The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ลาน พืชพื้นเมืองของไทย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

ลาน พืชพื้นเมืองของไทย

ลาน พืชพื้นเมืองของไทย

“ลาน” พืชพื้นเมืองของไทย จัดท�ำโดย : กลุ่มงานวิจัยพันธุ์พืชป่ามีค่า หายาก และใกล้สูญพันธุ์ กองคุ้มครองพันธุ์สัตว์ป่าและพืชป่าตามอนุสัญญา กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช พิมพ์ครั้งที่ : 1 จ�ำนวน 1,500 เล่ม สงวนลิขสิทธิ์ ส�ำหรับเผยแพร่ ห้ามจ�ำหน่าย ที่ปรึกษา : นายวิโรจน์ พวงภาคีศิริ ผู้เรียบเรียง : นางสาวลักขณา แสงอุไรเพ็ญ ภาพประกอบ : นายธนกร เขื่อนเสน คณะผู้วิจัย : นางสาวลักขณา แสงอุไรเพ็ญ นางสาวนิรันดร์รัตน์ ป้อมอิ่ม นางสาวพัชรกิติ เพ็งสกุล นายธนกร เขื่อนเสน นางสาวเกวลี อุปมา นายมนัส ชัยยะนุภาพ นายธนกร เขื่อนสน ออกแบบ : บริษัท ซิสเต็ม โฟร์........ พิมพ์ที่ : ISBN 1 : 978-616-316-470-4


ประเทศไทยมีความหลากหลายของชนิดพรรณพืช (plant diversity) อยู่ในล�ำดับสูง เนื่องจากที่ตั้งของประเทศไทยอยู่บริเวณรอยต่อของเขตพฤกษภูมิศาสตร์ (floristic region) ถึง 3 ภูมิภาคด้วยกัน ได้แก่ ภูมิภาคอินเดีย - พม่า (Indo - Burmese) ภูมิภาคอินโดจีน (Indo - Chinese) และภูมิภาคมาเลเซีย (Malesian) แต่ปัจจุบันพืชบางชนิดลดจ�ำนวนลง และบางชนิดสูญพันธุ์ไปจากธรรมชาติ โดยมีสาเหตุมาจากการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ ที่ดินที่กระทบต่อระบบนิเวศดั้งเดิม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งผลให้พืชบางชนิด มีการเจริญเติบโตและขยายพันธุ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น ช่วงเวลาการออกดอก ช่วงเวลาติดผล ประสิทธิภาพการติดผลตามธรรมชาติ เป็นต้น ลาน พืชพื้นเมืองของไทยเป็นพืชอีกชนิดที่มีความเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ เมื่ออายุประมาณ 30 ปีขึ้นไป ลานจะออกดอกและผลเพียงครั้งเดียวแล้วตาย โดยจะเพิ่มโอกาส ในการสืบต่อพันธุ์ด้วยการออกดอกเป็นจ�ำนวนมาก แต่มีดอกส่วนน้อยที่พัฒนาเป็นผล และเมล็ดที่สมบูรณ์ ขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อมและความสมบูรณ์ของต้น ผลมีขนาดใหญ่มักตก ไม่ไกลต้นแม่ จึงพบลานกระจายเป็นกลุ่มๆ อยู่ใกล้กัน ปัจจุบันมีการใช้ประโยชน์จากต้นลาน ไม่มากนัก โดยส่วนใหญ่ใช้ใบในงานหัตถกรรม และมีการน�ำผลอ่อนส่วนเนื้อในของเมล็ด (endosperm) มารับประทานเป็นของหวาน การใช้ประโยชน์จากใบและผลมากเกินไปเป็นอีก สาเหตุที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและการอยู่รอดของต้นลาน หนังสือเล่มนี้ จัดท�ำขึ้นเพื่อเผยแพร่ข้อมูล รวมถึงผลการศึกษาวิจัย ด้านต่างๆ ได้แก่ ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ นิเวศวิทยาและการกระจายพันธุ์ ความหลากหลายทางพันธุกรรม ชีพลักษณ์ ความส�ำเร็จในการสืบพันธุ์ การขยายพันธุ์ ปัจจัยคุกคาม สถานภาพการอนุรักษ์ ประโยชน์ และแนวทางในการอนุรักษ์ รวมถึงวิถีชีวิตของชุมชนกับต้นลาน คณะผู้จัดท�ำหวัง เป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือเล่มนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อหน่วยงานของภาครัฐ ภาคเอกชน ตลอดจน ประชาชนที่สนใจ ที่จะน�ำไปใช้ในการเรียนรู้ น�ำไปใช้เป็นแนวทางในการจัดการเพื่อการอนุรักษ์ ต้นลานในพื้นที่ป่าอนุรักษ์และพื้นที่ของชุมชน รวมถึงการส่งเสริมการปลูกและการใช้ประโยชน์ จากส่วนต่างๆ ของต้นลานอย่างแพร่หลายและต่อเนื่องตลอดไป ค�ำน�ำ


ลาน พืชพื้นเมืองของไทย ......01 ที่มีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ ......03 ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ......21 นิเวศวิทยาและการกระจายพันธุ์ ......26 ความหลากหลายทางพันธุกรรม ......29 ชีพลักษณ์ ......38 ความส�ำเร็จในการสืบต่อพันธุ์ สารบัญ


การขยายพันธุ์ ......40 ประโยชน์ ......45 ปัจจัยคุกคาม ......52 สถานภาพการอนุรักษ์ ......54 แนวทางในการอนุรักษ์ ......58 เอกสารอ้างอิง ......62


ลาน หรือ ต้นลาน นั้นอาจไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่ถ้าพูดถึง “คัมภีร์ใบลาน” หลายคน อาจจะรู้จักมากขึ้น ในประเทศไทยพบต้นลาน 3 ชนิด เป็นชนิดพื้นเมืองของประเทศไทย 2 ชนิด คือ ลานป่า (Corypha lecomtei Becc.) และลานพรุ (Corypha utan Lam.) อีกชนิด คือ ลานวัด (Corypha umbraculifera L.) มีถิ่นเดิมในอินเดีย ศรีลังกา หรือาจพบในพม่า น�ำเข้ามาปลูก ทางภาคเหนือของประเทศไทย ในอดีตมีการใช้ประโยชน์จากต้นลานอย่างแพร่หลาย ทั้งใช้ จารึกเรื่องราวต่างๆ ในคัมภีร์ใบลาน ใช้จักลาน มัดข้าว มุงคลังคา ท�ำรั้ว ท�ำคันเบ็ด รวมถึง ใช้เป็นยารักษาโรคต่างๆ เป็นต้น แต่ปัจจุบันมีการใช้ประโยชน์น้อย จึงมีแค่คนบางกลุ่มเท่านั้น ที่รู้จักต้นลานและใช้ประโยชน์จากส่วนต่างๆ ของต้นลาน ซึ่งยังเป็นการใช้ประโยชน์ในรูปแบบ ที่ขาดการจัดการอย่างยั่งยืน ลานเป็นพืชที่ถูกคุกคามจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะถิ่นอาศัยที่อยู่บริเวณที่ราบ ที่ราบลุ่มต�่ำ ซึ่งปัจจุบันเป็นพื้นที่เกษตรกรรมและที่อยู่อาศัยเกือบทั้งหมด นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากชีววิทยาการสืบพันธุ์ของต้นลานเอง คือ เมื่อต้นลานมีอายุประมาณ 30-50 ปี จะออกดอกเพียงครั้งเดียวแล้วตาย แม้ต้นลานจะเพิ่มโอกาสในการสืบพันธุ์โดยการ ออกดอกเป็นจ�ำนวนมาก แต่ก็มีดอกจ�ำนวนน้อยที่พัฒนาไปเป็นผลและมีการตัดโค่นช่อผล ทั้งหมดเพื่อน�ำผลอ่อนไปรับประทาน ซึ่งจะท�ำให้ลานต้นนั้นหมดโอกาสในการขยายพันธุ์ อีกทั้ง ผลลานมีขนาดค่อนข้างใหญ่ จึงกระจายอยู่ไม่ไกลต้นแม่อย่างหนาแน่น โอกาสรอดเป็นต้นใหม่ ไม่มากนัก เนื่องจากการคัดเลือกตามธรรมชาติ ความสมบูรณ์ของเมล็ด และปัจจัยแวดล้อม รวมทั้งเมื่อต้นลานโตเต็มที่จะมีต้นและช่อดอกขนาดใหญ่ อาจสูงรวมได้ถึง 20 เมตร ท�ำให้ต้องใช้พื้นที่มากและหากปลูกใกล้อาคารที่อยู่อาศัย อาจท�ำให้เกิดอันตรายได้ รวมถึงความเชื่อต่างๆ ที่ท�ำให้ไม่นิยมปลูกต้นลานในที่ดินของตนเอง ท�ำให้มีความเสี่ยงต่อ การสูญพันธุ์ ลาน พืชพื้นเมืองของไทย ที่มีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ 01 ลาน พืชพื้นเมืองของไทย


