The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by sinitra15, 2021-12-19 09:00:43

ผลของการสัมผัสมือขณะผ่าตัด ต่อความวิตกกังวล ของผู้ป่วย ที่ได้รับการผ่าตัดต้อกระจกโดยใช้ยาชา โรงพยาบาลราชวิถี

วิจัย ความวิตกกังวลผู้ป่วยผ่าตัดต้อกระจก

รายงานการวิจัย

ผลของการสัมผัสมือขณะผ่าตัด ต่อความวิตกกังวล ของผู้ป่วย
ที่ได้รับการผ่าตัดต้อกระจกโดยใช้ยาชา โรงพยาบาลราชวถิ ี

Effectiveness of Intra Operative Hand Holding on Anxiety
in patient Cataract Surgery in Rajavithi Hospital

โดย
นางสาวธนญั ญาณ์ หลอ่ กติ ตช์ิ นม์
ตำแหนง่ พยาบาลวชิ าชีพชำนาญการ ดา้ นการพยาบาลผู้ปว่ ยผา่ ตดั

ตำแหน่งเลขที่ 2252

กล่มุ งานการพยาบาลผ้ปู ว่ ยใน ภารกิจด้านการพยาบาล
โรงพยาบาลราชวถิ ี กรมการแพทย์



คำนำ
ในปจั จุบนั ความกา้ วหน้าทางเทคโนโลยีทางการแพทยเ์ จริญขึ้น การผา่ ตัดสามารถทำได้โดย
ผู้ป่วยไม่ตอ้ งเปิดแผลกวา้ ง แผลผ่าตัดมีขนาดเล็ก ผู้ป่วยไม่ตอ้ งนอนโรงพยาบาล สามารถกลับไปดแู ล
ตนเองท่บี ้านได้ และการผ่าตดั ซึ่งไม่ต้องระงบั ความร้สู ึก โดยใช้ยาสลบ ผปู้ ว่ ยจะรสู้ กึ ตวั ตลอด ขณะ
ผ่าตัด รับรู้ถึงสิ่งแวดล้อมภายนอก เช่นเสียงเครื่อง เสียงพูดคุยของเจ้าหน้าท่ี แสงไฟของ กล้อง
ผ่าตัด เครื่องมือแพทย์ผ่านไปมาบริเวณตา สิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นปัจจัยซึ่งก่อให้เกิดความวิตกกังวล กับ
ผู้ป่วยท้ังส้ิน การสมั ผัสมือระหว่างการผา่ ตดั เปน็ วธิ ลี ดความวิตกกงั วลของผูป้ ่วยวธิ ีหนึ่ง ช่วยให้ผู้ป่วย
รู้สึกอุ่นใจ ระหว่างการผ่าตัด โดยเฉพาะการผ่าตัดซึ่งคนส่วนใหญ่มองว่าเป็นวิกฤตของชีวิต และ
งานวจิ ัยน้ที ำขึน้ ในช่วงการเกดิ สถานการณ์ Covid-19 การระมดั ระวังการแพรก่ ระจายของเช้ือ จงึ เปน็
สง่ิ ต้องให้ความสำคัญ การใหก้ ารพยาบาลผู้ป่วย

การศึกษานี้เป็นการศึกษาถึง ผลของการสัมผัสมือขณะผ่าตัด ต่อความวิตกกังวลของ
ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดต้อกระจกโดยใช้ยาชา โรงพยาบาลราชวิถี ผู้วิจัยหวังว่างานวิจัยนี้จะเป็น
ประโยชน์ในการดูแลผ้ปู ว่ ย และสามารถนำไปพฒั นา ต่อยอด ในงานวิจยั อน่ื ๆตอ่ ไป

ผู้วิจัย
พฤศจิกายน 2564



กิตติกรรมการประกาศ

งานวจิ ยั ฉบับน้สี ำเรจ็ ลุล่วงไปได้ด้วยดี โดยไดร้ ับความชว่ ยเหลืออย่างดียิ่งจากกลุ่มงานจักษุ
งานการพยาบาลผู้ป่วยผ่าตัด งานวิจัยทางการแพทย์ กลุ่มงานวิจยั และประเมินเทคโนโลยี ผู้ให้ข้อคิด
คำแนะนำ ตลอดจนแกไ้ ขข้อบกพร่องตา่ งๆ ดว้ ยความเมตตาและเอาใจใสต่ ลอดการทำวจิ ยั ผู้วจิ ยั รู้สึก
ซาบซ้ึงและประทัปใจในความกรุณาเป็นอย่างยิ่ง จึงขอกราบขอบพระคณุ เปน็ อยา่ งสูงไว้ ณ โอกาสนี้

ผู้วิจัยขอกราบขอบพระคุณ หัวหน้าแผนกจักษุ ที่ให้ความอนุเคราะห์ในการทดลองใช้
เครื่องมือวิจยั และการเก็บ รวบรวมข้อมูล อีกทั้งงานวิจัยครั้งนี้จะไม่ประสบความสำเร็จถา้ ปราศจาก
ความร่วมมือจากกลุ่มตวั อยา่ งทุกท่าน ซ่ึงผู้วจิ ยั ขอขอบพระคณุ เปน็ อยา่ งสงู



สารบญั

หน้า
คำนำ………………………………………………………………………………………………………………………….…… ก
กิตติกรรมการประกาศ……………………………………………………………………………………………………... ข
สารบัญ………………………………………………………………………………………………………………….……….. ค
สารบัญตาราง.................................................................................................................... ........... ง
บทคดั ย่อ………………………………………………………………………………………………………………….…..… จ

บทท่ี 1 บทนำ.........................................................................................................................…. 1
1.1 ความสำคัญของปัญหา……………………………………………………………………................ 1
1.2 วตั ถปุ ระสงค์ของการวจิ ัย……..…………………………………………………………................ 4
1.3 ขอบเขตของการวิจัย………………………………………………………………………………..…… 4
1.4 นิยามศัพทเ์ ฉพาะ (Operational definition)……………………………………………..….. 4
1.5 ประโยชน์ทีค่ าดวา่ จะไดร้ บั ……………………………………………………………………….….… 5
1.6 กรอบแนวคดิ การวจิ ัย…………………………………………………………………………….….….. 6

บทท่ี 2 งานวจิ ัยท่ีเกี่ยวข้อง…………………………………………………………………………………….…….…. 7
2.1 ทฤษฎกี ารผา่ ตัดตอ้ กระจก, กายวภิ าคของตาและแนวคิดความวิตกกังวล
และการสัมผสั ............……………………………………………………………………………..….….7
2.2 งานวจิ ยั ที่เก่ียวขอ้ ง………………………………………………………………………………..….….. 7

บทท่ี 3 วธิ ดี ำเนนิ การวิจัย…………………………………………………………………………………………..…… 30
3.1 รปู แบบการวจิ ยั …………………………………………..…………………………………………..…… 30
3.2 ประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ ง………………………………………………………………..………..….. 30
3.3 วิธีดำเนนิ การวจิ ัย……………………………………………………………………………………..….. 31
3.4 ขอ้ พิจารณาด้านจรยิ ธรรมการวจิ ยั .......................................................................... 36
3.5 เครื่องมือที่ใชใ้ นการศึกษา....................................................................................... 37
3.6 สถิตทิ ่ใี ช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล (Data analysis).................................................... 40
3.7 ข้อจำกัดของการศกึ ษาวจิ ัย..................................................................................... 40

บทที่ 4 ผลการวิเคราะหข์ ้อมลู …………………................................................................……………. 41
4.1 ข้อมลู ส่วนบุคคล………………….................................................................…………….. 41
4.2 ความวติ กกังวล ของกลุ่มทดลองและกล่มุ ควบคุม และคะแนนความคดิ เหน็ ……..… 41
4.3 ความแตกต่างของคะแนนความวติ กกงั วลของกลมุ่ ทดลองและกลุ่มควบคุม หลงั ผา่ ตัด…… 41
4.4 ความแตกต่างของคะแนนสญั ญาณชีพก่อนผา่ ตัด ขณะผ่าตัดหลังผ่าตัด ของกลุ่มควบคุม
และกลุ่มทดลอง……………………………………………………………………..…………………………41
4.5 ความคดิ เหน็ ต่อการสัมผสั มือกลุ่มทดลอง………………………………………………………… 41

บทที่ 5 สรุปผล อภปิ รายผล ขอ้ เสนอแนะ.................................................................................. 53

เอกสารอา้ งอิง……………………………………………………….………………………………………………………….59

สารบัญตาราง ง

ตารางที่ 1 แสดงจำนวนและคา่ ร้อยละของปจั จยั ส่วนบคุ คล หน้า
ตารางที่ 2 ค่าเฉลีย่ คะแนนปัจจยั สว่ นบคุ คล ด้านอายุ ระยะเวลาการเป็นตอ้ กระจก 42
44
ระยะเวลาการผ่าตัด ของกลมุ่ ทดลอง 44
ตารางที่ 3 ค่าเฉลยี่ คะแนนปจั จยั ส่วนบุคคล ด้านอายุ ระยะเวลาการเป็นต้อกระจก 46
48
ระยะเวลาการผ่าตดั ของกลุ่มควบคมุ 49
ตารางท่ี 4 แสดงจำนวนและค่ารอ้ ยละ คะแนนความ คิดเห็นความวติ กกังวล ของ 50
50
ผปู้ ่วยผา่ ตัดต้อกระจก กลุ่มทดลองและกลุม่ ควบคุมขณะการผ่าตดั 51
ตารางที่ 5 แสดงจำนวนและค่าร้อยละ ความวติ กกังวล และค่าเฉล่ียความวิตกกังวล 52

ของผปู้ ่วยผ่าตัดต้อกระจก กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม หลังผา่ ตดั
ตารางที่ 6 แสดงความแตกต่างของคะแนนความวิตกกงั วลหลงั ผา่ ตดั ของกลุ่มควบคมุ

และกลมุ่ ทดลอง
ตารางที่ 7 แสดงความแตกตา่ งของคะแนนสัญญาณชีพ ก่อนผ่าตัด ของกลุ่มควบคุม

และกลุ่มทดลอง
ตารางท่ี 8 แสดงความแตกตา่ งของคะแนนสัญญาณชีพ ขณะผา่ ตัด ของกลุ่มควบคุม

และกล่มุ ทดลอง
ตารางที่ 9 แสดงความแตกตา่ งของคะแนนสัญญาณชีพ หลงั ผ่าตดั ของกล่มุ ควบคุม

และกลมุ่ ทดลอง
ตารางที่ 10 แสดงค่าร้อยละความคิดเห็นต่อการสัมผสั มือ และคะแนนเฉลย่ี ตอ่

การสัมผสั มือของกลมุ่ ทดลอง



บทคัดยอ่

การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลองเพื่อศึกษาผลของการสัมผัสมือขณะผ่าตัด ต่อความ
วิตกกังวลของผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัด ต้อกระจกโดยใช้ยาชา โรงพยาบาลราชวิถี จำนวน 40 คน
เคร่ืองมือทใ่ี ช้ในการวิจัย คอื แบบเกบ็ รวบรวมข้อมูลสว่ นบุคคล ขอ้ มูลความคิดเห็นด้านความวิตกกังวล
ขณะผ่าตัดและหลังผ่าตัด วัดความวิตกกังวลหลังผ่าตัดโดยใช้แบบวัด Visual Analog Scale โดย
มีความยาว 10 mm คะแนน ซ้ายสุด = 0 คะแนน แสดงถึง ไม่มีความวิตกกังวลเลย และมากที่สุด
100 คะแนน =10 mm 1 mm = 10 คะแนน มีความวิตกกังวลมากที่สุด และแบบสอบถามความ
คิดเห็น สิ่งท่ีกังวล ขณะผ่าตัด หลังผ่าตัด วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ โปรแกรม SPSS สถิติที่ใช้ในการ
วิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเนื่องจากข้อมูลเป็นการแจกแจง
แบบ (non parametric) ใช้การทดสอบแบบ Mann Whitney U test ทดสอบหาความแตกต่าง
ของความวิตกกงั วล หลงั ผ่าตัด และ สัญญาณชีพก่อนผ่าตัด ขณะผ่าตัดและหลงั ผา่ ตดั ของกลุม่ ทดลอง
และกลุ่มควบคมุ

ผลการวจิ ยั พบวา่
1. ไม่มีความแตกตา่ งของความวิตกกังวลหลังผา่ ตดั ของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม อย่างมี
นยั สำคัญทางสถิติ ท่ี p >0.05
2. ไม่มีความแตกต่างของสัญญาณชีพก่อนผ่าตัด ขณะผ่าตัด ของกลุ่มทดลอง และกลุ่ม
ควบคุมด้าน (Systolic blood pressure, Diastolic blood pressure, Pulse, Respiratory อย่างมี
นยั สำคัญทางสถติ ท่ี p >0.05) แต่ มคี วามแตกต่างของสัญญาณชพี Systolic blood pressure หลัง
ผา่ ตดั อยา่ งมีนยั สำคัญทางสถติ ที่ p < 0.05
3. ส่วนใหญ่ความวติ กกังวลของผูป้ ว่ ยขณะผา่ ตัด และหลงั ผา่ ตัดเปน็ เรอื่ งการมองเห็น
4. ผู้ป่วยส่วนใหญ่เห็นด้วย การสมั ผสั มือขณะผา่ ตัด บอกว่าร้สู ึกอนุ่ ใจไม่โดดเดีย่ ว
คะแนนความคิดเหน็ การสัมผัส เฉลยี่ 22.1 คะแนน SD= 4.08 คะแนนต่ำสุด 9 คะแนนสงู สุด 27 คะแนน
สว่ นใหญ่กลมุ่ ตวั อย่างมีความเหน็ ว่า การจบั มือระหว่างผ่าตัดไม่ได้ทำใหค้ วามเจ็บปวดน้อยลง คิดเป็น
ร้อยละ 27.5 จำนวน 11 คน เห็นด้วย จะแนะนำการจับมือของพยาบาลระหว่างการผ่าตัด เพื่อลด
ความวติ กกงั วลในการผ่าตดั ต้อกระจกใหก้ ับผอู้ นื่ หรือญาติ รอ้ ยละ 50 จำนวน 10 คน

คำสำคัญ ANXIETY , TOUCH, CATARACT

1

บทท่ี 1

บทนำ

1.1 ความสำคัญของปัญหา
จากการประมาณการขององคก์ ารอนามยั โลกประมาณว่าในปี พ.ศ.2545 จะมคี นตาบอด ทว่ั

โลกรวมกันประมาณ 37 ล้านคน ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศโลกที่สาม โดยเฉพาะในเอเชีย และ อัฟริกา
เฉพาะในเอเชียคาดว่ามีจำนวนรวมกันประมาณ 60 % ของคนตาบอดทั่วโลก 1 สำหรบั ในประเทศไทยจาก
การสำรวจครั้งหลังสุดเมื่อปี 2549 พบว่ามีอัตราตาบอด 0.59% หรือประมาณ 360,000 คน ในระดับ
โลก 2 สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจาก ต้อกระจก (50%) ต้อหิน (16%) จอประสาทตาเสื่อม

ในผู้สูงอายุ (age-related macular degeneration, AMD) (9%) แผลเป็นที่กระจกตา
(10%) และเบาหวาน (6%) โดยมีความแตกตา่ งกนั ในแตล่ ะประเทศ สำหรับในประเทศไทย จากการ
สำรวจในปี 2549 พบว่าสาเหตุส่วนใหญ่เกิด จากต้อกระจก (52%) รองมาเป็นต้อหิน (10%) สายตา
เสอ่ื มตามวยั (7%) ตามลำดบั 3

โรงพยาบาลราชวิถี เป็นโรงพยาบาลรัฐบาล นับเป็นโรงพยาบาลศูนย์วิชาการที่ใหญ่
ที่สุดแห่งหนึ่ง ของกรมการแพทย์ จากข้อมูลปี 2559 โรงพยาบาลราชวิถี มีแพทย์ 250 คน ดูแล
ผู้ป่วยปลี ะประมาณ 1 ล้านคน เฉพาะผู้ป่วยนอก หรือ OPD วันละมากกว่า 3,500 คน โดยเฉลี่ยแลว้
แพทย์ 1 คนดูแล ผู้ป่วยใน 161 คน และผู้ป่วยนอก 3,996 คน ในปี 2561 โรงพยาบาลราชวิถี
ดำเนินการสร้างอาคารศูนย์การแพทย์โรงพยาบาลราชวิถี ปัจจุบันใช้ชื่อ อาคารทศมินทราธิราช
สามารถรองรับผู้ป่วยนอกได้เพิ่มขึ้นจากปีละ 1 ล้านเป็น 1.5 ล้านคน หรือวันละประมาณ 6,000 คน
มีเตียงรองรับผู้ป่วยในได้ 400 เตียง ผู้ป่วยภาวะวิกฤติจะได้รับการดูแลที่ดีขึ้นเนื่องจากมีเตียง ICU
เพิ่มอีก 64 เตียง ห้องผ่าตัดเพิ่มอีก 11 ห้อง เปน็ ห้องผา่ ตัดจักษุจำนวน 4 หอ้ ง ห้องผ่าตัดศัลยกรรม
กระดูกจำนวน 5 ห้อง ห้องผ่าตัด Robotic จำนวน 1 ห้อง และห้องผ่าตัด emergency อีก 1 ห้อง
รองรับผู้ป่วยทั้งผ่าตัด แบบนอนโรงพยาบาลและไม่นอนโรงพยาบาล จำนวนผู้ป่วยผ่าตัดตา
ในปี 2561 จำนวนท้งั หมด 10,736 ราย ผา่ ตดั ตอ้ กระจก 4,490 ราย ตอ้ หิน 660 ราย จอประสาทตา
2,808 ราย เปลี่ยนกระจกตา 754 ราย คิดเป็น 41.8 %, 26.1%, 6.14% ตามลำดับ ผ่าตัดอื่นๆ
25.96 % 4 จากสถิติปี 2561 การผ่าตัดตาของโรงพยาบาลราชวิถี จำนวนผู้ป่วยมากที่สุด เป็นการ
ผา่ ตัดตอ้ กระจก

สาเหตกุ ารเกดิ ต้อกระจก มาจากการเพม่ิ ขึ้นของเนื้อเลนส์ทสี่ รา้ งจากเซลล์ด้านในถุงหุ้มเลนส์
ทำใหเ้ ลนส์แกว้ ตาหนาตัวขนึ้ และกดเบียดสว่ นแกนของเลนส์แก้วตา และสีจะเปลยี่ นเป็นเหลอื งเข้มข้ึน
เรื่อยๆ จนกระทั่งเป็นสีน้ำตาล การผ่าตัดต้อกระจก คือการผ่าตัด นำเลนส์แก้วตาที่ขุ่นออก แล้วใส่
เลนส์แก้วเทียมเข้าไปแทนที่ ในปัจจุบันการผ่าตัดต้อกระจก ทำได้โดยใช้ยาชาเฉพาะท่ี ได้แก่
retrobulbar, peribulbar ,sub-Tenon's blocks หรือการหยอดยาชาเฉพาะท่ี การดมยาสลบใช้
เฉพาะในกรณีท่ีผู้ป่วยไม่สามารถอยู่นิ่งได้ขณะผ่าตัด หรือมีปัญหาเรื่องการคลุมผ้า จักษุแพทย์

2

ส่วนใหญ่ไม่แนะนำให้ใช้ยาระงับประสาทก่อนการผ่าตัดต้อกระจก เนื่องจากอาจส่งผลต่อ
สติสมั ปชัญญะของผ้ปู ว่ ย ผปู้ ว่ ยบางราย อาจผลอ็ ยหลับไปและมี การเคลอ่ื นไหวอยา่ งควบคุมไมไ่ ด้เมื่อ
เกิดความสับสนหลงั จากต่นื ข้นึ อย่างกะทนั หัน 5

การที่ผู้ป่วยรู้สึกตัวตลอด ทำให้ผู้ป่วยสามารถรับรู้ถึงสภาพแวดล้อมรอบๆตัวได้ เช่น
ความรู้สึกทางสายตาระหว่างการผ่าตัดต้อกระจก ผู้ป่วยส่วนใหญ่ประสบกับความรู้สึกทางสายตาที่
หลากหลายระหว่างการผ่าตัดต้อกระจกรวมถึงการรับรู้แสง แสงวาบ สีต่างๆ การเปล่ียนแปลง
ความสว่างของแสง รูปร่างต่างๆ การเคลื่อนไหวของเครื่องมือ หรือนิ้วของจักษุแพทย์ การค้นพบนี้มี
ความสำคัญ เนื่องจากผู้ป่วยบางรายที่ได้รับการผ่าตัดต้อกระจกจะรู้สึกหวาดกลัวจาก
ความรู้สึกทางสายตาระหว่างการผ่าตัด ความรู้สึกของผู้ป่วยที่เกิดขึ้น ระหว่างการผ่าตัดต้อกระจก
ข้ึนอยู่กับประเภทของการฉีดยาชาคือ การระงับความรู้สึกแบบ retrobulbar ส่งผลให้ผู้ป่วย
7.1 ถงึ 9.3% ตนื่ ตระหนก6-7 และ 3 ถึง 13.5% เม่อื ใช้ sub-Tenon block8-9

ความรุนแรงของความกลัวและความวิตกกังวลในช่วงระหว่างการผ่าตัด ในขั้นตอนการผ่าตัด
ตอ้ กระจกมคี วามผันผวนอย่างต่อเนื่องในช่วงระหวา่ งการผ่าตัด หากผู้ป่วยรับรู้ว่าผู้เขา้ รบั การฝึกจะทำ
การผ่าตัด ความรู้สึกกลัวจะเพิ่มขึ้นอยา่ งมาก 10 ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นระหว่างการ
ผ่าตัดเมื่อมีคนรู้จักในหมู่เจ้าหน้าท่ี การเป็นบุคคลนิรนาม ในวันที่เข้ารับการผ่าตัด ทำให้ผู้ป่วยรู้สึก
วิตกกังวล11-12 ผู้ป่วยที่มีความสัมพันธ์กับเพื่อนผู้ป่วยจะมีความเครียดน้อยกว่า เมื่ออยู่ในห้องผ่าตัด

นอกจากน้ีลกั ษณะของ ห้องผ่าตัดเป็น สถานที่ซ่ึงปลอดเชอ้ื ดงั น้นั จงึ ไม่สะดวกสบายและเป็น
มิตรกับผู้ป่วย ท่านอนที่ต้องคลุมร่างกายและศีรษะด้วยผ้าปิดตา เครื่องปรับอากาศเย็น เสียงรบกวน
จากเครื่องมือแพทย์ที่ใช้งานได้ และความพลุกพล่านของเจ้าหน้าท่ีทำให้ผู้ป่วยเกิด ความเครียด และ
ในผปู้ ว่ ยทเี่ คยผ่าตัดตามาแล้ว การต้องมาผา่ ตัดใหม่ ความเครยี ดที่เพม่ิ ขึ้นระหวา่ งการผ่าตัดจะเกิดขึ้น
เมื่อกิจกรรมและขั้นตอนของบุคลากรทางการแพทย์แตกต่างจากการผ่าตัดครั้งก่อน ผู้ป่วยตีความวา่
เปน็ ลักษณะของปญั หาระหวา่ งการผ่าตัด12

งานวิจยั หลายงานแสดงให้เห็นวิธีการลดความวติ กกังวลของผู้ปว่ ยเชน่ การฟงั เพลงก่อนและ
ระหว่างการผ่าตัดต้อกระจกมีผลดีต่อผู้ป่วย ดนตรีที่ฟังทันทีก่อนการผ่าตัดช่วยลดระดับ
ความวติ กกังวลและความกลวั 13-18 และลดความดันโลหติ สงู ท่ีเก่ียวข้องกับความวิตกกงั วลระหว่างการ
ผ่าตัด13 การฟังเพลงระหว่างการผ่าตัดช่วยลดความรู้สึกเจ็บปวด19 ระดับความวิตกกังวล14,17,20 และ
ความดันโลหติ โดยรวมอัตราการเต้นของหวั ใจ อัตราการหายใจ และลดความต้องการยาระงับประสาท 14,18,20
แต่ผู้ป่วย ซึ่งผ่าตัดต้อกระจกของโรงพยาบาลราชวิถีมีลักษณะต่างจากผู้ป่วย อื่น คือ ส่วนใหญ่ต้อกระจก จะสุก
และผู้ป่วยมีโรคร่วม มีปัญหาเรื่องการมองเห็น การใช้ดนตรีบำบัดไม่เหมาะขณะผ่าตัด เพราะใน
ห้องผ่าตัดมีเสียงเครื่องสลายต้อกระจกในกรณีสลายด้วยเครื่องอัลตร้าซาวด์ และแพทย์ต้องมีการ
สอื่ สารกับผูป้ ่วยขณะผา่ ตัด เสียงดนตรีกลบเสียงแพทย์ รบกวนการผ่าตัด การลดความวิตกกังวลอกี วิธี
หน่งึ คือการสัมผัส ไมร่ บกวนการผา่ ตดั แพทย์

การสัมผัส เป็นรูปแบบหนึ่งของการติดต่อสื่อสารที่ไม่ใช้คําพูด เป็นวิถีทางในการส่ือ
ความหมายการสัมผัสทางกายระหว่างบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป21 กล่าวคือเมื่อบุคคลรับรู้ต่อการ
สัมผัสซึ่งเกิดจากการติดต่อสื่อสารทางประสาทรับความรู้สึกสัมผัสที่ผิวกาย โดยการใช้มือจับต้องตัว
กันไม่ว่าจะเป็นการจับมือ จับแขน จับไหล่ การลูบหรือการตบเบาๆ ในลักษณะต่างๆ กัน เพื่อแสดง
ความหมายทางการสัมผัส ซึ่งเมื่ออวัยวะรับความรู้สึกที่ผิวกายถูกกระตุ้นโดยการสัมผัสนั้นจะ

3

เปล่ียนแปลงการกระตุ้นจากการสมั ผสั เปน็ กระแส ประสาทสมั ผัสแล้วเดนิ ทางผา่ นเข้าทาง ไขสันหลัง
ไปยังก้านสมองเข้าสู่ทาลามัส (Thalamus) จากนั้นจะส่งสัญญาณประสาทผ่านอินเตอร์นัลแค็ปซูล
(Internal capsule) ตรงไปยังบริเวณประสาทรับความรู้สึกทางร่างกายที่เปลือกสมอง
(Somatosensory cortex) ส่วนที่เรียกว่าโพสท์เซ็นทรัล ใจรัส บริเวณ 3, 1, 2 (Postcentral gyrus
area 3, 1, 2) เพื่อแปลเป็นความรู้สึก นอกจากนี้กระแสประสาทที่ผ่านทางเดินในก้านสมองจะให้
แขนงไปยังเรติคูลาร์ ฟอร์เมชั่น (Reticular formation)22 ซึ่งเรติคูลาร์ ฟอร์เมชั่น เป็นส่วนสำคัญ
ส่วนหนึ่งของระบบลิมบิก (Limbic system) โดยมีไฮโปทาลามัสเป็นตัวเชื่อมระบบลิมบิกเข้า
กับ เรติคูลาร์ ฟอร์เมชั่น ซ่ึงเกี่ยวข้องกับอารมณ์และพฤติกรรม โดยการทำงานของระบบ

