The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายงานการวิจัยการพัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยวชุมชน ในพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา โดยใช้ทรัพยากร เขา ป่า นา เล เพื่อนำไปสู่ชุมชนนวัตกรรม สู่ความยั่งยืน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by skcc62, 2023-06-20 22:02:38

รายงานการวิจัย เขา ป่า นา เล

รายงานการวิจัยการพัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยวชุมชน ในพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา โดยใช้ทรัพยากร เขา ป่า นา เล เพื่อนำไปสู่ชุมชนนวัตกรรม สู่ความยั่งยืน

Keywords: เขา ป่า นา เล

รายงานการวิจัย การพัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยวชุมชน ในพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา โดยใช้ทรัพยากร เขา ป่า นา เล เพื่อนำไปสู่ชุมชนนวัตกรรม สู่ความยั่งยืน คณะผู้จัดทำ นางสาวพรเพ็ญ ประกอบกิจ นางสาวปวรรณรัตน์ ประเทืองไทย นางสาวปริยาภัทร เพ็ชรจรูญ วิทยาลัยชุมชนสงขลา สถาบันวิทยาลัยชุมชน กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม


ก บทคัดย่อ ชื่องานวิจัย : การพัฒนาศักยภาพชุมชนในพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา โดยใช้ทรัพยากร เขา ป่า นา เล เพื่อนำไปสู่ชุมชนนวัตกรรมสู่ความยั่งยืน ผู้เขียน : พรเพ็ญ ประกอบกิจ ปวรรณรัตน์ ประเทืองไทย ปริยาภัทร เพ็ชรจรูญ ปีการศึกษา : 2565 การวิจัยนี้เป็นการวิจัยที ่เป็นการเตรียมความพร้อมในการรองรับนักท ่องเที ่ยวภายหลัง สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา (COVID-19) ที่ค้นหาแนวทางการดำเนินการจัดการท่องเที่ยวที่มี ความเหมาะสมและบ่งบอกความเป็นอัตลักษณ์ของพื้นที่ที่เป็นวิถีชุมชนที่ชัดเจน ชุมชนมีกระบวนการ เรียนรู้วิธีการดำเนินการจัดการท่องเที่ยวที่เกิดประโยชน์กับทุกฝ่ายและสามารถดำเนินกิจกรรมได้อย่าง ยั่งยืน มีวัตถุประสงค์ของการวิจัย เพื่อศึกษาศักยภาพ กำหนดแนวทางในการพัฒนา จัดทำเส้นทางและ กิจกรรมการท่องเที่ยว และพัฒนาสื่อในการประชาสัมพันธ์รูปแบบการท่องเที่ยวในพื้นที่พัฒนาพิเศษจังหวัด สงขลาโดยใช้ฐานทรัพยากร เขา ป่า นา เล โดยชุมชนมีส่วนร่วมใช้วิธีการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participator Action Research : PAR) มีผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ ด้านศักยภาพการท ่องเที ่ยวชุมชนในพื้นที ่พัฒนาพิเศษจังหวัดสงขลาโดยใช้ฐานทรัพยากร เขา ป่า นา เล โดยชุมชนมีส่วนร่วม ในด้านคุณค่าของแหล่งท่องเที่ยว ความสะดวกในการเข้าถึง สิ่งอำนวย ความสะดวก ข้อจำกัดในการรองรับนักท่องเที ่ยว และความมีชื ่อเสียงในปัจจุบัน สรุปได้ว ่าพื้นที ่ เขา ในชุมชนบ้านบาโหย มีศักยภาพในด้านคุณค่าของแหล่งท่องเที่ยวเกี่ยวกับความเป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์ เข้าถึงสะดวกด้วยรถยนต์ส ่วนตัว มีป้ายบอกเส้นทางตลอดสาย มีที ่พักสะดวกสบายไกล้ชิดธรรมชาติ มีความอุดมสมบูรณ์ด้านทรัพยากร แหล่งท่องเที่ยวรู้จักแพร่หลาย แต่ยังไม่สามารถรองรับนักท่องเที่ยวเป็น กลุ่มใหญ่ ๆ ที่ต้องการที่พักที ่สะดวกสบายได้ในประเด็นของพื้นที่ ป่า ของอุทยานแห่งชาติเขาน้ำค้าง อำเภอนาทวี ในด้านคุณค่าของแหล่งท่องเที่ยว ความสะดวกในการเข้าถึง สิ่งอำนวยความสะดวกข้อจำกัด ในการรองรับนักท่องเที่ยว และความมีชื่อเสียงในปัจจุบัน สรุปได้ว่าพื้นที่ ป่า ยังคงความอุดมสมบูรณ์ มีสัตว์ป่าเป็นจำนวนมาก และมีพืชพันธุ์ที่หลากหลาย นักท่องเที่ยวสามารถเดินป่าศึกษาธรรมชาติ เรียนรู้ วิถีการดำรงชีวิตอยู ่ในป ่าในรูปแบบต ่าง ๆ การเดินทางเข้าถึงสะดวกมีถนนลาดยางตลอดสาย มีที ่พัก สะดวกสบายไกล้ชิดธรรมชาติที่เป็นเรือนพักรับรองของอุทยานฯ หรือสามารถกางเต้นท์พักแรมในเส้นทาง เดินป่าได้ มีเจ้าหน้าที่ป่าไม้ทุกคนสามารถเป็นวิทยากรให้ความรู้แก่นักท่องเที่ยวในการศึกษาธรรมชาติ ตลอดเส้นทาง แหล่งท่องเที่ยวเป็นที่รู้จักแพร่หลาย แต่การเข้าพื้นที่การเดินป่าต้องไม่นำรถส่วนตัวเข้าไป กรมอุทยานฯให้ใช้รถของกรมอุทยานฯ เท่านั้น ในประเด็นของพื้นที่ นา ของชุมชนบ้านป่าชิง อำเภอจะนะ ในด้านคุณค่าของแหล่งท่องเที่ยว ความสะดวกในการเข้าถึง สิ่งอำนวยความสะดวกข้อจำกัดในการรองรับ นักท่องเที่ยว และความมีชื่อเสียงในปัจจุบัน สรุปได้ว่า พื้นที่ นา มีกลุ่มชาวนาสืบทอดการทำนาแบบดั้งเดิม ของบรรพบุรุษ มีพิพิธภัณฑ์ข้าวมีชีวิต โดยเป็นแหล่งรวบรวมพันธุ์ข้าวที่เพาะปลูกขึ้น จำนวน 31 ชนิด ตามโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราช


ข กุมารี (อพ.สธ) การเดินทางเข้าถึงสะดวกแต่ต้องไปศึกษาแบบเช้าไปเย็นกลับเท่านั้น ทั้งนี้ก็ต้องประสาน เจ้าของนาข้าวเพื่อการดูแลและอำนวยความสะดวกก่อนการเดินทางเข้าไปซึ่งสามารถรับนักท่องเที่ยวเป็น ฤดูกาลของการทำนาเท่านั้นอันได้แก่ ฤดูกาลดำนา และฤดูกาลเก็บเกี่ยวข้าว แหล่งท่องเที่ยวในท้องทุ่งนา ข้าวชุมชนบ้านป่าชิงก็เริ่มรู้จักเป็นที่แพร่หลายในประเด็นของพื้นที่ เล ของชุมชนบ้านหัวเขื่อนปากน้ำเทพา อำเภอเทพา ในด้านคุณค่าของแหล่งท่องเที่ยว ความสะดวกในการเข้าถึง สิ่งอำนวยความสะดวกข้อจำกัดใน การรองรับนักท่องเที่ยว และความมีชื่อเสียงในปัจจุบัน สรุปได้ว่าพื้นที่ เลซึ่งเป็นศูนย์เรียนรู้วิถีเล และการ จัดการธนาคารปู มีคุณค่าของแหล่งท่องเที่ยวในเชิงอนุรักษ์ มีกิจกรรมที่ได้ให้นักท่องเที่ยวมาปล่อยลูกปูลง สู่ท้องทะเล มีกิจกรรมปลูกป่าโกงกาง และมีกิจกรรมการวางซังกอ (บ้านปลา) ในทะเล การเดินทางเข้าถึง สะดวก ถนนทางเข้าเป็นถนนคอนกรีตมีความสะดวกต่อการขับรถเข้าไปเพื่อทำกิจกรรมต่างๆได้เป็นอย่าง ดี มีที ่พักสะดวกมากมายในลักษณะของรีสอร์ท บริเวณหน้าหาดทรายชายทะเล มีอาหารทะเลสด ๆ ไว้บริการสำหรับนักท่องเที่ยว มีปราชญ์ชุมชนมาเป็นวิทยากรให้ความรู้แก่นักท่องเที่ยวในการศึกษาเรื่อง ระบบนิเวศน์สัตว์น้ำชายฝั่ง ให้ได้เรียนรู้วิถีชาวเล สามารถรองรับนักเที่ยวที่จะมาทำกิจกรรมได้เป็นจำนวน มาก


ค Abstract Research name : Community Potential Development in Special Economic Development Areas of 4 Districts of Songkhla Province. Using the resources of Khao Pa Na Le to lead to an innovative community for sustainability Author : Pornpen Prakobkit Pawannarat Pratuangthai Priyapat Petjaroon Academic year : 2022 This research is a research that prepares to accommodate tourists after the outbreak of the Coronavirus (COVID-1 9 ) that finds appropriate tourism management guidelines and indicates the identity of the area as a clear community way of life. The community has a process to learn how to manage tourism that benefits all parties and can conduct activities sustainable. The purpose of the research to study the potential set guidelines for development make routes and travel activities and develop media to promote tourism in the Special Development Area of Songkhla Province by using the Khao Pa Na Le resource base with community participation. Participator Action Research (PAR) was used. The research results were summarized as follows. Potential of community tourism in the Special Development Area of Songkhla Province using the natural resource base of Khao Pa Na Le with community participation in the value of tourist attractions ease of access facilities. Restrictions on accommodating tourists and current fame. It can be concluded that the mountain area in the Ban Bahoi community has the potential in terms of the value of tourist attractions regarding its pure nature. Easy access by private car. There are signs indicating the route along the line. There is a comfortable accommodation close to nature. There is an abundance of resources well-known tourist attractions. But still can not accommodate large groups of tourists who want comfortable accommodation. On the issue of the forest area of Khao Nam Khang National Park, Nathawi District, in terms of the value of tourist attractions. Ease of access facilities Restrictions on accommodating tourists and current fame It can be concluded that the forest area is still fertile. There are a lot of wild animals and has a wide variety of plants. Visitors can go hiking and study nature and learn how to live in the forest in different ways. Easy to access, there are paved roads throughout the line. There is a comfortable accommodation close to nature that is a guesthouse of the park or you can set up a tent in the forest path. There are forest


ง officers who can all be speakers to educate tourists to study nature along the way. Tourist attractions are widely known but entering the trekking area must not bring a private car. The National Park Service can only use NPS vehicles. On the issue of khow luk pla fields of Ban Pa Ching Community, Chana District, in terms of the value of tourist attractions ease of access facilities restrictions on accommodating tourists and current fame. At present, it can be concluded that the rice field area has a group of farmers inheriting the traditional farming practices of their ancestors. There is a living rice museum. It is a collection of 31 types of rice varieties cultivated according to the Plant Genetic Conservation Project initiated by Her Royal Highness Princess Maha Chakri Sirindhorn (APHS). Convenient access to travel, but must study in the morning and evening only in this regard, the owner of the rice field must be coordinated for the care and convenience before entering, which can accept tourists only in the farming season, namely the khow luk pla rice season and the rice harvest season. Tourist attractions in the rice fields of the Ban Pa Ching community began to be widely known. On the issue of the Lea area of Ban Hua Khuean Pak Nam Thepha Community, Thepha District in terms of the value of tourist attractions ease of access facilities Restrictions on accommodating tourists and current fame. It can be concluded that the area Lea, which is the Lea way of life learning center and crab bank management. There is a value of a conservation tourist attraction. There is an activity that allows tourists to release baby crabs into the sea. There is a mangrove planting activity. And there is an activity to place Sankho (fish house) in the sea. Convenient access The entrance road is a concrete road, convenient for driving to do various activities as well. There are many convenient accommodations in the nature of the resort. In front of the sandy beach There are fresh seafood available for tourists. There are community sages as speakers to educate tourists about coastal aquatic ecosystems. To learn the way of the sea people able to accommodate a large number of tourists who will come to do activities.


จ กิตติกรรมประกาศ งานวิจัยฉบับนี้ลุล่วงไปได้ด้วยดี ขอขอบพระคุณ รศ.ดร.พรพันธุ์ เขมคุณาศัย ที่ปรึกษา โครงการวิจัย นายกิตติภพ สุทธิสว่าง ตัวแทนภาคประชาชน และนายสิทธิชัย เทพภูษา นายอำเภอ เทพา ที่ได้กรุณาให้คำแนะนำในการค้นคว้าตลอดระยะวลาในการทำวิจัย ให้ความความอนุเคราะห์ ช่วยเหลือสนับสนุนในการดำเนินงานวิจัย ขอบคุณ นายอำพล พงษ์สุวรรณ รองผู้ว่าราชการจังหวัด สงขลา ผู้นำในการดำเนินการทดลองเส้นทางท่องเที่ยวเพื่อเชื่อมโยงในมิติต่าง ๆ ขอขอบคุณชุมชนใน พื้นที่ดำเนินการวิจัย ทั้ง 4 อำเภอ ที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับการท่องเที่ยวและร่วมพัฒนาทุกท่านที่ให้ ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการเก็บข้อมูลเติมเต็มสิ่งที ่ผู้วิจัยต้องการเพื ่อให้งานสมบูรณ์ที ่สุด และ ขอขอบคุณกองทุนส ่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และสถาบันวิทยาลัยชุมชนที ่ให้ งบประมาณสนับสนุนโครงการวิจัยเพื่อพัฒนาศักยภาพของชุมชนด้านการท่องเที่ยวให้เกิดการสร้าง งานสร้างอาชีพต่อไป สุดท้ายขอขอบพระคุณ บุคลากร พี่ๆ น้อง ๆ ในวิทยาลัยชุมชนสงขลาทุกท่าน ที่ให้กำลังใจ ในการทำวิจัยตลอดมา พรเพ็ญ ประกอบกิจ ปวรรณรัตน์ ประเทืองไทย ปริยาภัทร เพ็ชรจรูญ


ฉ สารบัญ หน้า บทคัดย่อภาษาไทย ก บทคัดย่อภาษาอังกฤษ ค กิตติกรรมประกาศ จ สารบัญ ฉ สารบัญภาพประกอบ ช บทที่ 1 บทนำ 1 บทที่ 2 วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง 5 บทที่ 3 วิธีการดำเนินการวิจัย 24 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 44 บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ 58 บรรณานุกรม 62 บุคลานุกรม 64 ภาคผนวก 65 ภาคผนวก ก แบบสัมภาษณ์ผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง 66 ภาคผนวก ข แบบฟอร์มรับรองการนำผลงานวิจัยหรืองานสร้างสรรค์ไปใช้ประโยชน์ ของวิทยาลัยชุมชนสงขลา 78 ภาคผนวก ค แบบประเมินการวิจัย 82 ประวัติย่อผู้วิจัย 89


ช สารบัญภาพประกอบ ภาพที่ หน้า 1 กรอบแนวคิดในการวิจัย 4 2 การถ่ายทอดแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืนสู่การท่องเที่ยวสีเขียว 14 3 มิติความแตกต่างระหว่างการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ การท่องเที่ยวสีเขียว และการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน 15 4 คุณค่าร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่อการท่องเที่ยวสีเขียว 16 5 การลงพื้นที่เพื่อศึกษาสถานที่ที่มีความพร้อมที่จะกำหนดเป็นแหล่งท่องเที่ยว ในอำเภอสะบ้าย้อย 24 6 การลงพื้นที่เพื่อศึกษาสถานที่ที่มีความพร้อมที่จะกำหนดเป็นแหล่งท่องเที่ยว ในอำเภอนาทวี 26 7 การลงพื้นที่เพื่อศึกษาสถานที่ที่มีความพร้อมที่จะกำหนดเป็นแหล่งท่องเที่ยว ในอำเภอจะนะ 27 8 การลงพื้นที่เพื่อศึกษาสถานที่ที่มีความพร้อมที่จะกำหนดเป็นแหล่งท่องเที่ยว ในอำเภอเทพา 29 9 การให้ความรู้และระดมความคิดเห็นต่อการกำหนดแหล่งท่องเที่ยว และแนวทางในการ พัฒนากิจกรรมตามเส้นทางท่องเที่ยวในพื้นที่ทั้ง 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา จากตัวแทน ชุมชนของแต่ละพื้นที่ 30 10 พื้นที่ เขา ใช้ชุมชนบ้านบาโหย อำเภอสะบ้าย้อย 34 11 พื้นที่ ป่า ใช้พื้นที่อุทยานเขาน้ำค้าง อำเภอนาทวี 35 12 พื้นที่ นา ใช้พื้นที่ทุ่งนาข้าวลูกปลาชุมชนบ้านป่าชิง อำเภอจะนะ 37 13 พื้นที่ เล ใช้พื้นที่ชายฝั่งทะเลปากบางเทพา อำเภอเทพา 38 14 ศึกษาข้อมูลช่องทางในการประชาสัมพันธ์โดยร่วมกับกลุ่มเป้าหมาย ผู้นำชุมชน ผู้ประกอบการในพื้นที่ และหน่วยงานภาครัฐที่สนับสนุนการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวอำเภอ สะบ้าย้อย 40 15 ศึกษาข้อมูลช่องทางในการประชาสัมพันธ์โดยร่วมกับกลุ่มเป้าหมาย ผู้นำชุมชน ผู้ประกอบการในพื้นที่ และหน่วยงานภาครัฐที่สนับสนุนการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวอำเภอ นาทวี 41 16 ศึกษาข้อมูลช่องทางในการประชาสัมพันธ์โดยร่วมกับกลุ่มเป้าหมาย ผู้นำชุมชน ผู้ประกอบการในพื้นที่ และหน่วยงานภาครัฐที่สนับสนุนการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว อำเภอจะนะ 42


