--๙9๐0- -
เร่อื งท่ี ๗๗ หารือการออกโฉนดท่ีดินในเขตนคิ มกสิกรรมและนคิ มเกลอื ในรปู สหกรณ์
เรอ่ื งเสร็จที่ ๓/๒๕๕๔ - เรอ่ื งเดียวกบั เร่ืองเสร็จท่ี ๑๔/๒๕๕๔
ประเดน็ พิจารณา
สมาชิกนิคมสหกรณ์โคกขามได้นาหนังสือแสดงการทาประโยชน์ในที่ดิน (กสน. ๕) เลขที่ ๑๖๑๘๕
หมทู่ ่ี ๘ ตาบลโคกขาม อาเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร ย่ืนขอรงั วัดออกโฉนดทด่ี ินในเขตพระราชกฤษฎกี า
จัดตังนิคมกสิกรรมและนิคมเกลือในรูปสหกรณ์ในจังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดธนบุรี และจังหวัดสมุทรปราการ
พ.ศ. ๒๕๐๐ แต่พนักงานเจ้าหน้าท่ีจังหวัดสมุทรสาครยังไม่สามารถดาเนินการออกโฉนดให้ได้ เน่ืองจากสถานี
พัฒนาทรัพยากรป่าชายเลนท่ี ๗ แจง้ ว่าพนื ท่ีออกโฉนดที่ดินดังกลา่ วอยูใ่ นพนื ที่ป่าชายเลนตามมตคิ ณะรฐั มนตรี
เม่อื วันที่ ๑๕ ธนั วาคม ๒๕๓๐ และวันที่ ๒๒ สงิ หาคม ๒๕๔๓
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมที่ดิน ครั้งท่ี ๔/๒๕๕๓ เม่ือวันที่ ๑๔
ธันวาคม ๒๕๕๓ (วาระที่ ๔.๑)
เม่ือสมาชิกนิคมสหกรณ์โคกขาม ได้นาหนังสือแสดงการทาประโยชน์ในที่ดิน (กสน. ๕)
เลขที่ ๑๖๑๘๕ หมู่ที่ ๘ ตาบลโคกขาม อาเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร ในเขตพระราชกฤษฎีกา
จัดตังนิคมกสิกรรมและนิคมเกลือในรูปสหกรณ์ในจังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดธนบุรี และจังหวัดสมุทรปราการ
พ.ศ. ๒๕๐๐ มาย่ืนคาขอออกโฉนดโดยอาศัยมาตรา ๑๑ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพ่ือการครองชีพ
พ.ศ. ๒๕๑๑ แต่โดยท่ีปรากฏข้อเท็จจรงิ ว่าสถานีพฒั นาทรัพยากรป่าชายเลนท่ี ๗ แจง้ ว่าพืนที่ท่ีออกโฉนดท่ีดิน
ดังกล่าว อยู่ในพืนท่ีการใช้ประโยชน์ท่ีดินป่าชายเลนตามมติคณะรัฐมนตรี เม่ือวันท่ี ๑๕ ธันวาคม ๒๕๓๐ และ
วันท่ี ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๓ เช่นนีที่ดินท่ีอยู่ในเขตพืนที่ป่าชายเลนตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวย่อมถือเป็นที่ดิน
ที่คณะรัฐมนตรีสงวนไวเ้ พอ่ื รักษาทรพั ยากรธรรมชาติหรือเพือ่ ประโยชน์สาธารณะอย่างอ่ืน ซงึ่ ต้องหา้ มมิใหอ้ อก
โฉนดที่ดินตามนัยข้อ ๑๔ (๕) ของกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติ
ให้ใช้ประมวลกฎหมายท่ดี นิ พ.ศ. ๒๔๙๗ ดังนัน การท่ีสมาชิกนิคมสหกรณ์โคกขาม ได้นาหนงั สอื แสดงการทาประโยชน์
ในที่ดิน (กสน. ๕) มาย่ืนออกโฉนดในขณะท่ีกฎกระทรวง ฉบับท่ี ๔๓ มีผลใช้บังคับ เจ้าพนักงานท่ีดินย่อมต้อง
นาหลักเกณฑ์ดังกล่าวมาประกอบการพิจารณาว่าจะสามารถออกโฉนดที่ดินให้แก่ผู้ขอได้หรือไม่ เนื่องจากการ
จะพิจารณาวา่ ทด่ี ินแปลงใดจะออกโฉนดท่ีดินได้หรอื ไม่นนั เจ้าพนักงานทด่ี ินต้องใช้กฎหมายและระเบียบในวัน
ยื่นคาขอออกโฉนดท่ีดิน ส่วนวิธีการดาเนินการจะต้องใช้กฎหมายขณะดาเนินการ (เทียบเคียงคาพิพากษา
ศาลปกครองสูงสุด ท่ี อ.๖๑/๒๕๔๘)
อย่างไรก็ตาม พืนท่ีท่ีขอออกโฉนดท่ีดินในเขตพระราชกฤษฎีกาจัดตังนิคมกสิกรรมและนิคมเกลือ
ในรูปสหกรณ์ในจังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดธนบุรี และจังหวดั สมุทรปราการ พ.ศ. ๒๕๐๐ ดังกล่าวจะอยูใ่ นเขต
พืนท่ีการใช้ประโยชน์ที่ดินป่าชายเลนตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๓๐ และวันที่ ๒๒
สงิ หาคม ๒๕๔๓ หรือไม่ ควรเสนอให้คณะกรรมการป้องกันและหยุดยงั การบุกรุกในเขตป่าชายเลนของจังหวัด
สมุทรสาครเปน็ ผู้พิจารณาขอ้ เท็จจริงแตล่ ะกรณีไป
ความเห็นของกรมทีด่ ิน เห็นชอบ
- ๙9๑1- -
เรือ่ งท่ี ๗๘ หารอื เพ่ิมเตมิ เรื่อง การออกโฉนดทดี่ นิ ในเขตนคิ มกสกิ รรมและนิคมเกลือในรูปสหกรณ์
เรือ่ งเสร็จที่ ๑๔/๒๕๕๔ – เก็บรวมเร่อื งเสร็จที่ ๓/๒๕๕๔
ประเด็นพจิ ารณา
การขอออกโฉนดที่ดินในจังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดธนบุรี และจังหวัดสมุทรปราการจัดตัง
นิคมกสิกรรมและนิคมนาเกลือในรูปสหกรณ์ในจังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดธนบุรี และจังหวัดสมุทรปราการ
พ.ศ. ๒๕๐๐ โดยพืนที่ดังกล่าวสถานีพัฒนาทรัพยากรป่าชายเลนที่ ๗ แจ้งว่าอยู่ในพืนท่ีป่าชายเลนตามมติ
คณะรัฐมนตรี เม่ือวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๓๐ และวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๓ ดังนัน เจ้าพนักงานท่ีดิน
จะสามารถออกโฉนดทดี่ ินให้แกผ่ ้ขู อได้หรอื ไม่ อยา่ งไร
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมท่ีดิน ครั้งท่ี ๓/๒๕๕๔ เม่ือวันท่ี ๑๔
กนั ยายน ๒๕๕๔
๑. คณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมที่ดินมีความเห็นยืนตามมติของ
คณะกรรมการฯ ในคราวประชุม ครังท่ี ๔/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๓ เนื่องจากการจะพิจารณาว่าท่ีดิน
แปลงใดจะออกโฉนดท่ีดินได้หรือไม่นัน เจ้าพนักงานที่ดินต้องใช้กฎหมายและระเบียบในวันยื่นคาขอออกโฉนดท่ีดิน
ส่วนวิธีการดาเนินการจะต้องใช้กฎหมายในขณะดาเนินการ ทังนี เทียบเคียงคาพิพากษาศาลปกครองสูงสุด
ท่ี อ.๖๑/๒๕๔๘ ดังนนั การจะนาหนงั สือแสดงการทาประโยชน์ในที่ดิน (กสน. ๕) ท่ีอยู่ในพืนท่ีการใชป้ ระโยชน์
ทีด่ ินป่าชายเลนตามมติคณะรฐั มนตรี เม่ือวันท่ี ๑๕ ธันวาคม ๒๕๓๐ และวันท่ี ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๓ มาย่ืนขอ
ออกโฉนดทด่ี ินในขณะท่ีกฎกระทรวง ฉบับท่ี ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบญั ญัติใหใ้ ช้ประมวล
กฎหมายที่ดนิ พ.ศ. ๒๔๙๗ มีผลใช้บังคบั เจา้ พนักงานทด่ี นิ ย่อมต้องนาหลักเกณฑต์ ามกฎกระทรวง ฉบับท่ี ๔๓
ข้อ ๑๔ (๕) มาประกอบการพิจารณาวา่ จะสามารถออกโฉนดทด่ี นิ ให้แกผ่ ู้ขอไดห้ รือไม่
๒. เม่ือกระทรวงมหาดไทยได้มีหนังสือสั่งการ ท่ี มท ๐๖๑๙/ว ๓๖๐ ลงวันท่ี ๑๒ กุมภาพันธ์
๒๕๓๕ แจ้งให้จังหวัดแต่งตังคณะกรรมการป้องกันและหยดุ ยังการบุกรกุ ที่ดนิ ในเขตป่าชายเลน โดยให้มหี น้าท่ี
กาหนดมาตรการป้องกันการบุกรุกพืนที่ป่าชายเลน กาหนดมาตรการการหยุดยังกลุ่มบุคคลมิให้มีการบุกรุก
ที่ดินป่าชายเลนโดยเดด็ ขาด พิจารณาการใช้ประโยชน์ในพืนที่ป่าชายเลน ตรวจสอบการออกเอกสารสิทธิกรณี
ท่ีมกี ารร้องเรียนว่าได้มกี ารออกเอกสารสทิ ธิโดยมิชอบ พิจารณาคาขอออกเอกสารสทิ ธใิ นพืนทป่ี ่าชายเลน ฯลฯ
ประกอบกับได้กาชับให้เจ้าหน้าท่ีผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการออกเอกสารสิทธิในที่ดินให้แก่ราษฎรนาเรื่องการ
ออกเอกสารสิทธิในที่ดินที่มีสภาพพืนที่เป็นป่าชายเลนหรือครอบคลุมพืนที่ป่าชายเลนเสนอให้คณะกรรมการ
ป้องกันและหยุดยงั การบุกรุกที่ดินในเขตปา่ ชายเลนพิจารณากอ่ นออกเอกสารสิทธใิ นทดี่ นิ ทกุ เรื่อง (ตามหนังสือ
กระทรวงมหาดไทย ท่ี มท ๐๗๑๙/ว ๑๐๖๖ ลงวันท่ี ๑ เมษายน ๒๕๔๐) ดังนัน การออกโฉนดที่ดินในพืนท่ี
เขตพระราชกฤษฎีกาจัดตังนิคมกสิกรรมและนิคมเกลือในรูปสหกรณ์ในจังหวัดสมุทรสาคร จังหวัดธนบุรี และ
จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. ๒๕๐๐ ตาม ๑ ดังกล่าวจะอยู่ในเขตพืนท่ีการใช้ประโยชน์ท่ีดินป่าชายเลนตามมติ
คณะรัฐมนตรี เม่ือวันท่ี ๑๕ ธันวาคม ๒๕๓๐ และวันท่ี ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๓ หรือไม่นัน จึงต้องเสนอเร่ืองให้
คณะกรรมการป้องกันและหยุดยังการบุกรุกในเขตป่าชายเลนของจังหวัดสมุทรสาครเป็นผู้พิจาร ณาข้อเท็จจริง
แตล่ ะกรณไี ป ทังนี เพ่อื ให้เป็นไปตามหนังสือส่ังการของกระทรวงมหาดไทยดังกล่าว
ความเห็นของกรมท่ดี นิ เห็นชอบ
-- ๙9๒2- -
เรอื่ งท่ี ๗๙ หารือการระวังชีแนวเขตและลงชอ่ื รับรองแนวเขตท่ีดนิ และคา่ ปว่ ยการของผปู้ กครองท้องที่
เร่ืองเสรจ็ ท่ี ๒/๒๕๕๔
ประเดน็ พิจารณา
ในการรังวัดเกี่ยวกับการระวังชีแนวเขตและลงช่ือรับรองแนวเขตที่ดินสาธารณะประโยชน์
ในส่วนขององคก์ รปกครองส่วนท้องถ่ินจะไดร้ บั ค่าป่วยการหรือไม่
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมที่ดิน ครั้งท่ี ๔/๒๕๕๓ เม่ือวันท่ี ๑๔
ธนั วาคม ๒๕๕๓ (วาระท่ี ๔.๓)
คณะกรรมการฯ มีความเห็นยืนตามมติที่ประชุมเม่ือคราวประชุม ครังท่ี ๔/๒๕๕๒ เม่ือวันที่ ๒๗
สงิ หาคม ๒๕๕๒ (เร่ืองที่ ๗๔) กล่าวคือ “เจ้าพนักงานผู้ปกครองท้องท่ี” ตามข้อ ๔ (๓) แห่งกฎกระทรวง ฉบับท่ี ๔๘
(พ.ศ. ๒๕๔๒) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายท่ีดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ หมายถึง นายอาเภอ
ซ่ึงเป็นผู้ดูแลสาธารณประโยชน์ ตามมาตรา ๑๒๒ แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องท่ี พ.ศ. ๒๔๕๗
ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะนัน แต่เน่ืองจากพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องท่ี พ.ศ. ๒๔๕๗
ดังกล่าว ได้ถูกยกเลิกโดยพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๕๕๑ แล้ว ดังนัน
เพื่อให้เกิดความชัดเจน ควรให้หน่วยงานที่เก่ียวข้องร่วมกันพิจารณาแก้ไขกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๘
ใหส้ อดคลอ้ งกับพระราชบัญญัตลิ ักษณะปกครองท้องที่ (ฉบับท่ี ๑๑) พ.ศ. ๒๕๕๑ ตอ่ ไป
ความเหน็ ของกรมทด่ี ิน เห็นชอบ
- ๙9๓3- -
เรื่องที่ ๘๐ หารือกรณีผู้มสี ิทธิจดทะเบียนภาระจายอมตามคาพิพากษาขอออกใบแทน
เร่ืองเสร็จท่ี ๖/๒๕๕๔ (ประเดน็ เดยี วกับเร่ืองเสร็จที่ ๑๖/๒๕๓๙ , ๑/๒๕๔๙) - เกบ็ รวมเรอ่ื งเสรจ็ ท่ี ๑/๒๕๔๙
ประเดน็ พจิ ารณา
ผู้มีสิทธิจดทะเบียนภาระจายอมตามคาพิพากษา ย่ืนคาขอออกใบแทนโฉนดที่ดินเพื่อจดทะเบียน
ภาระจายอมโดยถือเอาคาพิพากษาแทนการแสดงเจตนา เน่ืองจากผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดทีด่ ินไม่ไปดาเนินการ
จดทะเบียนภาระจายอมตามคาพิพากษาดังกล่าว ดังนัน ผู้ขอจะถือเป็น “ผู้มีสิทธิจดทะเบียนตามคาพิพากษา
ของศาล” ที่สามารถยื่นคาขอออกใบแทนโฉนดท่ีดินตามกฎกระทรวง ฉบับท่ี ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความ
ในพระราชบัญญัตใิ ห้ใชป้ ระมวลกฎหมายท่ดี นิ พ.ศ. ๒๔๙๗ ข้อ ๑๗ (๓) หรอื ไม่ อยา่ งไร
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมท่ีดิน ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๒
กุมภาพนั ธ์ ๒๕๕๔ (วาระที่ ๔.๑)
เมอื่ ความเห็นแยง้ กนั ว่า “ผู้มสี ิทธิจดทะเบียนตามคาพิพากษาของศาล” ท่มี ีสทิ ธิย่ืนคาขอออก
ใบแทนโฉนดที่ดินตามกฎกระทรวง ฉบับท่ี ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวล
กฎหมายท่ีดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ ข้อ ๑๗ (๓) จะหมายรวมถึง “ผู้มีสิทธิจดทะเบียนภาระจายอมตามคาพิพากษาของศาล”
ดว้ ยหรือไม่ และกฎกระทรวง ฉบบั ท่ี ๔๓ ข้อ ๑๗ (๓) ดังกลา่ วจะขัดกบั มาตรา ๖๓ แห่งประมวลกฎหมายทีด่ ิน
หรือไม่ อย่างไร ดังนัน เพ่ือความรอบคอบและให้เกิดแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนควรมอบให้สานักมาตรฐาน
การออกหนังสือสาคัญนาประเด็นปัญหาดงั กล่าวหารือไปยังคณะกรรมการกฤษฎกี าเพ่ือพจิ ารณาก่อน
ความเหน็ ของกรมทด่ี ิน เห็นชอบ
หมายเหตุ สานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาให้ความเห็นไว้ใน เร่ืองเสร็จที่ ๑๘๐/๒๕๕๖
ว่า ผู้มีสิทธิจดทะเบยี นตามคาพิพากษาของศาล ตามข้อ ๑๗ (๓) แห่งกฎกระทรวงฉบับที่ ๔๓
(พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗
หมายความรวมถึงผู้มีสิทธิจดทะเบียนตามคาพิพากษาของศาลซ่ึงไม่ใช่เจ้าของที่ดินด้วย
ซงึ่ สานักมาตรฐานการออกหนงั สอื สาคัญไดม้ หี นังสอื ที่ มท ๐๕๑๖.๕/ว ๑๒๖๔๖ ลงวันท่ี ๑๖
พฤษภาคม ๒๕๕๖ เร่ือง หารือกรณีผู้มีสิทธิจดทะเบียนภาระจายอมตามคาพิพากษาออกใบแทน
แจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบและถอื ปฏบิ ัติแลว้
-- ๙9๔4- -
เรอื่ งท่ี ๘๑ การออกใบแทนโฉนดท่ีดนิ
เรื่องเสรจ็ ท่ี เรอ่ื งเสรจ็ ที่ ๑๐/๒๕๕๔
ประเดน็ พิจารณา
ผู้ขอย่ืนขอออกใบแทนโฉนดที่ดนิ โดยอ้างว่าโฉนดฉบับเจา้ ของที่ดินสูญหาย เน่ืองจากมีผู้ขอยืม
ไปเสนอขายต่อบุคคลที่สาม ต่อมาได้มีหนังสือบอกกล่าวให้ผู้ขอยืมดังกล่าวคืนโฉนดท่ีดินแต่ไม่ยอมคืนให้
โดยได้มีการแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนไว้ ดังนัน การขอออกใบแทนโฉนดที่ดินดังกล่าวจะถือเป็นกรณี
โฉนดที่ดนิ “สูญหาย” ตามนัยมาตรา ๖๓ แหง่ ประมวลกฎหมายท่ดี นิ หรอื ไม่ อยา่ งไร
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมท่ีดิน ครั้งที่ ๒/๒๕๕๔ เม่ือวันที่ ๑๔
มิถุนายน ๒๕๕๔ (วาระท่ี ๔.๑)
ผขู้ อยื่นขอออกใบแทนโฉนดท่ีดนิ โดยอ้างวา่ โฉนดฉบบั เจ้าของท่ีดนิ สูญหาย เน่ืองจากมีผู้ขอยืม
ไปเสนอขายต่อบุคคลที่สาม ต่อมาได้มีหนังสือบอกกล่าวให้ผู้ขอยืมดังกล่าวคืนโฉนดที่ดินแต่ไม่ยอมคืนให้
โดยได้มีการแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนไว้เป็นหลักฐานนัน ยังถือไม่ได้ว่าโฉนดท่ีดินสูญห าย ตามนัย
มาตรา ๖๓ แห่งประมวลกฎหมายท่ีดิน ที่เจ้าพนักงานท่ีดินจะดาเนินการออกโฉนดที่ดินให้ได้ เนื่องจากโฉนดท่ีดิน
ไม่ได้สูญหายจริงแต่อยู่ในความครอบครองของผู้ยืม ซ่ึงกรณีนีผู้ขอจะต้องดาเนินการติดตามเอาทรัพย์คืน
ตามมาตรา ๑๓๓๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กล่าวคือต้องฟ้องคดีต่อศาลเพื่อติดตามเอาทรัพย์
คืนเสียก่อน หากศาลพิพากษาหรือมีคาสั่งให้คืนโฉนดท่ีดินแล้วแต่ไม่สามารถบังคับตามคาส่ังหรือคาพิพากษา
ได้หรือไม่ มีช่องทางที่จะบังคับคดีตามคาพิพากษาได้ด้วยประการใด ๆ แล้วเท่านัน จึงจะถือว่าโฉนดที่ดิน
สูญหาย ซึ่งสามารถขอออกใบแทนโฉนดที่ดินได้ตามมาตรา ๖๓ แห่งประมวลกฎหมายท่ีดิน (เทียบเคียงคาพิพากษา
ศาลฎีกา ท่ี ๒๐๖๗/๒๕๑๘ ประกอบกับหนังสือกรมที่ดิน ที่ มท ๐๖๐๘/ว ๖๖๕๒ ลงวันท่ี ๖ มีนาคม ๒๕๑๔
เร่อื ง การขอออกใบแทนโฉนดที่ดนิ
ความเหน็ ของกรมท่ีดนิ เห็นชอบ
- ๙9๕5- -
เรอื่ งที่ ๘๒ การออกโฉนดท่ีดินหรือหนังสือรับรองการทาประโยชน์ในเขตปฏิรูป (นายวัชรินทร์ ขอออก
หนังสอื รับรองการทาประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.))
