68
83. สนุ ขั แมว และนก นับขารวมกันได้ 200 ขา สตั ว์ทง้ั 3 ชนิด มจี านวนตวั เทา่ กัน
อยากทราบวา่ มอี ย่างละก่ตี ัว
ก. 10 ตวั ข. 12 ตวั ค. 20 ตัว ง. 25 ตัว
กรณเี จอโจทยแ์ บบน้ี แนะนาให้นาคาตอบในชอ้ ยส์ มาลองเทียบดู
ถา้ 10 ตัว จะได้ 40 ขา + 40 ขา + 20 ขา รวม 100 ขา (ไมถ่ ูก)
ถ้า 12 ตวั จะได้ 48 ขา + 48 ขา + 24 ขา รวม 120 ขา (ไมถ่ ูก)
ถ้า 20 ตัว จะได้ 80 ขา + 80 ขา + 40 ขา รวม 200 ขา (ถูก)
ถา้ 25 ตวั จะได้ 100 ขา + 100 ขา + 50 ขา รวม 150 ขา (ไมถ่ ูก)
เฉลย ค. 20 ตัว
84. 10% ของนกั เรยี นหญงิ เทา่ กบั 5% ของนกั เรยี นชาย ถา้ นักเรียนชายมี 300 คน
อยากทราบวา่ นกั เรยี นหญิงมีกคี่ น
5 % ของ 300 (5 x 300) ÷ 100 = 15 [ ของ = คูณ ]
10 % คณู นกั เรยี นหญิง = 15 [ ให้ ญ แทนค่า เป็น นกั เรียนหญิง ]
(10 x ญ) ÷ 100 = 15
10 x ญ = 1500
ญ = 1500 ÷ 10 เฉลย ง. 150 คน
ญ = 150
85. 30% ของ 1 ช่ัวโมง เท่ากับกี่นาที
1 ชั่วโมง เท่ากับ 60 นาที เฉลย ค. 18 นาที
(30 x 60) ÷ 100 = 18
69
86. 30% ของ 40 % ของ 1200 เทา่ กบั เท่าไร เฉลย ก. 144
ต้องคิดจาก 40% ของ 1200 ก่อน
40 x 1200 ÷ 100 = 480
จากนนั้ คิด 30% ของ 480
30 x 480 ÷ 100 = 144
87. เมอ่ื 5 ปีกอ่ น แดงอายุ 10 ปี อีก 8 ปขี ้างหน้าแดงจะมอี ายกุ ่ปี ี
ปัจจุบนั แดงตอ้ งมอี ายุ 15 ปี เพราะเมอ่ื 5 ปีท่แี ล้ว เขาอายุ 10 ปี
ดังนั้น อกี 8 ปีข้างหนา้ แดงจะมอี ายุ 15 + 8 = 23 ปี
เฉลย ข. 23 ปี
88. ปัจจุบัน ปิติ มานะ มานี อายุรวมกัน 50 ปี เมอ่ื 3 ปกี อ่ นอายุปติ ิมากกว่ามานะ
อยู่ 4 ปี อกี 4 ปีขา้ งหน้า อายมุ านะ มากกวา่ มานี 1 ปี ปจั จบุ ัน มานะอายกุ ปี่ ี
กาหนดให้ปจั จบุ ัน มานะ มอี ายุ x ปี ระดบั ความต่างของอายุ ไม่เปล่ยี นไป
ปิติ อายุ x + 4 และมานี อายุ x – 1 ปี ไม่วา่ จะก่ีปี ผา่ นไปความต่างเทา่ เดมิ
แก่กว่า 4 ปี ผา่ นไปกี่ปี ก็แก่กว่า 4 ปี
ปิติ มานะ มานี อายุรวมกนั 50 ปี ได้สูตร x + ( x + 4 ) + (x – 1) = 50 ปี
x = 19 ปี
19 + (19 + 4) + (19 – 1) = 50 ปี
เฉลย ก. 19 ปี
70
89. ปกั เสาตามแนวถนนในหมู่บา้ น เสาแตล่ ะตน้ หา่ งกัน 2 เมตร และระยะทางจากเสา
ต้นแรกถึงตน้ สดุ ท้ายยาว 80 เมตร จงหาว่ามีเสาทัง้ หมดกตี่ ้น
ระยะทางทง้ั หมด = 80 เมตร
ระยะทีเ่ ทา่ กนั ระหว่างเสา = 2 เมตร
สูตรจานวนเสาทง้ั หมด = ระยะทางทง้ั หมด ÷ ระยะห่างทเ่ี ท่ากนั ระหว่างเสา + 1
= 80 ÷ 2 + 1 = 41
เฉลย ค. 41 ต้น
90. ในห้องเรียนมนี ักเรยี น 24 คน เปา่ ยิ้งฉบุ กันและกัน ให้ครบทุกคน จะมีการเป่ายิ้งฉุบ
รวมท้งั หมดกี่คร้งั
ใช้สูตร n – 1 เปน็ พื้นฐาน เพ่อื ดูวา่ จะไดเ้ ปา่ ยงิ้ ฉบุ คนละกี่คร้งั
24 – 1 = 23 ครงั้ หน่ึงคนได้เป่ายง้ิ ฉุบ 23 ครั้ง
ดงั นั้น 24 x 23 = 552 ครง้ั
แตก่ ารคานวณแบบน้ีต้องหารสองอกี ที
เพราะการเป่ายงิ้ ฉบุ 1 คร้งั เป็นกระบวนการของคนสองคน ไมใ่ ช่คนเดียว
552 ÷ 2 = 276 ครั้ง
รวมต้องเป่าย้งิ ฉบุ ท้ังหมด 276 คร้ัง จงึ จะทาให้ทกุ คนได้เป่ายิง้ ฉบุ คนละ 23 ครง้ั
เฉลย ค. 276 คร้งั
71
การพจิ ารณาหาความสัมพันธเ์ ชือ่ มโยงคา ขอ้ ความ
อุปมาอปุ ไมย
โจทย์ในแบบที่เปน็ อปุ มาอุปไมย มีวัตถปุ ระสงค์ในการวดั ความสามารถในการ
วเิ คราะห์และพจิ ารณาความสันพันธ์ระหวา่ งคูค่ าต่างๆวา่ มีความเกยี่ วขอ้ งสัมพนั ธก์ นั ใน
ลกั ษณะใด และนาความสัมพันธท์ ี่คน้ พบไปในการพจิ ารณาคาตอบทเ่ี หมาะสมทสี่ ดุ
เชน่ ผปู้ ่วย : ยา ……... : ……….
ก. ความอ้วน : หิว ข. ความเหนอื่ ย : การพักผ่อน
ค. เฮโรอนี : ลงแดง ง. เภสชั กร : รา้ นขายยา
เฉลย ข. ความเหน่ือย : การพักผอ่ น
ความสัมพนั ธ์ตามข้อตวั อยา่ งนี้ เปน็ ลักษณะของการบาบัดหรือแก้
ปว่ ย ต้องแก้ (บาบดั ) ด้วยยา ความเหนือ่ ย แก้ไดด้ ว้ ยการพักผ่อน
บางข้อ คคู่ วามสัมพนั ธ์อาจแสดงทิศทางของความสัมพันธ์ เชน่ ขนาดใหญ่ : ขนาดเล็ก,
ส่วนย่อย : ส่วนรวม, จานวนมาก : จานวนนอ้ ย หรือตาแหนง่ จัดเรียงของสิ่งใดๆ ฯลฯ
หลักการพจิ ารณาค่สู ัมพนั ธ์ในคาตอบทีถ่ ูกต้องมีทศิ ทางเดียวกับคูค่ วามสมั พนั ธ์ในโจทย์
เช่น ปืนใหญ่ : ปนื เลก็ ………… : ……………
ก. มีด : ดาบ ข. หอก : ลกู ดอก
ค. ประตู : หน้าต่าง ง. ภูเขา : จอมปลวก
เฉลย ข. หอก : ลกู ดอก
ในโจทย์เปน็ ความสมั พนั ธ์ แบบอาวธุ ขนาดใหญ่ : อาวธุ ขนาดเลก็
72
แพทย์ : โรงพยาบาล .............. : …………..
ก. ศาล : ทนายความ ข. รักษาโรค : คนปว่ ย
ค. ทนายความ : ศาล ง. พยาบาล : กระทรวงสาธารสขุ
เฉลย ค. ทนายความ : ศาล
โจทยแ์ สดงใหเ้ ห็นถึงความสัมพนั ธ์ในทิศทาง แบบส่วนยอ่ ย : สว่ นทง้ั หมด
(แพทย์ เป็นองค์ประกอบหน่ึงของโรงพยาบาล)
ทนายความ เป็นองคป์ ระกอบในศาล ซ่งึ ข้อ ก ไมถ่ ูก เพราะวา่ กลับดา้ นกัน
ตัวอยา่ งแนวขอ้ สอบจริง
เครอ่ื งยนต์ : นา้ มัน ..........?...... : ……?.......
ก. ไฟ : เบนซิน ข. คน : อาหาร
ค. เชือ้ โรค : ของเสีย ค. เครอื่ งบนิ : ใบพัด
ตอบ ข. คน : อาหาร เพราะเครือ่ งยนต์ ใช้น้ามันเปน็ พลังงานในการขับเคลอ่ื น
คน กินอาหารเพ่ือเป็นพลงั งานแกร่ า่ ยกาย
นักหนังสือพมิ พ์ : เคร่ืองพิมพด์ ีด ..........?...... : ……?.......
ก. ชา่ งไม้ : ไม้ ข. กวี : ธรรมชาติ
ค. ชา่ งไฟ : ไขควง ง. จราจร : ถนน
ตอบ ค. ช่างไฟ : ไขควง เพราะนักหนังสอื พิมพ์ ใชเ้ ครอ่ื งพมิ พ์ดีดเป็นเครอื่ งมือทางาน
ชา่ งไฟ ใช้ไขควงเป็นเคร่ืองมือทางาน
73
การหาข้อสรุป หาข้อสรปุ จากขอ้ ความ
ตอ้ งใช้หลักของตรรกศาสตร์ ไมใ่ ช่การคิดแบบความร้สู ึกนึกคิด หลายท่าน
อาจเห็นการถกเถยี งกันในคาเฉลย เพราะบางคนน้ันคดิ ด้วยวิธคี ดิ ของตนเองแลว้ เชื่อวา่
นนั่ คิดถูก (แต่จริงๆคือผิด) แล้วก็พยายามแสดงเหตุผลตนเอง แตม่ ที เ่ี ฉลยถูกกว่า
วธิ ที าแบง่ ขอ้ ความเปน็ สองทอ่ น หนา้ หลัง
ถ้าข้อสรปุ ตกตรงตามขอ้ ความหน้า จะสรุปได้ตามน้นั
ถ้าข้อสรุป ตกตรงตามขอ้ ความหลงั จะสรปุ ไมไ่ ด้
คนชื่อนกทุกคนเป็นคนดี น้องของฉันชอื่ นก
หน้า หลงั
[ คนช่ือนก เป็นข้อความหนา้ ] [ เป็นคนดี เป็นข้อความหลัง ]
ข้อความสรปุ ตรงขอ้ ความหนา้ แสดงว่าสรุปได้ ตอบ นอ้ งของฉันเป็นคนดี
คนชื่อนกทุกคนเป็นคนดี น้องของฉนั เป็นคนดี
หน้า หลัง
ก. น้องของฉนั ชอ่ื นก ข. น้องของฉนั อาจช่อื นก
ค. น้องของฉันไม่ไดช้ อ่ื นก ง. สรปุ แน่นอนไมไ่ ด้
ขอ้ ความสรปุ ตรงขอ้ ความหลงั อนั นจี้ ะสรปุ ไม่ได้ ตอบ สรปุ แนน่ อนไมไ่ ด้
ถา้ คดิ เองด้วยความคิด หลายคนอาจอยากตอบ ข ซ่งึ ไมถ่ ูกตามหลักวิธีคิดนะ
76
98. รงุ้ กนิ นา้ : เขยี ว -> ธงชาติไทย : …………………. ง. เหลือง
ก. ขาว ข. แดง ค. น้าเงิน
99. ป่วย : โรงพยาบาล -> ………….. : …………….
ก. แจง้ ความ : ยาม ข. เรียน : วัด
ค. บวช : โบสถ์ ง. หิว : ภตั ตาคาร
100. แสง:เสยี ง -> ……………. : …………….. ข. เคร่อื งบนิ : รถยนต์
ก. จกั รยาน : จักรยานยนต์ ง. ว่งิ : จกั รยาน
ค. เดินเท้า : วิง่
101. ราชสีห์ : สงิ โต -> ………….. : …………….
ก. พยคั ฆ์ : เสอื โครง่ ข. นก : วายภุ กั ษ์
ค. ชา้ ง : คชสาร ง. มงั กร : งู
102. คน : กวน -> ………….. : …………….
ก. สนุ ัข : เชือ่ ง ข. ป้งิ : ยา่ ง
ค. แมว : นอนหวด ง. ทอด : ผดั
103. รถเมล์ : โรงเรียน -> ………….. : …………….
ก. เบาะทน่ี ่ัง : หอ้ งเรยี น ข. เทา้ : ร่างกาย
ค. พนกั งานขบั รถ : ผอู้ านวยการ ง. ผู้โดยสาร : บคุ ลากร
104. ดอกหญ้า : ดอกฟา้ -> กระต่าย : …………….
ก. กระรอก ข. ดวงจันทร์
ค. ดวงดาว ง. ดวงอาทติ ย์
ข้อสอบการคดิ ทป่ี รากฏในหน้าเหล่านี้ ลว้ นรวบรวมมาจากขอ้ สอบจรงิ
ซงึ่ เคยออกสอบสังกัดองกรค์ปกครองสว่ นทอ้ งถิ่นในปีทผ่ี ่านๆมาทงั้ สนิ้
77
105. บาท : สตางค์ : -> ………….. : …………….
ก. ขีด : กิโลกรมั ข. เมตร : เซนตเิ มตร
ค. นาที : วินาที ง. เดอื น : วัน
106. ไขแ่ ดง : ไขไ่ ก่ -> ………….. : …………….
ก. ใยแมงมุม : แมงมุม ข. กะลา : มะพร้าว
ค. นวิ เคลียส : เซลล์ ง. ซงั : ขา้ วโพด
107. ……. : ปุ๋ย -> การขาย : ………… ข. ขยะมูลฝอย : ตลาด
ก. พชื : การโฆษณา ง. อินทรีย์ : ปากกา
ค. ข้าวโพด : ผซู้ อ้ื
108. ………… : รถยนต์ -> ปรอท : …………
ก. ถนน : องศา ข. เครื่องยนต์ : เทอรโ์ มมเิ ตอร์
ค. เบาะ : อณุ หภูมิ ง. สญั ญาณไฟ : จราจร
109. ความระมัดระวงั : อบุ ตั ิเหตุ -> สุขอนามยั : …………….
