The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนการสอน Active Learning รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน ม.1 หนังสือเรียน Access ภาคเรียนที่ 2

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by The School of Lesson Plans, 2023-11-06 00:02:03

Access 1

แผนการสอน Active Learning รายวิชาภาษาอังกฤษพื้นฐาน ม.1 หนังสือเรียน Access ภาคเรียนที่ 2

หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 2 (อ21122) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 หน้า 93 2) สามารถคิดประดิษฐ์อย่างสร้างสรรค์ ปรับตัวใฝ่รู้ ใฝ่เรียน วิเคราะห์ สังเคราะห์ สรุป สร้างองค์ความรู้ 3) มีทักษะสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ 4) มีความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 5) มีความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 7. ทักษะของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 (3R 7C เฉพาะที่เกิดในหน่วยการเรียนรู้นี้) 7.1 ทักษะการอ่าน (Reading) 7.2 ทักษะการเขียน (Writing) 7.3 ทักษะการคิดคำนวณ (Arithmetic) 7.4 ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณและทักษะในการแก้ปัญหา (Critical thinking and problem solving) 7.5 ทักษะด้านการสร้างสรรค์และนวัตกรรม (Creativity and innovation) 7.6 ทักษะด้านความร่วมมือการทำงานเป็นทีมและภาวะผู้นำ (Collaboration, teamwork and leadership) 7.7 ทักษะด้านความเข้าใจต่างวัฒนธรรมต่างกระบวนทัศน์ (Cross-cultural understanding) 7.8 ทักษะด้านการสื่อสารสารสนเทศและรู้เท่าทันสื่อ (Communication information and media literacy) 7.9 ทักษะด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Computing) 7.10 ทักษะอาชีพและทักษะการเรียนรู้ (Career and learning self-reliance, change) 8. การบูรณาการตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ (เฉพาะที่เกิดในหน่วยการเรียนรู้นี้) 8.1 บูรณาการสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน 8.2 บูรณาการเศรษฐกิจพอเพียง 8.3 บูรณาการห้องเรียนสีเขียว 8.4 อื่น ๆ (โปรดระบุ)................................................................................................................................................. 9 ชิ้นงาน / ภาระงาน 1. ภาระงาน - ใบงานเรื่อง Modal Verbs : May / Might 2. ชิ้นงาน - 10. กิจกรรมการเรียนรู้(Active Learning) เรื่อง Modal Verbs : May / Might วิธีการสอน (วิธีการสอนแบบ Inquiry Method : 5Es) ชั่วโมงที่ 1 - 2 1. สร้างความสนใจ (Engage) 1.1 นักเรียนดูคำศัพท์ may และ might บน PowerPoint และช่วยกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ may และ might


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 2 (อ21122) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 หน้า 94 1.2 นักเรียนดูประโยคบน PowerPoint และช่วยกันแสดงความคิดเห็น • I may go to Disney World. I might have gone to Disney World. • I may take a nap. I might have taken a nap. • Why isn’t John at work yet? I don’t know, he might have missed the train. 2. สำรวจและค้นหา (Explore) 2.1 นักเรียนดูวิดีโอคลิป May and Might | Learn English Grammar for kids | English Learning จาก https://www.youtube.com/watch?v=nmI1LdM7jHI 2.3 นักเรียนช่วยกันพูดสรุปความรู้ที่ได้จากการดูคลิปวิดีโอ 2.4 นักเรียนฟังครูอธิบาย Modal Verbs : May / Might May และ might เป็นคำที่หลายๆคนมักจะสับสนกัน กรณีไหนเราควรใช้ may กรณีไหนเราควรใช้ might ความต่างของ may กับ might 1. การใช้บอกความเป็นไปได้ May กับ might มีความหมายเหมือนกันว่า “อาจจะ” แต่ may จะแสดงถึงความเป็นไปได้ที่ มากกว่า ส่วน might จะแสดงถึงความเป็นไปได้ที่น้อยกว่า ตัวอย่างเช่น • It may rain. (ฝนอาจจะตก คิดว่ามีโอกาสมาก) • It might rain. (ฝนอาจจะตก แต่คิดว่ามีโอกาสน้อย) อย่างไรก็ตาม การใช้ may กับ might ในกรณีนี้ จริง ๆ แล้วความหมายก็ไม่ได้ต่างกันมากเท่าใด นัก เจ้าของภาษาบางคนก็ให้ความเห็นว่า ความหมายที่ได้นั้นไม่ต่างกัน 2. การใช้รูปปฏิเสธ รูปปฏิเสธของ may คือ may not ส่วนของ might คือ might not ทั้งสองคำมีความหมายว่า “อาจจะไม่” แต่ may not จะมีอีกความหมายหนึ่งด้วย ซึ่งก็คือ “ไม่ได้รับอนุญาติ” อย่างเช่น ในป้ายห้ามจอดรถ อาจมีข้อความ You may not park here. แปลว่า คุณไม่ได้รับอนุญาตให้จอดรถตรงนี้ด้วยเหตุนี้ การใช้ may not เลยมีความกำกวม เพราะแปลได้ 2 แบบ • I may not go to Japan with you this summer. จะแปลได้ทั้ง ฉันอาจจะไม่ได้ไปญี่ปุ่นกับคุณช่วงซัมเมอร์นี้ ฉันไม่ได้รับอนุญาตให้ไปญี่ปุ่นกับคุณช่วงซัมเมอร์นี้ การใช้ may not เพื่อสื่อว่า “อาจจะไม่” จึงเป็นสิ่งที่ควรเลี่ยง ทางที่ดีเราควรใช้คำว่า might not แทน


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 2 (อ21122) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 หน้า 95 • I might not go to Japan with you this summer. ฉันอาจจะไม่ได้ไปญี่ปุ่นกับคุณช่วงซัมเมอร์นี้ 3. การขออนุญาต • May I sit with you? ฉันขอนั่งกับคุณได้มั้ย • Might I sit with you? ฉันขอนั่งกับคุณได้มั้ย ในการขออนุญาต เราจะนิยมใช้ may มากกว่า แม้ว่าถ้าเทียบกันแล้ว การใช้ might จะแสดงถึง ความสุภาพมากกว่า may แต่ก็ถือว่าแปลกและดูล้าสมัย 4. การใช้รูปอดีต นอกจากที่กล่าวมาแล้ว might ยังสามารถถูกใช้เป็นรูปอดีต (past tense) ของ may ได้อีกด้วย พูดอีกแบบหนึ่งก็คือ ถ้าประโยคเป็นรูปอดีต เราจะต้องใช้ might • I thought you might be tired. (ไม่ใช่ I thought you may be tired.) ฉันคิดว่าคุณอาจจะเหนื่อย • Anne might have come earlier, but I was not home. (ไม่ใช่ Anne may have come earlier, …) แอนอาจจะมาก่อนหน้านี้ แต่ฉันไม่ได้อยู่บ้าน • He said he might bring some friends to the party. (ไม่ใช่ He said he may bring…) เค้าบอกว่าเค้าอาจจะพาเพื่อนบางคนไปงานปาร์ตี้ด้วย 5. การใช้ในเชิงวิชาการ การใช้กับข้อเท็จจริงต่าง ๆ โดยเฉพาะในเชิงวิชาการ ว่าสิ่งหนึ่งมีโอกาสเกิดขึ้น เราจะนิยมใช้ may • Omega-3 may help prevent heart disease. โอเมก้า 3 อาจช่วยป้องกันโรคหัวใจ • People who live alone may be at risk of social isolation. ผู้คนที่อาศัยอยู่คนเดียวอาจมีความเสี่ยงต่อภาวะโดดเดี่ยวทางสังคม 6. การอวยพร การอวยพรเราจะใช้ may • May you and your children live a happy life together. ขอให้คุณและลูกๆของคุณใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข • May the force be with you. ขอให้พลังสถิตย์อยู่กับคุณ • May the Christmas bring you joy and happiness. ขอให้คริสมาสต์นำพาความสนุกและความสุขมาสู่คุณ 2.5 นักเรียนช่วยกันสรุปโครงสร้าง Modal Verbs : May / Might


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 2 (อ21122) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 หน้า 96 Usage Structure Affirmative Subject + may + Verb 1 + Object. Subject + might + Verb 1 + Object. Negative Subject + may + not + Verb 1 + Object. Subject + might + not + Verb 1 + Object. Question May + Subject + Verb 1 + Object ? Wh-question + may + Subject + Verb 1 + ... ? Might + Subject + Verb 1 + … ? ชั่วโมงที่ 3 3. อธิบาย (Explain) 3.1 นักเรียนช่วยกันอธิบายและสรุปเรื่อง Modal Verbs : May / Might 3.2 นักเรียนยกตัวอย่างประโยคการใช้ Modal Verbs : May / Might โดยไม่ซ้ำกัน เช่น • She may come tomorrow. หล่อนอาจจะมาพรุ่งนี้ • It may rain tomorrow. ฝนอาจจะตกวันพรุ่งนี้ • May it rain tomorrow? ฝนน่าจะตกไหมพรุ่งนี้ • It may not rain tomorrow. It may rain next week. ฝนไม่น่าจะตกพรุ่งนี้ ฝนอาจจะตก อาทิตย์หน้า • She may go shopping tomorrow. หล่อนอาจจะไปช็อปปิ้งพรุ่งนี้ • Sam may finish his work tonight. แซมอาจจะทำงานให้เสร็จคืนนี้ • May I come in? ขอผมเข้าไปได้ไหม • May I go out? ขอผมออกไปข้างนอกได้ไหม • May I help you? ขอผมช่วยคุณนะ (มีอะไรให้ช่วยไหม) • May I use your computer? ขอฉันใช้คอมพิวเตอร์ของคุณได้ไหม • May we play football in here? ขอพวกเราเล่นบอลในนี้ได้ไหม • That’s all for today. You may go now. วันนี้พอแค่นี้แหละ พวกเธอไปได้แล้วตอนนี้ • Make yourself at home. You may do anything here. ตามสบายนะ จะทำอะไรก็เอา เลย • You may use my bike. คุณจะใช้จักรยานผมก็ได้นะ • Students may use mobile phones in the classroom. นักเรียนสามารถใช้มือถือใน ห้องเรียนได้ • You may play football in here? พวกเธอสามารถเล่นบอลในนี้ได้


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 2 (อ21122) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 หน้า 97 4. ขยายความรู้ (Elaborate) 4.1 นักเรียนฟังครูอธิบายเพิ่มเติมเพื่อเสริมความเข้าใจในเรื่อง Modal Verbs : May / Might โดยครู เขียนตัวอย่างประโยคบนกระดานให้นักเรียนเห็นความหลากหลายมากขึ้น • She may go shopping tomorrow. หล่อนอาจจะไปชอปปิ้งพรุ่งนี้ She might go shopping tomorrow. หล่อนอาจจะไปชอปปิ้งพรุ่ง • He may get a job soon. เขาน่าจะได้งานเร็ว ๆ นี้ He might get a job soon. เขาน่าจะได้งานเร็ว ๆนี้ • I think what we did may have made Sam angry. ผมคิดว่า สิ่งที่เราทำอาจทำให้แซม โกรธก็ได้นะ I think what we did might have made Sam angry ผมคิดว่า สิ่งที่เราทำอาจทำให้แซม โกรธก็ได้นะ แต่ถ้าเราคิดว่า เหตุการณ์นั้นไม่น่าจะเกิดขึ้นจริง ๆ ให้เราใช้ might have เช่น แม่บอกว่าเจนไป โรงเรียนแล้ว แต่เราคิดว่าเจนยังอยู่ในบ้านนั่นแหละ ไม่ได้ไปโรงเรียนจริง ๆ หรอก เราก็พูดได้ว่า • Mrs. Brown told me that Jane had gone to school, but she might have been at her home. คุณนายบราวน์บอกฉันว่าเจนไปโรงเรียนแล้ว แต่หล่อนน่าจะยังอยู่ที่บ้านน 4.2 นักเรียนศึกษาใบความรู้เรื่อง Modal Verbs : May / Might ในเอกสารประกอบการเรียน 4.3 นักเรียนศึกษากฎการใช้และโครงสร้างประโยค Modal Verbs : May / Might จากตัวอย่างใน เอกสารประกอบการเรียน 4.4 นักเรียนอภิปรายร่วมกับเพื่อนในชั้นเรียนเรื่อง การใช้และโครงสร้างประโยค Modal Verbs : May / Might 4.5 นักเรียนเขียนประโยค 4 ประโยคให้ข้อมูลเกี่ยวกับตนเองโดยใช้โครงสร้างประโยค May / Might จากนั้นอ่านข้อมูลของตนให้เพื่อนร่วมชั้นฟัง โดยร่วมกันอภิปรายข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นร่วมกันเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ 4.6 นักเรียนทำใบงานเรื่อง Modal Verbs : May / Might ในเอกสารประกอบการเรียน 5. ประเมินผล (Evaluate) 5.1 นักเรียนและครูร่วมกันตรวจสอบคำตอบจากการทำใบงานเรื่อง Modal Verbs : May / Might 5.2 นักเรียนฟังครูอธิบายถึงสาเหตุในการตอบคำถามหรือเลือกตอบในแต่ละข้อให้นักเรียนเข้าใจ หลักการใช้ Modal Verbs : May / Might 11. สื่อการเรียนรู้/ แหล่งเรียนรู้ 11.1 สื่อการเรียนรู้ 1. เอกสารประกอบการเรียนเรื่อง Modal Verbs : May / Might 11.2 แหล่งเรียนรู้ 1. ใบงานเรื่อง Modal Verbs : May / Might


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 2 (อ21122) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 หน้า 98 12. การวัดและประเมินผล ลำดับ รายการที่วัดและประเมินผล วิธีการ เครื่องมือ เกณฑ์ 1 ใบงานเรื่อง Modal Verbs : May / Might ตรวจใบงานท้ายบท ใบงานท้ายบท นั ก เรีย น ให้ ค วาม ร่วม มื อใน การท ำ แบบฝึกหัดและตอบ ถูกร้อยละ 60 ขึ้นไป ผ่านเกณฑ์ 13. เกณฑ์การประเมิน 16 - 20 คะแนน ดีมาก 11 - 15 คะแนน ดี 6 - 10 คะแนน พอใช้ น้อยกว่า 6 คะแนน ควรปรับปรุง ลงชื่อ ผู้จัดทำ (นายสุจินดา ปรากฏวงศ์) ตำแหน่ง ครู บันทึกหลังการใช้แผนการจัดการเรียนรู้ ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ลงชื่อ ผู้จัดทำ (นายสุจินดา ปรากฏวงศ์) ตำแหน่ง ครู วันที่..............เดือน..................................พ.ศ. ..................


