97
ชอ่ื หนว่ ยการ มาตรฐาน/ ผลการเรยี นรู้ สาระสำคญั / เวลา น้ำหนัก
เรยี นรู้ ตวั ชี้วัด ความคิดรวบยอด คะแนน
7. สามารถสรา้ ง ตอ้ งการของผูอ้ อกแบบ
การใช้งาน มาตรฐาน ว งานดว้ ยเลเยอร์ 1. เลเยอร์ เป็นการซอ้ นภาพ 5 10
เลเยอร์ 4.2 ป.4/1, ป. เหมือนกบั นำแผน่ ใสที่มีภาพ
4/2, ป.4/3, ซอ้ นทับกันเปน็ ชัน้ ๆ
ป.4/4, ป.4/5
การวาดภาพ 8. สามารถวาด 1. สำหรับ โปรแกรม 5 10
และระบายสี
ภาพและระบายสี Photoshop มเี ครื่องมืออย่จู ำนวน 10
การสร้าง
ตวั อกั ษรและ หน่งึ ทใี่ ชส้ ำหรับวาดภาพหรือสรา้ ง 10
ข้อความ
กราฟิกขน้ึ มาใหม่ ซ่งึ แบง่ 80
การ 80
ประยกุ ตใ์ ช้ ออกเปน็ เคร่อื งมือระบายสีกบั 10
งานโปรแกรม 10
Photoshop เคร่อื งมือเตมิ สี 100
CS2
9. สามารถ 1. สำหรับโปรแกรม Photoshop 5
รวม
ออกแบบ สร้าง มีเครื่องมอื Type ไวส้ ำหรับพมิ พ์
ตัวอกั ษรและ ตวั อักษร และยงั สามารถ
ข้อความ ปรับแต่งคณุ สมบตั ติ ่าง ๆ ได้ เช่น
การกำหนดฟอนต์ (Font) ขนาด
ตวั อกั ษร ระยะหา่ งระหวา่ ง
ตัวอกั ษร เป็นต้น
11. สามารถสรา้ ง 1. การประยุกตใ์ ชง้ านการสรา้ ง 3
ชิน้ งานดว้ ย ช้ินงานดว้ ยโปรแกรม
โปรแกรม Photoshop CS2
Photoshop CS2
5 38
คะแนนระหว่างเรียน
คะแนนสอบกลางปี 1
คะแนนสอบปลายปี 1
รวมคะแนนท้งั ปี 40
98
แนวการจัดการเรยี นรู้
การจัดการเรยี นรู้เป็นกระบวนการสำคัญในการนำหลักสูตรสู่การปฏิบัติ หลักสตู รแกนกลางการศึกษา
ข้ันพ้ืนฐาน เป็นหลักสูตรท่ีมีมาตรฐานการเรยี นรู้ สมรรถนะสำคัญและคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียน เป็น
เปา้ หมายสำหรับพฒั นาเดก็ และเยาวชน
ในการพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณสมบัติตามเป้าหมายหลักสูตร ผู้สอนพยายามคัดสรรกระบวนการเรียนรู้
จัดการเรียนรู้โดยช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้ผ่านสาระที่กำหนดไว้ในหลักสูตร 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ รวมท้ังปลูกฝัง
เสรมิ สรา้ งคุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ พัฒนาทักษะตา่ งๆ อนั เปน็ สมรรถนะสำคัญให้ผ้เู รียนบรรลตุ ามเปา้ หมาย
1. หลกั การจดั การเรยี นรู้
การจัดการเรยี นรู้เพ่ือให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถตามมาตรฐานการเรียนรู้ สมรรถนะสำคัญ และ
คุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามที่กำหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานโดยยึดหลักว่าผู้เรียนมี
ความสำคัญที่สุด เชื่อว่าทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ ยึดประโยชน์ที่เกิดกับผู้เรียน
กระบวนการจัดการเรียนรู้ต้องส่งเสริมให้ผู้เรียน สามารถพฒั นาตามธรรมชาตแิ ละเต็มตามศกั ยภาพ คำนึงถงึ ความ
แตกตา่ งระหวา่ งบคุ คลและพฒั นาการทางสมอง เนน้ ให้ความสำคญั ทง้ั ความรู้ และคุณธรรม
2. กระบวนการเรยี นรู้
การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ผู้เรียนจะต้องอาศัยกระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลาย เป็น
เคร่ืองมอื ท่ีจะนำพาตนเองไปสเู่ ปา้ หมายของหลกั สตู ร กระบวนการเรยี นรทู้ ่ีจำเป็นสำหรับผู้เรยี น อาทิ กระบวนการ
เรียนรู้แบบบูรณาการ กระบวนการสร้างความรู้ กระบวนการคิด กระบวนการทางสังคม กระบวนการเผชิญ
สถานการณ์และแก้ปัญหา กระบวนการเรียนรู้ จากประสบการณ์จริง กระบวนการปฏิบัติ ลงมือทำจริง
กระบวนการจัดการ กระบวนการวิจัย กระบวนการเรยี นรู้การเรียนรขู้ องตนเอง กระบวนการพฒั นาลักษณะนิสัย
ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรเ์ ป็นทักษะทางสตปิ ญั ญา (Intellectual) ทีน่ ักวทิ ยาศาสตร์และผู้ท่ี
นำวิธีการทางวิทยาศาสตร์มาแก้ปัญหา ใช้ในการศึกษาค้นคว้า สืบเสาะหาความรู้ และแก้ปัญหาต่าง ๆ ทักษะ
กระบวนการทางวิทยาศาสตรแ์ บ่งออกไดเ้ ปน็ 13 ทกั ษะ ทักษะท่ี 1-8 เปน็ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ข้ัน
พื้นฐาน และทักษะท่ี 9-13 เป็นทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นสูงหรือข้ันผสมหรือข้ันบูรณาการ ทักษะ
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ทง้ั 13 ทกั ษะ มีดงั นี้
1. การสังเกต (Observing) หมายถึง การใช้ประสาทสัมผัสอย่างใดอย่างหน่ึงหรือหลายอย่าง
รวมกัน ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น ผิวกาย เข้าไปสัมผัสโดยตรงกับวัตถุหรือเหตุการณ์ เพื่อค้นห้าข้อมูลซ่ึงเป็น
รายละเอียดของส่ิงน้ัน โดยไม่ใส่ความเห็นของผู้สังเกตลงไป ข้อมูลที่ได้จากการสังเกตประกอบด้วยข้อมูลเชิง
คุณภาพ ข้อมูลเชิงปริมาณ และข้อมูลท่ีเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงท่ีสังเกตเห็นได้จากวัตถุหรือเหตุการณ์น้ัน
99
ความสามารถที่แสดงให้เห็นว่าเกิดทักษะนี้ประกอบด้วยการชี้บ่งและการบรรยายสมบัติของวัตถุได้โดยการกะ
ประมาณและการบรรยายการเปลย่ี นแปลงของสิง่ ท่ีสงั เกตได้
2. การลงความเห็นจากข้อมูล (Inferring) หมายถึง การเพิ่มความคิดเห็นให้กับข้อมูลท่ีได้จาก
การสังเกตอย่างมเี หตุผล โดยอาศัยความรู้และประสบการณเ์ ดิมมาชว่ ย ความสามารถท่แี สดงให้เห็นว่าเกดิ ทักษะนี้
คือ การอธบิ ายหรอื สรุป โดยเพิ่มความคดิ เห็นใหก้ ับข้อมูลโดยใช้ความร้หู รือประสบการณเ์ ดมิ มาชว่ ย
3. การจำแนกประเภท (Classifying) หมายถึง การแบ่งพวกหรอื เรียงลำดับวตั ถุหรือส่ิงที่มอี ยู่ใน