เรอ่ื งเสร็จที่ ๘/๒๕๕๔ – เกบ็ รวมเรื่องเสร็จท่ี ๓/๒๕๕๓
ประเดน็ พจิ ารณา
คณะกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายของกระทรวงมหาดไทย คณะท่ี ๒ ซ่ึงมีนายพระนาย
สุวรรณรัฐ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ฝ่ายบริหาร เป็นประธาน ได้ประชุมพิจารณาข้อหารือของกรมท่ีดิน
กรณีความเห็นเร่ืองการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินของคณะกรรมการกฤษฎีกาแตกต่าง
จากแนวคาวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดในการประชุม ครังที่ ๖/๒๕๕๔ เมื่อวันท่ี ๒๔ มกราคม ๒๕๕๔
คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาข้อหารือโดยรับฟังข้อเท็จจริงจากคาชีแจงของผู้แทนกรมที่ดินแล้วมีความเห็นว่า
กรมท่ีดินควรเสนอปัญหาการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามกฎหมาย ในกรณีดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีซึ่งมีหน้าท่ี
รับผิดชอบในการบริหารราชการแผ่นดินเพ่ือพิจารณากาหนดแนวทางปฏิบัติ โดยให้กรมท่ีดินเสนอความเห็น
พร้อมทังสรุปวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียและจัดเตรียมข้อมูลในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการขอออกหนังสือแสดงสิทธิ
ในท่ดี ินในเขตปฏิรปู ท่ดี นิ เพอื่ ประกอบการพจิ ารณาของคณะรฐั มนตรดี ้วย
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมที่ดิน คร้ังที่ ๒/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๔
มิถนุ ายน ๒๕๕๔ (วาระที่ ๔.๗)
๑. คณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมที่ดินพิจารณาแล้ว มีความเห็นยืนยัน
ตามมติคณะกรรมการฯ ในคราวประชุม ครังที่ ๒/๒๕๕๓ เม่ือวันท่ี ๒๖ มีนาคม ๒๕๕๓ กรณีความเห็นของ
คณะกรรมการกฤษฎีกาและคาพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดมีคาวินิจฉัยที่แตกต่างกัน ในกรณีเกี่ยวกับ
อานาจของพนักงานเจ้าหน้าท่ีในการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทาประโยชน์ ตามมาตรา ๕๙ ทวิ
แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน สาหรับท่ีดินที่อยู่ในเขตปฏิรูปท่ีดินว่ากรมที่ดินควรดาเนินการตามความเห็นของ
คณะกรรมการกฤษฎีกาเนื่องจากเม่ือคณะกรรมการกฤษฎีกาให้ความเห็นในทางกฎหมายเป็นประการใดแล้ว
โดยปกติให้เป็นไปตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา (มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันท่ี ๒๘ กุมภาพันธ์
๒๔๘๒/ หนังสอื กรมเลขาธิการคณะรฐั มนตรี ท่ี น.๑๑๓๑๐/๒๔๘๒ ลงวันท่ี ๒ มีนาคม ๒๔๘๒ เร่ือง การขอให้
คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความในกฎหมาย) โดยเม่ือคณะรัฐมนตรียังไม่ได้เพิกถอนหรือแก้ไขมติแต่อย่างใด
มติคณะรัฐมนตรีจึงยังคงมีผลใช้บังคับอยู่ ประกอบกบั การทสี่ ่วนราชการอาจขอให้คณะรัฐมนตรี (องค์กรสูงสุด
ทางบริหาร) มมี ตใิ นประเดน็ ปัญหาเร่อื งใด ส่วนราชการทเี่ กี่ยวข้องจะตอ้ งเห็นวา่ เรือ่ งท่ีเป็นปัญหานันเปน็ เรื่องที่
สาคัญอันเก่ียวกบั ความมั่นคงของชาติ และเห็นว่าสมควรมีการกาหนดแนวทางปฏิบัติราชการให้เป็นที่แน่นอน
(เทียบเคียงความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๕) หนังสือสานักงาน
คณะกรรมการกฤษฎีกา ท่ี นร ๐๖๐๑/๒๔๐๓ ลงวันท่ี ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๓๐ เรื่อง หารือประกาศของ
คณะปฏิวัติ ฉบับท่ี ๓๓๗ ลงวันท่ี ๑๓ ธันวาคม ๒๕๑๕ (กรณีคาพิพากษาของศาลฎีกาแตกต่างกับความเห็น
ของคณะกรรมการกฤษฎกี า))
๒. กรณีนายวัชรินทร์ ผู้ร้อง มีหนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรมเก่ียวกับการขอออกหนังสือ
รับรองการทาประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) สาหรับที่ดนิ ของผู้รอ้ งในท้องท่ีตาบลผาขาว อาเภอผาขาว จังหวัดเลย นัน
หากข้อเท็จจริงพิจารณาเป็นท่ียุติได้ว่า ท่ีดินของนางสุจิตรา ภรรยาของผู้ร้อง อยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
-- ๙9๖6- -
เมื่อไม่ได้แจ้งการครอบครองตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายท่ีดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ หรือ
มิได้แจ้งความประสงค์จะได้สิทธิในท่ีดิน ตามมาตรา ๒๗ ตรี แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ไว้ก่อนมีการกาหนด
เขตปฏิรูปที่ดนิ เพื่อเกษตรกรรม พนักงานเจ้าหน้าท่ียอ่ มไมอ่ าจออกหนังสอื รับรองการทาประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.)
ให้ได้ (เทียบเคียงความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะท่ี ๒) เร่ือง อานาจในการดูแล
รกั ษาที่สาธารณสมบัตขิ องแผ่นดนิ สาหรับพลเมืองใชร้ ว่ มกนั และการออกเอกสารสิทธใิ นท่ีดินในเขตปฏิรูปท่ีดิน
เรื่องเสร็จที่ ๒๐๗/๒๕๓๗) และโดยท่ีคาส่ังปฏิเสธการออกหนังสือรับรองการทาประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.)
