แนวทางและวิธ ี การแก ้ไขดินเส ื่อมโทรม กรมพัฒนาที่ดินเป็นหน่วยงานหลักในการดําเนินการป้องกันและแก้ไขความเสื่อมโทรมของดิน ไม่ให้เกิดหรือเกิดขึ้นน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้รวมทั้งการปรับปรุงแก้ไข ฟ้นื ฟูพื้นที่ที่ได้รับความเสื่อม โทรมมาแล้วในอดีต และปัจจุบันให้สามารถนํากลับมาใช้ประโยชน์ที่ดินได้อีกครั้ง โดยกลุ่มวิจัยและ พัฒนาการจัดการดินเสื่อมโทรมได้ทําการศึกษาวิจัย เพื่อหาแนวทางและวิธีป้องกันแก้ไขปัญหาการเกิด ความเสื่อมโทรมของดินและการปรับปรุงแก้ไขพื้นที่ที่ได้รับความเสื่อมโทรมแล้ว ในปัจจุบันให้กลับมาใช้ ประโยชน์อีกครั้งอย่างคุ้มค่าต่อการลงทุนอย่างยั่งยืน จากนั้นจึงนําผลการศึกษา แนวทางและวิธีการ แก้ไขต่าง ๆ ที่ได้ไปจัดทําเป็นโครงการสาธิตและขยายผลโครงการ ส่งเสริมให้เกษตรกรนําไปใช้ ประโยชน์ต่อไป แนวทางและวิธีการแก้ไขดินเสื่อมโทรม 1. การจัดการดินทรายจัด − ปรับปรุงดินและเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ด้วยอินทรียวัตถุ − ปลูกพืชคลุมดินเพื่อป้องกันการชะล้างพังทลายของดินใช้วัสดุคลุมดินเพื่อป้องกันการระเหย ของนํ ้ าและรักษาความชื้นไว้ในดิน − เลือกชนิดพืชปลูกที่ เหมาะสม ปลูกพืชทนแล้งหรือพืชที่ ใช้นํ ้ าน้อยมีอายุการเก็บเกี่ยวสั้น − การจัดการนํ ้ าที่ เหมาะสมเพื่อให้การใช้นํ ้ าเป็นไปอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ ขุดสระเพื่อเก็บ นํ ้ าไว้ใช้ในช่วงที่พืชขาดนํ ้ า 2. การจัดการดินดาน − ไถพรวนดินในขณะที่ดินมีความชื้นพอเหมาะ ไม่ไถพรวนขณะที่ดินเปียกเกินไป − การใช้ไถสิว (Ripper) ที่ไถได้ลึกกว่า 50 เชนติเมตร − เพิ่มอินทรียวัตถุให้แก่ดิน เช่น ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยพืชสดใช้ระบบปลูกพืชหมุนเวียนที่มีระบบ รากลึก − ใช้วัสดุปรับปรุงดิน เช่น ยิปชั่ม จะทําให้โครงสร้างดินโปร่งขึ้น − ปลูกหญ้าแฝก มีระบบรากลึกเจาะผ่านชั้นดินดานได้เมื่อฝนตกลงมาความชื้นจะซึมผ่านระบบ สร้างความชื้นและอินทรียวัตถุให้กับดินในชั้นดานได้อย่างรวดเร็ว 3. การจัดการดินตื้น − มีการเขตกรรมที่ เหมาะสม ไถพรวนดินให้น้อยที่สุดเพื่อป้องกันชะล้างพังทลายของดิน − ให้นํ ้ าอย่างสมํ่ าเสมอ เพิ่มความอุดมสมบูรณ์โดยใช้ปุยอินทรีย์ − เลือกชนิดพืชปลูก หากเป็นพืชไร่ควรเลือกพันธุ์มีระบบรากตื้น พืชทนแล้ง − การจัดการแปลงเพาะปลูก แบบขุดคูยกร่องสวน รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 39
1 การประเมินคุณภาพดินและน ํ ้ าโดยใช้เทคนิคนิวเคลียร์ เพื่อเปรียบเทียบการจัดการในพื้นที่ทําการเกษตร ที่มีการชะล้างพังทลาย: กรณีศึกษาจังหวัดกาญจนบุรี ผลงานวิจัย อภิสิทธิ์บัวปาย ทศนัศว์รัตนแก้ว วุฒิไกร กุลสวัสดิ์และ วันชัย สินประเสริฐ การประเมินคุณภาพดินและนํ ้ าเพื่อเปรียบเทียบการจัดการใน พื้นที่ทําการเกษตรที่มีการชะล้างพังทลายโดยใช้เทคนิคนิวเคลียร์ ไอโซโทปจากธาตุตะกั่ ว-210 มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาคุณภาพดิน และนํ ้ าในพื้นที่ เกษตรกรรมที่ เสี่ยงต่อการชะล้างพังทลายของดิน และเพื่อศึกษาปริมาณและอัตราการเคลื่อนย้ายของดินโดย ใช้เทคนิคนิวเคลียร์ในพื้นที่เกษตรกรรมที่เสี่ยงต่อการชะล้าง พังทลายของดิน ทําการศึกษา ณ พื้นที่ตําบลปลังเผล อําเภอ สังขละบุรีจังหวัดกาญจนบุรีโดยเก็บข้อมูล 3 ครั้ง คือ เดือน เมษายน มิถุนายน และสิงหาคม พ.ศ. 2563 ในพื้นที่ศึกษาที่มี การจัดการแตกต่างกัน คือ พื้นที่เกษตรกรทั่วไป พื้นที่ไม่มี การรบกวนหน้าดิน และพื้นที่จัดระบบอนุรักษ์ดินและนํ ้ า ร่วมกับ ตําแหน่งของความลาดชัน 5 บริเวณ คือ บริเวณยอดเนิน (summit).บ ริ เ วณ ไ ห ล่ เ ข า (shoulder).บ ริเ วณที่ล าดโ ค้ง (backslope) บริเวณตีนเขา (footslope) บริเวณปลายเชิงลาด (toeslope) และเก็บตัวอย่างดินที่ความลึก 3 ระดับ คือ 0 - 10 เซนติเมตร 10 - 20 เซนติเมตร และ 20 - 30 เซนติเมตร โดยเป็นการศึกษาเชิงสํารวจที่ เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยในแต่ละปัจจัย และมีการใช้โมเดลและโปรแกรมสําเร็จรูปในการคํานวณผล รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 40
ผลการศึกษา การจัดการดินในแต่ละพื้นที่ศึกษามีผลต่อคุณภาพของดิน โดยพื้นที่จัดระบบอนุรักษ์ดินและนํ ้ ามี สมบัติทางเคมีของดินสูง ในขณะที่ตําแหน่งของความลาดชันส่งผลต่อสมบัติทางเคมีของดินเมื่อมี ปริมาณนํ ้ าฝนเป็นตัวเร่ง โดยพื้นที่ เกษตรกรทั่ วไปพบว่า สมบัติทางเคมีของดินสะสมมากที่สุด ณ บริเวณปลายเชิงลาด และบริเวณตีนเขา ในขณะที่พื้นที่ไม่มีการรบกวนหน้าดินและพื้นที่จัดระบบ อนุรักษ์ดินและนํ ้ า มีการสะสมมากที่สุด ณ บริเวณที่ลาดโค้ง และบริเวณไหล่เขา นอกจากนี้ปริมาณ ธาตุอาหารมักพบที่ระดับความลึก 0 - 10 เซนติเมตร ในเดือนเมษายน แต่เมื่อมีปริมาณนํ ้ าฝนเพิ่ม มากขึ้นในเดือนมิถุนายน และเดือนสิงหาคม ทําให้เกิดการชะล้างพัดพาลงสู่ชั้นดินล่างมากขึ้น สําหรับ การประเมินคุณภาพนํ ้ าพบว่า ปริมาณนํ ้ าฝนมีผลต่อปริมาณออกซิเจนที่ละลายนํ ้ าได้และการจัดการ ดินส่งผลต่อปริมาณโพแทสเซียม ฟอสเฟต และคลอไรด์ในนํ ้ า เนื่องจากการเจือจางของนํ ้ าฝน และ การใช้ปุ๋ยและสารเคมีของเกษตรกรที่มีความแตกต่างกัน ปริมาณความแรงรังสีของธาตุตะกั่ ว-210 และอัตราการเคลื่อนย้ายของดิน มีความแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ศึกษา ระดับความลาดชัน ระดับ ความลึก และช่วงเวลาการเก็บข้อมูล โดยพบว่า พื้นที่จัดระบบอนุรักษ์มีค่าความแรงรังสีสูงที่สุด รองลงมาคือ พื้นที่ไม่มีการรบกวนหน้าดิน และพื้นที่ปลูกพืชทั่ วไป ตามลําดับ ในขณะที่อัตราการ เคลื่อนย้ายพบว่า พื้นที่จัดระบบอนุรักษ์ดินและนํ ้ ามีค่าเท่ากับ 31.0 ตันต่อไร่ต่อปีพื้นที่ไม่มีการ รบกวนหน้าดิน มีค่าเท่ากับ 9.79 ตันต่อไร่ต่อปีและพื้นที่ปลูกพืชทั่ วไป มีค่าเท่ากับ -10.40 ตันต่อไร่ ต่อปีโดยพบว่าพื้นที่จัดระบบอนุรักษ์ดินและนํ ้ า และพื้นที่ไม่มีการรบกวนหน้าดิน พบการทับถมของ ตะกอนดินในระดับความลาดชันที่ เหนือขึ้นไปของพื้นที่ศึกษา (บริเวณที่ลาดโค้งขึ้นไป) ในขณะที่พื้นที่ ปลูกพืชทั่ วไปมีอัตราการชะล้างพังทลายของดินในทุกบริเวณ และมีการทับถมของตะกอนดิน ณ บริเวณที่ตํ่ าที่สุดของพื้นที่ศึกษา รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 41
กลุ่มวิจัยและพัฒนาการบรรเทาภาวะโลกร้อนทางการเกษตร
การส่งเสริมการไถกลบ และผลิตปุ๋ยอินทรีย์ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ภาคเกษตรของไทย ปล่อยก๊าซเรือนกระจก 58.49 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า โดยมา จากการเผาเศษวัสดุทางการเกษตรกว่า 1.71 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า เนื่องจากเกษตรกร ต้องการเตรียมแปลงเพาะปลูกพืชในฤดูกาลถัดไปและการบุกรุกพื้นที่ป่า เพื่อปลูกพืชโดยเฉพาะ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์วิธีการเผาจึงเป็นวิธีการจัดการเศษวัสดุที่รวดเร็วและมีต้นทุนตํ่ า แต่กลับส่งผล กระทบต่อสิ่ งแวดล้อม ทําให้ทรัพยากรดินเสื่อมโทรม ทําลายความหลากหลายทางชีวภาพ และ ก่อให้เกิดปัญหาหมอกควันไฟ ปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กเกินเกณฑ์มาตรฐาน ส่งผลกระทบต่อ สุขภาพ สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ สังคม และการท่องเที่ยวในพื้นที่ เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะใน พื้นที่ 9 จังหวัดภาคเหนือตอนบน ได้แก่เชียงราย เชียงใหม่แม่ฮ่องสอน พะเยา แพร่น่าน ลําพูน ลําปาง และตาก กรมพัฒนาที่ดิน เป็นหน่วยงานหนึ่งซึ่งส่งเสริมให้เกษตรกร ลด ละ เลิก การเผาเศษวัสดุทาง การเกษตร จึงมีมาตรการในการเฝ้าระวัง ติดตามสถานการณ์ การเกิดไฟป่า และการเผาเศษวัสดุทาง การเกษตรในพื้นที่ขนาดใหญ่ดังนั้น เพื่อเป็นการบรรเทาและแก้ไขปัญหาที่จะเกิดขึ้น จึงมีมาตรการดึง ฟืนออกจากไฟ ส่งเสริมการไถกลบเศษวัสดุทางการเกษตร ถ่ายทอดองค์ความรู้การไม่เผาในพื้นที่ขอ ความร่วมมือเกษตรกรลดการเผาวัสดุต่าง ๆ ไม่จุดไฟเผาป่า และสร้างแรงจูงใจในการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ ไว้ใช้เอง โดยใช้เศษวัสดุจากพื้นที่ เกษตรกรรม ซึ่งช่วยลดปัญหาการเผาได้อีกทางหนึ่ง ทั้งยังเป็นการ เพิ่มอินทรียวัตถุให้แก่ดินด้วย วัตถุประสงค์ ปีงบประมาณ 2561 – 2566 เป้าหมาย และผลการดําเนินงาน 1. เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นให้เกษตรกร ลด ละ เลิก การเผา และดําเนินการไถกลบเศษวัสดุ ทางการเกษตร ใน 9 จังหวัดภาคเหนือ ที่มีการใช้ประโยชน์ที่ดิน คือ ข้าว ข้าวโพด และอ้อย 2. เพื่อการส่งเสริมและบริหารจัดการเศษวัสดุทางการเกษตรตามหลักวิชาการ นํามาผลิต ปุ๋ยอินทรีย์เพื่อการปรับปรุงบํารุงดิน การอนุรักษ์ทรัพยากรดินและนํ ้ าให้สามารถใช้ประโยชน์ ได้อย่างยั่งยืน 3. เพื่อป้องกันการเกิดจุดความร้อน (Hotspot) และลดผลกระทบทางสิ่ งแวดล้อมจากการเผา กิจกรรมที่1 ไถกลบตอซัง พื้นที่ เป้าหมาย ทั้งสิ้ น 364,014 ไร่ พื้นที่ดําเนินการแล้ว ทั้งสิ้ น 337,172 ไร่ กิจกรรมที่ 2 ผลิตปุ๋ยหมักอินทรีย์ เป้าหมายการผลิต ทั้งสิ้ น 19,947 ไร่ ผลการดําเนินการแล้ว ทั้งสิ้ น 17,947 ไร่ รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 42
กิจกรรมที่ 1 ไถกลบตอซัง ดําเนินการได้39,421 ไร่คิดเป็นร้อยละ 100 ของพื้นที่ เป้าหมาย พบว่า ปริมาณธาตุอาหารเฉลี่ยในดินทั้ง 9 จังหวัด หลังดําเนินการไถกลบ ปริมาณธาตุอาหาร เฉลี่ยในดินมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยคาร์บอนเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.47 ไฮโดรเจนเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.05 ไนโตรเจนเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.47 และซัลเฟอร์เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.23 เนื่องจากการปรับเปลี่ยนวิธีการ ทําการเกษตรจากการเผาตอซังมาเป็นการไถกลบ ทําให้ธาตุอาหารในดินและความอุดมสมบูรณ์ ของดินเพิ่มขึ้น สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างยั่งยืน ผลการดําเนินงาน ปี2565 กิจกรรมที่ 2 ผลิตปุ๋ยหมักอินทรีย์ดําเนินการได้1,800 ตัน คิดเป็นร้อยละ 100 ของเป้าหมาย กิจกรรมที่ 3 ตรวจติดตามประเมิน - กิจกรรมที่ 1 ดําเนินการได้11,827 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 100 ของเป้าหมาย - กิจกรรมที่ 2 ดําเนินการได้540 ตัน คิดเป็นร้อยละ 100 ของเป้าหมาย ประโยชน์ที่ ได้รับจากโครงการ 1. เกษตรกรได้องค์ความรู้ และตระหนักถึงปัญหาการเผาเศษวัสดุพืชในพื้นที่เพื่อเป็นแนวทางลด ก๊าซเรือนกระจกจากการเผาเศษวัสดุทางการเกษตรและป้องกันหมอกควันไฟ 2. เพิ่มปริมาณอินทรียวัตถุในดินจากการไถกลบเศษวัสดุทางการเกษตร 3. เกษตรกรสามารถผลิตปุ๋ยอินทรีย์ไว้ใช้เองในพื้นที่ 4. เกิดกลุ่มและเครือข่ายการเฝ้าระวังสถานการณ์หมอกควันในพื้นที่ รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 43
