The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือแบบเรียนไทยทรงดำ ชาติพันธุ์สืบสาน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by pantita.p42, 2021-03-31 11:10:30

หนังสือแบบเรียนไทยทรงดำ ชาติพันธุ์สืบสาน

หนังสือแบบเรียนไทยทรงดำ ชาติพันธุ์สืบสาน

หนงั สือเรยี นเสริมทกั ษะการเรียนรู้
กลมุ่ สาระการเรยี นรูภ้ าษาไทย

ปัณฑิตา พกั เกาะ

คานา

หนังสือเสริมทักษะเพิ่มเติม ไทยทรงดํา ชาติพนั ธุ์
สืบสาน เล่มน้ ีเกิดข้ ึนจากการรวบรวมขอ้ มูลและความต้ังใจ
ของนางสาวปัณฑิตา พกั เกาะ ผเู้ ขียน โดยเป็ นการนําความรู้
เกี่ยวกบั กลุ่มชนไทยทรงดํามานําเสนอในรูปแบบของสารคดี
และนิทานเพ่ือเป็ นการเผยแพร่ความรไู้ ปในวงกวา้ งมากยิ่งข้ ึน
และยงั ถือวา่ เป็ นการช่วยอนุรกั ษ์ใหก้ ลุ่มชนไทยทรงดาํ น้ ียงั คง
อยู่ต่อไป นอกจากน้ ียังไดม้ ีการสอดแทรกเน้ ือหาเก่ียวกับ
ภาษาไทยเพ่ือเป็ นการเสริมทกั ษะใหแ้ ก่ผเู้ รียน

หนังสือไทยทรงดํา ชาติพันธุ์สืบสานเป็ นการ
รวบรวมความรูเ้ ก่ียวกับกลุ่มไทยทรงดําเอาไวแ้ ละไดม้ ีการ
แทรกความรเู้ ก่ียวกบั ทกั ษะภาษาไทยเอาไวโ้ ดยแบ่งออกเป็ น3
บทโดยมีรายละเอียดดงั น้ ี บทท่ี1 อพยพพบถ่ินใหม่เน้ ือหาใน
บทน้ ีเป็ นการอธิบายเกี่ยวกบั ประวตั ิความเป็ นมาและภาษา
ของชาวไทยทรงดาํ

บทท่ี 2 ต้ังอาศัยถ่ินที่อยู่เน้ ือหาในบทน้ ีเป็ นการใหค้ วามรู้
เกี่ยวกับวิถีชีวิตของคนไทยทรงดําท้ังการแต่งกาย อาหาร
และการประกอบอาชีพ บทที่3 พิธีกรรมคู่ชุมชนเน้ ือหาในบท
น้ ีเป็ นการใหค้ วามรเู้ ก่ียวกบั พิธีกรรมต่าง ๆ ในชุมชนไทยทรง
ดําและไดม้ ีการใหค้ วามรูเ้ ก่ียวกับการเขียนสารคดีเพ่ือเป็ น
การเพิ่มทกั ษะใหก้ บั ผเู้ รียน

ผศู้ ึกษาหวงั เป็ นอย่างย่ิงวา่ หนังสือไทยทรงดํา ชาติ
พนั ธุส์ ืบสานเล่มน้ ี จะชว่ ยในการใหค้ วามรแู้ ละช่วยเสริมทกั ษะ
ทางภาษาไทยใหแ้ ก่ผูเ้ รียนเพื่อเป็ นการพฒั นาทักษะและเป็ น
การเพิ่มความรใู้ หแ้ กผ่ เู้ รียน

สารบัญ

บทท่ี หนา้

บทท่ี 1 อพยพพบถ่ินใหม่ 1
1.1 เขาเรียกเราวา่ ลาวโซ่ง 3
1.2ลาวโซง่ ช่ือน้ ีมที ี่มา 4
1.3แดนดินถิ่นเก่า 5
1.4อพยพพบถ่ินใหม่ 6
1.5ชาวไทยทรงดาํ ในจงั หวดั สุราษฎรธ์ านี 9
1.6ภาษาของชาวไทยทรงดาํ 15
1.7เพม่ิ เติมเสริมความรู้ 17
22
บทที่ 2 ต้งั อาศยั ถ่ินที่อยู่ 24
2.1ชุมชนไทยทรงดาํ 32
2.2ผสู้ าวลาวมาเวา้ บอก 33
2.2.1อาชีพ 34
2.2.2การแต่งกาย 37
2.2.3อาหาร

บทที่ หนา้

บทที่ 3 พธิ ีกรรมคชู่ ุมชน 38
3.1พธิ ีกรรมดาํ เนินชีวติ 40
3.2พธิ ีกรรมเกี่ยวกบั การเกิด 42
3.3พธิ ีกรรมเก่ียวกบั การแต่งงาน 44
3.4พิธีกรรมเก่ียวกบั บรรพบุรุษ 49
3.5เพิ่มเติมเสริมความรู้ 56
3.6แบบฝึกหดั 64
67
บรรณานุกรม

เนื้อหา
-ความเป็นมาของชาวไทยทรงดา
-ภาษาของชาวไทยทรงดา
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. รู้และเขา้ ใจความเป็นมาของชาวไทยทรงดา
2. รูเ้ กย่ี วกับภาษาในชาตพิ นั ธอ์ุ น่ื ๆ

มโนทศั น์

ในบทน้ ีเป็ นการกล่าวถึงประวตั ิความ
เป็ นมาของชาวไทยทรงดําโดยเป็ นการ
นําเสนอในรูปแบบของสารคดี และนอกจาก
การกล่าวถึงประวตั ิความเป็ นมาแลว้ น้ันไดม้ ี
การกล่าวถึงภาษาของชาวไทยทรงดําเพื่อให้
ผูอ้ ่านไดร้ เู้ กี่ยวกบั ภาษาอื่น ๆ นอกเหนือจาก
ภาษาของชุมชนตนเองและไดม้ ีการอธิบาย
ความรูร้ ะบบเสียงของภาษาไทยทรงดําไวอ้ ีก
ดว้ ยเพื่อใหผ้ ู้อ่านน้ันไดร้ ูแ้ ละเขา้ ใจเกี่ยวกับ
ภาษาไทยทรงดํามากยิ่งข้ ึน และเพื่อเป็ น
แนวทางในการศึกษา คน้ ควา้ เพิม่ เติมต่อไป

2

สารคดเี ร่อื ง “เขาเรียกเราว่าลาวโซ่ง”

“ ลาวโซ่ง ” คือคาํ ท่ีเราน้ันใชเ้ รียกกลุ่มชาวไท
กลุ่มหนึ่ งท่ีมีถ่ินฐานมาจากตอนเหนื อของประเทศ
เวียดนามแลว้ ไดม้ ีอพยพเขา้ มาอยู่ในประเทศไทยจนถึง
ปั จจุบัน และการท่ีคนไทยเรียกคนกลุ่มน้ ีว่า ลาว หรือ
ลาวโซ่ง เพราะอพยพจากเมืองเดียนเบียนฟู อยู่ทางตอน
เหนื อของ ประเทศเวียดนาม ผ่ านมายังประเทศ
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เม่ือกล่าวถึง
กลุ่มลาวโซ่งน้ ีแลว้ เชื่อวา่ หลาย ๆ คนอาจยงั ไม่รูจ้ กั กบั คน
กลุ่มน้ ี ในตอนน้ ีเราจึงจะมาทาํ ความรจู้ กั กบั คนกลุ่มน้ ีกนั

แต่ก่อนท่ีจะไปเร่ิมทําความรูจ้ กั เกี่ยวกับประวตั ิ
ความเป็ นมาของคนกลุ่มน้ ีน้ันเราจะมาพดู ถึงเรื่องของช่ือท่ี
ผูค้ นน้ันใชเ้ รียกคนกลุ่มน้ ีกนั ซ่ึงแน่นอนวา่ ไม่ไดม้ ีเพียงชื่อ
เดียว เพราะฉะน้ันเรามาศึกษาและทาํ ความรูจ้ กั ไปพรอ้ ม
ๆ กนั

3

ลาวโซ่งช่ือน้ ีมีทม่ี า

คนกลุ่มน้ ีเป็ นชนชาติไทย
กลุ่มหน่ึ งซึ่งมีชื่อเรียกแตกต่างกัน
ออกไปหลายช่ือ เช่น ลาวโซ่ง ไทดาํ ผู้
ไทยดํา ไทยทรงดํา ไทยโซ่ง ลาวซ่ง
ลาวซ่วงดํา และลาวทรงดําซึ่งคําว่า
“โซ่ง ซ่ง ทรง ซ่วง” น้ันเป็ นภาษาลาว
แปลวา่ เส้ ือผา้