ลิมบิกและไฮโปทาลามัสนั้น จะควบคู่กันไปเหมือนเป็นระบบเดียวกัน โดยระบบลิมบิกทำหน้าที่ควบคุม
อารมณ์ พฤติกรรม และความต้องการของมนุษย์ สว่ นไฮโปทาลามัสยังทำหน้าที่ควบคุมสภาวะอ่ืนๆ

ของร่างกายนอกเหนือไปจากพฤติกรรมด้วย เมื่อการรับรู้การสัมผัสที่ได้ถูกแปลเป็นความรู้สึกตาม
ความหมายต่างๆ ของการสัมผัสทั้งที่เป็นความรู้สึกทางบวกและทางลบ ซึ่งขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของการ
สัมผัสและประสบการณ์ของบุคคล จะมีผลต่อการแสดงออกของอารมณ์และพฤติกรรม สำหรับการสัมผัส
ที่เป็นความรู้สึกทางบวกนั้นสามารถก่อให้เกิดประโยชน์ได้เช่นเดียวกับการช่วยเหลือทางการพยาบาล23
และสามารถก่อให้เกิดความหมายแก่ผู้ท่ีไดร้ ับการสัมผสั โดยการสัมผสั เป็นการส่งต่อหรือถ่ายทอดอารมณ์
ความคิดความเห็นอกเห็นใจ ความอบอุ่นใจ และเป็นการให้กําลังใจแก่ผู้รับการสัมผัส24 ซึ่งการให้กําลังใจ
เป็นการส่งเสริมความสุขสบายและช่วยให้บุคคลเกิดความมั่นใจเพิ่มขึ้น เสริมความเข้มแข็งของจิตใจ และ
การให้กําลังใจยังช่วยให้บุคคลสามารถช่วยตนเองในการเผชิญภาวะเครียดได้ดี เกิดความรู้สึกในทางที่ดี
เกี่ยวกับตนเอง สามารถใช้วิธีจัดการกับภาวะเครียดได้สำเร็จ25 จึงทำให้ความวิตกกังวลลดลง ดังนั้นจะ
เห็นได้ว่ากําลังใจที่บุคคลได้รับจากการสัมผัสนั้น สามารถช่วยให้ความวิตกกังวลลดลงด้วย การสัมผัสยัง
เป็นการอนุญาตและเป็นการกระตุ้นให้ผู้ถูกสัมผัสได้ระบายความรู้สึกออกมา26 ซึ่งการระบายความรู้สึก
ออกมาจะช่วยใหผ้ ู้ป่วยคลายความวิตกกังวลลงได้ ทั้งนเ้ี พราะการระบายความรู้สึกออกมาจะทำให้รู้สึกโล่ง
ใจ แม้จะไม่ได้แก้ปัญหาแต่ก็ช่วยให้จิตใจมีที่ว่างพอที่จะกดเก็บความรู้สึก และอารมณ์ที่ไม่พึงประสงค์ได้
อีก27 นอกจากนี้การสัมผัสยังช่วยส่งเสริมให้เกิดความใกล้ชิด ความรู้สึกไว้วางใจ และความมั่นใจแก่ผู้รับ
การสัมผัส ซึ่งความมั่นใจที่เกิดขึ้นนี้มีความสำคัญอย่างมากในการช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีความวิตกกังวลข้ัน
รุนแรงได2้ 8 ทงั้ น้เี นอ่ื งจากผ้ปู ่วยท่ีมีความวิตกกังวลจะมีความรู้สึกหวาดหว่ัน ไม่แน่ใจ ซ่ึงการสัมผัสจะช่วย
ให้ผู้ป่วยเกิดความมั่นใจมากขึ้น ดังนั้นจึงทำให้ความวิตกกังวลลดลง สำหรับการสัมผัสที่ก่อให้เกิดความ
ใกล้ชิดจะช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกว่าไม่ได้ถูกทอดทิ้งให้อยู่โดดเดี่ยว แต่ยังมีพยาบาลอยู่เป็นเพื่อนใกล้ๆ ซึ่งการ
ที่มีพยาบาลอยู่เป็นเพื่อนใกล้ๆ จะช่วยให้ผู้ป่วยอบอุ่นใจ และป้องกันความรู้สึกโดดเดี่ยวของผู้ป่วยได้29
สำหรับในระยะวิกฤตการติดต่อสัมผัสใกล้ชิดกับบุคคลอื่นๆ อาจเป็นประสบการณ์ขั้นพื้นฐานที่มนุษย์
ต้องการเป็นอย่างมาก 30 ซึ่งมีความสอดคล้องกับเบลแลคและแบมฟอร์ด31 ที่ได้กล่าวว่า การวางมือบน
แขนของผู้ป่วยที่มีความวิตกกังวลสามารถให้การสนับสนุนค้ำจุนตามความต้องการของบุคคลได้ ทั้งนี้
เนื่องจากการสัมผัสนําไปสู่การดูแล และอาจจะเป็นแนวทางหนึ่งที่พยาบาลสามารถสร้างสัมพันธภาพกับ
ผู้ป่วยได้ภายในระยะเวลาสั้น) ดังนั้น พยาบาลจึงสามารถใช้การสัมผัสเพื่อลดความวิตกกังวลของผู้ป่วยได้
ดังไดม้ ผี ศู้ กึ ษาเก่ียวกับการสมั ผัสเพ่ือลดความวิตกกังวลในผปู้ ่วยต่างๆ

จากการศึกษาของ Anuja32 ในประเทศอินเดียผู้ป่วยส่วนใหญ่ในกลุ่มทดลองมองว่าการ
จับมือระหว่างการผ่าตัดเป็นมาตรการในการลดความวิตกกังวลแม้ว่าจะไม่มีความแตกต่างอย่างมี
นยั สำคญั ทางสถิติ ในคะแนนความวติ กกงั วลหลงั การผ่าตดั ระหว่างกลุม่ นอกจากน้ยี ังพบว่าการจับมือ

4

มีประสิทธิภาพในการลดความดันโลหิตและอัตราการเตน้ ของหัวใจยกเว้นอัตราการหายใจของผู้ปว่ ย
ที่ได้รับการผ่าตัดต้อกระจก ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการสัมผัสไม่มีผลทำให้ระดับความวิตกกังวลลดลง
จากการใช้แบบวดั ความวติ กกงั วล แต่ผู้ป่วยมีการเปลีย่ นแปลงของสญั ญาณชพี ท่ีดขี ึ้น ซึ่งสัญญาณชพี
ของรา่ งกาย เป็นสิ่งท่ีบอกความวติ กกังวล ได้

ดังนั้นผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะศึกษาผลของการสัมผัสมือในการลดความวิตกกังวลขณะ
ผ่าตัดในผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดต้อกระจกโดยใช้ยาชา ทั้งนี้เพื่อลดความวิตกกังวลผู้ป่วย และใช้เป็น
ข้อมูลสนับสนุนการนําการสัมผัสไปใช้ในการปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วย เพื่อตอบสนองความต้องการ
ด้านจิตใจ และอารมณ์ของผ้ปู ว่ ยให้มีประสิทธภิ าพและสมบรู ณย์ ่ิงข้ึนอกจากนย้ี ังเปน็ บทบาทหน่ึงของ
พยาบาลที่สามารถตัดสินใจ และกระทำการปฏิบัติใหก้ ับผู้ปว่ ยได้อย่างอิสระและตลอดเวลา เพื่อเป็น
การเพ่มิ คณุ คา่ และเอกลกั ษณ์ของวิชาชีพพยาบาล

1.2 วตั ถุประสงคข์ องการวิจัย
1. เพื่อศึกษาผลของการสัมผัสมือขณะผ่าตัด ต่อความวิตกกังวลผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดต้อ

กระจกโดยใช้ยาชา

2. เพื่อเปรียบเทียบความวิตกกังวล ของผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดต้อกระจกโดยใช้ยาชาในกลุ่ม
ผปู้ ว่ ยทีไ่ ด้รบั สัมผสั มอื และกลมุ่ ผู้ปว่ ยท่ีได้รับการพยาบาลตามปกติ

1.3 ขอบเขตของการวจิ ัย
1. การศึกษาครั้งนี้ทำการศึกษาในกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดต้อกระจกโดยใช้ยาชา

โรงพยาบาลราชวิถี ปีงบประมาณ 2564 โดยใช้แบบประเมินความวิตกกังวล (Visual Analogue
Scale) โดยอาศัยแนวคิดของ (De Jong et al, 2005)33 วดั ความวิตกกงั วลหลังผา่ ตัด

2. ตัวแปรท่ีใช้ในการศกึ ษาครงั้ นี้ คือ
2.1 ตัวแปรตน้ ได้แก่ ปจั จัยทางดา้ นบุคคล คอื เพศ อายุ ระดับการศึกษา สถานภาพสมรส

อาชีพ ความเพียงพอของรายได้ สิทธิการรักษาพยาบาล ปัจจัยด้านการเจ็บป่วย คือ ประวัติโรค
ประจำตัว ประวัติการแพ้ยา ประสบการณ์ผ่าตัด ชนิดของการผ่าตัดต้อกระจกตา ระยะเวลาในการ
ผา่ ตัดตอ้ กระจกตา

2.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ คะแนนความวิตกกังวล คะแนนสัญญาณชีพ อัตราการเต้นของ
หัวใจ อัตราการหายใจ และความดันโลหิต ก่อนผ่าตัด ขณะผ่าตัด หลังผ่าตัด

2.3 แนวปฏบิ ตั ทิ ใ่ี หก้ ลุ่มทดลอง การสัมผสั มือขณะผา่ ตดั

1.4 นยิ ามศัพทเ์ ฉพาะ (Operational definition)
การสัมผัส คือการ แสดงถึงความหมายของการดูแลเอาใจใส่ ความหว่ งใย ความเข้าใจ ความเห็น

อกเห็นใจ การให้กำลังใจผูป้ ่วยขณะผา่ ตัดโดยการจับมือ เป็นการให้ความมั่นใจ จะทำให้ผู้ป่วยรับรู้ และ
มีความรู้สึกผ่อนคลาย ลดความวิตกกังวล สบายใจ ปลอดภัย ลดความเจ็บปวด และให้ความร่วมมือใน
การผา่ ตัด ความหมายของการสมั ผสั ในท่ีน้ี ยังรวมถึง แบบแผนการสมั ผสั มือ 3T (trust ,talk, touch)
กลมุ่ ทดลอง Trust การสร้างความสัมพันธ์ เกิดความเช่ือใจ talk การพดู touch การสัมผัสโดยการใช้
น้ิวมอื กดรอบๆ ฝา่ มือ ขณะผ่าตดั ชว่ ยให้ผูป้ ่วยผอ่ นคลาย

ความวิตกกังวล หมายถึง อารมณ์อันไม่พึงประสงค์ที่เกิดจากความยุ่งเหยิงภายในจิตใจ มักเกิดขึ้น

5

พร้อมกับพฤติกรรมทางประสาท อาทิ ความแปรปรวนทางอารมณ์, ความวิตกกังวลทางกาย และ
ภาวะคิดรำพึง ความวิตกกังวลเป็นรู้สึกเชงิ ลบที่เป็นนามธรรม เกิดขึ้นได้เมื่อครุ่นคิดคาดการณ์ถงึ ส่งิ ท่ี
จะเกดิ ขึ้นในอนาคต อาทิ คดิ เร่ืองท่ีตนเองจะตาย และการคิดคำนึงถึงเรื่องต่างๆ ความวติ กกังวลเป็นอารมณ์คน
ละอยา่ งกบั ความกลัวซึง่ ความกลวั นน้ั เป็นการตอบสนองต่อเหตุการณ์ใกล้ตวั และเป็นรปู ธรรมมากกว่า
ความวิตกกังวลเป็นความรู้สึกกระวนกระวายและกังวลใจ ผู้มีอาการนี้มักจะตอบสนองต่อภาวะถูก
คุกคามต่างๆ อยา่ งเกินจรงิ

ความวิตกกังวลขณะผ่าตัด หมายถึง ความรู้สึกตึงเครียดทางอารมณ์ หรือความรู้สึกไม่สบายใจใน
ขณะท่ีอยูใ่ นหอ้ งผ่าตัด ซึง่ เกดิ จากความหวัน่ กลัวตอ่ เหตกุ ารณ์ข้างหนา้ ท่ีคาดว่าจะเกิดขึ้น โดยประเมิน
ไดจ้ ากการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณชีพและอาการทางกาย

ความวิตกกังวลหลังผ่าตัด ความรู้สึกตึงเครียดทางอารมณ์ หรือความรู้สึกไม่สบายใจหลังการผ่าตัด
ซึ่งเกิดจากความหวั่นกลวั ผลจากการผ่าตัด โดยประเมนิ ไดจ้ ากจาก การเปลี่ยนแปลงของสัญญาณชีพ
และแบบวัดความวิตกกังวล (Visual Analogue Scale) โดยอาศัยแนวคิดของ (De Jong et al,
2005)33 วดั ความวิตกกงั วล หลงั ผา่ ตดั

1.5 ประโยชนท์ ี่คาดวา่ จะได้รบั
1. ผู้ป่วยรสู้ ึกผ่อนคลายความวิตกกังวลลดลง ขณะผา่ ตดั
2. ผู้ป่วยให้ความร่วมมือการผ่าตัดทำให้การผ่าตัดดำเนินต่อไปโดย ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน

จากการไมใ่ ห้ความรว่ มมอื ของผ้ปู ว่ ย
3. เป็นแนวทางในการพัฒนาคณุ ภาพการพยาบาล
4. สามารถนำไปใช้เปน็ แนวปฏิบตั ผิ ู้ปว่ ยซึง่ ได้รบั ยาชาเฉพาะท่กี ารผ่าตัดอ่นื

1.6 กรอบแนวคิดการวิจัย 6
ตัวแปรตาม
แผนภาพที่ 1 กรอบแนวคิดการวจิ ัย

ตัวแปรต้น

ปจั จยั ด้านบุคคล

1.เพศ
2.อายุ
3.ระดบั การศึกษา
4.สถานภาพสมรส
5.อาชีพ
6. ความเพียงพอของรายได้
7. สิทธิการรกั ษาพยาบาล

ปจั จัยดา้ นการเจบ็ ป่วย คะแนนความวติ กกงั วล

1.ประวตั โิ รคประจำตวั

2.ประวัติการแพ้ยา
3.ประสบการณผ์ า่ ตัด
4. จำนวนครัง้ ของการผา่ ตดั
5.ชนิด ของการผ่าตัด
6.ระยะเวลาผา่ ตดั

สัญญาณชีพ
(ก่อนผา่ ตัด ขณะผา่ ตดั หลงั ผ่าตัด)
1.อตั ราการหายใจ
2.อตั ราการเต้นของหวั ใจ
3.ความดันโลหติ

การสมั ผัสมือผู้ปว่ ยขณะผ่าตดั ตอ้ กระจก

7

บทท่ี 2
งานวจิ ัยทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง

การศึกษาผลของการสัมผัสมือขณะผ่าตัดต่อความวิตกกังวลของผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัด
ต้อกระจก โดยใช้ยาชา โรงพยาบาลราชวิถี ผู้วิจัยกำหนดขอบเขตการทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง
ดงั นี้

2.1 ทฤษฎกี ารผา่ ตัดตอ้ กระจก, กายวภิ าคของตาและแนวคิดความวิตกกงั วล
และการสัมผัส
1. กายวิภาคศาสตรข์ องตา
2. ตอ้ กระจกและการรกั ษา
3. แนวคิดและทฤษฎเี กีย่ วกับความวิตกกังวล
4. การสมั ผสั ผปู้ ว่ ยต่อการลดความวิตกกงั วลต่อการผา่ ตัด

2.2 งานวจิ ัยทีเ่ ก่ียวข้อง

1. กายวภิ าคศาสตรข์ องตา 34

กระจกตา (Cornea) กระจกตา อยู่ด้านหน้าสุดของลูกตา เป็นรูปโคม มีสัดส่วนเป็น 1/6
ของวงชั้นนอกสุดของลูกตา เป็นเนื้อเยื่อใส ไม่มีสี มักจะเรียกกันว่า ตาดำ ที่จริงเป็นส่วนใส ไม่มีสี ท่ี
เห็นดำเพราะเปน็ สีของม่านตาที่อยูล่ ึกลงไป กระจกตาเป็นเสมือนฝาปิดคล้ายๆแผ่นพลาสติก/กระจก
หน้าปดั นาฬิกา มลี ักษณะเปน็ รูปโคม คลา้ ยกระทะ มีเสน้ ผา่ ศนู ย์กลางประมาณ 11.5 มม. แนวต้ังส้ัน
กวา่ แนวนอนเลก็ น้อย มคี วามหนาตรงกลางประมาณ 0.5-0.6 มม. (500-600 ไมครอน/Micron) ส่วน
ข้างๆหนาประมาณ 0.6-0.8 มม. บรเิ วณตรงกลางด้านหน้ามีรศั มีความโคง้ ประมาณ 7.8 มม ตรงกลาง
ด้านหลัง รัศมีความโค้งประมาณ 6.5 มม. กระจกตา มีกำลังหักเหของแสงถึงประมาณ +43 D/Diopter/ได
ออปเตอร์ (อวัยวะในการรวมแสง/หักเหแสงประกอบด้วยกระจกตา และแก้วตา) ส่วนแก้วตามีกำลัง
หกั เหประมาณ +17D รวมแลว้ เปน็ กำลังหกั เหแสง +60D โดยประมาณกระจกตา

ลักษณะพิเศษของกระจกตา

1. ไม่มหี ลอดเลือด (Avascular) ซ่งึ เป็นทั้งขอ้ ดีและข้อเสีย ข้อดคี ือทำให้กระจกตาใส
อยู่เสมอ (ถ้าขุ่น จะทำให้ตามัว) ส่วนข้อเสียคือ ถ้ามีการอักเสบติดเชื้อ การหายของแผลยากกว่า
เนือ้ เยือ่ อ่ืนๆ เพราะไมม่ ีหลอดเลือดนำเม็ดเลอื ดขาวมาชว่ ยขจัดเช้ือโรค

2. มีความใสอยู่เสมอเนื่องจากการเรียงตัวของเนื้อเยื่อกระจกตาเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ
เป็นระเบยี บ

3. ตัวกระจกตาจะอยู่ในภาวะแห้ง (Dehydrate) ถ้าอยู่ในภาวะอุ้มน้ำ กระจกตาจะบวม
ทำใหต้ ามัวลง

8

4. มีปลายประสาทมาเลีย้ งกระจกตา มากกว่าในเนือ้ เยื่ออื่นๆในรา่ งกาย กระจกตาจึงไวตอ่
ความรสู้ กึ การสมั ผสั ความร้อน สารเคมี หรอื ผง แมข้ นาดเลก็ นดิ เดียวเม่ือกระทบกระจกตา จะส่งผล
ให้รสู้ กึ เจบ็ ปวด เคอื งตาอยา่ งมาก

กระจกตาแบ่งเปน็ 5 ช้นั คือ

1. เนื้อเยื่อบุผวิ (Epithelium)
2. Bowman’s membrane
3. เน้ือเยื่อโครง (Stroma)
4. Descemet’s membrane
5. เนือ้ เยอื่ บโุ พรง (Endothelium)

1. เนื้อเยื่อบุผิว (Epithelium) เป็นชั้นผิวนอกสุด แนบอยู่กับชั้น Mucous ของฟิล์มน้ำตา
มีความหนาประมาณ 10% ของกระจกตา และเนื่องจากอยู่ผิวหน้าสุด จึงมีโอกาสได้ รับอันตรายสูง
แตม่ ีข้อดีทง่ี อกใหม่ เจริญทดแทนได้เรว็ (Easy regenerate and fast growing) ดงั น้นั ผู้ท่ีมี

ผิวกระจกตาถลอกที่เกิดจากชัน้ นี้ หลุดลอกจึงมักจะหายเปน็ ปกติไดง้ ่าย
2. Bowman’s membrane ประกอบดว้ ยสาร Collagen ชนดิ ทเ่ี รียงตัวไม่เป็นระเบยี บ ไม่

มีเซลล์ ทนต่อการติดเชื้อ และต่อสารต่างๆ เมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้น ไม่สามารถเกิดใหม่ได้ เชื่อว่า
สารน้สี ร้างจากชนั้ Stroma

3. เนื้อเยอื่ โครง (Stroma) เป็น 90% ของเน้ือเยื่อกระจกตา ประกอบดว้ ย Collagen ชนิด
ที่เรียงตัวอย่างเป็นระเบียบ มี Keratocyte (เซลล์สร้าง Collagen และสารที่ช่วยการหักเหของแสง)
และมีสารต่างๆ ที่เป็นส่วนประกอบที่เรียกว่า Ground substance เช่น สารโปรตีนต่างๆ
(เช่น Mucoprotein และ Glycol protein) แตป่ ระมาณ 75-80% เป็นนำ้

4. Descemet’smembrane เป็นชั้นบางๆที่มีแต่ Collagen ไม่มีเซลล์ เชื่อว่าเกิดจาก
ชัน้ Endothelium ในเด็กจะมีความหนาประมาณ 10-12 ไมครอน (Micron) เม่อื เป็นผู้ ใหญจ่ ะมีความหนา
ประมาณ 40 ไมครอน เป็นชั้นที่ ทนต่อสารต่างๆ และต่อเชื้อโรค และสามารถเกิดใหม่ได้หากได้รับ
บาดเจบ็ เสียหาย

5. เนอ้ื เย่อื บุโพรง (Endothelium) เป็นชน้ั ในสดุ ท่ีประกอบด้วยเซลล์ช้ันเดยี ว มคี วามบาง
ท่สี ุด แรกเกดิ มจี ำนวนประมาณ 6,000 เซลลต์ ่อตารางมิลลเิ มตร และจะค่อยๆ ลดลงตามอายุ โดยลด
จำนวนลงประมาณ 0.6% ต่อปี ในผู้ใหญ่จะมีประมาณ 3,000 เซลล์ต่อตารางมิลลิเมตร เมื่อได้รับ
อันตรายจนเซลลต์ ายไป จะไม่มีเซลล์เกิดใหม่ จำนวนเซลล์จะลดลงเมื่อ ได้รับภยันตรายจากอุบัติเหตุ
จากการผ่าตัด จากการติดเชื้อ และจากอายุที่มากขึ้น เนื้อเยื่อชั้นนี้มีหน้าที่สูบน้ำ (Pump) ออกจาก
กระจกตา ทำให้กระจกตาแห้ง คงความใสอยู่ได้ หากเซลล์เหลือน้อยกว่า 500 เซลล์ต่อตาราง
มิลลิเมตร กระจกตาจะบวม ทำให้กระจกตาฝ้ามัวลง เป็นที่น่าสังเกตว่า ตัวกระจกตา ล้อมอยู่ในน้ำ
โดยส่วนหน้าเปน็ ฟิล์มน้ำตา ส่วนหลังเป็น สารน้ำในลกู ตา แต่ตัวกระจกตาไม่บวมน้ำ อยู่ในภาวะแห้ง
(Dehydrate) ก็ด้วยอาศัยการทำงานของ Endothelium นี้เอง ถ้าจำนวนเซลล์ในชั้นนี้ลดลง จากที่มีการ

9

ทำลายของ Endothelium หรือมีแรงดันจากสารน้ำ Aqueous มากกว่าปกติ (ในผู้ป่วยโรคต้อหิน
เฉียบพลนั ) กระจกตาจะบวม

ตาขาว (Sclera) เป็นส่วนตอ่ จากกระจกตาไปด้านหลงั ประกอบด้วยสาร Collagen ชนดิ ที่
เรียงตัวกันอย่างไม่เป็นระเบียบ จึงเป็นฝ้าขาวไม่ใสอย่างกระจกตา เป็นส่วนห่อหุ้มเนื้อเยื่อภายในลูก
ตา และเป็นที่เกาะของกล้ามเนื้อนอกลูกตาที่อยู่ในเบ้าตา (Extraocular muscle) ที่มีหน้าที่กลอก
หรอื เคลอื่ นไหวลกู ตา

Limbus เปน็ บริเวณรอยต่อของกระจกตาและตาขาว จากกระจกตาที่ใสเปลี่ยนมาเป็นตาขาวที่
ขนุ่ Limbus เป็นบริเวณกว้างประมาณ 10-15 มม. เป็นบริเวณสำคญั เพราะเป็นจุดหมายท่ี จักษแุ พทย์
ใช้เปน็ จุดอา้ งอิงในการตรวจรักษา โดยอิงจดุ นเี้ ป็นหลัก ตลอดจนเป็นบริเวณทีจ่ ักษุแพทย์ใช้กรีดมีด เพ่ือ
เข้าสู่ภายในลูกตาเมื่อต้องการผ่าตัด อีกทั้งเป็นบริเวณที่กรอง สารน้ำในลูกตา ออกไปแลกเปลี่ยนกับ
เลือดในหลอดเลือด เป็นที่ซ่ึงก่อให้เกิดมุมตา (Chamber angle) ที่ใช้ในการบอกชนิดของโรคต้อหิน
กล่าวคือ มุมตา เป็นการทำมุมระหว่างกระจกตาและ ม่านตา ซึ่งทำมุมได้ตั้งแต่ 10°-40° โดยประมาณ
ถ้ามมุ น้เี ป็น 10° แสดงวา่ เปน็ มุมท่แี คบมาก แพทยม์ ักใช้คำว่า แคบเป็น Grade 1 ถ้ามุมนี้ประมาณ 20°
เป็นมุมที่ค่อนข้างแคบเป็น Grade 2 ถ้ามุมนี้ 30° เป็น Grade 3 เป็นมุมค่อนข้างกว้าง ถ้ามุมนี้ 40°
เป็นมมุ ทกี่ วา้ งมากเป็น Grade 4 โดยที่ถา้ มมุ เปน็ Grade 1 และ 2 แสดงวา่ มีแนวโน้มเป็นต้อหินชนิด
มุมแคบหรือมุมปดิ (Closed-angle glaucoma/โรคต้อหินเฉียบพลัน ถ้าเป็น Grade 3 และ 4 จัดว่า
เป็นต้อหินชนิดมุมเปิด (Open-angle glaucoma/โรคต้อหินเรื้อรัง) Limbus ประกอบด้วยเนื้อเยื่อ
จากด้านนอกสุดไปด้านในสุด ได้แก่ เยื่อบุตา พังผืด ที่เรียกว่า Tenon ผิวตาขาว ชั้น Stroma ของ
กระจกตา และชั้นในสุดอยตู่ รงมมุ พอดี

นอกจากนั้น ภายหลังการตรวจด้วย Gonioscope แพทยจ์ ะระบวุ ่า มุมตานีอ้ ย่ใู น Grade ใด
เปน็ 1,2,3 หรอื 4 ถา้ มีความดันลูกตาสงู แลว้ ตรวจพบมุมน้ีเปน็ Grade 3 หรอื 4 ถอื วา่ เป็นต้อหินมุม
เปิด ถ้ามุมนี้เป็น 0° หรือ เป็น Grade 1,2 ถือว่าเป็นมุมปิด ถ้าความดันตายังปกติดี แต่พบมุม
เป็น Grade 1 หรอื 2 บ่งว่ามีแนวโน้มทอ่ี าจเปน็ ตอ้ หนิ มมุ ปิด