ปรากฏการณ์โดยมีเกณฑ์ และเกณฑ์ดังกล่าวอาจใช้ความเหมือน ความแตกต่าง หรือความสัมพันธ์อย่างใดอย่าง
หนึ่งกไ็ ด้ ความสามารถท่ีแสดงว่าเกิดทักษะนี้แล้ว ได้แก่ การแบง่ พวกของส่ิงต่าง ๆ จากเกณฑ์ที่ผู้อื่นกำหนดให้ได้
นอกจากนั้นสามารถเรียงลำดับส่ิงของด้วยเกณฑ์ของตัวเองพรอ้ มกับบอกได้ว่าผู้อ่ืนแบ่งพวกของสิ่งของน้ันโดยใช้
อะไรเปน็ เกณฑ์
4. การวัด (Measuring) หมายถึง การเลือกใช้เครื่องมือและการใช้เคร่ืองมือน้ันทำการวัดหา
ปริมาณของสิ่งต่าง ๆ ออกมาเป็นตัวเลขที่แน่นอนได้อย่างเหมาะสมกับส่ิงท่ีวัด แสดงวิธีใช้เครื่องมืออย่างถูกต้อง
พรอ้ มทั้งบอกเหตุผลในการเลือกใชเ้ ครอ่ื งมอื รวมทั้งระบหุ นว่ ยของตัวเลขทไี่ ด้จากการวัดได้
5. การใช้ตัวเลข (Using Numbers) หมายถึง การนับจำนวนของวัตถุและการนำตัวเลขที่แสดง
จำนวนที่นับได้มาคิดคำนวณโดยการบวก ลบ คูณ หาร หรือการหาค่าเฉล่ีย ความสามารถท่ีแสดงให้เห็นว่าเกิด
ทักษะนี้ ไดแ้ ก่ การนับจำนวนสง่ิ ของได้ถูกต้อง เช่น ใชต้ วั เลขแทนจำนวนการนับได้ ตัดสินไดว้ า่ วัตถุ ในแต่ละกลมุ่ มี
จำนวนเท่ากันหรือแตกต่างกัน เป็นต้น การคำนวณ เช่น บอกวิธีคำนวณ คิดคำนวณ และแสดงวธิ ีคำนวณได้อย่าง
ถกู ตอ้ ง และประการสุดท้ายคือ การหาคา่ เฉลี่ย เชน่ การบอกและแสดงวิธกี ารหาค่าเฉลยี่ ไดถ้ ูกต้อง
6. การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปสและสเปสกับเวลา(Using Space/Time
Relationships)
สเปสของวัตถุ หมายถึง ท่ีว่างที่วัตถุนั้นครองที่อยู่ ซ่ึงมีรูปร่างลักษะเช่นเดียวกับวัตถุน้ันโดยท่ัวไป
แล้วสเปสของวัตถจุ ะมี 3 มติ ิ คอื ความกว้าง ความยาว และความสูง
ความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปสของวัตถุ ได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่าง 3 มิติ กับ 2 มิติ
ความสัมพันธ์ระหว่างตำแหน่งท่ีของวัตถุหนึ่งกับอีกวัตถุหนึ่ง ความสามารถที่แสดงให้เห็นว่าเกิดทักษะการหา
ความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปส ได้แก่ การชี้บ่งรูป 2 มิติ และ 3 มิติได้ สามารถวาดภาพ 2 มิติ จากวตั ถุหรือ
จากภาพ 3 มิติ ได้
ความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับเวลา ได้แก่ ความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนตำแหน่งท่ีอยู่ของวัตถุกับ
เวลา หรือความสัมพันธ์ระหว่างสเปสของวัตถุท่ีเปลี่ยนไปกับเวลาความสามารถที่แสดงให้เห็นว่าเกิดทักษะการหา
ความสมั พันธ์ระหว่างสเปสกบั เวลา ได้แก่ การบอกตำแหน่งและทิศทางของวตั ถุโดยใชต้ ัวเองหรือวตั ถุอื่นเป็นเกณฑ์
บอกความสัมพนั ธ์ระหวา่ งการเปลี่ยนตำแหนง่ เปลย่ี นขนาด หรือปริมาณของวัตถุกบั เวลาได้
100
7. การสอื่ ความหมายข้อมูล (Communicating) หมายถึง การนำข้อมลู ท่ไี ด้จาการสังเกต การวัด
การทดลอง และจากแหล่งอ่ืน ๆ มาจัดกระทำเสียใหม่โดยการหาความถี่ เรียงลำดั บ จัดแยกประเภท หรือ
คำนวณหาค่าใหม่ เพ่ือให้ผู้อ่ืนเข้าใจความหมายได้ดีข้ึน โดยอาจเสนอในรูปของตาราง แผนภูมิ แผนภาพ
ไดอะแกรม กราฟ สมการ การเขียนบรรยาย เป็นต้น ความสามารถที่แสดงให้เห็นว่าเกิดทักษะน้ีแล้ว คือการ
เปลี่ยนแปลงข้อมูลให้อยู่ในรูปใหม่ที่เข้าใจดีข้ึน โดยจะต้องรู้จักเลือกรูปแบบท่ีใช้ในการเสนอข้อมูลได้อย่าง
เหมาะสม บอกเหตุผลในการเสนอข้อมลู ในการเลือกแบบแสนอข้อมูลนั้น การเสนอข้อมลู อาจกระทำไดห้ ลายแบบ
ดังท่ีกล่าวมาแล้ว โดยเฉพาะการเสนอข้อมูลในรูปของตาราง การบรรจุข้อมูลให้อยู่ในรูปของตารางปกติจะใส่ค่า
ของตวั แปรอิสระไว้ทางซ้ายมือของตาราง และค่าของตัวแปรตามไว้ทางขวามือของตารางโดยเขียนค่าของตัวแปร
อสิ ระไว้ใหเ้ รยี งลำดับจากค่านอ้ ยไปหาคา่ มาก หรอื จากค่ามากไปหาค่าน้อย
8. การพยากรณ์ (Predicting) หมายถึง การคาดคะเนคำตอบล่วงหนา้ ก่อนการทดลอง โดยอาศัย
ปรากฏการณ์ท่ีเกดิ ซ้ำ หลกั การ กฎ หรือ ทฤษฏีทม่ี ีอยูแ่ ล้วในเรื่องนั้นมาชว่ ยสรปุ เช่น การพยากรณข์ ้อมูลเกีย่ วกับ
ตัวเลข ได้แก่ ข้อมูลท่ีเป็นตารางหรือกราฟ ซึ่งทำได้สองแบบ คอื การพยากรณ์ภายในขอบเขตของข้อมลู ท่มี ีอยู่ กับ
การพยากรณ์นอกขอบของข้อมลู ทม่ี อี ยู่ เช่น การพยากรณผ์ ลของข้อมลู เชิงปริมาณ เปน็ ต้น
9. การช้ีบ่งและการควบคุมตัวแปร (Identifying and Controlling Variables) หมายถึง การชี้
บ่งตัวแปรตน้ ตัวแปรตาม และตัวแปรท่ตี ้องควบคมุ ให้คงท่ใี นสมมตุ ิฐาน หน่งึ ๆ
ตวั แปรตน้ หมายถึง สิ่งที่เป็นสาเหตุท่ีทำให้เกิดผลตา่ ง ๆ หรือสิง่ ท่เี ราตอ้ งการทดลองดูว่าเป็นสาเหตุ
ทีก่ ่อใหเ้ กิดผลเช่นน้นั จรงิ หรอื ไม่
ตวั แปรตาม หมายถึง ส่งิ ท่ีเปน็ ผลเน่อื งมาจากตวั แปรตน้ เมอื่ ตัวแปรตน้ หรอื ส่ิงท่ีเปน็ สาเหตุเปลี่ยนไป
ตวั แปรตามหรอื สงิ่ ทเ่ี ปน็ ผลจะแปรตามไปด้วย
ตัวแปรท่ีต้องควบคุมให้คงที่ หมายถึง สิ่งอ่ืน ๆ นอกเหนือจากตัวแปรต้นที่จะทำให้ผลการทดลอง
คลาดเคล่อื น ถ้าหากว่าไม่มกี ารควบคมุ ให้เหมือนกัน
10. การตั้งสมมุติฐาน (Formulating Hypotheses) หมายถึง การคิดหาคำตอบล่วงหน้าก่อน
ทำการทดลอง โดยอาศัยการสังเกต อาศัยความรหู้ รือประสบการณ์เดิมเป็นพ้ืนฐาน คำตอบที่คิดล่วงหน้านี้ ยังไม่
ทราบ หรือยังไม่เป็นทางการ กฎหรือทฤษฏีมาก่อน สมมุติฐาน คือคำตอบที่คิดไว้ล่วงหน้ามีกลา่ วไว้เป็นข้อความที่