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 2 (อ21122) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 หน้า 99 โรงเรียนแผนการจัดการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้ที่ 7 เรื่อง Glory days แผนการจัดการเรียนรู้ที่8 เรื่อง Modal Verbs : Must / Have to / Needn’t รหัสวิชา อ21122 รายวิชา ภาษาอังกฤษ 2 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ปีการศึกษา 2566 ภาคเรียนที่ 2 เวลา 3 ชั่วโมง ผู้สอน นายสุจินดา ปรากฏวงศ์ 1. มาตรฐานการเรียนรู้/ ตัวชี้วัด 1.1 มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ต 1.1 เข้าใจและตีความเรื่องที่ฟังและอ่านจากสื่อประเภทต่าง ๆ และแสดงความคิดเห็นอย่างมี เหตุผล มาตรฐาน ต 1.2 มีทักษะการสื่อสารทางภาษาในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร แสดงความรู้สึก และ ความคิดเห็นอย่างมีประสิทธิภาพ มาตรฐาน ต 1.3 นำเสนอข้อมูลข่าวสาร ความคิดรวบยอด และความคิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ โดยการพูด และการเขียน มาตรฐาน ต 4.2 ใช้ภาษาต่างประเทศเป็นเครื่องมือพื้นฐานในการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพ และ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับสังคมโลก 1.2 ตัวชี้วัด ต 1.1 ม.1/4 ระบุหัวข้อเรื่อง (topic) ใจความสำคัญ (main idea) และตอบคำถามจากการฟังและ อ่าน บทสนทนา นิทาน และเรื่องสั้น ต 1.2 ม.1/2 ใช้คำขอร้อง ให้คำแนะนำ และคำชี้แจง ตามสถานการณ์ ต 1.3 ม.1/1 พูดและเขียนบรรยายเกี่ยวกับตนเอง กิจวัตรประจำวัน ประสบการณ์ และสิ่งแวดล้อม ใกล้ตัว ต 4.2 ม.1/1 ใช้ภาษาต่างประเทศในการสืบค้น / ค้นคว้า ความรู้ / ข้อมูลต่าง ๆ จากสื่อและแหล่ง การเรียนรู้ต่าง ๆ ในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพ 2. จุดประสงค์การเรียนรู้ 2.1 ด้านความรู้ ความเข้าใจ (K) - นักเรียนมีความสามารถในการจับใจความสำคัญบทสนทนา นิทาน เรื่องสั้น และเรื่องจากสื่อประเภท ต่าง ๆ - นักเรียนมีความรู้ในการใช้คำขอร้อง คำแนะนำ และคำชี้แจง - นักเรียนมีความรู้ในการใช้ประโยคและข้อความที่ใช้ในการบรรยายเกี่ยวกับตนเอง กิจวัตรประจำวัน ประสบการณ์ สิ่งแวดล้อม ใกล้ตัว - นักเรียนมีความรู้ ในการใช้ภาษาต่างประเทศในการสืบค้น / การค้นคว้าความรู้ / ข้อมูลต่าง ๆ จากสื่อ และแหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 2 (อ21122) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 หน้า 100 2.2 ด้านทักษะกระบวนการ (P) - เขียนประโยคและข้อความที่ใช้ในการบรรยายเกี่ยวกับตนเอง กิจวัตรประจำวัน ประสบการณ์ สิ่งแวดล้อมใกล้ตัว ประโยคขอร้อง คำแนะนำ และคำชี้แจง โดยใช้ Modal Verbs : Must / Have to / Needn’t ได้ถูกโครงสร้างตามหลักภาษา 2.3 คุณลักษณะ เจตคติ ค่านิยม (A) - รักการเรียนรู้ภาษาอังกฤษและฝึกฝนอย่างจริงจังเพียงพอ - ผู้เรียนใช้ภาษาอังกฤษอย่างมีมารยาท ถูกต้องตามกาลเทศะ และบุคคล 3. สาระสำคัญ / ความคิดรวบยอด - พูดและเขียนบทสนทนา นิทาน เรื่องสั้น คำขอร้อง คำแนะนำ และคำชี้แจง โดยใช้ Modal Verbs : Must / Have to / Needn’t บรรยายเกี่ยวกับตนเอง กิจวัตรประจำวัน ประสบการณ์ สิ่งแวดล้อม ใกล้ตัว เช่น การเดินทาง การรับประทานอาหาร การเรียน การเล่นกีฬา ฟังเพลง การอ่านหนังสือ การท่องเที่ยว และใช้ ภาษาต่างประเทศในการสืบค้น / การค้นคว้าความรู้ / ข้อมูลต่าง ๆ จากสื่อและแหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ ใน การศึกษาต่อและประกอบอาชีพ และมีทักษะในการเลือก พอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกัน และมีคุณธรรม ในการ ปฏิบัติตนอย่างเหมาะสม ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 4. สาระการเรียนรู้ 4.1 สาระการเรียนรู้แกนกลาง - พูดและเขียนบทสนทนา นิทาน เรื่องสั้น คำขอร้อง คำแนะนำ และคำชี้แจง โดยใช้ Modal Verbs : Must / Have to / Needn’t บรรยายเกี่ยวกับตนเอง กิจวัตรประจำวัน ประสบการณ์ สิ่งแวดล้อม ใกล้ตัว เช่น การเดินทาง การรับประทานอาหาร การเรียน การเล่นกีฬา ฟังเพลง การอ่านหนังสือ การท่องเที่ยว ได้ถูกโครงสร้าง ตามหลักภาษา 4.2 สาระการเรียนรู้ท้องถิ่น 1. คำศัพท์ในเรื่อง Unit 7 : Glory days 2. บทสนทนาในเรื่อง Unit 7 : Glory days 3. การใช้โครงสร้าง Modal Verbs : Must / Have to / Needn’t ในรูปแบบต่าง ๆ 5. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน (เฉพาะที่เกิดในหน่วยการเรียนรู้นี้) 5.1 ความสามารถในการสื่อสาร 5.2 ความสามารถในการคิด 5.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา 5.4 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 5.5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ (เฉพาะที่เกิดในหน่วยการเรียนรู้นี้) 6.1 คุณลักษณะอันพึงประสงค์ (ตามหลักสูตรแกนกลาง) 1) รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 2) ซื่อสัตย์สุจริต 3) มีวินัย 4) ใฝ่เรียนรู้ 5) อยู่อย่างพอเพียง 6) มุ่งมั่นในการทำงาน 7) รักความเป็นไทย 8) มีจิตสาธารณะ


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 2 (อ21122) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 หน้า 101 6.2 คุณลักษณะตามหลักสูตรมาตรฐานสากล 1) มีความรู้พื้นฐานในยุคดิจิตอล วิทยาศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ เทคโนโลยี รู้ภาษา พหุวัฒนธรรม ตระหนักสำนึกระดับโลก 2) สามารถคิดประดิษฐ์อย่างสร้างสรรค์ ปรับตัวใฝ่รู้ ใฝ่เรียน วิเคราะห์ สังเคราะห์ สรุป สร้างองค์ความรู้ 3) มีทักษะสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ 4) มีความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 5) มีความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 7. ทักษะของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 (3R 7C เฉพาะที่เกิดในหน่วยการเรียนรู้นี้) 7.1 ทักษะการอ่าน (Reading) 7.2 ทักษะการเขียน (Writing) 7.3 ทักษะการคิดคำนวณ (Arithmetic) 7.4 ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณและทักษะในการแก้ปัญหา (Critical thinking and problem solving) 7.5 ทักษะด้านการสร้างสรรค์และนวัตกรรม (Creativity and innovation) 7.6 ทักษะด้านความร่วมมือการทำงานเป็นทีมและภาวะผู้นำ (Collaboration, teamwork and leadership) 7.7 ทักษะด้านความเข้าใจต่างวัฒนธรรมต่างกระบวนทัศน์ (Cross-cultural understanding) 7.8 ทักษะด้านการสื่อสารสารสนเทศและรู้เท่าทันสื่อ (Communication information and media literacy) 7.9 ทักษะด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Computing) 7.10 ทักษะอาชีพและทักษะการเรียนรู้ (Career and learning self-reliance, change) 8. การบูรณาการตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ (เฉพาะที่เกิดในหน่วยการเรียนรู้นี้) 8.1 บูรณาการสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน 8.2 บูรณาการเศรษฐกิจพอเพียง 8.3 บูรณาการห้องเรียนสีเขียว 8.4 อื่น ๆ (โปรดระบุ)................................................................................................................................................. 9. ชิ้นงาน / ภาระงาน 1. ภาระงาน - ใบงานเรื่อง Modal Verbs : Must / Have to / Needn’t 2. ชิ้นงาน -


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 2 (อ21122) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 หน้า 102 10. กิจกรรมการเรียนรู้(Active Learning) เรื่อง Modal Verbs : Must / Have to / Needn’t วิธีการสอน (วิธีการสอนแบบ Inquiry Method : 5Es) ชั่วโมงที่ 1 - 2 1. สร้างความสนใจ (Engage) 1.1 นักเรียนดูรูปภาพและประโยคที่บรรยายแต่ละภาพ บน PowerPoint และช่วยกันแสดงความ คิดเห็นเกี่ยวกับประโยคที่เห็น 1.2 นักเรียนช่วยกันตอบคำถาม Do you know the difference between must and have to? 2. สำรวจและค้นหา (Explore) 2.1 นักเรียนดูวิดีโอคลิป Must, have to จาก https://www.youtube.com/watch?v= MdUnlTFLh0Y 2.2 นักเรียนดูวิดีโอคลิป Must, have to จากhttps://www.youtube.com/watch?v= bTg27MfZw9Y 2.3 นักเรียนช่วยกันพูดสรุปความรู้ที่ได้จากการดูคลิปวิดีโอทั้ง 2 คลิป 2.4 นักเรียนฟังครูอธิบาย Modal Verbs : Must / Have to Modal Verbs; Must และ Have to ทั้ง must และ have to ใช้เพื่อแสดงความจำเป็นในการทำ สิ่งใดสิ่งหนึ่งเหมือนกัน แต่มีวิธีการใช้เหมือนกันเล็กน้อยค่ะ แต่โครงสร้างประโยคในการใช้ must กับ have to เหมือนกันคือ ต้องตามด้วย verb infinitive หรือ กริยารูปธรรมดา ไม่ผัน ไม่เติม must + verb (infinitive) have to + verb (infinitive) • I must quit smoking. ฉันต้องเลิกสูบบุหรี่ • I have to quit smoking. ฉัน(จำเป็น)ต้องเลิกสูบบุหรี่ สองประโยคนี้แปลว่า ต้องเลิกสูบบุหรี่ เหมือนกัน แต่เราจะใช้ must ในกรณีที่เราคิดว่าสิ่งนั้น จำเป็นต้องทำ เป็นความเชื่อหรือเป็นความคิดของเราเองที่คิดว่ามันจำเป็นต้องทำ แต่ have to นั้นใช้ในกรณีที่ สถานการณ์เป็นตัวบังคับให้เราจำเป็นต้องทำ ซึ่งบางที่เราอาจจะไม่อยากทำ อาจจะเป็นกฎ หรือข้อบังคับให้ทำ เช่น • You have to stop eating salty food. คุณจำเป็นต้องเลิกกินอาหารรสเค็ม (อาจจะเป็นคำสั่งหมอที่ให้เลิกกินอาหารรสเค็ม) 1. must ใช้ในกรณีที่เราคิดเองว่าต้องทำ โครงสร้างคือ must + verb infinitive (กริยาช่อง1) เช่น


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 2 (อ21122) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 หน้า 103 • I must go to the hospital. ฉันต้องไปโรงพยาบาล : เป็นความคิดของเราเองที่ว่าต้องไป เพราะอาจจะรู้สึกว่าไม่ค่อย สบายเลยต้องไปตรวจที่โรงพยาบาล • I must stop smoking. ฉันต้องเลิกสูบบุหรี่ : ตัวเราต้องการเลิกเอง • I must finish this work today. ฉันต้องทำงานนี้ให้เสร็จวันนี้ : ตัวเราคิดเองว่าจะทำให้เสร็จวันนี้ • I must go to supermarket today. Because cosmetic sale finishes today. ฉันต้องไปซูเปอร์มาร์เก็ตวันนี้ เพราะเครื่องสำอางลดราคาวันนี้วันสุดท้ายแล้ว • That movie is very funny! You must watch it! หนังเรื่องนั้นสนุกมาก คุณต้องดูมันนะ 2. have to ใช้ในกรณีที่สถานการณ์เป็นตัวบังคับให้เราจำเป็นต้องทำ ซึ่งเราอาจจะไม่อยากทำ อาจเป็นกฎหรือข้อบังคับให้ทำ โครงสร้างคือ have to + verb infinitive (กริยาช่อง1) เช่น • I have to stop smoking. ฉันจำเป็นต้องเลิกสูบบุหรี่ : หมออาจจะสั่งให้เลิกสูบ • I have to go to supermarket today. Because my mom asked me to buy something. ฉันต้องไปซูเปอร์มาร์เก็ตวันนี้ เพราะแม่บอกให้ซื้อของบางอย่าง • Doctors sometimes have to work on Sunday. บางครั้งบรรดาคุณหมอก็ต้องทำงานวันอาทิตย์ : เป็นกฎในอาชีพที่ต้องทำ • She has to go to the hospital. เธอต้องไปโรงพยาบาล ข้อสังเกต : ประธาน I, You, We, They และประธานพหูพจน์อื่น ๆ ใช้ have to ประธาน He, She, It และประธานเอกพจน์อื่น ๆ ใช้ has to รูปอดีตใช้ had to 2.5 นักเรียนดูตารางสรุปความแตกต่างของ Must กับ Have to โดยครูอธิบายเพิ่มเติมเพื่อให้นักเรียน เข้าใจมากขึ้น Must Have to 1. ใช้ในกรณีที่เป็นความต้องการของเราเอง 1. ใช้ในกรณีที่เป็นสิ่งจำเป็นต้องทำ อาจเป็นกฎหรือ ข้อบังคับ 2. โครงสร้าง must + verb infinitive (V.1) 2. โครงสร้าง have to + verb infinitive (V.1) • I must go to supermarket today. Because cosmetic sale finishes today. ฉันต้องไปซูเปอร์มาร์เก็ตวันนี้ เพราะเครื่องสำอาง ลดราคาวันนี้วันสุดท้ายแล้ว • I have to go to supermarket today. Because my mom asked me to buy something. ฉันต้องไปซูเปอร์มาร์เก็ตวันนี้ เพราะแม่บอกให้ซื้อ ของบางอย่าง