เป็นคาสั่งทางปกครองตามนัยมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ดังนัน
หากพนักงานเจ้าหน้าท่ีแจง้ คาส่ังดังกล่าวให้แก่นางสจุ ิตรา ทราบ และนางสจุ ิตรา ไมเ่ ห็นด้วยกับคาส่ัง ก็ชอบทจ่ี ะใช้สิทธิ
ในการอุทธรณ์คาส่ังและฟ้องคดีต่อศาลปกครองตามกระบวนการขันตอนของกฎหมายวิธีปฏิบัติราชการ
ทางปกครองตอ่ ไป
ความเห็นของกรมท่ีดิน อธิบดีกรมที่ดินโปรดพิจารณาเห็นชอบ โดยให้สานักมาตรฐานการออกหนังสือสาคัญ
ดาเนินการตาม ๒ ก่อน ส่วนความเห็นทแี่ ตกตา่ งระหว่างคณะกรรมการกฤษฎกี ากับความเห็นของศาลปกครอง
สงู สุดให้พิจารณาเพ่ือให้เปน็ หลักต่อไป หรอื เสนอช่องทางในการชีประเดน็ ใหช้ ดั ใหม่
- ๙9๗7- -
เรือ่ งที่ ๘๓ หารอื การออกโฉนดท่ีดนิ ของกระทรวงการคลังจะดาเนนิ การสอบสวนเปรยี บเทียบได้หรือไม่
เรอื่ งเสรจ็ ที่ ๑/๒๕๕๕
ประเดน็ พจิ ารณา
๑. เจ้าพนักงานท่ีดินสามารถดาเนินการสอบสวนเปรียบเทียบตามนัยมาตรา ๖๐ แห่งประมวล
กฎหมายทีด่ ินได้หรือไม่
๒. เจ้าพนักงานท่ีดินสามารถนาคาพิพากษาที่มีผู้คัดค้านการออกโฉนดที่ดินนามาแสดง
ต่อพนักงานเจ้าหน้าทม่ี าประกอบการสอบสวนเปรยี บเทยี บไดห้ รอื ไม่
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมที่ดิน ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๙
เมษายน ๒๕๕๕ (วาระที่ ๔.๓)
๑. เมือ่ ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของกระทรวงการคลงั เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ (กรมธนารักษ์เป็นผดู้ ูแล
โดยได้ขึนทะเบียนท่ีราชพัสดุไว้แล้ว) แต่โดยที่ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ที่ดินบางส่วนเป็นท่ีดินท่ีกรมธนารักษ์ได้ให้
เอกชนเช่า อันมีลักษณะเป็นที่ดินจัดหาผลประโยชน์ ที่ดินดังกลา่ วจงึ เป็นท่ีดินทีส่ ามารถออกหนังสือแสดงสิทธิ
ในที่ดินได้ ดังนัน เม่ือมีผู้โต้แย้งสิทธิกัน พนักงานเจ้าหน้าท่ีหรือเจ้าพนักงานที่ดินแล้วแต่กรณีย่อมมีอานาจ
ทาการสอบสวนเปรียบเทียบตามมาตรา ๖๐ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ได้ ทังนี ตามบันทึกข้อตกลงระหว่าง
กรมท่ีดินกับกรมธนารักษ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ เรื่อง การรังวัดออกหนังสือสาคัญสาหรับที่หลวงฯ หมวด ๑ ข้อ ก
(เทยี บเคียงความเหน็ คณะกรรมการกฤษฎีกา เรอื่ งเสรจ็ ท่ี ๑๔๒/๒๕๓๓)
๒. เมื่อการสอบสวนเปรียบเทียบตามมาตรา ๖๐ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน กาหนดให้
พนักงานเจ้าหน้าที่มีอานาจพิจารณาส่ังการไปตามที่เห็นสมควร ประกอบกับการพิจารณาสั่งการ (สอบสวน
เปรียบเทียบ) ถือเป็นการส่ังการที่มีผลกระทบต่อสิทธิของคู่กรณี การส่ังการดังกล่าวจึงเป็น “คาสั่งทางปกครอง”
ตามนัยมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ซึ่งในการพิจารณาทางปกครอง
เพ่ือจัดให้มีคาส่ังทางปกครองนัน เจ้าหน้าที่จะต้องพิจารณาพยานหลักฐานที่เห็นว่าจาเป็นแก่การพิสูจน์
ข้อเท็จจริง ดังนัน กรณีประเด็นปัญหาพนักงานเจ้าหน้าท่ีย่อมนาหลักฐานคาพิพากษาท่ีผู้คัดค้านนามาแสดง
ประกอบการพิจารณาสอบสวนเปรียบเทียบด้วย ทังนี ตามนัยมาตรา ๒๙ (๒) แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติ
ราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ แต่การจะพิจารณาว่าคาพิพากษาดังกล่าวมีผลต่อการสอบสวนเปรียบเทียบอย่างใด
ย่อมเป็นดุลพนิ จิ ของพนกั งานเจ้าหน้าทผ่ี มู้ อี านาจในการสอบสวนเปรยี บเทียบนนั
ความเหน็ ของกรมทด่ี ิน เห็นชอบ
-- ๙9๘8- -
เร่ืองที่ ๘๔ หารือการออกโฉนดท่ีดนิ ซึ่งอยใู่ นเขตปา่ ไม้
เรื่องเสรจ็ ท่ี ๓/๒๕๕๕
ประเดน็ พิจารณา
เขตป่าไม้ถาวร “ป่าเขาช่องเกวียน” มีผลตังแต่เม่ือใด และใบจองที่ออกในเขตป่าไม้ตามมติ
คณะรัฐมนตรี เมอ่ื วนั ที่ ๑๔ พฤศจกิ ายน ๒๕๐๔ ชอบด้วยกฎหมายหรอื ไม่ อย่างไร
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมที่ดิน ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เม่ือวันที่ ๑๙
เมษายน ๒๕๕๕ (วาระท่ี ๔.๔)
๑. เมื่อกรมที่ดินและกรมพัฒนาที่ดินมีความเห็นเป็นท่ียุติเก่ียวกับสถานะของ “ป่าไม้ตามมติ
คณะรัฐมนตรี เม่ือวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๐๔” แล้วว่า ท่ีดินในเขตป่าไม้ตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว
หากยังมิได้มีการสารวจและพิจารณาจาแนกประเภทท่ีดินตามขันตอนของคณะอนุกรรมการจาแนกประเภทท่ีดิน
ประจาจังหวัด คณะอนุกรรมการอานวยการจาแนกท่ีดิน คณะกรรมการจาแนกประเภทที่ดิน และ
คณะรัฐมนตรี ตามลาดับกล่าวคือคณะรัฐมนตรียังมิได้มีมติอนุมัติผลการจาแนกประเภทที่ดินใหม่ โดยยกเลิก
มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๐๔ เพ่ือกาหนดพืนที่ป่าไม้ถาวรของชาติ และจาแนกพืนที่
บางสว่ นเป็นท่ีจัดสรรเพื่อทากินของราษฎรหรือเพ่ือให้ใช้ประโยชน์อย่างอื่น (เป็นไปตามข้อเสนอกระทรวงมหาดไทย
ตามหนังสือกระทรวงมหาดไทย ที่ ๑๗๙๐๑/๒๕๐๔ ลงวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๐๑ ท่ีเสนอคณะรัฐมนตรี
เพื่อมีมติอนุมัติให้จังหวัด (รวม ๖๐ จังหวดั ) ดาเนินการประกาศเขตป่าท่ีจะสงวนคุ้มครอง, ป่าท่ีจะเปิดจัดสรร
เพื่อเกษตรกรรมหรือเพื่อการใช้ประโยชน์อย่างอื่น) ที่ดินดังกล่าวจึงมีสถานะเป็นเพียงป่าไม้ชั่วคราว มิใช่
“ป่าไม้ถาวร” ตามมาตรา ๕๘ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน (ตามมติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของ
กรมท่ีดิน ครังที่ ๑/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๓, ครังที่ ๒/๒๕๕๓ เมื่อวันท่ี ๒๖ มีนาคม ๒๕๕๓
และหนังสือกรมพัฒนาท่ีดิน ที่ กษ ๐๘๐๖/๒๔๑๖ ลงวันท่ี ๒๐ กันยายน ๒๕๕๓ ตอบข้อหารือกรมที่ดิน
เร่ืองสถานะของพืนท่ีป่าไม้ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันท่ี ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๐๔) ดังนัน การจะเป็นป่า
ท่ีจะสงวนคุ้มครอง หรือป่าที่จะเปิดจัดสรรเพ่ือเกษตรกรรมหรือเพื่อการใช้ประโยชน์อย่างอื่น นัน จึงต้อง
พิจารณาจากมติคณะรัฐมนตรีท่ีอนุมัติผลการจาแนกท่ีดินในภายหลังว่ามีวัตถุประสงค์ในการจาแนกพืนท่ี
เป็นอย่างใด
๒. กรณี “ป่าไม้ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันท่ี ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๐๔” จะถือเป็นท่ีดิน
ทคี่ ณะรฐั มนตรสี งวนไวเ้ พ่ือรักษาทรัพยากรธรรมชาติ หรือเพื่อประโยชน์สาธารณะตามท่ีกาหนดในกฎกระทรวง
ฉบับที่ ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ ข้อ ๑๔ (๕)
หรือไม่ นัน เห็นว่าหากคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติผลการจาแนกท่ีดินในภายหลัง โดยจาแนกพืนท่ีเป็นเขตป่า
ทจ่ี ะสงวนคุ้มครองแล้ว พืนที่ดังกลา่ วย่อมถอื เป็น “เขตป่าไม้ถาวร” ที่ต้องห้ามมิให้ออกโฉนดท่ีดิน หรือหนังสือ
รับรองการทาประโยชน์ ตามมาตรา ๕๘ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ประกอบกับข้อ ๕ และข้อ ๑๔ (๕)
แห่งกฎกระทรวง ฉบับท่ี ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายท่ีดิน พ.ศ. ๒๔๙๗
เน่ืองจากเขตป่าท่ีสงวนคุ้มครองย่อมเป็นเขตป่าท่ีมีวัตถุประสงค์ท่ีจะสงวนไว้เพ่ือรักษาทรัพยากรธรรมชาติ
แต่หากจาแนกพืนท่ีดังกล่าวเป็นไปโดยมีวัตถุประสงค์ในการเปิดจัดสรรเพ่ือเกษตรกรรมให้แก่ราษฎรหรือ
เพื่อประโยชน์อย่างอื่น อันมิใช่เป็นการใช้เพ่ือประโยชน์สาธารณะแล้ว ย่อมไม่เข้าหลักเกณฑ์การเป็นที่ดิน
-- ๙9๙9- -
ที่คณะรัฐมนตรีสงวนไว้เพ่ือรักษาทรัพยากรธรรมชาติหรือเพื่อประโยชน์สาธารณะอย่างอ่ืน ตามข้อ ๑๔ (๕)
แหง่ กฎกระทรวง ฉบับท่ี ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗)ฯ แต่อยา่ งใด
ความเห็นของกรมที่ดนิ เหน็ ชอบ
--๑1๐0๐0- -
เรื่องท่ี ๘๕ สานักงานการปฏิรปู ท่ีดนิ เพ่ือเกษตรกรรมและบุคคลทีจ่ ะขอออกหนงั สอื แสดงสทิ ธใิ นที่ดนิ
เรอื่ งเสรจ็ ท่ี ๕/๒๕๕๕
ประเด็นพิจารณา
๑. สานักงานการปฏิรูปท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) จะถือเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน
ตามมาตรา ๓ (๒) แห่งประมวลกฎหมายท่ีดิน หรือไม่ อย่างไร และกรมที่ดินจะออกโฉนดท่ีดินให้แก่ ส.ป.ก.