บอกความสัมพันธ์ระหวา่ งตัวแปรต้นกับตัวแปรตามสมมุติฐานท่ีต้ังขึ้นอาจถูกหรือผิดก็ได้ซึ่งทราบได้ภายหลังการ
ทดลองหาคำตอบเพ่ือสนับสนุนสมมุติฐานหรือคัดค้านสมมุติฐานท่ีตั้งไว้ ส่ิงที่ควรคำนึงถึงในการตั้งสมมุติฐาน คือ
การ บอ กช่ือตัวแป รต้ น ซึ่ง อาจมีผลต่อตั วแป ร ตาม และ ใน ก าร ตั้งส มมุ ติฐาน ต้อ งท ราบตั วแป ร จากปั ญ ห าแล ะ
สภาพแวดล้อมของตัวแปรนั้น สมมุติฐานท่ตี ั้งข้ึนสามารถบอกใหท้ ราบถึงการออกแบบการทดลอง ซึง่ ต้องทราบว่า
ตัวแปรไหนเปน็ ตัวแปรตน้ ตัวแปรตาม และตัวแปรทตี่ อ้ งควบคมุ ให้คงท่ี
101
11. การกำหนดนิยามเชิงปฏิบัติการของตัวแปร (Defining Variables Operationally)
หมายถึง การกำหนดความหมายและขอบเขตของค่าต่าง ๆ ที่อยู่ในสมมุติฐานที่ต้องการทดลองและบอกวิธวี ัดตัว
แปรทเ่ี กย่ี วกบั การทดลองนนั้
12. การทดลอง (Experimenting) หมายถึง กระบวนการปฏิบัติการเพ่ือหาคำตอบจาก
สมมุติฐานท่ีตัง้ ไว้ ในการทดลองจะประกอบไปด้วยกิจกรรม 3 ข้ันคอื
12.1 ออกแบบการทดลอง หมายถึง การวางแผนการทดลองกอ่ นลงมือทดสอบจริง
12.2 ปฏิบัติการทดลอง หมายถึง การลงมือปฏิบัติจริงและให้อุปกรณ์ได้อย่างถูกต้องและ
เหมาะสม
12.3 การบนั ทึกผลการทดลอง หมายถงึ การจดบันทกึ ข้อมูลท่ีได้จากการทดลองซ่งึ อาจเป็น
ผลจากการสังเกต การวดั และอนื่ ๆ ไดอ้ ย่างคล่องแคล่วและถูกต้อง การบันทึกผลการทดลอง อาจอยู่ในรูปตาราง
หรือการเขียนกราฟ ซ่ึงโดยท่ัวไปจะแสดงค่าของตัวแปรต้นหรือตัวแปรอิสระบนแกนนอนและค่าของตัวแปรบน
แกนตง้ั โดยเฉพาะในแตล่ ะแกนต้องใช้สเกลที่เหมาะสม พร้อมท้ังแสดงให้เห็นถงึ ตำแหน่งของคา่ ของตวั แปรท้ังสอง
บนกราฟด้วย
ในการทดลองแต่ละคร้ังจำเป็นอาศยั การวิเคราะห์ตัวแปรต่าง ๆ ท่ีเกย่ี วข้อง คอื สามารถที่จะบอกชนิด
ของตัวแปรในการทดลองว่า ตวั แปรน้นั เป็นตัวแปรอิสระ ตัวแปรตาม หรือตวั แปรที่ตอ้ งควบคุม ในการทดลองหนึ่ง
ๆต้องมตี ัวแปรตวั หน่ึงเทา่ นน้ั ที่มผี ลต่อการทดลอง และเพ่อื ให้แน่ใจว่าผลที่ได้เกดิ จากตัวแปรน้ันจริง ๆ จำเป็นต้อง
ควบคุมตวั แปรอ่นื ไมใ่ ห้มผี ลต่อการทดลอง ซ่ึงเรยี กตัวแปรนี้ว่าตวั แปรที่ตอ้ งควบคมุ ใหค้ งที่
13. การตีความหมายข้อมูลและการลงข้อสรุป (Interpreting Data and Making Conlusion)
การตคี วามหมายข้อมลู หมายถึง การแปลความหมายหรอื บรรยายลกั ษณะข้อมลู ทมี่ ีอยู่ การตคี วามหมายข้อมูล ใน
บางคร้ังอาจต้องใช้ทักษะอ่ืนๆ ด้วย เช่น การสังเกต การคำนวณ เป็นต้น และการลงข้อสรุป หมายถึง การสรุป
ความสัมพันธ์ของข้อมูลทั้งหมด ความสามารถที่แสดงให้เห็นวา่ เกิดทักษะการลงข้อสรุปคือบอกความสัมพันธ์ของ
ข้อมูลได้ เช่น การอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรบนกราฟ ถ้ากราฟเป็นเส้นตรงก็สามารถอธิบายได้ว่าเกิด
อะไรขึ้นกับตัวแปรตามขณะท่ีตัวแปรอิสระเปล่ียนแปลงหรือถ้าลากกราฟเป็นเส้นโค้งให้อธิบายความสัมพันธ์
ระหว่างตัวแปรก่อนที่กราฟเสน้ โค้งจะเปลี่ยนทิศทางและอธบิ ายความสัมพันธ์ ระหวา่ งตัวแปรหลังจากท่ีกราฟเส้น
โค้งเปล่ยี นทศิ ทางแลว้ .
กระบวนการเหล่าน้ีเป็นแนวทางในการจัดการเรียนรทู้ ผี่ ู้เรียนควรได้รับการฝึกฝนพัฒนา เพราะจะสามารถ
ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี บรรลุเป้าหมายของหลักสูตร ดังน้ันผู้สอนจึงจำเป็นต้องศึกษาทำความเข้าใจใน
กระบวนการเรยี นรู้ต่าง ๆ เพ่อื ให้สามารถเลอื กใช้ในการจดั กระบวนการเรียนรูไ้ ดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ
102
3. การออกแบบการจดั การเรียนรู้
ผู้สอนต้องศึกษาหลักสูตรสถานศึกษาให้เข้าใจถึงมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด สมรรถนะสำคัญของ
ผู้เรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และสาระการเรียนร้ทู ี่เหมาะสมกับผู้เรยี น แล้วจึงพิจารณาออกแบบการจัดการ
เรยี นรู้โดยเลือกใช้วิธีสอนและเทคนคิ การสอน สื่อ/แหล่งเรียนรู้ การวดั และประเมินผล เพือ่ ใหผ้ ู้เรียนได้พัฒนาเต็ม
ตามศักยภาพและบรรลตุ ามเปา้ หมายท่กี ำหนด
4. บทบาทของผ้สู อนและผู้เรยี น
การจัดการเรียนรเู้ พื่อให้ผเู้ รยี นมีคุณภาพตามเป้าหมายของหลักสตู ร ทง้ั ผู้สอนและผู้เรยี นควรมีบทบาท
ดังนี้
4.1 บทบาทของผู้สอน
1) ศึกษาวิเคราะห์ผเู้ รียนเป็นรายบุคคลแล้วนำข้อมูลมาใช้ในการวางแผนการจัดการเรยี นรู้
ท่ีทา้ ทายความสามารถของผเู้ รยี น
2) กำหนดเป้าหมายท่ีตอ้ งการให้เกิดขึน้ กับผู้เรยี น ด้านความรแู้ ละทักษะกระบวนการที่เป็น
ความคดิ รวบยอด หลักการ และความสัมพนั ธ์ รวมทั้งคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์
3) ออกแบบการเรียนรู้และจัดการเรียนรู้ที่ตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคลและ
พัฒนาการทางสมอง เพื่อนำผ้เู รียนไปสเู่ ป้าหมาย
4) จดั บรรยากาศที่เอ้ือต่อการเรียนรู้ และดูแลช่วยเหลือผู้เรยี นใหเ้ กิดการเรยี นรู้
5) จัดเตรียมและเลือกใช้ส่ือให้เหมาะสมกับกิจกรรม นำภูมิปัญญาท้องถิ่น เทคโนโลยีท่ี
เหมาะสมมาประยุกตใ์ ชใ้ นการจดั การเรียนการสอน
6) ประเมินความก้าวหน้าของผู้เรียนด้วยวิธีการท่ีหลากหลาย เหมาะสมกับธรรมชาติของ
วิชาและระดบั พฒั นาการของผ้เู รยี น
7) วิเคราะห์ผลการประเมินมาใช้ในการซ่อมเสริมและพัฒนาผู้เรียน รวมท้ังปรับปรุงการ
จดั การเรียนการสอนของตนเอง
4.2 บทบาทของผเู้ รยี น
1) กำหนดเป้าหมาย วางแผน และรับผิดชอบการเรียนร้ขู องตนเอง