ก. โรคภยั ข. ความอนั ตราย
ค. โรงพยาบาล ง. การเสยี ชวี ติ
110. ถ่ี : ห่าง -> ละเอยี ด : ……………. ข. ละออง
ก. ป่น ง. ไกล
ค. หยาบ
เฉลย 91.ก 92.ข 93.ก 94. ข 95. ค 96. ง 97. ข 98. ค 99. ง 100. ข
101. ก 102. ข 103. ค 104. ก 105. ข 106. ค 107. ก 108. ข 109. ก 110. ค
80
1.2 วชิ าความรูพ้ นื้ ฐานในการปฏิบตั ริ าชการ (คะแนนเตม็ 30 คะแนน)
1. มาตรา 1 ของรา่ งรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ประการใด
ก. ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเปน็ ประมุข
ข. ประเทศไทยเปน็ ราชอาณาจักรอนั หน่งึ อันเดยี ว จะแบ่งแยกมไิ ด้
ค. อานาจอธปิ ไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริยท์ รงเปน็ ประมขุ
ง. บุคคลมสี ทิ ธิเทา่ เทยี มในศกั ดศ์ิ รคี วามเปน็ มนุษย์ สิทธิ เสรภี าพ ความเสมอภาค
2. ประเทศไทยปกครองในระบอบใด
ก. ระบอบประชาธปิ ไตยแบบรัฐสภา
ข. ระบอบประชาธปิ ไตยของปวงชนชาวไทย
ค. ระบอบประชาธปิ ไตยอันเท่ียงธรรมเพื่อประโยชนส์ ว่ นรวม
ง. ระบอบประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษตั ริย์ทรงเป็นประมขุ
3. พระมหากษตั รยิ ท์ รงใช้อานาจอธปิ ไตยผา่ นทางใด
ก. รฐั สภา ข. คณะรฐั มนตรี
ค. ศาล ง. ถกู ทุกขอ้
4. ขอ้ ใดกล่าวถูกตอ้ งเกี่ยวกับรัฐสภาไทยตามรัฐธรรมนูญ
ก. เป็นระบบสภาเดย่ี ว
ข. สมาชิกวุฒสิ ภามอี านาจในการลงมติหลักในสภา
ค. รัฐสภา จะประกอบด้วยวุฒสิ ภาและสภาผู้แทนราษฎร
ง. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรย่อมมจี านวนน้อยกว่าสมาชกิ วฒุ ิสภา
5. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกยี่ วกับสทิ ธิ เสรภี าพ ของประชาชน
ก. ชายและหญิงมสี ทิ ธิเท่าเทียมกัน
ข. บคุ คลยอ่ มมสี ิทธิ เสรภี าพในชวี ติ และร่างกาย
ค. การเลือกปฏบิ ตั ิต่อบคุ คลด้วยเหตใุ ดๆสามารถทาได้
ง. บคุ คลไดร้ บั ความคุ้มครองทางกฎหมายเท่าเทียมกนั
82
ตัวอยา่ งเอกสารแจกฟรีน้ี ไมไ่ ด้เรยี งหน้ามาครบตามฉบับจรงิ ๆทีเ่ ราจัดจาหนา่ ย
มีการตัดเนอื้ หาบางสว่ นไป เพ่ือแสดงเปน็ ตวั อยา่ งสาหรบั ผูส้ นใจพิจารณาน่นั เอง
11.หใาคกรไเดปอ้ ็นา่ ผนูร้ กักันษดากีๆาตราตมาหมนพ้ารคะรราบชจบะัญเปญ็นัตปริ ระะเบโยียชบนบ์ตริห่อผารู้เตรารชียกมาสรอแบผน่อยดินา่ งฉมบาับกปทัจีเจดบุ ยี นั ว
เอกก. สพารระชมุดหนาี้ ก(หษรตั อืรเิยล์ ม่ น)ี้ เป็นข้อสอบ ภาขค. กรฐั รมวนมตเนรีวอื้ ่าหกาาครรกบระททุกรขวอ้ งปมรหะาเดดไ็นทสยอบ
ค. นายกรฐั มนตรี ง. รองนายกรฐั มนตรที ี่ได้รับมอบหมาย
12. การจดั ระเบียบบรหิ ารราชการแผ่นดินแบง่ เป็นกส่ี ่วน
ก. 2 ส่วน ข. 3 สว่ น
ค. 4 ส่วน ง. 5 ส่วน
13. ข้อใดไมใ่ ชก่ ารจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดนิ
ก. ราชการสว่ นกลาง ข. ราชการส่วนภมู ิภาค
ค. ราชการส่วนท้องถ่ิน ง. ราชการสว่ นจงั หวดั
14. ข้อใดไมใ่ ช่ราชการส่วนกลาง ข. ทบวง
ก. กระทรวง ง. สานกั นายกรัฐมนตรี
ค. จังหวดั
15. ข้อใดคือราชการสว่ นภูมภิ าค ข. จังหวัด อาเภอ และ ตาบล
ก. จงั หวัด และ อาเภอ ง. องคก์ ารบริหารส่วนจังหวัด และอาเภอ
ค. กระทรวง และ ทบวง
16. ขอ้ ใดคือราชการส่วนทอ้ งถน่ิ ทม่ี กี ารปกครองในรูปแบบพิเศษ
ก. องค์การบรหิ ารส่วนตาบล ข. กรงุ เทพมหานครและปริมณฑล
ค. เทศบาลและสขุ าภิบาล ง. กรุงเทพมหานครและเมืองพัทยา
17. ขอ้ ใดไม่ใช่ราชการสว่ นทอ้ งถน่ิ ตาม พ.ร.บ. ระเบยี บบรหิ ารราชการแผ่นดนิ พ.ศ. 2534
ก. องค์การบริหารส่วนจังหวัด ข. เทศบาล
ค. สุขาภบิ าล ง. สภาตาบล
87
46. ผู้สมคั รเปน็ นายกเทศมนตรตี อ้ งมอี ายเุ ทา่ ใด ข. ไมต่ า่ กว่า 25 ปีบรบิ ูรณ์
ก. ไมต่ า่ กว่า 20 ปบี รบิ ูรณ์ ง. ไม่ตา่ กว่า 35 ปีบริบูรณ์
ค. ไม่ตา่ กว่า 35 ปี นับถงึ วนั เลอื กต้งั
47. บคุ คลใดมอี านาจหนา้ ท่ีบงั คับบัญชาพนักงานและลกู จา้ งในเทศบาลรองจากนายกเทศมนตรี
ก. รองนายกเทศมนตรี ข. ปลดั เทศบาล
ค. นายอาเภอ ง. ปลดั อาเภอ
48. บุคคลใดมีหนา้ ท่ีควบคมุ ดูแลเทศบาลในเขตจงั หวัดให้ปฏบิ ตั ิตามอานาจหน้าทโี่ ดยถกู ตอ้ ง
ก. นายกเทศมนตรี ข. ปลดั จังหวดั
ค. ผวู้ ่าราชการจังหวดั ง. ปลัดกระทรวงมหาดไทย
49. กจิ การท่ีอยู่ภายในอานาจหน้าทีข่ องเทศบาลตั้งแต่สองแห่งขน้ึ ไปท่จี ะทาร่วมกันคืออะไร
ก. เทศกิจ ข. เทศบญั ญัติ
ค. สหการ ง. บริษทั ร่วมเทศบาล
50. เทศบัญญัตสิ ามารถกาหนดโทษปรับผู้ละเมิดบัญญตั ไิ ด้เท่าใด
ก. ห้ามกาหนดปรบั เกนิ กวา่ 1,000 บาท ข. ห้ามกาหนดปรับเกนิ กว่า 2,000 บาท
ค. ห้ามกาหนดปรบั เกินกวา่ 10,000 บาท ง. กาหนดโทษปรบั เทา่ ใดตามที่เหน็ ควร
51. ผใู้ ดรกั ษาการตามพระราชบญั ญัตสิ ภาตาบลและองค์การบรหิ ารสว่ นตาบล
ก. นายกรฐั มนตรี ข. นายกเทศมนตรี
ค. รฐั มนตรวี า่ การกระทรวงมหาดไทย ง. ผู้วา่ ราชการจังหวดั
52. องค์การบรหิ ารสว่ นตาบลประกอบดว้ ยอะไรบ้าง
ก. สภาตาบลและนายกองค์การบรหิ ารส่วนตาบล
ข. สภาองคก์ ารบริหารส่วนตาบลและนายกองค์การบริหารสว่ นตาบล
ค. คณะกรรมการบริหารองค์การบริหารส่วนตาบลและสภาองค์การบรหิ ารส่วนตาบล
ง. นายกองคก์ ารบริหารส่วนตาบลและคณะกรรมการบรหิ ารองค์การบรหิ ารสว่ นตาบล
88
53. สมาชิกสภาตาบล มวี าระอายุคราวละกี่ปี ข. 4 ปี
ก. 2 ปี ง. 6 ปี
ค. 5 ปี
54. ประธานสภาตาบล คือ ข. นายอาเภอ
ก. บุคคลผู้ไดร้ บั การเลือกจากสมาชกิ สภา ง. แพทย์ประจาตาบล
ค. กานนั
55. การเปลย่ี นสภาตาบลให้เป็นองค์การบรหิ ารส่วนตาบลทาได้อยา่ งไร
ก. ประกาศของกระทรวงมหาดไทย ข. ตราเป็นพระราชบญั ญตั ิ
ค. ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา ง. ออกเปน็ พระราชกาหนด
56. สภาองคก์ ารบริหารสว่ นตาบลใดมหี น่ึงหมู่บ้านให้มีสมาชิกสภาฯ จานวนเทา่ ใด
ก. หมู่บ้านละ 1 คน ข. จานวนหมู่บา้ นละ 2 คน
ค. หม่บู า้ นละ 3 คน ง. หมู่บ้านละ 6 คน
57. สภาองคก์ ารบรหิ ารสว่ นตาบลใดมีสองหม่บู ้านใหม้ สี มาชิกสภาฯ จานวนเท่าใด
ก. หมบู่ า้ นละ 1 คน ข. หมู่บ้านละ 2 คน
ค. หมู่บา้ นละ 3 คน ง. หมู่บ้านละ 6 คน
58. บคุ คลใดทาหน้าที่ควบคมุ และรบั ผดิ ชอบราชการในองคก์ ารบรหิ ารส่วนตาบล
ก. ประธานสภาองคก์ ารบรหิ ารส่วนตาบล ข. นายกองค์การบรหิ ารสว่ นตาบล
ค. กานัน ง. นายอาเภอ
59. สมยั ประชุมสามัญของสภาองคก์ ารบริหารสว่ นตาบลมีกาหนดระยะเวลาเท่าใด
ก. ไมเ่ กิน 10 วัน ข. ไม่เกิน 15 วัน
ค. ไมเ่ กิน 30 วัน ง. ไมเ่ กิน 45 วนั
94
92. การบริหารกิจการบ้านเมอื งท่ดี ี เพอื่ ใหบ้ รรลเุ ปา้ หมายใด
ก. เกดิ ประโยชน์สขุ ของประชาชน ข. เกิดผลสมั ฤทธิ์ตอ่ ภารกจิ ของรฐั
ค. ไมม่ ีขน้ั ตอนการปฏิบัตงิ านเกินจาเป็น ง. ถกู ทกุ ขอ้
93. การใหบ้ ริการแบบ One Stop Service มตี รงกบั ขอ้ ใดมากทีส่ ดุ
ก. เกดิ ประโยชนส์ ุขของประชาชน ข. เกิดผลสัมฤทธต์ิ ่อภารกิจของรฐั
ค. ลดข้ันตอนการปฏิบตั ิงานเกินความจาเป็น ง. เพม่ิ ประสทิ ธิภาพการปฏิบตั งิ าน
94. หลักธรรมาภิบาลตามระเบียบสานกั นายกรฐั มนตรวี ่าด้วยการสร้างระบบการบรหิ ารกิจการ
บ้านเมอื งและสงั คมที่ดี พ.ศ. 2542 มกี อ่ี งคป์ ระกอบ
ก. 4 องค์ประกอบ ข. 5 องค์ประกอบ
ค. 6 องคป์ ระกอบ ง. 10 องคป์ ระกอบ
95. หลักธรรมาภิบาลของการบริหารกิจการบ้านเมืองทด่ี ี (GG Framework) ตามแนวทางของ
ก.พ.ร. คือข้อใด
ก. 6 องคป์ ระกอบ ข. 10 ประการ
ค. 10 มาตรฐาน 65 ตัวบ่งช้ี ง. 4 หลกั การสาคญั 10 หลกั การยอ่ ย
96. ขอ้ ใดไมใ่ ช่หลักธรรมาภิบาลตามแนวทางของ ก.พ.ร.
ก. การบริหารจัดการภาครฐั แนวใหม่ ข. คา่ นยิ มประชาธิปไตย
ค. ประชารฐั ง. เศรษฐกิจพอเพยี ง
97. แผนบริหารราชการของส่วนราชการ จดั ทาเป็นแผนระยะกป่ี ี
ก. 2 ปี ข. 4 ปี
ค. 5 ปี ง. 8 ปี
98. คณุ ลักษณะที่พึงประสงคข์ องระบบราชการไทยยคุ ใหม่ คือ ขอ้ ใด
ก. SMART ข. I AM READY
ค. STRONG ง. 3R+8C
105
38. ถา้ สภาองค์การบริหารส่วนจังหวดั ใดท่ีมีสมาชกิ สภา 48 คน ให้มรี องนายกองคก์ ารบริหาร
สว่ นจังหวดั ได้ไม่เกินกคี่ น ค. ไม่เกิน 4 คน
39. นายกองคก์ ารบริหารส่วนจังหวดั สามารถลาออกไดโ้ ดยยืน่ ใบลาออกที่ใคร
ค. ผูว้ ่าราชการจังหวัด
ขอ้ สอบชอบถามประเดน็ นบี้ อ่ ยๆ (หลายคนก็พลาดทา่ ไปตอบ ยื่นตอบ รมว มหาดไทย)
ไม่ใชน่ ะ ดหู ลกั การจา ดงั ตอ่ ไปน้ี ที่เป็นข้อสอบจริงเคยออก เราจึงนามาใหด้ ู แนะนาให้
นายก อบจ อยากลาออก ยน่ื ใบลาออกที่ ผู้วา่ ราชการจังหวัด
รองนายก อบจ อยากลาออก ย่นื ใบลาออกที่ นายกองค์การบรหิ ารส่วนจงั หวัด
เลขานกุ ารนายก อบจ อยากลาออก ย่นื ใบลาออกท่ี นายกองค์การบริหารสว่ นจังหวัด
ประธานสภา อบจ อยากลาออก ยนื่ ใบลาออกท่ี ผูว้ ่าราชการจงั หวัด
รองประธานสภา อบจ อยากลาออก ย่นื ใบลาออกที่ ผู้วา่ ราชการจังหวัด
สมาชกิ สภา อบจ อยากลาออก ยนื่ ใบลาออกท่ี ผู้ว่าราชการจังหวดั
40. องค์การบรหิ ารส่วนจงั หวัดสามารถกาหนดบทลงโทษผลู้ ะเมิดข้อบญั ญตั ิได้อย่างไร
ก. กาหนดบทลงโทษไดต้ ามท่ีเห็นสมควร
ข. จาคุกได้ไมเ่ กนิ 1 เดือน ปรบั ไม่เกนิ 1,000 บาท
ค. จาคุกได้ไม่เกนิ 6 เดือน ปรับไม่เกนิ 10,000 บาท
ง. กาหนดได้ตามพระราชบัญญัติการกาหนดโทษของราชการสว่ นทอ้ งถิ่น
กฎหมายระบุเอาไวช้ ดั เจนเกี่ยวกับ อบจ ท่มี ขี อ้ บญั ญตั ิ โดยเขยี นวา่ “ในข้อบัญบญั ญัตจิ ะ
กาหนดโทษผลู้ ะเมดิ ขอ้ บญั ญตั ไิ วด้ ้วยก็ได้ แตห่ า้ มมิให้กาหนดโทษจาคกุ เกินหกเดอื น และ
