คำนำ
การจัดการองค์ความรู้ (Knowledge Management หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า KM) นั้นก็คือแนวทางการบริหาร
แนวทางการทางานภายในองค์กรเพ่ือทาให้เกิดการนิยาม ความรู้ขององค์กรขึ้น และทาการรวบรวม สร้าง และ
กระจายความรู้ขององค์กร เพ่ือให้เกิดการต่อยอดของความรู้ นาความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ เพ่ือให้ทุกคนในองค์กร
สามารถเข้าถึงความรู้ และพัฒนาตนเองให้เป็นผู้รู้ นาความรู้ท่ีได้ไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงาน ให้เกิดประสิทธิภาพ
และประสิทธิผล รวมท้ังต้องส่งเสริมและพัฒนาความรู้ ความสามารถ สร้างวิสัยทัศน์ และปรับเปลี่ยนทัศน คติของ
ขา้ ราชการในสังกัดใหเ้ ป็นบุคลากรทมี่ ปี ระสิทธภิ าพ และมีการเรยี นรรู้ ่วมกนั
ในปีงบประมาณ 2562 สานักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตรเล็งเห็นถึงความสาคัญของการ
ผลิตทุเรียน เพราะในช่วงทศวรรษท่ีผา่ นมา การส่งออกทุเรียนของไทยได้ขยายตัวเพ่ิมขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะจาก
ตลาดการนาเข้าของจีนที่เพิ่มข้ึนอย่างรวดเร็ว ซ่ึงได้ส่งผลต่อการปรับตัวของราคาทุเรียนท้ังในตลาดส่งออกและตลาด
ภายในประเทศ ราคาทป่ี รับตัวสงู ข้ึนได้สร้างแรงจูงใจต่อการขยายพื้นที่การเพาะปลูกทุเรยี นเป็นจานวนมาก เกษตรกร
จึงต้องมีการดูแลรักษาให้ต้นทุเรียนมีความอุดมสมบูรณ์เพ่ือให้พร้อมสาหรับการออกดอกติดผล และมีการป้องกัน
กาจัดศัตรูพืชเพ่ือป้องกันผลผลิตเสียหาย แต่เน่ืองจากทุเรียนมีศัตรูหลายชนิด และพบระบาดเป็นประจาในพื้นที่ปลูก
ทุเรียนทั่วไป บางชนิดมีการระบาดรุนแรงเฉพาะในบางพ้ืนท่ี และบางชนิดมีความรุนแรงถึงขั้นทาให้ต้นทุเรียนตายได้
ปัญหำท่ีสำคัญของทุเรียนท่ีอย่ำงหนึ่งคือปัญหำโรครำกเน่ำโคนเน่ำทุเรียน สาเหตุเกิดจากเช้ือรา Phytophthora
palmivora ระบาดไดด้ ีในช่วงท่ีมีฝนตกหนักและมีความช้ืนสูง แม้จะไดม้ ีการศึกษาวิจยั แกป้ ัญหาน้ีมากกว่า 50 ปแี ล้ว
กต็ าม นกั วิชาการของภาครฐั และเอกชนต่างชว่ ยกนั ระดมความคดิ ในการแก้ปัญหานี้และเกษตรกรพยายามดาเนินการ
ทกุ วิถีทางทจี่ ะปราบโรคร้ายให้หมดไป นอกจากปัญหาการระบาดของโรครากเน่าโคนเน่า และยังมโี รคทส่ี าคัญอีกหลาย
ชนิดได้แก่ โรคใบติด โรคราสีชมพู โรคราแป้ง โรคแอนแทรคโนส โรคใบจุด และอาการท่ีเกิดจากการขาดธาตุอาหาร
รวมทงั้ การสบั สนของเกษตรกรเกยี่ วกับโรคราสีชมพขู องทุเรียน และโรครากเน่าโคนเน่า ทท่ี าให้เกษตรกรใชส้ ารเคมีในการ
ปอ้ งกนั กาจดั โรคไมถ่ ูกต้อง และทาใหต้ ้นทนุ ในการผลิตสงู
จากประเด็นปัญหาดังกล่าว สานักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร จึงจัดทาเอกสารวิชาการ
องค์ความรู้เรื่อง “โรคทุเรียน” โดยรวบรวม ทบทวน ปรับปรุงและเพ่ิมเติมข้อมูลทางวิชาการที่ได้จากผลงานวิจัยของ
หน่วยงานต่าง ๆ ซึ่งนามาประมวลและกล่ันกรองให้ถูกต้องโดยผู้รู้ ผู้ทรงคุณวุฒิ และคณะทางาน เพื่อจัดเป็นองค์
ความรทู้ ีส่ มบูรณ์ ครบถ้วน ถูกตอ้ ง เหมาะสม และสามารถนาไปปฏบิ ัติได้ ซ่ึงสานกั วจิ ยั พัฒนาการอารักขาพืชหวังเป็น
อย่างยิ่งว่า เอกสารวิชาการเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ ให้แก่นักวิชาการของกรมวิชาการเกษตร ซ่ึงจะนาไปปรับใช้และให้
คาแนะนากับเกษตรกรในพื้นท่ีได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาด้านโรคทุเรียนให้เป็นระบบ
และมปี ระสิทธภิ าพ
(นางวิไลวรรณ พรหมคา)
ผ้อู านวยการสานกั วิจัยพฒั นาการอารกั ขาพชื
1
สำรบญั หนำ้
สถำนกำรณผ์ ลิตทุเรยี น 4
5
สถำนกำรณโ์ รคทเุ รียน
โรคทเุ รียน 8
14
โรครำกเน่ำโคนเนำ่ (Root rot and Foot rot) 19
โรคผลเนำ่ (Fruit rot) 21
โรคใบติดทเุ รยี นหรอื ใบไหม้ (Rhizoctonia Leaf Fall/Leaf Blight) 25
โรครำสีชมพู (Pink Disease) 27
โรครำแป้งทุเรียน (Powdery Mildew) 30
โรคใบจดุ ใบไหม้ หรอื โรคแอนแทรคโนส (Leaf Spot/Leaf Blight/Anthracnose) 31
โรคใบจดุ (Leaf Spot) 33
โรคใบจุดสนิม หรอื โรคใบจุดสำหร่ำย (Algal Leaf Spot)
35
โรครำดำ (Sooty Mold) 36
36
กำรขำดธำตอุ ำหำรของทุเรยี น 36
38
ไนโตรเจน (N) 39
ฟอสฟอรัส (P) 40
โพแทสเซียม (K) 41
แคลเซียม (Ca) 42
แมกนเี ซียม (Mg)
กำมะถัน (S)
สงั กะสี (Zn)
เหล็กและแมงกำนีส (Fe & Mn)
ทองแดง (Cu)
2
สำรบญั หนำ้
43
กำรใชส้ ำรปอ้ งกันกำจัดโรคพชื ในทเุ รียนทถ่ี กู ต้องและเหมำะสม 48
กำรจดั กำรโรคทเุ รียนรอบ 12 เดือน 69
กำรสง่ ออกทเุ รยี น
บรรณำนกุ รม 71
ดรรชนี 72
Index 75
ทำเนียบผทู้ รงควำมรู้และผเู้ ชีย่ วชำญด้ำนโรคทุเรยี น 77
คณะทำงำนกำรจัดกำรองค์ควำมรโู้ รคทุเรียน
78
3
สถำนกำรณผ์ ลิตทุเรียน
ทุเรียนจัดเป็นไม้ผลเศรษฐกิจและเป็นผลิตภัณฑ์ส่งออกที่สาคัญชนิดหน่ึงของประเทศไทย เน่ืองจากทุเรียน
เป็นผลไม้ที่มีกลิ่นและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ ปัจจุบันการบริโภคทุเรียนเพ่ิมมากขึ้นท้ังในประเทศและต่างประเทศ
ส่งผลให้มีความต้องการผลผลิตท่ีสูง จึงมีการขยายพ้ืนท่ีปลูกเพื่อรองรับปริมาณความต้องการที่มีจานวนมาก ใน
ปัจจุบันมลู คา่ การส่งออกทุเรียนมีแนวโน้มสูงขึ้น โดยประเทศท่ีนาเข้าทเุ รยี นเป็นอันดับตน้ ๆ ได้แก่ ประเทศจนี ฮ่องกง
ไต้หวัน และอินโดนีเซีย
ในปี 2560 ประเทศไทยมีเนื้อที่ปลูกทุเรียนทั้งหมด 766,972.68 ไร่ โดยปี 2561 มีเนื้อที่ปลูกทุเรียนเพิ่มขึ้น
เป็น 830,938.73 ไร่ และมีผลผลิต 627,619.70 ตัน เห็นได้ชัดว่ามีพื้นที่ปลูกทุเรียนขยายเป็นจานวนมาก ดังภาพ
แสดงพ้ืนท่ีปลูกและผลผลิต ปี 2559-2561 โดยมีพ้ืนที่ปลูกกระจายทั่วทุกภาคของประเทศ ดังนี้ ภาคใต้ ภาค
ตะวนั ออก ภาคเหนอื ภาคตะวนั ตก และภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ มีพ้ืนทปี่ ลูก 426,998.09 270,102.25 27,954.25
13,079.25 และ 11,773.50 ไร่ ตามลาดับ แหลง่ ปลกู ทุเรียนทมี่ ากทสี่ ุดอยแู่ ถบภาคตะวันออกและภาคใต้ของประเทศ
ไทย ได้แก่ จังหวัดจนั ทบรุ ี ระยอง ตราด ชมุ พร สรุ าษฎร์ธานี และนครศรธี รรมราช
ในปี 2560 ปริมาณการส่งออกทุเรียนผลสด 490,488.99 ตัน มูลค่า 22,098.44 ล้านบาท ทุเรียนแช่เย็นจน
แขง็ 13,303.23 ตัน มลู คา่ 2,275.63 ล้านบาท ทุเรยี นกวน 1,088.88 ตนั มลู ค่า 137.55 ล้านบาท และทุเรียนอบแห้ง
544.79 ตัน มูลค่า 431.33 ล้านบาท จะเห็นได้ว่าปริมาณและมูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์จากทุเรียนเพ่ิมสูงข้ึนอย่าง
เห็นได้ชัด โดยผลิตภัณฑ์ท่ีมีการส่งออกมากท่ีสุด ได้แก่ ทุเรียนสด ทุเรียนแช่แข็ง ทุเรียนกวน และทุเรียนอบแห้ง
ตามลาดบั ดังภาพแสดงปรมิ าณและมลู คา่ การสง่ ออกผลติ ภัณฑจ์ ากทเุ รียน ปี 2556-2560
อย่างไรก็ตามการท่ีจะผลิตทุเรียนให้มีคุณภาพและผลผลิตสูง เกษตรกรต้องดูแลรักษาให้ต้นทุเรียนมีการ
เจริญเติบโตท่ีดี แข็งแรง เน่ืองจากปัญหาสาคัญในการปลูกทุเรียน คือ โรคและแมลงศัตรูพืช โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรค
รากเน่าโคนเนา่ ทุเรียน และหนอนเจาะเมลด็ ทุเรียน หากเกิดการระบาดแลว้ จะส่งผลตอ่ การปลกู ทเุ รียนเปน็ อย่างมาก
4
900,000.00
800,000.00
700,000.00
600,000.00
500,000.00
400,000.00
300,000.00
200,000.00
100,000.00
0.00
พื้นที่ปลกู (ไร)่ 2559 พื้นท่ปี ลกู (ไร)่ 2560 พ้นื ทป่ี ลูก (ไร)่ 2561
ผลผลติ (ตนั ) 2559 ผลผลติ (ตัน) 2560 ผลผลติ (ตัน) 2561
ภำพแสดงพนื้ ท่ปี ลกู และผลผลติ ปี 2559-2561
ที่มำ : สถติ ิกำรเกษตรของประเทศไทย, 2562
ผลผลติ ทุเรียนสดในลง้ สง่ ออก
5
ปริมำณ (ตัน)
500,000.00
450,000.00
400,000.00
350,000.00
300,000.00
250,000.00
200,000.00
150,000.00
100,000.00
50,000.00
0.00
2556 2557 2558 2559 2560
ทเุ รยี นสด ทุเรยี นอบแห้ง ทเุ รยี นแชแ่ ข็ง ทุเรียนกวน
ภำพแสดงปรมิ ำณกำรส่งออกผลิตภณั ฑ์จำกทุเรียน ปี 2556-2560
ท่มี ำ : http://impexp.oae.go.th/service/export.php สืบค้นเมื่อ 12 กมุ ภำพันธ์ 2562
มูลคำ่ (บำท)
25,000,000,000
20,000,000,000
15,000,000,000
10,000,000,000
5,000,000,000
0 2560
2556 2557 2558 2559
ทเุ รยี นสด ทุเรยี นอบแหง้ ทเุ รยี นแช่แข็ง ทเุ รยี นกวน
ภำพแสดงมูลคำ่ กำรสง่ ออกผลติ ภณั ฑจ์ ำกทุเรียน ปี 2556-2560
ทม่ี ำ : http://impexp.oae.go.th/service/export.php สืบคน้ เมื่อ 12 กมุ ภำพันธ์ 2562
6
สถำนกำรณโ์ รคทเุ รียน
ปัญหาในการผลิตทุเรียนที่สาคัญคือปัญหาเรื่องการระบาดของโรคโดยเฉพาะ โรครำกเน่ำโคนเน่ำ
ทุเรียน ซ่ึงเช้ือราสาเหตุสามารถเข้าทาลายพืชได้ทุกส่วน ได้แก่ ส่วนของราก ลาต้น ก่ิง ใบ และผล และใน
ปัจจุบันเกษตรกรใช้สารเคมีป้องกันกาจัดโรคพืชเป็นจานวนมาก ได้ผลบา้ งไม่ได้ผลบ้างขึ้นอยู่กับความเขา้ ใจใน
การปฏิบัติดูแลของเกษตรกรแต่ละราย นอกจากปัญหาโรครากเน่าโคนเน่าแล้วยังพบโรคที่มีความสาคัญอีก
หลายชนิดได้แก่โรคใบติด โรคราสีชมพู โรคใบจุด โรคผลเน่า รวมทั้งอาการของโรคท่ีเกิดจากสิ่งไม่มีชีวิต คือ
การขาดธาตุอาหาร ซึ่งจะมีผลต่อการเจริญเติบโตของต้นทุเรียน นอกจำกปัญหำกำรระบำดของโรครำกเน่ำ
โคนเน่ำแล้วน้ัน ในช่วงที่มีฝนตกมากและมีสภาพความชื้นสูงมักพบเช้ือราสีขาวครีมอมชมพู แดงหรือส้ม เจริญ
คลุมอยู่บนก่ิงของทุเรียน ทำให้เกษตรกรเข้ำใจผิดและเรียกก่ิงท่ีมีรำดังกล่ำวเจริญอยู่กันว่ำโรครำสีชมพู
ตำมสีของเช้ือรำท่ีปรำกฏ ทำให้เกิดกำรสับสนกับโรครำสีชมพูของทุเรียนท่ีเกิดจำกเชื้อรำ Corticium
salmonicolor เม่ือนำเช้ือรำสีขำวครีมอมชมพู แดงหรือส้มมำตรวจภำยใต้กล้องจุลทรรศน์กำลังขยำยสูง
ก็พบเชื้อรำในกลุ่ม Nectriaceae ซ่งึ เป็นรำในระยะกำรสบื พันธแ์ุ บบอำศัยเพศ ของเช้อื รำ Fusarium sp.
