การจัดท าคู่มือการใช้ GoogleEarthProส าหรับการวางแปลงตัวอย่างถาวร มีวัตถุประสงค์ เพื่อรวบรวมพัฒนาปรับปรุงองค์ความรู้ที่มีอยู่ในองค์กร ให้เป็นระบบและมีมาตรฐานเดียวกัน ซึ่งเป็นเป้าหมายของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และตรงตามความต้องการของ ผู้รับบริการ หรือผู้มีส่วนได้เสีย เพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ของส่วนราชการ ในปัจจุบัน ขอขอบคุณหัวหน้ากลุ่มงานวิจัยระบบนิเวศป่าไม้และสิ่งแวดล้อม (คุณภาณุมาศ ลาดปาละ) และผู้อ านวยการส านักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช (คุณธัญนรินทร์ ณ นคร) ที่สนับสนุนและ มอบโอกาสให้ผู้เขียนได้จัดท า “คู่มือการใช้ GoogleEarthProส าหรับการวางแปลงตัวอย่างถาวร” ขอขอบคุณ คุณชิงชัย วิริยะบัญชา ที่คอยให้ค าปรึกษาและปรับปรุงเนื้อหาให้มีความสมบูรณ์มากขึ้น คุณขวัญชนก ทองจาด และคุณชรินรัตน์ นาคเกตุ ที่ตรวจทานต้นฉบับ คุณสุวรรณา เขื่อนค า ที่ช่วย ในการออกแบบและจัดท ารูปเล่ม และขอขอบคุณเจ้าหน้าที่และพนักงานทุกท่านที่อ านวยความสะดวก ในด้านต่างๆ ไว้ ณ โอกาสนี้ คู่มือการใช้ Google Earth Proส าหรับการวางแปลงตัวอย่างถาวร เล่มนี้ได้รวบรวมแนวทาง จากการใช้งานจริงในภาคสนาม น ามารวบรวม และจัดท าขึ้นเป็นรูปเล่ม ประกอบด้วยขั้นตอนการ ปฏิบัติงาน ขั้นตอนการเลือกแปลงส ารวจ ขั้นตอนการใช้งานโปรแกรม Google Earth Pro และการขึ้นรูป แปลงตัวอย่าง เอาไว้ด้วยกันเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายสามารถน าไปประยุกต์ใช้ได้ทันทีคณะผู้จัดท า หวังเป็นอย่างยิ่งว่า คู่มือเล่มนี้จะเป็นประโยชน์และสามารถใช้เป็นแนวทางส าหรับการปฏิบัติงาน สามารถ ช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานด าเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นมาตรฐานเดียวกัน หากมีข้อบกพร่อง ประการใดจากคู่มือเล่มนี้ ผู้เขียนขอน้อมรับไว้แต่เพียงผู้เดียว กันยายน 2563 นรินทร์ จรูญรัตนพักตร์ กฤติณ สุดโต
หน้า สารบัญ (1) สารบัญภาพ (2) ค าน า 1 โปรแกรม Google earth และลักษณะโดยทั่วไป 2 การติดตั้งโปรแกรม Google Earth Pro ขั้นตอนการดาวน์โหลดและติดตั้งโปรแกรม Google Earth Pro การตั้งค่าเพื่อการใช้งานโปรแกรม Google Earth Pro การตั้งค่าเพื่อการใช้งาน Offline การใช้เครื่องมือโปรแกรม Google Earth Pro 5 5 6 10 11 การประยุกต์ใช้ Google Earth Pro และ TCX Converter ในการท าระดับความสูงพื้นที่ 19 การประยุกต์ใช้ข้อมูลภาพดาวเทียมในส ารวจและวางแปลงตัวอย่าง การเลือกพื้นที่วางแปลงส ารวจจากข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมรายละเอียดสูง การหาความสัมพันธ์ของแปลงส ารวจมวลชีวภาพกับภาพถ่ายจากดาวเทียม ผลการศึกษาจากกรณีตัวอย่างการวางแปลงถาวรและดัชนีพืชพรรณจาก ภาพถ่ายจากดาวเทียม ข้อเสนอแนะส าหรับการใช้งาน 27 27 33 44 48 เอกสารอ้างอิง 49 ประวัติการศึกษา และการท างาน 51 (1)
หน้า ภาพที่ 1 เว็บไซต์ดาวน์โหลดโปรแกรม Google Earth Pro 5 ภาพที่ 2 ขั้นตอนการดาวน์โหลดและติดตั้งโปรแกรม Google Earth Pro 5 ภาพที่ 3 โปรแกรม Google Earth Pro 6 ภาพที่ 4 หน้าต่างโปรแกรม Google Earth Pro 6 ภาพที่ 5 แสดงปุ่มตัวเลือก 7 ภาพที่ 6 แสดงรายละเอียดในรายการตัวเลือก 7 ภาพที่ 7 แสดงรายละเอียดในรายการเลือกแบบอักษร 8 ภาพที่ 8 แสดงรายละเอียดในรายการเลือกแสดงพิกัดละติจูด/ลองจิจูด 8 ภาพที่ 9 แสดงรายละเอียดในรายการเลือกการตั้งค่าภาษา 9 ภาพที่ 10 แสดงรายละเอียดในรายการเลือกการก าหนดการน าทาง 9 ภาพที่ 11 แสดงรายละเอียดในรายการเลือกการก าหนดหน่วยความจ าสูงสุด 10 ภาพที่ 12 การสร้างรูปหลายเหลี่ยมใหม่ 13 ภาพที่ 13 การวาดรูปหลายเหลี่ยมใหม่ 13 ภาพที่ 14 แสดงแถบคุณสมบัติของชั้นข้อมูล 13 ภาพที่ 15 การแก้ไขรูปหลายเหลี่ยม 14 ภาพที่ 16 แสดงการน าเข้ารูปภาพ 14 ภาพที่ 17 ภาพการน าเข้าภาพ 15 ภาพที่ 18 การน าข้อมูลแผนที่ชุดดินมาซ้อนทับกับพื้นที่ศึกษา 15 ภาพที่ 19 แสดงแถบเวลา 16 (2)
หน้า ภาพที่ 20 ภาพถ่ายหลายช่วงปี ของบริเวณเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาปะช้าง – แหลมขาม อ าเภอเทพา จังหวัดสงขลา 17 ภาพที่ 21 แสดงตัวอย่างพื้นที่ ที่ต้องการสร้างแบบจ าลองความสูงเชิงเลข 19 ภาพที่ 22 การเพิ่มเส้น เพื่อหาค่าแบบจ าลองความสูงเชิงเลขของพื้นที่ 19 ภาพที่ 23 การสร้างจุดเส้นทาง 20 ภาพที่ 24 การบันทึกไฟล์ 20 ภาพที่ 25 โปรแกรม TCX Converter 21 ภาพที่ 26 การน าเข้าไฟล์ 21 ภาพที่ 27 การเพิ่มค่า Altitude 22 ภาพที่ 28 การบันทึกไฟล์ 23 ภาพที่ 29 การส่งออกไฟล์เป็นนามสกุล CSV 23 ภาพที่ 30 โปรแกรมสร้างแบบจ าลองพื้นที่ 3 มิติ 24 ภาพที่ 31 ขั้นตอนการค านวณค่า Grid File 24 ภาพที่ 32 ขั้นตอนการเปิดไฟล์และภาพแสดงความลาดชันของพื้นที่ 25 ภาพที่ 33 ตัวอย่างภาพแสดงจ านวนปริมาณน้ าฝน 26 ภาพที่ 34 การใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ Laptop ในพื้นที่ปฏิบัติงาน 29 ภาพที่ 35 พื้นที่แปลงส ารวจที่มีความหนาแน่นของหมู่ไม้มาก 30 ภาพที่ 36 พื้นที่ที่มีความหนาแน่นของหมู่ไม้ปานกลาง 31 ภาพที่ 37 พื้นที่ที่มีความหนาแน่นของหมู่ไม้น้อย 32 ภาพที่ 38 การก าหนดขอบเขตพื้นที่ศึกษา 33 (3)
หน้า ภาพที่ 39 การวงขอบเขตและการแสดงผลพื้นที่ทั้งหมดบนโปรแกรม QGIS 34 ภาพที่ 40 ลักษณะการมองภาพมุมกว้างและการมองภาพเฉพาะเจาะจง 36 ภาพที่ 41 ข้อมูลที่ได้จากภาพถ่ายจากดาวเทียม 37 ภาพที่ 42 ความหนาแน่นของเรือนยอดจากมุมมองบนฟ้า 38 ภาพที่ 43 ความละเอียดของจุดภาพในดาวเทียมแต่ละดวง 39 ภาพที่ 44 การฟื้นตัวของป่า 40 ภาพที่ 45 แปลงส ารวจขนาด บนภาพถ่ายจากดาวเทียมรายละเอียดสูง 41 ภาพที่ 46 ลักษณะการวางแปลงส ารวจ 42 ภาพที่ 47 ลักษณะการวางตัวของแปลงส ารวจ เทียบกับจุดภาพของภาพถ่ายจากดาวเทียม 43 ภาพที่ 48 ค่า R-Square ของป่าแต่ละชนิด 45 ภาพที่ 49 ความสัมพันธ์ระหว่างป่าผลัดใบและป่าไม่ผลัดใบ จ านวน 66 แปลง 46 (4)
