--๔4๐0- -
เร่ืองที่ ๓๓ ท่ดี นิ ในเขตประทานบัตรทาเหมอื งแร่ที่หมดอายุจะมสี ถานะเป็นที่ดนิ ประเภทใด
เรือ่ งเสรจ็ ท่ี ๑๓/๒๕๔๐
ประเด็นพจิ ารณา
ท่ีดินท่ีมีผู้ครอบครองและทาประโยชน์โดยชอบด้วยกฎหมายก่อนพระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน
(ฉบับที่ ๖) พุทธศักราช ๒๔๗๙ ใช้บังคับ ต่อมาได้นาท่ีดินแปลงดังกล่าวมาขอประทานบัตรทาเหมืองแร่ แต่มิได้แจ้ง
การครอบครองท่ีดิน (ส.ค.๑) ตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายท่ีดิน พ.ศ. ๒๔๙๗
เมื่อประทานบัตรหมดอายุลงภายหลังวันที่ประมวลกฎหมายท่ีดินใช้บังคับ ท่ีดินดังกล่าวจะตกเป็นที่ดินของรัฐ
ตามมาตรา ๑๓๐๔ (๑) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือไม่ และพนักงานเจ้าหน้าท่ีจะออกโฉนดที่ดิน
ใหแ้ ก่ผ้คู รอบครองและทาประโยชนใ์ นที่ดนิ ได้หรือไม่
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมที่ดิน ครั้งท่ี ๗/๒๕๔๐ เม่ือวันที่ ๙
กรกฎาคม ๒๕๔๐ (วาระท่ี ๔.๑)
ที่ดินในเขตประทานบัตรทาเหมืองแร่เม่ือหมดอายุประทานบัตรแล้วจะมีสถานะเป็นท่ีดิน
ประเภทใด จะต้องพิจารณาถึงสถานะของที่ดินดังกล่าวก่อนมีการออกประทานบัตรทาเหมืองแร่เป็นสาคัญ
กล่าวคือ หากท่ีดินดังกล่าวก่อนออกประทานบตั รมลี ักษณะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่พลเมืองใช้ร่วมกัน
เช่น ทุ่งหญ้าเลียงสัตว์สาธารณะ หนองนาสาธารณะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๔ (๒)
เมื่อหมดอายปุ ระทานบัตรแล้วที่ดินดงั กล่าวก็คงมีสถานะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่พลเมอื งใช้ประโยชน์
ร่วมกัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๔ (๒) เชน่ เดิม ในทานองเดียวกันหากสภาพที่ดิน
ดังกล่าวก่อนออกประทานบัตรมีสถานะเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๑๓๐๔ (๑) เม่อื หมดอายุประทานบัตรแลว้ ที่ดินดังกล่าวก็คงมสี ถานะเป็นที่รกร้างว่างเปลา่ ตามประมวล
กฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา ๑๓๐๔ (๑) เชน่ เดิม ดังนัน การทพ่ี นกั งานเจ้าหน้าทจ่ี ะออกหนังสือแสดงสิทธใิ นท่ดี ิน
ให้แก่ผู้ครอบครองและทาประโยชน์ในที่ดินท่ีประทานบัตรทาเหมืองแร่หมดอายุแล้วได้หรือไม่ จึงขึนอยู่กับ
ขอ้ เท็จจริงดงั กลา่ ว
ความเห็นกรมท่ีดิน เห็นชอบ
-- ๔4๑1- -
เรือ่ งท่ี ๓๔ หารอื ทางปฏบิ ัตใิ นการดาเนินการเพิกถอนโฉนดที่ดินตามคาพพิ ากษา
เรอื่ งเสรจ็ ท่ี ๑๔/๒๕๔๐
ประเดน็ พิจารณา
เมื่ อ ศ า ล ฎี ก า ได้ วิ นิ จ ฉั ย ถึ ง ก ร ร ม สิ ท ธ์ิ ใน ที่ ดิ น ว่ า ที่ พิ พ า ท เป็ น ที่ ธ ร ณี ส งฆ์ ข อ ง วั ด บ า ง ชั น
โจทก์ให้เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๕๗๗, ๑๙๕๓, ๒๓๕๔, ๒๓๕๕, ๒๓๕๖, ๒๔๖๐ และ ๔๘๔๓
ตาบลคลองหน่ึง (คลอง ๑ ตก) อาเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี และคดีถึงที่สุดแล้ว พนักงานเจ้าหน้าท่ี
จะต้องดาเนนิ การตามคาพพิ ากษาหรือไม่
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมที่ดิน ครั้งที่ ๒/๒๕๔๐ เม่ือวันท่ี ๓
กมุ ภาพันธ์ ๒๕๔๐ (วาระท่ี ๔.๑)
การสละสิทธิในการบังคับคดีของวัดบางชัน จาเลยในคดีแพ่งหมายเลขดาที่ ๑๕๑๖/๒๕๓๔
เป็นคดีใหม่ไม่มีผลให้คดีตามคาพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๓๗๑/๒๕๓๑ ถูกเปลี่ยนแปลง แก้ไข กลับ หรืองดเสีย
แต่อย่างใด ดังนัน เมื่อศาลฎีกาได้วินิจฉัยถงึ กรรมสิทธ์ิในท่ีดินว่า “ที่พิพาทเป็นที่ธรณีสงฆ์ของวัดบางชัน โจทก์
ให้เพิกถอนโฉนดเลขที่ ๑๕๗๗, ๑๙๕๓, ๒๓๕๔, ๒๓๕๕, ๒๓๕๖, ๒๔๖๐ และ ๔๘๔๓ ตาบลคลองหน่ึง (คลอง ๑ ตก)
อาเภอคลองหลวง จงั หวดั ปทมุ ธานี” และคดีถึงทสี่ ุดแล้ว คาพิพากษาดังกล่าวยอ่ มมผี ลบงั คับและผูกพันคู่ความ
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๕ พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องดาเนินการตามคาพิพากษา
ของศาลตอ่ ไป
ความเห็นกรมท่ีดิน เหน็ ชอบ
--๔4๒2- -
เรื่องท่ี ๓๕ หารอื การนาคาพิพากษาศาลฎีกามาประกอบการออกโฉนดทดี่ ิน
เร่ืองเสร็จท่ี ๑๖/๒๕๔๐
ประเด็นพจิ ารณา
การที่นายสินชัยเป็นโจทก์ฟ้องกรมที่ดิน กรณีกรมที่ดินมีคาสั่งเพิกถอนโฉนดที่ดิน
เลขท่ี ๑๔๔๑๐ ตาบลตลาดใหญ่ (บางเหนียว) อาเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต และศาลได้มีคาพิพากษา
ให้ยกฟ้องโจทก์ไปแล้ว ต่อมานายสินชัยประสงค์จะขอออกโฉนดที่ดินในบริเวณดังกล่าวอีก พนักงานเจ้าหน้าท่ี
จะต้องนาข้อเท็จจริงตามคาพิพากษาฉบับดังกล่าวมาประกอบการพิจารณาดาเนินการออกโฉนดที่ดินให้แก่
นายชยั สิน ด้วยหรอื ไม่
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมท่ีดิน คร้ังท่ี ๘/๒๕๔๐ เมื่อวันที่ ๓๐
ตุลาคม ๒๕๔๐ (วาระที่ ๔.๑)
เมื่อที่ดินบริเวณที่นายสินชัยขอออกโฉนดท่ีดิน ศาลฎีกาได้ฟังข้อเท็จจริงเป็นที่ยตุ ิแล้วว่าเป็นท่ีดิน
อยู่นอกการครอบครองของพระพิทักษ์ชินประชา (เจ้าของท่ีดินเดิม) ซึ่งมีบางส่วนทับหาดแสนสุขและทะเล
(หาดโคลน) อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และมิใช่ท่ีดินที่ทายาทของพระพิทักษ์ชินประชาได้โอนขาย
ให้กับนายสินชัย พนักงานเจ้าหน้าท่ีก็ชอบท่ีจะนาข้อเท็จจริงตามคาพิพากษาศาลฎีกาฉบับดังกล่าว
มาประกอบการพจิ ารณาดาเนินการออกโฉนดทด่ี นิ ในบริเวณดังกลา่ วดว้ ย
ความเห็นกรมที่ดนิ เหน็ ชอบ
- ๔4๓3- -
เรอื่ งที่ ๓๖ หารือการออกใบแทนโฉนดที่ดนิ เพอ่ื จดทะเบียนลงชอื่ รว่ มในโฉนดทดี่ นิ
เรือ่ งเสร็จท่ี ๒/๒๕๔๑
ประเด็นพจิ ารณา
เม่ือศาลฎีกาได้มีคาพิพากษาให้นายเสวก จดทะเบียนใส่ชื่อนางวราภรณ์ เป็นเจ้าของ
กรรมสิทธ์ิร่วมกับนายเสวก ในโฉนดที่ดินเลขท่ี ๑๑๙๒๑๒ ตาบลลาดพร้าว อาเภอบางกะปิ แล้วต่อมา
เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดโฉนดท่ีดินฉบับนีไว้ในคดีแพ่งเรื่องอื่น และได้มีการขายทอดตลาดท่ีดินแปลงนี
โดยนางวราภรณ์ ได้ทาสัญญาประนีประนอมยอมความยอมรับเงินบางส่วนจากการขายทอดตลาด ดังนี
นางวราภรณ์จะนาคาพิพากษาศาลฎีกา พร้อมสาเนาแจ้งความว่าโฉนดท่ีดินสูญหายมาขอออกใบแทนโฉนดที่ดิน
เพื่อจดทะเบยี นลงช่อื รว่ มในโฉนดท่ีดนิ ฉบบั ดงั กล่าวได้หรอื ไม่
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมท่ีดิน ครั้งท่ี ๑/๒๕๔๑ เมื่อวันท่ี ๓๐
มกราคม ๒๕๔๑ (วาระท่ี ๔.๑)
การที่นางวราภรณ์ กับนายเสวก ได้ทาสัญญาประนีประนอมยอมความในศาลแพ่ง
คดีหมายเลขแดงท่ี ๑๐๒๗๙/๒๕๓๗ โดยนางวราภรณ์ยอมรับเงินบางส่วนจากการขายทอดตลาดโฉนดที่ดิน
เลขที่ ๑๑๙๒๑๒ ตาบลลาดพร้าว อาเภอบางกะปิ ย่อมมีผลให้สิทธิเรียกร้องตามคาพิพากษาศาลฎีกา
ท่ี ๖๗๑๑/๒๕๓๗ ซึ่งพิพากษาให้นายเสวกจดทะเบียนใส่ช่ือนางวราภรณ์เป็นเจ้าของกรรมสิทธ์ิร่วมกับ
นายเสวกในโฉนดที่ดินดังกลา่ วระงับสินไปและเกดิ ผลผูกพันกันตามสัญญาประนีประนอมยอมความ กรณีจึงถอื ไม่ได้ว่า
นางวราภรณ์เป็นผู้มีสิทธิจดทะเบียนตามคาพิพากษาของศาล ตามความในกฎกระทรวง ฉบับท่ี ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗)
ข้อ ๑๗ (๓) ดังนัน นางวราภรณ์จะนาคาพิพากษาศาลฎีกา พร้อมสาเนาแจ้งความว่าโฉนดที่ดินสูญหาย
มาขอออกใบแทนโฉนดทีด่ ินเพ่ือจดทะเบยี นลงชือ่ ร่วมในโฉนดท่ดี ินฉบับดังกล่าวหาได้ไม่
ความเหน็ กรมทดี่ นิ เหน็ ชอบ
--๔4๔4- -
เร่ืองที่ ๓๗ ประกาศกาหนดวันแจกโฉนดทด่ี ิน ตามมาตรา ๕๘ ตรี แห่งประมวลกฎหมายที่ดนิ
เรือ่ งเสรจ็ ท่ี ๑๗/๒๕๔๑
ประเด็นพจิ ารณา
นางสารวยได้นาท่ีดิน น.ส. ๓ ก. เลขท่ี ๑๕๘ ตาบลโคกมั่งงอย อาเภอคอนสวรรค์ จังหวัดชัยภูมิ
มาทาการสารวจรังวัดเพื่อออกโฉนดที่ดินตามมาตรา ๕๘ แหง่ ประมวลกฎหมายท่ีดนิ แล้ว (วันท่ี ๒๖ มีนาคม ๒๕๓๙)
ต่อมาพนักงานเจ้าหน้าท่ีนาท่ีดินดังกล่าวมาดาเนินการออกโฉนดท่ีดินตามมาตรา ๕๘ ตรี แห่งประมวล
กฎหมายที่ดินอีก (วันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๓๙) โฉนดที่ดินที่ออกตามมาตรา ๕๘ ตรี จะถือว่าออกไป
โดยชอบดว้ ยกฎหมายหรือไม่
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมท่ีดิน ครั้งท่ี ๗/๒๕๔๑ เมื่อวันท่ี ๑๓
พฤศจกิ ายน ๒๕๔๑ (วาระที่ ๔.๒)
เมื่อเจ้าพนักงานท่ีดินประกาศกาหนดวันแจกโฉนดท่ีดินเลขท่ี ๑๘๕๖๘ อาเภอคอนสวรรค์
จังหวัดชัยภมู ิ ซึ่งออกตามมาตรา ๕๘ ตรี แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน เมอื่ วันที่ ๑๑ กนั ยายน ๒๕๔๐ น.ส. ๓ ก.
เลขท่ี ๑๕๘ ตาบลโคกมั่งงอย อาเภอคอนสวรรค์ จังหวัดชัยภูมิ ที่ใช้เป็นหลักฐานในการออกโฉนดท่ีดินเลขที่
ดังกล่าวย่อมถูกยกเลิกตังแต่วันกาหนดแจกโฉนดท่ีดิน ตามนัยมาตรา ๕๘ ตรี วรรคห้า แห่งประมวลกฎหมายท่ีดิน
ดังนัน การที่เจ้าพนักงานท่ีดินออกโฉนดที่ดินเลขท่ี ๒๑๓๗๘ อาเภอคอนสวรรค์ จังหวัดชัยภูมิ ตามมาตรา ๕๘
แหง่ ประมวลกฎหมายที่ดิน โดยอาศยั น.ส. ๓ ก. ฉบบั เดยี วกันใหก้ ับนางสารวจ เมื่อวันท่ี ๙ มกราคม ๒๕๔๑ อันเป็น
ระยะเวลาท่ี น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๕๘ ได้ยกเลิกและที่ดินดังกล่าวได้มีการออกเป็นโฉนดที่ดินไปแล้ว จึงมีผลให้
การออกโฉนดท่ดี นิ เลขท่ี ๒๑๓๗๘ อาเภอคอนสวรรค์ จังหวดั ชยั ภมู ิ ออกไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ความเหน็ กรมท่ีดิน เห็นชอบ
-- ๔4๕5- -
เร่ืองที่ ๓๘ หารอื เร่ืองหนังสอื แสดงสทิ ธใิ นท่ดี ินทีอ่ อกบรเิ วณทีม่ ีความลาดชันเกิน ๓๕%
เรือ่ งเสร็จที่ ๔/๒๕๔๑
ประเด็นพจิ ารณา
กรณหี นังสอื แสดงสทิ ธิในที่ดินที่ออกบรเิ วณที่มีความลาดชันเกนิ ๓๕% จะชอบดว้ ยกฎหมายหรอื ไม่
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมที่ดิน ครั้งท่ี ๒/๒๕๔๑ เมื่อวันท่ี ๔
พฤศจกิ ายน ๒๕๔๑ (วาระท่ี ๔.๑)
ตามข้อ ๑๗ ของนโยบายป่าไม้แห่งชาติที่กาหนดให้พืนที่ท่ีมีความลาดชันโดยเฉล่ีย ๓๕%
ขึนไปเป็นพืนท่ีป่าไม้โดยไม่อนุญาตให้มีการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทาประโยชน์ตามประมวล
กฎหมายที่ดิน หากคณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบตามนัยดังกล่าวแล้ว ถือได้ว่าพืนท่ีดังกล่าวเป็นพืนท่ี
ต้องห้ามมิให้ออกโฉนดท่ีดินตามข้อ ๘ (๒) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๔๙๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติ
ให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ และข้อ ๑๔ (๕) แห่งกฎกระทรวง ฉบับท่ี ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตาม
ความในพระราชบญั ญัตใิ หใ้ ชป้ ระมวลกฎหมายท่ีดิน พ.ศ. ๒๔๙๗
ความเหน็ กรมทด่ี ิน เหน็ ชอบ
--๔4๖6- -
เรือ่ งที่ ๓๙ หารือการร้องเรียนขอความเป็นธรรม กรณีนาที่ดินของโรงเรียนไปออกหนังสือรับรองการทาประโยชน์
โดยมิชอบ
เรือ่ งเสรจ็ ท่ี ๑๑/๒๕๔๑
ประเดน็ พจิ ารณา
ท่ีดินตาม น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๑, ๑๒ และ น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๘๕๑ ตาบลกระโสบ อาเภอเมืองฯ
ซ่ึงเป็นท่ีตังโรงเรียน บ้านพักนักการภารโรง และที่สงวนไว้เพ่ือปลูกสร้างโรงเรียน เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๐ เป็นสาธารณสมบัติ
ของแผ่นดนิ หรือไม่
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมท่ีดิน ครั้งที่ ๒/๒๕๔๑ เมื่อวันท่ี ๔
พฤศจิกายน ๒๕๔๑ (วาระที่ ๔.๔)
๑. การหวงห้ามท่ีดินรกรา้ งว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหลังจากที่พระราชบัญญัติ
ว่าด้วยการหวงห้ามท่ดี ินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดนิ พ.ศ. ๒๔๗๘ ใชบ้ งั คบั และกอ่ นวนั ท่ี
ประมวลกฎหมายท่ีดินมีผลใช้บังคับจะต้องดาเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการ หวงห้ามท่ีดินรกร้าง
ว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ. ๒๔๗๘ กล่าวคือจะต้องออกเป็นพระราชกฤษฎีกาประกาศใน
ราชกิจจานุเบกษา ดังนัน เม่ือข้อเท็จจริงปรากฏว่านายเทียบบุญลี ศึกษาธิการอาเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี
ได้แจ้งสงวนไว้ตาม ส.ค.๑ เลขที่ ๑ หมู่ที่ ๗ ตาบลกระโสบ อาเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี
ลงวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๘ ว่าสงวนไว้เพื่อปลูกสร้างโรงเรียนโดยมิได้ดาเนินการตามกฎหมายดังกล่าวข้างต้น
การสงวนของนายเทยี บบุญลีจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต้องถือว่ามิได้มีการสงวนหวงห้ามท่ีดินตาม ส.ค.๑ เลขที่ ๑
แต่อย่างใด ประกอบกับทางราชการมิได้เข้าไปใช้ประโยชน์ในที่ดินตามวัตถุประสงค์ ที่ดินแปลงนี
จึงยังไม่ตกเป็นท่ีราชพัสดุ ทังนี โดยเทียบเคียงตามแนวคาวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกา เม่ือวันท่ี ๑๗
มิถุนายน ๒๕๓๔ ซ่ึงวินิจฉัยว่า ท่ีดินรกร้างว่างเปล่าที่ได้หวงห้ามไว้เพ่ือประโยชน์ของส่วนราชการที่จะถือได้ว่า
เป็นท่ีราชพัสดุนันจะต้องเป็นท่ีดินท่ีส่วนราชการได้เข้าไปใช้ประโยชน์ตามความประสงค์ที่ หวงห้ามนันแล้ว
ซ่ึงตรงกับทรัพย์สินใช้เพ่ือประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะตามมาตรา ๑๓๐๔ (๓) แห่งประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิชย์ ส่วนที่ดินรกร้างว่างเปล่าท่ีหวงห้ามไว้เพื่อประโยชน์ของส่วนราชการและส่วนราชการยังไม่ได้เข้า
ไปใช้ประโยชน์ ยังคงมีสภาพเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าต่อไป และไม่เป็นท่ีราชพัสดุ ดังนัน การท่ีนายประสิทธ์ิ
ได้เข้าครอบครองทาประโยชน์ที่ดินตาม ส.ค.๑ เลขท่ี ๑ และนาเดินสารวจออกเป็น น.ส. ๓ ก. เลขท่ี ๑๘๕๑
โดยอ้างว่าไม่มีหลักฐานและได้ก่นสร้างมาด้วยตนเองนัน จึงเป็นการเข้าครอบครองทาประโยชน์ภายหลังจากท่ี
ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับแล้วเป็นบุคคลตามมาตรา ๕๘ ทวิ วรรคสอง (๓) แห่งประมวลกฎหมายท่ีดิน
มีผลให้ น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๘๕๑ จะต้องถูกห้ามโอนมีกาหนดสิบปีนับแต่วันท่ีนายประสิทธ์ิได้รับ น.ส. ๓ ก.