ดงั น้ัน ไทยทรงดาํ ลาวทรงดาํ จึงหมายถึง
ผูท้ ่ีนุ่งห่มดว้ ยเส้ ือผา้ สีดํา ส่วนคาํ ว่า ลาวโซ่งเป็ นชื่อท่ีคน
ไทยในภาคกลางใชเ้ รียกชาติพนั ธุก์ ลุ่มน้อยซ่ึงไดอ้ พยพมา
จากเขตสิบสองจุไท ในสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
ทางตอนเหนือ

4

แดนดินถ่ินเก่า

ถิ่นอาศยั ด้งั เดิมของกลุ่มลาวโซ่งน้ันอยทู่ ่ีดินแดน
สิบสองจุไท ซ่ึงคือดินแดนทางภาคตะวนั ตกเฉียงเหนือของ
สาธารณรฐั สงั คมนิยมเวยี ดนาม เมืองเดียนเบียฟู หรือชาว
ไทยสยามรจู้ กั ในช่ือเมืองแถง โดยมีลกั ษณะเป็ นทุ่งราบอยู่
ท่ามกลางหุบเขาโอบลอ้ มดว้ ยภูเขาติดต่อกันซึ่งนับเป็ น
ด่านปราการสาํ คญั ในการโอบอุม้ ใหช้ นเผ่าไทยทรงดาํ ไดม้ ี
การพัฒนาวฒั นธรรมของชาวไทยดําอย่างต่อเนื่อง แต่
เนื่องดว้ ยถ่ินอาศัยของกลุ่มลาวโซ่งน้ันอย่ใู กลก้ บั ชายแดน
จีน เวยี ดนาม และลาว จึงเป็ นเหตุผลที่ทาํ ใหต้ อ้ งตกไปอยู่
ภายใตอ้ าํ นาจของรฐั ต่าง ๆ อยูบ่ า้ ง เช่น ตกเป็ นเมืองข้ ึน
ของพม่าในสมยั ของพระเจา้ บุเรงนองและต่อมาไดร้ บั สิทธ์ิ
ในการปกครองตนเองแบบประเทศราช

5

อพยพ
พบถิ่นใหม่

การอพยพและการต้งั ถ่ินฐานในไทย
ชาวไทดาํ ไดอ้ พยพเขา้ มาต้งั ถิ่นฐานในไทย
ถึง2 คร้งั ดว้ ยกนั

โดยคร้ังแรกในสมัยพระเจา้ กรุงธนบุรีที่โปรดใหไ้ ปตี
เมืองเวียงจันทร์ได้ ในปี พ.ศ. 2321 ดังได้กล่าวไวใ้ น
ประวตั ิชาติไทยว่า "แลว้ ปี รุ่งข้ ึนโปรดฯ ใหย้ กกองทัพไปตี
เมืองหลวงพระบาง ไปตีเมืองทัน เมืองม่วย เมืองท้ัง 2 น้ ี
เป็ นเมืองของไทซ่งดาํ ต้งั อยใู่ นเขตแดนญวนเหนือ แลว้ พา
ครวั ไทเวยี ง ไทดาํ ลงมากรุงธนบุรี ในเดือนย่ี ไทซ่งดาํ ใหไ้ ป
อยเู่ พชรบุรี "

ต่อมารัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกลา้ เจา้ อยู่หัว
ประมาณ พ.ศ. 2378 ก็ไดม้ ีการนําครอบครวั ของชาวไทย
ทรงดาํ เขา้ มาอยใู่ นไทยอีก โดยใหไ้ ปต้งั ภูมิลาํ เนาอยูท่ ี่เมือง
เพชรบุรีจนไดช้ ่ือวา่ “ลาวซง่ ” และจากหลกั ฐานการอพยพ
เขา้ มาในไทยท้ังสองคร้งั แสดงใหเ้ ห็นว่าชาวไทดําหรือไทย
ทรงดาํ น้ันไดเ้ ขา้ ต้งั ถิ่นฐานที่จงั หวดั เพชรบุรีเป็ นแหง่ แรก

6

และจากคําบอกเล่าของชาวไทยทรงดําก็ทําใหไ้ ดร้ ูอ้ ีกว่า
อพยพมาจากถิ่นฐานเดิมโดยทางเรือและมาต้ังถ่ินฐานท่ี
ตาํ บลท่าแรง้ อาํ เภอบา้ นแหลม ซ่ึงเป็ นบา้ นชายทะเล แต่
ชาวไทยทรงดาํ น้ันไม่ชอบภูมิประเทศเช่นน้ ีจึงไดม้ ีการยา้ ย
ถิ่นฐานไปเร่ือย ๆ จนมาถึงแถบอําเภอเขายอ้ ยซ่ึงมีภูมิ
ประเทศเป็ นป่ าเขาเหมือนกบั ถิ่นฐานเดิมของตนจึงไดม้ ีการ
ต้งั บา้ นเรือนอาศัยกนั อย่างหนาแน่น และในเวลาต่อมา
ชาวไทยทรงดําก็ไดย้ า้ ยถิ่นฐานไปทํามาหากินในท่ีอ่ืน ๆ
เช่น นครปฐม ราชบุรี สุพรรณบุรี พิจิตร ชุมพร และสุ
ราษฎรธ์ านี ซ่ึงชาวไทยทรงดาํ ในจงั หวดั ต่าง ๆ เหล่าน้ันจะ
บอกที่มาเป็ นแหลง่ เดียวกนั วา่ มาจากจงั หวดั เพชรบุรี

ในสงครามโลกคร้งั ท่ีสอง (พ.ศ.2484-2488)
ชาวไทยทรงดําจากจังหวดั เพชรบุรีได้
อพยพไปภาคใต้ ซ่ึงการอพยพในคร้งั น้ ี
ปรากฏถิ่นฐานใหม่ของชาวไทยทรงดาํ
ตามจังหวดั ประจวบคิรีขันธ์ จังหวดั
ชุมพร และจงั หวดั สุราษฎรธ์ านี

7

โดยในจงั หวดั สุราษฎรธ์ านีปรากฏหลกั ฐานการ
ต้ังถ่ินของชาวไทยทรงดําในสามอําเภอ คือ อําเภอพุนพิน
อําเภอบา้ นนาสาร และอําเภอเคียนซา เพราะในสมยั น้ัน
จังหวดั สุราษฏร์ธานีมีพ้ ืนที่ว่างเปล่ามาก แต่ประชากรมี
น้อย ประกอบกับชาวไทยทรงดําหาพ้ ืนท่ีปลูกข้าวเพ่ือ
การคา้ ขาย ดงั น้ันจึงส่งผลใหช้ าวไทยทรงดาํ ไดต้ ้งั ถ่ินฐาน
อย่างถาวรในสุราษฎรธ์ านี และนอกจากชาวไทยทรงดํา
แลว้ ชาวมอญก็ไดอ้ พยพลงไปในจงั หวดั สุราษฎร์ธานีดว้ ย
เช่นในบางหมู่บา้ นของตําบลมะลวน อําเภอพุนพินน้ันมี
เฉพาะชาวไทยทรงดําและชาวมอญเท่าน้ัน ปัจจุบนั วิถีชีวิต
ชาวไทยทรงดําสุราษฎร์ธานี ยังคงปรากฏพิธีกรรมท่ี
เก่ียวพันกับความเชื่อ วัฒนธรรม ภาษา และประเพณี
โดยชาวไทยทรงดาํ จะมีเทศกาลประจาํ ทุกๆ ปี และชาวไทย
ทรงดาํ ในจงั หวดั สุราษฎรธ์ านีก็มีการติดต่อกบั ชาวไทยทรง
ดาํ ในพ้ นื ท่ีต่างอยา่ งสมาํ่ เสมอ

8

เมื่อมาถึงในตอนน้ ีแลว้ น้ันจะเห็นไดว้ ่าชาวไทย
ทรงดาํ หรือลาวโซง่ น้ันไดม้ ีการอพยพไปยงั จงั หวดั ต่าง ๆ ใน
ประเทศไทย โดยต่อไปน้ ีจะเป็ นการบอกเล่าเรื่องราวของ
ชาวไทยทรงดําหรือลาวโซ่งที่ไดอ้ าศัยอยู่ในอําเภอพุนพิน
จังหวัดสุราษฎร์ธานีเพราะเป็ นชุมชนที่ได้ไปสัมผัสด้วย
ตัวเองจริง ๆ จึงอยากท่ีจะบอกเล่าประสบการณ์และขอ้ มูล
ต่าง ๆ เกี่ยวกบั ชุมชนแหง่ น้ ี