ซ สารบัญภาพประกอบ (ต่อ) ภาพที่ หน้า 17 ศึกษาข้อมูลช่องทางในการประชาสัมพันธ์โดยร่วมกับกลุ่มเป้าหมาย ผู้นำชุมชน ผู้ประกอบการในพื้นที่ และหน่วยงานภาครัฐที่สนับสนุนการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว อำเภอเทพา 42 18 โปรแกรมและแผนที่เพื่อการท่องเที่ยวเส้นทางเขา (อำเภอสะบ้าย้อย) 53 19 โปรแกรมและแผนที่เพื่อการท่องเที่ยวเส้นทางป่า (อำเภอนาทวี) 54 20 โปรแกรมและแผนที่เพื่อการท่องเที่ยวเส้นทางนา (อำเภอจะนะ) 55 21 โปรแกรมและแผนที่เพื่อการท่องเที่ยวเส้นทางเล (อำเภอเทพา) 56 22 คิวอาร์โค้ดวีดิทัศน์ป้าพาเที่ยว เขาป่านาเล เสน่ห์เมืองใต้ 57


บทที่ 1 บทนำ 1.1 ที่มาและความสำคัญของปัญหา สังคมโลกเริ่มให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมชุมชนท้องถิ่น ที่เป็นฐานเศรษฐกิจสำคัญของประเทศผ่านการกระจายรายได้ในชุมชนที่เกิดขึ้นจากการเป็นแหล่งท่องเที่ยว ชึ่งนอกเหนือจากระบบเศรษฐกิจแล้ว การท่องเที่ยวยังสร้างการเปลี่ยนแปลงด้านสิ่งแวดล้อมโดยจะปรากฏ ภาพสิ่งแวดล้อมค่อยๆ ฟื้นคืน การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวให้มีความพร้อมทั้งวิถีชีวิต ธรรมชาติ มรดกทาง วัฒนธรรม และความสัมพันธ์ในชุมชนค ่อย ๆ กลับคืนมาอย ่างชัดเจนเป็นรูปธรรม สิ ่งที ่สำคัญในการ เปลี่ยนแปลงดังกล่าวส่วนหนึ่งเป็นเพราะนโยบายของรัฐบาลที่สนับสนุนและส่งเสริมการลงทุนอย่างจริงจัง มุ ่งเน้นการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในภาคเอกชนเพิ่มขึ้น (สำนักงานท ่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดสงขลา) นอกจากนี้ภาครัฐเองยังได้ใช้จุดแข็งด้านความหลากหลายทางทรัพยากรธรมชาติศิลปวัฒนธรรม ประเพณี ที่เป็นเอกลักษณ์ของพื้นที่ในการพัฒนาสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยวที่สอดคล้องกับความต้องการของ นักท่องเที่ยว ทั้งยังส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชนเพื่อให้ชุมชนสามารถลุกขึ้นมาจัดการตนเองในการสร้าง รายได้เพื่อการพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน (สินีนาฏ พูลเกื้อ : 2563) พื้นที่ใน 4 อำเภอของจังหวัดสงขลาเป็นพื้นที่พิเศษที่ปรากฎเหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคง ภายในราชอาณาจักรหรือที่เรียกว่าพื้นที่พัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ หรือที่รู้จักกันผ่านสาธารณชนว่า พื้นที่ 4 อำเภอ จังหวัดสงขลาอันประกอบด้วย อำเภอจะนะ อำเภอเทพา อำเภอนาทวี และอำเภอสะบ้าย้อย ซึ่งพื้นที่ทั้ง 4 อำเภอเป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ ทั้งภูเขา สวนป่า ทุ่งนา และท้องทะเล ทำให้เป็นพื้นที่สำคัญในการสร้างเศรษฐกิจชุมชนและความมั่นคงต่ออาชีพ นอกจากนี้ในพื้นที่ 4 อำเภอยังมี ความหลากหลายของการท่องเที่ยว โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ยังคงมีความงดงามพร้อมรับ การมาเยือนของนักท่องเที่ยว อาทิพื้นที่ป่าต้นน้ำลุ่มน้ำคลองเทพา ในชุมชนบ้านบาโหยอำเภอสะบ้าย้อย พื้นที่สวนป่าและน้ำตกเวฬุวัน ในชุมชนบ้านโหนด อำเภอสะบ้าย้อย พื้นที่อุทยานเขาน้ำค้าง อำเภอนาทวี พื้นที่ทางการเกษตรทุ่งนาข้าวแห่งชุมชนบ้านป่าชิง อำเภอจะนะ และพื้นที่ชายฝั่งทะเลชุมชนปากบางเทพา อำเภอเทพา เป็นต้น จากความหลาหลายทางธรรมชาติทำให้ผู้วิจัยมองเห็นศักยภาพของพื้นที ่ที ่จะร ่วม พัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญในการสร้างรายได้ให้กับชุมชนอีกทางหนึ่ง โดยการเชื่อมโยงพื้นที่ เขา ป่า นา เล เป็นเส้นทางท่องเที่ยวของพื้นที ่ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา ให้เป็นที่รู้จักและพร้อมรองรับ นักท่องเที่ยวที่จะเกิดขึ้นในอนาคตต่อไป ทั้งยังเป็นการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจฐานราก ก่อให้เกิดการ อนุรักษ์ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมในชุมชนอีกด้วย จากสถานการณ์ที่ปรากฏ คณะผู้วิจัยเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาศักยภาพการท่องเที ่ยว ที่เชื่อมโยงพื้นที่ เขา ป่า นา เล ใน 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา เป็นทรัพยกรการท่องเที่ยวที่บูรณาการอย่าง ยั่งยืน โดยจะดำเนินการวิเคราะห์ศักยภาพชุมชน ศึกษาความคิดเห็นของคนในชุมชนในพื้นที่ ผู้ประกอบการ ในพื้นที ่ และหน ่วยงานภาครัฐที ่จะสนับสนุนการพัฒนาแหล่งท ่องเที ่ยวทั้ง 4 อำเภอให้สามารถดึงดูด


2 นักท่องเที่ยวได้เดินทางมายังดินแดน เขา ป่า นา เล ใน 4 อำเภอของสงขลา ให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้เกิด การสร้างงานสร้างอาชีพของคนในชุมชนและส่งผลต่อการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืนต่อไป 1.2 วัตถุประสงค์ของงานวิจัย 1.2.1 เพื่อศึกษาศักยภาพท่องเที่ยวชุมชนในพื้นที่พัฒนาพิเศษจังหวัดสงขลาโดยใช้ฐานทรัพยากร เขา ป่า นา เล โดยชุมชนมีส่วนร่วม 1.2.2 เพื่อกำหนดแนวทางในการพัฒนาท่องเที่ยวชุมชนในพื้นที่พัฒนาพิเศษจังหวัดสงขลาโดยใช้ฐาน ทรัพยากร เขา ป่า นา เล 1.2.3 เพื ่อจัดทำเส้นทางและกิจกรรมการท่องเที ่ยวในพื้นที ่พัฒนาพิเศษจังหวัดสงขลาโดยใช้ฐาน ทรัพยากร เขา ป่า นา เล 1.2.4 เพื่อพัฒนาสื่อในการประชาสัมพันธ์รูปแบบการท่องเที่ยวในพื้นที่พัฒนาพิเศษจังหวัดสงขลาโดย ใช้ฐานทรัพยากร เขา ป่า นา เล 1.3 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 1.3.1 ทราบถึงศักยภาพการท่องเที่ยวชุมชนในพื้นที่พัฒนาพิเศษจังหวัดสงขลาโดยใช้ฐานทรัพยากร เขา ป่า นา เล 1.3.2 ได้แนวทางในการพัฒนาท่องเที่ยวชุมชนในพื้นที่พัฒนาพิเศษจังหวัดสงขลาโดยใช้ฐานทรัพยากร เขา ป่า นา เล โดยชุมชนมีส่วนร่วม 1.3.3 ได้เส้นทางรวมถึงรูปแบบการท ่องเที ่ยวและรายการนำเที ่ยวผ ่านแอพพลิเคชั ่นในการ ประชาสัมพันธ์ 1.3.4 ได้สื่อในการประชาสัมพันธ์รูปแบบการท่องเที่ยวในพื้นที่พัฒนาพิเศษจังหวัดสงขลาโดยใช้ฐาน ทรัพยากร เขา ป่า นา เล 1.4 ขอบเขตการศึกษา ขอบเขตด้านพื้นที่ พื้นที่ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา ได้แก่ อำเภอสะบ้าย้อย อำเภอนาทวี อำเภอเทพา และอำเภอจะนะ ขอบเขตด้านประชากร 1) คนในชุมชน หมายถึง ผู้ที่อาศัยอยู่ในภูมิลำเนาหรืออาศัยอยู่ในพื้นที่ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา 2) ผู้ประกอบการในพื้นที่ หมายถึง ผู้ประกอบการภายในชุมชน ทั้ง 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา 3) หน่วยงานภาครัฐ หมายถึง บุคลากรของหน่วยงานภาครัฐที่เข้ามาดำเนินกิจกรรมด้านส่งเสริมการ ท่องเที่ยวภายในพื้นที่ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา ขอบเขตด้านเนื้อหา 1) ศึกษาศักยภาพการท่องเที่ยวชุมชนในพื้นที่พัฒนาพิเศษจังหวัดสงขลาโดยใช้ฐานทรัพยากร เขา ป่า นา เล โดยใช้หลักเกณฑ์ในการพิจารณาในการกำหนดศักยภาพหรือความสำคัญของแหล่งท่องเที่ยว (วิวัฒน์ชัย บุญยภักดิ์, 2550 อ้างถึงใน สินีนาฏ พูลเกื้อ : 2563) ในประเด็น คุณค่าของแหล่งท่องเที่ยว


3 ความสะดวกในการเข้าถึง สิ่งอำนวยความสะดวกข้อจำกัดในการรองรับนักท่องเที่ยว และความมีชื่อเสียงใน ปัจจุบัน 2) ค้นหาแนวทางในการพัฒนาท ่องเที ่ยวชุมชนในพื้นที ่พัฒนาพิเศษจังหวัดสงขลาโดยใช้ฐาน ทรัพยากร เขา ป่า นา เล โดยชุมชนมีส่วนร่วม 3) จัดทำเส้นทางรวมถึงรูปแบบการท่องเที่ยวและรายการนำเที่ยวในพื้นที่พัฒนาพิเศษจังหวัดสงขลา โดยใช้ฐานทรัพยากร เขา ป่า นา เล 4) พัฒนาสื่อในการประชาสัมพันธ์รูปแบบการท่องเที่ยวในพื้นที่พัฒนาพิเศษจังหวัดสงขลาโดยใช้ฐาน ทรัพยากร เขา ป่า นา เล 1.5 วิธีการดำเนินการวิจัย ใช้วิธีการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participator Action Research : PAR) โดยศึกษา เอกสารที่เกี่ยวข้องกับชุมชนในพื้นที่ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา การลงพื้นที่สัมภาษณ์และประชุมเชิง ปฏิบัติผู้นำชุมชน ผู้ประกอบการในพื้นที่ และหน่วยงานภาครัฐที่สนับสนุนการพัฒนาแหล่งท่องเที ่ยว เพื่อศึกษาศักยภาพ กำหนดแนวทาง จัดทำเส้นทาง และพัฒนาสื่อการท่องเที่ยวชุมชนในพื้นที่พัฒนาพิเศษ จังหวัดสงขลา 4 อำเภอ(เทพา สะบ้าย้อย นาทวี และจะนะ) โดยใช้ฐานทรัพยากรเขา ป่า นา เล ใช้สถานที่ ทำการเก็บข้อมูลเรื่อง เขา ในชุมชนบ้านบาโหย อำเภอสะบ้าย้อย เรื่อง ป่า ในพื้นที่อุทยานเขาน้ำค้าง อำเภอนาทวี เรื่อง นา ในพื้นที่ทางการเกษตรทุ่งนาข้าวชุมชนบ้านป่าชิง อำเภอจะนะ และเรื่อง เล ในพื้นที่ ชายฝั่งทะเลชุมชนปากบางเทพา อำเภอเทพา ใช้ระยะเวลาในการทำวิจัย1 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 ถึง 30 กันยายน 2565 1.6 นิยามศัพท์เฉพาะ ศักยภาพการท่องเที่ยวชุมชน หมายถึง แหล ่งท ่องเที ่ยวมีความพร้อมที ่จะพัฒนา มีความ น ่าสนใจเพียงพอต่อการดึงดูดนักท่องเที ่ยวให้ตัดสินใจเดินทางไปยังแหล่งท ่องเที่ยวในพื้นที่ เชื ่อมโยง เขา ป่า นา เล ในพื้นที่ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา โดยพิจารณาในประเด็น คุณค่าของแหล่งท่องเที ่ยว ความสะดวกในการเข้าถึง สิ่งอำนวยความสะดวกข้อจำกัดในการรองรับนักท่องเที่ยว และความมีชื่อเสียงใน ปัจจุบัน แนวทางในการพัฒนาท่องเที่ยวชุมชน หมายถึง กระบวนการในการจัดการการท ่องเที ่ยว ที่มีรูปแบบการ ดำเนินการที่เหมาะสม ภายใต้สภาพแวดล้อมของชุมชนนั้น ๆ อีกทั้งมีเป้าหมายที่มีความ สอดคล้องกับ หลักการ ทฤษฎี และแนวคิดที่มีความเหมาะสม เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ เส้นทางการท่องเที่ยว หมายถึง เส้นทางที่นักท่องเที่ยว เดินทางจากแหล่งท่องเที่ยวจุดหนึ่ง สู่แหล่งท่องเที่ยวอีกจุดหนึ่ง เป็นแนวทางการสัญจรที่นักท่องเที่ยวเดินทางมาเพื่อ เข้าชมจุด ที่น่าสนใจตาม แหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ในพื้นที่ เขา ป่า นา เล ของ 4 อำเภอในจังหวัดสงขลา โดยง่าย สะดวก ปลอดภัย ได้รับ ความรู้และความเพลิดเพลินจากการใช้เส้นทาง สื่อประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยว หมายถึงชุดช่องทางการสื่อสารเพื่อการประชาสัมพันธ์การ ท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ในพื้นที่ เขา ป่า นา เล ของ 4 อำเภอในจังหวัดสงขลาประกอบด้วย


