2565 - 2566 รายงานประจําปี กองวิจัยและพัฒนาการจัดการท ี่ ดิน กรมพัฒนาท ี่ ดิน
คํานํา นายยุทธศาสตร์อนุรักติพันธุ์ ผู้อํานวยการกองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดินมีภารกิจสําคัญ คือ การศึกษา ค้นคว้า ทดลอง วิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดินเพื่อรับมือกับการ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีผลกระทบต่อภาคเกษตรด้วยเทคโนโลยี การอนุรักษ์ดินและนํ ้ า การปรับปรุงดิน การจัดการดินปัญหา การป้องกัน และแก้ไขความเสื่อมโทรมของทรัพยากรดินและนํ ้ า การพัฒนาที่ดิน และ การจัดการที่ดินในพื้นที่ เกษตรกรรม พัฒนาการกักเก็บคาร์บอนด้วยระบบ การปลูกพืช รวมทั้งการพัฒนาที่ดิน และภูมิปัญญาท้องถิ่น สร้าง เครือข่ายหมอดินอาสา กลุ่มเกษตรอินทรีย์PGS และเครือข่ายด้วยระบบ สารสนเทศให้เข้มแข็ง เพื่อรองรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการมีส่วนร่วมใน การพัฒนาที่ดิน และในด้านอื่น ๆ รายงานประจําปี2565 - 2566 ฉบับนี้ จัดทําขึ้นโดยการรวบรวม เรียบเรียง ข้อมูลผลการดําเนินงานและกิจกรรม ของกองฯ รวมถึงโครงการความร่วมมือกับหน่วยงานทั้งในและ ต่างประเทศ รวมถึงรางวัลความภาคภูมิใจของบุคลากรกองวิจัยและ พัฒนาการจัดการที่ดิน ได้แก่รางวัลเลิศรัฐสาขาบริการภาครัฐประเภท นวัตกรรมการบริการระดับดีประจําปี 2566 รางวัล SAVE ENERGY ของกรมพัฒนาที่ดิน รางวัลการนําเสนอผลงานวิชาการจากการประชุม วิชาการกรมพัฒนาที่ดิน ปี2565 รางวัลนําเสนอผลงานวิชาการจากการ ประชุมหญ้าแฝกนานาชาติครั้ งที่ 7 และรางวัลบุคคลผู้ทําคุณประโยชน์ต่อ พืชวงศ์ถั่ วประเทศไทยในการประชุมวิชาการพืชวงศ์ถั่ วแห่งชาติครั้ งที่ 8 รายงานฯ ฉบับนี้สําเร็จลุล่วงได้ด้วยดีจากความร่วมมือเป็นอย่างดีของ เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายจึงขอขอบคุณไว้ณ โอกาสนี้ด้วย และหวังเป็นอย่างยิ่ ง ว่ารายงานฯ ฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ต่อหน่วยงานทุกภาคส่วน รวมถึง นักวิชาการ เกษตรกร และประชาชนผู้ที่สนใจ สามารถนําไปปรับใช้เป็น ข้อมูลทางวิชาการและต่อยอดในการส่งเสริมงานด้านการพัฒนาที่ดิน เพื่อการเกษตรอย่างยั่ งยืนต่อไป รายงานประจําปี 2565 - 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน ก
สารบัญ คํานํา สารบัญ กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน • วิสัยทัศน์ • พันธกิจ • โครงสร้างบุคลากร • อัตรากําลังข้าราชการและเจ้าหน้าที่ ผลงานเด่น กวจ. ผลการดําเนินงานในปี2565 – 2566 กวจ. Show Case รางวัลแห่งความภาคภูมิใจ การพัฒนาบุคลากร ก ข 1 2 2 3 7 8 20 59 72 79 รายงานประจําปี 2565 - 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน ข
รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 1 กองวิจัยและพั ฒนาการจัดการท ี ่ ดิน
• ผู้นําการวิจัยพัฒนาการจัดการที่ดิน วิสัยทัศน์ พั นธกิจ สร้างนวัตกรรมนําสู่ความยั่ งยืน ทางการเกษตรบนพื้นฐาน ความพอเพียง • ศึกษา ค้นคว้า ทดลอง วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการอนุรักษ์ดินและนํ ้ า การปรับปรุงบํารุงดิน วิธีการป้องกันและแก้ไขความเสื่อมโทรมของดิน จัดทํารูปแบบการพัฒนาที่ดินและการจัดการที่ดินในพื้นที่ เกษตรกรรม เพื่อให้มีประสิทธิภาพและยั่ งยืน • ติดตามผลกระทบของภาวะโลกร้อนต่อดินและนํ ้ า ประเมินความเสียหาย จากความเสื่อมโทรมของทรัพยากรดินและนํ ้า พัฒนาการกักเก็บ คาร์บอนด้วยระบบการปลูกพืช รวมทั้ งวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน เพื่อรับมือกับภาวะโลกร้อน • รวบรวม ศึกษา และวิจัยภูมิปัญญาท้องถิ่ น เพื่อนํามาประยุกต์ใช้ ในการพัฒนาที่ดิน • สร้างเครือข่ายหมอดินอาสาและกลุ่มเกษตรกรให้เข้มแข็งเพื่อรองรับ การถ่ายทอดเทคโนโลยีการมีส่วนร่วมในการพัฒนาที่ดินและในด้านอื่นๆ • จัดทําฐานข้อมูลด้านการอนุรักษ์ดินและนํ ้า การปรับปรุงบํารุงดิน การจัดการที่ดินเพื่อบรรเทาภาวะโลกร้อน การพัฒนาที่ดิน และ ภูมิปัญญาท้องถิ่ น หมอดินอาสา และเครือข่ายด้วยระบบสารสนเทศ • ถ่ายทอดเทคโนโลยีและให้บริการทางวิชาการแก่หน่วยงานที่ เกี่ยวข้อง และเกษตรกร • ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่น ที่ เกี่ยวข้องหรือที่ ได้รับมอบหมาย รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 2
รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 3 นายยุทธศาสตร์อนุรักติพันธุ์ ผู้อํานวยการ กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน โครงสร้างบุคลากร
นางนิสา มีแสง ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการดินด้วยระบบพืช นายปราโมทย์แย้มคลี่ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการความเสื่อมโทรมของที่ดิน นายไพรัช พงษ์วิเชียร ผู้เชี่ยวชาญด้านปรับปรุงดินเค็ม นางสาวบรรเจิดลักษณ์จินตฤทธิ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านปรับปรุงดินเปรี้ยว ผู้เชี่ยวชาญ รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 4
นางสาวศันสนีย์อรัญวาสน์ ผู้อํานวยการกลุ่มวิจัยและพัฒนา การอนุรักษ์ดินและนํ ้ าเพื่อการเกษตร ผู้อํานวยการกลุ่มวิจัยและพัฒนา การจัดการดินเปรี้ยว รักษาราชการแทนหัวหน้าฝ่ายบริหารทั่วไป นายบวร บัวขาว ผู้อํานวยการกลุ่มวิจัยและพัฒนา การปรับปรุงบํารุงดิน นางสาววรรณพร พลแสง ผู้อํานวยการกลุ่มวิจัยและพัฒนา การจัดการดินเค็ม นางสาวประภา ธารเนตร ผู้อํานวยการกลุ่มวิจัยและพัฒนา การจัดการดินเสื่อมโทรม นายจักรพันธ์เภาสระคู รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 5 ผู้อํานวยการกลุ่ม
นางสาวกมลาภา วัฒนประพัฒน์ ผู้อํานวยการกลุ่มวิจัยและพัฒนา การใช้ประโยชน์หญ้าแฝกในการจัดการดิน นายวินัย ชมบุตร ผู้อํานวยการศูนย์วิจัยการอนุรักษ์ดินและนํ ้ า อําเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา นายพงศ์ธร เพียรพิทักษ์ ผู้อํานวยการกลุ่มวิจัยและพัฒนา การบรรเทาภาวะโลกร้อนทางการเกษตร นางสาวฉวีวรรณ์พัฒนพงษ์ ผู้อํานวยการกลุ่มวิจัยและพัฒนา หมอดินอาสาและบริหารจัดการเครือข่าย รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 6
บุคลากรของกองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน มีทั้ งสิ้ น 153 คน ประกอบด้วย ข้าราชการ 47 คน ลูกจ้างประจํา 7 คน พนักงานราชการ 43 คน และพนักงานจ้างเหมา 56 คน ดังนี้ อัตรากําลัง ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ ข้าราชการ ลูกจ้างประจํา พนักงานราชการ พนักงานจ้างเหมาเอกชน 0 1 0 2 0 3 0 4 0 ผู้อํานวยการกองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน ผู้เชี่ยวชาญ ฝ่ายบริหารทั่ วไป กลุ่มวิจัยและพัฒนาการจัดการดินเค็ม กลุ่มวิจัยและพัฒนาการจัดการดินเปรี้ยว กลุ่มวิจัยและพัฒนาการจัดการดินเสื่อมโทรม กลุ่มวิจัยและพัฒนาการอนุรักษ์ดินและนํ ้ าเพื่อการเกษตร กลุ่มวิจัยและพัฒนาการปรับปรุงบํารุงดิน กลุ่มวิจัยและพัฒนาการใช้ประโยชน์หญ้าแฝกในการจัดการดิน กลุ่มวิจัยและพัฒนาหมอดินอาสาและบริหารจัดการเครือข่าย กลุ่มวิจัยและพัฒนาการบรรเทาภาวะโลกร้อนทางการเกษตร ศูนย์วิจัยการอนุรักษ์ดินและนํ ้ า อําเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา พนักงานจ้างเหมา 56 ข้าราชการ 47 พนักงานราชการ 43 ลูกจ้างประจํา 7 หมายเหตุ • พนักงานราชการ ว่าง 1 ตําแหน่ง • ข้าราชการ ลาเรียน 1 คน รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 7
ผลงาน เด่น กองวิจัยและพ ั ฒนาการจัดการท ี่ ดิน