แต่เม่ือนำก่ิงท่ีแสดงอำกำรดังกล่ำวไปแยกเช้ือพบว่ำเป็นเชื้อรำ Phytophthora palmivora สำเหตุโรค
รำกเนำ่ โคนเน่ำทเุ รียน ทำให้เกษตรกรใชส้ ำรเคมใี นกำรปอ้ งกันกำจัดโรคไมถ่ กู ตอ้ ง นอกจากนั้นยังพบโรคใบ
ติดซ่ึงจะพบการระบาดมากในแปลงปลูกทุเรียนที่มีความชื้นสูง มักเกิดกับต้นทุเรียนท่ีมีความสมบูรณ์สูง ทรง
พุ่มหนา พบมากกับพันธุ์ชะนีและหมอนทอง สาเหตุจากเช้ือรา Rhizoctonia solani ซ่ึงเป็นเชื้อราท่ีอาศัยใน
ดนิ และสามารถพักตวั อย่ใู นดนิ ไดเ้ ปน็ เวลานาน โดยอาศัยเศษซากพืชเป็นแหล่งอาศัยของเชอ้ื รา และยงั พบโรค
ทใ่ี บดว้ ยไดแ้ กโ่ รคแอนแทรคโนส สาเหตุเกิดจากเช้อื รา Colletotrichum gloeosporioides มกั เกิดกบั ตน้ กลา้
และต้นท่ีแสดงอาการขาดน้าทาใหข้ อบใบไหม้และเชื้อราอาจจะเจรญิ ขึน้ มาบนแผล ในปัจจุบันโดยเฉพาะใบที่
แตกออกมาใหม่พบโรคใบจุดที่มีสาเหตุเกิดจากเชื้อรา Phomopsis durionis เช้ือราเข้าทาลายต้ังแต่ระยะตน้
กล้าจนถงึ ต้นโต มีการระบาดในหลายพ้นื ท่ี พบในระยะต้นกล้ามากในระยะแตกใบออ่ นโดยเฉพาะในแหล่งปลกู
ทุเรียนแถบภาคตะวนั ออกของประเทศไทย เช่น จังหวัดจันทบรุ ีและตราด แต่อย่างไรก็ตามโรคท่ีมคี วามสาคญั
ทีส่ ุดของทุเรยี นคอื โรครากเน่าโคนเนา่ ซง่ึ ราสาเหตสุ ามารถเข้าทาลายพืชไดท้ ุกส่วน ไดแ้ ก่ ส่วนของราก ลาตน้
กงิ่ ใบ และผล
7
โรครำกเน่ำโคนเนำ่ (Root rot and Foot rot)
สำเหตุ เชอื้ รา Phytophthora palmivora
ควำมสำคญั
โรครากเน่าโคนเน่าของทเุ รียนเป็นโรคท่สี าคญั ทีส่ ดุ เน่ืองจากเปน็ โรคท่ีทาให้ต้นทุเรียนทก่ี าลังเจรญิ เตบิ โตและ
ให้ผลผลิตแล้วยืนต้นตายได้ โรคระบาดทาความเสียหายกับทุเรียนในทุกแหล่งปลูกของประเทศไทยทาให้บางสวน
ทุเรียนเป็นโรคเกือบท้ังสวน ซ่ึงเชื้อราสาเหตุสามารถเข้าทาลายพืชได้ทุกส่วน ได้แก่ ส่วนของราก ลาต้น ก่ิง ใบ และ
ผล อีกทั้งเชื้อราอาศัยอยู่ในดินและสามารถแพร่ระบาดได้ทั้งในน้าและในอากาศ ทาให้การแพร่ระบาดของเชื้อรา
เป็นไปได้อย่างรวดเร็ว ทาความเสียหายให้กับเกษตรกรผู้ปลูกทุเรียนอย่างมาก นับเป็นโรคที่สาคัญต่อการผลติ ทุเรยี น
อยา่ งมาก
ลักษณะอำกำร
อำกำรทีร่ ำก เรมิ่ แรกจะเหน็ ใบทีป่ ลายกิ่งมีสีซดี ไมเ่ ป็นมนั เงา เหี่ยวลูล่ ง เมอื่ อาการรนุ แรงมากขึ้นใบจะเหลือง
และหลุดรว่ ง หากขดุ ดบู รเิ วณรากจะพบรากฝอยแสดงอาการเน่ามีลักษณะเปลือกล่อน และเปอ่ื ยยยุ่ เป็นสีน้าตาล เม่อื
โรครนุ แรงอาการเน่าจะลามไปยงั รากแขนงและโคนต้น ทาให้ต้นทุเรยี นโทรมและยืนตน้ ตาย
อำกำรที่กิ่งและท่ีลำต้นหรือโคนต้น ระยะแรกจะเห็นทุเรียนแสดงอาการใบเหลืองเป็นบางก่ิง สังเกตเห็น
คลา้ ยคราบน้าบนผวิ เปลือกของกงิ่ หรอื ต้น ในช่วงเชา้ ทีม่ ีอากาศช้ืนอาจเห็นเปน็ หยดของเหลวสนี ้าตาลแดงเยิ้มออกมา
จากบริเวณแผล และจะค่อย ๆ แห้งไปในช่วงท่ีมีแดดจัด ทาให้เห็นเป็นคราบ เมื่อใช้มีดถากบริเวณคราบน้ัน จะพบ
เนื้อเย่ือเปลือกและเน้ือไม้เป็นแผลสีน้าตาล ถา้ แผลขยายใหญล่ ุกลามจนรอบโคนต้น จะทาใหท้ ุเรียนใบรวงจนหมดต้น
และยนื ต้นแห้งตาย ตน้ ทเุ รยี นท่ีถูกทาลายมักพบรูพรุนตามโคนตน้ และก่ิง ซึ่งเป็นการเข้าทาลายของมอด และมอดจะ
นาเชื้อสาเหตขุ องโรครากเน่าโคนแพร่กระจายไปยงั สว่ นอ่นื ของตน้ ทุเรียน
อำกำรที่ใบ ใบอ่อนแสดงอาการเหี่ยว สีเหลือง บริเวณแผลมีลักษณะฉ่าน้า สีน้าตาลอ่อน และเปลี่ยนเป็นสี
ดาตายน่ึงคล้ายน้าร้อนลวก เส้นใบมีสีน้าตาลดา เกิดอาการไหม้แห้งคาต้นอย่างรวดเร็วแล้วค่อยๆร่วงไป พบมากช่วง
ฝนตกหนกั ตอ่ เนื่องหลายวนั
กำรแพร่ระบำด
เชื้อราแพร่กระจายในอากาศโดยลม ไปตามนา้ และฝน เนื่องจากเชื้อราสร้างสปอร์ท่ีสามารถเคลื่อนที่ไปตาม
น้าได้ เรียกว่า zoospore และสร้างสปอร์ที่สามารถพักตัวอยู่ในดินได้เป็นเวลานานเรียกว่า chlamydospore เม่ือมี
สภาวะแวดลอ้ มเหมาะสมก็สามารถงอกเส้นใยเขา้ ทาลายพชื ได้ สภาวะเหมาะสมท่ีเชื้อราแพรร่ ะบาดไดด้ ีในช่วงท่ีมีฝน
ตกชุก และความชนื้ สงู
กำรป้องกนั กำจัด
1. แปลงปลูกควรมกี ารระบายนา้ ทดี่ ี ไมค่ วรมนี ้าท่วมขงั หากมีนา้ ทว่ มขงั ควรรีบระบายออก
2. ปรับปรุงดิน โดยใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก และปรับสภาพดินให้มีค่าความเป็นกรดด่างของดินประมาณ 6.5 กรณี
ดินท่ีเปน็ กรดจดั ใหใ้ ส่ปูนขาวหรือโดโลไมท์ อตั รา 100-200 กิโลกรัม/ไร่
3. ควรหลีกเลี่ยงการกระทาที่อาจทาให้รากหรอื ลาต้นเกิดแผล ซึ่งจะเป็นช่องทางให้เชอ้ื ราสาเหตุโรคเข้าทาลาย
พชื ได้งา่ ยขึ้น
8
4. ต้นทุเรียนท่ีเป็นโรครุนแรงมาก หรือยืนต้นแห้งตาย ควรขุดออกแล้วนาไปทาลายนอกแปลงปลูกแล้วตากดิน
ไว้ระยะหนงึ่ จงึ ปลกู ทดแทน
5. ตรวจแปลงอย่างสม่าเสมอ เมอื่ พบส่วนของใบ ดอก และผลท่เี ป็นโรค ตดั แต่งส่วนทเ่ี ป็นโรคนาไปทาลายนอก
แปลงปลูก แล้วพ่นด้วยสารป้องกันกาจัดโรคพืช เมทาแลกซิล (metalaxyl) 25% WP อัตรา 30-50 กรัมต่อ
น้า 20 ลิตร หรือ ฟอสอีทิล-อะลูมิเนียม (fosetyl-aluminium) 80% WP อัตรา 30-50 กรัมต่อน้า 20 ลิตร
ให้ทวั่ ทรงพุ่ม
6. ไม่นาเคร่ืองมือตัดแต่งที่ใช้กับต้นเป็นโรคไปใช้ต่อกับต้นปกติ และควรทาความสะอาดเคร่ืองมือก่อนนาไปใช้
ใหมท่ ุกครงั้
7. เมื่อพบต้นที่ใบเร่มิ มีสซี ดี ไมเ่ ปน็ มนั เงาหรอื ใบเหลอื งหลุดร่วง ใชฟ้ อสโฟนกิ แอซิด (phosphonic acid) 40%
SL ผสมน้าสะอาด อัตรา 1:1 ใส่กระบอกฉีดยาฉีดเข้าลาต้น อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อต้น และ/หรือราดดินด้วย
ฟอสอีทลิ -อะลูมิเนยี ม (fosetyl-aluminium) 80% WP อตั รา 30-50 กรัมตอ่ นา้ 20 ลติ ร หรือ เมทาแลกซิล
(metalaxyl) 25% WP อัตรา 30-50 กรัมต่อนา้ 20 ลติ ร
8. เม่อื พบอาการโรคบนกิ่งหรือท่โี คนต้น ถากหรอื ขดู ผิวเปลือกบรเิ วณท่เี ป็นโรคออก แล้วทาแผลดว้ ยฟอสอีทิล-
อะลูมิเนียม (fosetyl-aluminium) 80% WP อัตรา 80-100 กรัมต่อน้า 1 ลิตร หรือ เมทาแลกซิล
(metalaxyl) 25% WP อตั รา 50-60 กรมั ต่อนา้ 1 ลติ ร ทกุ 7 วัน จนกว่าแผลจะแหง้ หรอื ใชฟ้ อสโฟนกิ แอ
ซิด (phosphonic acid) 40% SL ผสมน้าสะอาด อัตรา 1:1 ใส่กระบอกฉีดยา ใช้อัตรา 20 มิลลิลิตรต่อต้น
ฉีดเขา้ ลาตน้ หรือกงิ่ ในบริเวณตรงขา้ มอาการโรค หรือสว่ นท่เี ปน็ เน้อื ไมด้ ใี กล้บรเิ วณทีเ่ ป็นโรค
9. หลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว ตัดแต่งก่ิงเป็นโรค ก่ิงแห้ง และตัดขั้วผลท่ีค้างอยู่ นาไปทาลายนอกแปลงปลูก
เพ่อื ลดการสะสมของเช้ือสาเหตุโรค
10. การควบคุมปริมาณเช้ือในดิน โดยใช้เช้ือราปฏิปักษ์ Trichoderma ที่มีส่วนผสมดังนี้ เชื้อรา Trichoderma
+ ราข้าว + ปุ๋ยคอก 1:4:10 โดยน้าหนัก ในอัตรา 50 กรัมต่อตารางเมตร คลุกเคล้าส่วนผสมใหเ้ ข้ากัน แล้ว
นาสว่ นผสมของเชอ้ื ราดงั กลา่ วโรยลงดินในพื้นท่รี ัศมที รงพุ่ม หรอื ใช้รองก้นหลุมก่อนปลูก
อำกำรเน่ำท่เี กดิ กบั รำก สผี ิวรำกมสี คี ล้ำและเม่ือถำกเปลือกดจู ะพบว่ำเปลือกเน่ำ สีน้ำตำล
9
เร่ิมแรกจะเหน็ ใบที่ปลำยก่ิงมีสีซดี ไมเ่ ป็นมนั เงำ เหี่ยวลู่ลง
เมื่ออำกำรรุนแรงมำกขนึ้ ใบจะเหลอื งและหลดุ ร่วง
ถ้ำแผลขยำยใหญล่ ุกลำมจนรอบโคนตน้ จะทำให้ทุเรยี นใบรวงจนหมดตน้ และยืนตน้ แห้งตำย
10
ข้มี อดบรเิ วณรอยเจำะ รอยเจำะของมอด
อำกำรทกี่ ่ิงและทล่ี ำต้นหรือโคนตน้ ระยะแรกจะเหน็ ทเุ รยี นแสดงอำกำรใบเหลืองเปน็ บำงก่งิ
11
ในชว่ งเชำ้ ที่มอี ำกำศชน้ื อำจเห็นเป็นหยดของเหลวสนี ้ำตำลแดงออกมำจำกบริเวณแผล
และจะค่อย ๆ แห้งไปในช่วงทม่ี ีแดดจดั ทำใหเ้ ห็นเปน็ ครำบ เมื่อใช้มีดถำกบรเิ วณครำบนนั้
จะพบเนอ้ื เย่ือเปลือกและเนอ้ื ไมเ้ ปน็ แผลสีนำ้ ตำล
อำกำรที่โคนตน้ ในชว่ งเชำ้ ท่ีมีอำกำศช้นื อำจเหน็ เปน็ หยดของเหลวสีนำ้ ตำลแดงออกมำจำกบรเิ วณแผล
12
ถำ้ แผลขยำยใหญล่ ุกลำมจนรอบโคนตน้ จะทำใหท้ เุ รียนใบรวงจนหมดตน้ และยืนตน้ แห้งตำย
อำกำรทใ่ี บ ใบชำ้ มสี ดี ำ ตำยน่ึงคลำ้ ยถกู น้ำร้อนลวก และจะเกดิ อำกำรไหม้แห้งคำตน้ อย่ำงรวดเร็ว
พบมำกช่วงฝนตกหนกั ต่อเน่ืองหลำยวัน
13
โรคผลเนำ่ (Fruit rot)
สำเหตุ เชือ้ รา Phytophthora palmivora
ควำมสำคัญ
โรคผลเน่าของทุเรียนเป็นโรคที่มีความสาคัญเช่นกัน เพราะส่วนใหญ่จะเกิดในช่วงผลอายุก่อนเก็บเกี่ยว
ประมาณ 1 เดอื น ซ่งึ มผี ลกระทบโดยตรงต่อปริมาณการผลติ และคณุ ภาพของผลติ ผล
อำกำรทผ่ี ล เร่ิมแรกเกิดจุดแผลขนาดเล็กสีน้าตาลดาบนผล จุดแผลจะขยายใหญล่ ุกลามมากข้นึ ตามการสุกของผล ใน
สภาพท่ีมีความช้ืนสูงอาจพบเส้นใยสีขาวของเชื้อราสาเหตุโรคบนแผล พบอาการโรคได้ตั้งแต่ผลท่ียังอยู่บนต้น ซ่ึงถ้า
อาการรนุ แรงมากผลจะเน่าร่วงหล่นก่อนกาหนด โรคน้ีพบไดต้ ้ังแต่ระยะผลอ่อน แต่ส่วนใหญ่มกั พบในผลช่วง 1 เดือน
กอ่ นเก็บเกี่ยวจนกระท่ังเกบ็ เกยี่ ว และระหว่างการบม่ ผลให้สกุ
กำรป้องกนั กำจดั
1. หมัน่ สารวจแปลงปลูกอยา่ งสม่าเสมอ หากพบโรคผลเน่า ตัดผลทเ่ี ปน็ โรค และเกบ็ ผลเน่าท่รี ่วงหล่นไปทาลาย
นอกแปลงปลูก แล้วพ่นด้วยสารป้องกันกาจัดโรคพืช เมทาแลกซิล (metalaxyl) 25% WP อัตรา 30-50
กรัมต่อน้า 20 ลิตร หรือ ฟอสอีทิล-อะลูมิเนียม (fosetyl-aluminium) 80% WP อัตรา 30-50 กรัมต่อน้า
20 ลิตร ให้ท่ัวทรงพุ่ม จานวน 1-2 คร้ัง ทุก 7-10 วัน และควรหยุดพ่นสารก่อนเก็บเกี่ยวผล อย่างน้อย 15
วนั
2. ไม่นาเครื่องมือตัดแต่งที่ใช้กับต้นเป็นโรคไปใช้ต่อกับต้นปกติ และควรทาความสะอาดเครื่องมือก่อนนาไปใช้
ใหม่ทุกครงั้
3. ในแปลงปลูกที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคผลเน่าสูง เนือ่ งจากมีต้นทเ่ี ปน็ โรครากเนา่ และโคนเน่าในแปลงมาก
และมีฝนตกชุกหรือมีความช้ืนในอากาศสูงในช่วงทุเรียนใกล้เก็บเกย่ี วผล เชือ้ สาเหตุโรคอาจจะติดไปกับผลได้
โดยยังไม่แสดงอาการ ดังนั้น การเก็บเกี่ยวผลต้องระมัดระวังไม่ให้ผลสัมผัสกับดิน หรือปูพ้ืนดินท่ีจะวางผล