กลุ่มงานวิจัยพันธุ์พืชป่ามีค่า หายาก และใกล้สูญพันธุ์ เล็งเห็นความส�ำคัญของ ปัญหาที่กล่าวมา จึงจัดท�ำโครงการวิจัยเรื่อง การศึกษาชีววิทยาและการประเมินสถานภาพ ลานในประเทศไทย และโครงการ การศึกษาชีพลักษณ์และความส�ำเร็จในการสืบพันธุ์ ของต้นลานในประเทศไทย เพื่อให้ได้ข้อมูลชีววิทยา นิเวศวิทยา การกระจายพันธุ์ ปัจจัยคุกคาม สถานภาพการอนุรักษ์ การใช้ประโยชน์ รวมถึงการขยายพันธุ์ ประกอบกับข้อมูลที่มีผู้ศึกษาไว้ น�ำมาใช้เป็นแนวทางในการอนุรักษ์ต้นลาน เพื่อต่อลมหายใจให้ต้นลานอยู่กับป่าและชุมชนได้ ตลอดไปต้นล านป่ า 02 ลาน พืชพื้นเมืองของไทย


ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ พืชสกุลลาน จัดเป็นพืชใบเลี้ยง เดี่ยว (Monocotyledon) อยู่ในวงศ์ Arecaceae(ชื่อเดิมคือ Palmae) อยู่ใน สกุล Corypha จัดเป็นปาล์มล�ำต้นเดี่ยว ไม่มีการแตกกอ สูง 5-30 ม.เส้นผ่าน ศูนย์กลาง 45-100 ซม. ผิวล�ำต้นมีรอย วงแหวน ที่เกิดจากการหลุดร่วงของใบ ใบ : เป็นใบประกอบ รูปฝ่ามือ เรียงเวียน เป็นกระจุกที่ปลายยอด มีขนาดใหญ่มาก เส้นผ่านศูนย์กลางใบยาวถึง 3 ม. มีแกน กระดูกกลางใบทางใบยาวถึง 3.5 ม. ขอบทางใบมีหนามสีด�ำ โคนกาบใบแยก ออกจากกันโอบล�ำต้น 03 ลาน พืชพื้นเมืองของไทย


ดอก : ออกเป็นช่อ (inflorescence) ทรง พีระมิด แบบช่อแยกแขนง (panicle) ออกที่ ปลายยอดของล�ำต้นเหนือใบ (suprafoliar) และเป็นช่อดอกขนาดใหญ่ที่สุดของพืชมีดอก ดอกลานเป็นดอกสมบูรณ์เพศ (perfect flower) มีกลีบเลี้ยง 3 กลีบ กลีบดอก 3 กลีบ และรังไข่ 3 ช่อง รังไข่อยู่เหนือวงกลีบ มีเกสร เพศผู้ 6 อัน ในแต่ละช่อย่อยตาดอกจะ พัฒนาได้ไม่หมด โดยเฉพาะส่วนปลายของ ช่อจะเป็นตุ่มตา ไม่มีการพัฒนาเป็นดอก ดอกย่อยอาจมีมากถึง 60 ล้านดอก 04 ลาน พืชพื้นเมืองของไทย


ผล : เป็นแบบผลมีเนื้อสด มีเมล็ดเดียว (drupe) เนื้อเยื่อชั้นในสุดของเปลือก (endocarp) แข็ง ขณะผลอ่อน ส่วนของเนื้อในเมล็ด (endosperm) จะมีลักษณะเป็นน�้ำใส และ พัฒนาเป็นเนื้อนิ่มและแข็งเมื่อผลแก่ ผลสุก แก่จะมีสีออกเหลือง เมื่อผลร่วงหมดต้น แม่จะตายและค่อยๆ ผุพังลง 05 ลาน พืชพื้นเมืองของไทย


E : เกสรเพศผู้ (stamen) ภาพลักษณ์ของดอกและผลของพืชสกุลลาน (Corypha spp.) ; 5 mm. A : ส่วนก้านแขนงช่อ (rachilla) B : ลักษณะดอกย่อย C : กลีบดอก (petal) D : เกสรเพศเมีย (gynoecium) F : ผล 06 ลาน พืชพื้นเมืองของไทย


เป็นปาล์มล�ำต้นเดี่ยวขนาดใหญ่ สูงได้ถึง 15 ม. รวมใบ ล�ำต้นสูงได้ถึง 5 ม. เส้นผ่านศูนย์กลางล�ำต้นรวมกาบใบ มีขนาดประมาณ 1 ม. เส้นผ่านศูนย์กลาง ไม่รวมกาบใบมีขนาด 45 - 75 ซม. เมื่อใบแก่เหี่ยวแห้งหักลง แต่โคนก้านใบยังคง ติดอยู่รอบล�ำต้น 1 ลานป่า (Corypha lecomtei Becc.) หรือที่เรียกว่า ลานด�ำ ลานกบินทร์ ลานทุ่ง (Indochinese fan palm) 07 ลาน พืชพื้นเมืองของไทย


ใบ : เป็นใบประกอบรูปฝ่ามือ (palmate-leaved) เป็นกระจุกที่ปลายยอด มี 15 - 25 ใบ ใบมีขนาดใหญ่ ความยาว ของใบประมาณ 3 - 4 ม.ความกว้างที่ แผ่ออกไปประมาณ 4.5 - 6 ม. สีเขียวอมเทา ปลายใบห้อยลงโคนกาบใบแยกออกจากกัน ดูเป็นรูปตัววีคว�่ำ ก้านใบยาว 2.5 - 5 ม. ขอบก้านใบทั้งสองด้านมีหนามสีออกด�ำ คล้ายฟันเลื่อยเรียงกันอยู่ หนามยาว 7 - 10 มม. แถบสีด�ำ ที่ขอบก้านใบกว้างประมาณ 1 - 1.5 ซม. โคนก้านใหญ่งุ้มกว้างประมาณ 25-30 ซม. ยาว 2.5 - 3 ม. 08 ลาน พืชพื้นเมืองของไทย


