รายงานการวิจัยในชั้นเรียน เรื่องการพัฒนาผลการเรียนรู้ เรื่อง การปฏิบัติตนเป็นชาวพุทธที่ดีต่อศาสนาพุทธของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้เทคนิคการสอนแบบโมเดลซิปปา โดย นางสาว เขมอักษร ยอดพรหม รหัสนักศึกษา 624110007 หมู่เรียน 62/19 สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม หน่วยฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู โรงเรียนสมุทรสาครวุฒิชัย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา สมุทรสาคร สมุทรสงคราม อำเภอ เมืองสมุทรสาคร จังหวัด สมุทรสาคร ปีการศึกษา 2565
1 ชื่อวิจัยในชั้นเรียน การพัฒนาผลการเรียนรู้ เรื่อง การปฏิบัติตนเป็นชาวพุทธที่ดีต่อศาสนาพุทธ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้เทคนิคการสอนแบบโมเดลซิปปา ชื่อผู้วิจัย นางสาว เขมอักษร ยอดพรหม สาขาวิชาสังคมศึกษา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม หน่วยฝึกประสบการณ์ โรงเรียนสมุทรสาครวุฒิชัย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา สมุทรสาคร สมุทรสงคราม ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 ระยะเวลาการทำวิจัย วันที่ 1 – 30 พฤศจิกายน พ.ศ.2565 บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาผลการเรียนวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง การพัฒนาผลการเรียนรู้ เรื่อง การปฏิบัติตนเป็นชาวพุทธที่ดีต่อศาสนาพุทธของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้เทคนิคการสอนแบบโมเดลซิปปาโรงเรียนสมุทรสาครวุฒิชัยโดยใช้วิธีการสอนแบบโมเดลซิปปา 2) เพื่อ สร้างความเข้าใจแก่นักเรียนที่มีต่อกิจกรรมการเรียนการสอนของรายวิชา สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง การปฏิบัติตนเป็นชาวพุทธที่ดีต่อศาสนาพุทธของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสมุทรสาครวุฒิ ชัยโดยใช้วิธีการสอนแบบโมเดลซิปปาและ 3) ประชากรที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ของโรงเรียนสมุทรสาครวุฒิชัย ส่วนกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในงานวิจัยครั้งนี้คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/7 จำนวน 34 คน ซึ่งเป็นกลุ่มตัวอย่างที่ได้จากการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนการสอนด้วยรูปแบบโมเดลซิปปา 2) กิจกรรมการแต่งกายแก่การเข้าวัด 3)แบบทดสอบ ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้วิธีการสอนแบบโมเดลซิปปา สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ 1) การหาค่า ร้อยละ(Percentage) 2) การหาค่าเฉลี่ย ̅ ผลการวิจัยพบว่า 1) พัฒนาผลการเรียนวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง การปฏิบัติตนเป็นชาว พุทธที่ดีต่อศาสนาพุทธของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสมุทรสาครวุฒิชัยโดยใช้ วิธีการสอนแบบโมเดลซิปปา พบว่าผลการเรียนและคะแนนทดสอบหลังเรียนมีค่าเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น เฉลี่ย 7.18 2) นักเรียนเกิดความเข้าใจต่อกิจกรรมการเรียนการสอนของรายวิชา สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง การปฏิบัติตนเป็นชาวพุทธที่ดีต่อศาสนาพุทธของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 2 โรงเรียนสมุทรสาครวุฒิชัยโดยใช้วิธีการสอนแบบโมเดลซิปปา อยู่ที่ร้อยละ 24.51
2 กิตติกรรมประกาศ ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้สำเร็จลุล่วงด้วยดี ผู้วิจัยขอขอบพระคุณ 1)นางสาวภาวิณี หมายมี 2)นางสาวสิรินารถ นาคปลัด ที่ให้คำปรึกษาและให้ข้อมูลอันเป็นประโยชน์ยิ่งในการดำเนินการศึกษาวิจัย ตลอดทั้งคณาจารย์ในโรงเรียนสมุทรสาครวุฒิชัย และนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/7 ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2565 ที่มีส่วนร่วมในการให้ข้อมูลจนทำให้การดำเนินการวิจัยครั้งนี้สามารถสำเร็จลุล่วงได้ด้วยดี ผู้วิจัยขอกราบขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้ ผู้วิจัยหวังว่างานวิจัยเรื่องนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่เข้ามาศึกษาและอ่านวิจัยชั้นเรียน เขมอักษร ยอดพรหม ผู้วิจัย มกราคม 2565
3 สารบัญ หน้า บทคัดย่อ…………………………………………………….…………….……………….………..........…..... กิตติกรรมประกาศ…………………………………………….………….………..….……………….………… สารบัญ……………………………………………………………………………………..……………………..… บทที่ 1 บทนำ…………………………………………………………………...………………………………… ที่มาและความสำคัญของปัญหา……………………………………....……..………………..……… 5 วัตถุประสงค์การวิจัย…………………………………..……………………..……………..…….…….. 5 สมมติฐานการวิจัย…..…………………………………………………..……..………..……………..… 6 ขอบเขตการวิจัย…..………………………………………..………………..………………………..…… 6 กรอบแนวความคิดของการวิจัย……………………………………………..……………..…….…… 7 นิยามศัพท์เฉพาะ…..………………………….…………………………….……..……………………… 7 บทที่ 2 วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง…………………….……………………...………………………………… 8 หลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑..................... 9 – 11 หลักสูตรสถานศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2................................................................................. 12 โครงสร้างรายวิชา............................................................................................... 13 การจัดการเรียนรู้สาระ 1 ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม 14 – 16 วิธีการสอนแบบโมเดลซิปปา 17 – 21 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง..................................................................................................... 22 – 23 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย................................................................................................ แบบแผนในการวิจัย................................................................................................... 24 เครื่องมือที่ใช้ดำเนินการวิจัย...................................................................................... 24 การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย...................................................... 25 – 26 การเก็บรวบรวมข้อมูล................................................................................................ 27 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล................................................................................... 27 บทที่ 4 การวิเคราะห์ข้อมูล.............................................................................................. ตอนที่ 1 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน 28 – 29
4 เรื่อง เรื่อง หน้าที่ชาวพุทธ โดยใช้โมเดลซิปปา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ตอนที่ 2 ผลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง การพัฒนาผลการเรียนรู้ เรื่อง การปฏิบัติตนเป็นชาวพุทธที่ดีต่อศาสนาพุทธของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดย ใช้เทคนิคการสอนแบบโมเดลซิปปา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 30 ตอนที่ 3ผลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง การพัฒนาผลการเรียนรู้ เรื่อง การปฏิบัติตนเป็นชาวพุทธที่ดีต่อศาสนาพุทธของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดย ใช้เทคนิคการสอนแบบโมเดลซิปปา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ให้มี ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด 31 สารบัญ (ต่อ) หน้า บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ................................................................. สรุปผลการวิจัย........................................................................................................... 32 อภิปรายผลการวิจัย.................................................................................................... 33 ข้อเสนอแนะ............................................................................................................... 34 บรรณานุกรม................................................................................................................... . 35 ภาคผนวก........................................................................................................................ ภาคผนวก ก. รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจเครื่องมือวิจัย.................................................. 36 – 37 ภาคผนวก ข. เครื่องมือในการวิจัย............................................................................. 38 – 68
5 บทที่ 1 บทนำ ที่มาและความสำคัญของปัญหา อ้างเอกสารสำคัญของชาติ เช่น รัฐธรรมนูญ มาตรา 54 และ มาตรา 258, พระราชบัญญัติ การศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 (มาตรา 22 กับมาตรา 24 ) การปฏิบัติตนที่ดีของการเป็นชาวพุทธได้อย่างถูกต้องและรู้เท่าทันสื่อไม่หลงผิดกับสื่อต่างๆตาม โลกออนไลน์ หรือการแต่งกายที่ไม่เหมาะกับสถานที่ต่างๆโดยแต่งกายตามแฟชั่นหรือยุคสมัย ความเจริญด้าน การแต่งกาย ภาษา สื่อออนไลน์เทคโนโลยีต่างๆมีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็วและเข้าถึงได้อย่างง่ายและทั่วถึง ทุกเพศทุกวัย ทำให้โลกในปัจจุบันพัฒนากลายเป็นโลกแห่งสังคมออนไลน์ แฟชั่นค่านิยมต่างๆ โดยเด็กนักเรียน จะได้รับอิทธิพลจากสื่อเหล่านี้ และการจัดการเรียนการสอนที่เน้นการท่องจำเนื้อหาวิชาต่างๆ จึงไม่เหมาะสม ในสถานการณ์ในปัจจุบัน การจัดการเรียนรู้ที่ยึดผู้เรียนเป็นสำคัญกำลังได้รับการนำมาใช้อย่างกว้างขวางโดย ครูจะเป็นผู้จัดกิจกรรมเพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนแสดงออกซึ่งศักยภาพหรือความรู้ความสามารถของตนด้วยการ เรียนรู้จากการปฏิบัติของตนเอง ในด้านกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมมีเนื้อหาสาระ เกี่ยวกับการอยู่ร่วมกันในสังคมโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตลอดเวลา เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถนำ ความรู้ที่ได้ไปใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข รู้จักการ ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม สังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม มุ่งให้เป็นพลเมืองดี มีความรู้คู่คุณธรรม อย่างไรก็ ตามจะเห็นได้ว่าผลของการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมในปัจจุบันยังไม่ ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ดังเห็นได้จาก นักเรียนสามารถปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมในการแต่งกายไปสถานที่ต่างๆ การ ปฏิบัติตนต่อบุคคลต่างๆ เช่น บิดา มารดา พระสงฆ์ฯลฯ ได้อย่างถูกต้องตามกาลเทศะทำให้เกิดค่านิยมอันดี งามในสังคมไทย โดยใช้วิธีการสอนแบบโมเดลซิปปาเพื่อให้เด็กนักเรียนได้ทำกิจกรรมให้เกิดความรู้ความเข้าใจ มากกว่าการท่องจำในหนังสือและเพิ่มความสนุกสนาน ปลุกเร้าให้นักเรียนตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาที่ได้เรียน เพราะนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หรือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นนั้นมักจะชอบการทำกิจกรรม การเล่น เกม การแข่งขัน มากกว่าการท่องจำเนื้อหาในหนังสือรวมไปถึงการดูคลิปวิดีโอต่างๆนั้นอาจทำให้เด็กนักเรียน ในวัยนี้เกิดการเบื่อหน่ายได้ วัตถุประสงค์การวิจัย 1. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนเรื่อง การปฏิบัติตนเป็น ชาวพุทธที่ดีต่อศาสนาพุทธ โดยใช้เทคนิคการสอนแบบโมเดลซิปปา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/7 2. เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การปฏิบัติตนเป็นชาวพุทธที่ดีต่อศาสนาพุทธ โดย ใช้เทคนิคการสอนแบบโมเดลซิปปา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/7