ในกรณี ส.ป.ก. ร้องขอ ตามมาตรา ๓๖ ทวิ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการปฏิรูปท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรม
พ.ศ. ๒๕๑๘ โดยไมม่ หี ลักฐานแสดงสทิ ธใิ นท่ีดินในเขตท่ดี ินของรัฐและนอกเขตทีด่ ินของรัฐ ไดห้ รือไม่ อยา่ งไร
๒. กรณีบุคคลซึง่ พนักงานเจา้ หน้าที่อาจออกโฉนดท่ีดินหรือหนังสอื รับรองการทาประโยชน์ได้
ตามมาตรา ๕๘ ทวิ วรรคสอง (๓) แห่งประมวลกฎหมายท่ีดิน จะหมายความรวมถึงนิติบุคคลด้วยหรือไม่
อยา่ งไร
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมที่ดิน ครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันท่ี ๑๓
กันยายน ๒๕๕๕ (วาระท่ี ๔.๑)
๑. เมื่อมาตรา ๓๖ ทวิ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการปฏิรูปท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรม
พ.ศ. ๒๕๑๘ บญั ญัติวา่ “บรรดาท่ีดินหรืออสงั หาริมทรพั ย์ใด ๆ ท่ี ส.ป.ก. ได้มาตามพระราชบัญญตั ินี หรือได้มา
โดยประการอื่นท่ีมีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ในการปฏิรูปที่ดนิ เพื่อเกษตรกรรม ไม่ให้ถือวา่ เป็นที่ราชพัสดแุ ละ
ให้ ส.ป.ก. เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เพื่อใช้ในการปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรม” ย่อมหมายความว่าการได้มาซ่ึงท่ีดิน
ของ ส.ป.ก. นันจะต้องเป็นการได้มาโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ในการปฏิรูปที่ดินเพ่ือเกษตรกรรม
กฎหมายให้ถือว่า ส.ป.ก. เป็นผ้ถู ือกรรมสิทธิ์ โดยการเปน็ ผู้ถือกรรมสทิ ธดิ์ งั กล่าว ส.ป.ก. จะต้องใช้ในการปฏริ ูป
ที่ดินเพ่ือเกษตรกรรมเท่านัน มิใช่เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่มีสิทธิดังเช่นผู้ถือกรรมสิทธิ์ตามมาตรา ๑๓๓๖
แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังนัน เม่ือ ส.ป.ก. เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ท่ีดินตามท่ีกฎหมายการปฏิรูปท่ีดิน
เพื่อเกษตรกรรมฯ ได้บัญญัติไว้ดังกล่าวแล้ว ประกอบกับมาตรา ๓๖ ทวิ วรรคสอง บัญญัติให้พนักงาน
เจ้าหน้าท่ีตามประมวลกฎหมายที่ดินมีอานาจออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินให้กับ ส.ป.ก. เม่ือ ส.ป.ก. ร้องขอ
กรณีจึงไม่มีเหตุที่พนักงานเจ้าหน้าท่ีตามประมวลกฎหมายที่ดินจะปฏิเสธไม่ดาเนินการออกโฉนดที่ดินให้แก่
ส.ป.ก. เนื่องจากเป็นกรณีท่ีกฎหมายกาหนดให้อานาจกระทาการไว้ (เทียบเคียงคาพพิ ากษาศาลปกครองสูงสุด
คดีหมายเลขแดงท่ี อ.๒๘/๒๕๕๒ ลงวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒) ทังนี เป็นไปตามมาตรา ๓๖ ทวิ
แห่งพระราชบัญญัติการปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ และมาตรา ๓ (๒) แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน
ส่วนการที่พนักงานเจา้ หนา้ ที่จะออกหนังสอื แสดงสิทธใิ นท่ีดนิ ให้ได้หรือไม่นนั จะต้องนาบทบัญญัติแห่งประมวล
กฎหมายที่ดนิ ประกอบกฎกระทรวง ฉบบั ที่ ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบญั ญัติให้ใช้ประมวล
กฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ ประกอบการพิจารณาดว้ ย
๒. กรณีบุคคลซ่ึงพนักงานเจ้าหน้าที่อาจออกโฉนดท่ดี ินหรือหนังสือรับรองการทาประโยชน์ได้
ตามมาตรา ๕๘ ทวิ วรรคสอง (๓) แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน จะหมายความรวมถึง “นิติบุคคล” ด้วยหรือไม่ นัน
เห็นว่าเมื่อมาตรา ๕๘ ทวิ วรรคสอง บัญญัติว่า “...บุคคลซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่อาจออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือ
รับรองการทาประโยชน์ตามวรรคหนึ่งให้ได้ คือ (๓) ผู้ซึ่งครอบครองและทาประโยชน์ในที่ดินภายหลังวันท่ี
ประมวลกฎหมายท่ีดินใช้บังคับ...” เม่ือมาตรา ๕๘ ทวิ วรรคสอง บัญญัติเฉพาะคาว่า “บุคคล” ประกอบกับ
มาตรา ๑ แห่งประมวลกฎหมายท่ีดิน มิได้บัญญัตินิยามคาว่า “บุคคล” ไว้แต่อย่างใด การแปลความคาว่า
-- ๑1๐0๑1- -
“บุคคล” ดังกล่าว จึงต้องนาบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาบังคับใช้ กล่าวคือ “บุคคล”
ย่อมหมายถึง บุคคลตามลักษณะ ๒ หมวด ๑ ว่าด้วยบุคคลธรรมดา และหมวด ๒ ว่าด้วยนิติบุคคล ดังนัน
เมื่อการถือกรรมสิทธ์ิในที่ดินและการขอออกโฉนดท่ีดินตามประมวลกฎหมายท่ีดินไม่ใช่สิทธิหรือหน้าท่ี
โดยสภาพจะพึงมีได้เฉพาะบุคคลธรรมดาเทา่ นัน คาว่า “บุคคล” ตามมาตรา ๕๘ ทวิ วรรคสอง จึงหมายความ
รวมถึงทังบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล อันมีผลทาให้บุคคลดังกล่าวเป็น “ผู้ซึ่งครอบครองการทาประโยชน์
ในที่ดิน” ตามมาตรา ๕๘ ทวิ วรรคสอง (๓) ท่ีพนักงานเจ้าหน้าท่ีอาจออกโฉนดท่ีดินหรือหนังสือรับรอง
การทาประโยชน์ แล้วแต่กรณใี ห้ได้
ความเห็นของกรมที่ดิน เห็นชอบ
--๑1๐0๒2- -
เรื่องที่ ๘๖ หารอื กรณีผู้มีสทิ ธิจดทะเบยี นภาระจายอมตามคาพิพากษาขอออกใบแทน
เร่ืองเสรจ็ ท่ี ๖/๒๕๕๕ (เกบ็ รวม ๑/๒๕๔๙) – ประเดน็ เดยี วกับเร่อื งเสร็จท่ี ๑๖/๒๕๓๙, ๑/๒๕๔๙, ๖/๒๕๕๔
ประเดน็ พจิ ารณา
กรณีนายพรชัยขอให้กรมท่ีดินพิจารณาทบทวนมติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมาย
ของกรมท่ีดิน ครังที่ ๙/๒๕๓๙ เม่ือวันท่ี ๒๖ ธันวาคม ๒๕๓๙ ซ่ึงพิจารณาว่า “สิทธิจดทะเบียนตามคาพิพากษา”
ในกฎกระทรวง ฉบับท่ี ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญตั ิให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗
ข้อ ๑๗ หมายถึง “สิทธิจดทะเบียนเป็นเจ้าของท่ีดิน” และตามมาตรา ๖๓ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน
กฎหมายกาหนดให้เจ้าของที่ดินมารับใบแทนไป ดังนัน ผู้ที่ไม่ใช่เจ้าของท่ีดินจึงมาขอรับใบแทนไม่ได้ โดยเห็นว่า
เป็นการตีความในทางแคบเป็นเหตุให้ผู้ขอ (เจ้าของที่ดินแปลงสามยทรัพย์) ซ่ึงเป็นผู้มีสิทธิจดทะเบียน
ภาระจายอมตามคาพิพากษาไดร้ บั ความเดือดรอ้ น
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมที่ดิน คร้ังที่ ๒/๒๕๕๕ เม่ือวันท่ี ๑๓
กันยายน ๒๕๕๕ (วาระท่ี ๔.๓)
ผู้มีสิทธิจดทะเบียนภาระจายอมตามคาพิพากษาของศาล นาคาพิพากษามาย่ืนคาขอจดทะเบียน
ภาระจายอมแต่ไม่ได้โฉนดที่ดินแปลงภาระจายอมมา ถือเป็น “ผู้มีสิทธิจดทะเบียนตามคาพิพากษาของศาล”
ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน
พ.ศ. ๒๔๙๗ ข้อ ๑๗ (๓) จึงมีสิทธิย่ืนขอออกใบแทนได้ โดยไม่จาต้องพิจารณาว่าผู้ขอออกใบแทนจะเป็น
ผู้มีสิทธิจดทะเบียนเป็นเจ้าของที่ดินด้วยหรือไม่ เพราะมาตรา ๖๓ แห่งประมวลกฎหมายท่ีดิน ไม่ได้บัญญัติให้
ผู้ท่ีขอออกใบแทนจะต้องเป็นเจ้าของท่ีดินเท่านัน เพียงแต่บัญญัติว่า “ให้เจ้าของมาขอรับใบแทนโฉนดที่ดิน”
ส่วนเมื่อเจ้าพนักงานที่ดินได้ดาเนินการออกใบแทนโฉนดที่ดินและจดทะเบียนภาระจายอมตามคาพิพากษา
ของศาลแล้ว จะต้องดาเนินการอย่างไรเกี่ยวกับใบแทนโฉนดท่ีดินนันเป็นวิธีปฏิบัติ ควรมอบหมายให้สานัก
มาตรฐานการออกหนงั สือสาคัญพจิ ารณาวางแนวทางปฏิบัตติ ่อไป
ความเหน็ ของกรมทด่ี นิ เหน็ ชอบ
หมายเหตุ สานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาให้ความเห็นไว้ใน เร่ืองเสร็จท่ี ๑๘๐/๒๕๕๖
วา่ ผู้มสี ิทธจิ ดทะเบียนตามคาพิพากษาของศาล ตามข้อ ๑๗ (๓) แห่งกฎกระทรวงฉบับที่ ๔๓
(พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗
หมายความรวมถึงผู้มีสิทธิจดทะเบียนตามคาพิพากษาของศาลซึ่งไม่ใช่เจ้าของท่ีดินด้วย
ซึง่ สานกั มาตรฐานการออกหนงั สือสาคญั ได้มหี นังสอื ที่ มท ๐๕๑๖.๕/ว ๑๒๖๔๖ ลงวันท่ี ๑๖
พฤษภาคม ๒๕๕๖ เร่ือง หารือกรณีผู้มีสิทธิจดทะเบียนภาระจายอมตามคาพิพากษาออกใบแทน
แจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าท่ีทราบและถอื ปฏบิ ัติแล้ว
- ๑1๐0๓3- -
เรอ่ื งท่ี ๘๗ แนวทางปฏบิ ัติในการออกโฉนดทดี่ นิ กรณีท่คี วามเห็นของคณะกรรมการกฤษฎกี าขดั แย้งกับ