เป็นบริเวณกรองสารน้ำในลูกตาออกจากลูกตา ซึ่งชั้นในสุดของ Limbus ยังประกอบด้วย
เน้อื เยื่อต่างๆอกี หลายชนดิ โดยเนื้อเยื่อเหล่านซี้ ่อนอยู่บรเิ วณมมุ ของ Chamber angle ทีม่ องตรงๆจะ
ไมเ่ ห็น แพทยต์ อ้ งใช้เครื่องมือทีเ่ รยี กวา่ Gonioscope เพื่อตรวจเนือ้ เยือ่ เหลา่ นี้

แกว้ ตา เป็นวัสดุใสคลา้ ยจานบิน หรือลกู สะบ้าทน่ี ูนท้งั ขา้ งหน้าและขา้ งหลัง (Biconvex) วาง
อยู่หลังม่านตาด้วยสายโยงแก้วตา (Lens zonule) ที่เป็นเส้นใยบางๆ ยึดแก้วตาให้ติดกับ
เน้อื เย่อื Ciliary body ตัวแกว้ ตาจะกนั้ ช่อง Posterior chamber ออกจากช่อง Vitreous chamber
แก้วตาเป็นอวัยวะที่ไม่มีหลอดเลือดมาเลีย้ ง ไม่มีเส้นประสาทมากำกับ และมีชีวิตอยู่ได้โดยได้อาหาร
จากสารน้ำในลูกตา และจาก วุ้นตา แรกเกิดแก้วตาจะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 6.4 ม.ม.
มีความหนาประมาณ 3.5 มม. น้ำหนักประมาณ 60 มก. ตัวเนื้อเยื่อแกว้ ตา จะมกี ารสร้างขึน้ มาเร่ือยๆ
จนมขี นาดเสน้ ผ่าศนู ย์กลางประมาณ 9 มม. หนาประมาณ 5 มม. และนำ้ หนักประมาณ 255 มก.เมื่อ

10

อายุ 80 ปี ความโค้งหน้าและโค้งหลัง ตลอดจนดัชนีการหักเหของแสงอาจเปลี่ยนตามอายุ ผู้สูงอายุ
สายตาอาจเปล่ียนแปลงจากการเปลยี่ นแปลงของแก้วตา ผูส้ งู อายทุ แ่ี กว้ ตาเรมิ่ ขุ่น/เรมิ่ เป็นโรค

ต้อกระจก อาจกอ่ ให้เกิดภาวะสายตาส้ันชวั่ คราว (Secondary myopia) ได้

แก้วตาประกอบด้วย

1. ถุงหุ้ม (Capsule) เป็นเยื่อบางหุ้มแก้วตา เชื่อว่าสร้างมาจากเนื้อเยื่อบุผิวแก้วตา (Lens
epithelium) โดยส่วนหน้าจะหนากว่าส่วนหลังและค่อนข้างยืดหยุ่น (ส่วนหน้าหนาประมาณ 14
ไมครอน ส่วนหลงั ประมาณ 4 ไมครอน)

2. Lens zonule เปน็ เนอ้ื เย่ือโยงแกว้ ตาใหต้ ิดกับเน้อื เยื่อ Ciliary body ถ้าเนอ้ื เยอ่ื นีข้ าด จะ
ทำใหแ้ กว้ ตาเคลื่อนไปจากท่เี ดมิ (Lens dislocation) ได้

3. เนื้อเยื่อบุผิวแก้วตา (Lens epithelium) เป็นเซลล์ชั้นเดียวอยู่เฉพาะผิวหน้าของแก้วตา
เป็นเซลล์ที่มีการเจริญเติบโตแบ่งตัวให้มีมากขึ้นได้เพื่อสร้างเป็นเน้ือเลนส์ (Lens fibre ) มากขึ้นตาม
อายุ เปน็ เหตุใหข้ นาดของแก้วตาใหญ่ข้ึนเม่อื คนเราอายมุ ากขึน้

4. Nucleus and Cortex เป็นใจกลางของแกว้ ตาทีจ่ ะถูกเบียดให้อดั แน่นขึ้นเม่ืออายุมากขึ้น
ทำให้แกว้ ตาทเี่ ดมิ ไม่มีสี จะออกสีเหลอื งเปน็ ตอ้ กระจก (แก้วตาขุ่น) เมื่ออายมุ ากขึน้

ม่านตา (Iris) ม่านตา เป็นเนื้อเยื่ออยู่หน้าสุดของผนังลูกตาชั้นกลาง ประกอบด้วยหลอด
เลือด เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน รวมทั้งเซลล์ที่มีเม็ดสี (Melanocyte) หากเลาะม่านตาออกมาวาง จะมี
ลักษณะเหมือนเหรียญสตางค์แดง ที่มีรูตรงกลางเรียกว่า รูม่านตา (Pupil) โดยขอบนอกสุดของม่าน
ตา จะยึดอยู่กับตาขาว ตัวม่านตาประกอบด้วย หลอดเลือด เนื้อเยื่อเกี่ยวพัน และยังมีกล้ามเนื้อเพ่ือ
การหดม่านตา (Sphinctor muscle) ซึ่งจะอยู่รอบๆรูม่านตา และกล้ามเนื้อขยายม่านตา (Dilator
muscle) ซึง่ จะอยู่ค่อนมาทางขอบนอกของม่านตา เมื่อกลา้ มเนือ้ หดมา่ นตาได้รบั ยาบางชนิด หรือเจอ
แสงจา้ ๆ กล้ามเนอื้ นีจ้ ะทำงานแบบหูรดู และทำให้ม่านตาเล็กลง ขณะเดียวกนั กล้ามเนื้อขยายม่านตา
เมื่อทำงานจะดงึ ม่านตาไปทางขอบๆ คลา้ ยๆคลายหูรดุ มา่ นตาก็จะขยายใหญข่ นึ้

จอตา (Retina) จอตาเป็นอวัยวะที่เป็นแผ่นบางๆ ใส ไม่มีสี แต่ที่มองผ่านกล้อง
Ophthalmoscope เหน็ เปน็ สแี ดง เกิดจากแสงสะทอ้ นผ่านหลอดเลอื ดในชั้นเน้อื เย่อื Choroid

วุ้นในตา (Vitreous humor) ช่อง Vitreous cavity มีขนาดเป็น 4/5 ในปริมาตรของลูกตา
ในช่องเป็นสารน้ำ เรียกว่า วุ้นตา (Vitreous humor) เป็นแหล่งอาหารแก่ แก้วตา เนื้อเยื่อ Ciliary
body และจอตา มีปริมาตรประมาณ 4 มิลลิลิตร ใสไม่มีสี หนืดกว่าน้ำ 2 เท่า วุ้นตามีส่วนประกอบเป็น
ส่วนของน้ำประมาณ 98% ที่เหลือเป็นสารหลายชนิด เช่น Colla gen, Hyaluronan และโปรตีน โดย
หนา้ ทข่ี องวุ้นตา คอื เพอื่ ทรงลกู ตาให้มีรูปร่างคงที่ ตลอดจนเปน็ แหลง่ อาหารแก่ แกว้ ตา, เนือ้ เยื่อ Ciliary
body และจอตา

11

2. ตอ้ กระจกและการรักษา35

ต้อกระจก หมายถึง การขุ่นของแก้วตา (Lens opacity) ซึ่งอาจจะเกิดที่เนื้อตรงกลาง
(Nucleus) เนื้อส่วนรอบนอก (Cortex) หรือเนื้อใต้เปลือกหุ้มเลนส์แก้วตา แต่ไม่ใช่เปลือกหุ้ม เลนส์
แก้วตา เพราะเปลือกหุ้มแก้วตาจะไม่มีการขุ่น ในภาวะปกติเลนส์แก้วตาประกอบด้วยน้ำร้อยละ 65
ซ่งึ จะลดลงเมอ่ื มีอายุ เพม่ิ ขึน้ และเป็นโปรตีนร้อยละ 35 ซึ่งสูงท่ีสุดในเนื้อเยื่อของรา่ งกาย นอกน้ันจะ
เป็นแร่ธาตุต่างๆ โดยจะมีความจุของโปแตสเซียมสูงและคลอไรด์ต่ำ ในขณะที่น้ำเอเควียสจะมี
ส่วนประกอบใกล้เคยี ง กับพลาสมา การที่เลนส์แกว้ ตามีการขุ่นนั้นเกิดจากการ เปลี่ยนแปลงทางเคมี
กล่าวคือ ได้รับออกซิเจนลดลง มีการเพิ่มของน้ำในตอนแรกแล้วต่อมาเกิดภาวะขาดน้ำ
(Dehydration) โซเดียมและแคลเซียมเพิม่ ขึน้ ขณะที่โปแตสเซียม กรดแอสคอร์บิค (ไวตามินซี) และ
โปรตนี ลดลง เมอ่ื มอี ายุ เพิ่มขน้ึ โปรตีนในเลนส์แก้วตาจะมกี ารเปลย่ี นแปลง ความใสจะเปลีย่ นเป็น

สีเหลือง และโมเลกุลมีการเปลี่ยนแปลงการเปลี่ยนแปลงนี้ขึ้นอยู่กับการดูดซับรังสี
อัลตราไวโอเลตตลอดช่วงอายุ ดังนั้นต้อกระจก อาจมีสาเหตุจากกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางเคมี
เนื่องจากแสง (Photochemical) ต้อกระจกเกิดขึ้นได้ทั้งจากการรวมตัวกันของโมเลกุลของ โปรตีน
หรือจากการ ที่น้ำเข้าไปทําให้โมเลกุลแยกตัวออกจากกัน ต้อกระจกในผู้สูงอายุมักเกิดขึ้นทั้ง 2 ตา
แตอ่ าจเกดิ ไมพ่ รอ้ มกัน

การแบ่งชนิดของต้อกระจกมีหลายวิธี โดยอาจแบ่งตามสาเหตุ อายุที่เกิดตามลักษณะของ
ความข่นุ หรอื ตามตําแหน่งของความขุ่น โดยทั่วไปแบง่ ชนดิ ของต้อกระจก ดงั นี้คือ

1. ต้อกระจกที่เป็นมาแต่กําเนิด (Congenital cataract) หมายถึง ต้อกระจกที่เป็นมาแต่
กําเนดิ มกั เกิดเน่อื งจากพันธกุ รรมหรือเกิดจากการเจริญเติบโตผดิ ปกตใิ นครรภม์ ารดา เนอ่ื งจากมารดา
ติดเชื้อหัดเยอรมันในขณะตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก ทําให้เป็นต้อกระจกตั้งแต่เกิด มักเป็นทั้ง 2 ข้าง
ประมาณร้อยละ75 พบว่าเลนส์แก้วตาปูนขาวที่รูม่านตาเป็นโรคของจอประสาทตา (Retinal
disease) ลูกตาขนาดเล็ก (Microphthalmos) และเป็นต้อหินแต่กําเนิด (Congenital glaucoma)
โรคหัด เยอรมัน ยังก่อให้เกิดอันตรายต่ออวัยวะอื่นๆ ได้สูงเช่น มีความผิดปกติของหัวใจ หูหนวก
ปัญญาอ่อน ฟันผิดปกติ เป็นต้น นอกจากนี้ภาวะทุโภชนาการ การได้รับรังสีขณะตั้งครรภ์ สามารถ
ทาํ ใหเ้ กิดตอ้ กระจกที่เป็นมาแตก่ ําเนิดได้

2. ต้อกระจกในผูส้ งู อายุ (Senile cataract) เปน็ ต้อกระจกท่พี บมากที่สดุ มกั เป็นทงั้ สอง ขา้ ง
แต่ความขุ่นของเลนส์แก้วตาไม่เท่ากัน เกิดจากภาวะเสื่อมตามวัยในคนที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป
ต้อกระจกในผู้สูงอายุนั้นเป็นชนิดท่ีพบมากที่สดุ ประกอบกับเป็นปัญหาสุขภาพทางตาในประเทศไทย
โดยการเกิดของตอ้ กระจกในผสู้ งู อายุ แบ่งออกได้ 4 ระยะคอื

2.1 ต้อกระจกเริ่มเป็น (Incipient stage) เป็นระยะแรกของต้อกระจกในผู้สูงอายุ
อาจจะเกิดการอุ่นขาวบริเวณเนื้อส่วนรอบนอกของเลนส์แก้วตาหรือเนื้อส่วนรอบนอก แต่เนื้อตรง
กลางหรอื นวิ เคลียสยังใส หรอื เนือ้ ตรงกลางขาวขุ่นแต่เนอ้ื ส่วนรอบนอกใส

12

2.2 ต้อกระจกที่มีการบวมน้ำ (Intumescent stage) ในระยะนี้มีการเปลี่ยนแปลงของ
แรงดันออสโมติกและส่วนประกอบสารเคมีของเลนส์แก้วตาทําให้เลนส์แก้วตายอมให้น้ำซึมผ่าน
เข้าไปมากขึ้น ทําให้เลนส์แก้วตาบวมนำ ส่งผลให้เลนส์แกว้ ตาสญู เสยี ความใส จึงเกิดการอุน่ ขาว ของ
เลนส์แก้วตามากขน้ึ

2.3 ตอ้ กระจกสุก (Mature stage) ระยะนน้ี ้ำภายในเลนส์แกว้ ตาจะขบั ออกนอกแก้วตา
ทําให้เลนส์แก้วตาแข็งกว่าเดิม เลนส์แก้วตามีสภาพปูนขาวทั่วไปหมด เป็นระยะที่เหมาะสม สําหรับ
การทําผ่าตัดเอาเลนสแ์ ก้วตาขาวข่นุ ออก

2.4 ต้อกระจกสุกเกินไป (Hyper mature stage) เป็นระยะสุดท้ายของต้อกระจก
ระยะนี้ เลนส์แก้วตาจะขุ่นมากขึ้น จะเห็นเป็นสีขาวนวลเหมือนสีน้ำนม เพราะเนื้อส่วนรอบนอกของ
เลนส์ แก้วตาเกดิ การเสือ่ มและกลายเปน็ ของเหลว ในระยะนีถ้ า้ ปล่อยท้ิงไวแ้ ลว้ ไม่เกดิ ภาวะแทรกซ้อน
น้ำภายในเลนส์แก้วตาจะถูกดูดซึมออกไปเลนส์แก้วตาจะค่อยๆ เหี่ยวแห้งลง เปลือกหุ้มเลนส์แก้วตา
จะยน่ เน้อื ส่วนรอบนอกของเลนส์แก้วตาอาจพบมีการสะสมของแคลเซียมเพิ่มมากขึ้นได้

โรคตอ้ กระจกทีไ่ ม่ไดร้ ับการรักษา อาจทาํ ให้เกดิ โรคแทรกซอ้ น ดังน้ี

1. โรคต้อหินที่เกิดจากความผิดปกติของเลนส์แก้วตา (Phacolytic glaucoma) ใน
โรคต้อกระจกสุกมาก ผู้ป่วยบางรายมีโปรตีนรั่วซึมผ่านแคปซูลที่ห่อหุ้มแก้วตาออกมาในช่องหน้า
และชอ่ งหลังตาและไปอดุ ตนั ทําใหร้ ะบายของเหลวออกไม่ได้

2. โรคต้อหินที่เกิดจากการบวมของเลนส์แก้วตา (Phacomorphic glaucoma) ใน
โรคต้อกระจกระยะเริ่มขุ่นจะมีการดูดซึมน้ำมาก ทำให้เลนส์แก้วตาอ้วนขึ้นหรือมีอาการเลนสแ์ ก้วตา
บวม ขึ้น และไปดันม่านตาให้โป่งมาทางข้างหน้า ทําให้เกิดโรคต้อหินชนิดมุมเปิดขึ้นทันที ผู้ป่วยจะ
มีอาการปวดตามากอย่างเฉียบพลนั ตาแดง คลื่นไส้ อาเจยี น

3. ม่านตาอักเสบ โรคต้อกระจกท่ีสุกเกนิ บางรายมีโปรตนี ของเลนส์แก้วตาซึมออกมา สู่
ช่องหน้าและช่องหลังตา และโปรตีนของแก้วตาจะเป็นตัวกระตุ้นให้ปฏิกิริยา ทําให้ม่านตา อักเสบ
ผปู้ ว่ ยจะมีอาการตาแดง และปวดตา โดยเฉพาะเวลาถกู แสง

4. ระบบประสาท จอประสาทหรือจอรับภาพผิดปกติ สายตาเสื่อมเกิดภาวะแทรกซ้อน
ตาบอดได้ อาจพบว่ามที ้งั ชนดิ ตายงั ไม่บอดสนทิ และทต่ี าบอดสนทิ ท้ังสองขา้ ง

การรักษาโรคต้อกระจก เป็นที่ทราบกันว่ายังไม่มียาที่จะป้องกันหรือช่วยลดการเกิดต้อกระจกได้
การรักษามีวิธีเดียว เท่านั้นคือ การผ่าตัดเอาเลนส์แก้วตาที่ขุ่นออก และใส่เลนส์แก้วตาเทียม
(Intraocular lens prosthesis) เข้าไปแทนที่ซึ่งการผ่าตัดต้อกระจกในผู้สูงอายุนั้นปลอดภัย
และมปี ระสทิ ธิภาพมาก โดยผลสําเรจ็ อยู่ ระหวา่ งร้อยละ 90-95

13

ปัจจบุ นั มีวิธผี ่าตัดต้อกระจกหลายวิธี ได้แก่

1. Intracapsular cataract extraction (ICCE)
เป็นการผ่าตัดเอา lens และ lens capsule ออกพร้อมกนั ทำใหใ้ ส่ intraocular lens เข้า

ไปแทนได้ลำบาก จึงไม่เป็นที่นิยม ปัจจุบันจะทำเฉพาะในรายที่มีlens dislocation หรือ lens
subluxate ท่ีเปน็ มากๆ

2. Extracapsular cataract extraction (ECCE)
เป็นการผ่าตัดเอาlens nucleus และ lens material อื่นๆ ออกมาจากตา โดย mechanical

removal โดยที่ยังเก็บ lens capsule ไว้สำหรับใส่ intraocular lens เข้าไปแทนที่ เนื่องจากในคน
สงู อายุ lens nucleus มักมีขนาดใหญ่ และแข็ง จงึ จำเปน็ ตอ้ งเปิดแผล ที่ limbus ขนาดกวา้ งพอท่ีจะ
เอา nucleus ออกมาได้ โดยทว่ั ไปประมาณ10 มม. จึงจำเป็นต้อง เยบ็ แผล

3. Manual phacofragment
เปน็ การผ่าตัดเชน่ เดียวกบั ECCE แตจ่ ะใชเ้ ครื่องมือง่ายๆ แบ่ง lens nucleus ออกเปน็ ช้ิน

เลก็ ๆ ๒-๔ ช้นิ แล้วคอ่ ยเอาออกจากตา จึงไมจ่ ำเป็นตอ้ งเปิดแผลกวา้ งนกั

4. Phacoemulsification
เป็นการผ่าตัดโดยใช้ ultrasound ช่วยทำให้ lens nucleus แยกเป็นชิ้นเล็กๆ พอที่จะดูด

ผ่านเครือ่ งมอื ขนาดเล็กได้ โดยยังเก็บ lens capsule ไว้เพื่อใส่ intraocular lensได้ ทำให้สามารถทำ
ไดโ้ ดยผา่ นแผลขนาดเลก็ ๆ (3-4 มม.) และไม่จำเปน็ ตอ้ งเยบ็ แผล

ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดส่วนใหญ่มักได้รับการใส่เลนส์แก้วตาเทียมซึ่งในปัจจุบันมีหลายชนิด
ทุกชนิด มีส่วนประกอบ 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่เป็นเลนส์แก้วตาเทียมซึ่งกลมและใส (Optic) ทํามาจากสาร
Polymethyl-methacrylate (PMMA) มีหน้าที่ในการหักเหแสง อีกส่วนหนึ่งคือ ขาเลนส์แก้วตา
เทียม (Haptic) ทําหน้าท่ีในการยึดเลนส์แก้วตาเทียมให้อยู่กบั ที่ประมาณร้อยละ 90 ของการใส่เลนส์
แก้วตาเทียมไว้ในช่องหลังม่านตา (Posterior chamber) และร้อยละ 10 ใส่ในช่องหน้าม่านตา
(Anterior chamber)

ผู้ป่วยทีผ่ า่ ตัดเอาเลนส์แกว้ ตาออกแล้วไม่ใส่เลนส์แกว้ ตาเทียม การมองเห็นจะไม่ชัดเจน ต้อง
แก้ไขด้วยการใส่เลนส์สัมผัส หรือแว่นตา ซึ่งการใส่เลนส์สัมผัสในผู้สูงอายุจะกระทําได้ไม่ค่อยมี
ประสิทธภิ าพ และการใสแ่ วน่ ตาตอ้ งเป็นแวน่ เลนสน์ นู ซง่ึ หนามาก ทําให้ปรับระยะทางลําบาก สาํ หรับ
การใส่เลนส์แกว้ ตาเทียมหลังการผ่าตดั จะทําใหผ้ ้ปู ่วยมองเหน็ ไดด้ ใี นทนั ที

ขอ้ บ่งชใี้ นการผา่ ตดั ต้อกระจก คือ

1. ผู้ป่วยมคี วามเดอื ดร้อน ไม่สามารถทำงานที่ต้องการได้ เพราะมองไมช่ ัด หรอื ไม่ถนดั
2. ต้อกระจกเป็นมากจนมีภาวะแทรกซ้อน หรือคาดว่าจะมี ในไม่ชา้
3. ต้อกระจกเป็นมากจนทำให้ตรวจรักษาโรคทางจอประสาทตาไม่ได้ เช่นในผู้ป่วยที่เป็น
เบาหวาน แลว้ ตรวจดูจอประสาทตาไดไ้ มช่ ดั หรือมี diabetic retinopathyมากแล้ว แต่ไม่สามารถยิง
laser ได้

14

4. cosmetic indication เช่น มีต้อกระจกที่เป็นสีขาวมากแล้ว แต่อาจจะมีโรคตาอย่างอ่ืน
ร่วมดว้ ยจนคาดว่าถึงจะผา่ ตดั แลว้ กอ็ าจมองเห็นไมด่ ีข้นึ

การผา่ ตัดต้อกระจก และการเตรียมพร้อมก่อนการผา่ ตัด

หลักจากที่ได้ทำความเข้าใจเรือ่ งการผา่ ตดั กบั ผู้ป่วยดีแล้ว ต้องมีการประเมินผู้ป่วยอกี คร้งั วา่
เหมาะสมกับการผา่ ตดั แบบใดและมี prognosis ดีแคไ่ หน ดังมีรายละเอยี ดดังตอ่ ไปน้ี

1. Preoperative Ophthalmic Examination ซึ่งรวมตั้งแต่การซักประวัติทางตา การ
วัดสายตารวมท้ังการวัดแว่น การตรวจร่างกายทางตาท้ังหมด อยา่ งละเอยี ด ในบางรายอาจต้องมีการ
ตรวจพิเศษ เชน่ การตรวจultrasound เพอ่ื ประเมนิ anatomy ของตา และหาความยาวลกู ตา เพื่อใช้
คำนวณหา refractive power ของ intraocular lens ทีจ่ ะใส่แทนในผู้ป่วยท่เี ป็นต้อกระจก

การตรวจ fluorescein angiography เพื่อประเมินความผิดปกติของ จอประสาทตาในราย
ท่ีocular media ยังใสดีอยู่, การตรวจทาง electrophysiology เพื่อประเมินการทำงานของจอ
ประสาทตา วา่ มโี อกาสจะไดผ้ ลดเี พียงใดหลังการผ่าตัด, การตรวจทางimaging อืน่ ๆ ในกรณีที่จำเป็น
เชน่ สงสยั มีสง่ิ แปลกปลอมในตา มีเนอ้ื งอกในตาหรือในกระบอกตา

2. Exclusion infection and inflammatory process ไดแ้ ก่ blepharitis, chalazion,
hordeolumและ conjunctivitis ซึ่งสามารถมองเห็นได้โดยง่าย และการล้างท่อน้ำตา เพื่อดูว่ามี
nasolacrimal duct obstruction หรือไม่ เพราะถ้ามีมักจะพบว่ามี chronic dacrocytes ร่วมด้วย
และควรทำผ่าตัดแก้ไขให้ดีกอ่ นที่จะมาผ่าตัดตาต่อไป

3. General Medical Preoperative Measures เช่นเดียวกับการผ่าตัดทั่วไป ถึงแม้ว่า
ส่วนใหญ่แล้วการผ่าตัดตามักทำโดย local anesthesia ก็ตาม แต่ก็ทำให้เกิดภาวะเครียดอย่างมาก
แก่ผู้ป่วยได้ และมีผลให้โรคหลายอย่างกำเริบขึ้น จึงควรควบคุมโรคต่างๆให้ดีก่อนการผ่าตัด โดยเฉพาะ
เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคปอด นอกจากนี้ผู้ปว่ ยที่มีอาการไอรุนแรง ควรเล่ือนการผ่าตัด
ทเ่ี ปน็ intraocular surgery ไปก่อนจนกว่าจะไม่ค่อยมีอาการไอแล้ว

การเลอื กชนดิ ของ Anesthesia

เนื่องจากส่วนใหญ่แล้วการผ่าตัดทางตาจะทำในผู้ป่วย๒กลุ่มใหญ่ๆ คือ กลุ่มที่อายุน้อยกว่า
๑๐ปี ซึ่งมักเป็นตาเขตาเหล่ หนังตาตก ต้อกระจกหรือต้อหินในเด็ก และอุบัติเหตุ และอีกกลุ่มคือ
กลุ่มที่มีอายุเกิน ๖๕ ปี ซึ่งมักเป็น ต้อกระจก ต้อหิน หรือโรคทางจอประสาทตา และมักจะมีโรคทาง
กายอย่างอื่นร่วมด้วย ซึ่งทั้ง๒กลุ่มต่างก็เป็น กลุ่มเสี่ยง ด้วยกัน แต่ในกลุ่มแรกจำเป็นที่ต้องเป็น
general anesthesia ส่วนกลมุ่ หลังกแ็ ลว้ แต่ความเหมาะสม โดยมีข้อควรพิจารณาในการทำ general
anesthesia ในรายที่

1. การผา่ ตัดที่ยุ่งยาก หรอื ตอ้ งใชเ้ วลานาน
2. ผ้ปู ่วยที่กลวั การผา่ ตดั หรอื ไม่ใหค้ วามรว่ มมือเท่าทคี่ วร
3. ผ้ปู ว่ ยที่มีระดับสติปัญญาต่ำ

15

4. ผู้ป่วยที่มีแผลทะลุที่ตา ยกเว้นแผลมีขนาดเล็กมากและไม่มีการรั่วไหลของของเหลว
ในลูกตา หลังจากที่ประเมินผู้ป่วยว่าผ่าตัดได้แล้วจะเข้าสู่ขั้นตอนการขอความยินยอมจากผู้ป่วย
โดยต้องอธิบาย ทำความเข้าใจ และตอบปัญหาเรื่องการผ่าตัดจนผู้ป่วยเข้าใจดี แล้วจึงให้ผู้ป่วยเซ็น
กำกบั ในใบขอความยินยอม