4 สื่อแผ่นพับแผนที่อินโฟกราฟิก และสื่อวีดีโอประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยว โดยมีองค์ประกอบ คือ แผนที่ อินโฟกราฟิก กราฟิก ภาพถ่าย ไอคอน โลโก้ ตัวหนังสือ วีดีโอ เสียง และเชื่อมต่อกันโดยใช้คิวอาร์ โค้ด ผ่านสื่อแผ่นพับแผนที่อินโฟกราฟิก ฐานทรัพยากร เขา ป่า นา เล หมายถึง แหล่งท่องเที่ยวตามฐานทรัพยากรธรรมชาติมากมาย ทั้งภูเขา ป ่าไม้ ทุ ่งนา ทะเล หรือที ่คนปักษ์ใต้เรียกกันสั้น ๆ ว ่า “เขา...ป ่า...นา...เล” ในพื้นที่ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ง่ายขึ้นในการสื่อสาร พื้นที่พัฒนาพิเศษจังหวัดสงขลา หมายถึง พื้นที่ 4 อำเภอ ของจังหวัดสงขลาอันประกอบด้วย อำเภอจะนะ อำเภอเทพา อำเภอนาทวี และอำเภอสะบ้าย้อย 1.6 กรอบแนวคิดในการวิจัย ภาพที่ 1 กรอบแนวคิดในการวิจัย นโยบายการพัฒนา เศรษฐกิจด้านการ ท่องเที่ยว - ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) - แผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ ฉบับ ที่ 12 (พ.ศ.2560-2564) - ยุทธศาสตร์การพัฒนา จังหวัดสงขลา - ยุทธศาสตร์การพัฒนา เขตพัฒนาพิเศษ จังหวัด ชายแดนภาคใต้ - พันธกิจวิทยาลัยชุมชน สงขลา การพัฒนา เศรษฐกิจฐานราก พื้นที่พัฒนา เศรษฐกิจพิเศษ 4 อ าภอของ จังหวัดสงขลา ศึกษาศักยภาพการท่องเที่ยวชุมชน ในพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ 4 อ าเภอ ของจังหวัดสงขลา โดยใช้ฐานทรัพยากร เขา ป่า นา เล ฐานทรัพยากร เขา ป่า นา เล พัฒนาศักยภาพการท่องเที่ยวชุมชน ในพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ 4 อ าเภอ ของจังหวัดสงขลา โดยใช้ฐานทรัพยากร เขา ป่า นา เล โดย คน - นักการจัดการ - นักสื่อความหมาย จัดท าเส้นทางและกิจกรรมการท่องเที่ยว ในพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ 4 อ าเภอ ของจังหวัดสงขลาโดยใช้ฐานทรัพยากร เขา ป่า นา เล - รูปแบบ, กิจกรรม - การเชื่อมโยงเส้นทาง - ช่วงเวลาการท่องเที่ยว พัฒนาสื่อในการประชาสัมพันธ์รูปแบบการ ท่องเที่ยวในพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ 4 อ าเภอของจังหวัดสงขลา โดยใช้ฐาน ทรัพยากร เขา ป่า นา เล - เอกสาร, สิ่งพิมพ์ การพัฒนา ศักยภาพการ ท่องเที่ยว ชุมชน ในพื้นที่พัฒนา เศรษฐกิจ พิเศษ 4 อำเภอของ จังหวัดสงขลา โดยใช้ ทรัพยากร เขา ป่า นา เล เพื่อนำไปสู่ ชุมชน นวัตกรรม สู่ความยั่งยืน ผู้ที่เกี่ยวข้อง องค์กรปกครองท้องถิ่น, หน่วยงานภาครัฐและเอกชนทางการท่องเที่ยว, ผู้ประกอบการ, ชุมชน


บทที่ 2 วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง การศึกษาวิจัยในครั้งนี้มีแนวคิด และทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง ซึ่งผู้วิจัยได้ ทำการศึกษาและค้นคว้าเพื่อ เป็นแนวทางในการวิจัย ดังนี้ 2.1 นโยบายและยุทธ์ศาสตร์ด้านการท่องเที่ยว ระดับชาติ ระดับภาค และระดับพื้นที่ 2.2 การเตรียมความพร้อมทางการท่องเที่ยวของชุมชนท้องถิ่น 2.3 แนวทางพัฒนาชุมชนเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว 2.4 แนวคิดการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การท่องเที่ยวเชิงนิเวศและการท่องเที่ยว ที่ยั่งยืน 2.5 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2.1 นโยบายและยุทธศาสตร์ด้านการท่องเที่ยว 2.1.1 กรอบนโยบายระดับชาติ แผนพัฒนาการท ่องเที ่ยวแห ่งชาติ ฉบับที ่ 2 (พ.ศ. 2560-2564) ได้กำหนดสาระสำคัญของ แผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติได้ให้ความสำคัญกับการวางรากฐานและแก้ปัญหาที่เป็นอุปสรรคสำคัญ ต ่อการพัฒนาการท ่องเที ่ยวของประเทศทั้งด้านคุณภาพแหล ่งท ่องเที ่ยว บุคลากรการท ่องเที ่ยว และโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้งการสร้างสมดุลของการพัฒนาทั้งในมิติของพื้นที่ เวลา กิจกรรม รูปแบบ และกลุ ่มนักท่องเที ่ยว เพื ่อการสร้างรายได้และกระจายรายได้สู ่ชุมชน โดยการเน้นการพัฒนาสินค้า และบริการด้านการท่องเที่ยวให้สอดคล้องกับอัตลักษณ์และวิถีไทย เสริมสร้างความเข้าใจแก่นักท่องเที่ยว และประชาชนถึงอัตลักษณ์ความเป็นไทย และเสริมสร้างความเป็นไทยและการเป็นเจ้าบ้านที่ดีสำหรับ ประชาชนทุกระดับ นอกจากนี้ยังส ่งเสริมความยั ่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติและสิ ่งแวดล้อมโดยการ อนุรักษ์และฟื้นฟูแหล ่งท ่องเที ่ยวที ่เสี ่ยงต ่อการเสื ่อมโทรม การบริหารความสามารถในการรองรับ นักท่องเที่ยว และการปลูกฝังจิตสำนึกความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมความยั่งยืนของวัฒนธรรม โดยการเชิดชูและรักษาไว้ซึ่งคุณค่าดั้งเดิม และภูมิปัญญาท้องถิ่น ยุทธศาสตร์สำคัญของแผนการพัฒนาการท่องเที่ยวตามวิสัยทัศน์ที่มุ่งพัฒนาประเทศไทยให้เป็น แหล่งท่องเที่ยวชั้นนำของโลก ด้วยการยกระดับคุณภาพและเพิ่มความหลากหลายของสินค้าและบริการด้าน การท่องเที่ยวให้มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับของระดับสากล ส่งเสริมดุลยภาพการเติบโตของการท่องเที่ยวโดย เน้นการกระจายการพัฒนาการท่องเที่ยวในเมืองท่องเที่ยวรองและพื้นที่ชุมชนท้องถิ่น ส่งเสริมความยั่งยืน ของทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมบนพื้นฐานอัตลักษณ์และวิถีไทย (คณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยว แห่งชาติ : 2560) ส่วนแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 พ.ศ. 2560 -2564 ได้กำหนดเป้าหมายที่ สำคัญของแผนคือการพัฒนาที ่ยั ่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) โดยเฉพาะด้านการ ท ่องเที ่ยวได้กำหนดแนวคิดและกลไกการขับเคลื ่อนไว้ในยุทธศาสตร์ ที ่ 3 การสร้างความเข้มแข็งทาง


6 เศรษฐกิจและแข่งขันได้อย่างยั่งยืน โดยเพิ่มขีดวามสามารถในการแข่งขันเชิงธุรกิจภาคบริการให้มีศักยภาพ พัฒนาการท่องเที่ยวเชิง บูรณาการ ที่เป็นการส่งเสริมรายได้จากการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและบริการ ด้านการท่องเที่ยวที่เกิดจากอัตลักษณ์และเอกลักษณ์ของความเป็นไทยที่สะท้อนวัฒนธรรมของท้องถิ่นและ วิถีชีวิตของคนในชุมชน สิ่งสำคัญคือต้องคำนึงถึงขีดความสามารถในการรองรับของระบบนิเวศเพื่อให้เกิด ความสมดุล และยั่งยืนและต้องใช้แนวทางการจัดการการท่องเที่ยวให้เกิดประสิทธิภาพ สามารถสร้างความ มั่นคงของฐานทรัพยากรธรรมชาติและยกระดับคุณภาพสิ่งแวดล้อม สนับสนุนการการท่องเที่ยวที่เป็นมิตร กับสิ่งแวดล้อมและใส่ใจต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมทั้งต้องส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวตระหนักถึง ความสำคัญของการอนุรักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติและจิตสำนึกต่อส่วนรวมเป็นสำคัญ (สำนักนายกรัฐมนตรี: 2560) และแผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2560-2564) (คณะกรรมการนโยบายการ ท่องเที่ยวแห่งชาติ : 2560 ) ที่ได้ให้ความสำคัญกับการวางรากฐานและแก้ไขปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการ พัฒนาการท่องเที่ยวของประเทศ ทั้งด้านคุณภาพ แหล่งท่องเที่ยว บุคลากรการท่องเที่ยว และโครงสร้าง พื้นฐาน รวมทั้งการสร้างความสมดุลของการพัฒนา ทั้งในมิติของพื้นที่ เวลา กิจกรรม รูปแบบ และกลุ่ม นักท่องเที่ยว เพื่อการสร้างรายได้และกระจายรายได้สู่ชุมชน เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนด้วยการส่งเสริม ความยั่งยืนของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยการอนุรักษ์และฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยวที่เสี่ยงต่อการ เสื่อมโทรม การบริหารความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยว และการปลูกฝังจิตสำนึกความเป็นมิตรต่อ สิ่งแวดล้อมให้กับนักท่องเที่ยวซึ่งมีทั้งสิ้น 13 กลุ่ม ได้แก่ การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม (Cultural Tourism) การท ่องเที ่ยวทางทะเล และชายหาด (Sea Sun Sand Tourism) การท ่องเที ่ยวเพื ่อการประชุมและ นิทรรศการ (MICE) การท ่องเที ่ยวเชิงกีฬา (Sport Tourism) การท ่องเที ่ยวเชิงผจญภัย (Adventure Tourism) การท ่องเที ่ยวเพื ่อการเลือกซื้อสินค้า (Shopping Tourism) การท ่องเที ่ยวเชิงอาหาร (Gastronomy tourism) การท่องเที่ยวเพื่อสันทนาการและความบันเทิง (Entertainment Tourism) การ ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Health & Wellness Tourism) การท่องเที่ยวเชิงสิ่งแวดล้อมและนิเวศ (Ecotourism) การท ่องเที ่ยวเชิงการแพทย์(Medical Tourism) การท ่องเที ่ยวเรือสำราญ (Cruise Tourism) และการ ท่องเที่ยวเชิงศาสนา (Religious Tourism) 2.1.2 กรอบนโยบายระดับภาค แผนพัฒนาภาคใต้ พ.ศ. 2560 –2565ได้กำหนดทิศทางของการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวที่ระบุ ไว้ในวิสัยทัศน์ว ่า “ภาคใต้เป็นเมืองท ่องเที ่ยวพักผ ่อนตากอากาศระดับโลก เป็นศูนย์กลางผลิตภัณฑ์ ยางพาราและปาล์มน้ำมันของประเทศ และเมืองเศรษฐกิจเชื่อมโยงการค้าการลงทุนกับภูมิภาคอื่นของโลก” ดังนั้นพันธกิจหลัก คือต้องดำเนินการพัฒนาการท่องเที่ยวของภาคใต้ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวคุณภาพชั้นนำ ของโลก จึงมีโครงการในการส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน ยกระดับมาตรฐานการให้บริการของผู้ประกอบการ เพื่อให้เกิดการท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ มีมาตรฐานระดับสากลส่วนแผนพัฒนาภาคใต้ชายแดน พ.ศ. 2560 – 2565ได้ระบุทิศทางการพัฒนาการท่องเที่ยวที่เน้นมาตรฐานการให้บริการด้านธุรกิจท่องเที่ยวที่เชื่อมโยง กับแหล่งการค้าที่ได้มาตรฐานสากล (สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ : 61) 2.1.3 กรอบนโยบายระดับจังหวัด แผนพัฒนาจังหวัดสงขลาได้กำหนดทิศทางของการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวไว้ในยุทธศาสตร์ที่ 1 ได้แก่ “พัฒนาศักยภาพการเกษตร อุตสาหกรรมการค้า การลงทุน การท่องเที่ยวและบริการ” โดยมีกลยุทธ์


7 สำคัญที่จะพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและเชิงธุรกิจ เนื่องเพราะจังหวัดสงขลาเป็นศูนย์กลางการ ท่องเที่ยวของภาคใต้ตอนล่างเป็นจังหวัดที่มีแหล่งท่องเที่ยวที่หลากหลายเป็นเมืองที่มีสองทะเล คือทะเล อ่าวไทย และทะเลสาบ และยังเป็นเมืองแห่งการค้าขายมาแต่โบราณ ปรากฏโบราณสถาน โบราณวัตถุใน หลายพื้นที่ อีกทั้งยังมีขนบธรรมเนียมประเพณี ภาษาและที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมตกทอดมาให้ชนรุ่นหลัง ได้ศึกษา สงขลามีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายทั้ง เกาะ ชายทะเล น้ำตก และทะเลสาบ ส่วนอำเภอหาดใหญ่ ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางการค้าและการลงทุนที่สำคัญของภาคใต้มีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว อีกทั้งจังหวัดสงขลามีชายแดนติดต ่อกับ ประเทศมาเลเซียและมีเส้นทางการคมนาคมที่สะดวกทำให้ นักท่องเที่ยว โดยเฉพาะชาวมาเลเซียและสิงคโปร์ นิยมเดินทางมาท่องเที่ยวในจังหวัดสงขลาเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังกำหนดประเด็นยุทธ์ศาสตร์ที่จะอนุรักษ์ ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดยให้ใช้กลยุทธ์การส่งเสริมและพัฒนาการจัดการสิ่งแวดล้อมสู่การเป็นเมืองสีเขียว(Green city) จึงทำให้ ทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนต้องพยายามหาแนวทางในการขับเคลื่อนโยบายตามยุทธศาสตร์ให้ ปรากฏอย่างเป็นรูปธรรม(สำนักงานจังหวัดสงขลา : 2560) ตามแนวยุทธศาสตร์การส่งเสริมการท่องเที่ยวสี เขียว (green tourism) พ.ศ.2560-2564 ที่รวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ทัศนคติต่อการพัฒนาการท่องเที่ยว จากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทางการท่องเที่ยวทั้งทางตรงและทางอ้อมเพื่อหาแนวทางในการพัฒนาที่เหมาะสมโดย เน้นการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในเรื่องการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทำให้สิ่งแวดล้อมเกิดความ ยั่งยืน โดยระบุวิสัยทัศน์ ดังนี้ “ประเทศไทยเป็นผู้นำการท่องเที่ยวสีเขียวในกลุ่ม CCLMVT” ทั้งยังได้ กำหนดพันกิจของการพัฒนาการท่องเที่ยวสีเขียว ไว้ดังนี้ 1) ส่งเสริมการพัฒนาจากการทำกิจกรรมและการ บริการที่ลดการใช้ทรัพยากรทางธรรมชาติ และต้องลดผลกระทบที่อาจจะมีต่อสิ่งแวดล้อม 2) กำกับ ดูแล เผยแพร่ผลกระทบที่เกิดกับสิ่งแวดล้อมจากการท่องเที่ยว 3) กำหนดเป็นมาตรการสนับสนุน จูงใจและ ส่งเสริมการดำเนินการในการจัดการท ่องเที่ยวสีเขียว และ 4) ปรับใช้กฎหมาย ระเบียบให้ใช้ได้อย ่างมี ประสิทธิภาพและประสิทธิผล นอกจากนี้กลไกในการขับเคลื่อนการจัดการท่องเที่ยวสู่การเป็นผู้นำของการ ท ่องเที ่ยวสีเขียวนั้นกระทรวงการท ่องเที ่ยวและกีฬา (2560) ได้กำหนดยุทธศาสตร์ที ่สอดคล้องกับ สถานการณ์และแนวโน้มของความเป็นไปได้ ประกอบด้วย 3 ยุทธศาสตร์ คือยุทธศาสตร์แรกจะเป็นการ พัฒนาทรัพยากรและผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวเพื่อนำไปสู่การท่องเที่ยวสีเขียว โดยเน้นการพัฒนาแหล่ง ท่องเที่ยวเพื่อลดผลกระทบของการท่องเที่ยวต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งทรัพยากรบุคคลและทรัพยากรอื่น ๆ เช่น ระบบขนส่ง ระบบการดูแลและกำจัดน้ำเสียเป็นต้น ยุทธศาสตร์ที่สอง เป็นการสร้างและยกระดับกลไกที่ สนับสนุนการท่องเที่ยวสีเขียวให้ได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับ และสร้างเครือข่ายการทำงานร่วมกันของทุก ภาคส่วน และยุทธศาสตร์ที่สามซึ่งเป็นยุทธศาสตร์สุดท้ายเป็นการส่งเสริมการตลาดในการจัดการท่องเที่ยว สีเขียว โดยการใช้กลไกการตลาดเป็นเครื่องมือในการสร้างความตระหนักรู้ในผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทั้ง นักท่องเที่ยว ผู้ประกอบการและผู้ให้บริการทางการท่องเที่ยว ชุมชน บุคลากรของรัฐ หรือการใช้เทคโนโลยี ในการสื่อสารของคุณค่าของผลิตภัณฑ์ผ่านช่องทางต่าง ๆ นอกจากนี้ต้องส่งเสริมการตลาดในการกระตุ้นให้ เกิดการจับจ่ายใช้สอยเพื่อการบริโภคผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวสีเขียวให้มากที่สุด เช่น การจัดนิทรรศการ การเชื่อมโยงเส้นทางการท่องเที่ยวสีเขียวในแต่ละพื้นที่ที่ใกล้เคียงกัน เป็นต้น