2) เสาะแสวงหาความรู้ เขา้ ถงึ แหล่งการเรียนรู้ วิเคราะห์ สังเคราะหข์ ้อความรู้ ตั้งคำถามคิดหา
คำตอบหรือหาแนวทางแกป้ ญั หาด้วยวธิ ีการต่าง ๆ
3) ลงมือปฏิบัติจริง สรุปสิ่งท่ีได้เรียนรู้ด้วยตนเองและนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์
ต่างๆ
4) มีปฏิสัมพันธ์ ทำงาน ทำกิจกรรมร่วมกับกลุ่มและครู
5) ประเมนิ และพัฒนากระบวนการเรยี นรู้ของตนเองอยา่ งต่อเนือ่ ง
103
การวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้
การวดั และประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรยี นต้องอยู่บนหลักการพ้ืนฐานสองประการคือ การประเมินเพื่อ
พัฒนาผู้เรียนและเพื่อตัดสินผลการเรียน ในการพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน ให้ประสบผลสำเร็จน้ัน
ผู้เรียนจะต้องได้รับการพัฒนาและประเมินตามตัวช้ีวัดเพ่ือให้บรรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้ สะท้อนสมรรถนะ
สำคัญ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียนซ่ึงเป็นเป้าหมายหลักในการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ในทุก
ระดับไมว่ ่าจะเปน็ ระดบั ช้นั เรยี น ระดับสถานศึกษา ระดับเขตพนื้ ที่การศกึ ษา และระดับชาติ การวดั และประเมินผล
การเรียนรู้ เป็นกระบวนการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโดยใช้ผลการประเมินเป็นข้อมูลและสารสนเทศที่แสดง
พฒั นาการ ความก้าวหน้า และความสำเรจ็ ทางการเรยี นของผูเ้ รียน ตลอดจนข้อมลู ทเี่ ป็นประโยชนต์ ่อการส่งเสริม
ให้ผู้เรียนเกิด การพฒั นาและเรียนรู้อยา่ งเต็มตามศักยภาพ
การวัดและประเมินผลของการจัดการเรียนรตู้ ้องให้ครอบคลมุ ทัง้ 3 ด้าน คือ ความรู้ ทักษะความสามารถ
และคณุ ลักษณะ
การวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ แบ่งออกเป็น 4 ระดับ ได้แก่ ระดบั ชั้นเรยี น ระดบั สถานศึกษาระดับเขต
พ้ืนที่การศกึ ษา และระดับชาติ มรี ายละเอยี ด ดงั น้ี
1. การประเมนิ ระดบั ชน้ั เรยี น
เป็นการวัดและประเมินผลที่อยู่ในกระบวนการจัดการเรียนรู้ ผู้สอนดำเนินการเป็นปกติและ
สม่ำเสมอ ในการจัดการเรียนการสอน ใช้เทคนิคการประเมินอย่างหลากหลาย เช่น การซักถาม การสังเกต การ
ตรวจการบ้าน การประเมินโครงงาน การประเมินช้ินงาน/ภาระงาน แฟ้มสะสมงาน การใช้แบบทดสอบ ฯลฯ
โดยผู้สอนเป็นผู้ประเมินเองหรือเปิดโอกาส ให้ผู้เรียนประเมินตนเอง เพื่อนประเมินเพื่อน ผู้ปกครองร่วมประเมิน
ในกรณที ไ่ี ม่ผ่านตัวชี้วัดให้มีการสอนซอ่ มเสริม
การประเมินระดับช้ันเรียนเป็นการตรวจสอบวา่ ผู้เรียนมีพัฒนาการความก้าวหน้าในการเรียนรู้
อันเป็นผลมาจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนหรือไม่ และมากน้อยเพียงใด มีส่ิงที่จะต้องได้รับการพัฒนา
ปรับปรุงและส่งเสริมในด้านใด นอกจากน้ียงั เป็นข้อมูลใหผ้ ู้สอนใช้ปรับปรุงการเรียนการสอนของตนดว้ ย ท้ังน้ีโดย
สอดคล้องกบั มาตรฐานการเรียนร้แู ละตัวช้วี ดั
2. การประเมนิ ระดับสถานศกึ ษา
เป็นการประเมินท่ีสถานศึกษาดำเนินการเพื่อตัดสินผล การเรียนของผู้เรียนเป็นรายปี/รายภาค
ผลการประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขยี น คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน นอกจากน้ี
เพ่ือให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับการจัดการศึกษาของสถานศึกษาว่าส่งผลต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนตามเป้ าหมายหรือไม่
ผู้เรียนมีจุดพัฒนาในด้านใด รวมท้ังสามารถนำผลการเรียนของผู้เรียนในสถานศึกษาเปรียบเทียบกับเกณฑ์
ระดับชาติ ผลการประเมินระดับสถานศึกษาจะเป็นข้อมูลและสารสนเทศเพ่ือการปรับปรุงนโยบาย หลักสูตร
104
โครงการ หรือวิธกี ารจัดการเรียนการสอน ตลอดจนเพื่อการจัดทำแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษา
ตามแนวทางการประกันคุณภาพการศึกษาและการรายงานผลการจัดการศึกษาต่อคณะกรรมการสถานศึกษา
สำนกั งานเขตพืน้ ที่การศึกษา สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาขนั้ พ้นื ฐาน ผู้ปกครองและชมุ ชน
3. การประเมินระดบั เขตพืน้ ที่การศกึ ษา
เปน็ การประเมินคณุ ภาพผู้เรยี นในระดับเขตพ้ืนที่การศกึ ษาตามมาตรฐานการเรียนรตู้ ามหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน เพ่ือใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของเขตพ้ืนที่การศึกษา
ตามภาระความรับผิดชอบ สามารถดำเนินการโดยประเมินคุณภาพผลสัมฤทธ์ิของผู้เรียนด้วยข้อสอบมาตรฐานท่ี
จดั ทำและดำเนนิ การโดยเขตพ้นื ท่ีการศกึ ษา หรอื ดว้ ยความรว่ มมือกบั หน่วยงานต้นสงั กดั ในการดำเนินการจดั สอบ
นอกจากนี้ยังได้จากการตรวจสอบทบทวนขอ้ มูลจากการประเมนิ ระดบั สถานศึกษาในเขตพืน้ ทีก่ ารศกึ ษา
4 การประเมนิ ระดับชาติ
เป็นการประเมินคุณภาพผู้เรียนในระดับชาติตามมาตรฐานการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาขั้นพ้ืนฐาน สถานศึกษาต้องจัดให้ผู้เรียนทุกคนที่เรียนในชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 6
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 6 เข้ารับการประเมิน ผลจากการประเมินใช้เป็นข้อมูลในการ
เทยี บเคยี งคณุ ภาพการศึกษาในระดับต่างๆ เพ่อื นำไปใช้ในการวางแผนยกระดบั คณุ ภาพการจัดการศกึ ษา ตลอดจน
เป็นขอ้ มูลสนับสนุนการตดั สินใจในระดบั นโยบายของประเทศ