หรือปรบั เกินหนง่ึ หม่ืนบาท เว้นแต่จะมีกฎหมายบญั ญตั ไิ วเ้ ป็นอยา่ งอน่ื ”
106
41. ผู้ใดรกั ษาการตามพระราชบญั ญตั ิเทศบาล พ.ศ.2496 ข. รัฐมนตรวี ่าการกระทรวงมหาดไทย
42. ขอ้ ใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับเทศบาล ค. เทศบาลเปน็ ทบวงการเมือง
เทศบาลนอกจากเป็นราชการส่วนท้องถน่ิ แล้ว ยังให้เปน็ “ทบวงการเมอื ง” อกี ดว้ ย
อนั นี้ข้อสอบจริง ออกบอ่ ยนะ ใชใ้ นการสอบท้องถ่นิ เจอแบบนอี้ ย่าพลาดเลยทเี ดยี ว
43. เทศบาลมกี ี่รูปแบบ ค. สามรูปแบบ 1. เทศบาลนคร (ราษฎร 50,000 คนข้ึนไป)
2. เทศบาลเมือง (ราษฎร 10,000 คนข้นึ ไป)
3. เทศบาลตาบล
44. จัดตั้งเปน็ เทศบาลนครได้ ตอ้ งมรี าษฎรในชมุ ชนนน้ั ก่ีคนขึน้ ไป ค. หา้ หม่นื คนข้ึนไป
45. สมาชกิ สภาเทศบาลนคร มีก่ีคน ง. 24 คน จานวนสมาชิกสภาเทศบาล
เทศบาลตาบล มี 12 คน
ข้อสอบจรงิ ทงั้ นัน้ ทีเ่ คยออกมา เทศบาลเมอื ง มี 18 คน
จาตวั เลขพวกน้ีใหด้ ี ได้คะแนน เทศบาลนคร มี 24 คน
46. ผู้สมคั รเป็นนายกเทศมนตรีตอ้ งมีอายุเทา่ ใด ข. ไมต่ ่ากว่า 25 ปีบรบิ ูรณ์
ก. ไมต่ ่ากว่า 20 ปี บรบิ ูรณ์ ง. ไม่ตา่ กวา่ 35 ปีบรบิ ูรณ์
ค. ไม่ตา่ กวา่ 35 ปี นับถงึ วนั เลือกตง้ั
กฎหมายตัวเดมิ ระบเุ อาไวว้ า่ มีอายุไมต่ า่ กว่า 30 ปี บริบูรณ์ในวนั เลือกต้งั
กฎหมายตัวใหม่ (ปจั จุบัน) คือ มอี ายุไมต่ ่ากว่า 35 ปี บรบิ รู ณน์ บั ถงึ วันเลอื กตง้ั
107
47. บุคคลใดมอี านาจหนา้ ที่บังคับบญั ชาพนกั งานและลูกจ้างในเทศบาลรองจากนายกเทศมนตรี
ก. รองนายกเทศมนตรี ข. ปลดั เทศบาล
ค. นายอาเภอ ง. ปลัดอาเภอ
48. บคุ คลใดมีหน้าทคี่ วบคมุ ดแู ลเทศบาลในเขตจังหวดั ให้ปฏบิ ัตติ ามอานาจหน้าทโ่ี ดยถกู ต้อง
ก. นายกเทศมนตรี ข. ปลัดจงั หวัด
ค. ผู้ว่าราชการจงั หวัด ง. ปลัดกระทรวงมหาดไทย
จุดเน้นของข้อสอบในหนา้ น้ี ลว้ นเปน็ ขอ้ สอบจริงท่ีเคยออก และออกบ่อย ควรเน้นข้อมลู
ผู้กาหนดนโยบาย (ผู้บรหิ ารสูงสุด) = นายกเทศมนตรี
ปลดั เทศบาล เป็นผู้บังคบั บัญชาพนกั งานเทศบาลและลกู จ้างเทศบาลรองจากนายกเทศมนตรี
และรับผดิ ชอบควบคุมดูแลราชการประจาของเทศบาลใหเ้ ปน็ ไปตามนโยบาย
ผวู้ ่าราชการจังหวัด มอี านาจหน้าท่ีกากับดแู ลเทศบาลในจังหวัดนนั้ ให้ปฎบิ ตั ติ ามอานาจหน้าท่ี
โดยถูกตอ้ งตามกฎหมาย กฎและระเบียบขอ้ บงั คับของทางราชการ
49. กจิ การทอี่ ยภู่ ายในอานาจหน้าท่ีของเทศบาลต้งั แตส่ องแห่งข้นึ ไปทจี่ ะทาร่วมกันคอื อะไร
ก. เทศกิจ ข. เทศบัญญตั ิ
ค. สหการ (สหการมสี ภาพเป็นทบวงการเมือง) ง. บรษิ ทั ร่วมเทศบาล
50. เทศบัญญัติสามารถกาหนดโทษปรับผลู้ ะเมดิ บัญญตั ิไดเ้ ท่าใด
ก. ห้ามกาหนดปรับเกนิ กวา่ 1,000 บาท ข. ห้ามกาหนดปรับเกนิ กว่า 2,000 บาท
ค. ห้ามกาหนดปรบั เกนิ กว่า 10,000 บาท ง. กาหนดโทษปรับเท่าใดตามทีเ่ หน็ ควร
สหการ เปน็ ข้อสอบจริงท่อี อกบ่อย (เทศบาลตัง้ แต่สองแห่งรว่ มทากิจการเรยี กว่าสหการ)
มีข้อสอบจริงอยูค่ รัง้ หนึง่ ชอ้ ยส์ 2 ตัวคล้ายกนั คอื ก. สหกร ข. สหการ (ระวังดว้ ยนะ)
ข้อสอบจรงิ เคยมีถามว่า การจดั ต้ังสหการทาอยา่ งไร ตอบ ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา
108
51. ผูใ้ ดรกั ษาการตามพระราชบญั ญัติสภาตาบลและองค์การบรหิ ารส่วนตาบล
ค. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
52. องคก์ ารบริหารส่วนตาบลประกอบด้วยอะไรบ้าง
ก. สภาตาบลและนายกองคก์ ารบรหิ ารสว่ นตาบล
ข. สภาองคก์ ารบรหิ ารสว่ นตาบลและนายกองค์การบรหิ ารส่วนตาบล
สภาตาบล คอื การบริหารในยุคเกา่ (ยุคทีเ่ ป็นตาบล และยงั ไมไ่ ดม้ ีการอพั เกรด
ขนึ้ เป็นองคก์ ารบรหิ ารสว่ นตาบลหรอื เทศบาลตาบล) สมยั น้นั ทีใดท่ยี ังไม่ไดย้ ก
ระดบั หรืออัพเกรต กจ็ ะบริหารงานหลกั โดย กานนั ผใู้ หญ่บ้าน (คือตาบลเฉยๆ)
การประชุมต่างๆกจ็ ะเปน็ การประชุม “สภาตาบล” มีกานันเปน็ ประธานนน่ั เอง
ตอ่ มาตาบลไหนทไี่ ดย้ กระดบั เปน็ อบต หรือเทศบาลตาบล ความเปน็ “สภาตาบล”
กห็ ายไป ปรับเปล่ียนเปน็ “สภาองค์การบรหิ ารตาบล” หรือ “สภาเทศบาลตาบล”
นนั่ แปลวา่ ณ ปัจจุบนั ไม่มีสภาตาบล อย่แู ลว้ ในประเทศไทย เพราะตาบลแบบปกติเกา่ ๆ
ได้ยกฐานะเปน็ การปกครองสว่ นท้องถ่นิ กนั หมดแลว้ เป็นอบต หรอื ไมก่ ็เปน็ เทศบาลตาบล
ซึ่งองค์การบรหิ ารส่วนตาบลใดทพี่ ัฒนาไดด้ ี ก็อยากยกระดับเปน็ เทศบาลตาบลต่อไป
ดงั นัน้ จึงไมม่ ี “สภาตาบล” อยูแ่ ล้วในปัจจบุ นั แต่สภาตาบล ยงั ไม่ได้ถูกยกเลกิ ออก
จากพระราชบญั ญตั ฯิ กลา่ วคอื คาน้ี ขอ้ ความนี้ หรือเรอื่ งนี้ ยังคงสามารถทจี่ ะนามา
ออกสอบไดต้ ลอด (แล้วแตก่ รรมการ) ผู้อ่านตอ้ งแยกแยะ หากข้อสอบเจอการถามถงึ
“สภาตาบล” ก็ให้นกึ ภาพถึงกลุ่มพวกกานนั เปน็ ประธาน นามาคิดเพื่อหาคาตอบขอ้ นี้
ถ้าขอ้ สอบพดู ถงึ สภาองคก์ ารบริหารส่วนตาบล ก็นกึ ถึง “ตัวปจั จุบนั ” เกี่ยวกบั อบต
ถาม ใครเป็นประธานสภาตาบล ตอบ กานัน <-- (เกรด็ ความร้ขู ้อสอบจริงทีเ่ คยออก)
ใครเปน็ ประธานองค์การบรหิ ารส่วนตาบล ตอบ สมาชิกสภา อบต คดั เลอื กกัน
ใครเป็นผูก้ าหนดนโยบาย (ผู้บริหาร) องค์การบรหิ ารส่วนตาบล ตอบ นายก อบต
109
53. สมาชกิ สภาตาบล มีวาระอายคุ ราวละกป่ี ี ข. 4 ปี
54. ประธานสภาตาบล คือ ค. กานนั
สมาชกิ สภาตาบล และ รองประธานสภาตาบล มีวาระคราวละ 4 ปี
กฎหมายเขยี นไว้วา่ : สภาตาบลมกี านันเป็นประธานสภาตาบล และมรี องประธาน
สภาตาบลคนหนึง่ ซึ่งนายอาเภอแต่งตง้ั จากสมาชิกสภาตาบลตามมติของสภาตาบล
รองประธานสภาตาบลมวี าระการดารงตาแหนง่ คราวละส่ีปี
สภาตาบล ได้แก่ กานัน (ประธาน) ผ้ใู หญบ่ ้านของทกุ หม่บู ้านในตาบล และแพทยป์ ระจาตาบล
และสมาชกิ ซง่ึ ได้รบั เลอื กต้งั จากราษฎรในแต่ละหมูบ่ า้ น หมู่บ้านละหนง่ึ คน (1 คนน้ี วาระ 4 ปี)
55. การเปลี่ยนสภาตาบลใหเ้ ปน็ องคก์ ารบรหิ ารสว่ นตาบลทาไดอ้ ยา่ งไร
ก. ประกาศของกระทรวงมหาดไทย ข. ตราเปน็ พระราชบญั ญัติ
ค. ตราเปน็ พระราชกฤษฎีกา ง. ออกเป็นพระราชกาหนด
ข้อความท่ถี ูกนามาใชเ้ ปน็ ขอ้ สอบจริง เคยออกอยู่บ่อยๆ (ดูที่ขดี เส้นใต)้ ให้ศกึ ษาตอ่ ไปน้ี
สภาตาบลท่มี ีรายได้โดยไม่รวมเงินอุดหนนุ ในปีงบประมาณทีล่ ่วงมาติดตอ่ กันสามปีเฉล่ยี
ไม่ต่ากวา่ ปีละ หน่ึงแสนหา้ หม่ืนบาท หรือตามเกณฑร์ ายได้เฉล่ยี ในวรรคสองอาจจัดตัง้ เป็น
องค์การบรหิ ารส่วนตาบลได้ โดยทาเปน็ ประกาศของกระทรวงมหาดไทยและให้ประกาศ
ในราชกจิ จานุเบกษา ในประกาศนน้ั ให้ระบชุ ่ือและเขตขององค์การบริหารส่วนตาบลไว้ดว้ ย
ดังนั้น ขอ้ สอบจริงก็เคยถามอกี ว่า ….. การเปล่ียนแปลงเกณฑ์รายได้เฉล่ียของสภาตาบล
ให้ทาเป็นตามข้อใด
เฉลย คือ ง. ประกาศของกระทรวงมหาดไทยและใหป้ ระกาศในราชกจิ จานเุ บกษา
110
56. สภาองค์การบริหารสว่ นตาบลใดมีหนึง่ หมู่บ้านให้มสี มาชกิ สภาฯ จานวนเทา่ ใด
ก. หมู่บ้านละ 1 คน ข. จานวนหมบู่ ้านละ 2 คน
ค. หมบู่ า้ นละ 3 คน ง. หมู่บ้านละ 6 คน
57. สภาองคก์ ารบรหิ ารสว่ นตาบลใดมสี องหมบู่ า้ นให้มีสมาชิกสภาฯ จานวนเทา่ ใด
ก. หมู่บา้ นละ 1 คน ข. หมู่บา้ นละ 2 คน
ค. หมู่บ้านละ 3 คน ง. หมูบ่ ้านละ 6 คน
ระวังนะ ขอ้ มลู สอบ ข้อ 56 – 57 เป็น พระราชบัญญัติตวั ใหม่ ประกาศใช้ปี 2562
อย่าไปเผลอตอบแบบเกา่ ๆ ที่คนจานวนมากอยากใสเ่ ลข 2 กันล่ะ เพราะแบบใหม่
ต้องคิดตามจานวนหมูบ่ า้ น ถา้ มีหมูบ่ า้ นเดยี วเป็น สภา อบต (หมู่บ้านใหญ่) จดั ไป
มสี มาชิกสภา อบต ได้ 6 คน แตถ่ า้ อบต น้ัน มีสองหมู่บ้านให้มีหมบู่ า้ นละ 3 คน
58. บคุ คลใดทาหนา้ ท่ีควบคุมและรับผิดชอบราชการในองค์การบรหิ ารส่วนตาบล
ก. ประธานสภาองค์การบริหารส่วนตาบล ข. นายกองคก์ ารบริหารส่วนตาบล
ค. กานนั ง. นายอาเภอ
นายก อบต เป็นผู้ กาหนดนโยบาย ควบคมุ รบั ผิดชอบราชการ
สว่ น นายอาเภอ มอี านาจในการกากับดูแล
59. สมัยประชุมสามัญของสภาองค์การบริหารส่วนตาบลมีกาหนดระยะเวลาเทา่ ใด
ข. ไมเ่ กิน 15 วัน (ใหม้ ี 2 สมัย หรือหลายสมยั แตไ่ มเ่ กนิ 4 สมัย : สมัยละไมเ่ กนิ 15 วัน)
ระวงั ขอ้ สอบจรงิ อีกขอ้ ถามว่า “ถา้ ต้องการขายเวลาประชมุ สภา อบต ทาตามขอ้ ใด”
ตอบ ต้องได้รับอนญุ าตจากนายอาเภอ (ไมใ่ ช่ให้ไดร้ บั อนญุ าตจากนายก อบต นะ)
60. รองนายกองค์การบริหารสว่ นตาบลมีไดก้ ค่ี น
ก. ไม่เกนิ 2 คน (นายก อบต แต่งตั้งรองนายกฯ อบต ไดไ้ มเ่ กิน 2 คน)
111
61. ข้อใดกลา่ วถูกตอ้ งเกย่ี วกับเมืองพัทยา ข. เป็นนิติบุคคล
ก. เป็นองคก์ ารปกครองส่วนทอ้ งถ่นิ ง. เปน็ ราชการส่วนท้องถิน่
ค. เปน็ องค์กรปกครองส่วนท้องถน่ิ และเปน็ นิตบิ คุ คล
ข้อนเี้ ปน็ ขอ้ สอบจรงิ ในการสอบท้องถ่นิ วันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2557
เราจงใจนาขอ้ สอบจริงขอ้ นม้ี าให้ลองศึกษา เพ่อื เป็นเกรด็ ความรู้เพ่มิ เตมิ
ก. จงใจเลน่ คาศพั ท์ เพราะองค์การปกครองสว่ นทอ้ งถิ่นไม่มนี ะ (คาผิด)
ข. และ ง. ดไู ปดมู า นถี่ กู เลยนะ ถามวา่ ผดิ ไหม กไ็ ม่ถึงกับผิดอะไรมาก
เพราะในกฎหมาย ตามแนวทาง เมืองพทั ยาก็เป็นนิตบิ คุ คล และยังถือ
เป็นราชการสว่ นท้องถน่ิ (องคก์ รปกครองส่วนท้องถน่ิ จะใหจ้ ดั เป็นแบบ
ราชการส่วนทอ้ งถ่นิ ) ไมผ่ ิดอะไรมากหรอก ในขอ้ ข และ ง ถอื วา่ ไม่ผดิ
แต่เม่ือเราจาเป็นตอ้ งตอบข้อสอบราชการ และมีช้อยส์ใหเ้ ลอื ก
กต็ ้องเลือกตวั ท่ีถกู ต้องท่ีสุด ตรงตามกฎหมายมากทส่ี ดุ คอื ค.