8 2.2 การเตรียมความพร้อมทางการท่องเที่ยวของชุมชนท้องถิ่น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา(2560) ได้สรุปไว้ว่าการเตรียมความพร้อมของชุมชนท้องถิ่นที่ จะปรากฏตัวสู่ภายนอก เป็นการเตรียมเพื่อให้ชุมชนได้รับรู้ว่าถ้าหากเปิดรับนักท่องเที่ยวจะมีผลอะไรเกิด ขึ้นกับพวกเขาบ้าง การจะให้เขามีส่วนร่วมทางการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ต้องให้เขาได้ประโยชน์จากการ ท่องเที่ยว เพื่อให้เขามีรายได้เพียงพอในการยังชีพ มิฉะนั้นอาจเกิดการทำลายทรัพยากรขึ้นได้ การเตรียม ความพร้อมทางการท่องเที่ยวมีลักษณะสำคัญ 4 ด้าน ได้แก่ 1. การเตรียมความพร้อมด้านทั่ว ๆไป เป็นการเตรียมในด้านการประชาสัมพันธ์ แนวทางการ พัฒนาสินค้าการท่องเที่ยว การจัดการท่องเที่ยวของชุมชนท้องถิ่น ผลกระทบด้านบวกและด้านลบที่จะ เกิดขึ้นจากการท่องเที่ยวต่อชุมชน การจัดทำแผนงานการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาภูมิทัศน์ของ ชุมชนท้องถิ่น การจัดทำเส้นทางและแผนที่ท่องเที่ยวของชุมชนท้องถิ่น การอบรมผู้นำทางแก่คนในชุมชน ท้องถิ่นในเรื่ององค์ความรู้เกี่ยวกับการนำเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยว หรือรายการนำเที่ยวที่ชุมชนจัดทำขึ้น และสิ่งสำคัญชุมชนต้องมีมาตรการในเรื่องการรักษาความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว 2. การเตรียมความพร้อมด้านการจัดหานักท่องเที่ยว เพราะถ้าไม่มีนักท่องเที่ยว การท่องเที่ยว ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ ในการจัดการก็ดำเนินการได้หลายวิธี เช่น ทำแผ่นพับ ใบปลิวระบุรายละเอียดเรื่องการ ท่องเที่ยว การขอความร่วมมือจากหน่วยงานราชการ และเอกชนอื่น ๆเพื่อการประชาสัมพันธ์การเชิญชวน สื ่อมวลชนเข้าร ่วมกิจกรรมการท ่องเที ่ยว และการจัดให้มีพนักงานขายบริการท ่องเที่ยวชุมชน เพื ่อให้ นักท่องเที่ยวได้ติดต่อดำเนินการจัดการเพื่อการท่องเที่ยวในชุมชน 3. การเตรียมความพร้อมด้านการให้บริการการท ่องเที ่ยว แก่นักท่องเที ่ยวที ่จะเข้ามาเที่ยว โดยพยายามให้ชุมชนเป็นผู้ให้บริการท่องเที่ยว อันเป็นการกระจายรายได้สู่ชุมชนอย่างแท้จริง ซึ่งจะต้องมี การพัฒนาบุคลากรในการให้บริการ เช่น การพัฒนาบุคลิกภาพผู้ให้บริการเพื่อให้เกิดความประทับใจแก่ นักท่องเที่ยว การอำนวยสะดวกและดูแลความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว การรักษาเวลาให้เป็นไปตามที่ กำหนด หากต้องเปลี่ยนแปลงต้องเป็นไปตามความต้องการของนักท่องเที่ยว ต้องไม่เอาเปรียบนักท่องเที่ยว ต้องคิดค่าบริการอย่างเปิดเผย ต้องจำหน่ายสินค้าที่ได้มาตรฐานเหมาะสมกับราคา ต้องให้บริการเป็นไป ตามที่โฆษณาไว้ ต้องพัฒนาเส้นทางคมนาคมให้เข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวได้อย่างสะดวกสบาย และต้องให้ นักท่องเที่ยวรู้สึกปลอดภัยทั้งชีวิตและทรัพย์สิน 4. การเตรียมความพร้อมด้านการต้อนรับนักท่องเที่ยว เป็นการเตรียมความพร้อมให้ชุมชนมี ทัศนคติที่ดีในการต้อนรับนักท่องเที่ยวเพื่อความพึงพอใจให้นักท่องเที่ยวเกิดความประทับใจ โดยเฉพาะใน ด้านการปฏิบัติงาน จึงต้องพัฒนาคนให้มีความรู้ความสามารถในด้านบริการการท ่องเที ่ยวให้มีความ เหมาะสมอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังต้องสร้างความภาคภูมิใจในศักดิ์ศรีของการทำงานด้านบริการ มีความ เอาใจใส่นักท่องเที่ยว สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่อาจจะเกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยวได้ และสิ่งสำคัญต้อง เป็นคนซื่อสัตย์ ตรงต่อเวลา เป็นต้น ณัฏฐพัชร มณีโรจน์(2560) ได้นำเสนอแนวทางของการเตรียมความพร้อมการจัดการท่องเที่ยว โดยชุมชน มีลักษณะเป็นการตรวจสอบรายการ (Check List) รวมทั้งหมด 5 ด้าน 29 ดัชนี และเกณฑ์ 176 ข้อ เพื่อให้ชุมชนได้นำไปวิเคราะห์ความเป็นไปได้ในการจัดการท่องเที ่ยวและเตรียมความพร้อมในการ พัฒนาการท่องเที่ยวในพื้นที่ได้ดังนี้


9 1. ด้านการบริหารจัดการอย่างยั่งยืนของการท่องเที่ยวโดยชุมชน มีประเด็นย่อย 31 ข้อ รวม 6 ดัชนีชี้วัด ประกอบด้วย 1.1) ระบบการบริหารจัดการโดยช ุมชนแบบบูรณาการ ทั้ง 8 ด้าน ได้แก ่ ด้าน ทรัพยากรธรรมชาติ ด้านวัฒนธรรม ด้านสุขภาพอนามัย ด้านความปลอดภัย ด้านคน สังคม ผลประโยชน์ ด้านคุณภาพบริการ และด้านการตลาด 1.2) การมีส่วนร่วมของสมาชิกลุ่ม และชุมชน 1.3) การเสริมศักยภาพของคนในกลุ่ม และชุมชน 1.4) ระบบประเมินความพึงพอใจ ของนักท ่องเที ่ยว กลุ ่มนักท ่องเที ่ยว และชุมชนที่ ครอบคลุม 8 ด้าน 1.5) การปฏิบัติตาม กฎระเบียบของกลุ่มคนในชุมชน และนักท่องเที่ยว 1.6) การตลาด และประชาสัมพันธ์อย่าง รับผิดชอบ 2. ด้านการท่องเที่ยวโดยชุมชนมีการกระจายผลประโยชน์สู่ท้องถิ่น สังคม และคุณภาพ ชีวิต มี ประเด็นย่อย 12 ข้อ รวม 3 ดัชนีชี้วัด ประกอบด้วย 2.1) สนับสนุนการพัฒนาชุมชน 2.2) กระจายรายได้อย่างเป็นรูปธรรม และสร้างโอกาสในการมีรายได้เสริม 2.3) การให้เกียรติ ด้านสิทธิมนุษยชน และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ 3. ด้านการท่องเที่ยวโดยชุมชนมีการอนุรักษ์ และส่งเสริมมรดกทางวัฒนธรรม มี ประเด็นย่อย 14 ข้อ รวม 4 ดัชนีชี้วัด ประกอบด้วย 3.1) กลุ่มท่องเที่ยวมีข้อมูล และความรู้ เกี่ยวกับวัฒนธรรม และวิถีชีวิตในท้องถิ่น 3.2) มีการถ่ายทอดข้อมูลทางวัฒนธรรม และวิถีชีวิต จากคนภายในสู่คนภายนอก และการ ถ่ายทอดภายในชุมชนด้วยตัวเอง 3.3) มีกฎ กติกา และ แนวทางปฏิบัติเพื ่อการเคารพ และปกป้องวัฒนธรรมของคนใน ท้องถิ่น และให้เกียรติวัฒนธรรม ของแขกผู้มาเยือน 4. ด้านการท่องเที่ยวโดยชุมชนมีการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมอย่าง เป็น ระบบ และยั่งยืน มีประเด็นย่อย 37 ข้อ รวม 9 ดัชนีชี้วัด ประกอบด้วย 4.1) กลุ่มท่องเที่ยวมีฐานข้อมูลด้านทรัพยากร และการให้การศึกษา 4.2) มีการออกแบบกิจกรรมท่องเที่ยวที่คำนึงถึงการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน 4.3) การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ สิ ่งแวดล้อมอย ่างยั ่งยืน และการอนุรักษ์ความ หลากหลายทางชีวภาพ 4.4) การจัดการขยะชุมชน/แหล่งท่องเที่ยว 4.5) การจัดการทรัพยากรน้ำ และน้ำเสีย 4.6) การจัดการด้านเสียงรบกวน 4.7) การจัดการด้านพลังงาน 4.8) ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 4.9) อาคารสิ่งปลูกสร้าง


10 5. ด้านการบริการ และความปลอดภัยของการท่องเที่ยวโดยชุมชน มีประเด็นย่อย 82 ข้อ รวม 7 ดัชนีชี้วัด ประกอบด้วย 5.1) กิจกรรมการท ่องเที ่ยวมีความชัดเจน ปลอดภัย มีความ เหมาะสมกับสภาพชุมชน กลุ่มเป้าหมาย และช่วงเวลา 5.2) ที่พัก 5.3) ยานพาหนะ และการ เดินทาง 5.4) นักสื่อความหมายท้องถิ่น 5.5) เจ้าของบ้าน 5.6) การติดต่อประสานงาน 5.7) ความปลอดภัย ตรวจสอบความพร้อมของการท่องเที่ยวในชุมชนทั้งหมด 5 ด้าน เป็นการบริหารจัดการอย่าง ยั่งยืน สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิต และเศรษฐกิจท้องถิ่น ส่งเสริมและอนุรักษ์วัฒนธรรม และประเพณีที่ดี งามให้ดำรงคงอยู่ ดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม การบริการ และการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เพื่อให้เกิดการจัดการท่องเที่ยวที่เป็นมาตรฐาน มีพร้อมในการต้อนรับนักท่องเที่ยวผู้มาเยือน เมื่อมีด้านใดมี คะแนนน้อยให้นำด้านนั้นมาดำเนินการ วางแผนพัฒนาให้สมบูรณ์ เพื่อรองรับการท่องเที่ยวของชุมชน ท้องถิ่นที่จะดำเนินการต่อไปในอนาคต 2.3 แนวคิดการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Tourism) ปัจจุบันมีปัจจัยสำคัญหลายประการที่เป็นแรงผลักดันให้ประเทศไทยต้องให้ความสำคัญกับการ ท่องเที่ยวสีเขียว ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตอย่างรวดเร็วของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เพิ่มมากขึ้นไปสู่ พื้นที่ท่องเที่ยวใหม่หรือแหล่งท่องเที่ยวที่สามารถรองรับได้ ส่งผลให้เกิดความแออัด รวมถึงความเสื่อมโทรม ของธรรมชาติและทรัพยากรท่องเที่ยว การให้ความสำคัญกับประเด็นสิ่งแวดล้อมที่มักถูกมองข้ามหรือถูก ละเลยทำให้เกิดผลกระทบมากมายในพื้นที่การท่องเที่ยว แนวคิดเศรษฐกิจสีเขียวหรือ Green Economy จึงได้เกิดขึ้น โดยเศรษฐกิจสีเขียวคือการพัฒนาหรือสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจที่มีการรักษาระบบธรรมชาติให้ เกิดความยั่งยืน แนวคิดเศรษฐกิจสีเขียวจึงถูกนำไปใช้อย่างแพร่หลายในภาคเศรษฐกิจ เช่น ผลิตภัณฑ์สี เขียว โรงงานสีเขียว การขนส่งสีเขียว และการท่องเที่ยวสีเขียว เป็นต้น 2.3.1 ความหมายของการท่องเที่ยวสีเขียว(Green Tourism) กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (2560) ได้สรุปนิยามของการท่องเที่ยวสีเขียวว่ามีลักษณะของ การท่องเที่ยวที่ครอบคลุมการท่องเที่ยวทุกประเภทเข้าด้วยกัน ทั้งประเภทกิจกรรมและองค์ประกอบทั้งใน ระดับของพื้นที ่ท ่องเที ่ยวและจุดท ่องเที ่ยว ซึ ่งจะให้ความสำคัญกับมิติทางด้านเศรษฐกิจและด้าน สิ่งแวดล้อมเป็นหลัก มีเป้าหมายสำคัญในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การท่องเที่ยว ได้ขับเคลื่อนไปสู่การท่องเที่ยวที่ยั่งยืน ส ่วนกรวรรณ สังขกร (2559 )ได้สรุปแนวคิดของแหล ่งท ่องเที ่ยวสีเขียวว ่าเป็นการจัดการ ท ่องเที ่ยวที ่มีกรอบนโยบายการดำเนินการในทิศทางของการท ่องเที ่ยวที ่ยั ่งยืน โดยเป็นตั้งปณิธาน (commitment) ในการปกป้องและรักษาสิ่งแวดล้อม ต้องช่วยกันดูแล หรือลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อย่างถูกต้องและถูกวิธี ซึ่งอาจนำแนวคิด 7 green ไปใช้ในการบริหารจัดการการท่องเที่ยวในพื้นที่ของ