6 สมมติฐานการวิจัย 1. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/7 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนโดยใช้แบบทดสอบเรื่อง การปฏิบัติตนเป็นชาวพุทธที่ดีต่อศาสนาพุทธ โดยใช้สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 7.18 2. การจัดการเรียนรู้เรื่อง การปฏิบัติตนเป็นชาวพุทธที่ดีต่อศาสนาพุทธ โดยใช้เทคนิคการสอน แบบโมเดลซิปปา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/7 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์80/80 ขอบเขตการวิจัย ขอบเขตด้านเนื้อหา เนื้อหาที่นำมาใช้ในการดำเนินการวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลการเรียนรู้ เรื่อง การปฏิบัติตนเป็นชาว พุทธที่ดีต่อศาสนาพุทธของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้เทคนิคการสอนแบบโมเดลซิปปา ได้แก่ เนื้อหา ในรายวิชา พระพุทธศาสนา รหัสวิชา ส22101 หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 - 6 เรื่อง หน้าที่ชาวพุทธ ซึ่งเป็นเนื้อหา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 ขอบเขตด้านประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากรที่ใช้ในการวิจัยคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนในภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2565 ของโรงเรียนสมุทรสาครวุฒิชัย จำนวน 238 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/7 ที่เรียนในภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2565 ของโรงเรียนสมุทรสาครวุฒิชัย จำนวน 33 คน ตัวแปร ตัวแปรต้น ได้แก่ วิธีการสอนแบบโมเดลซิปปา ตัวแปรตาม ได้แก่ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การปฏิบัติตนเป็นชาวพุทธที่ดีต่อศาสนาพุทธ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/7 ทำให้เกิดความรู้ ความคิดและการตัดสินใจอย่างถูกต้องและนักเรียนมี ส่วนร่วมในการทำกิจกรรมในห้องเรียนสามารถนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้
7 กรอบแนวคิดในการวิจัย ในการศึกษาวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลการเรียนรู้ เรื่อง การปฏิบัติตนเป็นชาวพุทธที่ดีต่อศาสนา พุทธของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้เทคนิคการสอนแบบโมเดลซิปปา ผู้วิจัยได้ออกแบบกรอบแนวคิด ในการวิจัยโดยแสดงเป็นแผนผังได้ดังนี้ ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม วิธีการสอนแบบโมเดลซิปปา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การปฏิบัติตนเป็นชาวพุทธที่ดีต่อ ศาสนาพุทธของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2/7 ทำให้เกิดความรู้ ความคิดและการตัดสินใจอย่างถูกต้อง และนักเรียนมีส่วนร่วมในการทำ กิจกรรมในห้องเรียนสามารถนำมาปรับ ใช้ในชีวิตประจำวันได้ นิยามศัพท์เฉพาะ 1. วิธีการสอนแบบโมเดลซิปปา หมายถึง กระบวนการสอนที่เน้นให้ผู้เรียนเกิดความรู้ ความคิด และการตัดสินใจอย่างเป็นระบบ สามารถสร้างความรู้ ค้นพบความรู้ได้ด้วยตนเอง นักเรียนมีบทบาท มากในกิจกรรมการเรียนการสอน และผู้เรียนสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน ได้ 2. การพัฒนา หมายถึง การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ทั้งในกระบวนการคิด ความรู้ การ ตัดสินใจอย่างเป็นระบบ 3. ทักษะกระบวนการคิด หมายถึง ความรู้ ความชำนาญ ความสามารถในการคิดเพื่อกระทำสิ่ง ใดสิ่งหนึ่งให้ออกมาได้ดี 4. เนื้อหา หมายถึง ขอบข่ายของการปฏิบัติตนที่ดีต่อศาสนาพุทธ ประกอบไปด้วย การแต่งการ ที่เหมาะสมในการไปสถานที่ต่างๆ การปฏิบัติตนได้อย่างเหมาะสมต่อบิดามารดา พระสงฆ์ 5. นักเรียน หมายถึง ผู้ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/7จำนวน 34 คน ภาค เรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 ของโรงเรียนสมุทรสาครวุฒิชัย
8 บทที่ 2 วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง ในการศึกษาวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลการเรียนรู้ เรื่อง การปฏิบัติตนเป็นชาวพุทธที่ดีต่อศาสนา พุทธของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้เทคนิคการสอนแบบโมเดลซิปปา ครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้า รวบรวมแนวคิดและทฤษฎีจากเอกสารและงานวิจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องตามลำดับดังต่อไปนี้ 1. กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้น พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 2. หลักสูตรสถานศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 3. แนวคิดในการจัดการเรียนรู้สาระการเรียนรู้สาระที่ 1 ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม 4. การจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการสอนแบบโมเดลซิปปา 5. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งวรรณกรรมต่างๆ ที่ผู้วิจัยศึกษาทบทวนมีรายละเอียดดังนี้
9 กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมว่าด้วยการอยู่ร่วมกันในสังคมที่มีความ เชื่อมสัมพันธ์กันและมีความแตกต่างกันอย่างหลากหลายเพื่อช่วยให้สามารถปรับตนเองกับบริบท สภาพแวดล้อม เป็นพลเมืองดี มีความรับผิดชอบ มีความรู้ ทักษะ คุณธรรม และค่านิยมที่เหมาะสม โดยได้ กำหนดสาระต่างๆ ไว้ ดังนี้ ศาสนา ศีลธรรมและจริยธรรม แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม หลักธรรมของ พระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือ การนำหลักธรรมคำสอนไปปฏิบัติในการพัฒนาตนเอง และการอยู่ ร่วมกันอย่างสันติสุข เป็นผู้กระทำความดี มีค่านิยมที่ดีงาม พัฒนาตนเองอยู่เสมอ รวมทั้งบำเพ็ญประโยชน์ต่อ สังคมและส่วนรวม หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรม และการดำเนินชีวิต ระบบการเมืองการปกครองในสังคมปัจจุบันการ ปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ลักษณะและความสำคัญ การเป็นพลเมือง ดี ความแตกต่างและความหลากหลายทางวัฒนธรรม ค่านิยม ความเชื่อ ปลูกฝังค่านิยมด้านประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สิทธิ หน้าที่ เสรีภาพการดำเนินชีวิตอย่างสันติสุขในสังคมไทยและสังคมโลก เศรษฐศาสตร์การผลิต การแจกจ่าย และการบริโภคสินค้าและบริการ การบริหารจัดการ ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดอย่างมีประสิทธิภาพ การดำรงชีวิตอย่างมีดุลยภาพ และการนำหลักเศรษฐกิจ พอเพียงไปใช้ในชีวิตประจำวัน ประวัติศาสตร์เวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ วิธีการทางประวัติศาสตร์พัฒนาการของ มนุษยชาติจากอดีตถึงปัจจุบัน ความสัมพันธ์และเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่างๆ ผลกระทบที่เกิดจาก เหตุการณ์สำคัญในอดีต บุคคลสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงต่างๆในอดีต ความเป็นมาของชาติไทย วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย แหล่งอารยธรรมที่สำคัญของโลก ภูมิศาสตร์ ลักษณะของโลกทางกายภาพ ลักษณะทางกายภาพ แหล่งทรัพยากร และภูมิอากาศ ของประเทศไทย และภูมิภาคต่างๆ ของโลก การใช้แผนที่และเครื่องมือทางภูมิศาสตร์ ความสัมพันธ์กันของสิ่ง ต่างๆ ในระบบธรรมชาติ ความสัมพันธ์ของมนุษย์กับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ และสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น การ นำเสนอข้อมูลภูมิสารสนเทศ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
10 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ สาระที่ 1 ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม มาตรฐาน ส 1.1 รู้และเข้าใจประวัติ ความสำคัญ ศาสดา หลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตน นับถือและศาสนาอื่น มีศรัทธาที่ถูกต้อง ยึดมั่นและปฏิบัติตามหลักธรรมเพื่ออยู่ร่วมกัน อย่างสันติสุข มาตรฐาน ส1.2 เข้าใจ ตระหนักและปฏิบัติตนเป็นศาสนิกชนที่ดีและธำรงรักษาพระพุทธศาสนาหรือ ศาสนาที่ตนนับถือ สาระที่ 2 หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรม และการดำเนินชีวิตในสังคม มาตรฐาน ส 2.1 เข้าใจและปฏิบัติตนตามหน้าที่ของการเป็นพลเมืองดี มีค่านิยมที่ดีงามและธำรงรักษา ประเพณีและวัฒนธรรมไทย ดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคมไทยและสังคมโลกอย่างสันติสุข มาตรฐาน ส 2.2 เข้าใจระบบการเมืองการปกครองในสังคมปัจจุบัน ยึดมั่น ศรัทธาและธำรงรักษาไว้ซึ่งการ ปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สาระที่ 3เศรษฐศาสตร์ มาตรฐาน ส.3.1 เข้าใจและสามารถบริหารจัดการทรัพยากรในการผลิตและการบริโภคการใช้ทรัพยากรที่มี อยู่จำกัดได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า รวมทั้งเข้าใจหลักการของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อการดำรงชีวิตอย่างมีดุลยภาพ มาตรฐาน ส.3.2 เข้าใจระบบ และสถาบันทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ และความ จำเป็นของการร่วมมือกันทางเศรษฐกิจในสังคมโลก สาระที่ 4 ประวัติศาสตร์ มาตรฐาน ส 4.1 เข้าใจความหมาย ความสำคัญของเวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ สามารถใช้วิธีการ ทางประวัติศาสตร์มาวิเคราะห์เหตุการณ์ต่างๆ อย่างเป็นระบบ มาตรฐาน ส 4.2 เข้าใจพัฒนาการของมนุษยชาติจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ในด้านความสัมพันธ์และการ เปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์อย่างต่อเนื่อง ตระหนักถึงความสำคัญและสามารถวิเคราะห์ ผลกระทบที่เกิดขึ้น มาตรฐาน ส 4.3 เข้าใจความเป็นมาของชาติไทย วัฒนธรรม ภูมิปัญญาไทย มีความรัก ความภูมิใจและธำรง ความเป็นไทย
11 สาระที่ 5 ภูมิศาสตร์ มาตรฐาน ส 5.1 เข้าใจลักษณะของโลกทางกายภาพ และความสัมพันธ์ของสรรพสิ่งซึ่งมีผลต่อกันและกัน ในระบบของธรรมชาติ ใช้แผนที่และเครื่องมือทางภูมิศาสตร์ในการค้นหาวิเคราะห์สรุป และใช้ข้อมูลภูมิสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ มาตรฐาน ส 5.2 เข้าใจปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสภาพแวดล้อมทางกายภาพที่ก่อให้เกิดการสร้างสรรค์ วัฒนธรรม มีจิตสำนึก และมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมเพื่อการ พัฒนาที่ยั่งยืน
12 หลักสูตรสถานศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่2 คำอธิบายรายวิชา ในการศึกษาวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลการเรียนรู้ เรื่อง การปฏิบัติตนเป็นชาวพุทธที่ดีต่อศาสนา พุทธของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้เทคนิคการสอนแบบโมเดลซิปปา ผู้วิจัยได้กำหนดขอบเขตเนื้อหา ในการเก็บข้อมูลการวิจัยโดยซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา พระพุทธศาสนา ภาคเรียนที่ 2ปีการศึกษา 2565 โดยมีคำอธิบายรายวิชาดังนี้ คำอธิบายรายวิชาพื้นฐาน วิชา พระพุทธศาสนา รหัสวิชา ส22106 กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่2 เวลา 1 คาบ/สัปดาห์ 20 คาบ/ภาคเรียน จำนวน 0.5 หน่วยกิต ภาคเรียนที่2 อธิบายการเผยแผ่พระพุทธศาสนาสู่ประเทศต่างๆทั่วโลก วิเคราะห์ความสำคัญของพุทธศาสนาหรือ ศาสนาที่ตนนับถือในฐานะที่ช่วยสร้างสรรค์อารยธรรมและความสงบสุขแก่โลก และปรัชญาของเศรษฐกิจ พอเพียงและการพัฒนาที่ยั่งยืน พุทธประวัติจากพระพุทธรูปปางต่างๆ ประพฤติตนตามแบบอย่างการดำเนิน ชีวิตและข้อคิดจากพุทธสาวก ชาดก เรื่องเล่า และศาสนิกชนตัวอย่าง อธิบายสังฆคุณและข้อธรรมสำคัญใน กรอบอริยสัจ 4 หรือหลักธรรมของศาสนาที่ตนนับถือ เห็นคุณค่าและวิเคราะห์การปฏิบัติตนตามหลักธรรมใน การพัฒนาตนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการทำงานและการมีครอบครัว พัฒนาจิตเพื่อการเรียนรู้และดำเนินชีวิต ด้วยวิธีคิดแบบโยนิโสมนสิการ โดยใช้ทักษะกระบวนการคิด วิเคราะห์ อฺธิบาย ลงมือปฏิบัติ การนำไปใช้ การสรุปใจความสำคัญ อภิปรายประเด็นต่างๆ เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจ เห็นคุณค่าในความสำคัญของการนับถือศาสนาเพื่อเป็นหลักในการ ดำเนินชีวิต นำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้กับการดำเนินชีวิตและการพัฒนาที่ยั่งยืน รหัสตัวชี้วัด ส 1.1 ม.3/1 ส 1.1 ม.3/2 ส 1.1 ม.3/3 ส 1.1 ม.3/4 ส 1.1 ม.3/5 ส 1.1 ม.3/6 ส 1.1 ม.3/7 ส 1.1 ม.3/8 ผลการเรียนรู้อาเซียน 1. รู้ว่ามนุษย์กลุ่มต่างๆสร้างสรรค์ความคิดใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง สำหรับการทำสิ่งต่างๆ สืบทอด ประเพณีและประวัติศาสตร์ 2. พระพุทธศาสนาเป็นหลักธรรมที่เป็นสากล ประเทศต่างๆในอาเซียนล้านนับถือพระพุทธศาสนา และปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุธศาสนา เห็นคุณค่าและอนุรักษ์ศาสนวัตถุ ศาสนสถานในท้องถิ่น รวม 8 ตัวชี้วัด