นวัตกรรม รู้จริง พืช ดิน ปุ๋ย (Thai Soil Fertility Management: TSFM) สาขาบริการภาครัฐประเภทนวัตกรรมการบริการระดับดี รางวัลเลิศรัฐ ประจําปี2566 จากผลสําเร็จงานวิจัยสู่นวัตกรรม โดยนายยุทธศาสตร์อนุรักติพันธุ์ผู้อํานวยการกองวิจัย และพัฒนาการจัดการที่ดิน กรมพัฒนาที่ดินร่วมกับกรมวิชาการเกษตรพัฒนานวัตกรรม รู้จริง พื ช ดิน ปุ๋ย ด้วยฐานข้อมูลความอุดมสมบูรณ์ของดินและความต้องการธาตุอาหารของพื ช จนเป็นแอปพลิเคชัน รู้จริง พื ชดิน ปุ๋ย (Thai Soil Fertility Management: TSFM) สามารถ ให้คําแนะนําการจัดการดินและปุ๋ยได้อย่างเหมาะสมสําหรับพื ชเศรษฐกิจ 63 ชนิด ครอบคลุมพื้นที่ เพาะปลูก 77 จังหวัด 923 อําเภอ 7,425 ตําบล สามารถเลือกผสมปุ๋ยใช้เองได้ถึง 51,256 สูตร พร้อมค่าใช้จ่ายที่ลดลงจากการใช้ปุ๋ยแต่ละสูตร เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่เกษตรกร โดยแนวคิดตามหลัก Design Thinking • Empathize ทําความเข้าใจต่อ สถานการณ์ของปุ๋ยเคมีในปัจจุบัน • Define ศึกษาและรวบรวมข้อมูล เพื่อนํามาวิเคราะห์และแก้ปัญหา • Ideate หาแนวทางแก้ไขปัญหา โดยบูรณาการกับหน่วยงานภาครัฐ และหน่วยงานที่ เกี่ยวข้อง • Prototype นําแนวคิดมาสร้าง เป็นต้นแบบ จากนั้นจัดทําข้อมูล เป็นแพลตฟอร์มที่ทันสมัย • Test นําต้นแบบที่ได้มา ทดลองใช้ และประเมินความเหมาะสม ตลอดจนปรับปรุงและพัฒนา กระบวนการก่อนและหลังพัฒนา นวัตกรรม รู้จริง พืช ดิน ปุ๋ย (Thai Soil Fertility Management: TSFM) 1 รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 8
“นวัตกรรม รู้จริง พืช ดิน ปุ๋ย” ถูกออกแบบมาเพื่อให้เกษตรกรใช้งานได้ง่าย สะดวกรวดเร็ว รู้ผลทันทีสามารถดาวน์โหลดผ่านสมาร์ทโฟนได้ทั้งระบบ Android และ IOS โดยลงทะเบียนครั้งเดียว เป็นแอปพลิเคชันที่ให้คําแนะนําการใช้ปุ๋ยให้เหมาะสมตามความต้องการของพืชตรงตามสภาพดินที่ ครบถ้วน แม่นยํา รู้ผลไว ใช้งานง่าย ช่วยลดต้นทุนการใช้ปุ๋ย ลดการตกค้างจากสารเคมีในดินส่งผลดี ต่อคุณภาพชีวิตเกษตรกรและสิ่ งแวดล้อมอีกด้วย ผลสําเร็จของการพัฒนานวัตกรรมดังกล่าวทําให้ กรมพัฒนาที่ดินได้รับรางวัลเลิศรัฐ “นวัตกรรม รู้จริง พื ช ดิน ปุ๋ย” สาขาบริการภาครัฐประเภท นวัตกรรมการบริการระดับดีประจําปี2566 จากสํานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (สํานักงาน กพร.) ผลลัพธ์ • ปัจจุบันมีจํานวนผู้ใช้งาน 6,821 ราย และมีการขอคําแนะนําแล้ว 8,017 คําร้อง (ข้อมูล ณ วันที่ 25 กรกฎาคม 2566) • ทดสอบในพื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่ตําบลกองแขก อําเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ สามารถลดต้นทุนการผลิต จากเดิม 4,012 บาทต่อไร่ เป็น 3,168 บาทต่อไร่ ลดลง 844 บาท ต่อไร่ คิดเป็นร้อยละ 20 • มีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางต่าง ๆ และผ่านเครือข่ายหมอดินอาสากรมพัฒนาที่ดิน จํานวน 77,688 ราย • ความพึ งพอ ใจของผู้ ใช้งานพบว่า เมื่อปฏิบัติตามข้อแนะนําการใช้ปุ๋ยจากนวัตกรรม จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายอีกทั้งยังลดปริมาณปุ๋ยเคมีสะท้อนให้เห็น ความสําเร็จแก่ผู้รับบริการ • สามารถช่วยลดต้นทุนการผลิตจากการใช้ปุ๋ยในปริมาณที่ เหมาะสม ทําให้เศรษฐกิจครัวเรือนของ เกษตรกรดีขึ้น ส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ • สามารถลดการตกค้างจากสารเคมีในดิน • รักษาทรัพยากรดินและช่วยลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ส่งผลกระทบด้านสิ่ งแวดล้อมใน เชิงบวก • ลดความเหลื่อมลํ ้ าของเกษตรกร โดยสามารถเข้าถึงนวัตกรรมบริการผ่านโทรศัพท์มือถือได้ อย่างเท่าเทียมทุกพื้นที่ทุกเวลา ความยั่งยืน สามารถสแกนคิวอาร์โค้ด เพื่อดาวน์ไหลดแอปพลิเคชัน การจัดการดิน ปุ๋ย พืชเศรษฐกิจ 63 ชนิด แนะนํา เหมาะสม ผสมปุ๋ยใช้เอง 51,256 สูตร เพื่อลดต้นทุนการผลิต ครอบคลุม 7,425 ตําบล 923 อําเภอ 77 จังหวัด สะดวก/รวดเร็ว สามารถใช้งานได้ทุกที่ และรับคําแนะนําได้ในทันที ความเหมาะสมของสภาพดิน ค่าความเป็นกรด-ด่าง ปริมาณการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก แสดงปริมาณการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยคํานวณจากสูตรปุ๋ยที่แนะนําจากทางแอป พลิเคชันกับสูตรปุ๋ยที่ทางผู้ใช้งานใช้จริง รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 9
2 การเผาไหม้เศษวัสดุทางการเกษตรและการเกิดไฟป่ามี สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการที่เกษตรกรเตรียมแปลงเพาะปลูก พืชในฤดูกาลถัดไป วิธีการเผาจึงเป็นวิธีการจัดการเศษวัสดุที่ รวดเร็วและมีต้นทุนตํ่ า แต่กลับส่งผลกระทบต่อสิ่ งแวดล้อม และสิ่งมีชีวิตทุกชนิด เนื่องจากการเผาก่อให้เกิดการ ปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกนําไปสู่การเกิดภาวะโลกร้อนและการ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทําให้อุณหภูมิบนผิวโลกสูงขึ้น นอกจากนี้การเผายังก่อให้เกิดปัญหาหมอกควันหรือฝุ่น ละอองขนาดเล็ก ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ สร้างความเสียหาย ทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในพื้นที่ 9 จังหวัด ภาคเหนือ ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ ตาก น่าน พะเยา แพร่ แม่ฮ่องสอน ลําปาง และลําพู น ทําให้เกิดการสะสมของฝุ่น ละอองในอากาศ ประชาชนในพื้นที่กว่า 6,548,022 ราย จึง ได้รับผลกระทบต่อการดํารงชีวิตเป็นอย่างมา กรมพัฒนาที่ดิน เป็นหน่วยงานหนึ่งซึ่งส่งเสริมให้เกษตรกรลด ละ เลิก การเผา ไหม้เศษวัสดุทางการเกษตร จึงได้มีการจัดทําโครงการ ส่งเสริมการไถกลบและผลิตปุ๋ยอินทรีย์เพื่อลดการปล่อยก๊าซ เรือนกระจกตั้งแต่ปี2561 เป็นต้นมา มีขั้นตอนการดําเนินงาน ดังนี้ • แต่งตั้งคณะทํางานฯ กําหนดแนวทางการจัดการ ประสาน ความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ติดตามและ สนับสนุนโครงการ เพื่อให้การปฏิบัติงานบรรลุตาม เป้าหมาย • กําหนดพื้นที่เป้าหมายโดยพิจารณาจากข้อมูลความเข้ม ของจํานวนจุดความร้อน (hotspot) ในพื้นที่ 9 จังหวัด ภาคเหนือ ที่มีการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่เกษตร (ข้าว ข้าวโพด และอ้อย) ในปีที่ผ่านมา • ประชุมหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อชี้แจงรายละเอียด แนวทางการดําเนินงาน • จัดเจ้าหน้าที่ให้ความรู้แก่เกษตรกร เพื่อส่งเสริม และกระตุ้นให้เกษตรกร ลด ละ เลิก การเผา • จัดกิ จกรรมรณ รงค์ส่งเสริมการ ไถกลบแล ะผลิต ปุ๋ยอินทรีย์เช่น การประชาสัมพั นธ์การจัดแปลงสาธิต เป็นต้น ส่งเสริมการไถกลบและผลิตปุ๋ยอินทรีย์ เพ ื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก • คัดเลือกเกษตรกรและหรือกลุ่มเกษตรกรที่มีความสนใจและมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กําหนด • แนวทางการดําเนินโครงการ แบ่งออกเป็น 2 กิจกรรมหลัก ได้แก่ กิจกรรมการไถกลบ และกิจกรรม ผลิตปุ๋ยอินทรีย์ รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 10
ความสําเร็จของการดําเนินการจากการดําเนินโครงการ ตั้งแต่ปี2561 - 2565 รวมระยะเวลา 5 ปี ผลลัพธ์ • ลดการเผาไหม้เศษวัสดุทางการเกษตรโดย พิจารณาจากจํานวนจุดความร้อนที่ลดลง ซึ่งใน ปี2562 มีจํานวนจุดความร้อนสูงสุด 10,675 จุด ลดลงเหลือเพียง 2,247 จุด ในปี2565 • ลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 640,128 ตัน ลดการปลดปล่อยฝุ่นละออง ขนาดเล็ก PM 10 5,321 ตัน และ PM 2.5 4,898 ตัน จากการ ไถกลบเศษวัสดุทาง การเกษตร 337,172 ไร่ • ลดปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กในอากาศ จาก การตรวจวัดโดยกรมควบคุมมลพิษ พบว่าในปี 2565 มีค่า PM 10 เฉลี่ย 24 ชั่วโมง สูงสุด 153 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร โดยสูงเกิน ค่ามาตรฐาน (ต้องไม่เกิน 120 ไมโครกรัมต่อ ลูกบาศก์เมตร) รวมทั้งสิ้ น 16 วัน ลดลงจากปี 2564 ที่มีค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง สูงสุด 512 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร โดยสูงเกินค่า มาตรฐานรวมทั้งสิ้ น 192 วัน • คืนธาตุอาหารลงดินจากการไถกลบเศษวัสดุ ทางการเกษตร 337,172 ไร่ ได้แก่ คาร์บอน ไฮโดรเจน ไนโตรเจน และซัลเฟอร์เพิ่มขึ้นร้อย ละ 7.85 5.44 8.08 และ 4.52 ตามลําดับ (ข้อมูลปี 2561-2564) • คืนธาตุอาหารลงดินจากการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ 17,947 ตัน ได้ แก่ ไนโตรเจน 125,629 กิ โลกรัม ฟอสฟอรัส 35,894 กิ โลกรัม โพแทสเซียม 64,814.50 กิโลกรัม แคลเซียม 125,629 กิ โลกรัม แมกนีเซียม 35,894 กิโลกรัม และซัลเฟอร์8,973.50 กิโลกรัม ผลผลิต • ลดการเผาไหม้เศษวัสดุทางการเกษตรในพื้นที่ ปลูกข้าว ข้าวโพด และอ้อย เปลี่ยนเป็นการไถ กลบเศษวัสดุทางการเกษตรรวม 337,172 ไร่ และผลิตปุ๋ยอินทรีย์รวม 17,947 ตัน • ส่งเสริมการจัดการเศษวัสดุแบบเป็นมิตรต่อ สิ่ งแวดล้อมให้แก่เกษตรกรกว่า 37,308 ราย ผลกระทบ • ลดการเกิดปัญหาทางด้ านสุ ขภาพของ ประชาชนในพื้นที่ • ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสารมลพิษ ในอากาศ สร้างภาพลักษณ์ และส่งเสริม การท่องเที่ยวที่ดีในระยะยาว • เกษตรกรปรับเปลี่ยนวิธีเกษตรกรรมจาก การเผาสู่การไถกลบเศษวัสดุทางการเกษตร เพื่อการเตรียมดิน และสามารถผลิตปุ๋ย อินทรีย์ไว้ใช้เองในพื้นที่ลดต้นทุนค่าปุ๋ยเคมี จากการคืนธาตุอาหารลงดินเพื่อการอนุรักษ์ ทรัพยากรดินและนํ ้ าอย่างยั่งยืน • ได้พื้นที่ต้นแบบในการลดการเผาไหม้เศษ วัสดุทางการเกษตรและการจัดการเศษวัสดุ แบบเป็นมิตรต่อสิ่ งแวดล้อม ลดการปล่อย ก๊าซเรือนกระจกและสารมลพิ ษทางอากาศ PM 10 และ PM 2.5 รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 11