ด้วยวัสดุหรือกระสอบท่ีสะอาด เพื่อลดโอกาสท่ีผลจะสัมผัสกับดินซ่ึงมีเชื้อสาเหตุโรค และการขนย้ายควร
ระมัดระวังบาดแผลท่ีจะเกิดข้นึ กับผล
**** โรคผลเน่ำ มีเชื้อสำเหตุชนิดเดียวกับโรครำกเน่ำและโคนเน่ำ ดังน้ันเพ่ือให้กำรป้องกันกำจัดโรค
ไดผ้ ลดี ควรทำกำรป้องกนั กำจัดโรครำกเน่ำโคนเน่ำไปพร้อมกัน
14
อำกำรทผ่ี ล เร่ิมแรกเกดิ จุดแผลขนำดเลก็ สีน้ำตำลดำบนผล จุดแผลจะขยำยใหญ่ลกุ ลำมมำกข้นึ ตำมกำรสกุ ของ
ผล ในสภำพทม่ี ีควำมชืน้ สงู อำจพบเสน้ ใยสีขำวของเชื้อรำสำเหตุโรคบนแผล
15
กำรจดั กำรโรครำกเนำ่ โคนเนำ่ โดยวิธผี สมผสำน
การจดั การโรครากเน่าโคนเนา่ ของทเุ รียน เป็นการนาวธิ กี ารต่าง ๆ ท่ีเหมาะสมมาใชใ้ นการจดั การ ดงั น้ี
1. ใช้วิธีเขตกรรมที่เหมาะสม เช่น การรักษาความสะอาด สุขอนามัยพืช ใช้ต้นกล้าปลอดโรค ปรับให้พื้นที่
ปลูกมีการระบายน้าได้ดี เช่น ทาร่องระบายน้าในบริเวณที่เป็นพ้ืนที่ต่า เพ่ือป้องกันน้าท่วมขัง หากเกิดน้าท่วมขังต้อง
รบี ระบายน้าออกใหเ้ รว็ ทีส่ ุด
2. ตัดแต่งทาลายกิ่งที่เป็นโรคและตัดแต่งทรงพุ่มให้โปร่ง เพื่อให้เกิดการถ่ายเทอากาศและแสงแดดส่องถึง
หลีกเลยี่ งการกระทาท่อี าจทาใหร้ ากหรอื ลาต้นเกิดแผล ซ่ึงจะเปน็ ช่องทางใหเ้ ช้ือราสาเหตโุ รคพชื เขา้ ทาลายได้งา่ ย
3. ต้นทุเรียนท่ีเป็นโรครุนแรงมาก หรือยืนต้นแห้งตาย ต้องขุดออก แล้วนาไปทาลายนอกแปลงปลูก ตากดิน
ไว้ระยะหน่ึง แลว้ จึงปลูกพืชทดแทน
4. ใช้ตน้ ตอ หรอื เสริมรากทุเรียนพันธ์ุดีดว้ ยพนั ธุ์พ้ืนเมืองซึ่งเพาะจากเมล็ด ทาให้มีต้นตอ 2-3 ต้น ซึง่ เป็นการ
เพิ่มโอกาสที่ตน้ ตอบางต้นอาจรอดพ้นจากการเข้าทาลายของเชือ้ ราสาเหตุ
5. ไม่นาเครื่องมือตัดแต่งท่ีใช้กับต้นทุเรียนที่เป็นโรคไปใชต้ ่อกับต้นปกติ ควรทาความสะอาดเคร่ืองมือโดยจมุ่
ด้วยคลอรอ็ กซ์ (clorox) 10% หรอื แอลกอฮอล์ 70% นานประมาณ 5-10 นาที กอ่ นนาไปใชใ้ หม่ทุกคร้ัง
6. หม่ันสารวจสวนเป็นประจา บารุงพืชให้แข็งแรงสมบูรณ์ เสริมสร้างความสมบูรณ์ของต้น โดยการใส่ปุ๋ย
สูตร 16-16-16 หรือ 15-15-15 หากพบว่าต้นมีความสมบูรณ์มากเกินไป ควรเปลี่ยนเป็นปุ๋ยที่มีไนโตรเจนต่า เช่น 8-
24-24 9-24-24 หรือ 13-13-21 เพื่อใหต้ ้นมคี วามแข็งแรง ไม่ออ่ นแอต่อโรค และพ่นด้วยปยุ๋ ทางใบท่ีมีธาตุรองหรือจุล
ธาตุอยา่ งน้อย 1-2 ครัง้ เพื่อให้เกิดสมดลุ ของธาตุอาหารและทาใหต้ ้นแขง็ แรงมคี วามต้านทานต่อโรค
7. หลีกเล่ียงไม่ปลกู พืชทอี่ าจเป็นพืชอาศยั ของเชื้อราสาเหตุโรครากเน่าโคนเน่าในบริเวณสวนทเุ รียน
8. การลดปริมาณเชื้อราสาเหตุของโรครากเนา่ โคนเนา่ ในดนิ มวี ธิ ีปฏิบัตกิ ารดังน้ี
8.1 ตรวจแปลงอย่างสม่าเสมอ เก็บช้ินส่วนของใบ เปลือก หรือผลเน่าที่ร่วงหล่นบริเวณโคนต้นออก
นอกแปลง โดยการใสถ่ ุงพลาสตกิ นาออกตากแดดแล้วทาลายในภายหลัง ไมค่ วรปลอ่ ยทิง้ ไว้ในสวนอยา่ งเดด็ ขาด เพ่ือ
ลดปรมิ าณประชากรของราท่อี าศยั นอกฤดทู ี่อาจเปน็ แหลง่ กาเนดิ ของโรคในฤดูต่อไปได้
8.2 ตรวจวิเคราะห์ดินหาความเป็นกรด-ด่าง (pH) แล้วปรับให้อยู่ในค่าที่เหมาะสมต่อการปลูก
ทุเรยี น คอื 5.5-6.5 โดยการหวา่ นดว้ ยปูนขาว หรือปนู โดโลไมทห์ ลงั จากเก็บเกีย่ วผลผลิตแล้ว ความเปน็ กรด-ดา่ ง ของ
ดินที่พบโรคมักมีค่าประมาณ 4-4.5 ซ่ึงดินท่ีมีความเป็นกรดในระดับดังกล่าว พืชจะไม่สามารถใช้ดูดหรือใช้อาหารได้
อกี ทงั้ เหมาะต่อการเจรญิ ของเชื้อรา Phytophthora
8.3 การควบคมุ หรอื ลดปรมิ าณของเชอื้ รา Phytophthora สามารถทาได้โดยใชโ้ ดยชีววธิ ี ไดแ้ ก่
8.3.1 การใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก หรือเศษซากพืชคลุมดิน เพื่อส่งเสริมให้จุลินทรีย์ท่ีมีอยูห่ ลาย
ชนดิ ในดินเพ่มิ ปรมิ าณ ทาใหเ้ กิดการแก่งแย่งกบั จลุ ินทรยี ส์ าเหตุโรคพชื
8.3.2 ใส่จุลินทรีย์ปฏิปักษ์ลงในดินโดยตรง เช่น เช้ือรา Trichoderma ชนิดสดที่ทาการ
ขยายเชื้อโดยใช้ข้าวสุก โดยใช้เชื้อสดจานวน 1 กิโลกรัม ผสมกับราข้าว 5 กิโลกรัม ปุ๋ยหมัก 40 กิโลกรัม ผสมให้เข้า
กันและนาไปโรยบนดนิ บริเวณใต้ทรงพุ่มของทุเรียนที่มีรากฝอยข้ึนอยู่ ตน้ ทุเรยี นทีม่ ีอายุ 1-5 ปี ใชอ้ ัตรา 2-3 กิโลกรัม
ตอ่ ต้น สว่ นต้นท่ีมอี ายมุ ากกวา่ 5 ปี ขึน้ ไป ให้ใชอ้ ตั รา 5 กิโลกรมั ต่อต้น หรอื สามารถรองก้นหลุมกอ่ นปลูกพืช ในอตั รา
16
50-100 กรัมต่อตารางเมตร แล้วใช้เศษซากพืชกลบทับ ปีละ 1-2 คร้ัง จะให้ผลดีย่ิงขึ้น หรือลดปริมาณเช้ือโรคท่ีอยู่
บนก่ิงและลาต้น โดยใชเ้ ชอ้ื Bacillus subtilis ในรปู ผง ผสมน้าอตั รา 100-150 กรัมต่อน้า 1 ลิตร ทาบนแผลเน่า โดย
ตอ้ งถากเปลือกออกบาง ๆ ก่อน แมก้ ารใชเ้ ชื้อจลุ ินทรยี จ์ ะไมส่ ามารถรักษาใหท้ เุ รยี นหายจากโรคได้รวดเรว็ เหมือนการ
ใช้สารเคมี แต่ได้ประโยชน์ในแง่ของการรักษาสภาพแวดล้อมและสมดุลของธรรมชาติ และลดปริมาณสารเคมีท่ีอาจ
ปนเปอ้ื นไปกับผลผลิตได้
8.3.3 กรณีทุเรียนที่ปลูกใหม่ในพื้นที่ท่ีมีการระบาดโรครากเน่าโคนเน่าของทุเรียน ใช้ก้อน
เชื้อเห็ดเรืองแสงรองก้นหลุมก่อนปลกู อตั รา 40 กรมั ตอ่ ต้น
8.4 การควบคมุ หรือลดปริมาณของเชื้อรา Phytophthora โดยใชโ้ ดยใช้สารเคมี
8.4.1 การลดปรมิ าณของเช้อื ในดินโดยโรย เมทาแลกซลิ (metalaxyl) ชนดิ เม็ดบริเวณใต้ทรงพุ่ม
8.4.2 การลดปริมาณเชื้อในต้นพืช จากผลการทดสอบรดดินหรือพ่นด้วยสารป้องกันกาจัด
โรคพืชในสภาพการเกิดโรคโดยการปลูกเชื้อราสาเหตนุ ัน้ พบว่าไม่สามารถรักษาโรคที่โคนหรือลาต้นให้หายได้ การทา
ด้วยสารป้องกันกาจัดโรคพืชจึงเป็นวิธีท่ีดีท่ีสุด แต่การรักษาโรคจะได้ผลก็ต่อเม่ือเกษตรกรต้องหม่ันตรวจตราต้น
ทุเรียนในแปลงปลูกอย่างสม่าเสมอ โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน ซ่ึงเชื้อราจะเริ่มระบาดเข้าทาลายต้นทุเรียน เม่ือพบ
อาการของโรคต้ังแต่ระยะเริ่มแรก ให้รีบดาเนินการรักษาแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้การรักษาประสบความสาเร็จโดยง่าย
และไม่ส้ินเปลอื งมาก หากปล่อยใช้เช้ือโรคลุกลามเขา้ ทาลายต้นอย่างกว้างขวางจนแผลมีขนาดใหญ่ การรักษาจะทาได้
ยากและส้ินเปลืองมากข้ึน ต้นชะงักการเจริญเติบโตมีอาการทรุดโทรม ต้องใช้เวลาพักฟื้นนานกว่าท่ีจะฟ้ืนตัวและ
แข็งแรงจนใหด้ อกผลตามปกตไิ ด้
ถ้าพบอาการโรคไม่มากนัก การรักษาอาการโรคโคนเน่า หรือลาต้นเน่า หรือก่ิงเน่า ให้ถากเอาส่วนท่ีเป็นโรค
ออกให้หมดจนถึงเน้ือไม้ส่วนท่ียังมีสภาพดี หลังจากน้ันทารอยแผลด้วยปูนแดง หรือสารป้องกันกาจัดโรคพืชประเภท
สารประกอบทองแดง เช่น คอปเปอร์ออกซีคลอไรด์ (copper oxychloride) 85% WP อัตรา 45-60 กรัม ต่อน้า 1
ลิตร เพ่อื ปอ้ งกนั เช้ือโรคอ่ืนเขา้ ทาลายภายหลงั
หากพบอาการโรคลุกลามมาก ให้ถากบริเวณที่เน่าเสียออกบาง ๆ เก็บรวบรวมส่วนต่าง ๆ ของลาต้นที่ เป็น
โรคที่ถากออกไปทาลายนอกแปลง การถากเอาส่วนที่เป็นโรคออกน้ัน นอกจากไม่สามารถกาจัดส่วนท่ีเปน็ โรคออกได้
อย่างหมดจด ยงั อาจทาให้ต้นทรดุ โทรมไดง้ ่าย เน่ืองจากทอ่ น้าทอ่ อาหารถกู ตดั ขาดมากเกินไป หลงั จากขูดหรอื ถากต้น
จากน้ันให้ทาด้วยสารป้องกันกาจัดโรคพืชประเภทดูซึมที่มีประสิทธิภาพเฉพาะกับเชื้อรา Phytophthora เช่น เมทา
แลกซิล (metalaxyl) 25% WP อตั รา 50-60 กรมั ต่อน้า 1 ลติ ร หรือ เมทาแลกซลิ (metalaxyl) 35% SD อัตรา 45 กรัมตอ่
น้า 1 ลิตร หรือ ฟอสอีทิล-อะลูมิเนียม (fosetyl-aluminum) 80% WP อัตรา 80-150 กรัมต่อน้า 1 ลิตร เป็นต้น
หลังจากทาสารป้องกันกาจัดโรคพืชแล้ว จากน้ันประมาณ 15-20 วัน ควรตรวจดูแผลท่ีทาไว้ หากยังมีลักษณะฉ่าน้า
ควรทาซ้าอีก 3-4 ครงั้ หรือจนกวา่ แผลจะแห้ง
หากพบโรคมีอาการรุนแรง ให้ใช้ ฟอสโฟนิก แอซิค (phosphonic acid) 40% SL ฉีดเข้าลาต้นหรือก่ิงใหญ่
บริเวณตรงข้ามกับส่วนที่เป็นโรคหรือส่วนที่เป็นไม้เน้ือดี ใกล้บริเวณที่เป็นโรค และ/หรือ ฉีดเข้าลาต้นเหนือระดับดิน
การใช้สารน้ีทาโดยผสมสารกับน้าสะอาด ในอัตราส่วน 1:1 ใส่ในกระบอกฉีดยาขนาดความจุประมาณ 50 ซีซี เจาะ
เปลอื กลาต้นสงู กวา่ พื้นดินประมาณ 1-2 ฟตุ ดว้ ยสว่าน 2 หนุ เจาะให้เฉียงลงเล็กน้อย ลกึ ประมาณ 11/2 -2 นิ้ว หรอื
4-5 เซนติเมตร ขนาดของรูที่เจาะต้องพอดีกับปลายของกระบอกฉีดยา อัดฉีดน้ายาเข้าไปในต้นที่เป็นโรคอย่างช้า ๆ
จนหมด ภายใน 10-20 นาที ระวงั อย่าใหย้ าไหลซึมออกมาภายนอก หลังจากนัน้ อุดรทู เี่ จาะด้วยปูนแดง ปรมิ าณนา้ ยา
ท่ีใช้ขึ้นอยู่กับขนาดของเส้นรอบวงของลาต้นทุเรียน ต้นทุเรียนอายุ 7-8 ปี ใช้น้ายาประมาณ 1 กระบอกฉีดยา ถ้าต้น
17
ทุเรียนอายุ 10 ปี ข้ึนไปและวัดเส้นรอบวงได้ประมาณ 65 เซนติเมตร ก็จาเป็นต้องฉีดสารผสมน้ี 3-4 กระบอกฉีดต่อ
ต้น ส่วนความถี่ของการฉีดยาน้ันพิจารณาจากระดับการเป็นโรคว่าเป็นมากหรอื น้อย ถ้าเป็นโรคมากมีต้นโทรม ทิ้งใบ
เกิน 50% ก็จาเป็นต้องฉีดทุก 1-2 เดือน จนกว่าจะฟ้ืนเป็นปกติ ท้ังนี้การปฏิบัติควรทาในช่วงเช้า ซ่ึงพืชกาลัง
สังเคราะห์อาหาร และเวลาที่ใช้ได้ดีที่สุดคือ ตั้งแต่ช่วงต้นฝนถึงปลายฝน ในฤดูร้อนหรือหน้าแล้ง วิธีการนี้นับว่าเป็น
วิธีการควบคุมโดยการใช้สารปอ้ งกนั กาจัดโรคพชื ทีม่ ีประสิทธิภาพมาก หลงั การฉีดสารประมาณ 1-2 เดอื น อาการเน่า
ของเปลือกจะค่อย ๆ แห้ง ในกรณีที่ต้นเป็นโรครุนแรงมาก ๆ อาจใช้วิธีอัดฉีดสารป้องกันกาจัดโรคพืชเข้าต้นร่วมกับ
การทาแผลเน่าท่ลี าตน้ และโคนด้วยสารป้องกันกาจดั โรคพชื
สาหรับอาการรากเน่า หากพบการระบาดของโรคไม่รุนแรงมากนัก ให้ใช้ เมทาแลกซิล (metalaxyl) 25%
WP หรือ 35% SD) อัตรา 30-50 กรัมต่อน้า 20 ลิตร หรือ ฟอสอีทิล-อลูมิเนียม (fosetyl-aluminum) 80% WP
อัตรา 30-50 กรัมต่อน้า 20 ลิตร ราดให้ท่ัวผิวดินบริเวณใต้ทรงพุ่ม หรือหว่านด้วย เมทาแลกซิล (metalaxyl) 5% G