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 2 (อ21122) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 หน้า 104 Must Have to • I must stop smoking. ฉันต้องเลิกสูบบุหรี่ : ตัวเราต้องการเลิกเอง • I have to stop smoking. ฉันจำเป็นต้องเลิกสูบบุหรี่ : หมออาจจะสั่งให้เลิก สูบ • I must buy a new mobile phone. ฉันต้องซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ : ต้องการซื้อเอง • I have to buy a new mobile phone. ฉันจำเป็นต้องซื้อโทรศัพท์เครื่องใหม่ : อาจมีเหตุ จำเป็นหรือมีใครแนะนำให้ซื้อ 2.6 นักเรียนดูคำศัพท์ needn’t บนกระดาน และร่วมกันแสดงความคิดเห็น 2.7 นักเรียนฟังครูอธิบายเพิ่มเติมว่า นอกจาก Must และ Have to แล้วยังมี Needn’t แต่ needn’t จะมี ความหมายตรงข้ามกับ must และ have to โดยมีความหมายว่า ไม่จำเป็นต้อง 2.8 นักเรียนฟังครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับรูปปฏิเสธของ mustn’t มีความหมายว่า ต้องไม่, อย่า ซึ่งจะใช้ เหมือนกับคำว่า needn’t เช่น • You needn’t hurry: there is plenty of time. คุณไม่ต้องรีบก็ได้ ยังมีเวลาอีกเยอะ • You needn’t finish your meal if you don’t like it. คุณไม่จำเป็นต้องทานอาหารให้หมดหรอกถ้าคุณไม่ชอบมัน • You needn’t answer all the question. คุณไม่ต้องตอบคำถามทั้งหมดหรอก • You needn’t do your homework today: there is no school tomorrow. เธอไม่จำเป็นต้องทำการบ้านวันนี้ก็ได้ พรุ่งนี้ไม่เปิดเรียน • You needn’t come with us if you don’t want to. คุณไม่ต้องไปกับเราก็ได้ถ้าไม่อยากไป • You mustn’t drive over 90 km/hr. It is forbidden. คุณต้องไม่ขับเร็วเกิน 90 กม/ชม เขาห้าม • You mustn’t park here. It is forbidden. อย่าจอดรถที่นี่ เขาห้ามจอด • Isabella mustn’t eat so much: it make her fat. อิซาเบลล่าต้องไม่ทานอาหารมากไป มันทำให้เธออ้วน • You mustn’t smoke here. It is forbidden. อย่าสูบบุหรี่ ที่นี่เขาห้ามสูบ ชั่วโมงที่ 3 3. อธิบาย (Explain) 3.1 นักเรียนช่วยกันอธิบายและสรุปเรื่อง Modal Verbs : Must / Have to / Needn’t 3.2 นักเรียนยกตัวอย่างประโยคการใช้ Modal Verbs : Must / Have to / Needn’t โดยไม่ซ้ำกัน


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 2 (อ21122) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 หน้า 105 4. ขยายความรู้ (Elaborate) 4.1 นักเรียนฟังครูอธิบายเพิ่มเติมเพื่อเสริมความเข้าใจในเรื่อง Modal Verbs : Must / Have to / Needn’t โดยครูเขียนตัวอย่างประโยคบนกระดานให้นักเรียนเห็นความหลากหลายมากขึ้น เช่น • I must go now. ฉันต้องไปเดี๋ยวนี้ (มีความจำเป็นที่จะต้องไป) • They must come today. พวกเขาต้องมากันในวันนี้ (จำเป็นต้องมาในวันนี้) • Belinda must speak to my cousin. เบลินด้าต้องพูดกับลูกพี่ลูกน้องของฉัน • Doctors sometimes have to work on Sunday. บางครั้งหมอก็ต้องทำงานวันอาทิตย์ (เป็นกฎของโรงพยาบาล) • You have to drive slowly here. คุณต้องขับช้า ๆ ที่นี่ • Olivier has to phone his father. โอลิเวอร์ต้องโทรหาพ่อของเขา • You mustn’t smoke on buses. คุณต้องไม่สูบบุหรี่บนรถโดยสาร (เพราะผิดกฎหมาย) • In football you mustn’t touch the ball with your hands. ในเกมส์ฟุตบอลคุณต้องไม่ใช้มือแตะต้องลูกบอล (เพราะผิดกฎ) • The children mustn’t play in the park. เด็ก ๆ อย่าเล่นในสวน (ห้ามเด็ก ๆ เล่นในสวน) • You needn’t wear an overcoat today: it’s not cold. คุณไม่จำเป็นต้องสวมเสื้อคลุมหรอก อากาศมันไม่หนาว • You needn’t drive so quickly because we have plenty of time. คุณไม่จำเป็นต้องขับเร็วมากหรอกเรายังมีเวลาอีกเยอะ 4.2 นักเรียนฟังครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้ Have to ในรูปปฏิเสธ ในการใช้รูปปฏิเสธของ have to นั้น จะ ใช้ verb ช่วย do และ does ตามด้วย not มาวางบริเวณด้านหน้า have to จะไม่ใช้ haven’t to และ hasn’t to ตัวอย่างประโยคการใช้ don’t have to • In Britain, people don’t have to carry a passport with them. ในสหราชอาณาจักร ประชาชนไม่จำเป็นต้องพกหนังสือเดินทางติดตัว • Lucy doesn’t have to stay at home. ลูซี่ไม่จำเป็นต้องอยู่บ้านก็ได้ • You don’t have to go now. คุณไม่จำเป็นต้องไปตอนนี้ก็ได้ 4.3 นักเรียนเปรียบเทียบตัวอย่างประโยคการใช้ mustn’t และ don’t have to โดยร่วมกันแสดง ความคิดเห็นว่ามีความหมายแตกต่างกันอย่างไร


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 2 (อ21122) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 หน้า 106 • They mustn’t come today. พวกเขาต้องไม่มาในวันนี้ (ห้ามพวกเขามาในวันนี้) • They don’t have to come today. วันนี้พวกเขาไม่จำเป็นต้องมาก็ได้ (จะมาก็ได้ไม่ได้ห้าม) • You mustn’t disturb other players, but you don’t have to be silent. คุณต้องไม่รบกวนผู้เล่นคนอื่น แต่คุณไม่จำเป็นต้องเงียบเสียทีเดียว 4.4 นักเรียนทำใบงานเรื่อง Modal Verbs : Must / Have to / Needn’t ในเอกสารประกอบการ เรียน 5. ประเมินผล (Evaluate) 5.1 นักเรียนและครูร่วมกันตรวจสอบคำตอบจากการทำใบงานเรื่อง Modal Verbs : Must / Have to / Needn’t 5.2 นักเรียนฟังครูอธิบายถึงสาเหตุในการตอบคำถามหรือเลือกตอบในแต่ละข้อให้นักเรียน เข้าใจหลักการใช้ Modal Verbs : Must / Have to / Needn’t 11. สื่อการเรียนรู้/ แหล่งเรียนรู้ 11.1 สื่อการเรียนรู้ 1. เอกสารประกอบการเรียนเรื่อง Modal Verbs : Must / Have to / Needn’t 11.2 แหล่งเรียนรู้ 1. ใบงานเรื่อง Modal Verbs : Must / Have to / Needn’t 12. การวัดและประเมินผล ลำดับ รายการที่วัดและประเมินผล วิธีการ เครื่องมือ เกณฑ์ 1 ใบงานเรื่อง Modal Verbs : Must / Have to / Needn’t ตรวจใบงานท้ายบท ใบงานท้ายบท นั ก เรีย น ให้ ค วาม ร่วม มื อใน การท ำ แบบฝึกหัดและตอบ ถูกร้อยละ 60 ขึ้นไป ผ่านเกณฑ์ 13. เกณฑ์การประเมิน 16 - 20 คะแนน ดีมาก 11 - 15 คะแนน ดี 6 - 10 คะแนน พอใช้ น้อยกว่า 6 คะแนน ควรปรับปรุง ลงชื่อ ผู้จัดทำ (นายสุจินดา ปรากฏวงศ์) ตำแหน่ง ครู


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 2 (อ21122) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 หน้า 107 บันทึกหลังการใช้แผนการจัดการเรียนรู้ ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ลงชื่อ ผู้จัดทำ (นายสุจินดา ปรากฏวงศ์) ตำแหน่ง ครู วันที่..............เดือน..................................พ.ศ. ..................


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 2 (อ21122) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 หน้า 108 โรงเรียนแผนการจัดการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้ที่ 7 เรื่อง Glory days แผนการจัดการเรียนรู้ที่9 เรื่อง Modal Verbs : Should / Ought to รหัสวิชา อ21122 รายวิชา ภาษาอังกฤษ 2 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ปีการศึกษา 2566 ภาคเรียนที่ 2 เวลา 3 ชั่วโมง ผู้สอน นายสุจินดา ปรากฏวงศ์ 1. มาตรฐานการเรียนรู้/ ตัวชี้วัด 1.1 มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ต 1.1 เข้าใจและตีความเรื่องที่ฟังและอ่านจากสื่อประเภทต่าง ๆ และแสดงความคิดเห็นอย่างมี เหตุผล มาตรฐาน ต 1.2 มีทักษะการสื่อสารทางภาษาในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร แสดงความรู้สึก และ ความคิดเห็นอย่างมีประสิทธิภาพ มาตรฐาน ต 1.3 นำเสนอข้อมูลข่าวสาร ความคิดรวบยอด และความคิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ โดยการพูด และการเขียน มาตรฐาน ต 4.2 ใช้ภาษาต่างประเทศเป็นเครื่องมือพื้นฐานในการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพ และ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับสังคมโลก 1.2 ตัวชี้วัด ต 1.1 ม.1/4 ระบุหัวข้อเรื่อง (topic) ใจความสำคัญ (main idea) และตอบคำถามจากการฟังและ อ่าน บทสนทนา นิทาน และเรื่องสั้น ต 1.2 ม.1/2 ใช้คำขอร้อง ให้คำแนะนำ และคำชี้แจง ตามสถานการณ์ ต 1.3 ม.1/1 พูดและเขียนบรรยายเกี่ยวกับตนเอง กิจวัตรประจำวัน ประสบการณ์ และสิ่งแวดล้อม ใกล้ตัว ต 4.2 ม.1/1 ใช้ภาษาต่างประเทศในการสืบค้น / ค้นคว้า ความรู้ / ข้อมูลต่าง ๆ จากสื่อและแหล่ง การเรียนรู้ต่าง ๆ ในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพ 2. จุดประสงค์การเรียนรู้ 2.1 ด้านความรู้ ความเข้าใจ (K) - นักเรียนมีความสามารถในการจับใจความสำคัญบทสนทนา นิทาน เรื่องสั้น และเรื่องจากสื่อประเภท ต่าง ๆ - นักเรียนมีความรู้ในการใช้คำขอร้อง คำแนะนำ และคำชี้แจง - นักเรียนมีความรู้ในการใช้ประโยคและข้อความที่ใช้ในการบรรยายเกี่ยวกับตนเอง กิจวัตรประจำวัน ประสบการณ์ สิ่งแวดล้อม ใกล้ตัว - นักเรียนมีความรู้ ในการใช้ภาษาต่างประเทศในการสืบค้น / การค้นคว้าความรู้ / ข้อมูลต่าง ๆ จากสื่อ และแหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 2 (อ21122) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 หน้า 109 2.2 ด้านทักษะกระบวนการ (P) - เขียนประโยคและข้อความที่ใช้ในการบรรยายเกี่ยวกับตนเอง กิจวัตรประจำวัน ประสบการณ์ สิ่งแวดล้อมใกล้ตัว ประโยคขอร้อง คำแนะนำ และคำชี้แจง โดยใช้ Modal Verbs : Should / Ought to ได้ถูก โครงสร้างตามหลักภาษา 2.3 คุณลักษณะ เจตคติ ค่านิยม (A) - รักการเรียนรู้ภาษาอังกฤษและฝึกฝนอย่างจริงจังเพียงพอ - ผู้เรียนใช้ภาษาอังกฤษอย่างมีมารยาท ถูกต้องตามกาลเทศะ และบุคคล 3. สาระสำคัญ / ความคิดรวบยอด - พูดและเขียนบทสนทนา นิทาน เรื่องสั้น คำขอร้อง คำแนะนำ และคำชี้แจง โดยใช้ Modal Verbs : Should / Ought to บรรยายเกี่ยวกับตนเอง กิจวัตรประจำวัน ประสบการณ์ สิ่งแวดล้อม ใกล้ตัว เช่น การ เดินทาง การรับประทานอาหาร การเรียน การเล่นกีฬา ฟังเพลง การอ่านหนังสือ การท่องเที่ยว และใช้ ภาษาต่างประเทศในการสืบค้น / การค้นคว้าความรู้ / ข้อมูลต่าง ๆ จากสื่อและแหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ ใน การศึกษาต่อและประกอบอาชีพ และมีทักษะในการเลือก พอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกัน และมีคุณธรรม ในการ ปฏิบัติตนอย่างเหมาะสม ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 4. สาระการเรียนรู้ 4.1 สาระการเรียนรู้แกนกลาง - พูดและเขียนบทสนทนา นิทาน เรื่องสั้น คำขอร้อง คำแนะนำ และคำชี้แจง โดยใช้ Modal Verbs : Should / Ought to บรรยายเกี่ยวกับตนเอง กิจวัตรประจำวัน ประสบการณ์ สิ่งแวดล้อม ใกล้ตัว เช่น การ เดินทาง การรับประทานอาหาร การเรียน การเล่นกีฬา ฟังเพลง การอ่านหนังสือ การท่องเที่ยว ได้ถูกโครงสร้างตาม หลักภาษา 4.2 สาระการเรียนรู้ท้องถิ่น 1. คำศัพท์ในเรื่อง Unit 7 : Glory days 2. บทสนทนาในเรื่อง Unit 7 : Glory days 3. การใช้โครงสร้าง Modal Verbs : Should / Ought to ในรูปแบบต่าง ๆ 5. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน (เฉพาะที่เกิดในหน่วยการเรียนรู้นี้) 5.1 ความสามารถในการสื่อสาร 5.2 ความสามารถในการคิด 5.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา 5.4 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 5.5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ (เฉพาะที่เกิดในหน่วยการเรียนรู้นี้) 6.1 คุณลักษณะอันพึงประสงค์ (ตามหลักสูตรแกนกลาง) 1) รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 2) ซื่อสัตย์สุจริต 3) มีวินัย 4) ใฝ่เรียนรู้ 5) อยู่อย่างพอเพียง 6) มุ่งมั่นในการทำงาน 7) รักความเป็นไทย 8) มีจิตสาธารณะ


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 2 (อ21122) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 หน้า 110 6.2 คุณลักษณะตามหลักสูตรมาตรฐานสากล 1) มีความรู้พื้นฐานในยุคดิจิตอล วิทยาศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ เทคโนโลยี รู้ภาษา พหุวัฒนธรรม ตระหนักสำนึกระดับโลก 2) สามารถคิดประดิษฐ์อย่างสร้างสรรค์ ปรับตัวใฝ่รู้ ใฝ่เรียน วิเคราะห์ สังเคราะห์ สรุป สร้างองค์ความรู้ 3) มีทักษะสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ 4) มีความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 5) มีความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 7. ทักษะของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 (3R 7C เฉพาะที่เกิดในหน่วยการเรียนรู้นี้) 7.1 ทักษะการอ่าน (Reading) 7.2 ทักษะการเขียน (Writing) 7.3 ทักษะการคิดคำนวณ (Arithmetic) 7.4 ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณและทักษะในการแก้ปัญหา (Critical thinking and problem solving) 7.5 ทักษะด้านการสร้างสรรค์และนวัตกรรม (Creativity and innovation) 7.6 ทักษะด้านความร่วมมือการทำงานเป็นทีมและภาวะผู้นำ (Collaboration, teamwork and leadership) 7.7 ทักษะด้านความเข้าใจต่างวัฒนธรรมต่างกระบวนทัศน์ (Cross-cultural understanding) 7.8 ทักษะด้านการสื่อสารสารสนเทศและรู้เท่าทันสื่อ (Communication information and media literacy) 7.9 ทักษะด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Computing) 7.10 ทักษะอาชีพและทักษะการเรียนรู้ (Career and learning self-reliance, change) 8. การบูรณาการตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ (เฉพาะที่เกิดในหน่วยการเรียนรู้นี้) 8.1 บูรณาการสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน 8.2 บูรณาการเศรษฐกิจพอเพียง 8.3 บูรณาการห้องเรียนสีเขียว 8.4 อื่น ๆ (โปรดระบุ)................................................................................................................................................. 9. ชิ้นงาน / ภาระงาน 1. ภาระงาน - ใบงานเรื่อง Modal Verbs : Should / Ought to 2. ชิ้นงาน -