ผลลัพธ์ ปัจจุบันมีต้นพันธุ์และข้อมูลลักษณะประจําพันธุ์หญ้าแฝก 28 พันธุ์และแถบ DNA แม่แบบสําหรับ ตรวจสอบพันธุ์จํานวน 42 พันธุ์ มีแปลงรวบรวมพันธุ์หญ้าแฝกบริสุทธิ์มีต้นกล้าพันธุ์ที่ถูกต้องในรูป ขวดเนื้อเยื่อ และในกระถาง สําหรับให้บริการตรวจสอบและแจกจ่ายสายพันธุ์หญ้าแฝกเพื่อการศึกษา วิจัย และผู้สนใจ มีห้องปฏิบัติการตรวจวิเคราะห์DNA ของหญ้าแฝกที่ทันสมัย ได้มาตรฐานเพื่อบริการตรวจสอบ และจําแนกพั นธุ์ได้อย่างแม่นยํา ได้รับการยอมรับจากมหาวิทยาลัย เอกชน และหน่วยงานราชการ ความพึงพอใจของผู้รับบริการ อยู่ในเกณฑ์ร้อยละ 85 - 95 3 ปัญหาและความท้าทาย กรมพัฒนาที่ดินเริ่ มดําเนินการรวบรวมพันธุ์หญ้าแฝก ที่มีอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่ปี2536 และนํามาจําแนกพันธุ์หญ้าแฝกด้วยลักษณะทางพฤกษศาสตร์(phenotype) โดยใช้ความเชี่ยวชาญ และความชํานาญเฉพาะตัวของบุคคล ในการจัดจําแนกพันธุ์หญ้าแฝก ซึ่งหากไม่มีความชํานาญจะทําให้ การจัดจําแนกพั นธุ์เกิดความผิดพลาดได้การตรวจสอบสายพั นธุ์หญ้าแฝก นับว่ามีความสําคัญ เป็นอย่างยิ่ ง ทั้งนี้เพื่อเพิ่มศักยภาพและประสิทธิภาพในการนําหญ้าแฝกสายพันธุ์ต่างๆ ไปใช้ประโยชน์ ได้อย่างถูกต้อง กรมพัฒนาที่ดินจึงได้พัฒนาการตรวจสอบสายพันธุ์หญ้าแฝก โดยใช้เทคนิค อณูชีววิทยามาป ร ะยุกต์ ใช้ ในการตรวจสอบลักษณ ะทาง genotype ของหญ้าแฝกเพื่อให้ การตรวจสอบสายพันธุ์หญ้าแฝกเป็นไปอย่างมีระบบตามมาตรฐานสากล หลักการและแนวคิดที่ ใช้ในการออกแบบพัฒนาผลงาน กรมพัฒนาที่ดินร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์นําเทคนิคทางอณูชีววิทยามาประยุกต์ใช้ในการ ตรวจสอบลักษณะทางพันธุกรรม (genotype) ของหญ้าแฝก และพัฒนาจนได้เทคนิคในการจําแนก พันธุ์หญ้าแฝกที่มีมาตรฐาน สะดวก รวดเร็วมาใช้เพื่อให้มีความถูกต้องแม่นยํา ในการจําแนกพันธุ์หญ้าแฝก กระบวนการพัฒนาผลงาน เปรียบเทียบผลผลิตและผลลัพธ์ก่อนหลังการพัฒนานวัตกรรม หญ้าแฝกสายพ ั นธุ์บริสุทธิ์ เพ ื่อสิ่ งแวดล้อมและประชาชน รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 12
การตรวจและจําแนกพันธุ์หญ้าแฝกด้วยสายตา โดยใช้ความชํานาญส่วนบุคคลจําแนกได้28 พันธุ์ แต่การใช้เทคนิค DNA จําแนกพันธุ์ได้อย่างแม่นยํา มีมาตรฐาน สามารถจําแนกได้มากถึง 42 พันธุ์ ความยั่งยืน กลุ่มวิจัยและพัฒนาการใช้ประโยชน์หญ้าแฝกในการจัดการดิน กรมพัฒนาที่ดิน เป็นธนาคาร รักษาความหลากหลายทางชีวภาพด้านพันธุ์หญ้าแฝกที่มีในประเทศไทย สามารถรักษาสายพันธุ์หญ้า แฝกให้บริสุทธิ์จําแนกพันธุ์หญ้าแฝก เพื่อประโยชน์ต่อสิ่ งแวดล้อมและประชาชน สามารถสนับสนุนพันธุ์หญ้าแฝกที่ถูกต้อง มีความเหมาะสมกับพื้นที่และสภาพแวดล้อม เพื่อเอื้อ ประโยชน์ในการฟ้นื ฟูที่ดินป้องกันการเสื่อมโทรมของที่ดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ แฝกพันธุ์บริสุทธิ์ แจกจ่าย หน่วยงาน คัดแยกสายพันธุ์ รักษาต้นพันธุ์ แจกจ่ายประชาชน แฝกลุ่ม 11 พันธุ์ ใช้สายตา ความชํานาญ เทคนิค DNA แฝกดอน 17 พันธุ์ แปลงปากช่อง เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ แปลงรวบรวมพันธุ์ แปลงขยายแม่พันธุ์ เก็บในขวดเนื้อเยื่อ เก็บในกระถาง รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 13
4 หลักการคิดในการพัฒนาต่อยอดงานทางด้านเทคโนโลยีทางการเกษตร จึงมีการจัดตั้งแหล่ง เรียนรู้รูปแบบใหม่ในการทําการเกษตร คือโครงการ “บ้านสีฟา้ ” ซึ่งเป็นบ้านต้นแบบในการต่อยอด เทคโนโลยีทางการเกษตร การลดใช้พลังงานโดยการนําโซล่าเซลล์ที่สามารถเปลี่ยนพลังงานธรรมชาติอย่างพลังงาน แสงอาทิตย์ให้มาอยู่ในรูปแบบของพลังงานไฟฟา้ได้โดยสามารถนําพลังงานไฟฟา้นั้นมาใช้งานได้ทันที หรือเก็บสะสมไว้ในรูปแบบแบตเตอรี่เพื่อใช้ภายหลังก็ได้เช่นกันแผงโซล่าเซลล์จะเปลี่ยนพลังงาน แสงอาทิตย์ให้เป็นกระแสไฟฟา้โดยตรง โดยไม่ก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นสาเหตุของ ภาวะเรือนกระจกที่ทําให้โลกร้อนขึ้นเหมือนการผลิตพลังงานไฟฟา้ด้วยถ่านหินหรือวิธีอื่น ดังนั้น โซล่าเซลล์จัดเป็น Clean Technology ที่ไม่ก่อให้เกิดมลภาวะทั้งภายในและนอกบ้าน จึงหมดกังวล ว่าจะเป็นพิษกับสิ่ งแวดล้อม เรียกว่า นอกจากประหยัดพลังงาน แล้วยังรักษ์โลกอีกด้วย นอกจากนี้มีการทําปุ๋ยหมักในครัวเรือนซึ่งเป็นการเปลี่ยนขยะจากเศษอาหารในครัวเรือน ให้กลายเป็นปุ๋ยหมัก เพิ่มอินทรียวัตถุให้แก่ดิน โดยมีการจัดทํารูปแบบปุ๋ยหมักในกระถางดินเผา เป็นรูปแบบการหมักปุ๋ยแบบใหม่ที่ เหมาะสมสําหรับครัวเรือนที่มีขยะจากเศษอาหารจํานวนน้อย โดยการ ใช้งานกระถางหมักปุ๋ยจากครัวเรือน ใช้งานง่าย วัสดุธรรมชาติและยังใช้พื้นที่เพียงเล็กน้อย ในการทําปุ๋ยหมักในครัวเรือนอีกด้วย “บ้านสีฟา้” จึงเป็นบ้านที่รวบรวมเทคโนโลยีดําเนินการพัฒนาเป็นบ้านต้นแบบในการทําการเกษตร โดยนําความรู้ทางวิชาการแก้ไขสภาพปัญหาการเกษตรในปัจจุบัน การลดใช้พลังงาน การลดภาวะ ก๊าซเรือนกระจกในครัวเรือน รวมไปถึงการใช้เทคโนโลยีSmart farming เป็นต้น บ้านสีฟ้า รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 14
รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิ จั ยและพั ฒนาการจั ดการที่ดิน 15
5 ต้นแบบบูรณาการเครือข่ายการอนุรักษ์ดินและนํ ้ า สู่การจัดการที่ดินอย่างยั่ งยืน ในภูมิภาคล้านช้าง-แม่โขง โขงเหนือโมเดล เป็นต้นแบบการบูรณาการงาน เครือข่ายด้านการอนุรักษ์ดินและนํ ้ า ในภูมิภาคแม่โขงล้านช้าง ประกอบด้วย 6 ประเทศสมาชิก ได้แก่ จีน เวียดนาม ลาว เมียนมา กัมพู ชา และไทย โดยมีกรม พัฒนาที่ดินเป็นหน่วยงานหลักของการบริหารจัดการ และอํานวยความสะดวกให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง มาทํางานร่วมกันในการจัดการพื้นที่ตามแนวคิด “ดินนํ ้ าชุมชน ร่วมเร่งรุก สร้างสุขสู่แม่นํ ้ าโขงล้านช้าง” เพื่อแก้ปัญหาด้านทรัพยากรดินที่เกิดจากการชะล้าง พังทลายของดิน การสูญเสียธาตุอาหาร การใช้ที่ดินที่ ไม่เหมาะสม ซึ่งเป็นภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อ ความสามารถในการผลิตอาหาร ก่อให้เกิดวิกฤติการ ขาดแคลนอาหารโลก การดํา เนินการ 1. จัดตั้งคณะทํางาน ซึ่งทําหน้าที่ประสานและเตรียมแผนการดําเนินงานจัดประชุมผู้เชี่ยวชาญและผู้มีส่วน เกี่ยวข้อง การประสานภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน การขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการสู่การดําเนินงานในพื้นที่การ อบรมเกษตรกร การขับเคลื่อนผลการดําเนินงานสู่ระดับนโยบาย 2. ขยายกรอบความร่วมมือดําเนินการสร้างความร่วมมือทางวิชาการ (MoU) ระหว่างกรมพัฒนาที่ดินกับ มหาวิทยาลัยแม่ฟา้หลวงและสถาบันการศึกษาอื่น ๆ เพื่อจัดทําแผนปฏิบัติการโครงการพัฒนาพื้นที่แม่ โขง-ล้านช้าง หรือโขงเหนือโมเดลเพื่อเป็นต้นแบบสู่ระดับภูมิภาค 3. แสวงหาแนวทางที่ เหมาะสมดําเนินการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการระดับนานาชาติภายใต้หัวข้อ “Promoting Integrated Land Management System for Sustainable Agricultural Development in Lancang-Mekong Countries” เพื่อให้ได้องค์ความรู้ด้านการอนุรักษ์ดินและนํ ้ า การจัดการที่ดิน