13 โครงสร้างรายวิชา วิชา พระพุทธศาสนา รหัส ส22106 ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ภาคเรียนที่2 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่2 อัตราส่วนคะแนน 80 : 20 เวลา 1 คาบ / สัปดาห์ 20 คาบ/ภาคเรียน จำนวน 0.5 หน่วยกิต ที่ ชื่อหน่วย การเรียนรู้ มาตรฐานการ เรียนรู้ / ตัวชี้วัด สาระสำคัญ เวลา (ชั่วโมง) น้ำหนัก คะแนน 1 การนับถือ พระพุทธศาสนาของ ประเทศต่างๆทั่วโลก ส 1.1 ม.3/1 การเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยังดินแดนต่างๆทั่ว โลกส่วนใหญ่มาจากผู้นับถือเดิมเข้าไปตั้งถิ่นฐานใน ประเทศนั้นแล้วนำไปเป็นวิถีชีวิต วัฒนธรรม 4 20 2 ความสำคัญของ พระพุทธศาสนาที่มี ต่อสังคมโลก ส 1.1 ม.3/2-4 หลักธรรมทางพระพุทธศาสนาที่ช่วยสร้างสรรค์ อารยธรรม 4 20 3 พระพุทธรูปปางต่างๆ ส 1.1 ม.3/5 การศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธประวัติจาก พระพุทธรูปปางต่างๆแสดงให้เห็นพุทธจริยวัตรครั้ง นั้นว่าพระพุทธเจ้าทรงทำอะไร 2 10 4 พุทธสาวก พุทธ สาวิกาและชาวพุทธ ตัวอย่าง ส 1.1 ม.3/6 การศึกษาประวิติพุทธสาวก พุทธสาวิกาและชาว พุทธตัวอย่างมาเป็นแนวทางการดำเนินชีวิต 4 20 5 การพัฒนาตนเอง ส 1.1 ม.3/8 การพัฒนาตนเองเพื่อเตรียมความพร้อมในการใช้ ชีวิตในสังคมการมีครอบครัวโดยมีหลักการของ พระพุทธศาสนาที่สอนให้เรียนรู้และแก้ปัญหาด้วย การคิดแบบโยนิโสมนสิการ 2 10 6 สังฆคุณและข้อธรรม ในกรอบอริยสัจ 4 ส 1.1 ม.3/7 คุณของพระสงฆ์ และอริยสัจ 4 เป็นหลักธรรมที่ นำมาใช้แก้ปัญหาชีวิต 4 20 ระหว่างภาค ก่อนกลางภาค 9 30 กลางภาค 1 20 หลังกลางภาค 9 30 รวม 19 80 ปลายภาค ทดสอบ 1 20 รวม 1 20 รวม 20 100
14 แนวคิดในการจัดการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ที่ 1 ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม สังคมไทย ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ มุ่งเน้นให้ศาสนิกชนปฏิบัติตนในแนวทางที่ถูกต้องและ เหมาะสม ทั้งทางกาย วาจา และใจ โดยการนำหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามาประยุกต์ใช้ใน ชีวิตประจําวันเรียน ตั้ง ดิลกาล อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันสังคมไทยก้าวเข้าสู่ สตวรรษที่ 21 ทีมไปด้วย สื่อ เทคโนโลยี และการสื่อสารที่มีความทันสมัย สะดวก รวดเร็ว ส่งผลให้วิถีชีวิตของคนไทยเกิดการเปลี่ยนแปลง ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม อาทิ การแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน การเบียดเบียนซึ่งกันและกัน การ แก่งแย่งแข่งขัน การทะเลาะวิวาท การขาดระเบียบวินัย การขาดความรับผิดชอบ ฯลฯ เพื่อสนองความ ต้องการของมนุษย์ สิ่งเหล่านี้ทำให้เด็กและเยาวชนได้เห็นแบบอย่างที่ไม่เหมาะคน อันเนื่องมาจากการขาด ภูมิคุ้มกันในการเลือกรับวัฒนธรรม ดี ก่อให้เกิดคุณธรรมจริยธรรมของคนไทลานักงานเลขาธิการสกร การศึกษา, 2550: 1-2) ด้วยเหตุนี้ การศึกษาจึงเป็นกระบวนการสำคัญในการขัดเกลาคุณธรรม จริยธรรม สำหรับ ผู้เรียนยุคใหม่ให้เป็นพลเมือง สมบูรณ์เหี่ยาว นการเป็นพลวัตรดังกล่าว กสูตรแกนกลางการศึกษาชั้น พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ, 2552, 3-4) ได้กำหนดจุดหมายของหลักสูตรที่ มุ่ง พัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา และมีความสุข ให้เป็นมนุษย์ที่มีความคล ด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสานึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลเมืองโลก ยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยโดยมี ทรงเป็น นาน มีความรู้ พื้นฐาน รวมทั้งคดีที่จำเป็น การศึกษา การประกอบ พระมหากษัตริ อาชีพและการศึกษาคล ชีวิต โดยเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญบนพื้นฐานความเชื่อว่าทุกคนสามารถเรียนรู้และ พัฒนาตนเองได้เต็มศักยภาพ สอดคล้องกับแนวคิดของ วิจารณ์ พานิช (2555: 19) ได้กล่าวไว้ว่า ทักษะของ บุลโน วรา 21 โดนทุกคนต้อง เรียนรู้ แต่ชั้นอนุบาลไปจนถึงมหาวิทยาลัย และ / ชีวิต 38 ได้แก่ Reading (อ่านออก), (W)Riting (เขียนได้) และ (A)Rithmetics (คิดเลขเป็น) 7C ได้แก่ Critical thinking & problem solving (ทักษะด้านการคิดอย่าง มีวิจารณญาณ และทักษะในการแก้ปัญหา) Creativity & innovation (ทักษะด้านการสร้างสรรค์ และ นวัตกรรม) Cross-cultural understanding (ทักษะด้านความ เข้าใจต่างวัฒนธรรม ต่างกระบวนทัศน์) Collaboration, teamwork & leadership (ทักษะด้านความร่วมมือ การทํางานเป็นทีม และภาวะผู้นำ) Communications, information & media literacy (ทักษะด้านการสื่อสาร สารสนเทศ และรู้เท่าทันสื่อ) Computing & ICT Literacy (ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร) Career & learning skills (ทักษะอาชีพ และทักษะการเรียนรู้) ดั่งผลการวิจัยของ สมบูรณ์ จารุณะ และอรพิณ ศิริ สัมพันธ์ (2558: 411) พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องพระพุทธศาสนาน่ารู้ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 1 ก่อนเรียนและหลังเรียน ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบอภิปรายกลุ่มโดยใช้สื่อโสตทัศน์ พบว่า นักเรียนมี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบอภิปรายกลุ่มโดยใช้สื่อโสตทัศน์สูง กายน ย่าง งง 0.1 ราย ในการรมจริยธรรมใน ยุคใหม่ ของ เชวง เตชะโกศยะ (2552. 1) ที่ได้กล่าวไว้ว่า คนเราถ้าไม่มี ความรู้สึกผูกพันต่อ พ่อ แม่ ต่องานต่อแผ่นดิน และสิ่งแวดล้อมที่มีต่อเขา จะสอนเท่าใดก็คงไม่มีประโยชน์ เพราะเขาจะเกิดความสำนึกในหน้าที่ ในคุณค่าของ ชีวิต คุณค่าของความเป็นมนุษย์ ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะ
15 แม้ชีวิตของเขาเอง เขาก็ไม่รับผิดชอบเสียแล้ว เขาจะไป รับผิดชอบในหน้าที่ของเขาทีต้องทําความดีและให้ ความดีแก่สังคมที่ได้รับประโยชน์ได้อย่างไร ดังนั้นจริยธรรมที ควรปลูกฝังผู้เรียนยุคใหม่ต้องประกอบไปด้วย ความมีวินัย รักษากฎระเบียบในสังคม ความมีศีลธรรม ความมี คุณธรรม และมีจรรยาบรรณวิชาชีพ จึง สามารถพัฒนาผู้เรียนเป็นพลเมืองที่ดีในสังคมอย่างปกติสุขได้ อาจกล่าวได้ว่าครูกลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม จึงเป็นบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในการ พัฒนาผู้เรียนให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าว ในการปลูกฝังแลงกล่อมเกลาด้านความรู้ทางสติปัญญาและทาง จิตใจ ที่เน้นผู้เรียนเป็นสําคัญ โดยให้ผู้เรียนตระหนัก การนำกรรมไปปฏิบัติในการพัฒนาตนเอง และการ ร่วมกันอย่างสันติสุข เป็นผู้กระท่าความดีมีเรียน เบนเป็นพลเมืองดีมีประสิทธิภาพ ของบ้านเมืองและ ประเทศชาติในอนาคต ความหมายของคุณธรรมและจริยธรรม “คุณธรรมและจริยธรรม” เป็นคำที่มีความหมายใกล้เคียงกัน มีความเกี่ยวเนื่องและซ้อนทับกันอยู่และ มักจะ ใช้ควบคู่กันไป ในความหมายแล้วคำสองคำนี้มีความแตกต่างกัน ดังนั้นเพื่อให้เกิดความชัดเจนใน ความหมาย ของคำว่า “คุณธรรม” และ “จริยธรรม” มีนักการศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศได้ให้ ความหมายไว้ ดังนี้ ประการแรก ความหมายของคำว่า “คุณธรรม” จอห์นดิวอี้ (John Dewey, 1975, 12) ได้ กล่าวว่า คุณธรรมคือหลักความประพฤติที่มีการฝึกอบรมให้เป็นพลเมืองดี โดยเน้นที่รายบุคคลเท่ากับที่ตระหนัก ถึงผล ทางสังคมเพื่อดำรงรูปแบบของสังคมนั้น สอดคล้องกับแนวคิดของ สงวน สุทธิเลิศอรุณ (2525 : 10) กล่าว ไว้ ว่า หมายถึง คุณงามความดีของบุคคลที่กระทำไปด้วยความสำนึกจิตใจ โดยมีเป้าหมายว่าเป็นการกระทำความ ดี หรือเป็นพฤติกรรมที่ดีซึ่งเป็นที่ยอมรับของสังคม เช่น ความเสียสละ ความมีน้ำใจ ความเกรงใจ ความ ยุติธรรม ความรักเด็กและรักเพื่อนมนุษย์ ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เป็นต้น รวมถึงแนวคิดของ พระมหาอดิศร ถิรสีโล (2540: 55) ได้อธิบายไว้ว่า คุณธรรมเป็นความดีสูงสุด ปลูกฝังอยู่ในอุปนิสัยอันดีงามอยู่ในจิตสำนึกอยู่ ใน ความรู้สึกรับผิดชอบชั่วดี อันเป็นเครื่องเหนี่ยวรั้ง ควบคุมพฤติกรรมที่แสดงออกตามความปรารถนา ดัง แนวคิด ของ สมพร เทพสิทธา (2542: 1) ได้อธิบายคุณธรรมว่า เป็นกุศลธรรมเป็นธรรมที่ก่อให้เกิดประโยชน์ และ ความสุข เป็นธรรมอันพึงเจริญคือ ทำให้เกิดมีขึ้น ตรงข้ามกับอกุศลธรรม ซึ่งเป็นธรรมฝ่ายชั่วทำให้เกิด ความทุกข์ ความเดือดร้อนทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น เป็นธรรมที่ควรละ และระวังอย่าให้เกิดขึ้น นอกจากนี้ ดวง เดือน พันธุม นาวิน (2544: 115-116) ได้กล่าวว่า คุณธรรมคือสิ่งที่บุคคลยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ดีงามมีประโยชน์ มากและมีโทษ น้อย คุณธรรมในแต่ละสังคม อาจจะแตกต่างกันเพราะการเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งว่าเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ ดีนั้นขึ้นอยู่กับ วัฒนธรรม เศรษฐกิจ และศาสนา ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า คุณธรรมจึงเป็นความดีอันสูงสุดที่สั่ง สมอยู่ในจิตใจของ มนุษย์ทั่วไป ว่าสิ่งใดควรประพฤติ สิ่งใดไม่ควรประพฤติ โดยผ่านประสบการณ์จากการได้ สัมผัสที่จะแสดงออกมา จากการกระทำทางกาย วาจา และใจ ของแต่ละบุคคลเพื่อควบคุมพฤติกรรมที่ แสดงออกตามความปรารถนา ซึ่งคุณธรรมเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อตนเอง ผู้อื่น และสังคมในการอยู่ร่วมกัน อย่างสงบสุข
16 “จริยธรรม” หมายถึง ได้มีผู้รู้และนักการศึกษาทั้งในประเทศและ ต่างประเทศได้ให้ความหมายไว้ดังนี้ โคล เบอร์ก (Kohlberg, 1976: 4-5) ให้ความหมายของจริยธรรมไว้ว่า จริยธรรมมีพื้นฐานของความยุติธรรม ถือเอา การกระจายสิทธิ และหน้าที่อันเท่าเทียมกันโดยมิได้หมายถึงเกณฑ์ที่ บังคับทั่วไป แต่เป็นเกณฑ์ซึ่งมีความเป็น สากลที่คนส่วนใหญ่รับไว้ในทุกสภาพการณ์ไม่มีการขัดแย้ง พันธะทาง จริยธรรมจึงเป็นการเคารพต่อสิทธิข้อ เรียกร้องของบุคคลอย่างเสมอภาคกัน ซึ่งสอดคล้องกับ พุทธทาสภิกขุ อินทปัญโญ (2514: 17) กล่าวไว้ว่า จริยธรรมหรือศีลธรรม เป็นระเบียบที่มุ่งปฏิบัติให้เกิดความผาสุก ความสงบ สุข ในสังคมเป็นส่วนใหญ่ ซึ่ง มนุษย์ได้ทำขึ้น บัญญัติขึ้น แต่งตั้งขึ้นตามเหตุผลของมนุษย์ หรือตามความต้องการ ของมนุษย์นั่นเอง ตลอดจน ความรู้สึกนึกคิดอันถูกต้องดีงามที่ควรประพฤติปฏิบัติ เพื่อให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง แก่ตนเองและบุคคลทั่วไป (พระมหาอดิศร ถิรสีโล 2540: 55) นอกจากนี้ จริยธรรมเป็นลักษณะทางสังคมหลาย ลักษณะของมนุษย์และมี ขอบเขตพฤติกรรมทางสังคมประเภทต่างๆ ที่สังคมต้องการไม่ให้มีอยู่ในสมาชิก เป็น พฤติกรรมที่สังคมนิยม ชมชอบให้การสนับสนุน และผู้กระทำส่วนมากเกิดความพอใจในการกระทำนั้นว่า เป็นสิ่งที่ ถูกต้องเหมาะสม ส่วนอีกประเภทหนึ่ง เป็นลักษณะที่สังคมไม่ต้องการให้มีอยู่ในสมาชิกของสังคมเป็นการกระทำที่ สังคมลงโทษ หรือพยายามจำกัด และผู้กระทำพฤติกรรมนั้นส่วนมากรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ดังนั้น จริยธรรมจึง เป็นความ ประพฤติหรือการกระทำของมนุษย์ที่ถูกต้องเหมาะสมในการทำคุณงามความดีตามที่สังคมมุ่งหวัง ซึ่งเป็น หน้าที่ที่สมาชิกในสังคมพึงประพฤติปฏิบัติต่อตนเอง ต่อผู้อื่น และต่อสังคมเพื่อก่อให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง ขึ้น ในสังคม ดวงเดือน พันธุมนาวิน (2544: 2) จากความหมายของคุณธรรมและจริยธรรมสรุปได้ว่า คุณธรรมมีลักษณะทางนามธรรม เป็นความรู้สึก นึกคิดทางจิตใจ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีในแต่ละบุคคล เช่น ความโอบอ้อมอารี การอยากแบ่งปันช่วยเหลือผู้อื่น ความใจเย็น เป็นต้น ส่วนจริยธรรมมีลักษณะทางรูปธรรมที่ชัดเจนกว่า เป็นพฤติกรรมที่สามารถมองเห็นได้ด้วย ตา ที่แสดงออกด้วยการประพฤติปฏิบัติต่าง ๆ เช่น การมีสัมมาคารวะรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน การแต่งกายสุภาพ เป็น ต้น ดังนั้นการปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรมในผู้เรียน ครูผู้สอนจำเป็นต้องอบรมกิริยาและปลูกฝัง ลักษณะนิสัย