ข้อมูลการประเมินในระดับต่างๆข้างต้น เป็นประโยชน์ต่อสถานศึกษาในการตรวจสอบทบทวน
พฒั นาคุณภาพผเู้ รียน ถือเป็นภาระความรับผดิ ชอบของสถานศกึ ษาที่จะต้องจัดระบบดแู ลช่วยเหลอื ปรับปรุงแก้ไข
ส่งเสริมสนับสนุนเพื่อให้ผู้เรียนได้พัฒนาเต็มตามศักยภาพบนพ้ืนฐาน ความแตกต่างระหว่างบุคคลที่จำแนกตาม
สภาพปัญหาและความต้องการ ได้แก่ กลุ่มผู้เรียนท่ัวไป กลุ่มผู้เรียนที่มีความสามารถพิเศษ กลุ่มผู้ เรียนที่มี
ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนต่ำ กลุ่มผ้เู รียนท่ีมปี ญั หาด้านวินยั และพฤตกิ รรม กลมุ่ ผเู้ รยี นที่ปฏเิ สธโรงเรียน กลุ่มผู้เรยี น
ที่มปี ญั หาทางเศรษฐกิจและสังคม กลุ่มพิการทางรา่ งกายและสติปัญญา เปน็ ตน้ ข้อมลู จากการประเมินจึงเป็นหัวใจ
ของสถานศึกษาในการดำเนินการช่วยเหลือผู้เรียนได้ทันท่วงที ปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาและประสบ
ความสำเรจ็ ในการเรียน
สถานศกึ ษาในฐานะผู้รบั ผิดชอบจัดการศกึ ษา จะต้องจัดทำระเบียบวา่ ด้วยการวัดและประเมินผล
การเรียนของสถานศึกษาให้สอดคล้องและเป็นไปตามหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติท่ีเป็นข้อกำหนดของห ลักสูตร
แกนกลางการศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐาน เพอ่ื ใหบ้ ุคลากรทีเ่ กย่ี วข้องทุกฝา่ ยถือปฏิบัตริ ว่ มกนั
5 การตัดสนิ ผลการเรียน
ในการตัดสินผลการเรียนของกลุ่มสาระการเรียนรู้การอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียนคุณลักษณะอัน
พึงประสงค์และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนนั้น ผู้สอนต้องคำนึงถึงการพัฒนาผู้เรียนแต่ละคนเป็นหลัก และต้องเก็บ
105
ข้อมูลของผู้เรียนทุกด้านอย่างสม่ำเสมอและต่อเน่ืองในแต่ละภาคเรียน รวมทั้งสอนซ่อมเสริมผู้เรียนให้พัฒนาจน
เต็มตามศักยภาพ
ระดับประถมศกึ ษา
(1) ผู้เรยี นตอ้ งมีเวลาเรยี นไมน่ ้อยกว่ารอ้ ยละ 80 ของเวลาเรยี นทั้งหมด
(2) ผเู้ รียนตอ้ งไดร้ ับการประเมนิ ทกุ ตวั ชว้ี ัด และผ่านตามเกณฑท์ ่สี ถานศกึ ษากำหนด
(3) ผู้เรยี นตอ้ งได้รบั การตัดสนิ ผลการเรียนทุกรายวชิ า
(4) ผู้เรียนต้องได้รับการประเมิน และมีผลการประเมินผ่านตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนด ใน
การอ่าน คิดวเิ คราะห์และเขียน คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ และกจิ กรรมพัฒนาผูเ้ รยี น
ระดับมัธยมศกึ ษา
(1) ตดั สินผลการเรยี นเปน็ รายวิชา ผู้เรียนต้องมีเวลาเรียนตลอดภาคเรียนไมน่ อ้ ย
กว่าร้อยละ 80 ของเวลาเรียนทัง้ หมดในรายวชิ านนั้ ๆ
(2) ผเู้ รยี นตอ้ งไดร้ บั การประเมินทุกตวั ชวี้ ัด และผ่านตามเกณฑ์ทีส่ ถานศึกษากำหนด
(3) ผู้เรยี นต้องได้รบั การตัดสินผลการเรยี นทกุ รายวิชา
(4) ผู้เรียนต้องได้รับการประเมิน และมีผลการประเมินผ่านตามเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนด ใน
การอา่ นคดิ วิเคราะหแ์ ละเขยี น คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ และกจิ กรรมพฒั นาผู้เรียน
การพิจารณาเล่ือนช้ันทั้งระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ถ้าผู้เรียนมีข้อบกพร่องเพียงเล็กน้อย และ
สถานศึกษาพิจารณาเห็นว่าสามารถพัฒนาและสอนซ่อมเสริมได้ ให้อยู่ในดุลพินิจของสถานศึกษาที่จะผ่อนผันให้
เลื่อนช้ันได้ แต่หากผู้เรียนไม่ผ่านรายวิชาจำนวนมาก และมีแนวโน้มว่าจะเป็นปัญหาต่อการเรียนในระดับชั้นที่
สูงข้ึน สถานศึกษาอาจต้ังคณะกรรมการพิจารณาให้เรียนซ้ำชั้นได้ ท้ังน้ีให้คำนึงถึงวุฒิภาวะและความรู้
ความสามารถของผเู้ รยี นเป็นสำคญั
6. การให้ระดับผลการเรยี น
ระดับประถมศกึ ษา ในการตัดสินเพื่อให้ระดับผลการเรียนรายวิชา สถานศึกษาสามารถให้ระดับ
ผลการเรียนหรอื ระดบั คณุ ภาพการปฏิบตั ิของผูเ้ รยี น เป็นระบบตัวเลข ระบบตัวอกั ษร ระบบร้อยละ และระบบ
ทใ่ี ช้คำสำคญั สะท้อนมาตรฐาน
การประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขยี น และคุณลักษณะอันพึงประสงค์นั้น ให้ระดับผลการ
ประเมนิ เปน็ ดีเย่ยี ม ดี และผ่าน
การประเมินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน จะต้องพิจารณาทั้งเวลาการเข้าร่วมกิจกรรม การปฏิบัติ
กิจกรรมและผลงานของผู้เรยี น ตามเกณฑท์ ส่ี ถานศึกษากำหนด และใหผ้ ลการเข้าร่วมกจิ กรรมเปน็ ผ่าน และไม่ผ่าน
106
ระดับมัธยมศึกษา ในการตัดสินเพ่ือให้ระดับผลการเรียนรายวิชา ให้ใช้ตัวเลขแสดงระดับผล
การเรยี นเปน็ 8 ระดับ
การประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน และคุณลักษณะอันพึงประสงค์นั้น ให้ระดับผลการ
ประเมินเป็น ดเี ยย่ี ม ดี และผ่าน
การประเมิน กิ จกรรมพัฒ น าผู้เรีย น จะต้องพิจารณ าท้ังเวลาก ารเข้าร่วมกิจกรรม
การปฏิบัติกิจกรรมและผลงานของผู้เรียน ตามเกณฑ์ท่สี ถานศึกษากำหนด และให้ผลการเข้าร่วมกิจกรรมเป็นผา่ น
และไม่ผ่าน
7. การรายงานผลการเรียน
การรายงานผลการเรียนเป็นการส่อื สารให้ผปู้ กครองและผู้เรยี นทราบความก้าวหนา้
ในการเรียนรู้ของผเู้ รยี น ซง่ึ สถานศึกษาตอ้ งสรปุ ผลการประเมนิ และจัดทำเอกสารรายงานให้ผู้ปกครองทราบเปน็
ระยะ ๆ หรอื อยา่ งนอ้ ยภาคเรียนละ 1 คร้งั
การรายงานผลการเรียนสามารถรายงานเป็นระดับคณุ ภาพการปฏิบตั ิของผเู้ รียนท่ีสะทอ้ น
มาตรฐานการเรียนรกู้ ล่มุ สาระการเรยี นรู้
107
ส่อื การเรยี นรู้ แหลง่ เรยี นรู้