การประเมินการกักเก็บคาร์บอนและการตรวจวัดการสูญเสียคาร์บอนเหนือพื้นดินของ ภาคป่าไม้ ถือได้ว่ามีความส าคัญอย่างยิ่งที่ต้องท าการศึกษาวิจัย หลังจากที่ประเทศไทยได้ลงนามใน พิธีสารเกียวโต (Kyoto protocol) ซึ่งได้มีการยอมรับเอาเรื่องการใช้ประโยชน์ที่ดิน (Land Use) การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดิน (Land-Use Change) และป่าไม้ (Forest) เป็นส่วนหนึ่งของ การพิจารณา เพื่อให้เกิดการลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในโลกให้มากขึ้น ซึ่งการประเมิน การกักเก็บคาร์บอนและการสูญเสียคาร์บอนของป่าธรรมชาตินับเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ปัจจุบันหลาย องค์กรได้น าเทคโนโลยีการส ารวจระยะไกล (Remote sensing) เข้ามาช่วยในการประเมินพื้นที่ เนื่องจากข้อมูลภาพถ่ายจากดาวเทียมสามารถตรวจวัดค่าการสะท้อนแสงของสิ่งปกคลุมดินในช่วง คลื่นที่แตกต่างกัน สามารถประยุกต์ใช้ในการประเมินค่าการกักเก็บคาร์บอนและการสูญเสีย คาร์บอนเหนือพื้นที่ดินในพื้นที่ป่าไม้ ที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่และกว้างขวางได้อย่างรวดเร็ว และใช้ งบประมาณน้อยลง “คู่มือการใช้ Google Earth Pro ส าหรับการวางแปลงตัวอย่างถาวร” เล่มนี้ ได้ท าการ รวบรวมขั้นตอนการติดตั้งโปรแกรม และการใช้งาน Google Earth Proเบื้องต้น เพื่อน าไปประยุกต์ ใช้กับงานด้านการวางแปลงตัวอย่างถาวร หรือแปลงส ารวจทรัพยากรป่าไม้ รวมไปถึงการ ประยุกต์ใช้ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมเพื่อใช้ประเมินมวลชีวภาพเหนือพื้นดินในพื้นที่ป่าไม้ และ สามารถน าไปพัฒนาและประยุกต์ใช้กับงานวิจัยด้านต่างๆ ให้มีความรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ เพิ่มมากยิ่งขึ้น - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - 1
นอกจากนั้นก็น าเอาข้อมูลอื่นๆ มาซ้อนทับกับ ภาพถ่ายเหล่านี้อีกชั้นหนึ่ง ซึ่งแต่ละชั้นเลเยอร์ (Layer) ก็จะแสดงรายละเอียดส่วนต่างๆ เช่น ที่ตั้งสถานีต ารวจ โรงเรียน สนามบิน สถานที่ ราชการ และชั้นข้อมูลอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งแบบที่ บริษัท Google เตรียมไว้ให้ หรือมีบริษัทอื่นๆ เพิ่มเติมเข้ามา รวมทั้งสามารถรวมชั้นข้อมูลที่ ผู้ใช้งานสามารถก าหนดขึ้นเองได้ ซึ่งเครื่องมือ ที่สามารถใช้งานตามดังกล่าวได้คือ XML (Extensible Markup Language) ซึ่งบริษัท Google ได้มีการก าหนดคุณสมบัติพิเศษขึ้นมา เรียกว่า KML (Keyhole Markup Language) ซึ่งใช้ในการสร้างชั้นข้อมูลต่างๆ การแสดง ข้อมูลในรูปแบบ จุด เส้น หรือรูปหลายเหลี่ยม ต่างๆ ที่สร้างมากจาก KML ทั้งสิ้น ในปัจจุบันมี เวอร์ชัน KML.2.3.ส่วนรูปแบบการจัดเก็บแบบ ประหยัดเนื้อที่ เรียกว่า KMZ.ซึ่งก็คือ zip format ของ KML กูเกิลเอิร์ธ (Google Earth) นับเป็น รูปแบบหนึ่งของผลิตภัณฑ์ในชื่อ ของบริษัท Google ที่ถูกออกแบบมาให้ติดต่อกับผู้ใช้งาน เพื่ออ านวยความสะดวกในการสืบค้นข้อมูล และท าให้การแสดงผลข้อมูลมีประสิทธิภาพมาก ยิ่งขึ้น โดยบริษัท Google ได้น าภาพถ่ายทาง อากาศและภาพถ่ายจากดาวเทียมรายละเอียด สูงมาผสมผสานกับเทคโนโลยี Streaming และ ท าการเชื่อมโยงข้อมูลจากฐานข้อมูลของบริษัท Google เพื่อน าผู้ใช้งานไปยังส่วนต่างๆ ที่อยู่ บนโลกใบนี้ในรูปแบบของแผนที่ดิจิตอล ซึ่งแผนที่ เกิดจากการผสมผสานภาพถ่ายจากแหล่งข้อมูลที่ หลากหลาย จากดาวเทียมหลายดวง น ามา ประกอบกันให้เสมือนว่าเป็นผืนเดียวกัน ซึ่งแต่ ละจุด แต่ละพื้นที่ก็จะมีรายละเอียดของจุดภาพที่ ไม่เท่ากัน แต่จากความสามารถของระบบจาก บริษัท Google ซึ่งสามารถประมวลผลภาพถ่าย ท าให้ผู้ใช้งานรู้สึกว่าเป็นภาพผืนเดียวกัน แหล่งข้อมูล : ai-no-tsubasa 2
โปรแกรมกูเกิลเอิร์ธ (Google Earth) เป็นโปรแกรมที่พัฒนาและผลิตขึ้นโดยบริษัท Google เพื่อใช้ส าหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วน บุคคล หรือในโทรศัพท์มือถือ โดยมีการแสดง ภาพถ่ายจากดาวเทียมที่มีรายละเอียดสูง ที่สามารถ บ่งชี้ให้เห็นรายละเอียดต่างๆ เช่น เส้นทาง คมนาคม ต าแหน่งที่ตั้งของสถานที่ สภาพภูมิ ประเทศ อาคารต่างๆ ในลักษณะของภาพ 3 มิติ รวมทั้งเป็นโปรแกรมที่ให้บริการภาพถ่าย จากดาวเทียมที่มีรายละเอียดสูงจากทั่วโลก เพื่อให้บริการแก่สาธารณะชน โดยสามารถ แสดงสถานที่ต่างๆ ได้อย่างชัดเจนรวมทั้ง สถานที่ส าคัญทางยุทธศาสตร์ต่างๆ เช่น ค่าย ทหาร สนามบินทหาร รวมถึงพระราชวัง ผู้ใช้งานสามารถมองเห็นภาพถ่ายจากดาวเทียม รายละเอียดสูง ที่ครอบคลุมพื้นที่ในระดับโลก ทั้งใบ ระดับทวีป ระดับประเทศ ระดับจังหวัด จนถึงระดับพื้นที่ขนาดเล็ก เช่น หลังคาบ้านได้ ซึ่งโปรแกรมกูเกิลเอิร์ธ จะเป็นการท างานแบบ Online จ าเป็นต้องมีก า รใช้ง าน Internet ในขณะใช้งาน แต่ทั้งนี้ด้วยความสามารถของ ระบบคอมพิวเตอร์ ด้วยโปรแกรมสามารถ บันทึกข้อมูลของสถานที่ที่เคยรับชมไว้ได้ บางส่วน หรือที่เรียกว่าการบันทึกข้อมูลใน แคสเมมโมรี่ (Cache memory) เพื่ออ านวย ความสะดวกแก่ผู้ใช้งาน เมื่อเวลามีการเรียกดู ข้อมูลบริเวณพื้นที่เดิมซึ่งข้อมูลทั้งหมดเป็น ข้อมูลจากดาวเทียมรายละเอียดสูงที่ให้บริการฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ในส่วนความถูกต้องทางต าแหน่ง ของข้อมูลที่ได้จากโปรแกรม Google Earth นั้นอยู่ในความถูกต้องตั้งแต่ 0-12 ฟุต ที่ใน ระยะทาง 1000 ฟุต ในพื้นที่เขตเมือง และจาก ข้อมูลที่ได้จากระบบในปี 2015 และ 2017 (Harrington, 2017) ซึ่งในพื้นที่ป่าไม้อาจจะมี ความคลาดเคลื่อนทางต าแหน่งมากกว่านี้เมื่อ น ามาประยุกต์ใช้งานในภาคสนาม 3
โปรแกรมกูเกิลเอิร์ธ (Google Earth) นั้นมีหลายรุ่น (Version) แต่ที่นิยมใช้ในงานด้าน ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ หรือด้านงานแผนที่ ที่แต่เดิมก่อน ปีพ.ศ. 2553 (ค.ศ. 2015) มีอยู่ 2 Version คือ กูเกิลเอิร์ธพลัส (Google Earth Plus) และ กูเกิลเอิร์ธโปร (Google Earth Pro) ซึ่งปัจจุบัน (พ.ศ. 2563) มีใช้อยู่เพียง กูเกิลเอิร์ธโปร (Google Earth Pro) เท่านั้น โดยมีรายละเอียด ของโปรแกรม ดังนี้ กูเกิลเอิร์ธพลัส (Google Earth Plus) ได้เพิ่มความสามารถในการท างานร่วมกับ GPS โดยได้รับการสนับสนุนโดยตรงจาก Garmin และ Magellan ซึ่งเป็นค่าย ยักษ์ใหญ่ในธุรกิจ GPS กูเกิลเอิร์ธพลัส ถูกยกเลิก เดือนธันวาคม ปี 2551 และ รวบรวมความสามารถของกูเกิลเอิร์ธพลัส ไว้ในกูเกิลเอิร์ธ เวอร์ชั่นฟรี กูเกิลเอิร์ธโปร (Google Earth Pro) ก่อนเดือนมกราคม พ.ศ. 2553 (ค.ศ. 2015) ต้องจ่ายเงินในราคา 399 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อปี ส าหรับการใช้งาน กูเกิลเอิร์ธโปร เป็นเวอร์ชั่น ที่มุ่งเน้นให้มีความสามารถมากกว่า กูเกิลเอิร์ธพลัส เช่น สามารถวัด หาค่าของ รัศมี พื้นที่ และ ความสูง แบบสามมิติได้ สามารถบันทึกวิดีโอได้ พิมพ์ ภาพแบบคุณภาพสูงส าหรับน าเสนองาน รวมทั้งสามารถใช้ข้อมูลในรูปแบบแผนที่ ที่มีระบบพิกัดได้ ซึ่งเป็นรุ่นที่สามารถใช้ส าหรับงานการส ารวจรังวัดพื้นที่ได้ และ ตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. 2553 (ค.ศ. 2015) ได้เปิดให้ใช้บริการฟรี ท าให้การใช้ งานภาพถ่ายจากดาวเทียมรายละเอียดสูง เป็นที่แพร่หลายมากยิ่งขึ้น 1. 2. 4