ชาวไทยทรงดาในจงั หวดั สุราษฎรธ์ านี
เล่ายอ้ นไปในตอนที่ยังเป็ นเด็กซ่ึงในตอนน้ัน

น่าจะเป็ นช่วงประถมนับเป็ นคร้งั แรกที่ไดร้ จู้ กั กบั ชุมชนไทย
ทรงดําซึ่งในตอนน้ันรูเ้ พียงแค่ว่าเป็ นชุมชนท่ียายอาศัยอยู่
มาต้ังแต่เด็ก ๆ โดยการที่ไดเ้ ขา้ ไปรูจ้ กั กบั ชุมชนน้ ีไดน้ ้ันก็
เป็ นเพราะยายจะพาไปพบปะกับญาติ ๆ ท่ีอาศัยอยู่ใน
ชุมชนน้ันซ่ึงในตอนน้ันก็ไม่ได้รูส้ ึกถึงความแตกต่างกับ
ชุมชนท่ีอาศยั อยใู่ นปัจจุบนั มากนักอาจเป็ นเพราะยงั เด็กแต่
สิ่งท่ีเห็นถึงความแตกต่างไดอ้ ย่างชัดเจนคือภาษาที่คนใน
ชุมชนน้ันใชส้ ื่อสารกนั แต่คนในชุมชนน้ ีก็สามารถท่ีจะ
ใชภ้ าษาถิ่นของจังหวัดน้ัน ๆ หรือใชภ้ าษากลางในการ
ส่ือสารไดเ้ ช่นกนั

9

โดยในตอนน้ันรสู้ ึกวา่ เป็ นภาษาที่แปลกและไม่สามารถท่ีจะ
รคู้ วามหมายในส่ิงที่เขาสื่อสารไดเ้ ลยจึงทาํ ไดเ้ พียงแต่นัง่ ฟัง
ไปเร่ือย ๆ ก็เกิดความรสู้ ึกท่ีสนุกดีเหมอื นกนั อาจเป็ นเพราะ
ไดฟ้ ังภาษาท่ีแปลกไปจากท่ีเคยใชป้ กติ

ต่อมาเม่ือไดไ้ ปชุมชนไทยทรงดําหลาย ๆ คร้งั เขา้ ก็ไดเ้ ห็น
ถึง ความแตกต่างระหวา่ งชุมชนที่ฉนั อาศยั อยกู่ บั ชุมชนไทย
ทรงดาํ เช่นการแต่งกาย พิธีกรรม และภาษา ซ่ึงถือไดว้ า่
เป็ นการเปิ ดโลกในเร่ืองของความหลากหลายของ
วฒั นธรรมในแต่ละชุมชน จึงไดน้ ําไปสู่การศึกษาเพื่อหา
ขอ้ มูลเพ่ิมเติมเก่ียวกับชุมชนไทยทรงดําแห่งน้ ีถือเป็ นการ
เพิ่มเติมความรู้รอบตัวใหก้ ับตนเองไปในตัวด้วยเพราะ
อยา่ งไรแลว้ ก็เป็ นชุมชนท่ีฉนั เองน้ันมีความใกลช้ ิดอีกชุมชน
หน่ึงเพราะก็ถือวา่ เป็ นชุมชนตน้ กาํ เนิดของฉนั เช่นเดียวกนั

10

หลังจากน้ ี จะเป็ นการกล่าวถึงข้อมูลต่าง ๆ
เก่ียวกบั ชุมชนไทยทรงดาํ ในอาํ ภอพุนพิน จงั หวดั สุราษฎร์
ธานีท่ีไดร้ วบรวมมาอยใู่ นบทความน้ ี

ชุมชนดอนมะลิชาวไทยทรงดําได้อพยพลงมา
สรา้ งชุมชนชาวไทยทรงดาํ ใน พ.ศ. 2497 ต่อมาก็ต้งั ชื่อวา่
บา้ นดอนมะลิปัจจุบันต้ังอยู่หมู่ท่ี 7 ตําบลท่าขา้ ม อําเภอ
พุนพิน จังหวดั สุราษฎร์ธานีการอพยพจากภาคกลางคร้ัง
น้ันนําโดย นายทัศ สระทองแพ ซ่ึงมาต้ังหลักปั กฐานใน
ชุมชนบา้ นทบั ชนั -ไทรงาม เป็ นคนแรกพรอ้ มดว้ ยนายชอบ
ตามมา ดว้ ย นายแดง แคนคุม้ และนายแดง ยอดเพชร

ต่อมาใน พ.ศ. 2500 มีการอพยพตามกนั มา อีก
ระลอกหนึ่ง ซ่ึงเดินทางมาจากหลายจงั หวดั เช่น จงั หวัด
นครปฐม จังหวัดสุพรรณบุรี จังหวัดกาญจนบุรีจังหวัด
ราชบุรีและจงั หวดั เพชรบุรีไดเ้ ขา้ มาจบั จองที่ดินและมาต้ัง
ถิ่นฐานท่ีจงั หวดั สุราษฎรธ์ านีบริเวณสองฟากฝัง่ แม่น้ําตาปี
ตอนช่วงกลางๆ ซึ่งดา้ นหนึ่ง เป็ นทุ่งกวา้ งที่เรียกว่า “ทุ่ง
ปากขอ” อีกดา้ นหน่ึง คือหมู่บา้ นทับชัน หมู่บา้ นไทรงาม
และหมบู่ า้ นท่าสะทอ้ น

11

นายคูณ บวั แกว้ ครภู มู ิปัญญาดา้ นภาษาไทยทรง
ดําและหมอเสนเฮือน เล่าว่าในอดีตการทํามาหากิน
ยากลาํ บาก เพราะพ้ ืนที่ส่วนใหญ่อยู่ในสภาวะน้ําขงั เม่ือมี
การเปล่ียนแปลงอยา่ งน้ัน ก็ตอ้ งมีการหาที่ทาํ มาหากินใหม่
ที่ดีกวา่ จึงไดอ้ พยพกนั มา โดยผทู้ ่ีไดอ้ พยพมาก่อนไดม้ ีการ
พดู คุยชกั ชวนใหต้ ามกนั มาอยทู่ ี่จงั หวดั สุราษฎรธ์ านีเร่ิมจาก
นายทัศ สระทองแพ เป็ นผรู้ ิเร่ิมมาปักหลกั อยู่อาศยั เป็ นคน
แรก ข้นั ตอนการโยกยา้ ยถิ่นฐาน ก่อนท่ีจะยา้ ยเขา้ มาอยกู่ ็
มาดูและติดต่อไวล้ ่วงหน้าแล้ว และค่อยกลับไปอพยพ
ครอบครวั ในภายหลงั

ในปี พ.ศ. 2503 ชาวไทยทรงดําพากนั อยู่อาศัย
อย่างหนาแน่น สองฟากฝัง่ แม่น้ําตาปี ไม่ไดอ้ ยู่ร่วมกนั เป็ น
กลุ่มแบบอย่างเดิมอย่างทางภาคกลางกันแลว้ แต่จะต้ัง
บา้ นเรือนอยู่กระจดั กระจายตามสังคมปักษ์ใตช้ าวบา้ นได้
ช่วยกนั สรา้ งสาํ นักสงฆข์ ้ ึน ท่ีบริเวณวดั ดอนมะลิในปัจจุบนั น้ ี
เพ่ือเป็ นสถานท่ีรวมจิตใจ โดยหลวงพ่อแอเป็ นศูนย์รวม
น้ําใจอนั สาํ คญั พีน่ ้อง ชาวไทยทรงดาํ

12

เม่ืออพยพมาที่สุราษฎร์ธานีก็หวงั ว่าจะมาทาํ นา
เพราะเหมาะแก่การทํานา เป็ นที่ราบลุ่มริมฝัง่ แม่น้ําแต่พอ
มาถึงก็มอี ุปสรรคทาํ ใหท้ าํ ไมไ่ ด้ ถึงทาํ ไปก็ไมไ่ ดผ้ ลเพราะฝน
ตกชุกน้ําท่วมบ่อย ทําใหเ้ กิดความเสียหายมีสัตวร์ บกวน
มากดว้ ย จึงลม้ เลิกการทาํ นาไปในท่ีสุด ต่อมาเม่ือมาอย่ไู ด้
1 - 2 ปี จึงมีการเริ่มปลูกผัก ตอนแรก เป็ นผักลม้ ลุก เป็ น
ผกั ที่ปลกู ส่งตลาด เช่น ฟักทอง ฟักเขียว แตงกวา ปลกู เพื่อ
ความอยรู่ อดแต่ก็เจออุปสรรค ปัจจุบนั ชาวไทยทรงดาํ ส่วน
ใหญ่ประกอบอาชีพดา้ นการเกษตรทําสวนปาลม์ มีอาชีพ
รอง คือ ประมงพ้ ืนบา้ น ปลูกผัก และรบั จา้ งที่โรงงานใกล้
หมู่บา้ น ดา้ นองค์กรชุมชน รวมท้ัง ผูน้ ําชุมชนกลุ่มสัจจะ
ออมทรพั ย์ กลุ่มอาสาสมคั รสาธารณสุขประจาํ หมบู่ า้ น กลุ่ม
ครู ภมู ิปัญญาชุมชน และกลุ่มเยาวชนสืบสานภมู ิปัญญาชาว
ไทยทรงดาํ