ดอก : ออกที่ปลายยอด ตั้งขึ้นและ แตกก้านช่อดอกย่อยเรียงห่างกัน แผ่เป็น รูปพีระมิด ช่อดอกรวมยาว 10 - 12 ม. ก้านช่อดอกยาว 1.5 - 2 ม. เส้นผ่าน ศูนย์กลาง 15 - 20 ซม. แกนช่อดอกยาว 8 - 10 ม. กิ่งย่อยที่อยู่ในแนวราบมีถึง 25 กิ่ง ยาวได้ถึง 3 ม.มีกิ่งแขนงย่อยจ�ำนวน มากห้อยลง ยาว 30 - 40 ซม. ตรงฐาน ดอกติดกับก้านดอกจะมีกลีบเลี้ยงอยู่รอบ 3 กลีบ โคนเชื่อมติดกัน ปลายแยกออก จากกัน กลีบดอกมีอยู่ 3 กลีบ มีสีขาว ถึงเหลืองอ่อน 09 ลาน พืชพื้นเมืองของไทย


ผล : รูปทรงกลมแกมรีขนาดใหญ่ สีเขียวอมเทา ผลอยู่เป็นกลุ่ม กลุ่มละ 3 - 4 ผล เกาะติดอยู่กับก้านดอกยาว 1 มม. ขนาดผลยาวประมาณ 4 - 5 ซม. กว้าง 3 - 4 ซม. 10 ลาน พืชพื้นเมืองของไทย


เป็นปาล์มล�ำต้นเดี่ยวขนาดใหญ่ สูงได้ถึง 25 ม. เส้นผ่านศูนย์กลางล�ำต้น รวมกาบใบมีขนาดประมาณ 60 - 90 ซม. เส้นผ่านศูนย์กลางไม่รวมกาบใบมี ขนาดประมาณ 40 - 60 ซม.ล�ำต้นเกลี้ยงมีร่องรอยการทิ้งก้านใบ 2 ลานพรุ (Corypha utan Lam.) ชื่อพ้อง : Corypha elata L. ชื่อไทยอื่นๆ ได้แก่ ลาน ลานใต้ ชื่อสากล Big bomb burst corypha, Gebang Palm 11 ลาน พืชพื้นเมืองของไทย


ใบ : เป็นใบประกอบรูปฝ่ามือ (palmate-leaved) กระจุกที่ยอด 25 - 30 ใบ ใบมีขนาดใหญ่ ความยาวของใบประมาณ 3 - 4 ม. ความกว้างที่แผ่ออกไปประมาณ 4.5 - 6 ม. ก้านใบมีลักษณะยาวเรียว จากโคน ขอบก้านใบโค้งเข้าหากันเล็กน้อย ขอบก้านใบทั้งสองด้านมีหนามแหลม คล้ายฟันเลื่อยเรียงกันอยู่ หนามยาว ประมาณ 2.5 ซม. มีแว๊กซ์สีขาวเคลือบก้านใบอยู่ โคนกาบ ใบแยกออกจากกัน เป็นรูปตัววีคว�่ำ ก้านใบ ยาว 2.5 - 3.5 ม. 12 ลาน พืชพื้นเมืองของไทย


ดอก : ช่อดอกรูปไข่ตั้งขึ้น ออกที่ ปลายยอด มีจ�ำนวนมากและอยู่รวมกันแน่น ช่อดอกรวมยาว 4 - 7 ม. ก้านช่อดอกสั้น หรือไม่มี แกนช่อดอกยาว 4 - 6 ม. เส้นผ่าน ศูนย์กลาง 25 - 35 ซม. กิ่งย่อยที่อยู่ใน แนวราบจ�ำนวน 30 - 55 กิ่ง ยาวถึง 2.5 ม. แตกกิ่งแขนงย่อยแผ่ออกรอบจ�ำนวนมาก ยาวถึง 25 ซม. ตรงฐานดอกติดกับ ก้านดอก จะมีกลีบเลี้ยงอยู่รอบ 3 กลีบ โคนเชื่อมติดกัน ปลายแยกออกจากกัน ถัดเข้าไปเป็นกลีบดอก มีอยู่ 3 กลีบ บานเต็มที่ขนาด 3 - 5 มม. สีขาวถึง เหลืองอ่อน 13 ลาน พืชพื้นเมืองของไทย


ผล : ค่อนข้างกลม ขนาด 2.5 - 3 ซม. อยู่เป็นกลุ่ม กลุ่มละ 3 - 4 ผล เกาะติดอยู่กับ ก้านดอก ยาว 1 มม. 14 ลาน พืชพื้นเมืองของไทย


เป็นปาล์มล�ำต้นเดี่ยวขนาดใหญ่ สูงได้ถึง 25 ม. เส้นผ่านศูนย์กลางล�ำต้น รวมกาบหุ้มมีขนาดประมาณ 60 - 90 ซม. เส้นผ่านศูนย์กลางไม่รวมกาบใบมีขนาด 45 - 47 ซม. ล�ำต้นมีร่องรอยของกาบใบเก่าถี่และไม่ชัดเจน 3 ลานวัด (Corypha umbraculifera L.) ชื่อไทยอื่นๆ : ลานบ้าน ลานเชียงใหม่ ลานหมื่นเถิดเทิง ชื่อสากล : Talipot palm Lontar palm Fan palm 15 ลาน พืชพื้นเมืองของไทย


ใบ : เป็นกระจุกที่ปลายยอด 25 - 35 ใบ กาบใบอ้วน สีออกเขียว ยาว 2.5 - 3 ม. โคนกาบสีเขียวอมเหลือง แยกออกจากกัน เป็นรูปตัววี ที่ขอบมีระยางค์คล้ายหูแต่ละข้าง ขอบก้านใบมีหนามสีด�ำ ยาวถึง 1 ซม. แผ่น ใบรูปร่างเกือบกลม เส้นผ่าศูนย์กลาง 2.5 - 3 ม.เป็นคลื่นเส้นกลางใบยื่นเข้าไป ในใบ ประมาณ 1 ม. และโค้งลง แฉกใบย่อย ปลายหยักลึก 1/4 - 1/2 ของใบ มี 110 แฉก ขนาด 4 - 6.5 x 75 - 150 ซม. มักมี สองแฉกอยู่ติดกัน ท�ำให้ใบดูมีลักษณะหยาบ 16 ลาน พืชพื้นเมืองของไทย


ดอก : ช่อดอกเป็นรูปพีระมิด ช่อดอก รวมยาวถึง 6 ม. เส้นผ่านศูนญ์กลาง 35 ซม.ก้านช่อดอกสั้นหรือไม่มี แกนช่อดอก ยาวถึง 6 ม. แตกกิ่งแขนงย่อยจ�ำนวนมาก แผ่ออกยาว 5 - 25 ซม. ดอกบานออก บนก้านเป็นกลุ่มๆ ดอกมีขนาดเล็ก รูปร่าง ยาวรี เป็นดอกสมบูรณ์เพศ ในช่อดอก เดียวกันจะบานไม่พร้อมกัน สีขาวถึง เหลืองอ่อน 17 ลาน พืชพื้นเมืองของไทย


ผล : เป็นทรงกลม ขนาด 3.5 - 4.5 ซม. มีสีเขียวอ่อนอมเทา ผลเป็นแบบผลมีเนื้อสด มีเมล็ดเดียว 18 ลาน พืชพื้นเมืองของไทย