ดังกล่าวตามมาตรา ๕๘ ทวิ วรรคห้า จึงให้จังหวัดดาเนินการประทับตราห้ามโอนใน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๘๕๑
ให้ถูกต้องตามกฎหมายต่อไป นอกจากนัน การท่ีนายเทียบบุญลี ศึกษาธิการอาเภอเมืองอุบลราชธานี ได้แจ้ง
การครอบครอง ส.ค.๑ โดยมิได้เป็นผู้ครอบครองและทาประโยชน์ในที่ดินมาก่อนวันท่ีประมวลกฎหมายท่ีดิน
ใช้บังคับ (๑ ธนั วาคม ๒๔๙๗) การแจง้ ส.ค.๑ ดงั กล่าวจึงไม่ชอบดว้ ยกฎหมาย ให้จังหวดั ดาเนินการจาหนา่ ย ส.ค.๑
เลขที่ ๑ ออกจากทะเบียนการครอบครองท่ีดินดว้ ย
-- ๔4๗7- -
๒. น.ส. ๓ เลขที่ ๑๒ หมู่ที่ ๗ ตาบลกระโสม อาเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี
เดิมนายประสิทธ์ิ ได้แจ้งการครอบครองไว้ตาม ส.ค.๑ เลขที่ ๑๒ หมู่ท่ี ๗ ตาบลกระโสบ อาเภอเมือง
อุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานีแล้วนายประสิทธ์ิ ได้ยกท่ีดินตาม ส.ค.๑ ดังกล่าวให้เป็นท่ีตังโรงเรียน
บ้านโนนบ่อหวายดินดาแล้ว ท่ีดินจึงตกเป็นที่ราชพัสดุเนื่องจากการโอนไปซ่ึงการครอบครองนันย่อมทาได้โดย
การส่งมอบทรัพย์สินที่ครอบครองตามมาตรา ๑๓๗๘ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ อีกทังทางราชการ
ไดเ้ ข้าใชป้ ระโยชนแ์ ลว้ ดงั นนั การท่นี าท่ีดนิ ตาม ส.ค.๑ เลขท่ี ๑๒ มาออกเป็น น.ส. ๓ เลขท่ี ๑๒ หมู่ท่ี ๗ ตาบลกระโสบ
อาเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีชื่อนายประสิทธ์ิเป็นเจ้าของ จึงเป็นการออก น.ส. ๓.
ไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต้องดาเนินการเพิกถอน น.ส. ๓ เลขท่ี ๑๒ ดังกล่าว ตามมาตรา ๖๑ แห่งประมวล
กฎหมายท่ดี นิ ต่อไป
๓. น.ส. ๓ เลขท่ี ๑๑ หมู่ท่ี ๗ ตาบลกระโสบ อาเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี
ซึ่งมีช่ือนายประสิทธิ์เป็นเจ้าของนัน ข้อเท็จจริงเก่ียวกับการใช้ประโยชน์ยังไม่เป็นท่ียุติ อีกทังมีการโต้แย้งสิทธิ
กนั ระหว่างนายประสิทธิ์กับโรงเรยี นบ้านโนนบอ่ หวายดนิ ดา ในชันนีจึงยังไม่ควรพิจารณาเพิกถอน น.ส. ๓ เลขที่ ๑๑
และควรแจ้งใหค้ ่กู รณไี ปวา่ กล่าวฟอ้ งรอ้ งต่อศาลเพ่ือพสิ ูจน์สทิ ธใิ นทด่ี นิ ดังกล่าวตอ่ ไป
นายอรรถพร ทองประไพ (รองอธิบดีกรมท่ีดิน) มีบัญชาว่า ส.ค.๑ เลขที่ ๑ ผู้แจ้งมิได้เป็น
ผู้ครอบครองและทาประโยชน์ในที่ดินมาก่อนวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๔๙๗ จึงเป็นการแจ้ง ส.ค.๑ โดยไม่ชอบด้วย
กฎหมายตอ้ งให้จังหวัดดาเนินการจาหน่าย ส.ค.๑ เลขที่ ๑ นีออกจากทะเบยี นฯ ด้วย
ความเห็นกรมทีด่ ิน เหน็ ชอบ โดยเพมิ่ ข้อเสนอท่านรองฯ อรรถพรฯ ดว้ ย
--๔4๘8- -
เรอื่ งที่ ๔๐ ราษฎรเรียกรอ้ งใหท้ างราชการออกเอกสารสทิ ธิที่ดนิ ในเขตสุขาภิบาลซง่ึ อย่ใู นเขตปฏิรปู ท่ดี ิน
เรอื่ งเสร็จท่ี ๖/๒๕๔๒
ประเดน็ พิจารณา
มาตรา ๒๕ แห่งพระราชบัญญัติการปฏิรูปท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ แก้ไขเพิ่มเติม
โดยพระราชบัญญัติการปฏิรูปท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๒ ท่ีบัญญัติว่า “...ในกรณีที่ถือ
เขตตาบลหรืออาเภอเป็นเขตปฏิรูปท่ีดินให้หมายถึงเฉพาะที่ตังอยู่นอกเขตเทศบาลหรือสุขาภิบาล” นัน มีผล
ย้อนหลงั ถึงกรณีท่มี ีการประกาศเขตปฏิรปู ท่ีดนิ ก่อนพระราชบัญญัติการปฏริ ูปท่ีดนิ เพือ่ เกษตรกรรม (ฉบบั ที่ ๓)
พ.ศ. ๒๕๓๒ มีผลใช้บังคับหรือไม่ และจะออกเอกสารสิทธิให้แก่ราษฎรในเขตสุขาภิบาล ซ่ึงอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดิน
ดงั กลา่ วหรอื ไม่
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมท่ีดิน คร้ังท่ี ๓/๒๕๔๒ เม่ือวันท่ี ๑๖
กมุ ภาพันธ์ ๒๕๔๒ (วาระที่ ๒.๒)
มาตรา ๒๕ แห่งพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม
โดยพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพ่ือเกษตรกรรม (ฉบับท่ี ๓) พ.ศ. ๒๕๓๒ ท่ีบัญญัติว่า...ในกรณีท่ีถือ
เขตตาบลหรืออาเภอเป็นเขตปฏิรูปที่ดินให้หมายถึงเฉพาะที่ตังอยู่นอกเขตเทศบาลหรือสุขาภิบาลนัน
กฎหมายมิได้บัญญัติให้มาตรานีมีผลบังคับย้อนหลังด้วย การใช้บังคับย่อมมีผลเฉพาะกรณีประกาศเขตปฏิรูปที่ดิน
หลังจากพระราชบัญญัติการปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๒ มีผลใช้บังคับแล้วเท่านัน
จึงไม่มีผลย้อนหลังถึงกรณีท่ีมีการประกาศเขตปฏิรูปท่ีดินก่อนมีการแก้ไขกฎหมายดั งกล่าวข้างต้นแต่อย่างใด
ดังนัน กรณีนีเม่ือได้มีการประกาศให้อาเภอห้วยผึง จังหวัดกาฬสินธุ์ เป็นเขตปฏิรูปท่ีดินทังอาเภอก่อนที่
พระราชบัญญัติการปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๒ มีผลใช้บังคับ พนักงานเจ้าหน้าท่ี
จึงไม่สามารถออกเอกสารสิทธิให้แก่ราษฎรในเขตสุขาภิบาลห้วยผึงซึ่งอยู่ในเขตปฏิรูปท่ีดินดังกล่าวได้ ถ้าไม่ได้แจ้ง
การครอบครองตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ หรือมิได้แจ้งความประสงค์
จะได้สิทธิในท่ีดนิ ตามมาตรา ๒๗ ตรี แหง่ ประมวลกฎหมายที่ดิน ไวก้ อ่ นมีการกาหนดเขตปฏริ ปู ท่ีดิน กรณีเชน่ นี
สานักงานการปฏิรูปท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรมได้พิจารณาและมีความเห็นไว้ทานองเดียวกัน ตามหนังสือสานักงาน
การปฏริ ูปท่ีดนิ เพอื่ เกษตรกรรม ด่วนทสี่ ุด ท่ี กษ ๑๐๒๕/๑๐๒๖๖ ลงวนั ที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๓๙
ความเห็นกรมทด่ี นิ เห็นชอบ
- ๔4๙9- -
เรอื่ งท่ี ๔๑ การออกโฉนดทด่ี ินทบั ท่ีดินในเขตสมั ปทานบตั ร
เรื่องเสรจ็ ท่ี ๑๒/๒๕๔๒
ประเด็นพจิ ารณา
ท่ีดนิ ในเขตสัมปทานบตั รจะออกโฉนดทด่ี นิ ได้หรือไม่
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมที่ดิน คร้ังที่ ๕/๒๕๔๒ เม่ือวันที่ ๗
กรกฎาคม ๒๕๔๒ (วาระท่ี ๔.๔)
เห็นว่าที่ดินในเขตสัมปทานบัตรอาจมีทังที่ดินที่พลเมืองใช้ประโยชน์ร่วมกัน ท่ีราชพัสดุ
ท่ีรกร้างว่างเปล่า และที่ดินท่ีบุคคลมีกรรมสิทธ์ิหรือสิทธิครอบครอง บุคคลอาจเป็นผู้ได้รับประทานบัตรหรือ
ผอู้ ่นื ทีย่ ินยอมให้ผไู้ ดร้ บั ประทานบัตรทาเหมอื งผา่ นที่ดินของตน
ท่ีดินที่บุคคลมีสิทธิครอบครองจึงออกโฉนดที่ดินได้ไม่ว่าประทานบัตรจะหมดอายุแล้วหรือ
ยังไม่หมดอายุ
ที่ดินรกร้างว่างเปล่าเมื่อประทานบัตรหมดอายุแล้ว ที่นันก็เป็นท่ีรกร้างว่างเปล่า ถ้าประทานบัตร
หมดอายุตังแต่วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๔๙๗ ผู้เข้าครอบครองก็ฝ่าฝืนมาตรา ๙ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน
นาเดินสารวจห้ามโอนได้ อย่างไรก็ตามการออกโฉนดท่ีดินในเขตประทานบัตรที่ยังไม่หมดอายุจานวน ๒๗ แปลง
จะถือว่าออกไปโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ย่อมขึนอยู่กับข้อเท็จจริง ดังนัน ควรตรวจสอบข้อเท็จจริงเร่ืองนี
ให้เปน็ ท่ียตุ ิแล้วพิจารณาเปน็ ราย ๆ ไป
ความเหน็ กรมทดี่ ิน เหน็ ชอบ
--๕5๐0- -
เรื่องท่ี ๔๒ การเดนิ สารวจออกโฉนดทดี่ นิ ในเขตโครงการจัดรปู ทีด่ นิ เพื่อเกษตรกรรม
เร่อื งเสรจ็ ท่ี ๕/๒๕๔๓
ประเดน็ พจิ ารณา
๑. ผู้ครอบครองที่ดนิ ในเขตจดั รปู ทดี่ ินโดยไม่มีหลกั ฐานที่ดนิ ถอื เป็นผู้ครอบครองโดยชอบด้วย
กฎหมายตามมาตรา ๒๔ แห่งพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพ่ือเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๗ หรือไม่ ถ้าไม่เป็นที่ดินนัน
จะตกเปน็ ทรัพย์สนิ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตามมาตรา ๔๓ (๒) หรอื ไม่
๒. หนังสือกรมท่ีดิน ที่ มท ๐๗๐๗/ว ๑๐๗๕๓ ลงวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๒๗ กาหนด
แนวทางปฏิบตั ไิ ว้วา่ มาตรา ๓๐ แห่งพระราชบัญญัติจดั รูปทดี่ ินเพ่ือเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๗ ไดย้ กเว้นอานาจ
หน้าท่ีของพนักงานเจ้าหน้าท่ีตามประมวลกฎหมายท่ีดิน เจ้าพนักงานที่ดินจะต้องออกให้ตามรายช่ือและ
แผนผังท่ีหัวหน้าสานักงานจัดรูปที่ดินจังหวัดแจ้งมา ดังนัน หากสานักงานจัดรูปที่ดินกลางแจ้งว่าไม่ขัดข้อง
ที่กรมท่ีดินจะออกเอกสารสิทธิให้แก่ราษฎรท่ีครอบครองอยู่ในเขตก่อสร้างจัดรูปที่ดินโดยไ ม่มีหลักฐานท่ีดิน
(หนังสือกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ท่ี กษ ๐๒๑๔/๒๑๘๙๔ ลงวันท่ี ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๔๐) เจ้าพนักงานที่ดิน
จะออกเอกสารสิทธใิ หก้ บั ราษฎรดังกล่าวได้หรอื ไม่
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมที่ดิน ครั้งที่ ๑/๒๕๔๓ เม่ือวันที่ ๑๙
มกราคม ๒๕๔๓ (วาระท่ี ๔.๑)
บทบัญญัติตามมาตรา ๕๘ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ซ่ึงแก้ไขเพ่ิมเติมโดยพระราชบัญญัติ
แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายท่ีดิน (ฉบับท่ี ๔) พ.ศ. ๒๕๒๘ มิได้กาหนดห้ามมิให้เดินสารวจออกโฉนดที่ดิน
ในเขตโครงการจัดรูปที่ดินเพ่ือเกษตรกรรม ประกอบกับเม่ือข้อเท็จจริงเรื่องนีปรากฏว่ากระทรวงเกษตรและ
สหกรณ์แจ้งให้กรมท่ีดินทราบว่าพระราชกฤษฎีกากาหนดเขตจัดรูปที่ดินไม่มีผลทาให้เจ้าของที่ดินหรือผู้มีสิทธิ
ได้รับท่ีดินต้องเสียสิทธิในท่ีดินแต่อย่างใด (คาพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๑๒๔/๒๕๒๓) และที่ดินภายในเขตโครงการ
จัดรูปท่ีดินกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีอานาจออกหนังสือแสดงสิทธิในท่ีดินท่ีมีการก่อสร้างจัดรูปท่ีดินกับท่ีดิน
ที่ไม่ได้ก่อสร้างจัดรูปท่ีดินแต่ได้รับผลกระทบจากการดาเนินการจัดรูปท่ีดินเท่านัน ส่วนท่ีดินนอกเหนือจากนี
การออกหนังสือแสดงสิทธิในท่ีดินต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายท่ีดิน (หนังสือกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ท่ี กษ ๐๒๑๔/๒๑๗๗๖ ลงวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๔๒) ดังนัน ที่ดินในเขตโครงการจัดรูปที่ดินแต่อยู่นอกเขต
ก่อสร้างจัดรูปที่ดินหรือที่ดินนอกเขตท่ีได้รับผลกระทบจากการดาเนินการจัดรูปที่ดินพนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมมี
อานาจเดนิ สารวจออกโฉนดท่ีดินใหแ้ กผ่ ู้ครอบครองและทาประโยชน์ในทด่ี ินตามประมวลกฎหมายที่ดินได้
ความเหน็ กรมที่ดิน เห็นชอบ
- ๕5๑1- -
เรอื่ งที่ ๔๓ ผูน้ าเดนิ สารวจขายที่ดินให้แก่ผ้อู น่ื
เรื่องเสรจ็ ที่ ๘/๒๕๔๓
ประเดน็ พิจารณา
เมอื่ ผู้ครอบครองและทาประโยชน์ในที่ดนิ ได้นาเดินสารวจออกหนังสอื รับรองการทาประโยชน์
(น.ส. ๓ ก.) ไว้กับพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว ต่อมาผู้นาเดินสารวจได้ขายท่ีดินดังกล่าวให้กับบุคคลอื่น หนังสือ
รับรองการทาประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ที่พนักงานเจ้าหน้าที่ออกในนามผู้นาเดินสารวจจะถือว่าออกไปโดยชอบ
ดว้ ยกฎหมายไม่
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมท่ีดิน คร้ังที่ ๒/๒๕๔๓ เมื่อวันที่ ๒
พฤษภาคม ๒๕๔๓ (วาระที่ ๔.๓)
ทปี่ ระชุมมคี วามเหน็ เป็น ๒ ฝา่ ย ดังนี
ฝ่ายที่หน่ึง (๗ เสียง) เห็นว่าเม่ือมาตรา ๕๘ วรรคสาม แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน บัญญัติ
ให้บุคคลตามมาตรา ๕๘ ทวิ วรรคสอง หรือตัวแทนบุคคลดังกล่าวนาพนักงานเจ้าหน้าท่ีหรือผู้ซ่ึงพนักงาน
เจ้าหน้าท่ีมอบหมายสารวจรังวัดทาแผนที่หรือพิสูจน์สอบสวนการทาประโยชน์ในทด่ี ินของตนตามวันและเวลา
ที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้นัดหมาย และมาตรา ๕๘ วรรคแรก แห่งประมวลกฎหมายท่ีดิน บัญญัติให้พนักงาน
เจ้าหน้าที่ออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทาประโยชน์เม่ือได้สารวจรังวัดทาแผนที่หรือพิสูจน์สอบสวน
การทาประโยชน์ในท่ีดินตามมาตรา ๕๘ แล้ว ย่อมแสดงให้เห็นได้ว่าถ้าบุคคลตามมาตรา ๕๘ ทวิ วรรคสอง
เป็นผู้ครอบครองและทาประโยชน์ในขณะเดินสารวจและได้มีการสารวจรังวัดทาแผนท่ีหรือพิ สูจน์สอบสวน
การทาประโยชน์เสร็จแล้ว พนักงานเจ้าหน้าท่ีก็ต้องพิจารณาดาเนินการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรอง
การทาประโยชน์ให้กับผู้นาเดินสารวจเท่านัน ดังนัน การที่ผู้ครอบครองและทาประโยชน์ในท่ีดินได้นาเดินสารวจ
พิสูจน์สอบสวนการทาประโยชน์ไว้กับพนักงานเจ้าหน้าท่ีแล้ว แม้ต่อมาผู้นาเดินสารวจจะได้ขายที่ดินแปลงดังกล่าว
ให้กับบุคคลอ่นื ไปแล้วก็ตาม หนังสือรับรองการทาประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ที่พนักงานเจ้าหน้าท่ีออกในนามผู้นา
เดินสารวจย่อมถือได้ว่าออกไปโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ส่วนการที่ผู้นาเดินสารวจได้โอนขายที่ดินแปลง
ดังกล่าวให้กับผู้ร้องไปแล้ว และมีการโต้แย้งสิทธิในที่ดินกัน ผู้ร้องก็ชอบที่จะต้องไปใช้สิทธิทางศาล
วา่ กล่าวเอากบั ผขู้ าย (ผู้นาเดนิ สารวจ) ต่อไป
ฝ่ายที่สอง (๓ เสียง) เห็นว่า ขณะท่ีพนักงานเจ้าหน้าท่ีออกหนังสือรับรองการทาประโยชน์
(น.ส. ๓ ก.) ให้กับผู้นาเดินสารวจ (ผู้ครอบครองทาประโยชน์เดิม) ผู้นาเดินสารวจมิใช่ผู้ครอบครองและ
ทาประโยชน์ในที่ดินในขณะออกหนงั สือรับรองการทาประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) แตบ่ ุคคลอนื่ เป็นผูค้ รอบครองและ
ทาประโยชน์ในท่ีดิน ดังนัน เมื่อผู้นาเดินสารวจมิใช่ผู้ครอบครองและทาประโยชน์ในที่ดินตามมาตรา ๕๘ ทวิ
แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ประกอบกับข้อ ๕ แห่งกฎกระทรวง ฉบับท่ี ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความใน
พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ พนักงานเจ้าหน้าที่จึงไม่อาจออกหนังสือรับรอง
การทาประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ให้กับผู้นาเดินสารวจได้ การท่ีพนักงานเจ้าหน้าที่ออกหนังสือรับรองการทาประโยชน์
(น.ส. ๓ ก.) ใหก้ ับผูน้ าเดินสารวจจงึ เป็นการออกไปโดยไม่ชอบดว้ ยกฎหมาย แมผ้ ู้นาเดนิ สารวจจะได้รับหนังสือ
--๕5๒2- -
รับรองการทาประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ก็ไม่ก่อให้เกิดสิทธิครอบครองในที่ดินเพราะผู้นาเดินสารวจไม่ใช่เจ้าของท่ีดิน
(เทียบเคียงตามนยั คาพพิ ากษาศาลฎีกาท่ี ๑๗๕๘/๒๕๑๓ และ ๓๒๘๗/๒๕๓๒)
ความเหน็ กรมท่ีดนิ เหน็ ชอบกับฝ่ายที่หนึ่ง
- ๕5๓3- -
เรอื่ งที่ ๔๔ การนา ส.ค.๒ มาขอออกหนังสือแสดงสิทธใิ นทีด่ ิน ตามประมวลกฎหมายทดี่ ิน
เรอื่ งเสรจ็ ที่ ๑๑/๒๕๔๓
ประเด็นพจิ ารณา
ในกรณีท่ีผู้ครอบครองและทาประโยชน์ในท่ีดินอยู่ก่อนวันท่ีประมวลกฎหมายท่ีดินใช้บังคับ
โดยไม่มีหนงั สือสาคัญแสดงกรรมสิทธิ์ท่ีดิน และมไิ ด้แจง้ การครอบครองตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบญั ญัติให้ใช้
ประมวลกฎหมายท่ีดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ ได้แจ้งความประสงค์จะได้สิทธิในที่ดิน (ส.ค.๒) ตามมาตรา ๒๗ ตรี
แห่งประมวลกฎหมายท่ีดิน ในเขตป่าสงวนแห่งชาติและเขตป่าไม้ถาวร และต่อมาได้มีการเพิกถอนและจาแนก
พืนที่บริเวณดังกล่าวออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติและเขตป่าไม้ถาวรเพ่ือมอบให้สานักงานการปฏิรูปที่ดิน
เพื่อเกษตรกรรมดาเนินการตามโครงการพัฒนาการในเขตปฏิรูปท่ีดิน พนักงานเจ้าหนา้ ทีจ่ ะนา ส.ค.๒ ดังกล่าว
มาใชเ้ ปน็ หลกั ฐานในการออกหนงั สือแสดงสทิ ธใิ นท่ีดินตามประมวลกฎหมายท่ีดินได้หรือไม่