การเตรยี มผ้ปู ว่ ยเพ่ือเข้าห้องผา่ ตัด

ในปจั จุบนั เรมิ่ มีการผ่าตดั ตาแบบไปกลบั มากข้นึ การเตรียมผู้ป่วยอาจทำในวนั ผา่ ตัดเลย หรอื
เริ่มก่อนวันผ่าตัด 1 วันก็ได้ โดยทั่วไปแล้วผู้ป่วยที่จะทำ intraocular surgery มักจะไม่ตัดขนตาใน
ข้างที่จะผ่าตัดเนื่องจากงานวิจัยไม่ได้ช่วยลดการติดเชื้อ แต่จะใช้วิธี ปิด opsite ปัดขนตาขึ้นไป
ด้านบน ไม่รบกวน ก่อนผา่ ตัดจะมกี ารเตรียมตาให้พรอ้ มก่อนผา่ ตัด ได้แก่

1. การเตรียมม่านตา ให้เหมาะสมกับการผ่าตัด มีหลักง่ายๆ คือ เมื่อเป็น intraocular
surgery ที่ทำในบริเวณหน้าต่อ lens ได้แก่ การผ่าตัดต้อหิน จะหดม่านตาให้มีขนาดเล็กๆ โดยใช้
pilocarpine ถ้าผ่าตัดตั้งแต่ lens ไปข้างหลังได้แก่ การผ่าตัดต้อกระจก การผ่าตัดวุ้นลูกตา และจอ
ประสาทตา จะขยายม่านตาให้มีขนาดโต โดยใช้ topicamide ส่วนการผ่าตัด extraocular surgery
ไม่จำเปน็ ตอ้ งใหย้ าในกลมุ่ นี้ ยกเวน้ จะตรวจจอประสาทตาเพ่ิมเตมิ จึงจะขยายม่านตา

2. การป้องกันการติดเชื้อที่ตา โดยการหยอดยาที่เป็น broad spectrum antibiotic
หลายๆครง้ั กอ่ นเข้าห้องผา่ ตดั หรืออาจจะใช้ providone iodine กไ็ ด้

3. ถา้ เป็นการผา่ ตดั โดย local anesthesia อาจให้หยอด topical anesthesia กอ่ นผา่ ตัด

การให้ local anesthesia

ในการผา่ ตดั intraocular surgery เพอื่ ใหก้ ารผา่ ตัดเป็นไปโดยง่าย 1. ระงับการกลอกตาโดย
การ block CN Ш, ІV, VI 2. ระงับการหลับตาแน่น โดยการ block CNVII และ3.ระงับความ
เจ็บปวด โดยการblock CNV ดังนั้นในการให้local anesthesia จึงต้องนึกถึงวัตถุประสงค์หลักทั้ง 3
ข้อนี้ ในปัจจุบัน มีวิธที ี่นยิ มกันอยู่ ดังตอ่ ไปน้ี

1. retrobulbar anesthesia เป็นการฉีดยาชาไปด้านหลังลูกตา เพื่อ block CN Ш,
ІV, VI และ CNV จึงยังมีผลให้ผู้ป่วยสามารถหลับตาแนน่ ได้ จำเป็นต้องมีการฉดี ยาเพื่อ block CNVII
ร่วมด้วย วิธีนี้มีข้อดีคือสามารถใช้ยาชาในปริมาณน้อย และให้ผลที่ดี แต่มีภาวะแทรกซ้อนได้รุนแรง
ไ ด ้ แ ก่ globe perforation, optic nerve injury, retrobulbar hemorrhage แ ล ะ intracranial
block จึงลดความนิยมลง

2. peribulbar anesthesia เป็นการฉีดยาชาไปอาบรอบลูกตา บริเวณที่เป็นequator
มีผลต่อ CN Ш, ІV, VI, CNV และ CNVII จึงสอดคล้องกับวตั ถุประสงค์ที่ต้องการทั้งหมด นอกจากนี้
ยังค่อนข้างปลอดภยั มีโอกาสทำให้เกิดอนั ตรายตอ่ ลกู ตาน้อย แต่จำเป็นตอ้ งใช้ยาชาในปรมิ าณท่มี าก
จึงอาจมีผลต่อความดันในกระบอกตา ส่งผลให้ดันลูกตาได้ง่ายขึ้น ปัจจุบันได้ใช้วิธีนี้อย่างแพร่หลาย
เพราะเมื่อใช้ยาชาที่มีส่วนผสมของ Hyaluronidase จะทำให้ยาชาแพร่ไปในเนื้อเยื่อต่างๆ ได้ดีขึ้น
จึงไมต่ ้องฉีดยาในปรมิ าณท่ีมากนัก

16

การดแู ลผปู้ ว่ ยหลงั ผา่ ตัดตา

เช่นเดียวกับการดูแลผู้ป่วยหลังผ่าตัดทั่วไป แต่จะให้ความสำคัญเรื่อง การไอ การจาม และ
ปัญหาท้องผูก โดยเฉพาะการผ่าตัด ต้อกระจก ที่เป็น intraocular surgery และส่วนใหญ่จะไม่
เย็บแผลหรือเย็บเพียงเข็มเดียว การไอจาม อาจมีผลให้แผลแยกได้ ใช้เวลาประมาณ 1 เดือน
แผลจึงจะติด การระมดั ระวังการตดิ เชอื้ ทแี่ ผลผ่าตดั ผปู้ ว่ ย ตอ้ งระวงั ไม่ให้นำ้ เข้าตา โดยไม่ให้ล้างหน้า
หรอื สระผมเอง ในชว่ งเวลาดงั กลา่ ว รวมทงั้ หา้ มยกของหนกั ดว้ ย

การปดิ แผล และทำความสะอาดแผล

การผ่าตดั ต้อกระจกในปัจจุบนั ผปู้ ่วยปิดตาด้วย eye pad และครอบตาด้วยฝาครอบตา eye
shield แพทยจ์ ะเปดิ แผลในวันรุ่งข้ึน เมอื่ เปดิ แผลก็ตอ้ งตรวจดคู วามเรียบรอ้ ยของการผา่ ตดั สภาพลกู
ตา และดูว่ามีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้นหรือไม่ การเช็ดทำความสะอาดตา โดยเช็ดจากหัวตาไปหางตา
จากด้านในออกด้านนอก วันละครั้ง และ ครอบตาเวลานอน ป้องกันการใช้มือขยี้ตาเวลานอน
ระหว่างวันอาจใชแ้ ว่น แทนฝาครอบตากนั ฝุ่นละอองเขา้ ตา

การให้ยาหลังผา่ ตัด

เช่นเดียวกับการผ่าตัดโดยทั่วไป หลังผ่าตัดอาจพิจารณาให้ analgesics, sedative drug

หรือยาอื่นๆตามความจำเป็น การให้ antibiotic หลังผ่าตัดนั้นแล้วแต่ความนิยม แต่ส่วนใหญ่จักษุ

แพทย์มักจะให้ topical antibiotic เพราะกลวั เรอื่ ง postoperative endophthalmitis ซง่ึ

รักษายาก และอาจไม่ได้ผลดี ที่ต่างจากการผ่าตัดทั่วไป เล็กน้อย คือ หลังผ่าตัดตา จักษุแพทย์จะให้

หยอด topical steroid เพื่อลด inflammation ภายในลูกตา และจะให้ต่อกันไป 2-6 สัปดาห์

แล้วแต่ความรนุ แรง โดยปกตหิ ลงั ผ่าตดั เสรจ็ ถา้ จำเปน็ แพทย์สามารถฉีดยา antibiotic หรอื steroid

ที่ subconjunctiva

ภาวะแทรกซ้อนภายหลังการผ่าตดั ระยะแรกที่อาจพบได้

1. การตดิ เช้อื ภายในลกู ตาเป็นภาวะแทรกซอ้ นทร่ี ้ายแรง เกดิ ไดร้ อ้ ยละ 0.01 เกิดภายใน 6
สัปดาห์แรกหลังการผ่าตัด ส่วนใหญ่จะมีอาการในสัปดาห์แรก ผู้ป่วยมีอาการปวดตา ตามัว อาจจะ
ตรวจพบหนังตาบวมแดงซ่ึงจะเป็นอนั ตรายอาจทาํ ใหต้ าบอดได้ ฉะนัน้ การใหก้ ารพยาบาล ใน
ห้องผา่ ตดั ทกุ ขัน้ ตอนจงึ มีความสําคญั มาก

2. การมีความดันตาสูงขึ้นในวันแรกของการผ่าตัด ส่วนมากเกิดจากการเอาสารหนืด
(Remove viscoelastic agent) ออกจากช่องด้านหน้าของลูกตาไม่หมด ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตา
รับประทานยาแก้ปวดไม่ดีขึ้น การให้ยาลดความดันในลูกตาในช่วงแรกจะช่วยให้ผู้ป่วยมีอาการดีข้ึน
ความดนั ในลูกตาทีส่ งู ขน้ึ น้ีมักขึน้ ชัว่ คราวในระยะ 2-3 วันแรกหลงั ผา่ ตดั

3. เลือดออกในชอ่ งหน้าลูกตา (Hyphemia) พบไดใ้ น 2-7 วันหลงั ผ่าตดั เกิดจากอบุ ัติเหตุ หก
ลม้ หรอื เดนิ ชน หรอื จากกระทบเทือนรอบดวงตาเล็กนอ้ ย (Minor Ocular trauma) พบไม่บ่อย เกดิ
จากมเี ลือดออกจากเส้นเลอื ดขนาดเล็ก (Small blood vessel) เข้ามาในช่องด้านหน้าของลูกตา

17

3. แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกบั ความวิตกกังวล

ความหมายของความวติ กกังวล

1. ความวิตกกังวล
สปีลเบอร์เกอร์36 ได้กลา่ ววา่ ความวติ กกังวลหมายถงึ สภาวะทางอารมณ์ของความ ไม่
สุขสบาย เป็นทุกข์หรือตึงเครียดเกิดจากการประเมินสิ่งเร้าที่เข้ามากระทบว่าคุกคาม หรืออาจทำให้
เกดิ อันตรายต่อตนเอง โดยส่งิ ทีค่ ุกคามอาจมีจรงิ หรอื อาจเป็นการคาดการณล์ ่วงหนา้
บังอร เครียดชัยภูมิ 37 ได้กล่าวว่า ความวิตกกังวล เป็นภาวะทางอารมณ์ที่มนุษย์ทุกคน
คุ้นเคยและประสบอยู่เสมอในการดำรงชีวิตประจำวัน ความวิตกกังวลจัดว่าเป็นอารมณ์ขั้นพื้นฐาน
ของมนุษย์ เริ่มเกิดขึ้นได้ตั้งแต่แรกคลอดและเกิดต่อเนื่องไปจนตลอดชีวิตเป็นอารมณ์ที่บุคคล
ตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นหรือสิ่งคุกคามแล้วแปลผลตามทัศนะของตนเอง ซึ่งความวิตกกังวลนี้มีผลต่อ
บคุ คลท้งั ทางรา่ งกาย ความคดิ และจิตใจ
สุนีย์ สุธีวีระขจร38 ได้กล่าวว่า ความวิตกกังวล หมายถึง สภาวะเครียดทางอารมณ์ที่บุคคล
รู้สึกถูกคุกคามความปลอดภัย ซึ่งสิ่งคุกคามนั้นอาจจะเป็นจริงหรือจากการคาดการณ์ล่วงหน้า และ
คาดว่าจะเป็นอันตราย
ความวติ กกังวลขณะผา่ ตัด
จากผลการศึกษาของ(field,Acolet,cho อ้างถึงใน Jung-Soon Moon39 ศึกษาความวิตก
กังวลขณะผ่าตัดหลังรับการสัมผัสมือพบว่า กลุ่มได้รับการสัมผัสมือ มีความวิตกกังวลลดลงและการ
นวดสัมผัสยังทำให้ ฮอร์โมน epinephrine, norepinephrineและ cortisol ซึ่งจะเพิ่มขึ้นขณะเกิด
ความเครยี ด ลดลง
จากความหมายทั้งหมดที่กล่าวมา จึงสรุปว่า ความวิตกกังวลของผู้ป่วยผ่าตัด คือภาวะทาง
อารมณ์ในลักษณะของความรู้สึกตึงเครียด หวาดหวั่น หวาดกลัว ไม่สบายใจ กระวนกระวายใจต่อ
สถานการณ์ที่กําลังเผชิญอยู่ขณะนั้น หรือสถานการณ์บางอย่างที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต และ
อาจจะเป็นอันตราย ซึ่งอาจเป็นจริงหรือเป็นเพียงการคาดคะเน ซึ่งบุคคลจะมีการแสดงออกทั้งทาง
ร่างกายและทางด้านอารมณ์ และความวติ กกงั วลยังผลต่อการเปล่ียนแปลงฮอรโ์ มนในร่างกาย

ชนดิ ของความวิตกกังวล
สปลิ เบอรเ์ กอร์ ได้แบ่ง ความวติ กกงั วลออกเป็น 2 ชนดิ คอื
1. ความวิตกกังวลแฝง (Trait anxiety หรือ A - Trait) คือ ความวิตกกังวลที่เป็นลักษณะ

ประจําตัวของแต่ละบุคคล ซึ่งประกอบอยู่เป็นพื้นฐานอารมณ์ ที่เป็นลักษณะประจําตัวของแต่ละ
บุคคล ความวิตกกังวลในลกั ษณะนี้ไม่ปรากฏออกมาเป็นพฤติกรรมใดพฤติกรรมหนึ่งโดยตรง แต่เป็น
ลักษณะแฝง และจะเป็นตัวเสริมหรือเป็นตัวเพิ่มระดับความรุนแรงของภาวะวิตกกังวลในแต่ละคร้ัง
ที่เกิดขึ้น ความวิตกกังวลแฝงเปรียบได้กับลักษณะนิสัยอื่นๆ ที่ถูกเพาะขึ้นมาจากการฝึกหัด อบรม
เลีย้ งดขู องครอบครัวเป็นสำคัญ

2. ความวิตกกังวลในขณะเผชิญ (State anxiety หรือ A - State) คือ ความวิตกกังวล ซึ่ง
เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่มีเหตุการณ์มากระตุ้นบุคคลให้เกิดความไม่พึงพอใจ หรืออยู่ในอันตราย
พฤติกรรมการสนองตอบต่อเหตุการณ์ท่ีเรียกว่าอยู่ในภาวะวติ กกังวล คือ ความไม่สุขสบาย หวั่นวิตก
กระวนกระวาย ระบบประสาทอัตโนมัติถูกกระตุ้นให้ทำงานผิดไปจากเดิม ความรุนแรง และความ

18

ยาวนานของภาวะวิตกกังวลที่เกิดขึ้นแต่ละครั้งจะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับ
พืน้ ฐานอารมณ์หรืออปุ นสิ ัยวติ กกังวลที่ประกอบอย่ใู นบุคลิกภาพ

จากการแบ่งชนิดของความวิตกกังวลดังกล่าว จะเห็นได้ว่าการแบ่งตามลักษณะที่แสดงออก
ของสปิลเบอร์เกอร์ (Spielberger) นั้นมีผู้นิยมนําไปใช้อย่างกว้างขวางในการทำวิจัย เนื่องจาก
สามารถจะประเมินความรู้สึกของบุคคลที่เกิดขึ้นในขณะนัน้ (A - State) และที่เกิดขึ้นในสถานการณ์
ทั่วไป (A - Trait) ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ความวิตกกังวลแบบแฝงและความวิตกกังวลขณะเผชิญ
มีความสัมพันธ์กันในลักษณะที่บุคคลที่มีความวิตกกังวลขณะเผชิญสูง เมื่อได้รับสิ่งเร้าที่ทำให้เกิด
ความไม่พึงพอใจหรือจะทำใหเ้ กดิ อนั ตราย ระดับความวิตกกังวลแบบแฝงทมี่ ีอยู่จะเป็นตัวเสริมหรือไป
ประกอบความวิตกกังวลขณะเผชิญให้มีความรนุ แรงและมรี ะยะเวลาการเกิดนานมากกว่าในบุคคลที่มี
ความวิตกกงั วลแบบแฝงระดับต่ำ และในบุคคลที่เกดิ ความวิตกกงั วลขณะเผชิญบ่อยๆอาจจะสง่ ผลให้
บุคคลน้นั มคี วามวิตกกงั วลแบบแฝงในระดับท่ีสงู ขึน้ 33

ระดับของความวติ กกังวล

สามาถแบ่งระดับความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นกับบุคคลทั้งในด้านความรู้สึกและพฤติกรรมที่
แสดงออกได้เปน็ 4 ระดับ 40 คอื

1. ความวิตกกังวลเล็กน้อย (Mild anxiety) เป็นความวิตกกังวลในระดับปกติที่เกิดขึ้นได้
ในชีวิตประจำวัน ความวิตกกังวลระดับนี้จะทำให้บุคคลตื่นตัวพยายามที่จะค้นหาแหล่งประโยชน์
เพื่อใช้ในการแก้ปัญหาให้ดีมีประสิทธิภาพ ก่อให้เกิดการเปล่ียนแปลงทางรา่ งกาย คือ รู้สึกไม่ค่อยสุข
สบายกระสบั กระส่าย การหายใจเรว็ ขนึ้ ปากแหง้ เกดิ ความรสู้ กึ ปั่นป่วนในกระเพาะอาหาร และอตั รา
การเตน้ ของหวั ใจผิดปกติ

2. ความวิตกกงั วลปานกลาง (Moderate anxiety) มีความวิตกกงั วลเพิม่ ขนึ้ จะทำให้ การ
รับรู้น้อยลง และความสามารถในการสังเกตรายละเอียด สามารถจะเห็นและเข้าใจข้อมูลต่างๆ ได้
ลดลง การเรียนรู้และการแก้ปัญหายังไม่สามารถทำได้แต่ไม่เต็มประสิทธิภาพสูงสุด อาการทางด้าน
ร่างกายที่ปรากฏออกมาในระดับคือ มีความตึงเครียด มีชีพจรและอัตราการหายใจเพิม่ ขึ้น เหงื่อออก
ปวดศรี ษะ ปวดปสั สาวะ

3. ความวิตกกังวลสูง (Severe anxiety) ความวิตกกังวลระดับนี้จะทำให้บุคคลมีการรับรู้
ต่างๆ ลดลง ไม่สามารถที่จะจดจํารายละเอียดได้ ไม่สามารถเรียนรู้และแก้ไขปัญหาได้ มีอาการมึนงง
และสับสน จะมีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ เวียนศีรษะ นอนไม่หลับอย่างรุนแรงมีอาการใจสั่น ในบาง
คนอาจมอี าการหายใจเร็ว บคุ คลจะแสดงพฤตกิ รรมเป็นไปโดยอัตโนมัตเิ พอ่ื บรรเทาความวติ กกงั วล

4. ความวิตกกังวลสูงมาก (Panic anxiety) บุคคลจะรับรู้ต่อสถานการณ์สิ่งแวดล้อมต่างๆ
บิดเบือน จากความเป็นจรงิ ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ มีอาการสับสน เอะอะโวยวาย กรีดร้องหรอื
แยกตัว มกี ารเห็นภาพหลอน มกี ารติดตอ่ สอ่ื สารกบั ผอู้ ่ืนน้อยลง

ดังนั้นความวิตกกังวลที่มีผลกระทบต่อผู้ป่วยขณะผ่าตัดมากน้อยขึ้นกับระดับของความวิตก
กังวล หากบุคลากรหรือผู้ดูแลผู้ป่วยสามารถช่วยหรือเสริมพลังให้กับผู้ป่วยลดระดับความวิตกกังวล
ขณะผา่ ตัดได้ ทำให้ผู้ปว่ ยผา่ นกระบวนการผา่ ตัดได้ดว้ ยดี

19

ผลกระทบจากความวิตกกังวล

ความวติ กกังวลมผี ลต่อบคุ คลทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ และความคิดซึ่งพอสรุปผลของความ
วิตกกงั วลได้ดงั นี้

1. ผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางด้านชีวเคมีและสรรี ะวิทยา ในขณะที่มีความวิตกกังวลร่างกาย
จะมีการเปลี่ยนแปลงด้านชีวเคมี ซึ่งผลของการเปลี่ยนแปลงน้ีมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางดา้ นสรีระ
วิทยา ความวิตกกงั วลเป็นตัวกระตุ้นให้แคธโี คลามนี (Catecholamines) ถกู ขับออกมาสู่กระแสเลือด
มากขึ้น แคธีโคลามีน ที่สำคัญมี 2 ชนิด คือ อีฟิเนฟริน (Epinephrine) และ นอร์อีฟิเนฟริน
(Norepinephrine)

ก. อฟี เนริน (Epinephrine) ทำให้หัวใจเตน้ แรงและเร็วข้ึน ใจสน่ั ขนลกุ เหง่ือออก เพิ่มอัตรา
การเผาผลาญของร่างกาย เร่งการย่อยของน้ำตาล ไกลโคเจนในตับ (Glycogenolysis) ทำให้น้ำตาล
ในเลอื ดสงู ขึน้ นอกจากน้ียังกระตนุ้ ต่อระบบประสาทสว่ นกลางทำใหก้ ระวนกระวาย มา่ นตาขยายและ
หลอดลมขยายตวั

ข. นอร์อีฟิเนฟริน (Norepinephrine) ทำให้มีการหดรัดตัวของหลอดเลือด ความดันโลหิต
สูงขนึ้ หัวใจเต้นชา้ ลง แตผ่ ลท่ีเกยี่ วกบั อตั ราการเผาผลาญของรา่ งกายตอ่ ระบบประสาทส่วนกลางและ
การขยายหลอดลมมนี อ้ ยกวา่ อีฟิเนฟริน

การเปลี่ยนแปลงทางด้านชีวเคมีท่ีสำคัญอีกประการหนึ่ง เมื่อมีความวติ กกังวลคือ มีสารคอร์
ติโคเสตีรอยด์ (Corticosteroids) ถูกขับออกมาสู่กระแสเลือดมากขึ้น คอร์ติโคเสตรียรอยด์ มีผลต่อ
รา่ งกายต่อไปนี้

1.1 ผลตอ่ การควบคุมความสมดลุ ของอีเลคโทรลัยคท์ ำให้เกิดการคัง่ ของโซเดยี ม
1.2 ผลตอ่ การเผาผลาญอาหารจาํ พวก โปรตีน ไขมัน และนำ้
1.3 ผลตอ่ ไต ทำใหม้ ีน้ำตาลในปสั สาวะ มีการขบั ยูริค แอซิด (Uric acid) ทาง
ปสั สาวะเพมิ่ ขึน้
1.4 ผลตอ่ เอนไซม์ โดยเฉพาะในกระเพาะอาหาร ทำให้นำ้ ย่อยเพิ่มขน้ึ มีกรดมากข้ึน
เปน็ แผลในกระเพาะอาหาร
1.5 ผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง เชน่ ทำให้นอนไม่หลับ กระวนกระวาย มีอาการทาง
จิตประสาทได้
1.6 ผลตอ่ ระบบการทำงานของหัวใจ ทำให้ปริมาณเลอื ดท่ีขบั ออกจากหวั ใจเพม่ิ ขน้ึ
1.7 ผลต่อระบบภูมิต้านทานของร่างกาย ระดับคอร์ติซอลที่สูงทำให้ร่างกายขาด
ความตา้ นทานโรค
1.8 ผลต่อการเพิม่ หรือลดลงของการหลัง่ ฮอร์โมน เกี่ยวกับการเจริญเติบโต แต่ส่วน
ใหญ่จะลดมากกวา่
2. ผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางด้านอารมณ์ ความวิตกกังวลทำให้บุคคลเกิดความรู้สึก
หวาดหวั่น ความตึงเครียด และความกลัว ซึ่งบุคคลอาจแสดงออกมาในลักษณะต่างๆ เช่น ตกใจง่าย
หงดุ หงิด โกรธ กระสบั กระสา่ ย โศกเศร้าเสยี ใจ รอ้ งไหง้ ่าย เหน่อื ยหน่าย เปน็ ต้น
3. ผลต่อการเปลี่ยนแปลงด้านความคิด ความจําและการรับรู้ ได้แก่ ลืมง่าย ประสิทธิภาพใน
การจำลดลง ระบบความคิดถูกรบกวน เช่น สับสน หมกมุ่น ย้ำคิดย้ำทำ การตัดสินใจได้ช้า ความคิด
แคบ และไม่ยืดหยุ่นในการแก้ปัญหา ความสนใจลดลง ขาดสมาธิ การรับรู้ผิดพลาด บุคคลที่มีความ
วิตกกังวล มีแนวโนม้ ทจ่ี ะคิดไปในทางลดคณุ ค่าของตนเอง

20

4. ผลต่อพฤติกรรมการแสดงออก ไดก้ ล่าวถงึ ผลของความวิตกกังวลวา่ เมื่อเกิดความ
วิตกกังวลขึ้น พฤติกรรมการแสดงออกโดยมากจะเป็นพฤติกรรมอัตโนมัติ พฤติกรรมเหล่านี้จําแนก
เป็น 4 กลมุ่ ใหญ่ คอื

4.1 พฤติกรรมการที่แสดงความรู้สึกภายในออกมา ทั้งอย่างเปิดเผย และอย่าง
ซอ่ นเรน้ เชน่ ความหงุดหงิด โมโหงา่ ย กระสับกระสา่ ยไมอ่ ย่นู ง่ิ ความรู้สกึ ขนุ่ เคอื งไม่เป็นมิตร เป็นต้น
และอาจแสดงออกในรปู อนื่ เชน่ พฤติกรรมของโรคจิต โรคประสาททัง้ หลาย

4.2 พฤตกิ รรมที่เบนความสนใจจากภาวะวิตกกังวล ไปสู่อาการเจ็บป่วยทางร่างกาย
ได้แก่ ผู้ป่วยที่มีอาการทางร่างกาย ซึ่งมีสาเหตุมาจากจิตใจ (Psychosomatic) ทั้งหลายซึ่งทำให้
ความสามารถในการกระทำสิ่งต่างๆ น้อยลง และเกิดพฤติกรรมหลีกหนีแบบต่างๆ ตามมา เพื่อนํา
ตนเองออกจากสภาพการณ์ทไ่ี ม่พงึ พอใจน้ี

4.3 การชะงักงันอยู่ในภาวะที่ก่อให้เกิดความวิตกกังวลพฤติกรรมการแสดงออก ได้แก่
การถอนตัวหนีจากเหตุการณ์ การเก็บความรู้สึกไว้ภายใน และกลายเป็นอาการซึมเศร้า มีพฤติกรรม
ถดถอยไปสูพ่ ัฒนาการในวยั ต้นๆ

4.4 พฤติกรรมที่พยายามทำความเข้าใจ ถึงสาเหตุของความวิตกกังวลและวิธีการ
ทต่ี นเองใช้ เพื่อขจัดภาวะวติ กกังวลซ่ึงทำใหต้ นอดึ อดั ไม่สบายใจน้ันเสีย