1 การคาดการณ์ผลผลิตข้าวและอ้อย ในประเทศไทย ด้วยแบบจําลอง AquaCrop ข้าวและอ้อยเป็นพืชเศรษฐกิจที่สําคัญของประเทศไทย แต่ผล กระทบที่ เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ภัยแล้ง และนํ ้ า ท่วม สร้างความเสียหายต่อผลผลิตเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้จึง จัดทํางานวิจัยนี้เพื่อคาดการณ์ผลผลิตในอนาคตปีพ.ศ. 2573 และ 2603 ด้วยแบบจําลอง AquaCrop เวอร์ชั่น 5 โดยเก็บ ข้อมูลจากเกษตรกรปีพ.ศ. 2562 เป็นปีฐาน นําไปวิเคราะห์ ร่วมกับข้อมูลสภาพภูมิอากาศรายวัน ข้อมูลการจําลองสภาพ ภูมิอากาศ ในอนาคตจากแบบจําลอง PRECIS และข้อมูลการ จําลองการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Special Report Emissions Scenarios: SRES) แบบการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจเป็นหลัก (A2) และการพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน (B2) พร้อม วิเ คร า ะ ห์ห าคว ามแตกต่างข องค่า เ ฉลี่ยด้วย วิธี Least Significant Difference (LSD) ที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95 ผลการศึกษาพบว่า ผลผลิตข้าวเฉลี่ยในปีฐานมี562.24 กิโลกรัม ต่อไร่เมื่อนํามาคาดการณ์ปีพ.ศ. 2573 ทั้งในรูปแบบ A2 และ B2 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ได้ผลผลิตเฉลี่ย 646.00 และ 600.77 กิโลกรัมต่อไร่ คิดเป็นร้อยละ 14.90 และ 6.87 ตามลําดับ เช่นเดียวกับปีพ.ศ. 2603 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากปีฐาน ได้ผลผลิต เฉลี่ย 668.95 และ 669.16 กิโลกรัมต่อไร่คิดเป็นร้อยละ 18.99 และ 19.03 ตามลําดับ โดยทุกคู่มีนัยสําคัญทางสถิติ (P < 0.05) ในขณะที่ผลผลิตอ้อยเฉลี่ยในปีฐานมี8.63 ตันต่อไร่เมื่อนํามา คาดการณ์ปีพ.ศ. 2573 ทั้งในรูปแบบ A2 และ B2 มีแนวโน้ม ลดลง ได้ผลผลิตเฉลี่ย 8.45 และ 8.58 ตันต่อไร่คิดเป็นร้อยละ -2.03 และ -0.61 ตามลําดับ ในขณะที่ปีพ.ศ. 2603 มีแนวโน้ม เพิ่มขึ้นจากปีฐาน ได้ผลผลิตเฉลี่ย 9.01 และ 8.78 ตันต่อไร่ คิดเป็ น ร้ อย ล ะ 6 . 5 7 แ ล ะ 2 . 4 4 ต าม ลํ าดับ แ ล ะ มี 1 2 คู่ ที่มีนัยสําคัญทางสถิติ(P < 0.05) โดยข้อมูลจากการคาดการณ์ ส า ม า ร ถ ใ ช้เ ป็ น แ น ว ท า ง ใ น ก า ร ป รั บ ตั ว แ ล ะ ว า ง แ ผ น ก า ร ทําเกษตรกรรมในอนาคต รวมถึงจัดการพื้นที่ให้เหมาะสม ต่อการปลูกอ้อยของเกษตรกร ผลงานวิจัย ผลผลิตอ้อยในรูปแบบ A2 และ B2 ผลผลิตข้าวในรูปแบบ A2 และ B2 ยุทธศาสตร์อนุรักติพันธุ์พงศ์ธร เพียรพิทักษ์ธนัญชย์ดําขําและ ปรางทิพย์อุนจะนํา รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 44
ผลงานวิจัย การศึกษาการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในพื้นที่นาข้าวภาค กลาง จากวิธีการจัดการดินและนํ ้ าที่ต่างกันมีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาการปลดปล่อยก๊าซมีเทนที่ลดลงในนาข้าว โดยการจัดการ ดินและนํ ้ าที่แตกต่างกัน ดําเนินการปลูกข้าวขาวดอกมะลิ105 ใน แปลงนาเกษตรกรพื้นที่จังหวัดสุพรรณบุรีและจังหวัดอ่างทอง วางแผนการทดลองแบบสุ่มภายในบล็อคสมบูรณ์ (RCBD) จํานวน 3 ซํ ้ า 6 ตํารับการทดลอง ดังนี้ตํารับที่ 1 ปุ๋ยอินทรีย์+นํ ้ า หมักชีวภาพ ตํารับที่ 2 ถ่านชีวภาพ+ปุ๋ยอินทรีย์+นํ ้ าหมักชีวภาพ ตํารับที่ 3 ปุ๋ยอินทรีย์50 เปอร์เซ็นต์+ปุ๋ยเคมี(TSFM) ตํารับที่ 4 ถ่านชีวภาพ 50 เปอร์เซ็นต์+ปุ๋ยเคมี (TSFM) ตํารับที่ 5 ปุ๋ยเคมี (TSFM) และตํารับที่ 6 ปุ๋ยเคมี(TSFM) 70 เปอร์เซ็นต์โดยใช้ แอปพลิเคชัน TSFM วิเคราะห์หาสูตรปุ๋ยและปริมาณที่ เหมาะสมกับ พื้นที่ปลูก ผลการศึกษาพบว่า จังหวัดสุพรรณบุรีการปลดปล่อยก๊าซ มีเทนจากแปลงนาข้าวตํารับการทดลองที่ 3 ปุ๋ยอินทรีย์ในอัตรา ร้อยละ 50 ร่วมกับปุ๋ยเคมีตามคําแนะนํา TSFM จะปลดปล่อยก๊าซ มีเทนเฉลี่ยสูงสุดที่ 12.59 มิลลิกรัมต่อตารางเมตรต่อชั่วโมง ขณะที่แปลงนาข้าวตํารับการทดลองที่ 6 ปุ๋ยเคมีในอัตราร้อยละ 70 ตามคําแนะนํา TSFM จะปลดปล่อยก๊าซมีเทนเฉลี่ยตํ่ าสุดที่ 9.55 มิลลิกรัมต่อตารางเมตรต่อชั่วโมง ด้านผลตอบแทนทาง เศรษฐกิจตํารับการทดลองที่ 6 ปุ๋ยเคมีในอัตราร้อยละ 70 ตาม คําแนะนํา TSFM ให้รายได้สุทธิสูงสุด 4,368 บาทต่อไร่ สําหรับ จังหวัดอ่างทองพบว่า การปลดปล่อยก๊าซมีเทนจากแปลงนาข้าว ตํารับการทดลองที่ 2 ถ่านชีวภาพร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์และนํ ้ าหมัก ชีวภาพจะปลดปล่อยก๊าซมีเทนเฉลี่ยสูงสุดที่ 16.56 มิลลิกรัมต่อ ตารางเมตรต่อชั่วโมง ขณะที่ตํารับการทดลองที่ 1 ปุ๋ยอินทรีย์ ร่วมกับนํ ้ าหมักชีวภาพจะปลดปล่อยก๊าซมีเทนเฉลี่ยตํ่ าสุดที่ 13.70 มิลลิกรัมต่อตารางเมตรต่อชั่ วโมง ด้านผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ ในตํารับการทดลองที่ 5 ปุ๋ยเคมีตามคําแนะนํา TSFM ให้รายได้ สุทธิสูงสุด 4,892 บาทต่อไร่ 2 การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในพื้นที่นาข้าวภาคกลาง จากวิธีการจัดการดินและน ํ ้ าที่ต่างกัน ยุทธศาสตร์อนุรักติพันธุ์พงศ์ธร เพียรพิทักษ์ธนัญชย์ดําขําและ ปรางทิพย์อุนจะนํา แปลงปลูกข้าวจังหวัดอ่างทอง แปลงปลูกข้าวจังหวัดสุพรรณบุรี รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 45
ผลงานวิจัย 3 การจัดการดินและน ํ ้ าและการกักเก ็ บคาร์บอนในดินในพื้นที่เกษตร ภาคเหนือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรง ยุทธศาสตร์อนุรักติพันธุ์พงศ์ธร เพียรพิทักษ์ธนัญชย์ดําขําและ ปรางทิพย์อุนจะนํา แผนที่แสดงปริมาณคาร์บอนในดิน (%) ปี2561 - 2563 การจัดการดินและนํ ้าและการกักเก็บคาร์บอนในดินในพื้นที่ เกษตรภาคเหนือต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรง มีเป้าหมายในการนําผลการศึกษาเป็นข้อมูลในการศึกษาผลกระทบ จากการเผา การบริหารจัดการดิน นํ ้า และธาตุอาหาร รวมทั้ง การผลิตแบบเกษตรอินทรีย์วางมาตรการอนุรักษ์ดินและนํ ้ าเพื่อลด การชะล้างพังทลายของดิน การปรับปรุงบํารุงดิน เพื่อลดต้นทุน และเพิ่มผลผลิตให้แก่เกษตรกร ตลอดจนการทํานายผลผลิตพื ช และติดตามปริมาณคาร์บอนในพื้นที่ที่มีการใช้ประโยชน์ที่ดินทาง การเกษตรเปรียบเทียบระหว่างอดีตกับปัจจุบัน โดยใช้ฐานข้อมูลจาก หน่วยงานต่าง ๆ และความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติดินต่าง ๆ ที่มีผล ต่อการสะสมคาร์บอนในดิน ในพื้นที่ลุ่มนํ ้ าแม่แจ่มตอนล่าง จังหวัด เชียงใหม่และพื้นที่เกษตร 17 จังหวัดภาคเหนือ เพื่อให้ทราบถึง ผลกระทบจากการเผา และวิธีป้องกัน แก้ไข เพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน จะทําให้เกษตรกรสามารถเตรียมรับมือกับผลกระทบอันเนื่องมาจาก การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงในอนาคตได้ ผลการศึกษาพบว่า ข้าวในปีฐาน (พ.ศ. 2561 - 2563) มีผล ผลิตเฉลี่ย 623 กิโลกรัมต่อไร่เมื่อทํานายผลผลิตในปีพ.ศ. 2573 และ2603 จากการใช้แบบจําลอง RCP6.0 พบว่า ได้ผลผลิตเฉลี่ย 635 และ 682 กิโลกรัมต่อไร่ ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากปีฐาน ร้อยละ 1.85 และ 9.47 ตามลําดับ ในขณะที่การใช้แบบจําลอง RCP8.5 พบว่า ได้ผลผลิตเฉลี่ย 601 และ 717 กิโลกรัมต่อไร่ซึ่งมีแนวโน้มลดลงจากปีฐาน ร้อยละ 3.54 ในปี พ.ศ. 2573 และเพิ่มขึ้นจากปีฐาน ร้อยละ 15.00 ในปีพ.ศ. 2603 ตามลําดับ ข้าวโพดในปีฐาน (พ.ศ. 2561 - 2563) มีผลผลิตเฉลี่ย 872 กิโลกรัมต่อไร่เมื่อทํานายผลผลิตในปีพ.ศ. 2573 และ 2603 จากการใช้แบบจําลอง RCP6.0 พบว่า ได้ผลผลิตเฉลี่ย 879 และ 896 กิโลกรัมต่อไร่ ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากปีฐาน ร้อยละ 0.87 และ 2.76 ตามลําดับ ในขณะที่การใช้แบบจําลอง RCP8.5 พบว่า ได้ผลผลิตเฉลี่ย 883 และ 900 กิโลกรัมต่อไร่ ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากปีฐาน ร้อยละ 1.27 และ 3.24 ตามลําดับ จากการวิเคราะห์ปริมาณคาร์บอนในดิน พบว่า ไม้ผลมีการกักเก็บคาร์บอนในดิน สูงที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ยรายปีอยู่ในช่วงร้อยละ 1.43 - 1.63 รองลงมาคือ พื ชผสมผสานและพื ชผัก อยู่ในช่วงร้อยละ 1.42 - 1.61 และร้อยละ 1.44-1.51 ตามลําดับ ในขณะที่นาข้าว มีปริมาณคาร์บอนในดิน ตํ่ าที่สุดอยู่ในช่วงร้อยละ 1.30 - 1.42 อย่างไรก็ตามเกษตรอินทรีย์ถือเป็นรูปแบบการจัดการพื้นที่ ทางการเกษตรที่มีส่วนช่วย ในการกักเก็บคาร์บอนลงดินอย่างมีประสิทธิภาพและยังช่วยบรรเทา ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงในอนาคต รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 46
ผลงานวิจัย การศึกษานี้ดําเนินการในพื้นที่ลุ่มนํ ้ าแม่ปอยและลุ่มนํ ้ าห้วยลึก อําเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างเดือนตุลาคม พ.ศ. 2558 ถึงเดือนกันยายน พ.ศ. 2563 มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินผลกระทบ การสูญเสียดินที่ เกิดขึ้นในพื้นที่ประเมินผลกระทบของมาตรการในการ จัดการลุ่มนํ ้าที่มีผลต่อทรัพยากรดิน ตลอดจนการใช้มาตรการ อนุรักษ์ดินและนํ ้ า โดยวางแปลงศึกษาขนาด 4 x 22 เมตร ที่ความ ลาดชัน 3 ระดับ ได้แก่ ระดับ 9-10, 20-25 และ 30-35 เปอร์เซ็นต์ ทั้งสองพื้นที่ลุ่มนํ ้ า จํานวน 6 แปลงศึกษาต่อหนึ่งพื้นที่ลุ่มนํ ้ า บน พื้นที่ที่มีการใช้ประโยชน์ที่ดินแตกต่างกันไป ผลการศึกษาพบว่า พื้นที่ลุ่มนํ ้ าแม่ปอยและลุ่มนํ ้ าห้วยลึก ในช่วง ปี2560 มีปริมาณนํ ้ าฝนสะสมสูงที่สุด คิดเป็น 5,297.60 มิลลิเมตร และในช่วงปี2563 มีปริมาณนํ ้ าฝนสะสมตํ่ าที่สุดคิดเป็น 1,085.60 มิลลิเมตร ผลการประเมินการสูญเสียดินของการศึกษาการชะล้าง พั งทลายดินจากปริมาณตะกอนในบ่อดักตะกอน พบว่าตลอด ระยะเวลาห้าปีพื้นที่ลุ่มนํ ้ าห้วยลึกเกิดการสูญเสียดินมากกว่าพื้นที่ลุ่ม นํ ้ าแม่ปอย พื้นที่ลุ่มนํ ้ าห้วยลึกเกิดการสูญเสียดินสะสมจากการชั่ง นํ ้ าหนักดินในบ่อดักตะกอน 2,357.87 กิโลกรัมต่อไร่หรือคิดเป็น อัตราการสูญเสีย 0.79 ตันต่อไร่ต่อปีและพื้นที่ลุ่มนํ ้ าแม่ปอยเกิดการ สูญเสียดินสะสมจากการชั่งนํ ้ าหนักดินในบ่อดักตะกอน 1,912.68 กิโลกรัมต่อไร่หรือคิดเป็นอัตราการสูญเสีย 0.64 ตันต่อไร่ต่อปีเมื่อ เปรียบเทียบกับการใช้ประโยชน์ที่ดินที่แตกต่างจะพบว่า การใช้ ประโยชน์ที่ดินแบบการปลูกพืชผัก (ECM06) เกิดการสูญเสียดินสูง ที่สุดคิดเป็นอัตรา 1.17 ตันต่อไร่ต่อปีและการใช้ประโยชน์ที่ดินแบบป่า เบญจพรรณ (ECM04) เกิดการสูญเสียดินตํ่ าที่สุดเพียง 0.27 ตัน ต่อไร่ต่อปีซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาการสูญเสียดินของกรม พัฒนาที่ดินเมื่อปี2556 โดยใช้สมการทางคณิตศาสตร์มีอัตราการ สูญเสียดิน 0.20 ตันต่อไร่ต่อปีและการศึกษาการสูญเสียดินของ Morgan, Morgan and Finney (MMF model) 1984 ซึ่งมีอัตรา การสูญเสียดิน 3.05 ตันต่อไร่ต่อปีบนพื้นที่ลุ่มนํ ้ าแม่ปอย และอัตรา การสูญเสียดิน 1.78 ตันต่อไร่ต่อปีบนพื้นที่ลุ่มนํ ้ าห้วยลึก 4 การสูญเสียดินจากการใช้ประโยชน์ที่ดินแตกต่างกันในพื้นที่ ลุ่มน ํ ้ าแม่ปอยและลุ่มน ํ ้ าห้วยลึก จังหวัดเชียงใหม่ ยุทธศาสตร์อนุรักติพันธุ์พงศ์ธร เพียรพิทักษ์ธนัญชย์ดําขําและ ปรางทิพย์อุนจะนํา แปลงศึกษา จุดศึกษาแปลงชะล้าง รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 47