11 ตนเอง ซึ่งจะเน้นในเรื ่องการบริการ การจัดการพื้นที่ โดยใช้หลักการของความเป็นมิตรต ่อสิ่งแวดล้อม การอาศัยอยู่ร่วมกันกับธรรมชาติอย่างยั่งยืน การรักษาไว้ซึ่งประเพณีวัฒนธรรมอันดีงามที่ก่อให้เกิดการ แสดงความเคารพต่อธรรมชาติมาใช้ให้มากขึ้น สิ่งสำคัญต้องคำนึงถึงการสร้างสิ่งดึงดูดใจหรือสร้างสิ่งจุด สนใจให้นักท่องเที่ยวเพิ่มการจับจ่ายใช้สอยให้มากขึ้น เพื่อเป็นการสร้างสภาพเศรษฐกิจของชุมชนให้ดีขึ้น ด้วย นอกจากนี้ชุมชนก็จะต้องอาศัยผลิตผลที่เกิดจากธรรมชาติ และมีการจัดการที่ยั่งยืน ซึ่งต้องมีสวนก่อ ใหเกิดการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติให้มีความยั่งยืน และ Gibson, Dodds, Joppe,& Jemieson (2003) ไดใหค าจ ากัดความของการทองเที่ยวสีเขียวโดยประยุกต์มาจากคำนิยามขององค์การทองเที่ยวโลก (World Tourism Organization: UNWTO) วาการทองเที่ยวสีเขียวคือการทองเที่ยวที่มีความรับผิดชอบตอสังคม สามารถสรางความอยูรอด (vitality) ให้เกิดขึ้นกับชุมชน ซึมซับต่อวัฒนธรรมตามวิถีที่ปรากฏ และต้องเต็ม ไปดวยประสบการณ (experiential richness) ยิ่งไปกวานั้นสถาบันวิจัยวิทยาศาสตรและ เทคโนโลยีแห่ง ประเทศไทยไดใหค านิยามโดยสรุปวา “การทองเที ่ยวอย ่างมีความรับผิดชอบในแหลงธรรมชาติที ่มี เอกลักษณะเฉพาะถิ่น และแหลงวัฒนธรรมที่เกี่ยวเนื่องกับระบบนิเวศสิ่งแวดลอม มีกระบวนการเรียนรูรวม กันของผูที่เกี่ยวของภายใตการจัดการอยางมีสวนรวมของชุมชนทองถิ่นเพื่อมุงใหเกิดจิตส านึกตอการรักษา ระบบนิเวศอยางยั่งยืน” (สถาบันวิจัยวิทยาศาสตรและเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย, 2540) จากการทบทวนเอกสารทั้งหมดจึงสรุปได้ว่าการท่องเที่ยวสีเขียวเป็นค าที่ถูกใช้เพื่อให้เกิดการ ดำเนินการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เป็นการพัฒนากลไกที่ควบคุมเรื่องหลักคือเพื่อลดผลกระทบทางลบต่อ สิ ่งแวดล้อมและสังคม จากการดำเนินกิจกรรมของการท ่องเที ่ยว ทั้งในเขตพื้นที ่ชนบทหรือเขตเมือง การพัฒนาการท่องเที่ยวสีเขียวจะมีความแตกต่างจากการท่องเที่ยวประเภทอื่นๆ ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ คือ (1) มุ่งเน้นการท่องเที่ยวในพื้นที่ธรรมชาติและพื้นที่ชนบท (2) มุ่งเน้นที่กระบวนการท่องเที่ยวที่เป็นสี เขียว ที่ไปยังจุดหมายปลายทางซึ่งมีทั้งพืชพรรณ สัตว์และมรดกทางวัฒนธรรม เป็นสิ่งดึงดูดความสนใจหลัก ค าจ ากัดความนี้ได้ถูกขยายให้กว้างออกไป โดยรวมความว่าเป็นการท่องเที่ยวที่สร้างความยั่งยืน ให้กับ สิ่งแวดล้อมในพื้นที่จุดหมายปลายทางซึ่งมีทั้ง พืชพรรณ สัตว์ และมรดกทางวัฒนธรรมโดยปราศจากการท า ให้เกิดความเสียหาย ทั้งนี้เพื่อเคารพและปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ และปรับบริการท่องเที่ยวให้เหมาะสม กับบริบททางสิ่งแวดล้อมที่เปราะบาง ในขณะเดียวกันช่วยส่งเสริมให้เกิดการเคารพและอนุรักษ์ทรัพยากร และความหลากหลายทางวัฒนธรรมของพื้นที่ มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ปกป้อง อนุรักษ์ และฟื้นฟู ธรรมชาติและสภาพแวดล้อม ทางกายภาพให้ดีขึ้น เพื่อสร้างความมั่นใจต่อประเด็นความสามารถในการ ค้ำจุนสภาพความเป็นอยู่ที่ดีของระบบนิเวศในระยะยาว มีพลังทางเศรษฐกิจของท้องถิ่น สนับสนุนเศรษฐกิจ ธุรกิจ และชุมชนท้องถิ่น เพื่อให้แน่ใจถึงพลังและความยั่งยืนทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมที่หลากหลาย ความหมายของการท่องเที่ยวสีเขียว จึงคล้ายคลึงกับการ การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ (Eco-tourism) ในการ สร้างความตระหนักว่าจะเกิดอะไรขึ้น เมื่อนักท่องเที่ยวเดินทางไปถึงที่นั่น ซึ่งไม่ว่าจะเป็นที่ใดต้องให้ความ เคารพต่อสิ่งแวดล้อมในพื้นที่นั้นให้มากที่สุด ไม่เฉพาะแต่พื้นที่ที่มีการอยู่อาศัย แต่ยังรวมถึงสถานที่ต่างๆ ที่มีการเดินทางท่องเที่ยวไปถึง ดังนั้นการท่องเที่ยวสีเขียวจึงครอบคลุมสิ่งอ านวยความสะดวกและบริการที่ เสนอให้แก่นักท่องเที่ยว โดยต้องคำนึงถึงว่าการบริการดังกล ่าวจะส ่งผลกระทบตอสิ ่งแวดล้อมหรือไม่ อย่างไรบ้าง การท่องเที่ยวสีเขียว จึงเป็นการท่องเที่ยวรูปแบบหนึ่งของการท่องเที่ยวชุมชนโดยมีคนใน ชนบทเข้ามามีส่วนร่วมอย่างสมัครใจ โดยมุ่งไปที่การเพิ่มรายได้ของครอบครัวชนบทและชุมชนที่เป็นเจ้า บ้าน โดยการขายผลิตผลการเกษตรที่ตนเองปลูก การท่องเที่ยวสีเขียว เป็นการพัฒนาขนาดเล็กที่เป็นมิตร


12 กับสิ่งแวดล้อมและมีจุดมุ่งหมายที่จะทำให้คนในเมือง เห็นคุณค่าของพื้นที่ชนบทและความสำคัญของ วัฒนธรรมในพื้นที่ โดยให้คนในเมืองมีโอกาสได้สัมผัสกับชีวิตและวัฒนธรรมที่แตกต่างจากความเป็นเมือง นั่นเอง นอกจากนี้การท่องเที่ยวสีเขียว มีเป้าหมายเพื่ออธิบายรูปแบบการท่องเที่ยวที่มีบทบาทในฐานะเป็น แรงบวกต่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยผ่านการส่งเสริมให้สามารถพึ่งพาตนเองในทางเศรษฐกิจ ในปัจจุบันแนวคิดการท่องเที่ยวสีเขียวโดยรวมถูกนำมาใช้เพื่อ ระบุกิจกรรมและบริการท่องเที่ยว ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แต่จะมีมุมมองที่แตกต่างกัน คือมุมมองเชิงพื้นที่และมุมมองในลักษณะที่เป็น กระบวนการ/กลไก/เครื ่องมือ นั ่นคือ มุมมองแรกเป็นการเน้นพื้นที ่ปลายทางที ่เป็นจุดหมายของการ ท่องเที่ยว ที่เป็นพื้นที่ธรรมชาติแปลกใหม่ สวยงามและไม่ได้ถูกทำลาย และมีการรักษาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ ส่วนแนวทางที่สองการท่องเที่ยวสีเขียวนำมาใช้เพื่อ ส่งสัญญาณว่าการดำเนินการท่องเที่ยวที่เกิดขึ้นต้องมี การจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ต้นทางจนถึงจุดหมายปลายทาง 2.3.2 องค์ประกอบการท่องเที่ยวสีเขียว กรมการท่องเที่ยว กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา (2557) ได้กำหนดองค์ประกอบเครื่องช่วยในการ พิจารณาความเชื ่อมโยงของแต่ละองค์ประกอบ ทำให้สามารถทำความเข้าใจความเป็นพลวัตของทุก องค์ประกอบ ของการท่องเที ่ยวสีเขียวทั้งหมด โดยวิธีการน าเอาแนวคิดเชิงระบบมาประยุกตใช้ ซึ่งจะ ประกอบด้วยส่วนโครงสร้าง กระบวนการ ผลลัพธ์ ผลย้อนกลับ และขอบเขตที ่เป็นบริบท ซึ ่งจะ ประกอบด้วยองค์ประกอบด้านต่างๆ ได้ดังนี้ 1) องค์ประกอบส่วนที่เป็นโครงสร้าง เป็นหน่วยของรูปแบบกลไกในการส่งเสริมพัฒนาการท่องเที่ยวสีเขียว ประกอบด้วย ประเด็นที่ เป็นปัญหาร่วมของการท่องเที่ยวสีเขียว เป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาระบบเพื่อที่จะสร้างความสัมพันธ์ กับประเด็นความสนใจรวมของการท ่องเที ่ยวสีเขียวที ่เป็นกระแสโลก และน ามาแยกแยะให้เชื ่อมโยง สอดคล้องกับความสนใจเฉพาะส่วนของผู้เกี่ยวข้อง เพื่อให้เป็นไปได้ในทิศทางเดียวกันทั้งระบบ ผู้มีส่วนได้ ส่วนเสียเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการท่องเที่ยวสีเขียว ควบคุม กำกับ ดูแล ทิศทาง ในฐานะที่เป็นเจ้าภาพ มีส่วนรับผิดชอบจัดการ ตามบทบาทหน้าที่และประเด็นความสนใจเฉพาะพื้นที่ และขยายความเชื่อมโยงไป ยังทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องที่เกี่ยวข้องในฐานะผู้สนับสนุน การท่องเที่ยวสีเขียวให้มีความยั่งยืน 2) องค์ประกอบส่วนที่เป็นกระบวนการในการพัฒนาการท่องเที่ยวสีเขียว และส่งเสริมการมีส่วน ร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้อง เป็นวิธีการและเครื่องมือที่จะเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้รูปแบบกลไกที่กำหนด ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ประกอบด้วย กระบวนการเรียนรู้ร่วมกันที่จะส่งเสริมและ พัฒนาการท ่องเที ่ยวสีเขียว กระบวนการสื ่อสารแบบมีส ่วนร ่วมเกี ่ยวกับการส่งเสริมและพัฒนาการ ท่องเที่ยวสีเขียวจากวิธีการหรือเครื่องมือทางการสื่อสาร โดยเฉพาะการสื่อสารสองทางระหว่างนักท่องเที่ยว และผู้ประกอบการ ตลอดจนผู้มีส่วนร่วมทุกภาคส่วน กระบวนการตัดสินใจร่วมเกี่ยวกับการส่งเสริมและ พัฒนาการท่องเที่ยวสีเขียว ที่จะดำเนินการในการสร้างองค์ความรู้เฉพาะด้าน เพื่อการแบ่งความรับผิดชอบ และสร้างประโยชน์ร่วมทางด้านการจัดการท่องเที่ยวสีเขียว


13 3) องค์ประกอบส่วนที่เป็นผลย้อนกลับ เป็นปัญหาและอุปสรรค ในการดำเนินการท่องเที่ยวสีเขียว ทั้งระบบ ประกอบด้วย บทเรียนที่ เป็นแรงขับและแรงต้านภายในพื้นที ่ประกอบการ เพื ่อให้มั ่นใจว ่ากิจกรรมการมีส ่วนร ่วมในพื้นที่ ประกอบการ มีความราบรื่นภายใต้ความสัมพันธที่ดีของผู้ประกอบการและผู้ปฏิบัติงาน สามารถพัฒนา ศักยภาพในการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคให้ลุล่วงไปได้ บทเรียนที่เป็นหลักประกันในการเสริมสร้างความ เป็นพันธมิตร และการพัฒนาเครือข่าย ความร่วมมือที่ต่อเนื่อง เงื่อนไขความสำเร็จเกี่ยวกับการส่งเสริมและ พัฒนาท่องเที่ยวสีเขียว ต้องน าเอาผลลัพธ์ที่ดี (Best Practices) มาขยายผลของการส่งเสริมและพัฒนา เฉพาะพื้นที่ 4) องค์ประกอบส่วนที่เป็นบริบทของการส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวสีเขียว เป็นส่วนที่ควบคุมกลไกการทำงานของทุกองค์ประกอบ เพื่อให้การทำงานของแต ่ละหน ่วยมี ทิศทางความสัมพันธ์ที ่ชัดเจน และสามารถเชื ่อมโยงไปสู่จุดมุ ่งหมายของการส ่งเสริมและพัฒนาการ ท่องเที ่ยวสีเขียวในที ่สุด ประกอบด้วย ภาพอนาคตการท่องเที ่ยวสีเขียวที ่ประชาสังคมให้การยอมรับ ช ่วยสร้างโลกทัศน์ (Worldviews) ใหม่ๆ สำหรับการพัฒนาการท่องเที ่ยวสีเขียวให้สอดคล้องกับการ เปลี ่ยนแปลงที ่เกิดขึ้น การเสริมสร้างความร ่วมมือของผู้มีส ่วนได้ส ่วนเสีย เพื ่อที ่จะแบ่งปันการรับรู้ (Perception) หรือการปรับทัศนคติด้านความเชื ่อและประสบการณ์ให้มีทิศทางสอดคล้อง ช ่วยสร้าง แรงจูงใจทั้งทางกายภาพและทางจิตวิทยา ซึ่งจะเป็นพื้นฐานของความสัมพันธ์และความร่วมมือร่วมใจของผู้ มีส ่วนได้ส่วนเสียทั้งบริบท เรียนรู้ร ่วมกันโดยการแลกเปลี ่ยนประสบการณ์ระหว ่างคณะผู้ศึกษาและ ผู้ปฏิบัติงานจริงเพื่อถอดบทเรียนจากประสบการณ์ตรงในภาคสนาม รวมถึงการมีเครือข่ายความร่วมมือใน ระดับพื้นที่ เป็นกลไกสนับสนุนการทำงานของภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้อีกด้วยโดย เฉพาะหน่วยงานภาครัฐที่ ต้องเป็นแกนกลางในการประสานที่สำคัญที่สุด การเลือกพื้นที่ในการพัฒนาการท่องเที่ยวสีเขียว ต้องเป็น เส้นทางท่องเที่ยวที่ต้องเตรียมการ ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง ซึ่งนักท่องเที่ยวควรได้รับบริการที่เป็นมิตร กับสิ่งแวดล้อมทุกขั้นตอน ดังนั้น ในเบื้องต้นการเลือกพื้นที่อาจจำเป็นต้องพิจารณา พื้นที่ที่มีศักยภาพที่ เป็นพื้นที่จังหวัดมากกว่าตัวแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งจะเป็นพื้นที่ที่สามารถบริการเส้นทางท่องเที่ยวสีเขียวได้ ครบครัน การส่งเสริมและพัฒนาในแนวทางสังคมการเรียนรู้ (Social Learning) ในกระบวนการหรือกลไก การทำงานที่จะชวยให้ทุกภาคส่วน มีการปรับตัวไปในทิศทางที่เป็นความสนใจร่วม มีกระบวนการตัดสินใจ ร่วม และกระบวนการสื่อสารเพื่อที่จะเปิดพื้นที่ สร้างการมีสวนร่วมในกลุ่มผู้รับผิดชอบ นักท่องเที่ยว และ หน่วยงานภาครัฐผู้สนับสนุน ตลอดจนการยอมรับของประชาคมในพื้นที่ และประชาชนโดยทั่วไป ภายใต้แนวคิดที่กล่าวมาทั้งหมด การพัฒนาท่องเที่ยวสีเขียว ควรเน้นในประเด็นของการจัดการ สิ ่งแวดล้อมที ่ดี การลดภาวะโลกร้อน (Global Warming) และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG Emissions)ด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นประเด็นปัญหาผลกระทบของการท่องเที่ยว วัฒนธรรมความเป็นอยู่ และ ผู้คนเจ้าของพื้นที ่ การถ่ายแนวคิดในการจัดการท ่องเที ่ยวสีเขียว จึงต้องมองอย ่างเชื ่อมโยงในทุกมิติ ดังภาพประกอบที่ 1


14 ภาพที่ 2 การถ่ายทอดแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืนสู่การท่องเที่ยวสีเขียว ที่มา : กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (2560) ยังมีความคาดเคลื่อนต่อแนวคิดการท่องเที่ยวสีเขียวที่ความเข้าใจว่าการท่องเที่ยวสีเขียวนั้น ครอบคลุมเฉพาะการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ หรือการท่องเที่ยวธรรมชาติ หรือการท่องเที่ยวเชิงเกษตร แต่ใน ลักษณะของการดำเนินการของการจัดการการท่องเที่ยวนั้น การท่องเที่ยวสีเขียวมีขอบเขตครอบคลุมถึงการ ท่องเที่ยวทุกประเภทกิจกรรมและองค์ประกอบในภาคการท่องเที่ยวทั้งในระดับ จุดท่องเที่ยวและพื้นที่ ท่องเที่ยว โดยการท่องเที่ยวสีเขียวจะให้ความสำคัญกับมิติด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ เป็นหลัก ส่วนการ ท่องเที่ยวที่ยั่งยืนเป็นแนวคิดที่ให้ความสำคัญกับมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม จึงอาจกล่าวได้ว่า การท ่องเที่ยวที่มีเป้าหมายเพื ่ออนุรักษ์สิ ่งแวดล้อม เช ่น การท ่องเที ่ยวเชิงนิเวศ เป็นส ่วนหนึ ่งของการ ท่องเที่ยวสีเขียว และการท่องเที่ยวสีเขียวก็เป็นองค์ประกอบ ส่วนหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวสู่ การท่องเที่ยวที่ยั่งยืน ดังภาพประกอบที่ 2