17 การจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการสอนโมเดลซิปปา (Cippa Model) ความหมายของโมเดลซิปปา (Cippa Model) แนวคิด Constructivism เป็นทฤษฎีเกี่ยวกับการเรียนรู้ที่เชื่อว่า กระบวนการสร้าง ความรู้ความ เข้าใจเกิดจากตัวผู้เรียนเอง โดยความรู้ที่เกิดขึ้นนั้น นักเรียนเป็นผู้สร้างขึ้น โดยอาศัย การ ปฏิสัมพันธ์กับ สิ่งแวดล้อม เป็นประสบการณ์ใหม่ที่เชื่อมโยงกับความรู้เดิมของนักเรียนและจะ ก่อให้เกิดการเรียนรู้อย่างมี ความหมาย ซึ่งคุณลักษณะที่สำคัญของแนวคิด Constructivism (สุนีย์ คล้ายนิล. 2543: 63) มีดังนี้ 1. ผู้เรียนเป็นผู้แสวงหา ค้นพบและสร้างความรู้ด้วยตนเอง 2. การเรียนรู้สิ่งใหม่จะเกิดขึ้นได้ย่อมขึ้นกับความเข้าใจในบทเรียน ปัจจุบันผู้เรียน อาจมีความรู้ ความ เข้าใจ และประสบการณ์เดิมที่ช่วยส่งเสริม สนับสนุนหรือเป็นอุปสรรคต่อการ เรียนรู้ใหม่ ดังนั้นครูจึงต้องจัด กิจกรรมให้ผู้เรียนเกิดประสบการณ์และสร้างความเข้าใจในบทเรียน 3. การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้สะดวกเมื่อปฏิสัมพันธ์ทางสังคม 4. การเรียนรู้อย่างมีความหมาย จะต้องดำเนินการภายใต้การปฏิบัติในสภาพจริง หรือใกล้เคียงกับ สภาพจริงมากที่สุด โมเดลซิปปาหรือรูปแบบการประสานห้าแนวคิด ได้พัฒนาขึ้นโดย ทิศนา แขมมณีรองศาสตราจารย์ ประจำคณะครุศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งได้พัฒนารูปแบบจากประสบการณ์ในการสอนมาก ว่า 30 ปี และพบว่าแนวคิดจำนวนหนึ่งสามารถใช้ได้ผลดีตลอดมา จึงได้นำแนวคิดเหล่านั้นมาประสานกัน เกิดเป็นแบบแผนขึ้น แนวคิดดังกล่าวได้แก่ 1. แนวคิดการสร้างความรู้ 2. แนวคิดกระบวนการกลุ่มและการเรียนรู้แบบร่วมมือ 3. แนวคิดเกี่ยวกับความพร้อมในการเรียนรู้ 4. แนวคิดเกี่ยวกับกระบวนการเรียนรู้ 5. แนวคิดเกี่ยวกับการถ่ายโอนความรู้ เมื่อนำแนวคิดดังกล่าวมาจัดการเรียนการสอนพบว่าสามารถพัฒนาผู้เรียนได้ครบทุกด้าน ไม่ว่าจะ เป็นด้านร่างกาย อารมณ์ สติปัญญาและสังคม โดยหลักการของโมเดลซิปปา ได้ยึดหลักการเรียนการสอนที่ เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ในตัวหลักการคือการช่วยให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้ ช่วยให้ผู้เรียนมี บทบาทและมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้ให้มากที่สุด มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันและได้เรียนรู้จากกันและกัน มี การแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ความคิดเห็นและประสบการณ์ ผู้เรียนได้เรียนรู้กระบวนการต่าง ๆ ร่วมกับ การผลิตผลงานซึ่งมีความคิดสร้างสรรค์ที่หลากหลายและสามารถนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน ให้นักเรียน เป็นผู้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองตามแนวคิด Constructivism (ทิศนา แขมมณี, 2542 ) แนวคิดทั้ง 5 เป็นที่มาของแนวคิด "CIPPA" ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้สูงสุด โดย การให้ผู้เรียนเป็นผู้สร้างความรู้ด้วยตนเอง จากแนวคิดข้างต้น สรุปเป็นหลักซิปปา (CIPPA) ได้ดังนี้ C มาจากคำว่า Construction of knowledge
18 หลักการสร้างความรู้ หมายถึง การให้ผู้เรียนสร้างความรู้ตามแนวคิดของ Constructivism ซึ่งเชื่อว่าการ เรียนรู้เป็นประสบการณ์เฉพาะตนในการสร้างความหมายของสิ่งที่เรียนรู้ด้วยตนเอง กล่าวคือ กิจกรรมการ เรียนรู้ที่ดีควรเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนมีโอกาสสร้างความรู้ได้ด้วยตนเอง ทำให้ผู้เรียนมีความเข้าใจและเกิด การเรียนรู้ที่มีความหมายต่อตนเอง ซึ่งการที่ผู้เรียนมีโอกาสได้สร้างความรู้ด้วยตนเองนี้เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางสติปัญญา I มาจากคำว่า Interaction หลักการปฏิสัมพันธ์ หมายถึง การให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นหรือสิ่งแวดล้อมรอบตัว ซึ่งตาม ทฤษฎีConstructivism และ Cooperative Learning เชื่อว่าการเรียนรู้เป็นกระบวนการทางสังคมที่บุคคล จะต้องอาศัยและพึ่งพาซึ่งกันและกันเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อการอยู่ร่วมกัน กล่าวคือ กิจกรรม การเรียนรู้ที่ดีจะต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับบุคคล และแหล่งความรู้ที่หลากหลาย ซึ่ง เป็นการช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางสังคม P มาจากคำว่า Process Learning หลักการเรียนรู้กระบวนการ หมายถึง การเรียนรู้กระบวนการต่างๆ เพราะทักษะกระบวนการเป็นเครื่องมือ สำคัญในการเรียนรู้ ซึ่งมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าสาระ (Content) ของการเรียนรู้ กล่าวคือ กิจกรรมการ เรียนรู้ที่ดีควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้กระบวนการต่างๆ เช่น กระบวนการคิด กระบวนการทำงาน กระบวนการแสวงหาความรู้ กระบวนการแก้ปัญหา กระบวนการกลุ่ม ฯลฯ ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นต่อการ ดำรงชีวิต และเป็นสิ่งที่ผู้เรียนจำเป็นต้องใช้ตลอดชีวิต รวมทั้งเป็นการช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางด้าน สติปัญญาอีกทางหนึ่ง P มาจากคำว่า Physical participation / Involvement หลักการมีส่วนร่วมทางร่างกาย หมายถึง การให้ผู้เรียนมีโอกาสได้เคลื่อนไหวร่างกาย โดยการทำ กิจกรรมในลักษณะต่าง ๆ ซึ่งเป็นการช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางกาย กล่าวคือ การเรียนรู้ต้องอาศัยการเรียนรู้ การเคลื่อนไหวทางกายจะช่วยให้ประสาทการรับรู้ "active" และรับรู้ได้ดีดังนั้นในการสอนจึงจาเป็นต้องมี กิจกรรมให้ผู้เรียนต้องเคลื่อนไหว A มาจากคำว่า Application หลักการประยุกต์ใช้ความรู้ หมายถึง การนาความรู้ไปประยุกต์ใช้ กล่าวคือ การนำความรู้ไปใช้ในชีวิตจริงหรือ การปฏิบัติจริง จะช่วยให้ผู้เรียนได้รับประโยชน์จากการเรียน ทำให้เกิดการเรียนรู้เพิ่มเติมขึ้นเรื่อยๆ และเกิด การเรียนรู้ที่ลึกซึ้งขึ้น กิจกรรมการเรียนรู้ที่มีแต่เพียงการสอนเนื้อหาสาระให้ผู้เรียนเข้าใจ โดยขาดกิจกรรมการ นำความรู้ไปประยุกต์ใช้ จะทำให้ผู้เรียนขาดการเชื่อมโยงระหว่างทฤษฎีกับการปฏิบัติ ซึ่งจะทำให้การเรียนรู้ไม่ เกิดประโยชน์เท่าที่ควร การจัด กิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถนาความรู้ไปประยุกต์ใช้นี้ เท่ากับเป็นการช่วย ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ในด้านใดด้านหนึ่งหรือหลายๆ ด้านแล้วแต่ลักษณะของสาระและ กิจกรรมที่จัดนอกจากนี้ การนำความรู้ไปใช้เป็นประโยชน์ในการดำรงชีวิต เป็นเป้าหมายสำคัญของการจัด การศึกษาและการเรียนการสอน
19 วัตถุประสงค์ของรูปแบบ รูปแบบนี้มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความรู้ ความเข้าใจในเรื่องที่เรียนอย่างแท้จริงโดยการให้ผู้เรียนสร้าง ความรู้ด้วยตนเองโดยอาศัยความร่วมมือจากกลุ่ม นอกจากนั้นยังช่วยพัฒนาทักษะกระบวนการต่างๆ จำนวน มาก อาทิ กระบวนการคิด กระบวนการกลุ่ม การปฏิสัมพันธ์สังคม และกระบวนการแสวงหาความรู้ เป็นต้น กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ เป็นการหลักซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นหลักในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆ ให้แก่ผู้เรียน การจัด กระบวนการเรียนการสอนตามหลัก “CIPPA” นี้สามารถใช้วิธีการและกระบวนการที่หลากหลาย ซึ่งอาจ จัดเป็นแบบแผนได้หลายรูปแบบ รูปแบบหนึ่งที่ผู้เขียนได้นำเสนอไว้และได้มีการนำไปทดลองใช้แล้วได้ผลดี ประกอบด้วยขั้นตอนการดำเนินการ 7 ขั้นตอนดังนี้ ขั้นที่1 การทบทวนความรู้เดิม ขั้นนี้เป็นการดึงความรู้เดิมของผู้เรียนในเรื่องที่จะเรียน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีความพร้อมในการ เชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิมของตน ซึ่งผู้สอนอาจใช้วิธีการต่างๆ ได้อย่างหลากหลาย ขั้นที่2 การแสวงหาความรู้ใหม่ ขั้นนี้เป็นการแสวงหาข้อมูลความรู้ใหม่ของผู้เรียนจากแหล่งข้อมูลหรือแหล่งความรู้ต่างๆ ซึ่งครู อาจจัดเตรียมมาให้ผู้เรียนหรือให้คำแนะนำเกี่ยวกับแหล่งข้อมูลต่างๆ เพื่อให้ผู้เรียนไปแสวงหาก็ได้ ขั้นที่3 การศึกษาทำความเข้าใจข้อมูล/ความรู้ใหม่ และเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความเดิม ขั้นนี้เป็นขั้นที่ผู้เรียนจะต้องศึกษาและทำความเข้าใจกับข้อมูล/ความรู้ที่หามาได้ ผู้เรียนจะต้อง สร้างความหมายของข้อมูล/ประสบการณ์ใหม่ๆ โดยใช้กระบวนการต่างๆ ด้วยตนเอง เช่น ใช้กระบวนการคิด และกระบวนการกลุ่มในการอภิปรายและสรุปความเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลนั้นๆ ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยการเชื่อมโยง กับความรู้เดิม ขั้นที่4 การแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจกับกลุ่ม ขั้นนี้เป็นขั้นที่ผู้เรียนอาศัยกลุ่มเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบความรู้ความเข้าใจของตน รวมทั้งขยายความรู้ความเข้าใจของตนเองให้กว้างขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนได้แบ่งปันความรู้ความเข้าใจของตน แก่ผู้อื่น และได้รับประโยชน์จากความรู้ ความเข้าใจของผู้อื่นไปพร้อมๆ กัน ขั้นที่5 การสรุปและจัดระเบียบความรู้ ขั้นนี้เป็นขั้นของการสรุปความรู้ที่ได้รับทั้งหมด ทั้งความรู้เดิมและความรู้ใหม่ และสิ่งที่เรียนให้ เป็นระบบระเบียบเพื่อช่วยให้ผู้เรียนจดจำสิ่งที่เรียนรู้ได้ง่าย ขั้นที่6 การปฏิบัติ และ/หรือการแสดงผลงาน หากข้อความรู้ที่ได้เรียนรู้มาไม่มีการปฏิบัติ ขั้นนั้นจะเป็นขั้นที่ช่วยให้ผู้เรียนได้มีโอกาส แสดงผลงานการสร้างความรู้ของตนเองให้ผู้อื่นรับรู้ เป็นการช่วยให้ผู้เรียนได้ตอกย้ำหรือตรวจสอบความเข้าใจ ของตนเองและช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนใช้ความคิดสร้างสรรค์แต่หากต้องมีการปฏิบัติตามข้อความรู้ที่ได้ ขั้นนี้จะ เป็นขั้นปฏิบัติ และมีการแสดงผลงานที่ได้ปฏิบัติด้วย
20 ขั้นที่7 การประยุกต์ใช้ความรู้ ขั้นนี้เป็นขั้นของการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนการนำความรู้ความเข้าใจของตนไปใช้ใน สถานการณ์ต่างๆ ที่หลากหลายเพื่อเพิ่มความชำนาญ ความเข้าใจ ความสามารถในการแก้ปัญหาและความจำ ในเรื่องนั้นๆ ผู้เรียนจะเกิดความเข้าใจในสิ่งที่เรียน สามารถอธิบาย ชี้แจง ตอบคำถามได้ดี นอกจากนั้นยังได้พัฒนา ทักษะในการคิดวิเคราะห์ การคิดสร้างสรรค์ การทำงานเป็นกลุ่ม การสื่อสาร รวมทั้งเกิดความใฝ่รู้ด้วย CIPPA Model นอกจากจะเป็นรูปแบบการจัดการเรียนการสอนแล้ว ยังสามารถนำไปใช้เป็นตัวชี้วัด หรือเป็นเครื่อง ตรวจสอบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้ว่า กิจกรรมนั้นเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางหรือไม่ โดยนำเอา กิจกรรมในแผนการสอนมาตรวจสอบตามหลัก CIPPAการจัดการเรียนการสอนแบบCIPPA การจัดการเรียน การสอนแบบเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางนั้นก็คือ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วน ร่วมในกิจกรรมนั้น ทั้งทางร่างกาย สติปัญญา สังคมและอารมณ์ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมนั้น มิใช่หมายความแต่เพียงว่าให้ผู้เรียนได้ ทำกิจกรรมอะไรๆ ก็ได้ที่ผู้เรียนชอบ กิจกรรมที่ครูจัดให้ผู้เรียนจะต้องเป็นกิจกรรมที่นำไปสู่การเรียนรู้ตาม จุดประสงค์ที่ตั้งไว้ และเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทั้งทางด้านร่างกาย สติปัญญา สังคม และ อารมณ์ จึงจะสามารถทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี ดังนั้นครูที่จะสอนผู้เรียนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง องค์ประกอบของกรณีศึกษา "CIPPA" ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้สูงสุด โดยการให้ผู้เรียนเป็นผู้สร้างความรู้ ด้วยตนเอง จากแนวคิดข้างต้น สรุปเป็นหลักซิปปา (CIPPA) ได้ดังนี้ C มาจากคำว่า Construction of knowledge หลักการสร้างความรู้ หมายถึง การให้ผู้เรียนสร้างความรู้ตามแนวคิดของ Constructivism ซึ่งเชื่อว่าการ เรียนรู้เป็นประสบการณ์เฉพาะตนในการสร้างความหมายของสิ่งที่เรียนรู้ด้วยตนเอง กล่าวคือ กิจกรรมการ เรียนรู้ที่ดีควรเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนมีโอกาสสร้างความรู้ได้ด้วยตนเอง ทำให้ผู้เรียนมีความเข้าใจและเกิด การเรียนรู้ที่มีความหมายต่อตนเอง ซึ่งการที่ผู้เรียนมีโอกาสได้สร้างความรู้ด้วยตนเองนี้เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางสติปัญญา I มาจากคำว่า Interaction หลักการปฏิสัมพันธ์ หมายถึง การให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นหรือสิ่งแวดล้อมรอบตัว ซึ่งตาม ทฤษฎีConstructivism และ Cooperative Learning เชื่อว่าการเรียนรู้เป็นกระบวนการทางสังคมที่บุคคล จะต้องอาศัยและพึ่งพาซึ่งกันและกันเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อการอยู่ร่วมกัน กล่าวคือ กิจกรรม การเรียนรู้ที่ดีจะต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับบุคคล และแหล่งความรู้ที่หลากหลาย ซึ่ง เป็นการช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางสังคม P มาจากคำว่า Process Learning