13

ต่อมาใน พ.ศ.2552ชุมชนชาวไทย ทรงดําบา้ น
ดอนมะลิก็ไดม้ ีศนู ยเ์ รียนรวู้ ฒั นธรรมไทยทรงในวดั ดอนมะลิ
ซ่ึงเป็ นพ้ ืนที่ ทางสงั คมใหช้ าวไทยทรงดํา ใชเ้ ป็ นพ้ ืนที่ส่วน
ร่วมของกลุ่มชาติพันธุ์จัดกิจกรรม ถ่ายความรู้ อบรม
ฝึกสอนยุวชน ภายใตก้ ารสืบสานวฒั นธรรม

นอกจากน้ ีในชุมชนมีหมอเสนท่ีทําหน้าท่ีในเชิง
พิธีกรรม ส่ิงศักด์ิสิทธ์ิ มีการรวมกลุ่มยุวชนสืบสาน
วฒั นธรรม ช่างฝีมือ และ กลุ่มสัจจะออมทรพั ยก์ ารเขา้ มา
ของหน่วยงาน มูลนิธิและโครงการวิจัยต่างๆ ส่งผลให้
ชุมชนบ้านดอนมะลิมีนั กวิจัยและกลุ่มเยาวชนท่ีได้
ปฏิสมั พนั ธก์ บั สงั คมภายนอก

14

ภาษาของชาวไทยทรงดา

ชาวไทยทรงดํา มีภาษาพูดและภาษาเขียนเป็ น
ของตนเอง อักษรท่ีเป็ นพยัญชนะมี 32 ตัว สระ 14 ตัว
เรียกว่า ภาษาไทดํา หรือภาษาลาวโซ่งนั่นเอง จัดอยู่ใน
ตระกูลภาษาไท-กะได (Tai-Kadai Language Family)
ภาษาพดู มีสาํ เนียงค่อนขา้ งตาํ่ และส้นั กว่าคาํ ในภาษาไทย
ภาคกลาง ลักษณะคลา้ ยคลึงกับภาษาไทยภาคอีสานและ
ภาษาไทยภาคเหนือ ภาษาเขียนของชาวไทดาํ เป็ นอกั ษรชุด
เดียวกับชาวไทดําในเวียดนามยงั คงใชอ้ ยู่ ลักษณะคลา้ ย
อักษรไขว้ ผู้ไทย และอักษรถ่ินต่างๆ แถบอ่าวตังเกี๋ย
สนั นิษฐานว่าอาจไดร้ ับอิทธิพลจากรูปแบบอักษรลา้ นชา้ ง
ซึ่งตัวอักษรลา้ นชา้ งก็ไดร้ ับอิทธิพลจากรูปแบบอักษรไทย
สมยั สุโขทยั อีกทอดหนึ่ง แต่ดว้ ยเหตุท่ีอกั ษรไทดาํ ไม่ปรากฏ
ศักราชและหลักศิลาจารึกใดๆ ใหท้ ราบโดยแน่ชัด จึงไม่
สามารถสันนิ ษฐานได้ว่าอักษรชนิ ดน้ ี มีมาแต่สมัยใด
ปั จจุบันภาษาไทดําเหลือผูใ้ ชน้ ้อย ส่วนใหญ่เป็ นผูอ้ าวุโส
เน่ืองจากในรุ่นถัดมา ไดร้ ับการศึกษาในระบบ การฟังพูด
อ่านเขียนใชภ้ าษาไทยเป็ นหลัก เน่ืองจากไดเ้ ขา้ มาอยู่ใน
ประเทศไทย ทําใหล้ ูกหลานได้รับการศึกษา ฟังพูดอ่าน
เขียนภาษาไทย

15

ชาวไทยทรงดําจะมีภาษาพูดเฉพาะของตนเอง
เม่ืออยู่กับพวกพ่ีน้องหรือญาติสนิทกันจะส่งภาษาเดียวกนั
แต่ภาษาเขียนของชาวไทยทรงดาํ ไม่มีใครเขียนไดแ้ มก้ ระทงั่
ผสู้ งู วยั บางท่านยงั เขียนภาษาไทยทรงดาํ ไม่ไดน้ อกจากผูท้ ี่มี
ความรูใ้ นดา้ นไสยศาสตร์หรือคาถาอาํ คมหรือพ่อมด บาง
ท่านก็เขียนไดแ้ ต่ถือวา่ เป็ นส่วนนอ้ ย

ชาวไทยทรงดํา (โซ่งดํา) จะใชภ้ าษาถ่ินท่ีใชใ้ น
การดาํ รงชีวิตประจาํ วนั ในที่น้ ีจะขอยกตวั อยา่ งเกี่ยวกบั การ
เรียกญาติพอสงั เขป เชน่

ภาษาพดู อา้ ยป่ ู แปลวา่ ป่ ู (พอ่ ของพอ่ )
ภาษาพดู เอ็มยา่ แปลวา่ ยา่ (แมข่ องพอ่

16

เพม่ิ เตมิ เสรมิ ความรู้

จากการกล่าวถึงภาษาของชาวไทยทรงดําน้ันจึง
ไดน้ ําระบบเสียงของภาษาไทยทรงดาํ มาเป็ นความรเู้ พ่ิมเติม
โดยจะเป็ นการกล่าวถึงความรูเ้ กี่ยวกบั ระบบเสียงพยญั ชนะ
สระ และวรรณยุกตข์ องภาษาไทยทรงดาํ ดงั น้ ี

ตารางแสดงหน่วยเสียงพยญั ชนะในภาษาไทยทรงดา

-

p tK ʔ
ph th kh h
b d

f C
m ch

w s
n ɲŋ
l

j (w)

17

หน่วยเสียงพยญั ชนะ คู่เทียบเสียง

/t/-/s/ [tom2] <ต่ม> “ตม้ ” - [som2] <ส่ม> “สม้ ”

/ʔ/-/f/ [ʔa:j2] <อ่าย> “พ่อ” - [fa:j2] <ฝ่าย> “ดา้ ย”

/c/-/w/ [ca:n1] <จ๋าน> “คลาน” - [wa:n1] <หวาน> “หวาน”
/ɲ/-/h/ [ɲa: ŋ4] <หญ่าง> “เดิน”- [ha: ŋ4] <หา่ ง> “ดกั ”

/l/-/j/ [la: ʔ4] <หละ> “ลาก” - [ja: ʔ4] <หยะ> “ยาก”

ตารางแสดงหน่วยเสียงสระเดี่ยวในภาษาไทยทรงดา

รูปร ปาก หอ หอ
น้า กลางคอนไป ลัง ลัง
า หนง อง ้น
ระดบั อง ้น i,i: ɨ,ɨ: u,u:
e,e: ə,ə: o,o:
สูง ɛ,ɛ: a,a:
ก าง Ɔ,Ɔ:



ตารางปรากฏว่าหน่วยเสียงสระเด่ียวในภาษาไทย
ทรงดาํ มี 18 หน่วยสียงไดแ้ ก่ / i,i:, e,e: ,ɛ,ɛ:, ɨ,ɨ:,
ə, ə:, a, a: , u ,u: , o,o:, Ɔ,Ɔ:/ ดงั ตวั อยา่ งคู่เทียบเสียง

ดงั ต่อไปน้ ี

18

ค่เู ทยี บเสยี งสระเดย่ี วเสยี งส้นั

หน่วยเสียงสระ ค่เู ทียบเสียง

/i/-/ Ɔ/ [piʔ1] <ป๋ิ > “ปี ก” - [p Ɔʔ1] <เป๋ าะ> “ปอก”

/e/-/a/ [cep1] <เจ็บ> “เจบ็ ” - [cap1] <จบั๋ > “จบั ,หยบิ ”

/ɛ/-/o/ [tɛʔ1] <แต๋ะ> “แตก” - [toʔ1] <โต๋ะ> “โตะ๊ ”