ภาพที่ 2 ขั้นตอนการดาวน์โหลดและติดตั้งโปรแกรม Google Earth Pro ภาพที่ 1 เว็บไซต์ดาวน์โหลดโปรแกรม Google Earth Pro ขั้นตอนการดาวน์โหลดโปรแกรมที่จะน ามาติดตั้งสามารถเข้าไปที่เว็บไซต์ Google ที่ช่องค้นหา พิมพ์ว่า Google Earth Pro เข้าไปที่เว็บไซต์ https://www.google.co.th/intl/th/earth/download/gep/agree.html แสดงดังภาพที่ 1 เมื่อเข้ามาในเว็บไซต์ให้กดที่ “ยอมรับและดาวน์โหลด” เพื่อเป็นการดาวน์โหลด โปรแกรมมาติดตั้งบนเครื่องคอมพิวเตอร์ จะมีแถบเครื่องมือด้านล่างแสดงการดาวน์โหลดขึ้นมา เมื่อดาวน์โหลดเสร็จให้กด “ติดตั้งโปรแกรม” แสดงดังภาพที่ 2 1. ขั้นตอนการดาวน์โหลดและติดตั้งโปรแกรม Google Earth Pro 5
เมื่อเปิดโปรแกรม จะพบหน้าต่างของโปรแกรม เป็นรูปโลกที่มีพื้นหลังสีด า และมีตัวหนังสือ สีขาว เขียนค าว่า Google Earth ซึ่งเป็น version ในปีพ.ศ. 2563 (ค.ศ. 2020) แสดงดังภาพที่ 3 ภาพที่ 3 โปรแกรม Google Earth Pro เมื่อเข้าสู่โปรแกรมจะพบหน้าต่างของโปรแกรมที่แสดงแผนที่บนโลก เราสามารถย่อขยาย เพื่อดูพื้นที่ต่างๆ ที่อยู่ทุกมุมโลก ได้ตามต้องการ แสดงดังภาพที่ 4 ภาพที่ 4 หน้าต่างโปรแกรม Google Earth Pro แถบเมนูด้านบน ประกอบด้วย แถบไฟล์ แถบแก้ไข แถบมุมมอง แถบเครื่องมือ แถบเพิ่ม และแถบความช่วยเหลือ แถบเครื่องมือด้านขวาบน จะประกอบด้วยเครื่องมือ ย่อ ขยาย เลื่อนภาพ และปรับทิศเข็มทิศ 2.1 2.2 2. การตั้งค่าเพื่อการใช้งานโปรแกรม Google Earth Pro 6
เพื่อให้การท างานมีความสะดวกรวดเร็วขึ้น ควรมีการตั้งค่าต่างๆ เพื่ออ านวย ความสะดวกต่อการใช้งาน โดยไปที่แถบเมนู แล้วเลือกแถบเครื่องมือ ตัวเลือก แสดงดังภาพที่ 5 2.3 ภาพที่ 5 แสดงปุ่มตัวเลือก ในแถบตัวเลือก Google Earth Pro จะพบกับแถบ มุมมอง 3D แคชการเดินทางการน าทาง และทั่วไป แสดงดังภาพที่ 6 โดยให้ก าหนดค่าต่างๆ ดังนี้ ภาพที่ 6 แสดงรายละเอียดใน รายการตัวเลือก 7
ภาพที่ 7 แสดงรายละเอียดในรายการเลือกแบบอักษร 2.3.1 การตั้งค่าแบบอักษร 3 มิติ ในแถบแบบอักษร ให้เลือกแบบอักษร 3 มิติ เลือกแบบอักษรตามความพึงพอใจของ ผู้ใช้งาน ในที่นี้เลือกใช้แบบอักษร Angsana New ขนาดอักษร 14 แสดงดังภาพที่ 7 2.3.2 การตั้งค่าการแสดงผลของระบบพิกัด ในแถบแสดงละติจูดและลองจิจูด โดยทั่วไปให้เลือกแถบพิกัดกริด(Universal Transverse Mercator: UTM) เป็นระบบที่ปรับมาจากระบบเส้นโครงแผนที่แบบทรานสเวิร์สเมอร์เคเตอร์เพื่อ เป็นการรักษารูปร่างโดยใช้ทรงกระบอกตัดลูกโลกระหว่างละติจูด 84 องศาเหนือ -..80 องศาใต้ โดย มีรัศมีทรงกระบอก สั้นกว่ารัศมีของลูกโลก ผิวทรงกระบอก จะผ่านเข้าไปตามแนวเมริเดียน ของโซน 2 แนว คือ ตัดเข้ากับตัดออก เรียกลักษณะนี้ว่า เส้นตัด (Secant) ท าให้ความถูกต้อง มีมากขึ้นโดยเฉพาะบริเวณสองข้างเมริเดียนกลาง ซึ่งจะแสดงค่าโซน ค่าพิกัดเป็น เหนือ และตะวันออก แสดงดังภาพที่ 8 ภาพที่ 8 แสดงรายละเอียดใน รายการเลือกแสดงละติจูด/ลองจิจูด 8
ภาพที่ 10 แสดงรายละเอียดในรายการเลือกการก าหนดการน าทาง ภาพที่ 9 แสดงรายละเอียดในรายการเลือกการตั้งค่าภาษา 2.3.3 การตั้งค่าภาษา เพื่อให้โปรแกรมสามารถแสดงตัวหนังสือเป็นภาษาไทยได้อย่างถูกต้อง ให้ไปที่ แถบเครื่องมือทั่วไป > การตั้งค่าภาษา > เลือกภาษาไทย แสดงดังภาพที่ 9 2.3.4 การยกเลิกการเอียงของภาพ ในมุมมอง 3 มิติ การยกเลิกการเอียงของภาพ ในมุมมอง 3 มิติ ให้เลือกในแถบการน าทาง เลือก ไม่ต้องเอียงอัตโนมัติขณะย่อ / ขยาย แสดงดังภาพที่ 10 เพื่อให้มุมมองเป็นการมองจาก ด้านบนลงมาในแนวตั้งฉาก ไม่เป็นการมองมุมเฉียง ซึ่งการมองมุมเฉียงนั้น จะมี ประโยชน์ส าหรับการมองภาพสามมิติที่มีทรวดทรง 9
ภาพที่ 11 แสดงรายละเอียดในรายการเลือกการก าหนดหน่วยความจ าสูงสุด 3. การตั้งค่าเพื่อการใช้งาน Offline เพื่อให้ระบบสามารถท างานได้โดย ไม่ติดขัดเมื่อไม่มีสัญญาณ Internet หรือเมื่อ ต้องการใช้โปรแกรมในขณะที่ไม่มี Internet นั้น โปรแกรม Google Earth Proจะมีความสามารถ ในการจดจ าข้อมูลตามที่ผู้ใช้เคยเข้าไปดูพื้นที่ เดิมของผู้ใช้ได้ ซึ่งโปรแกรมจะเก็บข้อมูลไว้ใน หน่วยความจ าเครื่องที่ใช้งาน แสดงดังภาพที่ 11 แสดงให้เห็นว่าโปรแกรม Google Earth Pro ที่ใช้งานบนเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องดังกล่าว มีขนาดหน่วยความจ าแคช 1024 MB และมี ขนาดของดิสก์แคช 2048 MB ซึ่งขนาดของแคช ขึ้นอยู่กับความสามารถของเครื่องคอมพิวเตอร์ ที่ลงโปรแกรม GoogleEarthProเอาไว้ แต่ระบบ จะมีความสามารถยิ่งขึ้น ถ้าเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือ Laptop ที่ใช้งานอยู่มีเครื่องรับสัญญาณ GPS ในตัวเอง หรือสามารถเชื่อมโยงกับ GPS ภายนอกได้ ตัวโปรแกรม Google Earth Pro ก็จะแสดงผลแบบ Real Time กล่าวคือ สามารถ แสดงต าแหน่งปัจจุบันขณะที่ผู้ใช้งานอยู่ พร้อมกับ แผนที่รายละเอียดสูงใช้เป็นฉากหลังได้ทันที และผู้ใช้งานสามารถบันทึกค่าพิกัด พร้อมกับ วางรูปแปลงในคราวเดียวกัน 10
4. การใช้เครื่องมือโปรแกรม Google Earth Pro 1. แถบเมนู เป็นเครื่องมือหลักในการจัดท าข้อมูล ประกอบไปด้วย 1.1 ไฟล์ ใช้ในการจัดการข้อมูลไฟล์งาน เช่น เปิดข้อมูล บันทึกข้อมูล ย้อนกลับ เป็นต้น 1.2 แก้ไข ใช้ในการแก้ไขข้อมูล และการแสดงผล เช่น ตัด คัดลอก เป็นต้น 1.3 มุมมอง ใช้ในการก าหนดการแสดงผล เช่น แถบเครื่องมือ แถบด้านข้าง เป็นต้น 1.4 เครื่องมือ ใช้ในการตั้งค่าการแสดงผลของแผนที่ เช่น ไม้บรรทัด ตาราง เป็นต้น 1.5 เพิ่ม ใช้ในการเพิ่มชั้นข้อมูล เช่น โฟลเดอร์ เส้นทาง เป็นต้น 1.6 ความช่วยเหลือ เป็นคู่มือใช้ในการช่วยเหลือเวลามีข้อสงสัยในตัวโปรแกรม 2. ค้นหาสถานที่และต าแหน่ง สามารถใช้ในการค้นหาสถานที่หรือต าแหน่ง ต่างๆ ที่ต้องการ โดยการพิมพ์ชื่อสถานที่ที่ต้องการ ลงไปในช่องค้นหา แล้วกด “ค้นหา” โปรแกรมจะ ค้นหาสถานที่ที่ต้องการให้ 11