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมที่ดิน ครั้งท่ี ๓ /๒๕๔๓ เม่ือวันท่ี ๑๙
พฤษภาคม ๒๕๔๓ (วาระที่ ๔.๓)
เม่ือเขตจังหวัดท่ีรัฐมนตรีประกาศกาหนดให้ทาการสารวจรังวัดทาแผนที่หรือพิสูจน์สอบสวน
การทาประโยชน์เพื่อออกโฉนดท่ีดินหรือหนังสือรับรองการทาประโยชน์ตามมาตรา ๕๘ แห่งประมวลกฎหมายท่ีดิน
ไม่รวมท้องท่ีที่ทางราชการได้จาแนกให้เป็นเขตป่าไม้ถาวร ที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติหรือเขตป่าไม้ถาวร
ย่อมไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะแจ้งการครอบครองท่ีดิน (ส.ค.๒) ตามมาตรา ๒๗ ตรี แห่งประมวลกฎหมายที่ดินได้
ดังนัน การท่ีผู้ครอบครองและทาประโยชน์ในที่ดินอยู่ก่อนวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับโดยไม่มีหนังสือ
แสดงกรรมสิทธิ์ทีด่ นิ และมิไดแ้ จง้ การครอบครองตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายทด่ี ิน
พ.ศ. ๒ ๔ ๙ ๗ นาที่ดินในเขตป่ าสงวนแห่งชาติหรือเขตป่าไม้ถาวรมาแจ้งการครอบครองที่ดิน
(ส.ค.๒) และต่อมาได้มีการเพิกถอนหรือจาแนกพืนท่ีบริเวณดังกล่าวออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติหรือเขตป่าไม้ถาวร
ผู้แจ้งการครอบครองที่ดินก็ไม่มีสิทธิใด ๆ ในท่ีดินนัน พนักงานเจ้าหน้าที่จึงไม่อาจนาหลักฐานการแจ้ง
การครอบครองที่ดิน (ส.ค.๒) ดังกล่าว มาใช้เป็นหลักฐานในการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทาประโยชน์
ตามประมวลกฎหมายที่ดินได้
ความเห็นกรมท่ีดิน เห็นชอบ
--๕5๔4- -
เรื่องท่ี ๔๕ การออกโฉนดท่ีดนิ โดยอาศัยหลกั ฐาน กสน. ๕
เร่ืองเสร็จท่ี ๕/๒๕๔๓
ประเด็นพิจารณา
การออกโฉนดท่ีดินท่ีอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยอาศัยหลักฐานหนังสือแสดงการทาประโยชน์
(กสน.๕) ซ่ึงออกตามพระราชบัญญัติจัดท่ีดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. ๒๕๑๑ จะต้องถือปฏิบัติตามกฎกระทรวง
ฉบับท่ี ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายท่ีดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ ข้อ ๑๖
หรือไม่
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมที่ดิน คร้ังท่ี ๓ /๒๕๔๓ เม่ือวันท่ี ๑๙
พฤษภาคม ๒๕๔๓ (วาระท่ี ๔.๔)
ที่ประชุมมีความเหน็ เปน็ ๒ ฝ่าย ดังนี
ฝ่ายท่ีหนึ่ง (๗ เสียง) เห็นว่าเมื่อพระราชกฤษฎีกาจัดตังนิคมสหกรณ์ในท้องท่ีอาเภอแม่แตง
จงั หวัดเชียงใหม่ พ.ศ. ๒๕๑๓ มีวัตถุประสงค์เป็นการจัดระบบเก่ียวกับสิทธิและการถือครองที่ดินให้แก่สมาชิก
นิคมสหกรณ์มีที่ตังเคหสถานและประกอบอาชีพเป็นหลักแหล่งตามมาตรา ๖ และมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติ
จัดที่ดินเพ่ือการครองชีพ พ.ศ. ๒๕๑๑ การออกกฎกระทรวง ฉบับท่ี ๔๙๓ (พ.ศ. ๒๕๑๕) ออกตามความ
ในพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๑๑ กาหนดเขตป่าสงวนแห่งชาติ “ป่าแม่แตง” ทับซ้อนท่ีดิน
ตามพระราชกฤษฎีกาจัดตังนิคมสหกรณ์ฯ ภายหลังจึงไม่มีผลทาให้ท่ีดินในเขตพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวตกเป็น
ป่าสงวนแห่งชาติ ดังนนั ถ้าทีด่ ินตามหลักฐานหนังสือแสดงการทาประโยชน์ (กสน.๕) ท่ีนามาขอออกโฉนดทด่ี ิน
ตามมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. ๒๕๑๑ แปลงใดไม่มีอาณาเขตติดต่อคาบเกี่ยวกับ
เขตป่าสงวนแห่งชาติ พนักงานเจ้าหนา้ ท่ีกส็ ามารถดาเนินการออกโฉนดที่ดินให้กับสมาชิกนคิ มสหกรณ์ต่อไปได้
โดยไม่ต้องแต่งตังคณะกรรมการร่วมกันออกไปตรวจพิสูจน์ท่ีดินตามข้อ ๑๐ (๓) ประกอบกับข้อ ๑๖ แห่งกฎกระทรวง
ฉบับท่ี ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗
ฝ่ายท่ีสอง (๓ เสียง) เห็นว่าเม่ือไม่ปรากฏว่าการกาหนดเขตป่าสงวนแห่งชาติ “ป่าแม่แตง”
ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๑๕) ออกตามความในพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗
มีการกันพืนที่ตามพระราชกฤษฎีกาจัดตังนิคมสหกรณ์ในท้องท่ีอาเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ. ๒๕๑๓
ออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติ “ป่าแม่แตง” ท่ีดินตามพระราชกฤษฎีกาจัดตังนิคมสหกรณ์ฯ ดังกล่าวย่อมตกเป็น
ป่าสงวนแห่งชาติตามมาตรา ๖ และมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ ประกอบกับ
การกาหนดให้พืนท่ีใดเป็นป่าสงวนแห่งชาติหรืออุทยานแห่งชาติอาจทับซ้อนกับที่ดินของรัฐประเภทอื่น ๆ ได้
และการกาหนดดังกล่าวก็ไม่เสียไป ซ่ึงเร่ืองทานองนีเทียบเคียงได้กับความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา
(กรรมการร่างกฎหมาย คณะท่ี ๓) เรื่อง การถอนสภาพท่ีดินสาธารณประโยชน์ และความเห็นของ
คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๖) เรื่อง หารือคณะกรรมการกฤษฎีกาเก่ียวกับมาตรา ๒๖ (๔)
แห่งพระราชบัญญัติการปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ ซึ่งแก้ไขเพ่ิมเติมโดยพระราชบัญญัติการปฏิรูป
ที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ฉบับท่ี ๓) พ.ศ. ๒๕๓๒ ดังนัน การที่สมาชิกนิคมสหกรณ์ฯ นาทดี่ ินตามหลักฐานหนังสือ
แสดงการทาประโยชน์ (กสน.๕) ซึ่งตังอยู่ในตาบลท่ีมีป่าสงวนแห่งชาติมาขอออกโฉนดที่ดินตามมาตรา ๑๑
แห่งพระราชบัญญัติจัดท่ีดินเพ่ือการครองชีพ พ.ศ. ๒๕๑๑ พนักงานเจ้าหน้าท่ีก็ต้องถือปฏิบตั ิตามกฎกระทรวง
ฉบับท่ี ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายท่ีดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ ข้อ ๑๐ (๓)
- ๕5๕5- -
ประกอบกับข้อ ๑๖ กล่าวคือ ผู้ว่าราชการจังหวัดต้องแต่งตังคณะกรรมการร่วมกันออกไปตรวจพิสูจน์ที่ดิน
และโดยท่ีกรณีนเี ป็นท่ีดินในเขตนิคมสหกรณ์เพื่อมิให้เกดิ ความเสียหายแกท่ างราชการควรแต่งตังเจ้าหน้าท่ีของ
กรมส่งเสรมิ สหกรณ์เป็นกรรมการร่วมด้วย
ความเหน็ กรมทด่ี นิ เหน็ ชอบกับฝ่ายท่หี น่งึ
เรอ่ื งท่ี ๔๖ - ๕๖ -
- 56 -
แต่งตังคณะกรรมการตรวจพสิ ูจน์ทด่ี ินกรณขี อออกหนังสอื รับรองการทาประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.)
ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ
เร่ืองเสร็จท่ี ๑๔/๒๕๔๓
ประเดน็ พจิ ารณา
ในกรณีท้องที่ใดไม่มีกรอบอัตรากาลังเจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดินอาเภอ ผู้ว่าราชการจังหวัด
จะแต่งตังพนักงานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายที่ดินเป็นกรรมการร่วมกันออกไปตรวจพิสูจน์ท่ีดิน ตามข้อ ๑๐ (๓)
แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายท่ีดิน
พ.ศ. ๒๔๙๗ แทนตาแหนง่ ดงั กล่าวได้หรอื ไม่
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมที่ดิน คร้ังที่ ๔/๒๕๔๓ เมื่อวันท่ี ๑๐
สิงหาคม ๒๕๔๓ (วาระที่ ๔.๔)
การที่ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตังคณะกรรมการร่วมกันออกไปตรวจพิสูจน์ที่ดินตามข้อ ๑๐ (๓)
แห่งกฎกระทรวง ฉบับท่ี ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗
จะมีผลไม่สมบูรณ์ต่อเมื่อที่ดินนันอยู่ในเขตท้องท่ีท่ีมีตาแหน่ง “เจ้าหน้าที่บริหารงานท่ีดินอาเภอ” แล้วมิได้
แต่งตังให้ผู้ดารงตาแหน่งดังกล่าวเป็นกรรมการร่วมด้วย สาหรับกรณีนีเป็นกรณีที่ที่ดินนันตังอยู่ในเขตท้องที่ท่ี
ไม่มีตาแหน่ง “เจ้าหน้าท่ีบริหารงานที่ดินอาเภอ” จึงเป็นผลให้ไม่มีตัวบุคคลให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตังให้ครบ
ตามองค์ประกอบที่กาหนดไว้ในกฎกระทรวงได้ อย่างไรก็ตาม กรณีเช่นนีผู้ว่าราชการจังหวัดอาจใช้ดุลยพินิจ
แต่งตงั พนกั งานเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายท่ดี ินเป็นกรรมการรว่ มดว้ ยตามทเ่ี ห็นสมควร
ความเห็นกรมทด่ี นิ เหน็ ชอบ
เรอ่ื งท่ี ๔๗ - ๕๗ -
- 57 -
การคัดค้านการรงั วดั สอบเขตโฉนดท่ดี ิน
เรือ่ งเสร็จที่ ๑๕/๒๕๔๓
ประเด็นพิจารณา
เม่อื มผี ู้คัดค้านการรังวัดสอบเขตโฉนดท่ีดิน โดยผูค้ ัดค้านมไิ ดม้ ีชื่อเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินขา้ งเคียง
แต่อ้างว่าเป็นทายาทของผู้มีสิทธิในท่ีดินข้างเคียงหรืออ้างว่าได้กรรมสิทธ์ิ หรือสิทธิครอบครองโดยการ
ครอบครอง พนกั งานเจ้าหน้าทจี่ ะรบั คาคัดค้านและดาเนนิ การสอบสวนไกล่เกล่ียต่อไปได้ หรือไม่
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมท่ีดิน คร้ังที่ ๔/๒๕๔๓ เมื่อวันที่ ๑๐
สิงหาคม ๒๕๔๓ (วาระที่ ๔.๕)
ตามระเบียบกรมที่ดิน ว่าด้วยการเขียนและรับรองแนวเขตท่ีดิน พ.ศ. ๒๕๔๑ ข้อ ๙ ได้กาหนด
แนวทางปฏิบัติเก่ียวกับวิธีการรับรองแนวเขตที่ดินกรณีผู้มีช่ือในหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินตาย หรือกรณี
ผู้ครอบครองที่ดนิ มิได้เป็นผ้มู ีช่อื ในหนงั สือแสดงสทิ ธใิ นท่ดี ิน แตอ่ า้ งวา่ ตนครอบครองทาประโยชนโ์ ดยการไดม้ า
ในกรณีอื่น ด้วยการให้ทายาทโดยธรรมผู้รับพินัยกรรมหรือผู้จัดการมรดก หรือผู้ครอบครองทาประโยชน์
ตามลาดับ เป็นผู้ระวงั ชแี ละลงช่ือรับรองแนวเขตทีด่ ิน ดังนัน ในกรณีทีม่ ีการรงั วัดสอบเขตทดี่ นิ หากทายาทโดยธรรม
ผู้รับพินัยกรรมหรอื ผูจ้ ัดการมรดก หรือผู้ครอบครองทาประโยชน์แลว้ แต่กรณคี ัดคา้ นการรังวัด เจ้าพนักงานท่ีดิน
ก็ยอ่ มมอี านาจดาเนนิ การสอบสวนไกล่เกลี่ยตามมาตรา ๖๙ ทวิ แหง่ ประมวลกฎหมายท่ีดนิ ตอ่ ไปได้
ความเห็นกรมท่ีดนิ เหน็ ชอบ
--๕5๘8- -
เรอ่ื งที่ ๔๘ วัดแหลมพอ้ ขอรังวดั ออกโฉนดท่ดี นิ ในที่เกาะโดยมไิ ด้แจ้งการครอบครอง
เรอื่ งเสรจ็ ที่ ๒๐/๒๕๔๓
ประเด็นพจิ ารณา
ทีว่ ดั หรือที่ธรณีสงฆ์ ซึ่งไม่อยู่ในหลกั เกณฑ์ต้องแจง้ การครอบครองทด่ี ิน (ส.ค.๑) วดั จะนาทดี่ ิน
ดังกลา่ วมาขอออกโฉนดทด่ี นิ ในท่ีเกาะ ได้หรือไม่
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมท่ีดิน คร้ังที่ ๔/๒๕๔๓ เม่ือวันท่ี ๑๐
สงิ หาคม ๒๕๔๓ (วาระที่ ๔.๓)
แม้วัดจะไม่ได้แจ้งการครอบครองท่ีดิน (ส.ค.๑) ตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้
ประมวลกฎหมายที่ดนิ พ.ศ. ๒๔๙๗ กไ็ ม่มีผลทาให้วดั ตอ้ งเสยี ไปซ่ึงกรรมสิทธ์ใิ นท่ีดิน ทังนีเน่ืองจากการโอนกรรมสิทธิ์
ที่วัดหรือที่ธรณีสงฆ์จะกระทาได้ต้องอาศัยอานาจตามกฎหมายเฉพาะหรือพระราชบัญญัติตามมาตรา ๗
แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ มาตรา ๔๑ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔
และมาตรา ๓๔ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งแก้ไขเพ่ิมเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ ดังนัน กฎกระทรวง ฉบบั ท่ี ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้
ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ ข้อ ๑๔ (๓) ท่ีกาหนดให้การออกโฉนดที่ดินในท่ีเกาะต้องมีหลักฐาน
การแจ้งการครอบครองท่ีดิน (ส.ค.๑) จึงไม่มีผลกระทบสิทธิในการออกโฉนดท่ีดินในท่ีเกาะของวัดตามมาตรา ๕๙
แห่งประมวลกฎหมายท่ีดนิ
ความเหน็ กรมท่ีดนิ เห็นชอบ
- ๕5๙9- -
เรื่องท่ี ๔๙ ขอออกโฉนดที่ดินเฉพาะรายโดยมิได้แจ้งการครอบครองในเขตนคิ มสหกรณ์พร้าว
เรื่องเสรจ็ ที่ ๑๓/๒๕๔๔
ประเด็นพจิ ารณา
เม่ือได้มีพระราชกฤษฎีกาจัดตังนิคมสหกรณ์ในท้องที่อาเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่แล้ว
พนักงานเจ้าหน้าท่ีจะดาเนินการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทาประโยชน์ในเขตนิคมสหกรณ์พร้าว
ตามมาตรา ๕๙ ทวิ แหง่ ประมวลกฎหมายท่ีดิน ได้หรอื ไม่
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมท่ีดิน คร้ังที่ ๑๐/๒๕๔๔ เมื่อวันท่ี ๔
ตลุ าคม ๒๕๔๔
การที่นายศานติ ขอออกโฉนดที่ดินเฉพาะรายโดยมไิ ด้แจ้งการครอบครองในเขตนิคมสหกรณ์พร้าว
เป็นการออกโฉนดที่ดินในท่ีดินของรัฐ ดังนัน พนักงานเจ้าหน้าท่ีก็ชอบท่ีจะพิจารณาดาเนิ นการตามมติ
คณะรัฐมนตรีเม่ือวันท่ี ๔ พฤษภาคม ๒๕๓๖ เรื่อง นโยบายและแนวทางการแก้ไขปัญหาการบุกรุกท่ดี ินของรัฐ
ท่ีเสนอโดยสานักนายกรัฐมนตรี ประกอบกับหลักเกณฑ์การพิสูจน์หลักฐานการครอบครองท่ีดินของราษฎร
ในเขตทีด่ ินของรฐั ของคณะกรรมการแกไ้ ขปญั หาการบกุ รุกทด่ี นิ ของรฐั (กบร.) เมอ่ื วนั ที่ ๒ กันยายน ๒๕๓๕
ความเหน็ กรมทด่ี ิน เห็นชอบ
--๖6๐0- -
เร่ืองท่ี ๕๐ การดาเนินการตามบันทึกข้อตกลงระหว่างกรมท่ีดินกับสานักงาน การปฏิรูปท่ีดิน
เพ่ือเกษตรกรรม เรื่อง วิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการออกเอกสารสิทธิในที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน
พ.ศ. ๒๕๔๑
เรอ่ื งเสรจ็ ท่ี ๕/๒๕๔๕
ประเดน็ พจิ ารณา
การที่สานักมาตรฐานการออกหนังสือสาคัญกาหนดแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการแก้ไขหนังสือ
รับรองการทาประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ท่ีออกตามโครงการเดินสารวจในเขตป่าไม้ถาวรและท่ีดินบริเวณดังกล่าว
ได้มีมติคณะรัฐมนตรีจาแนกออกจากเขตป่าไม้ถาวรแล้ว ด้วยการกาหนดให้เจ้าหน้าที่แจ้งเจ้าของที่ดินนาหลักฐาน
น.ส. ๓ ก. มาแสดงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่พร้อมบันทึกถ้อยคาว่าท่ีดินตามหลักฐาน น.ส. ๓ ก. ได้มีการกันพืนที่
ออกจากเขตป่าไม้ถาวรแล้ว และให้เจ้าพนักงานท่ีดินจดแจ้งหมายเหตุในสารบัญจดทะเบียน “น.ส. ๓ ก. ฉบับนี
ออกโดยการเดินสารวจในเขตป่าไมถ้ าวรเป็นการขัดต่อมาตรา ๕๘ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน แต่ปัจจุบันที่ดิน
ตาม น.ส. ๓ ก. ได้พน้ จากการเป็นป่าไมถ้ าวรแลว้ อันเป็นการเปลีย่ นแปลงไปในสาระสาคัญตามมาตรา ๕๔ (๔)
แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ จึงไม่มีกรณีท่ีจะต้องเพิกถอนแก้ไขอีกต่อไป”
และลงลายมอื ชอ่ื วนั เดอื น ปี กากับไว้ทัง ๒ ฉบบั จะกระทาไดห้ รือไม่
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมที่ดิน คร้ังที่ ๑/๒๕๔๕ เม่ือวันท่ี ๑๗
มกราคม ๒๕๔๔ (วาระที่ ๔.๔)
เมื่อท่ีดินตามหลักฐานหนังสือรับรองการทาประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ท่ีออกตามโครงการเดินสารวจ
ในเขตป่าไม้ถาวร พนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา ๖๑ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ไม่ได้มีคาส่ังเพิกถอน ทังนี
เน่ืองจากได้มีการจาแนกออกจากเขตป่าไม้ถาวรแล้ว หนังสือรับรองการทาประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ดังกล่าว
ก็ย่อมมีผลตราบเท่าที่ยังไม่มีการเพิกถอนตามมาตรา ๔๒ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการ
ทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ตามนัยหนังสือกรมที่ดิน ท่ี มท ๐๗๑๙/ว ๓๔๑๖๖ ลงวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๔๒
ดังนัน เจ้าของที่ดินย่อมสามารถนาหนังสือรับรองการทาประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ดังกล่าวมาใช้เป็นหลักฐาน
ในการออกโฉนดที่ดินตามประมวลกฎหมายท่ีดินตอ่ ไปได้ จึงไม่จาเป็นต้องให้เจ้าของที่ดินมาบนั ทึกถ้อยคาและ
จดแจ้งหมายเหตใุ นสารบญั จดทะเบียนหนังสือรับรองการทาประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.)