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 2 (อ21122) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 หน้า 111 10. กิจกรรมการเรียนรู้(Active Learning) เรื่อง Modal Verbs : Should / Ought to วิธีการสอน (วิธีการสอนแบบ 2W3P) ชั่วโมงที่ 1 1. ขั้นกระตุ้นทบทวนและปูพื้นฐานความรู้ (Warm up) 1.1 นักเรียนดูรูปภาพและประโยคที่บรรยายแต่ละภาพ บน PowerPoint และช่วยกันแสดงความ คิดเห็นเกี่ยวกับประโยคที่เห็น 1.2 นักเรียนช่วยกันบอกความหมายของ should และ ought to 1.3 นักเรียนช่วยกันอธิบายถึงความแตกต่างของ should และ ought to ตามความเข้าใจของแต่ละคน 2. ขั้นนำเสนอเนื้อหาสาระ (Presentation) 2.1 นักเรียนดูวิดีโอคลิปการใช้ should, ought to จาก https://www.youtube.com/watch?v =4ay3AQHkpAY 2.2 นักเรียนช่วยกันสรุปเนื้อหาจากวิดีโอคลิปที่นักเรียนได้ดู 2.3 นักเรียนยกตัวอย่างประโยคการใช้ should และ ought to 2.4 นักเรียนฟังครูอธิบายการใช้ Modal Verbs : Should / Ought to โดย should กับ ought to เป็นกริยาช่วย (modal verbs) แปลว่า ควร, น่าที่ ที่เป็นคำแนะนำแกมบังคับทั้งคู่ แต่คำว่า should สามารถ แปลว่า น่าจะ ที่หมายถึง “ความเป็นไปได้” อีกหนึ่งความหมาย ดังนั้นถ้าแปลว่า ควรจะ สามารถใช้คำว่า ought to หรือ should แทนกันได้ ซึ่งโดยปกติจะคุ้นเคยกับการใช้ should มากกว่า เพราะในปัจจุบันคำว่า ought to ไม่ ค่อยนิยมใช้ โดยมีโครงสร้างประโยคดังนี้ • should + verb • ought to + verb โดยความแตกต่างระหว่าง should กับ ought to จะสังเกตเห็นว่า ought จะต้องตามด้วย to เสมอ (ought to + verb) ส่วน should ไม่ต้องตามด้วย to (should + verb) 2.5 นักเรียนฟังครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้ Modal Verbs : Should / Ought to 1. Should โดยทั่วไป Should ใช้กับเรื่องทั่ว ๆ ไปเช่น ให้คำแนะนำ (advise) ให้ความเห็น (opinion) หรือ วิพากษ์วิจารณ์ (criticism) เช่น • You should buy the red one. คุณควรซื้ออันสีแดงนะ • You should try that new restaurant. คุณควรจะลองชิมร้านอาหารใหม่ • Everyone should come to visit Thailand. ทุกคนควรมาเที่ยวประเทศไทย


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 2 (อ21122) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 หน้า 112 • The government should raise more taxes on luxury goods. รัฐบาลควรขึ้นภาษีสินค้าฟุ่มเฟือยมากกว่านี้ • They should be more carefully on working. พวกเขาควรระมัดระวังในการทำงานมากกว่านี้ 2. Ought to มีความหมายเดียวกันกับ should อย่างชนิดว่าใช้แทนกันได้เลยค่ะ แต่คำนี้ไม่ค่อย นิยมใช้กันในปัจจุบันแล้ว และดูเป็นทางการ เช่น • You ought to relax and stop worrying about it. คุณควรจะปล่อยวางและหยุดกังวลเรื่องนี้ • You’ve got a good wife. You ought to take care of her. คุณมีภรรยาที่ดี คุณควรจะดูแลใส่ใจเธอนะ 3. การใช้ should กับ ought to สำหรับประโยคปฏิเสธ จะใช้ในรูป should not (หรือ shouldn’t) กับ ought not to (หรือ oughtn’t to) ตัวอย่างประโยคเช่น • You shouldn’t go to bed so late. เธอไม่ควรจะเข้านอนดึกเกิน • You oughtn’t to read while you eat. เธอไม่ควรอ่านหนังสือในขณะที่ทานอาหาร 4. การใช้ should กับ ought to สำหรับประโยคคำถาม เราจะใช้ Should หรือ Ought ขึ้นต้น ประโยคนะคะ ตัวอย่างประโยคเช่น • Should you spend all your money on clothes? คุณควรจะใช้เงินทั้งหมดไปกับเรื่องเสื้อผ้าหรือ? • Ought we to drive more carefully? เราควรจะขับรถด้วยความระมัดระวังมากกว่านี้มั๊ย ชั่วโมงที่ 2 3. ขั้นฝึกฝนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์ (Practice) 3.1 นักเรียนยกตัวอย่างประโยคโดยใช้ should และ ought to 3.2 นักเรียนส่งตัวแทนออกมาเขียนประโยค โดยใช้ should และ ought to เช่น • Bryant isn’t working hard enough. He ought to work harder. ไบรอันต์ยังขยันไม่พอ เขาควรที่จะขยันมากกว่านี้ • The teacher said to Katherine, “You should be more careful.” คุณครูบอกแคทเธอลีนว่าเธอควรจะรอบคอบกว่าเดิม • We ought to help our parents when they become old. เราควรจะช่วยพ่อแม่เมื่อท่านมีอายุมาก • You should not spend all your money on clothes. คุณไม่ควรจะใช้เงินทั้งหมดไปกับเรื่องเสื้อผ้า • We ought to help the poor. เราควรจะช่วยเหลือคนจน


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 2 (อ21122) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 หน้า 113 3.3 นักเรียนช่วยกันวิเคราะห์ประโยคที่ตัวแทนห้องออกมาเขียนว่ามีความถูกต้องหรือไม่ถูกต้องอย่างไร เมื่อพบว่าไม่ถูกต้องนักเรียนจะแก้ไขประโยคอย่างไรให้มีความถูกต้อง 4. ขั้นนำไปใช้หรือการบูรณาการความรู้ (Production) 4.1 นักเรียนช่วยกันตอบคำถามบน PowerPoint พร้อมช่วยกันแสดงความคิดเห็น ให้เหตุผลประกอบ เพราะเหตุใดจึงเลือกตอบข้อนั่น ๆ 1. Which sentence is correct? 1) We should leaving soon. 2) We should leave soon. 3) We should to leave soon. 2. We……………………visit Eric when we are in London. 1) ought 2) should 3) didn’t ought 3. Which question is correct? 1) Should we call the police? 2) We should call the police? 3) Do we should call the police? 4. Which sentence is correct? 1) We ought to have a party to celebrate Kate’s birthday. 2) We ought have a party to celebrate Kate’s birthday. 3) We should to have a party to celebrate Kate’s birthday. 5. You……………………ride a motorbike without a helmet. 1) ought 2) shouldn’t 3) ought not 4.2 นักเรียนทำใบงานเรื่อง Modal Verbs : Should / Ought to ในเอกสารประกอบการเรียน 5. ขั้นสรุปความรู้ที่ได้รับจากกระบวน การเรียนรู้ (Wrap up) 5.1 สังเกตความเข้าใจของนักเรียนในการทำกิจกรรมและการทำใบงานเรื่อง Modal Verbs : Should / Ought to 11. สื่อการเรียนรู้/ แหล่งเรียนรู้ 11.1 สื่อการเรียนรู้ 1. เอกสารประกอบการเรียนเรื่อง Modal Verbs : Should / Ought to 11.2 แหล่งเรียนรู้ 1. ใบงานเรื่อง Modal Verbs : Should / Ought to


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 2 (อ21122) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 หน้า 114 12. การวัดและประเมินผล ลำดับ รายการที่วัดและประเมินผล วิธีการ เครื่องมือ เกณฑ์ 1 ใบงานเรื่อง Modal Verbs : Should / Ought to ตรวจใบงานท้ายบท ใบงานท้ายบท นั ก เรีย น ให้ ค วาม ร่วม มื อใน การท ำ แบบฝึกหัดและตอบ ถูกร้อยละ 60 ขึ้นไป ผ่านเกณฑ์ 13. เกณฑ์การประเมิน 16 - 20 คะแนน ดีมาก 11 - 15 คะแนน ดี 6 - 10 คะแนน พอใช้ น้อยกว่า 6 คะแนน ควรปรับปรุง ลงชื่อ ผู้จัดทำ (นายสุจินดา ปรากฏวงศ์) ตำแหน่ง ครู บันทึกหลังการใช้แผนการจัดการเรียนรู้ ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ลงชื่อ ผู้จัดทำ (นายสุจินดา ปรากฏวงศ์) ตำแหน่ง ครู วันที่..............เดือน..................................พ.ศ. ..................


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 2 (อ21122) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 หน้า 115 โรงเรียนแผนการจัดการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้ที่ 7 เรื่อง Glory days แผนการจัดการเรียนรู้ที่10 เรื่อง Modal Verbs (Revision) รหัสวิชา อ21122 รายวิชา ภาษาอังกฤษ 2 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ปีการศึกษา 2566 ภาคเรียนที่ 2 เวลา 2 ชั่วโมง ผู้สอน นายสุจินดา ปรากฏวงศ์ 1. มาตรฐานการเรียนรู้/ ตัวชี้วัด 1.1 มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ต 1.1 เข้าใจและตีความเรื่องที่ฟังและอ่านจากสื่อประเภทต่าง ๆ และแสดงความคิดเห็นอย่างมี เหตุผล มาตรฐาน ต 1.2 มีทักษะการสื่อสารทางภาษาในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร แสดงความรู้สึก และ ความคิดเห็นอย่างมีประสิทธิภาพ มาตรฐาน ต 1.3 นำเสนอข้อมูลข่าวสาร ความคิดรวบยอด และความคิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ โดยการพูด และการเขียน มาตรฐาน ต 4.2 ใช้ภาษาต่างประเทศเป็นเครื่องมือพื้นฐานในการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพ และ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับสังคมโลก 1.2 ตัวชี้วัด ต 1.1 ม.1/4 ระบุหัวข้อเรื่อง (topic) ใจความสำคัญ (main idea) และตอบคำถามจากการฟังและ อ่าน บทสนทนา นิทาน และเรื่องสั้น ต 1.2 ม.1/2 ใช้คำขอร้อง ให้คำแนะนำ และคำชี้แจง ตามสถานการณ์ ต 1.3 ม.1/1 พูดและเขียนบรรยายเกี่ยวกับตนเอง กิจวัตรประจำวัน ประสบการณ์ และสิ่งแวดล้อม ใกล้ตัว ต 4.2 ม.1/1 ใช้ภาษาต่างประเทศในการสืบค้น / ค้นคว้า ความรู้ / ข้อมูลต่าง ๆ จากสื่อและแหล่ง การเรียนรู้ต่าง ๆ ในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพ 2. จุดประสงค์การเรียนรู้ 2.1 ด้านความรู้ ความเข้าใจ (K) - นักเรียนมีความสามารถในการจับใจความสำคัญบทสนทนา นิทาน เรื่องสั้น และเรื่องจากสื่อประเภท ต่าง ๆ - นักเรียนมีความรู้ในการใช้คำขอร้อง คำแนะนำ และคำชี้แจง - นักเรียนมีความรู้ในการใช้ประโยคและข้อความที่ใช้ในการบรรยายเกี่ยวกับตนเอง กิจวัตรประจำวัน ประสบการณ์ สิ่งแวดล้อม ใกล้ตัว - นักเรียนมีความรู้ ในการใช้ภาษาต่างประเทศในการสืบค้น / การค้นคว้าความรู้ / ข้อมูลต่าง ๆ จากสื่อ และแหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 2 (อ21122) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 หน้า 116 2.2 ด้านทักษะกระบวนการ (P) - เขียนประโยคและข้อความที่ใช้ในการบรรยายเกี่ยวกับตนเอง กิจวัตรประจำวัน ประสบการณ์ สิ่งแวดล้อมใกล้ตัว ประโยคขอร้อง คำแนะนำ และคำชี้แจง โดยใช้ Modal Verbs ได้ถูกโครงสร้างตามหลักภาษา 2.3 คุณลักษณะ เจตคติ ค่านิยม (A) - รักการเรียนรู้ภาษาอังกฤษและฝึกฝนอย่างจริงจังเพียงพอ - ผู้เรียนใช้ภาษาอังกฤษอย่างมีมารยาท ถูกต้องตามกาลเทศะ และบุคคล 3. สาระสำคัญ / ความคิดรวบยอด - พูดและเขียนบทสนทนา นิทาน เรื่องสั้น คำขอร้อง คำแนะนำ และคำชี้แจง โดยใช้ Modal Verbs บรรยายเกี่ยวกับตนเอง กิจวัตรประจำวัน ประสบการณ์ สิ่งแวดล้อม ใกล้ตัว เช่น การเดินทาง การรับประทาน อาหาร การเรียน การเล่นกีฬา ฟังเพลง การอ่านหนังสือ การท่องเที่ยว และใช้ภาษาต่างประเทศในการสืบค้น / การ ค้นคว้าความรู้ / ข้อมูลต่าง ๆ จากสื่อและแหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ ในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพ และมีทักษะ ในการเลือก พอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกัน และมีคุณธรรม ในการปฏิบัติตนอย่างเหมาะสม ตามหลักปรัชญา ของเศรษฐกิจพอเพียง 4. สาระการเรียนรู้ 4.1 สาระการเรียนรู้แกนกลาง - พูดและเขียนบทสนทนา นิทาน เรื่องสั้น คำขอร้อง คำแนะนำ และคำชี้แจง โดยใช้ Modal Verbs บรรยายเกี่ยวกับตนเอง กิจวัตรประจำวัน ประสบการณ์ สิ่งแวดล้อม ใกล้ตัว เช่น การเดินทาง การรับประทาน อาหาร การเรียน การเล่นกีฬา ฟังเพลง การอ่านหนังสือ การท่องเที่ยว ได้ถูกโครงสร้างตามหลักภาษา 4.2 สาระการเรียนรู้ท้องถิ่น 1. คำศัพท์ในเรื่อง Unit 7 : Glory days 2. บทสนทนาในเรื่อง Unit 7 : Glory days 3. การใช้โครงสร้าง Modal Verbs ในรูปแบบต่าง ๆ 5. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน (เฉพาะที่เกิดในหน่วยการเรียนรู้นี้) 5.1 ความสามารถในการสื่อสาร 5.2 ความสามารถในการคิด 5.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา 5.4 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 5.5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ (เฉพาะที่เกิดในหน่วยการเรียนรู้นี้) 6.1 คุณลักษณะอันพึงประสงค์ (ตามหลักสูตรแกนกลาง) 1) รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 2) ซื่อสัตย์สุจริต 3) มีวินัย 4) ใฝ่เรียนรู้ 5) อยู่อย่างพอเพียง 6) มุ่งมั่นในการทำงาน 7) รักความเป็นไทย 8) มีจิตสาธารณะ 6.2 คุณลักษณะตามหลักสูตรมาตรฐานสากล 1) มีความรู้พื้นฐานในยุคดิจิตอล วิทยาศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ เทคโนโลยี รู้ภาษา พหุวัฒนธรรม ตระหนักสำนึกระดับโลก 2) สามารถคิดประดิษฐ์อย่างสร้างสรรค์ ปรับตัวใฝ่รู้ ใฝ่เรียน วิเคราะห์ สังเคราะห์ สรุป สร้างองค์ความรู้