อย่างยั่งยืน และแผนปฏิบัติการความร่วมมือทางวิชาการเพื่อการอนุรักษ์ดินและนํ ้ า และจัดการที่ดินอย่าง ยั่งยืนในลุ่มนํ ้ าโขงเหนือ 4. สร้างพื้นที่ต้นแบบ ณ บ้านนํ ้ าตกพัฒนา หมู่ที่ 7 ตําบลทุ่งก่อ อําเภอเวียงเชียงรุ้ง จังหวัดเชียงราย ซึ่ง เป็นพื้นที่ในลุ่มนํ ้ าหลักโขงเหนือและมีปัญหาการชะล้างพังทลายของดินในระดับรุนแรง การใช้ที่ดินไม่ เหมาะสม เกษตรกรในพื้นที่ยังมีรายได้ไม่เพียงพอเนื่องจากไม่สามารถทําการเกษตรได้ผลผลิตตลอดทั้งปี 5. ถอดบทเรียนความสําเร็จที่ได้จากการถอดบทเรียนจากนานาประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ งจากประเทศจีน เวียดนามและประเทศไทยเอง โดยการนําเทคโนโลยีด้านการบริหารจัดการระบบอนุรักษ์ดินและนํ ้ าและการ สร้างความตระหนักแก่ชุมชนเพื่อให้เกิดความยั่งยืน ประยุกต์ใช้และดําเนินการในพื้นที่ต้นแบบ 6. ขยายผล/เผยแพร่ประชาสัมพันธ์จัดทําสื่อ เอกสารวิชาการ เพื่อเผยแพร่ข่าวสารโครงการ และความรู้ด้าน การอนุรักษ์ดินและนํ ้ า โขงเหนือโมเดล รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 16 7. นําเสนอเชิงนโยบายดําเนินการประชุม Lancang-mekong Research and Policy Forum Strengthening Research-policy Cooperation and Partnerships to Promote Sustainable Soil and Water Conservation in Lancang-Mekong Region ซึ่งเป็นการประชุมระดับนโยบาย เพื่อนําเสนอผลกา ดําเนินงานและข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนาการจัดการที่ดินอย่างยั่งยืนในระดับภูมิภาค
ด้านผลผลิต การพัฒนาความร่วมมือในระดับนโยบาย ด้านการเกษตรของป ร ะเทศสมาชิก ในกลุ่ม แม่ โขง-ล้านช้าง ระดับผู้เชี่ยวชาญทางดิน การอนุรักษ์ดินและนํ ้า จํานวน 50 คน พื้นที่ ทําการเกษตรบ้านนํ ้ าตกพัฒนา หมู่ที่ 7 ตําบล ทุ่งก่อ อําเภอเวียงเชียงรุ้ง จังหวัดเชียงราย จํานวน 300 ไร่ ได้รับการพัฒนาโครงสร้างและ ปรับปรุงพื้นที่ด้วยการใช้ระบบอนุรักษ์ดินและนํ ้ า ที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ได้แก่ขั้นบันไดดิน แบบไม่ต่อเนื่อง ทางลําเลียงในไร่นาแบบมีร่องนํ ้ า ความยาว 0.45 ปรับระดับพื้นที่นาตามระดับ ดินเดิมเพื่อปลูกข้าว 16 ไร่ตลอดจนได้สร้าง ระบบกระจายนํ ้าเพื่อประสิทธิภาพการใช้นํ ้า ให้ประหยัดและคุ้มค่า เกษตรกรผู้ได้รับสิทธิให้เข้า ทําประโยชน์ในพื้นที่โครงการ จํานวน 23 ราย (ครัวเรือน) มีพื้นที่ถือครองทางการเกษตรเฉลี่ย รวม 19.82 ไร่ต่อครัวเรือน ได้รับการพัฒนา ความรู้เรื่องการจัดการดิน-นํ ้า-ปุ๋ย ตามแนว เศรษฐกิจพอเพียง ได้สื่อสิ่ งพิมพ์คู่มือ คลิป วีดีโอ เพื่อสร้างความตระหนักรู้เรื่องทรัพยากร ดิน การใช้ที่ดินให้เหมาะสม เพื่อลดความเสื่อม โทรมของดินและที่ดิน ความสํา เร็จการดํา เนินการ ด้านผลลัพธ์ • จํานวนเครือข่ายด้านการจัดการที่ดินและการ อนุรักษ์ดินและนํ ้ าที่ เข้มแข็ง • ได้พื้นที่ต้นแบบการพัฒนาที่ดินอย่างยั่งยืน ด้วยระบบอนุรักษ์ดินและนํ ้ าบ้านนํ ้ าตกพัฒนา หมู่ที่ 7 ตําบลทุ่งก่อ อําเภอเวียงเชียงรุ้ง จังหวัดเชียงราย เนื้อที่ 300 ไร่และมี เกษต รก ร ร่วม โค รงก า รจํ านวน 23 คน (ครัวเรือน) • การทําเกษตรผสมผสาน ทําให้มีรายได้ภาค การเกษตรเฉลี่ยรวม 111,681.32 บาทต่อ ครัวเรือนต่อปีหรือเฉลี่ยรวม 40,316.30 บาทต่อไร่ต่อปีรายจ่ายภาคการเกษตรเฉลี่ย รวม 48,797.04 บาทต่อครัวเรือนต่อปีหรือ เฉลี่ยรวม 19,902.64 บาทต่อไร่ต่อปี ด้านผลกระทบ • ยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร จากการ ปรับสภาพพื้นที่ให้เหมาะสมต่อการปลูกพืช โดยไม่มีปัญหาการชะล้างพั งทลายของดิน รวมทั้งการอนุรักษ์นํ ้าและการพัฒนาระบบ กระจายนํ ้าไว้ในพื้นที่ทําให้ปลูกพืชได้เกือบ ตลอดทั้งปีโดยเกษตรกรมีความพึงพอใจต่อ กา รจัดร ะบบอนุรักษ์ดินและนํ ้า ในพื้นที่ เกษตรกรรมมากที่สุดร้อยละ 86.96 และ พอใจมากร้อยละ 13.04 ตามลําดับ • สร้างเสริมความตระหนักรู้เรื่องทรัพยากรดิน ทรัพยากรธรรมชาติการทําการเกษตรที่ ยั่งยืน ทั้งในแง่ของผู้กําหนดนโยบายของ ประเทศสมาชิกลุ่มแม่นํ ้าล้านช้าง-แม่นํ ้าโขง และในแง่ของเกษตรกรเอง ปัจจัยความสําเร็จ “ดินนํ ้ าชุมชน ร่วมเร่ง รุก สร้างสุขสู่แม่นํ ้ าโขงล้านช้าง” คือนิยามในการ พัฒนาโดยนําเอาเทคโนโลยีและข้อมูลองค์ความรู้ ที่ได้จากเครือข่าย เกิดการบูรณาการแบบมีส่วน ร่วมของเกษตรกรและภาคส่วนต่าง ๆ ทําให้เกิด ต้นแบบที่ดีมีเครือข่ายที่เข้มแข็ง และมีการ ผลักดันสู่นโยบายในระดับภูมิภาค รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 17
กรมพัฒนาที่ดินมีหมอดินอาสาเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนการดําเนินนโยบายด้านต่างๆ เพื่อรักษา ฟ้นื ฟูและพัฒนาทรัพยากรดิน ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานของการผลิตทางการเกษตรให้ดินคง ความอุดมสมบูรณ์โดยมีหมอดินอาสาจํานวน 77,963 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 14 กรกฎาคม 2566) กระจายในทุกจังหวัดของประเทศ นอกจากนี้กรมพัฒนาที่ดินได้มีศูนย์ฝึกปฏิบัติและเรียนรู้เทคโนโลยี ด้านการพัฒนาที่ดิน ซึ่งเป็นพื้นที่ทางการเกษตรของหมอดินอาสาสามารถเป็นแหล่งเรียนรู้และเป็น แหล่งฝึกปฏิบัติของหมอดินอาสาที่ขึ้นทะเบียนในเว็บไซต์หมอดินอาสา ปัจจุบันมี365 ศูนย์(ข้อมูล ณ วันที่ 14 กรกฎาคม 2566) เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านการพัฒนาที่ดิน ตลอดจนเป็นแหล่งผลิต อาหารที่ปลอดภัย พื้นที่ของนางวันดีอุวิทัศ หมอดินอาสาประจําหมู่บ้านห้วยปอเจริญ เป็นศูนย์ฝึกปฏิบัติฯ ที่ เป็นคนรุ่นใหม่ ได้กลับมาพัฒนาพื้นที่การเกษตรของตนเอง โดยเริ่ มต้นจากการส่งเสริมการรวมกลุ่ม เกษตรกรลดการใช้สารเคมีและส่งเสริมการใช้สารอินทรีย์ทางการเกษตร นอกจากนี้ยังได้นําความรู้ที่ ได้รับจากกรมพัฒนาที่ดิน มาวางแผนการใช้ที่ดิน เพื่อปรับเปลี่ยนพื้นที่จากการปลูกข้าวมาทําเกษตร ผสมผสานแทน ผลิตสมุนไพรไล่แมลงไร้พรมแดน จากสารเร่งซุปเปอร์พด.7 ปรับปรุงบํารุงดินด้วย ปุ๋ยหมักจากสารเร่งซุปเปอร์พด.1 นําวัสดุเหลือใช้ในท้องถิ่ นมาผลิตปุ๋ยหมัก ที่สมาชิกเรียกสั้นๆ ว่า ปุ๋ย กองโต ซึ่งปุ๋ยกองโตที่สมาชิกช่วยกันทํานั้นสามารถนํามาใช้ในการผลิตผักอินทรีย์ได้ตลอดทั้งปี พัฒนาต่อยอดทําสมุนไพรใบบัวบกจากกลุ่มส่งเสริมการลดใช้สารเคมีฯ เป็นกลุ่มผักอินทรีย์บุณฑริก จากเดิมมีสมาชิก 20 ราย พื้นที่ 20 ไร่ ปัจจุบันมีสมาชิก 35 ราย และมีการจดทะเบียนเป็นวิสาหกิจ ชุมชนกลุ่มผักอินทรีย์อําเภอบุณฑริก ซึ่งกลุ่มมีการสร้างความสัมพันธ์กับสมาชิกเหมือนคนใน ครอบครัว ยกย่องเป็นขวัญกําลังใจให้กับสมาชิกที่มีแปลงต้นแบบที่ดีสร้างเอกลักษณ์ของสินค้าโดย ใช้ตอกมัดผักอินทรีย์ใส่ใจผู้บริโภคให้ได้ของสด กรอบ การรวมกลุ่มทําให้ลดการพึ่งพาจากหน่วยงาน ภาครัฐ ถ้ากลุ่มเข้มแข็งเมื่อเจอสถานการณ์ที่ เข้ามาส่งผลกระทบ เช่น การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา (โควิด-19) กลุ่มฯ สามารถพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส เปิดร้านขายผักอินทรีย์ที่มีทั้งผักพื้นบ้าน ผักเศรษฐกิจที่ราคาไม่แพง มีการสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยมีอุดมการณ์ ร่วมกันคือ มีกิน มีแบ่งปัน มีรายได้มีสุข มีเป้าหมายคือการเป็นผู้ประกอบการตรวจรับรองมาตรฐาน เกษตรอินทรีย์ในอนาคต ความสําเร็จของการดําเนินการ ผลผลิต สนับสนุนองค์ความรู้ด้านการพัฒนาที่ดิน และปัจจัยการผลิตเพื่อผลิตนํ ้ าหมักชีวภาพซึ่ง ผลิตนํ ้าหมักได้ปีละไม่ตํ่ากว่า 1,600 ลิตร การสนับสนุนสารเร่งซุปเปอร์พด. และสาธิต การผลิตปุ๋ยหมัก 40 ตัน ผลลัพธ์ • ด้านเศรษฐกิจ กลุ่มผักอินทรีย์บุณฑริก ผลิตสินค้า ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ทําให้ สมาชิกมีรายได้ 15,000 บาทต่อเดือนต่อคน ร้านค้า มีรายได้เฉลี่ย 200,000 บาทต่อเดือน ปุ๋ยหมัก กองโตลดค่าปุ๋ยเคมีประมาณ 70,000 บาทต่อปี • ด้านการมีส่วนร่วม มีเครือข่ายหมอดินอาสา ประสานงานกับเกษตรกรหน่วยงานภาครัฐ เอกชน ต่าง ๆ • ด้านทรัพยากรดิน นํ ้ า และสิ่ งแวดล้อม ดินมีความ อุดมสมบูรณ์สามารถผลิตพืชผัก สมุนไพรอินทรีย์ สิ่ งมีชีวิตในดินมีการเจริญเติบโตเกิดการหมุนเวียน ธาตุอาหารในดิน การใช้ทรัพยากรนํ ้ าได้อย่าง คุ้มค่า • ด้านความเกื้อกูลในชุมชนและสังคมมีการถ่ายทอด องค์ความรู้ด้านการผลิตพืชในระบบอินทรีย์ตั้งแต่ การเตรียมดิน ปลูก ดูแล รักษา เก็บเกี่ยว บรรจุ สินค้า การตลาด ผลกระทบ • การมีส่วนร่วมของผู้นําเกษตรกรในพื้นที่ ไ ด้ ส ร้ า ง วั ฒ น ธ ร ร ม ข อ ง ก า ร เ รี ย น รู้ การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง การแสวงหาโอกาส ในการพัฒนาเกิดการต่อยอดพัฒนาจนเกิด ความมั่นคง • ส่งเสริมให้เกษตรกรขยายเครือข่ายต่อยอด ไ ป สู่ ชุ ม ช น พั ฒ น า แ บ ร นด์ สิ น ค้ า แ ละ สู่ผู้ประกอบการตรวจรับมาตรฐานเกษตร อินทรีย์ในอนาคต 6 หมอดินบุณฑริก สู้วิกฤติพิชิตตลาดอินทรีย์ด้วยปุ๋ยกองโต รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 18