3. แถบการสร้างข้อมูล เป็นแถบเครื่องมือที่ใช้ในการสร้างและจัดการข้อมูลต่างๆ ประกอบด้วย เป็นเครื่องมือซ่อนแถบด้านข้าง แถบค้นหา และรายการสถานที่ เป็นเครื่องมือส าหรับการเพิ่มหมุดของสถานที่ต่างๆ โดยสามารถตั้งชื่อสถานที่ ที่ต้องการโดยพิมพ์ที่ช่อง : ชื่อ และสามารถแก้ไขสัญลักษณ์ที่ต้องการได้โดยการกดเข้า ไปที่ ซึ่งถือว่าเป็นเครื่องมือที่มีความส าคัญมากต่อผู้ใช้งาน ใช้ส าหรับก ากับ สถานที่ที่เราเคยไป หรือต้องการบอกต าแหน่งในแผนที่ เพื่อให้ทราบว่าต าแหน่งพิกัด ดังกล่าวคืออะไร 3.1 3.2 เป็นเครื่องมือส าหรับการสร้างรูปหลายเหลี่ยม เป็นพื้นที่หรือเส้นก็ได้ โดยไปที่ ผู้ใช้งานสามารถก าหนดชื่อชั้นข้อมูลใหม่ได้ตามต้องการ โดยแก้ไขในช่อง ชื่อฟีเจอร์ที่ ก าลังแก้ไข และยังสามารถก าหนดให้มีค าอธิบาย ลักษณะ และสีได้ แสดงดังภาพที่ 12 ได้ก าหนดให้เส้น มีสีเหลือง ความกว้าง 2.0 ความทึบ 100 % และก าหนดให้พื้นที่มี สีขาว และมีความทึบ 0 % : ในกรณีนี้ ถ้าก าหนดความทึบเป็น 100 % จะมีลักษณะ เหมือนการลงสีในพื้นที่รูปปิด ซึ่งจะมองไม่เห็นพื้นที่ภายใน เมื่อก าหนดค่าแบบนี้แล้ว จะสามารถวาดรูปหลายเหลี่ยมแบบปิดได้ โดยจะแสดงเฉพาะเส้นขอบ ไม่มีการลงสี ภาพในพื้นที่ที่ท าการวาด 3.3 12
ภาพที่ 13 การวาดรูปหลายเหลี่ยมใหม่ ภาพที่ 12 การสร้างรูปหลายเหลี่ยมใหม่ จากนั้น ผู้ใช้งานสามารถเริ่มวาดได้ โดยห้ามปิดหน้าต่าง การสร้างรูปหลายเหลี่ยมให้ใช้วิธีการ คลิกซ้ายบริเวณหน้าต่างของโปรแกรม Google Earth Pro แสดงดังภาพที่ 13 เมื่อครอบคลุมตาม ต้องการ ให้กดปุ่ม “ตกลง”เพื่อการบันทึก โปรแกรมจะท าการบันทึก และปรากฏข้อมูล ในบริเวณ “สถานที่ของฉัน”เฉพาะบนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ท าการสร้างเท่านั้น การแก้ไขรูปหลายเหลี่ยม ท าได้โดยการคลิก ขวาที่ชั้นข้อมูลที่สร้างขึ้น แสดงดังภาพที่ 14 จะปรากฏ หน้าต่างขึ้นมา ให้เลือกที่คุณสมบัติ จะปรากฏหน้าต่าง แก้ไขรูปหลายเหลี่ยม แสดงดังภาพที่ 15 และในเส้นรอบ รูปของชั้นข้อมูลที่เลือกอยู่จะปรากฏจุดสีแดง หรือจุดหัก ของเส้น (Node) ปรากฏอยู่ ซึ่งสามารถเพิ่ม ลดจุด ดังกล่าวได้ เมื่อเสร็จสิ้นแล้ว ให้กดปุ่ม “ตกลง” เพื่อท า การบันทึก ภาพที่ 14 แสดงแถบคุณสมบัติของชั้นข้อมูล 13
ภาพที่ 15 การแก้ไขรูปหลายเหลี่ยม 3.4 เป็นเครื่องมือในการในการเพิ่มเส้นทางในแผนที่ 3.5 เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการน าเข้าข้อมูลรูปภาพ ซึ่งจะน ามาวางซ้อนบนแผนที่ โดย กดเข้าไปที่ ซึ่งสามารถน าเข้ารูปได้ทั้งในรูปแบบไฟล์ที่อยู่ในเครื่อง คอมพิวเตอร์ (ข้อ 1) หรืออาจจะน าเข้าผ่านทางเว็บไซต์หรือผ่านลิงค์ (ข้อ 2) แสดงดังภาพที่ 16 14 ภาพที่ 16 แสดงการน าเข้ารูปภาพ
ภาพที่ 18 การน าข้อมูลแผนที่ชุดดินมา ซ้อนทับกับพื้นที่ศึกษา ภาพที่ 17 ภาพการน าเข้ารูปภาพ เมื่อน าไฟล์รูปภาพเข้ามาใน Google Earth Pro แล้วสามารถขยับภาพ ย่อ ขยาย หรือขยับต าแหน่งของรูปภาพ เพื่อให้ซ้อนทับหรือให้ภาพไปอยู่ในต าแหน่งยังบริเวณที่ ต้องการได้ สามารถเพิ่ม ชื่อรูปภาพ ค าอธิบายรูปภาพ การก าหนดความโปรงแสง มุมมอง หรือ ระดับความสูง เป็นต้น แสดงดังภาพที่ 17 15 จากวิธีการน าเข้าภาพดังกล่าวสามารถน ามาประยุกต์ใช้ในงานด้านป่าไม้ได้ เช่น การน าพื้นที่ป้าไม้มาซ้อนทับกับข้อมูลแผนที่ชุดดินหรือแผนที่ภูมิประเทศ ตัวอย่างเช่น การน าข้อมูลแผนที่ชุดดินมาวางทับพื้นที่บริเวณวนอุทยานนครไชยบวร เพื่อหาเหตุผล ประกอบการตายของไม้ยางนา แสดงดังภาพที่ 18
3.6 เป็นเครื่องมือส าหรับบันทึกการเดินทาง 3.7 เป็นเครื่องมือที่ใช้ดูภาพย้อนหลังในอดีต ความสามารถของโปรแกรม Google Earth Pro ที่น่าสนใจอย่างหนึ่งซึ่งมีประโยชน์มาก คือการ ดูภาพย้อนหลัง หรือการดูภาพในอดีต ซึ่งเป็นภาพที่มีรายละเอียดสูง โดยแถบด้านบนของโปรแกรมชื่อ ว่าแถบแสดงภาพเชิงประวัติศาสตร์ ซึ่งสามารถเลื่อนเลือกช่วงเวลาได้ โดยการกดที่ปุ่ม เพื่อดูข้อมูล ย้อนหลัง และปุ่ม เพื่อดูข้อมูลปีก่อนหน้า แสดงดังภาพที่ 19 ซึ่งภาพในอดีตของแต่ละพื้นที่จะมี จ านวนไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับการปรับปรุงข้อมูลของทางบริษัท Googleจากการใช้งานพบว่าการปรับปรุง ข้อมูลภาพในพื้นที่เมือง จะมีมากกว่าพื้นที่ป่าไม้ นอกจากนี้ยังสามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ แสดงดังภาพที่ 20การเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ดินงอกบริเวณเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาปะช้าง-แหลมขาม จากภาพดังกล่าวจะเห็นแปลงตัวอย่าง (กรอบสีแดง) ในปี 2545 ยังอยู่ในน้ าทะเล และในปีต่อๆมา เริ่มมี การงอกของดินจนถึงปัจจุบันมีต้นไม้เจริญเติบโตขึ้นมา จะเห็นได้ว่าสามารถน าข้อมูลภาพย้อนหลังใน อดีตมาใช้ประโยชน์ในการติดตามการเปลี่ยนแปลงและใช้ในการด าเนินคดีได้ ภาพที่ 19 แสดงแถบเวลา 16
17 ภาพที่ 20 ภาพถ่ายหลายช่วงปี ของบริเวณเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาปะช้าง – แหลมขาม อ าเภอเทพา จังหวัดสงขลา
3.8 เป็นเครื่องมือแสดงอาทิตย์ ตามช่วงวันเวลาต่างๆ 3.9 เป็นเครื่องมือที่ใช้เลือกดวงดาวที่จะใช้ในการแสดงข้อมูล 3.10 เป็นเครื่องมือไว้ใช้วัดระยะทางต่างๆ ระหว่างจุดที่สนใจโดยมีให้เลือกการวัดระยะทาง หลายรูปแบบ สามารถเลือกได้โดยเข้าไปที่ แล้วท าการเลือกรูปแบบที่เราต้องการ หน่วยของการวัด แล้วท าการคลิกซ้ายที่เมาส์ จุดที่ต้องการท าการวัดระยะทาง 3.11 เป็นเครื่องมือส่งออกข้อมูลทาง E-mail 3.12 เป็นเครื่องมือส าหรับใช้พิมพ์แผนที่ 3.13 เป็นเครื่องมือส าหรับการบันทึกภาพ 3.14 เป็นเครื่องมือที่ใช้ลิงค์ดู Google Map 3.15 เป็นการดูข้อมูลพื้นที่ของ Google Earth Pro ผ่าน Website 4. แถบแสดงวันที่บันทึกภาพ พิกัด ความสูง และความสูงระดับสายตาของพื้นที่นั้นๆ 18