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 2 (อ21122) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 หน้า 117 3) มีทักษะสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ 4) มีความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 5) มีความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 7. ทักษะของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 (3R 7C เฉพาะที่เกิดในหน่วยการเรียนรู้นี้) 7.1 ทักษะการอ่าน (Reading) 7.2 ทักษะการเขียน (Writing) 7.3 ทักษะการคิดคำนวณ (Arithmetic) 7.4 ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณและทักษะในการแก้ปัญหา (Critical thinking and problem solving) 7.5 ทักษะด้านการสร้างสรรค์และนวัตกรรม (Creativity and innovation) 7.6 ทักษะด้านความร่วมมือการทำงานเป็นทีมและภาวะผู้นำ (Collaboration, teamwork and leadership) 7.7 ทักษะด้านความเข้าใจต่างวัฒนธรรมต่างกระบวนทัศน์ (Cross-cultural understanding) 7.8 ทักษะด้านการสื่อสารสารสนเทศและรู้เท่าทันสื่อ (Communication information and media literacy) 7.9 ทักษะด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Computing) 7.10 ทักษะอาชีพและทักษะการเรียนรู้ (Career and learning self-reliance, change) 8. การบูรณาการตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ (เฉพาะที่เกิดในหน่วยการเรียนรู้นี้) 8.1 บูรณาการสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน 8.2 บูรณาการเศรษฐกิจพอเพียง 8.3 บูรณาการห้องเรียนสีเขียว 8.4 อื่น ๆ (โปรดระบุ)................................................................................................................................................. 9. ชิ้นงาน / ภาระงาน 1. ภาระงาน - ใบงานเรื่อง Modal Verbs (Revision) 2. ชิ้นงาน - 10. กิจกรรมการเรียนรู้(Active Learning) เรื่อง Modal Verbs (Revision) วิธีการสอน (วิธีการสอนแบบ Inquiry Method : 5Es) ชั่วโมงที่ 1 1. สร้างความสนใจ (Engage) 1.1 ครูพูดกับนักเรียนคนหนึ่งว่า “Stand up.” แล้วหันไปสั่งนักเรียนอีกคนที่กำลังคุยกันว่า “You must stand up.” แล้วครูซักถามนักเรียนทั้งสองว่ารู้สึกอย่างไร เมื่อได้ยินครูสั่ง 1.2 นักเรียนดูรูปพวงกุญแจที่มีหางกระต่ายและโดยครูชี้ไปที่หางกระต่าย และถามนักเรียนว่า


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 2 (อ21122) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 หน้า 118 • What is it? Can you guess? • It might be a bag or it may be a tail of a rabbit? • Who carry this? • Why do some people carry this? 1.3 นักเรียนฝึกคาดเดาโดยใช้ประโยค I guess. It might be……………a (bag / rabbit tail). 1.4 นักเรียนส่งตัวแทนออกมาเขียนข้อมูลที่เพื่อนบอกบนกระดานโดยครูอธิบายเพิ่มเติมว่า It is a tail of a rabbit. Some motorists carry them for good luck. 2. สำรวจและค้นหา (Explore) 2.1 นักเรียนฟังครูอธิบายว่าในหน่วยการเรียนรู้นี้นักเรียนได้เรียนเกี่ยวกับการใช้Modal Auxiliaries: can, could, may, might, must ตามด้วยกริยา โดยเขียนประโยคตัวอย่าง เช่น It might be a tail of a rabbit. และประโยค I wonder why…….. used to express a curiosity or a desire to know. ใช้เพื่อแสดงความสงสัย หรืออยากรู้ 2.2 ครูเปิดโปรแกรม Move it! 1 eText และให้นักเรียนดูเฉพาะภาพ (ไม่ต้อง ดูคำบรรยายใต้ภาพ) และให้พูดเกี่ยวกับสิ่งที่เห็นในภาพเหล่านั้นโดยใช้Modal Auxiliaries 2.3 นักเรียนส่งตัวแทนและพูดเดาทีละภาพ หลังจากนั้นนักเรียนดูประโยคที่นักเรียนตอบว่าเหมือนกับ ข้อความที่เขียนไว้ใต้ภาพหรือไม่ ชั่วโมงที่ 2 3. อธิบาย (Explain) 3.1 นักเรียนดูข้อมูลบน PowerPoint โดยครูอธิบายสรุปว่า can’t, could, may / might, must + Verb be (without to) ใช้คาดเดาสถานการณ์ปัจจุบันหรืออนาคต หรือใช้ในการสรุปข้อมูลหรือหลักฐานที่มีอยู่ดังนี้ 1. can’t + be แสดงความเป็นไปไม่ได้ตามหลักเหตุผล เช่น • Mary has just had lunch. She can’t be hungry. • This restaurant is always empty. It can’t be very good. 2. could + be คาดเดาว่าบางสิ่งบางอย่างอาจจะเกิดขึ้นขณะนี้หรือในอนาคต มีความหมายเหมือน may / might เช่น • Her story could be true, but I don’t think it is. 3. may / might + be แสดงความเป็นไปได้ในปัจจุบันและอนาคต เช่น • Janet has a lot of work to finish. She may / might be at the office. รูปปฏิเสธของ may / might + be คือ may/might not + be • The story may / might not be true. 4. must + be แสดงความมั่นใจตามหลักฐานที่มีอยู่ เช่น


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 2 (อ21122) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 หน้า 119 • John works 10 hours a day. He must be tired when he gets home. 3.2 ครูอธิบายเพิ่มเติมโดยครูแสดงประโยคด้วยโปรแกรม PowerPoint แล้วให้นักเรียนอภิปราย โครงสร้างและการสื่อความหมาย ตลอดจน อารมณ์ของผู้พูดและผู้ฟังประโยคดังกล่าว A) Call me on Friday B) You must call me on Friday. You may call me on Friday. You can call me on Friday. You should call me on Friday. 3.3 นักเรียนฟังครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับประโยคทั้ง 2 โดยประโยคทั้ง 2 ประโยค A และ B ล้วนเป็น การออกคำสั่ง • ประโยค A เรียกว่า Imperative โครงสร้าง : (You คือประธานถูกละไว้ในฐานที่เข้าใจ) ขึ้นต้นด้วย Bare Infinitive คือกริยาที่ ไม่ต้องผัน และอาจมีกรรมตามหรือไม่ก็ได้ การใช้ : 1) ใช้ในสถานการณ์ที่ไม่เป็นทางการ 2) ถ้าจะให้สุภาพคือ กลายเป็นขอร้องให้ทำก็เติม please ไว้ต้นหรือท้ายประโยค • ประโยค B เป็นประโยคธรรมดา แต่เพิ่ม Modal Verbs ไว้ข้างหน้ากริยา ซึ่งทั้งนี้ Modal Verbs จะมีน้ำหนักในการสั่งไม่เท่ากัน Must : เป็นการสั่งเชิงบังคับ หลีกเลี่ยงไม่ได้ (Obligation) May : เป็นการบอก อนุญาตให้ทำ / ไม่ให้ทำ (Permission) Can : เป็นการอนุญาต ส่วนเราจะทำหรือไม่ทำก็ได้ (Permission) หรือเป็นการระบุ ความสามารถ (Ability) Should : เป็นการแนะนำหรือชวนเชิญ เนื่องจากผู้พูดคิดว่าเป็นสิ่งที่เราควรทำ / ไม่ควรทำสิ่ง นั้น ๆ (แต่ can นั้นคือสิ่งที่ เป็นไปได้ ทำ / ไม่ทำก็ได้ ผู้พูดไม่ได้คิดในแง่ว่าเราควร / ไม่ควรทำสิ่งนั้น ๆ) โครงสร้าง : 1) Modal Verbs ไม่ต้องผันตามประธาน และกริยาหลักที่ต่อจาก Modal verbs ก็ไม่ต้องผัน คือใช้รูป Bare Infinitive 2) ต้องมีประธาน You หน้า Modal Verbs การใช้ : ใช้ Modal Verbs ในสถานการณ์ที่เป็นทางการ ไม่ว่าจะในการพูดหรือเขียนก็ตาม 4. ขยายความรู้ (Elaborate) 4.1 นักเรียนจับกลุ่มเพื่อแข่งขันกันทำแบบฝึกหัดด้วย โปรแกรมออนไลน์ Quizlet ผ่านมือถือของ นักเรียนเอง โดยสลับกลุ่มไปเรื่อย ๆ 4.2 นักเรียนศึกษาเนื้อหาเพิ่มเติม จากเอกสารประกอบการเรียนและจาก Internet 5. ประเมินผล (Evaluate) 5.1 นักเรียนฝึกพูดถามตอบเกี่ยวกับสิ่งของที่อยู่ในกระเป๋านักเรียน โดยการใช้โครงสร้าง Modal verbs 5.2 นักเรียนจากการทำใบงานเรื่อง Modal verbs โดยครูตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียนจากการทำ ใบงานเรื่อง Modal verbs


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 2 (อ21122) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 หน้า 120 5.3 นักเรียนและครูร่วมกันตรวจสอบคำตอบจากการทำใบงาน โดยครูอธิบายเนื้อหาเพิ่มเติมจากการทำ ใบงาน หากพบว่านักเรียนยังเข้าใจไม่ชัดเจนในหัวข้อใด ครูอธิบายและยกตัวอย่างให้นักเรียนเข้าใจให้มากขึ้นใน หัวข้อนั้น ๆ 5.4 นักเรียนฟังครูสรุปหลักการใช้Modal verbs แบบต่าง ๆ ให้นักเรียนฟังอีกครั้ง และยกตัวอย่าง ประโยคให้นักเรียนเข้าใจมากขึ้น 11. สื่อการเรียนรู้/ แหล่งเรียนรู้ 11.1 สื่อการเรียนรู้ 1. เอกสารประกอบการเรียนเรื่อง Modal Verbs (Revision) 11.2 แหล่งเรียนรู้ 1. ใบงานเรื่อง Modal Verbs (Revision) 12. การวัดและประเมินผล ลำดับ รายการที่วัดและประเมินผล วิธีการ เครื่องมือ เกณฑ์ 1 ใบงานเรื่อง Modal Verbs (Revision) ตรวจใบงานท้ายบท ใบงานท้ายบท นั ก เรีย น ให้ ค วาม ร่วม มื อใน การท ำ แบบฝึกหัดและตอบ ถูกร้อยละ 60 ขึ้นไป ผ่านเกณฑ์ 13. เกณฑ์การประเมิน 16 - 20 คะแนน ดีมาก 11 - 15 คะแนน ดี 6 - 10 คะแนน พอใช้ น้อยกว่า 6 คะแนน ควรปรับปรุง ลงชื่อ ผู้จัดทำ (นายสุจินดา ปรากฏวงศ์) ตำแหน่ง ครู


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 2 (อ21122) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 หน้า 121 บันทึกหลังการใช้แผนการจัดการเรียนรู้ ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................................................... ลงชื่อ ผู้จัดทำ (นายสุจินดา ปรากฏวงศ์) ตำแหน่ง ครู วันที่..............เดือน..................................พ.ศ. ..................


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 2 (อ21122) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 หน้า 122 โรงเรียนแผนการจัดการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้ที่ 8 เรื่อง Special days รหัสวิชา อ21122 รายวิชา ภาษาอังกฤษ 2 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ปีการศึกษา 2566 ภาคเรียนที่ 2 เวลา 16 ชั่วโมง ผู้สอน นายสุจินดา ปรากฏวงศ์ 1. มาตรฐานการเรียนรู้/ ตัวชี้วัด 1.1 มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ต 1.2 มีทักษะการสื่อสารทางภาษาในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร แสดงความรู้สึก และ ความคิดเห็นอย่างมีประสิทธิภาพ มาตรฐาน ต 1.3 นำเสนอข้อมูลข่าวสาร ความคิดรวบยอด และความคิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ โดยการพูด และการเขียน 1.2 ตัวชี้วัด ต 1.2 ม.1/4 พูดและเขียนเพื่อขอและให้ข้อมูลและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่ฟังหรืออ่านอย่าง เหมาะสม ต 1.3 ม.1/1 พูดและเขียนบรรยายเกี่ยวกับตนเอง กิจวัตรประจำวัน ประสบการณ์ และสิ่งแวดล้อม ใกล้ตัว ต 1.3 ม.1/3 พูด / เขียนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกิจกรรมหรือเรื่องต่าง ๆ ใกล้ตัว พร้อมทั้งให้เหตุผล สั้น ๆ ประกอบ 2. สาระสำคัญ / ความคิดรวบยอด - พูดและเขียนประโยคและข้อความที่ใช้ในการบรรยายเกี่ยวกับตนเอง กิจวัตรประจำวัน ประสบการณ์ สิ่งแวดล้อม ใกล้ตัวโดยใช้ Prepositions สามารถแสดงความคิดเห็นและการให้เหตุผลประกอบ และใช้คำศัพท์ สำนวน ประโยค และข้อความที่ใช้ในการขอและให้ข้อมูล และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่ฟังหรืออ่านได้มี ทักษะในการเลือก พอประมาณ มีเหตุผล มีภูมิคุ้มกัน และมีคุณธรรม ในการปฏิบัติตนอย่างเหมาะสม ตามหลัก ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 3. สาระการเรียนรู้ 3.1 สาระการเรียนรู้แกนกลาง - พูดและเขียนประโยคและข้อความที่ใช้ในการบรรยายเกี่ยวกับตนเอง กิจวัตรประจำวัน ประสบการณ์ สิ่งแวดล้อม ใกล้ตัวโดยใช้ Prepositions สามารถแสดงความคิดเห็นและการให้เหตุผลประกอบ และใช้คำศัพท์ สำนวน ประโยค และข้อความที่ใช้ในการขอและให้ข้อมูล และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่ฟังหรืออ่านได้ 3.2 สาระการเรียนรู้ท้องถิ่น 1. คำศัพท์ในเรื่อง Unit 8 : Special days 2. บทสนทนาในเรื่อง Unit 8 : Special days 3. การใช้Prepositions ในรูปแบบต่าง ๆ