ก า ร จั ด ห ม ว ด ห มู ่ พื ช ส กุ ล ล า น ใช้หลักการจัดหมวดหมู่ปาล์มของ Dransfield and Uhl (1987) โดยการ จัดจะรวบรวมปาล์มบางกลุ่มที่มีลักษณะ บางอย่างเหมือนกันเข้าด้วยกัน เหลือก ลุ่มย่อยในระดับอนุวงศ์ (subfamily) เพียง 6 กลุ่ม ส่วนกลุ่มย่อยที่มีความแตกต่างกัน ออกไป ก็จัดให้อยู่ระดับหมวด (tribe) รายละเอียดดังนี้ Kingdom Plantae Division Magnoliophyta Class Monocotyledoneae Order Palmales Family Palmae Subfamily Coryphoideae Tribe Corypheae การจัดหมวดหมู่พืชสกุลลาน 19 ลาน พืชพื้นเมืองของไทย


รูปวิธานพืชสกุลลาน (Corypha spp.) อ้างตาม Hodel (1997) และ พูนศักดิ์ (2548) 1. ล�ำต้นสูง 5 ม. หรือต�่ำกว่านั้น จ�ำนวนใบที่กระจุกยอด 15 - 25 ใบ ขอบกาบใบ มีแถบสีด�ำ กว้างถึง 1.5 ซม. ช่อดอกสูง 10 - 12 ม. แผ่กระจาย C. lecomtei 1. ล�ำต้นสูง 10 - 30 ม. จ�ำนวนใบที่กระจุกยอด 25 - 35 ใบ ขอบก้านใบไม่มีสีด�ำ มีเฉพาะหนามสีด�ำ ช่อดอกสูง 4 - 7 ม. อัดตัวกันแน่น 2. 2. กาบใบและก้านใบมีสีขาวคลุม ขอบก้านใบเรียบ ไม่มีแถบ (with out flaps) ขอบกาบใบมีหนาม ยาวถึง 2.5 ซม. ขอบโคน กาบใบไม่มีติ่งคล้ายหู C. utan 2. กาบใบและก้านใบไม่มีสีขาวคลุม ขอบก้านใบมีแถบ ขอบกาบใบมีหนามยาวถึง 1 ซม. ขอบโคนกาบใบมีติ่งคล้ายหู C. umbraculifera C. lecomtei (ลานป่า) C. utan (ลานพรุ) C. umbraculifera (ลานวัด) อนุกรมวิธานของพืชสกุลลาน 20 ลาน พืชพื้นเมืองของไทย


พืชสกุลลาน มี 5 ชนิดด้วยกัน (theplantist, 2013) ได้แก่ พืชสกุลลาน (Corypha spp.) มีการกระจายพันธุ์ในเขตร้อน ตั้งแต่ตอนใต้ ของประเทศอินเดีย ศรีลังกา อ่าวเบงกอล ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มาเลเซีย นิวกินี ตลอดไปจนถึงตอนเหนือของทวีปออสเตรเลีย นิเวศวิทยาและการกระจายพันธุ์ 5. Corypha utan Lam. ในประเทศไทย พบว่า มีพืชสกุลลานอยู่ 3 ชนิด โดยเป็นพันธุ์พื้นเมือง 2 ชนิด คือ ลานป่า และลานพรุ อีกชนิดคือ ลานวัด น�ำเข้ามาปลูกในทางภาคเหนือของประเทศไทย มีถิ่นเดิมในอินเดีย ศรีลังกา หรืออาจพบในพม่า 1. Corypha lecomtei Becc. 2. Corypha microclada Becc. 3. Corypha tallera Roxb. 4. Corypha umbraculifera L. 21 ลาน พืชพื้นเมืองของไทย


ลานป่า พบขึ้นกระจายอยู่ในเขตมรสุม บริเวณป่าโปร่ง หรือในที่โล่งใกล้แหล่งน�้ำ และเป็นที่น�้ำท่วมถึง ที่ระดับความสูง 100 - 600 ม. เหนือระดับน�้ำทะเล ตามที่ราบลุ่มในภูมิภาค อินโดจีน ตั้งแต่จีนตอนใต้ถึงลาว เวียดนาม กัมพูชา ประเทศไทยพบมากทางภาคกลาง ภาคตะวัน ออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ พบมากที่สุดในเขตอุทยานแห่งชาติทับลาน จังหวัดปราจีนบุรี และบริเวณที่ราบบนเขาละมั่ง ต�ำบลบุพราหมณ์ อ�ำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี โดยป่าลานเป็น ประเภทป่าผลัดใบ สภาพจะเป็นป่าโปร่ง มีลานขึ้นอย่างหนาแน่นทั่วพื้นที่ มีเนื้อที่ประมาณ 200 ไร่ บริเวณดงลาน อ�ำเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น และยังพบที่บ้านท่าฤทธิ์ อ�ำเภอวังม่วง จังหวัดสระบุรี นอกจากนี้ยังพบทั่วไปบริเวณจังหวัดลพบุรี ตาก และพิษณุโลกต้นล านป่ า 22 ลาน พืชพื้นเมืองของไทย


ลานพรุ พบได้ในที่โล่ง ที่ราบลุ่มต�่ำ พื้นที่น�้ำท่วมขัง จนถึงพื้นที่ดอนที่มีความสูง จากระดับน�้ำทะเล 300 ม. มีการกระจายพันธุ์ในอินเดียถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นิวกินี และออสเตรเลีย ประเทศไทยพบบริเวณตอนกลางและใต้สุดของภาคใต้ พบมากที่ อ�ำเภอเชียรใหญ่ และอ�ำเภอหัวไทร จังหวัดนครศรีธรรมราช อ�ำเภอระโนด จังหวัดสงขลา สตูล ตรัง ภาคกลางพบที่จังหวัดนครปฐม ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบมากที่ตอนบนแถบจังหวัด เลย และพบมากที่อ�ำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา ต้นล านพรุ 23 ลาน พืชพื้นเมืองของไทย


การส�ำรวจลานป่า พบการปรากฏของลานป่าทั้งหมด 512 จุดส�ำรวจ ส่วนใหญ่ ปรากฏอยู่ในพื้นที่ต�ำบลบุพราหมณ์ อ�ำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี พื้นที่ราบบริเวณภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ จังหวัดขอนแก่น ชัยภูมิ เลย อุดรธานี หนองบัวล�ำภู นครราชสีมา บุรีรัมย์ ศรีษะเกษ และร้อยเอ็ด บริเวณภาคกลาง จังหวัดลพบุรี สระบุรี นครสวรรค์ ไปจนถึง พิษณุโลก ตาก และล�ำปาง ส�ำหรับภาคใต้ไม่พบการปรากฏของต้นลานป่า 24 ลาน พืชพื้นเมืองของไทย


การส�ำรวจลานพรุ พบการปรากฏของลานพรุทั้งหมด 575 จุดส�ำรวจ ส่วนใหญ่ปรากฏอยู่ในพื้นที่ราบบริเวณภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดนครศรีธรรมราช สงขลา สตูล สุราษฎร์ธานี พัทลุง ตรัง และภูเก็ต บริเวณภาคกลางและภาคตะวันตกแถบจังหวัดนครปฐม สุพรรณบุรี และราชบุรี ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พบมากที่อ�ำเภอด่านขุนทด จังหวัด นครราชสีมา ส�ำหรับภาคเหนือ และภาคตะวันออกไม่พบการปรากฏของลานพรุ 25 ลาน พืชพื้นเมืองของไทย