สื่อการเรียนรู้เป็นเคร่ืองมือส่งเสริมสนับสนุนการจัดการกระบวนการเรียนรู้ ให้ผู้เรียนเข้าถึงความรู้
ทักษะกระบวนการ และคุณลกั ษณะตามมาตรฐานของหลกั สตู รได้อย่างมีประสิทธิภาพ สอื่ การเรยี นรู้มีหลากหลาย
ประเภท ทั้งสื่อธรรมชาติ สื่อสิ่งพิมพ์ สอ่ื เทคโนโลยี และเครอื ข่ายการเรียนรู้ต่างๆ ที่มีในท้องถิ่น การเลือกใช้สื่อ
ควรเลอื กใหม้ คี วามเหมาะสมกับระดับพัฒนาการและลีลาการเรียนรู้ทีห่ ลากหลายของผูเ้ รียน
การจัดหาสือ่ การเรยี นรู้ ผเู้ รยี นและผ้สู อนสามารถจดั ทำและพฒั นาข้นึ เอง หรอื ปรบั ปรงุ เลือกใช้อยา่ งมี
คุณภาพจากสื่อต่างๆ ท่มี ีอยู่รอบตัวเพื่อนำมาใช้ประกอบในการจดั การเรยี นรู้ที่สามารถส่งเสริมและส่อื สารใหผ้ ูเ้ รียน
เกิดการเรียนรู้โดยสถานศึกษาควรจัดให้มีอย่างพอเพียง เพื่อพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริง
สถานศึกษา เขตพน้ื ที่การศึกษา หน่วยงานท่ีเก่ียวข้องและผ้มู ีหนา้ ทจี่ ดั การศึกษาข้ันพนื้ ฐาน ควรดำเนนิ การดังน้ี
1. จัดให้มีแหล่งการเรียนรู้ ศูนย์สื่อการเรียนรู้ ระบบสารสนเทศการเรียนรู้ และเครือข่ายการ
เรียนรทู้ ่มี ปี ระสิทธภิ าพทั้งในสถานศึกษาและในชุมชน เพ่ือการศึกษาคน้ ควา้ และการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การ
เรยี นรู้ ระหวา่ งสถานศึกษา ท้องถน่ิ ชุมชน สงั คมโลก
2. จัดทำและจัดหาสอ่ื การเรยี นรู้สำหรับการศกึ ษาคน้ ควา้ ของผู้เรยี นเสริมความร้ใู หผ้ ู้สอน รวมทั้ง
จัดหาส่งิ ทีม่ อี ยู่ในทอ้ งถิน่ มาประยกุ ตใ์ ชเ้ ป็นสื่อการเรียนรู้
3. เลือกและใช้ส่ือการเรียนรู้ที่มีคุณภาพ มีความเหมาะสม มีความหลากหลาย สอดคล้องกับ
วธิ ีการเรียนรู้ธรรมชาตขิ องสาระการเรียนร้แู ละความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคลของผู้เรยี น
4. ประเมินคุณภาพของสอ่ื การเรียนรทู้ เ่ี ลอื กใช้อยา่ งเป็นระบบ
5. ศึกษาค้นคว้า วิจยั เพื่อพฒั นาสอ่ื การเรยี นรู้ใหส้ อดคลอ้ งกบั กระบวนการเรยี นรู้ของผเู้ รยี น
6. จัดให้มีการกำกับ ติดตาม ประเมินคุณภาพและประสิทธิภาพเก่ียวกับสื่อและการใช้สื่อการ
เรยี นรเู้ ป็นระยะๆ และสมำ่ เสมอ
ในการจัดทำ การเลือกใช้ และการประเมินคุณภาพสื่อการเรียนรู้ท่ีใช้ในสถานศึกษา ควรคำนึงถึง
หลักการสำคญั ของสอ่ื การเรยี นรู้ เชน่ ความสอดคล้องกับหลกั สตู ร วัตถุประสงค์การเรียนรู้ การออกแบบกจิ กรรม
การเรียนรู้ การจัดประสบการณ์ให้ผเู้ รียน เน้อื หามีความถูกต้องและทันสมัยไม่กระทบความม่ันคงของชาติ ไม่ขัด
ต่อศีลธรรม มีการใชภ้ าษาทถี่ ูกตอ้ ง รูปแบบการนำเสนอทเี่ ขา้ ใจง่าย และน่าสนใจ
108
ภาคผนวก
109
ภาคผนวก ก
อภธิ านศพั ท์
110
อภธิ านศพั ท์
กำหนดปญั หา (Define problem)
ระบุคำถาม ประเดน็ หรือสถานการณ์ ท่เี ปน็ ขอ้ สงสัยเพ่ือนำไปสูก่ ารแกป้ ญั หา หรอื อภิปราย รว่ มกัน
แก้ปัญหา (Solve problem)
หาคำตอบของปญั หาที่ยงั ไม่รู้วิธีการมาก่อน ท้งั ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับวทิ ยาศาสตร์โดยตรง และ ปญั หาใน
ชวี ติ ประจำวัน โดยใช้เทคนคิ และวิธีการตา่ ง ๆ
เขียนแผนผงั / วาดภาพ (Construct diagram/ illustrate)
นำเสนอขอ้ มูล หรอื ผลการสำรวจตรวจสอบดว้ ย แผนผงั กราฟ หรือภาพวาด
คาดคะเน (Predict)
คาดการณ์ผลทจี่ ะเกดิ ข้ึนในอนาคต โดยอาศยั ข้อมูลทสี่ ังเกตได้ และประสบการณ์ทีม่ ี
คำนวณ (Calculate)
หาผลลัพธ์จากข้อมูลโดยใชห้ ลักการ ทฤษฎี หรอื วิธีการทางคณติ ศาสตร์
จำแนก (Classify)
จดั กลุ่มของสง่ิ ต่าง ๆ โดยอาศัยลกั ษณะที่ เหมือนกนั เปน็ เกณฑ์
ตัง้ คำถาม (Ask question)
พดู หรือเขียนประโยค หรอื วลีเพ่ือใหไ้ ด้มาซง่ึ การค้นหำคำตอบทต่ี ้องการ
ทดลอง (Conduct/ experiment)
ปฏบิ ตั ิการเพือ่ หำคำตอบของคำถาม หรอื ปญั หา ในกำรทดลอง โดยตง้ั สมมติฐานเพ่อื เปน็ แนวทาง ในการ
กำหนดตัวแปรและวางแผนดำเนินการ เพอื่ ตรวจสอบสมมติฐาน
นำเสนอ (Present)
แสดงขอ้ มลู เร่อื งราว หรอื ความคดิ เพือ่ ให้ผอู้ ื่น รับร้หู รือพิจารณา
111
บรรยาย (Describe)
ให้รายละเอียดของเหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ที่ เกดิ ขนึ้ ใหผ้ อู้ ื่นได้รบั รูด้ ว้ ยการบอกหรอื เขยี น
บอก (Tell)
ให้ข้อมลู ขอ้ เท็จจริง แกผ่ ู้อื่นด้วยการพดู หรอื เขียน
บันทึก (Record)
เขียนข้อมูลทไ่ี ด้จากการสงั เกต เพื่อชว่ ยจำ หรอื เพือ่ เปน็ หลักฐาน
เปรียบเทียบ (Compare)
บอกความเหมอื น และ/หรือ ความแตกตา่ งของ สิ่งท่เี ทียบเคยี งกนั
แปลความหมาย (Interpret)
แสดงความหมายของขอ้ มูลจากหลักฐานทป่ี รากฎ เพอ่ื ลงข้อสรปุ
ยกตัวอยา่ ง (Give examples)
ให้ข้อมูล เหตุการณ์ หรอื สถานการณ์ เพื่อแสดง ความเข้าใจในส่ิงท่ไี ด้เรยี นรู้
ระบุ (Identify) ชบ้ี อกส่ิงตา่ ง ๆ โดยใช้ข้อมูลประกอบอย่างเพียงพอ
เลอื กใช้ (Select)
พิจารณาและตัดสินใจนำวัสดุ ส่ิงของ อปุ กรณ์ หรือวธิ ีการมาใช้ไดอ้ ย่างเหมาะสม
วัด (Measure)
หาขนดหรือปริมาณของสงิ่ ตา่ ง ๆ โดยใช้เคร่ืองมือ ทีเ่ หมาะสม
วเิ คราะห์ (Analyze)
แยกแยะ จดั ระบบ เปรยี บเทยี บ จดั ลำดบั จดั จำแนก หรือเชือ่ มโยงข้อมลู
สรา้ งแบบจำลอง (Construct model)
112
นำเสนอแนวคดิ หรือเหตุการณ์ในรูปของ แผนภาพ ช้ินงาน สมการ ข้อความ คำพูด และ/หรือใช้
แบบจำลองเพื่ออธิบายความคิด วตั ถุ หรอื เหตกุ ารณต์ ่าง ๆ
สงั เกต (Observe)