คาพิพากษาศาลฎีกา
เร่อื งเสรจ็ ท่ี ๑/๒๕๕๖
ประเด็นพจิ ารณา
กรณีทดี่ ินทผี่ ู้ครอบครองตามหลกั ฐาน ส.ค.๑ ซ่ึงระบกุ ารได้มา (วันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๔๙๘)
ภายหลังพระราชบัญญตั ิออกโฉนดท่ีดิน (ฉบับท่ี ๖) พุทธศักราช ๒๔๗๙ ใชบ้ ังคบั โดยมิไดข้ อจบั จอง และตอ่ มา
มีพระราชกฤษฎีกากาหนดเขตหวงห้ามท่ีดินในท้องที่ตาบลทุ่งสขุ ลา อาเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๔๙๗
(ประกาศเมื่อวันท่ี ๒๔ เมษายน ๒๔๙๗) ได้ประกาศเขตครอบคลุมพืนที่ตังของโรงเรียนดังกล่าว ที่ดินดังกล่าว
จงึ เป็นท่ีดินของรัฐไม่อยใู่ นหลักเกณฑ์ที่จะออกโฉนดให้ได้ ตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎกี า เรื่องเสร็จ
ที่ ๑๑๗/๒๕๓๔ แต่เน่ืองจากได้มีคาพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๗๑๕/๒๕๕๕ ซ่ึงมีประเด็นพิจารณาเกี่ยวกับ
สทิ ธคิ รอบครองที่ดิน และเป็นเขตหวงห้ามแห่งเดียวกนั คือ พระราชกฤษฎกี ากาหนดเขตหวงห้ามทด่ี นิ ในท้องท่ี
ตาบลทุ่งสุขลา อาเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๔๙๗ พิพากษาว่ากรณีดังกล่าวไม่มีผลทาให้ที่ดินพิพาท
เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๔ (๑) เพราะที่ดินพิพาท
ไม่ใช่ที่ดินรกร้างว่างเปล่าในขณะท่ีพระราชกฤษฎีกาฉบับนีใช้บังคับ เนื่องจากบิดาโจทก์เป็นผู้ครอบครองทาประโยชน์
โจทก์จึงมีสิทธิขอออกโฉนดที่ดินเป็นการเฉพาะรายได้ ถ้ามีความจาเป็น ตามมาตรา ๕๙ ทวิ วรรคหน่ึง
แห่งประมวลกฎหมายท่ีดิน ดังนัน เมื่อความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาขัดแย้งกับคาพิพากษาศาลฎีกา
พนกั งานเจา้ หนา้ ที่จะยดึ แนวทางใดในการพจิ ารณาดาเนินการออกโฉนดทดี่ นิ ตอ่ ไป
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมที่ดิน ครั้งท่ี ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๖
มนี าคม ๒๕๕๖ (วาระที่ ๔.๑)
ในการพิจารณาออกโฉนดท่ีดินจะต้องดาเนินการตามนัยกฎกระทรวง ฉบับท่ี ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗)
ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายท่ีดนิ พ.ศ. ๒๔๙๗ ซึ่งข้อ ๑๔ กาหนดว่า ที่ดินทจ่ี ะออก
โฉนดท่ีดนิ ต้องเป็นที่ดนิ ท่ีผู้มีสิทธใิ นท่ีดินได้ครอบครองและทาประโยชน์แล้ว และเปน็ ที่ดินที่สามารถออกโฉนดท่ีดิน
ได้ตามกฎหมายสิทธิ ที่จะมาขอออกโฉนดที่ดินได้จึงต้องเป็นสิทธิที่ได้มาโดยถูกต้องตามกฎหมายที่มีผล
ใช้บังคับในขณะนันด้วย เม่ือข้อเท็จจริงปรากฏว่าท่ีดินตามหลักฐาน ส.ค.๑ ระบุว่าครอบครองทาประโยชน์
ประมาณ ๑๔ ปีเศษ (พ.ศ. ๒๔๘๔) จึงเปน็ การครอบครองทาประโยชน์ภายหลังพระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน
(ฉบับที่ ๖) พุทธศักราช ๒๔๗๙ มีผลใช้บังคับ ซึ่งจะต้องขออนุญาตจับจองตามความในมาตรา ๕
แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวเพื่อให้ได้สิทธิในท่ีดินตามกฎหมายและโดยเหตุท่ีเรื่องดังกล่าวมีข้อเท็จจริงและ
ข้อกฎหมายมีลักษณะในทานองเดียวกันกับที่สานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเคยให้ความเห็นไว้ (เร่ืองเสร็จ
ท่ี ๑๑๗/๒๕๓๔ เรื่อง ปัญหาข้อกฎหมายเก่ียวกับการออกหนังสือรับรองการทาประโยชน์ (น.ส. ๓) และการแจ้ง
การครอบครองที่ดิน (ส.ค.๑) ในเขตอุทยานแห่งชาติตะรุเตา จังหวัดสตูล) การออกโฉนดที่ดินในกรณีนีจึงต้อง
นาหลักกฎหมายตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาดังกล่าวมาประกอบการพิจารณาดาเนินการ แม้คาพิพากษา
ศาลฎีกาท่ี ๔๗๑๕/๒๕๕๕ จะมีประเด็นพิจารณาเกี่ยวกับสิทธิครอบครองที่ดินในเขตหวงห้ามตามพระราชกฤษฎีกา
กาหนดเขตหวงห้ามที่ดินในท้องท่ีตาบลทุ่งสุขลา อาเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี พ.ศ. ๒๔๙๗ เช่นเดียวกัน
แต่รายละเอียดของข้อเท็จจริงปรากฏว่าแตกต่างกัน และผลของคาพิพากษาย่อมผูกพันเฉพาะคู่ความใน คดี
ไม่ผูกพันบุคคลภายนอก ตามมาตรา ๑๔๕ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ประกอบกับแนวคาวินิจฉัย
--๑1๐0๔4- -
ของคาพิพากษาศาลฎีกาอาจเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ดังนัน ในการออกโฉนดท่ีดินพนักงานเจ้าหน้าท่ีต้อง
พิจารณาตามหลักเกณฑ์ที่กาหนดในกฎกระทรวง ฉบับท่ี ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้
ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ ขอ้ ๑๔ โดยเทียบเคียงความเห็นของสานักงานคณะกรรมการกฤษฎกี า เรื่องเสรจ็
ที่ ๑๑๗/๒๕๓๔ และแจ้งผลการพิจารณาให้ผู้ขอทราบตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
พ.ศ. ๒๕๓๙
ความเหน็ ของกรมท่ดี นิ เห็นชอบ
-- ๑1๐0๕5- -
เร่อื งท่ี ๘๘ การแก้ไขเลขที่ดิน เลขหน้าสารวจ และเลขโฉนดท่ีดิน เน่ืองจากมีการเปล่ียนแปลงเขต
การปกครองใหม่
เรือ่ งเสรจ็ ที่ ๑/๒๕๕๖
ประเดน็ พจิ ารณา
กรณีการแก้ไขเลขที่ดิน เลขหน้าสารวจ และเลขโฉนดที่ดิน เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงเขต
การปกครองใหม่ ซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่จะต้องดาเนินการแก้ไขให้ถูกต้องนัน ถือเป็นคาส่ังทางปกครอง
ตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบญั ญัติวิธปี ฏบิ ตั ิราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ หรอื ไม่ อย่างไร
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมท่ีดินครั้งท่ี ๑/๒๕๕๖ เม่ือวันท่ี ๒๖
มนี าคม ๒๕๕๖ (วาระท่ี ๔.๔)
การแก้ไขเลขที่ดิน เลขหน้าสารวจ และเลขโฉนดที่ดิน กรณีมีการเปล่ียนแปลงเขตการปกครองใหม่
และไม่มีการรังวัดท่ีดินแปลงที่ถูกเปล่ียนแปลงเขตการปกครองใหม่ให้ถือปฏิบัติตามข้อ ๑๑ ของระเบียบ
กรมที่ดิน ว่าด้วยการต่อเลขท่ีดิน เลขหน้าสารวจ เลขโฉนดท่ีดิน การเขียนชื่อตาบล อาเภอ และการประทับตรา
พ.ศ. ๒๕๕๔ กล่าวคือหากการตรวจสอบและสอบสวนเป็นที่ยุติโดยชัดแจ้งว่าที่ดินแปลงนัน ได้ตังอยู่ในเขต
การปกครองใหม่จริง ไม่ว่าจะเป็นกรณีท่ีเจ้าของท่ีดินมายื่นคาขอหรือพนักงานเจ้าหน้าท่ีตรวจพบเอง ให้พนักงาน
เจ้าหน้าท่ีสามารถดาเนินการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเลขหน้าสารวจหรือเลขโฉนดท่ีดิน ตลอดจนชื่อ ตาบล
อาเภอ ตามเขตการปกครองใหม่ได้ โดยไม่ถือว่าการแก้ไขดังกล่าวเป็นคาสั่งทางปกครองตามนัยมาตรา ๕
แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ เน่ืองจากเป็นการแก้ไขหลักฐานทางทะเบียน
ใหถ้ กู ตอ้ งตามข้อเทจ็ จรงิ ไม่มีผลกระทบตอ่ สถานภาพของสทิ ธหิ รอื หน้าที่ของเจา้ ของทด่ี นิ แตอ่ ยา่ งใด
ความเห็นของกรมทีด่ นิ เหน็ ชอบ
--๑1๐0๖6- -
เรื่องที่ ๘๙ การดาเนินการกับโฉนดท่ีดินรายบริษัท อาชาแลนด์ จากัด ตามมาตรา ๖๑ แห่งประมวล
กฎหมายทดี่ ิน
เรือ่ งเสรจ็ ที่ ๑/๒๕๕๗
ประเดน็ พจิ ารณา
กรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติมีมติเป็นเอกฉันท์เห็นชอบตาม
ความเห็นของอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและ
ปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ ให้ส่งรายงาน เอกสาร และความเห็นมายังกรมท่ีดินเพ่ือดาเนินการขอให้
ศาลมีคาส่ังหรือคาพิพากษาให้เพิกถอนโฉนดที่ดินเลขที่ ๘๓๐๙๖ หน้าสารวจ ๓๕๔๐๙ ตาบลหนองปรือ
อาเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ซ่ึงออกไปโดยไม่ชอบด้วยระเบียบกฎหมายตามมาตรา ๖๑ แห่งประมวล
กฎหมายที่ดิน โดยอาศัยอานาจตามมาตรา ๙๙ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน
และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ เสนอคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมท่ีดินพิจารณาว่า
การดาเนินการเพ่ือให้ได้ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในสานวนการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนตามคาส่ัง