4 ประชุมกลุ่มเพื่อวางแผน การผลิตสินค้า การทําปุ๋ยหมัก 1 5 6 2 3 สมาชิกร่วมทําปุ๋ยหมักกองโต สมาชิกนําผลผลิต มาขายร้านค้าสวัสดิการ เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม ร้านค้ากลุ่มผักอินทรีย์บุญฑริก ผลิตภัณฑ์ รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 19
ผลการดําเนินงาน
ในปี2565 - 2566
กลุ่มวิจัยและพัฒนาการอนุรักษ์ดินและนํ ้ าเพื่อการเกษตร
การอน ุ รักษ์ดินและน ํ ้ า ในพ ื้นท ี่จัดท ี่ดินทํากินให ้ ช ุ มชน (คทช.) กรมพัฒนาที่ดินมีบทบาทสําคัญในการพัฒนาพื้นที่จัดที่ดินทํากินให้ชุมชนด้วยการใช้ระบบอนุรักษ์ ดินและนํ ้ าที่ เหมาะสม เพื่อขับเคลื่อนโครงการ ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพเพื่อแก้ไขปัญหาที่ดินทํากินของ เกษตรกรตามนโยบายคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ(คทช.) ของรัฐบาล โดยเริ่ มดําเนินการมา ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2559 จนถึงปัจจุบัน เพื่อรักษาความสมดุลของระบบนิเวศทางการเกษตรและ สิ่ งแวดล้อมอย่างยั่งยืนควบคู่กับการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ การจัดระบบอนุรักษ์ดินและนํ ้ าในพื้นที่คทช. ของกรมพัฒนาที่ดินในแต่ละปีมีพื้นที่เป้าหมาย ประมาณ 84,382 ไร่มีเกษตรกรได้รับสิทธิ์ เฉลี่ย 11,170 ราย ทําให้ทรัพยากรดินและที่ดินได้รับการ อนุรักษ์ฟ้นื ฟูปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพดินให้มีความอุดมสมบูรณ์เหมาะกับการทําเกษตรกรรม สามารถใช้ประโยชน์ที่ดินได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ส่งผลให้เกษตรกรในพื้นที่มีสภาพความ เป็นอยู่ดีขึ้น ทั้งนี้การขับเคลื่อนภารกิจของกรมพัฒนาที่ดินในพื้นที่จัดที่ดินทํากินให้ชุมชนภายใต้ คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ(คทช.) ด้วยการจัดระบบอนุรักษ์ดินและนํ ้ า ได้อาศัยแนวคิดการ จัดการลุ่มนํ ้ าที่แบ่งพื้นที่ดําเนินการเป็นลุ่มนํ ้ าย่อยหรือพื้นที่รับนํ ้ าย่อย ๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพของดินให้ ปลูกพืชได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถใช้ประโยชน์ที่ดินได้อย่างยั่งยืน โดยการปฏิบัติมาตรการ อนุรักษ์ดินและนํ ้าทั้งวิธีพืชและวิธีกลที่สอดคล้องกับสภาพปัญหาของพื้นที่ภูมิสังคมและความ ต้องการของเกษตรกร รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 20
การปฏิบัติมาตรการอนุรักษ์ดินและนํ ้ าที่ เหมาะสมตามลักษณะพื้นที่ได้แก่ 1. พื้นที่ที่มีความลาดชันเสี่ยงต่อการชะล้างพังทลายของหน้าดิน ใช้มาตรการอนุรักษ์ดินและนํ ้ า วิธีกล เช่น คูเบนนํ ้า นาขั้นบันได ขั้นบันไดดินแบบไม่ต่อเนื่อง ขั้นบันไดดินแบบต่อเนื่อง ฝายชะลอนํ ้า บ่อดักตะกอนดิน ทางลําเลียงในไร่นา ใช้มาตรการอนุรักษ์ดินและนํ ้าวิธีพืช เช่น ปลูกพืชตามแนวระดับ หรือมาตรการอื่นที่ เหมาะสม เช่น ระบบชลประทาน 2. พื้นที่ค่อนข้างราบเรียบและเสี่ยงต่อการเสื่อมโทรมของทรัพยากรดิน เช่น ปรับระดับพื้นที่นา ปรับระดับพื้นที่นาแบบมีคูนํ ้ า ขุดคูยกร่อง ฝายชะลอนํ ้ า บ่อดักตะกอนดิน ทางลําเลียงในไร่นา ใช้มาตรการอนุรักษ์ดินและนํ ้ าวิธีพืช เช่น ปลูกพืชคลุมดิน หรือมาตรการอื่นที่ เหมาะสม รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 21
การปฏิบัติมาตรการอนุรักษ์ดินและนํ ้ าที่ เหมาะสมตามลักษณะพื้นที่ได้ผลลัพธ์ดังนี้ 1. พื้นที่จัดที่ดินทํากินให้ชุมชนได้รับการพัฒนาฟ้ืนฟูจัดระบบอนุรักษ์ดินและนํ ้าเพื่อป้องกัน การชะล้างพังทลายของดิน ชะลอการไหลบ่าของนํ ้ า ลดการสะสมของตะกอนในพื้นที่การเกษตร ตอนล่างและแหล่งนํ ้ า 2. ทรัพยากรดินมีความอุดมสมบูรณ์เพิ่มขึ้น ช่วยรักษาผลิตภาพของดิน และการใช้ที่ดิน มีความยั่งยืน 3. เกษตรกรได้รับความรู้และพัฒนาทักษะในการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการเกษตรได้อย่างเหมาะสม มีประสิทธิภาพและยั่งยืน มีรายได้เพิ่มมากขึ้น มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น สร้างความมั่นคงทางอาชีพ 4. เกษตรกรตระหนักรู้ถึงความสําคัญของ การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติควบคู่กับการใช้ที่ดิน ทํากินเพื่อให้เกิดความยั่งยืน 5. ระบบนิเวศได้รับการฟ้นื ฟูการเพิ่มพื้นที่สีเขียวจากการปลูกไม้ยืนต้นก่อเกิดความหลากหลาย ทางชีวภาพ 6. พื้นที่จัดที่ดินทํากินให้ชุมชนด้วยระบบอนุรักษ์ดินและนํ ้ าเป็นพื้นที่ตัวอย่าง สามารถขยายผล ไปสู่พื้นที่ข้างเคียง รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 22
1 ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินต่อระบบนิเวศบริการ ในดินทรายภาคตะวันออกเฉียงเหนือ • วิเคราะห์และคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดิน และปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดิน • ประเมินผลกระทบในเชิงปริมาณจากการเปลี่ยนแปลงการใช้ ที่ดินต่อการกักเก็บคาร์บอนในดินและการชะล้างพังทลาย ของดิน โดยใช้แบบจําลองการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน มาร์คอฟ (Markov) และคลูมอนโด (CLUMondo) ในการ วิเคราะห์แนวโน้มการใช้ที่ดินและคาดการณ์การใช้ที่ดินในพื้นที่ ลุ่มนํ ้าลําเสียวน้อย จังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งพิจารณาปัจจัย ขับเคลื่อนทางกายภาพ 8 ปัจจัย ได้แก่ความสูงเชิงเลข ปริมาณนํ ้าฝน การระบายนํ ้าของดิน ความลึกของดิน ระยะห่างจากถนน ระยะห่างจากหมู่บ้าน ระยะห่างจากทางนํ ้ า และการกระจายของคราบเกลือ ผลการศึกษาพบว่า ลุ่มนํ ้ าลําเสียวน้อยมีการเปลี่ยนแปลงการใช้ ประโยชน์ที่ดิน โดยมีพื้นที่ปลูกข้าว และมันสําปะหลังซึ่งเป็นพืช เศรษฐกิจที่สําคัญในพื้นที่มีอัตราลดลงจากพื้นที่เดิมในช่วงปี 2543 - 2553 คิดเป็นร้อยละ 2.89 และ 39.69 ตามลําดับ ในช่วง ปี 2553 - 2563 มีอัตราลดลงของพื้นที่ป่าไม้ในขณะที่พื้นที่ มันสําปะหลัง ยูคาลิปตัส และยางพารา มีอัตราเพิ่มขึ้นจากพื้นที่ เดิมเป็นจํานวนมาก ทั้งนี้ปัจจัยทางกายภาพที่มีอิทธิพลกับประเภท การใช้ที่ดินมากที่สุดคือ การกระจายของคราบเกลือ จากการ วิเคราะห์เชิงคุณภาพพบว่า ปัจจัยขับเคลื่อนที่สําคัญต่อการ เปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินคือ ราคาผลผลิตทางการเกษตร และนโยบายการส่งเสริมของภาครัฐ ซึ่งข้อมูลจากการศึกษา สามารถนําไปใช้ประโยชน์ในการวางแผนการใช้ที่ดินเพื่อการจัดการ พื้นที่อย่างเหมาะสม และเกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน ศันสนีย์อรัญวาสน์ประภา ธารเนตร โอวาท ยุทธรรม และกัญญาพร สังข์แก้ว ผลงานวิจัย กา ร ใช้ปร ะโยชน์ที่ดินมีกา ร เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์โดยมีความเชื่อมโยง สัมพันธ์เชิงพื้นที่กับปัจจัยทางกายภาพ เศรษฐกิจ สังคม การเมือง และเทคโนโลยีการศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 23