เพราะกฎหมายเขียนเอาไวว้ า่
มาตรา 7 ใหจ้ ัดตัง้ เมอื งพัทยาเป็นองคก์ รปกครองส่วนท้องถนิ่ มีอาณาเขต
ตามเขตเมืองพทั ยาทม่ี ีอยู่ในวันกอ่ นวันที่พระราชบัญญัตนิ ้ใี ชบ้ งั คบั
ให้เมอื งพทั ยามีฐานะเป็นนิตบิ คุ คล
การแก้ไขเปลย่ี นแปลงเขตเมืองพทั ยาให้ตราเปน็ พระราชกฤษฎกี า
62. การเปลยี่ นแปลงเขตเมืองพทั ยาใหก้ ระทาตามข้อใด
ข. ตราเป็นพระราชกฤษฎกี า
63. การบรหิ ารเมอื งพัทยาประกอบดว้ ยขอ้ ใด
ก. สภาเมอื งพทั ยาและนายกเมอื งพัทยา
118
88. ก.ถ. ยอ่ มาจากอะไร
ก. คณะกรรมการงานบุคคลองค์กรปกครองสว่ นท้องถิน่
ข. คณะกรรมการมาตรฐานการบรหิ ารงานบุคคลส่วนท้องถน่ิ
ค. คณะกรรมการควบคุมงานราชการและงานบุคคลส่วนท้องถน่ิ
ง. คณะกรรมการกลางจัดสอบข้าราชการและพนักงานส่วนทอ้ งถ่ิน
89. ประธาน ก.ถ. มีวาระอยูใ่ นตาแหน่งคราวละก่ีปี
ก. 2 ปี ข. 4 ปี
ค. 5 ปี ง. 6 ปี
90. โทษทางวนิ ยั ขา้ ราชการองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินมกี สี่ ถาน
ก. 2 สถาน ข. 3 สถาน
ค. 4 สถาน ง. 5 สถาน (3 + 2)
ภาคทณั ฑ์ ตดั เงนิ เดอื น ลดเงินเดือน ปลดออก ไลอ่ อก
อย่างไมร่ า้ ยแรง 3 สถาน อย่างร้ายแรง 2 สถาน
91. ใครเปน็ ผ้รู ักษาการตามพระราชกฤษฎีกาว่าดว้ ยหลกั เกณฑ์และวิธีการบริหารกจิ การ
บ้านเมืองทดี่ ี
ก. นายกรัฐมนตรี ข. รฐั มนตรีวา่ การกระทรวงมหาดไทย
ค. ประธานรัฐสภา ง. รฐั มนตรีประจาสานักนายกรัฐมนตรี
92. การบริหารกจิ การบ้านเมืองทดี่ ี เพอ่ื ให้บรรลุเป้าหมายใด
ก. เกิดประโยชนส์ ุขของประชาชน ข. เกดิ ผลสัมฤทธ์ติ อ่ ภารกิจของรัฐ
ค. ไมม่ ีขั้นตอนการปฏิบัติงานเกนิ จาเปน็ ง. ถกู ทกุ ขอ้
ระวังนะ ข้อนเ้ี ป็นขอ้ สอบจริงท่หี ลายคนพลาดเพราะไปโฟกัสหรือจาแค่ข้อความวา่
ประโยชนส์ ขุ แต่จรงิ ๆเป้าหมายตามกฎหมายนี้ กาหนดไว้ถึง 7 ขอ้ เลยนะ
119
93. การใหบ้ รกิ ารแบบ One Stop Service มตี รงกบั ขอ้ ใดมากที่สุด
ก. เกดิ ประโยชน์สุขของประชาชน ข. เกดิ ผลสัมฤทธต์ิ ่อภารกิจของรัฐ
ค. ลดขัน้ ตอนการปฏิบตั งิ านเกนิ ความจาเปน็ ง. เพม่ิ ประสิทธิภาพการปฏบิ ัตงิ าน
เรียกวา่ เปน็ ศนู ยบ์ รกิ ารร่วม เพื่ออานวยความสะดวกแกป่ ระชาชน ติดต่อ สอบถาม
ทราบข้อมูล ขออนญุ าต หรือเรอื่ งใดๆ โดยตดิ ตอ่ ณ ศูนย์บริการรว่ มเพยี งแห่งเดียว
94. หลกั ธรรมาภบิ าลตามระเบยี บสานักนายกรฐั มนตรวี า่ ดว้ ยการสร้างระบบการบริหารกจิ การ
บา้ นเมืองและสงั คมที่ดี พ.ศ. 2542 มีก่ีองค์ประกอบ
ก. 4 องคป์ ระกอบ ข. 5 องคป์ ระกอบ
ค. 6 องค์ประกอบ ง. 10 องคป์ ระกอบ
หลักธรรมมาภบิ าล ตามระเบยี บสานกั นายกรัฐมนตรี พ.ศ. 2542 มี 6 องค์ประกอบ
หลักนติ ิธรรม หลกั คุณธรรม หลักความโปรง่ ใส
หลกั ความมสี ่วนรว่ ม หลกั ความรบั ผิดชอบ หลกั ความค้มุ คา่
95. หลกั ธรรมาภิบาลของการบรหิ ารกิจการบ้านเมอื งที่ดี (GG Framework) ตามแนวทางของ
ก.พ.ร. คือขอ้ ใด
ก. 6 องคป์ ระกอบ ข. 10 ประการ
ค. 10 มาตรฐาน 65 ตัวบ่งชี้ ง. 4 หลกั การสาคญั 10 หลักการย่อย
96. ข้อใดไม่ใช่หลกั ธรรมาภบิ าลตามแนวทางของ ก.พ.ร.
ก. การบรหิ ารจดั การภาครัฐแนวใหม่ ข. คา่ นิยมประชาธปิ ไตย
ค. ประชารฐั ง. เศรษฐกจิ พอเพยี ง
ก.พ.ร. กาหนดหลกั ธรรมมาภิบาลไว้ในชว่ งปี 2555 แบ่งเปน็ 4 หลักการใหญ่ 10 ย่อย
โดยไมไ่ ดม้ หี ลกั การใหญ่ทีม่ หี ัวข้อปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี งไว้ดว้ ย
120
97. แผนบริหารราชการของส่วนราชการ จดั ทาเป็นแผนระยะก่ปี ี
ก. 2 ปี ข. 4 ปี
ค. 5 ปี ง. 8 ปี
ตัวน้มี โี อกาสออกข้อสอบสูงในปี 64 เพราะเป็น “ตวั ใหม่ที่เพิ่งแกไ้ ขมาช่วงหลัง”
กบั “หลักเกณฑแ์ ละวธิ ีการบรหิ ารกิจการบ้านเมืองท่ดี ี ฉบับท่ี 2 พ.ศ. 2562”
สมยั กอ่ น (นานมาแลว้ และใช้มาตลอดจนถึงชว่ งปี 2562) จะมแี ผนหลกั ๆ 2 ตวั
คือ คณะรัฐมนตรี ทาแผนบรหิ ารราชการแผน่ ดนิ ระยะ 4 ปี กบั แผนนติ ิบญั ญัติ
ในฉบบั ที่ 2 ดงั กล่าวนี้ ได้ยกเลิกไมท่ าสองแผนนั้นแลว้ และให้สว่ นราชการต่างๆ
จัดทา “แผนบรหิ ารราชการของสว่ นราชการ ซง่ึ เปน็ ระยะ 5 ปี” (มาใหม่เลย)
98. คุณลกั ษณะทพี่ ึงประสงคข์ องระบบราชการไทยยคุ ใหม่ คือ ขอ้ ใด
ก. SMART ข. I AM READY
ค. STRONG ง. 3R+8C
1. Integrity = ทางานอยา่ งมศี ักดิศ์ รี
2. Activeness = ขยนั ตงั้ ใจทางาน เชิงรกุ
3. Morality = มีศีลธรรม คณุ ธรรม
4. Relevancy = ร้ทู นั โลก ปรบั ตวั ทนั โลก ตรงกับสังคม
5. Efficiency = มงุ่ เน้นประสทิ ธิภาพ
6. Accountability = รบั ผดิ ชอบต่อผลงานและสังคม
7. Democracy = มีใจและการกระทาเป็นประชาธปิ ไตย มสี ว่ น และโปรง่ ใส
8. Yield = มีผลงาน ม่งุ เนน้ ผลงาน
. การนาเทคโนโลยีดิจทิ ลั มาใชเ้ ปน็ เครอ่ื งมอื ในการบริหารงาน ภาครัฐและการบริการสาธารณะ
คหตสโดงรัวอใยอือดชปยตคเ้ ปรา่าลบังรน็้อเปางแอขแรกนองุลสวกงะาทเาเรชรราาอื่แบงมอรจอิหโ่ากยยนาฟ่างรทงเรจขไั้งนีดัรา้ ม้ีกจดกีปาดัว้็ตรรยทาแะกมาโลนั เเยะพนอชบื่อย้อืนูรแา่หต์ณงสาอ่มาทดผ่ันก่ีงเเู้คผาเตปรงยรปขน็แียอ้ลตพมมอัวสรดลู อใ่ภอภยหบัยา่าฟ้คแไงดรลรสัฐ้ไะๆี ามแมหน่มลธี รี้ะารโบักกรหผามกลราู้ส็นดทภนอ้อาิบยใา่งจานตาลพนอ่ไิจมใไคหปาเ่ือสรม้ตอยีณีคาะควมาไาร่าสซมใ้อืมชไคจ้ ฟ่าวลยร์
121
100. สานักงานพฒั นารฐั บาลดจิ ทิ ลั มสี ถานะเป็นอะไร
ก. องคก์ รมหาชน ข. องค์การมหาชน
ค. บริษัทจากดั ง. รัฐวสิ าหกจิ
ตัวนส้ี าคัญ ต้องร้จู ัก นี่กม็ าใหม่ช่วงปี 2562 (ถ้าสอบปี 2564 มโี อกาสออกสงู )
และราชการอ่นื ๆท่ีเขาสอบกนั ช่วงปี 2562 – 2563 ก็ถามแล้วขอ้ สอบตัวนี้นะ
สานกั งานพฒั นารฐั บาลดิจิตอล ยอ่ ว่า สพร. (ภาษาอังกฤคอื DGA)
เปน็ หนว่ ยงานในการกากับดูแลของนายกรฐั มนตรี สงั กดั สานกั นายกรัฐมนตรี
101. พระราชบัญญัตกิ ารอานวยความสะดวกในการพจิ ารณาอนญุ าตของทางราชการ
พ.ศ. ๒๕๕๘ มผี ลบงั คับใชเ้ มือ่ ใด
ก. วันทปี่ ระกาศในราชกิจจานุเบกษา
ข. วนั ถดั จากวันท่ีประกาศในราชกิจจานเุ บกษา
ค. เมื่อพน้ กาหนด 90 วนั นับแตว่ นั ประกาศในราชกิจจานุเบกษา
ง. เม่อื พ้นกาหนด 180 วัน นบั แต่วนั ประกาศในราชกิจจานเุ บกษา
102. ผู้รักษาการตามพระราชบญั ญัติการอานวยความสะดวกในการพจิ ารณาอนญุ าตของ
ทเอากงรสาาชรกแาจรกพฟ.ศร.ี ๒ท๕ที่ ๕่าน๘กคาอื ลขงั ้อไดใด้อ่านนี้ ข. นายกรัฐมนตรี
กคสเป..ีข็นาวรรเอเัฐัฐลกมม่มสนนนาตตร้ีทรรตีีววท่ี วั่่าาากกองาายเรรรา่ กกางรรไตดะะา้จททรัดรราววทรงงวามกมขลหน้ึขาา้อมโดสหาไอเมทพบยอ่ื ง. ปลัดสานักนายกรัฐมนตรี
จัดจาหนา่ ยให้ผสู้ นใจไดซ้ อ้ื ไปอ่านกนั
103. กทาั้งรใทนเ่ี รจปู้าหแนบา้ บทข่ยี อนิ งยไอฟมลใ์ หป้บรคุน้ิ คทล์เใอดงกหรระอืทาการใดที่มกี ฎหมายกาหนดใหต้ ้องไดร้ บั ความ
ยในิ นยรอูปมแกอ่บนบกขรอะงทเลาม่กาตรานรัน้าสหง่ มใหาย้ถถึงงึบขา้ อ้ นใด
กส.ามยาินรยถอตมดิ ตอ่ สอบถามซอ้ื กับตัวแทน ข. อนญุ าต
คจ.าหยนอมา่ ยควขาอมงเราได้เลย มีการเร่ิมแนะนา ง. เห็นชอบ
เผยแพร่ประชาสัมพนั ธอ์ ย่างจรงิ จังแลว้
104. ใตห้ังผ้ แูอ้ ตน่เุญดาือตนพพิจฤาษรณภาาคกมฎห2ม5า6ย4ท่ีใเหปอ้ ็นาตน้นาจไปในการอนุญาตวา่ สมควรปรบั ปรุงกฎหมายน้นั เพ่อื
ยกเลกิ การอนุญาตหรือจัดให้มีมาตรการอนื่ แทนการอนุญาตหรือไม่ในระยะเวลากปี่ ี
ง. ทกุ หา้ ปี
122
105. ในกรณที ีค่ ณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเห็นวา่ ความลา่ ช้านัน้ เกินสมควรแก่เหตุ
หรอื เกดิ จากการขาดประสิทธภิ าพในการปฏบิ ตั ิราชการของหนว่ ยงานของผูอ้ นญุ าต
ให้คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการรายงานตอ่ ข้อใด
ก. นายกรฐั มนตรี ข. รัฐมนตรีวา่ การกระทรวงมหาดไทย
ค. คณะรัฐมนตรี ง. ประธานสภาผ้แู ทนราษฎร
106. งานท่ีเก่ยี วกับการบรหิ ารงานเอกสาร เรม่ิ ตง้ั แตก่ ารจดั ทา การรับ การส่ง การเกบ็ รกั ษา
การยมื จนถึงการทาลาย หมายถึงขอ้ ใด
ก. งานสารบัญ ข. งานวชิ าการ
ค. งานเอกสาร ง. งานหนังสือราชการ
107. คาว่า “หนังสอื ” ในงานสารบรรณ บัญญัตใิ หห้ มายถงึ หนังสอื ประเภทใด
ก. หนงั สอื แบบเรียน ข. หนงั สอื อา่ นเสรมิ ทักษะ
ค. หนงั สอื ราชการ ง. หนังสือทุกประเภท
108. หนงั สอื ราชการมีกีช่ นิด ง. 6 ชนิด
หนงั สอื (ตามระเบยี บน้ี หมายถงึ หนังสือราชการ) มี ๖ ชนดิ คอื ไมม่ ี
๑. หนงั สอื ภายนอก
๒. หนังสือภายใน
๓. หนงั สอื ประทับตรา
๔. หนังสือสั่งการ
๕. หนงั สอื ประชาสัมพันธ์
๖. หนังสอื ที่เจา้ หนา้ ที่ทาขนึ้ หรอื รบั ไว้เป็นหลักฐานในราชการ
109. ข้อใดไม่ใชช่ นิดของหนงั สือราชการ ข. หนงั สอื ภายนอก
ก. หนงั สอื ภายใน ง. หนังสอื คาสัง่ ทางราชการ
ค. หนังสอื ประทบั ตรา
123
110. หนังสือติดตอ่ ภายในกระทรวง ทบวง กรม หรอื จังหวัดเดียวกัน ใชก้ ระดาษบันทกึ ข้อความ
เปน็ หนังสอื ชนิดใด ก. หนงั สอื ภายใน
111. ข้อใดไม่ใช่หนังสือประชาสัมพันธ์ ค. วารสาร ง. ขา่ ว
ก. ประกาศ ข. แถลงการณ์
112. ขอ้ ใดไม่ใชห่ นังสือสัง่ การ
ก. คาส่ัง ข. ระเบียบ ค. หลักเกณฑ์ ง. ข้อบังคบั
หนงั สอื ประชาสัมพนั ธม์ ี ๓ ชนดิ ไดแ้ ก่ ประกาศ แถลงการณ์ และขา่ ว
หนงั สือส่งั การมี ๓ ชนิด ได้แก่ คาสงั่ ระเบยี บ และข้อบงั คับ
ข้อสอบในหน้านี้ ล้วนเปน็ ข้อสอบจริงทเ่ี คยออก (และออกบอ่ ย) ท้ังนนั้ เลย
113. หนังสือประทบั ตราใหใ้ ชไ้ ดท้ ง้ั ระหว่างส่วนราชการกบั ส่วนราชการ และระหว่าง
ส่วนราชการกับบคุ คลภายนอก ขอ้ ใดกล่าวไม่ถกู ตอ้ ง
ก. ใช้เฉพาะกรณที ีไ่ ม่ใชเ่ รอื่ งสาคญั
ข. ใช้ในการตอบรับทราบท่เี กยี่ วกบั ราชการสาคัญหรอื การเงนิ (ไมถ่ กู ต้อง)
ค. ใชใ้ นการแจง้ ผลงานทีไ่ ดด้ าเนนิ การไปแล้วให้สว่ นราชการท่ีเกี่ยวขอ้ งทราบ
ง. ใช้กับเร่ืองซง่ึ หัวหนาสว่ นราชการระดบั กรมขน้ึ ไปกาหนดโดยทาเป็นคาส่งั
หนังสือประทับตรา ฟังดูเผนิ ๆเหมือนแบบ “สาคญั ” ตอ้ งประทบั ตรา อารมณข์ องคนท่ี