15 ภาพที่ 3 มิติความแตกต่างระหว่างการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ การท่องเที่ยวสีเขียว และการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน ที่มา : กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (2560) 2.3.3 สภาพแวดล้อมของการพัฒนาการท่องเที่ยวสีเขียว กรมการท่องเที่ยว กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา (2557) ได้นำแนวคิดในการพัฒนาการท่องเที่ยว เชิงพื้นที ่ตามเอกลักษณ์และอัตลักษณ์เฉพาะถิ ่น ต้องยังไว้ซึ ่งวิถีชีวิตของคนในชุมชน การฟื้นฟู ดูแล ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยต้องศึกษาถึงคุณค่าร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่อการท่องเที่ยวสี เขียว ดังนี้ นักท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวสีเขียว มีความตระหนักในประเด็นของสิ่งแวดล้อมมากที่สุดต้องการพื้นฐาน และ ต้องมั่นใจในผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวว่าเป็นสินค้าและบริการหรือแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จริงๆ สังเกตได้จากการรับรองความเป็นธุรกิจสีเขียวหรือการตรวจสอบนโยบายการดำเนินงานของธุรกิจ ด้านสิ่งแวดล้อม ส่วนความต้องการเชิงลึกของนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ มีความต้องการในการเห็นการนำนโยบาย มาใช้ในทางปฏิบัติอย่างชัดเจน เช่น การประหยัดน้ำ การนำหลอดไฟที่ประหยัดพลังงานมาใช้ในแหล่ง ท่องเที่ยว รูปแบบของโลจิสติกส์รอบแหล่งท่องเที่ยว การนำวัสดุที่เหลือใช้กลับมาใช้ใหม่ ภาชนะ ภายใน แหล่งท่องเที่ยวที่มีลักษณะของการเติมเมื่อหมด การตกแต่งสถานที่ท่องเที่ยวด้วยวัสดุเหลือใช้ สิ่งเหล่านี้ จะเป็นตัวที ่ทำให้นักท ่องเที ่ยวสีเขียวรู้สึกว ่ามีคุณค ่าในการเป็นส่วนหนึ ่งในการช ่วยเหลือสิ ่งแวดล้อม นอกจากนี้คุณค่าจากสินค้าและบริการ ลักษณะประสบการณ์ท้องถิ ่นที ่สะท้อนความจริงแท้ของแหล่ง ท่องเที่ยว เป็นอีกสิ่งหนึ่ง ที่นักท่องเที่ยวสีเขียวให้ความสำคัญ ผู้ประกอบการ ผู้ประกอบการส ่วนใหญ ่ต้องการข้อมูลและความรู้เรื ่องการดำเนินการการท ่องเที ่ยวสีเขียว ต้องการความรู้ในด้านการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม กับกลุ่มนักท่องเที่ยวสีเขียว อีกทั้งการจัดตั้ง เครือข ่ายเพื ่อให้ความช ่วยเหลือและร ่วมมือกันในด้านการพัฒนาการท ่องเที ่ยวสีเขียว ผู้ประกอบการ


16 ต้องการให้มีกฎหมายหรือระเบียบควบคุมจำนวนสถานประกอบการให้เหมาะสมกับขีดความสามารถในการ รองรับ และควบคุมจำนวนผู้ประกอบการชาวต ่างชาติที ่เข้ามาทำธุรกิจในพื้นที ่ ทั้งนี้ยังต้องการให้มี มาตรฐานราคาที่เป็นธรรมต่อทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภคในด้านความต้องการ ผู้ประกอบการต้องการให้ หน่วยงานรัฐบาลที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวจัดหากลุ่มนักท่องเที่ยวเข้ามาใช้บริการ และหาตลาดหรือ ช่องทางในการจำหน่ายสินค้าและสร้างการประชาสัมพันธ์ในวงกว้างอย่างมีประสิทธิภาพ ชุมชน ชุมชนต้องการความรู้ในการพัฒนาการท่องเที่ยวสีเขียว เนื่องจากเป็นเรื่องใหม่ ชุมชนยังไม่มี ความเข้าใจในเรื่องนี้ ชุมชนต้องการเครือข่ายหรือความร่วมมือจากชุมชนรอบข้าง รวมถึงภาครัฐและเอกชน ในการพัฒนา การท่องเที่ยวสีเขียว และชุมชนต้องการให้การท่องเที่ยวสีเขียว นำมาซึ่งประโยชน์ในด้าน เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของชุมชน ในความต้องการด้านการจัดทำนโยบาย ระเบียบ และกฎหมาย ที่เกี่ยวข้องกับ การท่องเที่ยวสีเขียว ต้องการมีส่วนร่วมในการสร้างนโยบายหรือกฎหมายต่าง ๆ ต้องการให้ หน ่วยงานที ่เกี ่ยวข้องเข้ามาส่งเสริมด้านการตลาด การบริหารจัดการชุมชน และรวมข้อมูลด้านการ ท่องเที่ยวของจังหวัด เพื่อสร้างเป็นฐานข้อมูลให้คนในพื้นที่นำมาปรับใช้ และเผยแพร่ไปสู่นักท่องเที่ยว สรุปได้ว่า ทุกภาคส่วนในการจัดการการท่องเที่ยว ต่างต้องสร้างคุณค่าร่วมกันในการสนับสนุน และส่งเสริมการพัฒนาการท่องเที่ยวสีเขียวให้เกิดขึ้นด้วยความร่วมมือของทุกฝ่าย ดังภาพประกอบที่ 3 ภาพที่ 4คุณค่าร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่อการท่องเที่ยวสีเขียว ที่มา : กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (2560)


17 2.3.4 กระบวนการจัดการท่องเที่ยวสีเขียว Cornin, (2011อ้างถึงใน อภินาท พรหมทรัพย์,2560 ) ได้จัดแบ ่งกลุ ่มกลยุทธ์สีเขียวเป็น 3 ประเภทคือ (1) นวัตกรรมสีเขียว (2) องค์กรสีเขียว และ (3) พันธมิตรสีเขียว โดยกลยุทธ์แรกคือการพัฒนา ผลิตภัณฑ์ใหม่สีเขียว หรือนวัตกรรม เป็นที่เชื่อกันว่าการพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ส่งสัญญาณในเชิง บวกต่อองค์กรสีเขียวจากผู้มีส่วนได้เสีย กลยุทธ์สองคือด้านสิ่งแวดล้อมภายในองค์กรเอง ในกรณีนี้ความคิด ริเริ่มมีความสำคัญมากขึ้นในกระบวนการผลิตสินค้าหรือการบริการและกลยุทธ์พันธมิตรสีเขียว คือองค์กรที่ สามารถแนะนำให้กับพันธมิตรองค์กรอื่น ๆ ได้เข้าใจความหมาย “สีเขียว” และสามารถเป็นองค์กรสีเขียว ต่อไป โดยสามารถดำเนินการในขั้นตอน ดังนี้ 1. จัดพื้นที่สำหรับนักท่องเที่ยว (Zoning forVisitor Use) คือ การจัดการพื้นที่ที่เป็นส่วนตัว พื้นที่ที่ถูกเลือกเป็น พื้นที่ที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและธรรมชาติ 2. มีการวางแผนและการออกแบบพื้นที่สำหรับผู้เยี่ยมชม (Visitor Site Planning and Design) คือ การจัดการและออกแบบพื้นที่ควรมีความสะดวกสบายปลอดภัย และมีประสิทธิภาพในการใช้งานของผู้ เยี่ยมชมและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง 3. การออกแบบโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน (SustainableInfrastructure Design) คือ โครงสร้าง พื้นฐานของแหล่งท่องเที่ยวสีเขียวที่ต้องมีความสมดุลกับสภาพแวดล้อมเลือกใช้พลังงานทดแทน 4. การสร้างรายได้ (Revenue-Generating Mechanisms) คือ มีเป้าหมายที ่สำคัญของการ ท่องเที่ยวเชิงสีเขียว การสร้างรายได้จากการอนุรักษ์และประโยชน์ต่อชุมชนท้องถิ่นและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอื่น ๆ ที่มีส่วนร่วมในโครงการการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ 5. การจัดการและการตรวจสอบผลกระทบจากผู้เยี ่ยมชม (Visitor Impact Monitoring and Management) คือ เพื่อลดผลกระทบเชิงลบและรู้ถึงผลกระทบจากกิจกรรมการท่องเที่ยวสีเขียวให้ประสบ ความสำเร็จ ลดปัญหาความเสื่อมโทรมของแหล่งท่องเที่ยว 6. สร้างคู ่มือการท ่องเที ่ยวทางธรรมชาติ (Naturalist Guides) คือ คู ่มือการท ่องเที ่ยวทาง ธรรมชาติเป็นหัวใจสำคัญของการจัดโปรแกรมการท่องเที่ยวเชิงสีเขียวที่ใช้สร้างแรงบันดาลใจความรู้แก่ผู้ เยี่ยมชมในเรื่องสภาพแวดล้อม และช่วยในการตรวจสอบผลกระทบจากนักท่องเที่ยวเมื่อเยี่ยมชมสถานที่ ท่องเที่ยวให้เป็นไปตามมาตรฐานการท่องเที่ยวสีเขียว 2.4 การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ 2.4.1 ความหมาย ในช่วงที่กระแสของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมแพร่ขยายไปทั่วโลก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้ จัดทำแผนพัฒนาและอนุรักษ์การท่องเที่ยว โดยจัดตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาเรื่อง Ecotourism ระยะแรก คณะทำงานมีมติใช้คำจำกัดความ Ecotourism ในความหมาย"การท ่องเที ่ยวเชิงอนุรักษ์" โดยมีความ ประสงค์ที่จะสื่อความหมายให้กับชาวไทยทุกระดับเข้าใจว่ารูปแบบการท่องเที่ยว Ecotourism นับเป็น รูปแบบการจัดการการท ่องเที ่ยวอย ่างมีคุณภาพเพื ่ออนุรักษ์สิ ่งแวดล้อม และรูปแบบการจัดการการ ท ่องเที ่ยวเพื ่อรักษาสิ่งแวดล้อมในการรับรู้ของชาวไทย คือ การท ่องเที ่ยวเชิงอน ุรักษ์ (http://guru.sanook.com/encyclopedia A8/)


18 Ecotourismเป็นคำที่เกิดใหม่ในวงการอุตสาหกรรมท่องเที่ยว โดยนำคำ 2 คำมารวมกันได้แก่ Eco และ Tourism คำว ่า Eco แปลตามรูปศัพท์ว ่า บ้านหรือที ่อยู ่อาศัย ส ่วน Tourism แปลว ่าการ ท่องเที่ยว Ecotourismจึงแปลว่า การท่องเที่ยวเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย หมายความถึง การท่องเที่ยวที่เน้นใน ด้านสิ่งแวดล้อมอันเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตต่างๆ ทั้งพืช สัตว์ และมนุษย์ ส่วนคำว่า นิเวศ ซึ่งเป็นคำ ภาษาสันสกฤต ที่นำมาใช้ในภาษาไทย ก็แปลว่า บ้านหรือที่อยู่อาศัยเช่นกัน ฉะนั้น การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ จึงเป็นศัพท์บัญญัติที่มีความหมายตรงกับคำในภาษาอังกฤษอย่างเหมาะสม นอกจากคำว่า Ecotourism แล้ว ยังมีคำอื่นๆ ที ่มีความหมายใกล้เคียง หรือเกี่ยวข้องกันอีก หลายคำ ได้แก่ Green Tourism แปลว่า การท่องเที่ยวสีเขียว หมายถึง การท่องเที่ยวสถานที่ทางธรรมชาติ โดยสีเขียวเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติ Bio tourism แปลว ่าการท่องเที ่ยวเชิง ชีวภาพ ซึ่งหมายถึง การท่องเที่ยวที่เน้นการศึกษาสิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติ และ Agro tourism แปลว่า การ ท่องเที่ยวเชิงเกษตร เป็นการท่องเที่ยวที่เน้นในด้านเกษตรกรรม เพื่อให้เรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติของพืชผล ไร่นา และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรเพื่อขยายความหมายของการท่องเที่ยวเชิงนิเวศให้ชัดเจนยิ่งขึ้น จะขอกล่าวถึงคำนิยามที่นักวิชาการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ให้ไว้ในที่ต่าง ๆ ดังนี้ องค์การสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Environment Programmer - UNEP) สมาคมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ (Ecotourism Society) และ องค์การการท่องเที่ยวโลก (World Tourism Organization) ให้คำนิยามว ่า "การท ่องเที ่ยวไม ่เป็นการรบกวนลักษณะทางธรรมชาติ มุ ่งหวังในด้าน การศึกษามีความพอใจต่อทัศนียภาพ พืชพรรณ และสัตว์ตามธรรมชาติ มีความเข้าใจต่อประวัติความเป็นมา ของสิ ่งแวดล้อมทางธรรมชาติโดยไม่เป็นการรบกวนต ่อระบบนิเวศ ในขณะเดียวกันก็สร้างโอกาสทาง เศรษฐกิจที่จะทำให้เกิดการอนุรักษ์ต่อทรัพยากรของประชากรในท้องถิ่น" ราลฟ์ บักลีย์ (Dr. Ralph Buckley) ศาสตราจารย์ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยการท่องเที่ยวลัยกริฟพีท ประเทศออสเตรเลีย ให้คำนิยามสั้นๆ ว ่า "การท ่องเที ่ยวที ่อาศัยธรรมชาติ การจัดการที ่ยั ่งยืน และ องค์ประกอบทางการศึกษา ซึ่งมีส ่วนก ่อให้เกิดการอนุรักษ์การท ่องเที ่ยวแห ่งประเทศไทย (ททท.) ได้ มอบหมายให้สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในประเทศไทย (วท.) ทำการศึกษาเพื่อกำหนดนโยบาย การท่องเที่ยวเพื่อรักษาระบบนิเวศน์และขอให้ราชบัณฑิตยสถานกำหนดความหมายในที่สุดได้ความหมาย ของคำว่า Ecotourism (การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ) หมายถึง การท่องเที่ยวอย่างมีความรับผิดชอบในแหล่ง ธรรมชาติที่มีเอกลักษณ์ถิ่น และแหล่งวัฒนธรรมที่เกี่ยวเนื่องกับระบบนิเวศน์ สิ่งแวดล้อมและการท่องเที่ยว กระบวนการเรียนรู้ร่วมกันของผู้ที่เกี่ยวข้อง ภายใต้การจัดการอย่างมีส่วนร่วมของท้องถิ่น เพื่อมุ่งเน้นให้เกิด จิตสำนึกต่อการรักษาระบบนิเวศน์อย่างยั่งยืน 2.4.2 องค์ประกอบหลักของการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ องค์ประกอบหลักที่สำกัญของการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ4 ประการ 2.4.2.1 องก์ประกอบด้านพื้นที่ เป็นการท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวที่เกี่ยวเนื่องกับ ธรรมชาติที ่มีเอกลักษณ์เฉพาะถิ ่น(Identity or Authentic or Endemic or Unique) ทั้งนี้รวมถึงแหล่ง วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ที ่เกี ่ยวเนื ่องกับระบบนิเวศน์ (Eco - System) ในพื้นที ่นั้น ๆ ดังนั้น องค์ประกอบด้านพื้นที่จึงเป็นการท่องเที่ยวที่มีพื้นฐานอยู่กับธรรมชาติ (Nature - based Tourism)