การประเมนิ ความวิตกกงั วล

เคร่อื งมอื ที่ใช้ในการประเมนิ ความวติ กกังวล มดี งั น้ี
1. การประเมนิ ความวิตกกังวล โดยการใหบ้ คุ คลรายงานความรูส้ ึกวิตกกงั วลของตนเอง ซง่ึ
อาจจะเป็นการรายงานด้วยวาจา รายงานด้วยการเขียนหรือตอบคําถามจากแบบสอบถาม หรือแบบ
วัดความวิตกกังวล ซึ่งมีผู้สร้างขึ้นใช้หลายชนิด เช่นแบบวัดความวิตกกังวล แบบ STAI (The State-
Trait Anxiety Inventory) ของสปิลเบอร์เกอร์4 แบบวัดความวิตกกังวลแบบ TMAS (The Taylor
Manifest-Anxiety Scale) ของ เทเลอร์ เป็นต้น การประเมนิ ความวิตกกงั วลด้วยวิธนี ี้ ใชไ้ ด้สะดวก
และได้ผลดีถา้ แบบวัดทส่ี ร้างขน้ึ มีความเท่ียง และความตรงสูง
2. การประเมินจากสภาพทางสรีระวิทยา โดยการประเมินการเปลี่ยนแปลงที่แสดงออก
ทางด้านร่างกาย เช่น การวัดอัตราการเต้นของหัวใจอัตราการหายใจ ระดับความดันโลหิต การหลั่ง
ของน้ำลาย การหลัง่ ฮอร์โมนจากต่อมหมวกไต การตงึ ของกลา้ มเนื้อ ความเกร็งของผิวหนัง การตรวจ
คล่ืนสมอง เป็นต้น ซ่ึงจะตอ้ งอาศยั ผู้ชํานาญการทางการตรวจ และการแปลผลที่ไดจ้ ากการตรวจทาง
สรีระวทิ ยา
3. การสังเกตพฤติกรรมที่แสดงออกของบุคคล โดยการสังเกตพฤติกรรมโดยตรงและโดย
ทางอ้อม การสังเกตโดยตรง เช่น การสังเกตอาการหายใจแรง มือสั่น เหงื่อออก กัดริมฝีปาก ถอน
หายใจ ลกั ษณะการพูดเปลี่ยนไป เชน่ พูดรัวเร็วขึน้ หรือพูดช้าลง เป็นตน้ ซึ่งการสงั เกตพฤติกรรมเพ่ือ
ประเมินความวิตกกังวลนี้มีแบบการสังเกตไว้เป็นแนวทางในการสังเกต เช่น IBCL (Timed
Behavioral Check List) หรือแบบวัดอัตราการพูด เป็นต้น ส่วนการสังเกตพฤติกรรมทางอ้อม เมื่อ
ประเมินภาวะความวิตกกังวลสามารถสังเกตได้จากสภาพการณ์ธรรมชาติ เช่น การสังเกตพฤติกรรม
ของบคุ คลทเี่ ขา้ ไปในเขตหวงห้าม หรือสงั เกตพฤติกรรมของบุคคลที่ทำผดิ กฎหมาย ซ่งึ วธิ นี ้ีมกั มีปญั หา
ในเรื่องจรรยาบรรณ และการสังเกตก็ต้องมีการวางแผนล่วงหน้าเป็นอย่างดี หรืออีกวิธีหนึ่งที่จะ
สามารถสังเกตพฤติกรรมได้ทางอ้อม โดยการใหบ้ คุ คลแสดงบทบาทสมมติแล้วสงั เกตพฤติกรรมความ

21

วิตกกังวล หรอื ให้บุคคลอยใู่ นสถานการณ์ ที่กอ่ ให้เกิดความวิตก กังวลแลว้ สงั เกตพฤติกรรมความวิตก
กังวลจาก BAT (Behavioral Avoidance Tests) เป็นตน้

การศกึ ษาครัง้ น้ี ผูว้ ิจัยประเมินความวิตกกงั วลโดยใช้แบบประเมินความวิตกกังวล (Visual Analogue
Scale) โดยอาศยั แนวคิดของ (De Jong et al, 2005) มาตรวดั แบบอะนาลอ็ กแบบภาพ A VAS ถูก
ใช้เพื่อวัดระดับความวิตกกังวลทางจิตใจของอาสาสมัครหลัง การผ่าตัด VAS) ประกอบด้วยเส้นแนว
นอน 10 มม.=100 คะแนน โดยมีตัวบอกว่า ไม่มีความวิตกกังวล ''ที่ปลายด้านซ้าย และ ''ความวิตก
กังวลที่เลวร้ายที่สุด ''ที่ปลายด้านขวา ผู้รับการทดลองถูกขอให้ระบุว่าตอนนั้นพวกเขารู้สึกกังวล
เพียงใดโดยการทำเคร่อื งหมายหรือช้ไี ปท่ตี ำแหนง่ บนเสน้ ความรุนแรงของความรูส้ ึกไดค้ ะแนน

ไม่มคี วามวิตกกังวล ความวิตกกังวลมากที่สดุ

ความวิตกกังวลของผู้ป่วยทีไ่ ดร้ บั การผา่ ตดั

การผ่าตัดไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดใหญ่ การผ่าตัดเล็ก การผ่าตัดฉุกเฉิน หรือการผ่าตัดที่ทราบ

ล่วงหน้ามาก่อนก็ตาม มักจะก่อให้เกิดความวิตกกังวลแก่ผู้ป่วยได้โดยเฉพาะภาวะเครยี ดในการผา่ ตดั
เป็นช่วงระยะเวลาของความวิตกกังวล ดังเช่นจากการศึกษาของ โวลเชอร์41 พบว่าผู้ป่วยทาง
ศัลยกรรมมีคะแนนความเครียดมากกว่าผู้ป่วยอายุรกรรม ซึ่งสอดคล้องกับ Nyamathi 42 ที่กล่าวว่า

ความวิตกกังวลจะเพิ่มมากขึ้นในผู้ป่วยที่ต้องทำผ่าตัดมากกว่าผู้ป่วยทางอายุรกรรม ซึ่งมีความวิตก

กังวลที่เพิ่มขึ้นนั้นอาจจะเกิดจากความไม่คุ้นเคยกับสถานที่หรือสิ่งแวดล้อมของโรงพยาบาล การถูก
แยกจากบุคคลต่างๆ ที่มีความสำคัญต่อผู้ป่วย การขาดความเข้าใจเกี่ยวกับการตรวจวินิจฉัย และ

วิธีการต่างๆ ของการรักษา ค่าใช้จ่ายต่างๆ ขณะรักษาตัวในโรงพยาบาล ความยุ่งยากใจหรือการ
สูญเสียศักดิ์ศรีจากการถูกเปิดเผยร่างกาย43 นอกจากนี้ความวิตกกังวลที่เพิ่มขึ้นอาจจะเกิดจากความ
คาดหวังของผู้ป่วยต่อการผ่าตัด และปัญหาที่เกิดขึ้นหลังผ่าตัด เช่น ความเจ็บปวด ความไม่สุขสบาย

การเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ การพึ่งพาผู้อื่นมากขึ้น การสูญเสียการควบคุมตนเอง การเปลี่ยนแปลง
ในบทบาทหรอื แบบแผนชีวติ 44 และผ้ปู ว่ ยอาจจะมีความวิตกกังวลเก่ียวกบั ความไม่แน่นอนและความ
ตายที่อาจเกิดจากการผ่าตัดได้ ซึ่งจากการศึกษาของแรมเซย์ 45 เกี่ยวกับความรู้สึกของผู้ป่วยก่อนรบั

การผา่ ตัด 24 ช่ัวโมง จำนวน 382 ราย เปน็ ผู้ชาย 183 ราย ผหู้ ญิง 199 ราย พบวา่ ร้อยละ 73 กลัว
การผ่าตัด และร้อยละ 62 กลัวการดมยาสลบ นอกจากนี้เกรแฮมและคอนเลย์46 ได้ศึกษาเกี่ยวกับ
สาเหตุที่ทำใหผ้ ู้ป่วยเกิดความวิตกกังวล พบว่าสาเหตุอันดับแรกที่ทำให้ผู้ป่วยเกิดความวิตกกังวลและ

ความกลวั มากคอื กลวั ตาย กลัวการดมยาสลบ รองลงมาคอื กลัวการเปน็ มะเร็ง ซง่ึ ความกลวั

ที่เกดิ ขนึ้ นี้ โดยเฉพาะผูป้ ว่ ยท่ที ำผา่ ตัดครั้งแรกจะรสู้ กึ กลัวมาก เพราะไมท่ ราบว่าจะเกิดอะไร
ขน้ึ กบั ตน โดยบัวร์47 ไดก้ ลา่ วว่า ความกลวั ทเี่ กดิ จากความไม่รเู้ ป็นการแสดงออกทพ่ี บไดบ้ ่อยๆ

ในผปู้ ่วยผา่ ตดั

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการผ่าตัดเป็นการคุมคามต่อชีวิตของผู้ป่วย และเป็นภาวะวิกฤตท่ี
ก่อให้เกิดความเครียด ความวิตกกังวลแก่ผู้ป่วย เป็นอย่างมากโดยเฉพาะในขณะผ่าตัด พบว่ามีการ

22

เพิ่มขึ้นของระดับฮอร์โมนแอ็ดรีโนคอร์ติโคสเตอรอยด์ (Adrenocorticosteroid Hormone)48 และ
พบว่าระยะเวลาที่ผู้ป่วยผ่าตัดมีความสัมพันธ์ทางบวกกับการเพิ่มขึ้นของระดับฮอร์โมนนี้เช่นกัน ซึ่ง
แสดงให้เห็นว่าช่วงผู้ป่วยผ่าตัด ความวิตกกังวลจะเพิ่มขึ้น โดยสอดคล้องกับทัศนา บุญทอง49 ที่ได้
กล่าวว่าการผ่าตัดเป็นสาเหตุซึ่งก่อให้เกิดปฏิกิริยาความเครียดทั้งด้านร่างกายและจิตใจ เช่น มีการ
ตอบสนองของระบบประสาทและต่อมไร้ท่อ มีความวิตกกังวล ความกลัวเกิดขึ้น โดยเฉพาะ
ในขณะผู้ป่วยผ่าตัดนั้น ความเครียดและความวิตกกังวลจะมากขึ้นอีก ทั้งนี้เพราะผู้ป่วยจะต้องมาอยู่
ในสิ่งแวดล้อมใหม่ที่แปลกไปจากหอผู้ป่วยเดิมที่เคยอยู่ และพบกับความหนาวเย็นของห้องผ่าตัด
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมที่แปลกใหม่หรือเปลี่ยนไปจากที่คุ้นเคยทำให้ผู้ป่วยเกิดความกลัว
ความวิตกกังวล ความสามารถควบคุมสติให้มั่นคงและมั่นใจจะลดลง และการปรับสภาพจิตใจให้
สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมก็จะลดลงด้วย47 นอกจากนี้การที่ผู้ป่วยจะต้องถูกแยก
จากบุคคลใกล้ชิดต่างๆ เช่น ครอบครัว เพื่อน ทำให้ผู้ป่วยขาดการติดต่อ ขาดการรับรู้ ซึ่งเป็นสิ่งท่ี
ก่อให้เกิดความเครียดได้ และผู้ป่วยยังจะต้องมาพบกับเจ้าหน้าที่ แพทย์ พยาบาลที่สวมเสื้อผ้า
สวมหมวก ผูกผา้ ปิดปาก ปดิ จมูกมดิ ชดิ ย่งิ ทำใหผ้ ูป้ ่วยเพ่ิมความวิตกกังวลมากขึ้น ซ่ึงความวิตกกังวล
ที่เกิดขึ้นนี้จะมีผลต่อความรู้สึกนึกคิด และพฤติกรรมทางจิตของผู้ป่วยได้ ดังเช่น จากการศึกษาของ
ไนมาธิและคาชิวาบารา42 เกี่ยวกับความวิตกกังวลของผู้ป่วยผ่าตัดต่อความสามารถทางวิจารณญาณ
พบวา่ ระดบั ความวติ กกังวลทีส่ งู ขนึ้ ทำให้ความสามารถทางวิจารณญาณลดลง

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า การท่ีผู้ป่วยจะต้องพบกับสิ่งแวดล้อมต่างๆ ภายในห้องผ่าตัด
เป็นสิ่งแวดล้อมหนึ่งของโรงพยาบาล ซึ่งเป็นสิ่งกระตุ้นที่ก่อให้เกิดความเครียด ความกลัวและความ
วิตกกังวลได้อย่างมาก 49 และทำให้ผู้ป่วยแสดงความรู้สึกนึกคิด แสดงพฤติกรรมความวิตกกังวล
ออกมาในลักษณะต่างๆ กนั จนกลายเป็นปัญหาและ อุปสรรคตอ่ การผ่าตัดได้ โดยดแู กส50 ได้กล่าวว่า
ผู้ป่วยผู้ซึ่งมีความวิตกกังวลสูงมากมีโอกาสเสี่ยงกับการผ่าตัดที่ไม่ดี และผู้ป่วยไม่อาจสามารถเผชิญ
กับความเครียดที่เพิ่มขึ้นจากวิธีการผ่าตัดได้ ซึ่งความวิตกกังวลของผู้ป่วย จะมีผลกระทบต่อ การ
ตอบสนองทางสรีรวิทยาในระยะภายหลังผ่าตัดด้วย ดังเช่นจากการศึกษาของแซลมอนด์ 51 พบว่า
ระดับความวิตกกังวลที่สูงขึ้น มีผลเพิ่มการกระตุ้นการตอบสนองของต่อมไร้ท่อต่อการผ่าตัด และทำ
ให้การกลับฟื้นคืนสู่สภาพปกติที่ยาวนานออกไป นอกจากนี้แมคคลีนและคณะ52 พบว่า ระดับความ
วิตกกังวลมีอยู่ ทำให้ผู้ป่วยจะปล่อยสารแค็ททิโคลามีน (Catecholamine) ออกมาทำให้เกิด
ภาวะแทรกซ้อน โดยภาวะแทรกซ้อนทีเ่ กิดข้ึนจากการปล่อยสารแคท็ ทโิ คลามีนออกมานั้น จะกระตุ้น
ให้มีการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติโคเตอรอยด์ (Corticosteroid) เข้าสู่กระแสเลือดมากขึ้นมีผลทำให้เกิด
การเปลี่ยนแปลงต่างๆ เช่น การรบกวนต่อสมดุลของอีเล็คโตรลัยท์ในร่างกายทำให้เกิดการคั่งของ
โซเดียม เพิ่มการเผาผลาญในรา่ งกาย เพิ่มการทำลายไกลโคเจนในตับและกล้ามเน้ือ นอกจากนี้ความ
วติ กกังวล ยงั มผี ลตอ่ การหายของแผลภายหลังผ่าตดั ดว้ ย ท้ังนเี้ นื่องจากภาวะเครียดทเี่ กดิ ขึ้นไมว่ ่า จะ
เกิดจากสาเหตุใดก็ตามจะกระตุ้นให้ร่างกายมีการหลั่งฮอร์โมนกลูโคคอร์ติคอยออกมามากกว่าปกติ
จงึ ยบั ย้ังการสงั เคราะหค์ อลลาเจน และกระบวนการอกั เสบแผลจึงหายชา้

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าความวิตกกังวลของผู้ป่วยผ่าตัดเป็นปัญหาที่จําเป็นจะต้องหาทางแก้ไข
และให้การช่วยเหลือเพื่อให้ผู้ป่วยคลาย ความวิตกกังวลมากที่สุด คำแนะนำการปฏิบัติก่อนผ่าตัด
ขณะผ่าตัด และหลังผ่าตัด และมพี ยาบาล พดู คุย ผ้ปู ว่ ยใหผ้ ปู้ ่วยผ่อนคลาย ไมร่ ้สู กึ กังวล แตเ่ ม่ือเผชิญ
สถานการณ์จริง ผู้ป่วยหันหน้าไปมาไม่ร่วมมือการผ่าตัด สัญญาณชีพ เปลี่ยนแปลง ดังนั้น วิธีช่วย

23

ผู้ป่วย สามารถเผชิญกับการผ่าตัดได้โดยลดภาวะแทรกซ้อนทั้งขณะผ่าตัด และภายหลังผ่าตัด
รวมทงั้ ช่วยใหก้ ารผ่าตดั ของแพทยด์ ำเนนิ ไปดว้ ยดี วิธีหน่งึ คอื การสมั ผสั ผปู้ ่วยขณะผ่าตดั

4. การสมั ผัสผปู้ ่วยต่อการลดความวติ กกังวลขณะผา่ ตดั

การสัมผัสเป็นสากลและเป็นลักษณะพื้นฐานของสัมพันธภาพต่างๆ ระหว่างพยาบาลกับผู้ป่วย
โดยพยาบาลเป็นผู้สร้างสัมพันธภาพที่ก่อให้เกิดความไว้วางใจกับผู้ป่วยได้ และสามารถมีอิทธิพล
ต่อการเยียวยา ทั้งนี้เนื่องจากความไว้วางใจเป็นความคาดหวังในทางบวกของผู้ป่วยที่พยาบาลสามารถ
ช่วยเยียวยาและให้การช่วยเหลือทางด้านจิตใจแก่ผู้ป่วยได้ สำหรับสัมผัสน้ัน เป็นส่วนหนึ่งที่มี
ความสำคัญในการติดต่อสื่อสารเพื่อการรักษาเยียวยา53 โดยการสัมผัสที่เป็นความรู้สึกทางบวกสามารถ
ใช้ให้เกิดประโยชน์จะมีผลเช่นเดียวกับการช่วยเหลือทางการพยาบาล23 ซึ่งซันคืนและคณะ54 ได้กล่าว
ว่า การวางมือบนมือเป็นลักษณะพื้นฐานของการพยาบาลและพยาบาล สามารถใช้การสัมผัส เพื่อลด
ความวิตกกังวลของผู้ป่วยได้ ทั้งนี้เนื่องจากในภาวะปกติความต้องการทางอารมณ์ของมนุษย์ จะมีอยู่
เสมอเพื่อความรู้สกึ ปลอดภยั ความมั่นใจ และความผาสุก และความต้องการทางดา้ นอารมณ์ จะเพ่ิมขึ้น
เมื่อชีวิตถูกคุกคามโดยเฉพาะเมื่อบุคคลเผชิญกับความเจ็บป่วย การเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาล
เมื่ออยู่ในภาวะเครียด วิตกกังวล ภาวะพรากความรู้สึกหรือ การถูกแยกความเจ็บปวดทรมาน การ
เปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ เป็นต้น โดยจากการที่การสัมผัส เพื่อการดูแลนั้น ทำให้มีโอกาสเพิ่มการติดต่อ
การยอมรับ การดูแลเอาใจใส่ และความหวัง ซึ่งการสัมผัสโดยการวางมือบนมือ บนแขนของผู้ป่วยที่มี
ความวิตกกังวลสามารถให้การสนบั สนุนความต้องการต่างๆ ของบุคคลได้ 31 โดยการสมั ผัสเป็นการส่งต่อ
หรือถ่ายทอดอารมณ์ ความคิด ความเห็นอกเห็นใจ ความอบอุ่นใจและเป็นการให้กําลังใจแก่ผู้รับการ
สมั ผสั ซึง่ การให้กาํ ลังใจเป็นการส่งเสริมความสุขสบาย และชว่ ยใหบ้ คุ คลเกดิ ความมน่ั ใจเพิ่มขึ้น เสริม
ความเข็มแข็งของจิตใจ การให้กําลังใจยังชว่ ยให้บุคคลสามารถช่วยตนเองในการเผชิญภาวะเครียดได้
ดี เกิดความรู้สึกในทางที่ดีเกี่ยวกับตนเอง สามารถใช้วิธีจัดการกับภาวะเครียดได้สำเร็จ สามารถ
ดำรงชีวิตอยู่กับลักษณะธรรมชาติของตนเองได้55 นอกจากนี้การให้กําลังใจยังมีคุณค่าในการลด
ความรสู้ ึกวติ กกังวล ความไมส่ บายใจ และเพ่มิ ความมน่ั ใจ ช่วยเปลีย่ นความรู้สึกทม่ี ีในทางไม่ดี ให้เป็น
ดีได้ เป็นต้น25 ดังนั้นจะเห็นได้ว่ากําลังใจที่บุคคลได้รับจากการสัมผัสสามารถช่วยลดความวิตกกังวล
ได้ นอกจากนี้การสัมผัสยังช่วยส่งเสริมให้เกิดความใกล้ชิด ความรู้สึกไว้วางใจ และความมั่นใจ56ซ่ึง
ความมั่นใจที่เกิดขึ้นนี้มคี วามสำคญั เปน็ อย่างมากในการชว่ ยเหลือผู้ปว่ ยที่มคี วามวิตกกังวล ขั้น
รุนแรงได้ 57 ทั้งนี้เนื่องจากผู้ป่วยผู้ซึ่งมีความวติ กกังวลจะมีความหวาดหวั่น มีความรู้สึกไมแ่ น่นอน ไม่
มั่นใจ โดยการสัมผัสจะช่วยให้ผู้ป่วยเกิดความรู้สึกมั่นใจมากขึ้น จึงทำให้ความวิตกกังวลลดลงได้
สำหรับการสัมผสั ทก่ี ่อให้เกดิ ความใกลช้ ดิ จะชว่ ยให้ผู้ปว่ ยรสู้ ึกวา่ ไม่ได้ถูกทอดท้ิงให้อย่โู ดดเดี่ยวแต่ยังมี
พยาบาลอยู่เป็น เพื่อนใกล้ๆ ซึ่งการที่มีพยาบาลอยูเ่ ป็นเพื่อนใกล้ๆ จะเป็นการให้การสนับสนุนคำ้ จนุ
ช่วยให้ผู้ป่วยอบอุ่นใจ และ ป้องกันความรู้สึกโดดเดี่ยวของผู้ป่วยได้ นอกจากนี้การสัมผัสยังสามารถ
ลดความรู้สึกกลัวได้ และการสัมผัสเป็นการกระตุ้นให้ผู้ถูกสัมผัสได้ระบายอารมณ์หรือความรู้สึก
ไม่สบายใจตา่ งๆ ออกมา ซง่ึ การระบายความร้สู ึกออกมาจะทำให้รู้สกึ โล่งใจ แมจ้ ะไมไ่ ดแ้ กป้ ัญหา
แต่ก็ช่วยใหจ้ ติ ใจมีที่ว่างพอที่จะกดเก็บความรู้สึกและอารมณ์ท่ีไม่พึงประสงค์ได้อีก สำหรับการสัมผัส
ของพยาบาลนั้นอาจจะแสดงถึงความห่วงใย ความสนใจ และการดูแลเอาใจใส่ต่อผู้ป่วยด้วย) ดังนั้น
จากเหตุผลต่างๆ ดังที่กล่าวมาแล้วนั้น ย่อมแสดงให้เห็นว่าการสัมผัสที่เหมาะสมจะสามารถช่วยให้

24

ความวิตกกังวลของผ้ปู ่วยลดลงได้ ซึ่งไดม้ ีผู้ศกึ ษาถงึ ผลของการสมั ผสั ตอ่ ระดับความวิตกกงั วลในผู้ป่วย
ตา่ งๆ ไว้มากมายดงั เช่น

จากการศึกษาของศิริพันธ์ สุคนธรัตน์58 เกี่ยวกับผลของการสัมผัสต่อระดับความวิตกกังวล
ในผู้ป่วยที่รับการรักษาในแผนกอายุรกรรม พบว่า ระดับความวิตกกังวลของกลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับการ
สมั ผสั ลดลงแตกต่างจากกลุ่มผปู้ ว่ ยที่ได้รับการพยาบาลตามปกติอย่างมีนัยสําคัญทางสถิตทิ ่ี ระดบั .01

ฉวี เบาทรวง59 ได้ศึกษาผลของการให้คำแนะนําในการปฏิบัติตัวอย่างมีแบบแผน และการ
สัมผัสต่อการลดความวิตกกังวลและพฤติกรรมการเผชิญภาวะเครียดในระยะคลอด พบว่ากลุ่ม
ผู้คลอดที่ได้รับคำแนะนําในการปฏิบัติตัวร่วมกับการสัมผัสมีความวิตกกังวลน้อยที่สุด และแตกต่าง
อย่างมีนัยสาํ คญั จากกลมุ่ ที่ไดร้ บั คำแนะนําเพยี งอย่างเดียว หรือกลุ่มที่ได้รับการดูแลตามปกติ

ไฮคท์60 ได้ศึกษาผลของการสัมผัสเพื่อการรักษาหรือพลังสัมผัส (Therapeutic touch) ต่อ
ระดับความวิตกกังวลของผู้ป่วยที่รับไว้ในโรงพยาบาลพบว่า กลุ่มที่ได้รับการช่วยเหลือโดยการสัมผสั
เพื่อการรักษามีความวิตกกังวลแบบเสตท (State) ลดลงมีนัยสําคัญอย่างสงู ที่ระดับ .001 (p < .001)
และมคี วามวิตกกังวลแบบเสตท (State) ลดลงมากกวา่ กลุ่มที่ได้รับการช่วยเหลือ ดว้ ยการสัมผัสแบบ
บังเอิญ หรอื ไม่ได้รบั การสัมผัสอย่างมนี ัยสาํ คญั

ไวท์เชอรแ์ ละฟิชเชอร์61 ไดศ้ ึกษาผลการสัมผัสผปู้ ่วยของพยาบาลระหว่างการสอนก่อนผ่าตัด
ต่อการตอบสนองต่างๆ ทางด้านร่างกายและจิตใจของผู้ป่วย พบว่าผู้ป่วยมีความวติ กกังวลลดน้อยลง
มีพฤติกรรมทางบวกกอ่ นผา่ ตัดมากขน้ึ และมีความดันโลหติ ลดตำ่ ลง

ดังนั้น จะเห็นได้ว่าการสัมผัสสามารถใช้เป็นประโยชน์ในการลดความวิตกกังวล ของ
ผู้ป่วยได้ โดยเฉพาะกับความวิตกกังวลของผู้ป่วยขณะผ่าตัด ทั้งนี้เพราะผู้ป่วยผ่าตัด อาจจะมี
ความรู้สึกว่าตนเองถูกคุกคามเกิดความรู้สึกหวาดหวั่น ความไม่แน่นอน ไม่มั่นใจ เกิดความกลัว
ความวิตกกังวล เกิดความรู้สึกโดดเดี่ยวจากการถูกแยกจากบุคคลใกล้ชิด ฯลฯ ซึ่งการสัมผัสที่ผู้ป่วย
ได้รับขณะผ่าตัดนั้น เป็นการติดต่อ สื่อสารทางกายสัมผัสเพื่อการเอาใจใส่ดูแล เป็นการสัมผัสท่ี
พยาบาลได้ให้กับผู้ป่วยเพื่อการสนับสนุนค้ำจุนทางด้านจิตใจและอารมณ์ของผู้ป่วย เป็นการสร้าง
สัมพันธภาพที่ดีระหว่างพยาบาลกับผู้ป่วย ช่วยให้ผู้ป่วยเกิดความรู้สึกอบอุ่นใจ มีกําลังใจ มีความ
ไว้วางใจ มีความมั่นใจ ช่วยให้ผู้ป่วยมีความรู้สึกไมไ่ ด้ถูกทอดท้ิงให้อยู่โดดเดี่ยว ช่วยลดความรู้สึกกลัว
ช่วยใหผ้ ู้ปว่ ยสามารถปรับตวั เผชญิ กับภาวะวกิ ฤตต่างๆ ได้ดีขึ้น และช่วยให้ความวิตกกังวลของผู้ป่วย
ลดลงด้วย ซ่งึ วธิ ีการสัมผัสขณะที่อยู่ในห้องผ่าตัดน้นั จะกระทำได้โดยการใช้มือของพยาบาลจับมือ จับ
ข้อมือ หรือแขนของผู้ป่วยในลักษณะต่างๆ กัน โดยให้การสมั ผัสร่วมกับการพดู คุยใหก้ ําลงั ใจให้ความ
ม่ันใจแก่ผ้ปู ว่ ยและใหผ้ ู้ป่วยรู้สกึ ผ่อนคลายด้วย