อัตรา 40 กรัมต่อตารางเมตร การพ่นหรือราดดินด้วยสารป้องกันกาจัดโรคพืชชนิดต่างๆ ทุก 6 เดือน หรือ 1 ปี เพื่อ
ป้องกันการเกิดโรคกับต้นทุเรยี นปกติ นอกจากเป็นการสิ้นเปลืองแล้ว เช้ือราสาเหตุโรคในดิน เมื่อได้รับหรือสัมผัสกบั
สารเคมีบ่อยคร้ัง จะมีโอกาสในการพัฒนาสายพันธุ์ที่ต้านทานหรือด้ือต่อสารป้องกันกาจัดโรคพืชได้ และอาจป้องกัน
กาจดั ไดย้ ากขึ้นในอนาคต หรอื ใช้ ฟอสโฟนกิ แอซิค (phosphonic acid) 40% SL ฉีดเข้าลาต้น ในอัตรา 1:1 จากนนั้
เมอื่ พืชฟืน้ ตัว ใหบ้ ารุงโดยการกระตุ้นใหร้ ากงอกและเร่งการพัฒนา โดยการกระตุ้นให้รากงอกและเร่งการพัฒนา โดย
การให้ปุ๋ยเกร็ดท่ีมีธาตุหลัก (N P K) เช่นสูตร 15-30-15 หรือ 20-20-20 อัตรา 60 กรัม ผสมกับกรดฮิวมิคชนิดน้า
อัตรา 100-200 ซีซีต่อน้า 20 ลิตร หรือใช้ปุ๋ยสูตรเสมอ เช่น 20-20-20 อัตรา 2-3 กิโลกรัมต่อต้น ร่วมกับกรดฮิวมิค
ชนิดเม็ดอัตรา 200-300 กรัมตอ่ ตน้ ราดหรือหว่านใตท้ รงพ่มุ ใหท้ ่ัว
สาหรับการเกิดโรคท่ีใบเช่น ใบจุด ใบไหม้ หรือใบติด หากพบการเกิดโรคที่รุนแรง ควรใช้สารป้องกันกาจัด
ตามคาแนะนา พ่นให้ท่ัวท้ังภายนอกและภายในทรงพุ่มทุก 1-2 เดือน และสาหรับโรคท่ีผล ในช่วงใกล้เก็บเก่ียวผล
โดยเฉพาะในช่วงท่ีมฝี นตกช่วง หรือมีความชืน้ ในอากาศสงู เช้ือสาเหตุโรคอาจตดิ กบั ผลโดยยังไม่แสดงอาการ การเก็บ
เกยี่ วตอ้ งระมดั ระวังไม่ไห้ผลสัมผสั ดิน หรือปพู น้ื ดินบรเิ วณที่จะวางผลด้วยวสั ดุ หรือกระสอบทสี่ ะอาด เพอื่ ลดโอกาสที่
ผลจะสัมผัสกับดิน การขนย้ายต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดบาดแผลท่ีจะเกิดขึ้นกับผล หมั่นสารวจตรวจผลในแปลงอย่าง
สม่าเสมอทุกต้น 7 วันต่อครั้ง หากพบผลเน่า 1 ผลต่อต้น ให้ตัดผลท่ีเป็นโรคนาไปทาลายนอกแปลงปลูก โรคผลเน่า
สามารถป้องกันกาจัดได้โดยใช้สารเคมีเช่นเดียวกับท่ีใช้สาหรับการเกิดโรคท่ีใบ พ่นให้ท่ัวทรงพุ่ม 1-2 คร้ัง ในช่วง 1
เดือน กอ่ นการเก็บเก่ียว และพน่ คร้งั สดุ ทา้ ยก่อนการเกบ็ ผลไมน่ อ้ ยกว่า 20 วนั
9. หม่ันตรวจดูตามลาต้นของทุเรียน ถ้าพบกิ่งแห้งท่ีถูกมอดทาลายร่วมด้วย ควรตัดและทาลายท้ิงเสีย อย่า
ปล่อยท้งิ ไวใ้ ห้มอดขยายพันธุเ์ พ่มิ ปริมาณและระบาดไปยังตน้ อื่น
18
โรคใบติดทุเรยี นหรอื ใบไหม้ (Rhizoctonia Leaf Fall/Leaf Blight)
สำเหตุ เชอ้ื รา Rhizoctonia solani
ควำมสำคญั
พบได้ทัว่ ไปในแปลงปลูกทุเรยี นทีม่ คี วามช้ืนสงู เกิดกบั ทุเรยี นทมี่ ีความสมบูรณ์สงู ทรงพุ่มหนา พบมากกับ
พันธ์ุชะนแี ละหมอนทอง
ลกั ษณะอำกำร
อาการเริ่มแรกพบแผลคล้ายถูกน้าร้อนลวกบนใบ ต่อมาแผลขยายตัวและเปล่ียนเป็นสีน้าตาล ขนาดและ
รปู รา่ งไมแ่ น่นอน จากน้ันลุกลามไปยังใบปกติข้างเคียง ถา้ มคี วามชืน้ สูงเช้ือราสาเหตโุ รคจะสร้างเส้นใยมลี กั ษณะคล้าย
ใยแมงมุมยึดใบให้ติดกัน ใบที่เป็นโรคจะแห้งติดอยู่กับก่ิง ก่อนหลุดร่วงไปสัมผัสกับใบที่อยู่ด้านล่าง โรคจะลุกลามทา
ให้ใบไหม้เห็นเป็นหย่อม ๆ อาการไหม้อาจจะเกิดท่ีบริเวณขอบใบด้านปลายใบ กลางใบหรือท้ังใบ ใบแห้งติดกันเป็น
กระจกุ แขวนค้างตามกิ่ง ต่อมาใบจะรว่ งจนเหลือแตก่ ง่ิ และกงิ่ แหง้ ในทสี่ ุด ทาใหต้ น้ เสยี รูปทรง
กำรแพรร่ ะบำด
เ ช้ื อ ร า แ พ ร่ ก ร ะ จ า ย จ า ก ใ บ ท่ี เ ป็ น โ ร ค ร่ ว ง ห ล่ น ไ ป ค้ า ง อ ยู่ กั บ ใ บ อ่ อ น ท่ี อ ยู่ ถั ด ล ง ม า แ ล ะ บ ริ เ ว ณ โ ค น ต้ น
เช้ือราสามารถพักตัวอยู่ในดินได้เปน็ เวลานาน โดยเฉพาะอาศัยในเศษซากพืช แพร่ระบาดเข้าทาลายพืชได้ในระยะใบ
ออ่ น ช่วงฤดฝู น ทม่ี ีความชืน้ สูง อากาศร้อนและหนาวในเวลากลางคืน
กำรปอ้ งกันกำจดั
1. ตดั แต่งทรงพุ่มใหโ้ ปร่ง เพื่อรับแสงแดดได้ทัว่ ถึง โดยเฉพาะใบท่ีอยูด่ ้านลา่ ง และกาจดั วัชพืชในแปลงปลูก เพื่อ
ลดความชน้ื สะสมใตท้ รงพุ่ม
2. ในพ้ืนที่ปลูกท่ีมีความช้ืนสูงและมีการระบาดของโรคเป็นประจา ไม่ควรใส่ปุ๋ยท่ีมีปุ๋ยไนโตรเจนสงู เพ่ือลดการ
แตกใบใหม่
3. หม่ันสารวจแปลงปลูกอยา่ งสม่าเสมอ หากพบการระบาดของโรค ตัดสว่ นที่เปน็ โรคและเก็บเศษพชื ที่เป็นโรค
และใบท่รี ว่ งหลน่ นาไปทาลายนอกแปลงปลูก และพ่นสารปอ้ งกันกาจดั โรคพืช เฮกซะโคนาโซล (hexaconazole)
5% SC อัตรา 20 กรัมต่อน้า 20 ลิตร หรือ คอปเปอร์ออกซีคลอไรด์ (copper oxychloride) 85% WP
อัตรา 30-50 กรัมต่อน้า 20 ลิตร หรือ คอปเปอร์ไฮดรอกไซด์ (copper hydroxide) 77% WP อัตรา 20
กรัมต่อน้า 20 ลิตร หรือ คิวปรัสออกไซด์ (cuprous oxide) 86.2% WG อัตรา 10-20 กรัมต่อน้า 20 ลิตร
ทุก 7-10 วัน โดยพน่ ท่ีใบใหท้ ่ัวทั้งต้น
19
อำกำรเริ่มแรกพบแผลคลำ้ ยถกู น้ำร้อนลวก ต่อมำแผลขยำยตวั เปลี่ยนเปน็ สนี ำ้ ตำล
ขนำดและรูปร่ำงไมแ่ นน่ อน
ลกั ษณะใบท่ียึดตดิ กันเนื่องจำกเสน้ ใยของเช้ือรำ
20
โรครำสีชมพู (Pink Disease)
สำเหตุ เชื้อรำ Cortricium salmonicolor
ควำมสำคัญ
โรคราสีชมพูมีความสาคัญและทาความเสียหายในแหล่งปลูกทุเรียนท่ีมีความช้ืนสูง ขาดการดูแลรักษาอย่าง
ต่อเนื่อง จึงทาให้เช้ือเจริญลุกลาม และก่อความเสียหายให้กับต้นทุเรียน นอกจากต้นทุเรียนแล้วเช้ือราคอร์ทีเชียม
สามารถเข้าทาลายพชื ไดห้ ลายชนิด เช่น มะมว่ ง กาแฟ ลองกอง ส้มเขียวหวาน ส้มจกุ เป็นตน้
ลกั ษณะอำกำร
ต้นทุเรียนที่เป็นโรคจะมีอาการใบเหลืองและร่วงเป็นหย่อมๆ คล้ายกับอาการก่ิงแห้ง หรือโคนเน่าที่เกิดจาก
เชื้อรา Phytophthora พบเส้นใยของเชื้อราลักษณะสีขาวเจริญคลุมกิ่งหรือลาต้น ต่อมาเจริญลุกลามเมื่อเชื้อมีอายุ
มากขึน้ เส้นใยเปล่ยี นเป็นสีครมี ถึงชมพูออ่ น เมอื่ ถากกิง่ ท่ีเช้อื ราขน้ึ ปกคลุมจะพบเน้ือไม้แห้งเปน็ สีนา้ ตาล
กำรแพร่ระบำด
โรคราสีชมพูพบระบาดในฤดูฝน ซึ่งสภาพอากาศมีความช้ืนสูง มักพบเกิดขึ้นกับต้นทุเรียนที่ขาดการดูแล
รักษาท่ีดี ไม่มีการตัดแต่งก่ิงที่เหมาะสม ไม่มีการป้องกันกาจัดโรคและแมลงศัตรูพืชในแปลงปลูก โดยเชื้อราจะเข้า
ทาลายบริเวณกิ่งที่อยู่ในทรงพุ่ม หรือกิ่งท่ีซ้อนกันหนาแน่นทาให้เกิดการสะสมความช้ืน ทาให้เชื้อราเข้าทาลายพืชได้
ง่ายขน้ึ และก่อใหเ้ กิดอาการกง่ิ แห้งและใบเหลอื งร่วง
กำรปอ้ งกันกำจดั
1. ตัดแต่งทรงพุ่มใหโ้ ปรง่ และกาจดั วัชพืชในแปลงปลูก เพ่อื ลเป็นการลดความชนื้ สะสม
2. ในฤดฝู นหมน่ั สารวจแปลงปลูกอย่างสมา่ เสมอ หากพบอาการของโรคท่กี ่ิงให้ตัดและนาไปทาลายนอกแปลง
หรือเฉอื นเปลือกบรเิ วณที่เป็นโรคออก และใชส้ ารป้องกันกาจดั โรคพชื คอปเปอร์ออกซคี ลอไรด์ (copper
oxychloride) 85% WP ผสมนา้ ข้นๆ ทาบรเิ วณแผลที่ตัด
3. เม่ือพบอาการใบเหลือง ควรตรวจดูบริเวณกิ่ง หากพบอาการของโรค ให้ตัดกิ่งที่เป็นโรค นาไปทาลายนอก
แปลง หรือพบอาการของโรคบริเวณง่ามกิ่ง หรือโคนกิ่งท่ีมีขนาดใหญ่ ให้ถากแผลบริเวณที่เป็นโรคออกแล้ว
ทาด้วยสารตาม ข้อ 2 จากนั้นพ่นให้ทั่วต้น โดยเฉพาะที่บริเวณกิ่ง และลาต้นด้วยสารสารคอปเปอร์ออกซี
คลอไรด์ไรด์ (copper oxychloride) 85% WP อัตรา 30-50 กรัมต่อน้า 20 ลิตรหรือ คอปเปอร์ออกซีคลอ
ไรด์ไรด์ (copper oxychloride) 62% WP อตั รา 50 กรัมตอ่ น้า 20 ลติ ร หรอื คาร์เบนดาซิม (carbendazim)
50% WP อัตรา 10 กรัมต่อน้า 20 ลติ ร
4. ในแปลงปลูกทุเรียนท่ีเคยพบโรคระบาดรุนแรง ในช่วงฤดูฝนควรป้องกันการเกิดโรคโดยพ่นด้วยสารดังกลา่ ว
ตามก่ิงกา้ นทอี่ ยใู่ นทรงพมุ่ เสมอ
21
ลักษณะกำรเข้ำทำลำยของเช้ือรำ Cortricium salmonicolor บนกิ่งทุเรยี น
ลกั ษณะเส้นใยสีขำวครมี ของเชื้อรำ Cortricium salmonicolor ทข่ี น้ึ บนกิ่งทุเรียน
และลักษณะเนอื้ ไม้สนี ้ำตำล เนอื่ งจำกถกู เชอ้ื รำเข้ำทำลำย
22
ข้อพึงระวังของโรครำกเน่ำโคนเนำ่
เช้อื รำที่เขำ้ มำเจรญิ คลมุ บนกงิ่ ทเุ รยี นทเ่ี ปน็ โรครำกเนำ่ โคนเนำ่
สาหรับโรครากเน่าโคนเน่าที่เช้ือรา Phytophthora palmivora เข้าทาลายท่ีกิ่งและลาต้น อาการ
เร่ิมแรกทุเรียนจะแสดงอาการใบเหลืองที่ก่ิงใดก่ิงหน่ึง และสังเกตเห็นคล้ายคราบน้าบนผิวเปลือกได้ชัดเจน
ในช่วงที่สภาพอากาศแห้ง เมื่อใช้มดี ถากบริเวณคราบน้าจะพบเนอื้ เยื่อเปลือกเนา่ มีสีนา้ ตาล บางต้นมีน้าเย้ิม ๆ
สีน้าตาลอมชมพูเป็นหยดออกมา เม่ือถากบริเวณดังกล่าวจะพบเน้ือไม้มีสีน้าตาล หรือสีน้าตาลเข้ม โรคขยาย
ลุกลามจนรอบโคนต้น ทาให้ใบเหลือง ใบสลดไม่เป็นมัน แล้วร่วงหมดต้น ยืนต้นแห้งตายในเวลาต่อมา ถ้ำ
สภำพอำกำศชนื้ มำก ๆ มักพบเชื้อรำสขี ำวครีมออกชมพู แดงหรือส้ม เจรญิ คลมุ อยบู่ นกง่ิ ทุเรียน
หรือโคนต้นซ่ึงเมื่อตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์กำลังขยำยสูง ก็พบว่ำเช้ือรำในกลุ่ม Nectriaceae ซึ่ง
เป็นรำในระยะกำรสืบพันธุ์แบบมีเพศของเชื้อรำ Fusarium sp. ซ่ึงทำให้เกษตรกรเข้ำใจผิดและเกดิ กำร
สับสนกับโรครำสีชมพูสำเหตุเกิดจำกเชื้อรำ Corticium salmonicolor เจริญอยู่บนกิ่งเป็นจานวนมากให้
พน่ สารปอ้ งกันกาจดั โรคพชื ไดแ้ ก่ คอปเปอรอ์ อกซีคลอไรด์ (copper oxychloride) 85% WP อตั รา 30-50 กรมั
ต่อน้า 20 ลิตร ทีบูโคนาโซล (tebuconazole) 43% SC และ อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้า 20 ลิตร ท่ีบริเวณกิ่งและ
ลาต้น
เชื้อรากลุม่ Nectriaceae เป็นราทอ่ี ยู่ในระยะการสืบพันธแ์ุ บบอาศัยเพศของเชอ้ื รา Fusariums sp.เข้ามา
เจริญบนกงิ่ ทเุ รยี น ซ่ึงไมใ่ ช่สาเหตุของโรคทเุ รียน
โรครำสีชมพูสำเหตุเกิดจำกเช้อื รำ Cortricium salmonicolor
23
โรครำสีชมพสู ำเหตุเกดิ จำกเชื้อรำ เช้อื รำในกลุ่ม Nectriaceae สีขำว
Cortricium salmonicolor สชี มพู หรือสีสม้ เกำะตำมเปลอื กของก่ิง
เชือ้ รำในกลุ่ม Nectriaceae สขี ำว เมือ่ ถำกเปลือกออกพบเน้ือเปลอื กภำยใน
สชี มพู หรือสีส้มเกำะตำมเปลอื กของกิ่ง ถกู ทำลำยด้วยเชื้อรำ Phytophthora
palmivora สำเหตโุ รครำกเนำ่ โคนเนำ่
24
โรครำแป้งทุเรียน (Powdery Mildew)
สำเหตุ เช้อื รา Oidium sp.