อา่ นโจทย์ มักนักถึงอะไรทแ่ี บบเป็นงานเป็นการ เป็นราชการ ย่ิงใหญ่ จึงเผลอไปตอบ ขอ้ ก นะ
ไมใ่ ชเ่ ลย ตรงข้ามชดั เจน หนังสือ “ประทบั ตรา” คอื เร่ืองแบบเลก็ ๆน้อยๆ ไมส่ าคัญ ทีแ่ บบว่า
หวั หนา้ ระดบั กรม (อธิบดี) ไมต่ ้องอา่ น ไมต่ ้องเซ็นตก์ ไ็ ด้ ใหเ้ จา้ หนา้ ที่ประทบั ตราลงไปกใ็ ชไ้ ด้ละ
อารมณ์ประมาณวา่ มีเรอื่ งราวมาปุ๊บ ผู้ทีไ่ ด้รับมอบหมายอ่านแลว้ ประทับตราแทนไดเ้ ลยนนั่ เอง
ข้อ 3 ในหนงั สือนี้ ระบุวา่ ในกรณี “การตอบรับทราบท่ีไม่เก่ียวกบั ราชการสาคัญหรอื การเงิน”
125
117. ชนั้ ความเร็วของหนงั สอื ทีต่ องปฏิบัติใหเ้ ร็วกวา่ ปกติข้อใดไมถ่ ูกต้อง
ก. ด่วนพเิ ศษ ข. ด่วนท่ีสดุ
ค. ดว่ นมาก ง. ด่วน
118. ขอ้ ใดไม่ใช่ระดับช้ันความลับของหนังสอื ราชการ
ก. ลบั ทสี่ ดุ ข. ลบั มาก
ค. ลบั ง. ปกปดิ
หนังสือท่ีต้องปฏิบัติใหเ้ รว็ กวา่ ปกติ แบง่ เปน็ ๓ ประเภท คอื
ด่วนท่สี ุด ใหเ้ จา้ หน้าที่ปฏบิ ตั ิในทนั ทีที่ได้รบั หนงั สือนั้น
ด่วนมาก ใหเ้ จ้าหน้าท่ีปฏิบัติโดยเร็ว
ดว่ น ใหเ้ จา้ หนา้ ท่ีปฏิบัตเิ รว็ กวา่ ปกติเท่าท่จี ะทาได้
ระดับชั้นความลบั มี 3 คือ ลับท่ีสุด ลบั มาก ลบั
(เม่ือกอ่ นมี 4 ตวั คือมี ปกปดิ ตอนน้ยี กเลกิ ไปแลว้ )
119. ตราครฑุ สาหรับแบบพิมพ์ ใหใ้ ชข้ นาดใดตามระเบยี บ
ก. ขนาดตวั ครุฑสงู 1.5 เซนตเิ มตร ข. ขนาดตัวครฑุ สงู 3 เซนตเิ มตร
ค. ขนาดตวั ครุฑสูง 3.5 เซนตเิ มตร ง. ทั้ง ก และ ข
120 ข้อใดกล่าวถูกต้องเกีย่ วกับมาตรฐานกระดาษและซอง
ก. กระดาษมี 2 ขนาด ซองมี 3 ขนาด ข. กระดาษมี 3 ขนาด ซองมี 2 ขนาด
ค. กระดาษมี 3 ขนาด ซองมี 4 ขนาด ง. กระดาษมี 4 ขนาด ซองมี 3 ขนาด
มาตรฐานกระดาษ มี 3 ขนาด คอื เอ4 / เอ5 / เอ8
มาตรฐานซอง มี 4 ขนาด คอื ซี 4 / ซ5ี / ซ6ี / ดีแอล
126
1.3 วิชาภาษาไทย (คะแนนเตม็ 20 คะแนน)
อ่านขอ้ ความนีแ้ ล้วตอบคาถามขอ้ 1 - 5
อากาศเสียทป่ี ล่อยออกมาจะมผี ลกระทบต่อร่างกายแทบทกุ ส่วน เชน่ มผี ลต่อสมอง ทาให้
ความจาเสอ่ื ม ทาใหเ้ ย่อื หลอดลมอกั เสบ หายใจไม่ออก ไฮโดรคารบ์ อนบางชนดิ เชน่ เบนโซไพรนิ
เมอ่ื เข้าสูร่ ่างกายแลว้ จะละลายสะสมอยใู่ นไขมันและเปน็ ตวั กอ่ ใหเ้ กิดโรคมะเร็ง แก๊สคาร์บอนมอน
ออกไซดเ์ ป็นสารมลพษิ ทม่ี ีปริมาณสงู ในท้องถนนกรุงเทพฯ แกส๊ ทเี่ กดิ จากการเผาไหมไ้ ม่สมบูรณ์
เม่อื ร่างกายหายใจเอาอากาศทมี่ แี กส๊ คารบ์ อนมอนอกไซด์เจือปนเขา้ สปู่ อด ทาใหส้ ว่ นตา่ งๆของ
รา่ งกายได้รบั แก๊สออกซิเจนน้อยลง เกดิ อาการปวดศรี ษะ คลื่นไส้ อ่อนเพลีย หมดสติและถงึ ตาย
1. บทความน้ีควรตงั้ ชอื่ ว่าอยา่ งไร ข. อันตรายจากสารมลพิษ
ก. ผลกระทบจากอากาศเสีย ง. มลพษิ บนทอ้ งถนน
ค. สารมลพิษจากเครอื่ งยนต์
2. บคุ คลในข้อใดมีโอกาสได้รบั แก๊สคารบ์ อนมอนอกไซด์มากกวา่ คนอน่ื
ก. ครู ข. แพทย์ ค. จราจร ง. กรรมกร
3. บุคคลในข้อใดมสี ว่ นช่วยในการแกไ้ ขปญั หานี้
ก. ตารวจ ข. ประชาชน ค. นักวิทยาศาสตร์ ง. ผู้ใชย้ านพาหนะ
4. จากบทความขอ้ ใดกลา่ วไม่ถกู ตอ้ ง
ก. ถา้ รา่ งกายไดร้ บั แกส๊ คารบ์ อนมอนอกไซดม์ ากอาจถึงตายได้
ข. เบนโซไพรินเป็นสาเหตขุ องการเกิดโรคมะเร็งบางชนิด
ค. เบนโซไพรนิ จะพบมากบนท้องถนนทม่ี กี ารจราจรหนาแนน่
ง. กรงุ เทพฯ เป็นแหล่งจราจรทีม่ ีสารมลพิษปลอ่ ยออกมาในปริมาณสงู มาก
5. ข้อใดไม่ไดก้ ลา่ วถึงในบทความน้ี ข. ระบบไหลเวยี นเลือด
ก. โรคระบบทางเดินหายใจ ง. อาการป่วยทางร่างกาย
ค. สารท่กี ่อใหเ้ กดิ โรครา้ ยแรง
134
56. ข้อความใดเปน็ ลาดบั ที่ 1
ก. ในอดตี ประชาชนชาวไทยยังเคยชินกับการปกครองแบบมีผนู้ าคอยชี้นา
ข. ซ่งึ ทาใหป้ ระชาชนไมม่ โี อกาสในการคดิ และตดั สินใจ นอกจากการทาตามคาส่งั
ค. แตก่ ารปกครองแบบประชาธิปไตยถือว่าประชาชนทกุ คนมสี ว่ นรว่ มในการปกครอง
ง. ทาให้ตอ้ งใช้เวลาอกี หลายปที ่กี วา่ ประชาชนสว่ นใหญข่ องประเทศจะเขา้ ใจ
57. ข้อความใดควรอยลู่ าดับที่ 3
ก. เพือ่ เป็นที่เสด็จประพาส
ข. วังพญาไทยสรา้ งในรชั กาลท่ี 5
ค. ตลอดจนประกอบพระราชพธิ จี รดพระนงั คัลแรกนาขวัญ
ง. และให้เปน็ แหล่งเพาะปลกู ทดลองธัญพชื ตา่ งๆ
58. เรียงลาดบั ข้อความนใ้ี หเ้ หมาะสม
1. การใช้สงิ่ ของ เคร่ืองมอื เครือ่ งใช้ ทกุ อยา่ งท่ใี ห้บริการ
2. ท้งั น้เี พือ่ ใหส้ ่ิงของ เคร่อื งใช้ เหลา่ นั้นเป็นประโยชน์แก่เรามากทส่ี ุด
3. และให้ประโยชน์แก่เรานนั้
4. จาเป็นทผ่ี ูใ้ ช้จะต้องเข้าใจและรจู้ ักใช้ใหเ้ ป็น
ก. 1 – 2 – 3 – 4 ข. 1 – 4 – 2 – 3
ค. 1 – 3 – 4 – 2 ง. 1 – 3 – 2 – 4
59. เรียงลาดบั ขอ้ ความให้ถกู ตอ้ ง
1. ผู้มีอานาจแตง่ ตง้ั ซึ่งรอู้ ยู่แล้วว่า
2. ไมว่ ่าดว้ ยเหตุใดๆก็ตาม
3. ตนจะตอ้ งพ้นจากตาแหนง่ หนา้ ทีร่ าชการไป
4. ข้าราชการพลเรือนไวล้ ว่ งหน้า
5. ไมพ่ งึ ออกคาสง่ั แต่งตง้ั
ก. 2 – 5 – 1 – 4 – 3 ข. 2 - 1 – 3 – 5 – 2
ค. 1 – 3 – 5 – 4 – 2 ง. 2 – 3 – 5 – 4 – 1
142
1.4 วิชาภาษาองั กฤษ (คะแนนเตม็ 20 คะแนน)
Directions : For each of the blanks in the following dialogues, choose the most
appropriate item.
At a department store.
Salesgirl : ……....1....., sir?
Jackson : I'd like to have a look at your new arrival shoes.
Salesgirl : What kind of shoes would you like to see?
Jackson : I want running shoes for everyday use.
Salesgirl : We have some fine running shoes …...2…...., sir?
Jackson : I wear size 8. Please …3….... see some of that size.
Salesgirl : The price ……4….. from 4,500 baht to 3,750 baht.
Jackson : Thanks.
1. ก. What's going on ข. What are you looking for
ค. May I help you ง. What do you want to buy
2. ก. What size do you wear ข. How many size do you wear
ค. How much size do you want ง. Do you wear what size
3. ก. How much I must pay ข. How much is it
ค. How much does it cost ง. Can you show its price
4. ก. is reducing ข. has reduced
ค. has been reduced ง. has been reducing
151
50. Situation : At the restaurant, John and Bob are ordering some food.
John : Let’s sit over there.
Bob : O.K.
John : _______________
Bob : Sure. What would you like to eat?
John : I’ll have steak.
ก. May I help you? ข. Can you pass me a menu, please?
ค. It’s a very nice restaurant. ง. What’s the popular dish here?
51. They want to go to the place _____ an old man found a diamond stone.
ก. who ข. whom
ค. which ง. where
52. I know the murderer’s face under his ugly _________.
ก. towel ข. mask
ค. napkin ง. scarf
53. Electric ill lives in a deep _______. ข. desert
ก. forest ง. ocean
ค. volcano
54. Berb is a ______ of our company. He can control the situation.
ก. chairman ข. traveler
ค. guest ง. criminal
55. My boss is talking to the ________ who is applying for this position.
ก. prisoner ข. dweller
ค. applicant ง. butcher
1
สรุปเทคนคิ และวิเคราะห์ขอ้ สอบภาคความรู้ความสามารถท่วั ไป (ภาค ก) ของทอ้ งถ่นิ
1.วชิ าความสามารถในการศึกษา วิเคราะห์ และสรุปเหตุผล (30 คะแนน)
โอเปอรเ์ รต (1 ขอ้ ) /อนกุ รม (3 ข้อ) / คณิตท่ัวไป (3 ข้อ) รวม 7 ข้อ (ทำใหไ้ ด้ 5 ขอ้ )
อปุ มำ / อุปไมย 3 ข้อ (ทำได้ 3 ขอ้ )
เงอื่ นไขสญั ลักษณ์ 5 ข้อ (ทำได้ 3 ข้อ) เง่อื นไขภำษำ 5 ข้อ (ทำให้ได้ 2 ข้อ) กำรวิเครำะหข์ ้อมลู จำกกรำฟหรอื
ตำรำง 5 ขอ้ (ทำได้ 3 ขอ้ ) หมำยเหตุ อำจออกอย่ำงได้อยำ่ งหน่ึง 2 ใน 3 (10 ขอ้ )
ควำมสำมำรถในกำรสรุปควำมฯ สรปุ ตรรกะวทิ ยำ / กำรวิเครำะหข์ ้อมลู เหตผุ ล รวม 5 ขอ้ (ทำให้ได้ 3 ขอ้ )
เหตุกำรณป์ ัจจุบนั /เศรษฐกิจและสงั คม /นโยบำยรัฐบำล 5 ขอ้ (ทำได้ 3 ข้อ)
******หมำยเหตุ ส่วนน้ี ขอทาใหไ้ ด้ประมาณ 20 ขอ้ ขึ้นไป*******
(ขอให้ทาเป็นสว่ นที่ 3 หรอื ต่อจากวชิ าภาษาไทย)
โอเปอร์เรต /อนุกรม / คณติ ทั่วไป
โอเปอร์เรเตอร์ ตัวเครอื่ งหมำย * จะแทนด้วยเคร่ืองหมำย บวก ลบ คูณ หำร ยกกำลัง
แบบท่ี 1 (หนำ้ * หนำ้ ) * หลัง หรอื อกี แบบคือ (หนำ้ * ตวั เลขจำนวนเตม็ บวก) * ดว้ ยตวั หลงั
แบบท่ี 2 (หลัง*หลัง) * หนำ้ หรอื อีกแบบคือ (หลัง * ตวั เลขจำนวนเตม็ บวก) * ด้วยตัวหน้ำ
แบบท่ี 3 (หนำ้ * หลัง) * ตวั เลขจำนวนเตม็ บวก หรอื (หลัง * หนำ้ ) * ตัวเลขจำนวนเตม็ บวก
แบบที่ 4 หนำ้ * (หลัง * ตวั เลขจำนวนเต็มบวก) หรอื หลงั * (หน้ำ * ตัวเลขจำนวนเตม็ บวก)
แบบท่ี 5 (หน้ำ * ตวั เลขจำนวนเตม็ บวก) * (หลัง * ตัวเลขจำนวนเต็มบวก)
หรือ (หลงั * ตวั เลขจำนวนเต็มบวก) * (หน้ำ * ตัวเลขจำนวนเตม็ บวก)
ตวั อย่ำงแบบท่ี 1
ถ้ำ 6 * 2 = 38 และ 4 * 7 = 23 แลว้ 5 * 1 = ?
ก. 24 ข. 26 ค. 28 ง. 30
วธิ ีคิด 6 * 2 = (หน้ำ × หนำ้ ) + หลัง = 38 และ 4 * 7 = (หนำ้ × หน้ำ) + หลงั = 23
6 * 2 = (6 × 6) + 2 = 38 และ 4 * 7 = (4 × 4) + 7 = 23
ดังนั้น 5 * 1 = (หนำ้ × หน้ำ) + หลัง = 26 : 5 * 1 = (5 × 5) + 1 = 26
ถ้ำ 3 * 2 = 11 และ 3 * 8 = 17 แล้ว 4 * 9 = ?
ก. 25 ข. 28 ค. 30 ง. 33
วธิ คี ิด 3 * 2 = (หน้ำ2 ) + หลงั = 11 และ 3 * 8 = (หนำ้ 2 ) + หลงั = 17
3 * 2 = (32 ) + 2 = 11 และ 3 * 8 = (32 ) + 8 = 17
ดังนัน้ 4 * 9 = (หน้ำ2 ) + หลงั = 25 : 4 * 9 = (42 ) + 9 = 25
ถำ้ 4 * 2 = 6 และ 6 * 6 = 6 ดังนั้น 9 * 7 = ?
ก. 16 ข. 56 ค. 11 ง. 23
วิธีคดิ 4 * 2 = (หน้ำ x 2) – หลงั = 6 และ 6 * 6 = (หน้ำ x 2) – หลงั = 6
4 * 2 = (4 x 2) – 2 = 6 และ 6 * 6 = (6 x 2) – 6 = 6
ดงั น้นั 9 * 7 = (หน้ำ x 2) – หลงั = 11 : 9 * 7 = (9 x 2) – 7 = 11
2
ตัวอย่ำงแบบท่ี 2
ถำ้ 4 * 5 = และ 6 * 7 = ดงั นั้น 8 * 9 = ?