ความเหน็ กรมท่ีดนิ เห็นชอบ
- ๖6๑1- -
เร่อื งท่ี ๕๑ การฟ้องศาลตามมาตรา ๖๐ หรอื มาตรา ๘๑ แหง่ ประมวลกฎหมายท่ีดนิ
เรอ่ื งเสร็จท่ี ๑๗/๒๕๔๕
ประเดน็ พิจารณา
เมื่อคู่กรณีฝ่ายที่ไม่พอใจคาส่ังสอบสวนเปรียบเทียบหรือคาสั่งเปรียบเทียบเก่ียวกับผู้มีสิทธิ
ในอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งได้มาโดยทางมรดกไปฟ้องคดีต่อศาลปกครอง จะถือว่าเป็นการฟ้องศาลตามนัยมาตรา ๖๐
หรอื มาตรา ๘๑ แห่งประมวลกฎหมายท่ีดินหรือไม่
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมที่ดิน คร้ังที่ ๑ /๒๕๔๕ เม่ือวันท่ี ๑๗
มกราคม ๒๕๔๕ (วาระท่ี ๔.๓)
๑. ตามหนังสือกรมที่ดิน ที่ มท ๐๗๒๙.๒/ว ๔๗๙๐ ลงวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕
วางแนวทางปฏิบัติว่าเม่ือคู่กรณีไม่พอใจคาสั่งสอบสวนเปรียบเทียบของเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดหรือ
เจ้าพนักงานท่ีดินจังหวัดสาขา ซึ่งส่ังการในการออกหนังสือแสดงสิทธิในท่ีดินโดยไปฟ้องคดีต่อศาลปกครอง
ถือได้ว่าเป็นการฟ้องศาลตามมาตรา ๖๐ แห่งประมวลกฎหมายที่ดินแล้ว ตามนัยคาส่ังศาลปกครองสงู สุด ท่ี ๖๔/๒๕๔๔
ลงวันท่ี ๒๔ กันยายน ๒๕๔๔ และให้รวมถึงกรณีการฟ้องศาลตามมาตรา ๘๑ แห่งประมวลกฎหมายท่ีดินด้วยนัน
บัดนี คณะกรรมการวนิ ิจฉัยชีขาดอานาจหนา้ ท่ีระหว่างศาล ได้มีคาวนิ ิจฉัยชีขาดอานาจหน้าที่ระหวา่ งศาล ที่ ๔/๒๕๔๕
ลงวันท่ี ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕ ว่ามาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติจัดตังศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. ๒๕๔๒ มิได้กาหนดให้ศาลปกครองมีอานาจในการพิจารณาพิพากษาคดีเกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สิน ดังนัน
คดีเก่ียวกับสิทธิในทรัพย์สินของบุคคลจึงอยู่ในอานาจของศาลยุติธรรม เมื่อการขอออกโฉนดท่ีดินมีการโต้แย้งสิทธิ
ศาลที่มีอานาจพิจารณาเก่ียวกับสิทธิในท่ีดินตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา ๖๐ จึงได้แก่ศาลยุติธรรม และ
เพื่อให้การดาเนินงานของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา ๖๐ และมาตรา ๘๑ แห่งประมวลกฎหมายท่ีดิน
สอดคล้องกับคาวนิ จิ ฉัยชีขาดอานาจหนา้ ทร่ี ะหวา่ งศาลดังกล่าว จงึ ใหย้ กเลกิ หนงั สือกรมทีด่ นิ ที่ มท ๐๗๒๙.๒/ว ๔๗๙๐
ลงวันท่ี ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕ (เวียนยกเลิกโดยหนังสือกรมท่ีดิน ท่ี มท ๐๗๒๙.๒/ว ๒๗๑๑๐ ลงวันที่ ๕
กนั ยายน ๒๕๔๕)
๒. เม่ือเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดหรือเจ้าพนักงานท่ีดินจังหวัดสาขา มีคาส่ังสอบสวน
เปรียบเทียบหรือคาส่ังเปรียบเทียบตามมาตรา ๖๐ หรือมาตรา ๘๑ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน แล้วแต่กรณี
ให้ระบุในคาสั่งด้วยว่า “ให้คู่กรณีฝ่ายท่ีไม่พอใจไปฟ้องคดีต่อศาล (ศาลยุติธรรม) ภายใน ๖๐ วัน นับแต่วัน
ทราบคาส่งั ” พร้อมทงั ชแี จงด้วยวาจาให้ค่กู รณที ราบดว้ ย
๓. กรณีคู่กรณีฝ่ายท่ีไม่พอใจคาสั่งตามมาตรา ๖๐ หรือมาตรา ๘๑ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน
แล้วแต่กรณี ได้ฟ้องคดตี ่อศาลปกครองไปก่อนแลว้ หากต่อมาศาลปกครองมีคาส่ังจาหน่ายคดีเพื่อให้ไปฟ้องคดี
ต่อศาลยุติธรรม ถ้าคู่กรณีได้ดาเนินการฟ้องคดีใหม่ต่อศาลยุติธรรมภายใน ๖๐ วัน นับแต่วันที่มีคาสั่ง
จาหน่ายคดีก็ให้รอเรื่องไว้ เม่ือศาลยุติธรรมมีคาพิพากษาหรือคาสั่งถึงท่ีสุดประการใด ก็ให้ดาเนินการไปตาม
คาพิพากษาหรือคาสงั่ นนั แต่ถา้ ไม่ฟ้องศาลยตุ ิธรรมภายในกาหนดดังกล่าวก็ให้ดาเนินการไปตามที่เจ้าพนักงานท่ีดิน
จงั หวดั หรือเจา้ พนักงานท่ีดินจังหวัดสาขาสง่ั ตอ่ ไป
ความเหน็ กรมที่ดิน เห็นชอบ
-- ๖6๒2- -
เร่ืองท่ี ๕๒ น.ส. ๓ ก. ท่ถี ูกยกเลิกตามมาตรา ๕๘ ตรี แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน
เรื่องเสร็จที่ ๑๑/๒๕๔๕
ประเด็นพจิ ารณา
เม่ือมีการนาหนงั สือรับรองการทาประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๑๓๗๕ ตาบลท่าพญา อาเภอ
ปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ออกเป็นโฉนดที่ดินเลขท่ี ๒๐๔๕๙ ตาบลท่าพญา อาเภอปากพนัง จังหวัด
นครศรีธรรมราช ตามมาตรา ๕๘ ตรี แห่งประมวลกฎหมายที่ดนิ แล้ว ต่อมาปรากฏวา่ โฉนดทีด่ ินเลขที่ ๒๐๔๕๙
ออกทับ น.ส. ๓ ก. เลขท่ี ๑๓๗ หมู่ท่ี ๙ ตาบลท่าพญา อาเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑๓๗๕
จะต้องดาเนินการเพิกถอน ตามมาตรา ๖๑ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ซ่ึงแก้ไขเพ่ิมเติมโดยพระราชบัญญัติ
แก้ไขเพม่ิ เตมิ ประมวลกฎหมายท่ดี นิ (ฉบบั ท่ี ๙) พ.ศ. ๒๕๔๓ ด้วยหรือไม่ อย่างไร
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมท่ีดิน คร้ังท่ี ๔ /๒๕๔๕ เมื่อวันที่ ๒๐
พฤษภาคม ๒๕๔๕ (วาระที่ ๔.๑)
เมอื่ หนงั สือรบั รองการทาประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขท่ี ๑๓๗๕ ตาบลทา่ พญา อาเภอปากพนัง
จังหวัดนครศรีธรรมราช ออกทบั หนังสอื รบั รองการทาประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๑๓๗ ตาบลท่าพญา อาเภอ
ปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ย่อมมีผลทาให้หนังสือรับรองการทาประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๑๓๗๕
และโฉนดท่ีดินเลขท่ี ๒๐๔๕๙ ตาบลท่าพญา อาเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่ออกสืบเน่ืองจาก
หนังสือรับรองการทาประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขท่ี ๑๓๗๕ ออกไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย อย่างไรก็ตาม
แม้โฉนดที่ดินดังกล่าวจะออกไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากหนังสือรับรองการทาประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.)
เลขที่ ๑๓๗๕ ออกทบั หนังสือรับรองการทาประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๑๓๗ ก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจรงิ เร่ืองนี
ปรากฏว่ากระบวนการในการออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๐๔๕๙ ได้ดาเนินการไปโดยถูกต้องตามมาตรา ๕๘ ตรี
แห่งประมวลกฎหมายท่ีดิน หนังสือรับรองการทาประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขท่ี ๑๓๗๕ ย่อมเป็นอันถูกยกเลิก
ตังแต่วันกาหนดแจกโฉนดที่ดินตามมาตรา ๕๘ ตรี วรรคท้าย แห่งประมวลกฎหมายท่ีดิน ดังนัน เมื่ออธิบดีหรือ
รองอธิบดีซ่ึงอธิบดีมอบหมายเพิกถอนโฉนดท่ีดินเลขที่ ๒๐๔๕๙ ตามมาตรา ๖๑ แห่งประมวลกฎหมายท่ีดิน
ซ่ึงแก้ไขเพ่ิมเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายท่ีดิน (ฉบับที่ ๙) พ.ศ. ๒๕๔๓ แล้ว จึงไม่มี
กรณที ี่จะตอ้ งดาเนนิ การเพิกถอนหนังสอื รับรองการทาประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๑๓๗๕ อกี แต่อย่างใด
ความเห็นกรมทดี่ ิน เห็นชอบ
- ๖6๓3- -
เร่ืองที่ ๕๓ ผมู้ สี ทิ ธใิ นทด่ี นิ จากการขายทอดตลาดตามคาสั่งศาล
เร่อื งเสรจ็ ท่ี ๑๙/๒๕๔๖
ประเดน็ พิจารณา
เม่ือศาลจังหวัดหลังสวนได้ขายทอดตลาด น.ส. ๓ เลขท่ี ๑๔๐/๖๘ หมู่ที่ ๗ ตาบลบ้านควน
อาเภอหลังสวน ให้กับนางมณฑาไปแล้ว (หนังสือศาลจังหวัดหลังสวน ที่ ยธ ๐๒๐๐.๘๐๖/๓๕๔๒ ลงวันท่ี ๖
สิงหาคม ๒๕๔๐) การที่พนักงานเจ้าหน้าที่ออกโฉนดที่ดินเลขท่ี ๑๘๐๒๑ ตาบลบ้านควน อาเภอหลังสวน
ให้แก่นางอนงค์ (เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๔๐) ตามหลักฐาน น.ส. ๓ เลขที่ ๑๔๐/๖๘ จะมีผลทาให้ น.ส. ๓
เลขทีด่ งั กล่าวถกู ยกเลกิ หรอื ไม่
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมท่ีดิน คร้ังที่ ๕/๒๕๔๖ เม่ือวันท่ี ๒๔
มถิ นุ ายน ๒๕๔๖ (วาระท่ี ๔.๕)
เมื่อศาลจังหวัดหลังสวนได้ขายทอดตลาดที่ดิน น.ส. ๓ เลขท่ี ๑๔๐/๖๘ หมู่ที่ ๗ ตาบลบ้านควน
อาเภอหลงั สวน จังหวัดชุมพร พร้อมส่ิงปลูกสร้าง ของนางอนงค์ ให้แก่ นางมณฑาแลว้ (หนังสือศาลจังหวดั หลังสวน
ที่ ยธ ๐๒๐๐.๘๐๖/๓๕๔๒ ลงวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๔๐) นางมณฑาย่อมเป็นผู้มีสิทธิในท่ีดินแม้จะยังมิได้
จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ทังนี เนื่องจากการขายทอดตลาดทรัพย์ตามคาส่ังศาลตามมาตรา ๑๓๓๐
แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ไม่อยู่ในข่ายของการซือขายอสังหาริมทรัพย์ทั่วไปท่ีต้องทาตามแบบตามนัย
มาตรา ๔๕๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (คาพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๐๘/๒๕๐๖) ดังนัน การท่ีพนักงาน
เจ้าหน้าที่นา น.ส. ๓ เลขที่ ๑๔๐/๖๘ ซ่ึงยงั มีช่อื นางอนงค์มาใช้เป็นหลักฐานในการออกโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๘๐๒๑
ตาบลบ้านควน อาเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร ให้กับนางอนงค์ เมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๔๐ หลังจากท่ี
ศาลจังหวดั หลังสวนได้ดาเนินการขายทอดตลาดทีด่ ินตาม น.ส. ๓ เลขทีด่ ังกล่าวใหก้ ับนางมณฑาแล้ว ย่อมมผี ล
ทาให้โฉนดที่ดนิ เลขที่ ๑๘๐๒๑ ตาบลบ้านควน อาเภอหลงั สวน จังหวัดชุมพร ออกไปโดยไม่ชอบดว้ ยกฎหมาย
อธบิ ดีหรอื รองอธิบดีซ่ึงอธิบดีมอบหมายชอบที่จะดาเนินการเพิกถอนตามนัยมาตรา ๖๑ แห่งประมวลกฎหมายท่ีดิน
ความเหน็ กรมทดี่ ิน เห็นชอบ
--๖6๔4- -
เร่อื งท่ี ๕๔ การตังคณะกรรมการตามกฎกระทรวงออกตามความในมาตรา ๖๑ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน
และกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวล
กฎหมายท่ีดิน พ.ศ. ๒๔๙๗
เร่อื งเสร็จที่ ๑๕/๒๕๔๖
ประเดน็ พิจารณา
๑. ในการตังคณะกรรมการสอบสวนตามความในข้อ ๑ (๑) (ข) แห่งกฎกระทรวงออกตาม
ความในมาตรา ๖๑ แหง่ ประมวลกฎหมายท่ีดิน ซ่ึงกาหนดให้ตงั “ผแู้ ทนกรมป่าไม้” เป็นกรรมการในกรณีที่ดินนัน
มอี าณาเขตติดต่อ คาบเก่ยี ว หรืออยู่ในเขตป่าสงวนแหง่ ชาติ เขตรกั ษาพันธ์ุสัตวป์ ่า เขตหา้ มล่าสัตว์ป่า หรอื เขต
ที่ได้จาแนกให้เป็นเขตป่าไม้ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรีนัน เมื่อปัจจุบันการควบคุม กากับ ดูแล และป้องกัน
พืนที่ดังกล่าวไม่ได้อยู่ในอานาจหน้าท่ีของกรมป่าไม้แล้ว อธิบดีหรือรองอธิบดีซึ่งอธิบดีมอบหมายจะต้องตัง
ผู้แทนกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นกรรมการแทนผู้แทนกรมป่าไม้โดยอาศัยบทบัญญัติ
มาตรา ๑๖๑ วรรคสอง แห่งพระราชกฤษฎีกาโอนกิจการบริหารและอานาจหน้าท่ีของส่วนราชการให้เป็นไป
ตามพระราชบญั ญัตปิ รบั ปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ ด้วยหรอื ไม่ ประการใด
๒. ในการแต่งตังคณะกรรมการตรวจพิสูจน์ที่ดิน ตามความในข้อ ๑๐ (๓) แห่งกฎกระทรวง
ฉบับท่ี ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายท่ีดิน พ.ศ. ๒๔๙๗
ซึ่งกาหนดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตังป่าไม้อาเภอหรือผู้ท่ีป่าไม้จังหวัดมอบหมายเป็นกรรมการด้วยนัน
เม่ือปัจจุบันไม่มีป่าไม้อาเภอ ประกอบกับป่าไมจ้ ังหวัดไม่มีอานาจหน้าท่ีในการควบคุม กากับ ดูแล และป้องกัน
พืนที่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เขตอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขตห้ามล่าสัตว์ป่า หรือเขตท่ีได้
จาแนกให้เป็นเขตป่าไม้ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรีแล้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดจะต้องแต่งตังเจ้าหน้าท่ีอื่นใดเข้ามา
เปน็ กรรมการแทนปา่ ไม้อาเภอหรอื ผ้ทู ปี่ า่ ไม้จงั หวดั มอบหมายหรอื ไม่ ประการใด
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมที่ดิน ครั้งท่ี ๔/๒๕๔๖ เม่ือวันท่ี ๒๘
เมษายน ๒๕๔๖ (วาระ ๔.๑)
การแต่งตังคณะกรรมการตามข้อ ๑ (๑) (ข) วรรคสอง แห่งกฎกระทรวง กาหนดหลักเกณฑ์
และวิธีการในการตังคณะกรรมการสอบสวน การสอบสวน การแจ้งผู้มีส่วนได้ เสียเพื่อให้โอกาสคัดค้าน
และการพิจารณาเพิกถอนหรือแก้ไขการออกโฉนดท่ีดินหรือหนังสือรับรองการทาประโยชน์ การจดทะเบียน
สิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ หรือการจดแจ้งเอกสารรายการจดทะเบียนอสังหาริมทรัพย์โดยคลาดเคลื่อน
หรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๔๔ หรือการออกหนังสือแสดงสิทธิในท่ีดินที่มีอาณาเขตติดต่อ คาบเกี่ยว
หรอื อยใู่ นเขตปา่ สงวนแห่งชาติ เขตอทุ ยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธสุ์ ัตวป์ ่า หรือเขตที่ไดจ้ าแนกให้เป็นเขตปา่ ไม้
ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรี ตามข้อ ๑๐ (๓) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความ
ในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายท่ีดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ เป็นมาตรการท่ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือควบคุม กากับ
ดูแล ป้องกันการบุกรุก ทาลายป่าและการกระทาผิดกฎหมายว่าด้วยป่าสงวนแห่งชาติ กฎหมาย ว่าด้วย
อุทยานแห่งชาติ กฎหมายว่าด้วยการสงวนและคุ้มครองสตั วป์ ่า ประกอบกบั การเป็นกรรมการตามกฎกระทรวง
ทังสองฉบับดังกล่าวถือเป็นอานาจหน้าที่ของกรมป่าไม้ตามกฎหมายอื่นตามนัยมาตรา ๓ (๑) แห่งพระราชกฤษฎีกา
แบ่งส่วนราชการกรมป่าไม้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๓๕ ดังนัน เมื่ออานาจหน้าที่ของกรมป่าไม้
-- ๖6๕5- -
เก่ียวกับการดาเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า กฎหมายว่าด้วยป่าไม้ กฎหมายว่าด้วย
ปา่ สงวนแห่งชาติ กฎหมายว่าด้วยอุทยานแห่งชาติ และกฎหมายอนื่ ท่ีเกย่ี วข้องตามนัยดังกล่าว โอนมาเป็นของ
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดล้อม ตามมาตรา ๖๗ และ
มาตรา ๑๖๑ แห่งพระราชกฤษฎีกาโอนกิจการบริหารและอานาจหน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตาม
พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ ประกอบกับข้อ ๑ (๓) แห่งพระราชบัญญัติ
แบ่งส่วนราชการกรมอุทยานแห่งชาติ สัตวป์ ่า และพันธ์ุพืช กระทรวงทรพั ยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๔๕
อธิบดีหรือรองอธิบดีมอบหมาย หรือผู้ว่าราชการจังหวัดแล้วแต่กรณี จึงต้องตังผู้แทนจากกรมอุทยานแห่งชาติ
สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นกรรมการในคณะกรรมการ
ตามกฎกระทรวงทังสองฉบบั แทนผู้แทนกรมปา่ ไม้
ความเห็นกรมทดี่ ิน เห็นชอบ
--๖6๖6- -
เรอื่ งที่ ๕๕ การออกหนังสือรบั รองการทาประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ไปโดยไม่ชอบดว้ ยกฎหมาย
เรือ่ งเสรจ็ ที่ ๒/๒๕๔๗
ประเด็นพจิ ารณา
การท่ีพนักงานเจ้าหนา้ ทไี่ ด้ดาเนินการออกหนังสือรับรองการทาประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๑๔๕๖
ตาบลเกาะยาวน้อย อาเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา ไปโดยมิได้ปฏิบัติตามระเบียบและบันทึกข้อตกลงระหว่าง
กรมท่ีดินกับกรมป่าไม้ ว่าด้วยการตรวจพิสูจน์เพ่ือออกโฉนดท่ีดินหรือหนังสือรับรองการทาประโยชน์
ซ่ึงเก่ียวกับเขตป่าไม้ พ.ศ. ๒๕๒๔ จะถือว่าเป็นการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
หรอื ไม่ อย่างไร
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมที่ดินคร้ังท่ี ๑/๒๕๔๗ เมื่อวันที่ ๖
กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗ (วาระท่ี ๒.๔)
เม่ือข้อเท็จจริงปรากฏว่าหนังสือรับรองการทาประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๑๔๕๖ ตาบล
เกาะยาวน้อย อาเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา ออกไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากมิได้ปฏิบัติตาม
กฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๔๙๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายทีด่ ิน พ.ศ. ๒๔๙๗
ข้อ ๒ ข้อ ๔ และกฎกระทรวง ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๔๙๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวล
กฎหมายท่ีดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ ข้อ ๕ จึงไม่มีประเด็นต้องพิจารณาว่าการที่พนักงานเจ้าหน้าที่ออกหนังสือรับรอง
การทาประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ดังกล่าว โดยไม่ได้ปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลงระหว่างกรมท่ีดินกับกรมป่าไม้
ว่าด้วยการตรวจพิสูจน์ที่ดินเพื่อออกโฉนดท่ีดินหรือหนังสือรับรองการทาประโยชน์ซ่ึงเกี่ยวกับเขตป่าไม้
พ.ศ. ๒๕๒๔ จะถอื ว่าเป็นการออกหนงั สือแสดงสทิ ธใิ นทีด่ นิ ไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
ความเหน็ ของกรมที่ดนิ เหน็ ชอบ
- ๖6๗7- -
เรื่องที่ ๕๖ ผู้มีสิทธขิ อออกใบแทนหนังสอื แสดงสทิ ธใิ นทีด่ นิ
เรอ่ื งเสรจ็ ท่ี ๔/๒๕๔๘
ประเดน็ พิจารณา
การที่หนังสือแสดงสิทธิในที่ดินของลูกหนี และ/หรือผู้จานองสูญหาย ลูกหนีและ/หรือ
ผู้จานองไม่ให้ความร่วมมือในการขอออกใบแทนหนังสือแสดงสิทธิในท่ีดิน บรรษทั บริหารสินทรัพยไ์ ทย (บสท.)