ความหลากหลายทางพันธุกรรม กลุ่มงานวิจัยพันธุ์พืชป่ามีค่า หายาก และใกล้สูญพันธุ์ ได้ร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญ เฉพาะด้านวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้ ส�ำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช ในการศึกษา ความหลากหลายทางพันธุกรรมโดย ใช้เครื่องหมายดีเอ็นเอชนิดไมโครแซทเทลไลท์ เพื่อศึกษาความหลากหลายทางพันธุกรรมและความสัมพันธ์ทางเครือญาติ ในตัวอย่าง ใบลาน รวม 132 ตัวอย่าง แบ่งเป็น ลานป่า 59 ตัวอย่าง จากจังหวัดชัยภูมิ เลย ขอนแก่น หนองบัวล�ำภู อุดรธานี สกลนคร นครพนม ร้อยเอ็ด อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สระแก้ว ปราจีนบุรี นครราชสีมา นครสวรรค์ เพชรบูรณ์ พิษณุโลก สุโขทัย ตาก ล�ำปาง ก�ำแพงเพชร ลพบุรี และสระบุรี ลานพรุ 73 ตัวอย่าง จากจังหวัดนครราชสีมา สุพรรณบุรี นครปฐม ราชบุรี กาญจนบุรี เพชรบุรี สุราษฎร์ธานี สงขลา นครศรีธรรมราช สตูล ตรัง และภูเก็ต 26 ลาน พืชพื้นเมืองของไทย


ต�ำแหน่งลายพิมพ์ดีเอ็นเอของตัวอย่างประชากรลาน โดยใช้เครื่องหมายดีเอ็นเอชนิดไมโครแซทเทลไลท์ การศึกษาความหลากหลายทางพันธุกรรมและความสัมพันธ์ทางเครือญาติ ของตัวอย่างใบลาน โดยใช้เครื่องหมายไมโครแซทเทลไลท์ จ�ำนวน 30 ต�ำแหน่ง พบว่า ประชากรลานที่ศึกษาไม่พบความผันแปรทางพันธุกรรม เพื่อให้ผลการศึกษามีความ ถูกต้องแม่นย�ำมากขึ้น ควรเพิ่มจ�ำนวนตัวอย่างมากกว่า 20 ตัวอย่างต่อแหล่ง หรือหาก ไม่สามารถหาได้เนื่องจากประชากรที่พบในธรรมชาติมีสถานภาพหายากหรือใกล้สูญพันธุ์ อาจจ�ำเป็นต้องท�ำการวิจัยพัฒนาเครื่องหมายไมโครแซทเทลไลท์ ในบริเวณที่จ�ำเพาะ ของลานแต่ละชนิด 27 ลาน พืชพื้นเมืองของไทย


ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาความ หลากหลายทางพันธุกรรมของต้นลาน ในประเทศไทยด้วยการใช้เทคนิค Amplified Fragment Length Polymorphism, AFLP ของพงศ์เทพ (2553) โดยท�ำการรวบรวม ตัวอย่างของลานป่า (C. lecomtei Becc.), ลานวัด (C. umbraculifera L.), และลานพรุ (C. utan Lam.) จากจังหวัดล�ำปาง ขอนแก่น ปราจีนบุรี นครปฐม สุราษฎร์ธานี และสตูล รวมจ�ำนวน 65 ตัวอย่าง มาสกัดดีเอ็นเอและ ทดสอบด้วยไพรเมอร์ สามารถแบ่งประชากร ต้นลานออกได้เป็น 7 กลุ่ม โดยค่าเฉลี่ยเฮตเทอ โรไซโกซิตี้ของลานป่า ลานวัด และลานพรุ มีค่า อยู่ระหว่าง 0.165 - 0.209, 0.220 และ 0.072 - 0.086 ตามล�ำดับ และเปอร์เซ็นต์โพลีมอร์ฟิค ไลโซของลานป่า ลานวัด และลานพรุ มีค่าอยู่ ระหว่าง 49.30 - 59.44%, 76.03% และ 19.81 - 24.42% ตามล�ำดับ จากผลการศึกษา แสดงให้เห็นว่าพืชสกุลลานในประเทศไทยมีความหลากหลายทาง พันธุกรรมต�่ำ ส่งผลให้มีความเสี่ยงสูงต่อการสูญพันธุ์ ซึ่งเป็นไปได้ที่ต้นลานมีโอกาสผสม ตัวเอง (self-pollinated) หรือต้นลานแพร่กระจายในพื้นที่จ�ำกัด ท�ำให้สมาชิกประชากรไม่มี การแยกตัวออกจากประชากรเดิม นอกจากนั้นเป็นไปได้ว่าในอดีตที่ผ่านมาแหล่งอาศัย ของต้นลานทั้ง 3 ชนิด อาจถูกบุกรุกท�ำลาย ท�ำให้มีประชากรบางส่วนเท่านั้นที่รอดชีวิต เมื่อมีการปรับปรุงแหล่งอาศัยท�ำให้ประชากรเพิ่มขึ้นแต่ยังมีความหลากหลายทางพันธุกรรม ต�่ำ และต้นลานมีการเจริญเติบโตช้า ใช้เวลานานถึง 50 - 80 ปี ท�ำให้การเปลี่ยนแปลงทาง พันธุกรรมเกิดขึ้นได้ช้า คล้ายกับต้นตาลโตนดที่มีความหลากหลายทางพันธุกรรมต�่ำ เช่นเดียวกัน 28 ลาน พืชพื้นเมืองของไทย


ชีพลักษณ์และการเจริญเติบโต ลาน เป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว มีการเจริญเติบโตที่ปลายยอดโดยการสร้างใบใหม่ ปีละประมาณ 2 - 10 ใบ หรือมากกว่า ขึ้นกับขนาดและความสมบูรณ์ของต้น และปัจจัย แวดล้อม ในต้นกล้าหรือต้นขนาดเล็กจะแตกใบใหม่น้อยกว่าต้นขนาดกลาง (2 - 5 ม.) ใบจะออกแบบเรียงเวียนไปรอบล�ำต้น ยอดอ่อนหรือใบใหม่แทงออกจากใจกลางต้น ยืดยาวขึ้นจนเต็มที่แล้วจะแผ่ออก มีขนาดใหญ่และยาวกกว่าใบเก่า สามารถแบ่งการเจริญ เติมโตของต้นลานเป็น 3 ช่วง ดังนี้ ช่วงแรก ยังไม่เห็นล�ำต้น ใช้เวลาประมาณ 10 - 20 ปี 29 ลาน พืชพื้นเมืองของไทย


ช่วงที่เห็นล�ำต้น ในช่วงนี้ต้นลานจะมีอายุประมาณ 20 ปีขึ้นไป ส่วนของล�ำต้นจะเป็น ลักษณะของหัวอยู่ใต้ดิน มีก้านใบเรียงเวียนสลับห่อหุ้มอยู่ด้านนอก เมื่อโตขึ้นจึงจะสังเกตได้ ชัดเจนขึ้น ในลานป่าจะยังพบก้านใบช่วงโคนติดอยู่กับล�ำต้น ส่วนลานพรุจะทิ้งก้านใบเมื่อต้น สูงใหญ่ขึ้น ท�ำให้เห็นล�ำต้นได้ชัดเจน ล�ำต้นจะเห็นเป็นเปลือกแข็งหุ้ม เนื้อไม้ด้านในมีลักษณะ เป็นเสี้ยนแข็งช่วงที่เห็นล�ำต้น 30 ลาน พืชพื้นเมืองของไทย