/ɨ/-/a/ [nɨŋ4] <หน่ึง> “น่ึง” - [naŋ4] <หนัง่ > “นัง่ ”

คเู่ ทียบเสียงสระเด่ียวเสยี งยาว

หน่วยเสียงสระ ค่เู ทียบเสียง

/i:/-/u:/ [pi:1] <ป๋ี > “ปี ” - [pu:1] <ป๋ >ู “ป”ู

/e:/-/ɛ:/ [pe:ŋ1] <เป๋ ง> “เพลง” - [pɛ:ŋ1] <แป๋ ง> “แปรง”

/ɛ:/-/a:/ [kɛ:w2] <แก่ว> “เค้ ียว” - [ka:w2] <ก่าว> “กา้ ว”

/ɨ: /-/a:/ [mɨ:3] <ม่ือ> “มือ” - [ma:3] <ม่า> “มา”

19

ตารางแสดงหน่วยเสียงสระประสมในภาษาไทยทรงดา

i: ɨ: u:

a

จากตารางปรา กฏว่าในภาษาไ ทยทรงดํามีหน่ วย
เสียงสระประสม 3 หน่วยเสียงไดแ้ ก่ /ia , ɨa , ua / สระ
ประสมท้ัง3หน่วยน้ันไม่มีคู่เทียบเสียงระหว่างหน่วยเสียงสระ
ส้นั กบั หน่วยเสียงสระยาว ดงั ตวั อยา่ งคาํ สองกลุม่ ต่อไปน้ ี

กลุม่ ท่ีประสมดว้ ยสระเสียงส้นั กลุม่ ท่ีประสมดว้ ยสระเสียงยาว
ia , ɨa , ua i:a , ɨ:a , u:a

[piaʔ1] <เปี๋ ยะ> “เปี ยก” [ki:a1] <เกี๋ย> “คา้ งคาว”
[pɨaʔ1] <เป๋ื อะ> “เปลือก” [kɨ:a1] <เก๋ือ> “เกลือ”
[puaʔ1] <ปั๋วะ> “ปลวก” [ku:a1] <กวั๋ > “กลวั ”
[lɨaʔ4] <เหลือะ> “เลือก”
[ŋɨaʔ4] <เหงือะ> “เหงือก” [ki:aw1] <เกี๋ยว> “เคียว”

[su:an1] <สวน> “สวน”

20

ระบบเสียงวรรณยกุ ต์

การเปรียบเทียบระบบการแยกเสียงวรรณยุกต์
จะทาํ ใหเ้ ห็นถึงความแตกต่างของระบบเสียงวรรณยุกตไ์ ด้
อยา่ งชดั เจน ดงั ปรากฏในตารางต่อไปน้ ี

ตารางแสดงการแยกเสียงวรรณยุกต์ ตารางแสดงการแยกเสียงวรรณยุกต์

ภาษาไทยทรงดาํ ภาษาไทยมาตรฐาน

A B C DL DS A B C DL DS

1 /2/ /1/ 1 /1/ /2/ /3/ /4/
2/ 1/ [33] [24] [24] [22] [41] [22]
/3/ /5/ /3/ /5/
[24] 2 [41] [55] [41] [55]
3 3 /4/

/3/ /4/ /5/ /4/ [33]
4 [343] [22] [32] [22] 4

21

เนือ้ หา
-วิถชี วี ติ ของชาวไทยทรงดา
-การแตงกาย
-การประกอบอาชพี
-อา าร
จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
1.รู้และเขา้ ใจเก่ียวกับวิถชี วี ติ ของชุมชน
2.เ น็ ถงึ ความสาคญั ของชุมชน

มโนทศั น์

ในบทน้ ีจะเป็ นการนําเสนอเกี่ยวกับ
วิถีชีวิต การแต่งกาย การประกอบอาชีพ
และอาหารของชาวไทยทรงดาํ โดยจะเป็ นการ
นําเสนอผ่านการเล่าเร่ืองแบบนิทานซ่ึงจะเป็ น
การที่จะใชน้ ิทานในการสรา้ งความน่าสนใจ
ใหก้ บั ผูอ้ ่าน เพื่อใหผ้ ูอ้ ่านไดต้ ิดตามอ่านเน้ ือ
เรื่องต้ังแต่ตน้ จนจบไดอ้ ย่างเพลิดเพลินและ
เห็นภาพมากยง่ิ ข้ นึ เกยี่ วกบั ชุมชนไทยทรงดาํ

23

คณุ ยาย มะปุก คณุ แม่ คณุ พอ่
24

ณ ชุมชนดอนมะลิซ่ึงต้งั อยรู่ ิมแมน่ ้ําตาปี เป็ นท่ี
อาศยั ของชาวไทยทรงดาํ ซึ่งในหม่บู า้ นน้ ีประกอบไปดว้ ย
หลายครอบครวั รวมไปถึงครอบครวั ของมะปุกสาวน้อย
น่ารักที่ตอนน้ ีกําลังศึกษาอยู่ในช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 3
โดยครอบครัวของมะปุกน้ันก็เป็ นชาวไทยทรงดํา
เช่นเดียวกนั โดยบา้ นของมะปุกน้ันเป็ นบา้ นท่ีมีใตถ้ ุนสงู
ซึ่งบา้ นในละแวกน้ันก็จะมีลกั ษณะเดียวกนั เกือบท้งั หมด
ซ่ึงในครอบครวั ของมะปุกน้ันมีสมาชิกท้งั หมด 4 คน คือ
พ่อ แม่ ยาย และมะปุก โดยพ่อประกอบอาชีพ
เกษตรกร และแม่ประกอบอาชีพทอผา้ ซึ่งเป็ นอาชีพท่ี
สืบทอดมาต้งั แต่รุน่ ป่ ยู า่ ตายาย

25

ในรุง่ เชา้ วนั ศุกรท์ ี่สดใส มะปุกไดต้ ่ืนข้ ึนมาต้งั แต่
เชา้ เพ่ือเตรียมตัวไปโรงเรียนโดยท่ีพ่อของมะปุกจะเป็ น
คนไปส่งท่ีโรงเรียนในทุกเช้า และเมื่อไปส่งมะปุกที่
โรงเรียนแลว้ น้ันจะเดินทางไปยงั สวนปาลม์ เพราะนัน่ คือ
อาชีพท่ีใชเ้ ล้ ียงครอบครัว ในดา้ นของแม่ของมะปุก
น้ันเม่ือจดั การเตรียมตัวใหก้ บั มะปุกเรียบรอ้ ยแลว้ น้ันก็
ไดล้ งมือทอผา้ ต่อจากที่ไดท้ ําคา้ งไวโ้ ดยในการทอผา้ น้ัน
ยายเป็ นคนที่สอนแม่ของมะปุกต้งั แต่เด็ก ๆ เพ่ือเป็ นการ
สืบสานการทอผา้ ใหย้ งั คงอยู่ต่อไป และในขณะท่ีแม่
ของมะปุกน้ันกาํ ลงั นัง่ ทอผา้ อย่นู ้ันก็ไดน้ ัง่ คุยกบั ยายของ
มะปุกไปดว้ ยและไดพ้ ดู คุยเก่ียวกบั เร่ืองราวเก่า ๆ ต้งั แต่
แม่ของมะปุกยงั เด็กๆ โดยยายก็ไดพ้ ดู ถึงเรือ่ งตอนที่สอน
การ ทอผา้ ใหก้ บั แมข่ องมะปุก

26

แม่ : “ พอไดม้ านัง่ ทอผา้ แบบน้ ีแลว้ ก็นึกถึงสมยั ก่อน
เหมอื นกนั นะแม่ ”
ยาย : “นัน่ สิ ตอนน้ันลูกยงั เด็กอยู่เลยเวลาผ่านไป
เร็วจริง ๆ รูส้ ึกเหมือนเพิ่งสอนใหท้ อผ้าไปเอง มา
ตอนน้ ีมลี กู ซะแลว้ ”
แม่ : “เมอ่ื กอ่ นตอนที่แมส่ อนใหท้ อผา้ รสู้ ึกวา่ ไม่อยาก
ทาํ เลยเพราะวา่ ยากมาก แต่พอทาํ ไดค้ ล่อง แลว้ ก็รสู้ ึก
ภมู ิใจในตวั เอง ” เม่ือนึกถึงแลว้ ก็ขาํ กบั ตวั เอง