ควำมสำคัญ
โรคน้ีทาลายผลทุเรียนได้ตั้งแต่เริ่มติดผลอ่อนจนกระท่ังผลแก่ (จาหน่ายได้) ทาให้ผลอ่อนร่วงหรือทาให้สีผิว
ของเปลือกทุเรียนผิดปกติ หนามทุเรียนเป็นรอยแตกไม่เป็นที่ต้องการของตลาดและผู้บริโภค และยังทาให้ราคา
ผลผลติ ตกตา่ ได้
ลกั ษณะอำกำร
โรคน้ีสามารถเข้าทาลายผลทุเรียนได้ตั้งแต่เริ่มติดผลอ่อนจนกระท่ังผลแก่ หากเข้าทาลายระยะช่อดอกและ
ผลอ่อนจะปรากฏกลุ่มเช้ือราสีขาวมีลักษณะคล้ายฝุ่นแป้งปกคลุมกลีบดอกและผลอ่อนเห็นเป็นผงสีขาว (คือเส้นใย
และส่วนขยายพันธ์ุของเชื้อรา) ข้ึนปกคลุมทั้งผลหรือด้านใดด้านหน่ึงของผล ถ้าการเข้าทาลายรุนแรงในระยะติดผล
ใหม่ ๆ อาจทาให้ผลอ่อนร่วงได้ หรือถ้าเป็นกับผลท่ีกาลังเจริญเติบโต จะทาให้สีผิวของเปลือกทุเรียนผิดปกติ (เป็นสี
น้าตาลแดง ไม่เป็นมนั ) และทาให้หนามทเุ รยี นเป็นรอยแตกเลก็ ๆ
กำรแพรร่ ะบำด
สปอร์ของเชื้อราปลิวไปกับลมในช่วงท่ีมีอากาศแห้งแล้งและเย็น พบได้ท่ัวไปในแหล่งปลูกทุเรียน แต่ไม่พบ
การระบาดมากนัก นอกจากในสวนทเุ รียนที่อยใู่ กล้สวนยางพารา หรอื ใกลป้ ่าไม้ ซึง่ มีสภาพความชืน้ สูง พบมากในช่วง
เดือนกุมภาพันธ์-เมษายน (ทุเรียนที่ปลูกในภาคตะวันออก) และช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม (ทุเรียนท่ีปลูกใน
ภาคใต้)
กำรปอ้ งกันกำจดั
หากพบวา่ เรม่ิ มีการระบาดของโรค พน่ สารปอ้ งกนั กาจดั โรคพืช โพรคลอราซ (prochloraz) 45% EC อตั รา
20 มิลลิลิตรต่อน้า 20 ลิตร หรือ คาร์เบนดาซิม (carbendazim) 50% SC อัตรา 10 มิลลิลิตรต่อน้า 20 ลิตร หรือ ไพรา
โซฟอส (pyrazophos) 25.4% W/V EC อตั รา 10 มิลลลิ ิตรต่อนา้ 20 ลิตร
25
เช้ือรำสขี ำวมลี ักษณะคล้ำยฝนุ่ แปง้ (เส้นใยและส่วนขยำยพนั ธ์ขุ องเชื้อรำ) ปกคลมุ ใต้ใบ
26
โรคใบจุด ใบไหม้ หรือโรคแอนแทรคโนส (Leaf Spot/Leaf Blight/Anthracnose)
สำเหตุ เช้ือรา Colletotrichum gloeosporioides
ควำมสำคญั
เปน็ โรคทเี่ กิดในชว่ งใบอ่อนหรอื ช่วงทพ่ี ืชอ่อนแอ เชน่ ในสภาพทพี่ ชื ขาดน้าในฤดูแล้ง โดยเฉพาะในช่วงติดผล
ของทเุ รียน
ลกั ษณะอำกำร
เกดิ จดุ แผลสีน้าตาลบนใบ หากรุนแรงแผลจะขยายทาให้ใบไหม้เปน็ สีนา้ ตาล ส่วนใหญเ่ กิดบริเวณขอบใบหรือ
กลางใบ บริเวณเน้ือใบที่ไหม้จะเป็นสีน้าตาลอ่อน ขอบแผลมีสีน้าตาลเข้ม บริเวณแผลพบส่วนของเชื้อราเป็นจุดสีดา
ขนาดเล็กเรียงเป็นวงซ้อนกัน ใบท่ีไหม้จะยังคงติดอยู่กับก่ิงไม่ร่วงหล่นง่าย การเกิดโรคจะกระจายไปท่ัวท้ังต้น ไม่
เหมือนโรคใบติดที่เกิดเป็นหย่อม ๆ ต้นท่ีเป็นโรครุนแรง มีใบท่ีเป็นโรคจานวนมาก จะเป็นแหล่งสะสมเช้ือสาเหตุโรค
เช้ืออาจจะติดไปยังผลของทุเรียน ทาให้เกิดโรคผลเน่าหลังการเก็บเกี่ยว ในระยะต้นกล้าหรือต้นที่เจริญเติบโตยังไม่
เต็มท่จี ะทาให้การเจรญิ โตชา้ หรอื ชะงักการเจรญิ เติบโต หากอาการรุนแรงจะทาใหก้ งิ่ แห้ง หรอื ต้นตาย
กำรแพร่ระบำด
เช้อื ราสาเหตุโรคแพร่ระบาดไปตามลม ติดไปกบั น้า เขา้ ทาลายพืชเม่ือมสี ภาพแวดล้อมเหมาะสม โรคน้พี บได้
ทงั้ ในฤดูฝนและฤดูแลง้ แตจ่ ะเห็นอาการชดั เจนในฤดแู ล้ง ซง่ึ เปน็ ระยะทที่ ุเรียนกาลงั ออกดอก ติดผล
กำรป้องกนั กำจัด
1. ให้นา้ และธาตุอาหารในปรมิ าณท่ีเหมาะสม ไมค่ วรใส่ปยุ๋ ไนโตรเจนมากเกินไป
2. กาจัดวชั พชื ในแปลงปลกู เพอ่ื ให้อากาศถา่ ยเทไดด้ ี เป็นการลดความช้นื สะสม
3. แหล่งท่ีพบการระบาดของโรคเป็นประจา ในระยะที่ทุเรียนแตกใบอ่อนและมีการเจริญเติบโตทางใบควร
ป้องกันกาจัดโรค โดยพ่นสารป้องกันกาจัดโรคพืช เช่น อะซอกซีสโตรบิน (azoxystrobin) 25% SC อัตรา
10 มิลลิลิตรต่อน้า 20 ลิตร หรือ แมนโคเซบ (mancozeb) 80% WP อัตรา 50 กรัมต่อน้า 20 ลิตร หรือ
โพรคลอราซ (prochloraz) 45% EC อัตรา 15 มิลลิลิตรต่อน้า 20 ลิตร หรือ เบโนมิล (benomyl) 50%
WP อตั รา 10 กรัมตอ่ นา้ 20 ลิตร พน่ ใหท้ ั่วตน้ ทกุ 7-10 วัน จานวน 1-2 ครง้ั
4. หม่ันตรวจแปลงปลูกอย่างสม่าเสมอ เม่ือพบเร่ิมมีอาการของโรค ตัดใบ หรือส่วนที่เป็นโรคนาไปทาลายนอก
แปลง เพ่ือลดปริมาณและไม่ให้เป็นแหล่งสะสมของเชื้อสาเหตุโรค หากโรคยังคงระบาดพ่นด้วยสารป้องกัน
กาจัดโรคพชื ตามขอ้ 3 โดยพน่ ทกุ 7-10 วนั หรือตามคาแนะนาในร่างฉลาก
27
อำกำรแผลไหมส้ นี ำ้ ตำลบนใบ ขอบแผลมีสีน้ำตำลเขม้
บริเวณแผลพบส่วนของเชอื้ รำเปน็ จุดสีดำขนำดเล็กเรยี งเปน็ วงซ้อนกนั
อำกำร
แผลไหมท้ ี่ปลำยใบ และจุดแผลบรเิ วณขอบใบ
28
ต้นกลำ้ ทุเรียน มีอำกำรแผลไหมส้ ีน้ำตำลท่ปี ลำยใบ และขอบใบ
เกิดจำกเชอ้ื รำ Colletotrichum gloeosporioides และ Phomopsis durionis
29
โรคใบจดุ (Leaf Spot)
สำเหตุ เชือ้ รา Phomopsis durionis
ควำมสำคัญ โรคใบจุดเปน็ โรคที่พบได้โดยท่ัวไปไม่ก่อความเสยี หายต่อทุเรยี นต้นโตและกาลังให้ผลผลติ แต่หากมีการ
สะสมของโรคจะส่งผลต่อผลผลิตทุเรียนอาจทาใหเ้ กิดโรคผลเน่าหลงั การเก็บเกี่ยวได้ โรคใบจุดมักพบส่งผลกระทบตอ่
ทเุ รียนตน้ เล็กในแปลงเพาะชามากกวา่ ทเุ รียนตน้ โต
ลักษณะอำกำร
อาการของโรคบนใบ เร่ิมต้นจะมีลักษณะเป็นจุดขนาดเล็กรูปร่างกลมหรือรี ลักษณะคล้ายหัวเข็มหมุด มี
ขนาดประมาณ 1 มิลลิเมตร และตรงกลางมีขาวถึงสีน้าตาลล้อมรอบด้วยสีเหลืองกระจายทั่วไปบนใบ ทาให้ใบมี
ลักษณะเหลอื ง และเปน็ จุดกระจายทัว่ ใบ หากรุนแรงแผลจะมีขนาดกว้างขน้ึ และส่งผลต่อการสังเคราะหแ์ สง ทาใหพ้ ืช
สังเคราะห์แสงได้น้อยลง เม่ือนาใบที่เป็นโรคมาส่องใต้กล้องสเตอริโอจะพบจุดสีดานูนมีลักษณะกลมกระจายอยู่ทั่ว
บริเวณเนื้อเย่ือพืชท่ีเป็นสนี า้ ตาล
กำรแพร่ระบำด
ส่วนใหญ่พบในทุเรียนขนาดเล็ก ระยะต้นกล้า ไม่มีผลกระทบต่อทุเรียนต้นโตหรือต้นท่ีให้ผลผลิต เช้ือราจะ
เข้าทาลายในสภาพแวดล้อมท่เี หมาะสม และหากมีแมลงระบาดสง่ ผลให้เช้ือสามารถเข้าทาลายไดง้ า่ ยขน้ึ
กำรป้องกนั กำจัด
1. ตดั แตง่ ก่ิงให้โปรง่ และกาจัดวัชพชื ในแปลงปลูก เพื่อเป็นการลดความชน้ื สะสมทีส่ ่งผลตอ่ การเกิดโรค
2. หากพบใบที่เกดิ โรคให้ทาการตัดออกและนาไปทาลายนอกแปลงปลูก
3. หากพบระบาดรุนแรง ใหใ้ ชส้ ารกาจัดเชอื้ รา เบโนมลิ (benomyl) หรอื คารเ์ บนดาซิม (carbendazim)
ลกั ษณะอำกำรใบจดุ บนใบทุเรยี น
30
โรคใบจุดสนิม หรือโรคใบจุดสำหร่ำย (Algal Leaf Spot)
สำเหตุ สาหร่ายสเี ขยี ว Cephaleuros virescens
ควำมสำคญั
เป็นโรคที่พบได้ทั่วไปในแหล่งปลูกทุเรียนที่มีความช้ืนสูง มีการปลูกระยะชิดกันเกินไป ต้นทุเรียนมีทรงพุ่ม
แน่นทึบ ในสวนทุเรยี นท่มี ีการพน่ สารปอ้ งกนั กาจัดโรคพชื และแมลงอย่างสม่าเสมอมกั จะไม่พบการระบาดของโรคนี้
ลกั ษณะอำกำร
มักเกิดบนใบแก่ อาการเริ่มแรกพบสาหร่ายเป็นจุดเล็ก ๆ สีเขียวปนเทา ขอบไม่เรียบ นูนขึ้นจากผิวใบ
เล็กน้อย ในสภาพท่ีมีความช้ืนสูงและได้รับแสงแดดเพียงพอจุดสาหร่ายจะพัฒนาขยายขนาดข้ึน มีสีคล้ายสีสนิมหรือ
น้าตาลแดง ลักษณะฟูเป็นขุยคล้ายกามะหย่ี เกิดกระจายท่ัวใบ ที่ผิวด้านล่างของใบบริเวณตรงข้ามจุดนูนจะมีสีซีด
หากโรคระบาดรุนแรงใบที่มีจุดสาหร่ายมากจะซีดเหลือง และแห้งตาย โรคที่เกิดบนใบไม่ทาให้ทุเรียนเสียหายมาก
เพียงแต่บังพื้นท่ีใบท่ีใช้ในการสังเคราะห์แสง ทาให้การสังเคราะห์แสงลดลง นอกจากน้ียังพบอาการของโรคได้ท่ีก้าน
และกง่ิ หากอาการรุนแรงบริเวณทถี่ กู ทาลายเปลือกจะแตกและแห้ง ทาให้ใหก้ ่งิ แห้งและทรดุ โทรม
กำรแพร่ระบำด
การระบาดของโรคจะเกิดในพื้นท่ีที่มีความช้ืนสูงโดยเฉพาะฤดูฝน ส่วนขยายพันธ์ุของเชื้อสาเหตุโรคสามารถ
ปลวิ ไปกับลม ติดไปกบั นา้ ไปส่ตู ้นอื่น
กำรป้องกนั กำจดั
1. กาจัดวชั พชื ในแปลง เพ่ือใหอ้ ากาศถ่ายเทได้ดี เป็นการลดความชื้นสะสม
2. หมั่นตรวจแปลงปลกู อย่างสม่าเสมอ เมื่อพบเร่ิมมีอาการของโรค ตัดใบ หรือส่วนท่ีเป็นโรคนาไปทาลาย หรือ
ฝังดินนอกแปลง ไม่ทิ้งไว้ในบริเวณแปลงหรือข้างแปลง เพ่ือลดปริมาณและไม่ให้เป็นแหล่งสะสมของเช้ือ
สาเหตุโรค หากโรคยังคงระบาดพ่นด้วยสารป้องกันกาจัดโรคพืช เช่น คอปเปอร์ออกซีคลอไรด์ (copper
oxychloride) 85% WP อตั รา 50 กรมั ตอ่ นา้ 20 ลติ ร
3. ช่วงการตัดแต่งก่ิง ดูแลการตัดแต่งกิ่งให้เหมาะสม ไม่ให้ต้นมีทรงพุ่มแน่นทึบ เพื่อให้ทุเรียนได้รับแสงแดด
และอากาศถา่ ยเทได้ดี เปน็ การลดความชน้ื ทาใหส้ ภาพแวดลอ้ มไม่เหมาะสมตอ่ การระบาดของโรค
4. หลงั จากตัดแต่งก่ิงในช่วงหลังการเก็บผลผลิตแลว้ พ่นดว้ ยสารปอ้ งกนั กาจัดโรคพชื เชน่ คอปเปอร์ออกซีคลอ
ไรด์ (copper oxychloride) 85% WP อตั รา 50 กรมั ตอ่ นา้ 20 ลติ ร ให้ท่ัวตน้
31
อำกำรของโรค พบจดุ สคี ลำ้ ยสสี นิมหรือนำ้ ตำลแดง ลกั ษณะฟเู ปน็ ขยุ คลำ้ ย
กำมะหย่ี เกดิ กระจำยทั่วใบ
32
โรครำดำ (Sooty Mold)
สำเหตุ เชอื้ รา Polychaeton sp., Tripospermum sp.