2 การศึกษา ส ํ ารวจและจ ํ าแนกการใช้ประโยชน์แหล่งน ํ ้ าในไร่นา ต่อระบบการปลูกพืชในเขตพัฒนาที่ดินลุ่มน ํ ้ าภาคตะวันออก ของประเทศไทย จารุวรรณ เฮียงมะณีถนอมขวัญ ทิพวงศ์อรรณพ พุทธโส และ อภิชาติบุญเกษม การศึกษา สํารวจและจําแนกการใช้ประโยชน์แหล่งนํ ้ าในไร่นาต่อ ระบบการปลูกพืชในเขตพัฒนาที่ดินลุ่มนํ ้ าภาคตะวันออกของประเทศ ไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) การใช้ประโยชน์จากแหล่งนํ ้ าในไร่ นานอกเขตชลประทานตามระบบการปลูกพืชต่างๆ ในเขตพัฒนาที่ดิน ลุ่มนํ ้าภาคตะวันออก และ 2) จําแนกประเภทและจัดกลุ่มการใช้ ประโยชน์จากแหล่งนํ ้ าในไร่นาที่มีอายุการใช้งานแตกต่างกันตามระบบ การปลูกพืชในเขตพัฒนาที่ดินลุ่มนํ ้ าภาคตะวันออก พื้นที่การศึกษา คือ ลุ่มนํ ้าหลักภาคตะวันออก แบ่งเป็น 3 ลุ่มนํ ้าย่อย ได้แก่ 1.ลุ่มนํ ้ าบางประกง (นครนายก ปราจีนบุรีฉะเชิงเทรา สระแก้ว 2.ลุ่มนํ ้าโตนเลสาบ (สระแก้ว จันทบุรี) 3.ลุ่มนํ ้าชายฝ่ังทะเล ตะวันออก (ชลบุรีระยอง จันทบุรีตราด) ระยะเวลาระหว่างเดือน ตุลาคม 2563 ถึง เดือนมีนาคม 2565 ผลงานวิจัย รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 24 ผลการศึกษาพบว่า 1) สระนํ ้าในไร่นาอายุการใช้งาน 1-5 ปี (พ.ศ. 2560-2564) มีจํานวน 41 สระ คิดเป็นร้อยละ 43.87 มีการใช้ ประโยชน์เพื่อการเกษตร ร้อยละ 90.24 เพื่อการอุปโภค ร้อยละ 4.88 และ ไม่ได้ใช้ประโยชน์ร้อยละ 7.32 สําหรับระบบการปลูกพืช ที่ใช้ประโยชน์จากสระนํ ้ ามากที่สุด คือ ระบบการปลูกพืชไร่ (ร้อยละ 41.46) รองลงมาคือ ระบบเกษตรผสมผสาน/สวนผสม (ร้อยละ 29.27) 2) สระนํ ้ าในไร่นาอายุการใช้งาน 6-10 ปี (พ.ศ. 2555-2559) จํ านวน 45 ส ร ะ คิดเป็ นร้ อยล ะ 48 . 15 มี การ ใช้ ป ร ะ โยชน์ เพื่ ื่อการเกษตตรร ร้อยละ 93.33 และ ไม่ได้ใช้ประโยชน์ร้อยละ 6.67 ส่วนระบบการปลูกพืชที่ ใช้ประโยชน์จากสระนํ ้ า มากที่สุด คือ นาข้าว (ร้อยละ 22.22) รองลงมาคือ ระบบเกษตรผสมผสาน/สวนผสม (ร้อยละ 11.11) และ 3) สระนํ ้ า ในไร่นาอายุการใช้งานมากกว่า 10 ปี (พ.ศ. 2549-2554) จํานวน 21 สระ คิดเป็นร้อยละ 22.47 การใช้ประโยชน์ เพื่อการเกษตร ร้อยละ 85.71 และ ไม่ได้ใช้ประโยชน์ร้อยละ 14.29 ระบบการปลูกพืชที่ ใช้ประโยชน์จากสระนํ ้ ามาก ที่สุด คือ ระบบการปลูกพืชไร่และระบบเกษตรผสมผสาน/สวนผสม (ร้อยละ 19.05) รองลงมาคือ นาข้าว (ร้อยละ 14.29) สําหรับปัญหาในการใช้ประโยชน์จากแหล่งนํ ้ าในไร่นา คือ ในช่วงหน้าแล้ง ปริมาณนํ ้ าในสระนํ ้ าลดน้อยลง ไม่เพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งเกษตรกรส่วนใหญ่ต้องการให้กรมพัฒนาที่ดินเพิ่มความลึกของสระนํ ้ าให้ลึก มากขึ้น เนื่องจากประสบปัญหาการเก็บนํ ้ าได้น้อย ไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้นํ ้ าในฤดูแล้ง
กลุ่มวิจัยและพัฒนาการใช้ประโยชน์หญ้าแฝกในการจัดการดิน
พันธุ์พระราชทาน (อรรถประโยชน์) เจริญเติบโตดีในพื้นที่ภาคเหนือ พื้นที่ลุ่ม ดินร่วน ใบใหญ่เมื่อแช่ นํ ้ าจะนิ่ มจึงเหมาะสําหรับนําไปทํา ผลิตภัณฑ์จักสาน 1 แตกกอดีมีการเจริญเติบโตเร็ว มีการใช้ประโยชน์ในหลาย ภูมิภาค เหมาะสําหรับนําไปทํา ผลิตภัณฑ์จักสาน พันธุ์สงขลา 3 (พิมพ์นิยม) 2 พันธุ์ศรีลังกา (สิงห์เหนือ) เหมาะสมสําหรับปลูกใน ภาคเหนือเจริญเติบโตดีในดิน ลูกรังสภาพอากาศหนาวเย็น และสามารถเจริญเติบโตภายใต้ ร่มเงาของไม้ยืนต้น ไม้ผล 3 5 พันธุ์ประจวบคีรีขันธ์ (ท.อดทน) 6 อรรถประโยชน์ พิ มพ์ นิยม สิงห์เหนือ เสือใต้ เจ้าป่า ท.อดทน 6 สายพ ั นธุ์หญ ้ าแฝกบริส ุ ทธิ์ หญ้าของพระราชา “ต้นหญ้า...ซึ่งถ้าพิจารณาให้ดีก็จะก่อให้เกิดปัญญาได้หญ้านั้นมีทั้งหญ้าที่ เป็นวัชพืชซึ่งเป็นโทษ และหญ้าที่มีคุณประโยชน์อย่างหญ้าแฝก ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่ งแก่การอนุรักษ์ดินและนํ ้ า” พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร พิ ธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วันพฤหัสบดีที่ 24 กรกฎาคม 2540 พันธุ์ห้วยขาแข้ง (เจ้าป่า) สามารถเจริญเติบโตได้ใต้ร่ม เงาของต้นไม้ใหญ่ เหมาะกับ การขยายพันธุ์เพื่อใช้ปลูกใน พื้นที่ที่มีแสงแดดส่องถึงได้ น้อย เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนเหนียว ดินลูกรัง สภาพแสงน้อย* และ สามารถเจริญเติบโตได้ในสภาพ ดินปัญหา ได้แก่ พื้นที่ดินเปรี้ยว และดินเค็ม แฝกดอน แฝกลุ่ม รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 25 เหมาะสมสําหรับปลูกในภาค ตะวันออกเฉียงเหนือและภาคใต้ และสามารถเจริญเติบโตดีในดิน เปรี้ยวจัด พันธุ์สุราษฎร์ธานี (เสือใต้) 4
กลุ่มวิจัยและพัฒนาการใช้ประโยชน์หญ้าแฝกในการ จัดการดิน มีการดําเนินการเก็บรวบรวมหญ้าแฝกทั้งพันธุ์ ในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง และเก็บรักษา พันธุ์ไว้3 รูปแบบ ได้แก่การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เพาะเลี้ยง ในกร ะถางบริเวณอาคารกลุ่มวิจัยแล ะพั ฒนาการ ใช้ ประโยชน์หญ้าแฝกในการจัดการดิน และทําแปลงรวบรวม พันธุ์ณ ศูนย์วิจัยการอนุรักษ์ดินและนํ ้ า อําเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ปัจจุบันรวบรวมสายพันธุ์หญ้าแฝกได้ ทั้งหมดจํานวน 41 พันธุ์ เป็นพันธุ์บริสุทธิ์ที่ผ่านการ ตรวจสอบ DNA แล้ว และให้บริการแจกต้นพันธุ์บริสุทธิ์ แก่นักวิจัยและสถานีพัฒนาที่ดินนําไปปลูกเพื่อทดสอบ และ เป็นแปลงสาธิต ดูงานศึกษาพันธุ์นอกจากนี้ได้แจกจ่าย ให้กับประชาชนที่สนใจ ในการนําหญ้าแฝกไปปลูกเพื่อการ อนุรักษ์ดินและนํ ้ า ในปี 2566 กลุ่มฯ ได้รับงบประมาณเพื่อจัดทําแปลง รวบรวมพันธุ์หญ้าแฝกภายในศูนย์วิจัยการอนุรักษ์ดินและ นํ ้ า อําเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา จึงได้ดําเนินการ สํารวจแล ะรวบรวมหญ้าแฝกจากแหล่งพั นธุ์ต่าง ๆ ตรวจสอบ DNA เพื่อคัดเป็นต้นพันธุ์ที่มีความถูกต้อง และ ได้ปลูกลงแปลงรวบรวมพันธุ์หญ้าแฝก ณ ศูนย์วิจัยการ อนุรักษ์ดินและนํ ้ า อําเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ระหว่างวันที่ 11 - 13 กรกฎาคม 2566 สําหรับเป็นแปลง รวบรวมพันธุ์หญ้าแฝก เพื่อเป็นแหล่งศึกษาดูงานของ นักเรียน นักศึกษา นักวิชาการ หมอดินอาสา และผู้สนใจ ได้เข้ามาเยี่ยมชมต่อไป รวบรวมและเก็บรักษาพันธุ์หญ้าแฝก จากแหล่งต่าง ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 26
ห้องปฏิบัติการหญ้าแฝก กลุ่มวิจัยและพัฒนาการ ใช้ป ร ะ โยชน์หญ้าแฝก ในการจัดการดิน เป็นแหล่ง รวบรวม บริการข้อมูล และจัดแสดงนิทรรศการหญ้า แฝก ให้นักวิชาการและผู้สนใจทั่ วไปได้เข้าเยี่ยมชมศึกษา หาความรู้นอกจากนี้ยังเป็นศูนย์การให้บริการวิเคราะห์ และตรวจสอบพั นธุ์หญ้าแฝกแก่หน่วยงานภาครัฐและ ภาคเอกชน โดยใช้เทคนิคทางด้านอณูชีววิทยาจําแนก พันธุ์หญ้าแฝก ซึ่งเทคนิคนี้เป็นการตรวจสอบเกี่ยวกับ โครงสร้างของหน่วยพั นธุกรรมในระดับโมเลกุล ทําให้ สามารถจัดจําแนกพันธุ์ได้อย่างถูกต้องและมีเปอร์เซ็นต์ ความน่าเชื่อถือสูง ซึ่งในปี2565.-.2566 ห้องปฏิบัติการ หญ้าแฝกได้ให้บริการวิเคราะห์ตรวจสอบพันธุ์หญ้าแฝก ให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ที่มาขอรับบริการ ได้แก่ โครงการ สร้างและส่งเสริมต้นแบบการ ใช้ประโยชน์หญ้าแฝก ในพื้นที่ 8 จังหวัดภายใต้พื้นที่ลุ่มแม่นํ ้ า โครงการศึกษา วิธีการฟ้ืนฟูที่ดินเสื่อมโทรมเขาชะงุ้มอันเนื่องมาจาก พระราชดําริสถานีพัฒนาที่ดินพะเยา สถานีพัฒนาที่ดิน อํานาจเจริญ และตัวอย่างจากแปลงรวบรวมพั นธุ์ ศูนย์วิจัยการอนุรักษ์ดินและนํ ้ า อําเภอปากช่อง จังหวัด นครราชสีมา รวมจํานวนตัวอย่างทั้งสิ้ น 400 ตัวอย่าง บริการวิเคราะห์และตรวจสอบ พันธุ์หญ้าแฝก รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 27
กลุ่มวิจัยและพัฒนาการปรับปรุงบํารุงดิน