19 2.4.2.2 องค์ประกอบด้านการจัดการ เป็นการท่องเที่ยวที่มีความรับผิดชอบ (Responsible Travel) โดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อ สิ่งแวดล้อมและสังคม มีการจัดการที่ยั่งยืนครอบคลุมไปถึงการอนุรักษ์ทรัพยากร การจัดการสิ่งแวดล้อม การป้องกันและกำจัดมลพิษ และควบคุมการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างมีขอบเขตการท่องเที่ยวที่มีการ จัดการอย่างยั่งยืน (Sustainably Managed Tourism) เพื่อให้เกิดการที่มีความรับผิดชอบ (Responsible Travel) ที่ไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม 2.4.2.3 องค์ประกอบด้านกิจกรรมและกระบวนการ เป็นการท่องเที่ยวที่มีกระบวนการเรียนรู้ (Laming Process) โดยมีการให้การศึกษาเกี่ยวกับ สภาพสิ ่งแวดล้อมและระบบนิเวศน์ของแหล ่งท ่องเที ่ยวเป็นการเพิ ่มพูนความรู้ ประสบการณ์ ความ ประทับใจ เพื ่อสร้างความตระหนักและปลูกจิตสำนึกที ่ถูกต้องต่อนักท่องเที ่ยว ประชาชนท้องถิ่นและ ผู้ประกอบการที ่เกี่ยวข้อง จึงเป็นการท ่องเที ่ยวสิ่งแวดล้อมศึกษา (Environmental Education-based Tourism) 2.4.2.4 องค์ประกอบด้านการมีส่วนร่วม เป็นการท ่องเที ่ยวที ่มีการคำนึงถึงการมีส ่วนร ่วมของชุมชนและประชาชนท้องถิ่น (Involvement of Local Community or People Participation) ที่มีส่วนร่วมในการคิด วางแผน ปฏิบัติ ตามแผนประโยชน์ ติดตามตรวจสอบตลอดจนร่วมบำรุงรักษาทรัพยากรท่องเที่ยวอันจะก่อผลประโยชน์ใน ท้องถิ ่นทั้งกระจายรายได้ ยกระดับคุณภาพชีวิตและการได้รับผลตอบแทนเพื่อกลับมาบำรุงรักษาและ จัดการแหล่งท่องเที่ยว และในที่สุดแล้วท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการควบคุมการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างมี คุณภาพ ท้องถิ่นในที่นี้เริ่มต้นจากระดับรากหญ้า (Grass Root) จนถึงการปกครองส่วนท้องถิ่น และอาจรวม ไปถึงการมีส ่วนร ่วมของผู้ที ่เกี ่ยวข้อง จึงเป็นการท ่องเที ่ยวอย ่างมีส ่วนร ่วมของชุมชน (Community Participation-based Tourism) หากการท่องเที่ยวในช่วงนี้มีองค์ประกอบที่สมบูรณ์ตามลักษณะดังกล่าวข้างต้น จัดได้ว่าเป็นการ ท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ที่สมบูรณ์หากขาดหรือปราศจากข้อใดข้อหนึ ่งไปความสมบูรณ์จะเป็นการท่องเที ่ยว รูปแบบอื่นๆ ลักษณะเฉพาะประการหนึ่งของการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ การมุ่งเน้นในแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ เพื่อประสานการท่องเที่ยวกับความพอใจในการเรียนรู้และระบบนิเวศน์ (Eco-system) มีความแตกต่าง อย ่างชัดเจนกับความสนใจประเพณี วัฒนธรรม และการพัฒนาอารยธรรมของมนุษย์ในการเอาชนะ ธรรมชาติ (ที่รวมเอาลักษณะวัฒนธรรมที่มีวิถีชีวิตแบบธรรมชาติ หรือเป็นส่วนหนึ่งในระบบนิเวศน์ของ แหล่งท่องเที่ยวนั้นๆ ไว้) ลักษณะเฉพาะนี้จึงทำให้การท่องเที่ยวเชิงนิเวศไม่ใช่การท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม (Cultural Tourism และHistorical tourism)แม้ว่าจะมีความคาบเกี่ยวกันในพื้นที่ก็ตาม ในทำนองเดียวกัน การท ่องเที ่ยวธรรมชาติ(Natural tourism) จึงไม ่ใช ่การท ่องเที ่ยวเชิงนิเวศทั้งหมดทั้งนี้ต้องขึ้นอยู ่กับ วัตถุประสงค์ของการท่องเที่ยวนั้น ๆ ด้วย ดังนั้นแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ จึงมีบางส่วนจัดเป็นแหล่งท่องเที่ยว เชิงนิเวศได้ หรือแหล่งท่องเที่ยวหนึ่งๆ อาจมีการท่องเที่ยวเชิงนิเวศควบคู่ไปกับการท่องเที่ยวแบบอื่น ๆ ได้


20 การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (Sustainable Tourism) การท ่องเที ่ยวอย ่างยั ่งยืนมีหลักการที ่สอดคล้องกับการพัฒนาอย ่างยั ่งยืน (Sustainable Development ซึ ่งหลักการโดยทั ่วไปของการพัฒนาอย ่างยั ่งยืนคือ จะต้องมีการอนุรักษ์และการใช้ ทรัพยากรอย ่างพอดี เพื ่อให้สามารถใช้ประโยชน์ต ่อไปได้ในระยะเวลายาวนาน และมีการกระจาย ผลประโยชน์ให้แก่คนส่วนใหญ่ รวมทั้งมีการร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้องหรือมีส่วนได้ส่วน เสียเมื่อนำหลักการนี้มาปรับใช้กับการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน จึงมีจุดเน้นที่สำคัญดังนี้ 1. จะต้องดูแลทรัพยากรการท่องเที่ยว ให้สามารถใช้ประโยชน์ต่อไปได้ในระยะเวลายาวนาน จนถึงชั่วลูกชั่วหลาน มิใช่เพียงเพื่อคนรุ่นปัจจุบันเท่านั้น 2. ลดการใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลืองและลดปริมาณของเสียที่จะเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม 3. มีการกระจายรายได้และผลประโยชน์ให้แก่คนในท้องถิ่นที่มีแหล่งท่องเที่ยวตั้งอยู่ เปิดโอกาส ให้ชุมชนในท้องถิ่นได้เข้าร่วมในการจัดการและการให้บริการแก่นักท่องเที่ยว 4. มีการประชุมปรึกษาหารือกันอย่างสม่ำเสมอระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เช่นหน่วยงานและ องค์กรที่ เกี่ยวข้อง ผู้ประกอบธุรกิจการท่องเที่ยว และชุมชนในท้องถิ่น เพื่อการวางแผนงาน การจัดสรร งบประมาณ และการจัดการทรัพยากรอย่างเหมาะสม 5. มีการสร้างเครือข่ายเพื่อเผยแพร่แนวคิด การศึกษาวิจัยและความรู้เกี่ยวกับการท่องเที่ยว อย่างยั่งยืนออกไปในหมู่ประชาชนทั้งภายในประเทศ และระหว่างประเทศอย่างกว้างขวาง จากการศึกษาความหมายและหลักการของการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และ การท่องเที่ยวอย ่างยั ่งยืนแล้ว พบว่าการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเป็นส่วนหนึ่งของการท่องเที ่ยวเชิงอนุรักษ์ (Conservation Tourism) ที่หมายถึง รูปแบบของการท่องเที่ยวเพื่อรักษาสิ่งแวดส้อมเป็นการจัดการการ ท ่องเที ่ยวที ่รักษาคุณภาพทั้งการท ่องเที ่ยวในแหล ่งธรรมชาติ(Natural – based Tourism)และแหล่ง วัฒนธรรม (Culural - based Tourism) อันจะนำไปสู ่การจัดการท ่องเที ่ยวอย ่างยั ่งยืน(Sustainable Tourism) ซึ่งมุ่งเน้นให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวโดยรวมปรับสภาพการจัดการเพื่อเข้าสู่ยุคใหม่ของกระแส ที่เปลี่ยนไป (Paradigm ship) ที่เปลี่ยนจากสังคมนิยมมาบริโภคนิยมสู่ยุคสมัยสังคมเป็นใหญ่ ดังนั้นขอบเขต ของการพัฒนาจึงครอบคลุมทุกองค์ประกอบทุกส ่วนของการท ่องเที ่ยวหรือกล่าวอีกนัยหนึ ่ง ถือ การ พัฒนาการท่องเที่ยวทั้งหมดต้องมุ่งสู่ความยั่งยืน (All tourism should sustainable tourism ) โดยสรุป กิจกรรมการท ่องเที ่ยวต้องสามารถดำรงอยู ่ได้ มีนักท ่องเที ่ยวมาอย ่างสม ่ำเสมอ ทรัพยากรการท ่องเที ่ยวยังคงรักษาความจูงใจไว้ได้ไม ่เสื ่อมคลาย ด้านกิจการการบริการจะต้องมีการ ปรับปรุงเปลี ่ยนแปลงการให้บริการอยู ่เสมอ ผลกระทบที ่มีต ่อสิ ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ สังคม และ วัฒนธรรม จะต้องไม่มีหรือมีน้อยที่สุดมีแต่การจัดการอย่างยั่งยืนเท่านั้นจึงจะสามารถคงความยั่งยืนของ การท่องเที่ยวได้หลักการพื้นฐานของความยั่งยืน จะต้องได้รับการปฏิบัติโดยอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ทั้งหมด ไม่จำเพาะแต่การท่องเที่ยวเฉพาะอย่างการท่องเที่ยวขนาดเล็ก การท่องเที่ยวราคาแพง หรือการ ท่องเที่ยวของกลุ่มตลาดบน (Elite Market) เท่านั้น หากยังรวมถึงการท่องเที่ยวคณะใหญ่ (Mass Market) ด้วย


21 2.5 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Tourism) สุกฤตา พูนเกษม (2556) ได้ศึกษาเรื่อง การจัดการการท่องเที่ยวชุมชนตามแนวคิดการท่องเที่ยว สีเขียวของชุมชนบ้านบุไทร ตำบลไทยสามัคคีอำเภอวังน ้าเขียว จังหวัดนครราชสีมา ได้ศึกษา สภาพทาง สังคมและเศรษฐกิจของคณะกรรมการชุมชนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง กับการจัดการท่องเที่ยวชุมชน สภาพทาง เศรษฐกิจและสังคมของนักท่องเที่ยว การจัดการการท่องเที่ยวชุมชนตามแนวคิดการท่องเที่ยวสีเขียว และ ศึกษาปัญหาและข้อเสนอแนะเกี ่ยวกับการจัดการการท ่องเที ่ยวชุมชนตามแนวคิดการท ่องเที่ยวสีเขียว ผลการวิจัยพบว่า สภาพทางสังคมและเศรษฐกิจของนักท่องเที่ยว เกือบครึ่งหนึ่งเดินทางมาเพื่อท่องเที ่ยว พักผ่อน การจัดการท ่องเที่ยวตามแนวคิดการท ่องเที ่ยวสีเขียวของชุมชน มีการจัดการตามแนวคิดการ ท่องเที่ยวสีเขียวในระดับสูง คือ มีด้านที่เป็นไปตามแนวคิดการท่องเที่ยวสีเขียว 6 ด้าน ได้แก่ด้านหัวใจสี เขียว ด้านแหล่งท่องเที่ยวสีเขียว ด้านชุมชนสีเขียว ด้านกิจกรรมสีเขียว ด้านการบริการสีเขียว และด้าน ความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ส่วนด้านที่ไม่เป็นไปตามแนวคิดดังกล่าว คือด้าน รูปแบบการ เดินทางสีเขียว โดยมีความสอดคล้องกันทั้งคณะกรรมการและนักท ่องเที ่ยว ปัญหาและข้อเสนอแนะ คณะกรรมการและนักท่องเที่ยว เห็นว่าด้านรูปแบบการเดินทางสีเขียวชุมชนไม่ได้มีการดำเนินการในเรื่อง การแนะน าให้นักท่องเที่ยวเลือกใช้ยานพาหนะที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและประหยัดพลังงาน สวิชญา ศุภอุดมฤกษ์ ตรีรัตน์ รักธิดา ศิริและพัฒนพงศ์ จันทร์สว่าง (2558) ได้ศึกษาเรื่อง การพัฒนาทักษะชุมชนในการสร้างเส้นทางและโปรแกรมท่องเที่ยวตามแนวคิด Green Tourism อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ เพื่อศึกษา ฐานข้อมูลทรัพยากรที่มีอยู่เดิมในชุมชนแบบมีส่วนร่วมเพื่อออกแบบกิจกรรมที่ เหมาะสมกับฐานทรัพยากรท้องถิ ่น ความรู้และทักษะชุมชนด้านการจัดทำเส้นทางและโปรแกรมการ ท่องเที่ยวสีเขียว (ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม) รวมถึงการให้บริการด้านการท่องเที่ยว และ สร้างกระบวนการ เรียนรู้ของชุมชนด้านการจัดทำเส้นทางและโปรแกรมการท่องเที่ยวสีเขียวของชุมชน ผลการศึกษาพบว่า บ้านเมืองกื้ดมีทรัพยากรการท่องเที่ยวโดดเด่นในด้านวิถีชีวิตและวัฒนธรรมท้องถิ่น ได้แก่ การแสดงดนตรี พื้นเมือง เรียนทำอาหารพื้นเมืองและขนมพื้นเมือง อาชีพจักสานและโคมไฟญี่ปุ่น บายศรีสู่ขวัญ นวดแผน ไทย ขี่ช้าง ล่องแพยาง ชมสวนผลไม้ตามฤดูกาล ชมผัก สวนครัว วัดเมืองกื้ด และเส้นทางน้ำตกตาดหมอก ส่วนที่เหลือจะต้องเป็นกิจกรรมตามฤดูกาล เช่น ประเพณีต่างๆ เช่น ลอยกระทง สงกรานต์ และสรงน้ำพระ ธาตุ ส ่วนบ้านแม ่ตะมานมีเป้าหมายในการจัดการท ่องเที ่ยวในรูปแบบการท ่องเที ่ยวเชิงอาสาสมัคร (Volunteer Tourism) และการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ มีกิจกรรมท่องเที่ยวตลอดทั้งปี คือ กิจกรรมเดินศึกษา ธรรมชาติเส้นทางอนุรักษ์พันธุ์พืช กิจกรรมแปรรูปผลิตภัณฑ์โดยใช้วัตถุดิบในท้องถิ ่น และกิจกรรม นักศึกษาแพทย์อาสาสมัคร ซึ่งประสานความร่วมมือกับอนามัยประจำตำบล ความรู้ของชุมชนด้านการ พัฒนากิจกรรมและโปรแกรมท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ก่อนและหลัง เข้าร่วมกิจกรรม พบว่า มีการพัฒนาที่ดี ขึ้นในทุกประเด็นทั้งในด้านหลักการออกแบบโปรแกรมท่องเที่ยว องค์ประกอบสำคัญของการท่องเที่ยว รูปแบบกิจกรรมท ่องเที ่ยวโดยชุมชน ขีดความสามารถในการรองรับที ่ควรพิจารณา การกำหนดขีด ความสามารถ และวิธีคิดในการออกแบบโปรแกรมท่องเที่ยว ส่วนในด้านทักษะ การจัดทำเส้นทางและ โปรแกรมการท่องเที่ยวสีเขียว พบว่า หลังเข้าร่วมกิจกรรมพัฒนาทักษะ ชุมชนมีทักษะเพิ่มขึ้น ส่วนการ กำหนดราคาและการกำหนดเงื่อนไขมีทักษะอยู ่ในระดับ “มาก” จากผลการทดสอบความสัมพันธ์ด้าน ลักษณะส่วนบุคคลกับการมีส่วนร่วมพบว่า อายุส่งผลต่อการมีส่วนร่วมที่ดีกว่าร่วมถึงทัศนคติในการมีส่วน