ผลงานวิจัย 5 การประเมินประสิทธิภาพสระน ํ ้ าในไร่นาโดยใช้ระบบสารสนเทศ ภูมิศาสตร์ ยุทธศาสตร์อนุรักติพันธุ์พงศ์ธร เพียรพิทักษ์ธนัญชย์ดําขําและ ปรางทิพย์อุนจะนํา รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 47 ประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรมซึ่งมีนํ ้ าเป็นปัจจัยสําคัญ ในการเพาะปลูก แต่พื้นที่ส่วนใหญ่ตั้งอยู่นอกเขตชลประทานทําให้ ต้องมีการสร้างสระนํ ้ าไว้ใช้ประโยชน์การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อติดตามผลกระทบการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ต่อปริมาณนํ ้าในสระ พร้อมทั้งเสนอแนวทางการเลือกพื้นที่ใน การสร้างสระนํ ้าในไร่นา โดยทําการสํารวจภาคสนาม และการ วิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมธีออส จํานวน 649 ภาพ ครอบคลุม พื้นที่ 69 จังหวัด ด้วยเทคนิค Supervised Classification กําหนดความแม่นยําในการทํา sub-pixel และคัดเลือกสระนํ ้า ขนาด 400–700 ตารางเมตร วิเคราะห์ผลร่วมกับข้อมูลความ แห้งแล้งซํ ้ าซากและข้อมูลพื้นที่ เหมาะสมในการสร้างสระนํ ้ าในไร่นา ผลการศึกษาพบว่า การเก็บข้อมูลภาคสนามทั้ง 367 สระ มีปริมาณนํ ้ าในสระเฉลี่ย 1,052.91 ลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อย ละ 72.79 โดยสามารถกักเก็บนํ ้าฝนที่ตกลงมาสู่สระนํ ้าได้ดี สอดคล้องกับปริมาณนํ ้าฝนเฉลี่ยโดยมีความสัมพันธ์ร้อยละ 95.70 จากการแปลภาพถ่ายดาวเทียมสามารถระบุตําแหน่งสระนํ ้ า ในไร่นาได้368,103 สระ พบมากที่สุดในภาคเหนือ โดยสระนํ ้ าส่วน ใหญ่ตั้งอยู่ในพื้นที่ราบระดับความเสี่ยงแห้งแล้งตํ่ า 260,457 สระ และพบสระนํ ้ าตั้งอยู่ในพื้นที่เหมาะสมในการสร้างสระนํ ้ าในไร่นา 226,701 สระ ซึ่งสระนํ ้ ามีประสิทธิภาพในการเก็บกักนํ ้ าได้ดีทั้งนี้ การสร้างสระนํ ้ าต้องคํานึงปัจจัยต่าง ๆ และหาวิธีที่สามารถช่วย ลดข้อจํากัดของสภาพพื้นที่เพื่อให้สระนํ ้ ามีประสิทธิภาพในการกัก เก็บนํ ้าที่ดีซึ่งช่วยลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศ บรรเทาปัญหาภัยแล้ง การขาดแคลนนํ ้าในการทํา เกษตรกรรม ทําให้มีนํ ้ าเพียงพอตลอดทั้งปีและเกิดประโยชน์ สูงสุดต่อเกษตรกร ตรวจวัดสระนํ ้ าและสอบถามข้อมูล แผนที่สระนํ ้ าในพื้นที่ความเหมาะสม ในการสร้างสระนํ ้ าในไร่นา
กลุ่มวิจัยและพัฒนาหมอดินอาสาและบริหารจัดการเครือข่าย
สาขา การพัฒนาที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ประจําปี2565 ถึง 2566 เกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ สาขาการพัฒนาที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ประจําปี2565 นายบรรจง แสนยะมูล หมอดินอาสาประจําหมู่บ้าน อายุ 50 ปีบ้านเลขที่ 1 8 5 หมู่ที่ 7 บ้าน หนองยาง ตําบลหัว ข ว าง อําเภอโกสุมพิ สัย จังหวัดมหาสารคาม มีผลงานเด่น ด้านการทําเกษตรอินทรีย์แบบผสมผสานตามแนวทาง เกษตรทฤษฎีใหม่มีพื้นที่จํานวน 12 ไร่แบ่งเป็น สวนไผ่ สวนผสมผสาน สวนป่า ยางนา แปลงข้าว แปลงผักปลูกแบบหมุนเวียน ปศุสัตว์บ่อนํ ้ าและที่อยู่ อาศัย พื้นที่ทําการเกษตรอยู่ในกลุ่มชุดดินที่ 41 ชุดดินบ้านไผ่ (Bpi) มีข้อจํากัด คือ ดินเป็นทรายจัด ความอุดมสมบูรณ์ตํ่ า และปฏิกิริยาดินเป็นกรดจัดมาก ถึ ง ก ร ด จั ด ( pH 5.0 - 5.5) แ ก้ ไ ข ดิ น เ ป็ น ก ร ด โดยใช้โดโลไมท์ มีการปรับปรุงบํารุงดินในแปลงนา โดยฉีดพ่นตอซังข้าวด้วยนํ ้าหมักชีวภาพสูตรปลา อัตรา 20 ลิตรต่อไร่แล้วไถกลบทันทีฉีดพ่นนํ ้ าหมัก ชีวภาพสูตรหน่อกล้วย เจือจางด้วยนํ ้า 1 ต่อ 20 หลังจากดํานา 1 เดือน ฉีดพ่นนํ ้ าหมักชีวภาพสูตรผลไม้ สุก เจือจางด้วยนํ ้ า 1 ต่อ 20 ตอนข้าวกําลังตั้งท้อง และช่วงข้าวออกรวง และหว่านปุ๋ยอินทรีย์สูตรมูลวัว อัดเม็ด 2 ครั้ง รองพื้นและหลังจากดํานา 1 เดือน อัตรา 30 กิโลกรัมต่อไร่ ส่วนแปลงไผ่ คลุมดินด้วย ใบไผ่และฉีดพ่นนํ ้ าหมักชีวภาพสูตรปลา เจือจางด้วย นํ ้า 1 ต่อ 20 ฉีดปีละ 2 ครั้ง ด้านการจัดการนํ ้า มีการขุดสระนํ ้ า จํานวน 2 บ่อ ปัจจุบัน แปลงปลูกพืช ผสมผสานของนายบรรจง ได้มาต รฐาน รับ รอง จากกรมวิชาการเกษตร เป็นแหล่งผลิตพื ชอินทรีย์ รหัส TAS: 55376 มีรายได้จากการจําหน่ายผลผลิต เกษตรอินทรีย์ประมาณ 281,000 บาทต่อปีและเป็น ศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีการพัฒนาที่ดินให้เกษตรกร ในชุมชนเข้ามาศึกษาเรียนรู้ตั้งชื่อไร่ว่า “ไร่แสนดี” กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีนโยบายให้ทุกหน่วยงานภายใต้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดําเนินการคัดเลือกเกษตรกร สถาบันเกษตรกรและสหกรณ์ดีเด่นแห่งชาติเป็นประจําทุกปีเพื่อเป็นการ ส่งเสริม ยกย่อง เชิดชูเกียรติผลงานของเกษตรกรดีเด่นให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณะ พร้อมทั้งให้ เกษตรกรดีเด่นแห่งชาติผู้แทนสถาบันเกษตรกร ผู้แทนสหกรณ์ดีเด่นแห่งชาติและปราชญ์เกษตรของ แผ่นดิน เข้าเฝ้าฯ รับพระราชทานโล่รางวัลฯ ในงานพระราชพิ ธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ กรมพัฒนาที่ดิน ได้รับมอบหมายให้ดําเนินการคัดเลือกเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติฯ สาขาการพัฒนาที่ดิน เพื่อเกษตรกรรม ได้แก่ 1 การคัดเลือกเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 49
เกษตรกรดีเด่นแห่งชาติสาขาการพัฒนาที่ดินเพื่อ เกษตรกรรม ประจําปี2566 นายคําภีร์หงษ์คํา หมอดินอาสาประจําหมู่บ้าน อายุ 59 ปีบ้านเลขที่ 36 ห มู่ที่ 4 บ้ า น บึ ง ก ร ะ จั บ ตํ า บ ล บึ ง ก ร ะ จั บ อําเภอวิเชียรบุรีจังหวัดเพชรบูรณ์ มีผลงานเด่น ด้ า น ก า ร ทํ า เ ก ษ ต ร อิ น ท รี ย์ แ บ บ ผ ส ม ผ ส า น ตามแนวทางเกษตรทฤษฎีใหม่ มีพื้นที่จํานวน 12 ไร่ แบ่งพื้นที่ปลูกข้าว ไม้ผล ไม้ยืนต้น พื ชผักสวนครัว และพืชสมุนไพร พื้นที่ทําการเกษตรอยู่ในกลุ่มชุดดิน ที่ 54 ชุดดินชัยบาดาล (Cd) มีปัญหาเป็นดินดอน ไม่เหมาะสมกับการปลูกข้าว และกลุ่มชุดดินที่ 48 ชุด ดินแก่งคอย (Kak) มีปัญหาคือเป็นดินตื้นต้อง ใช้ต้นทุนสูงในการปรับปรุงดินเฉพาะหลุมเพื่อปลูกไม้ ผ ล และขาดแคลนนํ ้า ในฤดูแล้งอย่างรุนแรง แก้ปัญหาโดยนําเทคโนโลยีของกรมพัฒนาที่ดิน ได้แก่ การขุดคูยกร่องสวน (ปรับรูปแปลงนาลักษณะ ที่ 3) เพื่อปลูกไม้ผลบนคันดิน กักเก็บนํ ้าบริเวณ ร่องคู และเลี้ยงปลา, การขุดคันคูล้อม (ปรับรูปแปลง นาลักษณะที่ 2) เพื่อปลูกพืชบนคันดิน ลําเลียงนํ ้ าให้ กระจายทั่วแปลง เพิ่มความชุ่มชื้น และการปรับ หัวคันนาขนาดใหญ่ (ปรับรูปแปลงนาลักษณะที่ 1) เพื่อปลูกพืชเกษตรผสมผสาน กักนํ ้ าไว้ในนาให้ได้มาก ที่สุด โดยยึดหลัก “หัวคันนาทองคํา” ปัจจุบันพื้นที่ ก า รเ กษต ร ข อ ง น า ย คํ าภี ร์ เ ป็ น ศู น ย์ ถ่ า ย ท อด เทคโนโลยีการพัฒนาที่ดินประจําตําบล เป็นศูนย์ เรียนรู้ด้านทรัพยากรดินและการจัดการดินของตําบล บึ ง ก ร ะ จั บ มี ร า ย ไ ด้ จ า ก ก า ร จํ า ห น่ า ย ผ ล ผ ลิ ต ภายในแปลง ประมาณ 180,000 บาทต่อปี รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 50
2 โครงการส่งเสริมการใช้สารอินทรีย์ ลดใช้สารเคมีทางการเกษตร จากปัญหาเกษตรกรพึ่งพาสารเคมีในการทําการเกษตรค่อนข้างมาก กรมพัฒนาที่ดิน จึงได้มีการ ดําเนินโครงการพัฒนาต่อยอดกลุ่มเดิมที่ เข้มแข็งภายใต้โครงการส่งเสริมการใช้สารอินทรีย์ลดการใช้ สารเคมี(ครัวไทยสู่ครัวโลก) โดยกองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดินให้ความรู้แก่เกษตรกรในการนํา สารอินทรีย์และเทคโนโลยีชีวภาพของกรมพัฒนาที่ดินไปใช้เพื่อลดการใช้สารเคมีทางการเกษตรของ เกษตรกร มีผลการดําเนินงานในพื้นที่สพด. 77 แห่ง และ ศพล. ประกอบด้วย 3 กิจกรรม ดังนี้ กิจกรรมที่1 โครงการพัฒนาต่อยอดกลุ่มเดิมที่ เข้มแข็ง ภายใต้โครงการส่งเสริมการใช้สารอินทรีย์ ลดการใช้สารเคมี (ครัวไทยสู่ครัวโลก) ผลการดําเนินงาน • ปีงบประมาณ 2565 พื้นที่ 906,008.00 ไร่ เกษตรกร 6,091 กลุ่ม จํานวนเกษตรกร 75,351 ราย • ปีงบประมาณ 2566 พื้นที่ 844,831.58 ไร่ เกษตรกร 6,000 กลุ่ม จํานวนเกษตรกร 71,242 ราย ประโยชน์ที่ ได้รับ • เกษตรกรที่ เข้าร่วมโครงการฯ ได้รับความรู้และสามารถ นําองค์ความรู้และเทคโนโลยีของ กรมพัฒนาที่ดินที่ ได้รับไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาพื้นที่การเกษตร เพื่อ ลดการใช้สารเคมีลดต้นทุนการผลิต เพิ่มรายได้เพิ่ม ศักยภาพการผลิตให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เกษตรกรมี คุณภาพชีวิตที่ดีและสามารถเตรียมความพร้อมเข้าสู่ การรับรองมาตรฐาน GAP • กรมพัฒนาที่ดินได้พัฒนาเครือข่ายกลุ่มเกษตรกรลดใช้ สารเคมีและส่งเสริมการใช้สารอินทรีย์ทางการเกษตรที่ มีความเข้มแข็ง • ทรัพยากรดินของประเทศไทยได้รับการฟ้ืนฟูและ อนุรักษ์ให้สามารถใช้ประโยชน์ทางการเกษตรได้อย่าง มีประสิทธิภาพและยั่งยืน รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 51
กิจกรรมที่ 2 โครงการเกษตรอินทรีย์ในโรงเรียน ผลการดําเนินงาน • ปีงบประมาณ 2565 โรงเรียนใหม่ 145 แห่ง โรงเรียนต่อยอด 674 แห่ง • ปีงบประมาณ 2566 โรงเรียนใหม่ 100 แห่ง โรงเรียนต่อยอด 500 แห่ง • อบรมเชิงปฏิบัติการวิทยากรระดับพื้นที่เพื่อสนับสนุน โครงการเกษตรอินทรีย์ในโรงเรียน แบ่งเป็น รุ่นที่ 1 ระหว่างวันที่ 19-21 มิถุนายน 2566 รุ่นที่ 2 ระหว่างวันที่ 28-30 มิถุนายน 2566 ณ อาคารฝึกอบรม ศูนย์วิจัยการอนุรักษ์ดินและนํ ้ า อําเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา มีผู้เข้าร่วมอบรม รุ่นที่ 1 จํานวน 93 ราย และรุ่นที่ 2 จํานวน 95 ราย ประโยชน์ที่ ได้รับ • นักเรียนและครูในโรงเรียนได้รับความรู้และสามารถ นําองค์ความรู้ด้านการใช้เทคโนโลยีชีวภาพและ ปัจจัยการผลิตทางการเกษตรของกรมพัฒนาที่ดิน ที่ได้รับไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาพื้นที่การเกษตร ในโรงเรียน • โรงเรียนมีอาหารกลางวันที่สะอาดและปลอดภัย ซึ่งเป็นผลผลิตที่ได้จากการทําการเกษตรของ นักเรียน • กรมพัฒนาที่ดินมีเครือข่ายครูและนักเรียนจาก โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการที่มีความเข้มแข็งเพื่อ เ ป็ น ก ล ไ ก ใ น ก า ร ส นั บ ส นุ นภ า ร กิ จ ข อ ง ก ร ม ฯ ใ น ก า ร ถ่ า ย ท อ ด อ ง ค์ ค ว า ม รู้ แ ล ะ เ ท ค โ น โ ล ยี ด้านการพัฒนาที่ดิน • ประเทศไทยมีเยาวชนที่ได้รับการปลูกจิตสํานึกการ เรียนรู้ให้มีความรู้พื้นฐานในการทําการเกษตรที่ ถูกต้องและสามารถถ่ายทอดความรู้พื้นฐานด้านการ พัฒนาที่ดินไปสู่ชุมชน โดยสามารถทําการเกษตรที่ ปลอดภัยเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้อย่างมี ประสิทธิภาพและยั่งยืน รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 52