ภาพที่ 22 การเพิ่มเส้น เพื่อหาค่าแบบจ าลองความสูงเชิงเลขของพื้นที่ ภาพที่ 21 แสดงตัวอย่างพื้นที่ ที่ต้องการสร้างแบบจ าลองความสูงเชิงเลข การจัดท าความสูงของพื้นที่ที่ต้องการด้วยโปรแกรม Google Earth Proเป็นการจัดท า แบบจ าลองระดับสูงเชิงเลข (Digital Elevation Model : DEM) ได้ด้วยตัวเองด้วยวิธีการง่ายๆ ดังนี้ 1. เปิดโปรแกรม GoogleEarthProขึ้นมา ไปยังสถานที่ที่ต้องการท าแบบจ าลอง ความสูงเชิงเลข แสดงดังภาพที่ 21 2. ไปที่แถบเครื่องมือ เพิ่มเส้นทาง จะปรากฏกล่องเครื่องมือ ให้ตั้งชื่อ ขนาดของเส้น สีตามที่ต้องการ เสร็จแล้ว ยังไม่ต้อง “ตกลง” แสดงดังภาพที่ 22 19
ภาพที่ 24 การบันทึกไฟล์ ภาพที่ 23 การสร้างจุดเส้นทาง 3. จากนั้นท าการก าหนดจุดเส้นทาง ซึ่งในแต่ละจุดที่เราท าการก าหนดจะมีพิกัดของจุดนั้นๆ เพื่อใช้ในการสร้างชั้นความสูงของข้อมูล ดังนั้นเราควรก าหนดจุดให้มีความละเอียดเพื่อความแม่นย าใน การสร้างข้อมูลสูงขึ้น เมื่อสร้างจุดเส้นทางเสร็จแล้วให้ กดที่ “ตกลง”แสดงดังภาพที่ 23 4. ไปที่แถบเมนู ไฟล์ > บันทึก > บันทึกสถานที่เป็น ที่ช่อง Save as Type ให้เลือกเป็นไฟล์ นามสกุล KML แล้วตั้งชื่อตามที่ต้องการแล้วกด “Save” แสดงดังภาพที่ 24 20
ภาพที่ 26 การน าเข้าไฟล์ 5. ท าการแปลงไฟล์ให้เป็นไฟล์ Excel โดยใช้โปรแกรมช่วยแปลงไฟล์ TCX Converter โดยการ เข้าไปโหลดโปรแกรมใน Google พิมพ์ค้นหาค าว่า TCX..Converter แล้วเข้าไปที่เว็บไซด์ https://tcx-converter.software.informer.com/2.0/ ท าการดาวน์โหลดและติดตั้ง จะได้โปรแกรม ตามแสดงดังภาพที่ 25 ภาพที่ 25 โปรแกรม TCX Converter 6. น าเข้าไฟล์ที่ต้องการไปที่ OPEN FILE เลือกไฟล์ที่ต้องการแล้วกดที่ Open แสดงดังภาพที่ 26 21
ภาพที่ 27 การเพิ่มค่า Altitude 7. เมื่อน าเข้าข้อมูลมาจะสังเกตได้ว่าข้อมูลที่น าเข้ามามีค่า Latitude, Longitude แต่ยังขาด ค่า Altitude ซึ่งในการท าระดับความสูงจ าเป็นต้องใช้ค่าดังกล่าว โดยการเข้าไปที่ เมนู Track Modify > Update Altitude จะมีกล่องข้อความขึ้นมากด Yes จะได้ค่า Altitude แสดงดังภาพที่ 27 22
ภาพที่ 29 การส่งออกไฟล์เป็นนามสกุล CSV ภาพที่ 28 การบันทึกไฟล์ 8. ท าการส่งออกไฟล์เพื่อน าไปประยุกต์ใช้กับโปรแกรมอื่นๆ โดยไปที่ Save CSV File ตั้งชื่อ ไฟล์ที่ต้องการแล้วกด Save แสดงดังภาพที่ 28 9. เปิดไฟล์ดังกล่าวขึ้นมาที่ Excelลบคอลัมน์ที่ไม่จ าเป็นออก ให้เหลือแต่คอลัมน์ Easting Northing และ Altitude ท าการส่งออกไฟล์เป็นนามสกุล CSV แสดงดังภาพที่ 29 23
ภาพที่ 31 ขั้นตอนการค านวณค่า Grid File ภาพที่ 30 โปรแกรมสร้างแบบจ าลองพื้นที่ 3 มิติ 10. ในการท าระดับความลาดชันของพื้นที่นั้น จะใช้โปรแกรมสร้างแบบจ าลองพื้นที่ 3 มิติ สามารถพิมพ์ค้นหาจาก Googleและดาวน์โหลดมาใช้งานซึ่งจะเป็นตัวทดลองใช้งาน เมื่อดาวน์โหลด และติดตั้งเสร็จจะได้โปรแกรม แสดงดังภาพที่ 30 11. การท าความลาดชันของพื้นที่ ไปที่เมนู Grid เลือกค าสั่ง Data ท าการเปิดไฟล์ CSV ที่ Save ในข้อที่ 9 จะมีกล่องเครื่องมือ Grid Data ขึ้นมากด OK โปรแกรมจะการคิดค านวณ Grid File เพื่อใช้ในการสร้างรูป แสดงดังภาพที่ 31 24
ภาพที่ 32 ขั้นตอนการเปิดไฟล์และภาพแสดงความลาดชันของพื้นที่ 12. ท าการสร้างภาพแผนที่ความลาดชันขึ้นได้โดยไปที่ แถบเมนู Map > New > 3D Surface เปิดไฟล์ Grid ที่ท าการ Save ในข้อ 11 ขึ้นมา จะได้ภาพ Slop แสดงดังภาพที่ 32 25
จากวิธีการน าเข้าข้อมูลความลาดชันดังกล่าวถ้ามีข้อมูลอื่นๆ ในพื้นที่เพิ่มเติม เช่น ปริมาณ น้ าฝน อุณหภูมิ ความชื้น เป็นต้น เราสามารถน าข้อมูลเหล่านี้มาใส่เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น หรือ น าไปใช้ในการน าเสนอผลงานได้ แสดงดังภาพที่ 33 ภาพที่ 33 ตัวอย่างภาพแสดงจ านวนปริมาณน้ าฝน 26
1. การเลือกพื้นที่วางแปลงส ารวจจากข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมรายละเอียดสูง ของข้อมูลการส ารวจที่ได้จากพื้นที่ศึกษา กับ ข้อมูลจากภาพถ่ายจากดาวเทียม สามารถแบ่ง ข้อมูลได้อย่างเฉพาะเจาะจงมากกว่า การเก็บ ข้อมูลเป็นชุดเดียว และด้วยหลักเกณฑ์ทางการ ค านวณทางคณิตศาสตร์ กลุ่มของข้อมูลที่มีความ ละเอียดมากกว่า ย่อมดีกว่ากลุ่มข้อมูลการส ารวจ ชุดเดียว การคัดเลือกพื้นที่เพื่อก าหนดขอบเขต ในการวางแปลงส ารวจนั้นมีหลากหลายทฤษฎี และวิธีการ ผู้วิจัยสามารถใช้ได้ตามความเหมาะสม ซึ่งในวิธีการที่จะน าเสนอต่อไปนี้ ได้น าเสนอ วิธีการคัดเลือกพื้นที่ โดยแบ่งเป็นกลุ่มพื้นที่ ซึ่ง ก าหนดไว้ 3 กลุ่ม คือ กลุ่มเล็ก กลุ่มกลาง และ กลุ่มใหญ่ เพื่อให้การค านวณความสัมพันธ์ เป้าหมาย เป็นต้น แต่เมื่อเข้าถึงพื้นที่แล้ว ผู้วิจัย ควรมีการใช้เครื่องมือบ่งชี้พิกัดเช่น GPS แบบ พกพา เครื่องมือถือที่สามารถบอกพิกัดได้ และ รวมถึงการใช้ Laptop เพื่อบ่งชี้ต าแหน่งของ ผู้วิจัยขณะที่อยู่ในพื้นที่จริง และท าการก าหนด พื้นที่ที่วางแปลงตัวอย่างถาวร หรือแปลงส ารวจ เมื่อมีการวางแผนเพื่อก าหนดพื้นที่ ที่ต้องการศึกษาเรียบร้อยแล้ว การเข้าถึงพื้นที่ เป้าหมายดังกล่าวนั้น สามารถท าได้หลายวิธี เช่น การบอกจุดให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ช านาญ เส้นทาง หรือบอกลักษณะสถานที่ หรือเส้นทาง ให้กับชาวบ้านที่ช านาญเส้นทางน าเข้าไปยังพื้นที่ 27
มองเป็นภาพรวมทั้งหมด ซึ่งสมรรถนะของเครื่อง GPS แบบมือถือนั้น จะเป็นเพียงเครื่องช่วย ก าหนดต าแหน่งของผู้วิจัย บนภาพถ่ายที่อยู่ใน โปรแกรม Google Earth Pro เท่านั้น แต่ถ้า ผู้วิจัยสามารถจัดหาเครื่อง Laptop ที่มี GPS อยู่ในตัวเครื่องได้นั้น ก็จะสามารถลดขั้นตอนของ การท างาน และเพิ่มความถูกต้องของการท างาน ได้สูงขึ้น ผู้ใช้งานในระบบนี้ไม่จ าเป็นต้องมี ความรู้ทางด้านแผนที่มากนัก ก็สามารถก าหนด แปลงตัวอย่างถาวร หรือใช้วางแผนการวางแปลง ส ารวจใหม่ได้ ตามความเหมาะสมของพื้นที่ เมื่อแผนงานที่ก าหนดไว้ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ที่ต้องการ และที่ส าคัญสามารถปรับแก้ข้อมูล การท างานได้ในพื้นที่ โดยไม่ต้องท าการจดบันทึก ออกมา ซึ่งช่วยลดข้อผิดพลาดของการท างานลง เหตุผลและความจ าเป็นที่จะต้องน า Laptop เข้าพื้นที่ เนื่องจากความสามารถของ โปรแกรม GoogleEarthPro นั้น สามารถบันทึก ภาพถ่ายจากดาวเทียมที่มีรายละเอียดสูง เสมือนเป็นพื้นที่จริง อยู่ในเครื่อง Laptop ท า ให้ผู้วิจัยสามารถมองเป็นพื้นที่ในมุมกว้างได้ ทั้งหมด แสดงดังภาพที่ 34 สามารถก าหนด จุดเริ่มต้นของการวางแปลงได้อย่างชัดเจน ง่าย ต่อการวางแผนการท างาน และสามารถแสดง ต