ก. 5 ข. 7 ค. 11 ง. 13
วิธคี ดิ 4 * 5 = (หลงั + หลงั ) – หนำ้ = 6 และ 6 * 7 = (หลัง + หลัง) – หนำ้ = 8
4 * 5 = (5 + 5) – 4 = 6 และ 6 * 7 = (7 + 7) – 6 = 8
ดังนั้น 8 * 9 = (หลัง + หลงั ) – หน้ำ = 6 : 8 * 9 = (8 + 8) – 9 = 7
ตัวอย่ำงแบบที่ 3
ถำ้ 5 * 2 = 9 และ 4 * 2 = 6 แล้ว 5 * 1 = ?
ก. 4 ข. 6 ค. 12 ง. 24
วธิ ีคิด 9 * 2 = (หน้ำ – หลงั ) x 3 = 9 และ 4 * 2 = (หน้ำ – หลงั ) x 3 = 6
9 * 2 = (5 – 2) x 3 = 9 และ 4 * 2 = (4 – 2) x 3 = 6
ดงั นั้น 5 * 1 = (หน้ำ – หลงั ) x 3 = 12 : 5 * 1 = (5 – 1) x 3 = 12
ถำ้ 5 * 20 = 24 และ 4 * 12 = 15 แลว้ 9 * 18 = ?
ก. 15 ข. 20 ค. 25 ง. 30
วิธีคดิ 5 * 20 = (20 ÷ 5) + 20 = 24 และ 4 * 12 = (12 ÷ 4) + 12 = 15
ดงั นน้ั 9 * 18 = (18 ÷ 9) + 18 = 20
ตวั อยำ่ งแบบท่ี 4
ถำ้ 4 * 7 = 18 และ 2 * 3 = 8 แล้ว 8 * 4 = ?
ก. 12 ข. 16 ค. 22 ง. 24
วธิ คี ดิ 4 * 7 = หน้ำ + (หลัง x 2) = 18 และ 2 * 3 = หนำ้ + (หลงั x 2) = 8
4 * 7 = 4 + (7 x 2) = 18 และ 2 * 3 = 2 + (3 x 2) = 8
ดังนน้ั 8 * 4 = หน้ำ + (หลงั x 2) = 16 : 8 * 4 = 8 + (4 x 2) = 16
ถำ้ 2 * 8 = 12 และ 6 * 5 = 41 แลว้ 2 * 7 = ?
ก. 13 ข. 9 ค. 51 ง. 11
วิธีคดิ 2 * 8 = (หนำ้ 2) + หลงั = 12 และ 6 * 5 = (หน้ำ2) + หลงั = 41
2 * 8 = (22) + 8 = 12 และ 6 * 5 = (62) + 5 = 41
ดังนั้น 2 * 7 = (หน้ำ2) + หลัง = 11 : 2 * 7 = (22) + 7 = 11
ตัวอยำ่ งแบบที่ 5
ถ้ำ 6 * 5 = 22 และ 9 * 6 = 30 แลว้ 9 * 8 = ?
ก. 1 ข. 89 ค. 73 ง. 34
วธิ คี ดิ 6 * 5 = (หน้ำ x 2) + (หลงั x 2) = 22 และ 9 * 6 = (หนำ้ x 2) + (หลงั x 2) = 30
6 * 5 = (6 x 2) + (5 x 2) = 22 และ 9 * 6 = (9 x 2) + (6 x 2) = 30
ดังนั้น 9 * 8 = (หน้ำ x 2) + (หลัง x 2) = 34 : 9 * 8 = (9 x 2) + (8 x 2) = 34
3
ตัวอย่ำงอนุกรม (ออกบ่อย คูณมำกๆ หรือ หำรมำกๆๆๆ กบั อนุกรมสลับ )
1. อนุกรมตวั เลขชุดเดยี วกนั ทเ่ี กดิ จำกการบวก และตวั เลขบวกเปน็ เลขคงท่ี
เช่น โจทย์ 4 9 14 19...โดยตัวเลขบวกคือ 5 ตลอด ซึง่ ตัวต่อไปคือเลข 25
2. เกิดจำกการบวก และตวั บวกเปน็ คำ่ ที่เพ่ิมข้ึนแบบเปน็ สดั ส่วนกนั
เช่น โจทย์ 20 23 28 35 44...โดยตวั บวกเปน็ 3,5,7,9 และ 11 เป็น 55
3. เกดิ จำการลบ และตัวลบเป็นเลขสดั ส่วนกัน
เช่น โจทย์ 45 40 33 24 13... โดยตวั เลขท่ีลบคอื 5,7,9,11 และ 13 เป็น 0
4. เกดิ จำกการคูณ และตัวคูณเปน็ ตวั คงท่ี เชน่ คูณดว้ ย 3 ตลอด
เช่น โจทย์ 1 3 9 27 81 ฉะนัน้ ตัวตอ่ ไปจะได้ 243
5. เกิดจำกการหาร และตวั กำรเป็นเลขเรยี งอันดับ ทีล่ ดลงครง้ั ละคร่ึง
เชน่ ....160 40 20 20...หำรด้วย 4,2,1 และ 5 เป็น 40
6. เกิดจำกเลขเรยี งอันดับที่ยกกาลังสอง และเลขยกกำลงั เป็นสัดสว่ นกนั
เช่น โจทย์ 16 36 64 100... ซึ่งเกดิ จำก 4 ยกกำลงั 2 , 6 ยกกำลงั 2 , 8 ยกกำลงั 2
,10 ยกกำลัง 2 , 12 ยกกำลัง 2 เปน็ 196
7. เกิดจำกตวั เลขสดั ส่วนยกกาลังสาม และเป็นตัวเลขเรียงอันดับเพิ่มขึน้
เช่น โจทย์ 8 64 216 512 ... ซึง่ เกดิ จำก 2 ยกกำลัง 3 , 4 ยกกำลัง 3 , 6 ยกกำลงั 3
, 8 ยกกำลัง 3 และ 10 ยกกำลงั 3 เปน็ 1,000
8. เกดิ จำกำรอนุกรมตัวเลข 2 ชดุ ท่เี รียงซ้อนกนั อยู่
เช่น โจทย์ 3 7 5 9 7 11 9 ..ซึ่งชุดแรก
มี 3 5 7 9 และชุดที่ สองคอื 7 9 11 13 โดยคำตอบอยู่ในชุดที่ 2 คือ 13
9. กรณีเกิดจำกเลขอนุกรม 3 ชุด โดยท้ังสำมชดุ วำงไวส้ ลบั กนั
โจทย์ 4 4 4 9 8 6 16 12 8 25 16 ...ซึ่งแต่ละชุดมดี งั ต่อไปนี้
- ชดุ แรก 4 9 16 25
- ชุดสอง 4 8 12 16
- ชุดสำม 4 6 8 ..?.. โดยคำตอบเปน็ 10
ตัวอยำ่ งคูณมำกๆๆ กบั หำรๆๆๆ
3 6 18 72 360 ….
วิธคี ิด x2 x3 x4 x5 x6 ก็จะไดค้ ำตอบ 2160
2 2 6 30 210 .....
วิธคี ิด x1 x3 x5 x7 x9 ก็จะไดค้ ำตอบ 1890
5 45 235 1175
วธิ คี ดิ x9 x7 x5 x3 กจ็ ะไดค้ ำตอบ 3525
4
2 3 6 4 5 20 6 7 42 8 9 ...
วธิ ีคิด 2*3 4*5 6*7 8*9 ก็จะไดค้ ำตอบ 72
240 120 30 ....
วิธคี ดิ 240/2 120/4 30/6 ก็จะได้คำตอบ 5
70 40 30 25 ....
วิธคี ิด
ตัวอยำ่ งคณิตศำสตร์ทวั่ ไป (ออกบ่อย กำรหำร้อยละ อัตรำควำมเร็ว/กำรเคลอ่ื นท่ี กำรเทยี บบัญญตั ไิ ตรยำงศ์ )
กำรทำข้อสอบคณิตศำสตร์ทั่วไปนัน้ แบง่ วิธีคิดหรือแนวคิดได้ 2 แบบ คือ
1. จำสตู รใหไ้ ดแ้ ลว้ ทำตำมสูตร
2. ถำ้ จำสตู รไมไ่ ด้ใหน้ ำคำตอบมำแทนค่ำ เพรำะในคำตอบท้ัง 4 ตวั เลอื กจะมีขอ้ ท่ีถูกต้องอย่แู ลว้ จะทำใหเ้ รำทำ
ข้อสอบไดร้ วดเรว็ และถูกต้อง
หำกถำม คำ่ ใดมคี ่ำมำกท่ีสุด หรอื คำ่ นอ้ ยท่ีสดุ
1.ถำ้ เป็นกำรบวก จะเป็นดงั นี้
1.1 ถ้ำลบบวกลบ ได้ ลบ (แลว้ นอ้ ยลง) เช่น -1 + -1 = -2 หรือ –1 + -2 = -3
1.2 ถ้ำลบบวกบวก ได้ บวก (แลว้ มำกขึน้ ) เช่น -1 + 1 = 0 หรือ –1 + 2 = 1
5
2.ถำ้ เปน็ กำรลบ จะเปน็ ดงั นี้
2.1 ถ้ำลบลบลบ ได้ บวก (แลว้ มำกขน้ึ ) เชน่ -1 – -1 = 0 หรอื –1 - -2 = 1
2.2 ถ้ำลบลบบวก ได้ ลบ (แล้วน้อยลง) เช่น -1 – 1 = -2 หรอื –1 – 2 = -3
3.ถำ้ เปน็ กำรคณู จะเปน็ ดงั น้ี
3.1 ถำ้ ลบคณู ลบ ได้ บวก (แล้วมำกข้ึน) เช่น -1 * -1 = 1 หรือ –1 * -2 = 2
3.2 ถ้ำลบคณู บวก ได้ ลบ (แลว้ นอ้ ยลง) เชน่ –1 * 1 = -1 หรือ –1 * 2 = -2
4.ถ้ำเปน็ กำรหำร จะเปน็ ดงั น้ี
4.1 ถำ้ ลบหำรลบ ไดค้ ่ำเป็น บวก เชน่ -1 / -1 = 1 หรอื –1 / -2 = 0.5
4.2 ถ้ำลบหำรบวก ได้คำ่ เปน็ ลบ เชน่ -1 / 1 = -1 หรอื –1 / 2 = -0.5
หมำยเหตุ กำรหำร ถ้ำ เอำ 0 หำร อะไรก็ตำม จะได้ 0 เช่น 0 /1 = 0 หรือ 0 / 2 = 0
ถ้ำ เอำ อะไรก็ตำม แลว้ หำรด้วย 0 จะหำรไม่ได้ เช่น 1/0 = ∞ (infinity)
ของผสม = หมำยเหตุ คือ เตมิ ส่ิงทเี่ ป็นน้ำเปล่ำ
1. + = หมำยเหตุ มีคำวำ่ ผสมกบั กบั เตมิ สิ่งที่ไม่ใชน้ ้ำเปล่ำ
2.
น้ำเชอ่ื ม 60 ลิตร มีควำมเข้มข้น 10% จะต้องเติมน้ำอกี กี่ลติ รจึงจะทำให้น้ำเชอื่ มมคี วำมเข้มข้นลดลงเหลือเพียง 8%
ก. 15 ลติ ร ข. 20 ลิตร ค. 30 ลิตร ง. 45 ลติ ร
10 % 8 %
60 60 x 10 = A
จะได้สตู รดังนี้ 60x10 = A x 8 ได้ 600 = 8A ได้ A = 600/8 = 75
โจทยถ์ ำมว่ำ ต้องเติม เดมิ มี 60-75 = 15 ลิตร แต่ถ้ำถำมว่ำน้ำเช่ือมท้งั หมดมกี ่ีลิตร จึงตอบ 75
แอลกอฮอล์ 60 ลิตรควำมเขม้ ขน้ 20% ผสมกับแอลกอฮอล์ 40 ลิตรควำมเข้มขน้ 60 %
ของผสมใหม่ จะมแี อลกอฮอล์ควำมเข้มข้นกี่เปอร์เซน็ ต์
ก. 30% ข. 32% ค. 36% ง. 38%
20 % 60% A%
60 + 40 = 100
0
จะไดส้ ูตรดงั นี้ 60x20 + 40x60 = 60A ได้ 1200+2400 = 100A ได้ A = 3600/100 = 36
6
หำกถำมเก่ียวกับรอ้ ยละหรอื เปอร์เซ็นต์
1. 20 % ของผชู้ ำยเท่ำกับ 25 % ของผูห้ ญงิ ถ้ำมคี นท้งั หมด 90 คน จะมผี ูช้ ำยมำกกวำ่ ผหู้ ญิงก่คี น
ตอบ ใหผ้ ู้ชำยเป็น x ให้ผหู้ ญิงเป็น y ฉะนน้ั ผู้ชำยผูห้ ญิงรวมกันไดส้ มกำรดงั น้ี
x + y = 90 เป็นสมกำรที่ 1
ดงั นัน้ 20 x = 25 y หรอื แปลงค่ำได้ดงั นน้ั x = y เปน็ สมกำรที่ 2
100 100 54
ดงั น้นั x = 5y เปน็ สมกำรท่ี 3
4
เอำ x จำกสมกำรที่ 3 แทนใน สมกำรที่ 1 5y + y = 90
4
9y = 90 ( ได้จำกเอำ 4 คูณทงั้ บนและล่ำง)
4
y = 90 4 = 40 ฉะนน้ั y = 40
9
จำกสมกำรที่ 1 คอื x + y = 90 ดังนัน้ x = 90 – y ฉะนั้น x = 90 - 40 = 50
x = 50
2. คน 15 คน ทำงำนชิน้ หนง่ึ เสรจ็ ในเวลำ 20 วนั ถำ้ มีคนเพียง 10 คน จะทำงำนไดเ้ สรจ็ ต้องเพิม่ เวลำอกี
กเ่ี ปอร์เซ็นต์
วธิ ีคิด คน 15 คน ทำงำนเสร็จ 20 วนั
คน 10 คน ทำงำนเสร็จ 20 15 = 30 วัน
10
เวลำท่ีเพ่มิ ข้นึ 30 –20 = 10 วนั
ฉะน้ันเพม่ิ จำกเวลำเดมิ เวลำเดมิ 20 คิดเป็น 100 %
เวลำใหม่ 10 เทำ่ กบั 10 100 50 %
20
3. ตดิ ป้ำยรำคำสินค้ำให้ไดก้ ำไร 25 % แต่จะลดใหก้ บั ผูซ้ ้ือเงินสด 20 % จำกรำคำป้ำย ขำยสินค้ำชิน้ นีไ้ ดผ้ ล
อยำ่ งไร
วธิ ีคิด รำคำทนุ 100 บำท ติดรำคำไว้ 125 บำท
ลดให้ผู้ซื้อจำกรำคำปำ้ ย 20 %
ถำ้ รำคำป้ำย 100 บำท จะขำยเพียง 80 บำท
รำคำปำ้ ย 125 บำท จะขำยเพียง 125 80 100
100
ฉะนัน้ ก็จะขำยเพียงรำคำ 100 บำท ซ่ึงเทำ่ กับรำคำทุน
7
หำกถำมเกย่ี วกับเศษส่วน
1. กำรบวกเศษสว่ น วิธคี ดิ ตอ้ งทำฐำนให้เท่ำกัน แลว้ นำมำบวกกันไดเ้ ลย
เชน่ x + x ให้ทำฐำนใหเ้ ท่ำกันโดยนำฐำนมำคูณกนั กจ็ ะไดด้ ังนี้ 3x + 2x = 5x
23 66 6
2. กำรลบเศษส่วน วิธคี ิดตอ้ งทำฐำนให้เท่ำกนั แล้วนำมำลบกนั ได้เลย
เช่น x - x ให้ทำฐำนให้เทำ่ กันโดยนำฐำนมำคณู กัน กจ็ ะไดด้ งั นี้ 3x - 2x = 1x
23 66 6
3. กำรคูณเศษส่วน วิธีคิดใหน้ ำมำคูณกนั ได้เลย โดย บนคูณบน ล่ำงคูณล่ำง
เชน่ x x x กจ็ ะไดด้ ังนี้ x 2
23 6
4. กำรหำรเศษส่วน วิธีคดิ ใหน้ ำมำตัวหลงั มำกลับเศษเปน็ สว่ น แลว้ นำมำคูณกนั
เชน่ x / x กจ็ ะได้ดงั น้ี x x 3 = 3
23 2x 2
ฐำนนิยม คอื ข้อมูลทซ่ี ้ำกนั มำกทีส่ ุด
มธั ยฐำน คือ ข้อมูลทีอ่ ยูต่ ำแหน่งตรงกลำงเม่อื เรียงขอ้ มลู จำกน้อยไปมำก
ตัวอยำ่ งดงั นี้ 38, 40, 41, 42, 42, 42, 44, 48, 51, 55, 55
สูตรมัธยฐำน คอื จำนวนขอ้ มลู + 1 = 11 + 1 /2 = 6
2
ดงั นั้น คำ่ มัธยฐำน = 42
หำกถำมดอกเบีย้ มีสูตรดังนี้ คอื ดอกเบีย้ = เงนิ ต้น x ปีที่ฝำก x อัตรำดอกเบี้ย หำร 100
ด = ตxปxอ
100
หำกถำมเก่ียวกบั พ้ืนที่
คุณสมบัติของสำมเหลย่ี ม คอื มมี ุมภำยในรวมกันเท่ำกบั 180O
1. พน้ื ท่ี สำมเหลยี่ ม เท่ำกบั 1 x ฐำน x สูง
2
2. พ้ืนที่ สี่เหลีย่ มคำงหมู เท่ำกับ 1 x สงู x ผลบวกของด้ำนคขู่ นำน
2
3. พน้ื ท่ี สี่เหลย่ี มด้ำนนำด เท่ำกับ 1 ผลคูณของเสน้ ทแยงมมุ x ผลบวกของเสน้ กิ่ง
2
4. พนื้ ที่ ส่ีเหลีย่ มขนมเปียกปนู เท่ำกับ 1 ผลคูณของเสน้ ทแยงมุม
2
8
5. พนื้ ท่ี วงกลม เทำ่ กบั r 2 ( เทำ่ กบั 22 r เท่ำกับ รัศมี ) รัศมี คอื คร่งึ หน่ึงของเส้นผ่ำศูนยก์ ลำง
7
6. เสน้ รอบวงกลม เทำ่ กบั 2r ( เทำ่ กบั 22 r เท่ำกับ รัศมี )
7
7. กำรหำปริมำตรของวงกลม 4 x r 3
3
8. กำรปรมิ ำตรทรงลูกบำศก์ เทำ่ กบั ด้ำน3 หรือ ดำ้ น x ดำ้ น x ดำ้ น
9. กำรหำปรมิ ำตรทรงสีเ่ หลย่ี มมุมฉำก เทำ่ กับ กวำ้ ง x ยำว x สงู
หำกถำมเกยี่ วกบั กำรเคลอื่ นที่
อตั รำควำมเร็ว V = S/t s คอื ระยะ t คอื เวลำ
ควำมเรง่ a = V/t = (v-u) / (t2 – t1) ควำมเร็วปลำย (v) ควำมเร็วตน้ (u)
หำระยะทำง s = V*t
หำเวลำ t = S/V
รถไฟสองขบวนวงิ่ สวนทำงกันทสี่ ถำนีแหง่ หน่งึ ขบวนแรกว่ิงควำมเรว็ 55 กโิ ลเมตรต่อช่ัวโมง และขบวนทีส่ องวิง่
ดว้ ยควำมเร็ว 65 กโิ ลเมตรตอ่ ช่วั โมง อยำกทรำบว่ำ รถไฟทง้ั สองขบวนน้ใี ชเ้ วลำก่ชี ัว่ โมง
จงึ จะอยูห่ ่ำงกัน 480 กโิ ลเมตร
ก. 4 ข. 8 ค. 12 ง. 16
สูตร เวลำ (t) = ระยะทำง (S) / อัตรำควำมเรว็ (V) ได้ t = 480 / (55+65)
t = 480/ 120 = 4 ชวั่ โมง
รถไฟแลนจำกสถำนี ก. ไปสถำนี ข. ซ่ึงหำ่ งกัน 200 กโิ ลเมตร ในอตั รำชวั่ โมงละ 30 กโิ ลเมตร เมอื่ ถึงสถำนี
ข. กก็ ลบั ทนั ทีใชเ้ วลำว่ิงต้ังแต่ออกจำกสถำนี ก. จึงหยุดเปน็ เวลำ 13 ชว่ั โมง รถไฟจะอยหู่ ่ำงสถำนี ข.