กิจกรรมที่ 3 หมู่บ้านปลอดขยะต้นแบบ (Zero Waste) 77 แห่ง ใน 77 สพด. ในปีงบประมาณ 2566 กรมพัฒนาที่ดินดําเนินโครงการ หมู่บ้านปลอดขยะอินทรีย์ต้นแบบ (Zero Waste Village) เป็นแนวทางหนึ่งในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจ ชี ว ภ า พ เ ศ ร ษ ฐ กิ จ ห มุ นเ วี ย น แ ล ะเ ศ ร ษ ฐ กิ จ สีเ ขี ย ว ( Bio-Circular-Green Economy: BCG Model) โ ด ย มี หมอดินอาสาเป็นประธานกลุ่มซึ่งคัดเลือกจากกลุ่มโครงการ พัฒนาต่อยอดกลุ่มเดิมที่ เข้มแข็งภายใต้โครงการส่งเสริมการ ใช้สารอินทรีย์ลดการใช้สารเคมี (ครัวไทยสู่ครัวโลก) 77 แห่ง สนับสนุนให้มีระบบการจัดการขยะอินทรีย์การนําเศษวัสดุ เหลือใช้ทางการเกษตรนํากลับมาหมุนเวียนโดยนํามาผลิตเป็น นํ ้ าหมักชีวภาพ ปุ๋ยหมัก สารชีวภาพบําบัดนํ ้ าเสียและขจัดกลิ่ น เหม็น ทําให้เกษตรกรลดต้นทุนการผลิต หรือมีการต่อยอด การบริหารจัดการขยะพลาสติกในพื้นที่ใช้ระบบเทคโนโลยี ไพโรไลซิส (Pyrolysis Technology System) โครงการ หมู่บ้านปลอดขยะอินทรีย์ต้นแบบ จึงเป็นการสร้างความรู้ ความเข้าใจและตระหนักถึงสิ่งแวดล้อมในการจัดการ ข ย ะ อิ น ท รี ย์ ข ย ะ พ ล า ส ติ ก ใ น ชุ ม ช น แ ล ะ เ ศ ษ วั ส ดุ ในภาคการเกษตร ผลการดําเนินงาน • สถานีพัฒนาที่ดินได้คัดเลือกหมู่บ้านปลอดขยะอินทรีย์ ต้นแบบ มีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการประมาณ 770 ราย โดยมีหมู่บ้านปลอดขยะอินทรีย์ต้นแบบ 77 แห่ง มีการนําเศษวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ในครัวเรือน และเศษวัสดุอินทรีย์อื่น ๆ มาผลิตปุ๋ยหมัก นํ ้าหมัก ชีวภาพ 150 ตันต่อปี • กองวิจัยและพัฒนากา รจัดกา รที่ดิน จัดอบรม เชิงปฏิบัติการ เรื่อง “กระบวนการไพ โรไลซิสและ กระบวนการอื่นที่เกี่ยวข้องกับการกําจัดขยะพลาสติก ในครัวเรือน” ระหว่างวันที่ 25 - 26 พฤษภาคม 2566 ณ ศูนย์วิจัยการอนุรักษ์ดินและนํ ้า อําเภอปากช่อง จั ง ห วัด น ค ร ร า ช สี ม า แ ล ะ ร ะ บ บ ป ร ะ ชุ ม อ อ น ไ ล น์ (Zoom Meeting) รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 53
3 โครงการเกษตรอินทรีย์PGS • โครงการพัฒนากลุ่มเกษตรกรสู่การรับรองมาตรฐาน เกษตรอินทรีย์ด้วยระบบการรับรองแบบมีส่วนร่วม PGS • จัดตั้งศูนย์การเรียนรู้เกษตรอินทรีย์PGS ปีงบประมาณ 2565 จัดตั้งศูนย์ใหม่จํานวน 13 ศูนย์และพัฒนาต่อยอดศูนย์เดิม 30 ศูนย์ ปีงบประมาณ 2566 จัดตั้งศูนย์ใหม่ 14 ศูนย์และพัฒนาต่อยอดศูนย์เดิม 31 ศูนย์ โดยกองวิจัยและพัฒนา การจัดการที่ดินมีการจัดตั้งศูนย์เรียนรู้เกษตรอินทรีย์PGS ณ ศูนย์วิจัยการอนุรักษ์ดินและนํ ้ า อําเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมาขึ้นจํานวน 1 ศูนย์ปัจจุบันมีศูนย์การเรียนรู้เกษตรอินทรีย์ PGS 75 ศูนย์ รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 54
การสนับสนุนความรู้ในด้านมาตรฐานเกษตรอินทรีย์รวมถึงแนวทาง และขั้นตอนการดําเนินงาน ตามกระบวนการรับรองแบบมีส่วนร่วมสําหรับเกษตรกรที่ร่วมโครงการ มีดังนี้ ปีงบประมาณ 2565 • อบรมหลักสูตรที่ 1 “การขับเคลื่อนเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม PGS” จํานวน 781 ราย • อบรมหลักสูตรที่ 2 “การตรวจเยี่ยมฟาร์มเพื่อนในกระบวนการรับรองแบบมีส่วนร่วม PGS” จํานวน 354 ราย ปีงบประมาณ 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน จัดอบรมหลักสูตร "การพัฒนาที่ปรึกษาเกษตรกร ด้านมาตรฐานสินค้าเกษตร" วันที่ 27 – 28 เมษายน 2566 และวันที่ 1 พฤษภาคม 2566 ณ ห้องประชุม 1214 ชั้น 2 และผ่านระบบการประชุมออนไลน์ (Zoom Meeting) เพื่อเพิ่มพูน ความรู้ถ่ายทอดความรู้เรื่องมาตรฐานสินค้าเกษตร เกษตรปลอดภัย และเกษตรอินทรีย์ให้มีความ เข้าใจระบบการตรวจรับรองและกระบวนการขอรับรองมาตรฐานให้แก่ผู้เข้ารับการอบรมสามารถนําไป ปฏิบัติในการขอการรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรได้อย่างถูกต้อง • โครงการฝึกอบรมด้านการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ ประโยชน์ที่ได้รับ • เกษตรกรที่ เข้าร่วมโครงการได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้เรื่องการปรับปรุงบํารุงดินให้เหมาะสม กับการผลิตในระบบเกษตรอินทรีย์และกระบวนการรับรองเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม โดยสามารถนําไปปรับใช้ในกลุ่มของตนเองได้ • กลุ่มเกษตรกรที่ เข้าร่วมโครงการได้รับการสนับสนุนด้านการปรับปรุงบํารุงดินให้เหมาะสมกับการ ผลิตในระบบเกษตรอินทรีย์โดยมีเจ้าหน้าที่กรมพัฒนาที่ดินเป็นพี่เลี้ยงให้คําแนะนําทางวิชาการและ ช่วยเหลือให้เกษตรกรผ่านการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ด้วยกระบวนการรับรองแบบมีส่วน ร่วม PGS • เจ้าหน้าที่และเกษตรกรที่เข้าร่วมอบรมได้องค์ความรู้ด้านการทําเกษตรอินทรีย์สามารถเป็นที่ ปรึกษาให้กลุ่มเกษตรกรพร้อมช่วยเหลือให้กลุ่มได้รับใบรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ได้มากขึ้น รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 55
โครงการพัฒนาหมอดินอาสา มีกิจกรรมดังนี้ 4 กําหนดให้วันที่10 กุมภาพันธ์ของทุกปีเป็น “วันหมอดินอาสา” ปีงบประมาณ 2565 • วันที่ 10 กุมภาพันธ์2565 เป็นปีแรกของการจัดงาน “วันหมอดินอาสา” ภายใต้หัวข้อ “หมอดินอาสา ผู้นําพาอาหารปลอดภัย” ณ สถานีพัฒนาที่ดินตาก ปีงบประมาณ 2566 • วันที่ 10 กุมภาพันธ์2566 จัดงาน “วันหมอดินอาสา” ภายใต้หัวข้อ “หมอดินอาสา นําพาการผลิต พิชิตตลาด” ณ โรงแรมยูเพลส มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีอําเภอวารินชําราบ จังหวัดอุบลราชธานี รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 56
โครงการ (นําร่อง) โรงเรียนหมอดินอาสาทางอากาศ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประจําปี 2565 กรมพัฒนาที่ดินได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์โดยสถานีวิทยุมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มูลนิธิมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ริเริ่ม “โครงการนําร่องโรงเรียนหมอดินอาสาทางอากาศ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” โดยนําร่องกับหมอดินอาสา ในจังหวัดขอนแก่น จํานวน 40 คน ซึ่งสถานี วิทยุกระจายเสียงมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เป็นสื่อหลักในการทําหน้าที่เผยแพร่องค์ความรู้ ด้านการเกษตร ผ่านทางเครือข่ายสถานีวิทยุ ม.ก. ออกอากาศ 4 ภูมิภาค ในระบบ AM Stereo และสามารถรับชมรับฟงัทั้งภาพและเสียงผ่าน Mobile Application รวมถึง Facebook Live “สถานี วิทยุ ม.ก.” และ Youtube Live “KU Radio Thailand” จํานวน 20 ตอน ครอบคลุมเนื้อหาสาระ ด้านการพัฒนาที่ดิน การอนุรักษ์ดินและนํ ้ า การปรับปรุงบํารุงดิน การจัดการดิน การถ่ายทอดเทคโนโลยี ด้านการพัฒนาที่ดิน และการออกแบบการใช้ที่ดินไร่นาสวนผสม รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 57
ศูนย์วิจัยการอนุรักษ์ดินและนํ ้ า อําเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา
มีหน้าที่เป็นศูนย์วิจัยสาธิตต้นแบบการอนุรักษ์ดินและนํ ้า และฝึกอบรม ถ่ายทอดความรู้เทคโนโลยีการพัฒนาที่ดินด้านต่าง ๆ แก่นักวิชาการกรมพัฒนาที่ดิน และผู้สนใจทั่ วไป รวมทั้งพัฒนาเป็น แหล่งเรียนรู้และท่องเที่ยวเชิงเกษตร ศูนย์วิจัยฯ มีพื้นที่ 573 ไร่ ดินมีการระบายนํ ้ าดีแต่การอุ้มนํ ้ าตํ่ ามาก ทําให้พืชมีโอกาสขาดนํ ้ าได้ จึงต้องมีการหาแนวทางในการบริหารจัดการนํ ้าที่เหมาะสม ศูนย์วิจัยฯ ได้ดําเนินการแบ่งพื้นที่ตามศักยภาพพื้นที่และสภาพภูมิ ประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อถ่ายทอดความรู้เรื่องทรัพยากรดิน เทคโนโลยีการอนุรักษ์ดินและนํ ้า การฟ้ืนฟูปรับปรุงบํารุงดิน การผลิตและใช้ผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีชีวภาพของกรมพัฒนาที่ดิน เป็นแหล่งเรียนรู้แบบเบ็ดเสร็จด้านการพัฒนาที่ดินและเป็นแหล่ง ท่องเที่ยวเชิงเกษตรแห่งใหม่แบ่งพื้นที่ดําเนินกิจกรรมต่าง ๆ ดังนี้ 1. แปลงวิจัยการปลูกไม้ผล พื้นที่ 24 ไร่ ปลูกไม้เศรษฐกิจ ได้แก่ มะม่วง ฝรั่ง น้อยหน่า มะขามเทศ และพืชที่บ่งชี้ทางภูมิศาสตร์(GI) โดยวิธีการจัดการดินของกรมพัฒนาที่ดิน 2. แปลงวิจัยการปรับปรุงบํารุงดินด้วยพืชปุ๋ยสด พื้นที่ 40 ไร่ แปลงสาธิตการปลูกพืชตระกูลถั่วเพื่อใช้เป็นพืชปุ๋ยสด ในการ ปรับปรุงบํารุงดิน เช่น ปอเทือง ถั่ วพร้า เป็นต้น 3. แปลงรวบรวมพันธุ์หญ้าแฝก พื้นที่ 40 ไร่รวบรวมพันธุ์หญ้า แฝก 28 พันธุ์ และขยายพันธุ์เพื่อแจกจ่ายให้กับเกษตรกร และผู้ที่สนใจ 4. แปลงวิจัยการปรุงดินเพื่อการปลูกพืช พื้นที่ 3 ไร่แปลงสาธิต การปรุงดิน ให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์เหมา ะ ในการปลูกพื ช ให้เจริญเติบโตและให้ผลผลิตดีอย่างยั่งยืน 5.แปลงวิจัยวนเกษตร พื้นที่ 13 ไร่เป็นระบบการเกษตรในรูปแบบ ป่าไม้ โดยเน้นการปลูกป่า ไม้ยืนต้น เก็บผลผลิตจากป่าไม้มา ใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน รวมทั้งการสร้างระบบเกษตรให้มีลักษณะ เลียนแบบระบบนิเวศป่าธรรมชาติ 6. แปลงวิจัยการปลูกพืชไร่หมุนเวียน พื้นที่ 12 ไร่แปลงสาธิต ปลูกพืชที่มีลักษณะต้องการนํ ้ าน้อย ทนความแห้งแล้งสูง มีอายุ การเก็บเกี่ยวสั้น ที่ เก็บเกี่ยวผลผลิต เพียงครั้งเดียว 7. แปลงวิจัยเกษตรผสมผสาน พื้นที่ 5 ไร่ระบบการเกษตรที่มี การปลูกพืชหลาย ๆ ชนิด ในพื้นที่ เดียวกัน โดยกิจกรรมแต่ละชนิด เกื้อกูลกันอย่างเป็นวงจร และก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด 8. แปลงวิจัยเกษตรทฤษฎีใหม่พื้นที่ 14 ไร่ ปฏิบัติตามแนวทาง หรือหลักการในการบริหารจัดการที่ดินและนํ ้ า เพื่อการเกษตรในที่ดิน ขนาดเล็กให้เกิดประโยชน์สูงสุด ด้วยหลักเศรษฐกิจพอเพียง ศูนย์วิจัยการอนุรักษ์ดินและน ํ ้ า อําเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 58
SHOW CASE กวจ.