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 2 (อ21122) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 หน้า 123 4. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน (เฉพาะที่เกิดในหน่วยการเรียนรู้นี้) 4.1 ความสามารถในการสื่อสาร 4.2 ความสามารถในการคิด 4.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา 4.4 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 4.5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 5. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ (เฉพาะที่เกิดในหน่วยการเรียนรู้นี้) 5.1 คุณลักษณะอันพึงประสงค์ (ตามหลักสูตรแกนกลาง) 1) รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 2) ซื่อสัตย์สุจริต 3) มีวินัย 4) ใฝ่เรียนรู้ 5) อยู่อย่างพอเพียง 6) มุ่งมั่นในการทำงาน 7) รักความเป็นไทย 8) มีจิตสาธารณะ 5.2 คุณลักษณะตามหลักสูตรมาตรฐานสากล 1) มีความรู้พื้นฐานในยุคดิจิตอล วิทยาศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ เทคโนโลยี รู้ภาษา พหุวัฒนธรรม ตระหนักสำนึกระดับโลก 2) สามารถคิดประดิษฐ์อย่างสร้างสรรค์ ปรับตัวใฝ่รู้ ใฝ่เรียน วิเคราะห์ สังเคราะห์สรุป สร้างองค์ความรู้ 3) มีทักษะสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ 4) มีความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 5) มีความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 6. ทักษะของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 (3R 7C เฉพาะที่เกิดในหน่วยการเรียนรู้นี้) 6.1 ทักษะการอ่าน (Reading) 6.2 ทักษะการเขียน (Writing) 6.3 ทักษะการคิดคำนวณ (Arithmetic) 6.4 ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณและทักษะในการแก้ปัญหา (Critical thinking and problem solving) 6.5 ทักษะด้านการสร้างสรรค์และนวัตกรรม (Creativity and innovation) 6.6 ทักษะด้านความร่วมมือการทำงานเป็นทีมและภาวะผู้นำ (Collaboration, teamwork and leadership) 6.7 ทักษะด้านความเข้าใจต่างวัฒนธรรมต่างกระบวนทัศน์ (Cross-cultural understanding) 6.8 ทักษะด้านการสื่อสารสารสนเทศและรู้เท่าทันสื่อ (Communication information and media literacy) 6.9 ทักษะด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Computing) 6.10 ทักษะอาชีพและทักษะการเรียนรู้ (Career and learning self-reliance, change) 7. การบูรณาการตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ (เฉพาะที่เกิดในหน่วยการเรียนรู้นี้) 7.1 บูรณาการสวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน 7.2 บูรณาการเศรษฐกิจพอเพียง 7.3 บูรณาการห้องเรียนสีเขียว 7.4 อื่น ๆ (โปรดระบุ)…………………………………………………………………………..………………………….…………………………


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 2 (อ21122) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 หน้า 124 8. ชิ้นงาน / ภาระงาน 1. ภาระงาน - ใบงานเรื่องVocabulary - แบบฝึกหัดเรื่อง Reading and conversation ในหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน ภาษาอังกฤษ Access 1 Student’s book ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 - ใบงานเรื่อง Prepositions of place - ใบงานเรื่อง Preposition of movement - ใบงานเรื่อง Prepositions (Revision) 2. ชิ้นงาน - 9. การวัดและประเมินผล 9.1 การวัดและประเมินผลชิ้นงาน/ภาระงาน 1. วิธีการ 1. ตรวจใบงานเรื่องVocabulary 2. ตรวจแบบฝึกหัดเรื่อง Reading and conversation ในหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน ภาษาอังกฤษ Access 1 Student’s book ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 3. ตรวจใบงานเรื่อง Prepositions of time 4. ตรวจใบงานเรื่อง Prepositions of place 5. ตรวจใบงานเรื่อง Preposition of movement 6. ตรวจใบงานเรื่อง Prepositions (Revision) 2. เครื่องมือ 1. ใบงานเรื่องVocabulary 2. แบบฝึกหัดเรื่อง Reading and conversation ในหนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน ภาษาอังกฤษ Access 1 Student’s book ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 3. ใบงานเรื่อง Prepositions of time 4. ใบงานเรื่อง Prepositions of place 5. ใบงานเรื่อง Preposition of movement 6. ใบงานเรื่อง Prepositions (Revision) 3. เกณฑ์ 1. ตรวจใบงานและแบบฝึกหัดร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์ 9.2 การวัดและประเมินผลระหว่างการจัดกิจกรรม ลำดับ รายการที่วัดและประเมินผล วิธีการ เครื่องมือ เกณฑ์ 1 ใบงานเรื่อง Vocabulary ตรวจใบงานท้ายบท ใบงานท้ายบท นักเรียน ให้ ความ ร่วมมือในการท ำ แบบฝึกหัดและตอบ ถูกร้อยละ 60 ขึ้นไป ผ่านเกณฑ์


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 2 (อ21122) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 หน้า 125 9.2 การวัดและประเมินผลระหว่างการจัดกิจกรรม (ต่อ) ลำดับ รายการที่วัดและประเมินผล วิธีการ เครื่องมือ เกณฑ์ 2 แบบฝึกหัดเรื่อง Reading and conversation ในหนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ภาษาอังกฤษ Access 1 Student’s book ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตรวจแบบฝึกหัด แบบฝึกหัด นักเรียน ให้ ความ ร่วมมือในการท ำ แบบฝึกหัดและตอบ ถูกร้อยละ 60 ขึ้นไป ผ่านเกณฑ์ 3 ใบงานเรื่อง Prepositions of time ตรวจใบงานท้ายบท ใบงานท้ายบท นักเรียน ให้ ความ ร่วมมือในการท ำ แบบฝึกหัดและตอบ ถูกร้อยละ 60 ขึ้นไป ผ่านเกณฑ์ 4 ใบงานเรื่อง Prepositions of place ตรวจใบงานท้ายบท ใบงานท้ายบท นักเรียน ให้ ความ ร่วมมือในการท ำ แบบฝึกหัดและตอบ ถูกร้อยละ 60 ขึ้นไป ผ่านเกณฑ์ 5 ใบงานเรื่อง Preposition of movement ตรวจใบงานท้ายบท ใบงานท้ายบท นักเรียน ให้ ความ ร่วมมือในการท ำ แบบฝึกหัดและตอบ ถูกร้อยละ 60 ขึ้นไป ผ่านเกณฑ์ 6 ใบงานเรื่อง Prepositions (Revision) ตรวจใบงานท้ายบท ใบงานท้ายบท นักเรียน ให้ ความ ร่วมมือในการท ำ แบบฝึกหัดและตอบ ถูกร้อยละ 60 ขึ้นไป ผ่านเกณฑ์ 10. กิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องที่ 1 เรื่อง Vocabulary, reading and conversation จำนวนเวลาเรียน 2 ชั่วโมง วิธีการสอน (วิธีการสอนแบบค้นพบ Discovery Method) กิจกรรมการเรียนรู้(Active Learning) ชั่วโมงที่ 1 1. ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน 1.1 นักเรียนดูรูปภาพเกี่ยวกับอาหารและเครื่องดื่ม (Food & drinks) บน PowerPoint


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 2 (อ21122) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 หน้า 126 1.2 นักเรียนช่วยกันบอกรายชื่ออาหารและเครื่องดื่ม (Food & drinks) บน PowerPoint และออกมา เขียนรายชื่ออาหารและเครื่องดื่ม (Food & drinks) บนกระดาน 1.3 นักเรียนสามารถตอบ rice, meat, fish, pineapple, tea, orange juice, tomato 1.4 นักเรียนแบ่งออกเป็นกลุ่ม ๆ ละเท่า ๆ กัน โดยสมาชิกประกอบไปด้วยนักเรียนเก่ง ปานกลางและ อ่อน 1.5 นักเรียนช่วยกันระดมความคิดเขียนคำศัพท์รายชื่ออาหารและเครื่องดื่ม (Food & drinks) และส่ง ตัวแทนออกมาเขียนคำศัพท์บนกระดาน โดยห้ามซ้ำกับคำศัพท์ที่อยู่บน PowerPoint กลุ่มใดเขียนได้ถูกต้อง รวดเร็วและได้มากกว่าก็จะเป็นกลุ่มที่ชนะ 1.6 นักเรียนทำกิจกรรม Reading : Celebrations ; Spring celebrations ในหนังสือเรียน Access 1 หน้าที่ 78 1.7 นักเรียนช่วยกันสรุปเนื้อเรื่อง Reading : Celebrations ; Spring celebrations ในหนังสือเรียน Access 1 หน้าที่ 78 1.8 นักเรียนทำกิจกรรม Listen to and read the text on p.78 and mark the sentences, T (true) or F (false). Correct the false statement. ในหนังสือเรียน Access 1 หน้าที่ 79 1.9 นักเรียนและครูร่วมกันเฉลยกิจกรรม Read the text. Are the sentences true or false ใน หนังสือเรียน Access 1 หน้าที่ 79 หากมีข้อใดที่นักเรียนยังตอบได้ไม่ถูกต้องให้ครูผู้สอนอธิบายคำตอบให้นักเรียน ฟังเพื่อให้นักเรียนมีความเข้าใจมากขึ้น 2. ขั้นเรียนรู้ 2.1 นักเรียนทำกิจกรรม Reading : It was fantastic! Birthday treats ในหนังสือเรียน Access 1 หน้าที่ 82 2.2 นักเรียนช่วยกันสรุปเนื้อเรื่องReading : It was fantastic! Birthday treats ในหนังสือเรียน Access 1 หน้าที่ 82 2.3 นักเรียนทำกิจกรรมตอบคำถาม Think of your birthday last year. Answer the question ใน หนังสือเรียน Access 1 หน้าที่ 82 2.4 นักเรียนส่งตัวแทนออกมาหน้าชั้นเรียนจำนวน 4 คนเพื่อตอบคำถาม Think of your birthday last year. Answer the question ในหนังสือเรียน Access 1 หน้าที่ 82 2.5 นักเรียนแบ่งออกเป็น 6 กลุ่มละเท่า ๆ กัน โดยสมาชิกประกอบไปด้วยนักเรียนเก่ง ปานกลางและ อ่อน โดยสมาชิกจะต้องไม่ซ้ำกับสมาชิกเดิม 3. ขั้นนำไปใช้ 3.1 นักเรียนฟังบทสนทนาเรื่อง Enjoy your meal ในหนังสือเรียน Access 1 หน้าที่ 84 3.2 นักเรียนช่วยกันสรุปบทสนทนาเรื่อง Enjoy your meal ในหนังสือเรียน Access 1 หน้าที่ 84 3.3 นักเรียนทำกิจกรรม Reading : Danger Keep out ในหนังสือเรียน Access 1 หน้าที่ 85 3.4 นักเรียนช่วยกันสรุปเนื้อเรื่องReading : Danger Keep out ในหนังสือเรียน Access 1 หน้าที่ 85 3.5 นักเรียนทำกิจกรรมตอบคำถาม Which of the sentences 1 - 5 true for you. Tick the box. ในหนังสือเรียน Access 1 หน้าที่ 85 3.6 นักเรียนส่งตัวแทนออกมาหน้าชั้นเรียนจำนวน 6 คนเพื่อตอบคำถาม Which of the sentences 1 - 5 true for you. Tick the box. ในหนังสือเรียน Access 1 หน้าที่ 85


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 2 (อ21122) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 หน้า 127 3.7 นักเรียนศึกษาคำศัพท์ในเอกสารประกอบการเรียน 3.8 นักเรียนออกมาเขียนความหมายคำศัพท์บนกระดาน ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายถึงคำศัพท์ใน บทเรียนร่วมกัน 3.9 นักเรียนทำใบงานแบบฝึกหัดเกี่ยวกับคำศัพท์ในเอกสารประกอบการเรียน 3.10 นักเรียนฟังครูพูดคำอธิบายคำศัพท์ในเอกสารประกอบการเรียน 3.11 นักเรียนแต่งประโยคโดยใช้คำศัพท์ในเอกสารประกอบการเรียน คนละ 2 ประโยค 3.12 นักเรียนนำเสนอประโยคที่แต่งหน้าห้องเรียน 3.13 นักเรียนศึกษาคำศัพท์ในเอกสารประกอบการเรียน และคำศัพท์ที่เกี่ยวกับ Special days เพิ่มเติม 3.14 นักเรียนฟังครูอธิบายเพิ่มเติมในการแต่งประโยคของนักเรียน และประเมินความเข้าใจของ นักเรียนจากการนำเสนอหน้าห้องว่านักเรียนแต่งประโยคได้ถูกต้องหรือไม่ เรื่องที่ 2 เรื่อง Prepositions of time จำนวนเวลาเรียน 4 ชั่วโมง วิธีการสอน (วิธีการสอนแบบ 2W3P) กิจกรรมการเรียนรู้(Active Learning) ชั่วโมงที่ 1 1. ขั้นกระตุ้นทบทวนและปูพื้นฐานความรู้(Warm up) 1.1 นักเรียนทบทวนคำศัพท์ที่ได้เรียนมา โดยเล่นเกม Kahoot 2. ขั้นนำเสนอเนื้อหาสาระ (Presentation) 2.1 นักเรียนทวนการใช้ประโยค Preposition ดังนี้Preposition หรือคำบุพบทคือ คำที่ใช้เชื่อมคำนาม กับคำนาม หรือเชื่อมคำนามกับวลี/ ประโยค เป็นคำที่ใช้แสดงสถานที่ ตำแหน่ง การเคลื่อนไหว ทิศทาง เวลา ลักษณะ และความสัมพันธ์เช่น on, in, under, at, between, next to • The books on the desk are Ryker’s. หนังสือบนโต๊ะนั้นเป็นของไรเกอร์ เป็นการเชื่อมระหว่าง books (คำนาม) และ desk (คำนาม) เพื่อบอกความสัมพันธ์ระหว่าง 2 สิ่งนี้ว่า หนังสืออยู่บนโต๊ะ • She works as a receptionist at the mall. เธอทำงานเป็นพนักงานต้อนรับที่ห้างสรรพสินค้า เป็นการเชื่อมระหว่าง works (คำกริยา) และ the mall (คำนาม) เพื่อบอกความสัมพันธ์ ระหว่าง 2 สิ่งนี้ว่า ทำงานที่ห้างสรรพสินค้า 2.2 นักเรียนดูตารางข้อมูลบน PowerPoint


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 2 (อ21122) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 หน้า 128 Prepositions of time at in on Usage precise time months, years, centuries and long periods days and dates Example at 2 o’clock in January on Tuesday at 09.30 am in summer on Saturday at night in the autumn on 5 April at dinnertime in 1985 on 25 Dec. 2021 at bedtime in the 1990s on Christmas Day at sunrise in the next century on Independence Day at sunset in the Ice Age on my birthday at the moment in the past / future on New Year’s Eve 2.3 นักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นและอภิปรายข้อมูลในตารางราง 2.4 นักเรียนฟังครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Preposition of Time (คำบุพบทบอกเวลา) 1. In ใช้กับ เดือน ฤดู ปี เช่น • My sister’s birthday is in December. วันเกิดของน้องสาวฉันตรงกับเดือนธันวาคม 2. On ใช้กับ วันและเทศกาล เช่น • He will be at here on next Monday. เขาจะมาที่นี่วันจันทร์หน้า 3. At ใช้กับ เวลาที่เฉพาะเจาะจง เช่น • I will go to the market at 6 p.m. ฉันจะไปตลาดตอน 6 โมงเย็น ชั่วโมงที่ 2 3. ขั้นฝึกฝนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์ (Practice) 3.1 นักเรียนศึกษาเนื้อหาเรื่อง Prepositions of time ในเอกสารประกอบการเรียน 3.2 นักเรียนช่วยกันตอบคำถามบน PowerPoint จำนวน 4 ข้อ 1. I’m busy………………….…the moment, but I’ll be free this evening. 1) at 2) in 3) on 2. Let’s meet………………….…midday………………….…Saturday. 1) at / at 2) in / on 3) at / on 3. The manager isn’t here………………….…present, but she’ll be back………………….…half an hour. 1) at / in 2) at / at 3) in / in