จะขอออกใบแทนหนงั สอื แสดงสิทธใิ นท่ีดิน ไดห้ รือไม่
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมที่ดิน คร้ังท่ี ๒/๒๕๔๘ เม่ือวันที่ ๑
เมษายน ๒๕๔๘ (วาระท่ี ๔.๒)
บรรษัทบรหิ ารสนิ ทรัพย์ไทย จากดั (บสท.) มีวัตถปุ ระสงคใ์ นการบริหารสนิ ทรพั ยด์ ้อยคุณภาพ
ของสถาบันการเงินและบริษัทบริหารสินทรัพย์ ปรับโครงสร้างหนี และปรับโครงสร้างกิจการ ทังนี
โดยการรับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของสถาบันการเงินและบริษัทบริหารสินทรัพย์ รวมตลอดทังสิทธิอ่ืนใด
เหนือทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันการชาระหนีสาหรับสินทรัพย์ด้อยคุณภาพนันหรือโดยการใช้มาตรการอื่นใด
เพ่ือประโยชน์แก่การฟื้นฟูเศรษฐกิจหรือความม่ันคงของประเทศ เม่ือการรับโอนสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของ
บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) เป็นการรับโอนสิทธิการรับจานอง มิใช่รับโอนในฐานะเจ้าของ อีกทัง
บรรษัทบรหิ ารสนิ ทรพั ยไ์ ทย (บสท.) ก็มิใชบ่ ุคคลตามกฎกระทรวง ฉบับท่ี ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความใน
พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายท่ีดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ ข้อ ๑๗ (๓) - (๖) จึงไม่มีสิทธิท่ีจะขอออกใบแทน
ตามกฎกระทรวง ฉบบั ท่ี ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗)ฯ ได้ แตอ่ ย่างไรก็ตาม ในการบริหารสินทรัพย์ดอ้ ยคุณภาพ บรรษัท
บริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) มีอานาจจาหน่ายทรัพย์สินของลูกหนีโดยวิธีการขายทอดตลาดได้ แต่ถ้าบรรษัท
บริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) เห็นว่าการจาหน่ายโดยวิธีอ่ืนจะเป็นประโยชน์กับบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย
(บสท.) และลูกหนีมากกว่า ก็ให้จาหน่ายโดยวิธีอ่ืนตามนัยมาตรา ๕๓ และมาตรา ๗๖ แห่งพระราชกาหนด
บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย พ.ศ. ๒๕๔๔ และการเพิกถอนการจาหน่ายทรัพย์สินตามวิธีการที่กาหนดไว้ใน
มาตรา ๗๖ จะกระทามิได้ ทังนี ตามนัยมาตรา ๘๒ แห่งพระราชกาหนดดังกล่าว ดังนัน ผู้ซือทรัพย์จาก
บรรษทั บริหารสินทรพั ย์ไทย (บสท.) จึงถือเป็นเจ้าของโดยสมบูรณ์และเด็ดขาดแม้วา่ จะยังไม่ได้ทานิติกรรมโอน
ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ (เทียบเคียงคาพิพากษาศาลฎีกา ท่ี ๕๐๘ /๒๕๐๖) ผู้ซือทรัพย์จาก บรรษัทบริหาร
สนิ ทรัพย์ไทย (บสท.) ยอ่ มใช้สิทธิในฐานะเจ้าของมาย่ืนคาขอออกใบแทนได้ตามกฎกระทรวง ฉบับท่ี ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ฯ
ข้อ ๑๗ (๑)
ความเหน็ ของกรมท่ีดนิ เห็นชอบ
-- ๖6๘8- -
เร่อื งที่ ๕๗ “ที่เกาะ” ตามนัยข้อ ๑๔ (๓) แห่งกฎกระทรวง ฉบบั ท่ี ๔๓ ออกตามความในพระราชบัญญัติ
ให้ใช้ประมวลกฎหมายท่ีดิน พ.ศ. ๒๔๙๗
เรอื่ งเสรจ็ ที่ ๖/๒๕๔๘
ประเดน็ พิจารณา
กรณีท่ีดินในตาบลบางใบไม้ ตาบลบางไทร ตาบลบางโพธ์ิ ตาบลบางชนะ ตาบลคลองฉาก
ตาบลคลองน้อย อาเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งมีอาณาเขตทิศเหนือจดอ่าวบ้านดอน ทิศใต้และ
ทิศตะวันออกจดแม่นาตาปี ทิศตะวันตกจดคลองพุนพิน โดยไม่มีส่วนใดจดแผ่นดิน พืนท่ีดังกล่าวจะมีลักษณะ
เป็นท่ีเกาะตามความหมายของข้อ ๑๔ (๓) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความ
ในพระราชบัญญัติใหใ้ ช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ หรือไม่ อย่างไร
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมท่ีดินคร้ังท่ี ๒/๒๕๔๘ เมื่อวันท่ี ๑
เมษายน ๒๕๔๘ (วาระที่ ๔.๒)
เมื่อท่ีดินบรเิ วณตาบลบางใบไม้ ตาบลบางไทร ตาบลบางโพธิ์ ตาบลบางชนะ ตาบลคลองฉาก
ตาบลคลองน้อย อาเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตามสภาพพืนที่มีลักษณะเป็นผืนแผ่นดินใหญ่ แม้ว่าจะมี
ลาคลองหรือบางท่ีตัดผ่านเป็นนาล้อมรอบก็ตามแต่ก็ยังถือเป็นส่วนหน่ึงของแผ่นดินใหญ่ มิใช่เป็นเกาะ
ตามธรรมชาติท่ีเกิดในทะเลสาบหรือในทางนา หรือในเขตน่านนาของประเทศและท้องนาที่เขินขึน อันเป็นทรัพย์สิน
ของแผ่นดิน ตามมาตรา ๑๓๐๙ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงมิใช่ “ทีเ่ กาะ” ตามนัย ข้อ ๑๔ (๓)
แห่งกฎกระทรวง ฉบับท่ี ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน
พ.ศ. ๒๔๙๗ (เทียบเคยี งคาพิพากษาศาลปกครองกลาง คดหี มายเลขแดงที่ ๑๕๒/๒๕๔๖)
ความเหน็ ของกรมทีด่ ิน เห็นชอบ
- ๖6๙9- -
เร่ืองท่ี ๕๘ การออกหนงั สือแสดงสิทธิในทีด่ นิ ตามแบบแจง้ การครอบครองทีด่ นิ (ส.ค.๑)
เรอื่ งเสร็จท่ี ๘/๒๕๔๘
ประเด็นพจิ ารณา
๑. การออกหนังสือแสดงสิทธิในท่ีดินตามโครงการแปลงสินทรัพย์เป็นทุนในเขตห้ามล่าสัตว์ป่า
ต้องดาเนินการตรวจพิสูจน์สิทธิตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติ
ให้ใช้ประมวลกฎหมายท่ีดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ หรือไม่ และหากต้องพิสูจน์สิทธิค่าใช้จ่ายในการพิสูจน์สิทธิดังกล่าว
ผใู้ ดเป็นผู้ออก เนื่องจากกรมทดี่ ินไม่ได้กาหนดงบประมาณเพือ่ การนีไวแ้ ต่อยา่ งใด
๒. กรณีโฉนดที่ดินซึ่งได้ออกสืบเนื่องจากการเดินสารวจออกโฉนดท่ีดินในเขตห้ามล่าสัตว์ป่า
ไปแล้ว โดยไม่ได้ปฏิบัติตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗)ฯ จึงมีปัญหาว่าโฉนดท่ีดินที่ได้ลงนามแจก
โฉนดที่ดินไปแล้วนันจะถูกต้องสมบูรณ์ และชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จะมีแนวทางปฏิบัติในการแก้ไขปัญหา
อย่างไร เพ่ือมิให้เกิดความเดือดร้อนกับราษฎรเจ้าของที่ดินและหากจะต้องแต่งตังคณะกรรมการตรวจพิสูจน์
ท่ีดินตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗)ฯ จะต้องให้เจ้าของที่ดินที่นาเดินสารวจฯ ยื่นคาขอหรือไม่
และกรณีที่ไดอ้ อกโฉนดทด่ี ินก่อนแล้ว จะมีแนวทางปฏบิ ตั อิ ย่างไร
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมที่ดินคร้ังท่ี ๔/๒๕๔๘ เมื่อวันที่ ๑
กนั ยายน ๒๕๔๘ (วาระที่ ๔.๓)
กรณีการขอออกหนังสือรับรองการทาประโยชน์หรือออกโฉนดท่ีดินที่จะต้องดาเนินการ
ออกไปตรวจพิสูจน์ที่ดินตามกฎกระทรวง ฉบับท่ี ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗)ฯ นัน จะต้องเป็นการขอออกหนังสือ
รับรองการทาประโยชน์หรือออกโฉนดที่ดินเฉพาะราย ตามมาตรา ๕๙ หรือมาตรา ๕๙ ทวิ แห่งประมวล
กฎหมายท่ีดิน ดังนัน การขอออกหนังสือรับรองการทาประโยชน์หรือออกโฉนดที่ดินตามโครงการ
แปลงสินทรัพยเ์ ป็นทุนจะต้องดาเนินการตามกฎกระทรวง ฉบับท่ี ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗)ฯ หรือไม่นัน จึงขึนอยู่กับ
ข้อเท็จจริง หากข้อเท็จจริงปรากฏว่าการขอออกหนังสือรับรองการทาประโยชน์หรือออกโฉนดที่ดินตามโครงการ
แปลงสินทรัพย์เป็นทุนเป็นการขอออกหนังสือรับรองการทาประโยชน์หรือออกโฉนดท่ีดินเฉพาะรายตามมาตรา ๕๙
หรอื มาตรา ๕๙ ทวิ ก็ต้องดาเนินการตามขันตอนของกฎกระทรวง ฉบับท่ี ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗)ฯ
ความเหน็ ของกรมทด่ี นิ เหน็ ชอบ
-- ๗7๐0- -
เรอื่ งที่ ๕๙ ขอให้พิจารณาทบทวนและตรวจสอบเกี่ยวกับการออกโฉนดที่ดินในบริเวณโครงการ
กาจดั นาเสยี เขตควบคมุ มลพษิ จังหวัดสมุทรปราการ
เรอื่ งเสรจ็ ที่ ๙/๒๕๔๘
ประเด็นพิจารณา
พระราชกฤษฎีกากาหนดการแบ่งเขตท่ีดินในอาเภอบางบ่อ บางพลี จังหวัดสมุทรปราการ
และบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ให้แก่ราษฎร พ.ศ. ๒๔๗๓ และประกาศให้ใช้พระราชกฤษฎีกากาหนดการ
แบ่งที่ดินในอาเภอบางบ่อ บางพลี จังหวัดสมุทรปราการ และบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ให้แก่ราษฎร
พ.ศ. ๒๔๗๓ มีผลลบล้างประกาศสงวนหวงห้ามของผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. ๒๔๗๒ หรือไม่
และพระราชบัญญัติยกเลิกกฎหมายว่าด้วยการแบ่งที่ดินในอาเภอสมุทรปราการ บางบ่อ บางพลี จังหวัดพระนคร
และอาเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา พ.ศ. ๒๔๘๙ มีผลทาใหป้ ระกาศสงวนหวงห้ามของผู้ว่าราชการจังหวัด
สมทุ รปราการ พ.ศ. ๒๔๗๒ กลบั มามผี ลใช้บงั คบั อีกหรอื ไม่ อยา่ งไร
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมท่ีดินคร้ังท่ี ๕/๒๕๔๘ เมื่อวันที่ ๘
พฤศจกิ ายน ๒๕๔๘ (วาระท่ี ๔.๒)
ประกาศหวงห้ามที่ชายทะเลฝ่ังตะวันออกจังหวัดสมุทรปราการสาหรับใช้ราชการเทขยะมูลฝอย
ฉบับลงวันท่ี ๕ ตุลาคม ๒๔๗๒ ของผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการเป็นประกาศสงวนหวงห้ามก่อน
พระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกรา้ งว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบตั ิของแผ่นดิน พทุ ธศกั ราช ๒๔๗๘
ใช้บังคับ การประกาศหวงห้ามฯ ของผู้ว่าราชการจังหวัดฯ จึงมีผลบังคับใช้ทาให้ท่ีดินบริเวณตามประกาศ
เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ท่ีดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินจะโอนแก่กันมิได้ เพราะต้องห้ามตาม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๕ กล่าวคือ หากมีกฎหมายเฉพาะหรือพระราชกฤษฎีกา
ให้โอนก็โอนได้ ถ้าไม่มีกฎหมายเฉพาะหรือพระราชกฤษฎีกาให้โอนก็โอนไม่ได้ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าท่ีดิน
บริเวณตามประกาศของผู้ว่าราชการจังหวัดฯ ได้มีพระราชกฤษฎีกากาหนดการแบ่งที่ดินในอาเภอบางบ่อ
บางพลี จังหวัดสมุทรปราการ และบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ให้แก่ราษฎร พ.ศ. ๒๔๗๓ ใช้บังคับ
แม้พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวจะมิได้บัญญัติให้ยกเลิกประกาศหวงห้ามฯ ของผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ
ก็ต้องถือว่าประกาศหวงห้ามฯ ของผู้ว่าราชการจังหวัดฯ ถูกยกเลิกโดยปริยายโดยผลของกฎหมาย แม้ต่อมา
จะมีพระราชบัญญัติยกเลิกกฎหมายว่าด้วยการแบ่งท่ีดินในอาเภอสมุทรปราการ บางบ่อ บางพลี จังหวัดพระนคร
และอาเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา พุทธศักราช ๒๔๘๙ ใช้บังคับโดยมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติ
ดังกล่าวให้ยกเลิกพระราชกฤษฎีกากาหนดการแบ่งที่ดินในอาเภอบางบ่อ บางพลี จังหวัดสมุทรปราการ
และบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ให้แก่ราษฎร พุทธศักราช ๒๔๗๓ และประกาศให้ใช้พระราชกฤษฎีกา
กาหนดการแบ่งท่ีดินในอาเภอบางบ่อ บางพลี จังหวัดสมุทรปราการ และบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ให้แก่
ราษฎร พุทธศักราช ๒๔๗๓ บังคับถึงอาเภอเมืองสมุทรปราการ การยกเลิกพระราชกฤษฎีกาฯ และประกาศ
ดังกล่าวก็ไม่ทาให้ประกาศหวงห้ามที่ดินชายทะเลฝั่งตะวันออกจังหวัดสมุทรปราการสาหรับใช้ราชการ
เทขยะมูลฝอย ฉบับลงวันท่ี ๕ ตุลาคม ๒๔๗๒ ของผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการซึ่งถูกยกเลิกโดยปริยาย
โดยผลของกฎหมายไปแลว้ กลบั มีผลใช้บงั คับขนึ มาอกี
ความเหน็ ของกรมท่ดี นิ เห็นชอบ
- ๗7๑1- -
เรือ่ งท่ี ๖๐ การขอออกใบแทนเพอ่ื จดทะเบยี นภาระจายอมตามคาพิพากษา
เรอื่ งเสร็จท่ี ๑/๒๕๔๙
ประเด็นพิจารณา
เมื่ อผู้ มีสิ ทธิจ ดท ะเบีย น ภ าร ะจ าย อม ตามค าพิ พ าก ษายื่ น คาขอ จ ด ท ะเบี ย น ภ าระจ าย อ ม
แต่ไม่ได้โฉนดที่ดินแปลงภาระจายอมมา จะสามารถยื่นคาขอออกใบแทนโฉนดท่ีดินโดยอาศัยหลักเกณฑ์
ตามข้อ ๑๗ (๓) แห่งกฎกระทรวง ฉบับท่ี ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวล
กฎหมายท่ีดนิ พ.ศ. ๒๔๙๗ ไดห้ รอื ไม่ อย่างไร
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมท่ีดินคร้ังท่ี ๑/๒๕๔๙ เมื่อวันที่ ๑๕
มนี าคม ๒๕๔๙ (วาระที่ ๔.๑)
ผู้มีสิทธิจดทะเบียนภาระจายอมตามคาพิพากษาของศาลนาคาพิพากษามาย่ืนคาขอจดทะเบียน
ภาระจายอมแต่ไม่ได้โฉนดที่ดินแปลงภาระจายอมมา ถือเป็น “ผู้มีสิทธิจดทะเบียนตามคาพิพากษาของศาล”
ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๕) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายท่ีดิน
พ.ศ. ๒๔๙๗ ข้อ ๑๗ (๓) จึงมีสิทธิยื่นขอออกใบแทนได้ โดยไม่จาต้องพิจารณาว่าผู้ขอออกใบแทนจะเป็น
ผู้มีสิทธิจดทะเบียนเป็นเจ้าของท่ีดินด้วยหรือไม่ เพราะมาตรา ๖๓ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ไม่ได้บัญญัติให้
ผู้ที่ขอออกใบแทนจะต้องเป็นเจ้าของท่ีดินเท่านัน เพียงแต่บัญญัติว่า “ให้เจ้าของมาขอรับใบแทนโฉนดท่ีดิน”
ส่วนเม่ือเจ้าพนักงานที่ดินได้ดาเนินการออกใบแทนโฉนดท่ีดิน และจดทะเบียนภาระจายอมตามคาพิพากษา
ของศาลแล้วจะต้องดาเนินการอย่างไรเก่ียวกับใบแทนโฉนดท่ีดินนันเป็นวิธีปฏิบัติ ควรมอบหมายให้สานักมาตรฐาน
การออกหนังสอื สาคญั พจิ ารณาวางแนวทางปฏิบัติต่อไป
ความเห็นของกรมท่ีดิน เห็นชอบ
หมายเหตุ สานักมาตรฐานการออกหนังสือสาคัญวางทางปฏิบัติไว้ตามหนังสือกรมท่ีดิน ท่ี มท ๐๕๑๖.๕/
ว ๑๒๖๔๖ ลงวันท่ี ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๖ เรื่อง หารอื กรณีผ้มู ีสิทธิจดทะเบียนภาระจายอมตาม
คาพิพากษาขอออกใบแทน
-- ๗7๒2- -
เร่อื งที่ ๖๑ การเพิกถอนหนังสอื แสดงสิทธิในท่ดี นิ
เรอื่ งเสร็จท่ี ๓/๒๕๔๙
ประเด็นพจิ ารณา
กรณีท่ีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ มีมติให้กรมที่ดินดาเนินการ
ขอให้ศาลมีคาส่ังหรือคาพิพากษาให้เพิกถอนโฉนดท่ีดินเลขที่ ๘๓๐๙๖ ตาบลหนองปรือ อาเภอบางละมุง
จังหวัดชลบุรี ที่ออกไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา ๖๑ แห่งประมวลกฎหมายท่ีดิน ประกอบกับ
มาตรา ๙๙ แห่งพระราชบัญญตั ิประกอบรฐั ธรรมนญู ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒
แต่เนื่องจากเรื่องในทานองนีสานักงานอัยการสูงสุดได้เคยมีความเห็นว่ากรมที่ดินควรจะต้องดาเนินการตาม
มาตรา ๖๑ แห่งประมวลกฎหมายท่ีดิน ดังนัน กรมที่ดินจะนาความเห็นของสานักงานอัยการสูงสุดมาเป็น
แนวทางปฏิบตั โิ ดยกรมทีด่ ินจะดาเนนิ การตามมาตรา ๖๑ แห่งประมวลกฎหมายท่ีดิน กอ่ น ไดห้ รอื ไม่
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมที่ดินครั้งท่ี ๓/๒๕๔๙ เมื่อวันท่ี ๕
กันยายน ๒๕๔๙ (วาระที่ ๔.๑)
เมื่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจรติ แห่งชาติมมี ติให้กรมที่ดินดาเนินการขอให้
ศาลมีคาส่ังหรือคาพิพากษาให้เพิกถอนโฉนดท่ีดินที่ออกไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา ๙๙
แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒
แตเ่ นือ่ งจากเรอ่ื งในทานองนีสานกั งานอยั การสูงสุด ไดเ้ คยมีความเหน็ วา่ อธิบดีกรมที่ดินหรือรองอธบิ ดีผู้ทีไ่ ด้รับ
มอบหมายจากอธิบดีกรมท่ีดินมีอานาจเพิกถอนได้ตามมาตรา ๖๑ แห่งประมวลกฎหมายท่ีดิน โดยมิต้อง
ใช้สิทธิทางศาลก่อน ดังนัน กรมท่ีดินจึงสามารถนาความเห็นของสานักงานอัยการสูงสุดดังกล่าว มาเป็น
แนวทางปฏิบัติโดยการตังกรรมการสอบสวน ตามมาตรา ๖๑ ได้
ความเหน็ ของกรมที่ดนิ เห็นชอบ
- ๗7๓3- -
เรื่องท่ี ๖๒ เจา้ พนกั งานบงั คับคดีขอออกใบแทนโฉนดทด่ี ิน
เรือ่ งเสร็จที่ ๗/๒๕๔๙
ประเดน็ พจิ ารณา
เจ้าพนักงานบังคับคดีจะทาหนังสือขอให้เจ้าพนักงานที่ดินออกใบแทนโฉนดที่ดินในนามของ
ผู้ถือกรรมสิทธิ์เดิมก่อน ตามนัยข้อ ๑๗ (๔) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความ
ในพระราชบญั ญัตใิ ห้ใชป้ ระมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ ได้หรือไม่ อย่างไร
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมที่ดินครั้งที่ ๔/๒๕๔๙ เม่ือวันท่ี ๓๑
ตุลาคม ๒๕๔๙ (วาระท่ี ๔.๑)
เจ้าพนักงานตามที่บัญญัติไว้ในกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความ
ในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ ข้อ ๑๗ (๔) หมายถึง เจ้าพนักงานที่กฎหมายกาหนด
ให้มีอานาจในการยึด อายัด หรือขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้มีหน้าที่ต้องจ่าย หรือชาระเงิน ตามท่ีกฎหมาย
บัญญัติไว้เท่านัน ดังนัน เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงมิใช่เจ้าพนักงานผู้มีอานาจในการยึดและขายทอดตลาดท่ีดิน
ของผู้ที่ค้างชาระเงินค้างจ่ายใด ๆ ตามที่บัญญัติไว้ในกฎกระทรวง ฉบับท่ี ๔๓ ข้อ ๑๗ (๔) จึงไม่อาจขอให้
เจา้ พนกั งานทีด่ นิ ออกใบแทนโฉนดทีด่ นิ ให้ได้
ความเหน็ ของกรมทด่ี ิน เหน็ ชอบ
-- ๗7๔4- -
เรื่องที่ ๖๓ การออกโฉนดที่ดนิ ในเขตพระราชกฤษฎกี ากาหนดเขตปฏริ ปู ท่ีดนิ
เรอ่ื งเสร็จที่ ๑๐/๒๕๔๙
ประเดน็ พจิ ารณา
มติท่ีประชุมคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมที่ดิน ครังที่ ๗/๒๕๓๙
เมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๓๙ และครังท่ี ๑/๒๕๔๓ เมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๔๓ เร่ือง ใบจองที่ออกให้แก่
ราษฎรในเขตปฏิรูปที่ดิน แต่อยู่นอกเขตดาเนินการของ ส.ป.ก. แตกต่างจากความเห็นของสานักจัดการที่ดิน
ของรฐั หรือไม่ อยา่ งไร
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมที่ดิน ครั้งที่ ๔/๒๕๔๙ เม่ือวันท่ี ๓๑
ตุลาคม ๒๕๔๙ (วาระที่ ๔.๒)
จากมติทป่ี ระชมุ ของคณะกรรมการพจิ ารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมทด่ี นิ ครงั ท่ี ๗/๒๕๓๙
เม่ือวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๓๙ และครังท่ี ๑/๒๕๔๓ เม่ือวันท่ี ๑๙ มกราคม ๒๕๔๓ จะเห็นได้ว่ามติที่ประชุม
ทังสองครังมิได้มีมติว่า ใบจองที่ออกในเขตปฏิรูปภายหลังประกาศเขตปฏิรูปท่ีดินแล้วเป็นใบจองท่ีชอบด้ วย
กฎหมาย เพียงแต่มีมติว่าใบจองทีอ่ อกในเขตปฏิรูปแต่อยู่นอกเขตดาเนินการของ ส.ป.ก. และถ้าใบจองนันได้มี
การดาเนินการตามกระบวนการหรือขันตอนของการจัดที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดินและระเบียบข้อบังคับ
เก่ยี วกับการจัดทด่ี นิ เพ่ือประชาชนแล้ว พนกั งานเจา้ หนา้ ท่ียอ่ มสามารถนาใบจองนนั มาเป็นหลักฐานในการออก
หนังสือแสดงสิทธิในท่ีดินให้แก่ราษฎรตามประมวลกฎหมายที่ดินต่อไปได้เท่านัน โดยให้พนักงานเจ้าหน้าที่
ถือปฏิบัติตามหนังสือกรมท่ีดิน ท่ี มท ๐๖๐๙/๓/ว ๒๐๑๕๓ ลงวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๒๔ โดยเคร่งครัด
สาหรบั หนังสือกรมท่ีดิน ท่ี มท ๐๕๑๑.๒/๓๙๕๒๕ ลงวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๔๗ ท่ตี อบข้อหารือจังหวดั กาแพงเพชรว่า
ใบจอง (น.ส. ๒) ที่ออกเมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๓๔ ในพืนท่ีมีพระราชกฤษฎีกากาหนดเขตปฏิรูปท่ีดิน
ซ่ึงมีผลในวันท่ี ๕ ตุลาคม ๒๕๒๐ โดยการนาที่ดินในเขตปฏิรปู ท่ีดินไปจัดให้กับประชาชนเป็นกรณีที่เจ้าหน้าที่
ไม่ได้ดาเนินการตามกฎหมายและระเบียบปฏิบัติซึ่งถือปฏิบัติในขณะนัน การออกใบจองภายหลังการ
ประกาศใช้พระราชกฤษฎีกากาหนดเขตปฏิรูปท่ีดินจึงเป็นใบจองท่ีไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ขัดกับมติของ
คณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมที่ดิน ครังที่ ๗/๒๕๓๙ และครังท่ี ๑/๒๕๔๓ แต่อย่างใด
เพราะการประชุมทังสองครัง คณะกรรมการฯ มีมติเพียงวา่ ใหน้ าใบจองท่ีออกภายหลังประกาศเขตปฏิรูปท่ีดิน
แต่อยู่นอกเขตดาเนินการมาเป็นหลักฐานในการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินให้แก่ราษฎรตา มประมวล
กฎหมายท่ีดินต่อไปได้ แต่ต้องถือปฏิบัติตามหนังสือกรมท่ีดิน ที่ มท ๐๖๐๙/๓/ว ๒๐๑๕๓ ลงวันท่ี ๒๔
กนั ยายน ๒๕๒๔ โดยเครง่ ครดั
ความเหน็ ของกรมที่ดิน เหน็ ชอบ
- ๗7๕5- -
เร่ืองที่ ๖๔ หนังสือรับรองการทาประโยชน์ (น.ส. ๓) ไม่มีเลขที่จะเป็นการออกไปโดยชอบด้วยกฎหมาย
หรอื ไม่
เรือ่ งเสร็จที่ ๘/๒๕๔๙
ประเด็นพิจารณา
หนังสือรับรองการทาประโยชน์ (น.ส. ๓) ที่ออกไปโดยไม่มีเลขท่ีจะเป็นหนังสือรับรอง
การทาประโยชน์ (น.ส. ๓) ที่ออกไปโดยไมช่ อบดว้ ยกฎหมายหรอื ไม่
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมที่ดิน ครั้งท่ี ๔/๒๕๔๙ เม่ือวันที่ ๓๑
ตลุ าคม ๒๕๔๙ (วาระที่ ๔.๔)
หนังสือรับรองการทาประโยชน์ (น.ส. ๓) ท่อี อกไปโดยพนักงานเจ้าหน้าท่ี จะชอบด้วยกฎหมาย
ก็ต่อเม่ือมีการดาเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายกาหนด ส่วนหนังสือรับรองการทาประโยชน์
ที่ออกไปโดยไม่มีเลขที่จะเป็นเอกสารท่ีชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นัน ไม่อาจชีชัดได้ว่าชอบหรือไม่ชอบด้วย
กฎหมายต้องพิจารณาเป็นราย ๆ ไป โดยสอบสวนจากเอกสารพยานหลักฐานต่าง ๆ ในสารบบหรือสืบค้นจาก
ที่ดินแปลงข้างเคียง, บันทึกถ้อยคาของผู้ปกครองท้องท่ี, พยานบุคคล, สภาพแวดล้อมท่ีดิน ฯลฯ
มาประกอบการพิจารณาถึงความชอบด้วยกฎหมาย ควรมอบหมายให้สานักมาตรฐานการออกหนังสือสาคัญ
วางแนวทางการสอบสวนเพ่ือให้ทราบถึงความถูกต้องแท้จริงของหนังสือรับรองการทาประโยชน์กรณีท่ีออกไป
โดยไม่มีเลขทีด่ งั กลา่ วต่อไป
ความเหน็ ของกรมทดี่ ิน เห็นชอบ
- ๗7๖6- -
เร่ืองที่ ๖๕ การจาหนา่ ยโฉนดท่ดี ินที่โอนกลับเป็นทส่ี าธารณประโยชน์
เร่อื งเสร็จท่ี ๑/๒๕๕๐
ประเด็นพจิ ารณา
กรณีการออกโฉนดที่ดินโดยมิชอบทับที่สาธารณประโยชน์ แต่กรมที่ดินใช้ดุลพินิจไม่เพิกถอน
เนอ่ื งจากมีการโอนทด่ี ินให้เป็นทสี่ าธารณประโยชน์แล้ว เปน็ การดาเนนิ การทช่ี อบด้วยกฎหมายหรือไม่
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมที่ดินครั้งที่ ๑/๒๕๕๐ เม่ือวันท่ี ๘
มีนาคม ๒๕๕๐ (วาระท่ี ๔.๑)
เม่ือข้อเท็จจริงปรากฏว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดลาพูนได้ใช้ดุลพินิจพิจารณาไม่เพิกถอนโฉนดที่ดิน
ตามมาตรา ๖๑ (เดิม) แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน เน่ืองจากผู้มีชื่อในโฉนดท่ีดินได้โอนโฉนดที่ดินเลขท่ี ๑๐๔๓๘
และ ๑๐๔๔๑ ตาบลศรีเตีย อาเภอบ้านโฮ่ง จังหวัดลาพูน ให้กลับเป็นท่ีสาธารณประโยชน์ตามเดิมแล้ว (ตามบันทึก
จังหวัดลาพูน ปกปิด ด่วน ที่ ลพ ๐๐๒๒/๑๙๐ ลงวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๔๒ เรื่อง ราษฎรบ้านดงขีเหล็ก
ร้องเรียนการออกโฉนดท่ีดินในท่ีสาธารณประโยชน์) และพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ดาเนินการจาหน่ายโฉนดที่ดิน
โดยหมายเหตุและขีดเส้นขนานคู่สีแดง (ขีดฆ่า) ไปแล้ว จึงถือได้ว่าผู้ว่าราชการจังหวัดได้ดาเนินการส่ังการไป
ตามกระบวนการพิจารณาตามมาตรา ๖๑ (เดิม) แล้ว (เทียบเคียงความเห็นกรมท่ีดิน ตามบันทึกกองนิติการ
ที่ มท ๐๗๑๒/๑๓ ลงวันท่ี ๘ มกราคม ๒๕๔๔) ดังนัน การท่ีกรมท่ีดินได้ใช้ดุลพินิจสั่งยุติเร่ือง จึงเป็นการ
ดาเนนิ การไปโดยชอบด้วยกฎหมาย
ความเหน็ ของกรมท่ดี นิ เห็นชอบ
- ๗7๗7- -
เร่อื งที่ ๖๖ ความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา เร่ืองเสร็จท่ี ๕๓๕/๒๕๔๙ เรื่อง การออกโฉนดที่ดินในเขต
ห้ามล่าสัตว์ป่าตามกฎหมายว่าด้วยการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า ส่งผลกระทบต่อการเดิน
สารวจออกโฉนดที่ดินตามโครงการแปลงสินทรัพย์เป็นทุนในพืนท่ีเขตห้ามล่าสัตว์ป่า
ทีไ่ ดด้ าเนินการไปแลว้ หรือไมอ่ ย่างไร
เรือ่ งเสรจ็ ที่ ๒/๒๕๕๐ - เรือ่ งเดียวกบั เรอื่ งเสรจ็ ที่ ๙/๒๕๕๐
ประเดน็ พิจารณา
กรณีการเดนิ สารวจออกโฉนดท่ีดินตามมาตรา ๕๘ และมาตรา ๕๘ ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน
ในเขตห้ามล่าสัตว์ป่า เสนอคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมท่ีดินพิจารณาว่า
เมื่อคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับการเดินสารวจออกโฉนดท่ีดินในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าไว้ว่า
“แม้ว่ามาตรา ๕๘ วรรคหน่ึง จะมิได้ห้ามไว้ แต่การเดินสารวจเพ่ือออกโฉนดที่ดินตามมาตรา ๕๘ และ มาตรา ๕๘ ทวิ
แห่งประมวลกฎหมายท่ีดิน ในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าไม่สามารถเดินสารวจได้” ความเห็นดังกล่าวจะส่งผลกระทบ
ตอ่ การเดินสารวจออกโฉนดที่ดินตามโครงการแปลงสินทรัพย์เป็นทุนในพืนท่ีเขตห้ามล่าสัตว์ป่าที่ได้ดาเนินการ
ไปแลว้ หรือไม่ อย่างไร
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมท่ีดิน คร้ังท่ี ๑/๒๕๕๐ เมื่อวันที่ ๘
มนี าคม ๒๕๕๐ (วาระท่ี ๔.๒)
๑. เม่ือคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ให้ความเห็นว่า “แม้ว่ามาตรา ๕๘ วรรคหน่ึง จะไม่ได้
กาหนดหา้ มไว้ แต่การเดินสารวจเพื่อออกโฉนดที่ดินตามมาตรา ๕๘ และมาตรา ๕๘ ทวิ แห่งประมวลกฎหมายท่ีดิน
ในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าก็ไม่สามารถเดินสารวจได้” (ตามความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่องเสร็จที่ ๕๓๕/๒๕๔๙
เรื่อง การออกโฉนดที่ดินในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าตามกฎหมายว่า ด้วยการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า)
จากความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกาดังกล่าวย่อมทาใหโ้ ฉนดท่ีดินท่ีได้ออกไปโดยการเดินสารวจตามโครงการ
แปลงสินทรัพย์เป็นทุนในพืนที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่าบริเวณ “ทะเลน้อย” เป็นการดาเนินการที่ไม่ชอบด้วย
กฎหมายมาตังแต่ต้น เนื่องจากเมื่อคณะกรรมการกฤษฎีกามีความเห็นในทางกฎหมายเป็นประการใดแล้ว
โดยปกตใิ หเ้ ปน็ ไปตามความเหน็ ของคณะกรรมการกฤษฎกี า (ตามมติคณะรฐั มนตรีเมอ่ื วนั ที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๒)
๒. แม้วา่ พนักงานเจ้าหนา้ ท่จี ะไม่สามารถเดนิ สารวจออกโฉนดที่ดินในพืนทเ่ี ขตห้ามล่าสัตว์ป่า
“ทะเลน้อย” ดังที่กล่าวตาม ๑ ได้ แต่เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนและไม่เป็นการสร้างภาระให้แก่
ประชาชน จึงเห็นควรให้ผู้ครอบครองท่ีดินยื่นคาขอออกโฉนดท่ีดินเป็นการเฉพาะรายตาม มาตรา ๕๙
แห่งประมวลกฎหมายท่ีดิน เพ่ือจะได้ดาเนินการตังคณะกรรมการออกไปตรวจพิสูจน์ท่ีดิน ตามข้อ ๑๖
ประกอบ ข้อ ๑๐ (๓) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้
ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ ทังนี โดยอาศัยอานาจตามมาตรา ๕ มาตรา ๒ วรรคสอง และมาตรา ๔๑ (๔)
แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ และเมื่อผลการตรวจสอบเป็นประการใด
ใหจ้ งั หวดั ดาเนนิ การตามอานาจหนา้ ท่ีตอ่ ไป
ความเหน็ ของกรมทด่ี นิ เหน็ ชอบ
- ๗7๘8- -
เร่ืองท่ี ๖๗ การนาใบจองมาใช้เปน็ หลกั ฐานในการออก น.ส. ๓ ก. ในทอ้ งทอ่ี าเภอครบุรี จังหวดั นครราชสีมา
เร่อื งเสร็จท่ี ๕/๒๕๕๐
ประเด็นพจิ ารณา
กรณีพนักงานเจ้าหน้าท่ีได้ออกใบจองเลขท่ี ๒๕๔, ๒๕๕, ๒๘๐, ๒๘๑, ๒๘๔, ๒๘๖, ๒๘๗,
๒๙๗, ๒๙๙, ๓๐๐, ๓๐๔, ๓๐๕, ๓๐๙, ๓๑๒, ๓๑๙, ๓๒๒, ๓๒๙ และ ๓๓๑ ตาบลครบุรี อาเภอครบุรี
จงั หวัดนครราชสมี า รวม ๑๘ แปลง โดยได้ออกใบจองระหวา่ งปี พ.ศ. ๒๕๐๑-๒๕๐๕ กอ่ นทีค่ ณะรัฐมนตรีจะมี
มติเม่ือวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๐๖ ให้ท่ีดินบริเวณท่ีออกใบจองเป็นป่าไม้ถาวร แต่ผลจาการแปลภาพถ่าย
ทางอากาศปี พ.ศ. ๒๔๙๗ และ พ.ศ. ๒๕๑๐ ปรากฏว่าบริเวณดงั กลา่ วไม่มีรอ่ งรอยการทาประโยชน์แต่อยา่ งใด
ดังนัน จะถือว่าใบจองทัง ๑๘ แปลง เป็นใบจองที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และสามารถนาใบจองมาใช้เป็น
หลกั ฐานในการออกหนงั สือรับรองการทาประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ไดห้ รอื ไม่
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมที่ดิน ครั้งที่ ๒/๒๕๕๐ เมื่อวันที่ ๑๔
พฤษภาคม ๒๕๕๐ (วาระที่ ๔.๒)
การที่จะถือว่าบุคคลผู้มีชื่อตามใบจองขาดสิทธิในที่ดินที่ได้รับอนุญาตให้จับจองจะต้องเป็น
กรณีท่อี ธบิ ดกี รมท่ีดินได้ใช้อานาจส่งั ให้ออกจากทด่ี นิ ตามมาตรา ๓๒ แห่งประมวลกฎหมายท่ีดิน เมื่อปรากฏว่า
อธบิ ดีกรมที่ดินยังไม่ได้มีคาสั่งให้บุคคลผู้มีชื่อตามใบจองออกจากที่ดินเพราะการไม่ปฏิบัติตามระเบียบ ว่าด้วย
การจัดที่ดินเพื่อประชาชน บุคคลดังกล่าวจึงยังมีสิทธิในท่ีดินตามใบจองอยู่ต่อไป และโดยท่ีการออกใบจอง
ให้แก่ราษฎรเป็นการใช้อานาจตามกฎหมายของพนักงานเจ้าหน้าที่ท่ีมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือ
หน้าท่ีของบุคคลที่ได้รับการคัดเลือกให้อยู่ในที่ดิน จึงเป็น “คาส่ังทางปกครอง” ซึ่งตราบใดที่เจ้าหน้าที่
ผู้มีอานาจยังไม่มีการสั่งเพิกถอนใบจอง คาสั่งทางปกครองดังกล่าวยังคงมีอยู่ตามกฎหมายตามนัยมาตรา ๕
และมาตรา ๔๒ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ประกอบกับการ
ออกใบจองทัง ๑๘ แปลงดังกล่าว เป็นผลสืบเนื่องมาจากพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ดาเนินการจัดที่ดินและออกใบจอง
ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๐๑ - ๒๕๐๕ ก่อนท่ีคณะรัฐมนตรีจะมีมติจาแนกประเภทท่ีดินเป็นเขตป่าไม้ถาวร
ตามมติคณะรัฐมนตรีเม่ือวันท่ี ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๐๖ ใบจองจึงชอบด้วยกฎหมายสามารถนามาใช้เป็น
หลกั ฐานในการออกหนงั สือรับรองการทาประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ได้
ความเห็นของกรมที่ดนิ เหน็ ชอบ
- ๗7๙9- -
เรื่องที่ ๖๘ หารอื แนวทางปฏิบตั ิการออกโฉนดท่ีดนิ ตามโครงการเดนิ สารวจฯ ในเขตหา้ มล่าสัตว์ปา่
เรื่องเสรจ็ ท่ี ๙/๒๕๕๐ (เก็บรวม ๒/๒๕๕๐)
ประเดน็ พจิ ารณา
กรณีการออกโฉนดท่ีดินตามโครงการเดินสารวจออกโฉนดที่ดินในเขตห้ามล่าสัตว์ป่า
ที่เจ้าพนักงานที่ดินได้ทาการแจกโฉนดที่ดินให้แก่ราษฎรหรือที่ยังมิได้แจกโฉนดที่ดินให้แก่ราษฎร ซึ่งได้
ดาเนินการไว้ก่อนท่ีคณะกรรมการกฤษฎีกาจะให้ความเห็นว่าในเขตห้ามล่าสัตว์ ป่าไม่สามารถเดินสารวจได้
ตามนัยหนังสือสานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ท่ี นร ๐๙๐๑/๐๙๓๗ ลงวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๔๙ นัน
กรมที่ดินจะนาแนวทางการแก้ไขปัญหาการออกเอกสารสิทธิในเขตปฏิรูปท่ีดินตามหนังสือกรมท่ีดิน ด่วนมาก
ที่ มท ๐๗๑๙/ว ๑๘๓๓๓ ลงวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๔๐ และ ที่ มท ๐๗๑๙/ว ๔๑๒๐๔ ลงวันที่ ๒๒
พฤศจกิ ายน ๒๕๔๒ มาปรบั ใช้กบั กรณนี ีได้หรอื ไม่ อย่างไร
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมที่ดิน ครั้งที่ ๓/๒๕๕๐ เม่ือวันท่ี ๙
ตลุ าคม ๒๕๕๐ (วาระท่ี ๔.๑)
๑. กรณีเรื่องนีไม่อาจนาแนวทางการแก้ไขปัญหาการออกเอกสารสิทธิในเขตปฏิรูปที่ดิน
ตามหนังสือกรมท่ีดิน ด่วนมาก ที่ มท ๐๗๑๙/ว ๑๘๓๓๓ ลงวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๔๐ และ ที่ มท ๐๗๑๙/ว ๔๑๒๐๔
ลงวันท่ี ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๒ มาปรับใช้ได้ เนื่องจากหนังสือกรมท่ีดินดังกล่าวเป็นกรณีการออกโฉนดที่ดิน
ทอ่ี ยูน่ อกพืนท่ีดาเนินการปฏริ ูปทด่ี ินของ ส.ป.ก.