วิธีการสัมผัสเพ่ือลดความวิตกกังวล

วิธีการสัมผัสเพื่อลดความวิตกกังวลของผู้ป่วยขณะผ่าตัดนั้น ผู้วิจัยได้อาศัยแนวคิดจาก
การสัมผัสที่ก่อให้เกิดความรู้สึกสุขสบายของโทวาร์และแกสมเยอร์62 อาศัยแนวคิดเกี่ยวกับ
องค์ประกอบที่ทำให้การสัมผัส มีคุณภาพ ของไวล์ส63 รวมทั้งอาศัยความรู้จากการศึกษาค้นคว้านํา
ข้อมูลตา่ งๆ มาดดั แปลงเปน็ แบบแผนการสมั ผสั เพ่อื ลดความวติ กกังวลของผู้ป่วยขณะผา่ ตดั
ซึ่งเป็นลักษณะการสัมผัสเพื่อสร้าง ความมั่นใจแก่ผู้ป่วย และให้ผู้ป่วยรู้สึกผ่อนคลายด้วย โดยให้
การสัมผัสเป็นไปตามธรรมชาติมากที่สุด ซึ่งวิธีการสัมผัสขณะผ่าตัดนั้น จะกระทำได้โดยการใช้มือ
ของพยาบาลจับมือ จับข้อมือหรือแขนของผู้ป่วยในลักษณะต่างๆ กัน เพื่อให้การสัมผัสมีความ

25

เหมาะสมและผู้ถูกสัมผัสรู้สึกสุขสบายมากที่สุดอย่างเช่น ความแรงของการสัมผัสควรแรงพอที่จะทำ
ใหผ้ ู้ปว่ ยรู้สึก แต่ไม่ควรจะทำใหเ้ กิดความเจ็บปวด การสมั ผัสควรมีท้ังแรงและเบาสลับกันเพ่ือส่งเสริม
ให้เกิดความมั่นคงและความเป็นตัวของตัวเองอย่างย่ิง ซึ่งตามแบบแผนการสัมผสั ทีผ่ ู้วจิ ัยสร้างขึ้นนัน้
ผู้วิจัยจะใช้มือทั้งสองข้างบีบมือของผู้ป่วยด้วยน้ำหนักมือที่เพิ่มขึ้นและค่อยๆ คลายออกทำอย่างน้ี
สลับกันอย่างนุ่มนวล การกระทำการสัมผัสที่แสดงถึงอัตรา หรือความเร็วควรจะมีเพียงเล็กน้อย
หรอื ไม่มกี ารเคลือ่ นไหวเลย อย่างเช่น การตบเบาๆ อย่างสุภาพ นุ่มนวลนั้น ผูว้ จิ ัยจะวางฝา่ มือไว้ บน
มือหรอื แขนขาของผู้ปว่ ยตลอดเวลา แต่จะใชเ้ พยี งบริเวณมือม่เี หมาะสมประมาณ 3-4 คร้ังแลว้ วางมือ
ไว้นิ่งๆ สลับกัน สำหรับระยะเวลาของการสัมผัสผู้ป่วยขณะผ่าตัดนั้น ผู้วิจัยใช้เวลานาน 15 นาที
โดยคริกเกอร์อ้างถึงในปนัดดา โรจน์ทนงชัย 64 ได้กล่าวว่าเวลาให้การสัมผัสท่ีเหมาะสมประมาณ
10-15 นาที นอกจากนี้พยาบาลผู้ให้การสัมผัสควรจะมีท่าทีที่สงบ มั่นคง สุภาพ อ่อนโยน และเป็น
กันเองกบั ผูป้ ่วยเพ่ือให้การสัมผสั มีความเหมาะสม และสอดคล้องกบั การแสดงออกถึงการสัมผัสท่ีเป็น
การดแู ลทางดา้ นจติ ใจและอารมณข์ องผปู้ ว่ ยมากท่ีสดุ

2.2 งานวิจัยที่เก่ียวข้อง

วารุณี กุลราช65 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความวิตกกังวลก่อนผ่าตัดในผู้ป่วยผ่าตัดตา เป็น
การวิจัยเชิงพรรณนาเพื่อศึกษาความวิตกกังวลก่อนผ่าตัดและหาความสัมพันธ์ระหวา่ งความต้องการ
ข้อมลู การสนบั สนุนทางสงั คมจากแพทยแ์ ละพยาบาล และระยะเวลารอผา่ ตัดกบั ความวติ กกงั วลก่อน
ผา่ ตดั ในผูป้ ่วยผา่ ตดั ตา กลุ่มตวั อย่าง คือ ผปู้ ว่ ยทไี่ ด้รบั การวนิ จิ ฉัยจากแพทยว์ ่าเป็นโรคตอ้ กระจก โรค
ต้อหนิ โรคทางกระจกตาและโรคทางจอประสาทตา ที่แพทยว์ างแผนให้รบั การรักษาดว้ ยวิธีการผ่าตัด
และใช้ยาชาเฉพาะที่ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ อุบลราชธานี จำนวน 120 ราย คัดเลือกกลุ่ม
ตัวอย่างตามคุณสมบัติที่กำหนดโดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยประกอบด้วยแบบ
สัมภาษณ์ข้อมูลทั่วไป แบบสัมภาษณ์ความวิตกกังวลก่อนผ่าตัด แบบสัมภาษณ์ความต้องการข้อมูล
แบบสัมภาษณ์การสนบั สนนุ ทางสังคมจากแพทย์และพยาบาล วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนาและ
สัมประสิทธ์ิสหสัมพันธข์ องเพียร์สันผลการวิจยั พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความวิตกกังวลก่อนผ่าตัดอย่ใู น
ระดบั ปานกลาง (M = 40.96,SD = 6.0) ผลการวิเคราะหค์ วามสมั พนั ธ์ พบวา่ การสนบั สนนุ ทางสังคม
จากแพทย์และพยาบาลมีความสมั พันธ์ทางลบกับความวติ กกังวลก่อนผ่าตัด (r = -.1.86, p <.05) และ
ระยะเวลารอผ่าตดั มคี วามสัมพนั ธท์ างบวกกับความวติ กกังวลก่อนผ่าตัด (r = .297, p <.01) แตไ่ มพ่ บ
ความสมั พันธ์ระหว่างความต้องการข้อมูลกับความวิตกกงั วลก่อนผ่าตัด (p >.05)

ศิริพันธ์ สุคนธรัตน์59 ได้ศึกษาเกี่ยวกับผลของการสัมผัสต่อระดับความวิตกกังวลในผู้ป่วย
ที่รับการรักษาตัวในแผนกอายุรกรรม พบว่า กลุ่มที่ได้รับการสัมผัสร่วมกับการกระตุ้นด้วยคําพูด
มีระดับความวิตกกังวลลดลงมากกว่ากลุ่มที่ได้รับการพยาบาลตามปกติอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ
ที่ระดับ.01 นอกจากนี้ไวท์เซอร์และพิสเซอร์ 61 ได้ศึกษาเกี่ยวกับผลของการสัมผัสผู้ป่วยระหว่างการ
สอนก่อนผ่าตัดต่อการตอบสนองทางจิตใจ และร่างกาย พบว่าผู้ป่วยหญิงในกลุ่มท่ีถูกสัมผัสมีความ
วติ กกังวลน้อยลง และความดันโลหติ ต่ำลง กว่ากล่มุ ผู้ป่วยชายที่ไดร้ ับการสมั ผสั หรอื ไม่ได้รับการสัมผัส
และกลุ่มผู้ปว่ ยหญิงทไ่ี ม่ได้รบั การสมั ผัส

26

Jung-Soon Moon.39 ผลของการสัมผัสมือต่อความวิตกกังวลในผู้ป่วยผ่าตัดต้อกระจก
ภายใต้การฉีดยาชาเฉพาะที่ เพ่ือเพื่อประเมินประสิทธิภาพของการจัดการกับความวิตกกังวลของ
ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดต้อกระจกตามแผนภายใต้การฉีดยาชาเฉพาะที่ ในผู้ป่วยจำนวน 62 คน
ที่ได้รับการผ่าตัดต้อกระจกตา แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่ได้รับการสัมผัสมือระหว่างการผ่าตัด และ
กลุ่มควบคุม ซ่ึงได้รับการพยาบาลตามปกติ ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มที่ได้รับการสัมผัสมือระหว่าง
การผ่าตัด ความวิตกกังวลลดลง รู้สึกสบายใจ และรู้สึกปลอดภัยในการผ่าตัดขณะพยาบาลจับมือ
ระหว่างการผา่ ตดั อยู่

EY, Birer Zeliha, Baydur Hakan66 ศกึ ษาผลของการสัมผัสเพอ่ื การรักษาระหว่างการผ่าตัด
ต้อกระจกต่อความวิตกกังวลและความพึงพอใจของผู้ป่วย การทดลองเป็นการทดลอง แบบสุ่มกลมุ่
ตวั อยา่ งจำนวน 114 คน แบ่งเปน็ 2 กลุม่ กลุ่มควบคุมจำนวน 57 คน คอื กลุม่ ไมไ่ ดร้ บั การสัมผสั กลุ่ม
ทดลองคือกลุ่มที่ได้รับการสัมผัสจำนวน 57 คน ผู้ป่วย เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพื่อทำการ
ผ่าตัดต้อกระจกและเป็นไปตามเกณฑ์การศึกษา ก่อนได้รับการอนุมัติการศึกษาจากคณะกรรมการ
จริยธรรมและได้รับความยินยอมจากผู้ป่วย ข้อมูลถูกเก็บรวบรวมโดยใช้แบบฟอร์มข้อมูลส่วนบุคคล
มาตราส่วนภาพอนาลอก (VAS) และแบบวัดความวิตกกังวลของ Spielberg/Trait (STAI) วัดความ
วิตกกังวล Newcastle Satisfaction with Nursing Care Scale (NSNCS) วัดความพึงพอใจของ
ผู้ป่วย ในระหว่างการผ่าตัด ผู้ป่วยในกลุ่มทดลองไดร้ ับการสัมผัส เป็นเวลา 15 นาที ผลลัพธ์:ในกลุ่ม
ทดลอง คะแนนความวิตกกังวล VAS ของผู้ป่วยหลังสมั ผสั เท่ากับ 3.56±1.85 ในขณะที่กลุ่มควบคมุ
ในนาทที ี่ 15 ของการผ่าตดั เท่ากบั 8.88±1,50 พบว่าระดบั ความวิตกกงั วล ในกลมุ่ ทดลอง หลงั การ
สัมผัสลดลงเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม และสัญญาณชีพได้รับผลกระทบในทางบวก คะแนน NSNCS
ของผูป้ ว่ ยในกลุ่มทดลองสูงกว่าในกลุ่มควบคุม สรปุ :สังเกตได้ว่า การสมั ผสั ทใ่ี ช้ระหว่างการผ่าตัดลด
ความวิตกกังวล ส่งผลต่อสัญญาณชีพในทางบวก และเพิ่มความพึงพอใจให้ผู้ป่วย แนะนำให้ใช้การ
สมั ผสั ระหวา่ งการผ่าตัด

Ni CH และคณะ 67 ศึกษาผลของการนวดมือด้วยเครื่องต่อความวิตกกังวลก่อนผ่าตัดและ
สญั ญาณชีพในผ้ปู ่วยท่ีผา่ ตัดแบบผปู้ ่วยนอก การนวดบำบัดด้วยมือถกู นำมาใช้ เพือ่ บรรเทาความวิตก
กังวล และความเจ็บปวดในสถานการณ์ทางคลินิกต่างๆ กลุ่มตัวอย่างจำนวน 199 คนที่มีอายุ 18 ปี
ขึ้นไปที่มีกำหนดรับการผ่าตัดผู้ป่วยนอกได้รับคัดเลือกจากโรง พยาบาลไทเปเทศบาลวันฟางในเมือง
ไทเป ประเทศไตห้ วัน ผ้ปู ว่ ยไดร้ บั การส่มุ ให้เขา้ กลมุ่ ทดลอง (n = 101) ซ่งึ ไดร้ ับการนวดมอื ด้วยเครื่อง
ก่อนการผ่าตัด และกล่มุ ควบคมุ (n = 98) ซึ่งไม่ไดร้ บั การนวดด้วยเครอ่ื ง ผปู้ ว่ ยในท้งั สองกลุ่มไดก้ รอก
แบบฟอร์มสั้นๆ ของ Spielberger State-Trait Anxiety Inventory ที่ระดับก่อนการทดลอง
(ระดับพืน้ ฐาน) และหลังการทดลอง ผลลพั ธ์ : การเปรยี บเทยี บภายในกลุ่มของคะแนน Spielberger
State‐Trait Anxiety Inventory แสดงให้เห็นการลดลงอย่างมีนัยสำคัญระหว่างคะแนนก่อนการ
ทดลองและหลังการทดลองในกลุ่มทดลอง (44.3 ± 11.2 ถึง 37.9 ± 8.7) และไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ที่มีนัยสำคัญในกลุ่มควบคุม การเปรียบเทียบสัญญาณชีพในกลุ่มพบว่าอัตราการหายใจเฉลี่ยระหว่าง
การตรวจวัดก่อนและหลงั การทดลองในท้ังสองกลุ่มเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (ทัง้ p< .05) พบว่าความ

27

ดันโลหิตลดลงอย่างมีนัยสำคัญเฉพาะในกลุ่มควบคุมในช่วงหลังการทดลอง (p < .05) ไม่พบการ
เปลี่ยนแปลงก่อนการทดลองหลังการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญ ในชีพจรในกลุ่มใดกลุ่มหน่ึง
สรุป : ผลการวิจัยของการศึกษานี้ระบุว่าการนวดด้วยมือด้วยเครื่องช่วยลดความวิตกกังวลได้อย่างมี
นัยสำคัญในผู้ป่วยทรี่ อการผา่ ตัดผ้ปู ่วยนอก ในขณะท่ไี มส่ ่งผลตอ่ สญั ญาณชีพอยา่ งมนี ยั สำคัญ

Oh HJ, Park JS 68 ศึกษาผลของการนวดมือและการกุมมือต่อความวิตกกังวลในผู้ป่วย ท่ี
ไดร้ บั การดมยาสลบเฉพาะท่ี กลมุ่ ตัวอยา่ ง คือกลุ่มผปู้ ว่ ยรับการนวดมือ 15 ราย สำหรบั กลมุ่ รับ การ
กุมมือ 15 ราย และ สำหรับกลุ่มควบคุมไม่ได้รับการนวดมือและกุมมือ ที่รอการผ่าตัด ในห้องผ่าตดั
ของโรงพยาบาลทั่วไปในแทกู ในการทดลองบำบัด การนวดด้วยมือดำเนินการโดย Hand Massage
Protocol ที่พัฒนาโดย Snyder (1995) และตีความโดย Cho (1998) และการจับมือที่พัฒนาโดย
Cho (1998) ข้อมลู ถกู วเิ คราะห์โดย SPSS/WIN, T-test, ANOVA, Cronbach's alpha และ Scheffe
test ผลการทดลองพบว่า กลุ่มนวดมือและกลุ่มจับมือมีประสิทธิภาพมากกว่ากลุ่มควบคุมในการลด
ความวิตกกงั วล คะแนน VAS ความดนั โลหิตซิสโตลิก และอตั ราชีพจร

สรุป : การนวดมือและการถือครองมือเป็นวิธีการพยาบาลที่มีประสิทธิภาพซึ่งช่วยบรรเทาความวิตก
กังวลทางจิตใจและสรีรวิทยาของผู้ป่วยด้วยการดมยาสลบเฉพาะท่ี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การจับมือ
อย่างง่ายถอื เปน็ การแทรกแซงทางการพยาบาลทีม่ ปี ระสิทธิภาพและเขา้ ถงึ ได้งา่ ยในห้องผา่ ตดั

Nirmal Sankal KV และคณะ 69 ศึกษาเรื่อง อาการวิตกกังวลในผู้ป่วยหลังผ่าตัดต้อกระจก
กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 50 คน อาการวิตกกังวลและความสัมพันธ์กับ ตัวแปรทางสังคม และประชากร
ต่างๆ ในผู้ป่วยท่ี เข้ารับการผ่าตัดต้อกระจกผู้ป่วยแต่ละรายได้รับการสัมภาษณ์ เป็นรายบุคคล
โดยใช้แบบวัด HAM–AHamilton Anxiety Rating Scale พบว่าผู้ป่วยประมาณ 80% รายงาน
อาการวิตกกังวลอย่างน้อย 2 อาการขึ้นไปแต่อาการเหล่านี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นชั่วคราว 92% มีคะแนน
ความวิตกกังวลน้อยกว่า มากกว่าหรือเท่ากับ 13 ใน HAM–A ผู้ป่วยเพียง 14% เท่านั้นที่รายงาน
ความกังวลเกี่ยวกับ MSE 8% ของอาสาสมัครมีคะแนนเล็กน้อยถึงปานกลางในระดับการประเมิน
ความวติ กกงั วลของแฮมิลตนั

Oymaagaclıo K, Ates e70 ศึกษาปจั จัยทมี่ ีผลต่อระดับความวิตกกังวลในผู้ปว่ ยที่วางแผนไว้
สำหรบั การผา่ ตัดต้อกระจก กลุ่มตวั อย่างผ้ปู ว่ ย จำนวน211 รายทเี่ ข้ารับการรักษาในคลินิกตาส่วนตัว
ระหว่าง ตุลาคม 2559 และมีนาคม 2560 และได้รับการวินิจฉัยต้อกระจก "State and Trait
Anxiety Scale" ถูกนำมาใช้เพื่อกำหนดระดับความวิตกกังวลในผู้ป่วยและระดับความวิตกกังวล
โดยเปรียบเทียบแบบวัด socio-demographic and health/ disease characteristics ใช้สถิติ T-test and
one-way ANOVA พบว่าคะแนนระดับความวิตกกังวลสูงขึ้นในผู้ป่วยที่เกษียณอายุในผู้ป่วยไม่มีโรค
เรอื้ รัง และในผู้ป่วยทรี่ ายงานความวติ กกังวลเกี่ยวกบั การผา่ ตัด คะแนนระดบั ความวติ กกังวลต่อเน่ือง
คือ สูงขึ้นในผู้ป่วยหญิง ในผู้ป่วยอายุเกิน 60 ปี ในผู้ป่วยที่มีการร้องเรียนมากกว่า 5 ปี เกี่ยวกับ
การผา่ ตัด สรุป : สำหรับกลมุ่ ผปู้ ว่ ยท่ีไม่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมของโรงพยาบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
สำหรับ ครั้งแรกที่ผู้ป่วยควรได้รับการดูแลพร้อมให้โอกาสในการแสดงความรู้สึกและความคิด โดย

28

ผู้ป่วยสามารถแจ้งเกี่ยวกับอายุ อาการความเจ็บป่วยเรื้อรัง สิ่งอำนวยความสะดวกทางกายภาพและ
ส่ิงทช่ี ่วยลดความวิตกกังวล

Nijkamp M D 71 ศึกษาปัจจัยกำหนดความวิตกกังวลเกี่ยวกับการผ่าตัดในผู้ป่วยต้อกระจก
กลุ่มตัวอย่างจำนวน 128 คน คัดเลือกจากโรงพยาบาลสองแห่ง (Medical Center Maastricht
Annadal (MCMA) และโรงพยาบาลตาร็อตเตอร์ดัม (REH)) ประเมินความวิตกกังวล โดยใช้แบบวัด
ความวิตกกังวล (STAI) ปัจจัยทำนายความวิตกกังวลต่อไปน้ี : ลักษณะ ความวิตกกังวล, ความ
คาดหวังในผลลัพธ์, ความสมั พันธร์ ะหว่างแพทยก์ ับผ้ปู ว่ ย, กลยุทธก์ ารเผชิญปัญหา, การสนบั สนุนทาง
สังคม, ตัวแปรทางสังคมวทิ ยา และการผา่ ตดั ต้อกระจกครั้งก่อน ทำซ้ำการวดั ANOVA, t การทดสอบ
การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณและสหสัมพันธ์ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการศึกษาพบว่า ผู้ป่วย
รายงานความวิตกกังวลเล็กน้อย ระดับความวติ กกงั วล (ระดับ 1-4) สงู ทีส่ ดุ กอ่ นการผา่ ตัด ลดลงทันที
หลังการผ่าตัด และเพิ่มขึ้นอีกครั้งหลังเข้ารับการตรวจหลังผ่าตัด ผู้ป่วยที่มีระดับความวิตกกังวลใน
ลักษณะที่สูงขึ้น (r = 0.41; p,0.01) และผู้หญิง (r = 0.30; p,0.01) รายงานความวิตกกังวลมากขึ้น
ผปู้ ่วย REH มีคะแนนความวิตกกงั วลต่ำกวา่ ผู้ป่วย MCMA สรุป : ผู้หญิงและผู้ป่วยทีม่ คี วามวิตกกังวล
เกี่ยวกับลักษณะนิสัยสูงกว่ามีแนวโน้มที่จะมีอาการความวิตกกังวล ความคาดหวังผลในเชิงบวกและ
การสนบั สนนุ ทางสงั คมอาจลดความวติ กกังวล

DA Ramirez, David A 72ศึกษาเรื่องความวิตกกังวลในผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดต้อกระจก
เปรียบเทียบก่อนและหลังผ่าตัด เป็นการศึกษา ไปข้างหน้า กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยผ่าตัดต้อกระจก
โดยการสลายต้อกระจกด้วยเครื่องอัลตร้าซาวด์ ตอบแบบสอบถามความกลัว ก่อนและหลังผ่าตัด
ผู้ป่วยผ่าตัดต้อกระจกโดยการสลายต้อกระจกด้วยเครื่องอัลตร้าซาวด์ ไม่มีการผ่าตัดชนิดอื่นร่วม
ผลการศึกษาพบว่า ผู้ป่วย 61 คน มีความวิตกกังวลก่อนผ่าตัด มากที่สุดเรื่องการผ่าตัดของตนเอง
และการมองไม่เห็น หลงั ผา่ ตัดกังวลมากทสี่ ุดเรื่องการผ่าตัดของตนเอง ความกงั วลหลังผ่าตัดเกี่ยวกับ
ความล้มเหลวของการผ่าตัด ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ p<0.001 การมองไม่เห็นลดลง
อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ p<0.001 เรื่องการผ่าตัดของตนเอง ไม่มีความสัมพันธ์ อย่างมีนัยสำคัญ
ทางสถติ ิ p= 0.1

ธนาวรรณ ศรีกุลวงศ์ 73 ศึกษาการให้ข้อมูลแบบรูปธรรม-ปรนัย ร่วมกับการให้ข้อมูลผ่านสื่อ
สังคมออนไลน์ต่อความวิตกกังวลก่อนผ่าตัด ของผู้ป่วยต้อกระจกวัยผู้ใหญ่การวิจัยกึ่งทดลองครั้งน้ี
มวี ัตถปุ ระสงคเ์ พ่ือ เปรียบเทียบความวติ กกังวลของผปู้ ่วยต้อกระจกวยั ผูใ้ หญ่ ภายในกลุ่มทดลองก่อน
และหลังการให้ข้อมูลแบบรูปธรรม-ปรนัย ร่วมกับการให้ข้อมูลผ่านสื่อสังคมออนไลน์ และเพ่ือ
เปรียบเทียบความวิตกกังวลของผู้ป่วยต้อกระจกวัยผู้ใหญ่ ระหว่างกลุ่มทดลองที่ได้รับข้อมูลแบบ
รูปธรรม-ปรนัย ร่วมกับการให้ข้อมูลผ่านสื่อสังคมออนไลน์ และกลุ่มที่ได้รับการพยาบาลตามปกติ
ในกลุ่มตัวอย่างที่มารับการรักษาที่แผนกผู้ป่วยนอกจักษุ โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งใน
กรุงเทพมหานคร จำนวน 40 คน แบ่งเป็นกลุม่ ทดลอง 20 คน และกลุ่มควบคุม 20 คน จับคู่ระหว่าง
กลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมด้วย เพศและอายุ กลุ่มควบคุมได้รับการพยาบาลตามปกติ กลุ่มทดลอง
ไดร้ บั โปรแกรมการใหข้ อ้ มลู แบบรปู ธรรม-ปรนัย รว่ มกบั การใหข้ อ้ มูลผ่านสอ่ื สังคมออนไลน์ ตรวจสอบ
ความตรงตามเนือ้ หา จากผู้ทรงคุณวุฒิ 5 ท่าน นำแบบวัดความรูเ้ กี่ยวกับโรคต้อกระจก มีค่าความ
ตรงตามเนอ้ื หาเทา่ กบั 0.80 นำ แบบวดั ความวติ กกงั วลขณะเผชญิ และแบบวัดความรเู้ ก่ยี วกบั โรค

29

ต้อกระจกมาคำนวณหาความเที่ยง โดยใช้สูตรสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค มีค่าเท่ากับ 0.93
และ 0.91 ตามลำดับ วเิ คราะห์ข้อมูลโดยหา ค่าเฉลยี่ และสว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่า
ที ผลการวจิ ยั สรุปได้ดังนี้ 1.ความวติ กกังวลของผู้ป่วยต้อกระจกวัยผูใ้ หญ่ในกลุ่มทดลองที่ได้รบั ขอ้ มลู
แบบรูปธรรม – ปรนัยร่วมกับการให้ข้อมูลผ่านสื่อสงั คมออนไลน์ หลังการทดลองมีคา่ เฉลี่ยของความ
วิตกกงั วลของผู้ป่วยต้อกระจกวัยผูใ้ หญต่ ่ำกวา่ ก่อนการทดลองอย่างมนี ยั สำคัญทางสถติ ิทรี่ ะดับ 0.012
ความวิตกกังวลของผู้ป่วยต้อกระจกวัยผู้ใหญ่ กลุ่มทดลองที่ได้รับข้อมูลแบบรูปธรรม-ปรนัย ร่วมกับ
การให้ข้อมูลผ่านสื่อสังคมออนไลน์ หลังการทดลองต่ำกว่ากลุ่มที่ได้รับการพยาบาลตามปกติ อย่างมี
นัยสำคญั ทางสถติ ทิ ่รี ะดับ 0.01