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 2 (อ21122) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 หน้า 129 4. You won’t be working………………….…Saturday nights………………….…the future, will you? 1) at / in 2) on / in 3) on / at Answer Key 1. 1) 2. 2) 3. 1) 4. 2) 4. ขั้นนำไปใช้หรือการบูรณาการความรู้(Production) 4.1 นักเรียนส่งตัวแทนออกมาหน้าชั้นเรียนจำนวน 2 - 3 คน ออกมาแต่งประโยคโดยใช้ Prepositions of time บนกระดาน • My birthday is in September. • She met her husband in 2012. • Trump was born in 1946. • We always go to the beach in summer. • The trees here are really beautiful in the spring. • The meeting starts in 5 minutes. • Trade was important in the 1990s. • It was built in the 5th century. • I often get sleepy in the afternoon. 4.2 นักเรียนช่วยกันตรวจสอบประโยคของตัวแทนเพื่อนที่เขียนลงบนกระดาน เมื่อพบว่าไม่ถูกต้องให้ ช่วยกันวิเคราะห์และแก้ไข้ประโยคให้ถูกต้อง 4.3 นักเรียนดูตัวอย่างแบบฝึกหัดPrepositions of time บน PowerPoint จำนวน 6 ข้อ • I usually go to my parents’ house………………….…….Christmas. We eat turkey together………………….…….Christmas Day. • The train leaves………………….…….tomorrow morning………………….…….10:00 am. • The class is………………….…….9 am………………….…….Tuesday mornings. • Andrew likes to drink coffee………………….…….the morning and tea………………….…….the afternoon. • We’re meeting………………….…….lunchtime………………….…….next Tuesday • Bryant is arriving………………….…….May the 13th………………….…….ten o’clock………………….…… the morning. Answer Key : 1.at / on 2. - / at 3. at / on 4. in / in 5. at / - 6. on / at / in 5. ขั้นสรุปความรู้ที่ได้รับจากกระบวน การเรียนรู้(Wrap up) 5.1 นักเรียนช่วยกันตอบคำตอบแบบฝึกหัดเรื่อง Prepositions of time บน PowerPoint 5.2 นักเรียนและครูร่วมกันอธิบายเหตุผลในการตอบแบบฝึกหัดเรื่อง Prepositions of time บน PowerPoint ที่ละข้อ 5.3 นักเรียนช่วยกันทบทวนโครงสร้างประโยค Prepositions of time


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 2 (อ21122) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 หน้า 130 5.4 ครูสังเกตความเข้าใจของนักเรียนในการทำกิจกรรม การเขียนประโยคและการตอบคำถามใน แบบฝึกหัดเรื่อง Prepositions of time ของนักเรียน ชั่วโมงที่ 3 1. ขั้นกระตุ้นทบทวนและปูพื้นฐานความรู้ (Warm up) 1.1 นักเรียนทบทวนความรู้เรื่อง Prepositions of time จากที่ได้เรียนมาในชั่วโมงที่แล้ว โดยนักเรียนดู รูปภาพ Prepositions of time บน PowerPoint 1.2 นักเรียนช่วยกันสรุปการใช้ Prepositions of time จากภาพบน PowerPoint 1.3 นักเรียนช่วยกันยกตัวอย่างประโยค โดยใช้ Prepositions of time จำนวน 5 ประโยค 1.4 นักเรียนและครูร่วมกันตรวจสอบประโยคที่นักเรียนออกมาเขียน 1.5 นักเรียนฟังครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้ Prepositions of time 2. ขั้นนำเสนอเนื้อหาสาระ (Presentation) 2.1 นักเรียนดูวิดีโอคลิป Prepositions of Time IN – ON – AT | Rules and Examples จาก https://www.youtube.com/watch?v=wUDamb69ugc 2.2 นักเรียนฟังครูอธิบายPrepositions of Time เพิ่มเติม Preposition of Time คือ คำบุพบทบอกเวลา ได้แก่ 1. at ใช้กับจุดย่อยของเวลา, เวลาตามนาฬิกา, และช่วงเทศกาลประจำปี ได้แก่ at dawn ตอนรุ่งเช้า at noon ตอนเที่ยง at night ตอนกลางคืน at six o’clock ตอน 6 โมง at New Year ตอนปีใหม่ at Christmas ตอนช่วงคริสต์มาส at midnight ตอนเที่ยงคืน at the moment ขณะนี้ at ใช้กับเวลาตามนาฬิกาและในสำนวน เช่น at dawn, at noon, at midday, at night, at midnight, at bedtime, at lunchtime, at dinnertime, at sunrise, at sunset, at present, at the moment, at the same time • The appointment is at 10:30. • Jane works best at night. • I’ll see you at lunchtime. • I’m afraid he’s not here at present. Can I take a message? • We finished the test at the same time.


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 2 (อ21122) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 หน้า 131 นอกจากนี้ at ยังใช้กับวันหยุดสุดสัปดาห์ (weekend) และเทศกาล (festival) ต่าง ๆ เมื่อ ต้องการ กล่าวถึงช่วงเวลานั้นตลอดทั้งช่วง • Did you have fun at the weekend? (ตลอดช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์) • What are you doing at Christmas? (ตลอดช่วงเทศกาลคริสต์มาส) 2. on ใช้กับวัน (ซึ่งอาจมีเดือน พ.ศ. ด้วย) ช่วงเวลา , วันสำคัญต่าง ๆ ได้แก่ on Monday on Sunday night on New Year’s Day on Christmas Day on Songkran’s Day on November 12th (on the twelfth of November) on ใช้กับวันต่าง ๆ ของสัปดาห์ วันที่ และในสำนวน เช่น on Monday morning, on Friday evening, on Saturday night, on the weekend, on weekends เป็นต้น • Annie’s baby was born on Monday. • His birthday is on March 5. • Are you doing anything on Saturday night? • What do you usually do on the weekend? on ยังใช้เมื่อกล่าวถึงวันใดวันหนึ่งเป็นการเฉพาะในระหว่างเทศกาลหนึ่ง ๆ • There’s a party at Ann’s house on Christmas Day. • Do you have any celebration on Easter Sunday? ข้อควรจำ ไม่ใช้คำบุพบทบอกเวลา in, on, at กับคำว่า today, tomorrow, yesterday และสำนวน บอกเวลาที่ขึ้นต้นด้วยคำบางคำ เช่น last, next, every, this เป็นต้น • Do you have any meetings today? • What did you do last night? สำนวนที่ใช้กันโดยทั่วไปอีกสองสำนวนคือ in time และ on time จะมีความหมายแตกต่างกันคือ in time หมายถึง ทันเวลา (ก่อนเวลา ก่อนกำหนด) ส่วน on time จะหมายถึง ตรงเวลาพอดี 3. in ใช้กับช่วงเวลาของวัน, เดือน, ปี, ค.ศ., ศตวรรษ, ฤดู in the morning in the afternoon in the evening in June in 1996 in nineteenteh century in summer/ in winter/ in autumn/ in spring มี article “the” นำหน้าก็ได้ นอกจากนี้ in ยังใช้กับ การบอกกำหนดช่วงเวลาล่วงหน้า, ภายในเวลา เช่น • I can read this book in 2 hours. ฉันสามารถอ่านหนังสือเล่มนี้ภายในเวลา 2 ชั่วโมง • Ask me again in two or three days, please. โปรดถามฉันอีกครั้งในอีกสองสามวัน หมายเหตุ : สำนวน in time = ทันเวลา แต่ on time = ตรงเวลา in ใช้กับเดือน ปี ทศวรรษ ศตวรรษ ฤดูกาล และสำนวน the first/second/third, etc./last week • In Thailand, the weather’s great in December. • I started work at pizza company in 1985. • There was an economic crash in the 1990s. • Columbus went to America in the fifteenth century.


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 2 (อ21122) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 หน้า 132 • In winter, it often snows in England. • My family and I usually have our main holiday in the summer. • The school board meetings are in the first and third weeks of the month. ขอสังเกต เมื่อกล่าวถึงฤดูกาลเป็นการเฉพาะ (อาจหมายถึงช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งในฤดูนั้น) ไม่ใช่กล่าว ทั่ว ๆ ไป จะใช้ the นำหน้าด้วย นอกจากนี้ in ยังใช้ในสำนวนดังเช่น in the morning/afternoon/evening ในสำนวน in the night เมื่อเป็นการกล่าวถึงคืนใดคืนหนึ่งเป็นการเฉพาะ (มักใช้ในกรณีของคืนวันที่ผ่านมา) และในสำนวน in the past, in the future • We went to the Temple of the Emerald Buddha in the afternoon. • I had a horrible dream in the night. • What would you like to do in the future? ชั่วโมงที่ 4 3. ขั้นฝึกฝนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์ (Practice) 3.1 นักเรียนอ่านทบทวนใบความรู้เรื่อง Prepositions of time ในเอกสารประกอบการเรียน 3.2 นักเรียนช่วยกันตอบคำถามบน PowerPoint พร้อมช่วยกันอธิบายเหตุและผลในการตอบข้อนั้น ๆ 1. Mary wore a witch costume………………….……Halloween. 2. I have English classes………………….……Tuesdays. 3. My dad comes home………………….……lunchtime. 4. The children like to go to the park………………….……the morning. 5. Henry's birthday is………………….……November. 6. Lots of people go shopping………………….……Christmastime. 7. Justin Bieber was born………………….……March 1, 1994. 8. Leaves turn red, gold and brown………………….……Autumn. 9. My friends like to go the movies………………….……Saturdays. 10.The pilgrims arrived in America………………….……1620. 11. My sister likes to watch TV………………….……the evening. 12. Mum always reads stories………………….……bedtime. 13. I like to watch the parade………………….……Independence Day. 14. Hippies protested against the war………………….……the 1960s. 15. We finished the marathon………………….……the same time. Answer key : 1) on 2) on 3) at 4) in 5) in 6) at 7) on 8) in 9) on 10) in 11) in 12) at 13) on 14) in 15) at 4. ขั้นนำไปใช้หรือการบูรณาการความรู้ (Production) 4.1 นักเรียนฟังครูอธิบายเพิ่มเติมเพื่อเสริมความเข้าใจในเรื่อง Prepositions of time โดยครูเขียน ตัวอย่างประโยคบนกระดานให้นักเรียนเห็นความหลากหลายมากขึ้น • I get up at 7 o’clock.


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 2 (อ21122) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 หน้า 133 • My English class starts at 10 am. • She finishes work at 6.15 • I left the party at midnight. • Do you normally get together with your relatives at Christmas? • Did you eat a lot of chocolate at Easter? • I will return it to you on Wednesday. • They got married on Friday the 13th . • We get paid on the 20th of every month. • I drank too much milk on New Year’s eve. • My birthday is in January. (I don’t mention the date, just the month) • My grandmother was born in 1927. • The river near my house is dry in Summer. • The company was founded in the 19th century. • We need to have this report ready in 15 minutes. 4.2 นักเรียนทำใบงานเรื่อง Prepositions of time ในเอกสารประกอบการเรียน 5. ขั้นสรุปความรู้ที่ได้รับจากกระบวน การเรียนรู้(Wrap up) 5.1 นักเรียนและครูร่วมกันตรวจสอบคำตอบจากการทำใบงานเรื่อง Prepositions of time 5.2 นักเรียนฟังครูอธิบายถึงสาเหตุในการตอบคำถามหรือเลือกตอบในแต่ละข้อให้นักเรียนเข้าใจ หลักการใช้ Prepositions of time เรื่องที่ 3 เรื่อง Prepositions of place จำนวนเวลาเรียน 4 ชั่วโมง วิธีการสอน (วิธีการสอนแบบ 2W3P) กิจกรรมการเรียนรู้(Active Learning) ชั่วโมงที่ 1 1. ขั้นกระตุ้นทบทวนและปูพื้นฐานความรู้ (Warm up) 1.1 นักเรียนทบทวนความรู้ เรื่อง Prepositions of time โดยดูวิดีโอคลิป AT ON IN - Prepositions of Time in English จาก https://www.youtube.com/watch?v=Lr1BBoNu6hI 1.2 นักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็น และสรุปการใช้ Prepositions of time


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 2 (อ21122) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 หน้า 134 2. ขั้นนำเสนอเนื้อหาสาระ (Presentation) 2.1 นักเรียนดูวิดีโอคลิป Video 6 Prepositions of Place จาก https://www.youtube.com/ watch?v=OQUpgLcC64c 2.2 นักเรียนช่วยกันสรุปความรู้ที่ได้จากการดูวิดีโอคลิป ชั่วโมงที่ 2 3. ขั้นฝึกฝนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์ (Practice) 3.1 นักเรียนดูรูปภาพบน PowerPoint 3.2 นักเรียนช่วยกันสรุปข้อมูลจากที่ปรากฏบน PowerPoint 3.3 นักเรียนช่วยกันสรุปการใช้ in, on, at กับเวลาและสถานที่ 3.4 นักเรียนช่วยกันพูดประโยคการใช้ ที่ in, on, at กับสถานที่ และออกมาเขียนประโยคที่พูดบน กระดาน • My hometown is Lost Angeles, which is in California. • I forgot my phone. It’s in the car. • Yesterday, I was in a taxi. • I’m in the supermarket. (นั่นหมายความว่าอยู่ในห้างสรรพสินค้าแล้ว) • That picture is on the wall. • The books are on the table. • The company is on the Sukhumvit 21 Road. • My brother is working at Google. • I was at cinema last night.