21 หลักการเรียนรู้กระบวนการ หมายถึง การเรียนรู้กระบวนการต่างๆ เพราะทักษะกระบวนการเป็นเครื่องมือ สำคัญในการเรียนรู้ ซึ่งมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าสาระ (Content) ของการเรียนรู้ กล่าวคือ กิจกรรมการ เรียนรู้ที่ดีควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้กระบวนการต่างๆ เช่น กระบวนการคิด กระบวนการทำงาน กระบวนการแสวงหาความรู้ กระบวนการแก้ปัญหา กระบวนการกลุ่ม ฯลฯ ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นต่อการ ดำรงชีวิต และเป็นสิ่งที่ผู้เรียนจำเป็นต้องใช้ตลอดชีวิต รวมทั้งเป็นการช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางด้าน สติปัญญาอีกทางหนึ่ง P มาจากคำว่า Physical participation / Involvement หลักการมีส่วนร่วมทางร่างกาย หมายถึง การให้ผู้เรียนมีโอกาสได้เคลื่อนไหวร่างกาย โดยการทำ กิจกรรมในลักษณะต่าง ๆ ซึ่งเป็นการช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางกาย กล่าวคือ การเรียนรู้ต้องอาศัยการเรียนรู้ การเคลื่อนไหวทางกายจะช่วยให้ประสาทการรับรู้ "active" และรับรู้ได้ดีดังนั้นในการสอนจึงจาเป็นต้องมี กิจกรรมให้ผู้เรียนต้องเคลื่อนไหว A มาจากคำว่า Application หลักการประยุกต์ใช้ความรู้ หมายถึง การนาความรู้ไปประยุกต์ใช้ กล่าวคือ การนำความรู้ไปใช้ในชีวิต จริงหรือการปฏิบัติจริง จะช่วยให้ผู้เรียนได้รับประโยชน์จากการเรียน ทำให้เกิดการเรียนรู้เพิ่มเติมขึ้นเรื่อยๆ และเกิดการเรียนรู้ที่ลึกซึ้งขึ้น กิจกรรมการเรียนรู้ที่มีแต่เพียงการสอนเนื้อหาสาระให้ผู้เรียนเข้าใจ โดยขาด กิจกรรมการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ จะทำให้ผู้เรียนขาดการเชื่อมโยงระหว่างทฤษฎีกับการปฏิบัติ ซึ่งจะทำให้ การเรียนรู้ไม่เกิดประโยชน์เท่าที่ควร การจัด กิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถนาความรู้ไปประยุกต์ใช้นี้ เท่ากับ เป็นการช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ในด้านใดด้านหนึ่งหรือหลายๆ ด้านแล้วแต่ลักษณะของ สาระและกิจกรรมที่จัดนอกจากนี้ การนำความรู้ไปใช้ ประโยชน์ของการสอนด้วยวิธีโมเดลซิปปา CIPPA Model 1. ผู้เรียนรู้จักการแสวงหาข้อมูล ข้อเท็จจริงจากแหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ เพื่อนำมาใช้ในการเรียนรู้ 2. ผู้เรียนได้ฝึกทักษะการติดที่หลากหลาย เป็นประสบการณ์ที่จะนำไปใช้ได้ในการดำเนินชีวิต 3. ผู้เรียนมีประสบการณ์ในการแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจกับสมาชิกภายในกลุ่ม
22 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในการศึกษาวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลการเรียนรู้ เรื่อง การปฏิบัติตนเป็นชาวพุทธที่ดีต่อศาสนาพุทธ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้เทคนิคการสอนแบบโมเดลซิปปา ผู้วิจัยได้ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการ จัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนโดยใช้การจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน เรื่องวันและเวลาโลก โดยใช้กรณีศึกษา,งานวิจัยเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน งานวิจัยที่เกี่ยวข้องดังนี้ งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้โดยใช้สอนแบบโมเดลซิปปา งานวิจัยเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการศึกษาการจัดการ เรียนการสอนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนการ สอนแบบโมเดลซิปปาที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิทยาศาสตร์และเจตคติทาง โดยใช้ สอนแบบโมเดลซิปปา ที่ผู้วิจัยศึกษาเพื่อเป็นแนวทางการออกแบบวิจัยนี้ ประกอบด้วย รชาดา บัวไพร. (2552). การศึกษาการจัดการเรียนการสอนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนการ สอน แบบโมเดลซิปปาที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์และเจตคติทาง วิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1. สารนิพนธ์ กศ.ม. (การมัธยมศึกษา) กรุงเทพฯ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิ โรฒ อาจารย์ที่ปรึกษาสารนิพนธ์ : รองศาสตราจารย์ ดรชุติมา วัฒนคีรี การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ และเจตคติ ทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ ได้รับการจัดการเรียนการสอนแบบโมเดล ชิปปา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนใน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2552 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา (ฝ่ายมัธยม) สังกัด สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา จำนวน 1 ห้องเรียน 54 คน ได้มาจากการเลือก แบบเจาะจง (Purposive Sampling) ซึ่งได้รับการจัดการเรียนการสอนแบบโมเดลซิปปา มีขั้นตอน การ ดำเนินการ ดังนี้ 1) ขั้นทบทวนความรู้เดิม 2) ขั้นการแสวงหาความรู้ 3) ขั้นการศึกษาทำความ เข้าใจยังมุม ความคู่ใหม่และร้อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เปลี่ยนความรู้ความเข้าใจ กับกลุ่ม 5) ขั้นการสรุปและจัดระเบียบ ความรู้ 6) ขั้นแสดงผลงาน 7) ขั้นการประยุกต์ใช้ความรู้ ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย 12 ชั่วโมง การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยเชิงทดลอง โดยใช้แบบแผนการวิจัย One Group Pretest- Posttest Design เครื่องมือที่ใช้ใน การวิจัยประกอบด้วยแผนการจัดการเรียนรู้แบบโมเดลซิปปา แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ แบบวัดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ สถิติที่ใช้ในการ วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน และการทดสอบค่าที่
23 ผลการวิจัยพบว่า 1. หลังการทดลอง ค่าเฉลี่ยของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียน ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน แบบ โมเดลซิปปาสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2. หลังการทดลอง ค่าเฉลี่ยของคะแนนเจตคติทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ ได้รับการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน แบบโมเดลซิปปาสูงกว่า ก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 งานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาผลการเรียนรู้ของนักเรียน เรื่อง หลักธรรมสำคัญของศาสนาต่างๆ ที่ได้รับการจัดการ เรียนการสอนแบบโมเดลซิปปา การพัฒนาผลการเรียนรู้ของนักเรียน เรื่อง หลักธรรมสำคัญของศาสนาต่างๆ ที่ได้รับการจัดการ เรียน การสอนแบบโมเดลซิปปา พบว่านักเรียนมีผลการเรียนสูงขึ้น ที่เป็นเช่นนี้เพราะที่ได้รับการจัดการ เรียนการ สอนแบบโมเดลซิปปา ที่สอดคล้องกับงานวิจัยของ ดร.ชาญวิทย์ หาญรินทร์ 2555 พบว่า การ สอนตาม แนวคิด ปปาไปใช้ในการสอนวิชานวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา พบว่า นักศึกษา มี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน และมีงานวิจัยที่สอดคล้องอีก คือ งานวิจัย ของ จินตนา ค่าเงิน และคณะ 2550 : 6 พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียน หลังจากสอนโดยใช้วิธี สอนแบบซิปปาสูงกว่า ที่เรียนโดยใช้วิธีสอนแบบปกติ งานวิจัยของนภาวดี บุตรน้ำ เพ็ชร ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาหลักสูตรและการสอน สำนักงานบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏราช นครินทร์ 2552 : พบว่า จากการ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาสังคมศึกษาของนักเรียน ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการสอนแบบ ซิปปาก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนหลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งคะแนนเฉลี่ยการทดสอบก่อน เรียนเท่ากับ 20.11 คะแนนเฉลี่ยการทดสอบ หลังเรียน เท่ากับ 30.33 จากคะแนนเต็ม 40 คะแนน งานวิจัยของนิตติญาพร ประเสริฐสังข์ (2545, หน้า 93) ได้ท้าการศึกษา การพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียน การสอน วิชาวิทยาศาสตร์ เรื่องกลไกมนุษย์ ระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้รูปแบบการสอนแบบซิปปา ผลการวิจัยพบว่า การใช้รูปแบบการสอนแบบซิปปาเป็น กิจกรรมที่เน้นให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในกิจกรรม อย่างทั่วถึงอย่างมากที่สุด ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคมและ สติปัญญาได้ลงมือปฏิบัติจริง งานวิจัยของอารี วัชรเวียงชัย (2551, หน้า 81) ที่ได้ศึกษาเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนกลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมและทักษะทางสังคมการเรียนรู้ของนักเรียน ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 ที่จัดการเรียนรู้แบบซิป ปาและกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์ ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนกลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียนที่ จัดการเรียนรู้แบบซิปปาสูงกว่ากระบวนการ กลุ่มสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และทักษะทาง สังคมการเรียนรู้ของนักเรียน ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียนที่จัดการเรียนรู้จัดการเรียนรู้แบบกระบวนการ กลุ่มสัมพันธ์สูงกว่าการจัดการ เรียนรู้แบบซิปปา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
24 บทที่ 3 วิธีดำเนินการวิจัย ในการวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลการเรียนรู้ เรื่อง การปฏิบัติตนเป็นชาวพุทธที่ดีต่อศาสนาพุทธของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้เทคนิคการสอนแบบโมเดลซิปปา เมื่อผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสาร หนังสือ ตำรา และงานวิจัยรวมทั้งทฤษฎีที่เกี่ยวข้องแล้ว ผู้วิจัยออกแบบวิธีการดำเนินการวิจัยโดยมีรายละเอียดและขั้นตอน ดังนี้ ประชากร ประชากรที่ใช้ในการวิจัยคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 ของโรงเรียนสมุทรสาครวุฒิชัย จำนวน 7 ห้องเรียน โดยมีนักเรียนจำนวน 238 คน กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/7 ที่เรียนในภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2565 ของโรงเรียนสมุทรสาครวุฒิชัย จำนวน 33 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย แบบแผนในการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้กำหนดแบบแผนสำหรับการวิจัยเป็นแบบการทดลองหนึ่งกลุ่มทดสอบ ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยแสดงเป็นแบบแผนการวิจัย ดังแผนภูมิที่ 2 ดังนี้ กลุ่มตัวอย่าง การทดสอบก่อนเรียน การจัดกระทำ การทดสอบหลังเรียน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 2/7 นักเรียนทำแบบทดสอบ ก่อนเรียน นักเรียนเรียนรู้จากวิธีการ จัดการเรียนรู้โดยใช้ โมเดลซิปปา นักเรียนทำแบบทดสอบ หลังเรียน เครื่องมือที่ใช้ดำเนินการวิจัย 1. แผนการจัดการเรียนรู้หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 – 6 ชื่อหน่วยการเรียนรู้หน้าที่ชาวพุทธ จำนวน 3 แผน 2. แบบทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) และหลังเรียน (Post-test) เรื่อง หน้าที่ชาวพุทธ 3. ใบงาน เรื่อง การปฏิบัติตนที่เหมาะสมแก่พระสงฆ์
25 การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ในการดำเนินการวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลการเรียนรู้ เรื่อง การปฏิบัติตนเป็นชาวพุทธที่ดีต่อศาสนา พุทธของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้เทคนิคการสอนแบบโมเดลซิปปา ผู้วิจัยสร้างเครื่องมือเพื่อเก็บ ข้อมูลในการวิจัยซึ่งประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนการสอนด้วยวิธีสอนแบบโมเดลซิปปา 2) แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน 3) ใบงาน เรื่อง การปฏิบัติตนที่เหมาะสมแก่พระสงฆ์ 1. แผนการจัดการเรียนรู้ ในการสร้างและหาคุณภาพแผนการจัดการเรียนรู้เพื่อนำไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ในงานวิจัยนี้มี ขั้นตอนดังนี้ 1.1 วิเคราะห์และสรุปข้อมูลพื้นฐานจากการศึกษาข้อมูลจากเอกสาร ตำรา งานวิจัย แนวคิด ทฤษฎีต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษา หลักการและทฤษฎีทางจิตวิทยาที่เป็นพื้นฐานในการจัดการ เรียนรู้โดยใช้วิธีสอนแบบโมเดลซิปปา รวมทั้งข้อมูลจากการสอบถามและสัมภาษณ์อย่างไม่เป็นทางการจากครู อาจารย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการจัดการเรียนรู้และผู้ที่มีความรู้ด้านสาระการเรียนรู้ที่ 1 ศาสนา ศีลธรรม และจริยธรรม เพื่อเป็นแนวทางในการออกแบบการจัดการเรียนรู้เนื้อหา วิชา พระพุทธศาสนา โดยใช้วิธีสอน แบบโมเดลซิปปา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 1.2 ศึกษามาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาวิจัย ได้แก่ มาตรฐานการ เรียนรู้ที่ ส 1.1 ม.3/1 ส 1.1 ม.3/2 ส 1.1 ม.3/3 ส 1.1 ม.3/4 ส 1.1 ม.3/5 ส 1.1 ม.3/6 ส 1.1 ม.3/7 ส 1.1 ม.3/8 1.3 นำข้อมูลที่ได้จากการสอบถาม การสัมภาษณ์และการศึกษามาตรฐานและตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้อง กับงานวิจัยมาออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้เนื้อหา หน้าที่ชาวพุทธ โดยใช้วิธีสอนวิธีสอนแบบโมเดลซิปปา ซึ่ง ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ในหน่วยที่ 4 – 6 ชื่อหน่วย หน้าที่ชาวพุทธ ประกอบด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 3 แผน ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 เรื่อง หน้าที่ชาวพุทธ จำนวน 3 ชั่วโมง 2) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 5 เรื่อง การแต่งกาย จำนวน 1 ชั่วโมง 3) แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 6 เรื่อง การเป็นลูกที่ดีตามทิศเบื้องหน้า จำนวน 1 ชั่วโมง 1.4 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ออกแบบเสร็จแล้วจำนวน 3 แผน ไปขอความอนุเคราะห์จากครู และอาจารย์ที่เชี่ยวชาญด้านการจัดการเรียนรู้และเชี่ยวชาญด้านเนื้อหาการพัฒนาผลการเรียนรู้ เรื่อง การ ปฏิบัติตนเป็นชาวพุทธที่ดีต่อศาสนาพุทธของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 และให้คำแนะนำเพื่อนำไปปรับปรุง แก้ไขส่วนที่ยังไม่สมบูรณ์ทั้งด้านเนื้อหา ภาษาและความเหมาะสมของจุดประสงค์การเรียนรู้ สาระสำคัญ สาระ การเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ การกำหนดชิ้นงาน สื่อการเรียนรู้ตลอดจนวิธีการวัดและประเมินผล