ลุนนี จิ่มอาษา และ วัลลภา ช่างเจรจา74 ศึกษาเรื่องผลของโปรแกรมการเตรียมผ่าตัดต่อ
ความวิตกกังลภาวะแทรกซ้อนในการผ่าตัดต้อกระจก แผนกจักษุ โรงพยาบาลบึงกาฬ การวิจัยกึ่ง
ทดลองนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการใช้โปรแกรมการเตรียมผ่าตัดต่อความวิตกกังวลและ
ภาวะแทรกซ้อนในผู้ป่วยต้อกระจก กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้ป่วยต้อกระจกที่คลินิกตา แผนกผู้ป่วยนอก
โรงพยาบาลบึงกาฬ จำนวน 60 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 30 คน และกลุ่มควบคุม 30 คน โดยจับคู่
ให้มีความใกลเ้ คียงกนั ในเรือ่ งเพศ และอายุ แล้วจับฉลากเข้าร่วมกลุม่ กลุ่มควบคุมได้รับการพยาบาล
ตามปกติ กลุ่มทดลองได้รับโปรแกรมการเตรียมผ่าตัดโดยใช้กรอบแนวคิดการปรับตัวของ Roy และ
ทฤษฎีการควบคุมตนเองของ Leventhal and Johnson ระยะเวลาของโปรแกรม 30-45 นาที
เครื่องมือใน การวิจัยประกอบด้วย1) โปรแกรมการเตรียมผ่าตัดที่พัฒนาขึ้น2) แบบบันทึกข้อมูล
ส่วนบุคคล 3) แบบประเมินความวิตกกงั วลขณะเผชิญ 4) แบบบนั ทกึ ภาวะแทรกซอ้ น วิเคราะหข์ อ้ มูล
ด้วยค่าร้อยละค่าเฉลีย่ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และเปรียบเทียบข้อมูลด้วยสถิติ dependent t-test
และ Independent t-test กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 ผลการวิจัย พบว่า ผู้ป่วยที่ได้รับ
โปรแกรมเตรียมผ่าตัดมีคา่ เฉลี่ยคะแนนความวิตกกังวล กอ่ นผา่ ตดั น้อยกว่าผู้ป่วยท่ีได้รับการพยาบาล
ตามปกติอย่าง มีนัยสำคัญทางสถติ ิ 0.05 (p<0.001) แต่ผลของ การเกิดภาวะแทรกซ้อนในการผ่าตดั
ตอ้ กระจก ไมม่ คี วามแตกตา่ งกันทั้ง 2 กลุ่ม ผลการวจิ ัยช้ีใหเ้ หน็ ว่า โปรแกรมท่พี ัฒนาขึน้ มีประสิทธิผล
ในการลดความวิตกกังวลสำหรับผู้ป่วยต้อกระจกที่ได้รับการผ่าตัด มีข้อเสนอแนะ ดังนี้ ควรมี
โปรแกรมการเตรยี มผา่ ตดั ต้อกระจกให้ครอบคลุมทุกขน้ั ตอนการปฏิบตั ิตวั ท่ีผู้ป่วยตอ้ งเจอโดยเฉพาะ
ส่วนที่เป็นหัตถการต้องมีการสาธิตให้เห็นภาพและทดลองฝึกปฏิบัติเพื่อให้เกิด ความมั่นใจและ
สามารถปฏิบัติตนได้ถูกต้องและควรศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับโปรแกรมการเตรียมผ่าตัดผู้ป่วย ระบบ
อืน่ ๆ ให้เปน็ มาตรฐานเดียวกนั

30

บทท่ี 3

วิธดี ำเนนิ การวจิ ยั

การวิจยั ครั้งนเี้ ปน็ การศึกษาผลของการสมั ผสั ผลของการสัมผัสมือขณะผ่าตัด ต่อความวิตก
กังวลของผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดต้อกระจกโดยใช้ยาชา โรงพยาบาลราชวิถี ซ่ึงมีวธิ ีการและขน้ั ตอน
การดำเนนิ การวิจัย ดังตอ่ ไปนี้

3.1 รปู แบบการวิจัย
รูปแบบการศึกษาวจิ ัยเป็นการวิจัยเชิงทดลอง

3.2 ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง
ประชากรเป้าหมาย (Target Population) ผู้ปว่ ยที่มปี ัญหาทางตามารบั การรักษาที่โรงพยาบาลราชวถิ ี
ประชากรตวั อยา่ ง (Population To Be Studied) คือ ผูป้ ่วยทม่ี ีปัญหาทางตา มารับ การ

ผ่าตัดท่โี รงพยาบาลราชวถิ ี ช่วงเวลา 1 เมษายน 2564 – 1 เมษายน 2565
กลุ่มตัวอย่าง (Sample) คือ ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดต้อกระจกโดยใช้ยาชา โรงพยาบาล

ราชวิถี ซึ่งมารับการผ่าตัด ช่วงเวลา 12 พฤศจิกายน 2564 – 31 ธันวาคม 2564 จำนวน 40 คน
โดยมีเกณฑ์การคดั เขา้ และเกณฑก์ ารคดั ออกดงั นี้

เกณฑ์การคัดเลอื กผปู้ ่วยเขา้ ร่วมโครงการ

1. ผปู้ ่วยทไี่ ด้รับการตรวจรักษาทางตาโรงพยาบาลราชวถิ ี และได้รับการวนิ ิจฉยั ว่าเป็น
ตอ้ กระจกและไดร้ ับการรกั ษาโดยการผา่ ตดั และระงับความรู้สกึ โดยใช้ยาชาเฉพาะท่ี

2. เปน็ หญิงและชาย อายรุ ะหว่าง 45-80 ปี
3. มีความรู้สึกตัวดี รับรู้บุคคล เวลา สถานที่การได้ยินปกติ สามารถสื่อสารด้วยวิธีการอ่าน
เขียนและฟังภาษาไทยได้ ไม่เปน็ โรคสมองเสอื่ ม การรบั รผู้ ดิ ปกติ
4. เปน็ ผ้ปู ว่ ยท่ีไม่มปี ระวตั กิ ารแพ้ยาชา
5. ไม่มโี รคแทรกซ้อนทเ่ี ปน็ อันตรายตอ่ การผา่ ตัด เชน่ โรคหวั ใจ โรคความดนั โลหติ สูง ใน
ระยะทีไ่ ม่สามารถควบคมุ ได้
6. ยินดีใหค้ วามรว่ มมือในการวิจัยครง้ั นี้
7. ไม่เปน็ ผูไ้ ด้รบั ยาคลายวิตกกังวลก่อนการผ่าตดั เช่น Benzodiazepines
8. ผู้ปว่ ยเปน็ พระภิกษุ ไม่เขา้ ร่วมโครงการ
9. ผปู้ ่วยมกี ารบาดเจ็บหรือเปน็ แผลที่มือ มกี ารบาดเจ็บหรือเป็นแผลทมี่ ือ
เกณฑ์คัดออกผเู้ ขา้ ร่วมวจิ ยั (Exclusion Criteria)

1. ระหว่างการผ่าตัดช่วง 15 นาที การสัมผัสมีผู้ป่วยมีโรคประจำตัวรุนแรงทำให้ต้องยุติ
การผา่ ตดั จะไม่นบั case

2. ขณะดำเนนิ การผา่ ตัด ผู้ปว่ ยไม่ตอ้ งการใหส้ มั ผสั

31

3.2.1 ขนาดของกล่มุ ตัวอย่าง ท้งั

กลุ่มตวั อยา่ ง คอื ผ้ปู ว่ ยทไี่ ดร้ บั การผา่ ตัดต้อกระจกโดยใช้ยาชา โรงพยาบาลราชวถิ ี
เพศหญิงและชายทเี่ ข้ารบั การรกั ษาในโรงพยาบาลราชวิถี ปงี บประมาณ 2564

การคำนวณกลุ่มตวั อยา่ ง
ในการวิจยั นค้ี ำนวณหาขนาดตัวอย่างโดยใช้สตู รเปรียบเทียบค่าเฉลีย่ 2 กลุ่ม (Bernard R, 2000) 75

(Z + Z  )2 x( 12 +  2 2 )
n= 2

(1 − 2 )2

n= จำนวนขนาดตวั อยา่ ง
Z /2 = คา่ สถิติภายใตโ้ คง้ มาตรฐาน เมอื่ ระดับนัยสำคัญทางสถติ ิ  = 0.05 คือ 1.96

Z = ค่าสถติ ภิ ายใต้โคง้ มาตรฐาน เมื่อกำหนด ระดบั อำนาจในการทดสอบ 80% คอื 0.842

 = ค่าความแปรปรวนของประชากร แทนคา่ ดว้ ย SD

1, 2 = ค่าเฉลีย่ ของประชากรกลมุ่ ที่ 1 และ 2

** อ้างองิ จากการศกึ ษากอ่ นหน้าของลุนนี จ่มิ อาษาและคณะ 74 ที่ได้ทำการศึกษาผล ของ
โปรแกรมการเตรียมผ่าตัดต่อความวิตกกังวลและภาวะแทรกซ้อนในการผ่าตัดต้อกระจก แผนก
จักษุ โรงพยาบาลบงึ กาฬ โดยพบว่ากล่มุ ท่ีได้รบั โปรแกรม มีคะแนนความวติ กเฉล่ีย 47.50 SD =3.32
และกลุ่มที่ไม่ได้รับโปรแกรมมีคะแนนความวิตกกังวลเฉลี่ย 53.03 SD. = 4.02 และในดังนั้นใน
การศกึ ษานจี้ ะต้องใชจ้ ำนวนตัวอย่างทั้งสิน้

(1.96 + 0.842)2 (3. 322 + 4. 022)
= (47.5 − 53.02)2

n =7 ราย + dropout กลุ่มละ 13 ราย = กลุ่มละ 20 ราย

ดงั น้นั ในการศกึ ษาคร้งั นจี้ ะใชก้ ลุ่มตวั อย่างอย่างน้อยกลุ่มละ 20 ราย รวมท้งั สน้ิ จำนวน 40 ราย

3.3 วธิ ดี ำเนินการวจิ ยั
รปู แบบการวจิ ัย prospective (ศกึ ษาแบบไปข้างหนา้ )

วธิ ีการเก็บรวบรวมข้อมูล

ผู้วิจัยเลือกกลุ่มตัวอย่างตามเกณฑ์ที่กำหนดในป่วยที่รับการผ่าตัดต้อกระจกตาโดยใช้ยาชา
ซึ่งใช้การสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple randomization) โดยแบ่งอาสาสมัครออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
กลุ่มทดลอง (ได้รับการสัมผัสมือระหว่างผ่าตัด) และกลุ่มที่ได้รับการพยาบาลปกติ ผู้วิจัยเก็บข้อมูล
เป็นรายบุคคลจากกลุ่มทดลอง (ได้รับการสัมผัสมือระหว่างผ่าตัด) จำนวน 20 คน เก็บข้อมูลเป็น
รายบุคคลจากกลมุ่ ทีไ่ ดร้ ับการพยาบาลปกตจิ ำนวน 20 คน ให้ครบตามเกณฑ์

32

การจดั อาสาสมัครเขา้ แต่ละกลุ่ม โดย ผู้วจิ ัยกำหนดกลุ่มผู้เข้าร่วมวิจัย โดย ปอ้ งกันการcontaminate
ระหว่างกลมุ่ จดั สลับกนั คนละวนั โดยกลมุ่ ควบคมุ และกลุ่มทดลอง คนละวนั กัน เก็บจนกว่าจะครบ
ตามจำนวน 40 คน

Flow chart ขนั้ ตอนการวิจยั
ผู้ป่วยโรคตอ้ กระจกทเี่ ข้ารบั การผา่ ตดั โดยใชย้ าชา โรงพยาบาลราชวถิ ี(n=40)

Random allocation

ผู้เขา้ รบั บรกิ ารตรวจสขุ ภาพ มคี ณุ สมบตั ิตามเกณฑค์ ดั เข้า
การเข้าร่วมวิจยั

ผเู้ ข้ารว่ มวจิ ยั ยินยอมเข้ารว่ มวจิ ยั
และดำเนนิ สุ่มกลุ่มรูปแบบการทดลอง

กลุ่มทดลอง กลมุ่ ควบคมุ
ไดร้ บั การสมั ผัสมือระหว่าง ไดร้ ับการพยาบาลปกติ

ผา่ ตดั

วัดสัญญาณชีพ และความวติ กกงั วล ขณะ-หลัง ผ่าตัด

33

ขน้ั ตอนการดำเนนิ การวจิ ยั

1. ทบทวนวรรณกรรม จดั ทำโครงร่างการวิจยั
2. เสนอโครงร่างวิจัยเพื่อขอรับการพิจารณาจริยธรรมการวิจัยจากคณะกรรมการจริยธรรม
การวิจัยในคน โรงพยาบาลราชวิถี
3. คัดเลือกกลุ่มตัวอย่าง และอธิบายชี้แจงรายละเอียดข้อมูลโครงการวิจัยให้กับอาสาสมัคร
ทราบ พรอ้ มใหอ้ าสาสมัครลงนามในเอกสารยนิ ยอมเขา้ รว่ มโครงการวจิ ัย
4. ขนั้ ตอนกระบวนการขอความยินยอม

4.1. ผ้แู ทนของผวู้ ิจัยเป็นผู้ขอความยินยอมจากผู้ป่วย เน่ืองจากเปน็ ผทู้ ่ีมีความรู้ความเข้าใจใน
กระบวนการวิจัยและขั้นตอนการวจิ ัย เปน็ อยา่ งดี

4.2 สถานที่ดำเนินการขอความยินยอม เป็นบริเวณรอผ่าตัดของศูนย์ผ่าตัดต้อกระจก
หอ้ งผา่ ตดั อาคารทศมินทราธิราช

4.3. ชี้แจงข้อมูลแก่ผู้ที่จะเข้าร่วมโครงการวิจัย โดยให้ผู้ป่วยอ่านเอง หรือ กรณีที่ผู้ป่วย
อา่ นไมไ่ ด้ ผขู้ อคำยนิ ยอมจะเปน็ ผอู้ ่านให้ฟงั

4.4 ผู้ขอคำยินยอมตรวจสอบกลับว่าผู้เข้าร่วมโครงการวิจัยมีความเข้าใจอย่างแท้จริง
และตอบข้อสงสยั หากอาสาสมคั รมขี อ้ ซักถามเพ่ิมเตมิ

4.5. ผูเ้ ขา้ รว่ มโครงการวจิ ัย สามารถตดั สนิ ใจโดยอสิ ระ กอ่ นลงนามให้ความยนิ ยอม
4.6. ผู้แทนของผู้วิจัยเก็บเอกสารยินยอมไว้ 1 ฉบับ และให้เอกสารยินยอมแก่อาสาสมัคร
กลับไป 1 ฉบับรวบรวมขอ้ มูลจาก ผปู้ ่วยทีไ่ ด้รบั การผ่าตัดต้อกระจกโดยใช้ยาชา
4.7. ผู้แทนของผู้วิจัยผู้วิจัยเซ็นใบยินยอม พร้อมกับมีแพทย์เจ้าของไข้ เซ็นยินยอมให้เก็บ
ขอ้ มลู
5. เมื่อผู้เข้าร่วมโครงการวิจัยยินดีเข้าร่วมโครงการวิจัยนี้ ผู้วิจัยสัมภาษณ์ข้อมูลส่วนตัวของ
ผู้ป่วยตามแบบบันทึกส่วนที่ 1 ข้อมูลส่วนบุคคล จากนั้นสัมภาษณ์ความวิตกกังวล และจับฉลาก
เขา้ กลุม่ ทดลองและกลมุ่ ควบคุม
6. การบันทึกขอ้ มูลในแบบบันทกึ ข้อมูลส่วนบคุ คล ตามรปู แบบสอบถาม ทกี่ ำหนด
7. ในวันผ่าตัด สำหรับกลุม่ ทดลอง เมื่อผู้ป่วยเข้าไปอยู่ในห้องรอผา่ ตัดไดน้ าน 5 นาที ผู้วิจยั
จะถามถงึ ความร้สู ึกวิตกกังวลด้วยแบบวดั ความวิตกกังวล และวดั ความดันโลหติ

ขั้นตอนการดำเนนิ การขณะเก็บข้อมลู สำหรับกลมุ่ ควบคุม

1. ผู้วิจัยเข้าไปทักทายผู้ป่วยด้วยการเรียกชื่อด้วยเสยี งนุ่มนวล อ่อนโยน พร้อมทั้งสบสายตา
และยิ้มให้ พรอ้ มทั้งมีสีหน้าท่าทางทเ่ี ปน็ กันเอง

2. ผู้วิจัยแนะนําตัวเองและบอกให้ผู้ป่วยทราบถึงจุดประสงค์ที่เข้ามาพบผู้ป่วย ต้องการทำ
วิจยั เรื่องการสมั ผัสมือขณะผา่ ตัด เพื่อช่วยลดความวติ กกังวลขณะผา่ ตัด ถา้ แนวทางนีไ้ ดผ้ ลดี จะ
นำไปใช้กับผู้ป่วยท่านอื่น ผู้วิจัยเซ็นใบยินยอมเข้าร่วมวิจัย ถ้าระหว่างผ่าตัดรู้สกึ อึดอัด ไม่ต้องการให้
ผูว้ จิ ัยเลิกจะหยุดทนั ที ซ่ึงผู้ปว่ ยไม่ได้เสยี ประโยชน์การรักษาพยาบาล

3. วดั สญั ญาณชีพก่อนผา่ ตดั ระหวา่ งผา่ ตัด หลังผ่าตัด และความวิตกกังวลกอ่ นผ่าตดั

หลงั ผา่ ตัด

34

4. ให้คำแนะนำระหว่างผ่าตัด ผู้ป่วยอย่าส่ายหน้าไปมาจะไอหรือจาม ขยับตัวให้บอกแพทย์
ก่อนจะมีอันตรายเพราะมีเครื่องมืออยู่ในตา ระหว่างผ่าตัด จะมีเสียงดังไม่ต้องตกใจเป็นเสียงดังของ
เครื่อง (ผ่าตัด PE & IOL สลายต้อกระจกด้วยเครื่องอุลตราซาวด์ แผลเล็ก) จะมีแสงไฟจากกล้อง
ผ่านไปมาบริเวณตา

5. เสรจ็ ผ่าตัด ประเมนิ ความวติ กกงั วลหลงั ผา่ ตัด

ข้นั ตอนการดำเนนิ การขณะเก็บขอ้ มูล สำหรบั กลมุ่ ทดลอง
แบบแผนการสมั ผสั มือ 3 T ( trust ,talk , touch) กลมุ่ ทดลอง
Trust การสร้างความสัมพันธ์ เกิดความเชื่อใจ talk การพูด touch การสัมผัสขณะผ่าตัด
1. ผู้วิจัยเข้าไปทักทายผู้ปว่ ยด้วยการเรียกชื่อด้วยเสียงนุ่มนวล อ่อนโยน พร้อมทั้งสบสายตา

และยม้ิ ให้ พรอ้ มท้งั มีสีหน้าทา่ ทางที่เป็นกนั เอง
2. ผู้วิจัยแนะนําตัวเองและบอกให้ผู้ป่วยทราบถึงจุดประสงค์ที่เข้ามาพบผู้ป่วย ต้องการทำ

วิจัยเรื่องการสัมผัสมือขณะผ่าตัด เพื่อช่วยลดความวิตกกังวลขณะผ่าตัด ถ้าแนวทางนี้ได้ผลดีจะ
นำไปใช้กับผู้ป่วยท่านอื่น ผู้วิจัยเซ็นใบยนิ ยอมเข้ารว่ มวิจยั ถ้าระหว่างผ่าตัดรู้สกึ อึดอัด ไม่ต้องการให้
ผวู้ ิจยั เลกิ จะหยุดทนั ที ซ่ึงผปู้ ว่ ยไมไ่ ด้เสยี ประโยชนก์ ารรกั ษาพยาบาล

3. วัดสัญญาณชพี กอ่ นผ่าตดั ระหวา่ งผา่ ตดั หลังผา่ ตัด และความวติ กกงั วลกอ่ นผา่ ตดั หลังผา่ ตัด
4. ให้คำแนะนำระหว่างผ่าตัด ผู้ป่วยอย่าส่ายหน้าไปมาจะไอหรือจาม ขยับตัวให้บอกแพทย์
ก่อนจะมีอันตรายเพราะมีเครื่องมืออยู่ในตา ระหว่างผ่าตัด จะมีเสียงดังไม่ต้องตกใจเป็นเสียงดังของ
เครื่อง (ผ่าตัด PE & IOL สลายต้อกระจกด้วยเครื่องอุลตราซาวด์ แผลเล็ก) จะมีแสงไฟจากกล้อง
ผา่ นไปมาบริเวณ ตา
5. หลังปูผ้าเสร็จแล้ว เริ่มลงมีด ผู้วิจัยเริ่มการสัมผัสผู้ป่วยด้วยท่าทีที่สงบ มั่นคงสุภาพและ
ออ่ นโยน โดยการยืนด้านที่เขา้ ถึงผปู้ ่วย ตรงขา้ มแพทย์ผ่าตดั เพ่อื ไม่รบกวนการผ่าตดั
6. วางมือของผู้วิจัยข้างใดข้างหนึ่งทางด้านที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยลงบนมือหรือข้อมือของผู้ป่วย
อยา่ ง แผ่วเบาและนุ่มนวลไวน้ ิง่ ๆ สักครู่หน่งึ แล้วใชอ้ ีกมอื หนง่ึ ของผูว้ จิ ัยประคองมือของผู้ป่วยไว้และ
อีกมือหนึ่งวางบนมือผู้ป่วย แล้วผู้วิจัยเริ่มพูดคุยให้กําลังใจ พร้อมกับการสัมผัสเพื่อให้เป็นไปตาม
ธรรมชาติที่สดุ ดังน้คี ือ

6.1 ก่อนเริ่มผ่าตัด ผู้วิจัยพูดให้ความมั่นใจกับผู้ป่วยต่อไป “ไม่ต้องเป็นห่วงนะค่ะ ที่นี่เรา
มีคุณหมอที่มีความชํานาญเกี่ยวกับการผ่าตัดเฉพาะโรค และมีเครื่องมือที่ทันสมัย ซึ่งสามารถช่วยให้
การผ่าตัดเป็นไปด้วยความสะดวกรวดเร็วและปลอดภัย และมีพยาบาลอยู่ข้างๆ คุณ” ในขณะพูดผู้วิจัย
ประคองมือทั้ง 2 ขา้ ง ไว้บนมือของผปู้ ว่ ยนิ่งๆ

6.2 ผู้ป่วยฉีดยาชาเฉพาะท่ีผู้วิจัยพูดว่า “ทำใจให้สบายนะค่ะ คุณหมอฉีดยาชาให้แล้ว
คุณก็จะรู้สึกชา และไม่มีความเจ็บปวด แต่จะรู้สึกตัวตลอด ขณะผ่าตัดจะมีเสียงดังของเครื่องไม่ต้อง
ตกใจ อยา่ สา่ ยหน้ามเี ครือ่ งมืออยูใ่ นตา จะเปน็ อันตรายได้ค่ะ” ในขณะท่ีพดู กบั ผปู้ ว่ ยนัน้ ผวู้ ิจัยวางมือ
ผู้ป่วยลงบนมือของผู้วิจัย มือของผู้ป่วย อยู่บนนิ้วทั้ง 4 ของผู้วิจัยยกเว้นนิ้วหัวแม่มือ ผู้วิจัยใช้
นิ้วหัวแม่มือ กดบริเวณฝ่ามือไม่ต้อง ออกแรงมาก ไปรอบๆฝ่ามือ ถึงข้อมือ ครบ 1 รอบ ทำครบ 15
นาที วัดสัญญาณชีพ ผวู้ จิ ยั วางมอื ผู้ปว่ ยลงบนมือของผ้วู ิจัย ผู้วิจัย ใชน้ ้วิ โปง้ กดบริเวณรอบๆ ฝ่ามือ
จนถึงโดยมือของผู้ป่วยอยู่บนนิ้วทั้ง 4 ของผู้วิจัย บริเวณข้อมือ แล้ววนกลับไปที่ฝ่ามือใหม่ยกเว้น
นวิ้ หวั แมม่ ือ

35
6.3 ภายหลังผ่าตัดเสร็จ ผู้วิจัยถามถึงความรู้สึกของผู้ป่วย ภายหลังได้รับการสัมผัส
ถา้ ผู้ปว่ ยมีความวิตกกงั วลมาก พจิ ารณาแนะนำปรึกษาจติ แพทย์
7. วเิ คราะหข์ ้อมูลตามแผนการวเิ คราะห์ข้อมูลทางสถิติ เพ่ือตอบโจทย์ตามวัตถุประสงค์ ท่ี
กำหนดไว้
8. เขยี นรายงานผล อภิปรายผลและสรุปรายงานผลการศกึ ษาวจิ ัยนี้

ภาพ ขั้นตอนการสัมผสั

แผนภาพที่ 1 พยาบาลน่ังตรงขา้ มตาข้างผ่าตดั

แผนภาพที่ 2 สถานการณ์ชว่ งโควิด ผ้ปู ว่ ย มี mask ปดิ บริเวณจมกู

แผนภาพท่ี 3 ผวู้ ิจัยประคองมอื ผู้ป่วยไว้ มือผปู้ ว่ ยอย่บู นมอื ผูว้ จิ ัย

แผนภาพท่ี 4 นิว้ ทั้ง 4 น้ิวรองใต้มอื ผปู้ ่วย ใช้ นว้ิ หัวแม่หัวแม่มอื สมั ผัสบรเิ วณฝ่ามอื

แผนภาพที่ 5 ใช้นิ้วมอื สมั ผสั กดเบาๆ รอบๆฝา่ มือวนรอบฝา่ มอื จนครบ 15 นาที
ภาพถา่ ย วันที่ 24 ตุลาคม 2564

36

ความเสีย่ งที่อาจเกดิ ขนึ้ กับผู้เข้าร่วมโครงการวจิ ยั และแนวทางการแกไ้ ข

การศึกษานี้ผู้ป่วยอาจจะได้รับความเสี่ยง เช่น ความไม่สุขสบาย การเสียเวลา อย่างไรก็ตาม
ความเสี่ยงเหล่าน้ไี ม่ใชค่ วามเสยี่ งร้ายแรง ผูว้ จิ ยั จะทำการชแ้ี จงให้อาสาสมัครทราบก่อนการสัมภาษณ์
การวัดสัญญาณชีพ และการสัมผัสมือระหว่างผ่าตัด หากผู้ป่วยรู้สึกไม่สบายใจ สามารถแจ้งผู้วิจัยได้
ตลอดระยะเวลาผา่ ตดั ผู้วจิ ยั จะยตุ ิการเกบ็ ขอ้ มลู หรือการสมั ผสั มอื ทนั ที

ข้อมูลที่ได้จากการศึกษาวิจัยนี้จากเนื่องจากช่วงงานวิจัยเป็นช่วงสถานการณ์การระบาดของ เชื้อ Covid-
19 การระมัดระวังการแพร่กระจายเชอ้ื เป็นสิง่ ต้อง ให้ความสำคัญ แนวการปฏิบัตมิ ดี งั นี้