หาข้อมลู ดว้ ยการใช้ประสาทสมั ผัสทั้งหำ้ ทีเ่ หมาะสม ตามขอ้ เท็จจริงท่ปี รากฏ โดยไม่ใช้ ประสบการณ์เดิม
ของผู้สงั เกต
สำรวจ (Explore)
หาขอ้ มูลเก่ียวกบั สง่ิ ต่าง ๆ โดยใช้วีธกี ารและ เทคนิคทเี่ หมาะสมเพื่อนำข้อมูลมาใช้ตาม วตั ถปุ ระสงคท์ ่ี
กำหนดไว้
สืบค้นขอ้ มลู (Search)
หาขอ้ มลู หรือขอ้ สนเทศทมี่ ีผ้รู วบรวมไวแ้ ล้วจาก แหลง่ ตา่ ง ๆ มาใช้ประโยชน์
สอื่ สาร (Communicate)
นำเสนอและแลกเปล่ียนความคิด ขอ้ มูล หรอื ผล จากการสำรวจตรวจสอบด้วยวธิ ีทเี่ หมาะสม
อธบิ าย (Explain)
กลา่ วถึงเร่ืองราวต่าง ๆ อย่างมเี หตุผล และมี ขอ้ มูล หรือประจักษพ์ ยานอา้ งอิง
อภิปราย (Discuss)
แสดงความคิดเห็นต่อประเดน็ หรอื คาถามอยา่ ง มีเหตุผลโดยอาศัยความร้แู ละประสบการณข์ องผอู้ ภปิ ราย
และขอ้ มูลประกอบ
ออกแบบกำรทดลอง (Design experiment)
กำหนดและวางแผนวิธกี ำรทดลองใหส้ อดคลอ้ งกบั สมมติฐานและตวั แปรต่าง ๆ รวมท้งั การบนั ทกึ ขอ้ มลู
ศพั ทท์ เี่ กย่ี วขอ้ งกับตวั ช้วี ัด สาระเทคโนโลยี
การใชล้ ิขสิทธขิ์ องผอู้ ืน่ โดยชอบธรรม (Fair use)
การนำสื่อ หรือข้อมูลที่เปน็ ลขิ สทิ ธขิ์ องผูอ้ ืน่ ไปใช้โดยชอบด้วยกฎหมายภายใตเ้ งอื่ นไขบางประการ เช่น
1) นำไปใช้ในการศกึ ษา หรือการคำ้
2) งานนนั้ เปน็ งานวชิ ำการ หรือบันเทิง
113
3) คัดลอกเพยี งส่วนนอ้ ย หรอื คัดลอกจานวนมาก
4) ทำใหเ้ จ้าของเสียผลประโยชนท์ างการเงนิ มากน้อยเพียงใด
การตรวจและแกไ้ ขขอ้ ผิดพลาด (Debugging)
กระบวนการในการค้นหาขอ้ ผิดพลาดของโปรแกรม เพื่อแก้ไขให้ทำงานได้ถูกตอ้ ง
การประมวลผลข้อมูล (Data processing)
การดำเนนิ การต่าง ๆ กบั ข้อมลู เพื่อให้ไดผ้ ลลพั ธ์ท่ีมคี วามหมาย และมีประโยชน์ตอ่ การนำไปใชง้ านมาก
ยิ่งขนึ้
การวบรวมขอ้ มูล (Data collection)
กระบวนกรในการรวบรวมขอ้ มลู ที่เกี่ยวขอ้ งจากแหลง่ ขอ้ มูลตา่ ง ๆ
ขอ้ มลู ปฐมภูมิ (Primary data)
ขอ้ มลู ทร่ี วบรวมโดยตรงจากแหล่งขอ้ มลู ขนั้ ต้น โดยอาจใช้วธิ กี ารสังเกต การทดลอง การสำรวจ การ
สมั ภาษณ์
เทคโนโลยี (Technology)
ส่ิงที่มนษุ ย์สรา้ ง หรอื พัฒนาข้นึ ซง่ึ อาจเปน็ ได้ทั้งชน้ิ งาน หรอื วธิ กี าร เพ่ือใชแ้ ก้ปญั หา สนองความต้องการ
หรอื เพิ่มความสามารถในการทำงำนของมนุษย์
แนวคดิ เชิงคำนวณ (Computational thinking)
กระบวนการในการแกป้ ญั หา การคดิ วเิ คราะห์อย่างมีเหตุผลเปน็ ขั้นตอน เพอื่ หำวิธีการแก้ปัญหาใน
รปู แบบท่ีสามารถนำไปประมวลผลได้
แนวคิดเชิงนามธรรม (Abstraction)
การพจิ ารณารายละเอยี ดท่ีสำคญั ของปญั หา แยกแยะสำระสำคัญออกจากส่วนท่ีไม่สำคัญ
ระบบทางเทคโนโลยี (Technological system)
กลมุ่ ของส่วนตา่ ง ๆ ตัง้ แตส่ องสว่ นข้ึนไปประกอบเข้าด้วยกันและทำงานรว่ มกันเพอ่ื ให้บรรลุวตั ถปุ ระสงค์
โดยในการทำงานของระบบทางเทคโนโลยจี ะประกอบไปดว้ ย ตวั ป้อน (input) กระบวนการ (process) และ
114
ผลผลิต (output) ท่ีสัมพนั ธ์กัน นอกจากนี้ระบบทางเทคโนโลยอี าจมีขอ้ มูลย้อนกลับ (feedback) เพ่อื ใช้ปรบั ปรงุ
การทำงานไดต้ ามวตั ถุประสงค์
เหตุผลเชงิ ตรรกะ (Logical reasoning)
การใชเ้ หตุผล กฎ กฎเกณฑ์ หรอื เงอ่ื นไข ทเี่ กี่ยวขอ้ ง เพอ่ื แก้ปัญหาได้ครอบคลมุ ทกุ กรณี
เหตุผลวิบตั ิ (Logical fallacy)
การใชเ้ หตุผลที่ผดิ พลาด ไม่อยบู่ นพื้นฐานของความจริง ไมม่ นี ้ำหนักสมเหตสุ มผล มาสนับสนนุ หรือชน้ี ำ
ขอ้ สรุปท่ีผดิ ให้ดนู า่ เชือ่ ถือ
อัตลกั ษณ์ (Identity)
ลกั ษณะเฉพาะ หรอื ข้อมลู สำคัญท่ีบ่งบอกถึงความเป็นตวั ตนของบคุ คลหรือส่งิ ใดสิ่งหนึง่ เชน่ ชอ่ื บัญชีผ้ใู ช้
ใบหน้า ลายนิ้วมือ
อลั กอรทิ มึ (Algorithm)
ขน้ั ตอนในการแกป้ ญั หา หรอื การทำงาน โดยมีลำดับของคำส่ังหรือวธิ ีการที่ชัดเจน ท่ีคอมพิวเตอรส์ ามารถ
ปฏิบัติตามได้
แอพพลิเคชนั (Software application)
ซอฟต์แวร์ประยุกต์ ที่ทำงานบนคอมพวิ เตอร์ สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต หรืออปุ กรณ์เทคโนโลยีอืน่ ๆ
115
ภาคผนวก ข
คำสั่งแตง่ ตั้งคณะอนกุ รรมการกลุ่มสาระการเรียนรูแ้ ละกจิ กรรมพฒั นาผู้เรยี น
ปรับปรงุ หลักสตู รโรงเรียนบ้านบาตัน (ฟลอยดร์ อสอนสุ รณ)์ พทุ ธศกั ราช 2564
ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551 (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2560)
116
คำสัง่ โรงเรยี นบา้ นบาตนั (ฟลอยด์รอสอนุสรณ์)
ท่ี / 2564
เร่ือง แต่งต้งั คณะอนุกรรมการกลมุ่ สาระการเรยี นรแู้ ละกิจกรรมพัฒนาผ้เู รียน ปรับปรุงหลักสตู ร
โรงเรียนบา้ นบาตัน (ฟลอยดร์ อสอนสุ รณ)์ พุทธศักราช 2564 ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน
พุทธศักราช 2551(ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. 2560)
เพอื่ ให้การบรหิ ารหลักสตู รและงานวิชาการสถานศึกษาขัน้ พื้นฐาน เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสอดคลอ้ ง
กับพระราชบญั ญัตกิ ารศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 หมวด 4 มาตรา 27 ทก่ี ำหนดให้สถานศึกษา
ข้ันพ้ืนฐานมีหน้าท่ีจัดทำสาระการเรียนรู้ของหลักสูตรเพื่อความเป็นไทย ความเป็นพลเมืองที่ดีของชาติ
การดำรงชีวิตและการประกอบอาชีพ ตลอดจนเพื่อการศึกษาต่อ ในส่วนท่ีเกี่ยวกับสภาพปัญหาของชุมชนและ
สังคม ภมู ปิ ัญญาทอ้ งถนิ่ คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ เพื่อเป็นสมาชิกที่ดีของครอบครัว ชุมชน สังคมและ