กรมที่ดินเพื่อดาเนินการตามมาตรา ๖๑ ในกรณีนี จะถือได้ว่าอยู่ในความหมายของคาว่า “เม่ือความปรากฏว่า”
ได้ออกโฉนดที่ดินไปโดยคลาดเคลื่อนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายตามนัยมาตรา ๖๑ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน
แล้วหรือไม่
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมท่ีดิน คร้ังท่ี ๑/๒๕๕๗ เมื่อวันท่ี ๒๙
มิถุนายน ๒๕๕๖ (วาระที่ ๔)
การดาเนินการเร่ืองนีให้กาหนดแนวทางเพื่อให้อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายดาเนินการ
เปน็ สองแนวทาง ดงั นี
แนวทางท่ีหน่ึง (คณะกรรมการฯ เสียงข้างน้อย) มีความเห็นว่า กรมท่ีดินจะต้องดาเนินการ
ตายนัยมาตรา ๖๑ แห่งประมวลกฎหมายท่ีดิน ต่อไปจนแล้วเสร็จตามข้ันตอนของกฎหมาย โดยมีข้อสังเกตว่า
เร่ืองนีคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมที่ดิน ในคราวประชุม ครังที่ ๓/๒๕๔๙ เมื่อวันที่ ๕
กนั ยายน ๒๕๔๙ ได้เคยมีมติให้กรมท่ีดินนาความเห็นของสานักงานอัยการสูงสุดซ่ึงเห็นว่า อธิบดกี รมทด่ี ินหรือ
รองอธิบดีกรมท่ีดินผู้ได้รับมอบหมายจากอธิบดีกรมที่ดินมีอานาจเพิกถอนได้ตามมาตรา ๖๑ แห่งประมวล
กฎหมายท่ีดิน โดยมิต้องใช้สิทธิทางศาลก่อนมาเป็นแนวทางปฏิบัติโดยการตังคณะกรรมการสอบสวน
ตามมาตรา ๖๑ ได้
แนวทางท่ีสอง (คณะกรรมการฯ เสียงข้างมาก) มีความเห็นว่า กรณีนีกรมที่ดินได้ดาเนินการ
ตามมาตรา ๖๑ แห่งประมวลกฎหมายที่ดินแล้ว แต่เนื่องจากในขันตอนที่คณะกรรมการฯ รายงานผลการสอบสวน
และเสนอความเห็นตอ่ อธิบดีกรมที่ดนิ หรือผูท้ ่อี ธบิ ดีกรมทีด่ ินมอบหมายเพือ่ สั่งการ ตามนัยมาตรา ๖๑ วรรคห้า
แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ประกอบกับข้อ ๕ ของกฎกระทรวง กาหนดหลักเกณฑ์และวธิ ีการในการสอบสวนฯ
พ.ศ. ๒๕๕๓ ข้อเท็จจริงยังไม่เพียงพอที่จะระบุได้ว่าโฉนดที่ดิน ๘๓๐๙๖ ตาบลหนองปรือ อาเภอบางละมุง
จังหวัดชลบุรี ออกไปโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จงึ เห็นควรใช้อานาจทางบริหารยุตกิ ระบวนการสอบสวน
ตามนยั กฎหมายดงั กล่าว และดาเนนิ การตามมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามมาตรา ๙๙ แห่งพระราชบญั ญัติ
ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยส่งเรื่องให้จังหวัดชลบุรี
แจ้งไปยังหน่วยงานท่ีมีหน้าที่รับผิดชอบตามกฎหมาย (ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบตามที่ปรากฏในสานวนของ
- ๑1๐0๗7- -
คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้แก่ นายอาเภอบางละมุง และนายกเมืองพัทยาในฐานะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ซ่ึงมีหน้าท่ีดูแลรักษาท่ีสาธารณสมบัติของแผ่นดินท่ีประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันตามมาตรา ๑๒๒
แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พระพุทธศักราช ๒๔๕๗ ซ่ึงแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ
ลักษณะปกครองท้องท่ี (ฉบับท่ี ๑๑) พ.ศ. ๒๕๕๑) เพื่อดาเนินการฟ้องคดีต่อศาลขอให้เพิกถอนโฉนดท่ีดิน
แปลงดังกล่าวและแจ้งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทราบ เพื่อเป็นการประสานงานว่ากรมท่ีดินได้ดาเนินการ
ตามอานาจหนา้ ทแี่ ลว้
ความเห็นของกรมท่ีดิน เห็นชอบ
- ๑1๐0๘8- -
เรือ่ งท่ี ๙๐ ทีด่ นิ ของรัฐซง่ึ อยู่ในเขต ส.ป.ก. สามารถนามาออกโฉนดท่ีดนิ ไดห้ รอื ไม่
เรื่องเสร็จท่ี ๓/๒๕๕๗
ประเดน็ พิจารณา
ทางสาธารณประโยชน์ซึ่งอยู่ในเขตพระราชกฤษฎีกากาหนดเขตปฏิรูปท่ีดินจะสามารถนามา
ขอออกโฉนดที่ดินตามประมวลกฎหมายท่ดี นิ ได้หรอื ไม่ อยา่ งไร
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมท่ีดิน คร้ังท่ี ๒/๒๕๕๗ เมื่อวันท่ี ๒
กรกฎาคม ๒๕๕๗ (วาระท่ี ๔.๒)
ทางสาธารณประโยชน์ซึ่งอยู่ในเขตพระราชกฤษฎีกากาหนดเขตปฏิรูปที่ดินจะสามารถนามา
ขอออกโฉนดท่ีดนิ ตามประมวลกฎหมายที่ดนิ ได้หรือไม่ จะต้องพจิ ารณาจากหลักเกณฑ์ ดงั นี
๑. หากทางสาธารณประโยชน์นัน พลเมืองเลิกใช้หรือได้เปล่ียนสภาพจากการเป็นที่ดิน
สาหรับพลเมืองใช้ร่วมกันแล้ว พระราชกฤษฎีกากาหนดเขตปฏิรูปท่ีดินมีผลเป็นการถอนสภาพท่ีดินนันทันที
ส.ป.ก. มีอานาจนาที่ดินดงั กล่าวมาใช้ในการปฏิรูปทด่ี นิ เพือ่ เกษตรกรรมได้ และสามารถนามาออกโฉนดท่ีดินได้
๒. หากทางสาธารณประโยชน์นัน พลเมืองยังใช้ประโยชน์อยู่ หรอื ยังไมเ่ ปลี่ยนสภาพจากการ
เป็นที่ดินสาหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน และ ส.ป.ก. ยังไม่มีการจัดที่ดินแปลงอื่นให้พลเมืองใช้ร่วมกันแทน
ท่ีดินแปลงดังกล่าวก็ยังคงมีสถานะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสาหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ต้องห้ามมิให้ออก
โฉนดท่ีดิน
ทังนี ตามกฎกระทรวง ฉบับท่ี ๔๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้
ประมวลกฎหมายท่ีดิน พ.ศ. ๒๔๙๗
ความเหน็ ของกรมท่ีดิน เหน็ ชอบ
- ๑1๐0๙9- -
เร่อื งที่ ๙๑ การขอออกโฉนดทด่ี ินในที่ดินของรฐั ในเขตปฏริ ปู
เรอ่ื งเสรจ็ ที่ ๑/๒๕๕๙
ประเดน็ พิจารณา
พนักงานเจ้าหน้าท่ีจะออกโฉนดที่ดินให้สานักงานการปฏิรูปท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรม ตามมาตรา ๓๖ ทวิ
แห่งพระราชบัญญัติการปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ โดยวิธีการเดินสารวจออกโฉนดที่ดิน
ตามมาตรา ๕๘ ทวิ วรรคสอง (๑) แหง่ ประมวลกฎหมายทีด่ นิ ได้หรือไม่ อยา่ งไร
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมท่ีดิน คร้ังท่ี ๑/๒๕๕๙ เมื่อวันท่ี ๓๑
สงิ หาคม ๒๕๕๙ (วาระที่ ๔.๑)
การพิจารณาว่า ส.ป.ก. เป็นผู้มีสิทธิตามกฎหมายว่าด้วยการจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ
ตามมาตรา ๕๘ ทวิ วรรคสอง (๑) หรือไม่ นัน ถ้าตีความกฎหมายอย่างแคบผู้มีสิทธิตามกฎหมายว่าด้วยการ
จัดที่ดินเพ่ือการครองชีพ มุ่งเน้นถึงเร่ืองการจัดท่ีดินตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. ๒๕๑๑
ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันคือ นิคมสร้างตนเอง ซึ่งจะต้องมีเอกสาร น.ค. ๓ และนิคมสหกรณ์ต้องมีเอกสาร กสน. ๕
แต่ถ้าตีความกฎหมายว่าด้วยการจัดที่ดินเพื่อการครองชีพอย่างกว้าง ส.ป.ก. ก็เป็นการจัดที่ดินอย่างหน่ึง
เหมือนกัน ตามที่คณะกรรมการกฤษฎีกาได้เคยพิจารณาให้ความเห็นเป็นแนวทางไว้ว่าการดาเนินการปฏิรูปท่ีดิน
ถือเป็นการจัดที่ดินอย่างหน่ึง การเดินสารวจออกโฉนดที่ดินตามประมวลกฎหมายท่ีดินก็เป็นการจัดท่ีดินอย่างหนึ่ง
ถ้าตีความอย่างกว้าง ส.ป.ก. ก็สามารถนาเดินสารวจออกโฉนดท่ีดินได้ไม่มีกฎหมายห้าม หรือไม่เป็นไปตาม
กฎหมายแต่อย่างใด อยู่ที่เจตนารมณ์และการตีความกฎหมาย เมื่อ ส.ป.ก. ขอออกโฉนดท่ีดินเฉพาะรายได้
ส.ป.ก. ก็น่าจะนาเดินสารวจออกโฉนดท่ีดินได้ โดยเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติการปฏิรูปท่ีดินเพื่อ
เกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ ก็อยู่ในลักษณะของกฎหมายว่าด้วยการจัดการท่ีดินเพื่อการครองชีพ คล้าย ๆ
กับรูปแบบของนิคมหรือนิคมสหกรณ์ กล่าวคือ มีการออกเอกสารต่าง ๆ น.ค. ๓ หรือ กสน. ๕ ให้ และเม่ือ
มีการทาประโยชน์ครบถ้วนก็โอนให้ อีกทัง คาวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่องเสร็จที่ ๖๙๔/๒๕๓๖
ได้วินิจฉัยไว้ว่า การท่ีมาตรา ๓๖ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพ่ือเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘
กาหนดให้ ส.ป.ก. เป็นผู้ถือกรรมสิทธ์ิในที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ท่ี ส.ป.ก. ได้มานัน กฎหมายมุ่งประสงค์จะให้
ส.ป.ก. ถือสิทธิในที่ดินดังกล่าวเพ่ือให้เอาที่ดินนันมาดาเนินการปฏิรูปที่ดิน มิได้มุ่งหมายจะให้ ส.ป.ก.