เม่ือตกเย็นก็ถึงเวลาเลิกเรียนของมะปุก ซ่ึงก็
ถึ ง เ ว ล า ที่ พ่ อ ข อ ง ม ะ ปุ ก น้ั น เ ส ร็ จ จ า ก ง า น ใ น ส ว น
เช่นเดียวกัน พ่อของมะปุกจึงได้ไปรับมะปุกท่ี
โรงเรียนและเดินทางกลับบา้ นพรอ้ มกันเมื่อถึงบา้ น
แลว้ มะปุกก็ไดส้ วสั ดีแม่และยายและนํากระเป๋ าไปเก็บ
ในบา้ น

27

เย็นวันน้ ีมะปุกรูส้ ึกดีใจมากกว่าวันอ่ืน ๆ
เพราะเป็ นเย็นวนั ศุกรจ์ ึงไม่ตอ้ งรีบทาํ การบา้ นเพราะ
พรุ่งน้ ีเป็ นวนั หยุดจึงเล่นไดอ้ ยา่ งเต็มที่ เม่ือถึงเวลา
กินขา้ วแลว้ น้ันยายกบั แม่ของมะปุกก็เรียกใหพ้ ่อของ
มะปุกและมะปุกมากนิ ขา้ ว

มะปุก: “วนั น้ ีแมก่ บั ยายทาํ อะไรใหห้ นูกินจะ๊ ”
แม่ : “ผัดไสห้ มู แกงหน่อสม้ ผักจุ๊บ หมูทอด ผัด
ผกั บุง้ ”
มะปุก: “น่ากนิ จงั เลยจะ้ แม่”
ยาย : “น่ากนิ ก็กินเยอะ ๆ นะหลานจะไดโ้ ตไว ๆ ”
พอ่ : “ทุกคนกนิ ขา้ วกนั เถอะ”
แม่ : “จา้ ๆ”
ยาย : “เออๆ ”
มะปุก: “จา้ พ่อ”

28

ทุกคนก็นัง่ ลอ้ มวงกนั กินขา้ วแลว้ ก็พดู คุยกนั
อยา่ งสนุกสนานและมีความสุข เมื่อกนิ ขา้ วเสร็จแลว้ ก็
ไดเ้ วลาเขา้ นอนโดยทุกคนนอนรวมกนั ในหอ้ ง มะปุก
นอนอยู่ระหว่างพ่อกบั แม่และยายนอนอยู่ถดั ไปรสู้ ึก
ไดถ้ ึงความอบอุ่นภายในครอบครวั ไดเ้ ป็ นอยา่ งดี

เชา้ วันเสาร์ มะปุกต่ืนสายกว่าปกติเพราะ
เป็ นวนั หยุดไม่ตอ้ งรีบต่ืนไปโรงเรียน เม่ือตื่นแลว้ มะ
ปุกจึงไปอาบน้ําแต่งตัว ขณะเดียวกันเมื่อมะปุก
แต่งตัวเสร็จแลว้ น้ันแม่ก็ไดเ้ รียกใหม้ ะปุกมากินขา้ ว
และเน่ืองจากวนั น้ ีเป็ นวนั หยุด ทุก ๆ คนในครอบครวั
ก็ไดใ้ ชเ้ วลาร่วมกนั ในการพดู คุยอย่างมีความสุขและ
อบอุน่

29

ยาย : “เออ้ เด๋ียวเย็นน้ ีออกไปตลาดนะไปซ้ ือของมา
เตรียมไปทาํ บุญวนั พรุง่ น้ ี”
แม่ : “ไดจ้ ะ้ แม”่
มะปุก : “หนูขอไปดว้ ยนะจะ้ แมจ่ า๋ ”
แม่ : “ไดส้ ิจะ้ ยยั หนู”

เ ม่ื อ ถึ ง เ ว ล า ใ น ช่ ว ง เ ย็ น แ ม่ แ ล ะ ม ะ ปุ ก ก็ ไ ด ้
เดินทางไปยงั ตลาดเพ่ือซ้ ือของไวท้ ําอาหารไปทําบุญ
ในวนั พรุ่งน้ ี เมื่อเดินทางไปถึงตลาดแลว้ น้ันเห็นว่า
ผคู้ นเยอะเป็ นพิเศษเพราะก็ต่างออกมาจบั จ่ายซ้ ือของ
เ พื่ อ เ ต รี ย ม ไ ป ทํ า บุ ญ กั น บ ร ร ย า ก า ศ ใ น ต ล า ด จึ ง
ครึกคร้ นื เป็ นพเิ ศษ เม่ือซ้ ือของเสร็จแลว้ ท้งั สองคนแม่
ลูกก็เดินทางกลับบา้ น และเม่ือเดินทางถึงบา้ นแลว้
น้ันก็ไดจ้ ดั แจงทาํ อาหารม้ ือเย็นเม่ือทาํ เสร็จแลว้ ก็ลอ้ ม
วงกนั กินขา้ วและพดู คุยกนั อย่างอบอุ่นเหมือนเช่นทุก
วนั ที่ผ่านมา เมอื่ กนิ ขา้ วเสร็จแลว้ ทุกคนก็เขา้ นอน

30

เชา้ วันอาทิตย์ เวลาประมาณตีหา้ แม่และ
ยายตื่นเชา้ กว่าปกติเพราะตอ้ งลุกข้ ึนมาเตรียมของไป
ทาํ บุญที่วดั ดอนมะลิซึ่งเป็ นวดั ประจาํ ชุมชนไทยทรงดาํ
เม่ือมีงานบุญผูค้ นในชุมชนต่างก็จะไปรวมตัวกนั ที่วดั
น้ ี วดั ดอนมะลิจึงถือว่าเป็ นศนู ยร์ วมของคนในชุมชน
ไม่นานนักแม่และยายก็เตรียมของท่ีจะใชท้ าํ บุญเสร็จ
เรียบรอ้ ยจึงไดอ้ อกเดินทางไปยงั วดั เมื่อเดินทางไป
ถึงวดั ก็จะเห็นผูค้ นท้ังเด็กและผูใ้ หญ่น้ันใส่ชุดประจาํ
ชุมชนไทยทรงดําคือการนุ่งผ้าซิ่นกับเส้ ือแขนยาว
ทรงกระบอกของผู้หญิง ส่วนของผู้ชายน้ันจะเป็ น
กางเกงท่ีมลี กั ษณะคลา้ ย ๆ กบั กางเกงจีนเรยี กวา่ สว้ ง
และใส่เส้ ือฮีชาย โดยท้งั ชุดของผูห้ ญิงและผูช้ ายน้ันจะ
เป็ นสีดาํ ซึ่งเป็ นสีประจาํ ชุมชนอีกดว้ ย เพราะไทยทรง
ดาํ น้ันมาจากการท่ีคนในชุมชนน้ันสวมเส้ ือผา้ สีดาํ กนั
เป็ นจาํ นวนมาก สีดาํ จงึ กลายมาเป็ นสีประจาํ ชุมชน

31

ผสู้ าวลาว มาเวา้ บอก

กลุ่มไทยทรงดาํ น้ันมีมาอยา่ งชา้ นานจึงยอ่ มมีวิถี
ชีวิตที่ได้สืบทอดต่อกันมาของชุมชนตนเองท้ังด้านของ
อาชีพ อาหาร การแต่งกายรวมไปถึงวิถีชีวิตต่าง ๆ วนั น้ ี
เราจะมาทาํ ความรจู้ กั กบั กลุ่มชาวไทยทรงดาํ กนั ถา้ ทุกคน
พรอ้ มแลว้ เราก็ไปทาํ ความรจู้ กั กบั ชาวไทยทรงดาํ กนั เลย

32

อาชีพ

อาชีพหลักของไทยทรงดําคือ ทํานาซ่ึงเป็ น
อาชีพด้ังเดิมที่สืบทอดกันมา ในสมัยก่อนใช้ควาย
สําหรับไถนา มีตํานานไทยทรงดําเล่าขานกันมาว่า
แถนหรือเทวดาเป็ นผูส้ ่งควายใหม้ าเป็ นสัตว์ใชส้ อย
ช่วยงานมนุ ษย์ทํามาหากิน ดังน้ันควายจึงมีความ
เกี่ยวขอ้ งกบั วถิ ีชีวติ ของคนไทยทรงดาํ มาแต่โบราณกาล
ปัจจุบนั รถไถนาใชแ้ ทนควาย ตลอดจนมีเครื่องนวดขา้ ว
ทาํ ใหม้ ีการเอาแรงกนั น้อยลง คนไทยทรงดาํ ยงั มีอาชีพ
การทาํ สวนผกั เราจะพบผเู้ ฒ่าผแู้ ก่เก็บพืชผกั เช่น ยอด
มะขาม ข้ ีเหล็ก ผักบุง้ ตําลึง ฯลฯ ท้ังที่ปลกู เองและข้ ึน
ต า ม ธ ร รม ช า ติ ม าบิ โ ภ ค แ ล ะ จํา ห น่ า ย กัน ใน ห มู่บ้า น
และเล้ ียงสัตว์ เช่น หมู ไก่ ววั เพื่อบริโภค หรือเพ่ือใช้
เป็ นเครื่องเซน่ ไหวผ้ ีในพิธีต่าง