๒. พืนท่ีบริเวณประกาศเป็นเขตห้ามล่าสัตว์ป่าท่ีพนักงานเจ้าหน้าที่ไม่สามารถเดินสารวจ
เพื่อออกโฉนดที่ดินตามมาตรา ๕๘ และมาตรา ๕๘ ทวิ แห่งประมวลกฎหมายท่ีดิน ตามความเห็นของ
คณะกรรมการกฤษฎีกา ท่ี นร ๐๙๐๑/๐๙๓๗ ลงวันที่ ๒๔ ตุลาคม ๒๕๔๙ ได้นัน จะต้องเป็นพืนที่ท่ีประกาศ
กาหนดให้เป็นเขตห้ามล่าสัตว์ป่า ตามมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๐๓
(มาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๓๕ บัญญัติไว้ในลักษณะทานองเดียวกนั )
กล่าวคือบริเวณสถานท่ซี ่ึงใช้ในราชการหรือใช้เพื่อสาธารณประโยชน์หรือประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกนั เท่านัน
ดงั นัน หากพืนทีท่ ีไ่ ดด้ าเนินการเดนิ สารวจเพ่ือออกโฉนดที่ดินตามมาตรา ๕๘ และมาตรา ๕๘ ทวิ แห่งประมวล
กฎหมายที่ดิน มิใช่พืนท่ีดังท่ีบัญญัติไว้ตามมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. ๒๕๐๓ ประกอบกับเป็นพืนท่ีที่ราษฎรได้เข้าครอบครองทาประโยชน์ และอยู่ในหลักเกณฑ์ที่อาจออก
โฉนดที่ดินได้ ตามนัยมาตรา ๕๘ ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน แล้ว ย่อมถือว่าการออกโฉนดท่ีดินดังกล่าว
เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย
ความเหน็ ของกรมทีด่ นิ เหน็ ชอบ
--๘8๐0- -
เร่อื งที่ ๖๙ การเพิกถอนโฉนดท่ดี นิ บรเิ วณโครงการจดั การนาเสียเขตควบคุมมลพิษ จงั หวดั สมทุ รปราการ
เรือ่ งเสรจ็ ที่ ๗/๒๕๕๐
ประเดน็ พิจารณา
การที่สานักงาน ป.ป.ช. ได้แจ้งมติคณะกรรมการ ป.ป.ช. ว่าโฉนดท่ีดินเลขท่ี ๑๓๑๕๐,
๑๓๘๑๗, ๑๕๐๒๔, ๑๕๕๒๘ และ ๑๕๕๖๕ ตาบลคลองด่าน อาเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ ท่ีได้ออก
ในบริเวณโครงการจัดการนาเสียเขตควบคุมมลพิษจังหวัดสมุทรปราการเป็นโฉนดที่ดินที่ออกไปโดยไม่ชอบ
ดว้ ยกฎหมายทับที่ดินสงวนหวงห้าม “ท่ีเทขยะมูลฝอย” ให้กรมท่ีดนิ พิจารณาดาเนินการเพิกถอน โดยเพ่ิมเติม
เงื่อนไขการเพิกถอนโฉนดท่ีดินเลขที่ ๑๓๑๕๐, ๑๓๘๑๗, ๑๕๐๒๔ และ ๑๕๕๒๘ ว่าเป็นการออกในพืนท่ี
สงวนหวงห้าม “ที่เทขยะมูลฝอย” อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทใช้เพ่ือประโยชน์ของแผ่นดิน
โดยเฉพาะกับให้เพิกถอนโฉนดท่ีดินเลขท่ี ๑๕๕๖๕ ตามมาตรา ๖๑ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งมติ
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ดังกล่าว มีความเห็นขัดแย้งกับความเห็นของกรมที่ดินที่เห็นว่าท่ีดินบริเวณดังกล่าว
ไมใ่ ช่ที่สงวนหวงห้าม “ท่เี ทขยะมูลฝอย” จงึ มีประเด็นปญั หาขอ้ กฎหมายพิจารณาวา่
๑.๑ กรมท่ีดินจะดาเนินการเพิม่ เติมเงอ่ื นไขการเพิกถอนโฉนดทีด่ ินเลขท่ี ๑๓๑๕๐, ๑๓๘๑๗,
๑๕๐๒๔ และ ๑๕๕๒๘ ตาบลคลองด่าน อาเภอบางบ่อ จังหวดั สมุทรปราการ ตามลาดับ โดยนาเหตผุ ลตามมติ
คณะกรรมการ ป.ป.ช. มาเพ่ิมเติมในคาสั่งกรมท่ีดนิ ท่ีได้เพิกถอนโฉนดทดี่ ินทังสี่ฉบบั ดังกลา่ ว ไดห้ รอื ไม่ อย่างไร
๑.๒ กรมท่ีดินจะดาเนินการเพิกถอนโฉนดท่ีดินเลขที่ ๑๕๕๖๕ ตาบลคลองด่าน อาเภอบางบ่อ
จังหวัดสมทุ รปราการ ตามมติคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้หรอื ไม่ อย่างไร
๑.๓ หนังสือแสดงสิทธิในที่ดินแปลงอ่ืน ๆ ท่ีได้ออกในบริเวณเดียวกับกรณีปัญหา จะเป็น
หนังสือแสดงสิทธใิ นทดี่ ินทีไ่ ดอ้ อกไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามนัยมติคณะกรรมการ ป.ป.ช. ด้วยหรอื ไม่
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมท่ีดิน ครั้งที่ ๓/๒๕๕๐ เม่ือวันท่ี ๙
ตลุ าคม ๒๕๕๐ (วาระท่ี ๔.๒)
๑. เรื่องนีกรมที่ดินได้มีความเห็นเป็นท่ียุติแล้วว่า “ประกาศหวงห้ามท่ีดินชายทะเล
ฝั่งตะวันออกจังหวัดสมุทรปราการ สาหรับใช้ราชการเทขยะมูลฝอย ฉบับลงวันที่ ๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๒
ของผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ เป็นประกาศสงวนหวงห้ามก่อนพระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดิน
รกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พุทธศักราช ๒๔๗๘ ใช้บังคับ การประกาศหวงห้ามฯ
ของผู้ว่าราชการจังหวัดฯ จึงมีผลบังคับใช้ทาให้ท่ีดินบริเวณตามประกาศเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
ที่ดนิ อันเป็นสาธารณสมบัตขิ องแผน่ ดินจะโอนแก่กันมิได้ เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์
มาตรา ๑๓๐๕ กล่าวคือ หากมีกฎหมายเฉพาะหรือพระราชกฤษฎีกาให้โอนก็โอนได้ ถ้าไม่มีกฎหมายเฉพาะ
หรือพระราชกฤษฎีกาให้โอนก็โอนไม่ได้ เม่ือข้อเท็จจริงปรากฏว่าท่ีดินบริเวณตามประกาศของผู้ว่าราชการ
จังหวัดฯ ได้มีพระราชกฤษฎีกากาหนดการแบ่งท่ีดินในอาเภอบางบ่อ บางพลี จังหวัดสมุทรปราการ และบางปะกง
จังหวัดฉะเชิงเทรา ให้แก่ราษฎร พุทธศักราช ๒๔๗๓ ใช้บังคับ แม้พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวจะมิได้บัญญัติ
ให้ยกเลิกประกาศหวงห้ามฯ ของผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปรา การก็ต้องถือว่าประกาศหวงห้ามฯ
ของผู้ว่าราชการจังหวัดฯ ถูกยกเลิกโดยปริยายโดยผลของกฎหมาย แม้ต่อมาจะมีพระราชบัญญัติยกเลิก
กฎหมายว่าด้วยการแบ่งท่ีดินในอาเภอสมุทรปราการ บางบ่อ บางพลี จังหวัดพระนคร และอาเภอบางปะกง
จังหวัดฉะเชิงเทรา พุทธศักราช ๒๔๘๙ ใช้บังคับ โดยมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวให้ยกเลิก
- ๘8๑1- -
พระราชกฤษฎีกากาหนดการแบ่งที่ดินในอาเภอบางบ่อ บางพลี จังหวัดสมุทรปราการ และบางปะกง
จังหวัดฉะเชิงเทรา ให้แก่ราษฎร พุทธศักราช ๒๔๙๓ และประกาศให้ใช้พระราชกฤษฎีกากาหนดแบ่งที่ดิน
ในอาเภอบางบ่อ บางพลี จังหวัดสมุทรปราการ และบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ให้แก่ราษฎร พุทธศักราช
๒๔๗๓ บังคับถึงอาเภอเมืองสมุทรปราการ การยกเลิกพระราชกฤษฎีกาฯ และประกาศดังกล่าวก็ไม่ทาให้
ประกาศหวงห้ามที่ดินชายทะเล ฝ่ังตะวันออกจังหวัดสมุทรปราการสาหรับใช้ราชการเทขยะมูลฝอย
ฉบับลงวันท่ี ๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๒ ของผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ ซ่ึงถูกยกเลิกโดยปริยายโดยผลของ
กฎหมายไปแล้วกลับมีผลใช้บังคับขึนมาอีก” (ตามบันทึกกองนิติการ ด่วนที่สุด ท่ี มท ๐๕๐๕.๔/๑๐๔๙
ลงวันท่ี ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมที่ดิน ครงั ที่ ๕/๒๕๔๘
เมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๔๘)
๒. ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ชีมูลว่าโฉนดที่ดินเลขท่ี ๑๓๑๕๐, ๑๓๘๑๗, ๑๕๐๒๔,
๑๕๕๒๘ และ ๑๕๕๖๕ ตาบลคลองด่าน อาเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ ซ่ึงเป็นที่ดินบริเวณประกาศหวงห้าม
ที่ดินชายฝั่งทะเลตะวันออกจังหวัดสมุทรปราการ สาหรับใช้ราชการเทขยะมูลฝอย ฉบับลงวันท่ี ๕ ตุลาคม
พ.ศ. ๒๔๗๒ ของผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการเป็นโฉนดท่ีดินได้ออกไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายทับท่ีดิน
สงวนหวงห้าม “ท่ีเทขยะมูลฝอย” อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทใช้เพ่ือประโยชน์ของแผ่นดิน
โดยเฉพาะ จึงเป็นความเห็นเก่ียวกับสถานะของท่ีดินบริเวณประกาศหวงห้ามฯ ของผู้ว่าราชการจังหวัด
สมุทรปราการท่ีแตกต่างจากความเห็นของกรมท่ีดิน แต่เนื่องจากเรื่องนีคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไม่เคยขอ
ความเห็นในประเด็นปัญหาดังกล่าวมายังกรมท่ีดินแต่อย่างใด ประกอบกับขณะนีปัญหาเก่ียวกับที่ดินตาม
ประกาศหวงห้ามฯ ของผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ อยู่ระหว่างอัยการสูงสุดยื่นฟ้องคดีต่อศาลฎีกา
แผนกคดอี าญาของผดู้ ารงตาแหนง่ ทางการเมือง ในชันนี จึงควรรอฟงั ผลการพิจารณาคดขี องศาลฎกี าก่อน
ความเหน็ ของกรมทด่ี ิน เห็นชอบ
-- ๘8๒2- -
เรือ่ งที่ ๗๐ การแก้ไขโฉนดที่ดนิ ตามคาพิพากษา
เรือ่ งเสร็จท่ี ๘/๒๕๕๐
ประเด็นพจิ ารณา
กรณีศาลอุทธรณ์ภาค ๑ มีคาพิพากษาถึงท่ีสุด คดีหมายเลขแดงท่ี ๔๕๐๗/๒๕๕๗ ลงวันท่ี ๒๖
ตุลาคม ๒๕๔๗ ยืนตามคาพิพากษาของศาลชันต้นว่า “ท่ีดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.๑)
เลขท่ี ๔๘ ตาบลห้วยไผ่ อาเภอแสวงหา จังหวัดอ่างทอง ด้านทิศตะวันตก บนท่ีดินเนือที่ ๒ ไร่ - งาน ๕๕
ตารางวา ตกเป็นสิทธิของโจทก์แต่ผู้เดียว ห้ามจาเลยเข้ามาเก่ียวข้องกับที่ดินของโจทก์ดังกล่าว” ดังนี
เจ้าพนักงานท่ีดินจะสามารถดาเนินการแก้ไขรูปแผนท่ีและเนือที่ในโฉนดที่ดินเลขที่ ๘๒๐๓ ท่ีออกโดยอาศัย
หลักฐาน ส.ค.๑ ดังกล่าว ตามมาตรา ๖๑ วรรคแปด แหง่ ประมวลกฎหมายท่ดี ิน ได้หรอื ไม่ อยา่ งไร
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมท่ีดิน ครั้งท่ี ๓/๒๕๕๐ เม่ือวันท่ี ๙
ตุลาคม ๒๕๕๐ (วาระที่ ๔.๓)
เม่ือข้อเท็จจริงปรากฏว่า การพิจารณาดาเนินการแก้ไขโฉนดท่ีดินเลขที่ ๘๒๐๓ ตาบลห้วยไผ่
อาเภอแสวงหา จังหวัดอ่างทอง รองอธิบดีซึ่งอธิบดีมอบหมายได้ตังคณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา ๖๑ วรรคสอง
แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน โดยได้ดาเนินการไปตามขันตอนกระบวนพิจารณาตามมาตรา ๖๑ แห่งประมวล
กฎหมายที่ดิน ประกอบกฎกระทรวง กาหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการตังคณะกรรมการสอบสวน การสอบสวน
การแจ้งผูม้ ีส่วนไดเ้ สียเพื่อให้โอกาสคัดค้าน และการพจิ ารณาเพกิ ถอนหรือแก้ไขการออกโฉนดท่ดี ินหรือหนังสือ
รับรองการทาประโยชน์ การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ หรือการจดแจ้งเอกสาร
รายการจดทะเบียนอสังหาริมทรัพย์ โดยคลาดเคล่ือนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย พ.ศ. ๒๕๔๔ และได้มีการกันเขต
รูปแผนที่พิพาทเรียบร้อยแล้ว ดังนัน เร่ืองดังกล่าวนีจึงควรดาเนินการแก้ไขตามนัยมาตรา ๖๑ วรรคแรก
แหง่ ประมวลกฎหมายทีด่ ิน ตอ่ ไป
อนึ่ง กรณที ่ศี าลได้มีคาพิพากษาหรอื คาสง่ั ถึงทสี่ ุดวา่ โฉนดทด่ี ินหรอื หนังสอื รับรองการทาประโยชน์
ได้ออกไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จะมีแนวทางในการพิจารณาเพิกถอนหรือแก้ไขอย่างใดนัน ควรมอบหมาย
ให้สานักมาตรฐานการออกหนังสือสาคัญพิจารณาว่าจะดาเนินการไปในแนวทางใด โดยให้ซักซ้อมความเข้าใจ
ระเบยี บกรมท่ีดิน ที่ ๓/๒๕๑๖ ลงวันท่ี ๑๙ มกราคม ๒๕๑๖ และระเบียบกรมทีด่ ิน ว่าดว้ ยวธิ ีการเพิกถอนหรือ
แก้ไขโฉนดท่ีดินหรือหนังสือรับรองการทาประโยชน์ หรือการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม หรือการจดแจ้ง
เอกสารรายการจดทะเบียนท่ีดิน ในกรณีที่ศาลมีคาพิพากษาหรือคาสั่งถึงที่สุดให้เพิกถอนหรือแก้ไข ฉบับท่ี ๒
(พ.ศ. ๒๕๒๒) เพ่ือใหเ้ ปน็ ไปในแนวทางเดยี วกนั
ความเหน็ ของกรมทีด่ นิ เห็นชอบ
*หมายเหตุ สานักมาตรฐานการออกหนังสือสาคัญได้นามตฯิ ดังกลา่ ว วางแนวทางปฏิบัติไวต้ าม
-- ๘8๓3- -
เรื่องที่ ๗๑ การพจิ ารณาหนงั สอื รบั รองการทาประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ทอี่ อกในเขตป่าไม้ถาวร
เรอ่ื งเสรจ็ ที่ ๑/๒๕๕๑
ประเดน็ พจิ ารณา
๑. เม่ือคณะรัฐมนตรีให้จาแนกที่ดินออกจากป่าไม้ถาวรโดยมอบพืนท่ีดังกล่าวให้คณะกรรมการ
จัดที่ดินแห่งชาติดาเนินการและคณะกรรมการจัดที่ดินได้มอบพืนที่นีให้สานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
ดาเนินการตามกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรม แต่ก่อนท่ีจะมีพระราชกฤษฎีกากาหนดเขต
ปฏิรปู ท่ดี ินเพ่ือเกษตรกรรม ทดี่ นิ ดงั กล่าวมีสถานะเป็นที่ดินประเภทใด
๒. หากที่ดินตามประเด็นที่ ๑ พ้นจากการเป็นป่าไม้ถาวรและเป็นที่รกร้างว่างเปล่า
ตามมาตรา ๑๓๐๔ (๑) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แล้ว กรณีจะเป็นข้อเท็จจริงท่ีเปล่ียนแปลงไป
ในสาระสาคัญในทางที่เป็นประโยชน์แก่คู่กรณีตามมาตรา ๕๔ (๔) แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการ
ทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ อันจะเปน็ ผลใหร้ องอธิบดีซ่งึ อธบิ ดีมอบหมายสามารถใช้ข้อเท็จจริงนีประกอบการใช้
ดุลพินิจตามมาตรา ๖๑ แห่งประมวลกฎหมายท่ีดิน ไม่เพิกถอนหนังสือรับรองการทาประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.)