1. พยาบาลผใู้ ห้การสมั ผัสผูป้ ่วยสวมถุงมือทุกคร้ังปอ้ งกนั การนำเชื้อโรคสผู่ ู้ป่วย
2. พยาบาลซึ่งดูแลผู้ป่วย ถ้าเป็นผู้มีความเสี่ยงสัมผัสผู้ติดเชื้อ จะต้องกักตัว 14 วัน หรือถ้า
เปน็ ผูม้ ีความเสย่ี งตำ่ ไม่ไดส้ ัมผัส กับผู้ตดิ เช้อื โดยตรง จะไม่ไดเ้ ป็นผสู้ ัมผสั ผู้ป่วย
3. ทำความสะอาดมอื ดว้ ยนำ้ ยาฆา่ เชอ้ื กอ่ นและหลังสัมผัสผปู้ ว่ ย
4. ผ้ปู ่วยมแี มสปิดจมูกขณะผ่าตัด
5. ผู้ปว่ ยรบั การผา่ ตัดจะได้รับการ Swab Covid ทกุ ราย
6. ผู้วิจัยกับผู้ป่วยเป็นเพศตรงข้ามกัน ผู้ป่วยอาจไม่สบายใจเพศตรงข้ามสัมผัส ดังน้ัน
ขอความยินยอมก่อนแม้ว่าในลักษณะการผ่าตัด ผู้ป่วยมีผ้าคลุมหน้าตลอดเวลา ผู้ป่วยจะไม่ทราบว่า
ใครสมั ผสั จะเก็บเปน็ ความลบั ไม่เปดิ เผยรายบุคคลทีอ่ าจสง่ ผลต่อการดำเนนิ ชีวิตของผูป้ ่วย

3.4 ข้อพิจารณาด้านจรยิ ธรรมการวจิ ัย
โดยวิเคราะห์ตามหลักจรยิ ธรรมการวิจยั ในคน 3 ขอ้ แต่ละข้อผู้วิจัยทำอย่างไรตามที่ได้กล่าว

ไวใ้ นแนวทางปฏิบัตขิ ้างต้น ไดแ้ ก่

หลักความเคารพในบุคคล (Respect for person) มีกระบวนการขอความยินยอมจากผู้ที่เป็น
กลุ่มประชากรเปา้ หมายของการวจิ ัย ใหเ้ ขา้ รว่ มเปน็ ผ้เู ข้าร่วมโครงการวิจัยในการวจิ ยั

หลักการให้ประโยชน์ ไม่ก่อให้เกิดอันตราย (Beneficence/Non-maleficence) ก่อนเข้าร่วม
การวิจัย ผู้วิจัยจะชี้แจงประโยชน์ในการสัมผัสมือแก่ผู้ป่วย ทั้งนี้เพื่อการสัมผัสมือของผู้ป่วยที่อาจ
ก่อให้เกิดความรู้สึกของผู้ป่วย เป็นการแสดงถึงความหมายของการดูแลเอาใจใส่ ความห่วงใย
ความเขา้ ใจ ความเหน็ อกเหน็ ใจ การให้กำลังใจผู้ป่วยกอ่ นการผา่ ตัดโยการจบั มอื รวมถงึ การ ให้
กำลังใจ การให้ความมั่นใจ จะทำให้ผู้ป่วยรบั รู้ และมีความรู้สกึ ผ่อนคลาย ลดความวิตกกังวล สบาย
ใจ ปลอดภยั ลดความเจบ็ ปวด และใหค้ วามรว่ มมอื ในการผา่ ตดั

หลักความยุติธรรม (Justice) คือ มีเกณฑ์การคัดเข้าและออกชัดเจน ไม่มีอคติ มีการกระจาย
ประโยชน์และความเส่ียงอยา่ งเท่าเทยี มกันโดยวิธกี ารสุ่ม

ทั้งนี้ การดำเนินโครงการวิจัยจะดำเนินการหลังจากโครงการวิจัยได้รับการรับรองด้าน
จริยธรรมการวิจัย จากคณะกรรมการจรยิ ธรรมการวจิ ยั ในคนแลว้ เสมอ

37

3.5 เครื่องมือทใ่ี ช้ในการศึกษา
ความเทยี่ งตรงของเคร่อื งมือ ( Reliability)

สำหรับเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย แบบสอบถามความคิดเห็นการสัมผัส แบบสอบถามไป
ทดสอบความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม โดยการ Try out กับกลุ่มตัวอย่างที่มีลักษณะใกล้เคียงกับ
กลุ่มที่ต้องการศึกษา (มิใช่กลุ่มตัวอย่าง) จำนวน 15 คน แล้วนำเอาข้อมูลมาวิเคราะห์หาค่าความ
เชื่อมั่นของแบบสอบถาม ด้วยวิธีหรือเรียกว่า การหาค่า Cronbach's alpha coefficient
(สมั ประสิทธ์ิครอนแบคอลั ฟา) เป็นการหาค่า "สมั ประสทิ ธ์ิของความเช่ือมั่น" (coefficient of reliability)
โดยกำหนดเกณฑ์ที่คา่ แอลฟาต้ังแต่ 0.70 ขนึ้ ไป จงึ จะเป็นแบบสอบถามท่ีมีความน่าเช่ือถือ และนำไปใช้
ในการศึกษาวิจัย ได้ค่า Cronbach's alpha coefficient (สมั ประสิทธค์ิ รอนแบคอลั ฟา) =0.89

เครื่องมอื ท่ีใชใ้ นการเก็บรวบรวมข้อมลู

1) แบบบันทึกข้อมูลส่วนตัว ประกอบด้วย ปัจจัยทางด้านบุคคล คือ เพศ อายุ ระดับ
การศึกษา สถานภาพสมรส อาชีพ ความเพียงพอของรายได้ สิทธิการรักษาพยาบาล และปัจจัยด้าน
การเจ็บป่วย คือ ประวัติโรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา ประสบการณ์ผ่าตัด ชนิดของการผ่าตัดต้อกระจก
ระยะเวลาในการผ่าตดั ตอ้ กระจกตา

2) แบบวัดสัญญาณชีพ ประกอบด้วย อัตราการเต้นของหัวใจ อัตราการหายใจ
และความดนั โลหติ

3) แบบวัดความกังวล (Visual Analogue Scale) ผู้วิจัยประเมินความวิตกกังวลโดยใช้แบบ
ประเมินความวิตกกังวล (Visual Analogue Scale) โดยอาศยั แนวคิดของ (De Jong et al, 2005)33
มาตรวัดแบบอะนาล็อกแบบภาพ A VAS ถูกใช้เพื่อวัดระดับความวิตกกังวลทางจิตใจของผู้ป่วยหลัง
การผ่าตัด VAS) ประกอบด้วยเส้นแนวนอน 10 มม. โดยมีตัวบอกวา่ '' ไม่มีความวิตกกังวล ''
ที่ปลายด้านซ้ายและ ''ความวิตกกังวลที่เลวร้ายที่สุด ''ที่ปลายด้านขวา ผู้รับการทดลองถูกขอให้ระบุ
ว่าตอนนั้นพวกเขารู้สึกกังวลเพียงใดโดยการทำเครื่องหมายหรือชี้ไปที่ตำแหน่งบนเส้น ความรุนแรง
ของความร้สู กึ ได้คะแนน

ไม่มีความวติ กกงั วล วิตกกงั วลมากทีส่ ดุ

แบ่งเป็น 4 ระดับ ได้แก่ ไม่มีความวิตกกังวล มีความวิตกกังวลน้อย มีความวิตกกังวลระดบั ปานกลาง
มีความวิตกกังวลระดบั มาก

การแปลผลคะแนนความวติ กกงั วลหลังผา่ ตัด

0-25 คะแนน ไมม่ ีความวิตกกงั วล
26-50 คะแนน วิตกกังวลนอ้ ย
51-75 คะแนน วติ กกังวลระดับมาก
76-100 คะแนน วติ กกงั วลระดบั มากทส่ี ดุ

38

ความคดิ เห็นความวิตกกังวลขณะผ่าตดั ใช่ ❑ ไม่ใช่ ❑
ใช่ ❑ ไมใ่ ช่ ❑
1. ทา่ นร้สู กึ ผ่อนคลาย ระหวา่ งการผา่ ตัดต้อกระจก ใช่ ❑ ไม่ใช่ ❑
2. ให้ความรว่ มมอื ในการผ่าตัด 1. หันศีรษะหนีแพทย์ ใช่ ❑ ไม่ใช่ ❑
ใช่ ❑ ไมใ่ ช่ ❑
2. ขยบั รา่ งกายไปมา
3. กรอกตาขณะผา่ ตัด ใช่ ❑ ไม่ใช่ ❑
3. ท่านรู้สกึ สบายใจ และปลอดภยั เมอ่ื เขา้ ห้องผ่าตดั
4. ทา่ นรสู้ กึ เจ็บปวดมากขณะผ่าตัดแมไ้ ด้รบั ยาชาแล้ว ใช่ ❑ ไม่ใช่ ❑
แต่ไม่กลา้ บอกแพทย์ ใช่ ❑ ไมใ่ ช่ ❑
5. ท่านรู้สึกมัน่ ใจในขัน้ ตอน หรอื วธิ ีการผ่าตัดครง้ั น้ี ใช่ ❑ ไม่ใช่ ❑
เพราะฉันไดร้ บั กำลังใจจากพยาบาล ใช่ ❑ ไมใ่ ช่ ❑
6. ทา่ นรสู้ กึ กังวลแพทย์ผา่ ตดั เปน็ แพทยฝ์ ึกหัด ใช่ ❑ ไม่ใช่ ❑
7. ท่านรู้สกึ กลวั เมอ่ื เหน็ เครอื่ งมือแพทย์ ผา่ นไปมาบริเวณตา ใช่ ❑ ไมใ่ ช่ ❑
8. ความกังวลเรื่องใด การมองเหน็ ไม่เหมือนเดิม
9. ความกงั วลเร่อื ง กลวั เกิดภาวะแทรกซ้อนขณะผ่าตัด
10. ความกังวลเรอ่ื ง การฉดี ยาชา

39

แบบสอบถามแบบมาตราส่วนประเมนิ ค่า สำหรบั กล่มุ รับการสมั ผัสมือระหว่างการผา่ ตัด

จำนวน 9 ขอ้ ผู้รับการวิจยั ใหต้ อบคำถามตรงกบั ความรูส้ กึ มากทีส่ ดุ

คะแนนความคิดเหน็ ต่อการสมั ผัสมือขณะผ่าตัด

โดยมเี กณฑ์ดังน้ี 3 หมายถึง เห็นดว้ ย ตรงกับการรบั รู้และความรู้สึกของทา่ นมาก
2 หมายถึง ไมแ่ น่ใจ การรับร้แู ละความรูส้ ึกของตน
1 หมายถึง ไม่เหน็ ดว้ ย ไมต่ รงกบั การรบั ร้แู ละความรู้สึกของท่าน

คะแนนความคิดเหน็ ต่อการสมั ผัส

ความรสู้ กึ ของท่านขณะได้รับการสมั ผสั มือ

ขณะผ่าตดั

ไม่เหน็ ดว้ ย ไมแ่ น่ใจ เห็นด้วย

1 23

1. ท่านรู้สึกผ่อนคลายเมื่อพยาบาลจบั มือระหว่างการผ่าตดั ต้อ

กระจก

2. ท่านรู้สึกว่าพยาบาลจับมือฉันทำให้ลดความวิตกกังวล

ขณะผ่าตดั ต้อกระจก

3. ท่านรูส้ ึกว่าการที่พยาบาลจับมือระหวา่ งผา่ ตัดทำให้ฉันใส่ใจ

และให้ความรว่ มมือในการผ่าตดั ตอ้ กระจก

4. ท่านรู้สึกสบายใจ และปลอดภัยเมื่อพยาบาลจับมือระหว่าง

การผ่าตัดตอ้ กระจก

5. ท่านรู้สึกเจ็บปวดน้อยลง หรือลดความเจ็บปวดได้ เมื่อมี

พยาบาลจับมอื ระหวา่ งการผา่ ตัดต้อกระจก

6. ท่านต้องผ่าตัดครั้งต่อไป ฉันต้องการ/ฉันชอบให้ พยาบาล

จบั มือระหวา่ งการผ่าตัดตอ้ กระจก

7. ท่านจะแนะนำวิธีการจับมือของพยาบาลระหว่างการผ่าตัด

เพอื่ ลดความวติ กกงั วลในการผ่าตดั ต้อกระจกให้กับผู้อนื่

8. ท่านจะแนะนำวิธีการจับมือของพยาบาลระหว่างการผ่าตัด

กบั ญาติ หรอื คนสนิท

9. ท่านรู้สึกมั่นใจในขั้นตอน หรือวิธีการผ่าตัดครั้งนี้ เพราะฉัน

ไดร้ บั กำลงั ใจจากพยาบาล

คดิ คะแนนเป็นค่ารอ้ ยละความคิดเหน็ ต่อการสมั ผสั และคะแนนเฉลีย่

1. กลุม่ ทีใ่ ช้ในการทดลอง

1) กลมุ่ ทีไ่ ดร้ บั การสมั ผัสมือระหวา่ งการผา่ ตัดต้อกระจกตาโดยใช้ยาชา เมอ่ื ผปู้ ่วยเขา้ รอ

ผ่าตัด ผู้วิจัยจะวัดสัญญาณชีพก่อนผ่าตัด ขณะผ่าตัดจะสัมผัสมือ 15 นาที หลังผ่าตัด สัมภาษณ์ ความ

วติ กกงั วล หลังผา่ ตดั

40

2) กลุ่มควบคุมท่ีไดร้ ับการพยาบาลปกติเมื่อผู้ป่วยเข้ารอเขา้ รอผ่าตัด ผวู้ ิจัยจะ วัดสญั ญาณชีพ
กอ่ น ผ่าตดั ขณะ ผ่าตัด หลงั ผ่าตัด สัมภาษณค์ วามวิตกกงั วล หลงั ผา่ ตดั

3.6 สถติ ิทใ่ี ชใ้ นการวิเคราะห์ข้อมูล (Data analysis)

1. สถติ ิเชงิ พรรณนา (Descriptive Statistics)

1. ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้เข้ารว่ มวิจัย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา (descriptive
statistic) ไดแ้ ก่

1.1 ข้อมลู เชงิ กลุ่ม (Categorical data) รายงานผลเป็น
1) ความถี่ (frequency)
2) ปริมาณร้อยละ (Percentage)

1.2 ข้อมูลต่อเนื่อง (Continuous data)
1) การกระจายปกติ (Normal distribution) รายงานผลเป็น ค่าเฉลยี่ (Mean, X̅)

และ ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน (standard deviation, SD)
2) การกระจายไม่ปกติ (Not normal distribution) รายงานผลเปน็ มธั ยฐาน

(Median) และค่าส่วนเบ่ยี งเบนควอไทล์ (Inter-quartile range)
2. สถิติเชงิ อนุมาน (Inferential statistic) ไดแ้ ก่

2.1 วิเคราะห์ระดับความวิตกกังวลหลังผ่าตัดในผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดต้อกระจก
โดยใชย้ าชาในกลมุ่ ผู้ป่วยทไ่ี ด้รบั สมั ผสั มอื โดยใช้รอ้ ยละ คา่ เฉลย่ี และส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐาน

2.2 วเิ คราะห์ ความแตกตา่ ง ของความวิตกกังวลในผู้ป่วยท่ีไดร้ ับการผา่ ตัดต้อกระจกโดย
ใช้ยาชา ระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมใช้สถิติ Mann Whitney U test เพราะจากทดสอบ
ขอ้ มลู เปน็ การแจกแจงไมป่ กติ

2.3 วเิ คราะห์ ความแตกตา่ ง สญั ญาณชพี ในผู้ป่วยที่ไดร้ บั การผ่าตดั ตอ้ กระจก โดยใช้ ยา
ชาในกลมุ่ ผู้ป่วยท่ีได้รบั สัมผัสมือ และกลมุ่ ผปู้ ว่ ยที่ไดร้ ับการพยาบาลตามปกติ ใช้ Mann Whitney U
test เพราะจากทดสอบขอ้ มูลเปน็ การแจกแจงไม่ปกติ

2.4 กำหนดค่า P-Value < 0.05 ทีร่ ะดับนัยสำคัญทางสถิติ (statistically significant)

3.7 ข้อจำกัดของการศกึ ษาวิจยั
1. ในการเกบ็ ข้อมูลในสถานะการระบาด (Covid -19) การสัมผัสผู้ปว่ ยตอ้ งระมดั ระวัง

การตดิ เช้อื ผู้วจิ ยั ตอ้ งสวมถงุ มือมือทุกคร้ัง ท่ีสัมผสั ผ้ปู ว่ ย

2. ในภาวะขาดแคลนบคุ ลากร ตอ้ งเสยี คนไปหน่งึ คนเพอ่ื นั่งจับมอื ผูป้ ว่ ย

3. ผู้ป่วยออกจากงานวิจัยเนื่องจาก ในการกำหนดเวลาการสัมผัส 15 นาที แล้ววัด
สัญญาณชีพแตผ่ ูป้ ว่ ยบางราย กลวั มาก ไมย่ อมปล่อยมอื พยาบาล ตอ้ งจับมือจบ case

4. พยาบาลจะเป็นผู้อา่ นแบบสอบถามแล้วให้ผ้ปู ่วยตอบ เน่ืองจากผู้ป่วยมปี ัญหาทางสายตา

41

บทที่ 4

ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล

ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้เก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งเป็นผู้ป่วยผ่าตัดต้อกระจก
จำนวน 40 คน ผลการวเิ คราะห์ แบ่งเป็น สว่ น ดงั น้ี

4.1 ข้อมูลสว่ นบคุ คล
ตารางที่ 1 แสดงจำนวนและคา่ รอ้ ยละของปัจจยั สว่ นบุคคล
ตารางที่ 2 ค่าเฉล่ยี คะแนนปจั จัยส่วนบคุ คล ด้านอายุ ระยะเวลาการเปน็ ตอ้ กระจก

ระยะเวลาการผา่ ตัด ของกลมุ่ ทดลอง
ตารางที่ 3 คา่ เฉลย่ี คะแนนปัจจัยสว่ นบคุ คล ดา้ นอายุ ระยะเวลาการเป็นต้อกระจก

ระยะเวลาการผ่าตัด ของกลมุ่ ควบคมุ

4.2 ความวิตกกังวล ของกลุ่มทดลองและกล่มุ ควบคมุ และคะแนนความคดิ เห็น

ตารางที่ 4 แสดงจำนวนและคา่ ร้อยละ คะแนนความ คิดเหน็ ความวิตกกังวล ของผปู้ ว่ ย
ผา่ ตดั ตอ้ กระจก กลุ่มทดลองและกล่มุ ควบคมุ ขณะการผา่ ตัด

ตารางท่ี 5 แสดงจำนวนและค่าร้อยละ ความวิตกกังวล และค่าเฉลี่ยความวิตกกังวลของ
ผู้ป่วยผา่ ตดั ตอ้ กระจก กลุ่มทดลองและกลมุ่ ควบคมุ หลังผา่ ตัด

4.3 ความแตกต่างของคะแนนความวติ กกงั วลของกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคมุ หลังผ่าตัด

ตารางท่ี 6 แสดงความแตกต่างของคะแนนความวติ กกังวลหลังผ่าตัด ของกลมุ่ ควบคุม และ
กลมุ่ ทดลอง

4.4 ความแตกต่างของคะแนนสัญญาณชีพ ก่อนผ่าตัด ขณะผ่าตัด หลังผ่าตัด ของกลุ่มควบคุม
และกลุ่มทดลอง

ตารางที่ 7 แสดงความแตกต่างของคะแนนสญั ญาณชพี ก่อนผา่ ตัด ของกลุม่ ควบคุม
และกลุ่มทดลอง

ตารางที่ 8 แสดงความแตกตา่ งของคะแนนสัญญาณชีพ ขณะผ่าตัด ของกลุ่มควบคมุ
และกลุ่มทดลอง

ตารางที่ 9 แสดงความแตกต่างของคะแนนสญั ญาณชีพ หลงั ผ่าตดั ของกลมุ่ ควบคุม
และกลมุ่ ทดลอง
4.5 ความคดิ เห็นตอ่ การสัมผัสมือกลุ่มทดลอง

ตารางที่ 10 แสดงคา่ รอ้ ยละความคิดเหน็ ต่อการสัมผัสมือ และคะแนนเฉล่ียต่อการสัมผัสมือ
ของกลุ่มทดลอง

42

สว่ นท่ี 1 ข้อมูลส่วนบุคคล
ปัจจัยด้านลักษณะประชากร ประกอบด้วย อายุ, ระดับการศึกษา, สถานภาพสมรส, อาชีพ,

ความเพียงพอของรายได้, จำนวนคร้ังของการผ่าตัด, ระยะเวลาทที่ ่านทราบว่าเปน็ ต้อกระจก, ประวัติ
โรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา, ประสบการณ์ผ่าตัด, ชนิดของการผ่าตัดต้อกระจก, ระยะเวลา
ในการรอผา่ ตัดต้อกระจกตาคร้งั น้ี และ สิทธิการรกั ษาพยาบาล

ตารางที่ 1 แสดงจำนวนและคา่ ร้อยละ ของผูป้ ่วยผ่าตดั ต้อกระจก จำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล

ปัจจัยส่วนบคุ คล จำนวน จำนวน
(N=20 คน) ร้อยละ (N=20 คน) รอ้ ยละ
เพศ กลุ่มทดลอง
ชาย กลมุ่ ควบคมุ
หญิง
11 55 9 45
9 45 11 55

ระดับการศกึ ษา 0 0 15
ไมไ่ ดเ้ รียน 8 40 7 35
ประถมศกึ ษา 10 50 8 40
มธั ยมศึกษา 2 10 4 20
ปวช /ปวส

สถานภาพสมรส 2 10 2 10
โสด 18 90 18 90
สมรส

อาชีพ 13 55 14 70
วา่ งงาน 1 5 00
เกษตรกรรม 6 30 5 25
รับจา้ ง 0 0 15
ราชการ

ความเพยี งพอของรายได้

เพียงพอ มเี หลือเก็บ 3 15 3 15

เพียงพอ ไม่มีเหลือเก็บ 8 40 6 30

ไม่พอใช/้ มหี นสี้ นิ 9 45 11 55

43
ตารางที่ 1(ต่อ) แสดงจำนวนและค่าร้อยละ ของผู้ปว่ ยผา่ ตัดตอ้ กระจก จำแนกตามปจั จัยสว่ นบุคคล

ปัจจยั ส่วนบุคคล จำนวน จำนวน
(N=20 คน) รอ้ ยละ (N=20 คน) รอ้ ยละ
ประวัติโรคประจำตัว กลุ่มทดลอง
ไม่มี กลมุ่ ควบคุม
8 40 9 45
มี 12 60 11 55

ประวตั ิการแพ้ยา 19 95 19 95
1 5 15
ไมม่ ี
6 30 10 50
มี 14 70 10 50

ประสบการณ์ผา่ ตดั 5 25 8 40
15 75 12 60
ไมเ่ คยผ่าตัด
17 85 18 90
เคยผ่าตัดบริเวณอ่นื 3 15 2 10

จำนวนครัง้ ของการผา่ ตดั 1 5 2 10
0 0 15
1 คร้งั 2 10 2 10
17 85 15 75
มากกว่า 1 คร้ัง

ชนิดของการผ่าตดั ต้อกระจก

PE& IOL

ECCE & IOL

สทิ ธิการรักษาพยาบาล
สิทธริ าชการ/รัฐวสิ าหกจิ
ประกันสงั คม
ชำระเงนิ เอง
ประกันสขุ ภาพถว้ นหน้า

44

ตารางท่ี 2 ค่าเฉล่ยี คะแนน ปจั จยั ส่วนบคุ คล ของกลุ่มทดลอง

ปจั จัยส่วนบุคคล

จำนวน กล่มุ ตัวอยา่ ง Range MIN MAX MEAN SD

N =20

อายุ (ป)ี 34 49 83 64.25 1.91

ระยะเวลาการเปน็ ตอ้ กระจก (ปี) 5 1 6 1.95 1.6

ระยะเวลาการผ่าตัด (นาที) 120 40 160 81 36.69

ตารางท่ี 3 ค่าเฉล่ีย คะแนน ปัจจัยสว่ นบคุ คล ของกลมุ่ ควบคุม

ปจั จยั ส่วนบุคคล

จำนวน กล่มุ ตัวอย่าง Range MIN MAX MEAN SD

N =20

อาย(ุ ป)ี 30 44 74 61.95 8.73

ระยะเวลาการเป็นต้อกระจก(ปี) 3 1 4 1.9 0.788

ระยะเวลาการผา่ ตดั (นาท)ี 155 35 190 72.75 41.9

จากตารางที่ 1 แสดงลักษณะทั่วไปของกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยผ่าตัดต้อกระจกใช้ยาชา จำนวน
20 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 20 คน กลุ่มควบคุม 20 คน กลุ่มทดลอง เป็นเพศ หญิงจำนวน 9 คน
คิดเป็นร้อยละ45 เพศชายจำนวน 11 คน คิดเป็นร้อยละ 55 ส่วนใหญ่ระดับการศึกษา เป็นระดับ
มัธยมศึกษาจำนวน 10 คน คิดเปน็ ร้อยละ 50 รองลงมาเปน็ ระดับประถมศึกษา 8 คน คิดเป็นร้อยละ
40 ระดับ ปวช/ปวส น้อยทสี่ ุด 2 คน ร้อยละ 10
สถานภาพสมรส ส่วนใหญ่ สมรสแล้ว จำนวน 18 คน รอ้ ยละ 90 โสด 2 คน รอ้ ยละ 10
อาชีพ ไม่ได้ทำงาน มากที่สุด จำนวน 13 คน คิดเป็นร้อยละ 65 รองลงมาเปน็ อาชีพรับจา้ ง 6 คนคิด
เปน็ รอ้ ยละ 30 นอ้ ยทสี่ ุด อาชพี เกษตรกรรม จำนวน 1 คน ร้อยละ 5
ความเพียงพอของรายได้ มากทีส่ ดุ ไมพ่ อใช้มีหนสี้ นิ จำนวน 9 คน รอ้ ยละ 45 รองลงมาเป็นเพียงพอ
ไมม่ เี หลือเก็บ จำนวน 8 คน คดิ เป็น รอ้ ยละ 40 โดยเพียงพอ มเี หลือเกบ็ น้อยทีส่ ุดจำนวน 3 คน คิด
เป็น รอ้ ยละ 15

ประวตั ิโรคประจำตวั มโี รคประจำตวั 12 คน ร้อยละ 60 ไม่มีโรคประจำตัว 8 คน ร้อยละ 40

ประวัตกิ ารแพย้ า ไม่มอี าการแพ้ยาจำนวน 19 คน คดิ เป็น รอ้ ยละ 95 แพย้ า 1 คน รอ้ ยละ 5

ประสบการณก์ ารผ่าตดั มีประสบการณ์การผ่าตัดจำนวน 14 คน ร้อยละ 70 ไม่มปี ระสบการณ์ การ
ผ่าตดั 6 คน รอ้ ยละ 30

จำนวนคร้งั ของการผา่ ตดั มากกว่า 1 ครั้ง 15 คน รอ้ ยละ 75 1 คร้ัง 5 คน ร้อยละ 25


Click to View FlipBook Version