าแหน่งได้อย่างเรียลไทม์ แสดงต าแหน่งที่ ผู้วิจัยยืนอยู่ ในต าแหน่งปัจจุบัน ได้ง่ายกว่าการ น าแผนที่กระดาษเข้าพื้นที่ ถึงแม้ว่าจะมีเครื่อง GPS แบบพกพ า ที่ส าม า รถบันทึกข้อมูล ภาพถ่ายและแผนที่ลงไปบนเครื่องได้ แต่ก็ไม่ สามารถท างานได้อย่างรวดเร็ว ท าให้ไม่สามารถ ซึ่งค่ าที่ได้จ ากสัญญ าณ GPS อาจมีคว าม คลาดเคลื่อนได้ ในกรณีนี้ ผู้วิจัยอาจจะแก้ไข โดยการใช้ความสัมพันธ์ของภาพถ่ายกับพื้นที่ จริงที่ปรากฏอยู่เป็น Landmark ในพื้นที่ เช่น ต าแหน่งของถนน ต าแหน่งของต้นไม้ใหญ่ ต าแหน่งของเถียงนา หรือขอบป่า และ พิจารณา ต าแหน่งของผู้วิจัยว่าใกล้เคียงกับสิ่งใดที่ปรากฏ ในภาพ เพื่อหาต าแหน่งเชื่อมโยงกัน แล้วท าการ ก าหนดพิกัดที่ชัดเจนอีกครั้งภายหลัง เพื่อให้ ความถูกต้องทางต าแหน่งมีมากที่สุด ปัจจุบันอาจใช้ Tablet คุณภาพสูง อย่างเช่น IPAD ที่มี GPS ในตัว ก็สามารถ ท างานแบบ Offline ช่วยให้การท างานได้สะดวก และคล่องตัวมากขึ้น แต่ทั้งนี้ผู้ใช้งานระบบต้องให้ ความส าคัญกับค่าต าแหน่งพิกัดที่ได้ เพราะค่าที่ ได้จะมีความคลาดเคลื่อน ตั้งแต่ 10 - 50 เมตร และค่าความคลาดเคลื่อนอาจจะมากกว่านี้ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์และ สัญญาณ internet อย่างเช่นในพื้นที่ป่าไม้ หรือ พื้นที่สวนยาง ที่มียอดไม้ปกคลุมค่อนข้างมาก 28
ภาพที่ 34 การใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ Laptop ในพื้นที่ปฏิบัติงาน ในการวางแปลงตัวอย่างถาวรในพื้นที่ที่มีหมู่ไม้ขนาดใหญ่ปกคลุมพื้นที่ หรือมีต้นไม้ขึ้น หนาแน่นมาก มีลักษณะเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่ เมื่อเปรียบเทียบกับสภาพพื้นที่ทั้งหมด หมู่ไม้ที่เป็น ทรงพุ่มขนาดใหญ่ แสดงถึงความหนาแน่นมาก โดยลักษณะที่เห็นได้ชัดเจนคือ ลักษณะของต้นไม้ ขนาดใหญ่ ทรงพุ่มที่มองเห็นจากภาพถ่ายดาวเทียมรายละเอียดสูง จะคล้ายกับดอกกะหล่ า มองเห็นเป็นก้อนๆ ขนาดใหญ่ แตกต่างจากพื้นที่ใกล้เคียงหรือในพื้นที่ศึกษาทั้งหมด ในขณะที่ใน พื้นที่ที่มีต้นไม้ขนาดเล็กหรือหนาแน่นน้อย จะพบว่ามีลักษณะภาพค่อนข้างสม่ าเสมอ เมื่อ เปรียบเทียบกับสภาพพื้นที่ทั้งหมด ดังนั้นจึงสามารถจ าแนกทรงพุ่มออกเป็น 3 รูปแบบ คือ ทรงพุ่มขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ แสดงดังภาพที่ 35 29
ภาพที่ 35 พื้นที่แปลงส ารวจที่มีความหนาแน่นของหมู่ไม้มาก ใช้พิจารณาประกอบด้วย และในบริเวณที่ 2 และ 3 น่าจะเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมมากที่สุด เนื่องจากสภาพพื้นที่ในแปลง มีลักษณะต้นไม้ ขนาดใหญ่ปกคลุมทั้งแปลง และอยู่ในพื้นที่ที่มี หมู่ไม้เหมือนกัน และในบริเวณที่ 4 ในกรณีที่ ความสูงของต้นไม้มากกว่า 40 เมตร สังเกตได้ จากทรงพุ่มของต้นไม้ ที่มีขนาดใหญ่ เกือบเท่ากับ ขนาดของแปลง ดังนั้นควรมีการวางแปลงที่มี ขนาดมากกว่าความสูงของต้นไม้ที่อยู่ในแปลงนั้น เช่น บริเวณที่ 4 จะมีขนาดของแปลง 50x50 m 2 ขณะที่บริเวณ 1 2 และ 3 จะมีขนาด 40x 40 m 2 การวางแปลงในบริเวณที่ 1 นั้น ลักษณะแปลง ไม่ได้วางตัวทางทิศทางเหนือใต้ ซึ่งอาจท าให้การหาความสัมพันธ์กับข้อมูลภาพ ถ่ายจากดาวเทียมค่อนข้างยาก เนื่องจาก ข้อมูลภาพถ่ายจากดาวเทียมนั้น เป็นข้อมูลที่ วางตัวในทิศทางเหนือใต้ ซึ่งอาจต้องใช้สมการ เทคนิคหรือโมเดลอื่นๆ เพิ่มเติมในการหาค่า ความสัมพันธ์ แต่ทั้งนี้ ควรมีการพิจารณาถึง ความเหมาะสมในพื้นที่ด้วยเช่นกัน ว่าสามารถ วางแปลงในแนวเหนือใต้ได้หรือไม่ มีอุปสรรค หรือความยากง่ายในการวางแปลงที่น าเข้ามา 30
ภาพที่ 36 พื้นที่ที่มีความหนาแน่นของหมู่ไม้ปานกลาง การวางแปลงในพื้นที่ที่มีลักษณะของสภาพพื้นที่ที่มีความหนาแน่นปานกลาง มักจะมี ทรงพุ่มขนาดกลาง หรือมีต้นไม้ขึ้นหนาแน่นปานกลาง มีลักษณะเป็นต้นไม้ขนาดกลาง เมื่อ เปรียบเทียบกับสภาพพื้นที่ทั้งหมด แสดงดังภาพที่ 36 การวางแปลงในบริเวณที่ 1 นั้น ลักษณะแปลง ไม่ได้วางตัวทางทิศทางเหนือใต้ ซึ่งอาจ ท าให้การหาความสัมพันธ์กับข้อมูลภาพถ่ายจากดาวเทียมค่อนข้างยาก เนื่องจากข้อมูลภาพถ่าย จากดาวเทียมนั้น เป็นข้อมูลที่วางตัวในทิศทางเหนือใต้ แต่ต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมของ พื้นที่ ส่วนในบริเวณที่ 3 ยังมีต้นไม้ขนาดใหญ่เข้ามาในแปลง จึงไม่ควรเลือกพื้นที่นี้เป็นตัวแทน ของพื้นที่ที่มีความหนาแน่นปานกลาง บริเวณที่ 2 และ 4 น่าจะเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมมากที่สุด 31
ภาพที่ 37 พื้นที่ที่มีความหนาแน่น ของหมู่ไม้น้อย การวางแปลงในพื้นที่ที่มีลักษณะของความหนาแน่นน้อย มีทรงพุ่มขนาดเล็ก โดยส่วน ใหญ่แล้วจะพบบริเวณชายขอบป่า หรือใกล้ๆ กับพื้นที่เกษตร ถ้ามองจากภาพ จะมีลักษณะเป็น ผืนเดียวกัน ไม่ขรุขระ หรือมีต้นไม้ขึ้นเบาบาง มีลักษณะเป็นต้นไม้ขนาดเล็กหรือไม้หนุ่มบางส่วน ควรเลือกพื้นที่ที่ไกลจากสภาพข้างเคียงที่อาจมีผลต่อค่าการสะท้อนแสงของภาพถ่ายจาก ดาวเทียมได้ เป็นพื้นที่ที่ควรมีการวางแปลงในแนวเหนือใต้ มากที่สุด เพราะด้วยสภาพพื้นที่ที่เป็น พื้นที่โล่ง อุปสรรคในการวางแปลงน้อย ควรเลือกการวางแปลง ในแนวเหนือใต้ให้ได้ แสดงดังในภาพที่ 37 ดาวเทียม อาจรวมผลค่าการสะท้อนที่ได้จาก เส้นทางเข้าไปด้วย ซึ่งจะไม่ใช่ค่าการสะท้อนจาก พื้นที่ป่าไม้เพียงอย่างเดียว ส าหรับในภาพที่ 37 นี้ บริเวณที่เหมาะสมส าหรับการวางแปลงส ารวจ ควรเป็นบริเวณที่ 2 และบริเวณที่ 4 ซึ่งมีลักษณะ ของภาพ เป็นผืนเดียวกัน ทรงพุ่มของหมู่ไม้ ใกล้เคียงกัน ไม่มีทรงพุ่มของต้นไม้ที่เด่นออกมา ซึ่งน่าจะเป็นพื้นที่ที่เหมาะสมที่สุด ในการวางแปลง ส ารวจที่มีความหนาแน่นน้อย ในพื้นที่บริเวณนี้ พื้นที่ในบริเวณที่ 1 ไม่ควรเลือก เนื่องจากอาจเป็นพื้นที่ที่ความสูงของต้นไม้ แตกต่างกันมากเกินไป เพราะมีทั้งต้นไม้ขนาด ใหญ่และต้นไม้ขนาดเล็กผสมกัน ซึ่งเป็นตัวอย่าง ที่ไม่ค่อยดีนัก ส่วนในบริเวณที่ 3 ซึ่งเป็นบริเวณ ใกล้กับทางเดิน ในบริเวณนี้ เมื่อน ารูปแปลงมา วิเคราะห์ร่วมกับข้อมูลภาพถ่ายจากดาวเทียม แล้ว ข้อมูลที่ได้อาจมีความคลาดเคลื่อนได้ เนื่องจากค่าการสะท้อนของข้อมูลภาพถ่ายจาก 32