ก่ีกิโลเมตร
ก. 140 ข. 160 ค. 180 ง. 190
ให้เทียบบัญญัตไิ ตรยำงศ์
รถไฟวิ่งได้ทำง = 30x13 = 390 กิโลเมตร
สถำนี ก. ห่ำงสถำนี ข. 200 กโิ ลเมตร
∴ จะหยดุ ห่ำงสถำนี ข. 390 – 200 = 190 กิโลเมตร
การเทียบบญั ญัตไิ ตรยางค์ส่วนตรง -ส่วนกลับ
สมดุ 5 เลม่ 8 บำท มีเงนิ 24 บำท ซ้อื สมดุ ได้ก่ีเล่ม (บญั ญัติไตรยำงศส์ ว่ นตรง)
วิธคี ดิ
เงนิ 8 บำท ซ้อื สมุดได้ 5 เล่ม
เงนิ 24 บำท ซ้อื สมุดได้ 5 *24 / 8 = 15 เลม่
เม่ือเงนิ เพิม่ ขน้ึ ก็ตอ้ งได้สมดุ เพิ่มขึ้น เม่อื ทิศทำงไปทำงเดียวกันเปน็ บัญญัตไิ ตรยำงค์สว่ นตรง)
วัว 5 ตัว ไถนำเสร็จ 4 วัน วัว 10 ตัว จะไถนำเสร็จกวี่ ัน (บัญญัตไิ ตรยำงศส์ ่วนกลบั )
วัว 5 ตัว ไถนำเสร็จเวลำ 4 วัน
9
วัว 10 ตัว ไถนำเสรจ็ เวลำ 4*5 /10 = 2 วนั
เมื่อเพ่ิมววั ก็จะทำให้ระยะเวลำไถนำน้อยลง เม่ือทศิ ทำงสวนทำงกันเปน็ บญั ญัติไตรยำงศส์ ่วนกลบั )
อปุ มา/อปุ ไมย
10
เง่ือนไขสญั ลกั ษณ์ / เงอื่ นไขภาษา
11
- มีนกั ท่องเทย่ี ว 5 ชำติ คอื จนี สิงคโปร์ เกำหลี คูเวต และมำเลเซีย มำเที่ยวประเทศไทย แต่ละคนตอ้ งกำรไปชม
สถำนทีต่ ่ำงๆ ซ่ึงไมซ่ ำ้ กนั
- สถำนทที่ น่ี กั ท่องเทย่ี วแต่ละคนต้องกำรไป คอื วัดเบญจมบพติ ร ตลำดน้ำวัดไทร วัดพระแก้ว ศำลหลักเมือง และ
พพิ ธิ ภัณฑ์ แต่ปรำกฏวำ่ มนี กั ท่องเทีย่ ว 4 คน หลงไปทอ่ี ื่น คือ ตลำดนำ้ ตลง่ิ ชนั วัดอรุณรำชวรำรำม วัดโพธ์ิ
และวัดสุทัศน์
- มีนกั ท่องเทย่ี วท่ตี ้องกำรไปตลำดนำ้ วดั ไทรไปถำมทำงจำกนกั ศึกษำจึงหลงทำงไปตลำดนำ้ ตลิง่ ชัน
- มีนักท่องเท่ียวอยคู่ นหน่งึ ไมไ่ ด้ถำมทำงใครและไมห่ ลงทำง
- ชำวคูเวตตอ้ งกำรไปชมหินออ่ นท่ีวัดเบญจมบพติ ร
- ชำวสงิ คโปร์ไปถำมทำงจำกคนแตง่ ชดุ สีกำกแี ล้วหลงทำงไปวดั โพธิ์
- คนจีนไมต่ อ้ งกำรไปพิพธิ ภัณฑแ์ ละหลงทำงไปวัดอรณุ รำชวรำรำม
- ชำวมำเลเชยี ไปถำมทำงจำกพระจงึ หลงทำงไปทอ่ี ื่น ทง้ั ๆ ที่จะไปศำลหลักเมือง
- คนทห่ี ลงไปตลำดน้ำตล่ิงชนั คือ ชำวเกำหลี
- มนี กั ทอ่ งเทีย่ วคนหน่ึงที่ถำมทำงจำกกระเปำ๋ รถเมล์
ข้อ 21. ขอ้ สรุปท่ี 1 ชำวเกำหลีไปถำมทำงจำกคนใส่เส้อื ขำว
ขอ้ สรปุ ท่ี 2 ชำวสงิ คโปร์ถำมทำงจำกตำรวจ
ขอ้ 22. ขอ้ สรปุ ที่ 1 ชำวคเู วตหลงทำงไปวัดสุทัศน์
ขอ้ สรุปที่ 2 ชำวมำเลเชยี ไม่ไดห้ ลงทำง
ขอ้ 23. ข้อสรุปที่ 1 นักศึกษำบอกทำงคนเกำหลี
ขอ้ สรปุ ท่ี 2 ชำวจีนตอ้ งกำรไปเท่ยี ววัดพระแกว้
ขอ้ 24. ข้อสรุปท่ี 1 คนทหี่ ลงทำงไปวัดสุทศั น์คอื คนทอ่ี ยำกไปวัดเบญจมบพติ ร
ขอ้ สรปุ ท่ี 2 ชำวเกำหลีต้องกำรไปเทย่ี วตลำดน้ำมำกกว่ำไปเทีย่ ววดั
ขอ้ 25. ข้อสรุปที่ 1 คนที่ตอ้ งกำรไปพพิ ธิ ภณั ฑก์ ลับหลงทำงไปเท่ียววดั โพธิ์
ขอ้ สรปุ ท่ี 2 กระเป๋ำรถเมล์ชว่ ยบอกทำงใหก้ ับคนทตี่ อ้ งกำรไปวดั เบญจมบพติ ร
12
เงื่อนไขสญั ลกั ษณ์
1. แปลงเคร่ืองหมำย ตอ้ งห้ำม
ตัวอยำ่ ง A > C แปลงเปน็ A ≤ C หรือ A < C แปลงเปน็ A ≥ C
A ≥ C แปลงเป็น A < C หรอื A ≤ C แปลงเป็น A > C
2. เครือ่ งหมำยต้องเหมือนกนั เช่น A>B<C>D สรุป A>D หรอื A≥B≥C≥D สรปุ A≥D
แตถ่ ้ำเปน็ แบบน้ี A≥B>C≥D สรปุ A>D หรือ A>B≥C≥D สรปุ A>D
3. หัวเคร่อื งหมำย หันเขำ้ หำตัวไหน ตวั นัน้ มีค่ำน้อย
4. หำตวั เช่อื ม ระหวำ่ งสองเงื่อนไข ท่เี หมอื นกนั มำกที่สุด #note# เขียนตวั เชอื่ มให้ตรงกนั
5. หัวเครื่องหมำย หันเข้ำหำตัวไหน ตวั น้ัน มีคำ่ น้อย
6. สรปุ หำคำตอบ
6.1 ถำ้ เครื่องหมำยสวนทำงกนั ใหต้ อบ ไมแ่ นช่ ดั
6.2 ถำ้ เครอ่ื งหมำยไปในทิศทำงเดยี ว ตอบ ตำมทต่ี ำเห็น
7. ตำมท่ตี ำเห็น
7.1 หำคำตอบ/ขอ้ เท็จจรงิ ได้วำ่ A > C
โจทยถ์ ำม
A > C ตอบ จริง √ A < C ตอบ เทจ็ X
A ≠ C ตอบ จริง √ A = C ตอบ เท็จ X
A ≥ C ตอบ จรงิ √ A ≤C ตอบ เท็จ X
7.2 หำคำตอบ/ขอ้ เท็จจรงิ ได้ว่ำ A ≥ C
โจทย์ถำม
A ≥ C ตอบ จรงิ √ A < C ตอบ เท็จ X
A > C ตอบ ไม่แน่นชดั √X
A ≠ C ตอบ ไมแ่ นน่ ชัด √X
A = C ตอบ ไม่แน่นชดั √X
A ≤ C ตอบ ไม่แนน่ ชัด √X
หมำยเหตุ ถ้ำ A > B และ C > D แล้ว จะได้ (A + C) > (B + D)
ถำ้ A > B > 0 แลว้ A2 > B2 > 0 และ 1 > 1 > 0
BA
ถ้ำ > จะได้ 3A > 2B ถำ้ < แล้ว 1 > 1
11
23
13
ถ้ำ A + B = C < D ≤ E แล้ว C = F + G > 2H (ทุกตัวอักษรมีคำ่ มำกกว่ำศนู ย์)
ขอ้ 1. ข้อสรุปขอ้ ท่ี 1 A + B > 2H ขอ้ สรปุ ข้อที่ 2 E มีค่ำมำกที่สดุ
ข้อ 2. ข้อสรุปข้อที่ 1 A = F ข้อสรุปข้อท่ี 2 2B > G
ขอ้ 3. ขอ้ สรุปข้อท่ี 1 D < H ขอ้ สรปุ ขอ้ ท่ี 2 2E < B
ข้อ 4. ข้อสรุปข้อที่ 1 A + G = B + F ข้อสรุปขอ้ ที่ 2 2E < H
ข้อ 5. ข้อสรุปข้อท่ี 1 3D > 2G ข้อสรุปข้อท่ี 2 4E > 3F
วธิ ีคดิ
ข้อ 1 จำกข้อเท็จจรงิ A + B = C = F + G > 2H สรุปไดว้ ่ำ A + B > 2H ขอ้ สรุปนเ้ี ป็นจริง
จำกขอ้ เท็จจริง 2H < A + B < E ดังนน้ั E จงึ มีคำ่ มำกทสี่ ุด ขอ้ สรุปขอ้ นีเ้ ปน็ จรงิ
ขอ้ 2 จำกขอ้ เท็จจรงิ A + B = F + G ดงั นน้ั สรุปไดว้ ำ่ A = F ข้อสรปุ ข้อนเี้ ป็นจรงิ
จำกขอ้ เท็จจรงิ B = G ดังนัน้ สรุปไดว้ ำ่ 2B > G ขอ้ สรปุ ข้อนเ้ี ป็นจริง
ข้อ 3 จำกข้อเท็จจริง D > F + G > 2H > H ดงั นั้นสรุปได้วำ่ D > H ขอ้ สรุปขอ้ น้จี งึ เป็นเท็จ
จำกข้อเท็จจรงิ A + B = C < D ≤ E < 2E ดงั น้นั สรปุ ได้ว่ำ B < 2E ข้อสรปุ ข้อนจ้ี ึงเป็นเท็จ
ขอ้ 4 จำกขอ้ เท็จจรงิ A + B = F + G ดงั นน้ั สรปุ ได้ว่ำ A + G = B + F ข้อสรุปข้อนเ้ี ปน็ จรงิ
จำกขอ้ เท็จจรงิ H < 2H < A + B < E < 2E ดังนั้นสรุปได้ว่ำ 2E < H ขอ้ สรปุ ข้อนจ้ี งึ เปน็ เทจ็
ข้อ 5 จำกข้อเท็จจรงิ 3D > D > F + G < 2G ดังนั้นสรปุ ได้วำ่ 3D > 2G ขอ้ สรุปนี้จึงไม่สำมำรถสรุปได้
จำกข้อเท็จจรงิ 3F > F + G < D ≤ E < 4E ดงั นั้นสรปุ ได้ว่ำ 4E > 3F ข้อสรุปนจี้ ึงไม่สำมำรถสรปุ ได้
14
ตาราง / แผนภมู ิ 5 ขอ้ (ทาได้ 3 ข้อ)
สตู ร อัตรำ = ปลำย – ต้น x 100
ตน้
ปริมาณการใช้ป๋ ุยเคมขี องเกษตรกรแยกตามภาค (หน่วย : ตนั ) ปี 2540 ปี 2541 ปี 2542
1. ภาคเหนือ 142,111 130,148 154,987
2. ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ 198,470 169,401 240,084
3. ภาคกลาง 427,356 401,928 480,757
4. ภาคใต้ 126,598 141,026 176,213
ขอ้ 1. โดยเฉลี่ยแล้วในแต่ละปี เกษตรกรในภำคใดที่ใช้ป๋ยุ เคมีในปรมิ ำณต่ำสุด
1. ภำคเหนอื 2. ภำคตะวนั ออกเฉียงเหนอื 3. ภำคกลำง 4. ภำคใต้
ข้อ 2. ในชว่ งปี 2540 – 2542 ปรมิ ำณกำรใชป้ ุ๋ยเคมขี องเกษตรกรภำคตะวนั ออกเฉียงเหนือสงู กวำ่ ภำคใต้ คิดเป็นรอ้ ย
ละเท่ำใด
1. ร้อยละ 27 2. ร้อยละ 30 3. รอ้ ยละ 37 4. ร้อยละ 45
ขอ้ 3. ปริมำณกำรใชป้ ุย๋ เคมีรวมทกุ ภำคในปี 2542 สงู กว่ำปี 2541 กี่เปอรเ์ ซน็ ต์
1. 20% 2. 25% 3. 30% 4. 35%
ขอ้ 4. ปริมำณกำรใชป้ ุ๋ยเคมขี องภำคกลำงเมื่อปี 2542 สงู กว่ำภำคเหนอื เมอื่ ปี 2541 ร้อยละเทำ่ ใด
1. รอ้ ยละ 80 2. ร้อยละ 150 3. ร้อยละ 240 4. ร้อยละ 270
ขอ้ 5. จำกข้อมูลขำ้ งตน้ ข้อใดกลำ่ วไมถ่ ูกตอ้ ง
1. ภำคตะวันออกเฉียงเหนือใชป้ ุย๋ เคมปี ลี ะประมำณ 2 แสนตัน
2. ปี 2540 เปน็ ปีท่ีเกษตรกรใช้ป๋ยุ เคมีปริมำณตำ่ ท่ีสุด
3. ปี 2542 ปรมิ ำณกำรใช้ปุ๋ยเคมีมำกกวำ่ ปี 2541 ประมำณ 209,500 ตนั
4. ปี 2541 ปรมิ ำณกำรใช้ปยุ๋ เคมีของทุกภำคลดลงจำกปี 2540 ยกเวน้ ภำคใต้
15