ควำมสำคัญ
เปน็ โรคทพี่ บได้ในแหล่งปลกู ทเุ รยี นท่มี คี วามชื้นสงู ตน้ ทเุ รยี นมีทรงพุ่มแน่นทึบ มกี ารระบาดของแมลงปากดูด
เช่น เพลี้ยแป้ง และเพล้ียหอย ในสวนทุเรียนท่ีมีการพ่นสารป้องกนั กาจดั โรคพืชและแมลงอย่างสม่าเสมอมักจะไมพ่ บ
การระบาดของโรคนี้
ลกั ษณะอำกำร
พบคราบราสีดาติดตามส่วนของใบ กิ่ง ในบางคร้งั พบทผี่ ล โดยเช้ือราเจริญบนสารเหนียวที่แมลงปากดดู เชน่
เพลี้ยแปง้ เพลีย้ หอย และเพล้ยี ไก่แจ้ขบั ถ่ายไว้ ทุเรยี นทีใ่ หผ้ ลผลิตแล้ว การเกดิ โรคท่ีใบไม่ทาให้เสียหายมาก เพยี งแต่
บังพ้ืนท่ีใบท่ีใช้ในการสังเคราะห์แสง ทาให้การสังเคราะห์แสงลดลง แต่ในระยะต้นกล้า หรือต้นท่ีเจริญเติบโตยังไม่
เต็มที่จะทาให้การเจริญโตช้า หรือชะงักการเจริญเติบโต ส่วนท่ีผลหากมีคราบราดา จะทาให้ผิวผลไม่สวย ไม่เป็นท่ี
ตอ้ งการของตลาด
กำรแพรร่ ะบำด
โรคราดามักพบในชว่ งทม่ี ีการระบาดของแมลงปากดูด เช่น เพลยี้ แปง้ เพล้ยี หอย และเพล้ียไกแ่ จ้
กำรป้องกนั กำจัด
1. กาจดั วัชพชื ในแปลง เพ่ือใหอ้ ากาศถา่ ยเทสะดวก เป็นการลดความชน้ื สะสม
2. หมน่ั ตรวจแปลงอยา่ งสม่าเสมอ เมือ่ พบคราบราสีดา พน่ ดว้ ยนา้ เปลา่ ล้างคราบราสีดา และสารเหนยี วที่แมลง
ปากดูดขับถา่ ยไว้ เพือ่ ลดปริมาณเชื้อสาเหตุโรค
3. เน่ืองจากเชื้อราเจริญบนสารเหนียวท่ีแมลงปากดูด เช่น เพล้ียแป้ง เพล้ียหอย และเพลี้ยไก่แจ้ขับถ่ายไว้ จึง
ควรป้องกันกาจัดแมลง ดงั น้ี
- เมื่อพบการระบาดของเพลี้ยแป้ง เพล้ียหอย หรือเพล้ียไก่แจ้พ่นด้วยสารฆ่าแมลง ได้แก่ สารคลอร์ไพริฟอส
(chlorpyrifos) 40% EC อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้า 20 ลิตร หรือ คลอร์ไพริฟอส (chlorpyrifos)/ไซเพอร์เมทริน
(cypermethrin) 50% EC อตั รา 30 มิลลลิ ติ รตอ่ น้า 20 ลิตร โดยพ่นสารเฉพาะตน้ ท่พี บเพลยี้ แปง้ หรอื เพลย้ี หอยทาลาย
- เนื่องจากเพล้ียแป้งแพร่ระบาดโดยมีมดพาไป ป้องกันมด โดยใช้ผ้าชุบสารฆ่าแมลง เช่น มาลาไทออน
(malathion) 83% EC อัตรา 20 มิลลลิ ิตรตอ่ นา้ 20 ลติ ร หรอื คารบ์ าริล (carbaryl) 85% WP อัตรา 10 กรมั ต่อน้า
20 ลิตร พันไวท้ ีก่ ่ิงของทเุ รียน หรอื พน่ สารฆ่าแมลงดังกลา่ วที่โคนตน้
33
ครำบรำสดี ำ พบได้ท้งั ด้ำนบนใบและใตใ้ บ ทก่ี ่ิง และผลของทุเรยี น
34
กำรขำดธำตอุ ำหำรของทุเรียน
ไนโตรเจน (N)
สำเหตุ ธาตอุ าหารไม่เพียงพอ หรือ ความไมส่ มดลุ ของธาตอุ าหาร
ควำมสำคัญ
ธาตุอาหารมีความสาคัญต่อการเจริญเติบโตของพืช หากพืชเกิดการขาดธาตุอาหารจะส่งผลต่อการ
เจริญเตบิ โตและแสดงอาการผิดปกตอิ อกมา ซง่ึ บางอาการจะมลี ักษณะคลา้ ยกับอาการท่ีเกดิ จากเชื้อโรคเขา้ ทาลาย
ลกั ษณะอำกำร
พืชจะแสดงอาการที่ใบแก่ โดยมีลักษณะสีเขียวซีดท้ังแผ่นใบ และเปล่ียนเป็นสีน้าตาล ต่อมาใบพืชจะร่วง
หลน่ ไป หลงั จากนัน้ ใบบนจะเริ่มมีสีเหลือง ก่ิงบรเิ วณปลายยอดลบี เล็ก และสัน้ กวา่ ปกติ การติดผลน้อยลง ผลมขี นาด
เล็ก และเปลอื กบาง
ลักษณะอำกำรขำดธำตุไนโตรเจนในทุเรยี น
(ภำพโดย : ปัญจพร เลิศรัตน์)
35
ฟอสฟอรสั (P)
สำเหตุ ธาตอุ าหารไมเ่ พยี งพอ หรือ ความไม่สมดุลของธาตุอาหาร
ควำมสำคญั
เกยี่ วขอ้ งในขบวนการสังเคราะห์แสงและการหายใจของพชื ส่งเสรมิ กระบวนการสุกแก่ การสรา้ งเมลด็ ของ
พืชตา่ ง ๆ แหลง่ เกบ็ กักพลังงาน และส่งผา่ นพลงั งานใหพ้ ืชเป็นองค์ประกอบของกรดนิวคลิอคิ ฟอสโพไลปดิ อะดีโน
ซิน ไตรฟอสเฟต และโคเอนไซม์
ลกั ษณะอำกำร
อาการขาดธาตุฟอสฟอรัสมักพบที่ใบแก่ โดยใบมีสีเขียวถึงเขียวหม่น ผิวใบด้าน ใบท่ียอด เจริญเติบโตช้า ใบ
แก่รว่ งมากผิดปกติ ออกดอกชา้ จานวนดอกผล และผลผลติ เมลด็ ตา่
โพแทสเซยี ม (K)
สำเหตุ ธาตอุ าหารไม่เพียงพอ หรอื ความไม่สมดลุ ของธาตุอาหาร
ควำมสำคัญ
ควบคมุ การเปิดและปิดของปากใบ และเปน็ ส่วนสาคญั ในขบวนการออสโมซิส กระตนุ้ การทางานของเอนไซม์
ทเี่ ก่ียวข้องกบั การสรา้ งแป้งกระตนุ้ การทางานของเอนไซม์ที่เกยี่ วข้องกับการสรา้ งแป้งส่งเสริมขบวนการสงั เคราะห์
แสง และขบวนการหายใจของพืช
ลกั ษณะอำกำร
อาการขาดธาตโุ พแทสเซียมมักพบทีใ่ บแก่กอ่ น โดยใบมสี ีเหลืองซดี ขอบใบ และปลายใบเปน็ สีนา้ ตาลแห้ง ใบ
หลดุ รว่ งง่าย ลาต้นออ่ นแอ ผลไมเ่ ตบิ โต สีผวิ ของผลจางลง
แคลเซยี ม (ca)
สำเหตุ ธาตุอาหารไม่เพยี งพอ หรือ ความไมส่ มดลุ ของธาตุอาหาร
ควำมสำคญั
เสริมสร้างความแข็งแรงของเนือ้ เยื่อและเซลล์พืชกระตุ้นการดูดซับธาตุอาหารของราก และการเคลื่อนที่ธาตุ
อาหารในพืช แคลเซียมเป็นธาตุอาหารที่มีบทบาทสาคัญเก่ียวกับคุณภาพผลผลิตของพืชไม้ผลและพืชผักต่าง ๆ
แคลเซียมช่วยยืดอายุการเก็บรักษาผลผลิต ทาให้การเน่าเบ่ือช้าลง ความสาคัญของแคลเซียมต่อคุณภาพผลผลิต
นบั วนั จะมคี วามสาคัญเพ่ิมมากขึ้น เนอ่ื งจากมีข้อมูลเพ่ิมข้นึ เกย่ี วกบั บทบาท ของ แคลเซียม ไมผ้ ล พืชผกั และไม้ดอก
มคี วามตอ้ งการแคลเซียมมากกว่าธญั พืช เชน่ ขา้ วหรือขา้ วโพด ความเขม้ ขน้ ของแคลเซียมในพืชอย่รู ะหว่าง 0.2-5.0%
ในใบพืชส่วนมากมีความเข้มข้นของแคลเซียมระหว่าง 0.3-3.0% ความเข้มข้นของแคลเซียมในใบแก่สูงกว่าใบอ่อน
เนื่องจากแคลเซยี มเป็นธาตทุ ่ไี ม่เคลื่อนทใ่ี นพืช
36
ลกั ษณะอำกำร
อาการขาดธาตุแคลเซียมแคลเซียมมักเกิดท่ีใบอ่อน หรือส่วนของพืชที่กาลังเจริญเติบโต เนื่องจากพืชไม่
สามารถเคลื่อนย้ายแคลเซียมจากใบแก่ไปเลี้ยงส่วนท่ีกาลังเจริญเติบโตได้ทัน ใบอาจจะบิดเบี้ยวหรือม้วนงอในไม้ผล
อาการขาดเเคลเซียมที่ใบสงั เกตยาก เนื่องจากพืชมักไม่แสดงอาการท่ีใบชัดเจน ส่วนมากมักแสดงออกท่ีผล ที่พบมาก
คอื อาการทผ่ี ลเปน็ กน้ เนา่ เช่น ทุเรียนพันธุ์กระดุม
สภำพทสี่ ง่ เสรมิ ให้พืชไม้ผลหรอื พืชขำดแคลเซยี ม
1. รากพืชมีความสามารถในการดูดใช้แคลเซียมต่ากว่าธาตุที่มีประจุบวกอ่ืน เช่น โพแทสเซียม เเมกนีเซียม และ
แอมโมเนยี ม หากใช้ธาตุเหล่านีใ้ นปรมิ าณมาก จะทาให้ขาดแคลเซียมได้ง่าย
2. ในเขตร้อนที่ดินเป็นกรด และฝนตกชุก แคลเซียมจะถูกชะล้างออกจากดินได้ง่าย จาเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมี
การใสป่ ูนเพื่อปรับค่าความเป็นกรดของดินและใหแ้ คลเซียมแกพ่ ชื
3. การเคลื่อนย้ายของแคลเซียมจากรากไปยังผลเป็นไปได้ช้ามาก มีรายงานว่า เม่ือใส่ยิบซัมแก่พืชอาจต้องใช้
เวลา 2-4 ปี แคลเซียมที่ใส่จึงเคล่ือนย้ายไปที่ผล หากต้องการให้ผลมีแคลเซียมเพียงพอจาเป็นต้องฉีดพ่น
แคลเซยี มไปท่ผี ลโดยดรง และต้องใชค้ วามเข้มขน้ สูง การฉดี พ่นแคลเซียม-โบรอนท่ีเกษตรกรทาอยู่ในปัจจุบัน
ไมส่ ามารถใหแ้ คลเซียมในปรมิ าณทเ่ี พียงพอกับความตอ้ งการของผล
4. ใบเเละผลเปน็ คู่แข่งท่สี าคัญในการดูดใช้แคลเซยี มถ้าพืชมีการเจริญเตบิ โตทางกิ่งก้านและใบมากจะทาให้การ
เคล่ือนยา้ ยแคลเซยี มไปท่ผี ลเกดิ ได้น้อย
วธิ ีกำรแก้ไข
1. ปรับปรุงดนิ ใหม้ ีคา่ ความน้นี กรด-ดา่ งท่เี หมาะสม (ระหว่าง 5.5-6.5)
2. ใสย่ บิ ซัมเพื่อเพ่ิมปริมาณแคลเซียมให้แกด่ ินยิบซัมจะละลายเเละเป็นประโยชน์แก่พืชเร็วกว่าปูนและเคล่ือนท่ี
ลงไปที่ดินล่างได้ดีกวา่ การใส่ยิบซัมอาจทาใหัการดูดใชโ้ พแทสเซียมและแมกนเี ซียมลดลงเน่ืองจากธาตุท้ัง 3
ชนิดในกลุ่มนี้เป็นปฏปิ ักษ์ (anatagonism) ต่อกัน จึงควรวิเคราะห์ใบเพื่อตรวจสอบว่าพืชได้รับโพแทสเซียม
และแมกนีนซียมอย่างเพียงพอ ในดินที่เป็นกรดจัด โดยเฉพาะอย่างย่ิงในสวนไม้ผลทางภาคตะวันออกของ
ไทยที่มีแคลเซยี มในดินน้อย อาจตอ้ งใส่ยิบซัมติดต่อกนั เป็นเวลาหลายปจี นกวา่ ดินจะมีการสะสมแคลเซียมใน
ปริมาณท่ีเพียงพอ จะดีกว่าการใส่ยิบซัมคร้ังเดียวในปริมาณมาก ๆ เพราะอาจเกิดการเป็นปฏิปักษ์กับ
โพแทสเซยี มและแมกนีเซียมดังทก่ี ล่าวมาแลว้
3. ฉีดพ่นแคลเซียมให้แก่ผลโดยตรง วิธีท่ีดีท่ีสุดคือฉีดพ่นเม่ือผลมีขนาดเล็กเนื่องจากแคลเซียมที่ใช้ไนการ
เจริญเติบโตของผลจะมาจากแคลเซียมท่ีผลสะสมไว้ในขณะท่ียังเล็กอยู่เม่ือผลโตจนถึงระดับหนึ่งการสะสม
แคลเซียมจะไม่เพ่ิมข้ึน การฉีดพ่นแคลเซียม จะต้องใช้ความเข้มข้นสูง ในแอลเป้ิลจะใชัแคลเซียมคลอไรค์
เข้มข้นระหว่าง 2-4% และ ฉีดพ่นทุก 2 สัปดาห์เม่ือผลมีขนาดเลก็ 6 ครั้งติดต่อกันแคลเซียมคลอไรค์ท่ีใช้จะ
เป็นเกิดอาหาร (food grade) ถ้าใช้เกรดปุ๋ย อาจมีสารเคมีบางอย่างปนเปื้อนทาให้สีผิวผลไม่สวยหรือเกิด
อาการไหม้
37
แมกนเี ซียม (Mg)
สำเหตุ ธาตอุ าหารไม่เพยี งพอ หรอื ความไม่สมดุลของธาตุอาหาร
ควำมสำคญั
อาการขาดแมกนีเซียมในไม้ผลและพืชสวนพบเห็นไดัท่ัวไป และสังเกตได้ง่ายไม้ผลที่ปลูกกันแพร่หลาย เช่น
ส้ม ทุเรยี น มังคด เงาะ สละ กล้วย เปน็ ตน้ ทปี ลกู ในบริเวณภาคตะวันออกของไทย จะพบอาการขาดแมกนเี ซยี มเสมอ
อาการขาดเเมกนีเซียมจะเกิดท่ีใบแก่ก่อนเนื่องจากแมกนีเซียมเป็นธาตุที่เคลื่อนท่ีได้ในพืช เม่ือพืชได้รับแมกนีเซียมไม่
เพียงพอ จะเคลื่อนย้ายแมกนีเซียมท่ีสะสมอยู่ท่ีใบแก่ไปยังใบอ่อน ลักษณะการขาดแมกนีเซียมเป็นดังนี้ ขอบใบและ
พนื้ ท่รี ะหวา่ งเสน้ ใบมีสเี หลอื งเหน็ ไดช้ ดั แต่เส้นใบยังเขยี วอยู่ อาจมีสแี ดงเกิดตามแถบสีเหลืองบนใบด้วย ในพืชตระกูล