ภาพที่ 38 การก าหนดขอบเขตพื้นที่ศึกษา เมื่อก าหนดขอบเขตพื้นที่ได้แล้ว ก็จะสามารก าหนดขอบเขตพื้นที่ทั้งหมดได้อย่างชัดเจน แสดงดังภาพที่ 38 แสดงให้เห็นถึงขอบเขตรวมทั้งหมดที่จะท าการศึกษา แทนด้วยขอบเขตสี น้ าเงิน แสดงพื้นที่ที่มีความหนาแน่นน้อย หรือมีทรงพุ่มขนาดเล็กซึ่งแทนด้วยขอบเขตสีแดง แสดงพื้นที่ที่มีความหนาแน่นปานกลาง หรือมีทรงพุ่มขนาดกลาง ซึ่งแทนด้วยขอบเขตสีเหลือง และแสดงพื้นที่ที่มีความหนาแน่นมาก หรือมีทรงพุ่มขนาดใหญ่ ซึ่งแทนด้วยขอบเขตสีเขียว 33
ภาพที่ 39 การวงขอบเขตและการแสดงผลพื้นที่ทั้งหมดบนโปรแกรม QGIS เป็นพื้นที่ที่มีความหนาแน่นสูง ทั้งนี้สามารถ ค านวณขนาดพื้นที่และสัดส่วนของพื้นที่ทั้งหมด หรือวิเคร าะห์ร่วมกับข้อมูลภาพถ่ายจาก ดาวเทียม ได้ตามความต้องการของผู้ใช้งาน โดยค่าความสัมพันธ์ที่ได้จากค่าปริมาณคาร์บอน สะสมเหนือพื้นดิน ในบริเวณพื้นที่ที่แปลง ส า รวจเป็นพื้นที่ที่ค าดว่ าน่ าจะมีป ริม าณ คาร์บอนต่ า ปานกลาง และสูง จากขอบเขตทั้ง 3 รูปแบบ รวมเป็น พื้นที่ทั้งหมด ก็จะได้ตามภาพที่ 39 ด้านซ้าย จะ สามารถน าไปวิเคราะห์ด้วยโปรแกรมการ วิเคราะห์ทางภูมิศาสตร์อื่นๆ ต่อไปได้ แสดงดัง ภาพที่ 39 ด้านขวา น าข้อมูลมาแสดงผลบน โปรแกรม QGIS : โดยได้ก าหนดให้พื้นที่สีชมพู เป็นพื้นที่ที่มีความหนาแน่นน้อย พื้นที่สีเหลือง เป็นพื้นที่ที่มีความหนาแน่นปานกลาง และสีเขียว 34
2. การหาความสัมพันธ์ของแปลงส ารวจมวลชีวภาพกับภาพถ่ายจากดาวเทียม (นรินทร์, 2560) น ามาอธิบายความสัมพันธ์ของ ภาพถ่ายจากดาวเทียมส ารวจทรัพยากรกับ ปริมาณการกักเก็บคาร์บอนเหนือพื้นดิน ซึ่งจะ เป็นต้นแบบส าหรับการประยุกต์ใช้สมการ ความสัมพันธ์ดังกล่าวต่อไปในภาคป่าไม้ของ ประเทศไทย นอกจากนี้ยังเป็นการน าข้อมูลจาก การท างานของเจ้าหน้าที่จากหลายพื้นที่ทั่ว ประเทศ แต่ในที่นี้ได้น าเสนอข้อมูลเพียง 2 พื้นที่เท่านั้น จากนั้นน าข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ ต่อยอด และเป็นการศึกษาวิจัยบนพื้นฐานของ ข้อมูลที่มีอยู่ ทั้งนี้ในการท างาน ยังมีข้อจ ากัด เรื่องเวลา งบประมาณ และบุคลากร แต่เป็น งานการศึกษาวิจัยชิ้นแรก ๆ ของประเทศไทย ที่ พยายามน าข้อมูลจากการส ารวจภาคสนามมา วิเคราะห์เป็นภาพรวมของพื้นที่ป่าของประเทศ ทั้งหมด เพราะที่ผ่านมาอาจพบการศึกษาเพียง บางบริเวณหรือในพื้นที่ที่มีขนาดเล็กเท่านั้น (นรินทร์ และคณะ, 2560) คว ามส าม ารถของภาพถ่ ายจ าก ดาวเทียมนั้น ถูกออกแบบมาเพื่อหาค่าการ สะท้อนของวัตถุชนิดต่างๆ ในแต่ละช่วงคลื่น ซึ่งการน าผลที่ได้จากค่าการสะท้อนมาแปล ตีความเป็นอย่างอื่น หรือเพื่อหาความสัมพันธ์ ในรูปแบบต่างๆ นั้น อาจมีตัวแปรหรือปัจจัย ต่างๆ มากมายที่ไม่สามารถก าหนดได้เข้ามา เกี่ยวข้อง ผู้ที่ท าการศึกษาวิจัย ควรให้ความส าคัญ กับประเด็นนี้ด้วย ซึ่งแต่เดิมโดยทั่วไปมักใช้ ข้อมูลภาพถ่ายจากดาวเทียม ช่วงเวลาเดียวใน พื้นที่เดียว หาความสัมพันธ์กันซึ่งท าให้มองไม่ เห็นปัญหา และความเข้าใจในลักษณะชีพลักษณ์ ของพืชพรรณ (Vegetation Phenology) โดย ดัชนีพืชพรรณ ในการศึกษาครั้งนี้ได้เลือกมาคือ ดัชนีพืชพรรณความแตกต่างของความชุ่มชื้น (Normalized Difference Moisture Index, NDMI) มีค่าความสัมพันธ์ของสมการดีกว่าดัชนีพืชพรรณ (Normalized Difference Vegetation Index, NDVI) 35
ภาพที่ 40 ลักษณะการมองภาพมุมกว้างและการมองภาพเฉพาะเจาะจง ความสูงของต้นไม้ที่ถูกต้อง และสุดท้ายคือการ เลือกใช้สมการแอลโลเมตริกให้มีความเหมาะสม ในการประเมินมวลชีวภาพของต้นไม้ในแต่ละ ชนิดป่า ซึ่งการด าเนินงานภาคสนามด้านต่างๆ ดังกล่าวเมื่อมีความถูกต้องเหมาะสมและแม่นย า จะสามารถสนับสนุนงานด้านการแปลภาพถ่าย จากดาวเทียมเพื่อประเมินการสะสมคาร์บอนใน แต่ละชนิดป่าระดับประเทศต่อไป (ชิงชัย, 2560) การประเมินการสะสมคาร์บอนใน ระบบนิเวศป่าไม้ประเภทต่างๆ ในประเทศไทย ให้มีความถูกต้องแม่นย าจ าเป็นต้องอาศัยความ รอบรู้ด้านป่าไม้หลายด้าน เช่น การก าหนดพื้นที่ ในการวางแปลงตัวอย่าง การเลือกรูปแบบ ขนาด และจ านวนของแปลงตัวอย่างที่เหมาะสม การจับต าแหน่งพิกัดแปลงตัวอย่าง ที่แม่นย า การเก็บข้อมูลภาคสนามทางด้านความโตและ ออกไปในมุมมองที่กว้างขึ้น และครอบคลุม มากขึ้นจ าเป็นต้องใช้ข้อมูลภาพถ่ายจาก ดาวเทียมส ารวจทรัพยากรธรรมชาติเข้ามา ประกอบ เพื่อความสะดวกในการท างานโดย ต้องน ามาใช้ร่วมกันคล้ายกับการมองภาพที่มี ความละเอียดมาก ๆ ท าให้ไม่สามารถมองภาพรวม ได้ทั้งหมด จึงต้องมีการถอยระยะการมองออกมา เพื่อให้เห็นภาพรวมทั้งหมด แสดงดังภาพที่ 40 จากลักษณะของการวางแปลงเพื่อ ส ารวจระบบนิเวศนั้น เป็นการศึกษาแบบเฉพาะ เจาะจงในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง ด้วยการส ารวจ ประมาณค่าโดยมีเป้าหมายเฉพาะเรื่อง เช่น การประเมินประมาณคาร์บอนสะสมเหนือ พื้นดิน การติดตามความเจริญเติบโตของต้นไม้ หรือการศึกษาโรคและแมลงคุกคามพื้นที่ป่าไม้ เป็นต้น แต่เมื่อต้องการขยายผลการศึกษา 36
ภาพที่ 41 ข้อมูลที่ได้จากภาพถ่ายจากดาวเทียม กับการใช้งาน เมื่อน าลักษณะเด่นของข้อมูล ดังกล่าว มาหาความสัมพันธ์กับข้อมูลที่ได้จาก แปลงตัวอย่างถาวร ที่มีพื้นที่ขนาดประมาณ 1,600 ตารางเมตร คือ 40 x 40 m 2 เพื่อเป็นการ ขยายการเชื่อมโยงข้อมูลทางพื้นที่ออกไป โดยการใช้ข้อมูลที่ได้จากแปลงตัวอย่างถาวร มาอธิบายค่าการสะท้อนแสงที่ได้จากข้อมูล ภาพถ่ายจากดาวเทียม ในแต่ละช่วงเวลาซึ่งมี เป้าหมายสูงสุด คือการอธิบายได้ว่าค่าการ สะท้อนแต่ละค่าที่ได้จากภาพถ่ายจากดาวเทียม นั้นมีปริมาณคาร์บอนสะสมอยู่เท่าไร ในค่าการ สะท้อนนั้น แสดงดังภาพที่ 41 เมื่อพิจารณาจากข้อมูลภาพถ่ายจาก ดาวเทียมแล้ว ผู้วิจัยจะมองเห็นพื้นที่เป็นมุม กว้างกว่า ครอบคลุมพื้นที่มากกว่าและได้ข้อมูล ที่มีความถี่มากกว่า แต่ข้อมูลที่ได้จากแปลง ตัวอย่างถาวรนั้น ลักษณะของข้อมูลเป็นชุด มี การเก็บข้อมูลตามช่วงเวลา ซึ่งในระยะเวลา 1 ปี อาจมีการเก็บรวบรวมข้อมูลเพียงครั้งเดียว และ จากความสามารถที่มีอยู่ในลักษณะข้อมูลที่ เฉพาะตัวของข้อมูลที่ได้จากภาพถ่ายจาก ดาวเทียมคือ ค่าการสะท้อนที่ได้จากช่วงคลื่นที่ มีอยู่ในดาวเทียมแต่ละดวง ซึ่งสามารถน ามา แปลตีความ ความหมายได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่ การมองพื้นที่ต่างๆ จากบนท้องฟ้า หรือมุมมองของนก แสดงดังภาพที่ 42 บริเวณที่มีต้นไม้ หรือหมู่ไม้ขึ้นหนาแน่นน้อย ก็จะมองเห็นเป็นพื้นที่โล่ง ส่วนบริเวณที่มีต้นไม้ขึ้นหนาแน่นมากขึ้น ก็จะมองเห็นลักษณะของทรงพุ่มที่คล้ายกับดอกกะหล่ า ทั้งนี้ภาพถ่ายจากดาวเทียมหรือภาพถ่าย ทางอากาศ ก็จะมีลักษณะที่ถ่ายท าจากมุมมองจากด้านบน เช่นเดียวกัน ท าให้ลักษณะของข้อมูลที่ ถ่ายได้จึงสื่อถึงข้อมูลบนพื้นราบด้วย 37