26 1.5 นำแผนการจัดการเรียนรู้ที่ผ่านการตรวจมาปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำของคุณครูและ อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้มีความสมบูรณ์และนำไปจัดการเรียนรู้ให้แก่นักเรียนต่อไป 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน ในการสร้างและหาคุณภาพแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง หน้าที่ชาวพุทธเพื่อ นำไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ในงานวิจัยนี้มีขั้นตอนดังนี้ 2.1 ศึกษา วิเคราะห์มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดเกี่ยวกับเนื้อหาเรื่อง หน้าที่ชาวพุทธได้แก่ มาตรฐานการเรียนรู้ ส 1.1 และตัวชี้วัดที่ ม.3/1 – 8 เพื่อนำสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้ เหมาะสมและสอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน 2.2 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนเรื่อง หน้าที่ชาวพุทธ จำนวน 20 ข้อ ซึ่งแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนนี้เป็นแบบทดสอบประเภท ปรนัย ชนิด 4 ตัวเลือก โดยแบบทดสอบนี้มุ่งวัดพฤติกรรมในการเรียนรู้ 6 ระดับ คือ ความรู้ความจำ ความ เข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์และการประเมินค่า โดยผู้วิจัยสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนที่มีเนื้อหาครอบคลุมเนื้อหาเรื่อง หน้าที่ชาวพุทธ 2.3 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง หน้าที่ชาวพุทธ ที่สร้างขึ้นไปให้คุณครูและ อาจารย์ที่เชี่ยวชาญด้านการวัดผลและเชี่ยวชาญด้านเนื้อหา หน้าที่ชาวพุทธที่ปฏิบัติต่อศาสนาพุทธ บิดา มารดา พระสงฆ์ ฯลฯ ตรวจสอบและให้ข้อเสนอแนะเพื่อให้เกิดความถูกต้องและได้ข้อสอบที่มีความสมบูรณ์ มากที่สุด 2.3 นำแบบทดสอบที่ผ่านการตรวจสอบความถูกต้องจากผู้เชี่ยวชาญมาปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้ได้ แบบทดสอบที่มีความสมบูรณ์เพื่อนำไปใช้ในการวิจัยต่อไป ในการสร้างและหาคุณภาพแบบสอบถามเพื่อนำไปใช้ในการประเมินผลการจัดการเรียนรู้ใน งานวิจัยนี้มีขั้นตอนดังนี้
27 การเก็บรวบรวมข้อมูล(เลือกใช้ตามวัตถุประสงค์งานวิจัย) 1. จัดกิจกรรมการเรียนการสอน เรื่อง การปฏิบัติตนเป็นชาวพุทธที่ดีต่อศาสนาพุทธ โดยใช้ วิธีการสอนโมเดลซิปปา กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/7 โรงเรียนสมุทรสาครวุฒิ ชัย จำนวน 33 คน โดยจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแผนการจัดการเรียนรู้ที่ออกแบบไว้ โดยเริ่มจากการทำ แบบทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) เรื่อง หน้าที่พลเมือง จากนั้น ผู้สอนจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้วิธีจัดการ เรียนรู้แบบโมเดลซิปปา พร้อมทั้งเก็บคะแนนระหว่างเรียนโดยการทำใบงาน เรื่อง การปฏิบัติตนที่เหมาะสมต่อ พระสงฆ์เมื่อเสร็จสิ้นกิจกรรมการเรียนรู้แล้ว นักเรียนทำแบบทดสอบหลังเรียน (Post-test) 2. นำคะแนนวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนเรื่อง การปฏิบัติตนเป็นชาว พุทธที่ดีต่อศาสนาพุทธ มาเปรียบเทียบกันเพื่อหาความแตกต่างทางสถิติ 3. นำคะแนนวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่นักเรียนกลุ่มตัวอย่างทำได้จากการทำแบบฝึกหัด และงานต่าง ๆ ระหว่างเรียน รวมทั้งคะแนนที่ได้จากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน โดยใช้วิธีสอนโมเดลซิปปา มาวิเคราะห์หาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน และวิเคราะห์หาค่า ประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้ การวิเคราะห์ข้อมูล 1. วิเคราะห์ข้อมูลโดยการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน (Pre-test) และ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน (Post-test) ของนักเรียนกลุ่มตัวอย่างที่เรียนโดยใช้วิธีสอนโมเดลซิปปา ซึ่ง วิเคราะห์โดยใช้สถิติค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต 2. ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนด้วยวิธีการสอนโมเดลซิปปา เมื่อเปรียบเทียบกับ เกณฑ์ที่ผู้วิจัยกำหนด คือ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 วิเคราะห์โดยใช้ค่าเฉลี่ยเลขคณิตและค่าร้อยละ 3. วิเคราะห์หาค่าประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้โดยแผนการจัดการเรียนการสอนโดยการ นำผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างเรียนกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนมาหาค่าร้อยละ จากนั้นนำไป เทียบกับเกณฑ์ประสิทธิ์ภาพ 80/80 4. วิเคราะห์ความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อวิธีการสอนโมเดลซิปปา จากแบบสอบถามความ คิดเห็นและวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ (%) ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ( X )โดยนำคะแนนที่ได้มาแปล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 1) ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ( X ) 2) ค่าร้อยละ (%)
28 บทที่ 4 การวิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยเรื่อง การปฏิบัติตนเป็นชาวพุทธที่ดีต่อศาสนาพุทธเมื่อผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสาร หนังสือ ตำราและงานวิจัยรวมทั้งทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งออกแบบวิธีการดำเนินการวิจัย และเก็บรวบรวมข้อมูลแล้ว ผู้วิจัยนำข้อมูลต่างๆ มาวิเคราะห์โดยสามารถนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลออกเป็น 2ตอน ดังนี้ ตอนที่ 1 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนเรื่อง หน้าที่ชาว พุทธ โดยใช้โมเดลซิปปา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ตอนที่ 2 ผลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง การปฏิบัติตนเป็นชาวพุทธที่ดีต่อศาสนาพุทธ โดยใช้แผนจัดการเรียนการสอน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ตอนที่ 1 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนเรื่อง เรื่อง หน้าที่ชาวพุทธ โดยใช้โมเดลซิปปา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่2 ในการศึกษาเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง หน้าที่ของ ชาวพุทธ โดยใช้แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 นั้น พบว่านักเรียน มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ดังนี้ ตารางที่ 1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง หน้าที่พลเมือง โดยใช้ แบบทดสอบก่อน เรียนและหลังเรียน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/7 เลขที่ ชื่อ – สกุล จำนวนนักเรียน 33 คน คะแนนก่อนเรียน (10 คะแนน) คะแนนระหว่างเรียน (30 คะแนน) คะแนนหลังเรียน (10 คะแนน) คิดเป็นร้อยละ 1 เด็กชาย ณัฐนันท์ เงินสมบัติ 4 25 9 70 2 เด็กชาย ณัฐพงษ์ คำฉ่ำ 5 25 8 74 3 เด็กชาย ณัฐพล อนันทวงษ์ 3 24 9 66 4 เด็กชาย เดวิชญ์ สร้อยขุนทด 4 23 8 70 5 เด็กชาย ธีรภัทร ลือนาม 6 25 8 78 6 เด็กชาย ธีระกานต์ ใจเอื้อ 2 24 9 64 7 เด็กชาย นราพงศ์ สนกรุด 5 20 8 66 8 เด็กชาย ปรินทร บัวมาก 3 22 8 66 9 เด็กชาย พัสกร คุณอยู่ 5 27 9 74 10 เด็กชาย พีรพัฒน์ สาลี 6 25 8 76 11 เด็กชาย อินทัช สุทธิผล 2 20 9 56 12 เด็กชาย ธนกร เชื้อจีน 4 25 8 72
29 13 เด็กชาย ปิยพัทธ์ พานแก้ว 3 25 8 70 14 เด็กหญิง กุลสตรี หารบุรุษ 6 25 8 78 15 เด็กหญิง ชลลดา คำมะณี 7 27 9 86 16 เด็กหญิง ณัฐกฤตา ยั่งยืน 5 27 8 80 17 เด็กหญิง ณัฐธิชา เงินบำรุง 3 27 7 74 18 เด็กหญิง นภัสรา กล่อมประเสริฐ 4 26 7 74 19 เด็กหญิง นวรัตน์ แซ่ตั้ง 6 27 9 84 20 เด็กหญิง บุณยาพร สีนาวิสาร 7 27 9 86 21 เด็กหญิง ปณิตา ภู่เรือง 5 26 8 78 22 เด็กหญิง ปติมา สิงเสนา 5 23 9 68 23 เด็กหญิง ปาริดา สุ่มสม 5 27 7 78 24 เด็กหญิง พลอยนารี พิมพ์รัตน์ 6 20 8 68 25 เด็กหญิง พัสวี แสงไข่ 3 22 8 66 26 เด็กหญิง วชิราพรรณ สุวงษ์ 4 25 9 70 27 เด็กหญิง วราภรณ์ แก้ววันนา 4 26 9 72 28 เด็กหญิง กาญจนา ชะวาเขียว 3 25 8 70 29 เด็กหญิง สายพระทัย จิตปรารภ 4 24 9 68 30 เด็กชาย ธนกฤต ชุ่มปลั่ง 5 26 8 78 31 เด็กชาย พิชิตชัย วรสาร 3 25 8 70 32 เด็กชาย อภิชน พิบูล 3 19 9 56 33 เด็กชาย อภิชาติ พิบูล 3 22 8 60 คะแนนรวม x 143 809 274 2,366 ค่าเฉลี่ย x 4.33 24.51 8.30 71.69 จากตารางที่ 1 พบว่า นักเรียนจำนวน 33 คน มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนโดยใช้วิธีการ สอนแบบโมเดลซิปปา เรื่อง หน้าที่ชาวพุทธ เฉลี่ยเท่ากับ 71.69คะแนน จากคะแนนเต็ม 50 คะแนน คะแนน ก่อนเรียนมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.33 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนซึ่งมีค่าเท่ากับ 10 คะแนน ซึ่งคิดเป็นค่าเฉลี่ย 8.30 และคะแนนระหว่างภาคเรียนมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 24.51 จากคะแนนเต็ม 30 คิดเป็นร้อย ละ 71.69
30 ตอนที่2 ผลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง การพัฒนาผลการเรียนรู้ เรื่อง การปฏิบัติตนเป็นชาว พุทธที่ดีต่อศาสนาพุทธของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้เทคนิคการสอนแบบโมเดลซิปปา สำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่2 ในการศึกษาผลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การพัฒนาผลการเรียนรู้ เรื่อง การ ปฏิบัติตนเป็นชาวพุทธที่ดีต่อศาสนาพุทธของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้เทคนิคการสอนแบบโมเดล ซิปปา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ซึ่งผู้วิจัยนำผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนที่นักเรียนทำได้มา เปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนดคือร้อยละ 60 ซึ่งมีผลดังนี้ ตารางที่2 การพัฒนาผลการเรียนรู้ เรื่อง การปฏิบัติตนเป็นชาวพุทธที่ดีต่อศาสนาพุทธของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้เทคนิคการสอนแบบโมเดลซิปปา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 การวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน คะแนนผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน เกณฑ์การ ประเมิน ผลการประเมิน ร้อยละของคะแนนการ ทดสอบเฉลี่ยหลังเรียน 71.69 60 ผ่านเกณฑ์ จากตารางที่ 2 พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนจากการจัดการเรียนการสอน โดยใช้วิธีสอนโมเดลซิปปา เรื่อง การปฏิบัติตนเป็นชาวพุทธที่ดีต่อศาสนาพุทธของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เฉลี่ยเท่ากับ 71.69 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 100 สูงกว่าเกณฑ์ที่สถานศึกษาต้องการคือร้อยละ 60