33

การแตง่ กาย

เสือ้ ของผู้หญิงและผู้ชาย เสือ้ ก้อมผู้ชาย เสือ้
ก้อม หมายถึง เสือ้ ที่มีรูปทรง สนั้ ๆ มีความยาวตงั้ แต่คอ
เสอื ้ ถึงสะโพก เสอื ้ ก้อมใช้สาหรับสวมใสไ่ ปทางาน เดินทาง
ไปตา่ งหมบู่ ้านหรือใช้ค่กู บั เสือ้ เชิต้ สีขาว โดยสวมเสือ้ เชิต้ สี
ขาวไว้ข้างในแล้วจงึ สวมเสอื ้ ก้อมทบั อีกชนั้ หน่ึงโดยพบั ปก
เสือ้ เชิต้ ออกมาด้านนอกเรียกว่า”คอแก่น”ซ่ึงหมายถึง”คอ
2 ชนั้ ”สวมใสใ่ นการฟ้ อนไทยดา

34

ผา้ ซิ่นลายแตงโม

ผา้ ซิ่นลายแตงโม ผา้ ซ่ินหรือผา้ ถุง คือผา้ ท่ีใชน้ ุ่ง
ในชีวติ ประจาํ วนั และในพิธีกรรมต่างๆ โดยมีการใชแ้ ตกต่าง
กนั คือ ผูห้ ญิงท่ียงั ไม่ไดแ้ ต่งงานจะนุ่งซิ่นต่อหวั แต่ผูห้ ญิงที่
แต่งงานแลว้ ผา้ ซิ่นหรือผา้ ถุง คือ ผา้ ท่ีนุ่งในชีวิตประจําวัน
และในพิธีกรรมต่างๆ โดยมกี ารใชแ้ ตกต่างกนั คือผหู้ ญิงท่ียงั
ไม่ไดแ้ ต่งงานจะนุ่งซิ่นต่อหวั แต่ถา้ ผูห้ ญิงที่แต่งงานแลว้ ตอ้ ง
นุ่งซิ่น 2 ผืน เพอ่ื ป้ องกนั ประจาํ เดือนที่อาจมาไมป่ กติ ถา้ นุ่ง
ซ่ินผืนเดียวอาจทําใหเ้ ป้ ื อนผา้ ซ่ินไดช้ าวไทยทรงดํา จึงมีคํา
กล่าวไวว้ ่าซอย ”สาวน้อย ขอดซอย เอ้ ือม ไหล่ สาวใหญ่ๆ
นุ่งซิ่นต่อหวั สาวมีผวั นุ่งซ่ินสองซอ้ น”

35

ผา้ เปี ยวหรอื ผา้ พนั ศีรษะ

ผา้ เปี ยว หมายถึง ผา้ ที่ใส่ศีรษะแทนหมวกเป็ นผา้
ที่ทอจากฝ้ าย หรือผา้ ไหมสีครามเขม้ ผา้ เปี ยวเป็ น
สญั ลกั ษณข์ องการมีเจา้ ของและคนชรา ผหู้ ญิงสาวจึงเตรียม
จดั ทําผา้ เปี ยวไวเ้ พื่อนําไปเป็ นผา้ ไหวแ้ ม่สามี คนสงู อายุมกั
ห่มผ้าเปี ยวอยู่กับบ้าน หรือห่มไปวัด โดยห่มเฉียงบ่า
เหมอื นกบั หม่ ผา้ สไบ แมแ้ ต่ตอนเสียชีวติ ก็ตอ้ งมีผา้ เปี ยวหม่
โดยมีความเชื่อว่าลวดลายผา้ เปี ยวเป็ นสัญลักษณ์ประจํา
ตระกูล เมื่อเสียชีวิตก็ท่ีตอ้ งมีผา้ เปี ยวหม่ โดยมีความเช่ือวา่
ลวดลายผา้ เปี ยวเป็ นสญั ลกั ษณ์ประจาํ ตระกูล เมื่อเสียชีวิต
ลงญาติที่ล่วงลบั ไปก่อนแลว้ จะเดินทางมารบั เพื่อไปอยู่ใน
ดินแดนเดียวกนั ไดถ้ กู ตอ้ ง

36

อาหาร

ชาวไทยทรงดาํ นิยมรบั ประทานอาหารรส
จดั เชน่ เผ็ด เค็ม เปร้ ียว และในพธิ ีกรรม ส่วนใหญ่
จะมี แกงหน่อสม้ เลือดตา้ แกงผาํ ผกั จุบ๊ ผดั เผ็ดไสห้ มู
แจว่ เอือดดาน รวมอยดู่ ว้ ย เป็ นตน้

37

เนื้อหา
-ประเพณวี ัย นุม
-พิธีแตงดอง รือกนิ ดองใ ญ
-พิธีเสนเฮือน (เสนเรือน)
จดุ ประสงค์การเรียนรู้
1.รู้และเขา้ ใจเกี่ยวกับพิธีกรรมของชุมชน
2.เ ็นคุณคาของพิธีกรรมท่สี ะท้อนถงึ ชุมชน

มโนทศั น์

ในบทน้ ีจะเป็ นการนําเสนอเน้ ือหาใน
รูปแบบของสารคดีโดยจะเป็ นการกล่าวถึง
พิธีกรรม ประเพณีต่าง ๆ ของชาวไทยทรงดาํ
ท่ี ไ ด ้รับ ก า ร สื บ ท อ ด ม า ต้ัง แ ต่ บ ร ร พ บุ รุ ษ ม า
จนถึงปั จจุบัน เพื่อเป็ นการเผยแพร่ข้อมูล
เก่ียวกับพิธีกรรมของชุมชนใหแ้ ก่บุคคลท่ีมี
ความสนใจได้ศึกษา ค้นควา้ เพ่ือเป็ นการ
เสริมความรูใ้ หแ้ ก่ผู้ที่มาศึกษาสารคดีเล่มน้ ี
นอกจากน้ ี ยังช่วยให้ผู้ศึกษาได้รู้เก่ียวกับ
พิธีกรรมของชุมชนอ่ืน ๆ นอกจากชุมชนของ
ตนเองเพอ่ื ใหเ้ ห็นถึงความหลากหลายในความ
เช่ือท่ีมีในแต่ละชุมชน

39

สารคดเี ร่ือง พิธกี รรมดาเนินชีวิต”

เชื่อวา่ ในทุก ๆ ชุมชนน้ันจะตอ้ งมีเร่ืองของความเช่ือท่ี
อยคู่ ู่กบั ผคู้ นในชุมชนอยา่ งแน่นอน ซ่ึงความเช่ือน้ ีเม่ือไดข้ ยายไป
ในวงที่กวา้ งมากย่ิงข้ ึนแลว้ น้ันยอ่ มส่งผลใหค้ วามเช่ือน้ันกลายมา
เป็ นพิธีกรรมท่ีผูค้ นในชุมชนไดม้ ีการประพฤติปฏิบัติเพื่อบูชา
หรือเคารพในบางส่ิงท่ีตนเองน้ันนับถืออยู่ โดยในดา้ นของความ
เช่ือน้ันเราทุก ๆ คนย่อมตอ้ งเคยพบเจอกันอยา่ งแน่นอนเพราะ
เป็ นส่ิงที่มีมาอย่างชา้ นานและไดร้ ับการสืบทอดต่อกันมาจนถึง
ปั จจุบัน ซึ่งในแต่ละชุมชนน้ันย่อมมีความแตกต่างกันไปตาม
ปัจจยั ในหลาย ๆ ดา้ น เช่น ชาติพนั ธุ์ ที่อยอู่ าศยั หรือการไดร้ บั
อิทธิพลมาจากท่ีอื่น เป็ นตน้