ช่วงออกดอก เมื่อต้นลานเจริญเติบโตเต็มที่พร้อมที่จะสืบพันธุ์แล้ว ใบที่สร้างใหม่จะ มีขนาดเล็ก ก้านใบจะสั้นลักษณะเป็นใบรองฐานช่อดอก ระยะเริ่มของการออกดอกจะมีหน่อ เป็นรูปทรงกรวยใหญ่ ปลายแหลมโผล่ขึ้นมาที่ปลายสุดของล�ำต้น รอบหน่อนี้ห่อหุ้มด้วยกาบ สีเขียว หน่อจะเจริญเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ ขณะที่หน่อเพิ่มความสูง กิ่งแขนงก็จะเริ่มแตกแยกออก มาทางด้านข้างในเส้นรอบวงเดียวกัน 2 - 3 กิ่ง แต่ละกิ่งมีกาบสีเขียวหุ้มอยู่ที่โคน แต่ละกิ่ง จะแตกกิ่งแขนงแยกย่อยออกไปอีก 2 - 3 ชั้น จากนั้นจึงมีก้านช่อดอกแยกออกไปแขนงละ 12 - 15 ก้าน ยาวประมาณ 15 - 20 ซม. ช่วงออกดอก 31 ลาน พืชพื้นเมืองของไทย


ชีพลักษณ์ ของลานป่า 32 ลาน พืชพื้นเมืองของไทย


ชีพลักษณ์ ของลานพรุ 33 ลาน พืชพื้นเมืองของไทย


กลุ่มงานวิจัยพันธุ์พืชป่ามีค่า หายาก และใกล้สูญพันธุ์ ได้ศึกษาชีพลักษณ์ใน ช่วงการสืบพันธุ์ของต้นลาน 2 ชนิด คือ ลานป่า ศึกษาบริเวณอุทยานแห่งชาติทับลาน และลานพรุ ศึกษาบริเวณอ�ำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา พบว่า ลานทั้ง 2 ชนิด มีระยะการพัฒนาที่เหมือนกัน ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 5 ระยะ แต่มีช่วงเวลาในการพัฒนาที่ต่างกัน ดั้งนี้ ลานป่า สามารถแบ่งระยะการพัฒนาของดอกและผลลานป่าออกได้เป็น 5 ระยะ คือ ระยะที่ 1 เริ่มมีการแตกใบขนาดเล็ก ก้านใบสั้น เป็นใบรองช่อดอกในช่วงเดือนเมษายน ถึงพฤษภาคม หลังจากสังเกตเห็นใบรองฐานช่อดอกประมาณ 1 - 4 สัปดาห์ ระยะที่ 2 ช่อดอกแทงขึ้นมาตรงส่วนยอดและแตกแขนงออก มีลักษณะคล้าย ปลีกล้วย ใช้เวลาประมาณ 1 - 4 สัปดาห์ ประมาณช่วงเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน หากมีฝนตกจะเร่งให้ช่อดอกพัฒนาเร็วขึ้น ระยะที่ 3 ดอกบาน ดอกจะเริ่มบานเต็มที่ช่วงเดือนพฤษภาคมถึงกรกฎาคม ระยะที่ 4 หลังจากดอกบานเต็มที่ประมาณ 1 - 2 สัปดาห์ ดอกที่ได้รับการผสมเกสร โดยสมบูรณ์จะพัฒนาเป็นผลอ่อน ระยะที่ 5 ผลจะเริ่มสุกแก่และร่วงหล่น ช่วงเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคมในปีถัดไป ซึ่งใกล้เคียงกับการศึกษาการเจริญของช่อดอกลานป่า ของพงศ์เทพ (2556) ที่ท�ำการศึกษา ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติทับลาน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคม 2552 พบว่า ลานป่า เริ่มออกดอกในเดือนพฤษภาคม จะติดผลในช่วงเดือนกรกฎาคม จะติดผลในช่วงเดือน กรกฎาคม และผลจะร่วงหล่นในเดือนพฤษภาคมปีถัดไป ชีพลักษณ์การสืบพันธุ์ 34 ลาน พืชพื้นเมืองของไทย


(F) ช่อผล ผลสุกแก่และร่วงหล่น ระยะการพัฒนาของดอกและผลลานป่า (Corypha lecomtei Becc.) (C) ดอกบาน (E) ช่อผล (D) ช่อดอกบานเต็มที่ (A) ใบขนาดเล็กที่ฐานช่อดอก (B) ช่อดอกแทงครบ 35 ลาน พืชพื้นเมืองของไทย


2. ลานพรุ สามารถแบ่งระยะการพัฒนาของดอกและผลออกเป็น 5 ระยะเช่นกัน ดังนี้ ระยะที่ 1 : เริ่มมีการแตกใบขนาดเล็ก ก้านใบสั้น เป็นใบรองช่อดอกในช่วงเดือนมกราคม ถึงมีนาคม หลังจากสังเกตเห็นใบรองฐานช่อดอกประมาณ 1 - 4 สัปดาห์ ระยะที่ 2 : ช่อดอกแทงขึ้นมาตรงส่วนยอดและแตกแขนงออก มีลักษณะคล้าย ปลีกล้วย ใช้เวลาประมาณ 1 - 4 สัปดาห์ ประมาณช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน ระยะที่ 3 ดอกบาน ดอกจะเริ่มบานช่วงเดือนมีนาคมถึงเมษายน ระยะที่ 4 หลังจากดอกบานเต็มที่ประมาณ 1 - 2 สัปดาห์ ดอกที่ได้รับการผสมเกสร โดยสมบูรณ์จะพัฒนาเป็นผลอ่อน ระยะที่ 5 ผลจะเริ่มสุกแก่และร่วงหล่น ช่วงเดือนธันวาคมถึงมีนาคมในปีถัดไป ระยะของก ารพัฒน าของดอกเเละผล 36 ลาน พืชพื้นเมืองของไทย


(F) ช่อผล ผลสุกแก่และร่วงหล่น ระยะการพัฒนาของดอกและผลลานพรุ (Corypha utan Lam.) (C) ดอกบาน (E) ช่อผล (D) ช่อดอกบานเต็มที่ (A) ใบขนาดเล็กที่ฐานช่อดอก (B) ช่อดอกแทงครบ 37 ลาน พืชพื้นเมืองของไทย


การศึกษาความส�ำเร็จในการสืบต่อพันธุ์ (Reproductive success; RS) เป็นการ ศึกษาจ�ำนวนดอกย่อยต่อช่อดอก (Fl) และดอกย่อยมานับจ�ำนวนไข่อ่อนต่อดอก (O) และในช่วงที่มีผลสุกแก่เต็มที่ ตรวจนับผลแก่ต่อช่อผล (Fr) และจ�ำนวนเมล็ดที่สุกแก่ต่อผล (S) จากจ�ำนวนผลที่สุ่มมาทั้งหมด ประเมินค่าความส�ำเร็จของการสืบพันธุ์ ซึ่งเป็นดัชนีที่บ่งบอก ถึงศักยภาพของดอกและไข่อ่อน (Ovule) ของพืชที่จะพัฒนาไปเป็นผลและเมล็ดที่สมบูรณ์ (Weins et al., 1987) โดยใช้สูตร โดยค่าดัชนี RS =1 (หรือร้อยละ 100) หมายถึง ดอกทุกดอกภายในช่อดอกพัฒนา ไปเป็นผลทั้งหมด และไข่อ่อนทุกใบของทุกดอกพัฒนาไปเป็นเมล็ดที่สมบูรณ์ ในขณะที่ RS = 0 (ร้อยละ 0) บ่งบอกถึงดอกไม่มีการพัฒนาไปเป็นผลและเมล็ดที่สมบูรณ์ การศึกษาครั้งนี้ผู้วิจัยได้เลือกพื้นที่บริเวณอุทยานแห่งชาติทับลานในการ ศึกษาความส�ำเร็จในการสืบต่อพันธุ์ของลานป่า และเลือกพื้นที่บริเวณอ�ำเภอด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา ในการศึกษาความส�ำเร็จในการสืบต่อพันธุ์ของลานพรุ โดยคัดเลือก ต้นลานที่มีการแทงช่อดอก จ�ำนวนชนิดละ 3 ต้น ติดตั้งนั่งร้าน เพื่อศึกษาความส�ำเร็จในการ สืบต่อพันธุ์ คัดเลือกแหละหมายช่อดอกที่สมบูรณ์ไม่มีร่องรอยการล่วงหล่น จ�ำนวน 30 ช่อ ดอกต่อต้น พบว่า ค่าความส�ำเร็จในการสืบต่อพันธุ์ของลาน (RS) มีค่าค่อนข้างต�่ำ โดยค่า ความส�ำเร็จในการสืบต่อพันธุ์ของลานป่าและลานพรุ มีค่าเฉลี่ย RS เท่ากับ 0.013 และ 0.016 ตามล�ำดับ แสดงให้เห็นว่ามีจ�ำนวนดอกและไข่อ่อนเพียงเล็กน้อยที่มีการพัฒนาไปเป็นผลและ เมล็ดที่สมบูรณ์ โดยมีสาเหตุจากการร่วงหล่นของดอกและผลในระหว่างการพัฒนา RS = โปร่งแสง (Fr/FI)x(S/O) ความส�ำเร็จในการสืบต่อพันธุ์ 38 ลาน พืชพื้นเมืองของไทย