ประเทศชาติ อาศยั อำนาจตามมาตรา 25 แห่งพระราชบญั ญัตปิ รบั ปรงุ กระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2534
กระทรวงศึกษาธิการ จึงออก ระเบยี บกระทรวงศกึ ษาธิการวา่ ด้วยคณะกรรมการบริหารหลักสูตร และงาน
วชิ าการสถานศกึ ษาขั้นพ้ืนฐาน พ.ศ. 2544
อาศัยอำนาจตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยคณะกรรมการบริหารหลักสูตร และงานวิชาการ
สถานศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน พ.ศ. 2544 ข้อ 9 กำหนดให้มีคณะอนกุ รรมการเรียกวา่ “คณะอนุกรรมการระดับกล่มุ วชิ า”
จำนวน 9 คณะ เรียกช่ือคณะอนุกรรมการตามช่ือกลุ่มวิชาในหลักสูตรการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน อยู่ภายใต้คณะ
กรรมการบริหารหลักสูตรและงานวิชาการสถานศึกษาข้ันพื้นฐาน แต่งตั้งโดยผู้บริหารสถานศึกษา เพื่อให้การ
บรหิ ารหลักสตู รกลุ่มสาระการเรยี นรู้ ของสถานศึกษาเป็นไปอยา่ งมีประสิทธิภาพ จึงแตง่ ตั้งคณะอนุกรรมการกลุ่ม
สาระการเรียนรู้และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ในหลักสูตรโรงเรียนบ้านบาตัน (ฟลอยด์รอสอนุสรณ์) พุทธศักราช
2564 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551(ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 256) แต่งต้ัง
คณะอนกุ รรมการรับผดิ ชอบกลมุ่ สาระการเรยี นรแู้ ละกจิ กรรมพัฒนาผูเ้ รยี น ดงั นี้
คณะกรรมการทปี่ รึกษา
1. ผู้อำนวยการโรงเรียน
2. ประธานคณะกรรมการสถานศึกษา
1. คณะกรรมการกล่มุ สาระการเรยี นรูภ้ าษาไทย ประกอบด้วย
1.1 หวั หนา้ กลุ่มสาระ
117
1.2 กรรมการ
1.3 กรรมการ
1.4 กรรมการและเลขานกุ าร
2. คณะกรรมการกล่มุ สาระการเรียนรคู้ ณติ ศาสตร์ ประกอบด้วย
2.1 หัวหนา้ กลมุ่ สาระ
2.2 กรรมการ
2.3 กรรมการ
2.4 กรรมการและเลขานกุ าร
3. คณะกรรมการกลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ประกอบดว้ ย
3.1 หัวหน้ากลุ่มสาระ
3.2 กรรมการ
3.3 กรรมการและเลขานกุ าร
4. คณะกรรมการกลุ่มสาระการเรยี นรูส้ ังคม ศาสนาและวัฒนธรรม ประกอบดว้ ย
4.1 หัวหนา้ กลมุ่ สาระ
4.2 กรรมการและเลขานกุ าร
5. คณะกรรมการกลมุ่ สาระการเรียนรสู้ ขุ ศึกษาและพลศกึ ษา ประกอบดว้ ย
5.1 หวั หน้ากล่มุ สาระ
5.2 กรรมการและเลขานกุ าร
6. คณะกรรมการกลมุ่ สาระการเรยี นรศู้ ิลปะ ประกอบดว้ ย
6.1 หัวหนา้ กลุ่มสาระ
6.2 กรรมการ
6.3 กรรมการและเลขานุการ
7. คณะกรรมการกลมุ่ สาระการเรียนรกู้ ารงานอาชพี ประกอบด้วย
7.1 หัวหนา้ กลุ่มสาระ
7.2 กรรมการ
7.3 กรรมการและเลขานุการ
8. คณะกรรมการกลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาต่างประเทศ ประกอบด้วย
8.1 หัวหน้ากลุม่ สาระ
8.2 กรรมการ
8.3 กรรมการและเลขานุการ
9. คณะกรรมการกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ประกอบดว้ ย
118
9.1 หัวหน้ากลมุ่ สาระ
9.2 กรรมการและเลขานุการ
10. คณะกรรมการกลุม่ สาระการเรียนรปู้ ฐมวัย ประกอบด้วย
10.1 หวั หนา้ กลมุ่ สาระ
10.2 กรรมการ
10.3 กรรมการและเลขานุการ
ใหค้ ณะอนุกรรมการมีหน้าท่ี ดังตอ่ ไปนี้
1. กำหนดสัดสว่ นสาระการเรียนร้กู ลุ่มวิชา และพฒั นาหลักสูตรรายวิชาของกลมุ่ วิชา ในสาระการเรียนรู้
เรียนรู้พ้ืนฐาน และสาระการเรยี นรเู้ พ่มิ เติมตามหลกั สตู รการศึกษาขน้ั พืน้ ฐานตามหลกั สูตรการศึกษาข้ันพืน้ ฐาน
2. ดำเนนิ การพัฒนาการจัดกระบวนการเรียนร้ทู ีเ่ นน้ ผเู้ รียนเป็นสำคญั ทสี่ ุดและ การวัดและประเมนิ ผลการ
เรยี นร้รู ายวิชาต่าง ๆ เพอ่ื ใหไ้ ด้ข้อมูลที่แสดงความสามารถที่แทจ้ ริงของนกั เรยี น
3. พัฒนาแผนการสอนรายวชิ าท่เี ปน็ มาตรฐานกลาง เพอ่ื ใหผ้ ู้สอนสามารถปรบั ใช้ตามความเหมาะสมและให้
การสอนนำไปสู่การเรียนรมู้ ากทส่ี ดุ
4. พัฒนาส่ือการเรียนรูท้ ี่เหมาะสมและสอดคล้องกับการจดั การเรยี นร้ทู เี่ น้นผู้เรยี นเป็นสำคัญท่ีสุด
5. กำหนดแนวทางพัฒนาเคร่ืองมอื และกำกับ ตดิ ตามการดำเนินการวดั และประเมินผลการเรียนรขู้ อง
นกั เรียนใหเ้ ปน็ ไปตามมาตรฐานการเรียนรู้กลมุ่ วิชาทีก่ ำหนด
6. วเิ คราะหพ์ ัฒนาการของนักเรียนเป็นรายบคุ คลและรายกลุม่
7. ดำเนินการวิจัยการศกึ ษาในช้ันเรยี นเพื่อแกป้ ญั หาและพัฒนากระบวนการเรียนรู้และการ
วดั และประเมนิ ผล
8. นเิ ทศภายใน แลกเปล่ียนประสบการณก์ ารดำเนนิ งานเพ่อื พฒั นาคณุ ภาพการเรยี นการสอน
และประสทิ ธภิ าพในการปฏิบตั งิ าน
9. รวบรวมขอ้ มูลเพื่อการปรับปรุง และพัฒนาหลักสูตรรายวชิ าและการจดั กระบวนการ
เรยี นรู้ ตลอดจนตรวจสอบและประเมินการบรหิ ารหลักสตู รรายวิชาและกลมุ่ วชิ าในภาคเรียนท่ีผา่ นมาและ
วางแผนพัฒนาการบรหิ ารหลักสตู รในภาคเรยี นต่อไป
10. รายงานผลการปฏิบัตงิ านตามมาตรฐานการปฏบิ ัตงิ านของครู – อาจารย์ และผลการ
บริหารหลกั สูตรของกลุม่ วิชาโดยเน้นผลที่เกิดขนึ้ กับผเู้ รยี นต่อคณะกรรมการบริหารหลกั สูตรและงาน
วิชาการสถานศกึ ษาข้ันพ้นื ฐาน และผเู้ กีย่ วขอ้ ง
11.ปฏิบตั ิหนา้ ท่อี ืน่ ๆ ตามทไี่ ด้รับมอบหมาย
119
ให้ผูท้ ีไ่ ด้รับการแต่งตงั้ ปฏบิ ตั ิหน้าทใี่ ห้เตม็ ความรูค้ วามสามารถ เป็นไปตามบทบาทหน้าท่ที ่กี ำหนดใหแ้ ละ
ใหเ้ กิดประโยชน์สูงสุดกับสถานศึกษา
สั่ง ณ วนั ที่ เดือน พฤษภาคม พ.ศ. 2564
(นางซาลตี า เจะมงิ )
ผอู้ ำนวยการโรงเรียนบ้านบาตัน (ฟลอยด์รอสอนุสรณ)์