สม้ บรเิ วณโคนใบจะยังมีสเี ขยี ว ลกั ษณะเหมือนอักษรตัว v (v shape)
การตรวจสอบว่าพืชได้รับแมกนีเซียมเพียงพอหรือไม่ ทาได้โดยการวิเคราะห์ใบ ซึ่งจะได้ข้อมูลท่ีค่อนข้าง
แม่นยาและช้ีบ่งได้ชัดเจน ส่วนการวิเคราะห์ดินนั้นไม่สามารถชี้บ่งว่าพืชจะขาดแมกนีเซียมหรือไม่ เนื่องจากปริมาณ
แมกนเี ซียมที่พืชดูดไปใช้ขึ้นกับธาตแุ คลเซียม และโพแทสเซียมดงั ท่ีกล่าวมาแล้ว แต่การวเิ คราะห์ดินจะทาให้ทราบว่า
การท่ีพืชขาดแมกนีเซียมนั้น เกิดจากการที่ดินมีแมกนีเซียมน้อย หรือเกิดจากความไม่สมดุลของธาตุอาหาร เมื่อพืช
ขาดแมกนีเซียมรนุ แรง ใบแกจ่ ะรว่ งก่อนกาหนด นอกจากนนั้ ยงั พบว่ารากที่หาอาหาร (feeder root) ตายด้วย ทาให้
มรี ากทใี่ ชด้ ูดธาตอุ าหารลดลง
ลักษณะอำกำร
พืชจะแสดงอาการท่ีใบแก่ก่อน เนื่องจากแมกนีเซียมเป็นธาตุท่ีเคลื่อนที่ได้ในพืช เมื่อพืชได้รับแมกนีเซียมไม่
เพียงพอ จะเคลอ่ื นยา้ ยแมกนเี ซียมทสี่ ะสมอยู่ท่ใี บแก่ไปยังใบอ่อน โดยพืชมีลกั ษณะขอบใบและพืน้ ทรี่ ะหว่างเสน้ ใบมีสี
เหลอื งเหน็ ได้ชัด แตเ่ สน้ ใบยงั เขียวอยู่
วธิ ีกำรแกไ้ ข
ทเุ รยี นพนั ธุช์ ะนจี ะพบอาการขาดแมกนเี ซยี มมากวา่ พนั ธุห์ มอนทอง โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงภายหลังการเก็บเกี่ยว
จะพบอาการขาดแมกนีเซียมมาก เน่ืองจากมีการเคล่ือนย้ายแมกนีเซียมออกจากใบแก่ เม่ือพืชขาดแมกนีเซียม
สามารถแก้ไขได้โดยการให้แมกนีเซียมซัลเฟตทางดิน และฉีดพ่นแมกนีเซียมซัลเฟตทางใบช่วย ในดินที่เป็นกรดและ
ขาดแมกนีเซียม ควรใส่ปุ๋ยในรูปโดโลไมท์ อย่างไรก็ตาม ปูนโดโลไมท์ละลายช้า และอาจดัองใช้เวลานานมากกว่าจะ
เคลือ่ นทีล่ งไปยังดินลา่ ง ควรแก้ปญั หาโดยการใส่แมกนีเซียมซลั เฟตร่วมกับการใส่ปูนโดโลไมท์
38
ลักษณะอำกำรขำดธำตุแมกนีเซยี มในทุเรยี น ลักษณะอำกำรขำดธำตแุ มกนีเซียมในทเุ รียน
(ภำพโดย : ปัญจพร เลิศรตั น์) (ภำพโดย : L.T. Kwee)
กำมะถัน (S)
สำเหตุ ธาตุอาหารไม่เพียงพอ หรือ ความไมส่ มดุลของธาตุอาหาร
ควำมสำคัญ
เป็นส่วนสาคัญต่อขบวนการสงั เคราะห์โปรตีนพืชและการทาหน้าท่ีของโปรตีนเหล่าน้ันเป็นองค์ประกอบของ
กรดอะมโิ นในเอนไซม์ เป็นองค์ประกอบของสารระเหยในพชื
ลกั ษณะอำกำร
อาการขาดธาตกุ ามะถันจะมลี ักษณะคลา้ ยกับอาการขาดธาตุไนโตรเจน คือ ใบมีสเี หลอื งซีด แตจ่ ะเกิดทใ่ี บ
ออ่ น
วิธีกำรแก้ไข
อาการขาดกามะถันจะ คลา้ ยกับอาการขาดไนโตรเจนคือใบมสี ีเหลืองซีด แตจ่ ะเกิดท่ใี บอ่อน พืชทั่วไปมคี วาม
เขม้ ขน้ ของกามะถนั ทเี่ หมาะสมสาหรับการเจริญเตบิ โตอยู่ระหว่าง 0.2-0.4% การศกึ ษาเก่ียวกับกามะถนั ในไมผ้ ลและ
ไม้ดอกต่าง ๆ มีน้อย และอาการขาดกามะถันก็ไม่พบบ่อยนัก อาจเน่ืองจากในไม้ผลและไม้ดอกต่าง ๆ มีการใช้ปุ๋ยท่มี ี
กามะถันเป็นองค์ประกอบ เช่น แอมโมเนียมซัลเฟต (21 -0-0) หรือโพแทสเซียมซัลเฟต (0-0-50) ทาให้ไม่เห็นการ
ขาดกามะถันบ่อยนัก ดินที่มักพบการขาดกามะถันได้แก่ดินที่มีเน้ือหยาบ มีอินทรีย์วัตถุต่าหรือหน้าดินถูกชะล้าง
หายไป เน่ืองจากอินทรียวัตถุแหล่งสาคัญของกามะถัน การวิเคราะห์กามะถันในดินและพืซค่อนข้างยุ่งยาก และเสีย
คา่ ใชจ้ า่ ยมากทาใหไ้ ม่นยิ มใชก้ นั แพร่หลาย
39
สังกะสี (Zn)
สำเหตุ ธาตอุ าหารไม่เพยี งพอ หรือ ความไมส่ มดุลของธาตุอาหาร
ควำมสำคัญ
สังกะสีเป็นธาตุเสริมที่พบขาดมากที่สุดในไม้ผลของไทย เน่ืองจากเกษตรกรมีการใส่ปุ๋ยฟอสฟอรัสในปริมาณ
มากและต่อเน่ืองติดต่อกันมานานทาให้สงั กะสีทาปฏิกิริยากับฟอสฟอรัส และไม่ละลายอาการขาดสังกะสีพบในไมผ้ ล
เกือบทุกชนิดทุกภาคของประเทศ อาการต้ังแต่ไม่รุนแรงจนถึงรุนแรงมากในกรณีที่อาการรุนแรงมาก พืชจะไม่ออก
ดอกออกผล จากประสบการณ์งานวิจัยในภาคตะวันออกในบริเวณจังหวัดจันทบุรี ระยอง และตลาดซ่ึงมีการปลูกไม้
ผลมาก พบว่า มังคุดและทุเรียนมีอาการขาดสังกะสีรุนแรง โดยเฉพาะมังคุดพบอาการขาดท่ีรุนแรงมาก อาการขาด
สังกะสีจะแตกต่างกันในไม้ผลแตล่ ะชนิด อาการที่พบทว่ั ไปคือ ใบออ่ นมีพ้ืนทสี่ ีเขียวอ่อนหรือเหลืองระหว่างพัน้ ใบโดย
เส้ันใบยังเขียวอยู่ถ้าขาดมากใบจะมีขนาดเล็กลงกว่าปกติมาก (ซึ่งแตกต่างจากเหล็กและแมงกานีสที่ใบมักไม่เล็กลง)
ข้อสั้นทาให้ใบอยู่รวมกันเป็นกระจุก (rosette) ในพืชหลายชนิดรวมทั้งมังคุด ใบจะมีลักษณะโค้งคล้ายรูปเคียวเพราะ
พื้นที่ใบข้างหน่ึงของใบเจริญเติบโตไม่ดี ใบหนาและแข็งกระด้าง ในทุเรียนใบจะมีขนาดเล็ก มีสีเขียวอ่อนหรือจุดสี
เหลืองบนพ้ืนท่ีสีเขียวอ่อน ขอบหยัก ในพืชตระกูลส้ม และมะนาว พบอาการขาดสังกะสีมากเช่นกัน การวิเคราะห์ใบ
จะทาให้ทราบว่าพืชได้รับสังกะสีเพียงพอหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ต้องพิจารณาขนาดของใบประกอบการแปลผลการ
วิเคราะห์ด้วย เน่ืองจากใบที่มีขนาดเล็กอาจมีความเข้มข้นของสังกะสีสูง ทาให้เข้าใจผิดได้ ถ้าผลการวิเคราะห์ต่า
แสดงว่าพชื ขาดสังกะสี แต่ถา้ ผลการวิเคราะหส์ ูง ไม่ไดหั มายความว่าพชื มีสงั กะสีเพยี งพอ เพราะอาจปนเปอื้ นจากการ
ฉดี พน่ ปุ๋ยหรือสารกาจดั ศตั รพู ืชจาเปน็ อย่างยงิ่ ทีจ่ ะต้องพิจารณาจากลกั ษณะและขนาดของใบประกอบ
ลักษณะอำกำร
ใบจะมีขนาดเล็ก มสี เี ขยี วออ่ นหรอื จุดสีเหลอื งบนพื้นท่ีสีเขียวอ่อน ขอบหยัก
วิธีกำรแก้ไข
อาการขาดสังกะสี ทาได้โดยการใส่ปุ๋ยทางดิน แต่ดินท่ีมีฟอสฟอรัสสูง มักพบปัญูหาคือสังกะสีท่ีใส่ลงดินไม่
เป็นประโยชน์เท่าท่ีควร จึงต้องใช้วิธีฉีดพ่นทางใบช่วย ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ต้องฉีดพ่นบ่อย ๆ วิธีที่ถูกคือ
ลดการใช้ปุ๋ยฟอสฟอรัสลง การฉีดพ่นสังกะสีต้องทาเมื่อใบแผ่ขยายเต็มท่ีแต่ยังไม่แก่ และใช้ความเข้มข้นค่อนข้างสูง
เพราะสังกะสีดูดซึมทางใบได้น้อย ในกรณีท่ีขาดสังกะสีรุนแรงต้องใช้อัตราสูงกว่าท่ีแนะนาในฉลากท่ีขายกันอยู่ท่ัวไป
และอาจต้องฉดี พน่ มากกวา่ หน่งึ คร้งั แตไ่ ม่ตอ้ งทาเปน็ ประจา
40
เหล็กและแมงกำนีส (Fe & Mn)
สำเหตุ ธาตอุ าหารไม่เพียงพอ หรอื ความไม่สมดุลของธาตุอาหาร
ควำมสำคัญ
เหล็กและแมงกานีสละลายได้ดีในดินท่ีเป็นกรดจัด โดยทั่วไปดินที่เป็นกรดมักไม่ขาดเหล็กและเเมงกานีสแต่
ในดินที่มีฟอสฟอรัสสูง พืชอาจขาดเหล็กทรือแมงกานีสได้เช่นกันซึ่งพบได้บ่อยในสวนทุเรียนเละมังคุดในภาค
ตะวันออก เพราะเหลก็ และแมงกานีสจะทาปฏกิ ริ ิยากบั ฟอสฟอรัส ทาใหต้ กตะกอนและไมเ่ ปน็ ประโยชน์
ลกั ษณะอำกำร
อาการขาดเหล็กและแมงกานีสมีลักษณะคล้ายกัน คือ ใบอ่อนมีพ้ืนที่ระหว่างเส้นใบสีเหลือง แต่เส้นใบยัง
เขียวอยู่ โดยทั่วไปอาการขาดธาตุเหล็ก ใบจะมีสีซีดกว่าอาการขาดธาตุแมงกานีส แต่ผู้ท่ีไม่มีประสบการณ์เพียงพอ
อาจแยกไม่ออก หรือวิเคราะห์อาการผิดพลาด ถ้าพืชขาดเหล็ก แต่ไปใส่ปุ๋ยหรือฉีดพ่นแมงกานีสจะเป็นการซ้าเติม
อาการให้หนักย่ิงขึ้น เน่ืองจากเหล็กและแมงกานีสเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน คือถ้ามีแมงกานีสมาก พืชจะดูดเหล็กได้น้อย
และในทางกลับกัน ถ้ามีเหล็กมาก พืชจะดูดแมงกานีพได้น้อย ในสะละที่ปลูกในเเถบจังหวัดจันทบุรี ที่พบอาการเป็น
พิษของแมงกานีสที่ใบแก่ มักจะแสดงอาการขาดเหล็กท่ีใบอ่อน การวิเคราะห์พืชจะทาให้ทราบว่าพืชได้รับเหล็กและ
แมงกานสี เพยี งพอหรือไม่ ถ้าคา่ วิเคราะห์ต่าแสดงว่าพืชขาด แตค่ ่าวิเคราะห์ที่พง่ึ ไม่ได้แสดงวา่ เพียงพอ เพราะอาจเกิด
จากการปนเป้อื น สาหรบั คา่ วิเคราะห์ดินไมส่ ามารถบอกได้ว่าพชื จะไดร้ ับธาตทุ ัง้ 2 เพียงพอหรือไม่
วิธกี ำรแกไ้ ข
ดินท่ีเป็นด่างมีโอกาสที่จะขาดเหล็กและแมงกานีสมาก เพราะธาตุท้ัง 2 ละลายได้ไม่ดีการขาดเหล็กและ
แมงกานีสที่เกิดจากการท่ีมีฟอสฟอรัสสูง ต้องลดการใช้ปุ๋ยฟอสฟอรัสลง แต่การขาดเหล็กในดินด่าง ต้องทาใหัดิ
นเป็นกรดเพ่็มขึน้ โดยการใสก่ ามะถันผง หรือ ใสป่ ุย๋ ท่มี ีผลตกคา้ งเปน็ กรด เช่น แอมโมเนียมซัลเฟต
41
ทองแดง (Cu)
สำเหตุ ธาตอุ าหารไมเ่ พยี งพอ หรือ ความไมส่ มดุลของธาตุอาหาร
ควำมสำคญั
กระต้นุ การสรา้ งลกิ นินของผนังเซลล์
ลกั ษณะอำกำร
อาการขาดทองแดงจะพบทีย่ อดหรอื ใบอ่อนก่อน ตายอดชะงกั การเจรญิ เตบิ โต ต้นแคระแกรน็ ใบออ่ นเหลือง
ซีด บิดเบีย้ ว เยื่อเจรญิ ที่ยอดตาย และกลายเปน็ สีดาปลายก่ิงแห้ง แลว้ ลุกลามลงมาหาโคนก่ิง
ลักษณะอำกำรขำดธำตุทองแดงในทเุ รยี น
(ภำพโดย : L.T. Kwee)
42
กำรใชส้ ำรป้องกันกำจดั โรคพชื ในทุเรียนทถ่ี กู ต้องและเหมำะสม
การใช้สารปอ้ งกันกาจดั โรคพืชในทเุ รียนทถี่ ูกตอ้ งและเหมาะสม มขี ้อแนะนาและควรปฏิบัติดังนี้
ต้องรจู้ ักชนดิ ของโรคพชื ในทุเรียน
โรคทุเรียน ทพ่ี บไดแ้ ก่ รากเนา่ โคนเนา่ ผลเน่า ใบติด ราสชี มพู ราแป้ง ใบไหมแ้ อนแทรคโนส ใบจดุ โฟมอบซิส
ใบจุดสาหร่าย ราดา รวมถึงอาการผิดปกติหรือโรคท่ีเกิดจากการขาดธาตุอาหาร เมื่อทราบชนิดของโรคพืช จะทาให้
พิจารณาวิธีการที่เหมาะสมท่ีจะเลือกใช้ในการป้องกันกาจัด เช่น การทาเขตกรรม ใช้ชีววิธี หรือหากมีความจาเป็นที่
จะต้องใชส้ ารปอ้ งกนั กาจัดโรคพชื กจ็ ะสามารถเลือกชนิดของสารทเ่ี หมาะสมในการป้องกนั กาจัดโรคพชื ชนดิ นัน้ ๆ ได้