1. ตั้งแตป่ ี พ.ศ. 2539 ถงึ ปี พ.ศ. 2546 ปริมำณกำรสง่ ออกเพ่มิ ขึน้ กีเ่ ปอร์เซ็นต์
ก. 3.2 ข. 2.2 ค. 320 ง. 220
วิธีคิด ปี 2539 ปริมำณกำรสง่ ออก = 150,000 ต้น
ปี 2546 ปริมำณกำรส่งออก = 480,000 ต้น
อตั รำ เท่ำกบั ปลำย-ตน้ /ตน้ x 100 = 480,000-150,000/150,000 x 100 = 220
2. ปริมำณกำรส่งออกของสนิ ค้ำ ก. เพ่มิ น้อยทสี่ ดุ ในช่วงปใี ด
ก. 2538-2539 ข. 2539-2540 ค.2540-2541 ง. 2541-2542
วธิ คี ิด ให้ดจู ำกกรำฟ ว่ำ กรำฟช่วงใดมีกำรเพมิ่ นอ้ ยท่สี ดุ
3. ปริมำณกำรสง่ ออกของสินคำ้ ปี 2541 สงู กว่ำ ปี 2543 ร้อยละเทำ่ ใด
ก. 60 ข. 0.6 ค. 120 ง. 1.2
วิธคี ดิ ปี 2541 ปรมิ ำณกำรสง่ ออก = 200,000 ตน้
ปี 2543 ปริมำณกำรส่งออก = 320,000 ต้น
อตั รำ เท่ำกับ ปลำย-ต้น/ต้น x 100 = 320,000-200,000/200,000 x 100 = 60
16
ความสามารถในการสรุปความฯ สรปุ ตรรกะวทิ ยา / การวิเคราะหข์ อ้ มูลเหตผุ ล
แบบท่ี 1 คอื ถ้ำเกิด 1 แล้วเกดิ 2 และเกดิ 1 สรปุ ได้วำ่ เกิด 2
ตวั อยำ่ ง
ถำ้ ฝนตก แลว้ แดดจะออก วนั นฝี้ นตก ฉะน้นั
1.วันน้ี แดดไมอ่ อก 2.วันน้ี แดดออก
3.พรงุ่ น้ี ฝนไม่ตก 4.พร่งุ นแี้ ดด ไมอ่ อก
ตอบ 2 เพรำะ เป็นไปตำมหลกั ตรรกะวิทยำ หรือใหท้ ่องจำว่ำ “ยนั หนำ้ ยนั หลงั ”
หรือแบบ ถ้ำเกิด 1 แลว้ เกดิ 2 แลว้ ซำ้ 2 แล้วเกิด 3 ใหส้ รุปไดว้ ่ำ เกดิ 1 แล้วเกดิ 3
1 ไป 2 2 ไป 3 สรุป ไป 1 3
ตัวอยำ่ ง
บำ้ นของพ่ี ทำนำ ทำนำ ปลกู ข้ำวทกุ เมอื่ แล้ว
สรปุ บ้ำนของพป่ี ลกู ขำ้ วทกุ เมอื่
หมไู ปไก่มำ ไกม่ ำ ควำยไป
สรุป หมูไปควำยไป
หมูไปไก่มำ ไกไ่ ป ควำยมำ
สรุปไม่ได้ เพรำะตัวตรงกลำงไมซ่ ้ำกนั
แบบที่ 2 คอื ถำ้ เกดิ 1 แล้วเกดิ 2 และไมเ่ กดิ 2 สรปุ ไดว้ ่ำ ไมเ่ กิด 1
1 ไป 2 ~2 สรปุ ~1 หรือ 1 ไป 2 ไม่2 ไม่1
หรอื ถำ้ มีประโยคหน้ำ ไป ประโยคหลงั ปฏเิ สธประโยคหลัง ให้ปฏิเสธประโยคหน้ำ
***หำกไมเ่ ปน็ ไปตำม รูป 2 รปู แบบ จะตอบสรุปไม่ได้ ****
ตวั อย่ำง
ถำ้ ฝนตก แล้วแดดจะออก วนั นี้แดดไม่ออก ฉะนน้ั
1.วนั น้ี ฝนไม่ตก 2.วันนี้ ฝนอำจจะตก
3.พรุ่งน้ี แดดไม่ออก 4.พรงุ่ น้ี แดดจะออก
ตอบ ก เพรำะ เปน็ ไปตำมหลักตรรกะวทิ ยำ หรอื ใหท้ ่องจำว่ำ “ปฏิเสธหลัง ปฏิเสธหนำ้ ”
17
แบบท่ี 3 บงั คบั คือ ทกุ ชนดิ ไปหำ ชนดิ หนง่ึ (วำดภำพประกอบจะชว่ ยได)้
ตัวอย่ำง
นกทุกชนดิ บนิ ได้ ปลำเป็นนกชนิดหน่ึง ฉะนน้ั
1.ปลำบินได้ 2.ปลำบนิ ไมไ่ ด้
3.ปลำเป็นสัตวน์ ้ำ 4.สรุปแนน่ อนไมไ่ ด้
ตอบ 1 เพรำะ วงกลมใหญ่ คือนก วงกลมในคอื ปลำ
แบบท่ี 4 สรปุ แน่นอนไมไ่ ด้ (ไม่เปน็ ไปตำมแบบท่ีกล่ำวมำ)
ตวั อย่ำง
ถ้ำฝนตก แล้วแดดจะออก วันน้ีฝนไม่ตก ฉะนนั้
1.วันน้ี แดดไมอ่ อก 2.วันน้ี แดดอำจะออก
3.พร่งุ นี้ ฝนจะตก 4.สรุปแน่นอนไมไ่ ด้
ตอบ 4 เพรำะ ข้อควำมของโจทยไ์ มส่ มเหตสุ มผล ไมเ่ ป็นไปตำมหลักตรรรกะวทิ ยำ
สรปุ ตรรกะวทิ ยำ / กำรวเิ ครำะห์ขอ้ มูลเหตผุ ล
1. ทุกคน (ทกุ สง่ิ ) เปน็ ไม่สอดคลอ้ งกับ บำงคน (บำงส่ิง) ไม่เป็น
2. บำงคน (บำงส่งิ ) เปน็ ไม่สอดคลอ้ งกับ ทกุ คน (ทกุ สงิ่ ) ไมเ่ ปน็
3. ทกุ คน (ทุกส่งิ ) ไมเ่ ป็น ไมส่ อดคล้องกบั บำงคน (บำงสิง่ ) เป็น
4. บำงคน (บำงสง่ิ ) ไม่เปน็ ไม่สอดคลอ้ งกบั ทกุ คน (ทุกสง่ิ ) เปน็
กำรไม่สอดคลอ้ ง คือ ตรงขำ้ ม (กล่ำวคือเปล่ยี นคนใหเ้ ปน็ คำตรงกนั ข้ำม)
ถำ้ ..........................แลว้ .................. (และถำ้ หลงั ถ้ำ.....ไมม่ ี ข้อควำมข้ำงบน... ให้เปล่ยี นเฉพำะ หลัง..แลว้ .....)
แต่ถำ้ ถำ้ .......แลว้ ...... (มีคำขอ้ ควำมข้ำงบน ใหเ้ ปลีย่ นเหมอื นเดิม)
ตวั อยำ่ ง
คนไทยทกุ คนนบั ถือศำสนำพุทธ ข้อใดไมส่ อดคล้องขอ้ ควำมข้ำงตน้
ให้เปลย่ี นเป็น คนไทยบำงคนไม่นับถอื ศำสนำพทุ ธ
มคี นไทยส่วนนอ้ ยทอี่ อกกำลงั กำยอยำ่ งสมำ่ เสมอ ขอ้ ใดไมส่ อดคล้องข้อควำมข้ำงต้น
ใหเ้ ปลยี่ นเปน็ มคี นไทยส่วนมำกทีไ่ ม่ออกกำลงั อย่ำงสมำ่ เสมอ
ถำ้ คณุ แม่ไปตลำดแล้ว จะทำกับข้ำวอรอ่ ย ข้อใดไมส่ อดคล้องข้อควำมขำ้ งต้น
ให้เปลย่ี นเป็น ถ้ำคณุ แม่ไปตลำดแลว้ จะทำกบั ข้ำวไมอ่ รอ่ ย
คนไทยทกุ คนถำ้ ออกกำลงั กำยเปน็ ประจำ แล้วจะมสี ุขภำพดี ขอ้ ใดไม่สอดคลอ้ งข้อควำมขำ้ งตน้
ให้เปลย่ี นเป็น คนไทยบำงคนถ้ำออกกำลงั กำยไมเ่ ปน็ ประจำ แลว้ จะมีสุขภำพไมด่ ี
คนไทยบำงคนเป็นคนดีและมจี ติ ใจงำม ขอ้ ใดไม่สอดคลอ้ งขอ้ ควำมข้ำงตน้
ใหเ้ ปลย่ี นเป็น คนไทยทกุ คนเปน็ คนไม่ดีหรือมจี ติ ใจไมง่ ำม
ขอ้ สังเกต ถ้ำมีคำวำ่ และ ใหเ้ ปล่ียนเปน็ หรอื
18
เหตุการณ์ปจั จบุ นั /เศรษฐกจิ และสังคม /นโยบายรัฐบาล
เหตุกำรณ์ปัจจุบนั / นโยบำยรฐั บำล
19
หลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เหตกุ ารณป์ จั จุบนั นโยบายรฐั บาล ไทยแลนด์ 4.0
ความรู้ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียง
ความรูเ้ กย่ี วกบั เศรษฐกิจพอเพยี ง
เศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรชั ญำที่พระบำทสมเดจ็ พระปรมนิ ทรมหำภูมพิ ลอดุลยเดชมีพระรำชดำรัสแก่ชำวไทยนบั ตั้งแต่
พ.ศ. 2517 เป็นต้นมำ และถูกพูดถึงอย่ำงชัดเจนในวันที่ 4 ธันวำคม พ.ศ. 2540 เพื่อเป็นแนวทำงกำรแก้ไข
วิกฤตกำรณ์ทำงกำรเงินในเอเชีย พ.ศ. 2540 ให้สำมำรถดำรงอยู่ได้อย่ำงม่ันคงและย่ังยืนในกระแสโลกำภิวัตน์และ
ควำมเปลีย่ นแปลงต่ำง ๆ ปรัชญำเศรษฐกิจพอเพียงเปน็ ปรัชญำท่ีพระบำทสมเด็จพระปรมินทรมหำภูมิพลอดุลยเดช
พระรำชทำนพระรำชดำริชี้แนะแนวทำง กำรดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชำวไทยมำโดยตลอดนำนกวำ่ ๒๕ ปีต้ังแต่ก่อน
เกิดวิกฤตกำรณ์ทำงเศรษฐกจิ และเมื่อภำยหลงั ไดท้ รงเน้นย้ำแนวทำงกำรแก้ไขเพอื่ ใหร้ อดพ้น และสำมำรถดำรงอยู่ได้
อย่ำงมั่นคงและยั่งยืนภำยใต้กระแสโลกำภิวัตน์และควำม เปลี่ยนแปลงต่ำงๆ จนกลำยมำเป็น “ปรัชญำเศรษฐกิจ
พอเพยี ง” จนถึงทุกวนั นี้
เศรษฐกิจพอเพียงมีควำมหมำยกวำ้ งกวำ่ ทฤษฎีใหม่ โดยท่ีเศรษฐกิจพอเพียงเป็นกรอบแนวคิดที่ชี้บอกหลักกำร และ
แนวทำงปฏิบัติของทฤษฎีใหม่ ในขณะท่ี แนวพระรำชดำริเก่ียวกับทฤษฎีใหม่ หรือเกษตรทฤษฎีใหม่ ซ่ึงเป็นแนว
ทำงกำรพฒั นำกำรเกษตรอย่ำงเป็นขั้นตอนนน้ั เปน็ ตัวอยำ่ งกำรใช้หลกั เศรษฐกจิ พอเพยี งในทำงปฏบิ ัติ ท่เี ป็นรูปธรรม
เฉพำะในพื้นที่ท่ีเหมำะสม ทฤษฎีใหม่ตำมแนวพระรำชดำริ อำจเปรียบเทียบกับหลักเศรษฐกิจพอเพียง ซ่ึงมีอยู่ 2
แบบ คือ แบบพนื้ ฐำน กบั แบบกำ้ วหนำ้ ได้ดังนี้ควำมพอเพยี งในระดับบุคคล และครอบครวั โดยเฉพำะเกษตรกรเป็น
เศรษฐกจิ พอเพยี งแบบพ้ืนฐำน เทยี บไดก้ ับทฤษฎใี หม่
ทฤษฎใี หม่ข้ันต้น ให้แบง่ พื้นทอี่ อกเป็น 4 สว่ น ตำมอัตรำส่วน 30:30:30:10 ซ่งึ หมำยถงึ
พื้นท่ีสว่ นท่ีหนง่ึ ประมำณ 30% ให้ขดุ สระเก็บกกั น้ำเพอ่ื ใช้เก็บกักนำ้ ฝนในฤดูฝน และใช้เสรมิ กำรปลกู พืช
ในฤดูแลง้ ตลอดจนกำรเล้ียงสัตวแ์ ละพืชน้ำตำ่ งๆ
พื้นที่ส่วนทสี่ อง ประมำณ 30% ให้ปลูกขำ้ วในฤดฝู นเพอ่ื ใช้เปน็ อำหำรประจำวันสำหรบั ครอบครัวให้
เพยี งพอตลอดปี เพื่อตดั คำ่ ใช้จ่ำยและสำมำรถพง่ึ ตนเองได้
พน้ื ทส่ี ่วนทีส่ ำม ประมำณ 30% ใหป้ ลูกไมผ้ ล ไม้ยนื ตน้ พชื ผกั พชื ไร่ พชื สมุนไพร ฯลฯ เพ่ือใชเ้ ป็นอำหำร
ประจำวัน หำกเหลือบริโภคกน็ ำไปจำหน่ำย
พ้ืนทส่ี ว่ นที่ส่ี ประมำณ 10% เปน็ ทอี่ ยู่อำศยั เลย้ี งสัตว์ ถนนหนทำง และโรงเรอื นอื่นๆ