ภาพที่ 42 ความหนาแน่นของเรือนยอดจากมุมมองบนฟ้า 38
ภาพที่ 43 ความละเอียดของจุดภาพในดาวเทียมแต่ละดวง มีรายละเอียดจุดภาพ เท่ากับ 0.5 เมตร และภาพ ถ่ายดาวเทียม Worldview – 4 ซึ่งมีรายละเอียด จุดภาพเท่ากับ 0.3 เมตร จะเห็นได้ว่าบริเวณ พื้นที่เดียวกัน รายละเอียดของพื้นที่จะมากกว่า ภาพจะชัดเจนมากกว่าหรือใกล้เคียง กับภาพถ่าย ทางอากาศ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบราคาของภาพถ่าย จากดาวเทียมแล้วภาพถ่ายรายละเอียดสูงมี แนวโน้มที่จะมีราคาสูงตาม ส่ วนภาพที่มี รายละเอียด ปานกลาง ถึงต่ า นั้นจะมีราคาถูก หรือไม่เสียค่าใช้จ่ายในการใช้งาน ภาพที่ 43 ได้แสดงให้เห็นถึงการ เปรียบเทียบ ข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียมที่มี รายละเอียดของจุดภาพต่างกันขึ้นอยู่กับชนิด ของภาพดาวเทียม เช่น ภาพถ่ายดาวเทียม Modis มีความละเอียดจุดภาพ เท่ากับ 250 เมตร ภาพถ่ายดาวเทียม Landsat –8 ซึ่งมีรายละเอียด จุดภาพ เท่ากับ 30 เมตร ดาวเทียม Sentinel -2 มีรายละเอียดจุดภาพ เท่ากับ 10 เมตร ภาพ ถ่ายดาวเทียม PlanetScope(Dove) มีรายละเอียด จุดภาพ เท่ากับ 3 เมตร ดาวเทียม Pleiades ที่มา : https://www.geospatialworld.net/blogs/observing-the-earthfueling-global-development-solutions/ 39
ภาพที่ 44 การฟื้นตัวของป่า หลังจากการถูกรบกวนจะมีลักษณะเพิ่มขึ้น แต่ จะไม่ใช่การเพิ่มแบบสมการเส้นตรง พอถึง จุดสูงสุดของการเจริญเติบโต เส้นกราฟ จะมี ลักษณะคงที่ และพื้นที่ป่าไม้ที่เจริญเติบโตเต็มที่ จะมีลักษณะเป็นโมเสก กล่าวคือ มีการเจริญเติบ และปะปนกันของต้นไม้หลายชนิดพันธุ์ ไม่ใช่ ต้นไม้ชนิดเดียว แสดงดังภาพที่ 44 จากการประชุมเชิงปฏิบัติการของ องค์กรนาซ่า เมื่อปี พ.ศ. 2551 (ค.ศ.2008) เรื่อง NASA Carbon Cycle & Ecosystems Joint Science Workshop ซึ่งในช่วงของการสนทนา เรื่อง Science Enabled by New Measurements of Vegetation Structure (ICESat-II, DESDynI, etc.) มีการน าแนวคิดว่า การฟื้นตัวของพื้นที่ป่าไม้ ที่มา : ดัดแปลงจาก https://cce.nasa.gov/mtg2008_ab_presentations/NASA_Breakout_Session.ppt 40
ภาพที่ 45 แปลงส ารวจขนาด บนภาพถ่ายจากดาวเทียมรายละเอียดสูง ด้วยค่าดัชนีพืชพรรณ จากภาพถ่ายดาวเทียม ค่อนข้างท าได้ยาก แสดงดังภาพที่ 45 (1) แสดง การซ้อนทับกัน โดยที่พื้นฉากหลังเป็นข้อมูล ภาพถ่ายจากดาวเทียมรายละเอียดสูง กับแปลง ส ารวจขนาด 40 x 40 m 2 แสดงเป็นกรอบสีแดง ภาพที่ 42 (2 และ 3) เมื่อซ้อนด้วยข้อมูลภาพถ่าย จากดาวเทียมที่มีรายละเอียดจุดภาพขนาด 30 x 30 m 2 ทั้งแบบภาพสี และภาพขาวด า ทั้งนี้ยังไม่มีการศึกษาถึงวิธีการประเมิน ค่าดัชนีพืชพรรณจากภาพถ่ายจากดาวเทียมที่ เหมาะสมกับแปลงส ารวจภาคสนาม เนื่องจาก การใช้ภาพถ่ายดาวเทียมที่มีรายละเอียด ค่อนข้าง หยาบกว่าข้อมูลส ารวจภาคสนาม ซึ่งโดยทั่วไป แปลงส ารวจมักจะมีพื้นที่ขนาดเล็กกว่าภาพถ่าย จากดาวเทียม ท าให้ลักษณะของการก าหนด ขนาดแปลงเพื่องานส ารวจและแปลตีความภาพ อาจจะไม่สัมพันธ์กับภาพถ่ายดาวเทียม เพราะ เนื่องจากข้อมูลแปลงครอบคลุมพื้นที่บริเวณ กว้างไม่สามารถเฉพาะเจาะจง ในระดับจุดภาพ ดาวเทียมได้ เพราะเป้าหมายของการท างานคือ ต้องอธิบายให้ได้ว่า 1 จุดภาพดาวเทียมมี ปริมาณคาร์บอนเท่าไร ท าให้การวางแปลง โดยเฉพาะแปลงที่มีรูปร่างสี่เหลี่ยม อาจจะต้อง วางตัวในทิศทางเหนือใต้ เพื่อให้สัมพันธ์กับ จุดภาพดาวเทียม ที่มีทิศทางวางตัวแนวเหนือใต้ เช่นเดียวกัน แต่ทั้งนี้ควรค านึงถึงพื้นที่ศึกษา ด้วยว่า สามารถด าเนินการได้หรือไม่ และควร ให้ความส าคัญกับการท างานในสนามมากที่สุด เพื่อให้การด าเนินการในพื้นที่สะดวกมากที่สุด การหาความสัมพันธ์ของแปลงส ารวจ มวลชีวภาพกับภาพถ่ายจากดาวเทียม เพื่อการ ประเมินคาร์บอนสะสมเหนือพื้นดิน ต้องพิจารณา ขนาด รูปร่าง และการวางตัวของแปลง ซึ่งโดยทั่วไป การวางแปลงส ารวจจะมีทั้งแบบ แปลงวงกลม และแปลงสี่เหลี่ยม มีทั้งขนาดเล็กประมาณ 0.1 เฮกแตร์และแปลงขนาดใหญ่ ประมาณ 1 เฮกแตร์ หรือใหญ่กว่า การวางแปลง ให้มีขนาดที่เหมาะสม กับภาพดาวเทียมอาจเป็นแปลงขนาด 90 x 90 m 2 เพื่อลดการขยับของจุดภาพถ่ายจากดาวเทียม จากจุดศูนย์กลางของต าแหน่งภาพ หรือแปลง ส ารวจขนาด 30 x 30 m 2 เพื่อให้มีขนาดใกล้เคียง กับจุดภาพดาวเทียม แต่ถ้าใช้แปลงที่มีขนาดใหญ่ 41
ที่เป็นที่นิยม อย่างเช่นดาวเทียม Landsat –8 ที่ มีขนาดจุดภาพ 30 x 30 m 2 จะเห็นได้ว่าการวางตัว เปรียบเทียบขนาดของแปลง 30 x 30 m2 และ 40 x 40 m 2 ส่วนการวางแปลงแบบวงกลมนั้น ก็มีหลายขนาดเช่นเดียวกัน เช่น การวางแปลง วงกลมขนาดเล็ก ขนาดใหญ่ การวางแปลง วงกลม หลายวง ในพื้นที่เดียวกัน แสดงดังใน ภาพที่ 46 เป็นการวางแปลงวงกลมที่มีจุดศูนย์กลาง ที่มีรัศมี 17.84 เมตร และมีการวางแปลงขยาย ออกไปในทิศทางทั้ง 4 ทิศทาง ใน 1 พื้นที่ศึกษา โดยจุดศูนย์กลางของวงกลมที่อยู่กลาง กับจุด ศูนย์กลางของวงกลมที่อยู่ 4 ทิศทางห่างกัน 50 เมตร ซึ่งเป็นการศึกษารายงานใน Brief on National Forest Inventory ของประเทศไทยที่น าเสนอ โดยองค์ก า รอ าห า ร แล ะก า รเกษต รแห่ง สหประชาชาติ ในปีพ.ศ. 2550 (FAO, 2007) ลักษณะของการวางแปลงเพื่อการเก็บข้อมูล เพื่อการศึกษาลักษณะของต้นไม้ หมู่ไม้ หรือ เพื่อการศึกษาระบบนิเวศวิทยาของป่า โดยทั่วไป แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ 1) รูปแบบของ Plot study หรือการวางแปลงเป็นจุด ขนาดเล็ก มีทั้งแปลงแบบวงกลมและแปลงแบบสี่เหลี่ยม 2) รูปแบบการวางแปลงแบบ Area study การวาง แปลงเป็นพื้นที่ศึกษาขนาดใหญ่ ซึ่งแปลงขนาด ใหญ่ในประเทศไทย ที่พบมีขนาด 16 เฮกแตร์ หรือมีขนาด 400 x 400 m 2 โดยที่วิธีการที่นิยม มีอยู่ 2 ประเภท คือเป็นรูปเหลี่ยม และเป็นรูป วงกลม ซึ่งรูปเหลี่ยมนั้นก็อาจจะมีหลายประเภท อีกเช่นเดียวกัน แต่เมื่อน ามาท างานร่วมกับ ภาพถ่ายดาวเทียมแล้วแปลงรูปเหลี่ยมที่เหมาะสม ควรเป็นรูปสี่เหลี่ยม แต่มีขนาดเท่าไรนั้น ยังไม่มี การศึกษาเมื่อน ามาเทียบข้อมูลกับภาพดาวเทียม ภาพที่ 46 ลักษณะการวางแปลง ส ารวจ 42