เสวนาหมอดินอาสา: พู ดคุยภาษาหมอดิน แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ประสบการณ์ด้านการจัดการดินเพื่อเพิ่มผลผลิต หัวข้อ Soils, where food begins: อาหาร ก่อกําเนิด เกิดจากดิน กวจ.กับวันดินโลก 2565 ในวันที่ 6 ธันวาคม 2565 ณ เวทีกลาง งานวันดินโลก สถานีพัฒนาที่ดินตาก วิทยากรเป็นหมอดินอาสา 3 ท่าน คือ 1) นางชลาลัย ทับสิงห์ หมอดินอาสาประจําหมู่บ้าน จังหวัดนครสวรรค์ 2) นายวิเชียร บุญรอด หมอดินอาสาประจําหมู่บ้าน จังหวัดราชบุรี 3) นายวันชัย บวบงาม หมอดินอาสาประจําหมู่บ้าน จังหวัดตาก โดยมีนายยุทธศาสตร์ อนุรักติพั นธุ์ ผู้อํานวยการ กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน เป็นผู้ดําเนินการเสวนาฯ แนวคิดของหมอดินอาสาต่อการสร้างรายได้ดังนี้ หมอดินชลาลัย คือ กระบวนการผลิตผักอินทรีย์ในรูปแบบต้นนํ ้ า กลางนํ ้ า และปลายนํ ้ า และการนํา ระบบเทคโนโลยีไพโรไรซิสมาใช้ในกระบวนการบริหารจัดการพลาสติกที่ เหลือใช้ หมอดินวิเชียร คือ การทําปุ๋ยหมักจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรเพื่อปรับปรุงดิน และการทําเกษตร ผสมผสานโดยการปลูกพืชที่สร้างความคุ้มค่าทางรายได้ หมอดินวันชัย คือ การผลิตองุ่นปลอดสารพิษที่ได้รับรองมาตรฐาน GAP จากกรมวิชาการเกษตร การปรับปรุงเพื่อการปลูกพืชด้วยอินทรียวัตถุอย่างต่อเนื่อง และการแปรรูปองุ่นเพื่อเพิ่มมูลค่า เสวนาหมอดินอาสา: พูดคุยภาษาหมอดิน แลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ด้านการจัดการดิน เพื่อเพิ่มผลผลิต หัวข้อ Soils, where food begins: อาหาร ก่อกําเนิด เกิดจากดิน รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 60
การประกวดวาดภาพจากดิน หัวข้อ “Soils: where food begins: อาหาร ก่อกําเนิด เกิดจากดิน” นางนิสา มีแสง ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการดินด้วยระบบพืช นางสาววรรยา สุธรรมชัย นักวิชาการเกษตรชํานาญการพิเศษ และนายอรรถพล ใจคํา นักวิชาการเกษตร กลุ ่มวิจัย และพัฒนาการปรับปรุงบํารุงดิน เป็นผู้ดําเนินการประกวดวาดภาพจากดิน ในหัวข้อ “Soils: where food begins: อาหาร ก ่อ กํ าเ น ิด เ กิด จ ากด ิน” เนื่องในงานวันดินโลก ป ร ะ จํ า ป ี 2565 ณ สถานีพัฒนาที่ดินตาก จังหวัดตาก วันที่ 7 ธันวาคม 2565 มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการน้อมรําลึกถึงพระ ม ห า ก รุ ณ า ธิ คุ ณ แ ล ะ เ ทิ ด พ ร ะ เ กี ย ร ติ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิ พลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พร้อม ทั้งเป็นการสร้างการรับรู้และการตระหนักถึง ค ว า ม สํา คัญ ข อ ง ท รัพ ย า ก ร ดิน ที่มีต่อ การเกษตร โภชนาการ และความมั่นคงทาง อาหาร และพร้อมทั้งให้นักเรียนได้มีส่วนร่วมใน การเรียนรู้ ค้นคว้า และสร้างความตระหนักต่อ ค ว า ม สํ า คัญ ข อ ง ท รั พ ย า ก ร ดิ น รวมทั้ง ถ่ายทอดเป็นภาพวาดเพื่อใช้เป็นสื่อกลางต่อ การใช้ประโยชน์ทรัพยากรดินอย่างยั่งยืนให้ทุก ภาคส่วนได้มีส่วนร่วมคิด ร่วมทํา โดยแบ่งการ ประกวดวาดภาพจากดิน เป็น 2 ระดับ คือ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลาย โดยมี เกณฑ์การตัดสินซึ่งพิจารณาจากคุณภาพของ ผลงาน เนื้อหาสอดคล้องกับหัวข้อเรื่องการ ประกวด และเป็นผลงานที่สร้างสรรค์ โดยต้อง ใช้ดินเป็นวัสดุที่ทําให้เกิดสีต่าง ๆ ไม่น้อยกว่า ร้อยละ 50 ของชิ้ นงาน รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 61
วิทยากรบรรยายนิทรรศการวันดินโลก 2565 (World Soil Day 2022) เรื่อง โมเดลเศรษฐกิจใหม่ และการสูญเสียอาหารและขยะอาหาร นางสาววรรณพร พลแสง นักวิชาการเกษตรชํานาญการพิ เศษ ผู้อํานวยการกลุ่มวิจัย และพัฒนาดินเค็ม และนางสาวนิสุดา ทองคําพั นธ์นักวิชาการเกษตรชํานาญการพิเศษ กลุ่มวิจัยและ พัฒนาการจัดการดินเปรี้ยว เข้าร่วมเป็นวิทยากรบรรยายนิทรรศการวันดินโลก.2565 (World.Soil Day 2022).เรื่อง โมเดลเศรษฐกิจใหม่และการสูญเสียอาหารและขยะอาหารเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม วันดินโลก 2565 วันที่ 5 - 7 ธันวาคม 2565 ณ บริเวณ B2.สถานีพัฒนาที่ดินตาก ตําบลแม่ท้อ อําเภอเมืองตาก จังหวัดตาก ศูนย์วิจัยการอนุรักษ์ดินและน ํ ้ า อําเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา จัดงานวันดินโลก 2565 (World Soil Day 2022) ศูนย์วิจัยการอนุรักษ์ดินและนํ ้า อําเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา จัดงานวันดินโลก.2565 (World Soil Day 2022) เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2565 ณ ศูนย์วิจัยการอนุรักษ์ดินและนํ ้ า อําเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ภายใต้แนวคิดของ FAO “Soils where food begins: อาหารก่อกําเนิดเกิดจากดิน” การจัดงานวันดินโลกเพื่อเป็นการสร้างการรับรู้และความเข้าใจถึงความสําคัญของวันดินโลก และกิจกรรม ภายในงานประกอบด้วย นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลย เดชมหาราช บรมนาถบพิตร นิทรรศการวิชาการจากหน่วยงานภายในกองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมอื่น ๆ ได้แก่การจัด Workshop DIY (Do It Yourself) บริการวิเคราะห์ดิน บูธ “อาหารก่อกําเนิด เกิดจากดิน” การทําไอติมหลอดจากนํ ้ าอ้อย ผลผลิตจากแปลงพืชไร่หมุนเวียนภายใน ศูนย์วิจัยฯ การแสดงโดรนทางการเกษตรจากศูนย์วิจัยข้าวโพดและข้าวฟ ่างแห่งชาติ (ไร่สุวรรณ) การนําเสนอผลิตภัณฑ์จากชมรมอะโวคาโดปากช่องเขาใหญ่ และกลุ่มทุเรียนปากช่องเขาใหญ่ และกิจกรรม บรรยายพิเศษเกี่ยวกับการจัดการปุ๋ยเพื่อลดต้นทุนการผลิตให้กับเกษตรกร รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 62
การรณรงค์ส่ง เสริม ให้บริการข้อมูลและ ถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านหญ้าแฝก นิทรรศการและถ่ายทอดองค์ความรู้ “เยาวชน...รักษ์พง ไพร เฉลิมพร ะ เกียรติ60 พรรษา สม เด็จพร ะ เทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี” วัตถุประสงค์การจัดงาน เพื่อฝึกอบรมให้ความรู้พร้อมลงมือปฏิบัติให้เยาวชนมีทักษะใน การประยุกต์ใช้หญ้าแฝกเพื่อการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ งแวดล้อม ให้มีความเข้มแข็ง สามารถดูแลพัฒนาตนเองและเป็นกําลังสําคัญในการพัฒนาประเทศในอนาคตต่อไป กลุ่มวิจัยและพัฒนาการใช้ประโยชน์ หญ้าแฝกในการจัดการดิน จัดนิทรรศการ แ ล ะ เ ป็ น วิ ท ย า ก ร ถ่ า ย ท อ ด ค ว า ม รู้ เรื่อง “หญ้าแฝกเพื่อการอนุรักษ์ดินและนํ ้ า และการนําหญ้าแฝกไปใช้ประโยชน์ในด้าน ต่าง ๆ” แก่เยาวชนที่เข้าร่วมโครงการค่าย “เยาวชน…รักษ์พงไพร เฉลิมพระเกียรติ 60 พรรษา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี” ในเดือนพฤษภาคม ถึง กรกฎาคม 2565 และเดือนกุมภาพันธ์ ถึง มีนาคม 2566 ณ สวนสมเด็จพระนาง เจ้าสิริกิติ์ ฯ กรุงเทพมหานคร รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 63
นิทรรศการ“หญ้าแฝกใต้ร่มพระบารมีสร้างดินดีน ํ ้ ายั่งยืน” ในงานประชุมหญ้าแฝกนานาชาติครั้งที่ 7 ณ โรงแรมแชงกรี-ลา จังหวัดเชียงใหม่ กลุ่มวิจัยแล ะพั ฒนาการ ใช้ปร ะ โยชน์ หญ้าแฝกในการจัดการดิน เข้าร่วมประชุม หญ้า แฝกนานาชาติครั้งที่ 7 และจัดนิทรรศการ เกี่ยวกับหญ้าแฝกเพื่อเฉลิมพร ะเกียรติ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพล อดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ภายใต้หัวข้อ “หญ้าแฝกใต้ร่มพระบารมีสร้างดินดีนํ ้ ายั่งยืน” ในระหว่างวันที่ 29 พฤษภาคม - 1 มิถุนายน 2566 ณ โรงแรมแชงกรี-ลา จังหวัดเชียงใหม่ รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 64
เสวนาวิชาการ กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดินได้จัดให้มีการเสวนาวิชาการ หัวข้อ “ลดการใช้ปุ๋ยเคมีรวมกลุ่ม แปลงใหญ่ ผสมปุ๋ยใช้เอง” ในงานมหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ2566 (Thailand Research Expo 2023) ครั้งที่ 18 เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2566 ณ ห้อง Lotus Suite 13 ชั้น 23 โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอก คอนเวนชันเซ็นเตอร์เซ็นทรัลเวิลด์กรุงเทพฯ มีวิทยากรร่วมเสวนา 5 ท่าน ได้แก่ 1) นายพี รพันธ์คอทอง รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์2) นางวรารัตน์วีรยวรางกูร กรรมการ วาย.วี.พี.กรุ๊ป บริษัท วาย.วี.พี. เฟอร์ติไลเซอร์ จํากัด 3) นางสาวนฤมล ศรีสุมะ หัวหน้ากลุ่มวิจัยและพัฒนา บริษัท ไทยวา จํากัด (มหาชน) 4) นางนิ ติ ภา วรพั นธ์ ตร ะกู ล เศรษฐกรชํ านาญการพิ เศษ สํ านั กงานเศรษฐกิ จการเกษตร และ 5) ผศ.ดร.ปิยะ กิตติภาดากุล นายกสมาคมปรับปรุงพั นธุ์และขยายพั นธุ์พื ชแห่งประเทศไทย โดยมีนายยุทธศาสตร์อนุรักติพันธุ์ผู้อํานวยการกองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน เป็นผู้ดําเนินรายการ ประเด็นการเสวนาประกอบด้วย นโยบายกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กับสถานการณ์ ปุ๋ยเคมีในปัจจุบัน และความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในภาคเกษตร กับภาคเอกชน ทิศทางตลาดปุ๋ยเคมีในประเทศไทยในมุมมอง ภาคเอกชน และสูตรปุ๋ยเคมีในท้องตลาดที่เป็น ที่นิยมของแต่ละพื้นที่ ธุ รกิ จกา รป รั บป รุ งบํ า รุ งดิ น เพื่อการปลูก มันสําปะหลังและการบริหารจัดการเครือข่ายเกษตรกร โดย บริษัท ไทยวา จํากัด (มหาชน) ภาวะเศรษฐกิจภาคการเกษตร สถานการณ์การผลิต ต้นทุนการผลิต การขึ้นทะเบียนปุ๋ยเคมีและราคา ปุ๋ยเคมีราคาขายส่งในพื้นที่กรุงเทพฯ และราคาขาย ปลีกท้องถิ่ น (ต่างจังหวัด) ความต้องการธาตุอาหารพืชกับแนวทางการใช้ปุ๋ยเคมี ในภาคการเกษตร และการใช้ปุ๋ยเคมีและวิธีการจัดการ ที่ เหมาะสมกับพืชเศรษฐกิจ เช่น มันสําปะหลัง อ้อย ข้าว ข้าวโพด แนวทางการบริหารจัดการปุ๋ยอย่างมีประสิทธิภาพ “ลดการใช้ปุ๋ยเคมีรวมกลุ่มแปลงใหญ่ผสมปุ๋ยใช้เอง” และ Application TSFM และการรวมกลุ่มเกษตรกร รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 65