ตอ้ งรู้จักหรอื ทรำบพื้นฐำนของกำรใชส้ ำรปอ้ งกนั กำจดั โรคพชื
สารปอ้ งกนั กาจัดโรคพืชสามารถแบ่งตามคณุ สมบตั ิได้หลายแบบ ได้แก่
แบ่งตามกลุ่มชนิดของเชื้อสาเหตุโรคพืช เช่น สารป้องกันกาจัดเชื้อรา สารป้องกันกาจัดแบคทีเรีย สารป้องกันกาจัด
ไสเ้ ดือนฝอย
แบ่งตามคุณสมบตั ิการเข้าสู่พชื ได้แก่ สารทอี่ อกฤทธ์ิแบบสมั ผัส และ สารดดู ซึม สารทีอ่ อกฤทธแิ์ บบสัมผัส เมื่อพ่นลง
บนพืช สารจะปกคลุมอยู่ที่ผิวภายนอก ไม่ดูดซึมเข้าไปต้น สามารถยับย้ังเช้ือรา หรือเช้ือสาเหตุเม่ือเช้ือสัมผัสกับสาร
โดยตรง เป็นสารท่ีใช้ในการป้องกันก่อนท่ีจะติดเช้ือ สารกลุ่มนี้มีประสิทธิภาพในการป้องกันกาจัดโรคได้กว้างขวาง
ออกฤทธ์ิได้หลายจุด จึงมีโอกาสน้อยท่ีโรคพืชจะสร้างความต้านทานต่อสาร ส่วนสารชนิดดูดซึม เมื่อฉีดพ่นลงบนพืช
แล้วจะถูกดูดซึมเข้าไปภายในเน้ือเยื่อพืช สามารถเคลื่อนย้ายไปยังส่วนต่าง ๆ เหมาะสาหรับการรักษาพืชเพ่ิงเร่ิมเปน็
โรค หรือเม่ืออาการของโรคยังไม่รุนแรง สารเข้าไปฆ่าหรือทาให้ราไม่เจริญเติบโต รบกวนกระบวนการขยายพันธุ์ของ
เชื้อสาเหตุ สารชนิดดูดซึมที่มีการใช้ในการปลูกทุเรียน เพื่อใช้ในการป้องกันหรือควบคุมโรครากเน่าโคนเน่า หรือโรค
ผลเน่าที่เกิดจากเชื้อรา Phytophthora ได้เป็นอย่างดี เช่น fosetyl-aluminum metalaxyl และ phosphonic
acid โดยวิธกี ารใช้ท่ีเหมาะสมของสารปอ้ งกนั กาจดั โรคพืชดังกลา่ วมีดังน้ี
- fosetyl-aluminum เหมาะสาหรบั การพน่ ทางใบ ราดลงดิน และทาแผลบนลาต้น
- metalaxyl เหมาะสาหรบั การพ่นทางใบ ราดลงดิน และทาแผลบนลาต้น
- phosphorous acid เหมาะสาหรับการฉดี เขา้ ลาตน้ และราดลงดิน
สาร fosetyl-aluminum และ phosphonic acid เป็นสารประกอบ phosphonate ที่มีคณุ สมบตั ิเฉพาะคือ
สามารถเคลื่อนทภี่ ายในท่อนา้ ทอ่ อาหาร ทาให้มีประสทิ ธิภาพในการปอ้ งกันและควบคมุ โรคทเ่ี กดิ จากเชอ้ื ราในวงศ์
Phytophthora และมีพษิ ต่าตอ่ สัตวเ์ ล้ยี งลูกด้วยนม
แบ่งตามบทบาทและฤทธิ์ของสาร ได้แก่ สารป้องกัน มีคุณสมบัติป้องกันการเข้าทาลายของเช้ือ ทาหน้าท่ีกีดกันไม่ให้
เช้ือราสัมผัสกับผิวพืชโดยตรง ลดการกระจายของเช้ือสาเหตุ ทาลายส่วนของเช้ือราท่ีตกลงบนส่วนของพืชทาให้ไม่
สามารถงอกเข้าทาลายพืช แต่ไม่มีการดูดซึมโดยพืช สารรักษา ส่วนใหญ่ใช้เมื่อปรากฏอาการของโรคแล้ว สามารถ
หยดุ ยั้งการเจริญเตบิ โตของเชื้อรา มีคุณสมบัติดดู ซมึ (เฉพาะท่ี เคลอ่ื นทไี่ ดต้ ามท่อน้าหรือท่ออาหาร เคลือ่ นทไ่ี ด้ท่ัวใน
พืช) สามารถป้องกันการเข้าทาลายของเชื้อสาเหตุได้ เชื้อสาเหตุสามารถสร้างความต้านทานต่อสารเคมีนี้มากกว่า
สารเคมีท่ีใช้ในการป้องกัน สารกาจัด มีคุณสมบัติยับย้ังการพัฒนาของเช้ือที่เข้าทาลายพืชและแสดงอาการของเชื้อ
สารยับยั้งการสร้างสปอร์ มีคุณสมบัติลดปริมาณของเชื้อหยุดการเจริญเติบโตของเชื้อ และสารดูดซึม มีคุณสมบัติใน
การเขา้ สู่พชื โดยการดูดซมึ ทางใบหรือรากและเคลื่อนย้ายภายในพืชทางท่อน้าท่ออาหาร
43
แบ่งตามรหัสกลไกความตา้ นทาน (FRAC code) รหสั กลไกความตา้ นทานของเช้ือราจดั ตัง้ โดยคณะกรรมการ
ศึกษากลไกความต้านทานสารป้องกันกาจัดเช้ือรา (Fungicide Resistance Action Committee) เพ่ือกาหนดหรือ
บ่งชี้ถึงความต้านทานของเชื้อราหรือการด้ือ ท่ีมีต่อสารป้องกันกาจัดเช้ือรา โดยกาหนดเป็นรหัสตัวเลขและตัวอักษร
เพอ่ื แยกสารตามกลไกการออกฤทธ์ิของสารท่ีไปรบกวนกระบวนการเจริญของเชื้อราสาเหตุ และกลมุ่ สารเคมีออกฤทธิ์
เพื่อเป็นแนวทางจัดการความต้านทานของเชื้อราที่มีต่อสารเคมี ยืดเวลาออกฤทธิ์ของสารป้องกันกาจัดเชื้อราให้นาน
ข้นึ และจากดั การสูญเสียเมือ่ เชอื้ ราเกดิ ความตา้ นทานขึ้น ซ่งึ ความต้านทานของเชอ้ื ราต่อสารป้องกนั กาจัดโรคพชื เกดิ
จากการใชส้ ารกล่มุ เดียวกันติดต่อกันเป็นระยะเวลานานโดยเฉพาะสารดูดซึม การเปล่ียนแปลงทางพนั ธุกรรมของเช้ือ
ทาให้เช้อื เกิดความต้านทานหรือดื้อต่อสารเคมี เชือ้ สาเหตุโรคพชื ท่ตี ้านทานหรือด้ือต่อสารชนิดนั้น สามารถขยายพันธุ์
จนมีจานวนมากกวา่ เชอื้ สายพนั ธุอ์ อ่ นแอ และความต้านทานนี้สามารถถ่ายทอดสู่ลูกหลานได้
การป้องกันการเกิดความต้านทานหรือการดื้อต่อสารป้องกันกาจัดโรคพืช ต้องหลีกเล่ียงการใช้สารกลุ่ม
เดยี วกัน หรือประเภทเดยี วกนั ตดิ ต่อกันเป็นระยะเวลานาน โดยเฉพาะสารดดู ซึม อีกท้ังไม่ควรใชส้ ารป้องกันกาจัดโรค
พืชเกินความจาเป็น ควรใช้วิธีอ่ืนผสมผสานกันไป และไม่ควรใช้สารที่มีกลุ่มรหัสตาม FRAC code เดียวกัน ผสม
รวมกัน ซึ่งมีกลไกการออกฤทธิ์เหมือนกัน จะทาให้เชื้อราอาจมีโอกาสดื้อต่อสารชนิดน้ันได้ท้ังกลุ่ม ดังแสดงในตาราง
กลมุ่ ของสารป้องกนั กาจัดโรคพชื ในทุเรียน
ตอ้ งใชส้ ำรป้องกนั กำจัดโรคพืชอย่ำงมปี ระสิทธิภำพ
การใช้สารป้องกันกาจัดโรคพืชท่ีอย่างมีประสิทธิภาพ นอกเหนือจากต้องรู้จักชนิดของโรคพืชแล้ว ระยะการ
เจริญเติบโตของพืชก็มีความจาเป็นที่ต้องนาพิจารณาด้วย เช่น ระยะใบแก่ มีความเส่ียงที่จะเกิดโรคใบติด ใบไหม้
ดงั นน้ั จงึ ต้องพิจารณาเลือกชนิดของสารป้องกนั กาจัดโรคพชื ให้เหมาะสม ใช้กับเช้ือให้ถูกชนดิ ถูกประเภท และถูกวิธี
อัตราการใช้สารป้องกันกาจดั โรคพืชควรเป็นไปตามคาแนะนาบนฉลาก และจานวนครั้งให้ถูกตอ้ งตามคาแนะนา การ
เลือกใช้เครื่องพ่นสารและอุปกรณ์ เช่น ชนิดของหัวพ่นที่ถูกต้อง รวมทั้งวิธีการใช้ต้องเหมาะสม สภาพอากาศ
ระยะเวลาในการพน่ ท่ีเหมาะสมซ่ึงสามารถทาการป้องกนั กาจัดไดต้ ้ังแตเ่ ร่ิมปลูกจนเก็บเกีย่ ว แต่ต้องคานึงถึงค่าใช้จ่าย
และความปลอดภัยของผู้ใช้ตลอดจนสภาพแวดล้อม ไมค่ วรผสมสารหลายชนิดใช้เองพร้อมกันโดยไม่มีคาแนะนา และ
ห้ามผสมสารท่ีควรฉีดพ่นเด่ียวเช่น ฮอร์โมน ชีวภัณฑ์ และสารปฏิชีวนะ กับสารป้องกันกาจัดศัตรูพืช การผสมสาร
ปอ้ งกนั กาจดั ศัตรูพืชควรผสมดว้ ยน้าท่ีมีฤทธ์ิเป็นกรด-ด่างเหมาะสม (กรดออ่ น คา่ pH 6.5-7) โดยผสมสารหลายชนิด
ด้วยถังเล็กก่อนเทรวมใส่ถังใหญ่ การผสมสารป้องกันกาจัดศัตรูพืชสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก ผังการผสมสาร
ปอ้ งกนั กาจัดศตั รูพชื บางชนดิ
อย่างไรก็ตามวิธีการท่ีได้ผลท่ีสุดในการป้องกันกาจัดศัตรูพืช คือ การใช้วิธีแบบผสมผสาน เช่น การทาเขต
กรรม ใช้พันธ์ุต้านทานเพ่ือลดการเกิดโรค บารุงดินให้เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืชเพื่อเพ่ิมความแข็งแรงของ
พืช กาจัดวัชพืช ตัดแตง่ ทรงพุ่มใหโ้ ปร่ง กาจดั ส่วนที่เปน็ โรค เพ่ือเพื่อลดประชากรของเช้อื สาเหตุ
44
ตำรำงกลุ่มของสำรป้องกนั กำจดั โรคพืชในทเุ รียน
ช่ือสำมัญ ชนิดของโรคพชื รหสั ก
FRAC*
ฟอสโฟนิก แอซิด รากเนา่ โคนเนา่ ผลเนา่ P 07 (33) ก
เมทาแลกซลิ รากเน่าโคนเน่า ผลเน่า 4ร
ฟอสอีทิล-อะลมู ิเนียม รากเน่าโคนเนา่ ผลเน่า P 07 (33) ก
เฮกซะโคนาโซล ใบตดิ ใบไหม้ 3ร
คอปเปอรอ์ อกซคี ลอไรด์ ใบตดิ ใบไหม้ ราสชี มพู ใบจดุ สนิม ใบจดุ สาหร่าย M 01 เข
คอปเปอร์ไฮดรอกไซด์ ใบติด ใบไหม้ M 01 เข
คิวปรัสออกไซด์ ใบตดิ ใบไหม้ M 01 เข
คาร์เบนดาซิม ใบจดุ ราสชี มพู ราแป้ง 1ร
อะซอกซีสโตรบนิ ใบจุด ใบไหม้ แอนแทรคโนส 11 ร
แมนโคเซบ ใบจุด ใบไหม้ แอนแทรคโนส M 03 เข
โพรคลอราซ ใบจดุ ใบไหม้ แอนแทรคโนส ราแปง้ 3ร
เบโนมิล ใบจุด ใบไหม้ แอนแทรคโนส ราแป้ง 1ร
ฟลูไตรอะฟอล ใบตดิ ใบไหม้ 3ร
กามะถนั ผง ราแป้ง M 02 เข
ทบี ูโคนาโซล + ใบติด ใบไหม้ 3ร
ไตรฟลอกซสี โตรบิน 11 ร
เพนทโิ อแรด ใบตดิ ใบไหม้ 7ร
*ทมี่ า FRAC Code List© 2019
**ความเสยี่ งต่อการเกิดความตา้ นทานหรอื การด้ือยาของเช้ือราสาเหคุโรคพืชเมื่อมีการ
45
กำรออกฤทธ์ิตอ่ เชอื้ สำเหตโุ รคพืช ควำมเสี่ยงตอ่ กำรดือ้ ของเชื้อรำสำเหคุโรคพชื **
กระตุ้นใหพ้ ชื แขง็ แรง-สร้างขบวนการปอ้ งกัน มคี วามเสี่ยงตา่
รบกวนการสังเคราะหก์ รดนิวคลอิ ิก มีความเสี่ยงสงู โดยเฉพาะเชอ้ื รา Phytophthora
กระตนุ้ ให้พืชแขง็ แรง-สร้างขบวนการป้องกัน มคี วามเส่ยี งตา่
รบกวนการสังเคราะหส์ เตอโรลในผนงั เซลล์ มีความเสย่ี งปานกลาง
ขา้ ทาลายหลายจดุ มคี วามเสี่ยงต่า และยังไม่มีรายงานวา่ มกี ารด้ือของเชื้อ
ข้าทาลายหลายจดุ มคี วามเสี่ยงต่า และยงั ไม่มีรายงานว่ามกี ารดอ้ื ของเชื้อ
ข้าทาลายหลายจุด มีความเส่ยี งต่า และยงั ไม่มรี ายงานว่ามีการดื้อของเชอ้ื
รบกวนการขยายพนั ธ์ุและการแบ่งเซลล์ มคี วามเสย่ี งสงู
รบกวนขบวนการหายใจ มคี วามเส่ียงสูง
ข้าทาลายหลายจดุ มีความเสี่ยงตา่ และยังไม่มีรายงานวา่ มกี ารดอ้ื ของเชื้อ
รบกวนการสังเคราะหส์ เตอโรลในผนงั เซลล์ มีความเสี่ยงปานกลาง
รบกวนการขยายพันธแ์ุ ละการแบ่งเซลล์ มคี วามเส่ยี งสูง
รบกวนการสงั เคราะหส์ เตอโรลในผนังเซลล์ มคี วามเสี่ยงปานกลาง
ขา้ ทาลายหลายจุด มีความเส่ียงต่า และยังไม่มีรายงานว่ามกี ารดอื้ ของเชื้อ
รบกวนการสงั เคราะห์สเตอโรลในผนังเซลล์ มคี วามเสี่ยงปานกลาง
รบกวนขบวนการหายใจ มคี วามเสย่ี งสงู
รบกวนขบวนการหายใจ มีความเสย่ี งปานกลาง-ความเสย่ี งสูง
รใชอ้ ยา่ งตอ่ เน่ือง
5
46
6
47