พืชปุ๋ยสด เพ ื่อการปรับปรุงบํารุงดิน ปอเทือง : พืชปุ๋ยสด คือ พืชที่ปลูกเพื่อไถกลบลงดินในช่วงที่ออกดอก (อายุ 40 - 60 วัน) แล้วปล่อยให้ย่อย สลาย ประมาณ 10 - 15 วัน ก็จะปลดปล่อยธาตุอาหารและเพิ่มอินทรียวัตถุให้แก่ดิน เรียกว่า ปุ๋ยพืชสด โดยทั่วไปนิยมใช้พืชวงศ์ถั่ว เพราะพืชวงศ์ถั่วปลูกง่าย โตเร็ว ลําต้นมีใบจํานวนมาก ทนทานต่อสภาพ อากาศที่แปรปรวน เมล็ดพันธุ์หาได้ง่าย ราคาถูก ต้านทานต่อโรคและแมลง ไม่เป็นแหล่งเพาะโรค เมื่อ สับกลบลงดินแล้วย่อยสลายตัวเร็ว และที่สําคัญที่สุดมีรากและลําต้นที่สามารถตรึงไนโตรเจนจากอากาศ โดยจุลินทรีย์ที่อยู่ในปมของรากและลําต้น จึงช่วยเพิ่มธาตุอาหารให้แก่ดิน ปอเทือง : เหมาะกับพื้นที่ดอน หรือที่ลุ่มนํ ้ าไม่ขัง หว่านเมล็ดอัตรา 5 กิโลกรัมต่อไร่ อายุออกดอก 45 - 50 วัน นํ ้ าหนักสด 2,500 กิโลกรัมต่อไร่นํ ้ าหนักแห้ง 500 กิโลกรัมต่อไร่เมื่อไถกลบ 1 ไร่ เพิ่มอินทรียวัตถุในดิน 0.15 เปอร์เซ็นต์และได้ไนโตรเจนเทียบเท่า ปุ๋ยยูเรีย 30 กิโลกรัม ถั่ วพ ุ่ม : ถั่วพุ่ม : เหมาะกับพื้นที่ดอน หรือที่ลุ่มนํ ้ าไม่ขัง หว่านเมล็ดอัตรา 8 กิโลกรัมต่อไร่อายุออกดอก 40 วัน นํ ้าหนักสด 1,500 กิโลกรัมต่อไร่นํ ้ าหนักแห้ง 300 กิโลกรัมต่อไร่เมื่อไถกลบ 1 ไร่ เพิ่มอินทรียวัตถุในดิน 0.09 เปอร์เซ็นต์และได้ไนโตรเจน เทียบเท่าปุ๋ยยูเรีย 17.5 กิโลกรัม ถั่ วมะแฮะ : ถั่วมะแฮะ : เหมาะกับพื้นที่ดอน เป็นไม้พุ่มขนาดเล็กสูง 1 - 5 เมตร หว่านเมล็ดอัตรา 5 กิโลกรัมต่อไร่อายุออกดอก 60 วัน นํ ้ าหนัก สด 2,000 กิโลกรัมต่อไร่นํ ้ าหนักแห้ง 400 กิโลกรัมต่อไร่เมื่อ ไถกลบ 1 ไร่เพิ่มอินทรียวัตถุในดิน 0.14 เปอร์เซ็นต์และได้ ไนโตรเจนเทียบเท่าปุ๋ยยูเรีย 20.4 กิโลกรัม โสนอัฟริกัน : โสนอัฟริกัน : เหมาะกับพื้นที่ดอนและที่ลุ่ม ทนต่อนํ ้าท่วมขัง ทนต่อสภาพดินเค็มปานกลาง หว่านเมล็ดอัตรา 5 กิโลกรัมต่อไร่ อายุออกดอก 60 วัน นํ ้ าหนักสด 2,000 กิโลกรัมต่อไร่นํ ้ าหนัก แห้ง 400 กิโลกรัมต่อไร่เมื่อไถกลบ 1 ไร่เพิ่มอินทรียวัตถุในดิน 0.12 เปอร์เซ็นต์และได้ไนโตรเจนเทียบเท่าปุ๋ยยูเรีย 25 กิโลกรัม ปอเทือง ถั่วพุ่ม ถั่วมะแฮะ โสนอัฟริกัน ถั่วพร้า รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 28
ถั่ วพร้า : ถั่วพร้า : เหมาะกับพื้นที่ดอน หรือที่ลุ่มนํ ้ าไม่ขัง หว่านเมล็ดอัตรา 10 กิโลกรัมต่อไร่อายุออกดอก 50 วัน นํ ้ าหนักสด 2,500 กิโลกรัมต่อไร่นํ ้ าหนักแห้ง 500 กิโลกรัมต่อไร่เมื่อไถกลบ 1 ไร่เพิ่มอินทรียวัตถุในดิน 0.16 เปอร์เซ็นต์และได้ไนโตรเจน เทียบเท่าปุ๋ยยูเรีย 29.6 กิโลกรัม การรวบรวม พันธุ์พืชปรับปรุงบํารุงดิน เป็นโครงการศึกษา คัดเลือก และรวบรวมพั นธุ์พื ชปรับปรุงบํารุงดิน และพื ชคลุมดิน เช่น พืชตระกูลถั่ว และพืชตระกูลหญ้า เป็นต้น มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาชนิดพืชและรูปแบบการปลูกพืช ปรับปรุงบํารุงดินที่เหมาะสมต่อการนําไปใช้ประโยชน์ด้านการอนุรักษ์ดินและนํ ้ า การปรับปรุงบํารุงดิน และการควบคุมศัตรูพื ช โดยจัดทําแปลงรวบรวมพันธุ์พื ชปรับปรุงบํารุงดิน ณ ศูนย์วิจัยการอนุรักษ์ ดินและนํ ้ า อําเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 29
1 การศึกษาเทคโนโลยีการผลิตเมล ็ ดพันธุ์ปอเทืองที่เหมะสม ในระบบการปลูกข้าวและพื ชไร่ ได้ทําการศึกษาเทคโนโลยีการผลิตเมล็ดพันธุ์ปอเทืองที่ เหมาะสมสําหรับระบบการปลูกข้าวและพืชไร่ ดําเนินการระหว่าง เดือนตุลาคม 2564 - มีนาคม 2566 โดยศึกษาขั้นตอนการ ปฏิบัติของเกษตรกรผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ปอเทืองในระบบการปลูก ข้าว จังหวัดขอนแก่น หนองคาย อุดรธานีและมหาสารคาม และระบบการปลูกพืชไร่ จังหวัดพิษณุโลก อุตรดิตถ์เพชรบูรณ์ และเลย โดยการสัมภาษณ์เกษตรกรผู้มีความเชี่ยวชาญการผลิต เมล็ดพันธุ์ปอเทือง พบว่า การผลิตเมล็ดพันธุ์ปอเทืองในระบบ การปลูกข้าว ใช้นํ ้าฝนในการเพา ะปลูก ปลูกปลายเดือน พฤศจิกายนถึงต้นเดือนธันวาคม เก็บเกี่ยวเดือนเมษายน มีการไถเตรียมดินก่อนการปลูกและไถกลบเมล็ด ใช้อัตราเมล็ด พันธุ์ปลูก 5 - 7 กิโลกรัมต่อไร่ ไม ่ใส ่ปุ๋ยเคมีไม ่กําจัดวัชพืช มีการใช้ยากําจัดศัตรูพืชและฮอร์โมน ใช้เครื่องจักรเก็บเกี่ยว ผลผลิต ผลผลิต 120 - 250 กิโลกรัมต่อไร่ เกษตรกรตาก ผลผลิตก่อนการบรรจุจําหน่ายผลผลิตให้สถานีพัฒนาที่ดินและ เอกชน ในขณะที่การปฏิบัติของเกษตรกรในระบบการปลูกพืชไร่ ปลูกปลายเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนพฤศจิกายน เก็บเกี่ยว เดือนมีนาคม อัตราเมล็ดพันธุ์ปลูก 4 - 5 กิโลกรัมต่อไร่ ผลผลิต 100 - 250 กิโลกรัมต่อไร่ เกษตรกรมีการปฏิบัติเช่นเดียวกับใน ร ะบบการปล ูกข้าว แล ะพบว ่าการผลิตเมล็ดพันธุ ์ปอเทือง ทั้ง 2 ร ะ บ บ เ ก ษ ต ร ก ร มีค ว า ม พึง พ อ ใ จ ม า ก คิด เ ป ็น ร้อยละ 100 เนื่องจากเกษตรกรมีรายได้เสริม และสามารถ ใช้ปอเทืองช ่วย ในการปรับปรุงบํารุงดิน และช ่วยลดการ ใช้ ปุ๋ยเคมีลงได้ ผลงานวิจัย เกษมศรีมานิมนต์อัศวิน เนตรถนอมศักดิ์อภันตรีพฤกษพงศ์และดํารงวุฒิอ่อนวิมล รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 30
กลุ่มวิจัยและพัฒนาการจัดการดินเค็ม
การจัดการดินเค็ม กรมพัฒนาที่ดินเป็นหน่วยงานหลักในการดําเนินการแก้ไขฟ้นื ฟูดินเค็มเพื่อการเกษตรและป้องกัน การแพร่กระจายดินเค็มทั้งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และดินเค็มชายทะเล ปัจจุบันประเทศ ไทยมีดินที่ได้รับผลกระทบจากเกลือ 5,039,547 ไร่เป็นดินเค็มชายทะเล 2,780,587 ไร่และดินเค็มบก 2,258,960 ไร่ (กองสํารวจดินและวิจัยทรัพยากรดิน, 2564) และปัญหาดินเค็มซึ่งมีผลกระทบ ทั้งด้านการเกษตรกรรม สิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิต พร้อมทั้งกรมพัฒนาที่ดินศึกษาวิจัย แนวทางการแก้ไขปัญหาและพัฒนาพื้นที่ดินเค็มอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบันสามารถนําผลสําเร็จ ด้านการวิจัยพัฒนาพื้นที่ดินเค็มไปขยายสู่การปฏิบัติได้ดังนี้ รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 31
การติดตามและประเมินผล การจัดการดิน เค็มด้วยอินทรียวัตถุ ร่วมกับการจัดการน ํ ้ าในพื้นที่ปลูกข้าวอําเภอโนนไทย จังหวัดนครราชสีมา วรรณพร พลแสง และ อารีรัตน์วังแก้ว 1 ผลงานวิจัย รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 32 การจัดการดินเค็มที่ไม่เหมาะสมต่อการปลูกพืชในช่วงฤดูแล้ง และฝนทิ้งช่วง รวมทั้งการใช้ประโยชน์ที่ดินไม่เหมาะสมกับ ศักยภาพของดินทําให้เกิดผลกระทบต่อสิ่ งแวดล้อมทั้งทางดินและ นํ ้ า พืชเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนระบบนิเวศทางดินในพื้นที่ดิน เค็ม ฉะนั้นการจัดดินควบคู่กับการบริหารจัดการนํ ้ าเป็นอีกปัจจัย หนึ่งที่สําคัญ รวมถึงการคัดเลือกชนิดและพันธุ์พืชให้เหมาะสมกับ สภาพพื้นที่จึงควรมีการจัดการดินเค็มอย่างยั่งยืน ในการนําการ จัดการองค์ความรู้เป็นระบบช่วยในการตัดสินใจ และสนับสนุนการ จัดการดินในพื้นที่ดินเค็มให้สอดคล้องกับภูมิสังคมระดับท้องถิ่ น ในการติดตามและประเมินผลการจัดการดินเค็ม โดยได้กําหนด ตัวชี้วัดตามมาตรการจัดการดินอย่างยั่งยืน เพื่อนํามาพิจารณา การเปลี่ยนแปลงทรัพยากรดินก่อน และหลังในพื้นที่ปลูกข้าวที่ ได้รับผลกระทบจากดินเค็มภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ให้เกิดการใช้ ประโยชน์ที่ดินให้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดความยั่งยืน โดยมี วิธีการดําเนินการดังนี้เก็บข้อมูลและสํารวจเชิงพื้นที่คัดเลือก พื้นที่ เกษตรกรที่ปลูกข้าวที่มีข้อกําจัดจากการใช้ประโยชน์ที่ดิน คือ ดินเค็มน้อย และดินเค็มปานกลาง ในพื้นที่อําเภอโนนไทย จังหวัด นครราชสีมา จํานวน 3 แปลง เพื่อเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลง สมบัติทางเคมีกายภาพ และชีวภาพของดิน และประเมินและ ติดตามจัดการดินเค็มด้วยอินทรียวัตถุร่วมกับการจัดการนํ ้ าใน พื้นที่ปลูกข้าวในฤดูกาลเพาะปลูกปี2565 พบว่า หลังเก็บเกี่ยวผลผลิตข้าว แปลงที่มีจัดการดินเค็มด้วยอินทรียวัตถุร่วมกับการจัดการนํ ้ า โดยวิธีการใช้ปอเทืองอัตรา 5 กิโลกรัมต่อไร่ + ปุ๋ยชีวภาพจุลินทรีย์หน่อกล้วยอัตรา 5 ลิตรต่อไร่ และปลูกข้าวหอมทนเค็ม คุณสมบัติทางกายภาพ มีค่าความชื้น ความหนาแน่นสูงสุด มีความเสถียร ของเมล็ดของดินค่อนข้างเสถียร และคุณสมบัติทางเคมีค่าความเค็มมีค่าลดลงยกเว้นปริมาณ โซเดียมในดิน และ SAR มีค่าเพิ่มขึ้น แต่ไม่กระทบต่อการให้ผลผลิตข้าวหอมทนเค็ม ผลผลิตเฉลี่ย ไม่แตกต่างกับแปลงที่ ใช้ปุ๋ยเคมีผลผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ 295-312 กิโลกรัมต ่อไร่ ส ่วนคุณสมบัติ ทางชีวภาพ แปลง (ปอเทือง + ข้าวทนเค็ม + จุลินทรีย์) พบปริมาณแบคทีเรีย และปริมาณจุลินทรีย์ รวมมากที่สุด เมื่อเปรียบกับแปลงที่จัดการดินด้วย (ปอเทือง + ข้าวขาวมะลิ105 + ปุ๋ยเคมี)