แม้ต้นลานจะเพิ่มโอกาสในการสืบต่อพันธุ์โดยการออกดอกเป็นจ�ำนวนมาก แต่โอกาสในการติดผลนั้นมีน้อยมาก เนื่องจากในระยะแรกก่อนการปฏิสนธิ (perzygotic peiod) เกิดจากการพัฒนาของดอกที่ไม่สมบูรณ์ การร่วงหล่นของดอกที่ไม่ได้รับการผสมเกสร ในส่วนระยะหลังระยะการปฏิสนธิ (postzygotic period) ที่มีการร่วงของดอกที่ได้รับการ ปฏิสนธิแล้วหรือผลที่ก�ำลังพัฒนา อาจมีสาเหตุมาจากการจ�ำกัดของปริมาณธาตุอาหาร สะสมภายในต้นไม้ การควบคุมทางพันธุกรรม โดยผลที่เกิดจากดอกที่ผสมภายในต้นเดียวกัน มีแนวโน้มที่จะมีลักษณะทางพันธุกรรมด้อย จึงอาจเกิดการร่วงหล่นไปในระหว่างการพัฒนา ของผล รวมถึงปัจจัยสิ่งแวดล้อมภายนอกบางประการก็มีผลต่อการร่วงหล่นของดอก และผลเช่นเดียวกัน เมื่อเปรียบเทียบค่าความส�ำเร็จในการสืบพันธุ์ของต้นลานกับไม้ชนิดอื่น พบว่า ต้น ลานมีค่าความส�ำเร็จของการสืบพันธุ์ใกล้เคียงกับผักหวานป่า มีค่า RS = 0.01แต่มีค่า ความส�ำเร็จของการสืบพันธุ์ต�่ำกว่าหวายดง ซึ่งมีค่า RS = 0.033 มะขามป้อม มีค่า RS = 0.392 กฤษณา มีค่า RS = 0.048 และเทพธาโร มีค่า RS = 0.115 และมีค่าความส�ำเร็จของ การสืบพันธุ์สูงกว่าลูกผสมระหว่างกระถินเทพา (Acacia mangium) และกระถินณรงค์ (A. auriculiformis) ซึ่งมีค่า RS = 0.0054 39 ลาน พืชพื้นเมืองของไทย


ลาน มีการสืบพันธุ์โดยอาศัยเพศ การขยายพันธุ์ลานท�ำได้โดยการเพาะเมล็ด เช่น เดียวกับพืชเศรษฐกิจหลายชนิด ที่ยังคงต้องขยายพันธุ์ด้วยเมล็ด ดังนั้นจึงจ�ำเป็นต้องศึกษา ปัจจัยที่มีผลต่อการงอกของเมล็ดพืช โดยปกติเมล็ดพืชที่แก่เต็มที่ จะมีความชื้นต�่ำ ประมาณ ร้อยละ 10 - 15 มีอัตราการหายใจต�่ำ และมีการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีภายในเมล็ดน้อยมาก เมล็ดจึงจ�ำเป็นต้องได้รับปัจจัยที่เหมาะสม จึงจะงอกได้ โดยปัจจัยที่มีผลต่อการงอกของเมล็ด ได้แก่ 1) น�้ำหรือความชื้น เมื่อเมล็ดได้รับน�้ำ เปลือกหุ้มเมล็ดจะอ่อนตัวลง ท�ำให้น�้ำและ ออกซิเจนผ่านเข้าไปในเมล็ดได้มากขึ้น น�้ำจะเป็นตัวกระตุ้นปฏิกิริยาทางชีวเคมีต่างๆ ภายใน เมล็ด น�้ำและสารละลายแพร่เข้าไปในเอ็มบริโอ เพื่อใช้ในการหายใจและการเจริญเติบโต นอกจากนี้ น�้ำยังเป็นตัวท�ำละลายสารอื่นๆ ที่สะสมในเมล็ด และช่วยในการล�ำเลียงสารอาหารไปให้ ตัวอ่อนใช้ในการงอก 2) ออกซิเจน เมล็ดขณะงอกมีอัตราการหายใจสูง ต้องการออกซิเจนไปใช้ใน กระบวนการสลายสารอาหารเพื่อให้ได้พลังงาน ซึ่งจะน�ำไปใช้ในกระบวนการเมแทบอลิซึมต่างๆ ของเซลล์ เมล็ดหลายชนิดจะไม่งอกเลยถ้าออกซิเจนไม่เพียงพอ แม้ความชื้นจะสูง เช่น เมล็ด วัชพืชหลายชนิดที่ฝังอยู่ในดินลึกๆ เมื่อไถพรวนดินให้เมล็ดขึ้นมาอยู่ใกล้ผิวดิน จึงจะงอกได้ 3) อุณหภูมิ เมล็ดพืชแต่ละชนิดต้องการอุณหภูมิที่เหมาะสมในการงอกแตกต่างกัน เช่น เมล็ดพืชเขตหนาวจะงอกได้ดีในช่วงอุณหภูมิ 10 - 20 องศาเซลเซียส บางชนิดต้องการ อุณหภูมิในช่วงกลางวันและกลางคืนที่ต่างกัน หรือให้อุณหภูมิต�่ำสลับกับอุณหภูมิสูง การ งอกจะเกิดดี ENERGY OXYGEN CARBON DIOXIDE WATER LIGHT การขยายพันธุ์ 40 ลาน พืชพื้นเมืองของไทย