นางสาวศันสนีย์อรัญวาสน์นักวิชาการเกษตรชํานาญการพิ เศษ ผู้อํานวยการกลุ่มวิจัย และพัฒนาการอนุรักษ์ดินและนํ ้ าเพื่อการเกษตร ดําเนินงานโครงการส่งเสริมระบบการจัดการที่ดิน เพื่อพัฒนาการเกษตรแบบยั่งยืนในภูมิภาคแม่โขงล้านช้าง เป็นโครงการภายใต้กรอบความร่วมมือ แม่โขงล้านช้าง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านการอนุรักษ์ดินและนํ ้ า การจัดการที่ดิน เพื่อการเกษตรอย่างยั่งยืนผ่านการสร้างเครือข่ายระดับประเทศ โครงการไทยภายใต้กองทุนพิ เศษแม่โขง – ล้านช้าง (Mekong – Lancang Coorperation Special Fund: MLCSF) การดําเนิน โครงการฯ ที่ผ่านมา ได้มีการจัดตั้ง คณะ ทํา ง า น ซึ่งทํา ห น้า ที่ป ร ะ ส า น แ ล ะเตรีย ม แผ น การดําเนินงาน โดยกิจกรรมหลักที่ดําเนินการคือการจัด ประชุมผู้เชี่ยวชาญและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการกําหนด นโยบายของแต่ละประเทศสมาชิกในภูมิภาค ผลจากการ จัดประชุมในครั้งนี้ทําให้ได้องค์ความรู้ด้านระบบการเกษตร และการจัดการที่ดินอย่างยั่งยืนของแต่ละประเทศสมาชิก และแผนปฏิบัติกา รความร่วมมือทางวิชากา ร เพื่อ การพัฒนาและจัดการที่ดินอย่างยั่งยืนในลุ่มนํ ้ าโขงเหนือ ประเทศไทย จากแผนปฏิบัติการความร่วมมือทางวิชาการเพื่อ การพัฒนาและจัดการที่ดินอย่างยั่งยืนในลุ่มนํ ้ าโขงเหนือ ประเทศไทย ได้นําไปสู่การพัฒนาระบบอนุรักษ์ดินและนํ ้ า ในพื้นที่สําหรับเป็นพื้นที่ต้นแบบ เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกร มีการเพิ่มศักยภาพการผลิตทางการเกษตรที่ยั่งยืนลด การใช้สารเคมีเป็นมิตรกับสิ่ งแวดล้อม โดยดําเนินการ ในพื้นที่บ้านนํ ้ าตกพัฒนา ตําบลทุ่งก่อ อําเภอเวียงเชียงรุ้ง จังหวัดเชียงราย ได้จัดให้มีการประชุมเชิงปฏิบัติการ “Strengthening Research-Policy Cooperation and Partnerships to Promote Sustainable Soil and Water Conservation in LanchangMekong Region” ระหว่างวันที่ 7 - 10 ธันวาคม 2565 ณ โรงแรมแสนโฮเทล จังหวัดเชียงราย มีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกในกลุ่มล้านช้าง-แม่โขง ในการ ผลักดันงานวิจัยสู่ระดับนโยบาย เพื่อส่งเสริมระบบอนุรักษ์ดินและนํ ้ าให้เกิดความยั่งยืน โดยนาย เศรษฐเกียรติกระจ่างวงษ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธานเปิดการประชุมฯ การประชุมเชิงปฏิบัติการในครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมประชุมทั้งสิ้ น 50 คน มีกิจกรรมต่าง ๆ ได้แก่ การบรรยายพิเศษในหัวข้อ Sustainable Soil and Water Conservation: Lesson Learned from China การนําเสนอกิจกรรมและผลการดําเนินงานโครงการส่งเสริมระบบการจัดการที่ดิน เพื่อการเกษตรอย่างยั่งยืนในภูมิภาคล้านช้าง-แม่โขง การร่วมงานกับองค์กรระหว่างประเทศ ส่งเสริมระบบการจัดการที่ดินเพื่อพัฒนาการเกษตรแบบยั่งยืนใน ภูมิภาคแม่โขง-ล้านช้าง รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 66
การประเมินความเสื่อมโทรมของที่ดิน และการชะล้างพังทลายของดินในพื้นที่ลุ่มนํ ้ า โขงเหนือ การคาดการณ์เปลี่ยนแปลงการ ใช้ที่ดินเพื่อวางแผนการจัดการระบบอนุรักษ์ ดินและนํ ้ า การพัฒนาพื้นที่ตามแผนการใช้ ที่ดินต้นแบบ/ แนวปฏิบัติการจัดการที่ดิน เพื่อประยุกต์ใช้ในภูมิภาค และการเสวนา หัวข้อ Land Management System for SustainableAgricultural Development in LMC โดยผู้เชี่ยวชาญจากประเทศสมาชิก ผลการดําเนินงานและข้อเสนอแนะที่ได้จาก การศึกษาได้นําเสนอระดับนโยบายในการ ประชุม Lancang - Mekong Research and Policy Forum : Strengthening Research – Policy Cooperation and Partnerships to Promote Sustainable Soil and Water Conservation in Lanchang - Mekong Region เพื่อต่อ ยอดผลการดําเนินงานและผลักดันการ ประยุกต์ใช้ต้นแบบการจัดการพื้นที่ลุ่มนํ ้ าโขง เหนือสู่ระดับภูมิภาคต่อไป โครงการนี้ประสบความสําเร็จในการสร้าง ความร่วมมือระหว่าง 6 ประเทศในอนุภูมิภาคแม่ โขง-ล้านช้าง ได้แก่ ไทย กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม และจีน การดําเนินโครงการสามารถ ส ร้ า ง ค ว า ม ร่ ว ม มื อ ท า ง วิ ช า ก า ร ร ะ ห ว่ า ง นักวิชาการด้านดินและการเกษตรในอนุภูมิภาคฯ เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ประสบการณ์ การจัดการเกษตรอย่างยั่งยืนระหว่างประเทศ สมาชิก ทั้งนี้ประเทศไทยร่วมกับประเทศใน อนุภูมิภาคฯ สามารถจัดทําฐานข้อมูลต้นแบบ การจัดการที่เป็นเลิศเพื่อการอนุรักษ์ดินและนํ ้ า เพื่อการขยายผลในระดับภูมิภาคฯ รวมถึงการ ถอดบทเรียนแนวทางที่ประสบความสําเร็จ ปัญหาอุปสรรคที่สําคัญในการดําเนินงานของ แต่ละประเทศ เพื่อเป็นข้อมูลและข้อเสนอแนะใน การกําหนดนโยบายสําหรับการดําเนินงานเพื่อ การจัดการที่ดินอย่างยั่งยืน รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 67
การพัฒนาและส่งเสริมโครงการหมอดิน เพื่อการจัดการที่ดินและเกษตรอย่างยั่งยืน ในอนุภูมิภาคแม่โขง-ล้านช้าง นางสาวประภา ธารเนตร นักวิชาการเกษตรชํานาญการพิ เศษ ผู้อํานวยการกลุ่มวิจัย และพัฒนาการจัดการดินเปรี้ยว ดําเนินงานโครงการพัฒนาและส่งเสริมโครงการหมอดินเพื่อการ จัดการที่ดินและเกษตรอย่างยั่งยืนในอนุภูมิภาคแม่โขง-ล้านช้างในระหว่างปีพ.ศ. 2564 - 2566 เน้นกิจกรรมการประชุมเพื่อจัดทําแนวปฏิบัติโครงการหมอดินในระดับอนุภูมิภาค การประเมิน ศักยภาพหมอดินอาสา การคัดเลือกหน่วยงานเข้าร่วมโครงการฯ จาก 6 ประเทศภายใต้อนุภูมิภาค แม่โขง-ล้านช้าง ได้แก่ ประเทศไทย จีน ลาว พม่า เวียดนาม และกัมพูชา และหน่วยงานอื่นๆ ในประเทศไทยและสร้างความร่วมมือทางวิชาการกับสมัชชาความร่วมมือด้านทรัพยากรดินโลก การจัดทํารายละเอียดและรวบรวมรายชื่อผู้เข้าเครือข่ายเผยแพร่บนเว็บไซต์โครงการฯ การจัดทํา ช่องทางและสื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เช่น เว็บไซต์เป็นต้น การร่วมกิจกรรมเผยแพร่โครงการ เช่น ประชุมเชิงปฏิบัติการ นิทรรศการ เป็นต้น และการจัดทําเครื่องมือประกอบการถ่ายทอดองค์ ความรู้เช่น โปสเตอร์เอกสารวิชาการ เป็นต้น การดําเนินงานของโครงการฯ ในช่วงที่ผ่านมา ได้แก่ 1) การประชุมเชิงปฏิบัติการ The 1st Expert Consultation and Workshop on The Development and Implementation of Soil Doctors Program in Lancang-mekong Countries ระหว่างวันที่ 15 - 18 มีนาคม 2565 ณ โรงแรม สุนีย์แกรนด์จังหวัดอุบลราชธานีและ จังหวัดยโสธร โดยผู้เข้าร่วมการประชุมประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตรจากประเทศไทย กัมพู ชา ลาว เมียนมา เวียดนาม จีน ออสเตรเลีย มาลาวีคอสตาริกา และผู้แทนสถาบันสิ่ งแวดล้อม สตอกโฮล์ม รวมทั้งสิ้ น 80 คน การประชุมเน้นการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเทคโนโลยีการพัฒนา ที่ดินและการเกษตร ในด้านต่างๆ อาทิด้านเครือข่ายเกษตรกร ด้านการจัดการที่ดินและการเกษตร อย่างยั่งยืน รวมถึงการอภิปรายในประเด็นความท้าทายในการขยายผลหมอดินนานาชาติโดยผู้เข้าร่วม การประชุมสนับสนุนให้เกิดการขยายผลโครงการหมอดินในระดับนานาชาติและต้องการจะให้เกิดความ ร่วมมือทางวิชาการและส่งเสริมโครงการฯ อย่างจริงจัง นอกจากนั้นได้มีการถอดบทเรียนหมอดิน ต้นแบบในการจัดการที่ดินอย่างยั่งยืน ได้แก่.“กลุ่มปลูกฮักท้องถิ่ น หมอดินอินทรีย์วิถียโสธร” ตําบลลุมพุก อําเภอคําเขื่อนแก้ว จังหวัดยโสธร และหมอดินสุริยา หงษ์ลอยลม หมอดินอาสาประจํา ตําบลคํานํ ้ าสร้าง อําเภอกุดชุม จังหวัดยโสธร รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 68
2) ก า ร ป ร ะ ชุ มเ ชิ ง ป ฏิ บั ติ ก า ร The..2nd expert workshop on the development and implementation of soil doctors program in Lancang-Mekong Countries ระหว่างวันที่ 20 - 23 กันยายน 2565.ณ.โรงแรม เดอะบาซาร์แบงค็อก กรุงเทพมหานคร การประชุม ในครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมประชุมรวมทั้งสิ้น 50 คน ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่กรมพัฒนาที่ดิน ผู้แทน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และ ผู้เชี่ยวชาญด้าน การเกษตรและการจัดการที่ดินอย่างยั่งยืน ได้แก่ ไทย กัมพู ชา ลาว เมียนมา เวียดนาม จีน ศรีลังกา และอินเดีย กา รปร ะ ชุมมีกา รบร รยายเพื่อ แลกเปลี่ยนองค์ความรู้เทคโนโลยีและมาตรการ จัดการที่ดินและการเกษตรอย่างยั่งยืน รวมถึงการ จัดทําแผนการดําเนินงานในการสร้างหมอดินของ ประเทศสมาชิก มีการจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนความ คิ ด เ ห็ น แ ล ะ จั ด ทํ า แ ผ น ก า ร ดํ า เ นิ น ง า น ข อ ง ผู้เชี่ยวชาญจากแต่ละประเทศแลกเปลี่ยนปัญหาและ อุปสรรคการดําเนินงานโครงการ 3) การประชุมเชิงปฏิบัติการ หมอดินอาสาและเทคโนโลยีการพัฒนาที่ดินเพื่อเกษตรกรรมในยุค 4.0 (Outstanding Soil Doctors and Technology for Land Management under the Thailand 4.0) ระหว่างวันที่ 7 - 9 มิถุนายน 2566 ณ อาคารฝึกอบรม ศูนย์วิจัยการอนุรักษ์ดินและนํ ้ า อําเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมามีเป้าหมายเพื่อพัฒนาหมอดินอาสาให้สามารถปรับตัวต่อสถานการณ์การ เปลี่ยนแปลงของทรัพยากรรวมถึงส่งเสริมหมอดินอาสาให้สามารถขยายผลไปสู่การสร้างเครือข่ายหมอ ดินในระดับนานาชาติให้ประสบความสําเร็จ เป็นที่ยอมรับ และเกิดประสิทธิภาพสูงสุด มีผู้เข้าร่วมการ ประชุมทั้งสิ้ น 130 คน ประกอบด้วย หมอดินอาสาต้นแบบของกรมพัฒนาที่ดิน และเจ้าหน้าที่ของกรม พัฒนาที่ดินทั้งจากส่วนกลาง และส่วนภูมิภาค รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 69
การประชุมมีการบรรยายพิเศษในหัวข้อเรื่อง ‘ทําเกษตรอย่างไรให้ไม่จน’ การบรรยายแลกเปลี่ยน ประสบการณ์จากหมอดินอาสาต้นแบบการใช้ทักษะสหวิทยาการจัดการดินเค็มแบบยั่งยืน หมอดิน ต้นแบบการใช้ Smart Farm IOT นวัตกรรมที่สร้างขึ้นเพื่อจัดการระบบแปลงเกษตร ควบคุม และสั่งงานอัตโนมัติในระยะไกลด้วยโทรศัพท์มือถือเพียงเครื่องเดียวและต้นแบบการแก้ปัญหาดินทราย แบบยั่งยืน มีผลงานเด่นด้านการทําเกษตรอินทรีย์แบบผสมผสานและผันตัวเองเป็นผู้ประกอบการ การเสวนาในหัวข้อเรื่อง ‘เกษตรกรยุคใหม่: ทางรอดวิกฤตอาหารโลก’ และการระดมสมอง ในประเด็น‘ศักยภาพหมอดินอาสา การพัฒนาและการขยายผลในระดับนานาชาติ’ รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 70
การพัฒนาการผลิตเมล ็ ดพันธุ์พืชปุ๋ยสดอย่างยั่งยืน ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง Development of Sustainable Green Manure Seed Community in Mekong Region นางนิสา มีแสง ผู้เชี่ยวชาญด้านการ จัดการดินด้วยระบบพืช ดําเนินงานโครงการการ พัฒนาการผลิตเมล็ดพันธุ์พืชปุ๋ยสดอย่างยั่งยืน ภาย ใต้กรอบความร่วมมือแม่ โขง-ล้านช้าง มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์การผลิต เมล็ดพันธุ์พืชปุ๋ยสดทั้งในด้านปริมาณและ คุณภาพ ข้อมูลความต้องการ ใช้เมล็ดพั นธุ์ การตลาดเมล็ดพั นธุ์ และองค์ประกอบของผู้มี ส่วนได้ส่วนเสียตลอดห่วงโซ่การผลิตเมล็ดพันธุ์ พืชปุ๋ยสดที่มีคุณภาพ รวมทั้งพัฒนาระบบการ ผลิตเมล็ดพันธุ์พืชปุ๋ยสดเพื่อสร้างต้นแบบกลุ่ม เกษตรกรมืออาชีพผู้ผลิตเมล็ดพั นธุ์พื ชปุ๋ยสด ของกรมพัฒนาที่ดิน มีระยะเวลาดําเนินการ 3 ปี (พ.ศ. 2564..–..2567).ซึ่งผลที่จะได้รับจาก โครงการคือ แนวทางปฏิบัติและรูปแบบการผลิต เมล็ดพันธุ์พืชปุ๋ยสดที่ได้คุณภาพมาตรฐานตาม แนวทางการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีรวมทั้ง รูปแบบธุรกิจด้านการตลาดเมล็ดพันธุ์พืชปุ๋ยสด ของชุมชน โดยมีรายละเอียดของกิจกรรมดังนี้ 1. การประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่องการผลิตเมล็ด พันธุ์และเทคโนโลยีเมล็ดพันธุ์พืชปุ๋ยสด วันที่ 2 – 5 สิงหาคม 2565 ณ โรงแรม อมันตา จังหวัดหนองคาย มีวัตถุปร ะสงค์ เพื่อเพิ่มความรู้ความเข้าใจด้านการผลิตเมล็ด พั น ธุ์ แ ล ะเ ท ค โ น โ ล ยีเ ม ล็ ด พั น ธุ์ พื ช ปุ๋ ย ส ด และพัฒนาทักษะกระบวนการทํางานร่วมกับ เกษตรกร ในการถอดบทเรียนวิธีการปฏิบัติ ทางการเกษตรที่ดีสําหรับการผลิตเมล็ดพันธุ์ พืชปุ๋ยสด 2 . ก า ร ป ร ะ ก ว ดต้ น แ บ บ ก ลุ่ ม เ ก ษต ร ก ร ผู้ผลิต เมล็ดพั นธุ์พื ชปุ๋ยสดมืออาชีพของ กรมพัฒนาที่ดิน ระหว่างเดือนเมษายน –.เดือนมิถุนายน 2566 มีวัตถุปร ะสงค์เพื่อถอดบทเ รียน ความสําเร็จของเกษตรกรผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์พืช ปุ๋ยสด และขยายผลเพื่อพัฒนาเกษตรกร ผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์พืชปุ๋ยสดให้เป็นอาชีพที่สร้าง ความมั่นคงทางรายได้ โดยผู้เข้าร่วมการ ประกวดเป็นกลุ่มเกษตรกรผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์พืช ปุ๋ยสดจากสถานีพัฒนาที่ดินทั่ วประเทศ ผลการประกวด นายทวีศักดิ์กอสุข หมอดินอาสาประจําตําบลขัวเรียง อําเภอชุมแพ จังหวัดขอนแก่น รางวัลชนะเลิศ รางวัลรองชนะเลิศ นายเดิม เทียนทอง หมอดินอาสาประจําตําบลบ้านต้อน อําเภอรัตนวาปีจังหวัดหนองคาย รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 71