31 ตอนที่3 ผลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง การพัฒนาผลการเรียนรู้ เรื่อง การปฏิบัติตนเป็นชาว พุทธที่ดีต่อศาสนาพุทธของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้เทคนิคการสอนแบบโมเดลซิปปา สำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่2 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด ในการศึกษาเพื่อหาค่าประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้เรื่องเรื่อง การปฏิบัติตนเป็นชาวพุทธที่ ดีต่อศาสนาพุทธของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้เทคนิคการสอนแบบโมเดลซิปปา สำหรับนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 ซึ่งผู้วิจัยนำผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างเรียนและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนที่ นักเรียนทำได้มาเปรียบเทียบกับค่าประสิทธิภาพมาตรฐาน 80/80 ซึ่งมีผลดังนี้ ตารางที่ 3 การพัฒนาผลการเรียนรู้ เรื่อง การปฏิบัติตนเป็นชาวพุทธที่ดีต่อศาสนาพุทธของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้เทคนิคการสอนแบบโมเดลซิปปา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 การวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน ประสิทธิภาพของนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 2/7 เกณฑ์การ ประเมิน ผลการ ประเมิน ประสิทธิภาพของ กระบวนการ (E1) ประสิทธิภาพของ ผลลัพธ์ (E2) ร้อยละของคะแนน เฉลี่ยระหว่างเรียน 24.51 80 ผ่านเกณฑ์ ร้อยละของคะแนน การทดสอบเฉลี่ยหลัง เรียน 8.30 80 ผ่านเกณฑ์ จากตารางที่ 3 พบว่า ค่าประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การพัฒนาผลการเรียนรู้ เรื่อง การปฏิบัติตนเป็นชาวพุทธที่ดีต่อศาสนาพุทธของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้เทคนิคการสอนแบบ โมเดลซิปปา สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ซึ่งนักเรียนมีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างเรียน คิดเป็นร้อยละ 24.51และมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียน คิดเป็นร้อยละ 8.30แสดงว่าการจัดการเรียนรู้เรื่อง การ ปฏิบัติตนเป็นชาวพุทธที่ดีต่อศาสนาพุทธของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้เทคนิคการสอนแบบโมเดล ซิปปา มีประสิทธิภาพสูงกว่าค่าประสิทธิภาพมาตรฐาน 80/80
32 บทที่ 5 สรุปผล อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ในการศึกษาวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลการเรียนรู้ เรื่อง การปฏิบัติตนเป็นชาวพุทธที่ดีต่อศาสนาพุทธ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้เทคนิคการสอนแบบโมเดลซิปปา เมื่อผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสาร หนังสือ ตำราและงานวิจัยรวมทั้งทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง กำหนดวิธีการดำเนินการวิจัย เก็บรวบรวมข้อมูล และนำข้อมูลมา วิเคราะห์แล้ว สามารถสรุปผล อภิปรายผลและให้ข้อเสนอแนะ ดังมีสาระสำคัญต่อไปนี้ การศึกษาวิจัยเรื่องการพัฒนาผลการเรียนรู้ เรื่อง การปฏิบัติตนเป็นชาวพุทธที่ดีต่อศาสนาพุทธ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้เทคนิคการสอนแบบโมเดลซิปปา มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนา ผลการเรียนวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง การปฏิบัติตนเป็นชาวพุทธที่ดีต่อศาสนาพุทธของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสมุทรสาครวุฒิชัยโดยใช้วิธีการสอนแบบโมเดลซิปปา 2) เพื่อสร้าง ความเข้าใจแก่นักเรียนที่มีต่อกิจกรรมการเรียนการสอนของรายวิชา สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เรื่อง การปฏิบัติตนเป็นชาวพุทธที่ดีต่อศาสนาพุทธของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสมุทรสาครวุฒิชัยโดย ใช้วิธีการสอนแบบโมเดลซิปปา โดยในการวิจัยนี้ ผู้วิจัยได้ศึกษารูปแบบและวิธีการจัดการเรียนการสอนแบบ โมเดลซิปปา จากตำรา เอกสาร งานวิจัย รวมทั้งการสัมภาษณ์ผู้ที่มีความรู้ความสามารถเกี่ยวกับการจัดการ เรียนรู้ แล้วนำข้อมูลมาสร้างและพัฒนาเครื่องมือในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง หน้าที่พลเมือง ซึ่งจัดการเรียนการสอนโดยใช้วิธีการสอน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การปฏิบัติตนเป็นชาว พุทธที่ดีต่อศาสนาพุทธ จำนวน 20 ข้อ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/7 จำนวน 34 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย สำหรับสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ การหาค่าร้อยละ(Percentage) และค่าเฉลี่ย ( X ) สรุปผลการวิจัย จากการดำเนินการตามขั้นตอนของการวิจัยที่ได้นำเสนอ ปรากฏผลการวิจัยเป็นไปตาม วัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ดังนี้ 1. นักเรียนจำนวน 33 คน มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนโดยใช้วิธีการสอนแบบโมเดลซิป ปา เรื่อง หน้าที่ชาวพุทธ เฉลี่ยเท่ากับ 71.69คะแนน จากคะแนนเต็ม 50 คะแนน คะแนนก่อนเรียนมีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.33 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนซึ่งมีค่าเท่ากับ 10 คะแนน ซึ่งคิดเป็นค่าเฉลี่ย 8.30 และคะแนนระหว่างภาคเรียนมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 24.51 จากคะแนนเต็ม 30 คิดเป็นร้อยละ 71.69 2. นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนจากการจัดการเรียนการสอนโดยใช้วิธีสอนโมเดล ซิปปา เรื่อง การปฏิบัติตนเป็นชาวพุทธที่ดีต่อศาสนาพุทธของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เฉลี่ยเท่ากับ 71.69 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 100 สูงกว่าเกณฑ์ที่สถานศึกษาต้องการคือร้อยละ 60 3. ค่าประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การพัฒนาผลการเรียนรู้ เรื่อง การปฏิบัติตนเป็น ชาวพุทธที่ดีต่อศาสนาพุทธของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้เทคนิคการสอนแบบโมเดลซิปปา สำหรับ
33 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ซึ่งนักเรียนมีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างเรียนคิดเป็นร้อยละ 24.51 และมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียน คิดเป็นร้อยละ 8.30แสดงว่าการจัดการเรียนรู้เรื่อง การปฏิบัติตนเป็นชาวพุทธที่ ดีต่อศาสนาพุทธของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้เทคนิคการสอนแบบโมเดลซิปปา มีประสิทธิภาพสูง กว่าค่าประสิทธิภาพมาตรฐาน 80/80 อภิปรายผลการวิจัย จากผลการวิจัยพบว่าในการศึกษา การพัฒนาผลการเรียนรู้ เรื่อง การปฏิบัติตนเป็นชาวพุทธที่ดี ต่อศาสนาพุทธของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้เทคนิคการสอนแบบโมเดลซิปปาสามารถอภิปราย ผลได้ดังนี้ 1. นักเรียนจำนวน 33 คน มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนโดยใช้วิธีการสอนแบบโมเดลซิป ปา เรื่อง หน้าที่ชาวพุทธ เฉลี่ยเท่ากับ 71.69คะแนน จากคะแนนเต็ม 50 คะแนน คะแนนก่อนเรียนมีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.33 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนซึ่งมีค่าเท่ากับ 10 คะแนน ซึ่งคิดเป็นค่าเฉลี่ย 8.30 และคะแนนระหว่างภาคเรียนมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 24.51 จากคะแนนเต็ม 30 คิดเป็นร้อยละ 71.69 ทั้งนี้ เป็นเพราะว่า อาจนักเรียนไม่ถนัดในการคิดหรือคิดช้า จึงทำให้ไม่เข้าใจในเนื้อหาบาง ตอน ดังนั้นผู้วิจัยจึงได้ ทำการพัฒนากระบวนการคิดของนักเรียนที่มีผลการเรียนไม่ถึงร้อยละ 50 โดยนำ เทคนิควิธีสอนแบบโมเดล ซิปปาโมเดล เข้ามาช่วยในการพัฒนาทักษะกระบวนการคิด เพื่อให้นักเรียนเกิด ความรู้ความเข้าใจกับเนื้อหา มากยิ่งขึ้น การเรียนการสอนนี้ ใช้เวลาในชั่วโมงเรียน ในการศึกษาสำรวจข้อมูล ซึ่งสอดคล้องกับ แนวคิดของ รชาดา บัวไพร. (2552). การศึกษาการจัดการเรียนการสอนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนการ สอนแบบโมเดลซิปปาที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์และเจตคติทาง วิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1. สารนิพนธ์ กศ.ม. (การมัธยมศึกษา) กรุงเทพฯ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิ โรฒ อาจารย์ที่ปรึกษาสารนิพนธ์ : รองศาสตราจารย์ ดรชุติมา วัฒนคีรี การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อ ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ และเจตคติ ทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ ได้รับการจัดการเรียนการสอนแบบโมเดล ชิปปา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนใน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2552 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา (ฝ่ายมัธยม) สังกัด สํานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา จำนวน 1 ห้องเรียน 54 คน ได้มาจากการเลือก แบบเจาะจง (Purposive Sampling) ซึ่งได้รับการจัดการเรียนการสอนแบบโมเดลซิปปา มีขั้นตอน การ ดำเนินการ ดังนี้ 1) ขั้นทบทวนความรู้เดิม 2) ขั้นการแสวงหาความรู้ 3) ขั้นการศึกษาทำความ เข้าใจยังมุม ความคู่ใหม่และเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เปลี่ยนความรู้ความเข้าใจ กับกลุ่ม 5) ขั้นการสรุปและจัด ระเบียบความรู้ 6) ขั้นแสดงผลงาน 7) ขั้นการประยุกต์ใช้ความรู้ ที่พบว่าหลังการทดลอง ค่าเฉลี่ยของคะแนน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดการเรียนการสอน วิทยาศาสตร์โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน แบบโมเดลซิปปาสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05หลังการทดลอง ค่าเฉลี่ยของคะแนนเจตคติทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่
34 ได้รับการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน แบบโมเดลซิปปาสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2. นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนจากการจัดการเรียนการสอนโดยใช้วิธีสอนโมเดลซิปปา เรื่อง การปฏิบัติตนเป็นชาวพุทธที่ดีต่อศาสนาพุทธของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เฉลี่ยเท่ากับ 71.69 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 100 สูงกว่าเกณฑ์ที่สถานศึกษาต้องการคือร้อยละ 60 ทั้งนี้เป็นอาจนักเรียนไม่ถนัดใน การคิดหรือคิดช้า จึงทำให้ไม่เข้าใจในเนื้อหาบาง ตอน ดังนั้นผู้วิจัยจึงได้ทำการพัฒนากระบวนการคิดของ นักเรียนที่มีผลการเรียนไม่ถึงร้อยละ 50 โดยนำ เทคนิควิธีสอนแบบโมเดลซิปปาโมเดล เข้ามาช่วยในการ พัฒนาทักษะกระบวนการคิด เพื่อให้นักเรียนเกิด ความรู้ความเข้าใจกับเนื้อหามากยิ่งขึ้น การเรียนการสอนนี้ ใช้เวลาในชั่วโมงเรียน ในการศึกษาสำรวจข้อมูล ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของดร.ชาญวิทย์ หาญรินทร์ 2555 พบว่า การ สอนตามแนวคิดโมเดลซิปปาไปใช้ในการสอนวิชานวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทาง การศึกษา พบว่า นักศึกษา มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน และมีงานวิจัยที่สอดคล้องอีก คือ งานวิจัย ของ จินตนา ค่าเงิน และคณะ 2550 : 6 พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียน หลังจากสอนโดยใช้วิธีสอนแบบซิปปาสูงกว่า ที่เรียนโดยใช้วิธีสอนแบบปกติ งานวิจัยของนภาวดี บุตรน้ำ เพ็ชร ครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาหลักสูตรและการสอน สำนักงานบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏราช นครินทร์ 2552 : พบว่า จากการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาสังคมศึกษาของนักเรียน ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการสอนแบบซิปปาก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนหลังเรียน สูง กว่าก่อนเรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียนที่จัดการเรียนรู้แบบซิปปาสูงกว่ากระบวนการ กลุ่มสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ .05 และทักษะทางสังคมการเรียนรู้ของนักเรียน ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 หลังเรียนที่จัดการเรียนรู้ จัดการเรียนรู้แบบกระบวนการกลุ่มสัมพันธ์สูงกว่าการจัดการ เรียนรู้แบบซิปปา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 ข้อเสนอแนะ จากการวิจัยเรื่อง การพัฒนาผลการเรียนรู้ เรื่อง การปฏิบัติตนเป็นชาวพุทธที่ดีต่อศาสนาพุทธ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้เทคนิคการสอนแบบโมเดลซิปปาพบว่า การจัดการเรียนการสอนโดย ใช้วิธีสอนแบบโมเดลซิปปาทำให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน และนักเรียนมี ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าเกณฑ์ที่สถานศึกษากำหนดไว้ รวมทั้งนักเรียนมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก ดังนั้นผู้วิจัยจึงสรุปแนวคิดและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับประเด็นต่อไปนี้คือ ข้อเสนอแนะทั่วไปในการนำชุดการ เรียนรู้ไปใช้และข้อเสนอแนะเพื่อการทำวิจัยครั้งต่อไปดังต่อไปนี้
35 บรรณานุกรม รชาดา บัวไพร. (2552). การศึกษาการจัดการเรียนการสอนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนการ สอนแบบ โมเดลซิปปาสอนแบบโมเดลซิปปาที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์และเจตคติทาง วิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1. กรุงเทพฯ : สารนิพนธ์ กศ.ม. (การมัธยมศึกษา) ดร.ชาญวิทย์ หาญรินทร์. (2555).การพัฒนาผลการเรียนรู้ของนักเรียน เรื่อง หลักธรรมสำคัญของศาสนา ต่างๆ ที่ได้รับการจัดการ เรียนการสอนแบบโมเดลซิปปา.สำนักงานบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัย ราชภัฏราชนครินทร์ วิจารณ์ พานิช (2555: 19). ทักษะของ บุลโน วรา 21 โดนทุกคนต้องเรียนรู้ แต่ชั้นอนุบาลไปจนถึง มหาวิทยาลัย และ / ชีวิต 38. กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ, 2552, 3-4 ทิศนา แขมมณี. (2542), การจัดการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง โมเดลซิปปา (CIPPA Model), กรุงเทพมหานคร : คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย
36 ภาคผนวก
37 ภาคผนวก ก. รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจเครื่องมือวิจัย 1. นางสาว ภาวิณี หมายมี ตำแหน่งครู หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและ วัฒนธรรม โรงเรียนสมุทรสาครวุฒิชัย จังหวัดสมุทรสาคร ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา 2. นางสาว สิรินารถ นาคปลัด ตำแหน่งครู หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนาและ วัฒนธรรม โรงเรียนสมุทรสาครวุฒิชัย จังหวัดสมุทรสาคร ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อหา
38 ภาคผนวก ข. เครื่องมือในการวิจัย 1. แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 3 แผน 2. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่อง หน้าที่ชาวพุทธ
39 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๑ เรื่อง หน้าที่ชาวพุทธ รายวิชา สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม รหัสวิชา ส๒๒๑๐๑ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ หน่วยการเรียนรู้บทที่ ๔ ภาคเรียนที่ ๒/๒๕๖๕ เวลา ๓ ชั่วโมง ผู้สอน นางสาวเขมอักษร ยอดพรหม โรงเรียนสมุทรสาครวุฒิชัย ๑. มาตรฐานการเรียนรู้ ส ๑.๒ เข้าใจ ตระหนักและปฎิบัติตนเป็นศาสนิกชนที่ดี และธำรงรักษาพระพุทธศาสนาหรือ ศาสนาที่ตนนับถือ ๒. ตัวชี้วัด ม. ๒/๒ มีมรรยาทของความเป็นศาสนิกชนที่ดีตามกำหนด ๓. จุดประสงค์การเรียนรู้ ๑. นักเรียนสามารถอธิบายมรรยาทของความเป็นศาสนิกชนที่ดีได้ ๒. นักเรียนสามารถปฏิบัติเป็นศาสนิกชนที่ดีได้ ๓. นักเรียนตระหนักถึงมรรยาทของความเป็นศาสนิกชนที่ดี ๔. สาระสำคัญ มรรยาทของการเป็นศาสนิกชนที่ดีนั้นต้องมีการศึกษาหาความรู้จากคำสอนพระพุทธศาสนาและ เมื่อมีความรู้ก็สามารถนำไปปฏิบัติตามคำสอนต่อมาก็ทำการเผยแผ่และปกป้องศาสนา เพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจต่างๆเกี่ยวกับมรรยาทชาวพุทธที่ดีจนสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้ ๕. สาระการเรียนรู้ ๕.๑ ความรู้ ๑. มรรยาทของศาสนิกชน ๒. มรรยาทของการต้อนรับ/มรรยาทของการเป็นแขก ๓. การปฏิบัติต่อพระภิกษุ ๔. การแต่งกายไปวัด งานมงคลและอวมงคล
40 ๕.๒ สมรรถนะที่สำคัญของผู้เรียน ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต ความสามารถในการคิด ๖. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ ข้อที่ ๑ รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ข้อที่ ๖ มุ่งมั่นในการทำงาน ข้อที่ ๗ รักความเป็นไทย ๗. คำถามสำคัญที่นำไปสู่ความรู้ที่คงทน การเป็นศาสนิกชนที่ดีนั้นสามารถเริ่มได้จากที่ใคร (ตัวเราเอง) ๘. ชิ้นงานและภาระงาน ๘.๑ กิจกรรมวนแป้งตอบคำถาม ๘.๒ แผนผังความคิด เรื่องมรรยาทของการต้อนรับและมรรยาทของผู้เป็นแขก ๘.๓ วาดภาพพร้อมอธิบายวิธีการปฏิบัติตนต่อพระภิกษุ ๙. กิจกรรมการเรียนรู้ ชั่วโมงที่ ๑ ขั้นนำเข้าสู่บทเรียนและแจ้งจุดประสงค์การเรียนรู้ ๑. ครูปฐมนิเทศการสอนและทำข้อตกลงแก่นักเรียน (แนวทาง : แนะนำตัวแก่นักเรียนและให้นักเรียนแนะนำตัว รายวิชาพระพุทธศาสนา ฯลฯ) ๒. ครูนำคิวอาร์โค้ชเพื่อให้นักเรียนสแกนเพื่อเข้ากลุ่มไลน์ห้องเรียน ๓. แจ้งจุดประสงค์การเรียนรู้ให้นักเรียนทราบ ขั้นกิจกรรมการเรียนรู้ ๔. นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับหน้าที่ชาวพุทธและมรรยาทชาวพุทธ ๕. ครูอธิบาย เรื่อง หน้าที่ชาวพุทธและมรรยาทชาวพุทธ ชาวพุทธคือคนที่นับถือศาสนาพุทธ แบ่งออกได้เป็น ๒ กลุ่ม คือกลุ่มนักบวชคือ พระภิกษุ พระภิกษุณี และสามเณร กลุ่มที่สอง คือ ฆราวาส ได้แก่ อุบาสก อุบาสิกา คือบุคคลหญิงชายทั่วไปที่เป็นชาวพุทธ หน้าที่ของชาวพุทธนั้นมีทั้งหมด ๔ ประการ ประการที่ ๑ คือ การศึกษาตามคำสอน ประการที่ ๒ คือ การปฎิบัติตามคำสอน
41 ประการที่ ๓ คือ เผยแผ่พระพุทธศาสนา ประการที่ ๔ คือ ปกป้องพระพุทธศาสนาจากภัยต่างๆ มรรยาทชาวพุทธ คือขนมธรรมเนียมประเพณีของชาวพุทธ เพื่อแสดงความเคารพต่อ พระสงฆ์หรือการเคารพต่อพระพุทธศาสนา เราจึงต้องเรียนรู้เพื่อนำไปใช้ใน ชีวิตประจำวันของเราตามโอกาสอันสมควร ซึ่ง มรรยาทชาวพุทธจะมี มรรยาทการ ต้อนรับ มรรยาทการเป็นแขก และการปฏิบัติต่อพระภิกษุ ๖. นักเรียนร่วมกันอภิปรายถึงความรู้อีกครั้งเพื่อเตรียมตัวทำกิจกรรม ขั้นสรุปความรู้ ๗. นักเรียนร่วมกันทำกิจกรรมวนแป้งเพื่อตอบคำถาม ๘. ครูอธิบายวิธีกติกาการทำกิจกรรมวนแป้ง นักเรียนคนแรกที่เป็นคนถือแป้งนั้นจะต้องเป็นผู้ที่ส่งกระป๋องแป้งต่อไปให้เพื่อนคนถัดไป ครูจะทำการเปิดเพลงและเมื่อเพลงหยุดและกระป๋องแป้งอยู่ที่นักเรียนคนใดนักเรียนคน นั้นจะต้องทำการตอบคำถาม นักเรียนที่ตอบคำถามได้อย่างถูกต้องจะสามารถทาแป้งนักเรียนคนใดก็ได้ แต่หากตอบผิดจะต้องเป็นผู้ที่ต้องโดนทาแป้งเอง ๙. นักเรียนและครูร่วมกันอภิปราย เรื่อง หน้าที่ชาวพุทธและมรรยาทชาวพุทธ เพื่อสรุป ความรู้
42 ชั่วโมงที่ ๒ ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน ๑. ทบทวนความรู้เดิมจากชั่วโมงที่แล้ว (แนวคำถาม) ๑. ชาวพุทธสามารถแบ่งออกได้เป็นกี่กลุ่ม ๒. หน้าที่ของชาวพุทธที่สำคัญมีทั้งหมดกี่ประการและอะไรบ้าง ๒. นักเรียนดูภาพการต้อนรับและการเป็นแขก ภาพที่ ๑ ๓. นักเรียนร่วมกันตอบคำถามเกี่ยวกับภาพเพื่อเชื่อมโยงเข้าสู่บทเรียน ขั้นกิจกรรมการเรียนรู้ ๔. ครูอธิบาย เรื่อง มรรยาทการต้อนรับ มรรยาทการเป็นแขก มรรยาทของการต้อนรับนั้นก็สำคัญ ซึ่งเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดี สามารถทำ ได้หลากหลายวิธี การแสดงมรรยาทจากทางกาย คือการไหว้ การกราบ ทางวาจา คือ การกล่าวคำทักทายปราศรัย ทักทายต้อนรับ ทางจิตใจก็สามารถแสดงออกได้เช่นกัน คือ การคิดดีต่อกัน ในพระพุทธศาสนาได้กล่าวถึงการต้อนรับไว้ ๒ ประการ ๑. อามิสปฎิสันถาร คือ การต้อนรับด้วยสิ่งของ น้ำ ข้าวปลาอาหาร ๒. ธรรมปฎิสันถาร คือ การต้อนรับด้วยการพูดจาปราศรัย กล่าวทักทาย มรรยาทของการเป็นแขกเมื่อเราไปร่วมงานผู้อื่นเราควรปฏิบัติดังนี้ ๑. เตรียมตัวให้พร้อมทั้งกายใจ ๒. มรรยาทในการเข้าพบ เช่น การนัดหมายเพื่อไม่ให้เกิดการผิดพลาด ๓. มรรยาทในการสนทนา พูดแต่สิ่งที่จำเป็นและเป็นธุระ ๔. มรรยาทในการลากลับก่อนกลับควรลากลับทุกครั้ง
43 ๕. นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับมรรยาทการต้อนรับ มรรยาทการเป็นแขก เพื่อ เตรียมพร้อมเกี่ยวกับการทำแผนผังความคิด เรื่อง มรรยาทการต้อนรับ มรรยาทการเป็น แขก ขั้นสรุปความรู้ ๖. ครูอธิบายเกี่ยวกับวิธีการทำแผนผังความคิด นักเรียนเตรียมกระดาษ A4 คนละ 1 แผ่น เขียนหัวข้อว่า มรรยาทการต้อนรับ มรรยาทการเป็นแขก และทำเป็นแผนผังความคิด พร้อมตกแต่งให้สวยงาม ๗. นักเรียนและครูร่วมกันอภิปราย เรื่อง มรรยาทการต้อนรับ มรรยาทการเป็นแขก เพื่อ สรุปความรู้ ชั่วโมงที่ ๓ ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน ๑. ทบทวนความรู้เดิมจากชั่วโมงที่แล้ว (แนวคำถาม) ๑. มรรยาทของการเป็นแขกที่สำคัญเราควรทำตัวอย่างไร ๒. มรรยาทของการต้อนรับ หากเราเป็นคนต้อนรับนั้นควรทำตัวเช่นไร ๒. นักเรียนดูภาพการปฎิบัติตนต่อพระภิกษุ ภาพที่ ๑ ๓. นักเรียนและครูร่วมกับอภิปรายเกี่ยวกับภาพเพื่อเชื่อมโยงเข้าสู่บทเรียน ขั้นกิจกรรมการเรียนรู้ ๔. ครูอธิบาย เรื่อง ระเบียบปฎิบัติต่อพระภิกษุ การยืนต่อหน้าพระภิกษุ สามารถทำได้ ๓ กรณี ๑. กรณีที่เรานั่งอยู่บนเก้าอี้ ๒. กรณีที่นั่งอยู่บนพื้น ๓. กรณีที่ต้องยืนต่อหน้าท่าน การให้ที่นั่งแก่พระสงฆ์เป็นมรรยาทชาวพุทธอย่างหนึ่ง
44 การเดินสวนทางกับพระสงฆ์ การปฎิบัตินั้นต้องสำรวมระมัดระวัง เช่น ควรหลีกทาง ให้ท่านโดยหลบไปทางซ้ายมือของท่าน ฯลฯ การสนทนากับพระสงฆ์ ก็จะมีแนวทางปฎิบัติเช่นกัน ต้องประนมมือทุกครั้งที่มีการ สนทนากับท่าน ไม่พูดคำหยาบ พูดแต่เรื่องที่เป็นสาระ ถ้าเป็นสตรีไม่ควรที่จะสนทนา กับท่านสองต่อสองไม่ว่าจะในที่ลับหรือที่แจ้ง การรับสิ่งของจากพระสงฆ์ การปฏิบัติก็สามารถแยกออกเป็น หญิง ชาย หากเป็นชาย ก็สามารถรับสิ่งของได้จากมือโดยตรง หากเป็นหญิง ต้องหงายฝ่ามือทั้งสองเพื่อรองรับของจากพระสงฆ์ หรือรับจากภาชนะ ที่วางไว้ให้ ซึ่งแนวทางการปฏิบัติของหญิงและชายจะค่อนข้างแตกต่างกัน ๕. นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับระเบียบปฎิบัติต่อพระภิกษุ เพื่อเตรียมตัววาด ภาพการปฏิบัติตนต่อพระสงฆ์ ขั้นสรุปความรู้ ๖. ครูอธิบายเกี่ยวกับการวาดภาพการปฏิบัติตนต่อพระสงฆ์ นักเรียนวาดภาพ การยืน การเดินสวนกับพระสงฆ์ การรับสิ่งของจากพระสงฆ์ โดยเลือก วิธีการปฏิบัติที่ตนเองสนใจมาวาดอย่างละ ๑ ภาพ พร้อมอธิบายใต้ภาพว่าสามารถ ปฏิบัติได้เช่นไรบ้าง พร้อมทั้งให้นักเรียนอธิบายเกี่ยวกับการให้ที่นั่งแก่พระสงฆ์การสนทนากับพระสงฆ์นั้น สามารถปฏิบัติได้อย่างไรบ้างและความสำคัญของระเบียบที่ปฏิบัติต่อพระสงฆ์ ๗. นักเรียนและครูร่วมกันอภิปราย เรื่อง ระเบียบปฎิบัติต่อพระภิกษุ เพื่อสรุปความรู้
45 ๑๐. การวัดผลและประเมินผล จุดประสงค์การเรียนรู้ วิธีการวัด/ประเมินผล เครื่องมือในการวัด/ ประเมินผล เกณฑ์การวัด/ ประเมินผล ผู้วัด/ ประเมินผล นักเรียนสามารถอธิบาย มรรยาทของความ เป็นศาสนิกชนที่ดีได้ นักเรียนทำกิจกรรม วนแป้งตอบคำถาม กิจกรรมวนแป้ง ตอบคำถาม ผ่านเกณฑ์ใน ระดับดี ครูผู้สอน นักเรียนสามารถปฏิบัติ เป็นศาสนิกชนที่ดีได้ นักเรียนทำแผนผัง ความคิด เรื่อง มรรยาทของการ ต้อนรับและมรรยาท ของผู้เป็นแขก แผนผังความคิด เรื่องมรรยาทของ การต้อนรับและ มรรยาทของผู้เป็น แขก ผ่านเกณฑ์ใน ระดับดี ครูผู้สอน นักเรียนตระหนักถึง มรรยาทของความ เป็นศาสนิกชนที่ดี นักเรียนทำการวาด ภาพพร้อมอธิบาย วิธีการปฏิบัติตนต่อ พระภิกษุ วาดภาพพร้อม อธิบายวิธีการ ปฏิบัติตนต่อ พระภิกษุ ผ่านเกณฑ์ใน ระดับดี ครูผู้สอน ๑๑.สื่อการเรียนรู้และแหล่งการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ ๑. Canva เรื่อง หน้าที่ชาวพุทธ ๒. ภาพการต้อนรับและการเป็นแขก ๓. ภาพการปฎิบัติตนต่อพระภิกษุ ๔. หนังสือเรียน แหล่งการเรียนรู้ ๑. Power Point เรื่อง หน้าที่ชาวพุทธ
46 แบบประเมินการร่วม กิจกรรมวนแป้งตอบคำถาม คำชี้แจง ให้ครูประเมินทักษะและความสามารถของผู้เรียนในการร่วมกิจกรรม โดยพิจารณาจากเกณ์การ ให้คะแนน ด้านหลังแบบประเมินนี้ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒/…. เลขที่ ชื่อ - สกุล รายการประเมิน คะแนน (รวม) ระดับ พฤติกรรม การมีส่วนร่วม ( ๓ คะแนน ) ความถูกต้อง ( ๓ คะแนน ) การมีให้ความ ร่วมมือในการทำ กิจกรรมกลุ่ม ( ๓ คะแนน )
47 แบบประเมินการร่วม กิจกรรมวนแป้งตอบคำถาม รายการการประเมิน เกณฑ์การให้คะแนน ดีมาก ( ๓ คะแนน ) ดี ( ๒ คะแนน ) พอใช้ ( ๑ คะแนน ) ๑.การมีส่วนร่วม นักเรียนมีส่วนร่วมทุก กิจกรรม นักเรียนมีส่วนร่วม กิจกรรม นักเรียนไม่มีส่วนร่วม ในการทำกิจกรรม ๒. ความถูกต้อง ของเนื้อหา นักเรียนตอบคำถามถูก ทุกข้อ นักเรียนตอบคำถามผิด ๑ ข้อ นักเรียนตอบคำถาม ผิดมากกว่า ๒ ข้อ ๓.การมีให้ความร่วมมือ ในการทำกิจกรรมกลุ่ม ให้ความสนใจในการทำ กิจกรรมเป็นอย่างดี ให้ความสนใจในการมี ส่วนร่วม แต่ไม่มาก ไม่ให้ความสนใจใน การทำกิจกรรม เกณฑ์การตัดสินระดับคุณภาพ คะแนน ระดับคุณภาพ ๖ – ๙ (ดีมาก) ๓ - ๕ (ดี) ต่ำกว่า ๓ (พอใช้)
48 แบบประเมินการให้คะแนน แผนผังความคิด เรื่อง มรรยาทของการต้อนรับและมรรยาทของผู้เป็นแขก คำชี้แจง ให้ครูประเมินทักษะและความสามารถของผู้เรียนในการทำใบงาน โดยพิจารณาจากเกณ์การให้ คะแนน ด้านหลังแบบประเมินนี้ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒/….. เลขที่ ชื่อ - สกุล รายการประเมิน คะแนน (รวม) ระดับ พฤติกรรม ความถูกต้อง ของเนื้อหา ( ๓ คะแนน ) การตรงต่อ เวลา ( ๓ คะแนน ) ความ สวยงาม ( ๓ คะแนน )
49 แบบประเมินการให้คะแนน แผนผังความคิด เรื่อง มรรยาทของการต้อนรับและมรรยาทของผู้เป็นแขก รายการการ ประเมิน เกณฑ์การให้คะแนน ดีมาก ( ๓ คะแนน ) ดี ( ๒ คะแนน ) พอใช้ ( ๑ คะแนน ) ๑.ความ ถูกต้อง ของเนื้อหา เนื้อหาครบถ้วน อธิบาย ชัดเจน เนื้อหาครบถ้วน แต่อธิบาย ไม่ชัดเจน เนื้อหาไม่ครบ ๑ ข้อ และ อธิบายไม่ชัดเจน ๒.ความ สวยงาม มีความเป็น ระเบียบเรียบร้อยและมี ความคิดสร้างสรรค์ ไม่เป็นระเบียบ ๑ ตำแหน่ง แต่มีความคิดสร้างสรรค์ ไม่เป็นระเบียบมากกว่า ๑ ตำแหน่ง แต่มีความคิด สร้างสรรค์ ๓.การตรง ต่อเวลา ส่งงานตรงต่อเวลา ส่งช้าเกินกำหนด ๑ วัน ส่งช้าเกินกำหนด ๒ วัน เกณฑ์การตัดสินระดับคุณภาพ คะแนน ระดับคุณภาพ ๖ – ๙ (ดีมาก) ๓ - ๕ (ดี) ต่ำกว่า ๓ (พอใช้)