัดว่าจะกระทำดว้ ยวิธีการใดและไม่คำนงึ ถงึ
ระยะทางใกล้ไกล ดงั นั้น การท่ีจำเลยใชก้ ลวธิ ดี ้วยการตะโกนเรียกผ้เู สียหายที่ 2 เลน่ อยู่กบั เพื่อนเพียง 7 เมตร กบั แมจ้ ะอยใู่ น
บรเิ วณอซู่ อ่ มรถด้วยกันกต็ าม ถอื ได้วา่ จำเลยพาผู้เสยี หายที่ 2 ไปและพรากผเู้ สียหายท่ี 2 ไปเสยี จากผ้เู สยี หายที่ 1 การกระทำ
ของจำเลยดงั กล่าวจงึ เปน็ ความผดิ ฐานพาเด็กอายุยงั ไมเ่ กนิ สบิ ห้าปไี ปเพอ่ื การอนาจารและฐานพรากเด็กอายุยงั ไมเ่ กนิ สิบห้าปี
ไปเพือ่ การอนาจาร
77