แห่งความภาคภูมิใจ รางวัล
รางวัลงานประชุมวิชาการกรมพัฒนาที่ดิน 2565 ผลการศึกษาปัจจัยสภาพพื้นที่ส มบัติดิน ความเหมาะสมของพื้นที่ที่มีผลต่อผลผลิตข้าวขาว ดอกมะลิ105 จังหวัดสุรินทร์โดยการเก็บตัวอย่าง ดินและปริมาณผลผลิตข้าวรวม 123 แปลง พบว่า ดินเป็นกรดจัด ปริมาณอินทรียวัตถุในดินตํ่ า ปริมาณ ฟ อ ส ฟ อ รัส ที่เ ป็น ป ร ะ โ ย ช น์ร ะ ดับ ป า น ก ล า ง และปริมาณโพแทสเซียมที่ เป็นประโยชน์ระดับตํ่ า เนื้อ ดินส่วนใหญ่เป็นดินเนื้อหยาบ เก็บกักนํ ้าได้น้อย มีสภาพพื้นที่เป็นที่ลุ่มสลับกับที่ดอน มีการกระจาย ของนํ ้ าฝนที่ตกหนักและชุก เกิดการชะล้างธาตุอาหาร ออกจากพื้นที่ได้ง่าย ดินจึงมีความอุดมสมบูรณ์ตํ่ า จากอิทธิพลของเนื้อดินที่หยาบมีผิวสัมผัสน้อย และมีสมบัติที่ดูดยึดธาตุอาหารพืชได้ตํ่า เมื่อฝน ขาดช่วงดินจะระบายนํ ้าออกอย่างรวดเร็ว จึงเกิด ความเสียหายกับพืชที่ปลูก โดยเฉพาะบนที่ดอน ปริมาณผลผลิตข้าวในพื้นที่มีความแปรปรวนสูง และ การเพิ่มผลผลิตทําได้ยาก เนื่องจากข้าวพันธุ์ขาวดอก มะลิ105 มีการตอบสนองต่อปุ๋ยน้อย ผลการศึกษา ยังพบว่า ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อปริมาณผลผลิตข้าว ขาวดอกมะลิ105 ในจังหวัดสุรินทร์ คือ ความจุ ความชื้นที่เป็นประโยชน์เนื่องจากข้อจํากัดของเนื้อ ดิน และปัจจัยแฝงจากด้านความสูง-ตํ่าของพื้นที่ เมื่อเปรียบเทียบในสมบัติเชิงพื้นที่เช่น สภาพพื้นที่ลุ่ม หรือพื้นที่ดอน และชั้นความเหมาะสมของพื้นที่ ในการ ปลูกข้าวขาวดอกมะลิ105 พบว่า มีความแตกต่าง ของความจุความชื้นที่เป็นประโยชน์ซึ่งส่งผลต่อ ปริมาณผลผลิตข้าวที่ได้แตกต่างกัน กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน มีนักวิชาการเกษตรที่ได้รับรางวัลจากการคัดเลือก ผลงานวิชาการ ปี2565 และรับรางวัลการนําเสนอผลงานวิชาการจากการประชุมวิชาการกรม พัฒนาที่ดิน ปี 2565 “60 ปี กรมพัฒนาที่ดิน การเปลี่ยนแปลงในทศวรรษหน้า สู่การพัฒนา ที่ดิน” วันที่ 21 - 23 สิงหาคม 2565 ณ โรงแรมรอยัล ภูเก็ต ซิตี้จังหวัดภูเก็ต ชื่อผลงาน สมบัติของดินและปัจจัยที่มีผลกระทบต่อผลผลิตข้าวขาวดอกมะลิ105 จังหวัดสุรินทร์ นางสาวอภันตรีพฤกษพงศ์นักวิชาการเกษตรชํานาญการพิเศษ กลุ่มวิจัยและพัฒนาการปรับปรุงบํารุงดิน ผู้ได้รับรางวัล รางวัล (ภาคบรรยาย) รางวัลชนะเลิศ ผลงานวิชาการด้านการวิจัยเกี่ยวกับพืชอัตลักษณ์และพืชทางเลือก รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 73
ผลการศึกษาผลของการ ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ชนิดต่างๆ ร่วมกับนํ ้ าหมักชีวภาพต่อการเปลี่ยนแปลงสมบัติทางเคมี และกายภาพของดิน การเจริญเติบ โต ผลผลิต และ ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจของข้าวโพดหวานอินทรีย์ ดําเนินการทดลองในชุดดินวังสะพุ ง ณ ศูนย์วิจัยการ อนุรักษ์ดินและนํ ้ า อําเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา พบว่า หลังการเก็บเกี่ยวผลผลิตทั้ง 2 ฤดูปลูกการ ใช้ปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพสูงทําให้การเปลี่ยนแปลงสมบัติทาง เ ค มี ข อ งดิ น เ ช่ น ค่ า ค ว า มเ ป็ น ก รด ด่ า ง.(pH)..และ อินทรียวัตถุ (OM)..เพิ่มขึ้น เป็นต้น และการใส่ปุ๋ยอินทรีย์ คุณภาพสูงส่งผลให้ผลผลิตและองค์ประกอบของผลผลิต ข้าวโพดหวานอินทรีย์สูงสุดทั้ง 2 ฤดูโดยในฤดูปลูก ที่ 1 และ 2 ให้ความสูงของต้นสูงสุดเท่ากับ 189 และ 117 เซนติเมตร ตามลําดับ.และนํ ้ าหนักฝักสดของข้าวโพด หวานมีนํ ้ าหนักสูงสุดเท่ากับ 2,334 และ 1,608 กิโลกรัม ต่อไร่ตามลําดับ เมื่อพิจารณา ผลตอบแทนเศรษฐกิจใน ฤดูปลูกที่ 1 การใส่มูลโคให้ผลตอบแทนเหนือต้นทุนสูงสุด ชื่อผลงาน ผลของการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ร่วมกับนํ ้ าหมักชีวภาพต่อผลผลิตของข้าวโพดหวาน อินทรีย์ในชุดดินวังสะพุ ง นายวินัย ชมบุตร นักวิชาการเกษตรชํานาญการพิเศษ ศูนย์วิจัยการอนุรักษ์ดินและนํ ้ า อําเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ผู้ได้รับรางวัล รางวัล รองชนะเลิศ อันดับ 2 ผลงานวิชาการด้านการวิจัยเชิงเทคโนโลยี นวัตกรรมทางการเกษตร (ภาคบรรยาย) เท่ากับ 9,579 บาทต่อไร่และมีอัตราส่วนรายได้ต่อต้นทุนมีค่าเท่ากับ 2.14 และในฤดูปลูกที่ 2 การใช้ ปุ๋ยอินทรีย์คุณภาพให้ผลตอบแทนสูงสุดเท่ากับ 12,308 บาทต่อไร่ และอัตราส่วนรายได้ต่อต้นทุน มีค่าเท่ากับ 4.27 รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 74
ผลการศึกษาการประเมินอัตราการเคลื่อนย้าย ของดินเพื่อศึกษาเปรียบเทียบการจัดการดินใน พื้นที่เกษตรกรรมโดยใช้เทคนิคนิวเคลียร์ไอโซโทป ด้วยธาตุตะกั่ว-210 (210Pbex inventories) ณ บ้านวังขยาย ตําบลปรังเผล อําเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรีตั้งแต่เดือนเมษายน ถึง เดือน สิงหาคม 2563 โดยเก็บข้อมูลในพื้นที่เกษตรกร ทั่วไป พื้นที่ที่ไม่มีการรบกวนหน้าดิน และพื้นที่ จัดระบบอนุรักษ์ดินและนํ ้ า จํานวน 5 ประเภทความ ชื่อผลงาน การประเมินการเคลื่อนย้ายของดินโดยใช้เทคนิคนิวเคลียร์ กรณีศึกษาพื้นที่ทางการเกษตร ที่มีการชะล้างพังทลาย จังหวัดกาญจนบุรี นายอภิสิทธิ์บัวปาย นักวิชาการเกษตรชํานาญการ กลุ่มวิจัยและพัฒนาการจัดการดินเสื่อมโทรม ผู้ได้รับรางวัล รางวัล รองชนะเลิศ อันดับ 2 ผลงานวิชาการด้านการวิจัย ระบบสนับสนุนการตัดสินใจการผลิตและการใช้ประโยชน์ที่ดินตามศักยภาพ (ภาคบรรยาย) ลาดชัน และเก็บตัวอย่างดินที่ความลึก 3 ระดับ พบว่า อัตราการเคลื่อนย้ายของดิน มีความแตกต่าง กันในแต่ละพื้นที่ศึกษา ระดับความลาดชัน ระดับความลึก และช่วงเวลาการเก็บข้อมูล กล่าวคือ พื้นที่ จัดระบบอนุรักษ์ดินและนํ ้ า มีอัตราการเคลื่อนย้ายของดินโดยเฉลี่ยไปในทางบวก ที่แสดงถึงการทับถม ของดินมากที่สุด เท่ากับ 0.25 0.75 และ 1.38 ตันต่อไร่ต่อปีในเดือนเมษายน มิถุนายน และสิงหาคม ตามลําดับ ขณะที่พื้นที่ที่ไม่มีการรบกวนหน้าดิน มีอัตราการเคลื่อนย้ายของดินโดยเฉลี่ยค่อนข้างคงที่ คือ มีค่าเท่ากับ 0.29 -0.02 และ 0.48 ตันต่อไร่ต่อปี ในเดือนเมษายน มิถุนายน และสิงหาคม ตามลําดับ อย่างไรก็ตาม พื้นที่ เกษตรกรทั่ วไป มีอัตราการเคลื่อนย้ายของดินโดยเฉลี่ยไปในทางลบ คือ พบการชะล้างพังทลายของดินมากที่สุด เท่ากับ 0.08 -0.59 และ -0.29 ตันต่อไร่ต่อปีในเดือน เมษายน มิถุนายน และสิงหาคม ตามลําดับ ซึ่งสรุปได้ว่า ปัจจัยด้านปริมาณนํ ้ าฝน มีผลต่อการเพิ่ม อัตราการเคลื่อนย้ายของดินอย่างมีนัยสําคัญ โดยพื้นที่จัดระบบอนุรักษ์ดินและนํ ้ า มีประสิทธิภาพใน การชะลอการสูญเสียดิน และช่วยให้เกิดการทับถมของตะกอนดินได้ดีที่สุด รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 75
รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 76 The King of Thailand Vetiver Awards Certificate of Excellence for the Outstanding Research in the Field of Agricultural Application. The Seventh International Conference on Vetiver 29 May – 1 June 2023, Chiang Mai, Thailand. Author Isariya Meesing, Agricultural Research Officer, Senior Professional Level, Researchand Development of Vetiver Grass in Soil Management Group Research Study the Factors of Decision to Grow Vetiver Grass Among Farmers in the Northern and Northeastern Regions The study of the factors influencing decision-making for planting vetiver grass of 300 farmers in the North and Northeast of Thailand indicates that farmers in the North are mostly men, while the farmers in the Northeastern part is female. Their age is over 45 years old, and they completed primary education. They have received general agricultural training and gotten information as well as knowledge about vetiver grass from Land Development Department officials. Farmers in both regions earn an average income of more than 50,000 baht per year and have a source of credit from the Bank for Agriculture and Cooperatives. Most farmers in the North grow vetiver grass in the area of 1 - 2 rai (1 rai is equal to 1,600 square meters), while farmers in the Northeast mostly plant less than 1 rai for soil and water conservation. Two bare-rooted vetiver seedlings from the Land Development Department were used per hole, and vetiver grass was planted between July and September without fertilization at the bottom of the hole. Factors affecting the decision to plant vetiver grass of farmers in the North, it was found that social, physical, biological and promotion factors were very important to the decision to plant vetiver grass. As for farmers in the Northeastern region, it was found that economic, physical, biological and extension factors were moderately important in their decision to plant vetiver grass. For problems and obstacles in growing vetiver, it was found that farmers in the North had the most problems with vetiver knowledge, while the farmers in the Northeast had the most problems with vetiver grass maintenance. As a guideline for further research development, the following recommendations are made; The officials should provide advice, consultation and additional training to farmers in vetiver care knowledge. They also should promote and support the process of vetiver products to increase income for farmers. Moreover, the officials should further study the decision to plant vetiver grass of farmers in other regions. This will be the information used to plan and promote the benefits of vetiver in the future.