มีกรรมสิทธิ์เช่นเดียวกับเจ้าของทรัพย์สินในกรณีท่ัวไป ดังนัน การที่ ส.ป.ก. มาขอออกโฉนดท่ีดินในนามของ
ตนเอง แล้วไปทาเงื่อนไขกับเกษตรกรเพื่อให้เกษตรกรปฏิบัติ และเมื่อเกษตรกรปฏิบัติตามเง่ือนไขก็โอนท่ีดิน
ให้การปฏิรูปท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรมจึงถือได้ว่าเป็นการจัดที่ดินเพื่อการครองชีพอย่างหน่ึง ส.ป.ก. จึงเป็นผู้มีสิทธิ
ตามกฎหมายวา่ ดว้ ยการจดั ท่ีดินเพือ่ การครองชพี ตามมาตรา ๕๘ ทวิ วรรคสอง (๑) และสามารถนาเดินสารวจ
ออกโฉนดท่ีดินได้ ที่ประชุมได้ร่วมการพิจารณาแล้วจึงมีมติว่า “สานักงานการปฏิรูปท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรม
สามารถนาหนังสืออนุญาตให้เข้าทาประโยชน์ในท่ีดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑ ก.) มาขอออกโฉนดทด่ี ิน โดยวิธีการเดินสารวจ
ออกโฉนดทีด่ ิน ตามมาตรา ๕๘ ทวิ วรรคสอง (๑) แห่งประมวลกฎหมายที่ดนิ ได้”
ความเห็นของกรมทีด่ ิน เหน็ ชอบ
--๑1๑1๐0- -
เร่อื งที่ ๙๒ การเพิกถอนหนงั สอื รบั รองการทาประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขท่ี ๑๒๘๑ ต.หลอ่ ยงู อ.ตะกั่วป่า
จ.พงั งา
เรือ่ งเสร็จท่ี ๔/๒๕๖๐
ประเด็นพิจารณา
๑. การพิจารณาว่าเป็นท่ีเขา หรือท่ีภูเขา จะใช้หลักเกณฑ์ตามหนังสือกรมท่ีดิน ท่ี ๘๕๓๖/๒๕๐๑
ลงวันท่ี ๘ ตุลาคม ๒๕๐๑ หรือถอื ตามมตคิ ณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๓๘ และถ้าใชเ้ กณฑ์ตามมติ
คณะรัฐมนตรีวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๓๘ ถือเป็นกฎตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙
หรือไม่ และนามาใช้บังคับย้อนหลังกับบุคคลที่ครอบครองทาประโยชน์มาก่อนใช้ประมวลกฎหมายท่ีดิน
และแจง้ ความประสงคจ์ ะได้สิทธใิ นทด่ี ินตามมาตรา ๒๗ ตรี แห่งประมวลกฎหมายท่ีดนิ ไดห้ รือไม่
๒. หนังสือรับรองการทาประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขท่ี ๑๒๘๑ ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
การดาเนินการเพิกถอนตามมาตรา ๖๑ แห่งประมวลกฎหมายท่ีดิน ต้องเพิกถอนหนังสือรับรองการทาประโยชน์
(น.ส. ๓ ก.) เลขท่ี ๑๒๘๑ หรอื เพิกถอนเฉพาะหนังสอื รบั รองการทาประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ฉบับปจั จบุ นั ทงั ๑๕ แปลง
มติคณะกรรมการพิจารณาปัญหาข้อกฎหมายของกรมที่ดิน ครั้งท่ี ๓/๒๕๖๐ เม่ือวันที่ ๒๗
ธันวาคม ๒๕๖๐ (วาระท่ี ๕)
๑. ท่ีดินตามหลักฐานหนังสือรับรองการทาประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๑๒๘๑ ตาบลหล่อยูง
อาเภอตะก่ัวปา่ จงั หวัดพังงา ออกมาขัดกับข้อ ๘ (๒) ของกฎกระทรวง ฉบบั ท่ี ๕ (พ.ศ. ๒๔๙๗) ออกตามความ
ในพระราชบญั ญัติให้ใชป้ ระมวลกฎหมายทด่ี ิน พ.ศ. ๒๔๙๗ และกรมพัฒนาท่ีดนิ ไดต้ รวจสอบตาแหน่งรูปแปลง
ท่ีดนิ ซ้อนทับลงในแผนท่ีมาตราส่วน ๑ : ๕๐,๐๐๐ แล้วปรากฏว่า ทด่ี ินเป็นที่เขา ดังนัน เมื่อไม่อย่ใู นหลักเกณฑ์
ท่ีจะออกหนังสือรับรองการทาประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ให้ได้จึงต้องดาเนินการเพิกถอนตามมาตรา ๖๑ แห่งประมวล
กฎหมายทีด่ นิ
๒. มติคณะรัฐมนตรี เม่ือวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๓๘ เป็นการอธิบายความหมายของคาวา่ ที่เขา
ทีภ่ ูเขา มิใชม่ ติสง่ั การ เปน็ เพยี งการกาหนดหลกั เกณฑก์ ารพิจารณาเกี่ยวกับทเี่ ขา ทีภ่ ูเขาเท่านัน
๓. การเพิกถอนหนังสือรับรองการทาประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขท่ี ๑๒๘๑ ตาบลหล่อยูง
อาเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ซ่ึงออกไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่ปัจจุบันได้มีการรวมและแบ่งแยกเป็น
หนังสือรับรองการทาประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่อื่น จานวน ๑๕ แปลง ให้มีคาสั่งเพิกถอนหนังสือรับรอง
การทาประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) ทงั ๑๕ แปลงดังกล่าว โดยบรรยายใหเ้ ห็นว่าเป็นการเพิกถอนหนังสือรับรองการ
ทาประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๑๒๘๑ ซ่ึงปัจจุบันได้มีการรวมและแบ่งแยกเป็นหนังสือรับรองการทาประโยชน์
(น.ส. ๓ ก.) ทัง ๑๕ แปลงดว้ ย
ความเห็นของกรมทด่ี นิ เหน็ ชอบ
ภาคผนวก
ความเหน็ คณะกรรมการกฤษฎกี าท่เี ก่ยี วขอ้ ง
- ๑๑๕ -
- 115 -
- ๑๑๖ -
- 116 -
- ๑๑๗ -
- 117 -
- ๑๑๘ -
- 118 -
- ๑๑๙ -
- 119 -
- ๑๒๐ -
- 120 -
- 121 -
- ๑๒๒ -
- 122 -
- ๑๒๓ -
- 123 -
- ๑๒๔ -
- 124 -
- 125 -
- ๑๒๖ -
- 126 -
- ๑๒๗ -
- 127 -
- ๑๒๘ -
- 128 -
- ๑๒๙ -
- 129 -
- ๑๓๐ -
- 130 -
- ๑๓๑ -
- 131 -
- ๑๓๒ -
- 132 -
- ๑๓๓ -
- 133 -
- ๑๓๔ -
- 134 -
- ๑๓๕ -
- 135 -
- ๑๓๖ -
- 136 -
- ๑๓๗ -
- 137 -
- ๑๓๘ -
- 138 -
- ๑๓๙ -
- 139 -