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 2 (อ21122) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 หน้า 135 • My daughter did well at the school. • My home at number 123 Asoke. 3.5 นักเรียนและครูร่วมกันตรวจสอบประโยคที่นักเรียนออกมาเขียนว่าถูกต้องหรือไม่ เมื่อพบว่ามี ประโยคใดไม่ถูกต้อง นักเรียนช่วยกันวิเคราะห์และแก้ไขให้ถูกต้อง โดยครูทำหน้าที่คอยช่วยอธิบายเพิ่มเติม 4. ขั้นนำไปใช้หรือการบูรณาการความรู้ (Production) 4.1 นักเรียนฟังครูอธิบายคำศัพท์เกี่ยวกับ Prepositions of Place ทีละคำ • over / above เพื่อกล่าวถึงสิ่งที่อยู่สูงกว่าหรืออยู่เหนือกว่าสิ่งหนึ่งขึ้นไป • under / below เพื่อกล่าวถึงสิ่งที่อยู่ข้างล่าง ข้างใต้ หรือต่ำกว่าสิ่งหนึ่งลงมา • between เพื่อกล่าวถึงตำแหน่งที่อยู่ระหว่างสิ่ง 2 สิ่งว่าสิ่งใดอยู่ระหว่างอะไร • inside เพื่อกล่าวถึงว่าสิ่งใดอยู่ภายในหรือข้างในอะไร • outside เพื่อกล่าวถึงว่าสิ่งใดอยู่ภายนอกหรือข้างนอก • behind เพื่อกล่าวถึงว่าสิ่งใดอยู่ข้างหลังหรือด้านหลัง • in front of เพื่อกล่าวถึงว่าสิ่งใดอยู่ด้านหน้าหรือข้างหน้า • opposite เพื่อกล่าวถึงว่าสิ่งใดอยู่ตรงข้าม ตรงกันข้ามกับอะไร • near เพื่อบอกว่าสิ่งใดอยู่ใกล้กับสิ่งใด • next to / beside เพื่อบอกว่าสิ่งใดอยู่ติดกับ อยู่ข้างๆ หรืออยู่ถัดจากสิ่งใด 4.2 นักเรียนช่วยกันตอบคำถาม Prepositions of place 1 จำนวน 15 ข้อ โดยครูเปิดคำถามจาก https://wordwall.net/th/resource/614574/prepositions-of-place-1 5. ขั้นสรุปความรู้ที่ได้รับจากกระบวน การเรียนรู้ (Wrap up) 5.1 สังเกตความเข้าใจของนักเรียนในการทำกิจกรรมและการเลือกตอบคำตอบในแต่ละข้อ ชั่วโมงที่ 3 1. ขั้นกระตุ้นทบทวนและปูพื้นฐานความรู้ (Warm up) 1.1 นักเรียนทบทวนความรู้เรื่อง Prepositions of place จากที่ได้เรียนมาในชั่วโมงที่แล้ว โดยนักเรียน ดูรูปภาพ Prepositions of time บน PowerPoint


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 2 (อ21122) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 หน้า 136 1.2 นักเรียนช่วยกันพูดประโยค โดยใช้Prepositions of place จากภาพบน PowerPoint 1.3 นักเรียนส่งตัวแทนออกมาเขียนประโยคตามรูปภาพบนกระดาน A : The dog is on the chair. B : The cat is on the table. C : The cat is behind the computer. D : The dog is behind the wardrobe. The cat is in the wardrobe. E : The dog is on the bed. The cat is under the bed. F : The dog is in front of the picture. G : The cat is behind the cupboard. H : The cat is on the right of the TV. The dog is on the left of the TV. The TV is between the cat and the dog. J : The dog is on the left of the chest of drawers. The cat is on the chest of drawers. K : There is a cat on the right of the bookcase, and another cat on the left of the bookcase. The bookcase is between the two cats. L : The dog is in front of the CD system. 1.4 นักเรียนและครูร่วมกันตรวจสอบประโยคที่นักเรียนออกมาเขียน 1.5 นักเรียนฟังครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้ Prepositions of place 2. ขั้นนำเสนอเนื้อหาสาระ (Presentation) 2.1 นักเรียนดูวิดีโอคลิป Preposition of Place | คำบุพบทบอกสถานที่ พร้อมประโยคตัวอย่าง จาก https://www.youtube.com/watch?v=TnOhfhomtKM 2.2 นักเรียนดูวิดีโอคลิป Prepositions of Place - English Lesson จาก https://www.youtube. com/watch?v=lhUzq16KM48 2.3 นักเรียนฟังครูอธิบายPrepositions of Place เพิ่มเติม


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 2 (อ21122) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 หน้า 137 Prepositions of place คำบุพบทบอกสถานที่ ใช้เพื่อระบุตำแหน่ง สถานที่ บริเวณ หรือจุดย่อย ของสถานที่ นั่นก็คือ ใช้ระบุสถานที่ของบุคคล วัตถุหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง 1. ใช้ over / above เพื่อบ่งบอกถึงสิ่งที่อยู่สูงกว่าหรืออยู่เหนือกว่าสิ่งหนึ่งขึ้นไป เช่น • There’s a helicopter hovering above my house. มีเฮลิคอปเตอร์บินลอยอยู่เหนือบ้านของฉัน • The temperature is above 50 degrees in summer. อุณหภูมิสูงกว่า 50 องศาในฤดูร้อน • The dog jumped over the fence. สุนัขกระโดดข้ามเหนือรั้ว • Today’s temperature is over 45 degrees. อุณหภูมิวันนี้สูงกว่า 45 องศา 2. ใช้ under / below เพื่อบ่งบอกถึงสิ่งที่อยู่ข้างล่าง ข้างใต้ หรือต่ำกว่าสิ่งหนึ่งลงมา เช่น • The cat is under the table. แมวอยู่ใต้โต๊ะ • The wreck of Titanic still remains under the sea. ซากของเรือไททานิคยังคงอยู่ใต้ทะเล • The liquid must be kept below 5 degrees. ของเหลวจะต้องถูกเก็บไว้ต่ำกว่า 5 องศา • The college will not accept candidates with test scores below 60. วิทยาลัยจะไม่รับผู้สมัครที่มีคะแนนสอบต่ำกว่า 60 3. ใช้ between เพื่อบอกตำแหน่งที่อยู่ระหว่างสิ่ง 2 สิ่งว่าสิ่งใดอยู่ระหว่างอะไร ตัวอย่างเช่น • The border between Sweden and Norway. ชายแดนระหว่างสวีเดนและนอร์เวย์ • We fly between Rome and Paris twice daily. เราบินระหว่างโรมและปารีส 2 ครั้งต่อวัน • Our house is between the supermarket and the school. บ้านของเราอยู่ระหว่างซูเปอร์มาร์เก็ตและโรงเรียน 4. ใช้ inside เพื่อบอกว่าสิ่งใดอยู่ภายในหรือข้างในอะไร เช่น • The melon was still green inside. แตงโมยังคงเป็นสีเขียวอยู่ข้างใน • You shouldn’t stay inside the castle. คุณไม่ควรอยู่ข้างในปราสาท • We’re inside the coffee shop. เราอยู่ในร้านกาแฟ ข้อสังเกต เราสามารถใช้ in แทน inside ได้ โดยความหมายไม่เปลี่ยนแปลง


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 2 (อ21122) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 หน้า 138 5. ใช้ outside เพื่อบอกว่าสิ่งใดอยู่ภายนอกหรือข้างนอก เช่น • You must wait outside. คุณต้องรอข้างนอก • We sat at a table outside the café. เรานั่งที่โต๊ะข้างนอกร้านกาแฟ • There’s a chair just outside the room. มีเก้าอี้อยู่ภายนอกห้อง 6. ใช้ behind เพื่อบอกว่าสิ่งใดอยู่ข้างหลังหรือด้านหลัง เช่น • He slammed the gate shut behind him. เขากระแทกประตูปิดตามหลังเขา • There’s a little man behind the counter. มีผู้ชายตัวเล็กอยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์ • The car behind us is flashing its lights. รถด้านหลังเรากำลังกระพริบไฟ 7. ใช้ in front of เพื่อบอกว่าสิ่งใดอยู่ด้านหน้าหรือข้างหน้า เช่น • We parked our car in front of the hotel. เราจอดรถด้านหน้าโรงแรม • This dragon statue is in front of a temple. รูปปั้นมังกรนี้อยู่หน้าวัด • He sits in front of his computer at work every day. เขานั่งหน้าคอมพิวเตอร์ที่ทำงานทุกวัน 8. ใช้ opposite เพื่อใช้บอกว่าสิ่งใดอยู่ตรงข้าม ตรงกันข้ามกับอะไร เช่น • John lives in the house opposite ours. จอห์นอาศัยอยู่ในบ้านตรงข้ามกับบ้านเรา • A condo will be built opposite the temple. คอนโดจะถูกสร้างตรงข้ามกันกับวัด • The bus stop is opposite the cinema. ป้ายรถเมล์อยู่ตรงข้ามโรงหนัง 9. ใช้ near เพื่อบอกว่าสิ่งใดอยู่ใกล้กับสิ่งใด ตัวอย่างเช่น • She lives near her mother. เธออาศัยอยู่ใกล้กับแม่ของเธอ • The car is parked near the train station. รถจอดอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟ • Is there an Indian restaurant near here? มีร้านอาหารอินเดียใกล้ๆ นี้มั้ย


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 2 (อ21122) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 หน้า 139 10. ใช้ next to เพื่อบอกว่าสิ่งใดอยู่ติดกับ อยู่ข้างๆ หรืออยู่ถัดจากสิ่งใด เช่น • His house’s next to my house. บ้านของเขาอยู่ถัดจากบ้านของฉัน • It’s next to the Department Store. มันอยู่ถัดจากห้างสรรพสินค้า • Do you mind my sitting next to you? จะรังเกียจไหมถ้าจะขอนั่งข้าง ๆ เธอ? ชั่วโมงที่ 4 3. ขั้นฝึกฝนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์ (Practice) 3.1 นักเรียนอ่านทบทวนใบความรู้เรื่อง Prepositions of Place ในเอกสารประกอบการเรียน 3.2 นักเรียนช่วยกันตอบคำถามบน PowerPoint พร้อมช่วยกันอธิบายเหตุและผลในการตอบข้อนั้น ๆ Instructions : Answer the following questions by using the pictures. 1.The clock is………………….……the wall. 2. The ball is………………….……the table. 3. The cat is………………….……the armchair. 4. The table is………………….……the armchair. 5. The carpet is………………….……the floor. 6. The lamp is………………….……the table. 7. The flowers are………………….……the vase. 8. The table is………………….……the chair and the armchair. Answer key : 1) on 2) under 3) in front of 4) next to 5) on 6) on 7) in 8) between 4. ขั้นนำไปใช้หรือการบูรณาการความรู้ (Production) 4.1 นักเรียนฟังครูอธิบายเพิ่มเติมเพื่อเสริมความเข้าใจในเรื่อง Prepositions of place โดยครูเขียน ตัวอย่างประโยคบนกระดานให้นักเรียนเห็นความหลากหลายมากขึ้น • The toy is under the table. ของเล่นอยู่ใต้โต๊ะ


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 2 (อ21122) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 หน้า 140 • The key is locked inside the car. กุญแจถูกล็อกไว้ข้างในรถ • They stepped outside the house. พวกเขาก้าวออกจากบ้าน • The temperature is above 40 degrees in summer. ในฤดูร้อนมีอุณหภูมิสูงกว่า 40 องศา • Our house is between the supermarket and the bank. บ้านของเราอยู่ระหว่างซูเปอร์มาร์เก็ตและธนาคาร • Her house’s next to my house. บ้านของเธออยู่ถัดจากบ้านของฉัน • My dad’s standing beside me. พ่อยืนข้างๆฉัน • The car is parked near the police station. รถจอดอยู่ใกล้กับสถานีตำรวจ 4.2 นักเรียนทำใบงานเพิ่มเติมเรื่อง Prepositions of place Instructions : Circle the correct option and fill in the blanks.


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 2 (อ21122) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 หน้า 141 แหล่งที่มา : https://englishwsheets.com/prepositions%20of%20place%201.pdf 4.3 นักเรียนทำใบงานเรื่อง Prepositions of place ในเอกสารประกอบการเรียน 5. ขั้นสรุปความรู้ที่ได้รับจากกระบวน การเรียนรู้(Wrap up) 5.1 นักเรียนและครูร่วมกันตรวจสอบคำตอบจากการทำใบงานเรื่อง Prepositions of place 5.2 นักเรียนฟังครูอธิบายถึงสาเหตุในการตอบคำถามหรือเลือกตอบในแต่ละข้อให้นักเรียนเข้าใจ หลักการใช้ Prepositions of place เรื่องที่ 4 เรื่อง Prepositions of movement จำนวนเวลาเรียน 4 ชั่วโมง วิธีการสอน (วิธีการสอนแบบ 2W3P) กิจกรรมการเรียนรู้(Active Learning) ชั่วโมงที่ 1 1. ขั้นกระตุ้นทบทวนและปูพื้นฐานความรู้ (Warm up) 1.1 นักเรียนดูรูปภาพและประโยคที่บรรยายแต่ละภาพ บน PowerPoint และช่วยกันแสดงความ คิดเห็นเกี่ยวกับประโยคที่เห็น 1.2 นักเรียนช่วยกันตอบคำถาม รู้มั๊ยPrepositions of movement ที่พบเห็นกันบ่อย ๆ มีอะไรบ้าง...? • across ข้ามไปอีกฟาก/ ด้านหนึ่ง • along เลียบอะไรบางอย่าง • around รอบ ๆ หรือ รอบ • away from ออกมาจาก • behind ด้านหลัง แสดงถึงวัตถุที่อยู่ด้านหลังอะไรบางอย่าง • between ระหว่าง แสดงถึงวัตถุที่อยู่ตรงกลางของของสองสิ่ง Prepositions of Movement Adam jumped over the fence and escaped.


หน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐาน รายวิชาภาษาอังกฤษ 2 (อ21122) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 หน้า 142 • down ลงด้านล่าง • in front of ด้านหน้า แสดงถึงวัตถุที่อยู่ด้านหน้าอะไรบางอย่าง • in ด้านใน แสดงถึงวัตถุที่อยู่ในอะไรบางอย่าง • next to ถัดจาก แสดงถึงวัตถุที่อยู่ถัดจากอะไรบางอย่าง • off การลงมาจากอะไรบางอย่าง • on ด้านบน แสดงถึงวัตถุที่อยู่ด้านบนอะไรบางอย่าง • onto ขึ้นไปข้างบนของอะไรบางอย่าง • out of ออกมาจากอะไรบางอย่าง • over ข้าม แสดงถึงการข้ามอะไรบางอย่าง • past ผ่าน • through ผ่าน, ทะลุ • toward มุ่งหน้าไปยัง • under ใต้, ข้าง, ล่าง, เบืองใต้, ตํ่ากว่า, รอง, ใน, ภายใต้บังคับบัญชา, ใช้แสดง ถึงตำแหน่ง (position) • under ด้านใต้ แสดงถึงวัตถุที่อยู่ด้านใต้อะไรบางอย่าง • up ขึ้นข้างบน 1.3 นักเรียนช่วยกันบอกความหมาย Prepositions of movement ที่นักเรียนช่วยกันตอบจากคำถาม รู้มั๊ย Prepositions of Movement ที่พบเห็นกันบ่อย ๆ มีอะไรบ้าง...? 2. ขั้นนำเสนอเนื้อหาสาระ (Presentation) 2.1 นักเรียนดูวิดีโอคลิปการใช้ Prepositions of movement: English Language จาก https://www.youtube.com/watch?v=oUIJN242tBw 2.2 นักเรียนช่วยกันสรุปเนื้อหาจากวิดีโอคลิปที่นักเรียนได้ดู 2.3 นักเรียนยกตัวอย่างประโยคการใช้Prepositions of movement 2.4 นักเรียนฟังครูอธิบายการใช้ Prepositions of movement คือ คำบุพบทบอกทิศทางหรือการ เคลื่อนไหว เป็นคำที่ใช้อธิบายว่าของสิ่งนั้นอยู่ทิศทางตำแหน่งไหนของสิ่งที่ต้องการจะบอก โดยประกอบไปด้วย 1. การบอกตำแหน่ง 1.1 in (ด้านใน) แสดงถึงวัตถุที่อยู่ในอะไรบางอย่าง • Kitty Lamoon is sleeping in the box. แมวเหมียวน้อยลามูน นอนอยู่ในกล่อง 1.2 On (ด้านบน) แสดงถึงวัตถุที่อยู่ด้านบนอะไรบางอย่าง • I put extra money on the bed, you go grab it before you leave. ฉันวางเงินเพิ่มให้บนเตียงแล้วนะ เธอไปหยิบก่อนออกจากบ้านได้เลย 1.3 Under (ด้านใต้) แสดงถึงวัตถุที่อยู่ด้านใต้อะไรบางอย่าง • Did you put the paper under my bedsheet? เธอวางกระดาษไว้ใต้ผ้าปูที่นอนเหรอ


Click to View FlipBook Version