รางวัลบุคคลผู้ทําคุณประโยชน์ต่อพืชวงศ์ถั่วประเทศไทย ผลงานที่เกี่ยวข้องกับพืชวงศ์ถั่ว อาทิเช่น การเป็น คณะทํางานวิจัยด้านการผลิตและการใช้พืชปุ๋ยสดที่มีส่วน ร่วมในการกําหนดกรอบการวิจัยและพัฒนา การสาธิต ทดสอบด้านการผลิตและการใช้พื ชปุ๋ยสดของกรมพัฒนา ที่ดิน และจัดทําข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย เพื่อพัฒนาระบบ การผลิตเมล็ดพั นธุ์พื ชปุ๋ยสด นอกจากนี้ยังเป็นหัวหน้า โครงการพัฒนาการผลิตเมล็ดพันธุ์พืชปุ๋ยสดอย่างยั่งยืน ภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง และเป็นหัวหน้า แผนงานวิจัย เรื่อง 1) การพัฒนาพันธุ์ปอเทืองที่เหมาะสม กับระบบการปลูกข้าวและพืชไร่ 2) การพัฒนาระบบการผลิต เมล็ดพันธุ์พืชตระกูลถั่วปรับปรุงบํารุงดินเป็นพืชทาง เ ลือ ก ใ ช้นํ ้า น้อ ย 3) ศั ก ย ภ า พ ก า ร ใ ช้ พื ช ปุ๋ ย ส ด ใ น สภาพแวดล้อมของประเทศ ไทย และ 4) การปรับปรุง คุณภาพเมล็ดพันธุ์พืชตระกูลถั่ วปรับปรุงบํารุงดิน เป็นต้น นางนิสา มีแสง ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการดินด้วยระบบพืช กรมพัฒนาที่ดิน ได้รับรางวัลบุคคล ผู้ทําคุณประโยชน์ต่อพืชวงศ์ถั่วประเทศไทย ในการประชุมวิชาการพืชวงศ์ถั่วแห่งชาติครั้งที่ 8 "นวัตกรรมวิจัย พืชวงศ์ถั่ วไทย เพื่อความมั่นคงทางอาหาร" วันที่ 25 - 26 กรกฎาคม 2566 ณ ห้อง ประชุม AG5101 คณะเกษตรศาสตร์มหาวิทยาลัยขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น จัดโดย สมาคมปรับปรุง พันธุ์และขยายพันธุ์พืชแห่งประเทศไทย ร่วมกับมหาวิทยาลัยขอนแก่น ผู้ได้รับรางวัล นางนิสา มีแสง ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการดินด้วยระบบพืช รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 77
ศูนย์วิจัยการอนุรักษ์ดินและนํ ้ า อําเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ได้ดําเนินตามนโยบายรัฐบาล ให้หน่วยงานราชการลดการใช้พลังงาน ร้อยละ 20 เพื่อลดภาระในการใช้จ่ายและเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่ภาคเอกชน และประชาชน ซึ่ง ศูนย์วิจัยฯ มีเนื้อที่ 573 ไร่ ประกอบด้วยอาคารสํานักงาน 1 หลัง อาคารฝึกอบรม 1 หลัง อาคารปฏิบัติการดิน นํ ้ า พืช 1 หลัง บ้านพัก ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ 5 หลัง ห้องพั กคนงาน 4 ห้อง นอกจากนี้ภายใน ศูนย์วิจัยฯ มีเครื่องปรับอากาศ เครื่องสูบนํ ้ า คอมพิ วเตอร์ไฟส่องสว่าง ฯลฯ ส่งผลให้ค่าไฟฟ้าภายในศูนย์วิจัยฯ ประมาณ 46,100 บาทต่อเดือน เพื่อเป็นการลดใช้พลังงานทางศูนย์วิจัยฯ จึงได้ติดตั้งระบบไฟฟา้พลังงาน แสงอาทิตย์และกําหนดเวลา เปิด-ปิด ไฟส่องสว่างและเครื่องปรับอากาศ นอกจากนี้บางพื้นที่ได้ใช้ระบบ เปิด-ปิด ไฟแบบอัตโนมัติและบริเวณเส้นทาง ภายในศูนย์วิจัยฯ ได้ใช้ระบบ เปิด-ปิด ไฟอัตโนมัติด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ ทําให้ค่าไฟฟา้ลดลงเฉลี่ย 9,579 บาทต่อเดือน ศูนย์วิจัยฯ ยังมีมาตรการ ประหยัดนํ ้ ามันเชื้อเพลิงโดยใช้มาตรการ 3M ได้แก่ 1. Method คือ วางแผนเส้นทางก่อนการเดินทาง ใช้ความเร็วที่ เหมาะสม (90 - 110 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ตรวจเช็ค ลมยาง สภาพรถ และ เครื่องยนต์อย่างสมํ่ าเสมอ ไม่เร่งเครื่องยนต์ในขณะรถจอดอยู่กับที่ และขณะออกตัว ไม่กระชาก และไม่ลากเครื่องยนต์ 2. Man คือ การพัฒนาและอบรมพนักงานขับรถเพื่อสร้างความ ตระหนักในการใช้รถ 3. Machine คือ GPS + ผลิตภัณฑ์ควบคุมความเร็ว เป็นการลดใช้ พลังงานอีกทางหนึ่ง รางวัลระดับกรม 2565 ชื่อผลงาน SAVE ENERGY ผู้ได้รับรางวัล ศูนย์วิจัยการอนุรักษ์ดินและนํ ้ า อําเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา รางวัล SAVE ENERGY ของกรมพัฒนาที่ดิน รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 78
บุคลากร การพัฒนา
หลักสูตรนักบริหารการพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ ระดับสูง (นบส.) • นายไพรัช พงษ์วิเชียร ผู้เชี่ยวชาญด้านปรับปรุงดินเค็ม • นางนิสา มีแสง ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการดินด้วยระบบพืช • นางสาวกมลาภา วัฒนประพัฒน์ กลุ่มวิจัยและพัฒนาการใช้ประโยชน์หญ้าแฝกในการจัดการดิน • นางสาวภรภัทร นพมาลัย กลุ่มวิจัยและพัฒนาหมอดินอาสาและบริหารจัดการเครือข่าย • นางสาวสําราญ คมศรี กลุ่มวิจัยและพัฒนาการใช้ประโยชน์หญ้าแฝกในการจัดการดิน การฝึกอบรมมีการบรรยาย อภิปรายกิจกรรมกลุ่ม การอภิปราย การนําเสนอ การวิเคราะห์สังเคราะห์ ก รณี ศึ ก ษ า ใ น ป ร ะเ ท ศ แ ล ะ ต่ า ง ป ร ะเ ท ศ โ ด ย ฝึ ก อ บ ร ม ผ่ า น ก า รเ รี ย น รู้ รู ป แ บ บ อ อ น ไ ล น์ (Online Learning) โดย กวจ. มีผู้เข้าร่วมอบรม ดังนี้ การฝึกอบรม การพัฒนาผู้นํา ในภาครัฐเป็นกลไกสําคัญที่จะนําการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลและ ยุทธศาสตร์ชาติข้าราชการยุคใหม่ควรทํางานลักษณะเชิงรุก พัฒนาให้มีภาวะผู้นํามีความพร้อม สํา ห รับกา รก้า ว ขึ้นสู่ผู้บริห า ร ร ะดับสูง กองวิจัย แ ล ะ พัฒนากา ร จัดกา รที่ดิน (กวจ .) เห็นความสําคัญของการพัฒนา จึงได้สนับสนุนให้ข้าราชการเข้าร่วมโครงการฝึกอบรมหลักสูตร นักบริหารการพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ระดับสูง (นบส.) นักบริหารการพัฒนาการเกษตร และสหกรณ์ระดับกลาง (นบก.) แล ะนักบริหารการพัฒนาการเกษตรแล ะสหกรณ์ร ะดับต้น (นบต.) จัดโดยสถาบันเกษตราธิการ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดังนี้ หลักสูตรนักบริหารการพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 80
หลักสูตรนักบริหารการพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ ระดับกลาง (นบก.) • นายวินัย ชมบุตร ศูนย์วิจัยการอนุรักษ์ดินและนํ ้ า อําเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา • นายพงศ์ธร เพียรพิทักษ์ กลุ่มวิจัยและพัฒนาการบรรเทาภาวะโลกร้อนทางการเกษตร • นางสาวฉวีวรรณ์พัฒนพงษ์และ นางสาวขวัญหทัย ป้ันศรี กลุ่มวิจัยและพัฒนาหมอดินอาสาและบริหารจัดการเครือข่าย • นางสาวอิสริยา มีสิงห์และ นางสาววนิดา งามเงิน กลุ่มวิจัยและพัฒนาการใช้ประโยชน์หญ้าแฝกในการจัดการดิน • นางเกษมศรีมานิมนต์ กลุ่มวิจัยและพัฒนาการจัดการดินเปรี้ยว • นางสาวกมลทิพย์ศศิธร กลุ่มวิจัยและพัฒนาการจัดการดินเค็ม • นางสาวอภันตรีพฤกษพงศ์และ นางสาวสมจินต์วานิชเสถียร กลุ่มวิจัยและพัฒนาการปรับปรุงบํารุงดิน รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 81
หลักสูตรนักบริหารการพัฒนาการเกษตรและสหกรณ์ ระดับต้น (นบต.) ประโยชน์ของการอบรม ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญ ผู้มีประสบการณ์หน่วยงานภาครัฐ และเอกชน มีการปรับเปลี่ยนแนวคิด ทัศนคติมุมมองการสื่อสาร วิธีการทํางานตลอดจนวิธีการ แก้ปัญหา รองรับภารกิจหน้าที่ความรับผิดชอบที่สูงขึ้น เหมาะสมสอดคล้องกับการบริหารองค์กร ภาครัฐในบริบทที่มีความเปลี่ยนแปลงและความท้าทาย มีทัศนคติที่ เหมาะสมในการทํางานร่วมกับผู้อื่น สร้างเครือข่ายและระบบพันธมิตรเพื่อบูรณาการการทํางานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถยกระดับ คุณภาพงานและขับเคลื่อนการปฏิบัติงานขององค์กรเพื่อให้การทํางานเป็นไปตามวัตถุประสงค์ นางสาวจารุวรรณ เฮียงมะณี กลุ่มวิจัยและพัฒนา การอนุรักษ์ดินและนํ ้ าเพื่อการเกษตร นายธนัญชย์ดําขํา กลุ่มวิจัยและพัฒนา การบรรเทาภาวะโลกร้อนทางการเกษตร รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 82
นางสาวศันสนีย์อรัญวาสน์ นัก วิ ช าก า รเกษต ร ชํ าน าญก า รพิ เ ศษ ผู้อํานวยการกลุ่มวิจัยและพัฒนาการอนุรักษ์ดิน และนํ ้ าเพื่อการเกษตร ได้เข้าร่วมการอบรมการ เสนอผลงานและกา รพูดเพื่อกา รปร ะ ชุม (Oral Communication Course: OCC) วันที่ 2 - 27 พฤษภาคม 2565 ณ สถาบันการต่าง ประเทศเทวะวงศ์วโรปการ ชั้น 7 ศูนย์ราชการ เฉลิมพ ร ะเกีย รติฯ 80 พรรษา แจ้งวัฒน ะ กรุงเทพฯ หลักสูตรการอบรมการเสนอผลงานและการพูดเพื่อการประชุม (Oral Communication Course: OCC) เพื่อพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษและเพิ่มขีด ความสามารถให้มีความมั่นใจ ในการพูดในที่ สาธารณะ สามารถนําเสนองาน แสดงความ คิดเห็นในที่ประชุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถดึงศักยภาพของผู้เข้าอบรมมาใช้ให้เกิด ภาพลักษณ์ที่ดีและมีบุคลิกภาพที่ เหมาะสมในการ เป็นผู้แทนองค์กรในการพูดในที่สาธารณะและการ เข้าร่วมประชุมนานาชาติและยังสร้างเครือข่าย ระหว่างหน่วยงานราชการต่าง ๆ แลกเปลี่ยน เรียนรู้ด้วยกันเพื่อช่วยสนับสนุนการปฏิบัติงาน ในอนาคต โดยประกอบด้วยวิชาต่าง ๆ คือ • Presentation Skills • Fundamental Skills for Meeting • Speech Writing • Speech Delivery • Being an Effective MC and Moderator ประโยชน์ที่จะได้รับจากการอบรม สามารถพูด ภาษาอังกฤษได้อย่างมั่นใจ ถูกหลักไวยากรณ์ โดยเฉพาะการพูดในที่สาธารณะ เช่น การ นําเสนองาน และการแสดงความคิดเห็น และทํา ให้บุคลิกภาพดีขึ้น ทําให้เกิดความน่าเชื่อถือ สนับสนุนการทํางานให้ดียิ่งขึ้น และเพิ่ม ภาพลักษณ์ที่ดีให้ทั้งตนเองและองค์กร สําหรับ Presentation Skills มีการแบ่งหัวข้อ ดังนี้ • Making a good introduction • Structuring a presentation • Recognizing ways of improving body language • Using your voice effectively • Closing your presentation with impact • Handling difficult questions สําหรับ Meeting Skills มีการเรียนรู้ในหัวข้อ • Chairing and leading discussions • Planning a meeting • Conducting a meeting • Creating an agenda • Ending a meeting รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 83
การประชุมและศึกษาดูงาน ประชุมประจําปีของคณะทํางานด้านการเกษตรภายใต้โครงการความ ร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่นํ ้ าโขง ครั้งที่19 นางสาววิชิตา อินทรศรีนักวิชาการเกษตร ชํานาญการพิ เศษ กลุ่มวิจัยแล ะพั ฒนาการ บรรเทาภาวะโลกร้อนทางการเกษตร ได้เข้าร่วม ประชุมประจําปีของคณะทํางานด้านการเกษตร ภายใต้โครงการความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุ ภูมิภาคลุ่มแม่นํ ้ าโขง ครั้งที่ 19 “Adaptation of GMS agriculture in the context of climate change and the water - food energy nexus” วันที่ 20 - 24 มิถุนายน 2565 ณ ประเทศเวียดนาม ก า ร ป ร ะ ชุ ม ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย ผู้ แ ท น จากคณะทํางานความร่วมมือทางเศรษฐกิจใน อนุภูมิภาคลุ่มแม่นํ ้ าโขง ได้แก่ ประเทศไทย ลาว กัมพู ชา เวียดนาม เมียนมา และจีน ภาคเอกชน ธุรกิจการเกษตร ผู้แทนพั นธมิตรด้านการ พั ฒ น า อ ง ค์ ก ร ร ะ ดั บ ภู มิ ภ า ค ผู้ แ ท น จ า ก หน่วยงานด้านนํ ้ าและพลังงาน เจ้าหน้าที่ ADB และทีมที่ปรึกษา (TA 9916) เป็นการประชุม แ บ บ มี ส่ ว น ร่ ว ม ใ น ห้ อ ง ป ร ะ ชุ ม อ อ น ไ ล น์ และการศึกษาดูงาน การจัดการภายในแปลง ปลูกและผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศต่อการผลิตแก้วมังกรซึ่งเป็นไม้ผลที่มี ชื่อเสียงของประเทศเวียดนาม ในพื้นที่จังหวัด Long An ตอนใต้ของประเทศเวียดนาม ประโยชน์ที่ ได้รับจากการประชุม คือ ทําให้ทราบ ถึงการดําเนินงานภาย ใต้ความร่วมมือทาง เศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่นํ ้ าโขง ผลกระทบ ของการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานจากความ ขัดแย้งระหว่างยูเครน-รัสเซียที่ส่งผลต่อต้นทุน การผลิตภาคเกษต ร โ รคร ะบ าด โควิด 19 ภัยคุกคามต่อความมั่นคงทางอาหารในมิติ ที่เชื่อมโยงทั้งด้านนํ ้า อาหารแล ะพลังงาน ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ ส่งผลกร ะทบต่อภาคเกษตร นํา ไปสู่ความ ท้ า ท า ย ใ น ก า ร แ ก้ ไ ข ปัญ ห า ก า ร จั ด ก า ร ในแนวทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่าง ยั่งยืน การนําเทคโนโลยีอัจฉริยะมาใช้ประโยชน์ และคนรุ่นใหม่ที่เข้ามามีบทบาทสําคัญในการ ขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงภาคเกษตร รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 84
นําเสนอผลงานในการประชุม World Congress of Soil Science (WCSS) 2022 นางสาวประภา ธารเนตร นักวิชาการเกษตร ชํานาญการพิ เศษ ผู้อํานวยการกลุ่มวิจัยและ พัฒนาการจัดการดินเปรี้ยว ได้ รั บทุ นจาก สํานักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การ มหาชน) ในการนําเสนอผลงานทางวิชาการเรื่อง Soil doctors program: a smart farmer approach for sustainable soil management and food security in Lancang - Mekong Countries วันที่ 31 กรกฎาคม ถึง 5 สิงหาคม 2565 ณ เมืองกลาสโกว์ประเทศสกอตแลนด์ ประโยชน์ที่ ได้รับจากการนําเสนอผลงาน คือ การเผยแพร่ผลงานและสร้างเครือข่ายกับ นักวิจัยและหน่วยงานในระดับนานาชาติซึ่งเป็น การต่อยอดและพัฒนาแนวทางการดําเนินงาน ในอนาคตและการส่งเสริมให้บุคลากรภาครัฐ เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สร้างทักษะใน การทํางานและนําเสนอผลงานในระดับนานาชาติ โดยเฉพาะการสื่อสารภาษาอังกฤษในยุคดิจิทัล ที่ตอบสนองต่อการขับเคลื่อนภารกิจตาม แผนการพัฒนาบุคลากร ก า ร ป ร ะ ชุ ม World Congress of Soil Science (WCSS) ครั้งที่ 22 ณ เมืองกลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์ภายใต้หัวข้อการประชุมเรื่อง ‘Soil Science – Crossing Boundaries, Changing Society’ ที่เ น้น ก า ร เ ชื่อ ม โ ย ง ระหว่างดินกับสังคม การนําเสนอในครั้งนี้เน้น การสร้างการรับรู้ถึงเครือข่ายหมอดินอาสาของ ประเทศไทยและบทบาทของหมอดินอาสาในการ จัดการดินอย่างยั่งยืนเพื่อสร้างความมั่นคงทาง อาหาร รวมถึงนําเสนอการขยายผลโครงการ หมอดินไปยังประเทศในอนุภูมิภาคแม่โขง-ล้าน ช้างที่มีกัมพูชา ลาว เวียดนาม เมียนมา และจีน เป็นผู้ร่วมโครงการ รายงานประจําปี 2565- 2566 กองวิจัยและพัฒนาการจัดการที่ดิน 85