ไดห้ รือไม่
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมที่ดิน ครั้งที่ ๑/๒๕๕๑ เม่ือวันท่ี ๑๙
กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๕๑ (วาระที่ ๔)
๑. แม้ว่าคณะรัฐมนตรีจะมีมตเิ ม่ือวันท่ี ๒๑ มิถุนายน ๒๕๐๙ จาแนกให้พนื ทีบ่ รเิ วณป่าสนั ปา่ ตอง
(ป่าแมข่ าน-แม่วาง) เป็นเขตปา่ ไม้ถาวร บริเวณพืนที่ดังกลา่ วก็ยังคงเป็นทีร่ กรา้ งว่างเปล่าแต่เป็นทร่ี กรา้ งวา่ งเปล่า
ที่อยู่ในเขตหวงห้าม เน่ืองจากมติคณะรัฐมนตรีเป็นเพียงนโยบายของรัฐบาลทตี่ ้องการจะจาแนกท่ีดินที่ต้องการ
สงวนไวเ้ ปน็ ป่า ดงั นนั การท่คี ณะรฐั มนตรีได้มีมติอกี ครังเมอ่ื วันท่ี ๑๕ เมษายน ๒๕๓๖ เห็นชอบให้จาแนกพนื ท่ี
บางส่วนออกจากเขตป่าไม้ถาวร (อยู่นอกเขตป่าสงวนแห่งชาติ) เพ่ือให้เป็นที่ดินทากินของราษฎรหรือ
เพ่ือประโยชน์อย่างอื่น โดยมอบให้คณะกรรมการจัดท่ีดินแห่งชาติดาเนินการ ท่ีดินดังกล่าวจึงยังคงมีสถานะ
เป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าตามมาตรา ๑๓๐๔ (๑) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่อยู่นอกเขตหวงห้าม
ตามมตคิ ณะรัฐมนตรี
๒. สาหรับประเด็นท่ี ๒ ควรมอบหมายให้สานักมาตรฐานการออกหนังสือสาคัญพิจารณา
ดาเนินการ
ความเห็นของกรมท่ดี นิ เห็นชอบ
--๘8๔4- -
เรอ่ื งท่ี ๗๒ การนาใบไต่สวนท่ีออกก่อนวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับมาเป็นหลักฐานในการขอออกโฉนดที่ดิน
เฉพาะราย
เรอื่ งเสร็จที่ ๕/๒๕๕๑
ประเดน็ พิจารณา
กรณีใบไต่สวนท่ีออกก่อนวันท่ีประมวลกฎหมายท่ีดินใช้บังคับจะนามาเป็นหลักฐานในการ
ออกโฉนดท่ีดนิ ในเขตปฏิรปู ท่ดี นิ ไดห้ รอื ไม่
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมที่ดิน ครั้งที่ ๓/๒๕๕๑ เมื่อวันท่ี ๔
มิถนุ ายน ๒๕๕๑ (วาระที่ ๔.๒)
หากขอ้ เท็จจริงฟังเป็นที่ยตุ ิว่า เดิมท่ีดินดังกล่าวมหี ลักฐานเป็นตราจองที่ดินช่ัวคราวตามมาตรา ๖
แห่งพระราชบัญญัติออกตราจองท่ีดินชั่วคราว รัตนโกสินทร์ศก ๑๒๑ ซ่ึงได้มีการเปล่ียนชื่อเรียกตราจองท่ีดิน
ช่วั คราวว่าโฉนดตราจอง ตามประกาศเปล่ียนนามพระราชบัญญตั อิ อกตราจองทีด่ นิ ช่ัวคราวเป็นพระราชบญั ญัติ
ออกโฉนดตราจอง ประกาศ ณ วันท่ี ๓๑ มีนาคม รัตนโกสินทร์ศก ๑๒๔ ฉะนัน ตราจองช่ัวคราวดังกล่าวก็คือ
โฉนดตราจองตามพระราชบัญญัติออกโฉนดตราจองฯ จึงเป็นโฉนดท่ีดินซึ่งเป็นหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดิน
ตามคานิยามในมาตรา ๑ แห่งประมวลกฎหมายท่ีดิน การขอออกโฉนดที่ดินรายนีไม่ถือเป็นการออกหนังสือ
สาคัญแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินใหม่ แต่เป็นการเปลี่ยนโฉนดตราจองเป็นโฉนดท่ีดินอันเป็นการสอบเขตโฉนดท่ีดิน
เฉพาะราย ตามมาตรา ๖๙ ทวิ แห่งประมวลกฎหมายท่ีดนิ
ความเหน็ ของกรมท่ดี นิ เห็นชอบ
-- ๘8๕5- -
เรื่องท่ี ๗๓ การเพิกถอนหนังสือรับรองการทาประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.)
เร่อื งเสรจ็ ที่ ๖/๒๕๕๑
ประเดน็ พิจารณา
กรณีคาพิพากษาของศาลในคดีท่ีบริษัท ศรีสุบรรณ จากัด เป็นโจทก์ฟ้อง และศาลได้มี
คาวินิจฉัยเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายของหนังสือรับรองการทาประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ว่าหนังสือรับรอง
การทาประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ได้ออกไปโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ซึ่งกรมท่ีดินมีความเห็นว่า หนังสือรับรอง
การทาประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ดังกล่าวได้ออกไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่า
คาพิพากษาในคดีดังกล่าว จะมีผลถึงกรมท่ีดิน ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกคดีและไม่ได้เข้าเป็นคู่ความด้วยหรือไม่
ถ้าข้อเท็จจริงเป็นการออกไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายจริง กรมที่ดินจะมีอานาจเพิกถอนหนังสือรับรองการ
ทาประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ท่ีไม่ชอบด้วยกฎหมายต่อไปอีกหรือไม่ และถ้าเพิกถอนไปตามอานาจหน้าท่ีจะมีผล
ทางกฎหมายอย่างไร และหนังสือรับรองการทาประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) จานวน ๗ แปลง ท่ีคณะกรรมการ
สอบสวนฯ มีความเหน็ ให้เพกิ ถอน เนือ่ งจากคาพพิ ากษาเกีย่ วกับหนังสือรับรองการทาประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ดังกล่าว
ไม่ได้วินิจฉัยว่า หนังสือรับรองการทาประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ทัง ๗ แปลง ได้ออกไปโดยชอบด้วยกฎหมาย
หรือไม่อย่างไร กรมท่ีดินจะมีคาส่ังเพิกถอนโดยอาศัยข้อเท็จจริงจากผลการสอบสวนของคณะเจ้าหน้าท่ีของ
กรมท่ีดินและผลการสอบสวนของพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษได้หรือไม่ และจะเป็นการวินิจฉัย
ที่ขัดต่อคาพิพากษาของศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานีท่ีได้มีการพิพากษาในคดีอ่ืนท่ีมีมูลกรณีเป็นอย่างเดียวกัน
หรอื ไม่
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมที่ดิน คร้ังที่ ๔/๒๕๕๑ เม่ือวันที่ ๒๐
มิถนุ ายน ๒๕๕๑ (วาระที่ ๔)
เม่อื ข้อเทจ็ จรงิ ปรากฏว่า เรื่องนีเป็นกรณีการใช้อานาจตามมาตรา ๖๑ แหง่ ประมวลกฎหมายที่ดิน
จึ งเป็ น อา น า จ ห น้ าท่ี ขอ งอ ธิ บ ดี กร ม ท่ี ดิ น ห รือ ผู้ ซ่ึ ง อธิ บ ดี ก ร มที่ ดิ น ม อบ ห ม าย ซึ่ ง ด า ร งต า แ ห น่ งร อง อธิ บ ดี
หรือผู้ตรวจราชการกรมที่ดิน ที่จะพิจารณาสั่งเพิกถอนหรือแก้ไขให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ดังนัน
ควรให้เป็นดุลยพินิจของผู้มีอานาจหน้าที่ ตามมาตรา ๖๑ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน โดยพิจารณาตาม
หลกั เกณฑ์ของกฎหมายตอ่ ไป
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมที่ดินมีข้อสังเกตเก่ียวกับ
ประเด็นปัญหา ดงั นี
๑. ตามมาตรา ๑๔๕ แห่งประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความแพ่ง บัญญัตวิ ่าคาพิพากษาหรือ
คาส่ังใด ๆ ให้ถือว่าผูกพันคู่ความในกระบวนการพิจารณาของศาลท่ีพิพากษาหรือมีคาสั่ง เมื่อตามกรณีปัญหา
กรมท่ีดินมิใช่คู่ความในคดีตามคาพิพากษาศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี คดีหมายเลขแดงที่ ๑๓๙๒/๒๕๕๒
คาพิพากษาของศาลดังกล่าวจึงไม่มีผลผูกพันกรมท่ีดิน (เทียบเคียงคาพิพากษาศาลฎีกา ๘๐๑๕/๒๕๕๓,
๑๘๓๔/๒๕๔๕)
๒. หากข้อเท็จจริงฟังเป็นที่ยุติตามความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนที่กรมท่ีดินตังขึน
และของคณะกรรมการสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ว่าผู้ท่ีมีช่ือในหนังสือรับรองการทาประโยชน์มิใช่ผู้ซึ่ง
ครอบครองและทาประโยชน์ในที่ดิน ก็ถือว่าเป็นการไม่ชอบด้วยมาตรา ๕๘ ทวิ วรรคแรก ประกอบ
กฎกระทรวง ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๔๙๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗
-- ๘8๖6- -
ข้อ ๘ (ท่ีใช้ในขณะนัน) ซ่ึงบัญญัติว่าต้องออกหนังสือรับรองการทาประโยชน์ให้กับผู้ครอบครองและทาประโยชน์
อธิบดีกรมที่ดินหรือผู้ซึ่งอธิบดีกรมที่ดินมอบหมายซ่ึงดารงตาแหน่งรองอธิบดี หรือผู้ตรวจราชการกรมท่ีดิน
ชอบที่จะพิจารณาจากข้อเท็จจริงและความเห็นของหน่วยงานและคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง และพิจารณา
ดาเนินการต่อไปไดเ้ ช่นเดยี วกบั ขอ้ สังเกตตาม ๑
ความเห็นของกรมทีด่ ิน เห็นชอบ
- ๘8๗7- -
เรื่องท่ี ๗๔ ค่าป่วยการของผู้ปกครองท้องท่ี ตามข้อ ๔ (๓) แห่งกฎกระทรวง ฉบับท่ี ๔๘ (พ.ศ. ๒๕๔๒)
ออกตามความในพระราชบญั ญตั ใิ หใ้ ช้ประมวลกฎหมายท่ีดิน พ.ศ. ๒๔๙๗
เรอ่ื งเสรจ็ ที่ ๖/๒๕๕๒
ประเดน็ พจิ ารณา
กรณีการจ่ายค่าป่วยการผู้ปกครองท้องท่ีหรือผู้แทนท่ีไปในการรังวัดเก่ียวกับการระวังชีและ
ลงชื่อรับรองแนวเขตท่ีดินสาธารณประโยชน์ในส่วนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ว่าองค์กรปกครอง
สว่ นทอ้ งถน่ิ จะได้รบั คา่ ป่วยการหรือไม่ อยา่ งไร
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมท่ีดิน คร้ังที่ ๔/๒๕๕๒ เม่ือวันท่ี ๒๗
สิงหาคม ๒๕๕๒ (วาระท่ี ๔.๔)
“เจ้าพนักงานผู้ปกครองท้องท่ี” ตามข้อ ๔ (๓) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๘ (พ.ศ. ๒๕๔๒)
ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ หมายถึง นายอาเภอซึ่งเป็นผู้ดูแล
สาธารณประโยชน์ ตามมาตรา ๑๒๒ แห่งพระราชบัญญตั ิลักษณะปกครองทอ้ งท่ี พ.ศ. ๒๔๕๗ ซง่ึ เปน็ กฎหมาย
ท่ีใช้บังคับอยู่ในขณะนัน แต่เน่ืองจากพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องท่ี พ.ศ. ๒๔๕๗ ดังกล่าว ได้ถูก
ยกเลิกโดยพระราชบัญญัติลักษณะปกครองทอ้ งที่ (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๕๕๑ แล้ว ดังนนั เพ่ือให้เกิดความชัดเจน
ควรให้หน่วยงานที่เก่ียวข้องร่วมกันพิจารณาแก้ไขกฎกระทรวง ฉบับท่ี ๔๘ ให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติ
ลักษณะปกครองทอ้ งท่ี (ฉบบั ที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๕๕๑ ตอ่ ไป
ความเห็นของกรมท่ีดนิ เหน็ ชอบ
-- ๘8๘8- -
เรอื่ งท่ี ๗๕ การเดินสารวจออกหนังสือรับรองการทาประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ในเขตพืนท่ีป่าไม้ตามมติ
คณะรัฐมนตรี เม่อื วันท่ี ๑๔ พฤศจกิ ายน ๒๕๐๔
เร่ืองเสร็จที่ ๒/๒๕๕๓
ประเดน็ พจิ ารณา
เขตป่าไม้ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๐๔ ถือเป็น “ป่าไม้ถาวร”
ตามมาตรา ๕๘ แห่งประมวลกฎหมายท่ีดนิ หรือไม่ อยา่ งไร
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมท่ีดิน ครั้งท่ี ๑/๒๕๕๓ เม่ือวันท่ี ๑๑
กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓ (วาระท่ี ๔.๑) และครั้งที่ ๒/๒๕๕๓ เม่ือวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๓ (๔.๑)
เม่ือตามมติคณะรัฐมนตรียังมิได้มีการสารวจและพิจารณาจาแนกประเภทที่ดินตามขันตอน
ของคณะอนุกรรมการจาแนกประเภทที่ดินประจาจังหวัด คณะอนุกรรมการอานวยการจาแนกที่ดิน
คณะกรรมการจาแนกประเภทท่ีดิน และคณะรัฐมนตรีตามลาดับ กล่าวคือคณะรัฐมนตรียังมิได้มีมติผลการ
จาแนกประเภททดี่ นิ ใหม่ โดยยกเลกิ มติคณะรัฐมนตรเี ม่ือวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๐๔ เพ่ือกาหนดพืนทีไ่ ว้เป็น
ป่าไม้ถาวรของชาติหรือจาแนกพืนท่ีบางส่วนเป็นท่ีจัดสรรเพื่อทากินของราษฎร หรือเพื่อให้ใช้ประโยชน์อื่น ๆ
ที่ดินดังกล่าวจึงมีสถานะเป็นเพียงป่าไม้ชั่วคราวเท่านัน มิใช่ “ป่าไม้ถาวร” ตามมาตรา ๕๘ แห่งประมวล
กฎหมายทีด่ นิ แต่อย่างใด ทงั นี ตามนัยหนงั สอื กรมทด่ี นิ ท่ี มท ๐๗๑๒/ว ๑๓๕๙๔ ลงวนั ที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๒๘
ความเห็นของกรมที่ดิน เห็นชอบ
- ๘8๙9- -
เรอื่ งที่ ๗๖ แนวทางปฏิบัติในการออกหนังสือรับรองการทาประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) กรณีความเห็นของ
คณะกรรมการกฤษฎกี าแตกตา่ งกบั คาวนิ ิจฉัยของศาลปกครองสูงสดุ
เรื่องเสรจ็ ที่ ๓/๒๕๕๓
ประเด็นพจิ ารณา
ที่ดินท่ีมีผู้ครอบครองและทาประโยชน์ในท่ีดินมาก่อนที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ
โดยไม่ได้แจ้งการครอบครอง ตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายท่ดี ิน พ.ศ. ๒๔๙๗ และ
เป็นผู้ซึ่งมิได้ปฏิบัติตามมาตรา ๒๗ ตรี แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ที่ดินบริเวณดังกล่าวพนักงานเจ้าหน้าท่ี
จะสามารถออกหนังสือรับรองการทาประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ให้แก่ผู้ขอได้หรือไม่ และโดยท่ีในกรณีดังกล่าว
ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาและคาพิพากษาศาลปกครองสูงสุดมีคาวินิจฉัยที่แตกต่างกันเกี่ยวกับ
แนวทางในการออกหนงั สือแสดงสิทธิในที่ดินในเขตปฏิรูปท่ีดิน ดังนัน พนักงานเจ้าหน้าที่ควรจะยึดแนวทางใด
เป็นหลกั ในการพิจารณาต่อไป
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมท่ีดิน คร้ังที่ ๒/๒๕๕๓ เม่ือวันท่ี ๒๖
มนี าคม ๒๕๕๓ (วาระที่ ๔.๒)
เม่ือข้อเท็จจริงปรากฏว่า ผู้ขอออกหนังสือรับรองการทาประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ในท้องท่ี
ตาบลผาขาว อาเภอผาขาว จังหวัดเลย เป็นผู้ซ่ึงไม่ได้แจ้งการครอบครอง ตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติ
ให้ใช้ประมวลกฎหมายท่ีดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ และมิได้แจ้งความประสงค์จะได้สิทธิในท่ีดินตามมาตรา ๒๗ ตรี
แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ไว้ก่อนมีการกาหนดเขตปฏิรูปท่ีดินตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
พ.ศ. ๒๕๑๘ พนักงานเจ้าหน้าท่ีจึงไม่อาจออกหนังสือรับรองการทาประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ตามมาตรา ๕๙ ทวิ
แห่งประมวลกฎหมายท่ีดิน ให้แก่ผู้ขอได้ (เทียบเคียงความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ ๒ ตามหนังสือ
สานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ด่วนท่ีสุด ท่ี นร ๐๖๐๑/๒๐๙ ลงวันท่ี ๒๙ มีนาคม ๒๕๓๗ เร่ือง อานาจ
ในการดแู ลรักษาท่ีสาธารณสมบัติของแผน่ ดินสาหรับพลเมืองใช้ร่วมกันและการออกเอกสารสิทธใิ นที่ดินในเขต
ปฏิรูปท่ีดิน เร่ืองเสร็จที่ ๒๐๗/๒๕๓๗) ส่วนกรณีความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาและคาพิพากษา
ศาลปกครองสูงสดุ มีคาวินิจฉยั ทแ่ี ตกต่างกันในกรณีเกย่ี วกบั อานาจของพนักงานเจา้ หน้าท่ใี นการออกโฉนดทดี่ ิน
หรือหนังสือรับรองการทาประโยชน์ ตามมาตรา ๕๙ ทวิ แห่งประมวลกฎหมายท่ีดิน สาหรับท่ีดินที่อยู่ในเขต
ปฏิรูปท่ีดิน นัน เห็นว่า ตามแนวทางปฏิบัติเมื่อคณะกรรมการกฤษฎีกาให้ความเห็นในทางกฎหมาย
เป็นประการใดแล้ว โดยปกติให้เป็นไปตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา (ตามหนังสือกรมเลขาธิการ
คณะรัฐมนตรี ที่ น.๑๑๓๑๐/๒๔๘๒ ลงวันที่ ๒ มีนาคม ๒๔๘๒ และเทียบเคียงความเห็นคณะกรรมการ
กฤษฎีกา คณะท่ี ๕ ตามหนังสือสานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ นร ๐๖๐๑/๒๔๐๓ ลงวันท่ี ๒๓
พฤศจิกายน ๒๕๓๐ เร่ือง หารือประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๓๓๗ ลงวันท่ี ๑๓ ธันวาคม ๒๕๑๕ กรณี
คาพพิ ากษาของศาลฎีกาแตกต่างกับความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎกี าเรื่องเสรจ็ ที่ ๔๐๒/๒๕๓๐)
ความเหน็ ของกรมท่ดี ิน เห็นชอบ