4) แสง เป็นปัจจัยหนึ่งที่ควบคุมการงอกของเมล็ด เมล็ดพืชบางชนิดจะงอกได้ ต่อเมื่อมีแสง เช่น วัชพืชต่างๆ หญ้า ยาสูบ ผักกาดหอม สาบเสือ ปอต่างๆ เมล็ดพืชอีกหลายชนิด ไม่ต้องการแสงในขณะงอก เช่น กระเจี๊ยบ แตงกวา ผักบุ้งจีน ฝ้าย ข้าวโพด 5) การพักตัวของเมล็ด พืชบางชนิด เช่น มะม่วง ล�ำไย ขนุน ทุเรียน ระก�ำ เมื่อผลเหล่านี้แก่เต็มที่แล้วน�ำเมล็ดไปเพาะในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ก็จะงอกเป็นต้นใหม่ ได้ แต่บางชนิด เช่น แตงโม เมื่อผลแก่เต็มที่แล้วน�ำเมล็ดไปเพาะ ถึงแม้สภาพแวดล้อมเหมาะสม ต่อการงอก แต่เมล็ดก็ไม่สามารถงอกเป็นต้นใหม่ได้ เรียกว่า มีการพักตัวของเมล็ด (seed dormancy) ซึ่งมีสาเหตุหลายประการ ได้แก่ 1) เปลือกหุ้มเมล็ดไม่ยอมให้น�้ำซึมผ่าน เข้าไปยังส่วนต่างๆ ของเมล็ด เนื่องจาก เปลือกหุ้มเมล็ดหนา หรืออาจมีสารบางชนิดหุ้มอยู่ เช่น คิวทิน หรือซูเบอริน ในธรรมชาติ เมล็ดพืชบางชนิดที่หนาและแข็งจะอ่อนตัวลง โดยการย่อยสลายของจุลินทรีย์ในดิน หรือการที่ เมล็ดผ่านเข้าไปในระบบย่อยอาหารของสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนม หรือนก เช่น เมล็ดโพธิ์ เมล็ดไทร เมล็ดตะขบ หรืออาจแตกออกด้วยแรงขัดถู หรือถูกไฟเผา เช่น เมล็ดพืชวงศ์หญ้า วงศ์ไผ่บางชนิด เมล็ดตะเคียน เมล็ดสัก วิธีการแก้การพักตัวของเมล็ดจากสาเหตุนี้ อาจท�ำได้ โดยการแช่น้าร้อน หรือแช่ในสารละลายกรด เพราะจะท�ำให้เปลือกหุ้มเมล็ดอ่อนนุ่ม การใช้วิธีกล โดยการท�ำให้เปลือกหุ้มเมล็ดแตกออกมีหลายวิธี เช่น การเฉือนเปลือกแข็งบางส่วนของเมล็ด มะม่วง หรือวิธีน�ำไปให้ความร้อนโดยการเผา หรือการใช้ความเย็น สลับกับความร้อน ซึ่งมัก จะเก็บไว้ในที่อุณหภูมิต�่ำระยะหนึ่ง 2) เปลือกหุ้มเมล็ดไม่ยอมให้ก๊าซออกซิเจนแพร่ผ่าน การพักตัวแบบนี้มีน้อย ส่วนใหญ่เป็นพืชวงศ์หญ้า เป็นการพักตัวในระยะสั้นๆ เก็บไว้ระยะหนึ่งก็สามารถน�ำไปเพาะได้ วิธีการแก้การพักตัวอาจท�ำได้โดยการเพิ่มก๊าซออกซิเจน หรือใช้วิธีกล ท�ำให้เปลือกหุ้มเมล็ด แตก 3) เอ็มบริโอของเมล็ดยังไม่เจริญเติบโตเต็มที่ เมล็ดไม่สามารถจะงอกได้ต้องรอ เวลาช่วงหนึ่ง เพื่อให้เอ็มบริโอมีการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมี รวมไปถึงการเจริญ พัฒนาของ เอ็มบริโอให้แก่เต็มที่ เมล็ดจึงจะงอกได้ เช่น เมล็ดของปาล์มน�้ำมันอัฟริกา 41 ลาน พืชพื้นเมืองของไทย


4) สารเคมีบางชนิดยับยั้งการงอกของเมล็ด เช่น สารที่มีลักษณะเป็นเมือกหุ้ม เมล็ดมะเขือเทศ ท�ำไห้เมล็ดไม่สามารถงอกได้จนกว่าจะถูกชะล้างไปจากเมล็ด เมล็ดบางชนิด ไม่ปรากฏว่ามีระยะพักตัวเลย บางชนิดอาจจะมีระยะพักตัวสั้นมาก จนสังเกตไม่ได้ เมล็ดของ พืชเหล่านี้สามารถงอกได้ทันทีเมื่อตกถึงดิน บางชนิดงอกได้ทั้งๆ ที่เมล็ดยังอยู่ในผลหรือบน ล�ำต้น เช่น เมล็ดขนุน เมล็ดโกงกาง เมล็ดมะละกอ เมล็ดมะขามเทศ เป็นต้น ผู้วิจัยทดลองเพาะเมล็ดลาน เพื่อศึกษาอัตราการงอก การพักตัว และวิธีการปฏิบัติ ต่อเมล็ดก่อนเพาะ พบว่าอัตราการงอกของเมล็ดลานป่าที่น�ำมาเพาะทันทีหลังร่วงหล่นมีอัตรา การงอกสูงที่สุด รองลงมาคือ เมล็ดที่เพาะหลังเก็บไว้ 1 เดือน และ 3 เดือน คิดเป็นร้อยละ 87.00, 67.00 และ 62.00 ตามล�ำดับ การเพาะทั้งผลมีอัตราการงอกสูงที่สุด รองลงมา คือ การน�ำเมล็ดแช่น�้ำ และการกระเทาะเปลือกก่อนเพาะ คิดเป็นร้อยละ 87.00, 78.00 และ 56.00 ตามล�ำดับ ส่วนลานพรุที่น�ำมาเพาะหลังจากร่วงหล่น และเก็บไว้นาน 6 เดือน ก่อนน�ำไปเพาะ เมล็ดนั้นไม่มีการงอก แต่เมล็ดค้างปีจากต้นที่ติดผลเมื่อปีก่อน มีอัตราการงอกคิดเป็นร้อยละ 49.75 เมล็ดลานพรุที่แช่น�้ำก่อนเพาะมีอัตราการงอกสูงที่สุด รองลงมา คือ เพาะทั้งผล และ การกระเทาะเปลือกก่อนเพาะ คิดเป็นร้อยละ 48.90, 42.70 และ 8.00 ตามล�ำดับ 42 ลาน พืชพื้นเมืองของไทย


จากผลการศึกษา พบว่าเมล็ดลานป่า มีแนวโน้มที่จะเป็นเมล็ดชนิดที่ไม่สามารถ ลดความชื้นให้ต�่ำมากได้ (recalcitrant seeds) เพราะว่าเมล็ดจะได้รับอันตราย เมล็ดลานป่า จึงมีอายุสั้น ช่วงงอกที่ดีที่สุด 7 - 10 วัน นับตั้งแต่หล่นจากต้น เมื่อรากแทงออกจากเมล็ด หากปล่อยให้สัมผัสอากาศจะไม่สามารถเจริญเติบโตต่อได้ ต้นอ่อนลานจะแทงรากออกมาทาง ด้านปลายผล ใช้เวลา 1 - 2 สัปดาห์ รากจะยาวขึ้นเรื่อยๆ และมียอดแตกออกจากบริเวณราก มีลักษณะแหลมและแข็ง สีเขียว ประมาณ 30 - 45 วัน ยอดอ่อนจะพัฒนาจนโผล่พ้นดิน จากนั้นจะคลี่ออกเป็นใบ ส่วนเมล็ดลานพรุมีช่วงระยะเวลาในการพักตัว ซึ่งสอดคล้องกับพูน ศักดิ์ (2548) ที่รายงานว่า ผลของลานพรุใช้เวลาพักตัวได้เกือบ 10 ปี หากถูกฝังอยู่ใต้ดิน อาจเนื่องมาจากสารเคลือบเมล็ด (seed coat) ที่แข็งและหนา ท�ำให้ความชื้น และออกซิเจน ที่เป็นปัจจัยในการงอกซึมผ่านเข้าไปในเมล็ดได้ยาก ต้นอ่อนยังไม่สมบูรณ์พอ จึงท�ำให้การ งอกเป็นไปได้ช้า 43 ลาน พืชพื้นเมืองของไทย


44 ลาน พืชพื้นเมืองของไทย


Click to View FlipBook Version