2 โครงการอ่างเก ็ บน ํ ้ าลําน ํ ้ าชีอันเนื่องมาจากพระราชดําริ จังหวัดชัยภูมิภาย ใต้แผนการติดตามตรวจสอบทรัพยากรดิน ภาย ใต้แผนปฏิบัติการป้องกัน แก้ไข ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม และแผนติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย 2 กิจกรรมย่อย ได้แก่ 1) กิจกรรมการประเมินกําลังผลิตของดิน และการ จัดการดิน นํ ้ า และธาตุอาหารพืช ภายใต้แผนย่อยการป้องกันการ เสื่อมโทรมของทรัพยากรดิน วัตถุประสงค์เพื่อประเมินกําลัง ผลิตของดิน และกําหนดแนวทางการจัดการดิน นํ ้า และธาตุ อาหารพืช โดยดําเนินการศึกษา และคัดเลือกพื้นที่ เกษตรกรเพื่อ จัดทําแปลงทดสอบสาธิต และกําหนดพืชเป้าหมายของแปลง เกษตรกร ตําบลลุ่มลําชีอําเภอบ้านเขว้า จังหวัดชัยภูมิจากนั้น ทํ า ก า ร เ ต ร ีย ม แ ป ล ง ป ล ูก ข ้า ว ห อ ม ท น เ ค ็ม พัน ธุ ์ UBN1 แล ะพืชป ร ับป ร ุงดินเค ็ม ได ้แก ่ หญ ้า แฝกพัน ธุ ์สงข ล า 3 และกระถินออสเตรเลีย ในพื้นที่ 1 ไร่ ไถปรับพื้นที่และแบ่ง แปลงย่อยจํานวน 2 แปลง ขนาดแปลงละ 230 ตารางเมตร ทําการปรับปรุงดินด้วยอินทรียวัตถุ 2 วิธีการ คือ 1) ปุ๋ยหมัก อัตรา 4 ตันต่อไร่ และ 2) หมักฟางข้าวด้วย ซุปเปอร์พด.2 อัตรา 1 ตันต่อไร่ ร่วมกับการใช้ปุ๋ยหมักอัตรา 2 ตันต่อไร่ ผลการ ประเมินกําลังผลิตของดินชุดดินประทาย (Pt) ในพื้นที่ดินเค็มปาน กลาง (ECe = 4.05 - 5.26 เดซิซีเมนส์ต่อเมตร) และดินมีความ อุดมสมบูรณ์มีอินทรียวัตถุน้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์ปรับปรุงดิน ด้วยอินทรียวัตถุ 2 วิธีพบว่า วิธีการที่ 2 หมักฟางข้าวด้วย พด.2 อัตรา 1 ตันต่อไร่ ร่วมกับการใช้ปุ๋ยหมักอัตรา 2 ตันต่อไร่ ให้ผลผลิตข้าวหอมทนเค็มเฉลี่ย 517 - 667 กิโลกรัมต ่อไร่ มากกว่าวิธีการที่ 1 คือ การใส่ปุ๋ยหมักอัตรา 4 ตันต่อไร่ ให้ ผลผลิตผลผลิตข้าวหอมทนเค็มเฉลี่ย 496 - 580 กิโลกรัมต่อไร่ ผลงานวิจัย วรรณพร พลแสง ธีรพล เปล่งสันเทียะ และ อารีรัตน์วังแก้ว รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 33
2) กิจกรรมการติดตามตรวจสอบคุณภาพดินและระดับความอุดมสมบูรณ์ของดิน ภายใต้แผนย่อยการติดตามตรวจสอบทรัพยากรดิน วัตถุประสงค์เพื่อสํารวจจําแนกระดับความเค็ม ของดิน และประเมินระดับความอุดมสมบูรณ์ของดิน ในพื้นที่โครงการอ่างเก็บนํ ้าลํานํ ้าชี อันเนื่องมาจากพระราชดําริจังหวัดชัยภูมิโดยดําเนินการติดตามการแพร่กระจายของดินเค็มต่อจาก ปี2564 จํานวน 11 จุด และสํารวจเพิ่มในปี2565 จํานวน 42 จุด ครอบคลุมพื้นที่ 262,343 ไร่ ประโยชน์ที่ได้รับจากโครงการนี้เป็นฐานข้อมูลในการวางแผนถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยี การจัดการดินที่ได้รับผลกระทบจากคราบเกลือแก่เกษตรกรบริเวณพื้นที่โครงการ ให้เกิดการใช้ ประโยชน์พื้นที่ดินเค็มอย่างยั่งยืน ผลงานวิจัย รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 34
3 ศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพของสิ่งมีชีวิต ในพื้นที่ดินเค ็ มบกลุ่มน ํ ้ าย่อยลําสะแทดและลําเชิงไกร การศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพของสิ่ งมีชีวิต ในพื้นที่ดินเค็มบก : ลุ่มนํ ้ าสาขาย่อย ลําสะแทด และลําเชิงไกร มี ระยะดําเนินงานวิจัย 2 ปีตั้งแต่ปีงบประมาณ 2564 ถึง 2565 ดําเนินโครงการในพื้นที่ดินเค็ม ได้คัดเลือกพื้นที่ที่มีค่าระดับความ เค็ม 4 ระดับ ปีงบประมาณ 2564 ดําเนินการ 2 แห ่ง คือ ตําบลหนองสรวง อําเภอขามทะเลสอ และตําบลกระเบื้องนอก อําเภอเมืองยาง จังหวัดนครราชสีมา ดําเนินการ ในฤดูร้อน และฤดูฝน เพื่อสํารวจเก็บข้อมูลดิน และพืช พร้อมเก็บตัวอย่าง ดินเพื่อวิเคราะห์ทางเคมีและชีวภาพ รวมถึงเก็บข้อมูลของ สิ่ งมีชีวิตที่มีขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ที่พบในพื้นที่ดินเค็มพร้อม บันทึกภาพทั้งพืช และสัตว์เพื่อจัดจําแนกในระบบอนุกรมวิธาน รวบรวมข้อมูลที่ได้มาประเมินความหลากหลายสิ่ งมีชีวิตแต่ละ ชนิดที่พบในพื้นที่ศึกษาเพื่อวิเคราะห์หาชนิดและปริมาณของ จุลินทรีย์ที่มีอยู่ในดินเค็ม ปีงบประมาณ 2565 ได้ขยายพื้นที่ โครงการที่ตําบลดอนตะหนิน อําเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา ได้ดําเนินการต่างๆ เช่นเดียวกันแต่ดําเนินการเพียง 3 จุด (ซํ ้ า) ในขณะที่ 2 พื้นที่แรกดําเนินการ 5 จุด (ซํ ้ า) ในแต่ละระดับความเค็ม ผลงานวิจัย จุฑารัตน์รัตนปัญญา กมลทิพย์ศศิธร สมชาย ยอดเณร และ สิรินันท์จินดาโสม จากการศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพของสิ่ งมีชีวิต ในพื้นที่ดินเค็ม พบว่า ในฤดูร้อนค่าการนําไฟฟา้ (ECe) ของดิน ทุกระดับความเค็มมีค่าสูงกว่าในฤดูฝน ในฤดูร้อนมีค่าเฉลี่ย ของปริมาณเชื้อแอคติโนมัยซิสสูงกว่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา ส่วนในฤดูฝนมีค่า เฉลี่ยของปริมาณเชื้อแบคทีเรียสูงกว่า เชื้อแอคติโนมัยซิส และเชื้อรา ความหลากหลายของสิ่ งมีชีวิต ขนาดเล็กในดิน ในฤดูฝนพบชนิด และปริมาณมากกว่าในฤดูร้อน แต่อาจน้อยกว่าหากมีฝนตกก่อนการสุ่มสํารวจ ส่วนปริมาณชนิด และปริมาณพืชพรรณทั้ง 3 พื้นที่มีค่าใกล้เคียงกัน พบว่า ในฤดูร้อนมีจํานวนชนิดพืชพรรณมากกว่าในฤดูฝน ขณะที่ ปริมาณของพืชพรรณในฤดูฝนมีปริมาณที่มากกว่าฤดูร้อน เนื่องจากค่าการนําไฟฟา้ของดินลดลงจากการชะล้างของนํ ้ าฝน พืชจึงสามารถเจริญเติบโตได้ดีและมีปริมาณมากกว่าในฤดูร้อน รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 35
กลุ่มวิจัยและพัฒนาการจัดการดินเปรี้ยว
การจัดการ ดินเปรี้ยวจัด เพื่อเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 36
การจัดการ ดินกรด เพื่อเกษตรกรรมอย่างยั่งยืน รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 37
1 การเพิ่มประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์จุลินทรีย์สารเร่งซุปเปอร์ พด.3 (Trichoderma viridian และ Bacillus subtilis) จุลินทรีย์ ปฏิปักษ์ร่วมกับถ่านชีวภาพเพื่อควบคุมโรคเหี่ยวของขมิ้ นชัน ในดินกรด ดําเนินการที่ตําบลเขาชะงุ้ม อําเภอโพธาราม จังหวัด ราชบุรีระหว่างปีพ.ศ. 2564 - 2565 ในกลุ่มชุดดินที่ 56 ชุดดิน ล าดหญ ้า ผ ลก า รศึกษ าพบ ว ่าค ่า pH ของดินเฉลี่ยก่อน การทดลอง 4.98 เพิ่มขึ้นเป็น 7.17 และ 7.64 ร้อยละความอิ่ มตัว ด้วยเบสของดินเฉลี่ย 69.5 เพิ่มขึ้นเป็น 116.35 และ 145.15 ในปี ที่ 1 และ 2 ด้านสมบัติกายภาพดินพบว่าตํารับใส่ถ่านชีวภาพ เปลือกทุเรียนและตํารับใส ่ถ ่านชีวภาพแกลบมีเปอร์เซ็นต์การ กระจายของขนาดเม็ดดินมากกว่า 2 มิลลิเมตร และมากกว่า ตํารับการทดลองอื่นๆ อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับความ เชื่อมั่น 0.01 และทุกตํารับมีค่าความชื้นในดินเฉลี่ยก่อนการ ทดลอง 1.56 มิลลิโวลต์เพิ่มขึ้นเป็น 15.19 และ 11.56 มิลลิโวลต์ ในปีที่ 1 และ 2 แต่ไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติด้านสมบัติ ชีวภาพพบว่าทุกตํารับมีปริมาณจุลินทรีย์Bacillus sp. เฉลี่ย 9.6 x 104 เซลล์ต่อกรัมดินแห้ง ไม่มีความแตกต่างกันทางสถิติ ด้านผลผลิตพบว่า ในปีที่ 2 ผลผลิตขมิ้ นชันเฉลี่ย 498.11 กิโลกรัมต่อไร่ โดยตํารับปุ๋ยอินทรีย์อัตรา 400 กิโลกรัมต่อไร่ มีผลผลิตขมิ้ นชันสูงสุด 868.97 กิโลกรัมต่อไร่มีความแตกต่าง กันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับความเชื่อมั่น 0.05 และ พบว่า ตํารับถ่านชีวภาพเปลือกทุเรียนมีร้อยละโดยนํ ้ าหนักของ เคอร์คูมินอยด์ตํ่ าสุด 3.29 มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญ ทางสถิติที่ระดับความเชื่อมั่น 0.05 ด้านผลตอบแทนทาง เศรษฐกิจของผลผลิตขมิ้ นชัน พบว่า ตํารับปุ๋ยอินทรีย์อัตรา 400 กิโลกรัมต่อไร่ ให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจสูงสุด ผลงานวิจัย การเพิ่มประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์จุลินทรีย์สารเร่งซุปเปอร์.พด.3 (Trichoderma viridian และ Bacillus subtilis) จุลินทรีย์ปฏิปักษ์ร่วมกับถ่านชีวภาพ เพื่อควบคุมโรคเหี่ยวของขมิ้ นชันในดินกรด นิสุดา ทองคําพันธ์ศรัณย์นพ อินทเสน และธัญญกานต์เซ้งเครือ รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 38
กลุ่มวิจัยและพัฒนาการจัดการดินเสื่อมโทรม