40

เมื่อกล่าวถึงความเชื่อหรือพิธีกรรมต่าง ๆ แลว้ น้ันจะ
เห็นไดว้ ่ามีพิธีกรรมที่เกี่ยวขอ้ งกบั วิถีชีวิตต้งั แต่เกิดจนถึงตายอยู่
อย่างมากมายซ่ึงก็น่าจะปรากฏอยู่ในทุก ๆ ชุมชนซึ่งรวมไปถึง
ชุมชนของชาวไทยทรงดําดว้ ย โดยในกลุ่มชาติพนั ธุ์ไทยทรงดํา
น้ันมีอยู่หลายพิธีกรรมที่ยงั คงยึดถือปฏิบัติสืบทอดกันมาอย่าง
เครง่ ครดั โดยเฉพาะประเพณีที่เกี่ยวขอ้ งกบั ผี ไดแ้ ก่ ประเพณีเสน
ต่างๆ ประเพณีข้ ึนบ้านใหม่ในขณะเดียวกันก็รับและมีการ
ผสมผสานกับวฒั นธรรมไทยดว้ ย เช่น ประเพณีสงกรานต์ การ
บวช การไปวดั เพอ่ื ทาํ บุญในวนั สาํ คญั ทางพทุ ธศาสนา เป็ นตน้

ต่อไปน้ ีจะเป็ นการกล่าวใหเ้ ห็นถึงพิธีกรรมที่กลุ่มชาติ
พนั ธุ์ไทยทรงดําน้ันไดร้ ับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษซึ่งจะ
เป็ นพิธีกรรมท่ีมีความขอ้ งเกี่ยวกับการดําเนินชีวิตของผูค้ นใน
ชุมชน

41

พิธีกรรมเกี่ยวกบั การเกิด

การเกิด ของชาวไทยทรงดําปัจจุบันไดเ้ ปลี่ยนแปลงไป
จากอดีต ดว้ ยมีการรับและผสมผสานวฒั นธรรมพุทธเขา้ ไวด้ ว้ ย
ตามธรรมเนียมด้งั เดิมแลว้ ต้งั แต่ผูเ้ ป็ นแม่รตู้ นเองว่ามีครรภ์ ผูเ้ ป็ น
แม่คงทํางานตามปกติโดยเช่ือวา่ การไดอ้ อกแรงจะทาํ ใหค้ ลอดลูก
ง่าย

ก่อนคลอดมีการทําพิธีเซ่นผีเรือนเรียกว่า “วานขวญั ผี
เรือน” คอยหมอขวญั เป็ นผูท้ ําพิธีฆ่าไก่เซ่นผีญาติพ่ีน้องที่ตายท้ัง
กลมหรือตายในขณะคลอดลกู เพอ่ื ไมใ่ หม้ ารบกวนในขณะคลอดเม่ือ
เด็กคลอดแลว้ จะตดั สายรกซึ่งเรียกวา่ “สายแห”่ จากน้ันอาบน้ําเด็ก
ดว้ ยน้ําอุ่นแลว้ นําไปวางในกระดง้ รอจนกระทงั่ สายรกหลุดออกมา
นํารกใสก่ ระบอกไมไ้ ผ่แลว้ เอาไปแขวนท่ีคบไมใ้ หญ่ในป่ า

ส่วนผูเ้ ป็ นแม่ก็ใหล้ า้ งทําความสะอาดร่างกายเล็กน้อย
แลว้ นัง่ อยูไ่ ฟเป็ นเวลา 1 เดือน เรียกว่า “อยกู่ าํ เดือน” ขณะอยไู่ ฟ
ตอ้ งอาบน้ํารอ้ นตม้ ผสมใบไมซ้ ึ่งเป็ นสมุนไพรพ้ ืนบา้ นจนครบเดือน
ในระยะแรก ของการอยู่ไฟจะนั่งอยู่ท่ีเตาไฟตลอดเวลา 3 วัน
เรียกว่า “อยู่กาํ ไฟ”แม่กาํ เดือนหรือหญิงท่ีอยู่ไฟจะรบั ประทานได้
เฉพาะขา้ วเหนียวนึ่งกบั เกลือควั่ หรือเกลือเผาจนครบ 3 วนั จึงออก
กาํ ไฟ

42

จากน้ันมีการเซ่นผียา่ ไฟโดยใชไ้ ข่ 1 ฟอง ไปวางไวท้ ี่
ทารกแรกคลอดทาํ พิธีเซ่นสู่ขวญั เพ่ือใหด้ ูแลรกั ษา เด็กน้อยท่ี
เกิดใหม่ สําหรบั แม่ใชไ้ ก่ตม้ ขา้ วตม้ ขนม จดั ใส่สาํ รบั ทําพิธีสู่
ขวญั เม่ือถึงเวลากลางคืนก็ใหแ้ ม่และเด็กน้อย ยา้ ยไปนอนท่ี
นอนตามปกติ แต่ผูเ้ ป็ นแม่จะตอ้ งอยู่ไฟ ต่อไปจนครบ 30 วนั
จึงสามารถออกมากําเดือนได้ แต่ในปัจจุบนั ไทยทรงดาํ สาวน
ใหญ่คลอดลกู ท่ีโรงพยาบาลจึงไมเ่ ห็นการประกอบพิธีน้ ีแลว้

43

พิธีกรรมเกี่ยวกบั การแตง่ งาน

พิ ธี ก ร ร ม ที่ เ ก่ี ย ว ข ้อ ง กับ ง า น แ ต่ ง น้ั น จ ะ มี ก า ร แ บ่ ง
ออกเป็ นสองช่วงคือ ประเพณีวยั หนุ่มและพิธีแต่งดองหรือกิน
ดองใหญ่ ซึ่งมรี ายละเอียดต่อไปน้ ี

ประเพณีวัยหนุ่ม โดยพิธีกรรมน้ ีน้ันจะเป็ นการท่ี
พ่อจะสอนลกู ชายใหร้ ูจ้ กั การทําไร่ไถนา จกั สาน เช่น สานกะ
เหล็บ กระบุง ขอ้ ง ไซ และภาชนะต่าง ๆ สว่ นแมจ่ ะสอนลกู สาว
ใหร้ ูจ้ กั เวียกเหยา้ การเรือน ปั่นฝ้ าย เล้ ียงไหม สาวไหม ทอผา้
และการประดิษฐ์ลวดลายต่าง ๆ บนผืนผา้ เลือกคู่ครองเมื่อ
อายุยา่ งเขา้ ส่วู ยั หนุ่ม วยั สาว ผสู้ าวจะชวนเพ่อื น ๆ ไปลงขว่ งปั่น
ฝ้ ายเป็ นกลุ่ม ๆ ในยามคาํ่ คืนของฤดูหนาว ส่วนผบู้ ่าวก็จะชวน
กนั ไปเก้ ียวสาวปั่นฝ้ าย โดยเป่ าปี่ แลว้ ขบั ไทดาํ วนเวยี นไปมา
ตามข่วงโน้นบา้ งข่วงน้ ีบา้ ง มีการขบั โตต้ อบกนั ไปมาระหว่าง
หนุ่มสาวจนดึกด่ืนจึงกลับข้ ึนเรือนโดยมีผู้บ่าวท่ีชอบพอกัน
ติดตามไปส่ง กระทาํ เช่นน้ ีเป็ นกิจวตั รประจาํ จนเกิดความรกั ซ่ึง
กนั และกนั

44

ฝ่ายชายจะเลา่ ใหพ้ อ่ แมฟ่ ังเก่ียวกบั เรื่องที่ตนไปรกั มกั
ผูส้ าวแลว้ อยากไดเ้ ป็ นภรรยา หลังจากน้ันพ่อแม่ก็จะไปหารือ
บรรดาลุงป้ าน้าอาท่ีนับถือ แลว้ แต่ง"พ่อใช"้ ไปถามผูใ้ หญ่ฝ่ าย
หญิง ๒-๓ คร้งั

โดยปกติการไปถามคร้ัง
แรกหรือคร้งั ที่สองพ่อแม่ฝ่ ายหญิงจะ
ยงั ไม่ตอบตกลงหรืออาจบอกปัดก็ได้
ดังน้ันจึงไปถามอีกเป็ นคร้ังที่สาม
เรียกวา่ ถามขาด เมื่อพอ่ แม่ฝ่ายหญิงตอบรบั ก็เป็ นอนั วา่ ตกลง
ใหแ้ ต่งงานกนั ได้ หลงั จากน้ันจะเตรียมพธิ ีกินดองนอ้ ย

กินดองน้อย เป็ นพิธีสู่ขอ
เรียกว่า"ไปส่อง"ฝ่ ายชายจะ
จั ด เ ต รี ย ม พ า ข้ า ว ห รื อ
ขันหมากสู่ขอฝ่ ายเจ้าสาว
แลว้ มอบตัวเป็ นเขยกวา้ นใน
วนั น้ัน เพื่อเตรียมพิธีกินดอง
ใหญ่ (แต่งงาน) ต่อไป

45


Click to View FlipBook Version