22 ร่วมที่ดีกว่าด้วย ส่วนผู้ที่มีรายได้น้อยจะมีทัศนคติต่อการมีส่วนร่วมที่ดีกว่าผู้ที่มีรายได้สูง ส่วนด้านความรู้ พบว ่าผู้ที ่มีอายุน้อยและไม ่มีภาระทางครอบครัวจะ สามารถพัฒนาความรู้ได้ดีกว ่า โดยความรู้ที่ เปลี ่ยนแปลงเพิ ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญคือ ความรู้เกี่ยวกับรูปแบบกิจกรรมท ่องเที ่ยวโดยชุมชนและการ กำหนดขีดความสามารถในการรองรับของชุมชน กระบวนการเรียนรู้เชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมทำให้ ชุมชนสามารถพัฒนาความรู้และทักษะที่ดีขึ้น ทำให้ผู้วิจัยพบว่า สิ่งสำคัญในงานพัฒนาชุมชน คือ การชวน กลุ่มเป้าหมายคิดเพื่อชี้ปัญหาให้ทุกคนเข้าใจ (ทำให้เกิดการรับรู้) ชวนคิดเสนอทางออกร่วมกัน (ทำให้เกิด การยอมรับที ่จะพัฒนา) การวางแผนและลงมือปฏิบัติร่วมกัน (ทำให้เกิดความตระหนักในเหตุการณ์ที่ ประสบร่วมกัน) จึงจะทำให้กลุ่มเป้าหมายได้รับประสบการณ์และเกิดกระบวนคิด (ทำให้เห็นความสำคัญ) ที่สามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้จริง จากผลการสะท้อนความคิดหลังการเข้าร่วมกิจกรรม พัฒนาพบว่า ตัวแทนชุมชนมุ่งให้ความสำคัญในการพัฒนางานด้านการท่องเที่ยวของชุมชนว่า การมีส่วน ร่วมเป็นสิ่งที่สมาชิกทุกคนควรให้ความสำคัญ เพราะทุกครั้งที่เรามีส่วนร่วมจะก่อให้เกิดการรับรู้และเข้าใจ ในสิ่งต่างๆ ร่วมกัน และเกิดการยอมรับในแนวทางที่ได้ตัดสินใจทำร่วมกันไม่ว่าผลจะดีหรือไม่ ซึ่งจะนำไปสู่ การช่วยกันแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์ด้วยความเข้าใจซึ่งกันและกัน ดังนั้น ชุดความรู้ที่สำคัญในการ พัฒนาชุมชนท่องเที่ยวมิใช่เพียงเนื้อหาที่จะใช้ในการจัดการท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ควรต้องให้ความสำคัญใน กระบวนการให้ความรู้ เพื่อสร้างการยอมรับภายในตัวบุคคล ทั้งในความรู้สึกและความคิดที่จะส่งผลต่อการ ปฏิบัติได้อย่างเต็มใจ สุภาวดี ทวีบุรุษ (2561) ได้ศึกษาเรื่อง ศักยภาพของทรัพยากรการท่องเที่ยวเชิงธรณีที่เป็นมิตร กับสิ่งแวดล้อมในพื้นที่อุทยานธรณี จังหวัดสตูล เพื่อศึกษาศักยภาพทรัพยากรการท่องเที่ยวเชิงธรณีที่เป็น มิตรกับสิ่งแวดล้อมในพื้นที่อุทยานธรณีจังหวัดสตูล และเพื่อสร้างเส้นทางท่องเที่ยวเชิงธรณีที่เป็นมิตรกับ สิ่งแวดล้อมในพื้นที่อุทยานธรณีจังหวัดสตูล มีองค์ประกอบ 3 องค์ประกอบคือ 1. คุณค่าด้านการท่องเที่ยว และความเสี่ยงต่อการถูกทำลาย 2. ศักยภาพในการพัฒนาด้านการท่องเที่ยว 3.การจัดการที่เป็นมิตรกับ สิ่งแวดล้อม ผลการวิจัยพบว่า ศักยภาพของทรัพยากรการท่องเที่ยวเชิงธรณีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมใน พื้นที่อุทยานธรณี จังหวัดสตูล 15 แห่งโดยภาพรวมมีศักยภาพของทรัพยากรการท่องเที่ยวเชิงธรณีที่เป็น มิตรกับสิ่งแวดล้อมทั้ง 3 องค์ประกอบ หากพิจารณาเป็นรายองค์ประกอบ ได้แก่ องค์ประกอบ 1 คุณค่า ด้านการท ่องเที ่ยวและความเสี ่ยงต ่อ การถูกทำลาย องค์ประกอบ 2 ศักยภาพในการพัฒนาด้านการ ท่องเที่ยวอยู่ในระดับศักยภาพ และองค์ประกอบที ่ 3 การจัดการที่เป็นมิตรกับสิ ่งแวดล้อมอยู ่ในระดับ ศักยภาพ แหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพของทรัพยากรการท่องเที่ยวเชิงธรณีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมใน พื้นที่อุทยานธรณี จังหวัดสตูล ถ้ำภูผาเพชร ถ้ำเลสเตโกดอน น้ำตกธารปลิว น้ำตกวังสายทอง และน้ำตกยา โรย ถ้ำเจ็ดคต เกาะหินงาม หาดปากบารา เกาะไข่ หาดทรายดำ ถ้ำจระเข้ หาดกรวดเสียงดนตรี หาดราไว หาดทรายดูด และหาดพัทยา จากนั้นนำผลวิจัย มาจัดทำเป็นเส้นทางท่องเที่ยว 2 เส้นทาง ได้แก่เส้นทาง ท ่องเที ่ยวที ่ 1 กำหนดการเดินทาง ONE DAY TRIPได้แก่ 1) ถ้ำภูผาเพชร 2) หาดราไว และเส้นทาง ท ่องเที ่ยวที ่ 2 กำหนดการเดินทาง 2 วัน 1 คืน ได้แก ่ 1) เกาะหินงาม 2) เกาะไข ่ 3)หาดพัทยา 4) พิพิธภัณฑ์ช้างดึกดำบรรพ์ทุ่งหว้า 5) ถ้ำเลสเตโกดอน 6) น้ำตกธารปลิว ส่วนผลการวิเคราะห์พบว่าจุด แข็งของเส้นทางท่องเที่ยวทั้ง 2 เส้นทาง คือ แหล่งท่องเที่ยวในเส้นทางเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีความสะดวก ในการเข้าถึงมีเจ้าหน้าที่ดูแลรับผิดชอบ เน้นการจัดการด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมทั้งยังเป็น แหล่งท่องเที่ยวหลักที่สามารถเชื่อมโยงกับแหล่งท่องเที่ยวรองได้เป็นอย่างดี เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ


23 และสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ มีความสมบูรณ์ของธรรมชาติและทรัพยากรการท่องเที่ยวเชิงธรณี อีกทั้ง นักท่องเที่ยวได้มีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในเส้นทางท่องเที่ยวแต่ละเส้นทาง มีแหล่งท่องเที่ยวที่ เหมาะสมสำหรับนักท่องเที่ยวที่มีความชื่นชอบการท่องเที่ยวเชิงธรณีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้เป็นอย่างดี จุดอ่อนสำหรับเส้นทางทั้ง 2 เส้น มีจุดอ่อนที่สำคัญคือ แหล่งท่องเที่ยวมีป้ายบอกทางแหล่งเที่ยวที่น้อยและ ค่อนข้างเก่า ป้ายไม่ชัดเจน รวมถึงขาดการการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกบริเวณเส้นทางเดินเข้าสู่ตัวธรณี เช่น ห้องน้ำ ถังขยะ และสถานที่จอดรถมีไม่เพียงพอสำหรับการรองรับนักท่องเที่ยวเมื่อมีนักท่องเที่ยวเข้า มาในแหล่งท่องเที่ยวจำนวนมาก โอกาส สำหรับเส้นทางทั้ง 2 เส้น โดยเส้นทางของแต่ละเส้นทางมีแหล่ง ท่องเที่ยวที่สามารถเชื่อมโยงไปยังแหล่งท่องเที่ยวแห่งอื่นได้ซึ่งสามารถดึงดูดใจให้นักท่องเที่ยวได้ใช้เวลาใน การท่องเที่ยวภายในอุทยานธรณี จังหวัดสตูลนานขึ้น อุปสรรค คือขาดการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยว อย่างจริงจัง แหล่งท่องเที่ยวบางแห่งมีข้อจำกัดด้านการเข้าชม ตลอดจนขาดอาสาสมัครด้านการท่องเที่ยว รวมถึงการขาดงบประมาณในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว เมื่อพิจารณากิจกรรมการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับ สิ่งแวดล้อมในตัวแหล่งท่องเที่ยว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรส่งเสริมการจัดกิจกรรม จัดอบรม ให้ประชาชนมี ความรู้ความเข้าใจและผลกระทบด้านบวกและลบรวมทั้งผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นในสังคม ชุมชน และการดูแล การรักษาการจัดการ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในแหล่งท่องเที่ยวด้วย Alexandar V. Michailidou และคณะ(2001) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง การจัดการห่วงโซ่อุปทานของ การท ่องเที ่ยวสีเขียว บนฐานของการประเมินผลกระทบวงจรชีวิต (Green tourism supply chain management bed on life cycle impact assessment) พบว ่า การท ่องเที ่ยวเป็นพลวัตหนึ ่งของการ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของโลก ซึ่งมีความซับซ้อนอย่างมากมายในการพัฒนาการท่องเที่ยวให้มีประสิทธิภาพ สิ่งที่มีกิจกรรมที ่สัมพันธ์กันในทางเศรษฐกิจได้แก่ สิ่งแวดล้อม สังคม วัฒนธรรมและ มิติทางการเมือง ที่เกี่ยวพันกันเป็นห่วงโซ่อุปทาน ในส่วนที่ขับเคลื่อนกระบวนการเศรษฐกิจสังคม การท่องเที่ยวยังมีความ รับผิดชอบต่อการเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม ไม่เพียงเฉพาะแต่ในพื้นที่ที่เป็นที่นิยม แต่ยังเสริมสร้างการ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไปทั่วโลก Maria Plotnikova(2018) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง การพัฒนาการท่องเที่ยวสีเขียวในเมืองอัจฉริยะ (Green Tourism Development in smart community) พบว ่า ปัจจัยและกลไกของการพัฒนาการ ท่องเที่ยวสีเขียวเป็นการจัดการบนฐานของการจัดการธรรมชาติอย่างมีเหตุและผลและเมื่อมีการแข่งขันเพิ่ม มากขึ้น การลงทุนในด้านสังคมสิ่งแวดล้อมก็เป็นสิ่งที่น่าดึงดูดใจเช่นกัน จากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องเกี่ยวการศึกษาและพัฒนาศักยภาพของการท่องเที่ยวที่เป็น มิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green tourism) พบว่างานวิจัยส่วนใหญ่ เป็นการศึกษาศักยภาพชุมชนในการจัดการ ท่องเที่ยวตามแนวคิดการท่องเที่ยวสีเขียว การพัฒนาทักษะชุมชนในการสร้างเส้นทางและโปรแกรมการ ท่องเที่ยวตามแนวคิดการท่องเที่ยวสีเขียว ส่วนใหญ่ผลการวิจัยจะแสดงให้เห็นว่าชุมชนมีส่วนสำคัญที่เข้ามา มีส่วนร่วมทำให้เกิดการพัฒนาเป็นชุมชนท่องเที่ยวที่มีประสิทธิภาพเกิดกิจกรรมการท่องเที่ยวที ่รักษา สิ่งแวดล้อม ปรับปรุงทรัพยากรที่เสื่อมโทรม และหาแนวทางในการจัดการท่องเที่ยวที่สร้างความพึงพอใจ ให้กับนักท่องเที่ยวและชุมชนไปพร้อมๆกัน นอกจากนี้ยังมีผู้ประกอบการนำเที่ยวที่ให้ความสำคัญกับการ อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริงสร้างการท่องเที่ยวให้ดำรงอยู่อย่างยั่งยืน


บทที่ 3 วิธีการดำเนินการวิจัย การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาศักยภาพการท่องเที่ยวชุมชนในพื้นที่พัฒนาพิเศษจังหวัดสงขลา โดยใช้ฐานทรัพยากร เขา ป่า นา เล และชุมชนมีส่วนร่วม โดยเป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participator Action Research : PAR) มีรายละเอียดของระเบียบวิธีการวิจัยแบ่งตามวัตถุประสงค์ ดังนี้ วัตถุประสงค์ข้อที่ 1 เพื่อศึกษาศักยภาพท่องเที่ยวชุมชนในพื้นที่พัฒนาพิเศษจังหวัดสงขลาโดย ใช้ฐานทรัพยากร เขา ป่า นา เล โดยชุมชนมีส่วนร่วม มีระเบียบวิธีดำเนินการวิจัยดังนี้ - นักวิจัยลงพื้นที ่ทั้ง 4 อำเภอ (สะบ้าย้อย นาทวี เทพา จะนะ) สัมภาษณ์ผู้นำชุมชน ผู้ประกอบการในพื้นที่ และหน่วยงานภาครัฐที่สนับสนุนการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว เพื่อศึกษาศักยภาพการ ท่องเที่ยวชุมชน โดยใช้ฐานทรัพยากรเขา ป่า นา เล ในประเด็น คุณค่าของแหล่งท่องเที่ยว ความสะดวกใน การเข้าถึง สิ่งอำนวยความสะดวกข้อจำกัดในการรองรับนักท่องเที่ยว และความมีชื่อเสียงในปัจจุบันเพื่อให้ ชุมชนมองเห็นถึงศักยภาพของการเริ่มต้นในการจัดกิจกรรมการท่องเที่ยว


25 ภาพชุดที่ 5การลงพื้นที่เพื่อศึกษาสถานที่ที่มีความพร้อมที่จะกำหนดเป็นแหล่งท่องเที่ยว ในอำเภอสะบ้าย้อย


26


27 ภาพชุดที่ 6การลงพื้นที่เพื่อศึกษาสถานที่ที่มีความพร้อมที่จะกำหนดเป็นแหล่งท่องเที่ยวในอำเภอนาทวี


28 ภาพชุดที่ 7การลงพื้นที่เพื่อศึกษาสถานที่ที่มีความพร้อมที่จะกำหนดเป็นแหล่งท่องเที่ยวในอำเภอจะนะ


29


30 ภาพชุดที่ 8การลงพื้นที่เพื่อศึกษาสถานที่ที่มีความพร้อมที่จะกำหนดเป็นแหล่งท่องเที่ยวในอำเภอเทพา วัตถุประสงค์ข้อที่ 2 เพื่อกำหนดแนวทางในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวชุมชนในพื้นที่พัฒนา พิเศษจังหวัดสงขลาอย่างมีส่วนร่วมโดยใช้ฐานทรัพยากร เขา ป่า นา เล มีระเบียบวิธีดำเนินการวิจัยดังนี้ - นักวิจัยศึกษาแนวทางการจัดการท ่องเที ่ยวจากการทบทวนวรรณกรรมเพื ่อจัดประชุมเชิง ปฏิบัติการกับกลุ่มเป้าหมาย ผู้นำชุมชน ผู้ประกอบการในพื้นที่ และหน่วยงานภาครัฐที่สนับสนุนการพัฒนา แหล่งท่องเที่ยว ที่จะกำหนดรูปแบบการจัดการท่องเที่ยวที่เหมาะสม ณ เพ็ชรมีรีสอร์ท โดยมีนายรชต สำราญชลารักษ์ และผศ.ดร.ป้องศักดิ์ ทองเนื้อแข็ง เป็นวิทยากรในการให้ความรู้และระดมความคิดเห็นต่อ การกำหนดแหล่งท่องเที่ยว และแนวทางในการพัฒนากิจกรรมตามเส้นทางท่องเที่ยวในพื้นที่ 4 อำเภอของ จังหวัดสงขลา


31


32


33 ภาพชุดที่ 9การให้ความรู้และระดมความคิดเห็นต่อการกำหนดแหล่งท่องเที่ยว และแนวทางในการพัฒนา กิจกรรมตามเส้นทางท่องเที่ยวในพื้นที่ทั้ง 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา จากตัวแทนชุมชนของแต่ละพื้นที่ วัตถุประสงค์ข้อที่ 3 เพื่อจัดทำเส้นทางและกิจกรรมการท่องเที่ยวในพื้นที่พัฒนาพิเศษจังหวัด สงขลาโดยใช้ฐานทรัพยากร เขา ป่า นา เล มีระเบียบวิธีดำเนินการวิจัยดังนี้ - นักวิจัยร ่วมกับกลุ ่มเป้าหมาย ผู้นำชุมชน ผู้ประกอบการในพื้นที ่ และหน ่วยงานภาครัฐที่ สนับสนุนการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว ร่วมจัดทำเส้นทาง รูปแบบและกำหนดกิจกรรมพร้อมรายการนำเที่ยว เพื่อการทดลองเปิดเส้นทางทางท่องเที่ยวในแต่ละพื้นที่ ได้แก่ ฐานทรัพยากรเขา ป่า นา เล โดยพื้นที่ เขา ใช้ชุมชนบ้านบาโหย อำเภอสะบ้าย้อย พื้นที่ ป่า ใช้พื้นที่อุทยานเขาน้ำค้าง อำเภอนาทวี พื้นที่ นา ใช้พื้นที่ ทุ่งนาข้าวลูกปลาชุมชนบ้านป่าชิง อำเภอจะนะ และพื้นที่ เล ใช้พื้นที่ชายฝั่งทะเลปากบางเทพา อำเภอเทพา


34 ภาพชุดที่ 10 พื้นที่ เขา ใช้ชุมชนบ้านบาโหย อำเภอสะบ้าย้อย


35


36 ภาพชุดที่ 11 พื้นที่ ป่า ใช้พื้นที่อุทยานเขาน้ำค้าง อำเภอนาทวี


37


38 ภาพชุดที่ 12 พื้นที่ นา ใช้พื้นที่ทุ่งนาข้าวลูกปลาชุมชนบ้านป่าชิง อำเภอจะนะ


39 ภาพชุดที่ 13 พื้นที่ เลใช้พื้นที่ชายฝั่งทะเลปากบางเทพา อำเภอเทพา วัตถุประสงค์ข้อที่ 4 เพื่อพัฒนาสื่อในการประชาสัมพันธ์รูปแบบการท่องเที่ยวในพื้นที่พัฒนา พิเศษจังหวัดสงขลาโดยใช้ฐานทรัพยากร เขา ป่า นา เล มีระเบียบวิธีดำเนินการวิจัยดังนี้ - นักวิจัยร ่วมประชุมเชิงปฏิบัติศึกษาข้อมูลช ่องทางในการประชาสัมพันธ์โดยร ่วมกับ กลุ ่มเป้าหมาย ผู้นำชุมชน ผู้ประกอบการในพื้นที ่ และหน ่วยงานภาครัฐที ่สนับสนุนการพัฒนาแหล่ง ท่องเที่ยว เพื่อออกแบบสื่อที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดในยุคปัจจุบัน และดำเนินการผลิตพร้อม นำเสนอในรูปแบบที่เหมาะสมโดยใช้แนวคิดการสื่อสารตามคำพังเพยของไทย “ช้างเหยียบนา พระยาเหยียบ เมือง” เพื่อเปิดพื้นที่ท่องเที่ยวและสร้างความมั่นใจให้นักท่องเที่ยวตัดสินใจเดินทางเข้ามาเที่ยวยังพื้นที่ ต่างๆโดยประสานรองผู้ราชการจังหวัดสงขลา นายอำพล พงษ์สุวรรณ มาเป็นหัวหน้าคณะนำเที่ยว


40


Click to View FlipBook Version